The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำรากองทัพบกและเหล่าทหาร 66 (ฉบับสมบูรณ์)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by komkrich vekchalikanon, 2023-04-19 20:54:34

ตำราวิชากองทัพบกและเหล่าทหาร 66

ตำรากองทัพบกและเหล่าทหาร 66 (ฉบับสมบูรณ์)

๒๙๑ ๔.๑ เคยกระทำผิดฐานทำให้เสื่อมเสียอำนาจศาล หรือละเมิดอำนาจศาล ๔.๒ เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ความผิดที่เป็นลหุโทษหรือ กำหนดโทษชั้นลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ๕. ทนายในศาลทหาร ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ และระเบียบของทหาร ๖. ให้นำข้อบังคับของเนติบัณฑิตสภา ในส่วนที่เกี่ยวกับมรรยาททนายความมาใช้บังคับแก่ทนาย ในศาลทหารโดยอนุโลม ๗. ในคดีที่ศาลทหารตั้งทนายให้แก่จำเลยนั้น ให้ถือว่าทนายนั้นได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ไป ปฏิบัติหน้าที่ราชการ อัยการทหาร มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้ (ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยอัยการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๙) (๑) ตรวจสำนวนการสอบสวนคดีอาญา แล้วเสนอความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อสั่งฟ้องหรือไม่ ฟ้อง หรือสั่งการอย่างอื่นแล้วแต่กรณี (๒) เป็นโจทก์ฟ้อง และดำเนินคดีอาญาในศาลทหาร (๓) ร้องขอศาลทหารที่มีอำนาจให้พิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์ ใช้ราคาทรัพย์ หรือใช้ค่าสินไหม ทดแทนความเสียหายให้แก่รัฐบาลในกรณีที่จำเลยมีเจตนากระทำผิดต่อทรัพย์นั้นโดยตรง (๔) ร้องขอศาลทหารที่มีอำนาจเกี่ยวแก่การยึดทรัพย์จำเลยเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลทหาร ให้แก่รัฐบาล (๕) สอบสวนคดีอาญาทั้งปวง ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา (๖) สอบสวนเพิ่มเติม หรือจะสั่งให้ผู้มีหน้าที่สอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมก็ได้ (๗) ออกหมายเรียกให้บุคคลใดมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งเอกสาร วัตถุ หรือสิ่งอื่นใดที่จะใช้เป็น พยานหลักฐานได้ (๘) ส่งสำนวนการสอบสวนคดีอาญาให้พนักงานอัยการ เมื่อเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร และแจ้งให้ผู้สอบสวนคดีนั้นทราบ (๙) ในคดีศาลทหารชั้นต้นลงโทษบุคคลใดโดยลำพัง ถ้าศาลทหารกลางพิพากษาให้ปล่อยผู้นั้นเมื่อ อัยการทหารเห็นสมควรจะฎีกาก็ได้ (๑๐) นอกจากนี้ให้มีอำนาจและหน้าที่อื่น ๆ ตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ และระเบียบ ซึ่ง บัญญัติว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการทหาร ศาลทหาร แบ่งเป็น ๓ ชั้น ได้แก่ (พ.ร.บ.ธรรมนูญทหาร ม.๖) - ศาลทหารชั้นต้น - ศาลทหารกลาง - ศาลทหารสูงสุด ศาลทหารชั้นต้น ได้แก่ (พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ม.๗) - ศาลจังหวัดทหาร มีอำนาจพิจารณาคดีอาญา ได้ทุกบทกฎหมาย เว้นแต่คดีที่จำเลย มี ยศทหารชั้นสัญญาบัตร (พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ม.๑๙) และมีอำนาจพิพากษา - ศาลมณฑลทหาร มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาได้ทุกบทกฎหมาย เว้นแต่คดีที่มีจำเลยมี ยศทหารชั้นนายพล หรือเทียบเท่า (พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ม.๒๑) - ศาลทหารกรุงเทพ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ทุกบทกฎหมายโดยไม่จำกัดยศของจำเลย (พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ม.๒๒)


๒๙๒ - ศาลประจำหน่วยทหาร มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาได้เช่นเดียวกับศาลมณฑลทหาร (พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ม.๒๑) ศาลทหารกลาง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ทหารชั้นต้น (พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ม.๒๓) ศาลทหารสูงสุด มีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาล ทหารกลาง (พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ม.๒๔) “ คดีที่ศาลทหารสูงสุด ได้พิจารณาพิพากษา หรือมีคำสั่งแล้วให้เป็นอันถึงที่สุด ” ศาลอาญาศึก มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง ซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตอำนาจ ได้ทุกบทกฎหมาย และไม่จำกัดตัวบุคคล (พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ม.๔๒) ซึ่งในแต่ละหน่วยงานต่างมีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติงานอย่างเป็นอิสระโดยยึดหลักกฎหมายและหลัก วิชาชีพของนักกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม และอำนาจปกครองบังคับบัญชาในหมู่ทหาร ก่อ ให้เกิดความเข้มแข็งแห่งกำลังทหาร ตลอดจนประสิทธิภาพของทหารในการรักษาเอกราช และความมั่นคง ของประเทศชาติสืบไป ประวัตินายทหารพระธรรมนูญ ( นธน.) ในกองทัพบก ๑. แต่เดิม ทบ.มิได้กำหนดอัตรา นธน.ใน ทบ.ไว้โดยเฉพาะจนถึงระหว่างสงครามมหาเอเซียบูรพา ( สงครามโลกครั้งที่ ๒ ) ทางราชการได้จัดตั้งกองบัญชาการสนามขึ้นและปรากฏว่างานเกี่ยวกับกฎหมายมี ความสำคัญมาก จึงได้บรรจุกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายกรมพระธรรมนูญ ใน บก.ทบ.สนาม ตามอัตราเตรียมพร้อม ๘๔ เมื่อ ๓๑ ธ.ค.๘๔ ๒. เมื่อ ๖ ม.ค.๘๔ ได้กำหนดอัตรากำลังพล " หัวหน้าการฝ่ายพระธรรมนูญ " ไว้ใน บก.ทบ. ๓. ในปี ๒๔๘๖ ทบ.ได้ยกเลิกอัตราเตรียมพร้อม ๘๔ และบรรจุเจ้าหน้าที่ใหม่ตามอัตรากำลังรบ มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายพระธรรมนูญ หัวหน้าฝ่ายพระธรรมนูญ ๔. ต่อมาเมื่อ ๒๔๘๙ จึงได้กำหนดอัตรา " เจ้าหน้าที่ฝ่ายธรรมนูญ แผนกที่ ๑ กรมเสนาธิการ ทหารบก" และมีผู้ช่วย " เจ้าหน้าที่ฝ่ายธรรมนูญ แผนกที่ ๑ กรมเสนาธิการทหารบก" ๕. เมื่อปี ๒๔๘๙ แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายธรรมนูญ แผนกที่ ๑ กรมเสนาธิการทหารบกเป็น "เจ้าหน้าที่ฝ่ายธรรมนูญกองทัพบก " และมีผู้ช่วย ๖. ในปี ๒๔๙๑ ได้มีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำเรียกชื่อ " เจ้าหน้าที่ฝ่ายธรรมนูญกองทัพบก " โดย เปลี่ยนเป็น " นายทหารพระธรรมนูญกองทัพบก " ๗. เมื่อ ๗ ก.พ.๙๔ เปลี่ยนชื่อเป็นหัวหน้านายทหารพระธรรมนูญกองทัพบก ๘. ต่อมามีคำสั่ง ทบ.ที่ ๑๐๕/๑๓๓๕๓ ลง ๙ ส.ค.๙๕ ให้แผนกกลาง กรมเสนาธิการทหารบก แปรสภาพเป็นกรมสารบรรณทหารบก อัตรานายทหารพระธรรมนูญกองทัพบกที่รวมอยู่กับแผนกกลาง กรม เสนาธิการทหารบกเดิม ได้รับการจัดสรรเป็นนายทหารพระธรรมนูญ กรมสารบรรณทหารบก เขียนคำย่อ ว่า นธน.สบ.ทบ. ๙. ระเบียบ กห.ว่าด้วยการกำหนดหน้าที่ส่วนราชการในกองทัพบก พ.ศ.๒๕๐๑ ข้อ ๑๖ (๔) ได้ กำหนดไว้ว่า กองพระธรรมนูญ มีหน้าที่สืบสวนและสอบสวนคดีตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเป็นที่ปรึกษา กฎหมายของผู้บังคับบัญชา พิจารณาและเสนอความเห็นทางกฎหมาย ทางปกครอง และทางวินัย ตามที่


๒๙๓ ผู้บังคับบัญชามอบหมายตรวจร่างสัญญาต่าง ๆ ของทางราชการทหาร และมีหน้าที่ควบคุมวิทยาการ นายทหารเหล่าพระธรรมนูญที่ขึ้นในสายบังคับบัญชาของกองทัพบก ประวัตินายทหารพระธรรมนูญกองทัพเรือ ๑. กิจการด้านกฎหมายของนายทหารเรือ แต่เดิมคงอยู่ใน กรมพระธรรมนูญทหารกระทรวง ทหารเรือ เมื่อได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้รวม กระทรวงทหารเรือเข้ากับกระทรวงกลาโหมแล้ว กห.จึงได้มีคำสั่งที่ ๑๙/๑๐๓๕๙ ลง ๕ ธ.ค.๗๔ ให้รวมกรมพระธรรมนูญทหารบก กรมพระธรรมนูญ ทหารเรือ เป็นกรมเดียวกันเรียกว่า “ กรมพระธรรมนูญทหาร ” ๒. ต่อมาเมื่อปี ๒๔๗๕ ได้มีการเปลี่ยนรูป กห.โดยให้มีกรมทหารเรือ ๓. ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๔๗๖ ยกฐานะ กรมทหารเรือเป็น กองทัพเรือ เมื่อ ๓๐ พ.ย.๗๖ เป็นต้นมา โดยที่กองทัพเรือมีทั้งอัยการจังหวัดทหารเรือ และอัยการมณฑลทหารเรือ งานด้านกฎหมายของกองทัพเรือ ผู้บังคับบัญชาจึงได้ปรึกษาหารือกับอัยการ ตลอดมา ๔. ต่อมาได้มีแผนกกฎหมายในกองบังคับการกองทัพเรือเป็นครั้งแรกตามอัตรากำลังกองทัพเรือ พ.ศ.๒๔๘๘ เรียกว่า ” แผนกที่ ๕ กองบังคับการกองทัพเรือ ” ๕. เมื่อปี ๒๔๙๐ ทร.ได้ออกคำสั่งโอนงานแผนกที่ ๔ ( งานสัสดี ) กองบังคับการกองทัพเรือไป สังกัด กรมเสนาธิการทหารเรือ กองบังคับการกองทัพเรือจึงเหลืออยู่ ๔ แผนก แผนกที่ ๕ จึงเปลี่ยนเป็น แผนกที่ ๔ มีหน้าที่ตามเดิม เมื่อปี ๒๔๙๑ ได้มีพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๔๙๑ ให้ทบ.,ทร.,และ ทอ.มีฐานะเป็นนิติบุคคล กห.จึงได้มีคำสั่งให้โอนงานตรวจและร่างสัญญา ซึ่ง ธน.กห.เป็นผู้ตรวจมาให้เป็นหน้าที่ของแผนกที่ ๔ ตรวจ ส่วนงานทางด้านอัยการและศาล ก็คงมีอยู่ใน มณฑลทหารเรือที่ ๑,๒ และจังหวัดทหารเรือจันทบุรีตลอดมาจนถึง พ.ศ.๒๔๙๔ ๖. ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการกองทัพเรือในกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๔๙๔ จัดตั้งกรมเสนาธิการทหารเรือ กองบังคับการกองทัพเรือ และแต่งตั้งหัวหน้านายทหารพระธรรมนูญขึ้นใน กองบังคับการกองทัพเรือ ๗. ได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกองทัพเรือในกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๔๙๖ ตั้ง กรมธุรการ ( กองบังคับการกองทัพเรือเดิม ) สังกัดในกรมเสนาธิการทหารเรือ และแก้ไขอัตรากำลังฝ่าย กฎหมายใหม่ ตั้งเป็น “ กองกฎหมาย ” นายทหารพระธรรมนูญในกองบังคับเรือ จึงย้ายไปเป็นประจำ กองกฎหมาย กรมธุรการ กรมเสนาธิการทหารเรือ ๘. ได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกองทัพเรือในกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๔๙๘ จัด หน้าที่ราชการกองทัพเรือใหม่ โดยจัดตั้งกรมสารบรรณทหารเรือ กรมสารบรรณทหารเรือ( กรมธุรการเดิม) ขึ้นตรงต่อ กองกฎหมาย จึงเปลี่ยนกองพระธรรมนูญ ขึ้นตรงต่อกรมสารบรรณทหารเรือ ๙. พ.ศ.๒๔๙๙ ได้มีการปรับปรุงอัตราใหม่ เปลี่ยนชื่อเรียกตำแหน่งในกองพระธรรมนูญทั้งหมด เป็น นายทหารพระธรรมนูญ และตามระเบียบ กห.ว่าด้วยการกำหนดหน้าที่ส่วนราชการในกองทัพเรือ พ.ศ. ๒๕๐๑ ได้กำหนดหน้าที่กองพระธรรมนูญไว้ว่า “ (๒) กองพระธรรมนูญมีหน้าที่สืบสวนและสอบสวนคดี ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเป็นที่ ปรึกษากฎหมายของผู้บังคับบัญชา พิจารณาและเสนอความเห็นทางกฎหมายทางปกครองและทางวินัย ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ตรวจร่างสัญญาต่าง ๆ ของกองทัพเรือ และมีหน้าที่ ควบคุมทางวิทยาการ นายทหารเหล่าพระธรรมนูญที่ขึ้นในสายบังคับบัญชาของกองทัพเรือมีหัวหน้ากองพระธรรมนูญ เป็น ผู้รับผิดชอบ ”


๒๙๔ ประวัตินายทหารพระธรรมนูญกองทัพอากาศ ๑. ภายหลังจากได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยใน พ.ศ.๒๔๗๕ แล้ว กห.ได้ เปลี่ยนแปลงการจัดส่วนราชการเสียใหม่ คือ ให้กรมอากาศยานขึ้นตรงต่อผู้บังคับบัญชาทหารบกต่อมา พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๔๗๘ เลี่ยนชื่อกรม อากาศยานเป็นกรมทหารอากาศ ขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม ๒. พ.ศ.๒๔๘๐ ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๔๗๙ ยกฐานะกรมทหารอากาศขึ้นเป็น กองทัพอากาศ มีฐานะเท่า ทบ.และ ทร. ๓. ประวัติและความเป็นมาของนายทหารพระธรรมนูญกองทัพอากาศ ได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ ปี ๒๔๗๕ คือหลังจากที่ กห.ได้ออกข้อบังคับทหารที่ ๘/๙๕๔๙ โดยได้กำหนดให้ กรมอากาศยานใน ขณะนั้นมีหน้าที่เกี่ยวกับ กิจการกฎหมาย คือ การรักษาการตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ ๔. พ.ศ.๒๔๙๑ ได้มีพระราชกฤษฎีกาการจัดวางระเบียบราชการกองทัพอากาศใน กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๔๙๑ จัดตั้งแผนกกลางมีหน้าที่ปฏิบัติในทางธุรการและกฎหมายขึ้นกับกรมเสนาธิ การทหารอากาศ และในปี ๒๔๙๑ นี้ ทอ.ได้มีการปรับปรุงและยกฐานะแผนกคดีขึ้นเป็นกองการคดีขึ้นตรง ต่อแผนกกลาง กรมเสนาธิการทหารอากาศ ๕. ในปี ๒๔๙๓ ได้มีคำสั่ง กห.ที่ ๑๖๒/๑๓๕๖๔ ลง ๒๙ ส.ค.๙๓ ได้เปลี่ยนชื่อกองการคดี เป็น “ ฝ่ายพระธรรมนูญกองทัพอากาศ ” ๖. พ.ศ.๒๔๙๕ ทางราชการได้ยกฐานะแผนกกองกรมเสนาธิการทหารอากาศขึ้นเป็นกรม สาร บรรณทหารอากาศ ฝ่ายพระธรรมนูญกองทัพอากาศ เปลี่ยนฐานะเป็น ” กองพระธรรมนูญ” ขึ้นตรงต่อกร มสารบรรณทหารอากาศ ๗. พ.ศ.๒๕๐๗ กระทรวงกลาโหมได้ออกระเบียบกะทรวงกลาโหมว่าด้วยการกำหนดหน้าที่ของ ส่วนราชการในกองทัพอากาศ พ.ศ.๒๕๐๗ “ ๔.๓ กองพระธรรมนูญ มีหน้าสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เป็นที่ ปรึกษาของผู้บังคับบัญชาในด้านกฎหมาย พิจารณาเสนอความเห็นทางกฎหมาย ตรวจร่างสัญญาต่างๆ ที่ กระทำในนามของกองทัพอากาศ รวบรวมเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย ประสานการปฏิบัติในหน้าที่กฎหมาย กับส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งในและนอกกองทัพอากาศ ดำเนินกำวิธี กำลังพล และอำนวยการศึกษาอบรม เสนอแนะหลักสูตรและกำหนดแนวสอนในการศึกษาเหล่าทหารพระธรรมนูญมีหัวหน้ากองพระธรรมนูญเป็น ผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ ” ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยนายทหารพระธรรมนูญ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ จึง ตราข้อบังคับไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑. ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยนายทหารพระธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๙๙ ” เรียกย่อว่า “ นธน.๙๙ ” ข้อ ๒. ให้ใช้ข้อบังคับนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้อ ๓. ให้ยกเลิกบรรดาข้อบังคับ คำสั่ง และระเบียบอื่น ๆ ในส่วนที่มีกำหนดไว้แล้วในข้อบังคับ นี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้ ข้อ ๔ คุณสมบัติและพื้นความรู้นายทหารพระธรรมนูญประกอบด้วย (๑) เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร


๒๙๕ (๒) อายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ (๓) สอบความรู้ทางกฎหมายได้ปริญญาตรีหรือเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี (๔) เป็นสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภา (๕) มีความประพฤติเหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่นายทหาร ข้อ ๕. นายทหารพระธรรมนูญมีอำนาจและหน้าที่ดังนี้ (๑) สืบสวนและสอบสวนคดีตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา (๒) เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของผู้บังคับบัญชา (๓) พิจารณาและเสนอความเห็นกฎหมายทางปกครองและทางวินัยตามที่ผู้บังคับบัญชา มอบหมาย (๔) ตรวจร่างสัญญาต่าง ๆ ของทางราชการทหาร (๕) ในทางวิทยาการ ให้นายทหารพระธรรมนูญหน่วยรองฟังความเห็นนายทหาร พระธรรมนูญหน่วยเหนือตามลำดับสายงาน (๖) นอกจากนี้ให้มีอำนาจและหน้าที่อื่นๆ ตามกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ และระเบียบ บัญญัติว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของนายทหารพระธรรมนูญ ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๙๙ (ลงชื่อ) จอมพล ป. พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อพิจารณาตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่า นายทหารพระธรรมนูญมี อำนาจและหน้าที่กว้างขวางเพียงใด และในทางปฏิบัติที่เป็นจริงแล้ว นายทหารพระธรรมนูญได้รับมอบ ภารกิจเพิ่มขึ้นจากที่ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมดังกล่าวข้างต้น อีกหลายประการ เช่น (๑) การเป็นกรรมการหรืออนุกรรมการเกี่ยวกับภารกิจของทางราชการทหารอาจต้องใช้ กฎหมายหรือมีปัญหาข้อกฎหมาย เช่น กิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการร้านค้าสวัสดิการทหารเป็นต้น (๒) เป็นครูอาจารย์สอนวิชากฎหมายในโรงเรียนทหาร (๓) การไปร่วมฟังการสอบสวนกับพนักงานสอบสวนในกรณีที่ทหารเป็นผู้เสียหายหรือเป็น ผู้ต้องหาในความผิดอาญา ตามข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกักระทรวงมหาดไทย (๔) การสอบสวนหาผู้รับผิดชอบชดใช้เงินให้แก่ทางราชการในกรณีที่มีการทำให้เงินหรือ ทรัพย์สินของทางราชการชำรุดเสียหาย อันเป็นความรับผิดทางแพ่งในลักษณะละเมิดซึ่งอาจต้องฟ้องร้องให้ผู้ ที่จงใจ หรือประมาทเลินเล่อ ทำให้ทรัพย์ของทางราชการเสียหาย หรือสูญหายนั้นรับผิดชดใช้เงินคืนให้แก่ ทางราชการเป็นคดีแพ่ง (๕) การเป็นผู้แทนคดีของกองทัพที่เป็นนิติบุคคลในการฟ้องหรือถูกฟ้องคดีแพ่ง โดยเป็นผู้ รวบรวมหลักฐานและติดต่อประสานงานกับพนักงานอัยการผู้ว่าต่างหรือแก้ต่างให้กองทัพนั้น ๆ การเบิก ค่าธรรมเนียมศาลให้พนักงานอัยการ การช่วยนำส่งคำคู่ความ (๖) การฟ้องหรือถูกฟ้องในกรณีที่รถยนต์ของทางราชการทหารกับรถยนต์ของผู้อื่นซึ่งกองทัพใน ฐานะนิติบุคคลจะต้องได้รับค่าเสียหายหรือรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่งลักษณะละเมิด ซึ่งในทางปฏิบัติ


๒๙๖ กองทัพจะต้องเป็นผู้ฟ้องหรือถูกฟ้อง กรณีเช่นนี้จะสั่งตั้งให้นายทหารพระธรรมนูญประจำหน่วยเจ้าของรถ เป็นผู้แทนคดีของกองทัพนั้น ๆ (๗) ไปช่วยราชการที่หน่วยอื่นที่ไม่มีอัตรานายทหารพระธรรมนูญประจำอยู่ เช่น กอ.ปค.ศปก. ทบ. (๘) เป็นนายทหารพระธรรมนูญของหน่วยที่ไปทำการรบนอกประเทศ เช่น เกาหลี สาธารณรัฐ เวียดนาม เป็นต้น (๙) การร่างกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นพระราชบัญญัติพระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทรวงต่าง ๆ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง ฯลฯ ซึ่งหน่วยทหารนายทหารพระธรรมนูญประจำอยู่ เป็นเจ้าของเรื่องเช่น การ ออกพระราชกฤษฎีกาสำรวจที่ดินที่ละเลยคือ การออกพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณเขตปลอดภัยใน ราชการทหารเหล่านี้เป็นต้น (๑๐) การประชุมเรื่องต่าง ๆ ที่หน่วยรับเชิญ หรือขอมาเช่น การประชุมร่าง คำสั่ง หรือ ระเบียบ หรือประชุมพิจารณาหาข้อยุติในการสั่งจ่าย หรือซื้อ เป็นต้น (๑๑) นอกจากนั้นนายทหารพระธรรมนูญจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ถ้าศึกษาเพิ่มเติมทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ เช่นการศึกษาในโรงเรียนสืบสวนสอบสวนของกรมตำรวจ หรือการศึกษาใน โรงเรียนนายทหารพระธรรมนูญของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา เป็นต้น (๑๒) งานด้านอื่น ๆ ที่มิใช้หน้าที่ของ นธน.โดยตรง ซึ่งอาจจะได้รับมอบหมายจาก ผู้บังคับบัญชาให้ทำเช่น งานธุรการ งานส่วนตัวเกี่ยวกับกฎหมายนอกเวลาปฏิบัติงาน หรือเพื่อนร่วมงานใน หน่วยเดียวกับท่านมาปรึกษาหารือ ( สำเนา ) ที่ ๙๔๘๘/๙๒ กระทรวงกลาโหม ๒๑ มิ.ย.๙๒ เรื่อง หน้าที่อัยการทหาร จาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึง ( ส่วนราชการขึ้นตรง เว้นสำนักงานเลขา ฯ) ด้วยปรากฏว่า ผู้บังคับบัญชาของอัยการทหารบางแห่งได้สั่งให้อัยการทหาร ซึ่งมีหน้าที่ กำหนดไว้โดยเฉพาะตามกฎหมายและข้อบังคับทหาร ปฏิบัติหน้าที่อย่างอื่นนอกเหนือและขัดกับหน้าที่ โดยตรงของอัยการทหาร เช่นให้ทำหน้าที่เกี่ยวแก่กิจการขององค์การ การค้า เป็นกรรมการจัดซื้อหรือตรวจ รับของหรือให้ไปเบิกของ เป็นผู้ป้องกันอันตรายในการเบิกรับเงิน หรือเป็นนายทหารเวรเหล่านี้ เป็นต้น การสั่งการให้อัยการทหารกระทำหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ย่อมอาจเกิดการบกพร่องได้ง่ายเพราะ มิใช่วิทยากรในหน้าที่ซึ่งอัยการทหารได้รับการฝึกฝนมาโดยตรง และตลอดจนเมื่อเกิดการผิดพลาดหรือสงสัย ว่าอาจมีการทุจริตขึ้น อัยการจำเป็นจะต้องให้มีการสอบสวน ผู้บังคับบัญชาก็ย่อมขาดอัยการทหารซึ่งเป็น เครื่องมือโดยตรงของตนในการปราบปรามผู้กระทำผิดไป จะต้องขอให้อัยการทหารแห่งอื่นหรือแต่งตั้งผู้อื่นให้ กระทำการสอบสวนแทน ซึ่งอาจไม่ได้รับผลดีตามสมควรจึงขอที่จะงดเว้นไม่แต่งตั้ง หรือสั่งให้อัยการทหาร กระทำหน้าที่ทำนองดังกล่าวข้างต้น ดังเช่นที่ปฏิบัติกัน อีกประการหนึ่ง หน้าที่อัยการทหารนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับกฎหมาย และอัยการทหารย่อม อยู่ในฐานะเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของผู้บังคับบัญชา จึงควรต้องอยู่ประจำ ณ ที่ตั้งทุกโอกาส ฉะนั้นการ


๒๙๗ สั่งให้อัยการทหารไปปฏิบัติกิจการใด ๆ นอกหน้าที่นอกที่ตั้ง จึงย่อมเป็นทางให้ผู้บังคับบัญชาขาดที่ปรึกษาใน ด้านกฎ๒หมายไป ทั้งอาจทำให้งานบางอย่าง เฉพาะอย่างยิ่งงานในหน้าที่อัยการทหารโดยตรงไม่อาจดำเนิน ไปได้ทันทีหรือรวดเร็วตามสมควร จะเสียผลแก่ราชการได้ อนึ่ง งานในหน้าที่อัยการทหาเป็นงานเทคนิคซึ่ง ผู้อื่นย่อมไม่อาจทำแทนได้ดีเท่าอัยการเอง ฉะนั้น หากไม่มีความจำเป็นถึงขนาดแล้วก็ไม่ควรสั่งให้อัยการ ทหารไปนอกที่ตั้ง เว้นแต่จำเป็นต้องไปโดยหน้าที่ของอัยการทหารนั้น ๆ เองเท่านั้น สำหรับส่วนราชการทหารซึ่งมิได้มีอัยการทหารประจำ แต่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายบรรจุไว้ ช่วยเหลือในกิจการแผนกกฎหมาย ก็เป็นการสมควรที่จะพิจารณาเลือกไว้ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย นั้น ๆ ปฏิบัติราชการในทำนองเดียวกับการใช้อัยการทหาร ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเช่นเดียวกัน ( ลงชื่อ ) พล.ท.หลวงขาดนักรบ ที่ กห.๐๒๐๒(๐๑)/๘๘๓ ธน. ๒๒ มี.ค.๑๐ เรื่อง หารือการจัดเจ้าหน้าที่กฎหมายเข้านายทหารเวร เรียน ผบ.อสส. อ้างถึง หนังสือ บก.อสส.ที่ กห.๐๓๓๖/๑๒๕ ลง ๑๗ มี.ค.๑๐ สิ่งที่ส่งมาด้วย สำเนาหนังสือ กห.ที่ ๙๔๘๘/๙๒ ลง ๒๑ มิ.ย.๙๒ ตามหนังสือที่อ้างถึงขอทราบว่า การจัดให้ นธน.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กฎหมายเข้าปฏิบัติหน้าที่ นายทหารเวร จะกระทำได้เพียงใด ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป ความละเอียดแจ้งอยู่แล้วนั้น ขอเรียนว่า เรื่องการจัดเจ้าหน้าที่กฎหมายเข้าปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ นอกเหนือหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่กฎหมายและขัดกับหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กฎหมายนั้น รมว.กห.ได้บัญชาให้งดเว้นการจัดอยู่แล้วโดย คำนึงถึงผลเสียหายแก่ราชการของเจ้าหน้าที่กฎหมายเป็นสำคัญดังสำเนาหนังสือ กห.ที่ ๙๔๘๘/๙๒ ลง ๒๑ มิ.ย.๙๒ แนบท้ายหนังสือนี้ ธน.เห็นว่าการจัดเจ้าหน้าที่กฎหมายทำหน้าที่อื่นนั้นย่อมเกิดความเสียหายใน หน้าที่ได้ ดังปรากฏตามความในหนังสือ รมว.กห.ซึ่งได้กล่าวไว้ชัดแจ้งแล้ว จึงเรียนมาเพื่อทราบ. ขอแสดงความนับถืออย่างสูง (ลงชื่อ ) พล.ต. ประดิษฐ์ สุนทราชุน ( ประดิษฐ์ สุนทราชุน ) รอง จก.ธน.ทำการแทน จก.ธน.


๒๙๘ เหล่าทหารดุริยางค์ BAND กล่าวทั่วไป ๑. ภารกิจ มีหน้าที่ วางแผน อำนวยการ แนะนำ กำกับการ และดำเนินการฝึกศึกษา และ พัฒนาการดนตรีรวมทั้งปฏิบัติการแสดงดนตรีของกองทัพบกที่ได้รับมอบ มีผู้บังคับกองดุริยางค์ทหารบกเป็น ผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ ๒. การแบ่งมอบ เป็นหน่วยทหารของกองทัพบก ๓. ขอบเขตความรับผิดชอบ และหน้าที่สำคัญ ๓.๑ วางแผน อำนวยการ กำกับการ ดำเนินการเกี่ยวกับการฝึกและศึกษาวิชาการดนตรีให้กับ กำลังพลเหล่าทหารดุริยางค์รวมทั้งนักเรียนดุริยางค์ของกองทัพบก ๓.๒ พัฒนาวิชาการดนตรี รวมทั้งการประพันธ์เพลง และเรียบเรียงเสียงประสาน ตลอดจนให้ คำแนะนำและเสนอแนะวิทยาการดนตรีให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ๓.๓ ปฏิบัติการแสดงดนตรีของกองทัพบก การแสดงดนตรีในงานพระราชพิธีต่าง ๆ รวมทั้ง ปฏิบัติการแสดงดนตรีเพื่อสนับสนุนหน่วยทหารและส่วนราชการอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบ ๔. การแบ่งส่วนราชการและหน้าที่กองดุริยางค์ทหารบกแบ่งส่วนราชการ ดังนี้ ๔.๑ แผนกดนตรีมีหน้าที่ปฏิบัติการแสดงดนตรีสากล โยธวาทิต หัสดนตรีและดนตรีไทย ๔.๒ แผนกวิทยาการ มีหน้าที่ค้นคว้า และพัฒนาวิทยาการดนตรี ให้คำแนะนำเกี่ยวกับ วิทยาการดนตรีสากล ดนตรีไทย ตลอดจนการประพันธ์เพลง การเรียบเรียงเสียงประสานเพื่อใช้ในกิจการ ดุริยางค์ของกองทัพบก รวมทั้งการดำเนินการ พิพิธภัณฑ์ และห้องสมุด ๔.๓ แผนกบริการ มีหน้าที่ให้การบริการในเรื่องเกี่ยวกับ การสวัสดิการ การซ่อมบำรุง การ ขนส่ง การเลี้ยงดูรวมทั้งรักษาความปลอดภัย ๔.๔ โรงเรียนดุริยางค์มีหน้าที่ดำเนินการฝึก และศึกษาวิชาดนตรีให้กับกำลังพลเหล่าทหาร ดุริยางค์รวมทั้งนักเรียนดุริยางค์ของกองทัพบก


๒๙๙ การจัด อัตราเฉพาะกิจหมายเลข ๔๘๐๐ แผนกดนตรี ๑. การจัด กองดุริยางค์ทหารบก แผนก ดนตรี หมวดโยธวาทิต หมวดดนตรี สากล หมวดหัสดนตรี หมวดดนตรีไทย หมวดส่งกำลัง และซ่อมบำรุง หมวดขนส่ง แผนกวิทยาการ แผนกบริการ โรงเรียนดุริยางค์ กองบังคับการ แผนกการศึกษา หมวดสูทกรรม กองร้อยนักเรียน หมวดบริการ แผนกดนตรี หมวดโยธวาทิต หมวดดนตรีสากล หมวดหัสดนตรี หมวดดนตรีไทย


๓๐๐ ๒. หน้าที่ ๒.๑ ควบคุมดูแลการปฏิบัติของหมวดดุริยางค์ ๒.๒ ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดวงดุริยางค์ไปบรรเลงตามลักษณะของงาน ๒.๓ จัดหา บันทึก คัดลอกโน้ตเพลงสนับสนุนหมวดดุริยางค์ ๒.๔ ผลิตเพลงขึ้นใหม่และเรียบเรียงเสียงประสาน ๒.๕ ควบคุมเครื่องดนตรีและใช้เครื่องอะไหล่ดนตรีของแผนก ๒.๖ ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ต่อผู้บังคับบัญชา ๒.๗ บันทึกและรายงานสถิติผลงานตามหน้าที่ ๓. หน้าที่หน่วยรอง ๓.๑ หมวดโยธวาทิต ๓.๑.๑ ฝึกซ้อมเป็นประจำ ๓.๑.๒ บรรเลงเพลงประจำแถวในพิธีฯ ๓.๑.๓ บรรเลงในพิธีต่าง ๆ ๓.๑.๔ บรรเลงในโอกาสต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ๓.๒ หมวดดนตรีสากล ๓.๒.๑ ฝึกซ้อมเป็นประจำ ๓.๒.๒ บรรเลงในการแสดงคอนเสิร์ท ๓.๒.๓ บรรเลงในพิธีต่าง ๆ ๓.๒.๔ บรรเลงในโอกาสต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ๓.๓ หมวดหัสดนตรี ๓.๓.๑ ฝึกซ้อมเป็นประจำ ๓.๓.๒ บรรเลงในงานเลี้ยงรื่นเริง ๓.๓.๓ บรรเลงในพิธีต่าง ๆ ๓.๓.๔ บรรเลงในโอกาสต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ๓.๔ หมวดดนตรีไทย ๓.๔.๑ ฝึกซ้อมเป็นประจำ ๓.๔.๒ จัดเป็นวงปี่พาทย์บรรเลงในพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาและงานมงคล ๓.๔.๓ จัดเป็นวงมโหรีหรือวงเครื่องสายบรรเลงเช่นเดียวกับข้อ ๓.๔.๒ ๓.๔.๔ จัดเป็นวงอังกะลุงบรรเลงเช่นเดียวกับ ๓.๔.๒ ๓.๔.๕ จัดเป็นวงสังคีตประยุกต์บรรเลงในงานรื่นเริงและในโอกาสต่าง ๆ แผนกวิทยาการ ๑.การจัด กองดุริยางค์ทหารบกบก แผนกวิทยาการ


๓๐๑ ๒. หน้าที่ ๒.๑ ศึกษา ค้นคว้า และพัฒนาวิทยาการ การดนตรี ๒.๒ ให้คำแนะนำ ข้อคิดเห็น ตามที่เกี่ยวข้องกับวิทยาการทางดนตรี ๒.๓ การประพันธ์เพลง และการเรียบเรียงเสียงประสาน ๒.๔ รวบรวมและเก็บรักษาหลักฐานประวัติศาสตร์การดนตรี ๒.๕ ตรวจสอบความสามารถของบุคคล ในภาควิชาการดนตรีเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่ง หน้าที่ในราชการ ๒.๖ ผลิตตำราที่เกี่ยวกับวิชาการดนตรี ๒.๗ ดำเนินการพิพิธภัณฑ์การดนตรีและห้องสมุด ๒.๘ ปฏิบัติหน้าที่พิเศษต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบ ๒.๙ บันทึกและรายงาน สถิติผลงานตามหน้าที่ แผนกบริการ ๑. การจัด ๒. หน้าที่ มีหน้าที่ให้การบริการและรับผิดชอบดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ การสวัสดิการ ๒.๒ การซ่อมบำรุง ๒.๓ การขนส่งและการเคลื่อนย้าย ๒.๔ การเลี้ยงดู ๒.๕ การรักษาความปลอดภัย ๒.๖ การรักษาพยาบาล ๒.๗ การสรรพาวุธ ๒.๘ การคลังเครื่องดนตรีและเครื่องประกอบเครื่องดนตรีของกองดุริยางค์ทหารบก ๒.๙ การบริการทั่ว ๆ ไป ๒.๑๐ บันทึกและรายงานสถิติผลงานตามหน้าที่ ๓. หน้าที่หน่วยรอง ๓.๑ หมวดส่งกำลังและซ่อมบำรุง แผนกบริการ หมวดส่งกำลัง และซ่อมบำรุง หมวดขนส่ง หมวดสูทกรรม หมวดบริการ


๓๐๒ ๓.๑.๑ ดำเนินการเรื่องการส่งกำลังเครื่องอะไหล่ดนตรี ๓.๑.๒ รับผิดชอบเรื่องการซ่อมเครื่องดนตรีของกองดุริยางค์ทหารบก และสนับสนุนการ ซ่อมเครื่องดนตรีให้มว.ดย.ต่าง ที่มีอยู่ใน ทบ.ตามความเหมาะสม ๓.๒ หมวดขนส่ง ๓.๒.๑ การให้บริการด้วยรถยนต์ ๓.๒.๒ การควบคุมและการปรนนิบัติบำรุงยานพาหนะ ๓.๓ หมวดสูทกรรม ๓.๓.๑ ดำเนินการเรื่องการจัดการประกอบเลี้ยงให้กับทหารกองประจำการของ ดย.ทบ. ๓.๓.๒ จัดการประกอบเลี้ยงให้กับ นดย.ทบ. ตามความเหมาะสม ๓.๔ หมวดบริการ ๓.๔.๑ การรักษาการณ์ ๓.๔.๒ การบริการทั่วไป โรงเรียนดุริยางค์ ๑. การจัด ๒. หน้าที่ ๒.๑ ดำเนินการฝึก และศึกษาวิชาดนตรีให้กับกำลังพลเหล่าทหารดุริยางค์รวมทั้งนักเรียน ดุริยางค์ของกองทัพบก ๒.๒ ดำเนินงานด้านธุรการที่เกี่ยวกับการศึกษา และงานธุรการอื่น ๆ ๒.๓ ปฏิบัติงานตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ๒.๔ บันทึกและรายงาน สถิติผลงานตามหน้าที่ ๓. หน้าที่หน่วยรอง ๓.๑ แผนกการศึกษา ๓.๑.๑ มีหน้าที่เตรียมการและดำเนินการฝึกศึกษา วิชาด้านดนตรีรวมทั้งวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละหลักสูตร ให้กับกำลังพลเหล่าดุริยางค์และนักเรียนดุริยางค์ ของกองทัพบก ๓.๑.๒ ดำเนินงานทางธุรการที่เกี่ยวข้อง ๓.๒ กองร้อยนักเรียน โรงเรียนดุริยางค์ กองบังคับการ แผนกการศึกษา กองร้อยนักเรียน


๓๐๓ มีหน้าที่ปกครองบังคับบัญชา และการฝึกสอนอบรมความรู้ทางการทหารให้กับทหารเหล่า ดุริยางค์ที่เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนดุริยางค์ของกองทัพบก


๓๐๔ ทหารพลร่ม หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ความหมาย สัญลักษณ์ ๑. รูป U หมายถึง ขอบรั้วของประเทศ ซึ่งหน่วยรบพิเศษจะต้องปฏิบัติการสงครามนอกแบบ นอก ประเทศทุกรูปแบบตามยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ประจักษ์ ๒. ดาวสามดวง หมายถึง หน่วยระดับกองทัพภาค และหมายถึงภารกิจอันประกอบด้วย - การสงครามนอกแบบ - การต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ - การปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย ๓. สีดำ หมายถึงความเด็ดเดี่ยวและอันตรายยิ่งบนพื้นฐานของการปิดลับ อันตรงตามคุณลักษณะ ของหน่วยรบพิเศษ ๔. สีฟ้า หมายถึง ความกว้างขวางห่างไกล ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเปรียบเทียบได้กับภารกิจที่ครอบคลุม พื้นที่อันห่างไกล ๕. ปีกและร่ม หมายถึง ความเป็นผู้ที่มีความสามารถและกล้าหาญ เพื่อบรรลุถึงภารกิจตามที่ได้รับ มอบให้กระทำ กล่าวทั่วไป ในอดีตที่ผ่านมาบรรพบุรุษของไทยแต่โบราณได้ต่อสู้เพื่อปกป้องเอกราชของบ้านเมืองมาหลายต่อ หลายครั้ง แต่ละครั้งประวัติศาสตร์ได้จารึกถึงเกียรติประวัติของเหล่าวีระบุรุษ ผู้กล้าให้อนุชนรุ่นหลังได้ยึดถือ เป็นแบบอย่างมิใช่แต่เพียงความกล้าหาญและการเสียสละเท่านั้น พวกเรายังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์การรบใน สมรภูมิต่าง ๆ ซึ่งได้พัฒนารูปแบบมาจนเป็นสงครามพิเศษในปัจจุบัน จากภาวะสงครามอันเนื่องมาจากการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งมุ่งกระทำต่อภูมิภาคของโลก ส่งผลให้ประเทศไทยไม่อาจรอดพ้นจากภัยคุกคามดังกล่าวได้การต่อสู้ระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์ได้ ขยายตัวและเกิดขึ้นในหลาย ๆ ทุกภูมิภาคของโลก จนทำให้ในที่สุดกลุ่มประเทศอินโดจีนต้องอยู่ภายใต้การ ยึดครองของคอมมิวนิสต์และภัยคุกคามดังกล่าว ได้คืบคลานเข้าสู่ประเทศไทยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง


๓๐๕ บทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสงครามอินโดจีนที่ได้มีการใช้กำลังประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ และที่สำคัญ คือ ประเทศที่มีศักยภาพที่เหนือกว่าต้องเพลี่ยงพล้ำแก่ประเทศ ที่มีศักยภาพทางทหารที่ด้อย กว่าด้วยการใช้การสงครามพิเศษและการปฏิบัติของหน่วยรบพิเศษอย่างได้ผล กองทัพบกได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการปฏิบัติการสงครามพิเศษ ที่จะสามารถ เผชิญและลดภัยคุกคามจากภายนอกประเทศได้จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยรบพิเศษขึ้นเป็นหน่วยแรก เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๔๙๗ ที่บ้านป่าหวาย ตำบลป่าตาล อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรีใช้ชื่อว่า “กองพันทหารพลร่ม” หรือที่รู้จักกันดีในนามของ “ พลร่มป่าหวาย ” ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๐๘ หลังวันเสียงปืนแตกที่อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม พรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศไทยได้เริ่มทำสงครามประชาชน เพื่อล้มล้างรัฐบาล กองทัพบกได้ใช้หน่วยรบพิเศษเข้าต่อสู้กับภัย คุกคามคอมมิวนิสต์ภายในประเทศ และเพื่อเกิดเอกภาพในการปฏิบัติงาน เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๐๙ กองทัพบกได้จัดตั้งศูนย์สงครามพิเศษขึ้นเพื่อทำหน้าที่หลัก ๓ ประการ คือ ๑. วางแผน ดำเนินการ กำกับการ และดำเนินการฝึกศึกษาเกี่ยวกับ การสงครามพิเศษ การยุทธส่ง ทางอากาศ และการส่งกำลังบำรุงทางอากาศ ๒. ดำเนินการวิจัย พัฒนา กำหนดหลักนิยม และทำตำราในทางวิทยาการที่เกี่ยวข้อง ๓. ปกครองบังคับบัญชาหน่วยทหารที่กระทรวงกลาโหมกำหนด โดยมีผู้บัญชาการศูนย์สงคราม พิเศษเป็นผู้รับผิดชอบ ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๒๕ สถานการณ์การต่อสู้ด้วยอาวุธภายในประเทศได้เบาบางลง ขณะเดียวกัน ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากภายนอกประเทศ กองทัพบกจึงได้จัดตั้งหน่วยรบพิเศษเข้า ปฏิบัติการ และได้จัดตั้งกองพลรบพิเศษที่ ๑, กองพลรบพิเศษที่ ๒ เพื่อรองรับภารกิจที่เพิ่มขึ้น เมื่อ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๕ ได้มีการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยบังคับบัญชา กำลังรบพิเศษทั้งปวงแทนศูนย์สงครามพิเศษ โดยให้ศูนย์สงครามพิเศษทำหน้าที่เป็นหน่วยสายวิทยาการเพื่อ ดำเนินงานด้านการฝึก ศึกษาเพียงอย่างเดียว จะเห็นได้ว่าจากสถานการณ์สู้รบในอดีตจนถึงปัจจุบัน กองทัพบกได้ใช้หน่วยรบพิเศษเข้าแก้ไขวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ของบ้านเมือง ในขณะเดียวกันได้เร่งรัดพัฒนาการ จัดหน่วยให้มีขีดความสามารถจนเป็นหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษในปัจจุบัน เทียบเท่ากองทัพภาค มี ภารกิจเกี่ยวกับการสงครามพิเศษทั้งปวง ตั้งแต่การวางแผน อำนวยการ กำกับการทั้งด้านการฝึกศึกษา และ การปฏิบัติงานเป็นหน่วยหวังผลทางยุทธศาสตร์มีบทบาทในการออมกำลังและชดเชยอำนาจกำลังรบ ที่ เสียเปรียบ การปฏิบัติงานของหน่วยจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยามปกติในพื้นที่รับผิดชอบ กองพันทหารพลร่ม กรมทหารราบ “พลร่มป่าหวาย ”


๓๐๖ ประวัติ( สังเขป ) พ.ศ.๒๔๙๗ จัดตั้งกองพันทหารพลร่ม พ.ศ.๒๕๐๖ ขยายขึ้นเป็น กองรบพิเศษ (พลร่ม) พ.ศ.๒๕๐๙ จัดตั้งเป็นศูนย์สงครามพิเศษ พ.ศ.๒๕๑๒ กองรบพิเศษ (พลร่ม) เปลี่ยนชื่อเป็น กองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ ๑ และจัดตั้งกองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ ๒ พ.ศ.๒๕๑๔ จัดตั้งกองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ ๓ พ.ศ.๒๕๒๓ จัดตั้งกองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ ๔ ๒๘ ก.ค.๒๕ จัดตั้งกองพลรบพิเศษที่ ๑ ๒ ธ.ค.๒๕ กองพลรบพิเศษที่ ๑ รับมอบโอนการบังคับบัญชา กองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ ๑, ๒,๓ และ ๔ จากศูนย์สงครามพิเศษ ๒๗ ม.ค.๒๖ แปรสภาพจากกองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ ๑, ๒, ๓ และ ๔ เป็นกรมรบพิเศษที่ ๑,๒, ๓ และ ๔ ๒๖ มี.ค.๒๖ จัดตั้งหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และกองพลรบพิเศษที่ ๒ ๗ ธ.ค.๒๖ จัดตั้งกรมรบพิเศษที่ ๕ และให้ขึ้นการบังคับบัญชากับกองพลรบพิเศษที่ ๒ ๑ ต.ค.๒๖ โอนการบังคับบัญชา กรมรบพิเศษที่ ๔ ให้กองพลรบพิเศษที่ ๒ ๑๔ ก.พ.๒๗ โอนการบังคับบัญชากองพลรบพิเศษที่ ๑ กองพลรบพิเศษที่ ๒ และศูนย์สงคราม พิเศษให้หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ กองพันรบพิเศษ กองรบพิเศษ กรมรบพเิศษที่1 กรมรบพเิศษที่4 กรมรบพเิศษที่3 กรมรบพิเศษที่2 กรมรบพเิศษที่5 กองพลรบพเิศษที่1 กองพลรบพิเศษที่2


๓๐๗ ภารกิจ การจัด หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ อฉก. ๖๒๐๐ (เดิม) นสศ. พล.รพศ.๑ พล.รพศ.๒ ศสพ. รพศ.๑ รพศ.๔ รร.สพศ. รพศ.๒ ส.พัน.๓๕ รพศ.๕ พัน.จจ. พัน.ฝรพ.๙ รพศ.๓ ร้อย. จจ. พัน.ปจว. ฉก.๙๐ กอง พธ.สกอ. อฉก. ๖๒๐๐ (ปัจจุบัน) นสศ. พล.รพศ.๑ ส.พัน.๓๕ รพศ.๒ ศสพ. ⚫ บก.และ ร้อย. บก ⚫ กองคับการ ⚫ กองบัญชาการ ⚫ รพศ.๑ ⚫ พัน.ปบ.ขว. ⚫ กองวิทยาการ ⚫ กรม ปพ. ⚫ พัน.ปจว. ⚫ กองบริการ ➢พัน.จจ. ⚫ กองสื่อสาร ➢พัน.รพศ. ⚫ กองพยาบาล ➢ฉก.๙๐ ⚫ รร.สพศ. ⚫ รพศ.๔ ⚫ พัน.รพศ. ⚫ รพศ.๕ ➢ร้อย.รพศ. ➢ร้อย.ลว.ไกล ⚫ กอง พธ.สกอ. หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ก. ภารกิจ กองบัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ มีหน้าที่เตรียมแผนยุทธการ อำนวยการ และดำเนินการสงครามพิเศษในพื้นที่รับผิดชอบ กำหนดความต้องการในเรื่องสงครามนอกแบบ การ ปฏิบัติการจิตวิทยา การป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ (หรือการปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะ คอมมิวนิสต์) ซึ่งจำแนกเป็นงานได้ ดังนี้ ๑. เตรียมแผนยุทธการในเรื่องสงครามพิเศษ ให้สอดคล้องกับแผนป้องกันประเทศ


๓๐๘ ๒. เตรียมการ อำนวยการ และดำเนินการเกี่ยวกับสงครามนอกแบบ สงครามจิตวิทยา การ ป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ (หรือการปฏิบัติการเพื่อต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์) ในพื้นที่ รับผิดชอบ ๓. กำหนดความเร่งด่วนของพื้นที่ปฏิบัติการสงครามพิเศษ ๔. จัดหา เก็บรักษา แจกจ่ายข่าวกรองที่สนับสนุนการสงครามพิเศษ ๕. แบ่งมอบภารกิจ พื้นที่งาน ให้แก่หน่วยรอง เพื่อเตรียมการสงครามพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาค ๖. พัฒนาแผนยุทธการ ธุรการ ส่งกำลังบำรุง การติดต่อสื่อสาร เพื่อสนับสนุนการสงครามพิเศษ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ๗. วางแผนและดำเนินการการฝึกหน่วยในความรับผิดชอบ และประสานการปฏิบัติกับเหล่าทัพ อื่น ๆ เพื่อฝึกผสมเหล่าเกี่ยวกับการสงครามพิเศษ ๘. ดำรงการติดต่อกับหน่วยทหาร หน่วยพลเรือน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ ปฏิบัติการ เพื่อสนับสนุนการสงครามพิเศษ ข. การจัดหน่วย ประกอบด้วย ๑. กองบัญชาการ ๒. กองร้อยกองบัญชาการ ๓. เดิม ๒ กองพลรบพิเศษ (ปรับเหลือ ๑ กองพลรบพิเศษ) ๔. กรมปฏิบัติการจิตวิทยา (ยังไม่จัดตั้ง) ๕. กองพันพลาธิการส่งทางอากาศ (ยังไม่จัดตั้ง) ๖. ศูนย์สงครามพิเศษ ๗. หน่วยสนับสนุน (ยังไม่จัดตั้ง) ๘. กรมรบพิเศษที่ ๒ ๙. กองพันทหารสื่อสารที่ ๓๕ กองพลรบพิเศษ ก. ภารกิจ ๑. ปฏิบัติการสงครามนอกแบบ ๒. สนับสนุนการปฏิบัติเพื่อเสริมความมั่นคงในประเทศ ๓. ปฏิบัติภารกิจพิเศษตามที่ได้รับมอบ กองพลรบพิเศษที่1 กองพลรบพิเศษที่2


๓๐๙ ข. ขีดความสามารถ บังคับบัญชา วางแผน และดำเนินการทางธุรการ และกำกับดูแลการ ปฏิบัติการของกองพลและหน่วยที่ขึ้นสมทบ ค. การจัด ประกอบด้วย ง. กองบัญชาการ และกองร้อยกองบัญชาการ ๑. กรมสนับสนุน (ยังไม่จัดตั้ง) ๒. ๓ กรมรบพิเศษ ๓. กองพันสื่อสาร (ยังไม่จัดตั้ง) กรมรบพิเศษ (รพศ.) กรมรบพิเศษ เป็นหน่วยหลักของหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกไทย และเป็นหน่วยขึ้นตรงของกอง พลรบพิเศษ เพื่อใช้ดำเนินการในภารกิจสงครามนอกแบบ ให้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์แห่งชาติในการ ป้องกันประเทศ และใช้สนับสนุนกองทัพภาคต่าง ๆ ที่กองทัพบกมอบหมายให้ โดยคำนึงถึงความเหมาะสม ในด้านการจัด การฝึก และขีดความสามารถ ประกอบด้วย ภารกิจ ๑. ปฏิบัติการสงครามนอกแบบ ๒. สนับสนุนการปฏิบัติการต่อสู้ เพื่อความมั่นคงภายในประเทศที่ได้รับมอบ ๓. ปฏิบัติภารกิจพิเศษตามที่ได้รับมอบหมายจากกองทัพบก ศูนย์สงครามพิเศษ (ศสพ.) ภารกิจ ๑. วางแผน ดำเนินการ กำกับการ และดำเนินการฝึกศึกษาเกี่ยวกับการสงครามพิเศษ การ ยุทธส่งทางอากาศ และการส่งกำลังบำรุงทางอากาศ ๒. ดำเนินการ วิจัย พัฒนา กำหนดหลักนิยม และทำตำราในทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ๓. ปกครองบังคับบัญชาหน่วยทหารที่กระทรวงกลาโหมกำหนด โดยมีผู้บัญชาการศูนย์สงคราม พิเศษเป็นผู้รับผิดชอบ ขอบเขตความรับผิดชอบและหน้าที่สำคัญ อำนวยการและดำเนินการเกี่ยวกับ การฝึกศึกษาวิชาสงครามพิเศษ การรบแบบจู่โจม การ กระโดดร่ม การยุทธส่งทางอากาศของหน่วยขนาดย่อม การส่งกำลังทางอากาศ และการลาดตระเวน ระยะไกลให้แก่กำลังพลในกองทัพบก และเหล่าทัพอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย การจัด ประกอบด้วย ๑. กองบัญชาการ ๒. กองวิทยาการ ๓. โรงเรียนสงครามพิเศษ ๔. กองบริการ ๕. กองสื่อสาร ๖. กองพยาบาล ๗. กองพัน รพศ. ( ประกอบด้วย ร้อย.รพศ. และ ร้อย.ลว.ไกล ) ๘. กองพลาธิการส่งทางอากาศ


๓๑๐ โรงเรียนสงครามพิเศษ (รร.สพศ.) ภารกิจ ดำเนินการฝึกศึกษาเกี่ยวกับสงครามพิเศษ การยุทธส่งทางอากาศ และวิทยาการที่ เกี่ยวข้องตามนโยบายของกองทัพบก ตลอดจนการปกครองบังคับบัญชาผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรของ รร.สพศ. กองพันฝึกรบพิเศษที่ ๙ (พัน.ฝรพ.๙) ภารกิจ ดำเนินการฝึกอบรมให้กับหน่วยทหาร ระดับไม่เกินกองร้อยเพิ่มเติมกำลัง ให้มีขีด ความสามารถในการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ และให้มีพื้นฐานในด้านการสงครามนอกแบบ และการปฏิบัติการจิตวิทยา กองพลาธิการส่งกำลังทางอากาศ (กอง พธ.สกอ.) ภารกิจ สนับสนุนการยุทธส่งทางอากาศ การส่งกำลังทางอากาศ และดำเนินการเกี่ยวกับคลังสาย พลาธิการ เพื่อสนับสนุนหน่วยพื้นดิน ด้วยการส่งลงด้วยร่ม ไม่ใช้ร่ม และร่อนลงสู่พื้น กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล (ร้อย.ลว.ไกล) ภารกิจ ทำการลาดตระเวนระยะไกลเพื่อค้นหาข้าศึก (ในรัศมีการยิงของปืนใหญ่) แล้วเกาะข้าศึก ไว้เพื่อรอกำลังส่วนใหญ่เข้าทำลาย หรือทำลายด้วยการยิงจากพื้นดิน หรือจากการโจมตีทางอากาศ กองพันปฏิบัติการจิตวิทยา (พัน.ปจว.) ภารกิจ ๑. ปฏิบัติการจิตวิทยาเพื่อสนับสนุนมาตรการรักษาความมั่นคง ๒. ปฏิบัติการจิตวิทยาเพื่อสนับสนุนการรบ การจัด พัน.ปจว. บก.และ ร้อย. บก. ร้อย.ปจว. ร้อย.รณรงค์ปจว. ร้อย.ผลิตสิ่ง โฆษณา กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล ร้อย.ลว.ไกล บก.ร้อย มว.ลาดตระเวน มว.สนับสนุน


๓๑๑ กองพลาธิการส่งกำลังทางอากาศ กอง พธ.สกอ. บก. มว.สกอ. มว.พับร่ม มว.ส่งกำลังและ ซ่อม แผนกคลังอุปกรณ์ส่งกำลังทาง อากาศ ส่วนกำลังเพิ่มเติม กองพันฝึกรบพิเศษที่ ๙ พัน.ฝรพ.๙ บก.และ ร้อย.บก. ร้อย.อวบ. ร้อย.ฝึก การจัดและการใช้หน่วยรบพิเศษของกองทัพไทย ๑. กล่าวทั่วไป ก. อัตราการจัด หน่วยรบพิเศษของกองทัพบกไทย มีรูปแบบการจัดกำลังพล และอาวุธ ยุทโธปกรณ์ที่เหมาะสม ที่จะใช้ดำเนินการสงครามนอกแบบ โดยบางครั้งอาจจะต้องเพิ่มเติมกำลังด้วยหน่วย สนับสนุน และหน่วยสนับสนุนการช่วยรบตามความจำเป็น การใช้หน่วยรบพิเศษในบทบาทอื่น ๆ จำเป็น จะต้องเพิ่มเติมกำลังหรือจัดกำลังในรูปกำลังเฉพาะกิจใหม่เป็นการชั่วคราวในห้วงระยะเวลาสั้น ๆ ข. หน่วยรบพิเศษ ประกอบด้วย กำลังพลที่ได้รับการฝึกตาม ชกท. การฝึกสลับหน้าที่ การฝึก บุคคลเบื้องสูง การฝึกผู้ชำนาญการ การฝึกเป็นหน่วย การฝึกการแก้ปัญหาและการฝึกภาคสนามมาแล้วเป็น อย่างดี ประกอบกำลังเป็นหน่วยเอนกประสงค์ลักษณะการจัดกำลังพลในหน่วยรบพิเศษทุกระดับ ถือเป็น หน่วยกำลังรบทางยุทธศาสตร์ซึ่งมีสภาพเป็นกองอำนวยการขนาดต่าง ๆ มากกว่าการเป็นหน่วยกำลังรบทาง ยุทธวิธี ดังนั้น การพิจารณาการใช้หน่วยและการกำหนดปริมาณงานของหน่วยรบพิเศษ จะต้องมีข้อพิจารณา แตกต่างไปจากการใช้หน่วยกำลังรบทางยุทธวิธี หน่วยรบพิเศษมีขีดความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ เกี่ยวข้องกับการบังคับบัญชา อำนวยการ ปฏิบัติการรบ การหาข่าว การใช้อาวุธและยุทธวิธีการติดต่อสื่อสาร การช่างสนามและการระเบิดทำลาย การแพทย์การส่งกำลังบำรุง การฝึกสอน การเป็นที่ปรึกษา และการให้ คำแนะนำในการดำเนินการสงครามนอกแบบ การปฏิบัติการทางจิตวิทยา และการป้องกันและปราบปราม การก่อความไม่สงบ (หรือการปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์) ๒. คำจำกัดความหน่วยรบพิเศษ หน่วยรบพิเศษ หมายถึง “หน่วยทหารที่ได้รับ การจัด และการฝึกไว้เป็นหน่วยรบพิเศษ เพื่อให้ สามารถปฏิบัติการทางลึกเข้าไปหลังแนวข้าศึก เมื่อเข้าไปถึงพื้นที่หลังแนวข้าศึกแล้ว หน่วยรบพิเศษจะให้


๓๑๒ ความช่วยเหลือ ทำการจัดกำลังต่อต้าน ซึ่งเป็นประชาชนในท้องถิ่นในดินแดนข้าศึก ให้สามารถทำการฝึก และขยายกำลัง จนสามารถใช้ทำการรบในสงครามกองโจรได้” ๓. บทบาทของหน่วยรบพิเศษ ก. สงครามนอกแบบ (สนบ.) หมายถึง การปฏิบัติการทางทหารและกึ่งทหารในดินแดนข้าศึก หรือดินแดนที่ข้าศึกยึดครอง หรือดินแดนที่ข้าศึกมีอิทธิพลอยู่ รวมทั้งดินแดนที่ล่อแหลมต่อฝ่ายเรา สงครามนอกแบบ ประกอบด้วย สงครามกองโจร การเล็ดลอดหลบหนีการบ่อนทำลาย การก่อ วินาศกรรม และการปฏิบัติภารกิจโดยตรง รวมถึงการปฏิบัติการอื่น ๆ ทั้งในสภาพปกปิดและเปิดเผย ซึ่งอาจ กระทำได้ทั้งยามปกติและยามสงคราม โดยใช้กำลังหน่วยรบพิเศษเพียงฝ่ายเดียว หรือร่วมกับประชาชนใน ท้องถิ่น ซึ่งได้รับการสนับสนุนและอำนวยการจากฝ่ายเรา ข.การปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์(ปตค.) โดยการจัดหน่วยรบพิเศษเข้า ดำเนินงานการรุกทางการเมือง ทั้งในชนบทและในเมืองอย่างต่อเนื่อง และการรุกทางทหารต่อที่หมายจำกัด เน้นหนักการปฏิบัติการทั้งปวง เพื่อริดรอนขบวนการแนวร่วมและกองกำลังติดอาวุธ เพื่อยุติสถานการณ์ ปฏิวัติยับยั้งการปฏิบัติการเพื่อสร้างสถานการณ์สงครามประชาชน ด้วยการรวบรวม จัดตั้ง ฝึกอบรม ควบคุม อำนวยการปฏิบัติแก่กำลังกึ่งทหารและกำลังประชาชนในการปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์จัดและ พัฒนาขีดความสามารถ ตลอดจนแนวทางและวิธีการต่อสู้ของกำลังกึ่งทหารและประชาชนดังกล่าว ไปสู่ ระบบการต่อสู้ร่วมในลักษณะสงครามเบ็ดเสร็จ สำหรับป้องกันประเทศจากการรุกรานทุกรูปแบบ ๔. แนวความคิดในการใช้หน่วยรบพิเศษเกี่ยวกับการสงครามนอกแบบ การใช้หน่วยรบพิเศษให้ปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับสงครามนอกแบบนั้น นอกจากจะพิจารณาถึง พื้นที่ปฏิบัติการแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงผลได้ผลเสีย หรือข้อแตกต่างเกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศ เชื้อชาติ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และความปลอดภัยอีกด้วย การใช้หน่วยรบพิเศษปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับสงครามนอกแบบนั้น มีแนวความคิด ดังนี้ ก. ภารกิจนั้นต้องเป็นภารกิจสนับสนุนจุดมุ่งหมายของหน่วยรบตามแบบในเวลาสงคราม ซึ่ง ขึ้นอยู่กับความต้องการทางทหารของ ผบ.ยุทธบริเวณ (ทภ.) ข. การสนับสนุนนี้ต้องปฏิบัติให้สำเร็จได้โดยใช้กำลังและทรัพยากรในท้องถิ่น โดยมีเจ้าหน้าที่ หน่วยรบพิเศษ พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าร่วมและให้การสนับสนุน ค. ในวัน ว หรือหลังวัน ว เล็กน้อย จะส่งชุดปฏิบัติการรบพิเศษแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ ปฏิบัติการ ซึ่งมีกำลังพวกต่อต้านปฏิบัติการอยู่ พวกต่อต้านนี้อาจจะมีการจัดไว้แล้วหรือไม่ก็ตาม กำลังพวก ต่อต้านนี้จะใช้เป็นกำลังกองโจรทันทีที่ชุดปฏิบัติการรบพิเศษเข้าไปติดต่อได้สำเร็จ การแทรกซึมชุด ปฏิบัติการรบพิเศษจะเริ่มต้นเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ง. ชุดปฏิบัติการรบพิเศษ จะทำการจัดพื้นที่ จัดกำลัง ประกอบอาวุธฝึกและพัฒนากำลังกองโจร ให้เข้มแข็ง จนสามารถใช้ทำการรบได้ จ. ชุดปฏิบัติการรบพิเศษ จะเข้าควบคุมทางยุทธการแก่กำลังกองโจร โดยการจัดให้มีการบังคับ บัญชาและอำนวยการร่วมกัน ระหว่างชุดปฏิบัติการรบพิเศษกับหัวหน้าพวกต่อต้านนั้น หน่วยรบพิเศษจะไม่ เข้าไปดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองโจร แต่จะเป็นผู้ช่วยเหลือโดยใกล้ชิด ปฏิบัติงาน ทำการรบ และอยู่กิน หลับนอนร่วมกับกองโจร เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยไม่แยกจากกัน ซึ่งจะมีผลทำให้การควบคุมทางยุทธการ ได้ผลดี ฉ. การใช้กำลังกองโจรปฏิบัติการ จะต้องเป็นไปตามความต้องการของ ผบ.ยุทธบริเวณ


๓๑๓ ช. ในขณะที่มีการปฏิบัติการกองโจร หน่วยรบพิเศษจะเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง เกี่ยวกับรื่อง การเล็ดลอดหลบหนีในพื้นที่ปฏิบัติการ โดยจะเป็นผู้จัดกลไกในการปฏิบัติการของข่าย การสงครามพิเศษ ๑. กล่าวทั่วไป ๑.๑ ความหมายและประเภทของสงคราม ๑) สงคราม คือ การต่อสู้ที่เกิดจากการขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองระหว่างประเทศ ภายในประเทศ หรือระหว่างรัฐในประเทศ ทั้งนี้คู่สงครามอาจเลือกใช้หรือผสมผสานการต่อสู้ด้วยมาตรการ ทางการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา เทคโนโลยีและการทูต เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ ในปัจจุบันได้มีการนำเอามาตรการต่าง ๆ มาใช้ในการดำเนินสงคราม ทำให้เกิดรูปแบบ ของสงครามประเภทต่าง ๆ มากมาย เช่น สงครามกลางเมือง สงครามเศรษฐกิจ สงครามปฏิวัติเป็นต้น ซึ่ง ก่อให้เกิดความยุ่งยากในการแบ่งประเภทของสงครามเหล่านี้ โดยทั่วไปแล้วอาจแบ่งออกตามทฤษฎี (Theory of method) ชนิด (Kind) แบบ (Type) หรือ ศาสตร์(Sience) ก็ได้ตามหลักแล้วสงครามแบ่ง ออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๒ ประเภท คือ สงครามตามแบบ (Regular war) และสงครามไม่ตามแบบ (Irregular war) (๑) สงครามตามแบบ เป็นการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ หรือการการใช้มาตรการทางการทหารโดยเปิดเผย การ ต่อสู้มีลักษณะการเผชิญหน้ากันโดยตรงระหว่างกำลังทหารของคู่สงครามเป็นหลัก และเป็นการทำสงครามกัน อย่างเปิดเผย สงครามตามแบบมีวิธีดำเนินการแบบพื้นฐานอยู่ด้วยกัน ๓ แบบ คือ การยุทธด้วยวิธีรุก การ ยุทธด้วยวิธีรับ การยุทธด้วยวิธีร่นถอย ซึ่งในการยุทธทั้ง ๓ แบบนี้ได้รวมถึงการยุทธภายใต้สภาพพิเศษไว้ ด้วย (๒) สงครามไม่ตามแบบ เป็นการต่อสู้ด้วยมาตรการต่าง ๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา เทคโนโลยี และการทูต รวมทั้งการใช้มาตรการการทางทหารโดยไม่มีการเผชิญหน้าระหว่างคู่กรณีโดยเปิดเผย สงคราม ไม่ตามแบบ ประกอบด้วย สงครามพิเศษ สงครามการเมือง สงครามเศรษฐกิจ สงครามปรมาณู (สงคราม นิวเคลียร์) สงครามศาสนา และสงครามประเภทอื่น ๆ ที่ไม่สามารถจัดเข้าอยู่ในสงครามตามแบบ


๓๑๔ ๒. ขอบเขตของการสงครามพิเศษ สงคราม สงครามตามแบบ สงครามไม่ตามแบบ รุก รับ ร่นถอย ภายใต้สภาพ พิเศษ สงครามพิเศษ สงครามการเมือง สงครามเศรษฐกิจ สงครามอื่น ๆ สงครามพิเศษ สงครามนอกแบบ การป้องกันและปราบปราม การก่อความไม่สงบ การปฏิบัติการจิตวิทยา สงครามนอกแบบ การสงครามกองโจร การบ่อนทำลาย และก่อวินาศกรรม การเล็ดลอด และการหลบหนี การป้องกันและปราบปราม การก่อความไม่สงบ การปรับปรุง สภาพแวดล้อมและ ช่วยเหลือประชาชน การพิทักษ์ประชาชนและ ทรัพยากร การปราบกองกำลัง ติดอาวุธ การปฏิบัติการข่าวกรอง การปฏิบัติการจิตวิทยา


๓๑๕ ปจว. สงครามจิตวิทยา กิจกรรมทางจิตวิทยา ๒.๑ การสงครามพิเศษ คือ การปฏิบัติที่หมายรวมถึงการใช้มาตรการต่าง ๆ ทั้งทางหารและ แบบทหารที่เกี่ยวข้องกับการสงครามนอกแบบ (สนบ.) การป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ (ปปส.) และการปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) ๒.๒ การสงครามนอกแบบผสมผสานด้วยการปฏิบัติการจิตวิทยา เป็นการสงครามพิเศษเชิงรุก ใช้ทรัพยากรเพียงเล็กน้อยก็สามารถเริ่มดำเนินการได้โดยอาศัยฐานการสนับสนุนจากประชาชน และสร้าง “ผลงาน” เพื่อขอรับการสนับสนุนจากนอกประเทศ ๒.๓ การป้องกัน และปราบปรามการก่อความไม่สงบ ผสมผสานด้วยการปฏิบัติการ จิตวิทยาเป็นสงครามพิเศษเชิงรับ ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากเข้าต่อสู้ ๒.๔ การสงครามพิเศษ เป็นการต่อสู้ทางด้านความคิดหรือฐานอุดมการณ์เป็นหลัก อาจกล่าว ได้ว่าการสงครามพิเศษ ก็คือ “สงครามแย่งชิงประชาชน” สำหรับการต่อสู้ด้วยอาวุธนั้นเป็นเรื่องที่มี ความสำคัญรองลงไป ซึ่งมักกระทำตามความจำเป็น และความเหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยให้ ทฤษฎี หลักนิยม การสงครามพิเศษ จะเห็นได้ว่า สงครามพิเศษ ซึ่งแต่เดิมมีบทบาททางยุทธวิธีมุ่งที่จะขับไล่ผลักดัน แก้แค้น ทำลาย ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญทางทหารแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา ของชาติอีกด้วย ซึ่งก็หมายความว่า สงครามพิเศษนั้น ค่อยก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญ แต่แทนที่จะมีบทบาท ทางยุทธวิธีกลับกลายเป็นมีบทบาทสำคัญทางยุทธศาสตร์เมื่อปฏิบัติการไปแล้วหวังผลในระยะยาว ฉะนั้น จึง กล่าวได้ว่า การทำสงครามพิเศษในทางทฤษฎีและหลักนิยม คือ ก. ทางทฤษฎี ใช้สนับสนุนการปฏิบัติการทางทหาร ทั้งทางยุทธวิธีและทางยุทธศาสตร์ใช้เป็นอำนาจทางทหาร เพิ่มเติมจากอำนาจในการทำสงครามตามแบบและสงครามปรมาณู ข. ทางหลักนิยม นอกจากใช้สนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารแล้ว ยังใช้สนับสนุนผลประโยชน์และนโยบาย ซึ่งเป็นเรื่องทางการเมืองของชาติให้บรรลุจุดมุ่งหมายอีกด้วย โดยให้การสงครามพิเศษนี้ปฏิบัติทั้งยามปกติ และยามสงคราม กระทำทั้งภายในและภายนอกเขตของพื้นที่ฝ่ายเราและเขตของพื้นที่ของข้าศึก หรือพื้นที่ ข้าศึกยึดครอง การแบ่งประเภทของสงครามพิเศษ สงครามพิเศษในปัจจุบัน แบ่งเป็นประเภทสงครามต่าง ๆ ได้ดังนี้คือ ก. สงครามบ่อนทำลาย


๓๑๖ ข. สงครามปลดแอก ค. สงครามนอกแบบ ง. สงครามจิตวิทยา จ. การจารจลก่อกวน/การก่อการร้าย ฉ. การป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ/การต่อต้านการก่อการร้าย แนวความคิดในการใช้สงครามพิเศษ สำหรับประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์มีแนวความคิดในการใช้สงครามพิเศษดังกล่าวมาแล้วทั้งหมด ๖ ประเภท แต่สำหรับประเทศในค่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะประเทศไทยของเรา มีแนวความคิดในการใช้ สงครามพิเศษเพียง ๓ ประเภท คือ ก. สงครามนอกแบบ ข. การป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ ค. สงครามจิตวิทยา ----------------------------------------------------------------------


หน้า กองพันปฏิบัติการจิตวิทยา (พัน.ปจว.) การจัดและการใช้หน่วยรบพิเศษของกองทัพไทย ๓๑๑ บทบาทของหน่วยรบพิเศษ ๓๑๒ การสงครามพิเศษ ๓๑๓ ขอบเขตของการสงครามพิเศษ ๓๑๔ ทฤษฎี หลักนิยม การสงครามพิเศษ ๓๑๕ การแบ่งประเภทของสงครามพิเศษ แนวความคิดในการใช้สงครามพิเศษ ๓๑๖


เชิงอรรถ - รส.๑ – กองทัพบก - พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ - พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ และกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการ กองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๒ - พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ.๒๕๕๙ - รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐


Click to View FlipBook Version