The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดย ชวนพิศ อัตเนตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-12-07 05:42:55

คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น

คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดย ชวนพิศ อัตเนตร์

Keywords: Education,Folk,คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น,FOLKLORE AND LOCAL WISDOM

44 ชวนพศิ อัตเนตร์

นักคติชนวิทยาที่มุ่งจาแนกประเภทของข้อมูลอีกผู้หนึ่งคือ ริชาร์ด เอ็ม. ดอร์สัน เขากล่าว
ไว้ในบทนาของผลงานเรอ่ื ง Folklore and Folklife : An Introduction (1972) วา่ ผลงานชิน้ น้ีกลา่ วถงึ
คติชนในแง่ที่เป็นสาขาวิชาการประการหนึ่งและอีกแง่หนึ่งคือเป็นเนื้อหาสาระของสาขาวิชานี้
นอกจากน้ีคอร์สันยังให้ความสาคัญกับวิถีชีวิตพ้ืนบ้าน หรือ Folklife มากเขายืนยันว่าคาว่า Folklife
ได้ข้ึนมาเทียบเคียง และเทียบเท่ากับคาว่า Folklore และอาจจะมีอิทธิพลเหนือกว่าในแง่ที่ว่า Folklife
มีความหมายครอบคลุมถึงวัฒนธรรมท่ีถ่ายทอดมาตามแบบประเพณีกาหนดทั้งหมด รวมทั้งข้อมูล
มุขปาฐะดว้ ย

คอร์สัน กล่าวว่า นักวิชาการท่ีสนับสนุนการศึกษา Folklife มักจะกล่าวหาว่านักคติชน
วิทยา (Folklorist) ชอบผกู มัดตวั เองไว้กับรูปแบบท่ีเป็นมุขปาฐะ และไมส่ นใจผลผลิตทช่ี ่างฝีมือพื้นบ้าน
ประดิษฐ์ข้ึนมา ซึ่งเป็นวัตถุท่ีสัมผัสได้ มองเห็นได้ และ Folklife ก็ไม่ใช่การศึกษาวัตถุอย่างเดียว แต่
ศึกษารูปแบบท่ีเป็นมุขปาฐะด้วยเช่นกัน ในทางกลับกันพวกนักคติชนวิทยาท่ีศึกษาข้อมูลของ Folklore
ก็ยืนยันอย่างมั่นคงว่าคาว่า Folklore นั้นมีความหมายรวมไปถึงศิลปะและหัตถกรรมที่ถ่ายทอดมาตาม
ประเพณีด้วย ดังนั้นดอร์สันจึงนาคาว่า Folklore และ Folklite มารวมเข้าด้วยกันให้ความสาคัญเท่า
เทียมกันและพิจารณาความสัมพันธ์ของทั้งสองคาน้ี ตลอดจนความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว
จัดจาแนกประเภทของข้อมูลโดยให้ชื่อหัวเร่ืองว่า The Fields of Folklore and Folklite Studies
เขาแบ่งข้อมูลออกเปน็ 4 กล่มุ ใหญ่ ๆ คือ

1. วรรณกรรมมขุ ปาฐะ
2. วัฒนธรรมวัตถุ
3. ประเพณีสงั คมพนื้ บา้ น
4. การแสดงศลิ ปะพน้ื บา้ น

การจาแนกประเภทแบบนเ้ี ปน็ การจาแนกอย่างกว้าง ๆ ตามเนื้อหาสาระของข้อมูล คอรส์ ัน
ได้ใหค้ าอธบิ ายไว้เป็นแนวทางดงั นี้

1. วรรณกรรมมุขปาฐะ (Oral Literature) คือข้อมูลคติชนที่เล่าและถ่ายทอดด้วยปาก
หรือใช้ขับร้อง หรือเป็นรูปแบบของการใช้เสียงตามแบบประเพณีที่มีการถ่ายทอดกันมาในลักษณะ
ที่เป็นแบบแผนที่ซ้า ๆ กัน บางครั้งข้อมูลแบบน้ีก็เรียกว่า ศิลปะเกี่ยวกับถ้อยคา (Verbal Art) หรือ
การแสดงออกด้านวรรณกรรม (Expressive Literature) คอร์สันได้แบ่งประเภทของวรรณกรรม
มุขปาฐะเป็นแบบยอ่ ยลงไปอกี ดงั นี้

คตชิ นและภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ 45

เรื่องเล่าพ้ืนบ้าน (Folk Narrative) เป็นวรรณกรรมประเภทย่อยที่มีเนื้อหากว้างมาก
ที่สดุ และมีลักษณะที่แตกตา่ งกนั ออกไปอกี มากมาย

เพลงพ้ืนบ้าน หรือ กวีนิพนธ์พ้ืนบ้าน (Folk Song หรือ Folk Poetry) เป็นประเภท
ยอ่ ยท่กี วา้ งมากเช่นเดียวกัน ทง้ั ยังหลากหลายเนอื่ งจากมีขอ้ มลู ในตระกลู เดยี วกนั และขอ้ มลู ที่เกีย่ วขอ้ ง

เกรด็ (Anecdote)
บทประพันธ์ที่มีเสียงสมั ผัส (Rhyme)
นิยายผจญภัย หรอื เรอ่ื งแบบจนิ ตนาการ (Romance)
มหากาพย์ (Epic)
ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวเร่ืองราวและเพลงที่ถ่ายทอดมาตามแบบประเพณีกาหนด
และสอดคล้องกับวรรณกรรมลายลักษณ์ท่ีมีนักประพันธ์และกวีแต่งข้ึนมา แต่เดิมนั้นข้อมูลเหล่าน้ีมี
การถา่ ยทอดและแพร่หลายไปด้วยปาก และไมท่ ราบวา่ ใครเป็นผแู้ ต่งตงั้ แตแ่ รก
สุภาษิต (Proverb)
ปรศิ นา (Riddle)
ข้อมูลท่ีเป็นสุภาษิตและปริศนานี้เป็นการแสดงออกทางด้านวรรณกรรมที่ส้ัน ๆ แต่มี
สาระ และเปน็ ข้อมลู ทม่ี ีอยแู่ นน่ อน
คากลา่ ว หรือ คาพดู พน้ื บ้าน (Folk Speech) เปน็ คาพูดของคนในท้องถิ่นทตี่ ่างไปจาก
ภาษามาตรฐานท่ีใชก้ นั ในส่วนกลาง
คอร์สันอธิบายว่า วรรณกรรมมุขปาฐะสามารถเข้าไปสู่วรรณกรรมลายลักษณ์ได้ และ
กลายเป็นวรรณกรรมลายลกั ษณไ์ ดเ้ ม่อื มกี ารจดบันทึกและตพี ิมพ์ แตเ่ ดมิ น้ันวรรณกรรมมุขปาฐะไม่ว่าจะ
เป็นเรื่องเล่า นิทาน หรือเพลงก็ตามจะต้องถ่ายทอดด้วยปาก และแพร่กระจายไปด้วยการเล่าสู่กันฟัง
ท้งั สนิ้ และการแสดงออกแบบมุขปาฐะของคนพ้นื บ้านนั้นไม่จาเปน็ ต้องเป็นถอ้ ยคาทัง้ หมดเพราะอาจจะ
เปน็ การเปลง่ เสยี งร้องหรือคร่าครวญกไ็ ด้
2. วัฒนธรรมวัตถุ (Material Culture) เป็นข้อมูลท่ีเกี่ยวกับการดาเนินชีวิตของผู้คนใน
ด้านกายภาพซ่ึงตรงกันข้ามกับข้อมูลมุขปาฐะอย่างชัดเจน คือข้อมูลที่เก่ียวกับลักษณะของคติชนที่
มองเห็นได้ ซ่ึงคงอยู่มาก่อนสังคมอุตสาหกรรมที่ใช้อุปกรณ์เป็นเครื่องกลไก และคงอยู่ตลอดมา
วัฒนธรรมวัตถุเป็นสิ่งท่ีตอบสนองต่อกลวิธีต่าง ๆ ทักษะตารับโภชนาการและสูตรต่าง ๆ ท่ีถ่ายทอดมา
ตามกลุ่มชนทุกรุ่น นอกจากนี้ยังกน้ียังขึ้นอยู่กับพลังของประเพณีปรัมปราที่ถูกอนุรักษ์ไว้ กับการ
เปล่ียนแปลงของปจั เจกบคุ คล เชน่ เดยี วกับศลิ ปะเกีย่ วกับการใช้ถ้อยคา นกั วิชาการจะศกึ ษาวา่ ชายหญิง
ในสังคมที่มีประเพณีปรัมปราเป็นลักษณะเฉพาะตัวนั้น สร้างบ้านท่ีอยู่อาศัยอย่างไร ทอผ้า และทา
เคร่ืองนุ่งห่มอย่างไร มีวิธีการเตรียมอาหารอย่างไร ทาไร่ทานา ทาสวน และทาการประมงอย่างไร

46 ชวนพิศ อัตเนตร์

นอกจากนี้ก็ยังมีกระบวนการทาให้ผืนดินอุดมสมบูรณ์ มีการประดิษฐ์เครื่องมือและอุปกรณ์ท่ีใช้ใน
ชวี ิตประจาวนั การออกแบบเคร่อื งเรอื น และเคร่อื งใชต้ า่ ง ๆ

คอรส์ ัน อธิบายวา่ นักศึกษาวัฒนธรรมวตั ถุมักจะให้ความสนใจกบั สงั คมทีม่ ีอารยะธรรม
สงู ซ่งึ มปี รากฏการณค์ วามลา้ ทางวฒั นธรรมอยู่ นน่ั กค็ อื ท่ีทีย่ งั มผี คู้ นใชช้ วี ิตแบบเดียวกบั สมัยดงั้ เดิมอยู่ใน
ท่ามกลางสังคมที่มีการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมแล้ว แต่ถ้าหากเป็นสังคมที่เป็นเผ่าชน (Tribal Society)
กระบวนการทุกอย่างจะเป็นไปตามแบบประเพณีด้ังเดิม และผลผลิตก็ทาด้วยมือ ถึงแม้ว่าจะมีความ
เปลี่ยนแปลงหรือสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาในสังคมน้ันก็ตาม ซ่ึงคอร์สัน กล่าวว่าการศึกษาเหล่านี้มี
รายละเอียดอยู่ในวารสาร Folk Life ซ่ึงสมาคมการศึกษาวิถีชีวิตพ้ืนบ้าน (Society for Folk Life
Studies) จัดทาข้ึนมาตั้งแต่ ค.ศ.1963 ในวารสารมีเรื่องต่าง ๆ เก่ียวกับวิถีชีวิตชีวิตพ้ืนบ้าน เช่น
การแกะสลักช้อนไม้ เครื่องสางขนสัตว์ด้วยมือบ้านไม้ของอินเดียนบางเผ่า คอกปศุสัตว์ และที่พักอาศัย
การจับปลา วิธกี ารย้อมสีขนสัตว์ การถกั ลกู ไม้ การเยบ็ ผ้านวม ฯลฯ เรื่องเหลา่ น้ีเป็นวิถีชวี ิตพื้นบ้านจาก
ท่ีต่าง ๆ และมีท่ีมาจากกลุ่มชนดั้งเดิมที่อพยพมา และไม่ได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรคงมีอยู่
ทา่ มกลางกลมุ่ พ้ืนบา้ น และไม่ไดเ้ ป็นทีร่ ูจ้ ักกนั อยา่ งแพรห่ ลาย

3. ประเพณีสังคมพ้ืนบ้าน (Social Folk Custom) คือ การใช้ชีวิตตามแบบประเพณีท่ี
ถ่ายทอดมา และเป็นข้อมูลที่อยู่กึ่งกลางระหว่างวรรณกรรมมุขปาฐะ และวัฒนธรรมวัตถุ เป็นการเน้น
การปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กันในกลุ่มมากกว่าที่จะเน้นการแสดงออกหรือทักษะของปัจเจกบุคคล
พวกนกั ศึกษาคตโิ บราณจะศึกษา “ขนบธรรมเนยี มและการนามาใช้” ในชุมชนใหญ่ ๆ และครอบครัวซึ่ง
จะมีการประกอบพิธีที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้าน บ้าน ท่ีดินครอบครัว วัด วันสาคัญต่าง ๆ นอกจากนี้ยัง
เก่ียวข้องกับ พิธีผ่านภาวะ (Rites De Passage) ซ่ึงเป็นพิธีเก่ียวกับการเกิดการเป็นผู้ใหญ่ การแต่งงาน
และการตาย ขนบธรรมเนียมบางอย่างเก่ียวกับความเช่ือ เช่น การแขวนเกือกม้าไว้ที่ประตูบ้านเพื่อ
ป้องกันเวทมนตร์คาถา หรือการอธิษฐานก่อนที่จะชิมผลไม้ผลแรกในฤดูกาล และขนบธรรมเนียม
ประเพณีเหล่านี้จะผูกพันอยู่กับความเชื่อพ้ืนบ้านอย่างแนบแน่น และถ้าหากขนบธรรมเนียมเหล่าน้ี
เกยี่ วขอ้ งกบั พลังของส่งิ ศักดส์ิ ิทธิ์ และมนต์ขลงั แลว้ กจ็ ะเรียกวา่ พธิ ีกรรมแทน

การท่ีผู้คนเข้าไปมีสว่ นร่วมในสงั คม หรือเป็นหน่วยย่อยของสังคมใหญ่ เม่ือมีการแสดง
หรือมีส่ิงบันเทิงที่เป็นสาธารณะ จะทาให้เกิดขนบธรรมเนียมประเพณีสังคมอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเรียกกัน
ท่ัวไปว่าเทศกาล หรืองานฉลอง และในเทศกาลเหล่าน้ีจะมีการจัดแสดงต่าง ๆ ทั้งดนตรี การร่ายรา
เครื่องแต่งกาย ขบวนแห่ และรถโฆษณา ซ่ึงการแสดงเหล่านี้ข้ึนอยู่กับประเพณีเก่าแก่ด้ังเดิมท้ังทาง
ศาสนา และทางโลกวิสยั นอกจากนี้ก็มกี ารเล่น นันทนาการ กีฬา และสิ่งบนั เทงิ ในยามวา่ ง

ความเช่ือทางศาสนาเป็นส่ิงท่ีเก่ียวข้องกับประเพณีสังคมพ้ืนบ้านเช่นเดียวกัน
ความเช่อื นจ้ี ะครอบคลุมไปถึงการปฏบิ ัตบิ ูชาภายนอกวัดหรือโบสถ์ดว้ ย ศาสนาพ้นื บา้ นจะคาบเกี่ยวกับ
การรักษาโรคแบบพื้นบ้าน คือการใช้ปาฏิหาริย์เข้าช่วยในการรักษา เป็นการรักษาทางร่างกายไป

คติชนและภูมิปัญญาท้องถิน่ 47

พร้อม ๆ กับการช่วยทางจิตวิญญาณ ผู้ที่อยู่ในแวดวงของความเชื่อน้ีก็คือ พวกผู้นาในลัทธิต่าง ๆ
ศาสดาพยากรณ์ ผ้ใู ชเ้ วทมนตร์คาถาในการรกั ษาโรค ผู้เชื่อในสงิ่ ล้ีลบั หมอผี เปน็ ตน้

นอกจากการรักษาโรคด้วยความเช่ือทางศาสนาแล้ว ก็ยังมีการใช้ยากลางบ้าน เช่น
สมุนไพรต่าง ๆ และวิธีการตามแบบพื้นบ้าน เช่น การห้ามเลือด การรักษาแผลไฟไหม้ หรือน้าร้อนลวก
การรักษาหูด รักษาหวัด รักษามะเร็ง ฯลฯ ซ่ึงบางวิธีก็เป็นการใช้พลังอานาจท่ีนอกเหนือไปจากวิธีการ
ของแพทยแ์ ผนปัจจุบัน

4. การแสดงศิลปะพื้นบ้าน (Performing Folk Arts) ในเรื่องของการแสดงพ้ืนบ้านนี้
ในชั้นแรกเราจะนึกถึงดนตรีเก่าแก่ การร่ายรา การละคร หรือการแสดงพื้นบ้านต่าง ๆ ต่อมานักคติชน
วิทยา ถือว่าการเล่านิทาน และการขับเพลงพื้นบ้านก็จัดอยู่ในหัวข้อนี้ด้วย เพราะประกอบด้วยผู้แสดง
และผชู้ ม และมกี ารปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างทัง้ สองฝา่ ย

การรอ้ งหรือการราของคนพื้นบา้ นเปน็ การละเลน่ เพ่ือความสนุกสนานเพลดิ เพลิน มขี น้ึ
เพื่อจุดประสงค์หลายประการ เช่น เป็นการเลน่ ฉลองกันในเทศกาล ในงานร่นื เรงิ หรือเล่นเพื่อประกอบ
พิธีกรรมทางศาสนา หรือพิธีอื่น ๆ การแสดงเหล่าน้ีเป็นประเพณีที่มีอยู่ในสังคมมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา
และมลี กั ษณะของการแสดงตา่ งกันไปตามสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมของ แต่ละชมุ ชน

การจาแนกประเภทของข้อมูลคติชนของ ดอร์สัน เป็นการจาแนกท่ีมีหัวข้อกว้างและ
ครอบคลุมเน้ือหาสาระมากมาย ทั้งยังแยกให้เห็นเน้ือหาของข้อมูลอย่างชัดเจนเป็นเร่ือง ๆ ไป ทาให้
ผู้ศึกษาไม่สับสนง่าย ดังน้ัน การศึกษาข้อมูลในหนังสือเล่มน้ีจึงจะยึดตามวิธีการจาแนกข้อมูลของ
ดอร์สัน ตามหัวข้อใหญ่ ท้ัง 4 หัวข้อที่กล่าวมาแล้ว ส่วนในรายละเอียดน้ันได้ยึดถือทฤษฎีของนักคติชน
วิทยาหลาย ๆ คน มาประยุกต์เข้าด้วยกัน และปรับให้เข้ากับวิธีการของวงการคติชนวิทยาของไทยให้
มากทีส่ ดุ เทา่ ที่จะทาได้

3.3 ขอบข่ายของขอ้ มูลในฐานะทเ่ี ป็นศาสตร์

ข้อมูลของคดีชนมีจานวนมาก และบางประเภทที่ซับซ้อน บางทีก็ต้องอาศัยการตีความ
นักคติชนวิทยาหลายคนท่ีตระหนักในปัญหานี้ และได้พยายามจัดกลุม่ ข้อมูล ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความคิด
ของตนเองแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีโครงสร้าง และหลักการคล้าย ๆ กันการจัดข้อมูลให้เป็น
กลุ่มจะทาใหส้ ะดวกต่อการศึกษา และทาใหไ้ ด้ผลการศกึ ษาท่ีชัดเจน

การจัดระบบข้อมูลที่น่าสนใจและควรกล่าวถึงรูปแบบหน่ึง คือ ระบบของ ชาร์ลอต์ โซเฟีย
เบริ น์ ซง่ึ ได้รบั อทิ ธิพลจากผลการศกึ ษาค้นควา้ ของ เซอร์จอร์ช ลอเรนซ์ กอมม์ (Str George Lawrence
Gomme) นักวชิ าการในสานักนกั มานษุ ยวิทยาองั กฤษ

48 ชวนพศิ อตั เนตร์

เบริ ์นจดั ข้อมลู เป็น 3 กลมุ่ ดังนี้
1. ความเชอ่ื และการปฏบิ ัติ (Belief und Practice) เก่ียวขอ้ งกับเร่ืองตอ่ ไปนี้

1.1 โลกและสวรรค์ (The Earth and This : Sky)
1.2 โลกของพืช (The Vegetable World)
1.3 โลกของสัตว์ (The Animal World)
1.4 มนุษย์ (Human Beings)
1.5 ส่ิงท่มี นุษยป์ ระดิษฐ์ (Things Rule By Na)
1.6 วิญญาณและชีวิตหลังความตาย (The Soul and Another Lift)
1.7 ส่ิงมีชีวิตท่ีเหนียมมนุษย์ (Superhuman Beings) คือ พระเจ้า เทพเจ้า เทวดา
นอ้ ย และผู้ท่คี ล้ายพระเจา้
1.8 ลานและการทานาย (Owners and Divination)
1.9 การใช้เวทมนตรม์ ายา (The Magic Art)
1.10 โรคและการแพทย์ (Disease and Lecchcraft)

2. ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี (Customs) เก่ยี วขอ้ งกับเร่อื งตอ่ ไปนี้
2.1. สถาบันทางสังคมและการปกครอง (Social End Political Institutions)
2.2 พธิ ตี า่ ง ๆ สาหรบั ชีวติ ของปจั เจกบุคคล (Rites of Individual Life)
2.3 อาชีพและการทางานที่มีระบบ อุตสาหกรรมทั่วไป (Occupations and

Industries)
2.4 การอดอาหาร การกินเจ และเทศกาลรื่นเริงตามปฏิทิน (Calendar Fasts and

Festivals)
2.5 การเลน่ กีฬา และเครือ่ งหย่อนใจตา่ ง ๆ (Games, Sports, and Pastimes)

3. เรือ่ งราวเพลงและคากลา่ ว (Stories Songs and Sayings)
3.1 เร่ืองราว (Stories) แบ่งเปน็
1) เรือ่ งทเี่ ล่าแบบเป็นเรอ่ื งจรงิ
2) เรื่องที่เลา่ เพ่อื ความสนุกสนาน
3.2 เพลงและบัลลาด (Songs and Ballads)
3.3 สุภาษติ และปริศนา (Proverbs and Riddles)
4.4 จังหวะของสุภาษิต และคากล่าวของท้องถ่ิน (Proverbial Rhymes and

Local Sayings)

คตชิ นและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ 49

เบิร์น ออกตัวว่า การจัดระบบแบบน้ีค่อนข้างจะเป็นไปตามลักษณะท่ีเป็นจริงของข้อมูล
อย่างเดียว ไม่มีการพยายามท่ีจะอธิบาย หรือทาเป็นข้อสังเกต หรือการกล่าวส้ัน ๆ เพื่อให้เข้าใจว่า
ความหมายของข้อมูลนเ้ี ป็นอย่างไร หรือมีกาเนิดจากที่ไหน แตก่ ารอธบิ าย ซ่งึ จะเกี่ยวข้องกบั ทฤษฎีน้ัน
เป็นส่ิงท่ีจะตามมาภายหลัง ผู้ท่ีจะศึกษาข้อมูลคติชนน้ัน เม่ือเก็บรวบรวมข้อมูลมาได้แล้ว จะสามารถใช้
ทฤษฎีได้อย่างอิสระ เน่ืองจากความคิดของผู้คนทั่วไปจะแสดงออกมาในการประกอบพิธี พิธีกรรม
ประเพณีท้งั หลายในเพลง ในนิทานหรอื เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ท่ีพวกเขาเลา่ สกู่ ันฟัง

นอกจากระบบการจาแนกประเภททก่ี ล่าวมาแลว้ ยังมกี ารจัดกลุ่มคาศัพท์ข้อมูลทางคติชน
ของ จอห์นวิลเลยี ม จอห์นสัน (John William Johnson) ซ่ึงคล้ายกับระบบการจาแนกประเภทแต่ไม่ได้
ตั้งชื่อหัวเรื่องไว้ เพียงแต่จัดคาที่ควรจะอยู่ในกลุ่มเดียวกันไว้ด้วยกันเท่าน้ันเอง แต่ก็ทาให้เราสามารถ
มองเห็นภาพรวมของข้อมูล เพ่ือเป็นแนวทางในการศึกษาและเป็นแนวทางในการนาข้อมูลของไทยเข้า
ไปประยกุ ต์ใชไ้ ดอ้ กี ดว้ ย

จอห์นสนั จัดกลมุ่ ขอ้ มูลเป็น 10 กล่มุ คอื
กล่มุ ท่ี 1
วิธชี ีวิตพืน้ บา้ น (Folk Life)
ชาตพิ ันธ์ุวิทยา (Ethnology)
มานษุ ยวทิ ยาวัฒนธรรม (Cultural Anthropology)
ชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnography)
วรรณกรรมมุขปาฐะ (Oral Literature)
คติชน (Volkskunde)
คตโิ บราณของปวงชน (Popular Antiquities)
วรรณกรรมของปวงชน (Popular Literature)

กลมุ่ ที่ 2
เทพนยิ าย (Marchen)
เรอ่ื งเล่าพื้นบ้าน (Folk Narrative)
นทิ านพน้ื บา้ น (Folk Tale)
เทพนยิ าย (Fairy Tale)
นทิ านมหศั จรรย์ (Wonder Tale)
นทิ านมหศั จรรย์ (Magic Tale)
นิทานที่แพรห่ ลาย (Popular Tale)

50 ชวนพศิ อตั เนตร์

เรื่องแต่งท่แี พร่หลาย (Popular Fiction )
ประเพณปี รัมปรา (Tradition)
ตานาน (Legend)
ตานาน (Sage (n))
นทิ านเก่ยี วกับความเช่อื (Belief Tale)
ตานานบุคคล (Memorar)
ตานานท่ัวไป (Fabulat)
นิทานผจญภัยในยคุ กลาง (Sage)
นทิ านสัตว์ (Animal Tale)
นทิ านชวี ติ (Novella)
นทิ านอุทาหรณ์ (Fable)
มุขตลกหรอื เรื่องขาขนั เกรด็ (Anecdote)
มขุ ตลกหรอื เรอ่ื งขาขนั (Joke)
มุขตลกหรอื เรือ่ งขาขนั (Jest)
นิทานคนโง่ (Noodle Tale หรอื Numskull Tale หรือ Fool Tale)
นิทานโกหก (Tall Tale)
นิทานเรอื่ งยาว (Yarn)
นทิ านปรมั ปรา (Myth)
นทิ านคนเจา้ ปญั ญา (Trickster Tale)
นทิ านวรี บรุ ษุ (Hero Tale)
เร่ืองที่เลา่ โดยมีเพลงหรือจงั หวะประกอบ (Cante Fable)

กลุ่มท่ี 3
เพลงพนื้ บ้าน (Folksong)
เพลงสาหรับเลา่ เรอ่ื ง (Ballad)
บลั ลาดของไชลด์ (Child Ballad)
บัลลาดท่ีตีพมิ พ์บนกระดาษหน้าเดยี ว (Broadside Ballad)
บัลลาดอเมรกิ ัน (American Ballad)
บทร้อยกลองราพนั ความในใจแบบพื้นบ้าน (Folk Lyric)
เพลงร้องในเทศกาลคริสต์มาส (Carol)

คตชิ นและภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่นิ 51

เพลงศาสนา (Spiritual)
ดนตรีแบบลูกทงุ่ (Country Music)
ดนตรีลูกทุง่ ชนดิ หนึ่งของอเมริกนั (Bluegrass)
เพลงร็อค (Folk Rock)
เพลงบลูสข์ องพวกผิวดา (Blues)

กลุ่ม 4
ศลิ ปะพ้นื บ้าน (Folk Arts)
วัฒนธรรมวัตถุ (Material Culture)
สถาปตั ยกรรมพื้นบา้ น (Folk Architecture)
พิพธิ ภัณฑพ์ นื้ บ้าน (Folk Museum)
หตั ถกรรมพน้ื บ้าน (Traditional Crafts)

กล่มุ ที่ 5
ดนตรีพ้นื บา้ น (Folk Music)
การศึกษาเกยี่ วกับดนตรีของชาติวงศ์ (Ethnomusicology)
เครอ่ื งดนตรพี ้ืนบ้าน (Folk Instrument)
การร่ายราพนื้ บ้าน (Folk Dance)
ละครพน้ื บา้ น (Folk Drama)
การเลน่ ของเดก็ (Children's Games)
บทร้องเล่นของเด็ก (Children' s Rhymes)
บทร้องเล่นเวลากระโดดเชอื ก (Jumprope Rhymes)
การเล่นเป็นกลมุ่ (Play Party)

กลมุ่ ท่ี 6
ขนบธรรมเนยี มประเพณี (Custom)
การนามาใช้ (Usage)
ความเชอ่ื (Belief)
ความเชอื่ โชคลาง (Superstition)
ศาสนาพน้ื บ้าน (Folk Religion)

52 ชวนพศิ อตั เนตร์

เทศกาลร่นื เรงิ (Festival)
พิธีกรรม (Ritual)
พธิ ผี ่านภาวะ (Rite De Passage)
ศาสนาและมายาการ (Magico-Religious)

กลุ่มท่ี 7
ภตู ผี (Ghost)
เจตภตู หรือภาพลวงตาภาพวิญญาณ (Wraith)
วญิ ญาณท่ีกลับคืนมา (Revenant)
บรรพบรุ ุษ (Forerunner)
เครื่องหมายหรือสัญลกั ษณ์ (Token)
ผหี รือสถานที่นา่ กลัว (Specter)
วิญญาณ (Spirit)
วญิ ญาณภตู ผีทเี่ ชื่อกนั ว่าถา้ ได้ยินเสียงของมันจะมคี นตาย (Banshee)
มนษุ ยห์ มาปา่ ของชาวฝรั่งเศส (Loup-Garou)
วญิ ญาณในบา้ นของชาวเดนมารก์ (Nisse)
ภูตตัวเล็ก (Pisky)
ฟักทองเจาะเปน็ หน้าผี (Jack-O-Lantern)
ตาปีศาจ (Evileye)

กลุ่มท่ี 8
ปศี าจ (Devil)
ภูต (Demon)
รากษส (Ogre)
ยกั ษ์ (Giant)
แม่มด (Witch)
พ่อมด (Wizard)
ผู้มองเหน็ อนาคต (Scer)
ผทู้ านาย (Fortune–Teller)

คติชนและภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ 53

กลุ่มที่ 9
ยากลางบา้ น (Folk Medicine)
ผรู้ กั ษาโรคแบบพ้ืนบา้ น (Folk Healer) หรอื ศรัทธา (Faith)
หมอทมี่ ีพลงั อานาจ (Power Doctor)
หมอสมุนไพร (Herb Doctor)
การเยยี วยาแบบพนื้ บ้าน (Folk Remedy)
การหา้ มเลือด สิ่งท่ีใช้ห้ามเลอื ด (Blood Stopper)
เคร่ืองรางรักษาหูด (Wart Chartner)
ผ้นู าโชครา้ ยมาให้ (Hoodoo)
เคราะห์รา้ ย (Hex)
เคร่ืองรางของขลงั (Amulet)
เครอ่ื งรางของขลงั (Talisman)
ของขลัง (Fetish)

กลุ่มที่ 10
คาพดู พนื้ บ้าน (Folk Speech)
ภาษาถิ่น (Dialect)
สภุ าษิต (Proverb)
คากลา่ วพื้นบ้าน (Folk Saying)
สุภาษติ อา้ งองิ (Wellerism)
ปรศิ นา (Riddle)
ปริศนาแขวนคอ (Neck Riddle)
สภุ าษติ เปรยี บเทยี บ (Proverbial Conmparison)
การเขยี นบนผนงั หอ้ งนา้ สาธารณะ (Latrinalia)
ข้อความที่เขยี นบนทางเทา้ หรอื กาแพง (Graffiti)
การพดู ไมห่ ยดุ (Dozens)
การด่ืมอวยพร (Toast) คาว่า Toast อีกความหมายหน่ึงคือเรื่องเล่าประเภทหนึ่งของพวก
อเมรกิ ันผิวดา
การคุยโม้ (Boast)

54 ชวนพิศ อตั เนตร์

จะเห็นได้ว่าการแบ่งกลุ่มข้อมูลของ จอห์นสัน น้ันยึดลักษณะเด่น ๆ และเนื้อหาของข้อมูล
เป็นหลัก ดังน้ันกลุ่มท่ีมีเนื้อหาสาระมากที่สุดก็คือกลุ่มท่ี 2 ซึ่งเป็นเร่ืองของวรรณกรรมที่มีท่ีมาจาก
พ้นื บ้าน และแบ่งประเภทตา่ งกันอยา่ งหลากหลาย ส่วนกลมุ่ ทีด่ เู หมือนว่ามีเนื้อหาสาระน้อย ก็คือกลุ่ม
ที่ 4 ซึ่งเป็นเร่ืองเก่ียวกับวฒั นธรรมวัตถุ อย่างไรก็ตามเน้ือหาของข้อมูลในกลมุ่ ท่ี 4 ก็ยังแยกย่อยออกไป
ไดอ้ ีกมากมาย เพราะวา่ เปน็ เรือ่ งทเี่ กย่ี วข้องกบั วถิ ีชีวติ พ้ืนบา้ น และปัจจยั ทใ่ี ชใ้ นการดารงชีวติ ด้วย

ที่กล่าวมาแล้วน้ันเป็นเรื่องของการจาแนกข้อมูลของนักวิชาการทางด้านคติชนวิทยา และ
นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมของต่างประเทศ ซึ่งเราสามารถนามาปรับใช้กับการจาแนกข้อมูลของคติชน
ของไทย ซึ่งก็มีจานวนมากมาย และหลากหลายไม่แพ้กันถึงแม้ว่าข้อมูลประเภทย่อยบางประเภทจะ
แตกต่างกัน หรือในประเทศไทยไม่มี เนื่องจากความแตกต่างทางค้านสภาพภูมิศาสตร์ด้านสังคมและ
วัฒนธรรม ด้านวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ แนวความคิด ฯลฯ แต่ในการจาแนกข้อมูลน้ันเราสามารถใช้
โครงสร้างใหญ่ ๆ เป็นหลัก เพื่อแจกแจงรายละเอียดและการจัดกลุ่มข้อมูลใหเ้ ป็นหมวดหมู่ไดเ้ ชน่ กนั

การศึกษาข้อมูลคติชนของไทย มีตัวอย่างท่ีควรกล่าวถึงคือ ผลงานเรื่อง Essay on Thai
Folklore ของพระยาอนุมานราชธน ซงึ่ ไดแ้ บง่ เป็นหมวดหมู่ดังน้ี

บทท่ี 1 เร่ืองเกีย่ วกบั วัฒนธรรม แบ่งออกเป็น
การแนะนาประเทศไทย และวฒั นธรรมไทยอยา่ งกว้าง ๆ
วัฒนธรรมประเพณขี องไทย การฟ้ืนฟูและการอย่รู อด
ตัวอยา่ งวัฒนธรรม เรื่อง “ลอยกระทง”

บทที่ 2 ภาษาและวรรณกรรม
วรรณกรรมไทยท่ีมคี วามสัมพันธก์ บั การแพร่กระจายของวฒั นธรรม
ธรรมชาติและวิวฒั นาการของภาษาไทย
ภาษาไทย

บทที่ 3 นทิ านพนื้ บา้ น
การศึกษานทิ านพน้ื บา้ นของไทย
การศกึ ษาทางด้านคตชิ นวทิ ยาบางประเภท เช่น ยาสัง่

คตชิ นและภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ 55

บทท่ี 4 เรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนา
เจดยี ์
การเทศน์มหาชาติ
การแสดงความเคารพ (การกราบ การไหว)้

บทที่ 5 พิธีและพธิ ีกรรม
พิธเี กี่ยวกบั ความอุดมสมบูรณ์
พิธีเกี่ยวกับ “ขวัญ”
พธิ ีทาขวัญเดือน
พิธีสมรส
เรื่องเก่ียวกับเครือ่ งรางของขลัง
การเส่ยี งโชค
ความเช่อื โชคลางเกย่ี วกับพชื และตน้ ไม้

ภาคผนวก
ชีวิตของชาวนา
ผลงานของพระยาอนุมานราชธนน้ี เป็นการศึกษาข้อมูลท่ีผู้แต่งได้รวบรวมจัดเข้าไว้ใน
หมวดหมู่เดียวกันถึงแม้ว่าข้อมูลบางอย่างจะมิใช่ของพื้นบ้านโดยตรง แต่เป็นส่ิงที่ได้รับการปรับปรุง
ปรับเปล่ียน หรือเป็นของใหม่ที่อาจจะมีต้นเค้ามาจากของพ้ืนบ้าน หรือไม่ได้มีกาเนิดมาจากพ้ืนบ้านก็
ตาม เช่นวรรณคดีบางเร่ืองท่ีมีกวีแต่งขึ้นมาจากจินตนาการ (พระอภัยมณี) หรือวรรณคดีท่ีแปลมาจาก
เร่ืองของต่างชาติ (สามก๊ก) แต่ก็ทาให้มองเห็นว่าผู้แต่งมีความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าลักษณะข้อมูลที่
แตกต่างกันน้ี ซ่ึงผู้แต่งอาจจะมีจุดมุ่งหมายที่จะขยายความรู้ส่วนที่เก่ียวกับมานุษยวิทยาวัฒนธรรมให้
กวา้ งขวางขน้ึ โดยใช้ขอ้ มลู ในส่วนทเี่ ปน็ ของคนไทยโดยเฉพาะกเ็ ป็นได้

5. ขอบขา่ ยของการศึกษาข้อมูล
การศกึ ษาขอ้ มูลคตชิ นน้นั เกี่ยวข้องกบั การศึกษาวิถชี ีวติ ความคิด คตคิ วามเชอื่ ความรู้

หรือภมู ปิ ัญญาของปวงชนในฐานะที่เป็นส่วนรวม ขอ้ มูลคติชนเป็นส่งิ ท่สี ะท้อนให้เหน็ ความซับซ้อนของ
วัฒนธรรมท่ีถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นเรื่องราวท่ีเก่ียวข้องกับการใช้ปัญญา และเหตุผลจากการจาแนก
ประเภทของข้อมูลดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เราจะเห็นว่าเนื้อหาสาระของคติชนมีมากมายเกี่ยวข้องกับ
วชิ าการสาขาอื่น ๆ หลายสาขาและแพร่หลายไปในสงั คมต่าง ๆ

56 ชวนพศิ อัตเนตร์

การศึกษาข้อมูลในสมัยแรก ๆ มักนิยมศึกษารูปแบบ (Form หรือการแบ่งประเภท
(Genre) ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบที่เป็นการใช้ถ้อยคา ซ่ึงก็จะเน้นการเก็บรวบรวมข้อมูล และนาต้นฉบบั
ข้อมูลมาวิเคราะห์ แต่สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งก็คือ ในการศึกษาข้อมูลในสมัยแรก ๆ นั้นนักคติชน
วทิ ยาไมส่ จู้ ะไดใ้ หค้ วามสนใจปญั หาทว่ี ่า ประเพณปี รมั ปรา หรือ Tradition แพร่กระจายไปหรือขยายตัว
ไปได้อย่างไร มีสานักความคิดหลายสานักท่ีมองวา่ ประเพณีปรมั ปราเปน็ เพียงมรดกทางสงั คม และไม่ได้
พิจารณาให้กว้างข้ึนกว่านี้ จนกระท่ัง ธีโอดอร์ เบนฟีย์ ซ่ึงเป็นนักวิชาการท่ีสนใจทางด้านภารตวิทยา
เป็นพิเศษ เสนอความคิดว่าวรรณกรรมมุขปาฐะประเภทนิทานล้วนมีกาเนิดข้ึนท่ีอินเดีย และ
แพร่กระจายจากอินเดียไปทางตะวันตก จากน้ันก็แพร่ไปท่ัวโลก ทฤษฎีมรดกจึงค่อย ๆ เลือนหายไป
และเกดิ ความสนใจทฤษฎขี องการโยกยา้ ย หรือการยา้ ยถน่ิ แทน

ทฤษฎีของการย้ายถ่ิน (Migration Theory) เป็นทฤษฎีที่นามาใช้กันอย่างแพร่หลายใน
การศึกษา นิทานมีการเปรียบเทียบว่าการย้ายถิ่นของนิทานน้ันเปรียบเหมือนกับกระแสธารที่หล่ังไหล
ออกจากบ้านเกิดไปยังพื้นท่ีต่าง ๆ ทั่วไป ดังที่เราจะพบนิทานเหล่านี้ได้ในปัจจุบัน แต่ส่ิงสาคัญที่ควร
คานึงถึงก็คือ เรื่องของประเพณีปรัมปรา ซึ่งในตอนแรก ๆ บรรดานักวิชาการจะเน้นความเป็นประเพณี
ปรัมปราแบบมุขปาฐะของข้อมูลคติชนอย่างมาก เน่ืองจากเป็นข้อมูลท่ีมีการถ่ายทอดแบบปากเปล่าสืบ
ตอ่ กันมาเปน็ เวลาชา้ นาน

6. การแพร่กระจายของประเพณปี รัมปรา
ประเพณีปรัมปราของผู้คนนน้ั เปรียบเหมือนกบั สมบัติส่วนรวมของคนในชุมชนทั้งหมด

และสามารถพบได้ “ในส่วนลึกของวิญญาณของปวงชน” ถ้าหากเราจะค้นหาเขตพื้นท่ีของประเพณี
ปรัมปราที่มีอยู่แล้ว เช่น นิทาน ตานานแนวความคิด หรือขนบประเพณี ฯลฯ ในไม่ช้าเราจะได้พบว่า
ประเพณีนั้น ๆ มีผู้สืบทอด (Bearer) อยู่แล้ว จานวนของผู้สืบทอดจะเป็นจานวนเพียงเล็กน้อยจาก
ประชากรทั้งหมดในเขตประเพณีปรัมปราต่าง ๆ ท่ีแตกต่างกันอย่างหลากหลายน้ัน แตกต่างกันด้วย
จานวนของผู้สืบทอด และประเภทของผู้สืบทอดด้วย เช่น ประเพณีปรัมปราท่ีเกี่ยวกับการล่าสัตว์ผู้ท่ี
จะตอบเรื่องนไี้ ด้ควรจะเปน็ เพศชายมากกว่าเพศหญงิ และเพศชายที่ตอบไดก้ ็ จากัด จานวนด้วย

ปัจจุบันน้ี การแพร่กระจายของประเพณีปรัมปราต่าง ๆ เป็นส่ิงที่ไม่แน่นอน แต่ก็
ยังคงมีอยู่ในสังคมปัจจุบันถึงแม้ว่าจานวนผู้คนท่ีมีประเพณีเหล่านี้จะลดน้อยลงไป จานวนผู้สืบทอดก็
น้อยลงไปกว่าในสมัยก่อนมาก สิ่งท่ีเปล่ียนแปลงเงื่อนไขของประเพณีเหล่านี้ ก็คือ การศึกษาใน
โรงเรียน มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ และหนังสืออื่น ๆ แต่ก็มิใช่ว่าจะทาให้ประเพณีเหล่าน้ีสูญหาย
ไปเลย คุณลกั ษณะอย่างหนึ่งท่ีไม่เปลยี่ นแปลงก็คือ ประเพณปี รมั ปรานผ้ี ูกพนั อยู่กับวงจรของสังคมท่ีมี
อยู่อยา่ งแน่นอนแล้ว เชน่ ครอบครัว เขตชมุ ชนหรือเขตเมือง กลุ่มผทู้ างาน เป็นตน้ หากเราตอ้ งการท่ีจะ

คตชิ นและภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ 57

รู้และเข้าใจถึงชีวิตของประเพณีปรัมปรา คือ กาเนิดและพัฒนาการ การแพร่กระจายและการถ่ายทอด
เราจะต้องให้ความสนใจตอ่ วงจรของสังคมและผู้สืบทอดประเพณปี รมั ปราแบบต่าง ๆ เป็นเบอ้ื งแรก

7. ผสู้ บื ทอดประเพณีปรมั ปรา
คาร์ล วิลเฮล์ม ฟอน ซีโดว์ (Carl Wilhelm Von Sydow) นักคติชนวิทยาผู้มี

ช่ือเสียงของสวีเดน แบ่งผู้สืบทอดประเพณีปรัมปรา (Bearers of Tradition) ออกเป็น 2 ประเภท
การแบ่งน้ไี ดพ้ ิจารณาข้อมูลทเ่ี ปน็ ประเพณีปรัมปราหลาย ๆ ชนิดประกอบด้วย ดังน้ี

7.1 ผู้สืบทอดประเพณีปรัมปราโดยตรง (Active Bearer) คือผู้ที่รักษาประเพณี
ปรัมปราให้คงอยู่ และถ่ายทอดประเพณีนี้ดว้ ย

7.2 ผู้สืบทอดประเพณีปรัมปราโดยทางอ้อม (Passive Bearer) คือผู้ท่ีเคยได้ยินได้
ฟังประเพณีปรัมปราที่มีอยู่แล้ว และบางคร้ังก็จาได้หรือระลึกได้บางส่วน แต่จะไม่รักษาประเพณีน้ีและ
ไมเ่ ผยแพรป่ ระเพณนี ี้ดว้ ยตวั เอง

8. ความสาคัญของผู้สบื ทอดประเพณปี รมั ปรา
การที่จะเปน็ ผู้สบื ทอดประเพณีปรัมปราโดยตรงได้นั้น วิธีที่งา่ ยท่ีสุดก็คือการเรียนรู้จาก

ครอบครัว เพราะว่าเด็ก ๆ จะได้ยินกฎเกณฑ์ เรื่องราว นิทาน ตานาน เพลง ฯลฯ และสังเกตเห็น
ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ จากครอบครัวนั่นเอง ส่ิงเหล่านี้จะซึมซับเข้าไปในความคิด จิตใจ
ของเด็ก และเขาจะเป็นผู้ปฏิบัติประเพณีเหล่านี้ต่อไปนอกจากพ่อแม่แล้ว เด็ก ๆ ยังมีโอกาสท่ีจะได้รับ
และเรียนรู้ประเพณีจากครอบครัวอื่น ๆ ที่อยู่ในสังคมเดียวกัน จากเพ่ือนฝูง และกลุ่มท่ีเขาไปร่วม
กิจกรรมอยดู่ ว้ ย

ผู้สืบทอดประเพณีปรัมปราโดยตรงมีความสาคัญมากตรงท่ีว่า หากขาดบุคคลเหล่านี้
เสียแล้ว ประเพณีปรัมปราจะสูญสลายไป แต่ถ้ายังคงมีผู้สืบทอดประเพณีปรัมปราโดยทางอ้อมอยู่
เรายังสามารถหาข้อมูลของประเพณีจากพวกเขาได้ ซึ่งบางคร้ังข้อมูลนี้อาจจะสมบูรณ์ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่
แลว้ ขอ้ มลู น้ีจะไมแ่ น่นอนและกระจดั กระจาย ไมป่ ะติดปะต่อกัน

หากจะกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างผู้สืบทอดโดยตรง กับผู้สืบทอดโดยทางอ้อมแล้ว
เราไม่สามารถที่จะกาหนดความแตกต่างให้ตายตัวลงไปได้ เพราะว่าคณุ สมบตั ิของผูส้ ืบทอดทั้งสองแบบ
นเี้ ป็นสง่ิ ทยี่ ืดหยนุ่ และแปรเปลยี่ นไดผ้ ู้สืบทอดโดยตรงอาจกลายเปน็ ผ้สู ืบทอดโดยทางอ้อมได้ด้วยเหตุผล
หลายประการ ซึ่งเป็นกรณีของผู้สืบทอดประเพณีพิเศษเฉพาะที่เขาได้ผ่านพบในวัยเด็ก ผู้เล่านิทาน
โดยตรงอาจจะกลายเป็นผู้สืบทอดประเพณีของนิทานโดยทางอ้อม เม่ือไม่มีใครสนใจฟังนิทานของเขา
อีกต่อไป และเหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดข้ึนได้จากเหตุผลหลายประการ เช่น ในการปฏิรูปศาสนา

58 ชวนพิศ อัตเนตร์

ประเพณีปรัมปราต่าง ๆ จานวนมากจะกลายเป็นส่ิงที่คร่าครีล้าสมัยเพราะว่ามันไม่ลงรอยสอดคล้องกบั
รูปแบบใหม่ของศาสนาน้ัน ๆ และผู้สืบทอดประเพณีก็ไม่ชอบหรือมีอคติต่อรูปแบบใหม่น้ี เขาจึงหมด
ความกระตือรือร้นที่จะถ่ายทอดประเพณีให้กับผอู้ ่ืน กรณีที่คล้ายคลึงกันก็คือการปฏิวัติ การปฏิรูปการ
ปกครอง และการปฏริ ูปสงั คม

ในทานองเดียวกัน ผู้สืบทอดประเพณีโดยทางอ้อมก็อาจเปลี่ยนแปลงมาเป็นผู้สืบทอด
โดยตรงได้โดยการที่เขาได้คุ้นเคยกับประเพณีน้ันมากพอ คือได้ยินได้ฟังซ้า ๆ กัน หรือได้มองเห็นการ
ปฏิบัติซ้า ๆ กันจนกระท่ังเขาเกิดความเคยชินกับมัน และสามารถที่จะถ่ายทอดมันได้ด้วยตัวเอง และน่ี
คือพัฒนาการของผู้ที่ได้ชื่อว่าสืบทอดประเพณีโดยตรง แต่มิได้หมายความว่าผู้สืบทอดทุกคนจะมี
ข้ันตอนของการพัฒนาตนเองแบบเดียวกันน้ี เพราะในกรณีเช่นนี้จะมีคนจานวนน้อยเท่านั้นที่พัฒนา
จากผู้สืบทอดโดยทางอ้อมมาเป็นผู้สืบทอดโดยตรง ส่วนคนกลุ่มใหญ่ท่ีนอกเหนอื ไปจากนี้ก็จะมีลักษณะ
เป็นผสู้ บื ทอดโดยทางออ้ มไปจนชว่ั ชวี ิตของเขา

อย่างไรก็ตาม การท่ีบุคคลท่ีอยู่ในสังคมจะมีลักษณะเป็นผู้สืบทอดประเพณี
ปรัมปราโดยตรงหรือโดยทางอ้อมนั้น ไม่ได้ข้ึนอยู่กับว่าเขามีทัศนคติต่อประเพณีปรัมปราอย่างไร แต่
ขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถถ่ายทอดประเพณีนั้นได้อย่างไรถ้าพิจารณาประเพณีท่ีมีอยู่อย่างม่ันคงแล้วใน
สังคมของบุคคลนั้น ลักษณะการถ่ายทอดของเขาควรจะเป็นการถ่ายทอดโดยตรง แต่ตัวเขาเองจะ
กลายเป็นผู้สืบทอดโดยทางอ้อมไปในเวลาเดียวกัน หากมีประเพณีอย่างอ่ืนที่เขาเพียงแต่รู้จัก แต่มิได้
คุ้นเคยน่นั กค็ ือเขาถา่ ยทอดประเพณจี านวนน้อยโดยตรง แตถ่ ่ายทอดประเพณีจานวนมากโดยทางอ้อม

9. ลกั ษณะการถา่ ยทอดประเพณีปรมั ปรา
ถ้าหากปรัมปราประเพณีเป็นสิ่งที่ถูกถ่ายทอดไปโดยพ่อแม่เป็นผู้ส่งผ่านให้ลูก ๆ หรือ

ผู้รับการถ่ายทอดมีโอกาสที่จะฟัง หรือสังเกตการปฏิบัติประเพณีซ้า ๆ กันแล้ว ลักษณะของการ
เผยแพร่ประเพณีก็คือ ตัวผู้ถ่ายทอดโดยตรงเดนิ ทางไปยังที่ไหน เขาก็มีโอกาสที่จะถ่ายทอดประเพณีท่ี
นั่น หากเป็นที่ต้องการของตนในชุมชนหรือสังคมนั้น แต่ถ้าเขาอยู่ที่สังคมน้ันเป็นระยะเวลาส้ัน ๆ
ประเพณีปรัมปราที่เขานามาถ่ายทอดก็มีโอกาสท่ีจะฝังรกรากอยู่ที่น่ันอยู่บ้าง แต่จะไม่ลึกซ้ึงพอที่จะทา
ให้คนในชุมชนจดจาไปถ่ายทอดต่อในลักษณะของผู้สืบทอดโดยตรง คงเป็นได้แต่เฉพาะผู้สืบทอดโดย
ทางอ้อม เพราะระยะเวลาท่เี ขาอยใู่ นชุมชนน้นั ส้ันเกินไป

เมื่อมีผู้อพยพโยกย้ายไปตามจังหวัดหรือท้องถิ่นต่าง ๆ เขาจะนาประเพณีปรัมปราไป
ถ่ายทอดเผยแพร่ด้วย และในท่ีสุดประเพณีน้ันก็อาจจะแพร่หลายไปทั่วประเทศ ตัวผู้ถ่ายทอดซึ่งเป็น
ผู้สบื ทอดโดยตรงมักจะมโี อกาสได้พบปะกับผู้สืบทอดโดยทางอ้อมอยู่เสมอ ในการที่จะเผยแพรป่ ระเพณี
แบบเดยี วกัน แต่จะได้พบกับผ้สู บื ทอดโดยตรงเชน่ เดียวกับตวั เขาเองอยูบ่ า้ ง ดงั นนั้ ตัวประเพณีปรัมปรา
ทผ่ี ้สู ืบทอดแต่ละคนถ่ายทอดออกมานนั้ จะผสมผสานกันและมวี ิวฒั นาการขนึ้ มาเป็นอีกระดับหนึ่ง และ

คติชนและภูมปิ ัญญาท้องถิ่น 59

อาจจะกลายเป็น “รูปแบบดั้งเดิม” ของท้องถ่ินน้ัน ๆ ไปในกรณีท่ีผู้สืบทอดประเพณีโดยตรงอพยพ
โยกย้ายไปยังประเทศใหม่ ดินแดนใหม่ การถ่ายทอดจะมีปัญหาและเงื่อนไขมากกว่าการปฏิบัติใน
ประเทศเดยี วกันตวั เขาก็อาจจะกลายเป็นผู้สืบทอดโดยทางอ้อมไปโดยปรยิ าย

3.4 บทสรปุ

3.5 คำถำมทบทวน

3.6 เอกสำรอ้ำงอิง

Jan Harold Brunvand, Folklore. A Study and Research Guide. (New York : St. Martin's
Press, Inc., 1976). p.3.

Jan Harold Brunvand, The Study of American Folklore : An Introduction (New York :
WW Norton & Co. , Inc. , 1968). p.2.

Richard M. Dorson, ed. Folklore and Folklife : An Introduction. (Chicago : University
of Chicago Press, 1972). pp.2-5.

Charlotte Sophia Burne, The Handbook of Folklore. (London : Senate, 1996). p.4.
John William Johnson, Folklore Theory and Techniques. (n. p. , n. d.)
Phya Anuman Rajadhon, Essays on Thai Folklore. (Bangkok : Duang Kamol, n. d).
Laurits Bodker, ed. C. W. Von Sydow : Selected Papers on Folklore. (Copenhagen :

Rosenkilde and Bagger, 1948). p.12.

บทที่ 4
ศิลปะการแสดงพน้ื บ้าน ลอ้ แหง่ จติ วญิ ญาณ

4.1 การแสดงพ้นื บา้ น

การแสดงพ้ืนบ้าน หมายถงึ มหรสพ หรอื การเล่นรนื่ เริงท่ีชาวบ้านนิยมเล่นกันในงานต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นงานเทศกาล งานมงคล หรืองานฉลองทั้งหลาย การแสดงพ้ืนบ้านเป็นคติชนอย่างหน่ึงที่
แสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมของไทยอย่างเด่นชัด ดังจะเห็นได้จากในท้องถ่ินของ
ไทยแตล่ ะแห่ง มกั จะมีการแสดงพืน้ บ้านของตนเองทแี่ ตกตา่ งกนั ไปตามแต่ละภาคดังจักกล่าวถึงต่อไปน้ี

4.2 การแสดงพื้นบ้านภาคกลาง

ภาคกลาง นิยมการแสดงพ้ืนบ้านหลายชนิด ไดแ้ ก่ ลิเก ละคร โขนสด หุน่ รา และระบาชุด
ตา่ ง ๆ ฯลฯ ซึง่ มีรายละเอยี ดคือ

1. ลิเก ลิเกเป็นการแสดงพ้ืนบ้านท่ีได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปค่อนข้างสูง และ
เรียกเป็นภาษาทางราชการว่า “นาฏดนตรี” หรือชาวบ้านเรียกกันในหมู่ผู้นยิ มว่า “ยี่เก” เกิดขึ้นในสมัย
รัชกาลที่ 5 โดยได้ดัดแปลงมาจากการเลน่ รน่ื เริงในงานบุญทางศาสนาของแขกอิสลาม ท่ีมกี ารดีรามะนา
ประชันกนั ไทยเรารบั มาปรับเข้ากบั รสนยิ มของคนไทยวิวฒั นาการเปน็ ลเิ กประเภทตา่ ง ๆ เชน่

1.1 ลิเกเลียบ หรือสิเกกลอง เป็นการเล่น และร้องสรรเสริญพระศาสดามะหะหมัด
ในงานบุญต่าง ๆ ของแขกอิสลาม จะเล่นหรือแสดงประชันกันเป็นวง ๆ วงหนึ่งมีประมาณ 8-14 คน
ทุกคนในวงจะร้อง และตรี ามะนาไปดว้ ย คนแรกจะลุกขึน้ ยืนรอ้ งเอาขาหนีบรามะนาไว้ร้องจบคาหน่ึงคน
ท่ีเหลือก็ร้องรับคาน้ันไปจนจบกระบวนร้องของคนน้ันแล้วก็เปล่ียนร้องกันไปจนครบวง ตามปรกติจะ
เปล่ียนเล่นวงละช่ัวโมง แต่ละวงเตรียมหาลูกเล่นสนุก ๆ มาเล่นเพื่อเอาชนะกัน ผู้เล่นเป็นชายล้วน และ
ไม่ต้องมีการว่าจ้างเนื่องจากผู้แสดงจะมาเล่นกันด้วยน้าใจไมตรีหรือมิตรภาพระหว่างเจ้าของงานกับ
ผู้เล่น รางวัลท่ีได้รับอาจเป็นเพียงสิ่งของเล็กน้อย หรือคาชมเชยจากเจ้าของงานเท่าน้ัน ลิเกเลียบจึงมี
แพร่หลายไปตามหมู่บ้านท่ีเป็นหมู่บ้านชาวแขกปัตตานีท่ีมาอยู่ในกรุงเทพมหานคร จนถึงจังหวัด
นครนายก อยุธยา และทุกถิน่ ที่มพี วกแขกตานีอาศยั อยู่

คตชิ นและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น 61

1.2 ลเิ กปันตน หรือลเิ กบนั ตน เปน็ การแสดงท่เี ร่มิ ตน้ โหมโรงดว้ ยการตรี ามะนา ซึง่ มี
12 ใบ (ตี) เป็นจังหวะต่าง ๆ จบแล้วก็จะร้องว่ากันได้ตอบกันในบรรดาคนร้อง ซึ่งมี 4 คนด้วยกัน หรือ
อาจจะเล่นเป็นเร่ืองราวชุดสั้น ๆ เป็นชุดต่าง ๆ แต่ละตัวก็ร้องต่างภาษากันมีหลายภาษาท่ีชนชาติไทย
รู้จัก เช่น เขมร แขก มอญ ลาว ฯลฯ เพลงที่ร้องก็ใช้สาเนียงภาษาน้ัน ๆ จึงมักเรียกลิเกชนิดนี้ว่า “ลิเก
สิบสองภาษา” ซง่ึ บางชดุ นยิ มกนั มากในสมัยก่อน ถึงกบั เด็ก ๆ นาไปร้องเลน่ กนั ทว่ั ไป คอื ชุดมอญ ตอน
“พระยานอ้ ยชมตลาด” แม้ในปัจจบุ ันเด็ก ๆ ก็ยงั นยิ มนาชุดน้ีมาเลน่ กนั ตามโรงเรยี นอยู่บ้าง

1.3 ลิเกลาตัด เป็นลิเกท่ีไม่ได้มีการเล่นเป็นเร่ือง ทว่าจะใช้วิธีการร้องแ ก้กัน
สันนิษฐานว่ามาจากการเล่นละกูเยาของมลายู ซ่ึงเป็นต้นเค้าของลิเกลาตัด และต่อมาก็กลายเป็นลาตัด
ดงั ทเ่ี ห็นกนั อย่ใู นปัจจบุ ันนี้ ลเิ กลาตดั มกั จะมคี าตลกโปกฮา และมีภาษาหยาบไม่คอ่ ยเป็นท่นี ยิ มเทา่ ไรนัก

1.4 ลิเกทรงเคร่ือง เป็นการเล่นลิเกท่ีเลียนแบบละคร เคร่ืองแต่งตัวดัดแปลงจาก
เคร่ืองทรงของเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ เช่น ใส่มงกุฎ นุ่งผ้าจีบหน้านาง ฯลฯ ผู้แสดงต้องมี
ความสามารถในการราแบบเดียวกับละคร เวลาแสดงมีการราตามเพลงหน้าพาทย์ เรือ่ งทแ่ี สดงส่วนมาก
กน็ าเค้าเรอื่ งมาจากละครนอก แต่มาใหเ้ พลงทานองต่าง ๆ และผ้แู สดงร้องด้นกลอนกนั เอง

1.5 ลิเกลูกบท เป็นลิเกที่นิยมกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยจะเล่นเป็นเร่ืองคล้ายคลึง
กับลิเกทรงเคร่ือง แต่เคร่ืองแต่งตัวใช้เครื่องแต่งตัวง่ายๆ ถ้าเป็นตัวคนสามัญก็แต่งตัวเหมือนชาวบ้าน
แต่ต้องให้มีสีสันสะดุดตา แต่เดิมลิเกลูกบทใช้ผู้ชายแสดงล้วน ต่อมาเกิดการปรับปรุงเรื่อย ๆ จนมาใช้
ชายจริงหญิงแทแ้ สดง ดนตรใี ช้วงพิณพาทย์ แสดงเปน็ เรอื่ งราวตา่ ง ๆ อย่างสนกุ สนานกระทง่ั ได้รบั ความ
นิยมจากชาวบ้านทั่วไปเป็นอันมาก และเรียกช่ือต่อมาว่า “ลิเก” ดัง ที่มีการแสดงปรากฏอยู่จนถึง
ปจั จุบนั น้ี ซึง่ มลี ักษณะโดยทัว่ ไปดังนี้

1.5.1 การแต่งกาย ตัวพระ จะนุ่งผ้าม่วงสีสดยกกลีบ เสื้อมีการปักเพชรเทียม
วูบวาบ มีเคร่ืองสวมศีรษะปักพูดสวยงาม ชุดหนึ่ง ๆ มีราคาแพงมาก ตัวนางแต่งแบบไทยจักรีปักเลื่อม
วูบวาบ บางคนก็แต่งแบบตะวันตกแม้ว่าจะแสดงเป็นนางยากจนอยู่ในกระท่อมก็จะต้องแต่งตัวสวยงาม
มเี ครอื่ งประดบั วูบวาบ

1.5.2 ดนตรีประกอบการแสดง ใช้พิณพาทย์ สาหรับเพลงร้องทานองท่ีรู้จัก
กนั ดใี นการแสดงลเิ ก คือ ทานอง “รานิเกลงิ ”

1.5.3 เรื่องท่ีแสดง อาจจะนามาจากละครประเภทจักร ๆ วงศ์ ๆ ต่าง ๆ
บางคร้ังคนบอกเร่ืองซ่ึงมักจะเป็นหัวหน้าคณะหรือที่เรียกว่า “โต้โผ” จะเป็นคนนาเรื่องต่าง ๆ มา
ผสมผสานกันให้สนุกสนาน ในยุคปัจจุบันอาจจะเป็นเร่ืองแบบ นวนิยาย จินตนิยาย เร่ืองชีวิต สภาพ
สังคม เศรษฐกจิ การเมอื ง รกั หึงหวง อิจฉาริษยา แทรกเข้าไปให้สนุกสนาน เพ่อื ให้เป็นทพี่ อใจของผู้ชม
เป็นเกณฑ์

62 ชวนพศิ อตั เนตร์

1.5.4 ลาดับการแสดง พิณพาทย์โหมโรงน้าพอสมควร แล้วจึงมีการออกแขก

ผู้แสดงเป็นแขกก็ออกมาบอกกล่าวเก่ียวกับเร่ืองท่ีจะแสดง แล้วเร่ิมเร่ืองโดยผู้แสดงราออกมา และร้อง

แนะนาตวั เอง แลว้ จะมีบทเจรจาซึ่งวธิ ีพูดมสี าเนยี งแตกตา่ งไปจากการพูดธรรมดาต่อจากนัน้ ก็จะดาเนิน

เร่ืองไปตามเนื้อเรื่องจนจบ ตัวอย่างกลอนลิเก

(ชาย) โฉมเอยไฉไล ขอถอดใจเดิมพัน

จะรกั ช่ือถอื มน่ั ไม่เหหนั กลบั คา

เอาหยาดเหงือ่ แรงงาน ทด่ี าหว่านคราดไถ

ประกนั ไวเ้ พอื่ รกั ใหป้ ระจักษใ์ จจา

ผชู้ ายบ้านนอกอยา่ งพ่ี ไม่เคยเปน็ ผหี ลอกอา (พิณพาทยร์ ับ)

(หญงิ ) เสียงเพลงลิเก โอล้ ะเห่เกีย้ วสาว

พ่ีเอ๋ยกลวั นอนหนาว รีบขายขา้ วจัดแจง

ไปซอ้ื ทองรูปพรรณ รบี มาหมนั่ คนรกั

อกจะหกั ชักชา้ ไมร่ บี มาตบแต่ง

คนอืน่ เขามาใตด้ ิน จะอดกินไข่แดง (พณิ พาทย์รบั )

ในปจั จุบันนก้ี ารแสดงลเิ กกลายเปน็ อาชีพทาให้มีคณะลิเกต่าง ๆ มากมายหลายคณะ มีทง้ั ลิเกทีเ่ ล่นตาม

โรงท่ีปลูกสร้างไว้สาหรับแสดงโดยเฉพาะ ให้คนมาซ้ือบัตรเข้าไปชมการแสดงหรือให้คนมาหาว่าจ้างไป

แสดงในงานต่าง ๆ มีการแสดงลิเกวิทยุที่เล่นติดต่อกันเป็นตอนๆ ให้ผู้คนติดตามชม ซ่ึงในสมัยที่ยังไม่มี

โทรทัศน์ ชาวบ้านนิยมฟังลิเกวิทยุกันมากต่อมาเม่ือมีโทรทัศน์เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็มีการแสดงลิเก

ทางโทรทศั น์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 เป็นต้นมา ซ่งึ ไดร้ บั ความนิยมจากผ้ชู มทางบ้านอย่างยง่ิ เพราะสามารถ

หาความบนั เทิงทางบ้านได้สะดวกกระทั่ง พ.ศ. 2521 ลเิ กโทรทัศน์เริม่ เส่ือมความนิยม เพราะมีการแสดง

รปู แบบใหม่ ๆ เขา้ มาแทนที่เป็นอนั มาก เชน่ ภาพยนตร์ ดนตรี เพลงทงั้ ไทยและสากลรวมท้ังละครแบบ

ตะวนั ตก ซ่ึงทาใหเ้ ป็นทน่ี ิยมของผูช้ มมากกวา่

อน่ึง ลิเกโทรทัศน์เพ่ิงจะมามีบทบาททางโทรทัศน์ใหม่อีกคร้ังหลังจากมีดาราเพลง

ลูกทุ่ง ดาราภาพยนตร์ ดารานักร้อง และนักแสดงต่าง ๆ มาร่วมแสดงแบบลูกบทกลายๆ คล้ายลิเก

ทรงเครื่องปนลเิ กลกู บท ไม่มีการรา มีแต่บทร้อง มีฉากประกอบ ส่วนผู้ท่ีสันทัดในเชิงลิเกมาก่อนก็แสดง

การราแบบลเิ กบา้ งสลับกันไป ก็มผี ลทาให้การแสดงง่ายขนึ้ บางทกี ็แตง่ เรอ่ื งข้ึนใหม่ แต่งตัวแบบประยุกต์

แวววับไปทั่วตัว ไม่คานึงถึงข้อเท็จจริง การรามีน้อยเดินเร่ืองได้เร็ว มีตลกขบขัน และมีฉากประกอบ

สวยงามเป็นที่นิยมของชาวบ้านยงิ่ ขึ้น

2. ละคร เป็นการแสดงท่ีเล่นเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวบ้านเป็นอันมาก

เพราะนอกจากจะสวยงามด้วยลีลาท่าราแล้วยังสนุกสนานอีกด้วย การละครของไทยน้ีโดยท่ัวไปจะแบ่ง

อย่างกว้าง ๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือละครรา ละครร้อง ละครพูด และละครรายังแบ่งออกเป็นละคร

คติชนและภูมปิ ญั ญาท้องถ่ิน 63

ชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครพันทาง ละครดึกดาบรรพ์ ฯลฯ ซ่ึงในทีนี้จะขอ
กล่าวถึงเฉพาะละครท่ีชาวบ้านทั่วไปนิยมกันเท่านั้น ถือว่าเป็นละครพื้นบ้าน ได้แก่ ละครนอกกับละคร
ชาตรี ดงั นี้

2.1 ละครนอก เป็นการแสดงละครท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะรูปแบบของตนเอง
โดยเฉพาะ กล่าวคือ เป็นละครท่ีใช้ผู้ชายแสดงล้วนจนถึงสมัยรัชกาลท่ี 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้มี
ประกาศพระบรมราชโองการยกเลิกห้ามผู้หญิงเล่นละครนอกจากน้ันจึงเริ่ม มีการแสดงละครนอกท่ีใช้
ผู้แสดงเป็นชายจริงหญิงแท้ต้ังแต่นน้ั มาจนปัจจุบนั สาหรับเครื่องแต่งตวั ของผู้แสดงจะแต่งตวั ทรงเครอื่ ง
ตามแบบตัวพระตัวนาง ศีรษะสวมชฎาหรือมงกุฎแบบต่าง ๆ ตัวแสดงจะร้องเพลงเอง และราตามบทที่
ร้องโดยมีคนบอกบทให้ และมีลูกคู่รับ ส่วนวงดนตรีใช้วงปี่พาทย์เคร่ืองห้า (ป่ี ระนาด ฆ้องวง ตะโพน
กลองทัด และฉง่ิ ) เพลงท่รี ้องจะมีจังหวะค่อนข้างเรว็ มกั จะมีคาวา่ นอกต่อทา้ ย เช่น เพลงโอ้โลมนอก ข้ึน
พลับพลานอก และร่ายนอก เป็นต้น การดาเนินเรื่องรวดเร็ว และตลกขบขันเป็นที่ถูกใจและทันใจผู้ชม
เป็นอันมาก ดังน้ันเมื่อถึงตอนแสดงบทตลกจึงมักจะเล่นตลกอยู่นาน ๆ ในด้านการร่ายราเป็นไปอย่าง
ว่องไวกระฉับกระเฉง ถ้อยคาในบทละครเป็นคาตลาดพ้ืน ๆ อย่างชาวเมืองหรือชาวบ้านพูดกัน และ
ไม่ต้องรักษาระเบียบประเพณีเคร่งครัดนกั ตัวพญามหากษัตริย์หรือมเหสจี ะพูดเลน่ กันตัวเสนาอยา่ งไรก็
ได้ขอให้เกดิ ความขบขนั แกผ่ ู้ดูเท่านั้น สาหรับเนื้อเร่ืองทแ่ี สดงมักเปน็ เร่ืองประเภทจักร ๆ วงศ์ ๆ ซ่ึงนิยม
เล่นในตอนท่ีมีเหตุการณ์ตื่นเต้นเป็นเร่ืองหึงหวง ชิงรักหักสวาท จะได้มีการด่าว่ากันได้เต็มที่ เป็นที่
สนุกสนาน และนิยมของคนดู เช่น เร่ืองแก้วหน้าม้าตอนถวายลูก เรื่องคาวีตอนนางคันธะมาลีข้ึนเฝ้า
เรอ่ื งไกรทองตอนพ้อล่าง และทอ้ บน เร่ืองไชยเชษฐ์ตอนนางแมวเยย้ ซุ้ม เรื่องสงั ข์ทองตอนนางมณฑาลง
กระทอ่ ม สาหรับสถานทแ่ี สดงสมัยก่อนไม่มีโรงที่ใช้แสดงโดยเฉพาะจึงแสดงกลางแจ้งตามลานบ้าน หรอื
ศาลาวดั ถา้ เปน็ กลางแจง้ จะปลูกโรงชว่ั คราว ตรงกลางโรงต้ังเตยี งไมห้ รอื แคร่ไม้ไผเ่ ป็นท่ีนงั่ แสดง เมอ่ื ถึง
บทตัวละครจะลุกขึ้นแสดงตรงกลางเวที และนั่งเตียงหมดบทแล้วก็น่ังลงที่เดิมข้าง ๆ โรง ส่วนคนดูที่นั่ง
หรือยืนล้อมรอบโรง เดิมละครนอกไม่มีการก้ันฉากหรือม่าน ต่อมาในสมัยหลังจึงทาม่านหลังเป็นผ้าพื้น
ไมม่ ลี ายและภาพ ต่อมาเพิม่ ลาย และภาพเปน็ ฉากทอ้ งพระโรง หรือป่าเขาลาเนาไพร

2.2 ละครชาตรี เป็นละครท่ีเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เม่ือนักแสดงโนราชาตรีชาวปักษ์
ไดเ้ ขา้ มาอยู่ในกรุงเทพฯ ได้เลน่ ตามแบบละครนอก กลายเป็นละครชาตรี โดยเหตุทช่ี าวใต้คดิ ท่าราและ
ใชส้ าเนียงใต้ จงึ ราในกระบวนลลี าของโนรา และเพลงรอ้ งกค็ งทาเนยี งและหลักเพลงโนรา คอื ร้องซา้ เน้ือ
ร้องทั้งหมดหลายคร้ัง ละครชาตรีมีลักษณะการแสดงทั่วไปทานองเดียวกับละครนอก มีข้อแตกต่างที่
สาคญั ที่พิธีกรรมต่าง ๆ ก่อนการแสดง คือจะตอ้ งทาพิธบี ชู าครู โดยคณะละครจะเรียกเครื่องบชู าครูจาก
เจ้าภาพที่จ้างมาแสดงเพื่อเป็นการฉลองหรือแก้บน หรือเป็นการบูชาเทวดาก็ตาม แล้วจะบริกรรมไหว้
ครู ป่ีพาทย์โหมโรง แล้วร้องบทไหว้ครู เมื่อร้องไหว้ครูจบแล้ว ตัวนายโรงจะออกราซัดหน้าบทท่ีเรียกวา่
“ราซัดชาตรี” เป็นการราอย่างเร็วเข้ากับป่ีพาทย์ตามจังหวะกลองและทับคนราจะร้องเพลงบูชาคุณครู

64 ชวนพิศ อตั เนตร์

และราเพลงครู 12 ท่า เมื่อร้อง และไหว้ครูเสร็จแล้วก็ดาเนินการแสดงตามแบบละครนอก แต่ละคร
ชาตรีในขั้นต้นจะร้องเป็นกลอนด้นด้วยปฏิญาณของผู้แสดงเอง คร้ันเม่ือได้นาบทละครนอกมาใช้จึงร้อง
ตามเน้ือบทละครนัน้ ๆ เวลารอ้ งจะมีคนบอกบทนาให้คนแสดงร้องกลอนเป็นวรรค ๆ แล้วบอกซ้า ๆ ให้
ได้ยินไปตลอด เพลงร้องของละครชาตรีแม้ว่าจะเลียนแบบเพลงละครนอกแล้วทว่าก็ยังคงลกั ษณะเพลง
โนราอย่างเดิม คือมีสาเนียงชาวใต้ และร้องกลอนวรรคท้ายซ้า ๆ กัน 3 ครั้ง แล้วมีลูกคู่ร้องรับด้วย เม่ือ
ร้องกลอนจบจึงถึงบทเจรจาอธิบายรายละเอียดของเร่ืองด้วยถ้อยคา และเป็นช่วงเวลาที่เล่นติดตลกกัน
อยา่ งสนกุ สนานครื้นเครงตามประเพณีนิยมของการแสดงชาวบ้าน ถ้อยคาและเนื้อความเป็นไปตามแบบ
สองแงส่ องง่าม หรอื บางท่กี ็พดู กันตรง ๆ โดยไมถ่ อื ว่าเป็นเร่อื งลามกกม็ ี

สาหรับเร่ืองท่ีแสดงมักจะเป็นเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ แบบเดียวกับละครนอก เช่น
เรือ่ งคาวี การะเกด มณพี ชิ ัย พิกลุ ทองสังข์ทอง สงั ข์ศลิ ปช์ ัย สวุ รรณหงส์ ไกรทอง ไชยเชษฐ์ พระรถ-เมรี
ฯลฯ แม้จะเป็นเรื่องท่ีตัวเอกเป็นกษัตริย์แต่ผู้แสดงไม่คานึงถึงราชาศัพท์ ถ้อยคา และกิริยาท่ีปฏิบัติจะ
เป็นเพียงถ้อยคาภาษาตามแบบที่ชาวบ้านใช้กันเท่านั้น ส่วนการแต่งตัวก็เหมือนอย่างละครนอกคือ
แต่งตัวทรงเคร่ืองเชน่ กัน

ในด้านการราของละครชาตรียุคต้นจะใช้ท่าราในท่างา่ ย ๆ ลีลาของท่าราเป็นไป
ตามแบบโนรา ต่อมาละครชาตรีได้เลียนแบบละครนอกมากจนเกือบจะเป็นละครอย่างเดียวกัน
จนปจั จุบันนจี้ ะหาละครชาตรที ่ีแสดงตามแบบเดิมไม่ได้เลยนอกจากจะพิจารณาจากดนตรีและเพลงร้อง
คือ เคร่ืองดนตรีใช้ปี่พาทย์ชาตรีซ่ึงประกอบด้วย ป่ีนอก โทนหรือทับ 1 คู่ กลองตุ๊ก 1 คู่ ฆ้อง 1 คู่ กรับ
หรือแตร และฉ่ิง ส่วนเพลงร้องละครชาตรีดัดแปลงเพลงละครนอกมาใช้ร้องดัดแปลงตามสาเนียงและ
ลีลาเพลงเก่าของโนรา โดยมีคาว่า “ชาตรี” กากับไว้ท้ายช่ือเพลงเพื่อบอกลักษณะเฉพาะ เช่น เพลงโอ้
ชาตรี รา่ ยชาตรี ชาตรีตัด ชาตรีกรบั เป็นตน้

ละครชาตรีมีวัตถุประสงค์ท่ีแสดงเพ่ือแก้บน และบูชาเทวดา ให้เป็นสิริมงคล
และกาจัดเสนียดจัญไร ไม่ได้เล่นเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว อย่างละครนอก ดังน้ันละครชาตรีทั่วไปจึง
มักจะแสดงตามสถานท่ศี ักด์ิสิทธ์ิ และหน้าศาลเทพารักษ์จะต้องมโี รงสาหรับแสดง มีเสากลางโรงต้นหนึ่ง
ถือว่าเป็นที่ประทับของท้าวเวสสุวัณที่โคนเสาวาง “ซองคลี” คือกระบอกไม้สาหรับใส่อาวุธท่ีใช้ในการ
แสดง กลางโรงมีเตียงหรือแคร่หนึ่งตัวเป็นที่ให้ตัวละครน่ังแสดง วงป่ีพาทย์ตั้งข้างๆ เตียง ตัวแสดง
ต้นเสียง และลูกคู่น่ังรวมอยูข่ ้าง ๆ ท่ีเดียวกัน เม่ือถึงบทตัวละครก็จะลุกออกมาแสดงบนเตียง และพื้นท่ี
หน้าเตียง จบบทแล้วก็กลับไปน่ังท่ีเดิมถ้าจะต้องมีการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวหรือเพ่ิมเคร่ืองแต่งตัวเพื่อ
เปล่ยี นตวั ละครกแ็ ต่งตรงนั้น ท่ีคนคุมวง และคนดูเหน็ อยู่ตลอดเวลา ต่อมาภายหลังมีม่านผ้าปิดขา้ งหลัง
เตยี งทาใหแ้ ยกหนา้ เวที และหลงั เวทีออกเปน็ คนละส่วนกัน

คตชิ นและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิ่น 65

2.3 โขนสด หรือเรียกอีกอย่างว่า “หนังสด” เป็นการแสดงพ้ืนบ้านที่มีมาแต่โบราณ
มักใช้เป็นมหรสพในงานฉลองต่าง ๆ โขนสดน้ันได้รับแบบอย่างมากจากการแสดง 3 ประเภท คือ โขน
หนังตะลุง และลิเก โดยเลียนแบบลักษณะบางอย่างจากการแสดงดังกล่าวมาเป็นการแสดงชนิดใหม่ท่มี ี
ลักษณะเฉพาะตัว เรียกว่า หนังสด ซ่ึงเป็นชื่อเรียกที่ไปพ้องกับการกระทาบางอย่างในทางไม่ดี ต่อมาจึง
เรียกชือ่ การแสดงชนดิ นเ้ี สียใหม่ว่า “โขนสด”

โขนสด ผู้แสดงจะแต่งกายทรงเครื่องเหมือนการแสดงโขน แต่ไม่ประณีตเท่าจะ
สวมหัวโขนท่ีเป็นหน้ายักษ์ หน้าลิงต่าง ๆ แต่ไม่สวมครอบหน้าอย่างโขน จะครอบเฉพาะศีรษะค้างไว้ที่
หน้าผาก เปิดให้เห็นใบหน้าผู้แสดง ผู้แสดงโขนสดจะเป็นผู้ร้องและเจรจาเองเหมือนอย่างการแสดงลิเก
ซ่ึงต่างจากการแสดงโขนโดยท่ัวไปที่ผู้แสดงจะราและทาท่าตามบทอย่างเดียวไม่ต้องร้อง และเจรจา
เพราะจะมีผู้ทาหน้าท่ีพากย์บทร้อง และบทเจรจาให้ดังน้ันผู้แสดงโขนสดต้องมีความสามารถในการร้อง
ตามเน้ือเร่ืองด้วย การแสดงมุ่งความรวดเร็ว สนุกสนานตลกขบขัน ส่วนลีลาท่ารานั้นไม่อ่อนช้อยงดงาม
อย่างโขน ผู้แสดงจะเต้นโยกตัวไปมาทางด้านข้างอย่างการเชิดหนังตะลุง เครื่องดนตรีก็ใช้วงป่ีพาทย์
ซึ่งประกอบด้วย ปี่ ระนาคฆ้อง กลอง ตะโพน การแสดงโขนสดนิยมแสดงเรื่องรามเกียรต์ิ เช่นเดียวกับ
การแสดงโขนท่วั ไป

ปัจจบุ ันโขนสดเปน็ การแสดงพ้นื บา้ นท่คี ่อนขา้ งจะหาดไู ด้ยาก แต่กย็ งั มีคณะโขน
สดที่แสดงเป็นอาชีพท่ีมีช่ือเสียงเช่น โขนสด คณะสังวาลย์ เจริญย่ิง ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศเข็ม
พระราชทานจากการประกวดที่สวนอัมพรติดต่อกันถึง 6 ครั้ง ขณะน้ีได้เปิดการแสดงทั่วไปและแสดง
ออกอากาศทางสถานวี ิทยุอีกด้วย

2.4 หนุ่ ไทย ห่นุ เป็นการแสดงพน้ื บ้านท่ีไดร้ ับความนยิ มกันมากในสมัยก่อน ซง่ึ จะจัด
แสดงในงานหลวง งานนักขัตฤกษ์และงานประเพณีต่าง ๆ หุ่นไทยแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ตามลาดับ
ววิ ัฒนาการ ดงั นี้

2.4.1 หุ่นหลวง หรือหุ้นใหญ่ เป็นการแสดงท่ีมีมาต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
การแสดงนี้ใช้ตัวหุ่นแทนคนแสดง สร้างด้วยไม้เป็นรูปคนเต็มตัว สูงประมาณ 1 เมตร มีหน้า ตาแขน
และลาตัว เลียนแบบคนจริง กลางลาตัวมีแกนไม้เสียบอยู่สาหรับให้คนเชิดจับ ภายในร้อยสายเชือกโยง
ไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สาหรับชักให้เคลื่อนไหว ส่วนที่เป็นคอ แขน ขา มือ และเท้าก็ขยับได้
เพราะประสงค์จะให้แนบเนียนเหมือนคนแสดงให้มากที่สุด กลไกของตัวหุ่นชนิดน้ีจึงซับซ้อน และต้อง
อาศัยความชานาญในการเชิด และชกั เป็นอย่างมาก คนชกั จะยนื เชิดหุ่น 2-3 คน สว่ นเครอื่ งแตง่ ตัวและ
เคร่ืองประดับของหุ่นนั้นเหมือนอย่างโขน และละครทุกประการ เร่ืองที่แสดงเป็นเรื่องสาหรับเล่น
ละครใน เช่น เรื่องรามเกียรติ์ และอุณรุฑ เป็นต้น เนื่องจากการเชิดชักหุ่นหลวงยุ่งยาก และเช่ืองช้า
การแสดงชนิดนจี้ งึ เส่ือมความนยิ มลงไปราวต้นสมยั รัตนโกสนิ ทร์

66 ชวนพิศ อตั เนตร์

2.4.2 หุ่นกระบอก เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลท่ี 5 ตัวหุ่นมีขนาดสูง 1 ฟุตเศษ
ส่วนหัว และมือแกะดว้ ยไม้ เลยี นแบบลักษณะคนจริง ๆ โผลพ่ น้ เสื้อผ้าออกมา ถ้าตวั ห่นุ ทาดว้ ยกระบอก
ไม้ไผ่ ลักษณะการแต่งตัวของหุ่นกระบอกเลียนแบบตัวละคร ตัวเสื้อทาด้วยผ้าปักด้ินเย็บทบกันเป็นถุง
คลุมตั้งแต่คอลงมาจนคลุมปลายกระบอกไม้ไผ่ ไม่มีแขนเสื้อ ปลายมุมด้านบนของเส้ือมีมือติดอยู่ทั้ง
2 มุม มีก้านไม้ไผ่ 2 ก้านผูกติดกับมือสาหรับบังคับหุ่นให้ร่ายรา หุ่นกระบอกไม่มีขา คนเชิดจะถือแกน
กระบอกไม้ไผ่มือหนึ่ง อีกมือหนึ่งจับก้านไม้ท่ีบังคับมือหุ่น นอกจากจะทาหน้าท่ีเชิดหุ่นแล้ว คนเชิดยัง
ต้องเจรจาแทนตัวหุ่นอีกด้วย เวลาเชิดจะน่ังอยู่หลังโรงเชิดหุ่นหนึ่งตวั ต่อคน และมักนิยมแสดงเร่ืองของ
ละครนอก เชน่ สงั ขท์ อง สงั ขศ์ ลิ ปช์ ัย นอกจากนั้นยังนยิ มแสดงเร่ืองพระอภัยมณี และรามเกียรตอ์ิ ีกด้วย
ทานองเพลงทน่ี ยิ มร้องในการแสดงหนุ่ กระบอกคือ ทานอง “สังขารา” มีซอด้วงเปน็ เครือ่ งดนตรีสาคัญที่
จะเล่นคลอเวลาร้องหุ่นกระบอกจัดได้ว่าเป็นการแสดงพื้นบ้านที่แพร่หลาย แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีคณะ
แสดงหุ่นกระบอกหลายคณะท่ีมีชื่อเสียง เช่น หุ่นกระบอกคณะนายเผือก ประเสริฐกุล คณะนายวงศ์
รวมสขุ คณะรอดศริ ินิลศลิ ปะ เปน็ ต้น

2.4.3 หุ่นละครเล็ก เป็นหุ่นที่เกิดหลังจากท่ีเกิดหุ่นกระบอกแล้วไม่นาน โดย
นายแกร ศัพทวนิช ศิลปินโขนละครสมัยรัชกาลท่ี 4 เป็นผู้คิดสร้างข้ึนเป็นคนแรก หุ่นละครเล็กเป็นหุ่น
เต็มตัวมีหัว แขน ขา สูงประมาณ 1 เมตรเศษ มีแกนไม้เสียบทะลุลาตัวออกมาเหมือนหุ่นหลวง แต่ลด
การใช้สายเชอื กชกั ใยไปตามอวัยวะสว่ นตา่ ง ๆ ของตัวหุ่นลง ใช้กา้ นไม้ผกู ติดกบั อวยั วะจากภายนอกของ
หุ่นแทน เช่นที่ข้อมือ การเคล่ือนไหวของตัวหุ่นชนดิ น้ีไม่แนบเนียนอย่างหนุ่ หลวง เพราะเห็นก้านไม้ท่ีใช้
บังใช้บังคับหุ่น แต่ก็สามารถชักไม้คล่องแคล่วว่องไว การเชิดหุ่นละครเล็ก 1 ตัว ต้องใช้คนเชิด 3 คน
ผู้เชิดต้องมีความชานาญ และรู้ศิลปะโขนละครเป็นอย่างดี โดยมากคณะที่จัดแสดงหุ่นกระบอกมัก
จะจัดแสดงหุ่นละครเล็กได้ด้วย แต่ในปัจจุบันน้ีมีคณะท่ีแสดงหุ่นละครเล็กอยู่เพียงคณะเดียว คือ
คณะยังเขยี วสด ซ่งึ อย่ใู นพระราชปู ถมั ภ์ในสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี

2.4.4 ราและระบาชุดต่าง ๆ ในภาคกลางมีการแสดงราและระบาต่าง ๆ
มากมาย ทัง้ ท่ีเปน็ ราเด่ียว ราคู่ และราหมู่ เช่น

ราเดียว เป็นการราท่ีใช้ผู้แสดงคนเดียว เช่น ราฉุยฉาย รากริซ พลาย
ชมุ พล ฯลฯ

ราคู่ คือการแสดงที่ใช้ผู้ราเป็นคู่ ๆ เช่น ราแม่บท ราอวยพร ราเมขลา
รามสูร ราดอกไมเ้ งินทอง รากฤษฎาภินหิ าร ฯลฯ

ราหมู่ หมายถงึ การราทใี่ ช้ผูแ้ สดงมากกวา่ 2 คนข้นึ ไป เช่น ราโคม ราสี
นวล รานพรตั น์ ราชุมนุมเผ่าไทย ราชดุ โบราณคดี ระบากลอง ระบาดอกบวั ระบาไก่ ฯลฯ

การแสดงพื้นบ้านภาคกลางดังได้กล่าวมาแลว้ น้นั ล้วนเปน็ ทน่ี ยิ มของคน
ภาคกลางและเปน็ ท่ีรจู้ กั ของคนไทยทั่ว ๆ ไป

คติชนและภมู ิปัญญาท้องถิ่น 67

4.3 การแสดงพนื้ บา้ นภาคเหนอื

ภาคเหนือมีการแสดงที่เป็นการร่ายราเป็นชุด ๆ เรียกว่า “ฟ้อน” ซ่ึงมีท่าทางร่ายราท่ี
งดงามอ่อนช้อย นุ่มนวลละเมียดละไม ใช้แสดงในงานบุญสมโภชทางศาสนา งานบุญต่าง ๆ เช่น
การฟอ้ นราหน้าขบวนแหค่ รัวทาน ในงานตานกว๋ ยสลาก เปน็ ต้น ปัจจบุ ันมีการฟอ้ นในพธิ กี ารต่าง ๆ เช่น
ในการต้อนรบั แขกบา้ นแขกเมือง ในงานเลยี้ งขันโตก ฯลฯ การฟ้อนทางภาคเหนือ มี 5 ประเภท คือ

1. ฟ้อนเมือง เป็นการฟ้อนของคนท้องถิ่นภาคเหนือโดยตรง มีหลายชนิด เช่น ฟ้อน
เลบ็ ใช้ผูห้ ญงิ แสดงล้วน แต่งกายแบบพ้ืนเมืองล้านนา คอื นุง่ ผ้าซ่นิ สวมเสอ้ื คอต้ัง แขนยาวทรงกระบอก
ห่มผ้าสไบทับ สวมเล็บยาวเรียวแหลมท่ีทาด้วยโลหะทองเหลืองทั้ง 8 เล็บ ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ เกล้าผม
มวยประดับกล้วยไม้ ผู้ฟ้อนจะยืนเป็นแถวเรียงคู่ และร่ายราตามจังหวะดนตรีที่เชื่องช้าอ่อนช้อย ใช้มือ
ฟ้อนร่ายราเป็นทา่ ต่าง ๆ อย่างงดงาม

2. ฟ้อนเทียน มีลักษณะเดียวกับฟ้อนเล็บ แต่ผู้ฟ้อนไม่สวมเล็บ กลับมาถือเทียนข้าง
ละ 1 เล่ม ใชม้ อื ท่ีถือเทยี นรา่ ยราตามจงั หวะดนตรี

ตีกลองสะบัดไชย เป็นการฟ้อนแบบหนึ่งที่ใช้ลีลาการตีกลองแทนการรายรา
กลองสะบัดไชยเป็นกลองสองหน้า ชุดหน่ึงประกอบด้วยกลองขนาดใหญ่มาก 1 ลูก ขนาดพอเหมาะ
1 ลูก ขนาดเล็ก 2 ลูก นิยมเลน่ ในงานมงคล ผตู้ กี ลองจะร่ายราใหเ้ ข้าจังหวะมีลวดลายการตีกลองทั้งที่ตี
ด้วยไม้ ด้วยเข่า ศอก และศีรษะ ทั้งน้ีต้องตีกลองให้เข้ากับจังหวะของฆ้องและฉาบด้วย ผู้ฟ้อนเป็นชาย
หรือหญิงก็ได้

ฟ้อนสาวไหม ใช้ผู้หญิงฟ้อน เล่ียนอากัปกิริยาของการสาวไหม (ท่ีได้จากการเลยี้ ง
ตวั ไหม) แสดงข้ันตอนของการทอผ้าไหมเป็นสาคญั

ฟ้อนเจิง และตบมะผาบ ฟ้องเจิงคือ ฟ้อนดาบน่ันเอง เป็นการแสดงดาบในท่า
ต่าง ๆ ซ่ึงเป็นการแสดงออกของลีลานักรบ มีท่าการราดาบต่าง ๆ มากมาย การราดาบน้ันก็จะมีราดาบ
เด่ียวดาบคู่ ไปจนถึงการใช้ดาบ 12 เล่ม ก่อนจะฟ้อนเจิงจะต้องมีการ “ตบมะผาบ” เสียก่อน คือ ฟ้อน
มือเปล่า เป็นการย่ัวให้คู่ปรปักษ์บันดาลโทสะ และเป็นการปลุกใจพรรคพวกในการฟ้อนเจิงนี้มีการตี
กลองสะบัดไชยไปด้วย ฟ้อนได้ท้ังผู้หญิงและผู้ชาย คนท่ีเก่งๆ จะใช้ดาบได้ถึง 12 เล่ม บางท่าเป็นการ
ตอ่ สู้ทม่ี ลี ีลานา่ ดูและหวาดเสยี ว ดาบทใ่ี ช้มักจะเปน็ ดาบจรงิ หรือใชด้ าบหวายแทนกไ็ ด้

3. ฟ้อนม่าน เป็นการฟ้อนท่ีปนท่าราของพม่า การแต่งกายแบบหญิงสาวชาวพม่า
เกล้าผมมวย แต่มีผมยาวห้อยออกมาจากมวยปอยหน่ึง มีทั้งฟ้อนมือเหล่าและฟ้อนโดยถือผ้าแพร
ยาวคนละผืน ลีลาจังหวะของดนตรีมีท้ังช้า และเร็วสลับกัน ท่ารามีลักษณะแบบพม่าปนไทยเหนือ
ตวั อยา่ งการฟ้อนมา่ น เช่น ฟ้อนม่านมงคล ฟอ้ นม่านมุ้ยเชียงตา เปน็ ต้น

68 ชวนพิศ อัตเนตร์

4. ฟ้อนเง้ียว (ฟ้อนไทยใหญ่) เป็นการแสดงพ้ืนเมืองของชาวไทยใหญ่ทางภาคเหนือ
มลี ลี าการราแบบงา่ ย ๆ ประกอบดว้ ย ทา่ กระโดดตามจังหวะดนตรี การแต่งกาย ชายน่งุ กางเกงสดี าสาม
ส่วนหลวม ๆ ใส่เสื้อคอกลมสีดา คาดผ้าแดงหรือเขียวที่เอวและศีรษะ หญิงนุ่งผ้าซ่ินสีดา สวมเสื้อ
คอกลมสดี าสามสว่ น โพกผา้ ทศ่ี รี ษะ คอและแขนสวมลกู ประหล่ากาไลต่าง ๆ

5. ฟ้อนท่ีปรากฏในบทละคร เช่น ฟ้อนลาวแพน ซ่ึงมาจากบทละครเรื่อง พระลอ
ฟอ้ นลาวดวงเดอื น มาจากบทเพลงลาวดวงเดือน ฟอ้ นจากบทเพลงนอ้ ยใจยา เปน็ ต้น

6. ฟ้อนท่ีสืบเน่ืองมาจากการนับถือผี เช่น ฟ้อนผีมด ซึ่งเป็นการฟ้อนราเพื่อสังเวยผี
บรรพบุรษุ ผฟู้ ้อนตอ้ งอย่ใู นตระกลู เดียวกัน และมีเคร่ืองเซ่นต่าง ๆ ดว้ ย มีการทรงผบี รรพบุรษุ แลว้ พวก
ผู้หญิงจะฟ้อนราเป็นการสังเวย มีคนตีกลองในจังหวะเร้าใจประกอบการฟ้อนต่าง ๆ ของภาคเหนือ จะ
ใชด้ นตรีพืน้ เมืองประกอบ ซง่ึ ได้แก่ กลอง ฆ้อง ปี่ ซงึ สะล้อ บางอย่างอาจจะมรี ะนาดประกอบด้วย ถา้ มี
บทร้องกจ็ ะร้องดว้ ยภาษาถนิ่ ภาคเหนอื

4.4 การแสดงพนื้ บ้านภาคอีสาน

ทางภาคอีสาน เรียกการแสดงประเภทระบาราเต้นว่า “เซิ้ง” ซ่ึงเป็นการร่ายราท่ีมีลีลา
จงั หวะรวดเร็ว คกึ คักสนกุ สนาน เร้าใจ สาหรบั การรา่ ยราที่มีลีลาค่อนข้างช้าก็มีอยู่บ้าง เรยี กวา่ “ฟ้อน”
แต่ก็จะมีลีลาท่ีรวดเร็วกว่าการฟ้อนของทางภาคเหนือ ในภาคอีสานนี้ยังมีการแสดงดนตรีที่นิยมกันมาก
คือ “โปงลาง” ซึ่งมีลักษณะเฉพาะท่ีไม่เหมือนดนตรีชนิดอ่ืนนอกจากน้ันทางกลุ่มอีสานใต้แถบจังหวัด
สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ยังมีการแสดงท่ีปนวัฒนธรรมของเขมรส่วยอยู่ด้วย เช่น กันตรึม เรือมอันเร ฯลฯ
ดังจะได้กล่าวถงึ การแสดงแต่ละประเภทของภาคอีสาน ดังตอ่ ไปนี้

1. เซิ้ง เป็นการร่ายราทมี่ ีจังหวะและท่วงทานองที่รวดเร็ว คึกคัก สนุกสนาน เคร่ืองดนตรี
มักประกอบด้วย แคนกรับ กลองเถิดเทิง โหม่ง และฉาบ ให้จังหวะที่ครึกคร้ืน เซ้ิงมีมากมายหลายชนิด
แตกตา่ งกันไปตามจดุ มุง่ หมายและอปุ กรณใ์ นการเซง้ิ เชน่

1.1 เซิ้งบั้งไฟ เป็นการเซิ้ง เพ่ือบวงสรวงอ้อนวอนเทวดาขอให้ฝนฟ้าตกต้องตาม
ฤดูกาล ชาวบ้านจะพร้อมใจกันจุดบ้ังไฟ (บ้องไฟ) ข้ึนไปบนฟ้าคล้ายจะเป็นการเตือนสติให้เทวดาทราบ
ว่าฝนไม่ตกตามฤดูกาล กอ่ นท่ีจะนาบ้ังไฟมาจดุ ก็จะมีการแห่แหนกนั อยา่ งสนุกสนานทั้งหญงิ และชาย ทั้ง
ผู้ใหญ่และเด็ก จะราเซ้ิงไปตามถนน ท่ารานั้นไม่มีแบบแผน เพียงแต่ยกมือราและก้าวเท้าให้เ ข้ากับ
จังหวะโทน ฆ้อง และแคน เท่านั้น พร้อมทั้งร้องไปด้วย ถ้อยคาท่ีร้องก็เป็นคาง่าย ๆ ขอพร อ้อนวอน
เทวดา หรอื ขอสง่ิ ของ เงนิ ทองตา่ ง ๆ มาบรจิ าค เป็นตน้

1.2 เซิ้งกระติบข้าว เป็นการแสดงพื้นเมืองของชาวภูไท นิยมแสดงในงานร่ืนเริงวัน
นักขัตฤกษ์ต่าง ๆ เริ่มต้นด้วยฝ่ายชายนาเครื่องดนตรี และเคร่ืองกากับจังหวะ เช่น เคน กลอง โหม่ง
ฉาบ มาบรรเลง แล้วฝ่ายหญิงซ่ึงมีกระติบข้าวแขวนสะพายอยู่ข้างตัวออกมาเซ้ิง แสดงอากัปกิริยา

คติชนและภมู ิปัญญาท้องถ่นิ 69

สนกุ สนานรนื่ เรงิ ทงั้ น้ี เพื่อจะนากระติบใส่อาหารไปสง่ ให้แก่สามหี รือญาติพ่ีน้องท่ีออกไปทางานอยู่นอก
บา้ น

1.3 เซ้ิงกะหยัง เป็นการแสดงที่ชาวกาฬสินธุ์ได้ประยุกต์ข้ึนโดยนาเอาท่าราจากเซ้ิง
ต่าง ๆ เช่น เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งสาละวัน เข้าผสมกันและจัดกระบวนราขึ้นใหม่ และผู้เซ้ิงจะถือกระหยัง
(ภาชนะอย่างหนึ่งทาด้วยไม้ไผ่สาน มีลักษณะคล้ายกระบุง ใช้ใส่ส่ิงของต่าง ๆ) เป็นส่วนประกอบสาคญั
จึงเรยี กว่า เซ้ิงกะหยัง

1.4 เซง้ิ สวิง เปน็ การเซ้ิงทผ่ี ู้แสดงจะถือสวงิ ไวใ้ นมอื ท่าราตา่ ง ๆ จะเลียนแบบการหา
ปลาโดยใชส้ วิงเปน็ เคร่อื งมือ

1.5 เซิ้งครกมอง ครกมองก็คือครกกระเดื่องนั่นเองในสมัยก่อนชาวบ้านต้องตาข้าว
โดยใช้ครกกระเด่ือง การเซิ้งครกมองจึงได้นาเอาข้ันตอนการตาข้าวมาแสดงในการเซิ้งต่าง ๆ เหล่านี้
ผู้เซ้ิงจะแต่งกายตามแบบของชาวพ้ืนเมืองภาคอีสาน คือ ฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขาก๊วย สวมเส้ือคอกลม
แขนสั้น ใช้ผ้าขาวม้าคาดเอว ฝ่ายหญิงมักจะนุ่งผ้าซ่ินมัดหมี่ สวมเสื้อแขนกระบอก มีผ้าสไบไหมห่มทับ
การราเซิ้งยังมอี กี มากมายหลายชนิด เชน่ เซ้งิ ข้าวปนุ้ เซ้งิ ปลาจ่อม เซิ้งทานา เซิง้ ขา้ ว ฯลฯ

2. ฟ้อน การแสดงประเภทฟ้อนของภาคอีสานก็มีมากมายหลายชนิดเช่นเดียวกับการเซง้ิ
ตัวอย่างเชน่

2.1 ฟ้อนภูไท เป็นการฟ้อนของชาวภไู ทเพื่อฟ้อนสักการบชู าพระธาตุเชิงชุม จังหวดั
สกลนคร การฟ้อนใช้ผู้หญิงฟ้อน พวกผู้ชายเล่นดนตรี หญิงแต่งกายด้วยเส้ือผ้าสีดาย้อมคราม ชายเสื้อ
ขลิบสีแดง ผ้านุ่งมีเชิง เกล้ามวยสูง ใส่ตุ้มหูยาวๆ ทาด้วยเงิน ที่นิ้วมือสวมเล็บมือยาว เครื่องดนตรีใช้
ดนตรีพนื้ เมอื งอีสาน ปจั จบุ นั ฟ้อนภูไทจะแสดงในโอกาสที่มีงานเทศกาลและต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง

2.2 ฟ้อนตังหวาย เป็นการฟ้อนเพื่อบวงสรวงบูชาเทวดาฟ้าดิน มีการจัดอาหาร เป็ด
ไก่ หมู และส่ิงอ่ืน ๆ ตั้งถวายเทพเจ้า และมีการฟ้อนถวายด้วยเพ่ือเป็นการขอขมา และขอพรให้มีโชค
ลาภ มีลีลาการฟ้อนที่งดงาม อ่อนช้อย ใช้เคร่ืองดนตรีพื้นเมืองอีสานให้ทานอง โดยมีผู้แสดงเป็นหญิง
ล้วน เคร่ืองแต่งกายน้ันนงุ่ ผา้ ถุงมดั หม่ี ใช้ผ้าแพรวารัดอกทิ้งชาย 2 ข้างเกล้าผมมวย ประดับดอกไม้รอบ
มวยผม

2.3 ฟ้อนบายศรี เน่ืองมาจากพิธีบายศรีสู่ขวัญ เม่ือมีแขกมาเยือน มีคาร้อง
ประกอบการฟ้อนเป็นทานองเรียกขวัญ ผู้ฟ้อนเป็นหญิงล้วน นุ่งผ้าซิ่นใส่เส้ือแขนกระบอก ห่มสไบเฉียง
เกล้าผมมวย และทัดดอกไม้ตามแบบของชาวอีสาน นอกจากนั้นยังมีการฟ้อนอีกหลายชนิด เช่น ฟ้อน
สาละวนั ฟอ้ นมหาชยั ฟอ้ นไทดา ฯลฯ

3. การแสดงโปงลาง โปงลางเปน็ เครื่องดนตรชี นิดหนึง่ มลี กั ษณะคลา้ ยระนาด แตม่ ีขนาด
ใหญ่ ทาจากไมเ้ น้ือแข็ง เช่น ไม้มะหาด ไมป้ ระดู่ จะประกอบไปด้วยลูกระนาด หรอื ไม้ทอ่ นโตขนาดแขน
จานวน 12 ท่อน เรียงจากขนาดใหญ่ไปหาเล็ก หรือระดับเสียงต่าไปหาเสียงสูง ใช้เชือกร้อยเป็นผืนไม่

70 ชวนพศิ อัตเนตร์

ตอ้ งใช้รางอย่างระนาด แต่ใชแ้ ขวนไวก้ บั หลกั หรือเสา แต่ไมใ่ หท้ ่อนล่างชิดพน้ื ในการตีโปงลางนยิ มใช้คน
บรรเลง 2 คน แต่ละคนใช้ไม้ตีสองอัน ได้มีผู้นาโปงลางนี้ไปบรรเลงผสมกับเคร่ืองดนตรีอ่ืน ๆ ของภาค
อีสาน เช่น พิณพื้นเมือง หุน (จ้องหน่อง) ไหซอง (พิณไห) ซอพ้ืนเมือง กลอง ฆ้องโหม่ง หมากกั๊บแก๊บ
(กรบั พ้นื เมอื งอีสาน) ฯลฯ รวมเรียกว่า “วงโปงลาง” แสดงดนตรไี ด้ไพเราะเพราะพร้ิง เปน็ ทานองต่าง ๆ
ซึ่งมนี กั ร้องเพลงหมอลาภาคอีสาน หรือเพลงลกู ทงุ่ ประกอบดว้ ย เป็นทนี่ ยิ มของชาวบา้ นทวั่ ไป

4. การแสดงท่ีปนวัฒนธรรมของเขมร-ส่วย การแสดงประเภทนี้จะมีแสดงในแถบจังหวัด
สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ซึ่งชาวบ้านในแถบน้ีจะมีชนเช้ือสายเขมร และส่วยปะปนอยู่มาก การแสดงจึงมี
ลักษณะวัฒนธรรมของชาวเขมรและชาวส่วยผสมอยู่ เชน่

4.1 กันตรึม หรือโจ๊ะกันตรึม เชื่อว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากเขมร เป็นวงดนตรี
พื้นบ้านใช้แสดงในงานต่าง ๆ เช่นงานบวช งานแต่งงาน งานศพ หรืองานพิธีกรรม แต่จังหวะลีลาการ
แสดงก็แตกต่างกันออกไปตามพิธีของแต่ละงานโดยเฉพาะเคร่ืองดนตรีประกอบการแสดงกันตรึม ก็จะ
แตกต่างกนั เช่น การแสดงในงานศพก็มักจะใช้ปี่อ้อมาบรรเลง แตถ่ ้าเปน็ งานแตง่ งานก็จะใช้ป่ีเตรยี งหรือ
ปี่เญ็นแทน ส่วนเน้ือร้องก็เปลี่ยนไปให้เหมาะสมกับแต่ละงาน ซึ่งเน้ือร้องเหล่าน้ีก็จะเป็นภาษาเขมรท่ีใช้
พูดกันอยใู่ นจังหวัดสุรนิ ทรแ์ ละบุรีรมั ย์

4.2 เรือมอันเร เป็นภาษาเขมร แปลว่าราสาก จะเล่นกันในวันหยุดสงกรานต์ ดนตรี
ที่ใช้ประกอบการร่ามี โทน ปี่ซออู้ ตะโพน ฉิ่ง กรับ ฉาบ ผู้รา และเล่นไม่จากัดจานวนการแต่งกายให้
สวยงาม การเล่น เต้นหรือฟ้อนราให้เข้ากับจังหวะเคาะสากเล่นเป็นคู่ ๆ หนุ่มสาว ท่ารามีอยู่ 4 ท่า คือ
เจิงมุย เจงิ ปยี ์ กัด๊ ปกา และมะลบโดง แต่ละท่ามีความหมายดงั นี้

1) เจิงมยุ หมายถงึ ขาข้างเดียว คือ ท่าราก้าวขากา้ วไปในชอ่ งสากที่ละขา้ ง
2) เจงิ ปีย์ หมายถงึ สองขา คอื ทา่ ราท่ีผู้รากา้ วเขา้ ไปในชอ่ งสากท้งั สองขา
3) ก๊ดั ปกา คอื เด็ดดอกไม้ เปน็ ทา่ ทผ่ี รู้ าแสดงท่าเดด็ ดอกไม้
4) มะลบโดง แปลว่า ใต้ตน้ มะพรา้ ว เป็นทา่ ทมี่ ีจงั หวะช้าและเยือกเยน็ เหมือน
หนุม่ สาวพรอดรักกันอยใู่ ตต้ ้นมะพร้าวในคืนเดือนหงาย
นอกจาก 4 ท่าดังกล่าวแล้วอาจมีท่าอื่น ๆ เช่น ท่าตลก ท่าโลดโผน ท่าหกคะ
เมน ตา่ ง ๆ โดยมากผชู้ ายจะแสดงท่าผาดโผนนี้ อปุ กรณก์ ารแสดงท่ขี าดไม่ได้ คือ สาก ซึง่ ใชเ้ คาะให้ผู้รา
ผ่าน
5. ลิเกเขมร มีปรากฏในแถบจงั หวัดสุรินทร์ บุรีรมั ย์ และศรสี ะเกษ เป็นการเล่นพน้ื บ้านที่
ได้รับอิทธิพลจากเขมรลักษณะการเล่นลิเกเขมรคล้ายกับลิเกของไทย โดยใช้บทร้อง และเจรจาเป็น
ภาษาเขมร ไม่มีการราหน้าพาทย์อย่างละคร มี แต่การประกอบบทพองามหรืออาจจะมีระบาสลับฉาก
หรือสอดแทรกในเร่ือง เช่น ราอาไย หรือ กระโน้บติงตอง เป็นต้นเร่ืองท่ีแสดงมักนาเอามาจากนิทาน
พ้ืนบ้าน เชน่ เจด็ ยอดกมุ าร กดามซอ (ปูขาว) กอ่ นการแสดงจะมีการไหวค้ รู เร่มิ การแสดงโดย การ

คตชิ นและภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน 71

แนะนาตัวละคร แนะนาเร่ืองแล้วจึงเข้าสู่เร่ือง เคร่ืองดนตรีประกอบด้วย กลองรามะนา 2 ลูก กรับ ฉ่ิง
และฉาบ ผู้แสดงส่วนใหญ่ใช้ผู้หญิงแสดงเป็นตัวผู้หญิงและชาย ส่วนผู้ชายจะแสดงเป็นตัวตลกเท่านั้น
การแต่งกายแบบพนื้ บ้าน แตม่ ีมงกุฎสวมท้งั ตัวพระตัวนาง

6. กระโน้บติงตอง เป็นการแสดงของจังหวัดสุรินทร์ กระโน้บติงตองเป็นภาษาเขมร
แปลว่า ต๊ักแตนตาข้าว เป็นการเล่นที่มีจังหวะสนุกสนานเต้นโยกไปโยกมาด้วยลีลาท่ีเลียนแบบมาจาก
การกระโดดหรือการไหวตัวของตั๊กแตน การเต้นกระโน้บติงตองนี้เป็นการเต้นราหมู่ ประกอบด้วยลีลา
การเต้นและกระโดดเหมือนกับต๊ักแตนตาข้าว มีเน้ือร้องเป็นภาษาเขมร ผู้แสดงแต่งตัว (ด้วยชุด) คล้าย
ชุดหมีสีเขียวเช่นเดียวกับสีขนตั๊กแตนติดปีกสีเขียว ส่วนศีรษะสวมหัวทาด้วยกระดาษที่มีลักษณะคล้าย
หนวดของตั๊กแตน เครื่องดนตรี ได้แก่ วงมโหรี ซ่ึงประกอบด้วย กลอง ปี่ กรับ และฉิ่ง ส่วนใหญ่นิยม
แสดงในงานเทศกาลประจาปี การแสดงประเภทนี้ยังมีชนิดอ่ืน ๆ อีก เช่น เจรียงซันตูจ (เพลงตกเป็ด)
เรือมตลอก (ระบากะลา) เรอื มจบั กรับ (การรากรับ) ฯลฯ

4.5 การแสดงพนื้ บ้านภาคใต้

การแสดงพ้ืนบ้านภาคใต้ที่สาคัญ ได้แก่ หนังตะลุง มโนราห์ มะโย่ง รองเง็ง สีละ ซ่ึงการ
แสดงเหล่านี้จะแสดงถึงลักษณะท่ีเด่นชัดของวัฒนธรรมพื้นเมืองภาคใต้ จนอาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าจะดู
บุคลิกภาพของคนภาคใต้ก็จงดูสิ่งเหลา่ น้ี

1. หนังตะลุง หรือทีช่ าวบา้ นเรียกวา่ “หนังควน” เปน็ การแสดงที่ใช้หนงั วัวหรอื หนังควาย
มาแกะสลักเป็นตัวหนังให้เป็นรูปคน เทวดา ยักษ์ ลิง สัตว์ ฯลฯ แล้วนามาเชิดหลังจอภาพเป็นเรื่องราว
ต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน เรียกว่า หนังตะลุง เพราะสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นคร้ังแรกที่พัทลุง เรียกว่า หนัง
พัทลุง ภายหลังกลายเป็นหนังตะลุง ตัวหนังตะลุงน้ีจะแกะฉลุรูปร่างและลวดลายตามลักษณะของตัว
ละคร ระบายสีสวยงาม มีไม้ทาบคีบรูปไว้ตั้งแต่เท้าจรดหัวใช้ด้ายผูกติดกับตัวหนังให้แน่น ตัวหนังจะ
เคลื่อนไหวได้ ที่ส่วนแขนข้างหนง่ึ และปากขยับได้โดยใช้เชือกล่ามยาวลงมากระตกุ ใหเ้ คลอ่ื นไหวเข้ากับ
บทบาทและจังหวะดนตรี ตัวหนังที่รู้จักกันดีท่ีสุดในภาคใต้ ได้แก่ ตัวหนังท่ีถือว่าเป็นตัวตลก ได้แก่
ไอ้เท่ง ไอ้นุ้ย ไอ้สีแก้ว ไอ้ยอดทอง สะม้อ ฯลฯ ซ่ึงตัวตลกเหล่าน้ีจะถ่ายทอดลักษณะมาจากบุคลิกของ
ชาวบา้ นซ่ึงเปน็ คนจรงิ ๆ

หนังตะลุงจะแสดงในโรง ซึ่งหน้าโรงจะว่ิงด้วยผ้าขาวยาวประมาณ 3.5 × 2.5 เมตร
ขึงให้ตึง มีแสงไฟส่องมาท่ีจอผ้าทาให้เห็นภาพของตัวหนังที่จะเชิดอยู่ข้างหลังจอนี้ ในการแสดงต้องมี
เครื่องดนตรีประกอบด้วยกลอง ทับ (โทน) ฆ้องคู่โหม่ง ฉิ่ง และป่ีก่อนแสดงดนตรีจะต้องโหมโรง แล้วจึง
ไหว้ครูด้วยการนารปู ฤๅษีออกมาเชดิ และจับเรื่องเบิกโรงจบั ลิงหัวค่า คือ ลิงขาวจับลิงคาพาไปให้ฤๅษีสงั่
สอน เสร็จแล้วจึงจะแสดงเป็นเรื่องต่าง ๆ ต่อไป อาจจะแสดงเรื่องรามเกียรต์ิ หรือเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ
ในปัจจุบันน้ีก็อาจจะเล่นเร่ืองทันสมัยที่ใกล้ตัวผู้ชมหรือเรื่องราว และเหตุการณ์ ที่ผู้ชมทราบกันดี

72 ชวนพศิ อตั เนตร์

การแสดงหนังตะลุงจะสนุกหรือไม่อยู่ท่ีความสามารถของผู้เชิด หนังซ่ึงจะต้องเป็น ผู้พากย์หนังด้วย
จะต้องพากย์ท้ังท่ีเป็นบทกลอนและบทเจรจาเสียงดนตรีประกอบการร้องรับจะทาให้เสริมความสนุก
ครกึ ครืน้ มากยง่ิ ขึ้น มักจะเร่ิมแสดงตั้งแต่สามทมุ่ ไปจนถงึ สวา่ ง

หนังตะลุงเป็นมหรสพที่นิยมกันมากในภาคใต้ และใช้แสดงในงานต่าง ๆ ได้ทุกโอกาส
ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานบุญ หรืองานศพ มีคณะหนังตะลุงมากมาย ดังท่ีปรากฏว่ามีผู้รวบรวมประวัติ
นายหนัง (คนเชิดหนังตะลุง) ของเมืองนครศรีธรรมราช เอาไว้แล้ว มีจานวนถึง 300 กว่าคณะ แสดงให้
เห็นถึงความนิยมของชาวภาคใตท้ ่มี ตี ่อการแสดงหนงั ตะลงุ

2. มะโนราห์ หรือ “มโนรา” หรือท่ีชาวภาคใต้เรียกว่า “โนรา” เป็นศิลปะการแสดง
พื้นเมืองภาคใต้ ที่ชาวไทยรู้จักกันแพร่หลายมาเป็นเวลาช้านาน สมัยก่อนมีผู้แสดงคณะหน่ึงเพียง
5-6 คน รวมนักดนตรีและลูกคู่ประมาณ 15 คนปัจจุบันบางคณะมีไม่น้อยกว่า 30 คน มโนราห์จะแต่ง
กายใช้เครื่องทรงของกษัตริย์คล้ายกับการแต่งตัวของละครรา แต่จะใส่เล็บยาวกรีดกรายเวลาร่ายรา
ศีรษะสวมเคร่ืองประดับท่ีเรียกว่า “เทริด” สมัยก่อนตัวแสดงจะไม่สวมเส้ือ สวมแต่สังวาลกับทับทรวง
คล้องคอ แต่ปัจจุบันการแต่งกายได้เปลี่ยนแปลงบ้างโดยการสวมเส้ือ 2 ชั้น ชั้นในตัดด้วยผ้าธรรมดา
ช้ันนอกร้อยลูกปัดเป็นลวดลายต่าง ๆ เม่ือเริ่มแสดงจะมีพิธีประกาศครู คือไหว้ครู แล้วมโนราห์เริ่มออก
ตัวโดยผู้เป็นหัวหน้า “นายโรง” ออกมารับเทริด ซ่ึงผู้แสดงเป็นพรานจะถือเทริดราไปตามจังหวะ
มโนราห์ต้องทาตาม พรานจะหลอกล้อ ตัวนายโรงก็ต้องราจนสอดหัวเข้าไปในเทริดได้ จากนั้นมโนราห์
ตัวอ่ืน ๆ ก็ออกตัวแสดงเป็นการแนะนาผู้ออกมาราว่าชื่ออะไรอายุเท่าไรเมื่อออกตัวมโนราห์หมดแล้วก็
จะเป็นการแสดงเรื่องราวการแต่งตัวตอนแสดงเร่ืองราวน้ีมักจะเปล่ียนไปให้เหมาะสมกับบทบาทใน
ท้องเรื่อง ตัวแสดงร้องเป็นกลอนสาเนียงภาคใต้ และมีลูกคู่รับโดยทวนคาตัวแสดง สมัยก่อนมโนราห์
นิยมเล่นเร่ืองมโนราห์ ลกั ษณวงศ์ ยอพระกล่ิน สงั ขท์ อง ฯลฯ แตป่ ัจจบุ ันมกั เปล่ยี นเน้ือเร่ืองเปน็ แบบนว
นิยายสมยั ใหม่ การแตง่ กายก็อาจแต่งแบบสากลนิยมบ้าง

เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงมี ป่ีนอก กลองตุ๊ก กลองคู่ ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง
ซอด้วง นิยมแสดงในจังหวัดภาคใต้ ในงานเทศกาลต่าง ๆ ตลอดจนงานแก้บน ผู้แสดงต้องฝึกและใช้
ความอุตสาหะเป็นอย่างมาก ท่ารามโนราห์บางท่าสามารถทาท่าอ่อนม้วนลงนอนในถาด ซึ่งต้องได้รับ
การฝึกหัดตามแบบแผนมาอย่างดี ครูมโนราห์ที่มีชื่อเสียงมากคือ ขุนอุปถัมภ์นรากร (พุ่ม เทวา) ชาว
จังหวัดพัทลุง ซึ่งต่อมาได้รับเชิญจากวทิ ยาครูสงขลาให้ไปฝกึ หัดให้แก่นักศึกษาวิทยาลัยครูสงขลา ตั้งแต่
พ.ศ. 2507 ใช้เวลาประมาณ 11 ปี จึงหยุดฝึก และวิทยาลัยครูสงขลาได้นาการแสดงโนราออกแสดง
เผยแพรต่ ามทตี่ า่ ง ๆ จนถึงปจั จุบันนี้

3. มะโย่ง คือละครของไทยมุสลิม ผู้แสดงส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ตัวตลกเป็นชาย พระเอก
เป็นราชาเรียกว่า เปาะโย่ง หรือปะโย่ง นางเอกเรียกว่า มะโย่ง เสนาหรือตัวตลกซึ่งขาดไม่ได้เรียกว่า
ปือรัน การแต่งกาย ฝ่ายชายจะแต่งตัวแบบเจ้าบ่าวเมืองปัตตานี สวมเสื้อแขนสั้นรัดรูป สวมกางเกง

คตชิ นและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ 73

ผ้าเน้ือหนา สวมโสร่งทับยาวระดับเข่า มีผ้าผูกเอวและเหน็บกริชท่ีเอว สวมมงกุฎไม่มียอดฝ่ายหญิงสวม
เส้ือแขนยาวรัดรูปแบบสาวมลายู นุ่งโสร่งยาวกรอมเท้า มีผ้าสไบพาดไหล่ สวมมงกุฎ แต่ตัวประกอบใช้
ดอกไม้ล้อมมวยผมแทน แสดงบนเวที มีเคร่ืองดนตรีประกอบการแสดงคือ รือบับ (คล้ายซอภาคเหนือ)
คานดัง (กลองสองหน้า) ทาวัด (ตอ้ งโยงแขวนติดกัน) และจือแรค็ (ไม้ไผ่ใชต้ ี) วธิ ีแสดงจะเร่ิมดว้ ยการไหว้
ครโู ดยมีเปาะโยง่ เปน็ ผู้นาใชเ้ วลานานประมาณ 20 นาที เม่ือจบเปาะโยง่ จะแนะนาตัวดาเนินเรอ่ื ง เรื่องที่
แสดงสว่ นใหญเ่ ป็นเร่ืองเกย่ี วกับความรัก เป็นเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ แบบนิทานไทย เร่ืองทย่ี อดเย่ียม ได้แก่
เร่ืองเดวา มอดอ หรือ เทพธิดา และเร่ืองหอยสังข์ ซ่ึงเป็นเรื่องที่มีความยาวมากในสมัยก่อนจะมีการ
แสดงมะโย่งแข่งขันกันปีละคร้ัง คณะมะโย่งท่ีชนะเลิศได้สมญาว่า “มะโย่งรายา” คือ มะโย่งท่ีได้รับ
ความอุปถมั ภจ์ ากเจา้ เมือง ปัจจบุ นั มะโยง่ ทางภาคใตห้ าดูได้ยากมากเพราะขาดผู้สืบทอดทางการแสดง

4. รองเง็ง การเล่นรองเง็งคล้ายคลึงกับการเล่นราวงของไทย จะต่างจากราวงก็คือ ชาย
หญิงแต่ละคู่จะหันหน้าเข้าหากัน ยืนเป็นแถวตรงไม่ราเป็นวงแบบราวง การราของรองเง็งมีลักษณะ
อาการยกแขนเท้าก้าวหน้าถอยหลังตามจังหวะดนตรี เวลาเล่นผู้หญิงขับเป็นเพลงกลอนว่าไปเต้นไป
หญิงว่าจบชายว่าแก้ หรือจะจัดให้กองเชียร์เป็นคนร้องเพลง ผู้แสดงจะเต้นราเพียงอย่างเดียวก็ได้
ทานองเพลงรองเง็งนั้นมีมาก เช่น เพลงเมาะอีนัง (นางสนม) เพลงอาเนาะตีดิ (ลูกเลี้ยง) เพลงซาลินดัง
(สไบเฉียง) และอนื่ ๆ ซ่งึ แตล่ ะเพลงจะมีท่าเตน้ ต้นทีเ่ ปน็ แบบแผนตายตัว รองเง็ง เปน็ ศิลปะการเต้นราท่ี
ได้รับอิทธิพลมาจากมาเลเซีย เคร่ืองดนตรีที่ใช้คือ ฆ้อง กลอง รามะนา และไวโอลิน การแต่งกายผู้ชาย
สวมเส้ือเชต้ิ แขนยาว นุ่งกางเกงขายาวใช้โสร่งแคบ ๆ สั้น ๆ สวมทับนอกกางเกง และสวมหมวกแขกสีดา
ฝ่ายหญิงสวมเส้ือรัดรูป คอกลม แขนยาว นุ่งโสร่ง ลวดลายดอกดวงงดงาม มีผ้าคลุมไหล่ ความสวยงาม
ของการเต้นรองเง็งอยู่ที่ลีลาในการใช้เท้าให้เข้ากับจังหวะกลอง มีจุดเด่นอยู่ที่การเปล่ียนจังหวะจากช้า
มาเร็ว ลีลาการเต้นของหญิงชายมีการเต้นหลบหลีกหลอกล่อ มีการเล่นหูเล่นตากันตลอดเพลง การ
ก้าวหน้าถอยหลงั หมนุ ตวั ของชาย และหญงิ ต้องให้พร้อมเพรียงกนั ทกุ ค่จู งึ จะงดงาม น่าชม

5. สิละ เป็นการเล่นที่ใช้ผู้ชายล้วน ๆ แต่งตัวสวมเสื้อยืดคอกลมมีแขน นุ่งกางเกงขายาว
มโี สรง่ แคบ ๆ สัน้ ๆ สวมทบั นอกกางเกงโพกศรี ษะแบบแขก การเล่นสละนนั้ เลน่ กนั หลายอยา่ ง เชน่ เล่น
มือเปล่า เล่นดว้ ยกระบอง เล่นดว้ ยกรชิ วธิ เี ล่นคล้ายกบั การเล่นยูยิดสู ดนตรที ่ใี ชป้ ระกอบในการแสดงจะ
มีกลองแขก 2 ใบ ฆ้อง 1 ใบ ปีชวา 1 เลา ผู้เล่นเล่นกันเป็นคู่ ๆ เมื่อเริ่มเคร่ืองตีเปา่ แลว้ ผู้เล่นจะไหว้ครู
ก่อน แล้วจึงจะเล่นต่อสู้กันในผู้ชมได้ดูการเล่นชนิดนี้โดยมากจะเล่นในงานพิธีเข้าสุหนัตของชาวมุสลิม
การแสดงสีละนั้นจะแสดงกระบวนทา่ ของการต่อสู้ทม่ี ีลลี าสวยงาม การใช้มอื จะไม่กาหมัดจะใชส้ ันมือใน
การตอ่ สู้ การแสดงนส้ี ว่ นใหญ่แล้วจะเนน้ ศิลปะการรา การใช้ลีลามากกว่าตอ่ สู้กันจรงิ ๆ

74 ชวนพศิ อตั เนตร์

4.6 การเล่นพ้นื บ้าน

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 อธิบายความหมายของคาว่า “การ”
หมายถงึ งาน ส่วน “เล่น”หมายถึง ทาเพอื่ สนุก หรอื ผอ่ นอารมณ์ ดังนั้น “การเลน่ ” กห็ มายถึง งานทีท่ า
เพื่อให้สนุกหรือเพ่ือเป็นการผ่อนอารมณ์ “การเล่นพื้นบ้าน” จึงหมายถึง เกม หรือ การแข่งขัน เพื่อ
ความสนุกสนาน หรือเพื่อเป็นการผ่อนอารมณ์ของชาวบ้านน่ันเอง ซ่ึงจะแบ่งประเภทของการเล่น
พ้นื บา้ นออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดว้ ยกันคอื

1. การเลน่ พื้นบ้านทเี่ ป็นเอกลกั ษณ์ของไทย
2. การเล่นพน้ื บา้ นของเดก็ ไทย

การเล่นพื้นบ้านท่ีเป็นเอกลักษณ์ของไทย หมายถึง การเล่นท่ีเป็นความนิยมของคนไทย
เลน่ กนั ทวั่ ไปในระหวา่ งประชาชนจนกลายเปน็ เอกลักษณ์อยา่ งหน่ึงของคนไทย การเล่นประเภทนี้ ได้แก่
ตะกรอ้ หมากรกุ ไทย วา่ ว ชนไกช่ นวัว ฯลฯ ดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี

1. กีฬาภูมปิ ญั ญาไทย
1.1 ตะกร้อ เป็นของเล่นเก่าแก่ของไทยมาแต่โบราณ ต่อมาภายหลังได้รับการยก

ฐานะขน้ึ เป็นกีฬาระดบั ชาตปิ ระเภทหนึง่ การเลน่ ตะกร้อของไทยเราได้แสดงเอกลกั ษณ์อนั ดีงามของชาติ
หลายประการ เป็นต้นว่าความเอ้ืออารี มีน้าใจ รักใคร่ไมตรี และสามัคคีระหว่างกัน บางโอกาสใช้ขจัด
ความเป็นศัตรูสร้างความเป็นมิตรขึ้นแทนได้ เช่น การที่มีคนกลุ่มหน่ึง ต้ังวงกันเล่นตะกร้อ ขณะกาลัง
เล่นกันอยู่ 7-8 คน ถ้าจะมีเพ่ิมอีกคนหรือสองคนก็เข้าเล่นได้ทันที โดยไม่เสียจังหวะแต่อย่างใด ผู้เล่นใน
วงอาจมีฝีมือ (ฝีเท้าการเตะ) ไม่เท่ากัน แต่ทุกคนไม่ถือสาหากยังพยายามชว่ ยกันประคับประคองชว่ ยให้
คนท่ีมีฝีมืออ่อนมีโอกาสดีขึ้น จะเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และจบลงด้วย
บรรยากาศแห่งมิตรไมตรี การเลน่ ตะกร้อในสมยั กอ่ น นอกจากเลน่ กนั เพอ่ื ความสนุกสนาน และเพ่ือออก
กาลังแล้ว ยังนิยมเล่นกันในงานเทศกาลต่าง ๆ เช่น งานประจาปี งานสงกรานต์การเล่นตะกร้อมีหลาย
ชนิด เช่น ตะกร้อวง ตะกร้อข้ามตาข่าย ตะกร้อลอดห่วง เป็นต้น ตะกร้อวงน้ัน ผู้เล่นแต่ละคนจะยืนหนั
หน้าเข้าหากันเป็นวงกลม ผู้เล่นคนหนึ่งจะโยนลูกตะกร้อให้คนที่อยู่ตรงข้ามเพ่ือให้ได้กลับมาแล้วผู้เล่น
ท้ังหลายจะได้ลูกส่งกันไปมาด้วยส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยไม่ให้ลูกตกดิน สาหรับตะกร้อข้ามตาข่าย
ต้องมีตาข่ายกั้นอยู่ตรงกลางผู้เล่นอยู่ 2 ข้างของตาข่าย โดยมีจานวนคนข้างละเท่ากัน และต้องเตะและ
ส่งลูกตะกร้อให้ข้ามตาข่ายไปให้ฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องรับลูกตะกร้อให้ได้โดยไม่ตก ตะกร้อข้ามตาข่ายนี้
เรียกอีกอย่างว่า “เซปักตะกร้อ” ส่วนตะกร้อลอดห่วงหรือลอดบ่วงนั้น ต้องมีห่วงห้อยอยู่สูงตรงกลางวง
ผู้เล่นจะต้องเตะตะกร้อให้ลงไปในห่วงจึงจะได้คะแนนดี จะเห็นได้ว่าการเล่นตะกร้อ เป็นที่นิยมเล่นกัน
ทุกหมู่เหล่า ท้ังนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ข้าราชการ ทหารตารวจ โดยมีสมาคมต่าง ๆ ได้พยายาม
สนบั สนุนใหก้ ีฬาตะกรอ้ แพรห่ ลายยง่ิ ขนึ้

คตชิ นและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ 75

1.2 หมากรุกไทย เป็นการเล่นอย่างหน่ึงที่คนไทยนิยมเล่นกันมาช้านาน ถือเป็นการ
เลน่ ที่ต้องใช้ความคิด ช้นั เชงิ กลเมด็ อนั เปน็ ศลิ ปะอยา่ งเย่ยี มยอดประเภทหนงึ่ การเลน่ นเี้ ป็นการเอาชนะ
กันระหว่างบุคคลมีผู้สติปัญญาสองคนหรือสองฝ่าย แหล่งผลิตนักเล่นหมากรุกมือเย่ียมเห็นจะได้แก่วัด
และราชสานัก สาหรับตามวัดนน้ั มีเลน่ กนั อย่างกวา้ งขวางทัง้ เวลาปรกติเวลามีงาน เชน่ งานวดั งานบวช
และงานศพ เจ้าภาพเกรงจะเหงา มักหาหมากรุกมาให้เล่นกันได้อย่างสนุกสนานตลอดรุ่ง ส่วนในราช
สานัก ขุนนางข้าราชการก็นิยมเล่นหมากรุกกัน อุปกรณ์ในการเล่นประกอบด้วย ตัวหมากรุก และ
กระดาน ทาเป็นตารางเหลี่ยมใหต้ ัวหมากรุกเดนิ เปน็ ตารางสเี่ หลย่ี มจัตรุ สั จานวน 64 ช่อง แตล่ ะด้านจะ
แบง่ ออกเป็น 8 ช่อง ตัวหมากรุกของผเู้ ล่นทั้ง 2 ฝา่ ย จะมฝี ่ายละ 16 ตวั แบ่งระดับความสาคญั ออกเป็น
6 พวก คือ เบ้ียลักษณะกลมแป้นตัวเล็ก มี 8 ตัว เรือ ทาเป็นรูปกลมแป้น ตัวใหญ่กว่าเบี้ย มี 2 ตัวม้า
เป็นรูปม้าจากส่วนคอถึงหัว มี 2 ตัว โคน กลมขนาดสูงพอสมควร มี 2 ตัว เม็ด คล้ายโคน แต่เล็ก และ
เต้ยี กวา่ มี 1 ตวั และ ขนุ ลักษณะคล้ายโคนหรือเมด็ แตข่ นาดสูงและใหญ่กวา่ โคน มี 1 ตวั การเล่นให้ผู้
เล่นนั่งเผชิญหน้ากันมีกระดานหมากรุกอยู่ระหว่างกลาง ตัวหมากรุกมีสองสีจะได้ดูแตกต่างกัน เช่น
สีขาวกับดา หรือขาวกับน้าตาล หรือแดงกับดา ฯลฯ แล้วแต่สะดวกแต่ละฝ่ายจะตั้งตวั หมากในช่องแรก
ริมกระดานหน้าของผู้เล่นเรียงจากซ้ายไปขวาตัวละ 1 ตา คือ เรือ ม้า โคน เม็ด ขุน โคน ม้า เรือ แล้ว
เว้นที่ข้ึนไป 1 ช่อง เอาเบ้ียวางในช่องท่ี 3 เรียงตาละ 1 ตัว จนครบ 8 ตา เมื่อตั้งหมากเรียบร้อยจึงเร่ิม
เล่นโดยผลัดกันเดินสลับกันไป การเล่นหมากรุกมีจุดสาคัญอยู่ท่ีการเดินหมากของตนไปกินฝ่ายตรงกัน
ข้ามให้หมดส้ินไปใช้ไหวพริบสติปัญญาหาทางเดินหมากของตนเข้าล้อมรุกขุนของฝ่ายตรงข้าม ให้จน
เกมการเล่นหมากรุกของไทยนี้ ก่อให้เกิดสานวนและคาพังเพยขึ้นหลายสานวน เช่น จนแต้ม เข้าตาจน
รุกฆาต ฯลฯ

1.3 วา่ ว การเลน่ วา่ วเปน็ การเลน่ เก่าแก่มีมาแต่โบราณหลายร้อยปีมาแล้ว ถอื วา่ เป็น
กีฬาพื้นเมืองช้ันเยี่ยมเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนไทยได้ประเภทหน่ึง คนไทยสามารถท่ีจะนาว่าวข้ึนไปใน
อากาศ แล้วบังคับให้ทาการต่อสู้กันได้จนเป็นเกมท่ีสนุกสนานต่ืนเต้นอย่างที่สุด ว่าวไทยนี้ในสมัยก่อน
นิยมเล่นกันมาก ต้ังแต่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินไปจนถึงขุนนางและบรรดาเจ้านายเช้ือพระวงศ์ชั้นสูง ในพระ
ราชพงศาวดารยืนยันในพิธีทวาทศมาสถึงพระราชพิธีเดือนยี่มีการชักว่าวเพ่ือทรงพระเจริญตามบุราณ
ราชประเพณีท่ีมีมา ว่าวท่ีไทยเรานิยมเล่นกันมากคือว่าว “จุฬา” กับว่าว “ปักเป้า” ลักษณะโดยทั่วไป
ว่าวจุฬารูปร่างคลา้ ยดาว ผูกคอซงุ ที่อกทาให้สา่ ยไปมาได้ สว่ นว่าวปักเปา้ รูปร่างสี่เหล่ียมค่อนข้างไปทาง
ขนมเปียกปูน ผูกคอซุงที่อกเช่นเดียวกัน ตรงส่วนท้ายติดหางยาวมาก สายป่านที่ใช้ชักทาด้วยด้ายฟอก
เชือกท่ีใช้ชักมักยาว เพ่ือปล่อยว่าวให้ข้ึนสูงจนทรงตัวน่ิงเรียกว่า “ติดลมบน” ต่อมามีการเล่นให้ตัวว่าว
โฉบกันไป มาแสดงความเก่งกล้าของผู้เล่นว่าใครจะสามารถบังคับวา่ วให้หลบหลีกไดค้ ล่องแคล่วกวา่ กัน
และเห็นว่าการท่ีมีหางยาวทาให้โฉบไม่สะดวก จึงคัดแปลงเอาฟูใส่ถ่วงสองข้างปีกแล้วตัดหางทิ้งก็
กลายเป็นว่าว “อีลุ้ม” มีบางคนคิดดัดแปลงต่อไปโดยเอากระดาษว่าวทาเป็นชายห้อยลงทางข้างปีกท้ัง

76 ชวนพศิ อตั เนตร์

สองข้าง แล้วตัดชายล่างเสมอกัน เม่ือลอยอยู่ในอากาศชายว่าวจะพล้ิวสลวยล้อลมเล่นอยู่ไหวๆ พอ
กระตุกสายใหโ้ ฉบจะเกดิ เสียงดังแพร่ด ๆ เลยเรียกว่าวชนดิ น้ีวา่ “อีแพรด” นอกจากน้ยี งั มีว่าว “ดุ๊ยด่ยุ ”
ซึ่งดัดแปลงไปจากว่าวอีลุ้ม แต่ผ่าหัวเป็นสองแฉกแล้วใช้กระดาษแผ่นเล็ก ๆ กว้างประมาณหนึ่ง
เซนติเมตรจึงติดด้ายให้ตึงโยงติดระหว่างหัวท่ีผ่าทั้งสองน้ัน เวลาติดลมบนจะมีเสียงดัง “ดุ่ยๆ” อยู่
ตลอดเวลา การเล่นว่าวนั้นจะไม่เล่นกันตลอดเวลาเหมือนการเล่นชนิดอ่ืน แต่จะเล่นระหว่างเดือน
กุมภาพนั ธ์ ถึงเดอื นเมษายนของทุกปี ทัง้ น้ี เพราะปจั จัยสาคญั ในการเลน่ ว่าว คอื ลม ในชว่ งเวลาดังกลา่ ว
น้ีในประเทศไทยจะมีลมตะเภาพัดมา ลมตะเภานี้คือลมว่าวซ่ึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นการเล่น
ว่าวของไทย ลมพัดจากทิศได้ไปยังทิศเหนือ ในกรุงเทพฯ ปัจจุบันบริเวณที่ใช้เล่นวา่ วและใชแ้ ข่งขันกีฬา
วา่ วคอื ทอ้ งสนามหลวง ถ้าเปน็ การเล่นเพอ่ื แข่งขนั กันแล้วว่าวที่นยิ มนามาโฉบแข่งขันกันก็คือวา่ วจุฬากับ
ว่าวปักเป้าน้ันเอง ความสนุกสนานในการเล่นว่าวอยู่ท่ีความสามารถในการบังคับให้ว่าวลอยฉวัดเฉวียน
อย่ใู นทอ้ งฟ้า หรอื ถ้าเป็นการแข่งขันกม็ ักให้วา่ วของแต่ละฝา่ ยโฉบต่อสู้กันกลางอากาศ วา่ วทีต่ กดินก่อน
จะเป็นฝา่ ยแพ้ ในสมัยกอ่ นถ้ามีการต่อสู้กันระหว่างว่าวจุฬากับว่าวปักเปา้ ครั้งสาคัญๆ ก็อาจมีพณิ พาทย์
บรรเลงด้วย เช่น เมื่อว่าวฝ่ายใดตก พิณพาทย์จะทาเพลงโอด เป็นที่สนุกสนานย่ิงนัก ในปัจจุบันน้ีมีการ
ประดิษฐ์ว่าวเป็นรูปร่างต่าง ๆ เพื่อให้เป็นที่ถูกใจแก่เด็ก ๆ มากมายหลายชนิดเป็นตน้ วา่ ว่าวงู ว่าวปลา
วา่ วหุ่นยนต์ วา่ วซูเปอร์แมน ฯลฯ

1.4 ชนไก่ การชนไกห่ รือตีไก่ หมายถึง การเอาไก่ตัวผูส้ องตัวมาให้ต่อสู้กนั จนเกิดผล
แพ้ชนะแก่กัน ไก่ที่นิยมนามาตีกันให้ดูนั้นเป็นไก่ชน ซ่ึงเป็นไก่พันธุ์หนึ่งที่มีความทรหดอดทนมากเป็น
พิเศษ พรอ้ มทั้งมไี หวพรบิ ในการต่อสู้อยา่ งมาก ย่งิ ได้รบั การฝกึ หดั ประคบประหงมเล้ียงดอู ย่างดแี ล้วจะมี
ความเป็นเลิศในเชิงต่อสู้เหนือไก่พันธ์ุอ่ืน ๆ ผู้ท่ีนิยมเล่นการชนไก่น้ีส่วนมากเป็นผู้ชายซ่ึงมักมีจิตใจห้าว
หาญมีนิสัยขี้เล่น ชอบเสี่ยงโชคด้วยอาศัยการพนันโดยยอมให้ไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นผู้ช้ีขาดผลได้
ผลเสยี ของตน การชนไกข่ องไทยน้ี ถา้ ไกฝ่ า่ ยหนึ่งไม่สูห้ รือหนถี้ ือวา่ แพ้ จุดมุ่งหมายของการตไี ก่นอกจาก
หวังความสนกุ สนานต่ืนเต้นพนนั ขันต่อกันแลว้ ยังเป็นการแสดงความสามารถของเจา้ ของไก่ในการเล้ียงดู
บารุงรักษา คัดเลือกพันธ์ุ รวมท้ังการดูลักษณะไก่ ซึ่งเป็นวิชาลี้ลับอย่างหนึ่ง การเล่นตีไก่ของไทยคงมี
มานานแล้วและเป็นที่นิยมมากแม้ในประวัติศาสตร์ยังกล่าวถึงการตีไก่ เช่น ในพระราชประวัติตอนหน่ึง
ของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เมื่อครัง้ ทรงพระเยาวต์ ้องเสด็จไปอยูก่ ับพระเจ้าบเุ รงนองในกรงุ หงสาวดี
ในฐานะตัวประกัน วันหนึง่ ทรงเลน่ ชนไก่กบั พระมหาอปุ ราชา อปุ ราชของพมา่ ปรากฏวา่ ไกข่ องพระองค์
สามารถชนะไก่ของพระมหาอุปราชา นอกจากนั้นในวรรณคดีหลายเร่ืองก็กล่าวถึงการตีไก่พนันกัน เชน่
ในเรื่องรถเสน ที่มีกลา่ วถงึ พระอนิ ทรจ์ าแลงองค์เป็นไก่ชนให้พระรถเสนใช้ชนชนะไก่คตู่ ่อสทู้ ุก ๆ วนั เพื่อ
พนันเอาอาหารไปเลี้ยงมารดาในยามตกยาก ในเร่ืองขุนช้างขุนแผนก็มีกล่าวถึง ตาบลเขาไก่ชนในเมือง
กาญจนบุรี สันนิษฐานว่าเขตบริเวณนั้นคงเป็นทาเลดี มีการชนไก่เป็นประจา จนต้องเอ่ยไว้ในหนังสือ
วรรณคดี สถานท่ีสาหรับชนไก่น้ันต้องจัดไว้เป็นที่ทางเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า “บ่อนไก่ชน” หรือ “บ่อนไก่”

คติชนและภูมิปัญญาท้องถ่นิ 77

น่ันเอง ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มากมายเกือบทุกตาบลบ้าน เพราะจัดตั้งได้โดยเสรี ต่อมาหลังจาก
สงครามโลกคร้ังท่ีสอง รัฐบาลเพ่งเล็งไปในแง่ทรมานสัตว์อันเป็นลกั ษณะของคนในอนารยประเทศ และ
เห็นว่าถ้าปล่อยให้การเล่นนี้รุ่งเรืองไป ชาวนาชาวไร่จะพากันหมกมุ่นไม่เป็นอันทามาหากิน เอาแต่เล่น
พนันกันจนหมดตวั รฐั บาลสมัยนัน้ จงึ ออกกฎหมายควบคุมการตง้ั บ่อนวา่ จะต้องขออนญุ าตเสยี ก่อน และ
จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายทกุ ประการ บ่อนไกจ่ ึงมีน้อยลง วันสาคัญของนกั ตไี ก่ คือวันทเ่ี อาไก่มาเปรียบ
จนได้คู่เป็นที่ตกลงกันแล้วก็วางเงินเดิมพัน ต่อจากน้ันก็ปล่อยให้ไก่ว่ิงเข้าจิกตีกันไปตามความสามารถ
การต่อสู้กาหนดเป็นยกเหมอื นชกมวย โดยใชก้ ะลามะพรา้ วตวั ผู้เจาะรูวางลอยในอ่างนา้ เมือ่ น้าร่วั เข้าเต็ม
กะลาแล้วจมลงถือว่าหมดยก ถ้าไก่ยังไม่แพ้ชนะกันเจ้าของบ่อนจะแยกไก่ออกจากกันให้เจ้าของไก่อุ้ม
ออกมาให้น้า โดยเอาผ้านุ่มชุบน้าเย็นเช็ดตัว หน้าอก แข้งขาให้ชุ่มช่ืน แล้วเอาผ้าแตะไพลกับขม้ินชันท่ี
ฝนกับกระเบื้องเตรียมไว้ถูนวดตามกล้ามเนื้อท่ีเป็นบาดแผลท่ีถูกเดือยของคู่ต่อสู้ เมื่อหมดเวลาพักก็
ปล่อยไก่ลงสูก้ นั ใหม่ สลับกันไปจนกว่าจะรแู้ พ้รู้ชนะ ซ่งึ มกั จะลงเอยด้วยตวั หนง่ึ วง่ิ หนหี รอื อาจดิ้นพราดๆ
ตายลงไป บางคู่ตีกันจนหมดแรงเอาอกปะทะกันไว้ เอาคอไขว้กันนิ่งอยู่พอแยกออกก็ว่ิงเข้าไปซุกอย่าง
น้ันอีกไม่ทาร้ายกันและไม่มีฝ่ายใดหนี ถือว่าเสมอกัน เจ้าของไก่จะได้รับเงินคืนนายบ่อนก็ไม่ได้ค่าน้า
สาหรับในประเทศไทยทางราชการอนุญาตให้มีบ่อนชนไก่ท่ีถูกต้องตามกฎหม ายได้อาเภอละหน่ึงบ่อน
หมุนเวียนชนกันสัปดาห์ละ 2 วัน คือ วันเสาร์กับวันอาทิตย์ ในภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ มักจะ
ชนไก่แข้ง คอื ไก่ที่ตดั เดือยออกสว่ นในภาคใต้นิยมชนไกเ่ ดือย ปัจจบุ นั ใช้เดอื ยสวม เดมิ พันคูห่ นง่ึ อย่างต่า
5,000 บาท แต่โดยท่ัวไปแล้วคู่ละ 10,000-100,000 บาท และเคยมี คู่ละล้านบาทก็มี เช่น ที่บ่อนชน
ไกอ่ าเภอตะกัว่ ปา่ จงั หวัดพังงา และทบ่ี อ่ นชนไกอ่ าเภอสไุ หงโกลกจงั หวดั นราธิวาส เป็นต้น

1.5 ชนวัว การเล่นชนวัวเป็นกีฬาท่ีนิยมกันมากโดยเฉพาะในภาคใต้ เป็นกีฬาที่ทา
รายได้เป็นกอบเป็นกาให้แก่นายสนาม วัวชนเป็นวัวท่ีมีลักษณะล่าสัน แข็งแรงปราดเปรียว เขางอนโค้ง
เปน็ วงพอเหมาะยาวประมาณฟุตเศษและแหลมคมซ่ึงจะได้รบั การเลย้ี งดูประคบประหงม เปน็ พเิ ศษ จะ
เขา้ ตอ่ สไู้ ดเ้ มอ่ื อายุ 4-6 ปีหรือกว่าน้นั เมอ่ื วัวชนทีเ่ ลย้ี งไว้ได้รบั การบารุงสมบูรณ์เตม็ ที่ เจา้ ของก็จะนาไป
เปรียบคู่เพ่ือหาคู่ต่อสู้แขง่ ขันกันในวันงาน พอได้เวลาลงสนามแข่งขันวัวชนก็จะได้รบั การตกแต่งประดับ
ประดา ใหด้ นู า่ เกรงขามยิ่งข้นึ เช่น มีพวงมาลัยคล้องคอ และผ้าคลุมหลังสีสันต่าง ๆ อนั เปน็ การประกวด
ประชันกันไปด้วยในตัว เม่อื กลองสัญญาณเริ่มข้นึ เจา้ ของวัวท้งั สองฝ่ายจะนาวัวมาประจนั หน้ากัน พลาง
ดึงเชือกออกจากห่วงท่ีร้อยจมูกเป็นการเร่ิมต้น การต่อสู้จะต้องชนกันจนกว่าจะรู้แพ้รู้ชนะ ในบางครั้งก็
กินเวลาร่วมช่ัวโมงหรือกว่าน้ัน บางคราวเม่ือเร่ิมสัญญาณแล้ว วัวบางตัวไม่ยอมชน เจ้าของก็ต้อง
พยายามให้เข้าต่อสู้ให้ได้ หากเวลาล่วงเลยไปถึง 5 นาที แล้วไม่ยอมสู้ก็ต้องถูกปรับเป็น แพ้ไป การเล่น
พื้นบ้านท่ีกล่าวมาแล้วนั้น เป็นการเล่นที่คนไทยพ้ืนบ้านท่ัวไปนิยมเล่นกันอยู่ทุกภาค นอกจากการเล่น
ชนวัวเทา่ นัน้ ท่ีนิยมเล่นในแถบภาคใตม้ ากกวา่ ภาคอ่ืน ๆ

78 ชวนพศิ อัตเนตร์

4.7 การเลน่ พน้ื บ้านของเด็กไทย

การเล่นเป็นกิจกรรมท่ีมนุษย์กระทาเพื่อความสนุกสนาน หรือพักผ่อนหย่อนใจโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งสาหรบั เด็กแลว้ การเล่นเป็นสง่ิ จาเปน็ มากที่จะช่วยในเรอื่ งสุขภาพเพราะได้ออกกาลงั กายช่วยใน
ด้านความคดิ และอารมณ์ ทั้งยงั เป็นเครื่องสง่ เสรมิ พฒั นาการของเด็กทั้งดา้ นร่างกาย อารมณ์ สังคม และ
สติปัญญา และยังเป็นการเตรียมตัวให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณค่าตามที่สังคมมุ่งหวังอีกด้วยการเล่น
พ้ืนบ้านของเด็กไทยในภาคต่าง ๆ นั้นจะคล้ายคลึงกันเป็นส่วนมากอาจมีความแตกต่างกันบ้างใน
รายละเอียดบางอย่าง รวมทั้งชื่อท่ีเรียกและภาษาท่ีใช้ในการเล่น การเล่นของเด็กน้ันมีมากมายหลาย
ชนิด ซ่ึงมีผู้แบ่งแยกเป็นประเภทต่าง ๆ หลายประเภท เช่น การเล่น แบบตัวต่อตัวการเล่นเป็นหมู่ การ
เล่นในร่ม การเล่นกลางแจ้ง การเล่นโดยมีเพลงร้องประกอบ การเล่นท่ีไม่มีเพลงร้องประกอบ ฯลฯ
ในทนี่ จ้ี ะพจิ ารณาการเลน่ พนื้ บ้านของเดก็ ไทยตามวิธกี ารแบง่ ประเภทของ วอร์เรน อี รอเบิตส์ (Warren
E. Roberts) ซึง่ จาแนกไว้ 16 ประเภท พร้อมท้งั ตัวอย่างการเลน่ แตล่ ะประเภท ดงั นี้

1. ประเภทไล่จับ เช่น เสือไล่หมู ต่ีจับ ตารวจจับขโมย ว่ิงเปี้ยว งูกินหาง หนูหยอดน้ามนั
เสอื กนิ ววั ฯลฯ

ตัวอย่าง การเล่น เสื่อไลห่ มู
ชนดิ ของการเล่น เล่นกลางแจง้
ผเู้ ล่น ไม่จากัดจานวน
วิธีเล่น จับไม้สั้นไม้ยาวเพ่ือหาวา่ ใครเปน็ เสือ เป็นหมู ก่อน 2 คน คนอ่ืน ๆ ล้อมวงจับมือกัน หนูอยู่ในวง
คนรอบวงเดินไปเป็นวงร้องเพลงไปด้วย เสืออยู่นอกวงพอร้องเพลงจบเสือจะว่ิงเข้าคอกเพ่ือไปจับหมู
ผู้เป็นคอกต้องพยายามกันเพื่อไม่ให้เสือเข้า ถ้าเสือจะมุดจะต้องนั่งลงเป็นการปิดคอก ถ้าเสือหลุดเข้ามา
ได้ไล่หมู ก็ต้องช่วยให้หมูลอดออกไปนอกคอกต้อง คอยปิดคอกให้ดี ถ้าเสือจับหมูได้ก็ผลัดกันเป็น
ถ้าเหนื่อยก็เปลี่ยนตวั ไดโ้ ดยการแตะมอื กัน
เพลงร้องประกอบ หมจู ีบหมูจอ้ ย หมูนอ้ ยกินรา เดอื นมดื เดอื นค่า

ไล่หนเู ข้าคอก แค่ศอกแค่วา อกี ามนั เห็น

อีกามนั ร้อง ถอื ไม้คัดคอ้ ง บบี นมสาวเล่น
มะเขอื ขาวลอยมา เอาควายไปสน ทตี่ ้นไมใ้ หญ่
เสอื โว้ยมากินหมวู า
การเล่นชนิดนเ้ี ป็นการเลน่ ของเด็กในจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นการฝกึ ทัง้ ด้านรา่ งกายและจติ ใจ คือ ฝึกไหว
พริบความพรอ้ มเพรียง และความสงั เกต พรอ้ มทั้งความว่องไว และบริหารกายทางกาลงั ขาด้วย

คติชนและภูมิปญั ญาท้องถน่ิ 79

2. ประเภทเล่นทาย เชน่ โพงพาง ทานายหัวก้อย ไก่ลว้ งข้อง ทายช่อื ขา้ งบนข้างลา่ ง ฯลฯ

ตวั อยา่ งการเล่น โพงพาง

ชนิดของการเลน่ เล่นกลางแจ้ง

ผเู้ ลน่ ไม่จากัดจานวน

วธิ ีเลน่ เลือกคนท่ีเป็นปลาโดยการจับไม้สั้นไม้ยาว เอาผ้าผูกตาคนท่ี

เปน็ ปลาแล้วหมนุ 3 รอบ ผ้เู ล่นคนอื่น ๆ ล้อมวงจบั มอื กนั เดินไปเปน็ วงกลม พรอ้ มกบั ร้องเพลงประกอบ

เม่ือจบเพลงน่ังลงถามว่า “ปลาเป็นหรือปลาตาย” ถ้าตอบว่าปลาเป็น คนที่อยู่รอบวงจะขยับเขยื้อนหนี

ได้ ถ้าบอกปลาตายจะต้องนัง่ อยูเ่ ฉยๆ คนท่ถี ูกปิดตาทายถูกกต็ ้องมาเปน็ แทน ถา้ ทายผดิ ต้องเปน็ ต่อไป

เพลงรอ้ งประกอบ โพงพางเอย ปลาเขา้ ลอด

ปลาตาบอด เขา้ ลอดโพงพาง

3. ประเภทกระโดดเชือก เช่น กระโดดเชอื กเดยี่ ว กระโดดเชอื กคู่ ฯลฯ

ตวั อย่างการเลน่ กระโดดเชือกเด่ียว

ชนิดของการเลน่ เล่นกลางแจ้ง

ผู้เลน่ ก่ีคนก็ได้

อปุ กรณ์การเลน่ เชือกยาวขนาดพอดตี วั ผูเ้ ล่นลอดได้

วธิ ีเล่น ผู้เลน่ จะจบั ปลายเชือกท้งั สองข้างแกวง่ ไปขา้ งหนา้ กระโดดข้าม

ทีเดยี ว 2 ขา หรือทลี ะขากไ็ ด้ ถา้ กระโดดไปเหยียบเชอื กกห็ มดรอบ ใหผ้ ้อู ่ืนกระโดดบ้าง

4. ประเภทซ่อนหา เชน่ แข่งเรือคน ซอ่ นหา จระเข้ฟาดหาง ซ่อนไข่เตา่ ฯลฯ

ตัวอยา่ งการเลน่ แขง่ เรือ

ชนิดของการเลน่ เลน่ กลางแจ้งหรือในรม่ กไ็ ด้

ผเู้ ลน่ แบ่งเปน็ 2 ฝา่ ย ฝ่ายละเทา่ ๆ กัน

อุปกรณก์ ารเล่น ลูกสะบา้

วิธีเลน่ แต่ละพวกเลือกนายเรือพวกละคน พวกเล่นคนท่ีหน่ึงน่ัง

เหยียดเท้า คนท่ีสองน่ังต่อกันไป ขีดเส้นที่หมายชนะของเรือไว้ นายท้ายมีลูกสะบ้าคนละลูก แล้วเดินไป

ซ่อนสะบ้าในพวกของตัวให้อีกพวกหน่ึงช้ีว่าอยู่ที่ใคร ผลัดกันซ่อนและช้ีแถวละคร้ัง ถ้าพวกใดช้ีถูก

แถวของตนจะได้เลื่อนไป โดยคนท่ีอยู่ท้ายแถวจะเล่ือนไปอยู่หัวแถว ผู้ท่ีถึงเส้นชยั ก่อนแถวน้ันชนะ หรือ

ชนะดว้ ยการสุดแถว แล้วแตจ่ ะตกลงกนั การเลน่ ชนิดนีฝ้ กึ ความพร้อมเพรยี งและความอดทน

5. ประเภทการปรับ คือปรับผู้แพ้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ข่ีม้าส่งเมือง ลูกช่วง ลมเพลม

พดั แม่สือ่ กระซิบ ฯลฯ

ตัวอยา่ งการเล่น ขีม่ ้าสง่ เมือง

ชนดิ ของการเลน่ เลน่ กลางแจ้ง

80 ชวนพศิ อัตเนตร์

ผูเ้ ล่น แบง่ เป็น 2 ฝา่ ย ฝา่ ยละเท่า ๆ กนั

วิธีเลน่ เลือกผู้เล่นเปน็ เจา้ เมืองหน่งึ คน ซ่ึงจะต้องไม่เข้ากับฝ่ายใดฝา่ ย

หนึ่ง แต่ละฝ่ายจับไม้สั้นไม้ยาวเพ่ือเลือกว่าใครจะเร่ิมเล่นก่อน ฝ่ายชนะจะเร่ิมก่อน โดยการเดินมา

กระซิบกับผู้ที่เป็นเจ้าเมืองก่อนแล้วกลับไป ฝ่ายตรงข้ามจะเดินมากระซิบบ้าง ถ้าฝ่ายที่ออกมาตรงกับ

ฝา่ ยท่ที ายไว้ เจา้ เมืองจะกลา่ วคาว่า “โป้ง” คนน้นั ต้องเป็นเชลย และฝ่ายทท่ี ายถูกทายได้อีกครั้งจนกว่า

ข้างใดขา้ งหน่งึ จะหมด ฝา่ ยใดหมดกอ่ นฝา่ ยนัน้ แพแ้ ละใหฝ้ า่ ยชนะหลงั ไปสง่ เมอื ง

6. ประเภทการนับ ประเภทน้ีไม่ค่อยมีมากนัก เช่น การเล่นตกเบ็ด การเล่นจ้าปักยม

ฯลฯ

ตัวอยา่ งการเล่น ตกเบ็ด

ชนิดของการเลน่ เลน่ ในรม่

ผู้เลน่ คร้งั ละ 10 คน

วธิ เี ลน่ ตัดกระดาษแข็งเป็นรูปปลา 10 ตัว เจาะรูโตๆ ทาเป็นตาปลา

ตัวละ 1 รู เขียนเลขที่หางปลาทุกตัวเปน็ เลข 1 สี่ตัว เลข 4 สามตัว เลข 10 สองตัว เลข 25 หนึ่งตัว หา

หบี กระดาษมาเจาะฝาหบี ให้มีช่องใหญก่ ว่าตวั ปลา 10 ช่อง แลว้ เอาปลาใส่ลงในชอ่ งอยา่ ให้ผู้เลน่ เห็นเลข

ให้ตาปลาอยู่สูงกว่าหีบเลก็ น้อย หาไม้ส้ันๆ มาหนึ่งอัน เอาด้ายผูกปลายไม้ แล้วเอาเบ็ดผูกกับปลายด้าย

ให้ผู้เล่นผลัดกันตกปลาคร้ังละ 1 ตัว เมื่อตกกันครบทุกคนแล้ว เอาปลาลงหีบโดยไม่ให้ผู้เล่นเห็นตัวเลข

แล้วให้ผู้เล่นตกปลาอกี คร้งั หน่งึ เสรจ็ แล้วรวมแต้ม ผู้ใดได้แตม้ มากที่สดุ เปน็ ผ้ชู นะ

7. ประเภทใช้ลูกบอล การเล่นประเภทนี้ได้แบบอย่างมาจากต่างประเทศเป็นส่วนมาก

เช่น แฮนดบ์ อล ลงิ ชิงบอล ฯลฯ จะไม่กลา่ วถงึ รายละเอยี ดของการเล่นประเภทน้ี

8. ประเภทคดั ออก เช่น รีรขี ้าวสาร เทวดานง่ั เมือง เกา้ อีด้ นตรี ฝรง่ั ชิงเมอื ง พรายกระซิบ

หมากถัง เสือตบก้น น้าข้ึนน้าลง ฯลฯ

ตวั อยา่ งการเล่น รีรขี า้ วสาร

ชนิดของการเล่น เล่นกลางแจ้ง

ผูเ้ ลน่ กคี่ นกไ็ ด้

วิธีเลน่ จับไม้สั้นไม้ยาวให้ผู้เล่น 2 คน ยืนเอามือประสานกันเหนือ

ศีรษะเป็นประตูโค้ง คนอ่ืนเกาะไหล่กันลอดใต้ประตูไปเรื่อย ๆ คนที่เป็นประตูต้องร้องเพลงประกอบ

เมอื่ จบเพลงจะกระตุกแขนลงกั้นคนสดุ ท้ายไว้ แล้วคัดออกไป คนข้างหลังจงึ ต้องระวังตวั ให้ดีไม่ให้ถูกก้ัน

ได้ ประตตู อ้ งพานคนลอดใหไ้ ด้หมดทุกคนจึงจะจบเกม

เพลงร้องประกอบ รีรขี ้าวสาร สองทะนานข้าวเปลอื ก

เลอื กท้องใบลาน เก็บเบย้ี ใต้ถนุ ร้าน

คดข้าวใสจ่ าน พานเอาคนขา้ งหลงั ไว้

คตชิ นและภูมิปญั ญาท้องถ่นิ 81

9. ประเภทกระโดดข้าม เชน่ เรือขา้ มหว้ ย ต้องเต กระโดด กระโดดกา้ วขา ฯลฯ

ตัวอย่างการเล่น เสอื ข้ามหว้ ย

ชนิดของการเล่น เล่นกลางแจง้

ผู้เลน่ ไมจ่ ากดั จานวน

วิธเี ล่น จับไม้สั้นไม้ยาวเลือกคนท่ีเป็นห้วย 1 คน คนอ่ืน ๆ กระโดด

ข้ามห้วย คนท่ีเป็นห้วยจะทาท่าต่าง ๆ ให้ข้ามต้ังแต่ท่ีเต้ียสุด เช่น ท่าท่ี 1 ขา 1 ข้าง ท่าท่ี 2 ขา 2 ข้าง

ซ้อนกันให้สงู ขึน้ ทา่ ที่ 3 กางมอื 1 ขา้ งซอ้ น ฯลฯ คนไหนทีก่ ระโดดข้ามไม่พน้ ตอ้ งเปน็ แทน

10. ประเภทตลก เช่น ดมดอกไม้ ปดิ ตาตหี มอ้ จบู เงา ปดิ ตาข้ามของ ปดิ ตาต่อรปู ฯลฯ

ตวั อยา่ งการเล่น ดมดอกไม้

ชนิดของการเล่น เล่นกลางแจง้ หรือในร่มกไ็ ด้

ผเู้ ลน่ ไมเ่ กนิ 10 คน

วิธีเลน่ แขวนดอกไมใ้ หห้ ้อยอย่ใู นระดบั จมูกของผู้เล่นท่ีถูกปิดตา โดย

จับสลากเรยี งลาดับว่าใครจะเลน่ ก่อนหลังใหผ้ ู้เลน่ ท่ีถูกปิดตาเดนิ ไปจากจุดที่แขวนดอกไม้ 5-8 กา้ ว แลว้

จบั หมุน 3 รอบ ใหห้ ันหน้าตรงกับดอกไม้แล้วปล่อยใหเ้ ดนิ ไปดมดอกไม้ โดยใช้จมูกอย่างเดียวห้ามใช้มือ

ควานหา ถ้าดมดอกไม้ถูกก็ชนะ คนต่อไปก็เล่นตามลาดับ ความตลกอยู่ที่ท่าทางในการดมดอกไม้ และ

อาจจะดมไมถ่ ูกดอกไมเ้ ลย

11. ประเภทกระดาษดินสอ เช่น เสือตกถัง พานางเข้าห้อง อีตัก ดูกระจกเขีย นภาพ

คาถามคาตอบ ฯลฯ

ตัวอยา่ งการเลน่ เสอื ตกถงั

ชนิดของการเล่น เลน่ ในร่ม

ผเู้ ลน่ 2 คน

อปุ กรณก์ ารเลน่ กระดาษส่เี หลีย่ มด้านเทา่ 1 แผ่น เขียน

เส้นทแยงมมุ 2 เสน้ กลางช่องหนึ่งเขยี นวงกลมเล็ก ๆ สมมตเิ ป็นถังและมเี หรียญ 2 อัน ท่ตี ่างกนั

วิธีเล่น แต่ละคนเป็นเจ้าของเหรียญคนละอัน วางไว้บนปลายเส้น
ทั้ง 2 ที่ติดกัน สมมติเป็นเสือ แล้วลงมือเลน่ ดว้ ยการเดินเหรยี ญน้ันคนละครั้งสลบั กัน โดยเดินจากปลาย
เส้นไปยังจุดกลาง หรือไปยังปลายอีกเส้นหนึ่งก็ได้ แต่จะเดินข้ามเส่ืออีกตัวหนึ่งหรือข้ามถังไม่ได้ และ
ถ้าถึงตาจนเสอื ไล่มา ขา้ งหนา้ ก็เป็นถัง กเ็ ป็นอนั ว่าแพ้

82 ชวนพิศ อตั เนตร์

12. ประเภทความแม่นยา เชน่ ดดี เม็ดมะขามลงหลมุ สะบา้ ข่ีหลังทอยกระเบ้อื ง ฯลฯ

ตัวอย่างการเล่น ดดี เมด็ มะขามลงหลุม

ชนดิ ของการเลน่ เล่นในร่ม

ผู้เลน่ ไม่จากัด

จานวนอปุ กรณ์การเล่น เม็ดมะขาม

วิธีเล่น จับไม้สั้นไม้ยาวว่าใครจะเล่นก่อน ผู้เล่นคนอ่ืน ๆ จะเลือกให้

ดีดเม็ดใดก็ได้ แล้วทามือให้เป็นหลุมป้อง ถ้าเม็ดแรกดีดลงหลุมได้ก็ดีดเม็ดต่อไปได้เท่าที่สามารถ ถ้าดีด

ไม่ไดถ้ ือวา่ ตายให้ผอู้ นื่ เลน่ ทานองเดยี วกนั เวลาดดี ใชน้ ิว้ ชี้ และนิว้ หวั แมม่ อื เมอื่ เลน่ ได้เม็ดมะขามจานวน

เทา่ ใด นามานับแขง่ กัน

13. ประเภทสาหรบั เด็กเล่น เช่น แมงมมุ จาจี้ ตบแผละ ข้ีตกู่ ลางนา จบั ปูดา จ๊ะเอ๋ โยกเยก

จีจ่อเจย๊ี บ ฯลฯ

ตัวอยา่ งการเล่น แมงมมุ

ชนดิ ของการเลน่ เล่นในร่ม

ผู้เลน่ 3-5 คน

วิธีเล่น ผู้เล่นเอามือวางกับพื้นข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งใช้นิ้วโป้งกับน้ิวช้ี

หยิบหลังมือข้างที่วางไว้ แล้วกรีดน้ิวใหก้ ระจาย คนอื่นก็หยิบกันต่อ ๆ ซ้อนข้ึนไป แล้วร้องเพลง และทา

มอื โหยง่ ขนึ้ โหยง่ ลงตามทานองเพลง พอจบเพลงก็กระแทกเสียง ปล่อยมอื ออกจากกนั อยา่ งเร็ว

เพลงประกอบ แมงมมุ เอย ขยุ้มหลังคา

แมวกนิ ปลา หมากดั กระโพง้ ก้น

14. ประเภทไม้ เชน่ ไม้ห่งึ อีงดั ไมข้ ดี ต่อบ้าน ฯลฯ

ตวั อย่างการเล่น ไมห้ ่งึ

ชนดิ ของการเลน่ เล่นกลางแจง้

ผเู้ ล่น 2 ฝา่ ย ฝา่ ยละเท่าๆ กัน

อปุ กรณก์ ารเล่น ไมไ้ ผล่ าเลก็ ๆ ยาว 2 ฟุต เป็นแม่ไม้ และยาว

10 นวิ้ เปน็ ลกู ไม้

วิธีเล่น ฝ่ายที่ได้เล่นก่อน จะใช้แม่ไม้ตีลูกไม้ไปให้อีกฝ่ายหน่ึงรับ

ถ้ารับได้จะโยนลูกไม้มาให้ถูกแม่ไม้ ถ้าโยนถูกฝ่ายแรกจะแพ้ต้องให้อีกฝ่ายหน่งึ ไปเลน่ แทน แต่ถ้าโยนไม่

ถกู ฝ่ายแรกจะชนะได้ทาโทษฝา่ ยหลัง โดยฝ่ายชนะแต่ละคนจะใชแ้ ม่ไมเ้ ดาะลูกไมเ้ บาๆ หลายๆ ครง้ั โดย

ไม่ให้ตกดิน แล้วรวมจานวนคร้ังท่ีเดาะได้ไว้และใช้แม่ไม้ตีลูกไปให้ไกล ๆ ที่สุดเท่ากับจานวนคร้ังท่ีเดาะ

ได้ แล้วใหฝ้ า่ ยแพเ้ ก็บลกู ไมแ้ ล้วผลัดกันวิ่งออกเสยี ง “ต่ี” มาจนถงึ จดุ เร่มิ ต้น

คตชิ นและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิน่ 83

15. ประเภทเก้ียวพาราสี ประเภทน้ีไม่ค่อยมีมากนัก เท่าที่เคยพบ ได้แก่ กระเล่นฝาก

กระต่าย ที่เล่นในหมู่บ้านตาบลโพหัก อาเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี จะเล่นกันในเทศกาลสงกรานต์

วิธีการเล่นคือ ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงท่ีมาพบปะกัน แล้วเกิดความพึงพอใจอยากจะทักทายกัน ก็จะเข้า

ไปยืนใกล้ๆ ฝ่ายตรงข้าม (คนละเพศกัน) แล้วพูดว่า “ขอฝากกระต่ายตัวหน่ึง” และใช้มือแตะเบา ๆ ไป

ท่ีแขนหรือนอ่ ง หรือก้น ของอกี ฝ่ายหน่งึ นบั วา่ เป็นการแสดงความสมั พนั ธ์ไมตรตี อ่ กนั

16. ประเภทร้องเพลง ระบา ประเภทนสี้ ่วนใหญม่ กั จะเป็นการเลน่ ที่เปน็ บทร้องเพลงที่เป็น

บทร้องเล่น หรือร้องล้อเลียนกัน เช่น จันทร์เจ้า นางแมว ฝนตกแดดออก ผมจุก ผมเปีย ผมม้า แม่ใคร

มา อ้วนตุ๊ต๊ะ ฯลฯ

ตัวอยา่ งเพลงรอ้ งเลน่ เพลงจนั ทร์เจา้

ยามเดือนหงาย เด็ก ๆ มักจะมาน่ังเล่นกลางนอกชานหรือกลางลาน

แล้วร้องเพลงจันทรเ์ จา้ ดงั น้ี

จนั ทรเ์ จ้าเอย ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดง

ผกู มือน้องข้า ขอช้างขอม้า ให้น้องข่ี

ขอเกา้ อ้ี ใหน้ ้องขา้ นั่ง ขอเตียงตง้ั

ให้นอ้ งขา้ นอน ขอละคร ให้นอ้ งข้าดู

ขอยายชู เลี้ยงน้องข้าเถดิ ขอยายเกิด

เล้ยี งตัวขา้ เอง

การเล่นเป็นกิจกรรมที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมประจาชาติ และสะท้อนให้เห็นแนวความคิด รวมทั้ง

ค่านิยมและวัฒนธรรมของมนุษย์ ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีอาจจะไม่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่เราก็สามารถ

ศึกษาชีวิตและสังคมได้จากการเล่น เพราะการเล่นสัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์มาโดยตลอดต้ังแต่เด็ก

จนกระทั่งเติบโตเปน็ ผใู้ หญ่

4.8 บทสรุป

84 ชวนพศิ อัตเนตร์

4.9 คำถำมทบทวน

4.10 เอกสำรอ้ำงอิง

บทที่ 5
ศาสตร์และศลิ ปง์ านชา่ งไทย

5.1 ศลิ ปหตั ถกรรมพื้นบา้ น

หัตถกรรม ได้แก่ เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ของมนุษย์ท่ีมนุษย์ คิดประดิษฐ์หรือสร้างสรรค์ข้ึนมา
และถา้ งานหัตถกรรมที่สรา้ งขึน้ น้ันมีคณุ คา่ ด้านความงามและศลิ ปะดว้ ย เราจะเรียกงานหัตถกรรมนั้นว่า
ศิลปหัตถกรรม และ โดยปกติแล้วงานหัตถกรรมท่ีเกี่ยวกับเครื่องมือเคร่ืองใช้ทั่วไปมักจะเป็นงานที่มี
ประโยชน์ในการใชส้ อย และมคี ณุ คา่ ทางศลิ ปะความงามควบคู่กันไปดว้ ยเสมอ

จุดประสงค์สาคัญของการสร้างงานศิลปหัตถกรรมของมนุษย์ก็คือ ต้องการให้ได้ประโยชน์
ใชส้ อยนอกจากนนั้ ยังสร้างขึ้นตามความเช่ือถือ ศรทั ธา ตามขนบประเพณแี ละศาสนาอีกด้วย เชน่ การ
ทอผ้า การสานเสื่อ การตีดาบ การป้ันโอ่ง ฯลฯ นั้นมีจุดประสงค์เพ่ือประโยชนใ์ ช้สอยในชีวิตประจาวัน
ส่วนการแกะสลักพระด้วยไม้ของชาวอีสาน การทอฝ่ายเป็นตุงหรือเป็นธงในภาคอีสาน การหล่อ
พระพุทธรูปในภาคกลาง ฯลฯ ล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นตามความเช่ือถือศรัทธา ตามขนบประเพณีและ
ศาสนาเป็นสาคญั

ศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้าน ก็คือ ผลงานศิลปหตั ถกรรมท่เี กิดข้ึนจากฝีมือชา่ งของคนในท้องถ่ิน
ใดท้องถ่ินหน่ึง ที่สร้างข้ึนตามคติวิธีการที่ถ่ายทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ และเป็นที่นิยมยอมรับสืบต่อกัน
มาจนปัจจุบัน และวัตถุประสงค์ของการสร้างศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ก็คือทาข้ึนเพื่อใช้สอยหรือ
แลกเปล่ียนกัน เพื่อประโยชน์ในการดารงชีพหรือเพื่อตอบสนองความถือ ความศรัทธาตาม
ขนบประเพณี และศาสนาของกลุ่มชนในท้องถ่ินนั้น ๆ

ศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้าน จึงเป็นงานหัตถกรรมท่ีชาวบ้านหรือกลุ่มชนในท้องถ่ินต่าง ๆ ที่มี
เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเปน็ ของตนเองเป็นผ้สู ร้างข้ึน และผลงานนนั้ จะมีองค์ประกอบบางส่งิ บางอย่าง
ตามท่ีมีอยู่ในท้องถิ่นนั้นประกอบอยู่ด้วยไม่ว่าจะเป็นคตินิยมเรื่องความงามและรูปทรงท่ียึดถือและ
พัฒนาต่อกันมา แต่บรรพบุรุษ จนเกิดเป็นคตินิยมประจาถิ่นของของตนเองข้ึน เช่น การทาภาชนะ
สาหรับตักน้าด้วยใบจากกาบหลาวโอนของภาคใต้ โดยเฉพาะของชาวนครศรีธรรมราชท่ีเรียกว่า
หมาจาก หมาหลาวโอน มีรูปแบบท่ีเป็นลักษณะเฉพาะท้องถิ่นท่ีสืบทอดมาจากอดีตอย่างเห็นได้ชัดดัง
ในภาพ

86 ชวนพิศ อัตเนตร์

หรือภาชนะตักน้าของภาคเหนือ ท่เี รียก ว่า น้าทุ่ง หรือ น้าถุ้ง น้นั จะเห็นวา่ ใช้วสั ดแุ ละมีรูปร่างท่ีต่างไป
จากหมาจากของภาคใต้อย่างส้ินเชิง คือ น้าถุ้ง สานด้วยไม้ไผ่ ยาด้วยชัน รูปร่างคล้ายกรวยป้อม ๆ มีหู
ทาด้วยไมไ้ ขวก้ นั ด้านบน ผกู เชอื กสาหรับตกั นา้ สาวขน้ึ จากบอ่ นา้ ดังในภาพ

ความแตกต่างกันของหมาจาก และน้าถุ้งน้ี แสดงให้เห็นถงึ การใชว้ ัสดุ คตนิ ยิ มที่แตกตา่ งของแต่ละ
ทอ้ งถ่ินไดด้ ี

5.2 มลู เหตุของการสร้างศลิ ปหตั ถกรรมพื้นบา้ น

มูลเหตุของการสร้างศิลปหตั ถกรรมพน้ื บ้าน อาจจาแนกได้ 4 ประการ คือ
1. ความจาเปน็ ในการดารงชีพ การสรา้ งศิลปหตั ถกรรมตามความจาเป็นในการดารงชีพน้ี
ข้ึนอยู่กับปัจจัยในความจาเป็นของมนุษย์หลายประการ ซึ่งทาให้ต้องสร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรม
พื้นบ้านขึ้นมาเพื่อแก้ไข ความจาเป็นดังกล่าว และสร้างเสริมในงานศิลปหัตถกรรม เช่น การทา
เครอ่ื งป้นั ดนิ เผา เพอ่ื ใชเ้ ป็นภาชนะหงุ ตม้ อาหาร การสร้างเคร่อื งมือ เคร่อื งใช้ในการทานาไถ สาหรับไถ
นา ครุ สาหรับที่ข้าวของภาคเหนือ ซึ่งสานด้วยไม้ไผ่ การจักสานเคร่ืองมือจบั สตั วน์ ้า จับสัตว์บก มาเป็น
อาหาร ฯลฯ สง่ิ เหล่าน้ีไดร้ บั การสรรค์สร้างท่ีสบื ทอดต่อกนั มาหลายชว่ั อายุคนจนมีคุณภาพ และรูปแบบ
ที่เหมาะสมกับการใช้สอย และมีเอกลักษณ์เฉพาะถ่ินซ่ึงแตกต่างกันไปตามประเพณีนิยมของแต่ละถิ่น
เช่น ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านท่ีใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทานาของแต่ละถิ่นจะมีลักษณะต่างกันไป

คตชิ นและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิน่ 87

ตามประเพณีนิยม และสภาพภูมิศาสตร์ดังในภาคเหนือนิยมใช้ “ครุ” เป็นท่ีสาหรับตีข้าวเพื่อให้เมล็ด
ข้าวหลุดออกจากรวงข้าว แต่ในภาคกลางกลับใช้พื้นดินที่เรียกว่า “ลานนวดข้าว” แทนภาชนะรองรับ
เมล็ดข้าว และใช้วิธี "นวด" โดยใช้วัวหรือควายย่า เพ่ือให้เมล็ดข้าว หลุดจากรวงข้าว ความแตกต่างของ
วิธีการน้ีทาให้เกิดการสร้างเครอ่ื งมือเครื่องใช้หรือศิลปหัตถกรรมพื้นบา้ นท่ีมีรูปแบบแตกต่างกันไป หรือ
เครื่องมือจับสัตว์น้าท่ีสานด้วยไม้ไผ่ เช่น ลอบ ตุ้ม ไซ จะมีขนาด และรูปทรงแตกต่างกันไปตามสภาพ
ของแหลง่ น้า คอื ในแหล่งที่เป็นท่ีดอน นา้ นอ้ ย เครือ่ งมอื เหลา่ นจ้ี ะมีขนาดเล็ก แต่ถ้าในเขตน้าลึกก็จะมี
ขนาดสูงใหญ่ เหลา่ น้ีแสดงใหเ้ หน็ ถงึ การสร้างศลิ ปะหตั ถกรมพื้นบ้านนว้ี ่าสร้างข้นึ ตามความจาเปน็ ในการ
ดารงชพี และตอ้ งสัมพันธ์กับสถานการณ์ตา่ ง ๆ ตามสภาพแวดล้อมของทอ้ งถน่ิ ดว้ ย

2. มูลเหตุท่ีเกิดจากสภาพทางภูมิศาสตร์และส่ิงแวดล้อม โดยทั่วไปแล้วการดารงของ
มนษุ ยจ์ ะต้องสัมพันธก์ ับสภาพภูมศิ าสตร์ และสิง่ แวดลอ้ มของท้องถิ่นที่ตนอาศยั อย่เู สมอ และสิง่ ท่มี นษุ ย์
สรา้ งขึ้น คืองานศิลปหัตถกรรมพื้นบา้ นจะถูกกาหนดให้สัมพันธ์กบั สภาพภมู ิศาสตร์ และสิง่ แวดล้อมของ
ท้องถ่ินนั้น ๆ ด้วย ทั้งน้ีก็เพื่อให้สิ่งที่สร้างขึ้นนั้นสามารถใช้ประโยชน์ตามความประสงค์ผู้สร้างได้ดีท่ีสุด
ลักษณะเช่นน้ีปรากฏให้เห็นอยู่ท่ัวไป เช่น การสร้างพาหนะสาหรับบรรทุกของชาวไร่ชาวนา คือ
“เกวียน” ของภาคกลางซึ่งใช้ในพื้นที่ราบ กับ “ระแทะ” ของภาคเหนือ ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง
และไหล่เขา ก็จะเห็นความแตกต่างด้านรูปแบบ เกวียนในภาคกลางจะมีขนาดใหญ่ว่าระแทะของ
ภาคเหนือ เพราะเกวียนท่ีใช้ในที่ราบนั้น วัว ควาย จะสามารถลากน้าหนักได้มาก ขนาดของเกวียนจึง
ทาให้ใหญ่ และบรรทกุ นา้ หนกั ได้มากกวา่ ระแทะทต่ี อ้ งลากขน้ึ เนนิ หรือไหล่เขา ตอ้ งบรรทุกน้าหนักน้อย
วัวหรือควายจึงจะลากไหว จึงต้องสร้างระแทะให้มีขนาดเล็กกว่าจึงจะเหมาะสมกับการใช้งาน
ความแตกต่างกันเชน่ น้ีกเ็ ปน็ เพราะสภาพภูมปิ ระเทศเป็นตัวกาหนดนน่ั เอง

3. มูลเหตุที่เกิดจากขนบประเพณี ความเช่ือ และศาสนา สิ่งที่เป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวทาง
จิตใจของคนไทยเป็นมูลเหตุสาคัญอย่างหนึ่ง ท่ีกอ่ ใหเ้ กิดศิลปหตั ถกรรมพ้ืนบ้านข้ึนในท้องถ่ินต่าง ๆ เชน่
การทาธง หรอื ตงุ ของภาคเหนือ เปน็ หตั ถกรรมพน้ื บา้ นที่เกดิ ข้นึ จากความศรัทธาในศาสนา และได้สร้าง
สบื ตอ่ กันมาจนเป็นประเพณีอย่างหนงึ่

ศิลปหัตถกรรมท่ีมนุษย์ประดิษฐ์สร้างสรรค์ข้ึนตามความเช่ือถือ ศรัทธา ตามขนบประเพณี
และศาสนา จะมีรูปแบบแตกต่างกันไปตามความนิยมที่สืบทอดกันมาในท้องถิ่น เช่น การทา “บ้ังไฟ”
ก็เป็นศิลปหัตถกรรมอย่างหนง่ึ ที่สร้างขึ้นตามความเชอื่ ถือและศรัทธาของชาวอีสาน ซึ่งทาบ้ังไฟข้ึนเพื่อ
ทาพิธีขอฝนจากเทวดา เนอื่ งจากในภาคอสี านเปน็ ทอ้ งถิ่นท่ีค่อนขา้ งแหง้ แล้งและมกั จะขาดฝนอยเู่ สมอ

มูลเหตุเนื่องจากทรัพยากรในท้องถ่ิน วัสดุต่าง ๆ ท่ีอยู่ในหมู่บ้าน ตามภาคต่าง ๆ ของ
ประเทศไทย บังคับให้ชาวบ้านจะต้องนามาสร้างผลงาน เพ่ือให้ได้ประโยชน์มากที่สุดและให้ได้รูปแบบ
ตามหน้าทใ่ี ช้สอย วสั ดุทีจ่ ะแนะทางให้ชาวบ้านสรา้ งเคร่ืองใช้สอยประจาวนั เครอ่ื งใช้ในการหงุ อาหารใน
ครัวเรือน เคร่ืองใช้ในบ้าน เคร่ืองนุ่งห่ม เช่น เตาหม้อข้าว ถ้วยชาม สารับกับข้าว เสื้อผ้า ตู้ เตียง แคร่

88 ชวนพศิ อตั เนตร์

เล้าหมู เล้าไก่ เล้าเป็ด ฯลฯ ก็ต้องหาวัสดุตามหมู่บ้าน น้ัน ๆ เช่น ภาคเหนือมีไม้สักมาก มีดินที่จะทา
ภาชนะเครื่องป้ันดินเผา เลี้ยงไหม ภาคเหนือจึงมีเครื่องใช้ท่ีทาด้วยไม้สัก ปั้นดินทาท่ีใส่น้าให้เย็น
ตลอดเวลา ทอผ้าไหมจากตัวไหม ฯลฯ ส่วนภาคใต้พื้นที่ส่วนใหญ่ติดริมทะเล มีวัสดุที่อยู่ในทะ เลมา
ประดิษฐ์ เช่น หอยมกุ มาทาเปน็ เคร่ืองประดบั ต่าง ๆ เป็นตน้

วิธีการสร้างงานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของไทยมักเป็นงานท่ีสร้างขึ้นด้วยฝีมือช่างคนเดียว
ตั้งแต่ต้นจนสาเร็จ มากกว่าที่จะเป็นการทาด้วยวิธีการแบ่งงานกันทาคนละข้ันตอนอย่างงาน
อุตสาหกรรม กรรมวิธีในการผลิตก็เป็นไปอย่างพ้ืน ๆ ไม่มีเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย
ดังจะเห็นจากวิธีการทอผ้าในสมัยโบราณ ซึ่งเริ่มจากการปลูกฝ้ายเล้ียงไหม จนไปถึงการสาวไหม
การย้อมไหมด้วยสีธรรมชาติที่ได้มาจากแก่นไม้บ้าง เปลือกไม้บ้าง ซึ่งเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติท้ังสิ้น
เช่น สีครามก็ได้มาจากต้นคราม สีแดงได้จากผลคาแฝด สีเหลืองได้จากขม้ินชัน เป็นต้น จากวัตถุดิบ
พ้ืนบ้าน ก็ไปสู่การทอด้วยเคร่ืองมือที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างง่าย ๆ ตลอดไปจนถึงรูปแบบ และลวดลาย
ซ่ึงส่วนมากเป็นสิ่งซึ่งได้ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษเป็นหลัก จากวิธีการตามข้ันตอนดังกล่าว จะเห็น
ว่าเป็นวิธีการท่ีเป็นธรรมชาติเรียบง่ายและมีความประสานกลมกลืนกัน ทาให้เกิดความงามท่ีมีลักษณะ
เฉพาะถ่ิน และมลี ักษณะทตี่ ่างไปจากงานศลิ ปะหรืองานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ท่แี พร่หลายอยู่ในปัจจบุ ัน

5.3 ประเภทของศลิ ปหตั ถกรรมพนื้ บา้ น

งานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของไทยเท่าที่ปรากฏอยู่ในท้องถิ่นต่าง ๆ น้ันมีมากมายหลาย
ประเภท ส่วนมากจะเป็นเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ท่ีจาเป็นในการดารงชีวิต และประเภทที่ทาข้ึนเพื่อสนอง
ความเชื่อวามเชื่อถอื ตามขนบประเพณี และศาสนา ซ่งึ พอจะจาแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ไดด้ ังนี้

1. เคร่ืองเคลือบดินเผา (Ceramics) ได้แก่ ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านท่ีสร้างข้ึนด้วยดิน
เหนียวเป็นวัสดุหลกั และมีการผลิตโดยการป้ัน หล่อ แล้วเผาไฟและเคลือบด้วยน้าเคลือบ หรือตกแต่ง
ด้วยวิธีการอ่ืน ๆ จนได้ศิลปหัตถกรรมที่มีลักษณะเป็นงานดินเผาและเครื่องเคลือบ ซึ่งมีเอกลักษณ์
เฉพาะถนิ่ ท่ีแตกต่างกันไป เช่น การป้ันโอ่ง กระถางเคลอื บลายมังกร ของจงั หวัดราชบุรี เครือ่ งปัน้ ดนิ เผา
ด่านเกวียน อาเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เคร่ืองปั้นดินเผาสทิงหม้อ อาเภอสทิงพระ จังหวัด
สงขลา เครอ่ื งปนั้ ดินเผาของจงั หวัดเชยี งใหม่ เปน็ ต้น

2. การทอผ้า และการเย็บปักถักร้อย (Textile and Embrosidery) ได้แก่ การทอผ้าใน
ท้องถ่ินต่าง ๆ ท้ังการทอผ้าไหม ผ้าฝ้าย หรือผ้าอ่ืน ๆ เช่น ผ้าไหมของภาคเหนือ และภาคอีสาน ผ้าทอ
เกาะยอจังหวัดสงขลา การทอผ้าพุมเรียง อาเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผ้าโขมพัสตร์ อาเภอหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น รวมถึงการเย็บปักถักร้อยเพ่ือการตกแต่งด้วย เช่น การทอยกดอก
การทอจก การประดับตกแต่งด้วยลูกปัด และกระจกไปจนถึงการทอธงหรือตุงของภาคเหนือ และ
ภาคอสี านสาหรับใชใ้ นงานเทศกาลตา่ ง ๆ ดว้ ย

คติชนและภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ 89

3. การแกะสลัก (Carving) ได้แก่ การแกะสลักเพื่อเป็นเครื่องมือเคร่ืองใช้ด้วยวัสดุต่าง ๆ
เช่น การทาครกหินที่อ่างศิลา จังหวัดชลบุรี การแกะสลักไม้สาหรับทาเครื่องเรือนของภาคเหนือ
การแกะสลักไม้เป็นรูปเคารพของภาคอีสานการแกะสลักตัวหนังตะลุงของภาคใต้ การแกะงาช้างท่ี
อาเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นตน้

4. หัตถกรรมโลหะ (Metal Works) ได้แก่ งานหัตถกรรมท่ีทาด้วยโลหะชนิดต่าง ๆ เช่น
เหล็ก ทองเหลืองทองแดง สัมฤทธิ์ เงิน และทอง เป็นต้น ตัวอย่างเช่น การทามีดอรัญญิก จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา การทาบาตรที่บ้านบาตร กรุงเทพฯ การทาเคร่ืองเงินทองของจังหวัดเชียงใหม่ และ
การทาเครอื่ งถมของจังหวัดนครศรีธรรมราช เปน็ ตน้

5. เครื่องจักสาน (Basketry Mats) ได้แก่ การสาน และถักภาชนะเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ด้วย
ไม้ไผ่ หวาย กก เชือกป่าน ปอ กระจูด ใบลาน ใบลาเจียก ใบเตย และย่านลิเภา ฯลฯ เช่น การสานเสื่อ
กระจูดที่จังหวัดพัทลุง การทอเส่ือท่ีจังหวัดจันทบุรี การสานกระเป๋าย่านลิเภาจังหวัดนครศรีธรรมราช
การสานเสื่อลาเจยี ก ของจงั หวัดปัตตานี เปน็ ตน้

6. ภาพจิตรกรรมและภาพวาด (Painting and Drawing) ได้แก่ ภาพเขียน ระบายสี
และภาพวาดลายเส้นท่ัวไป ซ่ึงมักจะเก่ียวเน่ืองด้วยพระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เช่น ภาพจิตรกรรม
ฝาผนัง ภาพสมุดข่อย การสัก และการเขียนตกแต่งอาคารเครื่องมือเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น
ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนัง ภายในอุโบสถต่าง ๆ การตกแต่งเรือกอ และของภาคใต้ การตกแต่งหัวและ
ตวั นกทใ่ี ช้ในขบวนแห่นกของชาวมสุ ลมิ ภาคใต้ เปน็ ต้น

7. การปั้นรูปและลวดลายประดับ (Sculpture and Decorating motive) ได้แก่
งานประตมิ ากรรมทั้งหลาย เช่น การปั้นพระพุทธรูป การป้นั รูปเคารพ การปั้นต๊กุ ตาต่าง ๆ ตัวอยา่ งเช่น
การปั้นปูนประดับตกแต่งโบสถ์ วิหาร และส่ิงก่อสร้างของชาวเพชรบุรี ซ่ึงถือว่าเป็นศิลปหัตถกรรม
พน้ื บ้านทที่ ากนั แพรห่ ลายมากในปัจจุบนั

8. การทาเครื่องกระดาษ (Paper mache) ได้แก่ การทากระดาษพ้ืนบ้าน เช่น การทา
กระดาษสาของภาคเหนือการทากระดาษข่อยของภาคกลาง การทากระดาษสาหรับใช้ตกแต่งในงาน
เทศกาล การทารม่ ทาว่าวทาหัวโขน และหน้ากากต่าง ๆ

9. ประเภทเบ็ดเตลด็ เปน็ งานหตั ถกรรมพ้นื บ้านที่ไม่อาจจดั เขา้ เปน็ ประเภทใดได้แน่นอน
และไม่ใคร่ทาแพร่หลาย ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ซ่ึงก็มีอยู่หลายชนิด เช่น การจัดดอกไม้ การแกะสลักไม้
การแทงหยวก การทาหุ่นกระดาษ เครื่องเขิน การทาเครื่องดนตรี การทาลูกปัด การทากังหัน เรือ
เกวยี น ระแทะ ฯลฯ

90 ชวนพศิ อัตเนตร์

5.4 ศิลปหัตถกรรมพน้ื บา้ นภาคตา่ ง ๆ ของไทย

ดังได้กล่าวแล้วในเบื้องต้นว่า สภาพภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ขนบประเพณี ความเชื่อ
และศาสนา มีอิทธิพลท่ีเป็นแรงจูงใจในการสร้างศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้านเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น
ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านในแต่ละภาคของประเทศไทยจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะถ่ินท่ีแตกต่างกันออกไปเป็น
อนั มาก ดังเช่น งานศิลปหตั ถกรรมบางประเภททม่ี ชี ่ือเสียงของภาคตา่ ง ๆ ซึ่งจะกล่าวถงึ พอเป็นสังเขป
ดงั นี้

1. ศลิ ปหัตถกรรมพืน้ บ้านภาคเหนือ
ร่มกระดาษ แหล่งผลิตร่มกระดาษส่วนใหญ่อยู่ท่ีจังหวัดเชียงใหม่ ซ่ึงเป็นจังหวัดท่ีมี

การผลิตกระดาษสาสาหรับใช้ในการทาร่มด้วย และมีผู้ผลิตร่มถึง 799 ราย มีผลิตที่จังหวัดลาพูน
ลาปาง และเชยี งรายบ้างเล็กนอ้ ย

ร่มกระดาษที่ผลิตอยู่ในขณะนี้มี 2 แบบ คือ แบบธรรมดา นิยมใช้ท้ังกันแดด และ
กันฝน มีสีเหลืองปนน้าตาลไหม้ เป็นพ้ืนไม่มีลวดลาย ชาวบ้านมักจะซ้ือถวายพระไว้กันฝนส่วนอีกแบบ
หน่ึงท่ีสวยงามกว่าแบบธรรมดา คือ ทาให้เป็นสีต่าง ๆ เช่น แดง เหลือง ชมพู เขียว และมีลวดลาย
สวยงาม เป็นตน้ ว่า ลายดอกไม้ สายทวิ ทศั น์ตา่ ง ๆ และตกแตง่ ฟูที่หัวร่มการร้อยด้ายข้างในก็ใชไ้ หมร้อย
แบบนี้ส่วนมากใช้กันแดด กรรมวิธีในการผลิตร่มกระดาษ ในข้ันแรกกลึงหัวร่ม และตุ้มร่มก่อนให้
เรียบร้อยแล้วผ่ารองให้ได้จานวนซ่ีตามขนาดของร่ม นาไม้ไผ่มาเหลาร่มตามขนาดและระยะท่ีต้องการ
แล้วเจาะรูให้เรียบร้อยบนร่ม ใช้ด้ายมัดหัวร่มประกอบกับซี่ร่มให้แน่นและเรียบร้อย อย่าให้หลุดหรือ
แตกร้าวได้ ข้ันต่อไปคือการผ่านโค้งร่ม แล้วปิดกระดาบร่มซึ่งโดยมากใช้กระดาษสาให้แน่นสนิทกับซ่ี
ร่มทุกซี่ ใชก้ ระดาษแผ่นใหญ่ตัดเปน็ รปู สามเหล่ยี มยาวปดิ ลงไปบนโครงร่มทีละแผ่น ๆ จนไดค้ รบวงกลม
แลปิดหลายชั้นให้หนาพอสมควร เอาฝั่งแดดให้แห้งแล้วจึงหุบร่มเพื่อให้ติดกับหลังซี่ร่มแน่นทุกซ่ีต่อไป
ร้อยด้ายประดับด้านในตอนที่ติดกับตุ้มร่ม และตอนปลายส้ันด้านบนที่ร้อยติดกันกลางซ่ียาว เม่ือ
เรียบร้อยแลว้ กถ็ ึงข้ันการทาสีให้ท่วั โดยใชผ้ ้าหรือแปรงเน้ือละเอียดจุ่มสผี สมแลว้ ทาบนกระดาษ ถา้ จะมี
ลวดลายก็ใช้แปรงจุ่มสีเขียนลวดลายลงไปที่หลัง โดยต้องใช้ความชานาญอย่างยิ่งเพราะต้องเขียนลาย
โดยไมม่ ีการร่างลวดลายมาก่อนเลยเสร็จแลว้ นาไปตากแดดหรือปล่อยให้แหง้ สนิท จากนนั้ ก็ประกอบกัน
รม่ กบั ตวั รม่ ตรวจและตกแต่งสว่ นต่าง ๆ ใหเ้ รยี บรอ้ ย

การผลิตร่มกระดาษน้ีในปัจจุบันราษฎรของภาคเหนือได้ทาการผลิตกันเป็นแบบ
หัตถกรรมในครอบครัวโดยเฉพาะชาวบ้านตาบลบ่อสร้าง อาเภอสันกาแพง จังหวัดเชียงใหม่ ทาร่มกัน
เกอื บทุกครัวเรือน และเป็นหมู่บา้ นเดยี วในประเทศไทยทีย่ งั รักษาเอกลกั ษณ์ในการทาร่มกระดาษนไ้ี ว้

คติชนและภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ 91

งานแกะสลักไม้สกั
ไม้สักเป็นไม้ช้ันหนึ่ง ซ่ึงราคาแพงที่สุด มีมากในทางภาคเหนือของประเทศไทย
เศษของไม้สักท่ีเหลือจากตัดเป็นซุงล่องมายังกรุงเทพฯ แล้วยังนาไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง และ
มีอย่างหนึ่งที่ได้กลายเป็นสินค้าท่ีนิยมซ้ือขายกันในท้องตลาดท้ังยังเปน็ สัญลักษณ์ของเมืองไทย น่ันก็คือ
ช้างแกะสลัก ซ่ึงทากันมากที่จังหวัดเชียงใหม่ เพราะเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยป่าสัก และมีช้างใช้เป็น
แรงงานในการทาป่าไม้มาก จึงไดม้ ีผู้คดิ แกะสลกั ชา้ งไมส้ ักขน้ึ จนกระทง่ั เป็นอุตสาหกรรมทขี่ ้นึ หนา้ ข้ึนตา
ของจงั หวดั เชยี งใหม่
กรรมวิธีในการผลิตช้างแกะสลัก คือ เม่ือหาตอไม้สักมาได้ก็จะถากให้เป็นรูปสี่เหล่ียม
หรือวงรี โดยให้รูปช้างอยู่ตามเส้นต้ังของเนื้อไม้ ทาให้เห็นลายไม้ปรากฏในรูปตัวช้างสวยงาม จากนั้น
กะส่วนตัวของช้างให้ได้ส่วนสัด แล้วใช้สิวและค้อนเซาะไปตามรอยที่ร่างไว้ระยะท่ีลงท่ีลงมือสลักนี้
เรียกวา่ เกลารปู จากนั้นชา่ งจะลงมือสลักเอาส่วนที่ไมต่ ้องการออก แลว้ เรม่ิ ลงมอื สลักงานส่วนที่ละเอียด
พอได้รูปร่างดีจะใช้สิ่วหน้าสามเหลี่ยมตกแต่งรอยย่นตามท่ีต่าง ๆ ของผิวหนังและเส้นสายอื่น ๆ เช่น
เส้นใบหู เส้นตา ตลอดจนเสน้ ขนหางเพ่อื ใหค้ ล้ายคลึงกับ

ช้างจริง ๆ มากที่สุด ต่อจากนั้นก็ติดงา บ้างก็เป็นงาจริงท่ีสลักเป็นอันเล็ก ๆ บ้างก็ใช้ไม้สลักเป็นงาแล้ว
ทาสีขาว ข้ันสุดท้ายจะถึงการตกแต่งโดยใช้กระดาษทรายขัดถูให้เกล้ียงเกลา ใช้แชลแลคทาแล้วลง
แล็กเกอร์อีกทหี่ น่ึงใหเ้ ป็นเงาสวยงาม ถ้าจะทาให้เป็นรูปตา่ ง ๆ กัน เชน่ กาลังลากซงุ หรืองัดซุง ชา่ งก็จะ
ตกแต่งเพ่ิมเติมโดยมีท่อนไม้พร้อมใช่โยงแสดงให้เห็นถึงช้างกาลังปฏิบัติงานโดยช่างจะพยายามทาให้
เหมือนของจริงให้มากท่ีสุด ช้างแกะสลักน้ี นอกจากคนไทยจะนิยมซ้ือแล้ว นักทัศนาจรชาวตา่ งประเทศ
มักชอบซ้อื ไปประดับบา้ นและฝากมติ รสหาย

ผา้ ไหมลาพนู
ปจั จบุ ันการทอผ้าไหมยังมีอยู่เกือบทุกภาคของประเทศไทยทางภาคเหนือน้ันการทอผ้า
ไหมที่มีชื่อเสียงคือ ที่อาเภอสันกาแพง จังหวัดเชียงใหม่ อาเภอป่าซาง จังหวัดลาพูน ท่ีอาเภอเมือง
จงั หวัดลาพูน มโี รงงานทอผา้ ไหมท่ีมีช่ือเสียงมากเปน็ ท่รี ู้จกั กันทว่ั ไปอยู่ 3 โรงงาน ในสมัยก่อนชาวบ้าน

92 ชวนพศิ อัตเนตร์

ตามท้องถิ่นจะปลูกฝ้ายหรือเล้ียงไหม เพื่อนาเอาใยมาเป็นเป็นเส้นไหม ทอเป็นผ้าสาหรับใช้เองและ
สาหรับใช้แลกเปลี่ยนกับเคร่ืองอุปโภคที่จาเป็นการทอผ้าไหมนับว่าเป็ นศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้านท่ีสาคัญ
อย่างหน่ึง การผลิตทุกระยะทาด้วยมือตลอด โดยใช้เครื่องมือเคร่ืองใช้แบบง่าย ๆ ซึ่งต้องอาศัยฝีมือ
ความชานาญ ความประณีต และความอดทนเป็นอย่างยิ่ง

กรรมวิธีในการทอผ้าไหมนั้นต้องเริ่มตั้งแต่เลี้ยงตัวไหมให้อาหารดูแลรักษาอย่างเต็มที่
เพื่อจะไดร้ งั ไหมท่ีดีนามาสาวเอาเสน้ ไหมออกจากรังโดยการต้มรังไหมในน้าร้อน และสาวเอาไหมออกมา
แล้วทาไว้เป็นเข็ดหรือใจ ต่อจากนั้นต้องนาเส้นไหมไปย้อมสีต่าง ๆ ตามท่ีต้องการ แล้วนาไปลงแป้งและ
ฝ่ังแดดให้แห้งนาไปกรอเข้าหลอดนาไปเรียงเส้นไหมใส่ฟืม (เครื่องสาหรับทอผ้า มีฟันเป็นซี ๆ คล้ายหวี
สาหรับสอดเส้นไหมใชก้ ระทุกให้ประสานกัน) นาเอาฟืมท่ีมีเส้นไหมแลว้ ไปเข้าเคร่อื งทอ ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ
คือ ทอท่ีกระตุก กับทอมือ สาหรับผ้าไหมที่ทอกันอยู่ในจังหวัดลาพูนมีอยู่ 3 ชนิดคือ “ผ้าไหมเล่ียน”
เป็นผ้าไหมท่ีใช้เส้นไหมพุ่งสีเดียวทอตลอดกันไปทั้งผืนไม่มีตอกควงหรือลวดลายอย่างอื่น “ผ้าไหมตา
หมากรุก” เป็นผ้าไหมลายขัด คือ ทอให้มีลายเป็นตาแบบตาหมากรุก หรือทอเป็นผ้าซ่ินท่ีลายคาดเชิง
และ “ผ้าไหมยก” เป็นผ้าไหมยกออกหรือผ้าไหมขิต คือ ผ้าไหมที่ทอโดยใช้เส้นไหมพุ่งสีต่าง ๆ หรือด้ิน
เงนิ ดิ้นทอง เกบ็ เป็นคอกหรือลวดลายสวยงาม

เครือ่ งเขิน
เป็นงานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของภาคเหนือท่ีทากันมาช้านานแล้ว ส่วนมากมักทา
เป็นภาชนะเครื่องใช้ เช่น ขันน้า แอบหมาก (เชี่ยนหมากที่มีฝาปิด) แอบยา (กล่องใส่ยา) เช่ียนหมาก
หีบใส่เสื้อผ้า พาน ขันโตก เป็นต้น การทาเคร่ืองเป็นจะต้องใช้ไม้กลึงด้วยไม้ไผ่ หรือไม้อ่ืน ๆ สานหรือ
ประกอบเป็นต้นแบบของภาชนะท่ตี ้องการจะทาก่อนแล้วตกแต่งผิวของผลิตภณั ฑ์ดังกล่าวตามลาดับข้ัน
ด้วยมีด กระดาษทราย หรือหินขัด เสร็จแล้วจะทาเคลือบด้วยสมุก หรือรัก (รัก เป็นยางไม้ป่าชนิดหนึ่ง
ได้มาจากต้นรัก มีมากในป่าทางภาคเหนอื ) ต่อจากน้ันจึงนาไปเขียนลวดลายด้วยการปิดทองลอ่ งชาดให้
สวยงามอีกช้นั หน่ึง
การทาเคร่ืองเขินน้ีจะเห็นได้ว่าเป็นการใช้วัสดุในท้องถ่ินตั้งแต่โครงหรือต้นแบบท่ีสาน
ด้วยไม้ไผ่ หรือไม้กลึงตลอดจนถึงยางรัก ชาด ล้วนเป็นวัสดุในท้องถิ่นท้ังส้ิน นอกจากน้ันรูปแบบของ
เคร่อื งเครอื่ งเป็นยงั มลี ักษณะเฉพาะของท้องถนิ่ ภาคเหนือที่แตกต่างไปจากภาคอ่ืน ๆ อีกด้วย

คติชนและภูมปิ ญั ญาท้องถิ่น 93

เครื่องสังกโลก
เป็นเคร่ืองป้ันดินเผาประเภทหน่ึง บางทีก็เรียกว่า “สังคโลก” สังกโลกเป็นเคร่ือง
เคลือบดินเผาของไทยที่มีความวิจิตรงดงามเป็นศิลปหัตถกรรมคู่บ้านคู่เมืองมาต้ังแต่สมัยกรุงสุโขทัย
เป็นต้นมา และในปัจจุบันน้ีที่จังหวัดเชียงใหม่มีโรงงานเชียงใหม่สังกโลกได้ทาเคร่ืองเคลือบดินเผา
สังกะโลกทมี่ ีสีสันงดงาม
โดยมีกรรมวิธีในการผลิต คือ นาดินมาใส่ถังเกรอะละลายน้าแล้วท้ิงให้ดินตกตะกอน
ในน้าใสท้ิง ตักตะกอนเอานวลดินขึ้นเก็บใส่หม้อ และหมักตากแดดไว้ประมาณ 1 วัน นาดินที่ตากแห้ง
แล้วมานวด ใช้เท้าเหยียบไล่อากาศออกให้หมด จนเหนียวจึงจะนามาปั้นเป็นรูปทรงต่าง ๆ โดยป้ัน
บนแป้นหมุน มือหน่ึงหมุนแป้นอีกมือหน่ึงตกแต่งภาชนะที่ในรอให้หมาดหรือแห้งก่อนแล้วเอาของแข็ง
มดี ใหเ้ ป็นลวดลายทต่ี ้องการนาไปตากแดด และขัดด้วยกระดาษทรายให้เรียบ แลว้ นาเข้าเตาเผาคร้งั แรก
เพื่อให้เคร่ืองปั่นอยู่ตัว แล้วนาไปเคลือบน้ายา แล้วนาไปตากแดดจนแห้งจึงเผาอีกครั้งด้วยไฟแรงสูงให้
ไฟเลียน้ายาเคลือบละลายออกเป็นสีเขียวไข่กา ใช้เวลาเผาประมาณ 36 ชั่วโมง จึงหยุดเผาเคร่ือง
สังกโลกท่ีผลิตจากจังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้เป็นที่นิยมของชาวต่างประเทศซึ่งพอใจในรูปทรงของเครื่อง
ปน้ั ทมี่ ีความวจิ ิตรประณีต และคล้ายคลึงกบั สงั กโลกในสมยั สุโขทัยเป็นอย่างยิ่ง

กระดาษสา
กระดาษสาเป็นกระดาษชนิดหน่ึงที่ทาจากปอสา โดยใช้เย่ือจากเปลือกส่วนลาต้นของ
ปอสา การทากระดาษสามีกรรมวิธีการผลิตคล้ายกับกระดาษชนิดอื่น ๆ ผิดกันแต่ว่ากระดาษสาใช้แรง
คนเป็นส่วนใหญ่ ต้นปอสาโดยปรกติจะพบข้ึนอยู่ในพ้ืนท่ีภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ลาปาง และ
เชียงราย ต้นปอสารที่จะนามาใช้ทากระดาษจะต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางของลาต้นประมาณ 7-10 ซม.
หรืออายุประมาณ 9-14 ปี กจ็ ะตัดมาทากระดาษได้ แล้วนามาทอนใหเ้ ปน็ ท่อน ๆ ยาวประมาณ 1 เมตร
นาไปย่างไฟอ่อน ๆ บนคาน ค่อย ๆ หมุนให้ถูกความร้อนโดยท่ัวกัน จนกระท่ังเปลือกปอสาหดจนเห็น
เนอื้ ไม้จงึ นามากรีดลอกเปลือกออกตามความยาวของลาต้นใชม้ ีดขูดผิวสีเขียวออกให้หมด นาเปลือกไป
ลา้ งน้าใหส้ ะอาด แล้วฝ่ังแดดจนเปลอื กแห้งสนิทนาไปทากระดานได้โดยนาเปลือกปอสาที่แห้งสนิทน้ันไป


Click to View FlipBook Version