The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดย ชวนพิศ อัตเนตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-12-07 05:42:55

คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น

คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดย ชวนพิศ อัตเนตร์

Keywords: Education,Folk,คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น,FOLKLORE AND LOCAL WISDOM

194 ชวนพศิ อตั เนตร์

7.8 บทสรุป

7.9 คำถำมทบทวน

7.10 เอกสำรอำ้ งอิง

อทุ ัย หิรญั โต. สารานกุ รมศพั ท์สังคมวิทยา-มานษุ ยวิทยา. ม.ป.ท.. ม.ป.ป. หน้า 160-161.
William A. Haviland. Cultural Anthropology. 4 th ed. ( New York: Holt, Rinehart and

Winston, 1983), p. 40.
พจนานุกรมศพั ทส์ งั คมวทิ ยาอังกฤษ-ไทยฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน. หนา้ 102.
เสฐยี รโกเศศ. วฒั นธรรมเบอ้ื งต้น. กรุงเทพฯ : ไทยมติ รการพมิ พ์, 2524. หน้า 35.
Encyclopaedia Britannica : Macropaedia 24. p. 309.
Richard M. Dorson, ed. Folklore and Folklife : An Introduction. (Chicago: University of

Chicago Press, 1972) .p. 2.
Simon J. Bronner. "Folk Objects." In Folk Groups and Folklore Genres : An Introduction.

ed. Elliott Oring (Logan, Utah : Utah State University Press, 1986). p. 199.
เสฐียรโกเศศ, วัฒนธรรมเบ้อื งต้น
พจนานุกรมศพั ท์สังคมวิทยาองั กฤษ-ไทยฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน. หนา้ 29,
เร่อื งเดยี วกนั , หน้า 395.
อุทัยหริ ัญโต, สารานุกรมศัพท์สังคมวทิ ยา – มานษุ ยวทิ ยา, หนา้ 293.
E. Adamson Hoebel, Anthropology : The Study of Man ( New York : The Scarecrow

Press, Inc. , 1962), p. 236.
Carol R. Ember and Melvin Ember, Anthropology, 4th ed. (Englewood Cliffs, New Jersey:

Prentice Hall, Inc. , 1985).
Warren E. Roberts. "Folk Crafts." in Folklore and Folklife : An Introductio. ed. Richard

M. Dorson (Chicago: University of Chicago Press, 1972). p. 233.
Carl Lindahl. J. Sanford Rikoon. and Elaine! Lawless. A Basic Guide to Fieldwork for

Beginning Folklore Students, Folklore Monograph Series, Volume 7 . Folklore
Publication Group (Bloomington: Indiana University Press, 1979), pp. 49-S1.

คตชิ นและภูมิปญั ญาทอ้ งถิ่น 195

Don Yoder. "Folk Costume." In Folklore and Folklife : An Introduction. ed. Richard M.
Dorson (Chicago: University of Chicago Press, 1972) .p. 295.

เสฐียรโกเศศ, วฒั นธรรมเบื้องต้น, หนา้ 38.
E. Adamson Hoebel, Anthropology: The Study of Man, p. 279.
Warren E. Roberts, "Folk Architecture," in Folklore and Folklife: An Introduction ed.

Richard M. Dorson (Chicago: University of Chicago Press, 1972), pp. 281-282.
Inunnnn Carl Lindahh, J. Sanford Rikoon, and Elaine J. Lawless, A Basic Guide to

Fieldwork for Beginning Folklore Students, pp. 46 48.
Don Yoder, "Folk Cookery." in Folklore and Folklife :An Introductio. ed. Richard M.

Dorson (Chicago: University of Chicago Press, 1972), pp. 329.
Inunn Carl Lindahl, J. Sanford Rikoon, and Elaine J. Lawless, A Basic Guide to Fieldwork

for Beginning Folklore Students, pp. 55-57.
Simon J. Bronner, "Folk Objects," In Folk Groups and Folklore Genres: An Introduction,

p. 200.

บทที่ 8
การศกึ ษาขอ้ มลู คติชน

ข้อมูลคติชนเป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้น อยู่ได้ทุกหนทุกแห่งและยืนยงอยู่ตลอดมา เนื่องจากสิ่งที่ผู้คน
สร้างขึ้นมาตามแบบประเพณีกาหนด ด้วยการใช้ถ้อยคา (วรรณกรรมมุขปาฐะ) ใช้มือ (วัฒนธรรมวัตถุ)
การปฏบิ ตั ิตา่ ง ๆ (ขนบธรรมเนียมประเพณีในสังคม) และการแสดง (ศิลปะการแสดง) นน้ั ยงั คงก่อให้เกิด
ความพอใจ และทาให้เกิดแรงกระตุ้นในทางศิลปะที่มนุษย์ได้รับร่วมกัน นอกจากน้ีข้อมูลคติชนยังยืนยง
อยู่ได้เพราะว่าเป็นส่ิงท่ีตอบสนองความต้องการเบ้ืองต้นของมนุษย์ ซึ่งหมายถึงว่าในการรวบรามข้อมูล
คติชนน้ัน เราต้องรวบรวมได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และแม่นยาด้วย น่ันก็คือเราไม่ได้บันทึกสุภาษิต
เพียงบทเดียวตาราอาหารอย่างเดียว การเล่นประเภทเดียว หรือนิทานเรื่องเดียวกันเท่านั้น แต่ควรจะ
บันทึกฉากหรือภาวะแวดล้อมทางสังคมในขณะท่ีมีการแสดงข้อมูลเหล่านี้อยู่ด้วย ซ่ึงเป็นสถานการณ์ใน
การแสดงขอ้ มูล และปฏิกิรยิ าโตต้ อบของผู้ทีเ่ ขา้ ร่วมสถานการณ์ท่ีมตี ่อการแสดงนั้น

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลคติชนย่อมเป็นส่ิงที่จะต้องเก่ียวข้องกับการกระทาของมนุษย์ และ
เก่ียวข้องกับมนุษย์ต้ังแต่สมัยด้ังเดิมมาจนกระท่ังถึงปัจจุบัน ข้อมูลเหล่านี้มีทั้งส่ิงเก่าแก่ดั้งเดิม และสิ่ง
ใหม่ๆท่ีเกิดขึ้นในชีวิตประจาวัน ถึงแม้ว่าคาว่าคติชนจะทาให้เราเข้าใจว่าหมายถึงข้อความที่เป็นคาพูด
และพิธีกรรมของสังคมท่ีสืบทอดกันมาแบบมุขปาฐะ แต่ปัจจุบันน้ี นักคติชนวิทยาต่างก็ยอมรับแล้วว่า
การสืบทอดกันมาแบบมุขปาฐะน้ันเป็นเพียงลักษณะประการหน่ึงเท่านั้น ทั้งความคิดที่ว่าคนพื้นบา้ นคือ
คนท่อี ย่ใู นชุมชนท่ดี อ้ ยการศกึ ษากล็ บเลอื นไป

8.1 การศึกษาขอ้ มูลคติชน

ข้อมูลคติชนนั้นประกอบด้วยองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ท้ังมากมายและหลากหลาย
องค์ประกอบเหล่านี้ได้เข้าไปปะปนแทรกซึมอยู่ในเร่ืองราวต่าง ๆ ทาให้การศึกษาข้อมูลเป็นไปได้ท้ัง
ในทางกว้างและลึก และสามารถศึกษาได้หลายด้าน ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงการศึกษาบางด้าน คือ
ความสัมพันธ์ระหวา่ งคติชนกับศาสตรอ์ น่ื

บทบาทหนา้ ท่ขี องคติชน
การศึกษาวรรณกรรมมขุ ปาฐะ
การศึกษาวฒั นธรรมวตั ถุ
การศกึ ษาประเพณสี ังคมพ้นื บ้าน
การศึกษาศลิ ปะการแสดงพื้นบา้ น
แนวทางในการศึกษาเพลงพนื้ บ้าน

คติชนและภมู ิปัญญาท้องถิ่น 197

8.2 ความสมั พันธร์ ะหว่างคตชิ นกับศาสตร์อืน่

ข้อมูลคติชนท้ังนิทาน ตานาน นิทานปรัมปรา เพลง สุภาษิต คาพังเพย ปริศนา บทกลอน
ความเชื่อ ประเพณี ตลอดจนวัตถุต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์อื่น ๆ เช่น วรรณกรรม
มานษุ ยวทิ ยา จิตวทิ ยา และศิลปะ

ความสมั พนั ธ์กบั วรรณกรรม วรรณกรรมตั้งแต่สมัยต้ังเดิม เปน็ ผลงานเกา่ แก่ท่สี ุดอย่างหน่ึง
ท่ีมนุษย์สร้างข้ึนมา วรรณกรรมมีกระบวนการของการสื่อสาร การหมุนเวียน และแพร่หลายอยู่ใน
ท่ามกลางกลุ่มคนพ้ืนบ้านมาเป็นเวลาช้านาน เดิมมีการถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังในลักษณะมุขปาฐะ
จากบุคคลหน่ึงไปยังอีกบุคคลหนึ่ง จากคนรุ่นหน่ึงไปยังคนอีกรุ่นหน่ึง หรือจากสังคมหน่ึงไปยังอีกสังคม
หนึ่ง ปัจจุบันน้ีนักวิชาการทั่วไปต่างก็ยอมรับว่า วรรณกรรมพ้ืนบ้านจะประกอบด้วยเร่ืองราวต่าง ๆ
ที่ผู้คนเล่าสู่กันฟังมาตั้งแต่สมัยโบราณ เร่ืองราวเหล่าน้ีก็คือนิทานนิยายโบราณที่เล่ากันอยู่ในท้องถิ่น
และเปรียบเสมือนกับบันทึกของสังคมมนุษยท์ ่ีทาให้มองเหน็ สภาพของสังคมไดช้ ดั เจน

ในช่วงเวลากว่าศตวรรษท่ีผ่านมาน้ี นักวิชาการได้ให้ความสนใจในวรรณกรรมพ้ืนบ้านมาก
ขึ้นเน่ืองจากมีการศึกษาด้านคติชนวิทยากันมากข้ึน ทาให้มีการยอมรับในศาสตร์ด้านคติชนวิทยาและ
ตระหนักว่าวรรณกรรมพื้นบ้านเปน็ ประเพณีปรัมปราท่ีสาคัญ ไม่ใช่เป็นเพียงเร่ืองราวของกลุ่มชนท่ีด้อย
การศึกษาดังท่ีเคยมีคนเข้าใจกันมาก่อน แต่มีบทบาทท่ีสาคัญอยู่ในสังคมและวัฒนธรรมนั่นก็คือ
วรรณกรรมพื้นบ้านเป็นต้นกาเนิด เป็นวัตถุดิบ หรือรากฐานของวรรณกรรมท่ีเป็นวรรณศิลป์ในยุคหลัง
เชน่ มหากาพย์ท่เี ป็นท่รี ู้จักกันท่วั โลก คืออเี ลยี ด โอดสิ ซี รามายณะ และมหาภารตะ ล้วนแต่มีเนอ้ื หาและ
รายละเอียดของเหตุการณ์คล้ายคลึงกับนิทานหรือตานานเก่าแก่ ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของวรรณกรรม
พ้ืนบ้านที่เล่ากันอยู่ในสมัยโบราณ อันเป็นหลักฐานที่ระบุว่าวรรณกรรมพ้ืนบ้านเป็นต้นเค้าของ
วรรณกรรมสมัยหลังอย่างแนน่ อน

อาร์เชอร์ เทย์เลอร์ สรปุ ว่า ความสัมพันธร์ ะหว่างคตชิ นกบั วรรณกรรมจะเปน็ ไปในรูปน้ี คอื
1. ข้อมูลคติชนที่อยู่ในวัฒนธรรมต่าง ๆ เป็นส่ิงที่ไม่อาจแยกตัวออกมาจากวรรณกรรมได้
เลย
2. วรรณกรรมประกอบดว้ ยส่วนประกอบต่าง ๆ ที่หยบิ ยมื มาจากคติชน
3. ผู้เขยี นวรรณกรรมไดอ้ าศัยคตชิ นเป็นตวั อย่างแล้วเลียนแบบคตชิ นนัน้

วรรณคดีลายลักษณ์ คติชนประเภทเรื่องเล่าท่ีเป็นบ่อเกิดของวรรณกรรมพ้ืนบ้าน ยังเป็น
บ่อเกิดของวรรณคดีลายลักษณ์บางเร่ืองด้วย ซึ่งตามปกติแล้ววรรณคดีลายลักษณ์จะมีที่มาจากหลาย
แหล่ง เช่น เกิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จากจินตนาการของกวี และจากเร่ืองเล่าพื้นบ้าน หรือ
วรรณกรรมพื้นบ้านซึ่งเดิมอาจจะมีการแต่งเป็นแบบมุขปาฐะ แล้วมาบันทึกในภายหลัง วรรณคดีลาย
ลักษณ์บางเรื่องมีความสัมพันธ์กับวรรณกรรมพ้ืนบ้านอย่างใกล้ชิด ท้ังที่เป็นร้อยแก้ว และร้อยกรอง

198 ชวนพศิ อตั เนตร์

มีวรรณคดีหลายเร่ืองที่มีท่ีมาจากนิทานท่ีเล่ากันอยู่ในกลุ่มคนพ้ืนบ้าน เช่น เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน
บทละครนอกเร่ืองไกรทอง บทละครนอกเรื่องสังข์ทอง ลิลิตพระลอ ฯลฯ ส่วนวรรณคดีลายลักษณ์ของ
ทอ้ งถน่ิ ท่มี ที มี่ าจากนิทานพนื้ บ้านท่มี ตี วั อยา่ ง เช่น ค่าวซอเรอื่ งเตา่ น้อย อองคาของภาคเหนอื เรือ่ งจาปา
สต่ี น้ ของภาคเหนือ เรอื่ งทา้ วขลู นู างอั้วของภาคอีสาน ฯลฯ ซึ่งในการหยิบยกเอาเรื่องจากพนื้ บ้านมาแต่ง
เป็นวรรณคดีลายลักษณ์น้ี ผู้แต่งอาจจะหยิบยกมาทั้งเรื่องหรือเอามาเพียงบางส่วน และเม่ือนามาแต่ง
เปน็ รูปวรรณคดลี ายลกั ษณ์แล้ว ก็จะมีความประณตี บรรจงในการใช้ภาษามากขนึ้ หรืออาจจะมกี ารเสริม
แต่งตัดแปลงเนื้อเรื่อง เพ่ิมเติมรายละเอียดเข้าไปซึ่งจะทาให้เรื่องราวเปล่ียนแปลงไปจากเดิมไม่มากก็
น้อย ในทางกลับกัน วรรณคดีลายลักษณ์ก็จะเป็นแหล่งท่ีช่วยอนุรักษ์คติชน และเป็นส่ือที่ช่วยถ่ายทอด
คติชนด้วยนั่นก็คือ วรรณคดีลายลักษณ์บางเร่ืองที่มีที่มาจากพ้ืนบ้านและผู้แตง่ สามารถแต่งไดด้ ี มีศิลปะ
การใช้ภาษาที่งดงาม ประณีตบรรจง สละสลวย ก็จะทาให้ผู้ที่ได้อ่านได้ฟังติดอกติดใจ นาเร่ืองราวที่ได้
อ่านไปเล่า หรือไปขับเป็นบทเพลงต่อ ๆ กันไป ทาให้เกิดการแพร่กระจายของคติชนในรูปของวรรณคดี
ลายลักษณ์ ดังน้ัน เราจึงอาจกล่าวได้ว่า วรรณคดีลายลักษณ์เป็นแหล่งท่ีช่วยเก็บรักษาวรรณกรรม
พ้ืนบ้าน หรือคติชนบางประเภท และเป็นส่ือให้เกิดการถ่ายทอดการแพร่กระจายของคติชนออกไปใน
สังคมและวฒั นธรรมด้วย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในสังคมไทยก็คือ คนไทยปัจจุบันรู้จักเร่ืองพระรอ ขุนช้างขุนแผน
ไกรทอง สังข์ทอง ฯลฯ จากรูปแบบวรรณคดีที่เป็นลายลักษณ์เป็นส่วนใหญ่ แม้จะทราบว่าวรรณคดี
เหล่านมี้ ที ีม่ าจากวรรณกรรมพ้ืนบา้ นแต่เดมิ กต็ าม ผูค้ นสว่ นมากกพ็ อใจท่มี โี อกาสไดอ้ ่านตัววรรณคดีซึ่งมี
คุณค่าในด้านวรรณศิลป์เพราะ อ่านแล้วได้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ได้ความประทับใจ และความ
พอใจในสลาการแต่ง สานวนโวหาร กลวิธีการใช้ภาพพจน์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นศิลปะการใช้ภาษาท่ีประณีต
งดงาม อันเป็นการสาเริงอารมณ์อย่างหน่ึง

8.3 ความสัมพันธ์กบั มานุษยวทิ ยา

นักมานษุ ยวทิ ยามักจะมีความเหน็ ว่าคติชนนั้นเปน็ สว่ นหนึ่งของสาขาวชิ ามานุษยวิทยาน่ันก็
คือ มานุษยวิทยาวัฒนธรรม ซึ่งบางทีก็เรียกว่า มานุษยวิทยาสังคม (Social Anthropology) หรือ
ชาติพันธ์ุวิทยา (Ethnology) หรือ ชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnography) สาเหตุที่นักมานุษยวิทยาเข้าใจ
เชน่ นั้นก็เพราะวา่ คตชิ นนนั้ เก่ียวข้องกับการศกึ ษาขนบประเพณี ประเพณปี รัมปรา และสถาบนั ของผู้คน
ท่ียังมชี วี ิตอยู่นน่ั เอง

เมื่อนักมานุษยวิทยาทาการศึกษาผู้คนในกลุ่มสังคมแห่งใดแห่งหน่ึง เขาจะบันทึกวิธีการ
ดาเนินชีวิตของคนกลุ่มนั้น เร่ืองท่ีพวกเขาศึกษาค้นคว้าในรายละเอียดมีมากมายคือ วิธีการทานา ทาไร่
การตกปลา การล่าสัตว์ ระบบการครอบครองที่ดิน มรดก ระยะเวลาการครอบครองทรัพย์สิน ระบบ
เครือญาติ และความผูกพันสถาบันสมรสและครอบครัว หน่วยต่าง ๆ ในโครงสร้างของสังคม และ

คติชนและภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ 199

บทบาทหน้าที่ของหน่วยเหล่านั้น นอกจากน้ีก็ยังมีระบบการปกครองและกฎหมายเทววิทยา พิธีกรรม
การปฏิบัติเกี่ยวกับความเช่ือ ความคิดเก่ียวกับจิตวิญญาณและโลกหน้าคาสาปแช่ง กลวิธีในการ
พยากรณ์ และแง่มุมต่าง ๆ เก่ียวกับความเช่ือทางศาสนาและโลกทัศน์ของเขาเหล่าน้ัน ตลอดจนการ
ปลูกสรา้ งบา้ น เครอื่ งแตง่ กาย การประดบั ประดาเน้อื ตัว การแกะสลักไม้ การปน้ั หม้อ งานโลหะ งานปนั้
ดนตรี การร้องราทาเพลง และการแสดง เชน่ ละคร การศกึ ษาสิง่ ต่าง ๆ ดงั กลา่ วมานี้ เป็นการศึกษาด้าน
ซาติพันธ์ุวรรณนา ซ่ึงจะไม่สมบูรณ์แบบถ้าหากไม่ได้รวมเอาสิ่งเหล่านี้เข้าไว้ด้วย คือ นิทานพ้ืนบ้าน
ตานาน เร่อื งปรัมปรา ปรศิ นา สภุ าษิต และรูปแบบอ่ืน ๆ ของคติชน

ในสายตาของนักมานุษยวทิ ยาน้ัน คติชนเป็นส่วนสาคัญส่วนหน่ึงที่ทาให้เกิดวฒั นธรรมของ
ผคู้ นขนึ้ มา เพราะวฒั นธรรมแตล่ ะแห่งที่เปน็ ที่รู้จักของชาวโลกน้ัน ไม่มแี ห่งไหนเลยทไ่ี ม่ไดร้ วมเอาคติชน
ไว้ด้วย กลุ่มชนแต่ละกลุ่ม แม้จะเป็นชนกลุ่มท่ีล้าหลัง ไม่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ต่างก็มีคติชน
ของตนเองทั้งส้ิน คติชนจึงเท่ากับเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสังคมต้อยการศึกษากับสังคมท่ีมีการศึกษา
คติชนมักจะสะท้อนให้เห็นเร่ืองราวในสังคม ในฐานะที่มันเป็นผลผลิตอย่างหน่ึงของสังคม ผู้ที่เล่า
ถ่ายทอด และปฏิบัติคติชนจะได้คติชนมาจากสังคมนั่นเอง เช่น การเล่านิทานพื้นบ้านท่ีเกิดข้ึนจาก
จินตนาการของผู้เล่า นิทานก็เท่ากับเป็นผลผลิตของสังคมในฐานะท่ีผู้เล่าเป็นบุคคลในสังคมการเรียนรู้
คติชนจึงทาให้มองเห็นสภาพสังคม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ความคิดอ่าน ค่านิยมในสังคม
ตลอดจนการปกครอง ระบบครอบครวั ความเช่อื และความเช่ือทางศาสนา

การศึกษาทางด้านคติชนวิทยาและมานุษยวิทยาน้ัน มีเรื่องที่สาคัญมากอยู่เร่ืองหน่ึงคือ
เรื่องเก่ียวกับความเชื่อ โดยเฉพาะอย่างย่ิงความเช่ือท่ีก่อให้เกิดพิธีกรรม อันเป็นพฤติกรรมพิเศษเฉพาะ
ของมนุษย์ ท่ีได้นาเอาประสบการณ์ของตนเองมาสรุปและปรุงแต่งตามความคิดในสมัยโบราณพิธีกรรม
เป็นส่ิงที่กระทาข้ึนเพื่อเสนอให้กับพระเจ้าหรือส่ิงศักด์ิสิทธิ์ หรือบุคคลที่เป็นที่นับถือเช่นวีรบุรุษใน
วฒั นธรรม (Culture Hero) หรือบรรพบรุ ุษของชุมชนนัน้ ๆ นอกจากนีม้ นษุ ยย์ ังพยายามท่จี ะเลียนแบบ
พระเจ้า เทพเจ้า ส่ิงศักดิ์สิทธิ์ วีรบุรุษ หรือบรรพบุรุษเหล่าน้ันอาจกล่าวได้ว่า ความเชื่อทาให้เกิด
พิธีกรรม และพิธีกรรมในระยะแรก ๆ ทาให้เกิดวรรณกรรมที่มีลักษณะการถ่ายทอดตามคติชน คือเป็น
มุขปาฐะ วรรณกรรมเหล่านี้อาจเป็นบทสวด บทโศลกต่าง ๆ หรือเป็นถ้อยคาที่ใช้ภาษาพิเศษในการ
เจรจา และมีการออกท่าทางเป็นพิเศษด้วย ในตอนแรก ๆ บทสวดหรือถ้อยคาเหล่านี้ก็คงจะเรียบเรียง
ข้ึนมาแบบงา่ ยๆ เพอ่ื ใหจ้ ดจาได้ง่าย ครน้ั นาน ๆ เข้ากค็ ่อยมกี ารปรบั ปรุงใหป้ ระณตี บรรจงขน้ึ จนกระทั่ง
ในท่ีสุดก็กลายเป็นวรรณกรรมท่ีศักดิ์สิทธิ์ มีความขลังและสอดคล้องกับวิถี ความคิดความเช่ือของคนใน
สงั คมอย่างเต็มท่ี

นักมานุษยวิทยามีความสนใจในคติชนเพ่ิมข้ึนตามเวลาท่ีผ่านไป โดยเฉพาะอย่างย่ิงในด้าน
บทบาทหน้าที่ของคติชน นั่นก็คือคติชนทาอะไรให้กับผู้คนท่ีปฏิบัติคติชนบ้าง นอกเหนือไปจากการให้
ความบันเทิงหรือความพอใจ นักวิชาการเหล่าน้ีจะตอบได้ว่าคติชนทาหน้าที่สนับสนุนความเชื่อที่มนุษย์

200 ชวนพศิ อัตเนตร์

สร้างข้ึน สนับสนุนทัศนคติ และสถาบันต่าง ๆ ในสังคม ทั้งที่เป็นสถาบันที่ศักด์ิสิทธ์ิและสถาบันทางโลก
และยังมีบทบาทสาคัญในการให้การศึกษาแก่สังคมท่ีไม่มีตัวหนังสือ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจากชนรุ่น
หน่ึงไปสู่ชนอีกรุ่นหน่ึง นอกจากน้ีผู้คนในบางสังคมยังใช้คติชนเป็นเครื่องมือประยุกต์ความกดดันทาง
สงั คมให้กับผู้ที่กาลงั จะเบย่ี งเบนออกไปจากบรรทดั ฐานที่เป็นที่ยอมรับ

8.4 ความสมั พนั ธ์กบั จิตวิทยา

นิทาน นิยาย ตานาน และเรื่องราวต่าง ๆ ท่ีผู้คนเล่าสู่กันฟังนั้นล้วน แต่มีความสัมพันธ์กับ
ความปรารถนาในจิตใจของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความปรารถนาของชีวิตวัยเด็ก เด็ก ๆ ทุกชาติ
ทุกภาษาจะสนใจหรือชอบฟังนิทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพนิยายกันท้ังน้ัน นิทานเหล่านี้ล้วนแต่เป็น
เรื่องของพระเอกหรือนางเอกที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ และในท่ีสุดก็จะได้แต่งงานกับเจ้า
หญิงหรือเจ้าชายและอยู่ดว้ ยกันอยา่ งมคี วามสุขตลอดไป

การวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาท่ีนักคติชนวิทยาสนใจเรียนรู้นั้นแบ่งออกเป็น 2 สาขาคือ
การศึกษาพฤติกรรมนิยม ซง่ึ เน้นหนกั ไปทางทฤษฎีการเรยี นรู้ กบั จติ วิเคราะห์ การศึกษาพฤติกรรมนิยม
ไม่สู้ได้รับความสนใจนกั เพราะซิกมันด์ ฟรอยด์ และคาร์ล กุสตาฟ จุง ซ่ึงเป็นนักจิตวิทยาที่มีชอ่ื เสียงได้
ให้ความสนใจกับจติ วิเคราะห์มากกว่า และมีนกั วิชาการทน่ี าความคิดของนักจติ วิทยาท้ังสองมาวิเคราะห์
ข้อมูลต่าง ๆ อย่างหลากหลายกอ่ ใหเ้ กดิ การศึกษาใหมๆ่ ทีน่ ่าสนใจจานวนมาก

การศึกษาเชิงจิตวิทยา-จิตวิเคราะห์ คือการพยายามที่จะทาความเข้าใจในการทางานของ
จติ ใจท่ีจะอธิบายด้วยเหตผุ ลธรรมดา ๆ ที่ใชอ้ ธิบายพฤติกรรมปกติของมนุษยไ์ มไ่ ด้ ฟรอยดม์ คี วามเห็นว่า
สง่ิ นี้คอื การศกึ ษาจิตไร้สานกึ ของมนุษยโ์ ดยอาศยั การวิเคราะห์ขอ้ มูลของคตชิ นนัน่ เอง เขาเสนอว่าคติชน
รูปแบบต่าง ๆ นน้ั จะเป็นส่งิ ที่สะทอ้ นให้เห็นความกังวล (Anxiety) และความกลวั (Fear) ท่ีแฝงอยใู่ นจิต
ไร้สานึกของมนุษย์ ฟรอยด์ศึกษาคติชนเหล่าน้ันคือ นิทานปรัมปรา นิทานพื้นบ้าน ความเชื่อ เร่ืองเหนอื
วสิ ยั มุขตลก เรื่องต้องห้าม หรือขอ้ ห้าม แล้วเสนอความเห็นว่า ส่วนประกอบของนิทานปรัมปราและคติ
ชนจะปรากฏเปน็ สัญลกั ษณ์ทเ่ี กดิ ในความฝนั ของมนุษย์

ฟรอยดว์ เิ คราะห์นทิ านปรัมปราเร่ืองอดี พิ สั แลว้ อธบิ ายวา่ ความฝันของมนุษยจ์ ะสะท้อนให้
เห็นความปรารถนาที่ถูกเก็บกดไว้ ซึ่งเราเรียกความปรารถนาน้ีว่า ID เช่น ปมอีดิพัส คือความปรารถนา
ของเด็กผู้ชายท่ีรักมารดามาก และต้องการให้บิดาพ้นไปจากวิถีชีวิตของเขากับมารดาดังที่ได้กล่าว
มาแล้ว

เกอร์ชอน เลกแมน เป็นนักวิชาการคนหน่ึงท่ีสนใจทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์มาก เขา
ค้นคว้าเร่ืองมุขตลก หรือ Joke และลงความเห็นว่าสาเหตุท่ีคนชอบเล่ามุขตลกท่ีเก่ียวกับเรื่องเพศนั้น
เพราะคนเรามีความกังวล และความกลัวแฝงอยู่ในจิตไร้สานึก เช่น ความกังวลเร่ืองเพศ ความไม่
เพียงพอทางเพศ ความกลัวเป็นหมัน และการเก็บกดความรู้สึกทางเพศ เป็นต้น การเล่ามุขตลกทางเพศ

คตชิ นและภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ 201

คือ การระบายความเครยี ดในใจ เพราะคนเราโดยท่ัวไปมกั คดิ ว่าเรื่องทางเพศนเี้ ปน็ เรื่องท่ีต้องหา้ ม ผู้เล่า
จึงละอายที่จะพูดออกมาตรง ๆ ก็เลยบิดเบือนให้เป็นเรื่องตลกขบขันเสีย และบางคร้ังการเล่ามุขตลก
ทางเพศ ก็จะสามารถขจัดความกังวลของบุคคลผู้น้ันได้ นอกจากนี้ก็ยังเป็นการสนองความต้องการของ
คนบางกลมุ่ เช่น เด็ก ๆ ทย่ี งั ไมม่ ีประสบการณ์ในเร่อื งเพศ แตก่ ็อยากรอู้ ยากเหน็ หรือคนชราบางคน และ
ยังทาให้ผู้ฟังทราบถึงสถานการณ์บางอย่างของผูเ้ ล่าได้ เช่น ในการสัมภาษณ์แม่บ้านวยั กลางคนคนหนึง่
ซึ่งไม่เคยออกไปทางานนอกบ้านเลย เลกแมนกล่าวว่าเธอไม่เคยรู้จักเรื่องตลกเลย แต่จาได้อยู่เรื่องหน่ึง
ซึง่ เธอคดิ ว่าเปน็ เรื่องตลก คอื เร่ืองของสามีที่มีภรรยาเกียจครา้ นและไมย่ อมทาความสะอาดบ้าน จนสามี
ไมส่ ามารถแมแ้ ตจ่ ะถา่ ยปสั สาวะลงในอา่ งล้างจานเพราะมีจานชามสกปรกแชอ่ ยู่

เลกแมนพบวา่ ครอบครัวของเธอไมป่ กติสุขในชวี ิตสมรส สามภี รรยาไมล่ งรอยกันและโต้แย้ง
กันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการเล่ามุขตลกก็สามารถสะท้อนให้เห็นสภาพจิตใจหรือภูมิหลังของผู้เล่าได้
นักวิชาการท่ีมีชอื่ เสียงในด้านการใชท้ ฤษฎีจิตวิทยาวเิ คราะห์ข้อมูลคติชนอีกผู้หนึ่งคือ บรูโนเบตเทลไฮม์
(Bruno Bettelheim) เบตเทลไฮม์ เป็นนักจิตวิทยาเด็ก และวิเคราะห์เทพนิยายในแง่จิตวิทยาเด็กไว้
หลายเร่ือง ผลงานของเขาคือ The Uses of Enchantment เบตเทลไฮม์ได้เปิดเผยถึงเนื้อหาที่แท้จริง
ของเทพนิยายเรื่องเด่น ๆ ว่า ภายใต้พื้นผิวของปราสาทที่ส่องแสงระยิบระยับและเจ้าหญิง นางฟ้าและ
แม่มด ความปรารถนาและการสาปแช่ง ก็คือการเกี่ยวข้องกับความสับสนวุ่นวายของอารมณ์ของเด็ก
ดว้ ยความรู้สกึ ของเด็กท่ีด้อย สิน้ หวัง หวาดกลัวภัยอนั ตรายทจี่ ะมาถงึ ตัวและยังมีความรู้สึกกังวลท่ีเด็กมี
ตอ่ โลกภายนอก และมตี ่อคนแปลกหน้า ซงึ่ จะทาใหเ้ ด็กเกิดคาถามในทางลึกเก่ียวกับตัวเองและเกี่ยวกับ
อนาคตด้วย นิทานแบบเทพนิยายในทุกสังคมทาหน้าท่ีสั่งสอนและสนับสนุนเด็ก ช่วยให้เด็กต่อสู้กับ
อารมณ์ของตนเอง ตอ่ ส้กู ับโลก และเปดิ เผยให้เห็นจิตใต้สานกึ ของเดก็ เอง

8.5 ความสมั พันธก์ บั ศิลปะ

คติชนมีความสัมพันธ์กับศิลปะอยู่ไม่น้อย ในฐานะที่มีส่วนเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินผลิต
งานศิลปะข้ึนมาโดยเฉพาะอย่างผลงานทางด้านจิตรกรรมและประติมากรรม คติชนประเภทนิทาน
ปรัมปรา นิทาน ตานาน ทาให้ศิลปินเกิดจินตนาการและผลิตผลงานออกมา เช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ของไทยซ่ึงมักจะมีท่ีมาจากนิทานชาดก ภาพจิตรกรรมตัวละครท่ีอยู่ในนิทานปรัมปรา เช่น เทพเจ้า
ต่าง ๆ ของกรีก และยังมีการปั้น และแกะสลัก เช่น การป้ันและแกะสลักพระพุทธรูปอันเป็นผลมาจาก
ความเชือ่ ทางศาสนา รูปเทพเจ้า รปู สัตวใ์ นจนิ ตนาการ

ศิลปะเป็นสิ่งที่มีกาเนิดอย่างเร้นลับในตัวบุคคล และบทบาทหน้าท่ีของศิลปะก็เร้นลับด้วย
มนุษย์เราสามารถที่จะดารงชีวติ อย่ไู ด้โดยไม่มศี ิลปะเข้ามาเก่ียวข้อง แต่มนุษย์กับศิลปะก็แยกกันไม่ออก
อยูน่ น่ั เอง ถา้ หากมนษุ ยเ์ ราไมม่ ีศิลปะกเ็ ท่ากับสญู เสียลักษณะของความเปน็ มนุษย์

202 ชวนพศิ อัตเนตร์

ความหมายของศิลปะในด้านมานุษยวิทยามีดังนี้คือ “... ศิลปะคือกิจกรรมของมนุษย์หรือ
ผลผลติ ทเ่ี ป็นส่ิงประดิษฐ์ (Artifact) ซงึ่ เน้นในเร่ืองรูปแบบเหนือกว่าอย่างอน่ื ยกเวน้ ลักษณะท่ีทาให้เกิด
ความพอใจท่ีเดน่ เป็นพิเศษ ที่การประดิษฐแ์ ละความมุ่งหมายของรปู แบบจะสามารถมีให้ได้ รูปแบบ คือ
ความสัมพันธ์ที่มองเห็นได้ระหว่างส่วนต่าง ๆ กับท้ังหมด ความพอใจที่เด่นเป็นพิเศษท่ีได้จากรูปแบบนี้
เรียกวา่ “ประสบการณด์ า้ นสนุ ทรยี ภาพ"

ศิลปะเปน็ การแสดงออกทางสังคมอย่างหนึ่ง และดว้ ยเหตนุ ีเ้ องศิลปะจึงกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของวัฒนธรรม และเนื่องจากมนษุ ย์เป็นสัตวโ์ ลกที่อยู่ในสงั คม ศิลปะจงึ ทาหนา้ ทร่ี ับใช้สงั คม เช่นเดียวกับ
รับใช้ความต้องการและความสนใจของปัจเจกบุคคล นอกจากนี้ศิลปะยังผูกพันอยู่กับศาสนา และมายา
การอย่างแยกกนั ไมไ่ ด้ ศิลปะจึงเปน็ ส่งิ ท่แี สดงออกและสะท้อนใหเ้ ห็นความสัมพันธ์ทางสังคม และระบบ
ของสงั คมด้วย

8.6 บทบาทหน้าที่ของคติชน

บทบาทหน้าที่ของคติชนแตกต่างกันไปตามปัจเจกบุคคลและสังคม แต่โดยท่ัวไปเรา
สามารถกล่าวได้ว่า ข้อมูลคติชนด้านวัฒนธรรมวัตถุสนองความต้องการด้านเศรษฐกิจ และสุนทรียภาพ
ขอ้ มูลด้านวรรณกรรมมุขปาฐะมบี ทบาทหนา้ ทที่ างด้านให้การศึกษา สัง่ สอน และด้านนันทนาการข้อมูล
เก่ียวกับขนบธรรมเนียม เทศกาล และงานประเพณี ทาให้ผู้คนเกิดความสบายใจเม่ือรู้สึกหวาดกลัว
อันตราย การประกอบพิธีต่าง ๆ เป็นส่ิงที่กระทาเพ่ือพระเจ้า และภูตผีปีศาจ นิทาน และเพลงให้ความ
บันเทงิ สอน และใหค้ าอธิบาย นอกจากนีก้ ม็ ีอาหารที่ประกอบเอง วางบนโตะ๊ ไมแ้ กะสลัก ซงึ่ ให้ทัง้ ความ
อม่ิ ทอ้ งและความสบายตา สบายใจประกอบกนั ดว้ ย

Encyclopaedia Britannica จาแนกบทบาทหน้าทข่ี องคติชนเป็นกล่มุ ใหญ่ ๆ 2 กล่มุ คือ
1. การจาแนกบทบาทหน้าท่ีตามลักษณะพฤติกรรมของมนุษย์ ( A behavioral
classification of functions)
2. การจาแนกบทบาทหน้าท่ีตามลักษณะภูมิศาสตร์วัฒนธรรม ( A cultural
geographical classification of functions)
ท้งั สองกลุ่มนี้แยกเปน็ รายละเอยี ดดังน้ี
การจาแนกบทบาทหน้าทีต่ ามลกั ษณะพฤติกรรมของมนุษย์
1. บทบาทหน้าทเี่ กีย่ วกบั การหลีกหนี (The Escapist Function) มกั จะเป็นเร่อื งราวของ
วรรณกรรมมุขปาฐะและวรรณกรรมลายลกั ษณ์มากกว่าข้อมลู ประเภทอ่ืน วรรณกรรมเหล่าน้ีสนองความ
ปรารถนาของมนุษย์ในการท่ีจะหลุดพน้ ออกไปจากโลกในชวี ติ ประจาวนั ของเขา อยา่ งนอ้ ยก็ชวั่ ขณะหนึ่ง
ดงั นน้ั ตัวเอกในนิทานปรัมปราจะเดินทางไปยังโลกอื่น คนพน้ื บา้ นธรรมดาสามญั ในตานานจะถูกนาตัวไป
ยังดินแดนแห่งนางฟ้า และในเทพนิยายจะกล่าวถึงบุตรชายคนสุดท้องหรือบุตรสาวคนสุดท้องของ

คตชิ นและภมู ิปัญญาทอ้ งถนิ่ 203

ชาวนาท่ีได้แต่งงานกับบุคคลในราชวงศ์ ลักษณะที่เด่นอยู่ในข้อมูลคติชนประเภทเรื่องเล่าก็คือ
การกล่าวถงึ ทอง ทรัพยส์ มบัติ และความม่งั คัง่ ดงั นั้นเจสัน (Jason) วรี บรุ ุษในนทิ านปรัมปราของกรีกจึง
ออกเดินทางไปแสวงหาขนแกะทองคา ส่วนในเทพนิยายก็มีแม่ห่านวิเศษที่ออกไข่เป็นทอง และในชีวิต
จริงก็มีนักแสวงโชคที่พยายามขุดหาสมบัติ หรือหาของท่ีปล้นสะดมมาของพวกโจรสลัด หรือพวกนอก
กฎหมาย

ข้อมลู คตชิ นยังทาหน้าท่ียกมนุษยข์ ึน้ มาอยูเ่ หนือระดับข้อจากัดอนั เป็นวงแคบ ก็คือการ
ละเมิด หรือทาลายข้อห้ามทางสังคมท่ีทรงพลังอานาจมาก ตัวอย่างเช่น ตัวละครเจ้าปัญญาในเร่ืองเล่า
ของคนอเมริกันสามารถทาอะไรๆ ได้ โดยท่ีตามปกติแล้วการกระทาเช่นน้ันจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
ตัวละครเอกแบบเจ้าปัญญาของไทยก็มีคือศรีธนญชัย ซ่ึงละเมิดข้อห้ามทางสังคมหลายประการ แต่ก็ไม่
ถูกลงโทษ และยังมีการเล่ามุขตลกในปัจจุบัน ซ่ึงมักเน้นอารมณ์ขันในเรื่องเพศ อวัยวะสืบพันธ์ุ และ
การขับถ่าย กเ็ ป็นการทาใหเ้ กิดความสนกุ สนานด้วยการละเมิดข้อห้ามเชน่ เดยี วกนั

2. บทบาทหน้าท่ีเกี่ยวกับการอธิบายสาเหตุ หรือสมุฏฐาน (The Etiological Function)
มักเป็นบทบาทหน้าท่ีของเร่ืองเล่าประเภทลึกลบั และนิทานท่ีมีตอนที่อธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ เช่น การตอบ
คาถามท่ีมนุษย์ต้ังข้ึนมาอยู่ตลอดกาลคือโลกเราน้ีเกิดข้ึนมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้สร้างมนุษย์ สัตว์ และ
พืช นิทานปรัมปราท่ีเกี่ยวกับกาเนิดมักจะเป็นนิทานท่ีเล่า โดยมีความโน้มน้าวเข้าหาชนชาติและ
วัฒนธรรมของผู้เล่าเอง เน่ืองจากว่าเปน็ เร่ืองทเ่ี ก่ียวกับการสร้างสรรค์ ซงึ่ ผู้สร้างมกั เป็นส่งิ ที่มีพลังอานาจ
เหนอื ธรรมชาติ เรอ่ื งเลา่ แบบนี้ดเู หมือนว่าจะมเี ค้าโครงที่คลา้ ยคลึงกัน และผู้คนทีอ่ ยู่ในเผ่าต่าง ๆ มักจะ
มีการเล่านิทานปรมั ปราของตนเองเพื่อเปน็ การอธิบาย

นิทานปรัมปราท่ัว ๆ ไปมักเล่าถึงการสร้างสรรค์ น้าท่วม วีรบุรุษวัฒนธรรมซึ่งอาจเป็น
ภาพของคนเจ้าปัญญา งูใหญ่ท่ีอยู่ใต้พ้ืนผิวโลก สัตว์บางชนิด พืชบางชนิด ลักษณะของ โลก พื้นดิน พ้ืน
นา้ เกาะแกง่ ฯลฯ นอกจากนก้ี ็มีปรากฏการณธ์ รรมชาติตา่ ง ๆ เชน่ ลม พายุ ฟ้าคะนอง

ตลอดจนตัวละครท่ีเหนือธรรมชาติ เช่น เม่ือกล่าวถึงผู้สร้าง ก็มักจะกล่าวถึงปฏิปักษ์
ของผู้สร้างและเทพยดา หรือภูตผีปีศาจควบคู่กันไปด้วย กล่าวโดยสรุปก็คือ นิทานปรัมปราเกิดขึ้นมา
เพอ่ื อธิบายโลกแห่งความเปน็ จริงของมนุษย์ และมนษุ ยท์ อ่ี าศยั อยบู่ นโลกน้ัน

3. บทบาทหน้าท่ีเก่ียวกับการพิสูจน์ หรือให้เหตุผล (The Justifying Function) สาหรับ
เร่ืองนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับการอธิบายสาเหตุ คือเม่ือนิทานปรัมปราทาหน้าที่อธิบายให้เข้าใจโลกที่
มนุษยอ์ าศัยอยู่ ขอ้ มูลคติชนส่วนอ่ืน ๆ โดยทั่วไป กจ็ ะเป็นสง่ิ ทส่ี นบั สนนุ สถาบัน และแบบแผนพฤติกรรม
ของวฒั นธรรมหนง่ึ ซง่ึ ในสังคมที่ไม่มตี ัวหนังสือนน้ั จะถือว่า เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ทีเ่ ป็นเหมือนศูนย์กลางของ
ชีวิตมนุษย์ คือ การเกิด การบรรลุถึงซึ่งความเป็นมนษุ ย์ การสมรสและการตาย ทาให้มีการประกอบพิธี
ซ่ึงเปรียบเสมือนการที่องค์กรทางสังคมทาเคร่ืองหมายให้กับการดาเนินชีวิตของมนุษย์ และท้ายที่สุดก็
เป็นทางออกไปสชู่ วี ิตหลังความตาย

204 ชวนพศิ อตั เนตร์

สาหรับสังคมปัจจุบัน พิธีผ่านภาวะเหล่านี้ซึ่งเป็นลักษณะแบบกึ่งศาสนาจะปรากฏใน
การประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น พิธีล้างบาป พิธีรับศีลมหาสนิท พิธีรับปริญญา พิธีสมรส และพิธีศพ ซ่ึงพิธี
เหลา่ นี้ บางทกี เ็ ก่ียวกับศาสนา บางทกี เ็ ก่ียวกับโลกวิสัย บางทีก็เปน็ ท้ังสองอยา่ งผสมกัน วีรบรุ ษุ ในสงั คม
ตา่ ง ๆ มลี กั ษณะตรงข้ามกับวรี บรุ ุษในนิทานปรัมปราทัว่ ไป คอื แทนท่จี ะเป็นส่ิงมีชีวิตทเ่ี หนือธรรมชาติที่
มีบุคลิกภาพและรูปแบบคล้ายมนษุ ย์ ซึ่งลงมาใช้ชีวติ อยู่ในโลกมนุษย์ วีรบุรุษเหล่าน้ีกลบั เป็นบคุ คลท่ีอยู่
ในประวัติศาสตร์ท่ีไดร้ ับคุณลกั ษณะแบบเหนือธรรมชาติและข้ึนสวรรค์ในท่สี ุด บุคคลผู้มีลักษณะทางโลก
วสิ ยั เหลา่ นีก้ ลายเป็นสัญลกั ษณข์ องชาติ เชน่ โจน ออฟ อารค์ (Joan of Art) ขงจื้อ (Confucius) จูเลยี ส
ซีซาร์ (Julius Caesar) ปีเตอร์มหาราช (Peter the Great) จอร์จ วอชิงตัน (George Washington)
เป็นต้น บุคคลเหล่าน้ีกลายเป็นบุคคลศักด์ิสิทธ์ิ เนื่องจากมีการสร้างอนุสาวรีย์ หรือมีการเฉลิมฉลองให้
หรือนาเร่ืองราวไปเล่าไวใ้ นพระคัมภีร์ และตานานพ้ืนบ้าน และพวกเขามีบทบาทหน้าที่อย่ใู นวัฒนธรรม
ของชาติ ในฐานะผู้สืบทอดมาตรฐานของคา่ นิยมและจุดประสงค์ของชาติด้วย

4. บทบาทหน้าทีเ่ กีย่ วกับการสอน (The Pedagogic Function) ขอ้ มลู คตชิ นจานวนมาก
โดยเฉพาะอย่างยิง่ สุภาษิต นทิ านอทุ าหรณ์ นิทานทีม่ เี น้ือหาเกยี่ วกับการตกั เตือน และบัลลาดทีเ่ ลา่ เรื่อง
ศาสนา ช่วยทาหน้าท่ีสอน ให้คาแนะนา และเตือนสติสมาชิกในสังคมให้ทราบถึงกฎเกณฑ์และหลักการ
ทีด่ ีทพี่ งึ ปฏบิ ัติ ถึงแม้วา่ สภุ าษติ บางบทจะมีเนื้อหาท่ีขัดกัน เช่น /ช้าชา้ ไดพ้ ร้าเล่มงาม/ กับ / นา้ ขน้ึ ใหร้ ีบ
ตัก / ก็ตาม ก็ถือว่าคากล่าวแต่ละบทนั้นต่างก็มีความจริงอยู่ในตัวของมันที่สามารถนามาประยุกต์กับ
สถานการณ์ได้ สุภาษิตบางบทก็เป็นเนื้อหาของจริยธรรมล้วน ๆ เช่น สุภาษิตของพวกโปรเตสแตนท์ท่ี
ก ล่ า ว ว่ า / Earty to bed, carly to rise, makes a than healthy, wealthy, and wise. / ส่ ว น
สภุ าษติ ของไทยก็มีเช่น / อยูบ่ า้ นทา่ นอยา่ นง่ิ ดูดาย ป้ันววั ปน้ั ควายใหล้ ูกทา่ นเล่น / หรือ / ดชู ้างให้ดูหาง
ดูนางให้ดแู ม่ / เป็นต้น

5. บทบาทหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุม (The Controlling Function) ข้อมูลคติชนน้ัน
นอกจากจะชี้แนะกฎท่ีพึงปฏิบัติแล้ว ยังทาหน้าที่กระตุ้นให้ผู้คนในสังคมมีพฤติกรรมทางสังคมที่
เหมาะสมคือจะประณามผู้ท่ีฝ่าฝนื บรรทดั ฐานของสังคมท่ีได้รบั การยอมรับแล้ว และยกยอ่ งสรรเสริญผู้ท่ี
ปฏิบัติตามบรรทัดฐานนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ มุขตลกหรือเรื่องขาขันท่ีเล่ากันอยู่ในสังคม
ปัจจุบัน ซึ่งมีตัวละครที่เป็นแบบฉบับ เช่น ชาวสก็อตผู้ขี้เหนียว ชาวยิวผู้ตระหน่ีและโลภ ฯลฯ ตัวละคร
เหล่านี้จะถูกล้อเลียนอยู่ในวงจรของเร่ืองตลก นอกจากน้ียังมีเกร็ดท่ีเล่าถึงตัวละครของท้องถ่ินต่าง ๆ
ทม่ี ีลักษณะคลา้ ยคลึงกัน เป็นการประณามคนทส่ี กปรก ขเ้ี กียจ ไมม่ รี ะเบียบ ไม่มคี วามสามารถ เฉ่ือยชา
ถูกหลอกลวงได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันจะยกย่องคนที่มีคุณภาพ เช่น ตัวเอกในนิทาน หรือตานาน
จะเป็นบุคคลทีส่ ะท้อนให้เห็นค่านิยมในสังคมของเขา ไดร้ บั รางวลั คือประสบความสาเรจ็ หรอื เปน็ นักรบ
ผู้กล้าหาญ เก่งกล้าสามารถ เป็นต้น แต่เร่ืองเล่าในสังคมปัจจุบันก็จะมีเรื่องท่ีเล่าถึงตัวเอกท่ีขาด
คุณสมบัติของตัวเอกท่ีแท้จริง (Antihero) ผู้ขายกัญชาหรือยาเสพติด และเอาชนะเจ้าหน้าที่ตารวจได้

คติชนและภูมิปัญญาท้องถน่ิ 205

ด้วยการใช้กลอุบาย ตัวเอกเหล่าน้ีเป็นสัญลักษณ์ของแบบอย่างในอุดมคติ หรือความนึกฝันของกลุ่ม
สังคมที่สร้างตวั เอกนัน้ ๆ ขน้ึ มา

การจาแนกบทบาทหน้าที่ตามลกั ษณะภูมศิ าสตรว์ ัฒนธรรม
การพิจารณาบทบาทหน้าท่ีของคติชนโดยทั่วไป จะต้องมีการพิจารณาเขตวัฒนธรรมและ
สภาพแวดล้อมทางสังคม ซึ่งอาจจะแยกเป็นประเพณีปรัมปราพื้นบ้านของโลกเก่า (Old World คือ
ทวีปยุโรป เอเชีย และแอฟริกา แอฟริกาและออสเตรเลีย ซีกโลกตะวันออก คือ ยุโรป และเอเชีย) และ
โลกใหม่ (New World คือ ด้านซีกโลกตะวันตก ได้แก่ อเมริกาเหนือ และใต้ รวมทั้งเกาะต่าง ๆ และ
น่านนา้ ทลี่ อ้ มรอบ)
เนือ่ งจากชาวยโุ รปอพยพมาตงั้ รกรากอยู่ในแถบอเมรกิ าเหนือและอเมริกาใต้ และไดน้ าทาส
ชาวแอฟริกันมายังอาณาจักรใหม่น้ี ผลที่ตามมาก็คือประเทศที่ตั้งขึ้นในโลกใหม่มีประเพณีปรัมปรา
ตา่ ง ๆ ท่ีคงอยู่ร่วมกนั และมกี ารปฏสิ ัมพันธก์ นั คอื ประเพณขี องพวกอนิ เดียนซ่ึงเป็นพื้นเมือง พวกทม่ี าต้ัง
รกรากซึ่งมาจากสเปน โปรตุเกส ฝร่ังเศส อังกฤษ และพวกแอฟริกันผิวดาด้วย ในช่วงศตวรรษที่
19-20 ผู้อพยพที่เป็นชาวยุโรปกับชาวเอเชีย และพวกท่ีอยู่ในท้องถิ่นแต่เดิมต่างก็มีประวัติศาสตร์ใหม่
และปัจจัยทางด้านส่ิงแวดล้อมมาช่วยในการหลอมรวมคนเหล่าน้ีเข้าด้วยกัน ซ่ึงลักษณะเช่นน้ีเกิดข้ึนใน
ทวีปออสเตรเลยี เช่นเดยี วกัน และถ้าหากพิจารณาในแง่นี้แล้วทวีปออสเตรเลียก็จะนับเป็นโลกใหม่ และ
มีข้อมูลคติชนท่ีแบ่งออกเป็นส่วนของพวกชนพื้นเมืองกับพวกชาวอังกฤษที่อพยพมาต้ังถิ่นฐานอยู่ท่ีนั่น
ในประเทศท่ีมีการต้ังรกรากใหม่หรือสร้างอาณานิคมข้ึนมาน้ัน ประเพณีปรัมปราพื้นบ้าน ทาหน้าที่
ส่งเสริมและสนับสนุนเอกลักษณ์ของกลุ่มสมาชิกในวัฒนธรรมจานวนมาก ซ่ึงการประสานกัน หรือ
การหลอมรวมกันของประเพณีปรัมปราท่ีต่างกันนี้ เป็นกระบวนการท่ีเป็นลักษณะเฉพาะของคติชนใน
โลกใหม่ การอพยพโยกย้ายทาให้ประชาชนในถิ่นต่าง ๆ ย้ายที่อยู่กันมาก เช่น พวกสลาฟอพยพไปทาง
แคนาดา พวกญ่ีปุ่นไปแถบบราซิล พวกอิตาเลียนไปแถบอาร์เจนตินาพวกเยอรมันไปแถบชิลี และ
ชนชาติตา่ ง ๆ เข้าไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซง่ึ ประเพณนี ิยมและวิถีทางการดาเนนิ ชีวิตของคนเหล่านี้ยังคง
หลงเหลืออยู่ แมว้ า่ จะเดนิ ทางขา้ มนา้ ข้ามทะเลไปกต็ าม
ความแตกต่างในเรื่องบทบาทหน้าท่ีของคติชนเป็นส่ิงท่ีแยกสังคมที่ไม่มีตัวหนังสือ ซ่ึงก็คือ
ไม่มีภาษาเขียน ออกจากสงั คมที่มอี ารยธรรมก้าวหน้าไปถึงการตีพิมพ์หนงั สือไปโดยปริยายในวฒั นธรรม
ที่ไม่มีตัวหนังสือนน้ั จะให้ความเช่ือถือ และยึดม่ันอยู่กับประเพณีปรัมปรามุขปาฐะอย่างมาก ในกลุ่มชน
หรือเผ่าใดเผ่าหน่ึงจะเช่ือถือนักเล่าเรื่อง หรือนักขับเพลงที่เล่าประวัติศาสตร์ของท้องถ่ิน มากกว่าเช่ือ
หนังสือทีเ่ ต็มไปดว้ ยขอ้ เท็จจริงทางประวตั ิศาสตร์ เช่น พวกเมารีในนวิ ซีแลนด์ และพวกแอฟรกิ นั บางเผ่า
ซ่ึงการเล่าเรอ่ื งท่ีเป็นบนั ทึกเหตกุ ารณ์ และการลาดับวงศ์ตระกูลของคนเหล่านี้ จะมีลักษณะท่ีคล้ายคลึง
กับประวัติศาสตร์ที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่บ้าง แต่มีคุณสมบัติเป็นผลผลิตของวรรณกรรม

206 ชวนพศิ อัตเนตร์

มุขปาฐะเต็มตัว เพราะเต็มไปด้วยตอนท่ีแปลกประหลาดมหัศจรรย์ และการใช้เวทมนตร์ถาคา
เช่นเดียวกับนิทานและตานาน ลักษณะเช่นน้ีสอดคล้องกับบทบาทหน้าท่ีต่อประวัติศาสตร์ของชาติ คือ
เป็นการยกย่องบุคคลใดบุคคลหนึ่งในชาติ ในฐานะท่ีเป็นผู้นาทางวัฒนธรรมและประสบความสาเร็จ
ปัจจุบันน้ีวัฒนธรรมท่ีไม่มีตัวหนังสือกับวัฒนธรรมท่ีมีตัวหนังสือ ไม่อาจแยกออกจากกันอย่างชัดเจนได้
เพราะในสงั คมระดบั ด้อยนั้น กม็ สี ิง่ ตีพมิ พท์ ร่ี าคาถกู เชน่ หนงั สอื นิทานเลม่ เลก็ ๆ นิตยสาร หนังสือพิมพ์
ฯลฯ ท่ีตีพิมพ์เรื่องราวที่เปน็ มุขปาฐะ และนาเรื่องราวเหลา่ นี้เข้าไปหมุนเวยี นอยู่ในวงจรของวรรณกรรม
มุขปาฐะด้วย

ตัวอย่างการศึกษาขอ้ มูลคติชน
การศึกษาข้อมูลคติชนในที่นี้เป็นการศึกษาโดยใช้ระบบ หลักเกณฑ์ และทฤษฎีของสากล
ทฤษฎเี หล่าน้ยี ังใช้ได้มาจนถึงปัจจุบัน ถงึ แม้ว่าบางทฤษฎีอาจจะได้รบั ความนิยมน้อยลง แต่กไ็ มไ่ ดเ้ ลิกใช้
ไปเสยี ทเี ดียว

ตัวอย่างการศึกษาวรรณกรรมมขุ ปาฐะ
เมื่อแอนทิ อาร์น ทาดัชนีแบบเร่ืองข้ึนมา และสติธ ธอมป์สัน ขยายแบบเรื่องและใจความ
เพิ่มเติม กับจัดทาดัชนีอนุภาคของวรรณกรรมพ้ืนบ้านขึ้นอีกนั้น ผลงานทั้งสองช้ินน้ีก็แพร่หลายไปท่ัว
โลกและไดร้ บั การยอมรับวา่ เปน็ หลักเกณฑ์ที่เป็นประโยชนใ์ นการวิเคราะห์ข้อมลู คตชิ นโดยเฉพาะอย่าง
ย่ิงข้อมูลที่เป็นมุขปาฐะ ดัชนีแบบเร่ืองและดัชนีอนุภาคน้ีสามารถนาไปใช้วิเคราะห์ศึกษาท้ังนิทาน
พนื้ บา้ น ตานานทอ้ งถิ่น หรอื ขอ้ มูลอ่ืน ๆ ทเ่ี ป็นเร่อื งเลา่ ได้อยา่ งดี
กลุ่มนักคติชนวิทยาที่มุ่งศึกษาแบบเร่ืองและอนุภาคของนิทานพื้นบ้าน จะรวมอยู่ในกลุ่มท่ี
ยึดมั่นในระเบียบวิธีภูมิ-ประวัติ แต่กลุ่มนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่า อนุภาคในนิทานพ้ืนบ้านน้ัน มีกาเนิดจาก
แหล่งเดียวแล้วแพร่กระจายไปตามท่ีต่าง ๆ หรือว่ามีกาเนิดข้ึนในส่วนต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งในโลก และ
มีลักษณะเน้ือหาคล้ายคลึงกัน ส่วนนักคติชนวิทยากลุ่มอื่นเร่ิมจะมองเห็นว่าการศึกษาแบบเรื่องและ
อนุภาคเป็นสิ่งที่ล้าสมัย เพราะเขาสนใจที่จะศึกษาโครงสร้างของคติชนกับรูปแบบของคติชนมากกว่า
การศึกษาในแนวทางวิเคราะห์เชิงภูมิ–ประวัติ ที่เน้นการศึกษาแบบเร่ืองและอนุภาค มีตัวอย่างของ
ดร. กงิ่ แก้ว อัตถากร รวม 2 เรื่อง คอื
เรื่องที่ 1 ช่อื “แงค่ ิดจากนทิ านเปรยี บเทียบ แบบเรอื่ งพญากงพญาพาน” แบบเรื่องพญากง
พญาพานนี้ตรงกับแบบเรื่องที่ 931 Oedipus ในดัชนีแบบเร่ืองของอาร์นมีท่ีมาจากนิทานปรัมปราของ
กรีก กล่าวถึงชายผู้ฆ่าพ่อ และสมรสกับแม่โดยไม่รู้มาก่อน ดร. ก่ิงแก้ว อัตถากร ได้เปรียบเทียบโครง
เรื่องอดี ิพัสกบั พญากงพญาพาน ในหวั ข้อใหญ่ ๆ 4 ประการ คือ
1. เปรียบเทียบกาเนดิ ของตวั เอก

คตชิ นและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ 207

2. เปรยี บเทยี บปัญหาของตัวเอก
3. เปรียบเทียบการคน้ พบความจริง
4. เปรียบเทียบอาการคลี่คลายปญั หา

เร่ืองท่ี 2 ช่ือ “แง่คิดจากนิทานเปรียบเทียบ แบบเรื่องนางสิบสอง" ดร. ก่ิงแก้ว อัตถากร
กลา่ ววา่ เรอ่ื งนางสิบสองประกอบดว้ ยแบบเร่อื ง 3 แบบเรือ่ ง คือ

แบบเรื่องที่ 327 คือเหตุการณ์ตอนต้นต้ังแต่นางสิบสองถูกนาไปปล่อย จนถึงนางสิบสอง
หนจี ากนางยกั ษส์ ันธ มาร

แบบเรื่องท่ี 462 ตั้งแต่นางสิบสองเป็นมเหสีของพระราชา จนกระท่ังถึงตอนพระรถถูกส่ง
ตวั ไปเมืองยักษ์

แบบเรื่องที่ 302 A ต้งั แตพ่ ระรถถอื สารไปหานางกงั รี จนถึงนางสันธมารตาย

ตัวอย่างการวิเคราะหเ์ ชงิ ภูมิ – ประวัติ อีกตัวอย่างหน่ึงคือ การใช้อนุภาคร่วมในนิทานโดย
นานิทานจากชาติต่าง ๆ มาเปรียบเทียบโครงเร่ืองที่คล้ายคลึงกัน เพ่ือท่ีจะได้ทราบว่านิทานเหล่านั้น
มีแบบเรื่อง และอนุภาคท่ีคล้ายคลึงกันอย่างไร นิทานท่ีนามาศึกษามีนิทานเยอรมัน นิทานฝรั่งเศส และ
นิทานนอรเ์ วย์ ในการกล่าวถงึ นิทานทง้ั สามเรอื่ งจะกลา่ วถึงเหตกุ ารณ์ย่อ ๆ ดงั นี้

นทิ านเยอรมนั ช่อื The Baron's Haughty Daughter
1. อัศวินคนหนึ่งไปขอแต่งงานกับธิดาของบารอน ผู้แสนสวยแต่เย่อหยิ่งมาก เขาถูก
ปฏิเสธและถูกเหยยี ดหยามอย่างมาก
2. อศั วินตอ้ งการแกแ้ ค้น เขาปลอมตวั เป็นนักเล่นกลและพยายามทาให้หญิงสาวพอใจ
3. หญงิ สาวหลงรกั เขาและหนีต้ ามเขาไป
4. นกั เล่นกลไม่ยอมเปดิ เผยวา่ ตนเป็นใคร แกลง้ ทาเปน็ คนยากจน และขอรอ้ งให้หญิงสาว
ทาทกุ อยา่ งที่เขาต้องการ
5. หญิงสาวต้องออกไปขอทานอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ที่ทาด้วยดินโคลนและไปรับใช้
ในครัวของคนรา่ รวยตามคาขอรอ้ งของสามี
6. หลังจากทไี่ ดแ้ ก้แคน้ แลว้ นกั เล่นกลกเ็ ปดิ เผยตวั เองและขอแต่งงานกบั เธอ
7. ทง้ั สองอยู่ดว้ ยกนั อย่างมีความสุข

208 ชวนพิศ อัตเนตร์

นทิ านฝรั่งเศส ช่ือ Le Comte de Mes Comtes
1. ผชู้ ายอว้ นคนหนึ่งเลี้ยงหา และเอาหนังเหามาทาถงุ มอื
2. เขาประกาศยกบุตรสาวใหก้ ับชายทสี่ ามารถทายได้ว่าถงุ มือของเขาทาจากหนงั อะไร
3. เจ้าชายผู้เป็นคนรักของบุตรสาวของเขาปลอมตัวเป็นคนขนถ่านหินมาขาย และ
สามารถทายถูก
4. เธอต้องไปอาศยั อยกู่ บั คนขนถ่านหนิ ในยุ้งขา้ ว
5. เขาให้เธอไปขโมยของจากพระราชวงั ที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน
6. เธอถกู จับไดห้ ลายคร้งั และทกุ คร้ังกห็ นีไปดว้ ยความอบั อาย
7. ในทส่ี ดุ เจา้ ชายกเ็ ปิดเผยวา่ ตวั เองเป็นใครและแต่งงานกบั เธอ

นิทานนอรเ์ วยช์ ื่อ Haaken Grizzlebeard
1. เจ้าหญิงองค์หนึ่ง สวยงามมากและเย่อหยิ่งมาก ได้พูดจาถากถางเจ้าชายที่มาเก้ียวพา
ราสีเธอ
2. เจา้ ชายตอ้ งการแก้แคน้ จงึ ปลอมตวั เปน็ ขอทาน
3. เขาใชเ้ ล่ห์กลอุบายหลายอยา่ งจนสามารถมีเพศสัมพนั ธก์ ับเจ้าหญิงได้
4. เจ้าหญิงต้งั ครรภ์และขอตดิ ตามไปอยกู่ บั ขอทานในกระท่อม
5. เขาบงั คับใหเ้ ธอไปขโมยของท่พี ระราชวังของกษตั รยิ ์อีกองคห์ น่ึง
6. เธอถกู จบั ไดห้ ลายครัง้ แต่ขอทานช่วยใหเ้ ธอถูกปลดปลอ่ ย
7. ในที่สุดเขาก็เปิดเผยว่าตัวเองเป็นเจ้าชายเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเธอและอยู่ด้วยกัน
อย่างมคี วามสขุ
นิทานทั้ง 3 เรื่องนี้มีแบบเร่ืองท่ีร่วมกันอยู่แบบหนึ่งคือ แบบเร่ืองที่ 900 ช่ือ King
Thrushbeard ซง่ึ รวมอยู่ในหมวดท่ี 900-904 ชอื่ หมวด The Shrewish Wife is Reforme รายละเอยี ด
ของแบบเรื่องที่ 900 มีดังน้ีคือ Type 900 : เจ้าหญิงองค์หนึ่งดูถูกคนท่ีมารักใคร่และเก้ียวพาราสีเธอ
ทุกคน ในจานวนนั้นมีอยู่คนหนึ่งช่ือว่า Thrushbeard บิดาของเธอให้เธอแต่งงานกับขอทาน เธอส้ิน
ความหยง่ิ ยะโส ขอทานคนนั้นเปดิ เผยว่าเขาคือ King Thrushbeard
1. ผชู้ ายทม่ี าเกยี้ ว

(ก) กษตั ริย์องคห์ น่ึงเชิญชายหนุ่มจากแควน้ ตา่ ง ๆ มาใหร้ าชธดิ าเลอื กคู่
(ข) เจ้าชายองคห์ น่งึ แอบเหน็ รปู ของเจ้าหญงิ ในห้องทต่ี ้องห้ามและหลงรกั เธอ
2. การดูถูกเหยียดหยามผ้ชู ายที่มาเทย่ี ว
(ก) เธอทาให้พวกน้ไี ดร้ บั ความอับอายและ
(ข) เรยี กพวกน้ดี ว้ ยช่ือทีแ่ สดงถงึ ความอัปลกั ษณ์

คตชิ นและภมู ิปัญญาท้องถนิ่ 209

3. การแตง่ งานของเจา้ หญิง เจา้ หญิงถูกบิดาบงั คบั ใหแ้ ตง่ งานกบั ขอทานเพราะ
(ก) บดิ าของเธอใหเ้ ธอแตง่ งานกบั ผูช้ ายที่มาขอเป็นคนแรกเพราะโกรธ หรอื
(ข) เจา้ ชายท่ปี ลอมตวั มาทายปริศนาไดถ้ กู ตอ้ งหรือ
(ค) เจา้ ชายได้รับอนญุ าตให้ไปทหี่ อ้ งนอนของเธอและชนะใจเธอ

4. ความหย่งิ ยะโสหายไป
(ก) บิดาของเธอไลเ่ ธอออกจากวัง
(ข) เธอตอ้ งอดทนต่อความยากลาบาก
(ค) ทางานแบบคนใช้
(ง) ขอทาน
(จ) เร่ขายของ และในท่สี ุด
(ฉ) ไปเป็นคนรบั ใช้ในครวั ของกษตั ริย์

5. การจาได้และการยอมรับในการแต่งงานของเจ้าชายเขาเปิดเผยตัวเองว่าเขาคือสามีท่ี
เปน็ ขอทานของเธอและฉลองพธิ แี ต่งงานกับเธอ

แนวทางวิเคราะห์ จากการพิจารณาแบบเร่ืองท่ี 900 เราจะเห็นว่าตัวละครเอกฝ่าย
หญงิ จะไดร้ ับการดูถูกเหยียดหยามหรือถูกทาให้อบั อาย โดยเธอจะซอ่ นอาหารท่ขี โมยมาไว้ใตผ้ า้ กนั เปื้อน
และถูกบังคับให้เต้นรา อาหารจะหกกระจายไปบนพื้นและเธอจะรู้สึกอับอายขายหน้ามาก นิทาน
3 เรอ่ื ง ของเยอรมนั ฝร่ังเศสและนอร์เวย์นีม้ ีลกั ษณะที่คลา้ ย ๆ กันคือ

เร่ือง“Haaken Grizzlebeard” มีลกั ษณะเปน็ แบบเร่อื งที่ 900 คอื ตัวละครเอกในเร่ือง
เป็นหญิง และถูกสามีบังคับให้ขโมยของจากพระราชวังท้ัง ๆ ท่ีไม่เคยทามาก่อน แต่วิธีการขโมยของเธอ
แตกต่างไปจากแบบที่ 900 เล็กน้อยคือ เอาของที่ขโมยมาซ่อนไว้ในกระเป๋า แต่แบบท่ี 900 น้ันของอยู่
ใต้ผ้ากนั เปื้อนและไม่มีใครสงสัยเลยวา่ เธอซ่อนอะไรไว้ในผ้ากันเปื้อน สว่ นสงิ่ ท่เี หมอื นกนั กค็ ือ การถูกจับ
ได้และได้รับความอบั อาย

เรือ่ ง“ Le Conte de Mes Comtes” มีเหตกุ ารณ์ท่ีเหมือนกบั แบบที่ 900 หลายอยา่ ง
คือ มีตัวละครเอกฝ่ายชายซึ่งจะได้เป็นกษัตริย์ต่อไปในอนาคต ส่วนลักษณะเด่นที่เป็นแบบท่ี 900 คือ
ตัวละครเอกฝ่ายหญิงถูกสามีบังคับให้ขโมยอาหารมาให้ครอบครัวที่ยากจนจนไม่มีอะไรจะกิน เธอเอา
อาหารซ่อนไว้ในกระเป๋าและถูกบงั คับให้เตน้ รา อาหารหล่นลงมาและทาให้เธอไดร้ ับความอบั อายซ่ึงต่าง
กับแบบท่ี 900 เล็กนอ้ ยตรงทีซ่ อ่ นของอาหาร

เร่ือง“The Baron's Haughty Daughter” มีเน้ือเร่ืองแตกต่างไปจากสองเรื่องแรก
และต่างอากแบบที่ 900 คือตัวละครฝ่ายหญิงในเร่ืองนี้ไม่ได้ถูกบังคับให้ขโมย แต่สามีบังคับเธอให้
ออกไปขอทาน ให้อาศัยอยู่ในกระท่อมดินโคลน เธอทนทุกข์ทรมานเพราะคาสัง่ ของเขา และได้รับความ

210 ชวนพิศ อตั เนตร์

อับอาย ลักษณะท่ีร่วมกับแบบเรื่องท่ี 900 ก็คือ เธอจาเป็นต้องทาในส่งิ ท่ีเธอไม่อยากทาและได้รับความ
อบั อายขายหน้า

การวิเคราะห์แบบเรื่องนี้มีจุดอ่อนอยู่ตรงที่ว่า นิทานที่มีผู้รวบรวมไว้แต่ละเรื่อง จะไม่
เหมือนหรือลงรอยกับแบบเรื่องในดัชนีของอาร์นเสมอไป และรายละเอียดในเน้ือเร่ืองจะแตกต่างกัน
มากกว่าที่จะเหมือนกัน และอีกประการหน่ึง การที่นิทานเร่ืองต่าง ๆ มาอยู่ในแบบเร่ืองเดียวกันน้ัน
ไม่จาเป็นเลยว่านิทานเหล่านั้นจะต้องประกอบด้วยอนุภาคท่ีเหมือนกันเสมอไป และในทางกลับกัน
นิทานท่ีประกอบด้วยอนุภาคเหมือน ๆ กันก็ไม่จาเป็นจะต้องอยู่ในแบบเร่ืองเดียวกัน แต่นักคติชนวิทยา
กลุ่มท่ียึดถือในระเบียบวิธีภูมิ-ประวัตินี้จะมีหลักเกณฑ์ว่า ในการกาหนดแบบเรื่องให้กับนิทานเรื่องใด
เร่ืองหนึ่งน้ัน เขาจะละทิ้งรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ เสียเพื่อตัดปัญหาในการตีความ เพราะเขาถือว่า
แบบเรื่องน้ันเป็นเพียงกรอบนอกหรือเค้าโครงเท่าน้ัน รายละเอียดของเน้ือหาจะเปล่ียนแปลงไปเมื่อมัน
แพร่กระจายจากท่ีหน่ึง ไปยังอีกที่หน่ึงดังน้ันเขาจะยึดเอาส่วนประกอบสาคัญๆในนิทานเป็นหลัก คือ
นิทานเรือ่ งเดียวกันที่มหี ลาย ๆ สานวน จะมีสว่ นประกอบสาคัญที่เหมือนกนั และมีรายละเอยี ดปลีกย่อย
ตา่ งกัน

ในนทิ านท้ัง 3 เรือ่ งทน่ี ามาเปน็ ตัวอย่างนี้ มอี นุภาคทปี่ รากฏอยู่ทุกเร่ืองอนภุ าคหน่ึงคือ
อนภุ าคเกย่ี วกับการทดสอบความอดทนของภรรยา หรอื อนุภาคที่ H465 : Test of Wife's Endurance
ถึงแม้ว่ารายละเอียดปลีกย่อยในนิทานทั้งสามเร่ืองจะต่างกันเน่ืองจากมันเกิดขึ้นในสังคมท่ีมีวัฒนธรรม
ต่างกันก็ตาม แต่จะมีลักษณะที่ร่วมกันอยู่คือ เหตุการณ์ท่ีภรรยาต้องอับอายขายหน้าเพราะคาสั่งของ
สามี สามีเองก็ไม่อยากจะทาให้ภรรยาต้องขายหน้า แต่ต้องการทดสอบความอดทนของภรรยาเท่า
นั้นเอง ในท่ีสุดเขาก็ได้ทราบว่าภรรยาของเขารักเขาจริง ๆ ก็เปิดเผยตนเอง แต่งงานกัน และอยู่ร่วมกัน
อย่างมีความสุข

การท่ีนิทานมอี นุภาคแบบเดียวกนั นั้นเปน็ ขอ้ พิสูจนไ์ ด้วา่ ตัวนิทานนนั้ เปน็ สิง่ ท่ถี า่ ยทอด
กนั ได้ แมว้ ่ารายละเอียดตา่ ง ๆ ในนิทานท้งั 3 เร่ืองนจ้ี ะตา่ งกันก็ตาม แตโ่ ครงเร่อื งใหญๆ่ และเน้อื เร่ืองจะ
เป็นไปในทานองเดียวกัน “การทดสอบความอดทนของภรรยา” เป็นอนุภาคท่ีเด่นและสาคัญท่ีสุดใน
นทิ านท้งั 3 เรือ่ ง และทาใหเ้ นอื้ หาของเร่อื งเด่นขึน้ ในส่วนที่เปน็ การทดสอบ

วิธีการศึกษาคติชนของกลุ่มนักคติชนวิทยาของฟินแลนด์ เป็นหลักการอย่างหน่ึง
สาหรับวงการคติชนวทิ ยา ซ่งึ มีคุณคา่ ควรแก่การศึกษาเช่นเดยี วกับวิธีการอนื่ ๆ

ตัวอย่างการศึกษาวัฒนธรรมวัตถุ
การศึกษาวฒั นธรรมวัตถใุ นที่นี้คอื เครือ่ งจักสาน ซง่ึ พิจารณาขอ้ มลู ในแงต่ ่อไปน้ี
1. เน้ือหา (Content) นั่นก็คือ วัสดุที่นามาใช้จักสานเป็นของท่ีใช้กันมาในสังคม
พ้ืนบ้านตั้งแต่ด้ังเดิมหรือไม่ งานบางช้ินเป็นที่นิยมใช้ในกลุ่มชาวบ้านหรือไม่ เพราะอะไร เพราะมีราคา

คติชนและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ 211

ถูก หรือเพราะมีคุณภาพคนที่อยู่ในกลุ่มสังคมเดียวกันทาขึ้นมาใช้เองหรือต้องซ้ือหามา ถ้านาไปขายใน
สงั คมอนื่ ราคาจะแพงขึน้ มากหรอื ไม่

2. รูปแบบหรอื โครงสรา้ ง (Form หรอื Structure) คือการดวู ่า รูปแบบของเคร่ืองจัก
สานของกลุ่มท่ีเราศึกษาอยู่นั้นคลา้ ยคลึงกับที่บรรพบุรุษของเขาทาไว้หรอื ไม่ เขาได้เรียนรู้จากสมาชกิ ใน
กลุ่มสังคมแต่เดิม หรือคิดแบบข้ึนมาเอง หรือดูหนังสือหรือนิตยสารแล้วลอกแบบหรือดัดแปลงออกมา
เราอาจจะต้องถามวิทยากรในแง่น้ี เพื่อที่จะได้รู้แน่ว่า ระหว่างรูปแบบดั้งเดิมกับรูปแบบใหม่ ๆ น้ัน
รปู แบบไหนเปน็ ทีน่ ยิ มมากกวา่ กนั และเหตใุ ดจงึ เปน็ เช่นนั้น

3. วิธกี าร (Style) วธิ กี ารของชา่ งจักสานทีด่ ีเป็นอยา่ งไร เรือ่ งนว้ี ิทยากรจะใหค้ าตอบ
แก่เราได้ ช่างจักสานบางคนอาจจะมีวิธีการเฉพาะตัวที่จะสร้างสรรค์งานของเขาเอง บางคนอาจมี
พรสวรรค์ในการออกแบบ มีความสามารถเฉพาะตัวในการคัดแปลงแบบ นอกจากนี้ก็ยังต้องดูว่าเขาใช้
เครื่องมือใหม่ๆหรือเคร่ืองจักรหรือไม่ เพราะวัตถุที่ทาจากเครื่องจักรจะไม่ประณีตสวยงามเท่ากับวัตถุที่
ทาดว้ ยมอื

4. คุณค่าและอารมณ์ (Value and Emotion) คือการพิจารณาว่า เครื่องจักสานท่ี
ทากันในกลุ่มคนรุ่นนี้มีคุณค่าเทียบเท่าส่ิงที่ทากันในรุ่นก่อน ๆ หรือไม่ เครื่องจักสานในสมัยก่อนทาขึ้น
เพื่อเป็นเคร่ืองใช้ในบ้านเรือนแต่ปัจจุบันอาจจะพัฒนาขึ้นมาโดยการทาให้สวยงามข้ึน ทาเป็นรูปต่าง ๆ
และขนาดเล็ก ๆ เพ่ือใช้เป็นเคร่ืองประดับบ้านเช่น กระบุง ตะกร้าใบเล็ก ๆ หรือนามาใช้เป็นท่ีใส่ดินสอ
ปากกาต้ังบนโต๊ะ หรือความนิยมในบางสิ่งบางอย่างอาจจะลดลงเช่น การใช้ปลาตะเพียนสานแขวนไว้
เหนือเปลเดก็ ออ่ นใหเ้ ด็กดู อาจจะนยิ มทากันน้อยลง สิง่ ของบางอย่างเช่น ตะกรอ้ ก็มีลูกตะกรอ้ ท่ีทาด้วย
พลาสติกเข้ามาตีตลาดแทน เปน็ ต้น

5. วิธีสื่อสาร (Medium of Communication) คือ ช่างผู้ทาเคร่ืองจักสานเรียนรู้
วิธีการทาอย่างไร และถ่ายทอดมันได้อย่างไร เขาใช้วิธีถ่ายทอดดงั้ เดิมคือบอกเลา่ ด้วยปาก และสาธิตให้
ดูหรอื อาศัยดูจากหนังสอื แล้วฝกึ หดั เอาเอง

6. สถานการณ์แวดล้อม (Context) คือ เวลา สถานท่ี ขนาด และการรวมกลุ่มของ
บุคคลจะเปลย่ี นไปตามกาลเวลาและเปลยี่ นไปในทางใดบ้าง

7. บทบาทหน้าท่ี (Function) เช่น การทาเครื่องจักสานของกลุ่มน้ีสนองความ
ตอ้ งการของบุคคล และความต้องการของสงั คมดังที่มันเคยเป็นหรือไม่

ตัวอยา่ งการศึกษาประเพณสี งั คมพืน้ บ้าน
การศึกษาประเพณีสังคมพื้นบ้านในท่ีน้ีคือ การเล่น และนันทนาการนี้มีท้ังการเล่น
ธรรมดาสามัญดังที่เด็ก ๆ เล่นกันในชีวิตประจาวัน เช่น เล่นต้องเต เล่นหมากเก็บ กระโดดเชือก ฯลฯ

212 ชวนพิศ อัตเนตร์

และรวมไปถึงการเล่นในเทศกาลบางอยา่ งเชน่ การเล่นสะบา้ ในเทศกาลสงกรานต์ การวเิ คราะห์การเล่น
สามารถทาได้หลายวิธี คอื

1. เราสามารถดูรูปแบบของการเล่น เช่น การเล่นน้ัน เล่นเป็นแบบวงกลม หรือเป็น
เสน้ ตรง และเม่อื เล่นไปแลว้ มันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผ้เู ล่นอยูท่ ี่ตาแหน่งไหนบ้าง การอยู่ท่ตี าแหน่ง
ใด ๆ ข้ึนอยู่กับขนาดร่างกาย เพศ อายุ ชั้นเรียน ฯลฯ หรือไม่ ถ้าต้องการบันทึกเสียงขณะที่เล่น ก็ต้อง
จดบันทึกข้อเขียนอย่างระมัดระวังด้วย การเขียนแผนภูมิการละเล่นจะเป็นประโยชน์มาก และสาคัญ
มากในการทจี่ ะเสนอภาพการเลน่ เวลาที่รายงาน การถา่ ยรปู ว่าผูเ้ ล่นออกท่าทางอยา่ งไรท่ีตาแหน่งไหนก็
จะช่วยได้มากเชน่ เดียวกัน

2. เราสามารถจดบันทึกประเภทหรือลักษณะของการเลน่ เช่นการเล่นน้นั เปน็ การวิ่ง
ไล่ การซ่อนตัว การล่อหลอกการแตะตัว ฯลฯ กิจกรรมการเล่นนี้จะแยกแยะออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้
และการวิเคราะห์ของเราก็จะทาได้โดยการเปรียบเทียบสิ่งที่แตกต่างกัน เช่น อายุ เพศ กลุ่มเชื้อชาติ
และสงิ่ เหลา่ นี้สะทอ้ นใหเ้ ห็นอะไรบ้างในการเล่น คือ

2.1 การเลน่ แบบใช้จินตนาการ เปน็ การเลน่ ที่เลยี นแบบชีวิตจรงิ มคี นหลายคนท่ี
เช่ือว่าการเล่นน้ีเป็นสิ่งท่ีนาไปสู่ความสาเร็จหรือความเป็นจริงในอนาคต เช่น การเล่นในเร่ืองขุนช้าง
ขุนแผนท่ีนางพิม ขุนแผน ขุนช้าง เล่นว่านางพิมกับขุนช้างเป็นผัวเมียกัน ขุนแผนเป็นชู้มาลักนางพิมไป
หรือการท่ีเด็กเล่น “บ้าน” เล่น “ครูกับนักเรียน เล่น “หมอกับพยาบาล” บทบาทของเพศยังสาคัญ
หรือไม่ในสังคม เช่นเด็กผู้ชายจะเลน่ เป็นหมอ เด็กผู้หญิงเป็นพยาบาล หรือความคิดของเด็ก ๆ เกี่ยวกับ
บทบาทของเพศเปล่ียนไป และเด็กวัยไหนสนใจการเล่นแบบใด กลุ่มเช้ือชาติมีอิทธิพลต่อการเล่นของ
เดก็ หรือไม่

2.2 การเล่นจะเป็นเร่ืองของการแข่งขันชิงชัยกันซึ่ง ในกรณีน้ีความแข็งแรงของ
รา่ งกาย ความชานาญในการเลน่ และความคล่องแคล่ว จะสาคัญมากทีส่ ุด เชน่ การเลน่ ฟุตบอล

2.3 การเล่นที่เน้นความชานาญ ใช้หัวคิด และความคล่องแคล่ว เช่น การเล่นไฟ
เล่นซ่อนหา

3. ความแตกตา่ งของผู้เล่น ผูเ้ ลน่ อาจแบ่งกลมุ่ ได้ดงั นี้
3.1 จานวนคนเล่น อาจเป็นคนเล่นเดี่ยว ๆ แข่งขันกันหรือมีผู้เล่นเป็นกลุ่ม

สถานการณ์ของการเลน่ ทง้ั สองกลมุ่ ต่างกนั อย่างไร
3.2 เพศของผู้เล่น การท่ีเพศของผู้เล่นต่างกันทาให้เกิดความแตกต่างกันหรือไม่

หรือเป็นกลมุ่ ชายแข่งกับหญิง หรอื ทีมผสม ถ้าอายตุ ่างกนั เพศจะต่างกันตามอายหุ รอื ไม่
3.3 บทบาทของผู้เล่น ซึ่งจะเก่ียวข้องกับแง่อื่น ๆ เช่นขนาดร่างกาย อายุ เพศ

ผ้เู ล่นจะไดอ้ ยู่ในตาแหน่งทเ่ี คยเล่นหรือไม่ ใครเป็นผูค้ วบคุมทมี ใครเปน็ ผู้ออกกฎ ฝา่ ฝนื กฎ บทบาทของ
เด็ก ๆ ในการเล่นขึน้ อยกู่ ับเพศของเด็กหรือไม่

คตชิ นและภมู ิปัญญาท้องถ่นิ 213

3.4 อายุ หรือขนาดร่างกายของผู้เล่น มีกฎ (ท่ีไม่ได้บันทึกไว้อย่างเป็นทางการ)
หรือไม่ว่า ใครต้องเล่นกับใคร มีการตกลงกันได้อย่างไร เด็กประถม 1 เล่นกับเด็กประถม 6 ได้หรือไม่
คนเล่นทกุ คนรู้ “สถานภาพ” ของผ้เู ลน่ คนอ่ืน ๆ หรือไม่

3.5 ลักษณะอ่ืน ๆ ที่ต่างกัน เช่น เด็กจากกลุ่มเช้ือชาติหนึ่งปฏิเสธที่จะเล่นกับ
เดก็ จากอกี กลุ่มเชือ้ ชาติหน่งึ หรอื ไมเ่ หตใุ ดจงึ เป็นเชน่ น้นั

4. ภาวะแวดล้อม การเล่นเป็นข้อมูลคติชนประเภทที่จะวิเคราะห์เดี่ยว ๆ โดยไม่
อาศัยภาวะแวดล้อมไม่ได้ การเล่น“อย่างไร” จะไม่สาคัญเท่ากับ “เล่นท่ีไหน” และ “เล่นเม่ือไร” เรา
จะต้องคานึงถึงแง่คิดทางสังคม วัฒนธรรม และส่ิงแวดล้อมด้วย ผู้เล่นที่ต่างกัน จะมีพฤติกรรมในการ
เล่นเปลี่ยนไปในสถานการณ์ท่ีต่างกัน เช่น เด็กผู้หญิงเล่นบทบาทของเด็กผู้ชาย หรือในทางกลับกันคือ
เด็กผู้ชายเลน่ บทบาทของเดก็ ผหู้ ญงิ เชน่ นี้ เกดิ จากอิทธิพลของสังคมและส่งิ แวดลอ้ มหรือไม่ อยา่ งไร

ตัวอย่างการศกึ ษาศลิ ปะการแสดงพน้ื บา้ น
การแสดงพ้ืนบ้านของไทยน้ันมีอยู่มากมาย และมีการศึกษาอย่างหลากหลาย เช่น
ศึกษาประวัติความเป็นมา การจาแนกข้อมูล วิธีการเล่น อุปกรณ์การเล่น ฯลฯ ในที่นี้จะยกตัวอย่าง
ศิลปะการแสดงพื้นบ้านจากวิทยานิพนธ์เรื่อง “ศึกษาวิเคราะห์ผลงานเพลงพื้นบ้านของ ขวัญจิตศรี
ประจันต์” ของธนพร พิทักษ์อุปถัมภ์ ซึ่งมีส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับแนววิเคราะห์คลังข้อมูลและการแสดง
ขอ้ มลู กบั แนววิเคราะห์การแต่งคาประพันธ์มขุ ปาฐะตามสตู ร ดงั นี้
การค้นเพลง คือการท่ีพ่อเพลงแม่เพลงสามารถแต่งและร้องเพลงได้โดยมิได้ท่องกลอน
มาก่อน “การด้นนั้นผู้ต้นต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถ และมีปฏิภาณไหวพริบ จึงจะสามารถคิดหาคามา
ร้อยเรียงกันได้ในเวลาอันจากัด จึงเรียกพ่อเพลงแม่เพลงเหล่าน้ีว่า เป็นปฏิภาณกวี (บัวผัน สุพรรณยศ
2535,80) และขวัญจิต ศรีประจันต์ ถือได้ว่าเป็นแม่เพลงท่ีมีปฏภิ าณในการตน้ เพลงดังนนั้ การแสดงของ
เธอจะขาดเสียมิได้ ก็คือ การต้นเพลง เป็นกลวิธีท่ีเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเธอสาหรับการแสดง
และเป็นส่ิงท่ีผู้ชมรอคอย เพราะเธอสามารถค้นได้ทุกเร่ือง และทันสมัยเหมาะสมกับเหตุการณ์สามารถ
วา่ กลอนสดได้อย่างคล่องแคลว่ ความสามารถในการต้นเพลงน้ีเองที่ทาใหเ้ ธอมเี อกลกั ษณ์เฉพาะตวั ดงั ที่
เอนกนาวิกมลู (2527, 73-74) ไดก้ ลา่ วชืน่ ชม ขวญั จติ ศรปี ระจนั ต์ ไวว้ ่า
“ในขณะที่เมืองไทยกาลังต่ืนตัวทางการเมืองอยู่นั้น ขวัญจิต ศรีประจันต์ ได้รับเชิญ
จากนักศึกษา ให้มาร้องเพลงพ้ืนเมืองของเธอให้พวกเขาฟัง ตามปกติเพลงท่ีร้องมีเนื้อหาไปในทางเกี้ยว
พาราสี แต่วันนั้น เม่ือขวัญจิตได้ทราบเจตนาและดูสถานการณ์ ดูผู้ฟังแล้ว เธอเปล่ียนเน้ือหามากล่าวถึง
สภาพสังคมปัจจบุ นั โดยการตน้ สด ๆ ปรากฏวา่ เธอไดร้ บั คาสรรเสริญและเสยี งปรบมอื จากทุกคน”
นอกจากนี้ ขวัญจิต ศรีประจันต์ (2540) ยังได้กล่าวถึงการต้นเพลงของเธอว่า “จะต้น
ไม่ว่าเร่ืองอะไร สมมติว่าอย่างวันน้ีงานศพ เจ้าภาพต้องการให้ร้องประวัติของเจ้าภาพ ...เราจะร้อง

214 ชวนพิศ อัตเนตร์

เร่ืองราวของเขา อาจมีข้อมูลมาให้ ทุกงานจะมีต้น และแต่ละงานจะไม่เหมือนกัน ...อาจจะสรรเสริญ
เจา้ ภาพเป็นกลอนตน้ ”

การค้นเพลงของขวัญจิต ศรีประจันต์มีลักษณะเช่นเดียวกับการแต่งคาประพันธ์มุข
ปาฐะโดยใช้สตู ร ดังทีธ่ นพรพทิ ักษ์อุปถมั ภ์ กลา่ วว่า

“วิธีการประพันธ์ของขวัญจิต ศรีประจันต์ จะมี 2 แบบ คือ การประพันธ์แบบท่ีเป็น
ลายลักษณ์อักษร และการประพันธ์โดยการร้องทันทีขณะท่ีแสดงอยู่ หรือท่ีเรียกว่าการต้นเพลง เน้ือหา
ของเพลงมีทั้งส่วนท่ีได้รบั การถ่ายทอดมาจากครูเพลง หรือจากการครูพักลักจาบ้าง ในส่วนท่ีแต่งขึ้นเอง
น้ันเธอบอกว่า “ทุกงานจะมีต้น... แต่ว่าจะเป็นกลอนท่องก็อยู่ในส่วนนั้น เพราะว่าสมัยก่อนน้ันเราท่อง
มามาก และสามารถจะมาดดั แปลงใสก่ บั เรือ่ งราวปจั จุบัน ของเกา่ มีมาเป็นทุน”

สาหรับเน้ือหาตอนท่ีสอดคล้องกับแนววิเคราะห์คลังข้อมูลและการแสดงข้อมูลมีดังนี้
คุณสมบัติอีกประการหน่ึงท่ีมีส่วนช่วยในการประพันธ์เพลงของเธอคือ การเป็นผู้มีความรักและสนใจใน
ศิลปะการแสดง และการเล่นเพลงมาตั้งแตเ่ ด็ก มีโอกาสได้เห็นการแสดงประกอบกับมีญาติเปน็ นกั เพลง
จึงได้สะสมประสบการณ์มาเป็นเวลานาน นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้วยังมีเหตุผลอย่างอ่ืนอีกหลาย
ประการ เช่น การประพันธ์เพลงที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ผู้อื่นหรือเจ้าภาพ โดยอาจนาข้อมูลมาให้
ศึกษาก่อน เช่น การแต่งเพลงพระราชประวัติของกรมพระปรมานุชิตชิโนรสถวายสมเด็จพระเทพ
รัตนราชสดุ าฯ การต้นเพลงเกย่ี วกับประวตั ิของพระพุทธบาท เป็นต้น จงึ ทาให้ไดร้ บั ความรู้มากขึน้ การท่ี
ขวัญจิตศรี ประจันต์ มีความรู้กว้างขวางทาให้มีข้อมูลที่สามารถนามาใช้ในการประพันธ์เพลงได้
เหมาะสมกับเหตุการณ์ และสอดคล้องกับเหตุการณ์ในสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะจะนา
เหตุการณป์ จั จุบันมาประยกุ ตเ์ สมอ

นอกจากนี้ก็ยังสอดคล้องกับแนววิเคราะห์เชิงภาวะแวดล้อมนิยม และแนววิเคราะห์
การแสดงทเี่ ปน็ ศูนย์กลางของนักคตชิ นวทิ ยา ดังน้ี

การใช้น้าเสียงและท่าทางประกอบ ซ่ึงเป็นส่วนช่วยให้การแสดงน้ันสมบูรณ์มากย่ิงข้ึน
และการแสดงท่ีใช้เวลานานจาเป็นต้องใช้กลวิธีที่หลากหลายเพ่ือไม่ให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อ... การปฏิสัมพันธ์
จากการที่ผูว้ จิ ยั ได้ชมการแสดงของขวัญจติ ศรปี ระจันต์ ในสถานท่ีตา่ ง ๆ เห็นวา่ เธอมีการใช้ปฏิสัมพันธ์
กับผู้ชมทุก ๆ คนเสมอ เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี และเป็นกันเองกับผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นการร้อง
การพูดท่าทาง แสดงความคุ้นเคยเป็นกันเองกับผู้ชม เพ่ือให้ผู้ชมประทับใจและรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการ
แสดงนัน้ ดังจะเหน็ ไดจ้ ากการแสดงท่ีพระพุทธบาทวนั ศุกร์ที่ 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2540

ดังนขี้ วญั จติ : วันนี้เพลงกับข้าวเพชฌฆาตก็ต้องมอบพิเศษสาหรับแม่ครัว โอวันนี้
กับขา้ วอรอ่ ยทส่ี ุด พร่งุ นจี้ ะมากนิ อีกเที่ยว

สาลี : มีต้มว่าอย่างเดยี วจะเผ็ดก็ไม่เผด็ จะเค็มกไ็ มเ่ ค็ม
ขวญั จติ : เออ ว่าอย่างน้ันว่ะ จะเปร้ยี วก็ไมเ่ ปรี้ยว! พอดี!

คตชิ นและภูมิปญั ญาท้องถิ่น 215

ตัวอย่างที่ควรกล่าวถึงอีกตัวอย่างหน่ึงก็คือ วิธีการศึกษาเพลงพื้นบ้าน ซ่ึงเป็นผลงาน
ของแมร่ี เฮลเลน บราวน์ และคณะ วิธีการศึกษาสามารถนาไปใช้กับข้อมูลคติชนประเภทอ่ืนได้ เช่น
เรือ่ งเลา่ เปน็ ต้น

แนวทางในการศกึ ษาเพลงพน้ื บา้ น
แนวทางในการค้นคว้าวิจัยเร่ืองเพลงพ้ืนบ้าน หรือเพลงขับ แบ่งออกเป็น 4 เรื่อง
ตามลาดับดังน้ี
ก. ประเพณกี ารขับเพลงของชุมชนหรือกลุ่มสาลี
ข. ผ้มู สี ่วนร่วมในประเพณี
ค. เพลงแตล่ ะเพลง
ง. ภาวะแวดลอ้ มเฉพาะในการแสดง

ก. ประเพณกี ารขับเพลงของชมุ ชนหรอื กล่มุ สาลี
1. ชุมชน ระบชุ ื่อประเทศแคว้นเมอื งอาเภอตาบล ฯลฯ และบอกที่ตัง้
2. บรรยายถงึ ประวตั ิของชุมชน และสถานการณ์ปจั จุบนั ตามหวั ข้อตอ่ ไปนี้
ก. ลกั ษณะของชมุ ชน
ข. อาชพี หลัก
ค. ศาสนาหลัก
ง. สัญชาติหลกั
จ. เช้อื ชาตหิ ลัก
ฉ. ระบุความรู้สึกของคนในชุมชนในด้าน ความรักชาติ ความเป็นชาตินิยม

และความรู้สกึ เกี่ยวกับพวกพ้อง
ช. ลักษณะการปกครองในหมู่คณะ
ซ. ระดับชัน้ ในสงั คม (ของชุมชนสว่ นใหญ่)
ณ. สถานภาพในสังคม (ของชุมชนส่วนใหญ)่
ญ. สรุปความเปลย่ี นแปลงใหญ่ๆ ของชมุ ชน กอ่ นและระหว่างชว่ งเวลาที่อยู่ใน

ความสนใจ
ฎ. แยกแยะกลมุ่ สังคมท่ีสาคัญๆ

3. จากรายการในข้อ ฎ ให้ระบุกลุ่มที่มีประเพณีการขับเพลง แล้วบรรยายถึง
ประวตั ขิ องกลุ่ม และสถานการณป์ จั จุบนั ตามหัวข้อต่อไปน้ี

ก. ลกั ษณะของกลมุ่
ข. อาชพี หลัก

216 ชวนพศิ อตั เนตร์

ค. ศาสนาหลัก
ง. สญั ชาตหิ ลัก
จ. การแต่งเพลงของกลมุ่ เช้อื ชาติ (หลกั )
ฉ. ระบุความรู้สึกของคนในกลุ่มในด้าน ความรักชาติ ความเป็นชาตินิยมและ
ความร้สู กึ เก่ยี วกับพวกพอ้ ง
ช. แนวโนม้ ของการปกครอง
ซ. ระดบั ชนั้ ในสงั คม (ส่วนใหญ)่
ณ. สถานภาพในสังคม (สว่ นใหญ่)
ญ. สรุปความเปล่ียนแปลงใหญ่ๆ ของกลุ่ม ก่อนและระหว่างช่วงเวลาท่ีอยู่ใน
ความสนใจ
ฎ. ระบุถงึ บทบาทของดนตรที ม่ี ตี ่อกลุ่ม
ฏ. ระบุถงึ การหนา้ ท่ที ว่ั ๆ ไปของดนตรที ี่มีตอ่ กลุ่ม
ฐ. ตง้ั คาถาม ดนตรมี กี ารหนา้ ทีพ่ เิ ศษเฉพาะตอ่ กลมุ่ หรือไม่
ฑ. บันทึกรายการประเพณีการดนตรีที่เป็นพิเศษเฉพาะเช่นเดียวกับบันทึก
ประเพณีที่มีเพลง
4. สาหรบั ประเพณเี กย่ี วกบั เพลงแต่ละรายการ ให้หาข้อมูลข่าวสารดังนี้
ก. บรรยายถึงประเพณีในลกั ษณะกว้าง ๆ
ข. ระบุ ชใ้ี ห้เหน็ การหน้าทีข่ องประเพณี
ค. สารวจความสัมพันธ์ระหว่างประเพณีการขับเพลง กับค่านิยมทาง
วฒั นธรรมของกลมุ่
ง. บันทกึ รายการเพลงท่ีสะสมไวใ้ นประเพณีการขบั เพลง
จ. ระบุลักษณะของภาวะแวดลอ้ มในการแสดงท่เี กดิ ข้นึ บ่อยในประเพณี (ดูข้อ
ง. ใหญ่)
ฉ. บันทึกผู้มีส่วนร่วมท่ีสาคัญๆ ไว้ในประเพณีการขับเพลง คือ ผู้จัด ผู้ขับร้อง
ฯลฯ และระบุบทบาทของแตล่ ะคนด้วย

คติชนและภูมิปัญญาท้องถน่ิ 217

ข. ผมู้ สี ว่ นร่วมในประเพณี
หาข้อมูลข่าวสารจากผ้มู ีส่วนร่วมแตล่ ะคน ตามหวั ข้อตอ่ ไปน้ี
1. ประวตั ิ
ก. เรื่องทวั่ ไป
1) ชือ่
ก. ชอ่ื
ข. นามสกลุ
ค. คานาหน้านาม
ง. ชื่อเลน่ (ถ้าม)ี
2) เพศ
3) วันเกิด
4) วันตาย (ถา้ มี)
5) ทอี่ ยปู่ ัจจบุ ันเบอร์โทรศัพท์
6) สถานภาพสมรส
7) จานวนบุตร-ธิดา
8) สถานภาพทางสงั คม
9) สญั ชาติ
10) กล่มุ เชอ้ื ชาติ
11) อาชีพปัจจุบัน
12) ภาษาทใ่ี ชพ้ ดู
13) ภาพถา่ ย

ข. เรอื่ งเฉพาะ
1) ประวตั กิ ารดาเนนิ ชวี ติ
2) เครอื ญาติ (โดยสังเขป)
3) ความสมั พนั ธ์ในสังคม
4) ศาสนา
5) ความสนใจการเมอื ง
6) ประวัตกิ ารรกั ษาพยาบาล
7) ประวัติการศกึ ษา
8) ประวัตกิ ารทางาน

218 ชวนพิศ อตั เนตร์

9) ราย / ไดฐ้ านะ
10) สมาชิกภาพในองคก์ ร
11) การใช้เวลาว่าง (โดยสงั เขป)
12) ชมุ ชนเพอ่ื นบ้าน (โดยสังเขป)
13) บุคลิกลักษณะ / บคุ ลกิ ภาพ (โดยสงั เขป)
2. ระบบุ ทบาทของแต่ละคน และระดับความเกยี่ วขอ้ งในประเพณีการขบั เพลง
3. ระบุบทบาทในอดีตของแต่ละคนและระดับความเก่ียวข้องในประเพณีการขับ
เพลง
4. ให้รายละเอยี ดว่าเขามามีส่วนร่วมในประเพณไี ดอ้ ยา่ งไร
5. วิทยากรในฐานะผู้สืบทอดประเพณี ให้บรรยายถึงสถานภาพของวิทยากรใน
ฐานะผสู้ ืบทอดประเพณใี นชุมชนหรือกลุม่ ทเ่ี ขา / เธอ เข้าไปเกยี่ วขอ้ ง
6. แต่ละบุคคลมบี ทบาทเฉพาะในฐานะผขู้ บั ร้องในชุมชน หรือกลมุ่ หรือไม่
7. การขบั ร้องโดยทว่ั ไปมคี วามสาคัญในชวี ิตของวทิ ยากรหรือไม่
8. ให้รายละเอียดและทาเค้าโครงเก่ียวกับประเพณีการขับร้องในชุมชนหรือกลุ่ม
ตา่ ง ๆ ที่ แต่ละคนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
9. สนุ ทรียะ (โดยทั่วไป)
10. การแสดง (โดยท่วั ไป)
11. นกั ขับร้อง หรอื ภาวะแวดล้อมของการแสดง
12. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งนักขบั รอ้ งกับผู้มีสว่ นรว่ มคนอน่ื ๆ
13. ความสัมพนั ธ์ระหว่างนักขบั รอ้ งกบั ผ้ชู ม (ผ้ฟู ัง)
14. คลังเพลงของนักขับร้อง

ค. เพลงแตล่ ะเพลง
ใหร้ ายละเอยี ดดงั นี้
1. ตัวบท
2. ท่วงทานองเพลง
3. แต่ละเพลง มีข้อมูลข่าวสารดงั ตอ่ ไปน้ี
ก. ระบปุ ระเภท และประเภทย่อยของเพลง
ข. บรรยายรายละเอยี ดต่อไปนี้
1) เคา้ โครง

คตชิ นและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น 219

เวลาที่นาเพลงไปขับร้อง 2) แก่นของเนื้อหา
3) ทานอง
4) จังหวะ
5) แบบแผนสมั ผสั
6) การนาเพลงไปใช้
7) ระบกุ ารหน้าท่ีของเพลง
8) สรปุ ยอความหมายของเพลง
9) ระบุลักษณะของภาวะแวดล้อมในการขับเพลงเท่าท่ีนักขับร้องทราบ

10) เพลงอยู่ในประเพณีของทอ้ งถิ่นหรือไม่
11) ทราบช่ือผูแ้ ต่งเพลงและทว่ งทานองเพลงหรือไม่

ง. ภาวะแวดล้อมเฉพาะในการแสดง
1. ธรรมชาติท่ัว ๆ ไปของภาวะแวดล้อม เช่น โอกาสพิเศษ ประเพณีเฉพาะด้าน

หรอื การทางาน
2. เหตกุ ารณ์
ก. เหตุการณ์เป็นแบบใด ชื่ออะไร
ข. พรรณนาเหตกุ ารณ์
ค. เหตุการณ์เป็นส่วนตัวหรอื สว่ นรวม
ง. เหตกุ ารณน์ ้ันเกิดขน้ึ เพอ่ื อะไร
จ. การหนา้ ทข่ี องเหตกุ ารณ์นน้ั ๆ
3. สถานทเี่ กิด
ก. เหตุการณเ์ กิดขน้ึ ทีใ่ ดบา้ ง ใหช้ อื่ เมือง ประเทศ บ้านเลขที่ ฯลฯ
ข. เหตกุ ารณ์นี้เคยเกิดขนึ้ ทอี่ ื่นหรอื ไม่ ถ้าเคย ให้ระบุรายละเอยี ด
ค. เคยมีการแสดงพิเศษหรือไม่ ถ้ามี ให้ระบุเวลา สถานที่แสดงและเหตุผลใน

การแสดง
4. เวลาทเี่ กดิ เหตกุ ารณ์
5. เวลาทีใ่ ชใ้ นการแสดง
6. สภาพแวดล้อมท่เี หน็ ด้วยตา
7. ผู้แสดงและผู้มสี ่วนรว่ ม

220 ชวนพศิ อัตเนตร์

8. ผ้ชู ม / ผู้ฟงั
9. การแตง่ กาย
10. เพลง
11. การแสดง

ใหบ้ นั ทกึ และระบตุ ามชนิดของการแสดงแตล่ ะครง้ั ตามหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี
ก. ตัวบท
ข. ทว่ งทานองเพลง
ค. ลลี าของการนาเสนอ
ง. ผูแ้ สดงฝึกซ้อมมากอ่ นหรือไม่ ถ้าฝึกซ้อม ซ้อมอยา่ งไร ท่ไี หน เม่อื ไร
จ. การเก็บเงินคา่ ตอบแทน (ถ้ามี) ทากอ่ นหรือหลงั การแสดง
ฉ. ในข้อ จ. ใชอ้ ะไรเป็นเครอื่ งมอื (หมวก กลอ่ ง)
ช. ผแู้ สดงใชค้ าพดู แบบใดเพือ่ ขอรางวลั
ซ. รางวัลท่ีให้คืออะไร เงิน อาหาร ฯลฯ มูลคา่ เท่าใด
ฌ. ผแู้ สดงขอบคุณหรือไม่ อย่างไร
ญ. ผู้ขบั รอ้ ง / ผู้แสดงอ่นื มปี ฏสิ มั พันธก์ นั อยา่ งไร
ฏ. ผแู้ สดง / ผู้ชมมีปฏสิ มั พันธ์กันอยา่ งไร
ฏ. สุนทรียะ
ฐ. ให้รายละเอียดของการแสดงแต่ละครั้งของผู้แสดงคนเดียวกัน
เปรยี บเทยี บการแสดงนนั้ ๆ
ฑ. ระบุอิทธพิ ลท่ีมีต่อการแสดงแตล่ ะคร้งั ในภาวะแวดล้อมของการแสดง
สรุป
คติชนวิทยาเป็นเรื่องที่น่ารู้ น่าสนใจ จูงใจให้ศึกษา เพราะเป็นเร่ืองที่แสดงถึงความ
ซบั ซอ้ น และความหลากหลายของจิตใจมนุษย์ ซงึ่ เป็นสตั ว์โลกทีน่ า่ ศึกษาค้นควา้ เปน็ อย่างยงิ่ คตชิ นเป็น
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของวัฒนธรรมของมนุษย์ท่ีเกิดข้ึนตั้งแต่สมัยดั้งเดิม และหลงเหลือมา
จนถึงยุคปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะมีผู้มองว่าคติชนเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรมก็มิใช่ว่าคติชนจะผูกพันเกาะ
เกี่ยวอยู่กับกระแสของความสาเร็จด้านภูมิปัญญาเร่ืองใหญ่ๆ ของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา บางครั้งคติชนก็
แยกตัวออกมาอย่างเป็นอิสระจากสิ่งน้ี ทาให้การศึกษาคติชนเป็นส่วนย่อยและส่วนลึกของการศึกษาใน
ด้านมนษุ ย์กับผลงานของมนุษยท์ งั้ หมด
ในประเพณีปรัมปรา ท่ีพัฒนาจากมุขปาฐะเป็นลายลักษณ์นั้น มีสิ่งท่ีร่วมกันอยู่ทั้ง
ศิลปะที่เปน็ การแสดงออก หรือศลิ ปะทเ่ี ป็นวรรณศลิ ป์ มกี ารบันทึกด้านประวัตศิ าสตร์ ทศั นคตติ ่อสังคม
การสอบถามแบบวิทยาศาสตร์ ตลอดจนความหยั่งเห็นในด้านจิตวิทยาของมนุษย์ นักวิชาการทั้ง

คตชิ นและภมู ิปญั ญาทอ้ งถน่ิ 221

ทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จึงมีส่วนร่วมในการศึกษาค้นคว้าในสิง่ ท่ีเป็นชีวิตและภูมิปัญญา
ของมนุษย์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน นักวิชาการด้านวรรณกรรมจะสนใจรากฐานของวรรณกรรมพื้นบ้านท่ี
อยู่ในมหากาพย์ และบทกวีนิพนธ์อ่ืน ๆ หรือแก่นเร่ืองแบบพ้ืนบ้านที่ปรากฏอยู่ในวรรณคดีสมัยต่อมา
นักวิชาการด้านวิจิตรศิลป์จะพิจารณาภูมิหลังของศิลปกรรมในดนตรีพื้นบ้านและศิลปะพื้นบ้าน
นักประวัติศาสตร์จะพบว่า ประเพณีปรัมปราแบบมุขปาฐะน้ัน แม้ว่าจะไม่ค่อยถูกต้องตามข้อเท็จจริง
เท่าไรนัก แต่ก็มีความหย่ังเห็นพิเศษท่ีแฝงอยู่ในทัศนคติธรรมดาสามัญ ท่ีมีต่อเหตุการณ์ด้าน
ประวัติศาสตร์นักจิตวิทยาก็ยังคงยึดถือว่า คติชนมีส่วนร่วมกับความฝันและการแสดงออกด้าน
จินตนาการ นักสังคมวิทยา อาจจะศึกษาข้อมูลคติชนร่วมกับข้อมูลอ่ืน ๆ ของการใช้ชีวิตและพฤติกรรม
ของกลุ่มชนเป็นไปได้ว่า วิทยาการทุกสาขาท่ีเก่ียวข้องกับมนุษย์และผลงานของมนุษย์ จะเกี่ยวข้องกับ
หลกั ฐานและขอ้ มลู ของกติชนทงั้ สนิ้

8.8 บทสรปุ

8.9 คำถำมทบทวน

8.10 เอกสำรอ้ำงอิง

Archer Taylor. “Folklore and the Student of Literature” in The Study of Folklore. ed.
Alan Dundes (Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice Hall, Inc., 1965) , p. 37.

William R. Bascom, “ Folklore and Anthropology” in The Study of Folklore. ed. Alan
Dundes (Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice Hall, Inc., 1965) , p. 33.

Bruno Bettelheim. The Uses of Enchantment. (New York: Alfred A. Knopf, 1986).
E. Adamson Hoebel. Anthropology : The Study of Man. (New York : The Scarecrow

Press, Inc., 1962). p. 287.
Encyclopaedia Britannica : Macropaedia 24, pp. 306-309.
Carl Lindahl, J. Sanford Rikoon, and Elaine J. Lawless, A Basic Guide to Fieldwork for

Beginning Folklore Students. Folklore Monograph Series, Volume 7, Folklore
Publication Group (Bloomington: Indiana. University Press, 1979) , pp. 39-42.
Mary Ellen Brown and Paul S. Smith, Ballad and Folksong. ( University of Sheffield:
Center for English Cultural Tradition and Language, 1982).

222 ชวนพิศ อัตเนตร์

กิ่งแก้ว อัตถากร, คติชนวิทยา. เอกสารนิเทศการศึกษา ฉบับท่ี 184 หน่วยศึกษานิเทศก์กรมการ
ฝึกหดั ครกู ระทรวงศกึ ษาธกิ าร. กรงุ เทพฯ : 2519, หน้า 121-123.

เรอื่ งเดียวกนั , หนา้ 124-129.
เสาวลักษณ์ อนันตศานต์. นิทานพ้ืนบ้านเปรียบเทียบ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2533,

หน้า 392- 395.
ธนพร พิทักษ์อุปถัมภ์, “ศึกษาวิเคราะห์ผลงานเพลงพ้ืนบ้านของขวัญจิต ศรีประจันต์” วิทยานิพนธ์

ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิตบณั ฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยรามคาแหง. 2542, หนา้ 46-51.

บทที่ 9
การรวบรวมข้อมลู คตชิ นกับภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ

การศึกษาคติชนเท่าท่ีกล่าวมาแล้วน้ัน หากเราพิจารณาให้ดีก็จะทราบว่าข้อมูลต่าง ๆ ของ
คติชนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย เคยรู้จัก เคยมีประสบการณ์มาแทบทั้งสิ้น หากจะมีสิ่งที่แปลก
ประหลาด ไม่คุ้นเคย หรือไม่เคยพบเห็นอยู่บ้างก็เป็นเพียงส่วนน้อย เพียงแต่เราไม่ทราบหรอื นึกไปไมถ่ ึง
เท่านน้ั เองวา่ ข้อมูลเหล่านน้ั คือคตชิ น

คติชนเป็นส่ิงที่ถ่ายทอดได้ตามกาลเวลาและพื้นท่ี ไม่ใช่เพียงลักษณะแบบเก่าๆ ท่ีเราทราบ
และเข้าใจกันมาเท่านั้นคือลักษณะท่ีเก่าแก่ เป็นของชนบท เปน็ ของคนด้อยการศึกษา และเป็นของผู้คน
ที่แตกต่างกันไปตามเช้ือชาติ ซึ่งลักษณะเช่นน้ี ผู้คนท่ีอยู่รอบตัวเราก็เช่ือและรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะ
เป็นเพ่ือนบ้านของเรา เพื่อนร่วมงานของเรา สมาชิกท่ีมาอยู่รวมกลุ่มหรือชุมนุมกันเพื่อปฏิบัติศาสนกิจ
เพ่ือนฝูง ญาติพ่ีน้อง ดังนั้นในการแสวงหาข้อมูลคติชนน้ัน เราอาจจะไม่ต้องไปเสาะหาท่ีไหนเลย เพราะ
เร่ืองราวที่เราต้องการอาจจะอยู่ไม่ไกลจากสถานท่ีทางาน วัด โบสถ์ ในครัวท่ีบ้านของเรา หรือในสนาม
หญ้าท่ีบ้าน หรือในการที่เพื่อนฝูงมาพบปะชุมนุมกัน และท้ายที่สุด ก็คือ จากความทรงจาของเราเอง
การศึกษาข้อมูลให้กว้างขวางมากขึ้น คือการขยายขอบเขตรอบตัวเราออกไป เมื่อเราคิดว่าจะพยายาม
เสาะหาข้อมูลจากท่ีอื่น ปัญหาข้อแรกก็คือ จะเสาะหาท่ีไหน และเสาะหาจากใคร เราอาจจะคิดถึง
เอกลักษณ์ต่าง ๆ ทางสังคม ท่ีจะช่วยจัดหรือกาหนดบุคลิกภาพของเรา ซึ่งเอกลักษณ์เหล่านี้ก็จะมีกลุ่ม
ต่าง ๆ ในสังคมที่เราอาศัยอยู่น่ีเองเปน็ ผู้กาหนด เช่น เราอยู่ในกลุ่มศาสนาใดศาสนาหน่ึง และใช้ชีวติ อยู่
ในวงจรท่ีแน่นอนของประเพณีปรัมปราด้านศาสนา และตานานต่าง ๆ ของศาสนาน้ัน เราอาจจะเรียนรู้
ที่จะมองโลกด้วยสายตาของกลุ่มชาติพันธ์ุ หรือผู้ท่ีเพิ่งจะเข้าไปสัมผัสกับกลุ่ม หรือเราอาจจะอยู่ในกลุ่ม
อาชพี ใดอาชีพหน่ึงและได้เรียนรู้ว่า ในขณะท่ีทางานอยู่นั้น ความรเู้ ก่าแกด่ ง้ั เดิมผ่านหรอื ถา่ ยทอดจากคน
หน่ึงไปยังอีกคนหนึ่งได้อย่างไร หรือเราอาจจะอาศัยอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ ที่คนในชุมชนมีลักษณะอย่าง
เดียวกัน เราอยู่ในครอบครัว เราเคยเป็นเด็ก และอาจจะยังผูกพันอยู่กับเด็ก ๆ หรือคนหนุ่มสาวซึ่ง
สามารถใหข้ อ้ มลู แก่เราได้มากมาย ไม่วา่ จะเปน็ เพลง การเลน่ ปรศิ นาคาทาย ความเชื่อ กฎเกณฑ์ดงั้ เดิม
ทค่ี วรจะปฏบิ ตั ิ หรือขอ้ ห้ามตา่ ง ๆ

กลุ่มสังคมที่เราคุ้นเคยจะมีเร่ืองราวมากมายเท่าๆ กับกลุ่มของเราเอง แต่การท่ีเราจะหา
ข้อมลู จากสมาชิกในกลุม่ สงั คมอืน่ ๆ นัน้ จะเปน็ วิธกี ารศกึ ษาทีส่ ูงข้นึ ไปอีกระดบั หนึ่ง เนื่องจากเราจะ



คตชิ นและภมู ิปัญญาทอ้ งถิน่ 261

ตอ้ งสรา้ งความสมั พนั ธท์ ่ีดีเข้ากับคนในกลมุ่ นั้นได้ และไดร้ ับความไว้วางใจจากพวกเขาแตว่ า่ สง่ิ ทจี่ ะต้อง
ระวังก็คือ ต้องพยายามหลีกเล่ียงการละเมิดข้อห้ามทางวัฒนธรรมของกลุ่มนั้น ดังน้ันในการเร่ิมสารวจ
และรวบรวมข้อมูลคติชนในครั้งแรกๆ ควรจะเป็นการรวบรวมจากคนเรารู้จักก่อน เม่ือมีประสบการณ์
และได้ทาความเข้าใจกับข้อมูลคติชนโดยท่ัว ๆ ไปแล้ว จึงหันเหความสนใจไปยังผู้คนท่ีมีวิถีทางการ
ดาเนินชวี ติ และมีโลกทัศนแ์ ตกต่างไปจากตัวเรา

ในการศึกษารวบรวมข้อมูลนี้ วิลเลียม เอ. วิลสัน (William A. Wilson) กล่าวว่าบรรดา
นักคติชนวิทยามักจะถือกันเป็นธรรมเนียมว่า จะกล่าวถึงบุคคลท่ีให้ข้อมูลข่าวสารแก่พวกเขาว่าเป็น
“Informant” ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะอยู่ในสังคมเดียวกันหรือต่างสังคมก็ตาม และบางคนก็จะใช้คาที่มี
ความหมายเป็นเชิงยกย่องว่า “Consultant” หรือที่ปรึกษา สาหรับในวงการคติชนวิทยาของไทยนั้น
นยิ มใช้คาวา่ วทิ ยากรในความหมายของ Informant ซงึ่ ก็เปน็ การเรยี กอยา่ งยกย่องเชน่ เดียวกนั บุคคลผู้นี้
ซ่งึ เป็นผทู้ จ่ี ะแบ่งสรรความร้กู บั เรามีฐานะเปน็ ผู้สบื ทอดประเพณีปรัมปรา และสมควรจะไดร้ ับการปฏิบัติ
อย่างยกย่องนับถือ เพราะวา่ ถ้าหากเขาไม่ต้องการท่ีจะถ่ายทอดข้อมูลใหเ้ รา เราก็จะไมส่ ามารถรวบรวม
ข้อมูลได้เลย

ในการสารวจรวบรวมข้อมูลนั้น เราควรจะนึกถึงกลุ่มสังคมเฉพาะท่ีเราต้องการจะสารวจ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และพยายามที่จะตัดสินว่าในกลุ่มน้ันมีอะไรอยู่บ้างที่จัดวา่ เป็นประเพณีปรัมปราสิ่ง
ใดท่ีมีลักษณะเป็นพฤติกรรมท่ีสอดคล้องลงรอยกัน และต่อเน่ืองกัน ให้ต้ังคาถามกับตัวเองให้มากที่สุด
เท่าทีจ่ ะทาได้ ตัวอย่างเช่น

ในสงั คมนน้ั มีการประกอบพธิ ีแรกรับให้กับสมาชิกใหม่หรือไม่
ในสังคมน้นั มีความเช่ือและขอ้ หา้ มทเี่ กีย่ วข้องกับกล่มุ หรือไม่
ในสงั คมน้นั มเี รอื่ งราวทเ่ี ล่าเก่ยี วกับตัวเอกแบบวรี บรุ ุษ (Hero) หรอื ตวั เอกทข่ี าดบคุ ลิกภาพ
ของตัวเอก (Antihero) หรอื ไม่
ในสงั คมนัน้ มีเรอ่ื งขาขันหรือมุขตลกที่ทาใหค้ นนอกกลุม่ หวั เราะไดห้ รอื ไม่
สมาชิกของกลุ่มแต่งกายด้วยเคร่ืองแต่งกายต่างกันหรือไม่ รับประทานอาหารแตกต่างกัน
หรือไม่ พดู ภาษาทเี่ ปน็ คาศพั ท์เฉพาะบ่อยหรอื ไม่
ในสังคมนั้นมีกฎเกณฑ์เก่าแก่ด้ังเดิมให้ปฏิบัติหรือไม่ และถาหากมีการละเมิดกฎเกณฑ์
เหล่าน้ัน มีวิถีทางใดจะลงโทษหรือไม่
วิลสันแนะนาว่า การแบ่งกลุ่มคาถามออกเป็นประเภทกว้าง ๆ จะช่วยได้มาก ซ่ึงการแบ่ง
ประเภทนอ้ี าจจะเป็นการจัดอย่างคร่าว ๆ ไมม่ หี ลักเกณฑ์แน่นอน แต่ก็จะชว่ ยให้ข้อมลู คติชนมีลกั ษณะที่
เปน็ ระเบยี บ ไมส่ บั สน และชว่ ยให้เราคดิ ได้ว่าจะรวบรวมขอ้ มูลชนิดไหนท่ีจะมีประโยชน์มากทีส่ ุด วิลสนั
แบ่งกลมุ่ ข้อมลู ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังน้ี

262 ชวนพศิ อตั เนตร์

สิ่งที่ผู้คนสร้างขึ้นด้วยการใช้ถ้อยคา (Verbal Lore) เช่น บัลลาด เพลงที่ขับร้องเพื่อแสดง
อารมณ์หรือความรู้สึกตานาน นิทานพ้ืนบ้าน มุขตลก สุภาษิต ปริศนา เพลงร้องในโบสถ์ คาสาปแช่ง
คาพูดสบประมาท คาพูดตอบโต้อย่างฉับพลัน คาพูดเย้าหยอกหรือล้อเลียน คาพูดอวยพร คาผวน คา
ทักทาย คากล่าวอาลา การเขียนคาประพันธ์ในสมุดอนุสรณ์กลอนตลก คาจารึกให้กับผู้ท่ีล่วงลับไปแล้ว
ข้อเขยี นบนกาแพงหรอื ผนงั ห้องนา้ ฯลฯ

สิ่งที่ผู้คนสร้างขึ้นด้วยมือ (Material Lore) เช่น บ้านเรือน ยุ้งฉาง รั้ว สวน เครื่องมือ ของ
เล่น หินที่หลุมฝังศพอาหาร เคร่ืองแต่งกาย และสิ่งที่เย็บปักถักร้อย สิ่งที่ทอ ส่ิงท่ีแกะสลัก ส่ิงที่ปั้นหรือ
หล่อ การปักดิน้ ทอง การเย็บผ้าห่มนวม ฯลฯ

สิ่งที่ผู้คนสร้างขึ้นด้วยการกระทา (Customary Lore) เช่น การร่ายรา ดนตรี และเครื่อง
ดนตรี การใช้ท่าทาง การเล่นตลก การเล่น กระบวนการทางาน พิธีกรรมต่าง ๆ งานฉลอง หรือเทศกาล
ของครอบครัวและชุมชน เช่น งานแต่งงาน งานฉลองวันเกิด งานครบรอบปีเหตุการณ์สาคัญ พิธีศพ
วนั หยดุ และการฉลองเกย่ี วกับศาสนา ฯลฯ

วิลสันอธิบายต่อไปว่า ข้อมูลคติชนรูปแบบต่าง ๆ ย่อมจะคาบเกี่ยวกันอยู่ในสามประเภทน้ี
เช่น เพลงรักเพลงหน่ึงเป็นข้อมูลประเภทท่ีใช้ถ้อยคา ส่วนผ้าห่มนวมผืนหน่ึงน้ันเป็นข้อมูลประเภทวัตถุ
แตก่ ารขบั ร้องเพลงและการเย็บผ้าห่มนวมตา่ งก็เป็นการปฏิบัติไปตามขนบธรรมเนียมด้วยกันท้ังสน้ิ และ
มีปรากฏการณ์ด้านคติชนจานวนมากที่สื่อทั้งสามประเภทมาผสมผสานกัน เช่น ในการฉลองวันเกิดนั้น
การทาขนมเค้ก และแต่งหน้าขนมเค้ก เป็นการปฏิบัติไปตามขนบธรรมเนียม และตัวขนมเค้กนั่นเองที่
เป็นหลักฐานทางด้านวัตถุ การขับร้องเพลงอวยพรวันเกิด เป็นการปฏิบัติไปตามขนบธรรมเนียมส่วน
เพลงนั้นคือข้อมูลที่ใช้ถ้อยคา ซ่ึงตัวอย่างน้ีทาให้มองเห็นว่าแท้ที่จริงแล้วเราไม่สามารถท่ีจะเก็บรูปแบบ
แต่ละรูปแบบของคติชน โดยแยกออกมาต่างหากจากรูปแบบอื่น ๆ ท่ีแวดล้อมอยู่ได้ ถึงแม้ว่าเราจะ
บนั ทกึ เสยี งเฉพาะถ้อยคา และเพลงท่ีใช้ขบั รอ้ งในวนั เกดิ เท่านัน้ แต่ถา้ หากเราไม่พรรณนาถงึ ฉากขณะท่ีมี
การขบั ร้อง ไมอ่ ธิบายถงึ รูปแบบอนื่ ๆ ของคตชิ นทอี่ ยูใ่ นที่นัน้ ใหเ้ ปน็ ท่ีเข้าใจ การบันทกึ ของเราจะไม่ช่วย
ใหเ้ ขา้ ใจถึงความสาคญั ของเพลงในชีวิตของผู้ขบั รอ้ งเลย

การเก็บข้อมูลคติชนนั้นมีประเด็นสาคัญอยู่ท่ีวิธีการท่ีจะเก็บข้อมูลว่า จะทาได้อย่างไรและ
จะบันทึกข้อมูลน้ันได้อย่างไร เพ่ือให้คนที่นาข้อมูลไปใช้ได้ตระหนักถึงความสาคัญของตัวข้อมูลที่มีต่อ
ผูใ้ ห้ข้อมลู ซึง่ การบันทกึ จะตอ้ งกระทาขณะท่ีมกี ารแสดง (Performance) ของขอ้ มลู นน้ั

ถ้าหากเราสามารถเก็บหรือบันทึกข้อมูลในขณะที่กาลังมีการถ่ายทอดข้อมูลอยู่อย่างเป็น
ธรรมชาติ โดยท่ีผู้ให้ข้อมูลไม่รู้ตัวล่วงหน้า นับว่าเป็นโชคของเราอย่างมาก แต่เหตุการณ์เช่นน้ีไม่ได้
เกิดข้ึนบ่อยคร้ังนัก นอกจากว่าเราจะเตรียมตัวไปก่อน เช่น การรวมกลุ่มกันของผู้คนที่มีอาชีพเดียวกัน
เป็นต้นว่ากลุ่มชาวประมง เราก็จะได้ยินได้ฟังเร่ืองราวของชาวประมง ในขณะท่ีมีการพบปะกันน้ัน
ซ่ึงการเข้าไปเป็น “ผู้ร่วมสังเกตการณ์” หรือ Participant Observation จะมีคุณค่าในแง่ท่ีเรามีโอกาส

คตชิ นและภูมิปัญญาท้องถิ่น 263

ได้เข้าไปสังเกตจากต้นตอโดยตรง ไม่ต้องอาศัยผู้ถ่ายทอด เพื่อที่จะได้ทราบสาเหตุทาให้เกิดการแสดง
ขอ้ มูลคติชนชนิ้ น้นั ขึ้นมา และยังได้ทราบวา่ การแสดงนัน้ ประสบความสาเรจ็ หรอื ไม่อย่างไร มีผลกระทบ
อย่างไรต่อผู้ชมและมีผลกระทบอย่างไรต่อตัวเราเองด้วย ซ่ึงในการเขียนบันทึกเหตุการณ์นี้เราอาจจะ
ต้องสอบถามผู้ชมคนอ่ืน ๆ เพ่ือดูว่าพวกเขามีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อการแสดงอย่างไร และถ้าหากเราได้
สังเกตอย่างละเอียดลออ เราก็จะมีความคิดในการท่ีจะพรรณนาฉากของสังคมพร้อมอยู่ในสมองและ
นาเสนอได้ทันที

อย่างไรก็ตาม นักคติชนวิทยาส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่า การเก็บรวบรวมข้อมูลในลักษณะ
เช่นนี้ มีความยากลาบากอยู่ตรงท่ีว่า ในบางสถานการณ์และหลายสถานการณ์ท่ีเราไม่สามารถที่จะ
บันทกึ การแสดงไดอ้ ยา่ งแท้จรงิ ตามท่ีมันเกิดขึ้นเช่น ในการชมุ นมุ พบปะกันของชาวประมงนั้น เราตัง้ ใจที่
จะบันทึกเร่ืองความเชื่อของชาวประมง และจดั เตรียมอุปกรณ์บนั ทึกเสรจ็ เรียบร้อยแลว้ แตข่ ณะทบ่ี นั ทึก
เร่ืองความเชื่ออยู่น้ัน เราเกิดได้ยินนักเล่าคนหน่ึงเล่าเร่ืองราวท่ีสนุกสนานมาก แต่เราไม่ได้บันทึกเรื่อง
ของเขา สิ่งที่ควรกระทาก็คือ ย้อนกลับไปหานักเล่าตนน้ันและขอร้องให้เขาเล่าใหม่ ซ่ึงเราจะต้องหาคน
ท่ยี ังไม่เคยได้ยนิ เรื่องราวน้ีไปฟงั อีกไม่ตา่ กว่า 2-3 คน แต่การเล่าใหมน่ ้ีกจ็ ะมีสถานการณ์ท่เี ปน็ ธรรมชาติ
นอ้ ยกวา่ ครั้งแรกอยา่ งแนน่ อน

การเกบ็ รวบรวมอีกวิธหี นึง่ คือการสัมภาษณ์หรือสอบถามโดยตรงตงั้ แต่ตน้ คือเมอ่ื เราตกลง
ใจได้แล้วว่าจะเก็บข้อมูลประเภทใด เราก็จะต้องตัดสินใจให้ได้ว่าผคู้ นประเภทใดท่ีควรจะมีข้อมูลนนั้ อยู่
พอที่จะถ่ายทอดให้เราได้ ซ่ึงในการรวบรวมข้อมูลวิธีน้ี เราต้องเข้าใจว่าไม่ใช่การสังเกตข้อมูลจากต้นตอ
แต่เป็นการเก็บข้อมูลจากคนที่ได้สังเกตข้อมูลจากต้นตอ บุคคลเหล่านี้คือผู้ท่ีมีส่วนร่วมในการชุมนุม
พบปะกันของชาวประมงนั่นเอง สาหรับกรณีเช่นน้ี เราจะไม่ประสบกับความยากลาบากในการบันทึก
ข้อมูลเท่าไรนัก แต่จะต้องเพม่ิ เติมภมู หิ ลังด้านภาวะแวดลอ้ มทีจ่ าเป็นเข้าไป ซงึ่ ภมู หิ ลงั นีก้ ไ็ ดจ้ ากบคุ คลท่ี
รว่ มสงั เกตการณ์อยนู่ ่นั เอง

วิลสันให้คาแนะนาแก่ผู้ที่เร่ิมศึกษาคติชนว่า เม่ือถึงเวลาที่จะต้องสอบถามตนเองแล้ว ก็ให้
สอบถามโดยไม่ตอ้ งลังเล และควรจะจดจาปรากฏการณ์ทางด้านคตชิ นทุกชนิดทเ่ี ราเคยเข้าไปมสี ว่ นร่วม
เราอาจจะไม่ทราบถึงผลกระทบทั้งหมดของการแสดงของคติชนที่มีต่อคนอื่น ๆ แต่เราจะต้องทราบว่า
การมีส่วนร่วมในเหตกุ ารณท์ ม่ี กี ารแสดงน้นั มผี ลต่อตัวเราอยา่ งไร

วิลสันอธิบายเพ่ิมเติมว่า เมื่อเร่ิมเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว ส่ิงแรกที่ควรจะเข้าใจก็คือเราไม่
สามารถบันทึกข้อมูลท้ังหมดไปเก็บไว้ในหอเก็บเอกสาร (Archive) เพื่อใช้ศึกษาหรือตีความได้มักคติชน
วิทยาท่ีเคยศึกษาข้อมูลจากหอเก็บเอกสารอย่างจรงิ จงั น้ัน เวลาที่ออกปฏิบัตงิ านสนาม ก็มักจะพยายาม
กอบโกยข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพราะคิดว่าการทาเช่นนี้จะได้ประโยชน์มาก แต่ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถ
บันทึกข้อมูลได้ทั้งหมด ก็บันทึกให้เพียงพอต่อความต้องการของเราเพ่ือให้เอกสารของเราเป็นประโยชน์
ซ่งึ ไมว่ า่ เราจะรวบรวมขอ้ มูลหรือเรอื่ งราวแบบใด กใ็ ห้ถามตนเองด้วยคาถาม 3 ขอ้ คือ

264 ชวนพิศ อตั เนตร์

ข้อแรก มีอะไรในข้อมูลนั้นท่ีทาให้เราพอใจ อะไรทาให้ข้อมูลนี้มีพลังด้านศิลปะหรือชักจูง
ใจใหศ้ กึ ษา

ข้อท่ีสอง ข้อมูลนี้มีบทบาทหน้าท่ีอย่างไรในชีวิตของผู้คนท่ีเป็นเจ้าของข้อมูล มันสนอง
ความต้องการแบบไหนของผู้คนเหลา่ นน้ั

ข้อที่สาม ข้อมูลนี้บอกอะไรแก่เราบ้างเกี่ยวกับค่านิยมและทัศนคติของปัจเจกบุคคล และ
กลมุ่ ที่ปัจเจกบคุ คลมีส่วนร่วมอยู่

การแสดงของคติชนน้ันเรียกได้ว่าเป็นการปฏิบัติอย่างหนึ่งในการเปล่ียนแปลงของ
พฤติกรรมคนทั้งหลายได้พยายามสร้างสรรค์โลกทางสังคมท่ีดีกว่ารสนิยมของเขาเองโดยใช้ส่ิงต่าง ๆ ท่ี
เขาสร้างขึ้นจากคาพูด มือ และการกระทามาเป็นเคร่ืองมือ ขณะที่พวกเขาเล่านิทานสักเร่ืองหนึ่งหรือ
เย็บผ้าห่มสักผืนหนึ่ง หรือปฏิบัติพิธีอย่างใดอย่างหนึ่งน้ันหมายความว่าพวกเขากาลังใช้ความพยายามท่ี
จะมีอิทธิพลต่อผู้อื่น โดยใช้พลังอานาจของรูปแบบทางศิลปะที่สมบูรณ์ดีงามแล้วมาช่วยซึ่งเราจะไม่
เข้าใจผลกระทบทางด้านศิลปะของรูปแบบเหล่านเ้ี ลย หากไม่มีการบันทึกอย่างถูกต้องตรงที่สุดเท่าท่จี ะ
ทาได้ เหมอื นกับเป็นการแสดงตามปกติ

9.1 ศลิ ปะแหง่ คติชน

ดังท่ีได้กล่าวแล้วว่าการแสดงของคติชนน้ันอาจจะเป็นการปฏิบัติของการเปลย่ี นแปลงของ
พฤติกรรมของมนุษย์มนุษย์สามารถใช้ถ้อยคา ท่าทาง และการกระทาของตนทาให้เกิดการปฏิบัติแบบ
ต่าง ๆ และการปฏิบัติน้ันคือการพยายามสร้างสรรค์โลกของสังคมท่ีมีลักษณะแตกต่างไปจากโลกใน
รสนิยมของพวกเขาเอง เวลาท่ีพวกเขาปฏิบัติหรือแสดงคติชนอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะต้องบันทึก
เหตุการณ์ในการแสดงของคติชนนั้นอย่างแม่นตรงที่สุด เพ่ือที่เราจะได้เข้าใจผลกระทบของรูปแบบทาง
ศลิ ปะเหล่านี้

วิลสันกลา่ วถึงศิลปะของเรื่องราวที่เป็นข้อมลู โดยแบง่ ออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 3 กลุ่ม คอื
1. เรือ่ งราวเกย่ี วกับการใช้ถอ้ ยคา (Verbal lore)
2. เรือ่ งราวเกย่ี วกบั วตั ถุ (Material lore)
3. เรอ่ื งราวเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี (Customary lore)
เมื่อรวบรวมเรื่องราวที่เป็นศิลปะเหล่านี้ได้แล้ว ก็จะมีการสืบค้นหาความหมายและตัดสิน
ในความงามหรือสุนทรียภาพของข้อมูลท่ีเรารวบรวมมา และควรจะสอบถามความคิดเห็นของวิทยากร
ผู้ท่ีเป็นผู้สืบทอดประเพณีปรัมปราด้วยว่า เหตุใดข้อมูลบางประเภทจึงมีความหมายอย่างมากต่อ
ตัววิทยากร หรือทาให้เกิดความพอใจในด้านความงาม หรือข้อมูลบางประเภทไม่ทาให้เกิดความพอใจ
เป็นตน้

คติชนและภมู ปิ ญั ญาท้องถ่ิน 265

วิลสันได้แนะนาวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลท้ังสามกลุ่ม ซ่ึงเท่ากับเป็นการฝึกปฏิบัติสาหรับ
ผทู้ เี่ ริ่มงานรวบรวม อันเป็นวิธกี ารท่สี าคัญอย่างหนึ่งในการศกึ ษาสาขาคติชนวทิ ยา ดังน้ี

เร่ืองราวเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคา การศึกษาศิลปะของเรื่องราวท่ีใช้ถ้อยคาเป็นเร่ืองท่ีผู้เร่ิม
ศึกษามักจะนึกถึงเป็นอันดับแรก เพราะมีจานวนข้อมูลอยู่อย่างมากมาย เราควรใช้เครื่องบันทึกเสียงใน
สถานท่ีท่ีสามารถบันทึกข้อมูลได้โดยเฉพาะอย่างย่ิงการบันทึกรูปแบบต่าง ๆ ของเรื่องเล่าอิสระ ซ่ึงการ
ใช้ถ้อยคาและลีลาต่าง ๆ ในการเล่าอาจจะเปลี่ยนไปได้อย่างเด่นชัดจากการเล่าครั้งหน่ึงไปสู่การเล่าอีก
ครั้งหน่ึง อันที่จริง การบันทึกข้อมูลนี้อาจจะใช้วิธีจดโดยใช้ดินสอหรือปากกาก็ได้ แต่จะเป็นการทาให้
การแสดงสะดดุ และไมไ่ ด้เหตุการณท์ ่ีแทจ้ ริงอยา่ งสมบรู ณ์แบบ

ตัวอย่างต่อไปนี้ได้จากการบันทึก “เรื่องน่ากลัว” ซ่ึงเล่าโดยเด็กหญิงอายุสิบส่ีปีท่ีมีนิสัยร่า
เริงมาก เล่าตอนที่ไปออกค่ายฤดูร้อน ซ่ึงได้สาระสาคัญของเร่ืองเล่าท่ีแท้จริง และความถูกต้องแม่นยา
ซง่ึ พบไดย้ ากในการจดบันทึกด้วยมือ

มีคู่หนุ่มสาวที่พากันหนีออกจากบ้านไปเพื่อจะไปแต่งงานกัน ขับรถไปด้วยกัน มุ่งหน้า
ออกไปในทะเลทรายทันใดน้ันเองน้ามันรถก็หมด ฝ่ายหญิงจึงบ่นว่า “เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่าให้เติม
นา้ มนั ทีเ่ มอื งสุดทา้ ยท่เี ราผา่ นมานั้น แตเ่ ธอก็ไม่ฟัง”

แล้วฝ่ายชายก็ตอบ “เอาละๆ ฉันจะเดินกลับไปซื้อน้ามันเอง” แล้วเขาก็พูดว่า “ตอนน้ีก็
ล็อคประตูหน้าต่างให้หมดแล้วกัน เขายิ่งพูดๆ กันว่ามีไอ้คนที่มีมือตะขอ ออกมาเที่ยวฆ่าคนใน
ทะเลทรายน้ีอยู่” แล้วก็พูดต่ออีก “ตอนนี้ล็อคประตูหน้าต่างให้หมด อย่าเปิดล่ะ ไม่ว่าใครจะมาเรียก
หรือได้ยินเสียงอะไรก็ไมต่ อ้ งเปดิ ”

ดงั นน้ั เธอก็ปดิ ประตูหน้าต่างรถทุกบาน และเร่ิมเปิดวิทยุฟงั แลว้ เธอก็ไดย้ ินเร่ืองของคนมือ
ตะขอที่ไล่ฆ่าคนอยู่อีกเธอกลัวจริง ๆ กลัวจนต้องปิดวิทยุและพยายามนอนให้หลับ แต่หลังจากน้ันเธอก็
ตกใจต่ืน และได้ยินเสียงดังแกรกกราก เธอต่ืนเต้นน่าดูเลย แต่ก็ข่มตาข่มใจนอนหลับไปอีก แล้วอยู่ ๆ
เธอก็ตกใจตื่นขึ้นมา สงสัยอยู่เหมือนกันว่าอะไรมาปลุกให้ตื่นแล้วเธอก็มองเห็นคนมือตะขออยู่ข้างนอก
รถ เขาน่ังอยู่ตรงนั้น พยายามที่จะเข้ามาในรถให้ได้ เธอกลัวเหลือเกิน กลัวจนกระดิกกระเด้ียไม่ได้
ไมก่ ลา้ ออกไปนอกรถดว้ ย แล้วก็หลับผลอยไปทงั้ ๆ ที่นง่ั อยู่น่ันเอง

และแล้ว เม่อื เธอต่นื ขน้ึ มาอีกคร้ัง คนๆ นั้นไปแล้ว แตย่ ังมเี สียงเหมอื นอะไรกระแทกเสียดสี
อยกู่ ับหลังคารถ แตเ่ ธอก็ไมก่ ล้าเปิดประตอู อกมา

สักพักหนึ่งเธอก็เริ่มเป็นห่วงคนรัก เพราะว่าเขาไม่ได้กลับมาท้ังคืน แต่เธอเหน่ือยมาก
เหน่ือยจนงว่ งหลบั ไปอกี

และอีกพักหน่ึง ตารวจก็มา – เช้าแล้วละซิ – ตารวจเคาะกระจกหน้าต่างอยู่ เธอเลยต่ืน
ข้นึ มาเห็นตารวจ ตารวจบอกวา่ “เปิดประตหู นอ่ ยครับ”

เธอกเ็ ปดิ ประตู

266 ชวนพิศ อตั เนตร์

แล้วเขากถ็ ามว่า “คุณรเู้ รอื่ งอะไรหรือเปลา่ ครบั ”
และเธอถามอย่างสงสัย “รู้เรื่องอะไรคะ”
เขาจึงชี้มือไปที่ต้นไม้ – รถจอดอยู่ใต้ต้นไม้ และบนต้นไม้นั่นเอง ชายหนุ่มที่เป็นคนรักของ
เธอถกู ตะขอแขวนไวเ้ นื้อตวั ของเขาถูกคนมือตะขอชวนตะกุยเอาจนยับเยิน
คุณค่าประการหน่ึงของเคร่ืองบันทึกเสียงก็คือทาให้เรามีเวลาว่างพอที่จะจดข้อมูลข่าวสาร
ควรจดลงในกระดาษหรือสมุดได้ ข้อมูลข่าวสารท่ีควรจดคือสภาพแวดล้อมของสถานการณ์การเล่าเรอื่ ง
นั่นเอง ซึ่งได้แก่สถานที่ที่ใช้เล่าเร่ือง หรือฉาก ธรรมชาติของผู้ชม การเคล่ือนไหว และการใช้มือหรือ
ทา่ ทางในขณะท่ีเล่า ปฏิกริ ิยาโต้ตอบหรอื การกระตุน้ จากผู้ชม ซ่ึงทุกส่งิ ทกุ อย่างทีก่ ล่าวมานีจ้ ะช่วยให้ผู้ที่
อา่ นเอกสารของเราไดย้ ินเรือ่ งท่เี ลา่ และยังมองเหน็ ภาพของฉากทเ่ี กีย่ วข้องกับการเลา่ อีกดว้ ย
ผู้ที่รวบรวมข้อมูลมุขปาฐะน้ันมักจะถอดความจากแถบบันทึกเสียง โดยตัดเสียงท่ีไม่จาเปน็
ออกไป เช่น เสียงเอ้อ เสียงท่ีออกผิดพลาด เป็นต้น ซ่ึงในทางคติชนวิทยาน้ัน หากเราต้องการน้าข้อมูล
ไปเก็บไว้ในหอเก็บเอกสารเพ่ือให้คนอื่นได้ศึกษาต่อไปแล้ว ก็ไม่จาเป็นต้องตัดออก แต่ควรระบุไว้ว่า
การถอดความนี้เป็นแบบคาต่อคา หรือมีการแก้ไข ตัดตอนอย่างไร หรือเป็นการบันทึกแบบจดชวเลข
หรือเป็นการถอดความจากตน้ ฉบบั เดิม เพอ่ื ใหค้ นที่จะไปใช้ได้ทราบ
ถ้าการบันทึกเสียงไม่ดีพอ จะทาให้ถอดความได้ลาบาก การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการ
บันทึกเสียงจึงต้องใช้ให้เหมาะสม คือ เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายรูป และกล้องวิดีทัศน์ แต่ไม่
จาเป็นต้องขวนขวายหาอุปกรณ์ที่มีราคาแพง หรือคิดว่าตัวเราเองต้องเป็นผู้เช่ียวชาญในการใช้อุปกรณ์
เหลา่ น้ี ข้อแนะนากค็ ือ ควรใชเ้ คร่อื งบนั ทึกเสยี งทมี่ ีไมโครโฟนแยกต่างหาก และตัง้ ไมโครโฟนใหห้ า่ งจาก
ผูพ้ ูดประมาณหน่งึ ฟุต และขณะท่บี ันทกึ เสยี งอยนู่ ้นั พยายามอยา่ สมั ผสั กบั สายไมโครโฟน
เรื่องราวเก่ียวกับวัตถุ อันที่จริง เรื่องของวัฒนธรรมวัตถุเป็นเร่ืองที่น่าค้นคว้า แต่จะไม่โดด
เด่นเท่ากับข้อมูลท่ีใช้ถ้อยคา ผู้ที่เริ่มศึกษาคติชนวิทยามักจะไม่ค่อยสนใจวัฒนธรรมวัตถุนัก ไม่ใช่ว่า
ส่ิงของที่ผู้คนประดิษฐ์ขึ้นมาด้วยมือของเขาเองน้ันจะไม่มีคุณค่าพอสาหรับท่ีจะศึกษา แต่เป็นเพราะว่า
การหาเอกสารหลักฐานที่ถูกต้องแท้จริงในเร่ืองของวัตถุนั้นทาได้ยาก โดยเฉพาะกับผู้ท่ียังไม่มี
ประสบการณ์ ดังนั้นถ้าหากเรามีความสนใจในรั้วของเรือกสวนไร่นา แบบของกยุ้งข้าว การเย็บผ้า หรือ
ลวดลายแกะสลักหินหรือไม้ เราก็ต้องออกไปเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐาน แต่ขณะเดียวกันก็ต้อง
ตระหนกั ว่างานนไ้ี ม่ใช่งานงา่ ย
การท่ีจะให้ผู้ที่ศึกษาข้อมูลเอกสารของเราเข้าใจว่า สิ่งท่ีเราเก็บมาบันทึกมาน้ันมีความงาม
ด้านศลิ ปะและก่อให้เกิดความพอใจอย่างไรนั้น จะตอ้ งเสนอภาพท่ีถูกต้องตรงตามความเปน็ จรงิ ของวัตถุ
นั้น ๆ ก่อน แต่บางครั้ง เราอาจจะบันทึกภาพเหล่าน้ีด้วยการวาดภาพลายเสน้ ก็ได้ แต่ส่วนมากแล้ว เรา
ควรจะต้องใช้กล้องถ่ายรูปเพ่ือบันทึกวัฒนธรรมวัตถุและกล้องท่ีเหมาะสมก็คือแบบ Reflex Camera
(กล้องถ่ายรปู ท่ีภาพเกดิ จากการสะท้อนกบั กระจกหลังเลนส)์

คตชิ นและภูมิปัญญาท้องถน่ิ 267

การบันทึกภาพน้ันจะใช้เป็นภาพสไลด์สีหรือภาพขาวดาก็ได้ ภาพเหล่าน้ีจะทาให้มองเห็น
ลักษณะเด่นท่ีเป็นองค์ประกอบและรูปแบบของสง่ิ ประดิษฐน์ ั้น ซึ่งหมายถึงว่าเราจะต้องบันทึกภาพวัตถุ
ชิ้นเดิมหลาย ๆ ครั้ง เช่น การบันทึกภาพผ้าห่มนวมสักผืนหน่ึง จะต้องมีภาพผ้าท้ังผืน เพื่อให้มองเห็น
การออกแบบท้ังหมดได้อย่างชัดเจน และจะต้องบันทึกลายแต่ละส่วนอย่างใกล้ชิด ถ้าหากเป็นไปได้
ควรจะบนั ทึกภาพขนั้ ตอนในการเย็บผ้าห่มนวมนี้ด้วย นอกจากนี้ยังควรบันทึกภาพของในขณะที่คลุมอยู่
บนเตยี ง เพอื่ บอกจดุ ประสงคใ์ นการทาผา้ หม่ ข้นึ มา

เราสามารถที่จะแสดงให้ผู้อ่ืนเห็นจุดประสงค์ที่ถูกต้องของสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นวัตถุน้ีในฐานะ
ท่ีมั่นคงอยู่ในชีวิตประจาวัน ด้วยการใช้ภาพถ่ายของวัตถุเหล่าน้ีเป็นเคร่ืองมือ แต่เราจะต้องอธิบาย
รายละเอียดที่เห็นอยู่ในภาพถ่ายเพ่ิมเติมการเขยี นอธิบายนี้ควรจะกล่าวถึงบทบาทหน้าท่ีของวตั ถเุ หล่านี้
ดว้ ย

เร่ืองราวเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี สาหรับเรื่องราวเก่ียวกับขนบธรรมเนียม
ประเพณีน้ีเป็นเร่ืองของกลุ่มหรือชุมชน วิลสันกล่าวว่า หากความพอใจท่ีได้รับจากคติชนประเภทท่ีใช้
ถ้อยคาเกิดจากการไดย้ นิ ได้ฟังเป็นหลกั และความพอใจท่ีได้รบั จากคตชิ นประเภททีเ่ ป็นวัตถุเกิดจากการ
ได้เห็นได้มองเป็นหลักแล้วความพอใจที่ได้รับจากเรื่องราวที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีทั้งหลายแรก
ที่สุดที่เกิดจากการเข้าไปมีสว่ นร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมนั้น ๆ น่ันเอง การปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมนี้
แท้ท่ีจริงแล้วเป็นเรอ่ื งที่กว้างมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเน้นท่ีเหตุการณ์ ซึ่งเก่ียวกับงานฉลองและ
เทศกาลต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่ิงท่ีผูกพันผู้คนให้ใกล้ชิดกับครอบครัวของเขา เชื้อชาติของเขา ตลอดจนกลุ่ม
ศาสนา กลุ่มอาชีพ และกลุ่มท้องถิ่นที่อาศัยของเขาเองมากย่ิงขึ้น นอกจากนี้ก็ยังเน้นในเรื่องพิธีผ่าน
ภาวะ ซึง่ นาผู้คนผ่านสภาพขัน้ ตอนต่าง ๆ ในชีวติ คือ ขนั้ ตอนการเกดิ ขัน้ ตอนเตบิ โตเป็นผ้ใู หญ่ ข้นั ตอน
แต่งงาน เข้าไปร่วมอยู่ในกลุ่มสังคมใหม่ และข้ันตอนตาย ส่วนอีกเรื่องหน่ึงท่ีสาคัญก็คือกระบวนการ
ทางาน ที่มีวิธีการช่วยให้งานนั้นสนุกสนาน และเสร็จเร็วขึ้น ด้วยการร่วมมือกันทาและมีการเล่นร่ืนเริง
หลังจากเสร็จงานแล้ว

วลิ สันแนะนาวา่ เรือ่ งราวเก่ยี วกบั ขนบธรรมเนยี มประเพณนี ี้เป็นเร่ืองที่เหมาะสมสาหรับผู้ที่
เร่ิมศึกษารวบรวมข้อมูล เน่ืองจากว่าเราจะยังคงมีความทรงจาของเราเองอยู่ จากการท่ีเราเติบโตขึ้นมา
ในขนบธรรมเนียมท่ีเราคุ้นเคย การพยายามทาความเข้าใจความสาคัญของกิจกรรมท่ีเป็นประเพณี
ปรัมปราในชวี ิตของเรานี้จะชว่ ยให้เราคน้ พบความสาคัญในการประพฤติปฏิบัติกิจกรรมท่ีเรารวบรวมมา
จากคนอนื่ ๆ

ในการรวบรวมการปฏิบัติไปตามขนบธรรมเนียมน้ี กล้องถ่ายรูปก็เป็นเครื่องมือท่ีเป็น
ประโยชน์ในด้านการบันทึกขั้นตอนต่าง ๆ เช่น กระบวนการตัดต้นไม้ กระบวนการเก็บถนอมอาหาร
การเล่นต่าง ๆ หรืองานฉลอง แต่ผู้รวบรวมข้อมูลจะต้องใช้ความสังเกตอย่างละเอียดลออและพรรณนา

268 ชวนพศิ อัตเนตร์

บทบาทหรอื การปฏิบัติน้นั ๆ ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องพรรณนาถึงการท่ผี ู้คนทเ่ี กี่ยวข้องในเหตุการณ์
ปฏิบตั ติ อ่ กนั และกนั ด้วย

9.2 การปฏิบัตงิ านสนาม

พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ – ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของ
Field Work (Social Survey) ว่า งานสนาม (การสารวจทางสังคม) หมายถึงกระบวนการเก็บรวบรวม
ข้อมูลเบื้องต้นจากประชากรที่อยู่กระจายท่ัวไปตามภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ในวงวชิ าการทางคติชนวิทยา
และมานุษยวิทยาทั่วไปใช้ท้ังคาว่า Fieldwork และ Field Work ซ่ึงในที่น้ีจะใช้ภาษาไทย ว่าการ
ปฏิบัตงิ านสนาม

การปฏิบัติงานสนาม คือ การค้นคว้าวิจัยเชิงมานุษยวิทยาและชาติพันธ์ุวิทยา ในพื้นที่
ทางด้านชาติพันธ์ุหรือในชุมชน เป็นกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลเบ้ืองต้นจากประชากรที่อยู่กระจาย
ท่ัวไปตามภมู ภิ าคทางภมู ิศาสตร์ ทาใหผ้ ศู้ ึกษาไดส้ ัมผสั กับกระบวนการทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนผู้ที่เริ่ม
ศกึ ษาคตชิ นวทิ ยา หรือผู้ท่สี นใจในสาขาวชิ าน้ี ถึงแมว้ ่าจะไมไ่ ด้ศึกษาค้นควา้ ทางดา้ นคตชิ นวิทยาโดยตรง
ก็ตาม แต่ก็จะพบว่ารายละเอียดของงานสนามจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเข้าใจของพวกเขาท่ีว่า
การแสดงออกของคติชนอย่างมีพลังเคลื่อนไหวนั้นมีขึ้นมาได้อย่างไร ผู้ชมท่ีมีถิ่นที่อยู่อาศัยนอกเขต
เก่าแก่ดั้งเดิมได้รับรู้การแสดงออกอย่างไร ถ้าไม่มีการศึกษาค้นคว้าจากงานสนาม จะไม่มีเน้ือหาสาระ
ทางด้านคติชนวิทยาให้เราอภิปรายกันเช่นนั้นหรือไม่ เนื่องจากในจะตอนแรก ๆ น้ัน การศึกษาคติชน
วทิ ยาเปน็ เพียงการรับรูว้ ่า มสี าขาวชิ าสาหรบั ศึกษาอยู่ และจะศกึ ษาข้อมูลที่ถกู นาข้ึนมาพจิ ารณาเท่าน้ัน
ถึงแม้ว่าข้อมูลคติชนจะอยู่รอบตัวเราอยู่ตลอดเวลาก็ตามแต่ข้อมูลเหล่านี้จะผูกพันเกาะเกี่ยวอยู่กับ
ชีวิตประจาวันของเราจนเราไม่สู้จะมีโอกาสนามันออกมาพิจารณาอย่างเป็นเอกเทศ การค้นคว้า
งานสนามดา้ นคตชิ นวิทยาจะเป็นส่ิงที่มุ่งเจาะจงตรงกิจกรรมทเี่ ป็นการแสดงเฉพาะอยา่ ง ซึง่ สามารถมอง
วา่ เป็นลักษณะของประเพณีปรมั ปราได้

บาร์รี โทลเคน กล่าวว่า การศึกษาค้นคว้าด้านคติชนวิทยาสามารถแบ่งออกเป็นประเภท
ใหญ่ ๆ 3 ประเภท คือรวบรวม (Gathering) เก็บสะสมข้อมูล (Storing) และพิจารณา (Pondering)
หรือถ้าหากจะกลา่ วถึงในลักษณะทเ่ี ป็นสาขาเฉพาะทาง กอ็ าจจะใชค้ าว่า รวบรวม (Collecting) จดั เกบ็
ในหอเอกสาร (Archiving) และวิเคราะห์ (Analysis)

การรวบรวมข้อมูล ซ่ึงเป็นขัน้ ตอนแรกนั้นเกี่ยวข้องกับการปฏบิ ัติงานสนาม ซง่ึ เป็นววี ิธีการ
ท่ีกล่าวกันว่าทาให้ผู้ศึกษาได้เข้าไปสัมผัสกับความเป็นจริงของกระบวนการทางด้านวัฒนธรรมของกลุ่ม
ชนแต่ละกลมุ่

การปฏบิ ัติงานสนาม ประกอบดว้ ยบคุ คลสาคัญ 2 ฝา่ ยดว้ ยกนั คือ

คตชิ นและภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ 269

1. ผ้รู วบรวมขอ้ มลู (Collector) คือ นักคติชนวิทยาหรอื ผู้ท่ีสนใจออกสารวจรวบรวมและ
บนั ทกึ ขอ้ มูลคตชิ น ซึง่ ต่อไปนีจ้ ะเรยี กว่า ผรู้ วบรวม

2. ผู้ให้ข้อมูลหรือวิทยากร (Informant) คือ ผู้ท่ีเป็นเจ้าของข้อมูลคติชนท่ีอาจจะเป็น
ผู้สืบทอดประเพณีปรัมปราด้วย บทบาทของเขาคือเป็นผู้ให้หรือถ่ายทอดข้อมูลแก่ผู้รวบรวม ซึ่งต่อไปนี้
จะเรียกว่าวิทยากร

นอกจากนีย้ ังมีข้ันตอนที่ต่อจากการรวบรวมข้อมูล คอื การจดั เกบ็ เอกสาร (Archiving) ผู้ที่
มีบทบาทสาคัญเก่ียวกบั เร่อื งนี้คือ ผเู้ กบ็ เอกสาร (Archivist) ซงึ่ จะทาหนา้ ที่จดั เกบ็ ข้อมลู ที่ไดม้ า ข้อมลู น้ี
จะเพ่ิมพูนข้ึนมาเร่ือย ๆ และยังมีนักวิชาการ (Scholar) ซึ่งจะทาหน้าท่ีศึกษาข้อมูลเหล่าน้ี ส่วนในการ
วิเคราะห์ข้อมูลน้ัน ก็จะมีท้ังผู้รวบรวม ผู้เก็บเอกสาร และนักวิชาการ ผู้ที่จะทาหน้าที่ร่วมกันในการ
พิจารณาความหมายของขอ้ มลู ตลอดจนบทบาทหนา้ ที่ และความสาคัญของข้อมูลเหลา่ นี้

9.3 ผรู้ วบรวมข้อมลู และวทิ ยากร

ในกระบวนการรวบรวมข้อมูลนี้ ผู้ที่มีบทบาทสาคัญมากท่ีสุดก็คือวิทยากรผู้เป็นผู้สืบทอด
ประเพณีปรัมปราน่ันเอง วิทยากรกับผู้รวบรวมข้อมูลจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในแง่ที่ว่าฝ่าย
หน่ึงเป็นผู้ให้ และอีกฝ่ายหน่ึงเป็นผู้รับผู้รับในฐานะที่เป็นนักคติชนวิทยาควรจะคานึงว่าการออก
ปฏิบัติงานสนามนั้นเป็นเร่ืองท่ีละเอียดอ่อน หากเป็นไปได้ ผู้ให้กับผู้รับควรจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อ
กนั กอ่ นที่แต่ละฝ่ายจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการถ่ายทอดประเพณีปรัมปรานนั้ และเม่อื การถา่ ยทอดเสร็จ
ส้ินไปแล้ว ก็ไม่ใช่จะตัดความสัมพันธ์นั้นไปเลย การติดต่อกับวิทยากรอยู่เป็นประจาจะทาให้วิทยากรจา
ไดว้ า่ เคยถ่ายทอดเรอื่ งราวอะไรให้ และอาจจะมเี ร่ืองอน่ื ๆ ทว่ี ิทยากรหลงลมื ไป หรือนกึ ไมอ่ อกในขณะที่
กาลงั ถา่ ยทอด

ถึงแม้ว่าการติดต่อพบปะกันหลาย ๆ ครั้งจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก็ตาม แต่ก็
เป็นไปได้เหมือนกันว่า การพบปะกันเพียงคร้ังเดียวก็สามารถทาให้ประสบความสาเร็จในการศึกษา
ค้นคว้าได้ เพราะวิทยากรท่ีเป็นผู้สูงอายุมักจะพอใจท่ีมีคนสนใจเร่ืองราวเก่าแก่ของเขาท่ีเขารู้สึกว่ามี
คุณค่า และเต็มใจท่ีจะถ่ายทอดเรื่องราวน้ันอย่างเต็มกาลังความสามารถ ทาให้การบันทึกข้อมูลเป็นไป
อยา่ งไดผ้ ลสมตามความมุ่งหมาย

วิทยากรและกลุ่ม
คนทุกคนจะรู้เรื่องราวของคติชน และเคยได้สัมผัสกับข้อมูลคติชนมาแล้วไม่มากก็น้อย แต่
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นวิทยากรท่ีถ่ายทอดเร่ืองราวได้อย่างดีได้หมด ผู้รวบรวมข้อมูลจะต้อง
พิจารณาวา่ ควรเลือกคนกลุ่มใดเป็นวทิ ยากร หรือต้องรูว้ า่ จะเสาะหาคนทม่ี ีความสามารถในการถ่ายทอด
หรอื มคี วามค้นุ เคยกบั ข้อมลู คติชนประเภทท่ีต้องการได้ที่ไหน

270 ชวนพศิ อตั เนตร์

คาร์ล ลินดาหล์ (Carl Lindahl) เจ. แซนฟอร์ด ไรคูน (J. Sanford Rikoon) และอิเลน เจ.
ลอว์เลส (Elaine J. Lawless) ได้ร่วมมือกันจัดทาเอกสารประกอบการเรียนคือ A Basic Guide to
Fieldwark for Beginning Folklore Students และกลา่ วถงึ เร่อื งวิทยากรและกลุม่ ไว้ โดยใหค้ าแนะนา
ดังน้ี

1. พยายามเลอื กวิทยากรที่เราร้สู กึ ว่าเปน็ กนั เองกับเขา และเขาเป็นกันเองกับเราให้คานึง
อยตู่ ลอดเวลาวา่ โครงการของเราจะมีคุณค่าเพียงใดนั้นข้นึ อยู่กบั วา่ เราสามารถท่จี ะทาให้วิทยากรเต็มใจ
และพร้อมที่จะถ่ายทอดข้อมูลได้หรือไม่ ถ้าเรารู้สึกว่าการสัมภาษณ์คนที่อายุมากกว่าเรามากหรือน้อย
กว่าเรามากจะทาให้เราเกิดความไม่สบายใจ หรือไม่ต้องการพูดคุยกับผู้คนท่ีมีภูมิหลังต่างจากเรามาก
เพราะเกรงว่าจะส่ือสารกันลาบากเราก็สามารถเลือกกลุ่มใหม่ได้ แต่ท้ังนี้เราจะต้องประเมินตัวเองตาม
ความเปน็ จริงดว้ ยวา่ เราสามารถเข้ากับคนอน่ื ๆ ไดห้ รอื ไม่และไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใดด้วย

2. ควรระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าการปฏิบัติงานสนามไม่ใช่การรายงานในด้านวิชาการ
อย่างเดยี ว แตเ่ ปน็ การฝกึ ตนเองให้มีมนุษยส์ ัมพนั ธด์ ้วย เราจะตอ้ งนับถือวทิ ยากร และปฏบิ ัติตอ่ วิทยากร
อยา่ งดอี ยา่ ดถู กู ดหู มนิ่ วทิ ยากรว่าดอ้ ยความรู้ หรือถา่ ยทอดข้อมูลมาท้ัง ๆ ท่ีไม่รู้จักข้อมลู นน้ั อย่างแท้จริง
เราจะต้องเคารพในถ้อยคาของวิทยากร เช่น การเก็บเพลงพ้ืนบ้าน สักเพลงหน่ึง หรือสักแบบหนึ่ ง
จะต้องถ่ายทอดคาร้องเพลงนั้นออกมา อย่าเขียนใหม่โดยขัดเกลาถ้อยคาให้ดีขึ้น แล้วทึกทักว่าวิทยากร
ไมร่ จู้ ักเพลงชนิดนน้ั

จุดมุ่งหมายประเภทหน่ึงของการเก็บรวบรวมข้อมูลคติชน ก็คือ ต้องการให้ผู้รวบรวม
ข้อมูลได้มีโอกาสทาความคุ้นเคยกับบุคคลอื่น ๆ เพื่อที่จะได้ตระหนักว่าบุคคลอ่ืน ๆ นั้น แตกต่างกับเรา
ในเร่ืองของประเพณี วัฒนธรรม และอารยธรรมเท่านั้น แต่ทุกคนจะมีค่าของความเป็นคนเท่ากันซึ่งนัก
คติชนวิทยาท่ีดีจะต้องรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ และต้องมีความเข้าใจกับความ
เคารพนับถือในตัวบุคคลอ่ืน ๆ และกลุ่มอ่ืน ๆ ด้วยซ่ึงแม้แต่การเก็บข้อมูลจากสมาชิกในครอบครัว
เดียวกนั ก็ตอ้ งยดึ หลักเดยี วกนั

3. ควรตระหนักว่า ถึงแม้ว่าเราจะสามารถเก็บข้อมูลคติชนจากใครก็ได้ก็ตาม แต่
การศึกษากลุ่มชน หรือปัจเจกบุคคลที่มีภูมิหลังแตกต่างจากเรามากนั้นก็เป็นเรื่องสาคัญอยู่ไม่น้อย หรือ
ถา้ หากเรารจู้ ักภมู หิ ลัง และวัฒนธรรมของเขาน้อยเกินไป เรากอ็ าจจะวเิ คราะหห์ รือตีความข้อมลู ออกมา
ผิดพลาดได้ ดังนั้นในการศึกษากลุ่มชนที่เราไม่คุ้นเคย จึงควรที่จะศึกษาภูมิหลังของเขาอย่างละเอียดถี่
ถ้วนก่อนท่ีจะทาการรวบรวมข้อมูล การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนท่ีจะปฏิบัติงานจะทาให้เราสามารถ
คน้ พบสงิ่ ทเี่ ป็น “คติชนท่แี ท้จรงิ ” ในภาวะแวดลอ้ มทางวฒั นธรรมของกลุม่ ทเ่ี ราเข้าไปศึกษา

4. เราสามารถท่ีจะรวบรวม “ข้อมูลจากอดีต” หรือ “คติชนในอดีต” ได้ เช่น “ชีวิต
ชาวประมงของคุณปู่” แต่เราต้องตระหนักอยู่อย่างหนึ่งว่า เราจะไม่สามารถมองเห็นคติชนในภาวะ
แวดล้อม ดังที่นักคติชนวิทยาปฏิบัติกันอยู่ ดังนั้นในการรวบรวมข้อมูลจากอดีตจึงควรยึดมั่นอยู่กับ

คตชิ นและภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ 271

ตัววิทยากร และการค้นคว้าในห้องสมุด จึงจะวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างดีและถูกต้อง แต่ก็ไม่จาเป็นว่าเรา
จะต้องหันกลับไปสู่อดีตเสมอไป เพราะข้อมูลคติชนในปัจจุบันที่เราได้พบเห็นและ “มีชีวิต” อยู่น้ันเป็น
สิ่งท่ีเสาะหาได้ง่ายกว่า ทั้งเรายังสามารถยึดถือในส่ิงที่เรามองเห็นได้ นอกจากนี้ การศึกษาสิ่งท่ีเรา
มองเห็น และรับรู้จะง่ายกว่าการศึกษาสิ่งท่ีมีคนเล่าให้ฟังอย่างแน่นอน ควรระลึกอยู่เสมอว่า ถ้าเริ่ม
ปฏิบัติโครงการกับกลุ่มที่เรารู้จัก เราจะมีโอกาสได้ข้อมูลคติชนที่อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นธรรมชาติมาก
ทส่ี ุด

ลินดาห์ล ไรคูน และลอว์เลส กล่าวว่ากลุ่มต่าง ๆ ที่เราจะศึกษาข้อมูลคติชนได้น้ันมี
หลายกลุม่ เริม่ จากกล่มุ เล็กไปหากลุ่มใหญ่ ดงั นี้

1. กล่มุ ครอบครัวของเราเอง (Your Family) ไม่มกี ลุ่มชนใดเลยในโลกนท้ี ีจ่ ะไมม่ ีเร่ืองราว
ของตนเอง ดังนั้นวิธีที่ดีท่ีสุดวิธีหน่ึงก็คือ การศึกษาข้อมูล และทาความเข้าใจในความเคลื่อนไหวของ
ข้อมูลคติชนภายในกลุ่มท่ีเราใช้ชวี ติ อยู่ต้ังแต่เกิดมาเลยทีเดยี ว ถ้าเรารวบรวมข้อมูลจากคนในครอบครวั
ของเราเอง เราจะได้ความรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ซ่ึงจะเป็นประโยชน์มาก และความรู้นี้จะช่วยให้เรา
ตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้อง สามารถใช้ประสบการณ์โดยตรงมาสร้างภาวะแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ
และทราบบทบาทหนา้ ที่ของขอ้ มูลนั้นได้

ข้อมูลคติชนบางประเภทจะเป็นข้อมูลเฉพาะด้าน เช่น เหตุการณ์ในตอนสงครามที่
ปู่ ตา พ่อ หรือพ่ีชายของเราได้ประสบมา ตานานของสถานที่ท่ีครอบครัวของเราเคยอาศัยอยู่หรือที่
โยกย้ายมา เป็นต้น ซึ่งการศึกษาแบบนี้จะทาให้เราได้เรียนรู้ถึงการถ่ายทอดของข้อมูลด้วย เช่น
การศึกษาเร่ืองเล่าของคนรุ่นปู่ กับเรื่องเล่าเรื่องเดียวกันของคนรุ่นหลาน การรวบรวมเรื่องราวของคน
แต่ละรุ่นมาเปรียบเทียบกันจะทาให้เราทราบว่า เรื่องใดมีคนจดจาได้มากที่สุด เรื่องใดเป็นเรื่องสาคัญ
ท่ีสุดต่อคนในครอบครัวทุกคน เรื่องที่คนรุ่นเก่าจาได้แต่คนรุ่นใหม่จาไม่ได้หรือไม่รู้จัก คือ เรื่องท่ีลด
ความสาคัญไปตามกาลเวลา

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลคติชนที่เราเคยได้รู้เห็นในตอนท่ียังเป็นเด็ก เมื่อใช้ชีวิตอยู่ใน
ครอบครวั เชน่ การเล่นแข่งขันทายปริศนา การเลน่ กระโดดเชือก ต้องเต การเล่นแบบตา่ ง ๆ ทง้ั ในที่ร่ม
และกลางแจ้ง ซึ่งในตอนท่ีเราเริ่มรวบรวมข้อมูลนี้หากเรามีญาติพี่น้องท่ีเป็นเด็กและปฏบิ ัติสิ่งเหลา่ น้อี ยู่
เราจะเก็บข้อมูลจากกลุ่มเด็กเหล่าน้ี ซึ่งเรารู้จักเป็นอย่างดีได้ และเก็บได้ในสถานการณ์ที่เป็นธรรมชาติ
ด้วย

ข้อมูลคติชนท่ีน่าศึกษาค้นคว้าอีกประเภทหนึ่งก็คือ การฉลองในเทศกาลหรือวันงาน
ตา่ ง ๆ เช่น วนั ข้นึ ปีใหม่ วันสาคัญทางศาสนา งานวนั เกดิ งานแตง่ งาน งานศพ การดาเนนิ ชีวติ ของคนใน
ครอบครัวที่มีลักษณะเฉพาะ ความเช่ือบางอย่างของคนในครอบครัว ตลอดจนการปฏิบัติตัวบางอย่างท่ี
แตกต่างไปจากบคุ คลอื่น เปน็ ต้น

272 ชวนพศิ อตั เนตร์

2. กลุ่มเชอ้ื ชาติ (National or Ethnic Groups) กลมุ่ เชือ้ ชาตหิ รือกลุ่มชนชาติน้ีคือกลุ่มที่
รวมตัวกันได้ด้วยลักษณะร่วมทางวัฒนธรรม และสามารถพบได้ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือชนบท
เช่น กลุ่มคนจีน คนอินเดีย ท่ีอยู่ในแถบย่านการค้าบางแห่ง กลุ่มชาวอิสลาม กลุ่มชาวเขา ฯลฯ กลุ่มชน
เหล่านี้มกั จะแตกตา่ งจากกลุ่มชนกลุ่มใหญ่ๆ ในดา้ นต่าง ๆ เช่น ดา้ นภาษา ดา้ นศาสนา คา้ นการแตง่ กาย
ด้านอาหารการกิน และประเพณีบางอย่าง วิธีการศึกษาอาจจะเป็นการเปรียบเทียบคนในกลุ่มกับคน
นอกกลมุ่ กไ็ ด้

3. กลุ่มสงั คม (Social Group) กลุ่มสงั คมนี้คอื กลมุ่ ชนเลก็ ๆ ทม่ี กั จะมีเรือ่ งราวของตนเอง
และเราอาจจะเข้าไปร่วมอยู่ในกลุ่มนี้ กลุ่มเหล่าน้ีไม่ควรจะเรียกว่ากลุ่มพื้นบ้านเพราะผู้คนในกลุ่มมี
ลักษณะ และความเป็นมาหลากหลาย เช่น กลุ่มคนเล่นไพ่ด้วยกัน กลุ่มแม่บ้านท่ีช่วยกันทากิจกรรม
บางอย่าง กลุ่มผู้บาเพ็ญประโยชน์ ฯลฯ ซึ่งในการศึกษาข้อมูลคติชนของคนเหล่าน้ี เราควรจะคานึงถึง
ข้อเทจ็ จริงท่ีว่า สาหรบั สงั คมเมืองหรือในชุมชนใหญ่ ๆ นั้น คนในกลุม่ สังคมจะมาจากที่ต่าง ๆ กันและมี
ภูมิหลังแตกต่างกันมาก ดังน้ันระเบียบประเพณีของพวกเขาก็จะแตกต่างกันไปอย่างหลากหลาย
เช่นเดียวกัน ซึ่งเราสามารถนาระเบียบประเพณีเหล่าน้ีมาเปรียบเทียบกันให้เห็นความคล้ายคลึงและ
ความแตกต่างกันได้ และเมื่อเราเข้าไปทาความคุ้นเคยกับกลุ่มสังคมเหล่านี้ ก็ควรจะพยายามค้นคว้า
ระเบียบประเพณีในแง่ความกวา้ งและความลึก เพ่อื ประโยชน์การศึกษาตอ่ ไป

4. กลุ่มอาชีพ (Occupational Group) กลุ่มอาชีพนี้เกิดจากการท่ีคนมาทางานร่วมกัน
และทาให้เกิดเป็นกลุ่มขึ้นมา ซึ่งก็ไม่จาเป็นจะต้องเป็นกลุ่มพ้ืนบ้าน แต่กลุ่มเหล่าน้ีก็จะมีเร่ืองราวของ
ตนเอง เช่น กลุ่มชาวไร่กลุ่มเล็ก ๆ จะมีเรื่องเก่ียวกับการทานายสภาพดินฟ้าอากาศ การปลูกพืชและ
เกยี่ วกบั ความเช่ือเก่ียวกบั ทุกส่ิงทุกอย่างทเ่ี ก่ยี วข้องกบั อาชพี ของเขา กลุม่ คนทมี่ ีอาชพี เสย่ี งอนั ตรายก็จะ
มีความเชื่อในการปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเพื่อความสบายใจ หรือความเช่ือในข้อห้ามและการละเมิดข้อ
ห้ามน้ัน ๆ เช่น กลุ่มชาวประมงก็จะมีความเชื่อในเร่ืองแม่ย่านางเรือ การออกเรือการจับปลา หรือการ
พยากรณ์ดินฟ้าอากาศก่อนท่ีจะออกไปประกอบอาชีพ ความเช่ือในปรากฏการณ์บางอย่างเช่น ฟ้าแดง
จะมีพายุ หรือฟา้ แดงปลาทูจะชมุ ซึง่ แต่ละกล่มุ จะมีแตกต่างกนั ไป

5. กลุ่มรอง (Secondary Group) ตามปกติแล้วในการศึกษาวิชาคติชนวิทยา ผู้ศึกษาจะ
เข้าใจว่าข้อมูลคติชนน้ันมีอยู่มากมายในกลุ่มเบื้องต้น (Primary Group) ซ่ึงตรงข้ามกับกลุ่มรอง หรือ
เหมอื นกบั ท่ีคนไทยเราใชว้ ่าข้อมลู ปฐมภูมิ และข้อมูลทตุ ยิ ภมู ินัน่ เอง แต่เราควรยอมรบั ความจริงประการ
หนึ่งที่ว่า กลุ่มที่มีเรื่องราวหรือข้อมูลของตนนั้นไม่จาเป็นจะต้องเป็นกลุ่มพื้นบ้านก็ได้ มีกลุ่มชนมากมาย
หลายกลมุ่ ที่เราไม่อาจจะกาหนดได้วา่ เปน็ กลมุ่ เบ้อื งตน้ หรอื กลุ่มรองอย่างแน่นอน แตผ่ ูค้ นในกลุ่มนั้นก็มี
เรอื่ งราวและประเพณีมากมาย

กลุ่มที่เราพิจารณาได้ว่าเป็นกลุ่มรองก็คือ กลุ่มทหารในกองทัพ กลุ่มนักกีฬาท่ีถูกเก็บ
ตัวในระหว่างการฝึก เพราะคนเหล่าน้ีมีระเบียบแบนแผนท่ีเป็นทางการ และมีความรู้ความชานาญใน

คติชนและภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ 273

สาขาใดสาขาหนึง่ เปน็ พิเศษ นอกจากน้ียังมีขอ้ บังคับที่เข้มงวดของสงั คมควบคมุ อยอู่ ีกดว้ ย อยา่ งไรก็ตาม
สมาชิกในกลุ่มเหล่าน้ีก็ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์เบ้ืองต้นท่ีใกล้ชิดในระหว่างพวกเขาเองข้ึนมาได้
และเมอ่ื ความสมั พนั ธน์ ้เี กดิ ขนึ้ ที่ใดกต็ าม ขอ้ มลู คตชิ นกจ็ ะเกดิ ตามมา เพราะเขาเหลา่ นจ้ี ะมเี ร่ืองเล่าเรื่อง
พูดคุยกันที่เป็นข้อมูลคติชนได้ เช่น “การเล่าตานานเรื่องมนุษย์ต่างดาวในกองทัพ” หรือ “การเล่ามุข
ตลกในห้องเกบ็ ขา้ วของส่วนตวั ” เป็นต้น

6. กลุ่มที่ไม่มีตัวตน (Invisible Group) คือเร่ืองราวท่ีเป็นข้อมูลคติชนท่ีเราไม่ทราบที่มา
เช่น ภาพวาดหรือข้อเขียนบนกาแพง ทางเท้า ผนังห้องน้า ฯลฯ มุขตลกท่ีถ่ายเอกสารแจกกันอ่านใน
สานักงาน จดหมายลูกโซ่ สมุดเขียนกลอนหรือคาอวยพร คาว่าไม่ทราบที่มาก็คือเราไม่ทราบว่าบุคคลที่
นาเรื่องราวเหล่าน้ีมาเป็นใคร นอกจากนี้ก็ยังมีข้อมูลด้านวัฒนธรรมวัตถุ เช่น โรงนา ยังข้าว ฯลฯ ซึ่งใน
การศึกษาน้ัน เราศึกษาตัววัตถุหรือส่ิงก่อสร้างโดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่เราก็สามารถรวบรวม
ข้อมูลโดยเน้นที่วัตถุมากกว่าจะเน้นที่ตัวบุคคล เช่น การรวบรวมข้อความที่เขียนไว้ที่ผนังห้องน้าในตึก
ตา่ ง ๆ ในมหาวทิ ยาลยั แลว้ นามาเปรยี บเทยี บกันกไ็ ด้

9.4 ประเภทของข้อมลู

ข้อมูลคติชนมีอยู่มากมายหลายประเภทท่ีเราสามารถเก็บรวบรวมมาศึกษาได้ แต่ใน
ขณะเดียวกนั เราจะต้องตระหนักว่าคติชนวิทยาเป็นสาขาวิชาทีม่ ีเนื้อหากว้างและหลากหลายมาก ขอ้ มูล
แต่ละเร่ืองน่าสนใจศึกษาท้ังสิ้น เราอาจจะสนใจในเร่ืองขาขันหรือมุขตลก ดนตรี การเล่น การทอผ้า ยา
กลางบ้าน เร่ืองผี การประกอบอาหาร ฯลฯ แต่เร่ืองท่ีควรเลือกควรจะเป็นเรือ่ งท่ีกระทบใจเรามากท่สี ุด
เราสนใจมากทีส่ ุด

ผู้ทีค่ ดิ วา่ คติชนคือส่ิงทป่ี ระกอบด้วยประเพณีแปลก ๆ หรอื พฤติกรรมแบบแปลกประหลาด
ของคนสมัยโบราณนั้นควรเข้าใจว่าตามความเปน็ จริงแล้ว คติชนไม่ได้จากัดขอบเขตอยู่กับสิ่งเหลา่ นีเ้ ลย
แต่เราจะสามารถพบเห็นข้อมูลคตชิ นได้ในชวี ิตประจาวนั ของเรานนั่ เอง เชน่ เวลาทเ่ี ราเลา่ เรื่องขาขันสัก
เร่ืองหน่ึงให้เพ่ือน ๆ ฟัง หรือทายปริศนาสักบทหน่ึง หรือช่วยมารดา ญาติพี่น้อง ดองผักผลไม้ หรือเล่า
เร่ืองมนุษย์ต่างดาว เรื่องผี ให้คนอื่นฟัง แสดงว่าเราได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และถ่ายทอดข้อมูล
คตชิ นแล้ว

ข้อมูลคติชนที่จะนามาศึกษาได้ มตี วั อยา่ งดงั ต่อไปนี้
1. เรอื่ งเล่า เชน่ มุขตลก นทิ านแบบต่าง ๆ ตานาน
2. คตชิ นแบบทีใ่ ชถ้ ้อยคา เชน่ สภุ าษติ ปริศนา คาพังเพย คากล่าว
3. เพลง เช่น ลาตัด หมอลา เพลงกลอ่ มเดก็ เพลงพ้นื บ้าน
4. เครือ่ งดนตรี เชน่ แคน ซงึ สะล้อ
5. การฟ้อนราแบบพ้นื บ้าน

274 ชวนพศิ อัตเนตร์

6. การแสดงพืน้ บ้าน
7. การเลน่

8. วฒั นธรรมวัตถุ เชน่ หตั ถกรรม สถาปตั ยกรรม อาหาร
9. ความเช่ือ การรักษาโรค เวทมนตรค์ าถา ไสยศาสตร์
10. ประเพณีตา่ ง ๆ ในชีวติ ประจาวนั เรือ่ งเกี่ยวกับวงจรของชวี ิต
ฯลฯ

9.5 การเลือกเรือ่ ง

ในการเลือกเร่ืองท่ีจะศึกษา และรวบรวมข้อมูลน้ัน มีสิ่งท่ีควรจะคานึงถึงอยู่สองประการ
ประการแรกก็คือ การเก็บข้อมูลน้ันคือ การเก็บจากตัวบุคคลโดยไม่ยึดหนังสือท่ีตีพิมพ์อยู่แล้วเป็นหลัก
ข้อมูลแบบท่ีเรียกว่าปฐมภูมิจะต้องมาจากสถานการณ์ งานสนาม ไม่ใช่จากหนังสือในห้องสมุด ดังน้ัน
ผู้รวบรวมข้อมูลจึงควรเลือกศึกษาเรื่องให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ของตนเองด้วย เช่น ต้องการศึกษา
ความเชอ่ื ของชาวประมง แต่ในขณะทศี่ กึ ษานัน้ เราไม่ได้อยู่แถบชายทะเลและไมส่ ามารถทีจ่ ะหาวทิ ยากร
จากครอบครัวชาวประมงไดเ้ ลย ถ้าเป็นเชน่ นก้ี ค็ วรจะเปลีย่ นเรอื่ ง

ประการทสี่ องก็คือ ให้คานึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เม่ือรวบรวมข้อมูลมาไดแ้ ล้วจะต้องนาข้อมูล
น้ันมาวิเคราะห์ ดว้ ยเหตุนจ้ี ึงต้องเลือกเร่ืองทสี่ ามารถวิเคราะห์ได้ และไมร่ วบรวมข้อมูลที่กว้างจนเกินไป
การรวบรวมข้อมูลอย่างกวา้ งๆน้ัน เปน็ วิธีการรวบรวมทง่ี ่าย แตว่ เิ คราะหไ์ ด้ยากตวั อยา่ ง เช่น เราอาจจะ
กาหนดความเช่ือขึ้นมาสักสองสามประเภท แล้วใช้วิธีเดนิ ถามเพ่ือนนักศึกษาในมหาวิทยาลยั หรือผ้คู นท่ี
สัญจรไปมาว่าพวกเขามีความคิดเห็นอย่างไรเก่ียวกับความเช่ือแบบนี้ เม่ือเราได้ข้อมูลมาแล้วเราจะ
วเิ คราะหอ์ ะไรไม่ได้เลย เพราะเราไม่ได้ศึกษาข้อมูลความเชื่อในภาวะแวดล้อมตามธรรมชาติของมันและ
ไม่ได้ศึกษาบทบาทหน้าท่ีของข้อมูลในชีวิตของวิทยากรของเราด้วย นอกจากน้ีแล้วเรายังไม่ทราบว่า
วิทยากรได้ปฏิบัติความเชื่อเหล่าน้ันหรือไม่ เรามีเพียงรายการความเชื่ออยู่ในมือและไม่สามารถเรียนรู้
อะไรทเ่ี ก่ียวกบั การปฏบิ ัติงานสนามได้เลย

ถ้าหากเราเลือกหัวข้อเร่ืองท่ีไม่กว้างจนเกินไปและ จากัดจานวนวิทยากรที่ตั้งใจจะ
สัมภาษณ์ เราจะรวบรวมข้อมูลงานสนามได้ดีขึ้น หัวข้อเร่ืองบางเร่ืองกว้างและมีเนื้อหาสาระมากมาย
เช่น ความเช่ือพ้ืนบา้ นเป็นเร่ืองที่ครอบคลุมกิจกรรมของมนุษย์อย่างกว้างขวาง และสามารถแบ่งออกได้
เป็นประเภทต่าง ๆ อย่างหลากหลาย เชน่ ความเช่อื เก่ยี วกบั การเกิดความเชื่อเก่ียวกับรา่ งกายมนุษย์ ยา
กลางบ้าน การเกี้ยวพาราสี และการแต่งงาน ความตาย เวทมนตร์ คาถา ไสยศาสตร์ ดินฟ้าอากาศ พืช
สัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น เราอาจจะเลือกหัวข้อให้แคบลงคือ ตัดสินใจศึกษาความเชื่อเพียงเรื่องเดียว
เพื่อท่ีจะให้การศึกษาของเรามีจุดยืนน่าสนใจ และนามาวิเคราะห์ได้ดีกว่า สมมติว่าเราเลือกหัวข้อเรื่อง

คติชนและภูมิปญั ญาท้องถ่ิน 275

ความเช่ือเรื่องดินฟ้าอากาศและเริ่มมองหาบุคคลท่ีจะมาเป็นวิทยากรให้เราแล้วก็ให้คิดถึงคาถามต่าง ๆ
คิดถึงการเปรียบเทียบ และสมมติฐานท่ีน่าสนใจท่ีเราจะนามาใช้ในการค้นควา้ ของเรา ตัวอย่างคาถามก็
คือ ผู้คนประเภทใดที่รู้เรื่องความเชอื่ เก่ียวกับดินฟ้าอากาศ ผู้คนประเภทใดท่ีน่าจะเชอ่ื ในสัญญาณ หรือ
ปรากฏการณ์ของดินฟ้าอากาศและใช้ส่ิงเหล่านี้เป็นประโยชน์ในการพยากรณ์ดินฟ้าอากาศได้ เมื่อเรา
เรมิ่ ต้งั คาถามเหลา่ นี้ เราจะคน้ พบจากการอา่ นหนังสือของเราวา่ มีนกั วชิ าการหลายคนเสนอความคิดเห็น
ในเรื่องความเชื่อว่ามนุษย์เราจะมีความเชื่อมากท่ีสุดเมื่อเขารู้สึกว่า เกิดความไม่มั่นคงในการดารงชีวิต
หรือมีบางสิ่งบางอย่างคุกคามในความพยายามท่ีจะดารงชีวิตอยู่ หรือมนุษย์เราจะเกิดความเชื่อขึ้นมา
เม่ือเขามีความมุ่งหมายที่จะไปให้ถึงจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เขาไม่อาจไปถึงจุดประสงค์น้ันได้
ในการพิจารณาบคุ คลทจ่ี ะเป็นวิทยากรใหเ้ รานน้ั เราอาจจะต้องคานงึ ถึงบทบาทหรือความจาเปน็ ในเร่ือง
ที่เก่ียวกับความเชื่อเร่ืองดินฟ้าอากาศด้วย เช่น ชาวนาน่าจะมีความเช่ือเร่ืองน้ีมากกว่าชาวเมือง เพราะ
อาชพี และเศรษฐกจิ ของชาวนาย่อมขึน้ อยู่กับดินฟ้าอากาศมากกว่าชาวเมอื ง ซ่งึ ในตอนน้กี ็เท่ากบั วา่ เรามี
สมมติฐานแล้ว จากนีเ้ รากเ็ ริ่ม จากดั ตัวบคุ คลและเตรียมทาโครงการต่อไปโดยพยายามให้โครงการของ
เราเป็นไปในทางทจี่ ะวเิ คราะหไ์ ด้และสรปุ เร่อื งไดด้ ้วย

หัวขอ้ เรือ่ งท่ีจะศึกษา ควรจากัด ดงั นี้
1. การคน้ คว้าหวั ขอ้ เฉพาะเพียงเรอ่ื งเดียวเช่นปริศนาสถาปัตยกรรมพน้ื บ้านตานาน ฯลฯ
2. ถ้าเป็นการรวบรวมข้อมูลหลายชนิดจากวิทยากรคนเดียวก็เป็นไปได้ว่าเราจะได้คติชน
หลาย ๆ แบบไว้ด้วยกันอาจจะศึกษาโดยการเน้นบทบาทหน้าที่ของคติชนในชีวิตของบุคคลน้ันเพียงคน
เดยี ว
3. การศึกษากลุ่มชนกลุ่มเดียวในท้องถ่ินในท้องถิ่นหน่ึงสามารถรวมคติชนหลาย ๆ
ประเภทเขา้ ไว้ด้วยกนั ได้

9.6 ยทุ ธวิธีการเขา้ สู่งานสนาม

ความเป็นจริงอย่างหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือ คนส่วนใหญ่ในสังคม รวมท้ังตัววิทยากร
ไม่ได้จงใจท่ีจะ “ปฏิบัติ” คติชนให้ผู้อ่ืนรู้เห็น โดยเฉพาะอย่างย่ิง เมื่อมีคนแปลกหน้ามาขอให้เขาปฏิบตั ิ
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ซึ่งผู้รวบรวมข้อมูลจะต้องนึกถึงเร่ืองน้ีให้มาก วิธีการท่ีจะเข้าถึงตัว
วิทยากรและบันทึกข้อมูลให้ได้ผลก็คือ การสารวจเสียก่อนว่าวิทยากรคนไหนบ้างที่ควรจะมีข้อมูลของ
ประเพณีปรัมปราที่เราต้องการ จากนั้นก็ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับวิทยากรพัฒนาไปในทาง
ทีด่ ี จนกระทั่งแนใ่ จว่าต่างฝ่ายตา่ งมคี วามพร้อมในการที่จะเข้าไปมีสว่ นในการถา่ ยทอดประเพณีปรัมปรา
ด้วยกัน ผู้รวบรวมข้อมูลต้องคานึงอยู่เสมอว่า การท่ีจะไปเก็บข้อมูลไม่ว่าจะเป็นข้อมูลประเภทใดก็ตาม
จะต้องมีวิธีการไม่ใช่ว่าจู่ ๆ ก็เดินเข้าไปหาวิทยากรโดยมือหิวไมโครโฟนกับเครื่องบันทึกเสียง แล้ว

276 ชวนพศิ อัตเนตร์

แนะนาว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหน มาเพื่ออะไรและต้องการอะไรจากวิทยากร เพราะวิทยากรจะไม่
เข้าใจว่าเรากาลังทาอะไรอยูจ่ งึ ไม่ต้องการใหค้ วามรว่ มมือ

วิธีการท่ีถูกต้องกว่าก็คือ ผู้รวบรวมข้อมูลควรจะสืบถามเกี่ยวกับชุมชนที่ต้องการจะเข้าไป
เกบ็ ขอ้ มูล วา่ มีตัวบคุ คลท่ีมีคุณสมบตั ิเข้าข่ายทตี่ ้องการหรือไม่ เชน่ นักขบั เพลงเกา่ แก่ ช่างทอผ้าโบราณ
นักเล่านิทาน ฯลฯ การสืบถามน้ันก็ควรใช้คาพูดง่ายๆที่อธิบายลักษณะหรือธรรมชาติของข้อมูลที่เรา
ต้องการ โดยไม่ใช้ศัพท์เฉพาะที่เข้าใจยาก อาจใช้วิธีสอบถามบุคคลที่ทางานด้านปกครองอยู่ในท้องถ่ิน
นนั้ ๆ เช่น กานัน ผใู้ หญบ่ า้ น เจา้ หน้าที่ของทางราชการ เปน็ ต้น

ส่ิงท่ีสาคัญมากอย่างหน่ึงก็คือ การแนะนาตัวอย่างมิตร และความเป็นมิตร เม่ือผู้รวบรวม
ข้อมูลได้รับเชิญให้เข้าไปในบ้านของใครสักคนหน่ึงแล้ว จะต้องสารวมกิริยาวาจาให้ดี มีท่าทางสุขุม
ไม่หลุกหลิก ไม่ก้าวร้าว ไม่แสดงว่าตนเองเหนือกว่าผู้รวบรวมข้อมูล จะต้องทาตัวให้กลมกลืนกับคนใน
บ้านมากที่สุด เพื่อสร้างบรรยากาศให้เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบันทึกข้อมูลในภาวะ
แวดล้อม ซ่ึงการแสดงของคติชนประเภทน้ีควรจะเป็นไปตามแบบแผนประเพณีดั้งเดิมอันจะทาให้
ผู้รวบรวมขอ้ มูลไดป้ ระโยชนจ์ ากการบันทึกขอ้ มลู มากที่สุด

ผู้รวบรวมข้อมูลควรเข้าใจว่า การบันทึกข้อมูลจะต้องเป็นไปตามธรรมชาติของวิทยากร
ไมใ่ ช่เปน็ ไปตามความพอใจของตนเองตัวอยา่ ง เช่น ในการบันทกึ เพลงพนื้ บา้ นจากหญงิ ชราทเี่ คยเป็นแม่
เพลงในอดีต สิ่งที่จะทาไม่ได้เลยคือการท่ีผู้รวบรวมข้อมูลพาเพ่ือนๆท่ีถือเครื่องดนตรีไปด้วย เข้าไปหา
วิทยากรและบอกให้วิทยากรขับเพลงเข้ากับเคร่ืองดนตรีหรือขับเพลงตามความต้องการของผู้ร วบรวม
ข้อมลู เอง

โทลเคนเลา่ ถึงประสบการณ์ในการปฏบิ ัติงานสนามของเขาว่า เขาจะไปเยี่ยมคนทเ่ี ขาคิดว่า
พอที่จะเป็นวิทยากรให้เขาได้หลาย ๆ ครั้ง เพ่ือให้เกิดความคุ้นเคยกันก่อนที่จะนาเครื่องบันทึกเสียงไป
ถา้ หากเป็นไปได้ควรจะมีผู้ที่สนิทสนมกับวิทยากรเปน็ ผู้แนะนาให้รจู้ ักกันในการพบปะกันครั้งแรก อกี วิธี
หนึ่งคือการเข้าไปสังเกตการณ์ในงานของชุมชนขณะที่มีผู้แสดงหรือปฏิบัติคติชนอยู่แล้ว เขาก็จะเข้าไป
ไต่ถามและติดต่อขอร้องว่า ต้องการที่จะแวะมาหาผู้ที่สามารถท่ีจะเป็นวิทยากรเพื่อฟังเพลง หรือฟัง
นิทาน ซึ่งเท่ากับเป็นการติดต่อกันคร้ังแรก ขั้นต่อไปก็คือการทาให้วิทยากรยอมรับว่า ผู้รวบรวมข้อมูล
สามารถท่ีจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดง และการถ่ายทอดประเพณีปรัมปรานี้ ซ่ึงบางคร้ังการ
พบปะกันครงั้ เดยี วก็เพยี งพอ ถ้าหากวทิ ยากรพอใจและรู้สกึ ว่าขอ้ มูลของเขามีคา่ ต่อผรู้ วบรวมขอ้ มลู

เมื่อวิทยากรยินดีท่ีจะถ่ายทอดข้อมูลแล้ว ข้ันต่อไปก็คือ การขออนุญาตนาเครื่อง
บันทึกเสยี งหรือกล้องถ่ายรปู มาในการพบปะคร้งั ต่อไป ซง่ึ กอ็ าจจะมีการกาหนดสถานท่สี าหรับถ่ายทอด
ขอ้ มลู เตรยี มไวก้ ไ็ ด้

ในการบันทึกข้อมูลน้ัน ผู้รวบรวมข้อมูลจะต้องมีความคุ้นเคยกับวิทยากรมากพอสมควร
และคุ้นเคยกับภาวะแวดล้อม นอกจากนี้ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับภาวะแวดล้อมท่ีจะเกิดตามมาด้วยเช่น

คตชิ นและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่ิน 277

การสัมภาษณว์ ิทยากรชายในบ้านของเขาภรรยาของเขาอาจจะออกมาต้อนรับแขก ทาใหภ้ าวะแวดล้อม
เปล่ียนไป มีการสนทนาที่จะทาให้ข้อมูลที่ได้มาผิดวตั ถุประสงค์ไปได้ วิธีแก้ไขก็คือ ผู้รวบรวมข้อมูลชวน
เพอ่ื นผูห้ ญิงไปดว้ ย และพยายามดึงภรรยาของวทิ ยากรเข้าไปในภาวะแวดล้อมอีกภาวะหน่งึ และอาจจะ
มกี ารถา่ ยทอดข้อมลู คติชนของวิทยากรทีเ่ ป็นผู้หญงิ เช่น การเย็บปักถกั รอ้ ยการทาอาหาร เป็นตน้

9.7 การบันทกึ ขอ้ มลู

วิธีการบันทกึ ข้อมูลก็คอื บันทึกเสียง และเหตุการณ์ไว้ทุกข้ันตอน ถึงแม้ว่าเราจะมีวทิ ยากร
หลายคน และแต่ละคนท่ีถ่ายทอดข้อมูลประเภทเดียวกันก็ตาม ถ้าข้อมูลยาว และมีจานวนมาก ควรใช้
เคร่ืองบันทึกเสียง หรือจะใช้กล้องวิดีทัศน์บันทึกภาพด้วยก็ได้ ข้ึนอยู่กับประเภทของการแสดงและ
จุดมุ่งหมายของผู้รวบรวม แต่ถ้าข้อมูลมีจานวนน้อยและส้ัน เราอาจใช้บันทึกรายงานส้ัน ๆ ท่ีตรงกับ
ความเป็นจริงแทน

การบันทึกต้องระบุชื่อของวิทยากร อายุ (ถ้าไม่แน่ใจให้ประมาณเอา) ที่อยู่ อาชีพ ที่อยู่
อาศัยเดิม และการศึกษา และต้องลงวันท่ีที่บันทึกกับวิธีการเก็บข้อมูล เพื่อรายงานว่าวิทยากรเรียนรู้
เรื่องข้อมูลที่เขาถ่ายทอดจากใคร ท่ีไหน เม่ือไรและด้วยวิธีการอย่างไร หากมีข้อสงสัยในตัวข้อมูลก็
สามารถถามวิทยากรได้ นอกจากนี้ยังต้องสังเกตและบันทึกกิริยาท่าทางกบั การแสดงออกทางสหี น้าของ
วทิ ยากร ตลอดจนปฏิกิรยิ าตอบสนองของผ้ชู ม (ถ้ามี) ใหร้ วบรวมข้อมูลใหม้ ากท่สี ุดเท่าทีจ่ ะทาได้

แบบฟอร์มในการบันทึกข้อมูลอาจจะใช้แตกต่างกันไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะมี
รายละเอียดทีค่ ล้ายกัน คอื มกั ประกอบดว้ ยส่งิ ต่อไปนี้

1. การสมั ภาษณ์คร้ังทเ่ี ทา่ ไร
2. หมายเลขแถบบนั ทึกเสยี ง
3. สถานที่บันทึก
4. วนั เวลาท่ีทาการบันทกึ
5. ช่อื วิทยากร
6. ชือ่ บคุ คลอน่ื ๆ ในสถานการณ์นน้ั (ถ้ามี)
7. ชอ่ื ผ้รู วบรวมข้อมลู
บางทกี เ็ ป็นแบบฟอรม์ สน้ั ๆ ดังน้ี

ชอื่ เร่ืองที่
อยู่ของวิทยากร

วิทยากร : ชอื่ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั ประวัตสิ ่วนตวั
ผู้รวบรวมข้อมลู : ช่อื ทอ่ี ยู่
การบันทึก : วันท่ี วิธกี าร สถานท่ี
ปฏิกริ ิยาตอบโต้

278 ชวนพิศ อัตเนตร์

9.8 ตวั อย่างการบนั ทึกขอ้ มลู เอกสาร

เมื่อเรารวบรวมขอ้ มลู ได้ตามทตี่ ้องการแลว้ ภารกจิ ขนั้ ต่อไปกค็ ือนาข้อมูลมาเขียนเพ่ือเสนอ
ให้กับทางหอเก็บเอกสารด้านคติชนวิทยา (Folklore Archive) เพื่อเก็บไว้ให้ผู้อ่ืนได้ใช้ค้นคว้าต่อไป
วิลสันเสนอแนะว่า การบันทึกข้อมูลเอกสารน้ีควรเป็นไปตามแบบฟอร์มของหอเก็บเอกสารแต่ละแห่ง
แต่ถ้าหากไม่มีแบบฟอร์มเฉพาะ ก็อาจจะใช้รูปแบบดังต่อไปน้ีได้ แต่ควรคานึงอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งนี้คือ
การนาการแสดงของคติชนมาเขียนให้เป็นลายลักษณ์อักษรบนแผ่นกระดาษเพ่ือเก็บไว้เป็นหลักฐาน
รปู แบบของการบันทึกมี ดังนี้

1. มุมขวาด้านบน ใชส้ ามบรรทดั สาหรับระบุชื่อวิทยากร สถานท่เี ก็บข้อมลู และวนั ท่ีท่ีทา
การเก็บข้อมูล หากเร่ืองราวน้ันได้มาจากความทรงจาของเราเอง ให้เขียนว่า “ตัวข้าพเจ้าเอง” ตรงชื่อ
วิทยากร และบนั ทกึ วา่ เราได้เรยี นร้เู ร่อื งนี้มาจากทไี่ หน และเม่อื ไร

2. มุมซ้ายด้านบน ให้เขียนรูปแบบของคติชนท่ีเก็บมา และหากเป็นไปได้ให้เขียนช่ือของ
ขอ้ มูลซ่ึงจะทาใหท้ ราบเน้อื หาได้

3. ช่วงระยะสามระยะจากชื่อเรื่อง ตรงขอบด้านซ้ายเขียนว่า “ข้อมูลของวิทยากร” และ
อธิบายชีวประวัติทั่ว ๆ ไปของวิทยากรพร้อมท้ังรายละเอียด และความเห็นส่วนตัวของผู้รวบรวมซึ่งจะ
ทาให้มองเห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างวิทยากรกับการบันทึกข้อมูลได้ชัดเจนขึ้นและเป็นท่ีเข้าใจมาก
ขึ้นถา้ หากผู้รวบรวมข้อมูลเป็นวิทยากรเอง กใ็ หอ้ ธิบายรายละเอียดเกย่ี วกบั ตัวเองไว้เชน่ เดยี วกัน

4. ช่วงระยะสามระยะต่าลงมาตรงขอบด้านซ้าย เขียนว่า “ข้อมูลของภาวะแวดล้อม”
และอธบิ ายภาวะแวดลอ้ มด้านสงั คม และวัฒนธรรมของข้อมูลคติชน

สาหรับภาวะแวดล้อมทางสังคมนั้นให้พรรณนาสถานการณ์แวดล้อมที่เราทาการ
รวบรวมข้อมูลอยู่ สถานการณ์ที่วิทยากรได้เรียนรู้ข้อมูลตั้งแต่แรก และเน้นในสิ่งที่ผ้คู นนาเสนอ เมอ่ื เกิด
การแสดงทางด้านคติชนขึ้น สถานการณ์ที่ทาให้เกิดการแสดง วิถีทางที่ผู้คนเสนอตัวเข้าไปมีส่วนร่วมใน
การแสดงหรือมีอิทธิพลต่อการแสดง และผลกระทบจากการแสดงที่มีต่อพวกเขา ส่วนสภาพแวดล้อม
ทางวฒั นธรรมนั้น ใหร้ ะบุเก่ยี วกบั วัฒนธรรมของวิทยากร เพ่อื ใหค้ นนอกเขา้ ใจข้อมลู คติชนนน้ั

5. ช่วงระยะสามระยะต่าลงมา ตรงขอบด้านซ้ายให้เขียนว่า "รายการ” และนาเสนอ
ข้อมูลคติชนท่ีเก็บมาได้เลย ต้องระบุด้วยว่าการบันทึกเร่ืองราวทาได้อย่างไร และเราเขียนขยาย
เนื้อความออกไปหรอื ไม่ เหมือนกับทไ่ี ดม้ าจากวทิ ยากรหรอื แตกต่างออกไป

ถ้าเกบ็ รวบรวมเพลงพืน้ บา้ น ใหพ้ ยายามบันทกึ ท้ังคาร้องและดนตรี และเขยี นคาร้องไว้
อย่างน้อยหนึ่งบท แต่ถ้ารวบรวมคากลา่ ว หรือคาเฉพาะกลุ่ม ให้อธิบายความหมายและการใชค้ าไว้ด้วย
เมือ่ ตอ้ งการส่ือความหมายให้เขียนเปน็ ประโยค

คตชิ นและภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ 279

6. มมุ ขวาดา้ นล่าง ใหร้ ะบชุ อื่ ผ้รู วบรวมข้อมลู และอายุ ท่ีอยูป่ ัจจบุ ัน ทีอ่ ยูข่ องสถานศึกษา
ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้

ประเภท ( รูปแบบของคตชิ น ) ช่ือวิทยากร
หัวขอ้ (ชอื่ เร่ืองหรอื ช่ือข้อมลู ) สถานทที่ เ่ี กบ็ ข้อมลู

ขอ้ มูลของวทิ ยากร: วนั ทีท่ เ่ี กบ็ ข้อมูล

ข้อมูลของภาวะแวดลอ้ ม: (ต่อ)
ภาวะแวดล้อมทางสังคม:
ภาวะแวดล้อมทางวฒั นธรรม:

รายการ:

ชือ่ ผรู้ วบรวมข้อมลู และอายุ
ทีอ่ ยู่ของผ้รู วบรวมข้อมลู
ท่อี ยู่ของสถานศกึ ษา

วิลสันให้ตัวอย่างท่ีเขาเลือกมาจากหอเก็บเอกสารของมหาวิทยาลัยยูทาห์สเตท (Utah
State University) และมหาวิทยาลัยบริกแฮมยัง (Brigham Young) ทง้ั หมดสามตัวอย่างดว้ ยกนั ในท่นี ้ี
จะยกมาเพียงตวั อยา่ งที่ 1 และตัวอยา่ งท่ี 2

สาหรับตัวอย่างท่ี 1 นี้ วิลสันอธิบายว่า ผู้รวบรวมข้อมูลวิทยากรได้บรรยายถึงการปฏิบัติ
การล่าสัตว์ที่เขาได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์อย่างละเอียด แต่ไม่ได้พูดถึงผลกระทบท่ีมีต่อตัวเขาเอง ซ่ึงใน
ฐานะที่ผู้รวบรวมข้อมูลเป็นวิทยากรเองน้ัน เขาสามารถท่ีจะบอกเราได้หลายอย่างเช่น เขามีความรู้สึก
ต่อการล่าสัตว์ทั่ว ๆ ไปอย่างไรบ้าง เขากับเพ่ือนๆท่ีไปด้วยกันมีทัศนคติร่วมกันหรอื ไม่ว่ากีฬาแบบนี้เปน็
กีฬาของลูกผูช้ าย พวกเพื่อนๆยัว่ เย้าคนทต่ี ้องยงิ ชุดล่าสตั ว์ว่าอย่างไร คนอื่น ๆ ทไ่ี ปลา่ สตั วด์ ้วยกันยิงชุด
ล่าสัตว์ของตนเองหรอื ไม่ ถ้าหากล่ากวางไม่ไดพ้ วกเขาตอบสนองต่อประเพณีอย่างไร ตัววิทยากรซง่ึ เป็น
ผู้สังเกตการณ์ไดร้ บั การยกเว้นเป็นพิเศษต่างจากคนอ่ืน ๆ หรือไม่ ตัววทิ ยากรไดย้ งิ หมวกหรือเสอ้ื ของเขา
เองหรือไม่ การทาเช่นน้ีทาให้เขารู้สึกอย่างไร เขาสวมชุดล่าสัตว์ที่เป็นรอยถูกยิงในเวลาต่อมาหรือไม่
เมอ่ื ไรและทไี่ หน ถ้าทาเชน่ นแ้ี ล้วเขารูส้ กึ อยา่ งไร เขาไปลา่ สัตวอ์ ีกหรอื ไม่


Click to View FlipBook Version