The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดย ชวนพิศ อัตเนตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-12-07 05:42:55

คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น

คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น โดย ชวนพิศ อัตเนตร์

Keywords: Education,Folk,คติชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น,FOLKLORE AND LOCAL WISDOM

144 ชวนพศิ อตั เนตร์

6.7 แนวทางการดารงรกั ษาภมู ปิ ญั ญาไทย

เนื่องจากภูมิปัญญาไทยมีความสาคัญดังกล่าวมาแล้วข้างต้น จาเป็นอย่างย่ิงที่จะมีแนวทาง
ในการดารงรักษาและดาเนินงานภูมิปัญญาไทย การดารงรักษาภูมิปัญญาไทยจึงมีแนวทาง 3 ประการ
ประกอบด้วย การถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาไทย การจัดต้ังศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาไทย และการ
ส่งเสรมิ ภมู ิปัญญาไทย ซึง่ มีอธิบาย ดงั น้ี

1. การถ่ายทอดความรภู้ ูมปิ ัญญาไทย
การถ่ายทอดความรู้ คือ การบอกวิชาความรู้ให้แก่ผู้เรียนได้รู้และเข้าใจสามารถนาไป

ปฏิบัติได้ ภูมิปัญญาไทยสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ได้ทั้งในสถาบัน และจากประสบการณ์ ซ่ึงใน
สถาบันควรให้มีการเรียนการสอนในทุกระดับ ทุกประเภท และทุกรูปแบบของการศึกษา โดยมีครูคอย
ทาหน้าท่ีเป็นผู้นาความคิด เป็นผู้ประสานความร่วมมือ ประสานแหล่งความรู้วิทยาการสากลกับภูมิ
ปัญญาเพื่อให้เกิดการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนความคิด และวิธีการรวมถึงการกระจายความรู้อย่าง
กว้างขวาง นอกจากนี้บทบาทของสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษาควรเป็นหลักในการผลิตองค์ความรู้ท่ี
เกิดจากการประสานวิทยาการสากลกับภูมิปัญญาเข้าด้วยกันเพ่ือให้การอุดมศึกษามีบทบาทในการ
พฒั นาในทุก ๆ ดา้ นใหเ้ ป็นไปในทศิ ทางที่พึงประสงค์ โดยคุณสมบตั ิของผู้เรียนทงั้ รายบุคคล และ ราย
กลุ่ม ควรมีองค์ประกอบ ดังน้ี (พระครูวินยั ธรประจกั ษ์ จกฺกธมฺโม, 2545 : 347)

1.1 ผูเ้ รยี นทุกคนตอ้ งรู้ถึงคณุ ค่าของภมู ปิ ัญญา
1.2 ชุมชนต้องสามารถเลอื กสรรภูมปิ ญั ญามาแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ย่างเหมาะสม
1.3 ครอบครัว ชุมชนและสถาบันสังคมอื่น ๆ และสื่อมวลชนต้องมีบทบาทในการ
อนรุ ักษ์ และพัฒนาภูมปิ ญั ญา
1.4 ผูเ้ รยี นในระดับสูงกว่าปริญญาตรี ตอ้ งทาการประยุกตว์ ิทยาการสากลเข้ากับภูมิ
ปญั ญามาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมได้อย่างเหมาะสม

นอกจากการเรียนรู้ในสถาบันดังที่กล่าวมาแล้ว การเรียนรู้แบบสังคมประกิต คือการ
เรียนการสอนที่เกิดข้ึนจากการเลียนแบบและจดจาสืบทอดกันต่ อกันมาในครอบครัวและใช้วิธีการ
ถา่ ยทอดดว้ ย 2 วธิ ี ดงั น้ี (สพุ จน์ แสงเงิน และคณะ, 2550 : 135)

1. ใช้วิธีสาธิต คือ ทาให้ดูเป็นตัวอย่าง อธิบายทุกขั้นตอนให้ผู้เรียนได้ทดลองทาให้
เขา้ ใจและให้ปฏบิ ตั ติ าม

2. ใช้วิธีปฏิบัติจริง คือ ฟังคาบรรยาย อธิบาย สาธิตแล้วนาไปปฏิบัติจริงและปฏิบัติ
ซ้า ๆ จนเกิดความชานาญเพราะผลงานท่ีเกิดข้ึนเป็นผลงานท่ีเกิดขึ้นจริงสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้
จริงการถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยนั้น จาเป็นต้องมีบุคคลผู้เป็นเจ้าขององค์ความรู้ในด้านนั้น ๆ และบุคคล

คตชิ นและภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ 145

ที่เป็นเจ้าขององค์ความรู้ดังกล่าวได้ชื่อว่า ผู้ทรงภูมิปัญญาหรือปราชญ์ชาวบ้านซึ่งทาหน้าที่เป็นครูภูมิ
ปัญญาไทย

ครูภูมิปัญญาไทย คือบุคคลผู้ทรงภูมิปัญญาด้านหน่ึงด้านใดเป็นผู้สร้างผลงาน และสืบ
ทอดสืบสานภูมิปัญญาดังกล่าวมาอย่างต่อเน่ืองจนเป็นที่ยอมรับของสังคม และชุมชนและได้รับการยก
ยอ่ งให้เป็นครูภูมิปญั ญาไทยเพือ่ ทาหนา้ ท่ีถ่ายทอดภมู ิปัญญาน้นั ๆ

ผู้ทรงภูมิปัญญาไทย คือบุคคลผู้เป็นเจ้าของภูมิปัญญาหรือเป็นผู้นาภูมิปัญญาต่าง ๆ
มาใช้ประโยชน์จนประสบความสาเร็จ มีผลงานดีเด่นเป็นท่ียอมรับและได้รับการยกย่องในฐานะเป็น
ผู้เช่ียวชาญสามารถเผยแพร่และถ่ายทอดเชื่อมโยงคุณค่าของภูมิปัญญาในแต่ละสาขาน้ัน ๆ ให้
แพรห่ ลายไปได้อย่างกวา้ งขวาง

ส่วนปราชญ์ชาวบ้าน หมายถึง บุคคลผู้เป็นเจ้าของภูมิปัญญาชาวบ้าน และนาภูมิ
ปัญญามาใช้ประโยชน์ในการดารงชีวิตจนประสบผลสาเร็จ สามารถถ่ายทอด และเช่ือมโยงคุณค่าของ
อดตี กับปจั จบุ ันได้อย่างเหมาะสม

ความเหมอื นกนั ระหว่างผู้ทรงภูมปิ ญั ญากับปราชญ์ชาวบ้าน คอื บทบาท และภารกจิ ใน
การนาภมู ิปญั ญาไปใช้แกป้ ญั หาและการถ่ายทอดเพื่อใหเ้ กดิ ความเชื่อมโยงจากอดีตถงึ ปัจจุบนั ส่วน
ความแตกต่างกันนั้นจะข้ึนอยู่กับระดับของภูมิปัญญาที่จะนาไปแก้ปัญหาและการถ่ายทอด กล่าวคือผู้
ทรงภูมิปัญญาย่อมมีความสามารถหรือภารกิจในการนาภูมิปัญญาระดับชาติไปแก้ปัญหาหรือถ่ายทอด
หรือผลิตผลงานใหม่ ๆ ท่ีมีคุณค่าต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม ส่วนปราชญช์ าวบ้านมีความสามารถหรือ
ภารกจิ ในการนาภมู ิปญั ญาชาวบา้ นหรอื ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ไปแก้ปญั หาหรอื ถ่ายทอดในท้องถ่ิน

คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของครูภูมิปัญญาหรือผู้ทรงภูมิปัญญาควรเป็นผู้ท่ีมี
คณุ สมบตั ติ ามภาวะผู้นาอย่างน้อยดงั ต่อไปนี้ (อรวรวยี ์ เฉลิมพงษ์, 2554 : 28)

1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความรู้ ความสามรถในวิชาชีพต่าง ๆ มีผลงานในด้านการ
พัฒนาท้องถิ่นของตน และได้รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไปอย่างกว้างขวาง ท้ังยังเป็นผู้ที่ใช้หลักธรรม
คาสอนทางศาสนาของตนเปน็ เครอื่ งยึดเหนยี่ วในการดารงวิถีชวี ติ โดยตลอด

2. เป็นผู้คงแก่เรียน และหม่ันศึกษาความรู้อยู่เสมอ ผู้ทรงภูมิปัญญาจะเป็นผู้ที่หม่ัน
ศึกษาแสวงหาความรู้เพ่ิมเติมอยู่เสมอไม่หยุดน่ิง เรียนรู้ท้ังในระบบ และนอกระบบ เป็นผู้ลงมือทาโดย
ทดลองทาตามท่ีเรียนมา อีกทั้งลองผิดลองถูกหรือสอบถามจากผู้รู้อื่น ๆ จนกระท่ังประสบความสาเร็จ
เปน็ ผเู้ ช่ยี วชาญ มคี วามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละดา้ นอย่างชดั เจนเป็นผ้มู ีความยอมรับเก่ียวกับการ
เปลี่ยนแปลงนาความรใู้ หม่ ๆ ทเ่ี หมาะสมสามารถนามาปรับปรุงใช้กบั ชุมชนและสงั คมอยูเ่ สมอ

146 ชวนพิศ อัตเนตร์

3. เป็นผู้นาของท้องถิ่น ผู้ทรงภูมิปัญญาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ท่ีสังคมในแต่ละท้องถ่ิน
ยอมรบั ให้เปน็ ผ้นู าท้งั ผูน้ าทไี่ ด้รบั การแต่งตงั้ จากทางราชการ และผนู้ าตามธรรมชาติ ซ่งึ สามารถเปน็ ผู้นา
ของทอ้ งถน่ิ และช่วยเหลือผู้อ่นื ได้เป็นอย่างดี

4. เป็นผู้ท่ีสนใจปัญหาของท้องถ่ิน ผู้ทรงภูมิปัญญาล้วนเป็นผู้ที่สนใจในปัญหาของ
ท้องถิ่น คอยเอาใจใส่ ศึกษาปัญหา ค้นหาแนวทางแก้ไข และช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนของตน และ
ชมุ ชนใกล้เคียงอย่างไม่ยอ่ ทอ้ จนประสบความสาเรจ็ เปน็ ท่ียอมรบั ของสมาชิก และบุคคลทวั่ ไป

5. เป็นผู้ขยันหม่ันเพียร ผู้ทรงภูมิปัญญาจะเป็นผู้มีความขยันหม่ันเพียร ลงมือทางาน
และผลิตผลงานอยู่เสมอ คอยปรับปรุง และพัฒนางานให้มีคุณภาพมากย่ิงขึ้น อีกท้ังมุ่งทางานของตน
อยา่ งตอ่ เนื่อง

6. เป็นนักปกครอง และนักประสานประโยชน์ของท้องถ่ิน ผู้ทรงภูมิปัญญานอกจาก
เป็น ผู้ที่ประพฤติตนเป็นคนดีจนเป็นที่ยอมรับนับถือจากบุคคลท่ัวไปแล้ว ผลงานที่ท่านทายังถือว่า
ทรงคุณคา่ จึงเป็นผูท้ ีม่ ที ั้งการครองตน ครองคนและการครองงาน เปน็ ผปู้ ระสานประโยชน์ให้บุคคลเกิด
ความรัก ความเข้าใจ ความเห็นใจ และมีความสามัคคีกัน ซึ่งจะทาให้ท้องถ่ินหรือสังคมมีความเจริญมี
คุณภาพชีวิตสูงขึ้นกวา่ เดมิ

7. เป็นผู้มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้เป็นเลิศ คือ เม่ือผู้ทรงภูมิปัญญามี
ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ท่ีเป็นเลิศ มีผลงานท่ีเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและบุคคลทั่วไป ทั้ง
ชาวบ้าน นักวิชาการ นักเรียน นิสิต/นักศึกษาโดยอาจเข้าไปศึกษาหาความรู้ หรือเชิญท่านเหล่านั้นไป
เปน็ ผู้ถา่ ยทอดความรูไ้ ด้

8. เป็นผู้มีคู่ครอง หรือบริวารที่ดี ผู้ทรงภูมิปัญญาถ้าเป็นคฤหัสถ์หรือชาวบา้ นจะพบว่า
ล้วนมีคู่ครองที่ดีท่ีคอยสนับสนุนช่วยเหลอื ให้กาลังใจให้ความร่วมมือในงานท่ีท่านทา ช่วยผลิตผลงานท่ี
มีคุณค่า ถ้าเป็นนักบวชไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดต้องมีบริวารที่ดี จึงจะสามารถผลิตผลงานท่ีมีคุณค่าทาง
ศาสนาได้

9. เป็นผู้มีปัญญารอบรู้และมีความเชี่ยวชาญจนได้รบั ยกย่องว่าเปน็ ปราชญ์ชาวบา้ น ผู้
ทรงภูมิปัญญาต้องเป็นผู้มีปัญญารอบรู้และเชี่ยวชาญรวมทั้งสร้างสรรค์ผลงานพิเศษใหม่ ๆ ท่ีเป็น
ผลประโยชน์ต่อสงั คมและมนุษยช์ าตอิ ย่างต่อเนอ่ื งอยูเ่ สมอ

กระบวนการถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยนั้นมีความเช่ือถือและความศรัทธาสื บต่อกันมา
เป็นพื้นฐานในการสร้างสมองค์ความรู้ ดังน้ันประชาชนคนไทยจึงควรหันมาสนใจศึกษาองค์ความรู้
ความคิด ความเช่อื ทีท่ รงคุณค่าของภูมิปัญญาในดา้ นต่าง ๆ ควรรกั ษาไว้ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

คติชนและภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ 147

2. ศูนย์การเรียนรภู้ มู ิปัญญาไทย
ศูนย์การเรียนรภู้ มู ปิ ญั ญาไทย เปน็ การจดั การเรยี นรูเ้ กีย่ วกบั ภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย

ได้แก่ ความรู้ในการเข้าใจชีวิต ธรรมชาติ ทรัพยากร สังคม และความรู้ในการจัดการทรัพยากรอย่างมี
ประสิทธิภาพ ศูนย์การเรียนรภู้ ูมิปัญญาไทยนี้มิได้หมายถึงตัวอาคารสถานที่ หากแต่หมายถึงสถานที่ทม่ี ี
ผู้รู้ มปี ระสบการณส์ ามารถจัดการเรียนรไู้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มของชมุ ชน ไม่ว่าจะเป็นทว่ี ัด
โรงเรียน สานักงานองค์การบริหารส่วนตาบล สถานีอนามัย ท่ีทาการผู้ใหญ่บ้าน กานันหรือบ้านของผู้รู้
ของผู้ท่ีได้รับการยกย่องว่าเป็นครูภูมิปัญญา หรือกล่าวได้อีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการจัดการที่เกิดข้ึนโดย
ชุมชน โดยผู้นาท่ีสามารถดาเนินการให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับศักยภาพของ
ชุมชนนั้น ๆ

2.1 หน้าท่ีของศนู ยก์ ารเรียนรูภ้ ูมิปัญญาไทย
2.1.1 เป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเรียนรู้ ทั้งในระบบ

โรงเรยี น การศึกษานอกระบบโรงเรยี น และการศึกษาตามอัธยาศยั
2.1.2 เป็นศูนย์ประสานงานเครือข่ายภูมิปัญญาไทย เพ่ือใช้เป็นศูนย์กลาง

แลกเปลยี่ น และพฒั นาการเรยี นรทู้ งั้ ในระดับทอ้ งถ่ินและในระดบั ชาติ

2.2 เปน็ ศนู ยค์ ลงั ข้อมูลภูมปิ ัญญา
2.2.1 ประเภทศนู ย์การเรยี นรู้ภูมปิ ญั ญาไทย
1) ศูนย์การเรียนรู้ในครอบครัว ในการถ่ายทอดภูมิปัญญาแห่งแรก

ก็คือ ครอบครัว ซ่ึงมาจากพ่อแม่มาสู่ลูก จากพี่น้องเครือญาติใกล้ชิดแล้วถ่ายทอดให้แก่กัน และกันเพ่ือ
เปน็ การสืบทอดภูมิปัญญาไว้ องค์ความรู้บางอยา่ งอาจจะไม่มีการเผยแพร่ให้แกผ่ ู้อน่ื ได้รบั รู้ เพราะถือว่า
เป็นมรดกตกทอดของวงศ์ตระกูล การถ่ายทอดน้ันมีหลายประการที่ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็น
การถ่ายทอด หรอื สบื ทอดเพราะเป็นการเรียนรู้จากการปฏบิ ัตใิ นชวี ติ ประจาวัน

2) ศูนย์การเรียนในวัดและชุมชน วัดทางศาสนาถือว่าเป็นศูนย์กลาง
ของชุมชนในการจัดกิจกรรมนานาประการอาทิ กิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี และกิจกรรม
ทางสังคมของส่วนรวม ซ่ึงพระภิกษุจะเป็นผู้ริเริ่ม เป็นผู้ประสานส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดกิจกรรม
ดังกล่าว ผู้นาฝ่ายสงฆ์และผู้นาฝ่ายฆราวาสต่างมีความสาคัญในฐานะที่เป็นครู แม้จะไม่เป็นผู้ถ่ายทอด
เองโดยตรง แต่ก็ทาหน้าทกี่ ากบั ดูแลการจัดพธิ ีกรรมตา่ ง ๆ ให้ถกู ต้อง ซงึ่ วดั และพระภิกษุในปัจจุบันได้มี
การฟ้ืนฟูบทบาทในการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ในชุมชน ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ในการเปน็ ศูนย์การ
เรียนรู้ของชุมชนอีกด้วย อาทิเช่น ศูนย์การศึกษาในระบบ ศูนย์การศึกษานอกระบบ ศูนย์ฝึกอาชีพ
สถานท่ีจัดประชุมสมั มนา ประชาคมและท่ีนัดหมายการทากจิ กรรมของชมุ ชน เปน็ ตน้

148 ชวนพิศ อัตเนตร์

3) ศูนย์การเรียนครูเจ้าสานัก เป็นการถ่ายทอดภูมิปัญญาท่ีมีความ
เดน่ ชัดทีส่ ดุ คอื การถา่ ยทอดโดยบุคคลซ่ึงเป็นผรู้ ู้ ผู้ชานาญ ผู้เรียนอาจเปน็ ลกู หลานหรอื ลูกศิษย์ ผูส้ นใจ
ผู้เข้ามาศึกษาดูงาน ซ่ึงการถ่ายทอดอาจจะมีพิธีกรรมท่ีเรียกว่ายกครูหรือไหว้ครู อันเป็นเคร่ืองหมาย
สาคัญของความสัมพันธ์ซึ่งมีความหมายลึกซึ้ง เพราะครูจะเป็นผู้ถ่ายทอดไม่เพียงแต่ทักษะหรือวิธีการ
ตา่ ง ๆ ให้เท่านั้น แตจ่ ะถ่ายทอดจิตวิญญาณให้แก่ศิษย์ศิษย์ ทเี่ กง่ และดจี ริงจะสามารถสบื ทอดทุกอย่าง
จากครูทั้งในเรือ่ งทักษะ เนอ้ื หา รปู แบบและจติ วิญญาณในเรอ่ื งนัน้ ๆ

4) เครือข่ายศูนย์การเรียนรู้ใหม่ของชุมชน คือการรวมกลุ่มเพ่ือ
จดั การทรพั ยากรจัดการผลผลิต จัดการทนุ ของตนเองในชุมชนจาเปน็ ต้องมีการเรยี นรใู้ หม่ ซ่ึงการเรียนรู้
ภายในชุมชนอาจจะไม่เพียงพอต้องอาศัยผู้รู้จากภายนอก เช่นการศึกษาดูงาน การประชุมสัมมนา
การฝึกงาน และการทดลองปฏิบัติให้คนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อไป รวมทั้งกรณีอื่น ๆ ซึ่งล้วนเป็น
มหาวิทยาลัยของชาวบ้าน ทั้งนี้การเรียนรู้โดยองค์กรชุมชน และเครือข่าย ถือเป็นรูปแบบการถ่ายทอด
ภูมิปญั ญาทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพมากที่สดุ รูปแบบหนึ่งในปัจจบุ นั

ศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาทั้ง 4 ประเภทดังกล่าวจะมีความเหมือนกัน
ก็คือเป็นรูปแบบท่ีมีการถ่ายทอดการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึนจากการปฏิบัติด้วยวิธีตัวต่อตัว อันเกิดจาก
ความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชดิ ระหวา่ งผู้ถ่ายทอดกับผ้สู บื ทอด ดว้ ยกระบวนการทม่ี ลี ักษณะเปน็ การบูรณา
การทง้ั เนอื้ หาสาระและจติ วิญญาณซึง่ เปน็ กระบวนการแบบองคร์ วม

3. การส่งเสริมภมู ิปญั ญาไทย
การส่งเสริมภูมิปัญญาเพ่ือดารงรักษาไว้ให้คงอยู่ตลอดไปเพื่ออนุชนคนรุ่นหลังได้สืบ

ทอดสบื ตอ่ ภมู ิปญั ญาน้นั พระครูวินัยธรประจักษ์ จกกฺ ธมโฺ ม (2545 : 350) ไดก้ ลา่ วว่าแนวทางท่ีใช้ในการ
ส่งเสรมิ ภมู ปิ ญั ญาไทยประกอบด้วย 4 ประการ ดงั นี้

3.1 ภมู ปิ ัญญาไทยควรมีความเทา่ เทยี ม ทัดเทียมเทา่ วิทยาการสมัยใหม่
3.2 ส่งเสริมผู้นา และปราชญ์ชาวบ้านในการพัฒนาภูมิปัญญาและสร้างองค์ความรู้
ใหม่
3.3 ควรเรง่ ดาเนนิ การสง่ เสริมการเรยี นรู้ในชุมชนทอี่ ยู่บนฐานของภูมปิ ัญญาเดิม
3.4 ให้สถาบันศาสนาเป็นศูนย์กลางในการสนับสนุนการเกิดเครือข่ายความร่วมมือ
กนั ระหว่างพหภุ าคชี มุ ชน สถาบันศาสนา หนว่ ยราชการ องคก์ รพัฒนาเอกชนและภูมิปัญญาชาวบา้ น

คติชนและภูมิปญั ญาท้องถิน่ 149

สามารถ จันทร์สูรย์ (2549 : 30-31) กล่าวถึงแนวทางการดาเนินงานด้านภูมิปัญญา
ไทยว่าควรมีแนวทางในการดาเนินงาน ดงั น้ี

1. ให้ความสนใจ เป็นการให้ความสนใจในด้านการศึกษาเรียนรู้เก่ียวกับเน้ือหาสาระ
ของภูมิปัญญาอย่างแท้จริงโดยศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งจากเอกสาร งานวิจัยท่ีมีผู้ศึกษาไว้ก่อน
แล้วเป็นเบ้ืองต้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในด้านต่าง ๆ เช่น ความหมาย ขอบข่าย ลักษณะ
และบคุ คลที่เก่ยี วขอ้ งด้านภมู ิปัญญา เปน็ ตน้

2. ฝักใฝเ่ รียนรู้ โดยทาการศึกษาและค้นคว้าวิจยั เพิ่มเติมเพ่ือให้ได้องค์ความรู้ใหม่ และ
คาตอบในประเด็นใหม่ ๆ ให้มีความชัดเจนขยายออกจากข้อมูลเดิมท่ีมีอยู่แล้ว ก่อให้เกิดความงอกเงย
ในทางวชิ าการ จนปรากฏเปน็ องค์ความร้ใู หม่ และนากลบั มาส่วู งการดา้ นภมู ปิ ัญญาตอ่ ไป

3. การศึกษาดูงาน ผู้สนใจในเรื่องของภูมิปัญญาควรหาโอกาสออกเดินทางไปศึกษาดู
งานตามสถานท่ีต่าง ๆ และเย่ียมเยียน พบปะ พูดคุย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับผู้รู้ ปราชญ์ ศิลปิน จิตร
กร ผู้ทรงภูมิปัญญา ช่าง ผู้เป็นเจ้าของผู้ผลิตผลงานภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ เป็นการศึกษาแบบเจาะลึกให้
เข้าใจและเข้าถึงบริบทของท่านผู้รู้น้ัน ๆ ท้ังทางกว้าง ทางลึก วิถีชีวิตและจิตใจของท่าน อาจใช้เวลา
ศกึ ษายาวนานบา้ งเพอ่ื เปน็ การศกึ ษาอย่างรอบดา้ นท้งั นเ้ี พ่ือเป็นการเรียนรู้อย่างจริงจัง

4. ประสานเครือข่าย เมื่อได้รู้จักบุคคลผู้เป็นเจ้าของภูมิปัญญาแต่ละท่านในแต่ละ
สาขาควรทาการเชิญท่านเหล่าน้ันมาพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดูงานของกันและกัน ซ่ึงเป็นการเปิด
โอกาสให้ท่านต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่กันและกันทาให้เกิดความรู้จักมักคุ้นกัน รวมตัวกันเป็นเครือข่าย
องคก์ รเดียวกัน ทาให้เกิดความเป็นพลังเกิดการสร้างสรรคภ์ ูมปิ ัญญาใหม่ได้

5. กระจายข้อมูล สามารถดาเนินการได้โดยการนาข้อมูล องค์ความรู้ องค์กร
เครือข่าย แม้แต่ความเคลื่อนไหวท่ีเก่ียวข้องออกมาเผยแพร่ทางส่ือสารมวลชนให้ผู้คนในสังคมประเทศ
ไดร้ ูจ้ กั รคู้ วามเปน็ มา อันจะกอ่ ให้เกดิ ความเชื่อถอื และยอมรบั ได้เร็วข้นึ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสว่ นรวม

6. เกื้อกูลแหล่ง แหล่งในที่นี้หมายถึงแหล่งผลิตผลงานหรือแหล่งพานักพักที่อยู่อาศัย
ของผู้ทรงภูมิปัญญาทั้งหลายเป็นการเห็นคุณค่าในภูมิปัญญาไทย ควรส่งเสริมสนับสนุนให้ท่านเหล่านั้น
ได้ผลิตผลงานตามความถนัดของแต่ละคน ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบของงบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ สิ่งของ
เครื่องใช้ การให้โอกาส รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามสมควรหรือแม้แต่การยกย่องเชิดชูให้เกียรติให้
ความเคารพ เช้ือเชิญท่านเผยแพร่แลกเปล่ียนผลงาน ปรับปรุงบริเวณพ้ืนที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้งานใน
รปู แบบตา่ ง ๆ เช่น เปน็ สถานท่เี รียนรู้ ฝึกงาน ศนู ย์สาธติ เป็นท่ีแสดงผลงาน หรอื เปน็ พิพธิ ภณั ฑ์ เปน็ ต้น

7. แสดงผลงาน การแสดงผลงานเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้
ผู้เป็นเจ้าของภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ ได้มีการแสดงผลงานของตนท่ีเป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาเผยแผ่ออก
สสู่ าธารณชนในวงกว้างให้เกิดมรรคผลตอบแทนท้ังเจ้าของภูมิปัญญาและผู้บรโิ ภคในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
ตลาดสินค้า OTOP การจัดนิทรรศการเชิงวิชาการ การสาธิต จัดให้มีการแสดงบนเวที การจัดมหกรรม

150 ชวนพศิ อัตเนตร์

การแสดงเก่ียวกับภูมิปัญญาไทยหา หนทางสร้างรายได้จากมูลค่าเพิ่มของผลผลิตนั้น ๆ เกิดผลเพ่ิมพูน
กลบั ไปสรา้ งภูมปิ ญั ญาทม่ี ีคณุ ค่าเพม่ิ อีกได้

6.8 ภมู ปิ ญั ญากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ

มนุษย์จัดเป็นต้นทุนท่ีมีคุณค่าและมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ การพัฒนา
คุณภาพชีวิตของมนุษย์หรือการพัฒนาทุนมนุษย์ ถือว่าเป็นนโยบายหลักที่ทุก ๆ ประเทศต้องให้ความ
สนใจ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในประเทศท่ีกาลังพัฒนา ทั้งนีเ้ พราะประชากรท่มี ีคุณภาพชวี ิตท่ีดีย่อมส่งผลให้
คุณภาพสังคมของประเทศน้ัน ๆ มีความสุข และมีความเจริญก้าวหน้า การให้ความสาคัญต่อคุณภาพ
ชีวิตของมนุษย์จึงเป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ในแต่ละประเทศได้มีการกาหนด
คุณลักษณะคุณภาพชีวิตของประชากรที่พึงประสงค์ ทั้งด้านร่างกาย และด้านจิตใจเอาไว้ในส่วนของ
ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน นับต้ังแต่การประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 3
เป็นต้นมาก็ได้มีการกาหนดเครื่องช้ีวัดคุณภาพชีวิตท้ังด้านร่างกาย และจิตใจของประชากรไทยเอาไว้
และได้มีการดาเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ได้ตามมาตรฐานที่กาหนด ซึ่งแนวทางของการพัฒนา
ประเทศไทยท่ีปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 10-11 ได้มุ่งเน้นการพัฒนาสู่
สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน โดยมีแนวทางในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพและคุณธรรมและมีคนเป็น
ศูนย์กลางของการพัฒนา ดังนั้นการที่จะดาเนินการพัฒนาประเทศให้บรรลุเป้าหมายได้นั้น จาเป็นต้อง
พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรให้มีความสมบูรณ์ทั้งกาย และใจ เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอยู่ได้ตาม
บริบทของตนเอง

ความหมายของคุณภาพชวี ิต
ก่อนที่จะศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตควรทาความเข้าใจความหมาย
ของคุณภาพชีวิตเป็นเบ้ืองต้นเสียก่อน ซึ่งได้มีหน่วยงานหลายหน่วยงานและนักวิชาการผู้ทรงความรู้ได้
ใหค้ วามหมายของคาวา่ คุณภาพชีวิตไว้ ดงั นี้
องค์การยูเนสโก (UNESCO, 1978 : 88) ได้นิยามความหมายของคาว่า คุณภาพชีวิตไว้ว่า
คุณภาพชีวิตเป็นความรู้สึกของการอยู่อย่างพึงพอใจ (มีความสุข มีความพอใจ) ต่อองค์ประกอบต่าง ๆ
ของชวี ิตซึ่งมีส่วนสาคญั มากท่สี ุดของบคุ คลนน้ั ๆ
องค์การอนามัยโลก (WHO, WHQOL Group, 1995) ให้ความหมายของ คุณภาพชีวิตว่า
เป็นการรับรู้ของแต่ละบุคคลท่ีมีต่อชีวิตของบุคคลน้ัน ๆ ในบริบทของวัฒนธรรมและสังคมท่ีบุคคลนั้น
อาศัยอยู่ เชอื่ มโยงกับจดุ มงุ่ หมายและความคาดหวงั ของบคุ คล

คตชิ นและภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ิน 151

สถาบนั วิจัยประชากรและสงั คม (2553) ได้อธิบายว่า คุณภาพชีวิต หมายถงึ สภาพของการ
ดารงชีวิตที่บุคคลแต่ละคนจะดารงชีวิตในสังคมหน่ึงๆ ได้ โดยมีความสุขทางร่างกายและจิตใจได้รับการ
ตอบสนองความตอ้ งการทาให้มกี ารกนิ ดีอยูด่ ีเหมาะสมตามสภาพแวดล้อม

กรมการพัฒนาชุมชน (2555 : 22) กล่าววา่ คณุ ภาพชีวิต คือภาวการณด์ ารงชีวติ ของมนุษย์
ในระดับท่เี หมาะสมตามความจาเปน็ ข้นั พื้นฐานที่ได้กาหนดไวใ้ นสังคมหนึ่ง ๆ ในช่วงเวลาหนงึ่ ๆ

อาร์ ซี ชาร์มา (R.C. Sharma, 1988 : 109) อธิบายว่า คุณภาพชีวิต เป็นเร่ืองท่ีซับซ้อน
เพราะเป็นเร่ืองของความพึงพอใจอันเกิดจากการได้รับการตอบสนองความต้องการทางจิตใจและสังคม
ทงั้ ในระดับจลุ ภาค และมหภาค

ยุพา อุดมศักด์ิ (2517 : 82) กล่าวว่า คุณภาพชีวิตหมายถึง คุณภาพในด้านสุขภาพ สังคม
เศรษฐกิจ การศึกษาการเมืองและศาสนาซึ่งเป็นค่าเทียบเคียงไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวแน่นอน ทุกคนหรือ
ทุกประเทศจะกาหนดมาตรฐานในเรื่องดังกล่าวแตกต่างกันตามความต้องการ ซ่ึงทาให้คุณภาพชีวิต
เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและสภาวะต่าง ๆ ด้วย

นิพนธ์ คันธเสวี (2525 : 2) ได้ให้ความหมายว่า คุณภาพชีวิต คือระดับของสภาพการ
ดารงชวี ิตของมนุษย์ตามองคป์ ระกอบของชวี ติ อนั ไดแ้ ก่ รา่ งกาย อารมณ์ สังคม ความคิด และจติ ใจ

ศิริ ฮามสุโพธิ์ (2543 : 56-57) อธิบายไว้ว่า คุณภาพชีวิตหมายถึง คุณภาพในด้านสุขภาพ
สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การเมือง และศาสนา ซ่ึงเป็นค่าเทียบเคียงไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวแน่นอน
กล่าวคือ ทุกคนหรือทุกประเทศจะกาหนดมาตรฐานต่าง ๆ กันไปตามความต้องการและความต้องการ
คุณภาพชีวิตน้ีจะเปล่ียนแปลงไปได้ตามกาลเวลาและกาลเทศะหรือคุณภาพชีวิตยังหมายถึงชีวิตของ
บคุ คลท่ีสามารถดารงชีวติ อย่รู ว่ มกนั กบั สังคมได้อย่างเหมาะสม ไม่เป็นภาระและไม่ก่อปัญหาให้แก่สังคม
เป็นชีวิตท่ีสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สามารถดารงชีวิตท่ีชอบธรรมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและ
ค่านิยมของสังคม ตลอดจนแสวงหาสิ่งท่ีตนปรารถนาให้ได้มาอย่างถูกต้องภายใต้เคร่ืองมือและ
ทรัพยากรท่มี ีอยู่ โดยสามารถแบง่ ออกได้เปน็ 3 ประการ

ประการที่หน่ึง ทางด้านร่างกาย กล่าวคือบุคคลต้องมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง
ปราศจากโรคภยั ไข้เจ็บอนั เปน็ ผลตอบสนองมาจากปัจจัยพนื้ ฐาน

ประการท่ีสอง ทางด้านจิตใจ คือบุคคลจะต้องมีสภาวะจิตใจที่มีความสมบูรณ์ ร่าเริง
แจ่มใส ไม่วิตกกังวล มีความรู้สึกพึงพอใจในชีวิตตนเอง ครอบครัว สังคมและส่ิงแวดล้อม มีความ
ปลอดภัยในชวี ิตและทรพั ยส์ ิน

ประการท่ีสาม ทางด้านสังคม คือบุคคลสามารถดารงชีวิตภายใต้บรรทัดฐาน และค่านิยม
ของสังคมในฐานะทีเ่ ป็นสมาชิกของสงั คมได้อยา่ งปกตสิ ุข

152 ชวนพศิ อัตเนตร์

พรทิพา นิโรจน์ (2551 : 5) ได้อธิบายว่า คุณภาพชีวิต คือความพึงพอใจของบุคคลที่เกิด
จากการได้รับการตอบสนองต่อส่ิงท่ีต้องการท้ังด้านร่างกายและจิตใจ รวมท้ังการได้มีส่วนร่วมในการ
พฒั นาสภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกจิ และสังคมอยา่ งเพยี งพอ จนก่อให้เกดิ สขุ ภาพกาย และสุขภาพใจท่ีดี

นงเยาว์ อรุณศิริวงศ์ (2556 : 5) กล่าวว่า คุณภาพชีวิตหมายถึง การที่บุคคลมีระดับการ
ดารงชีวิตที่เหมาะสมตามสภาพความจาเป็นพื้นฐานของสังคม ซึ่งตอบสนองความต้องการทางร่างกาย
จิตใจ สงั คม และความคดิ อยา่ งเพยี งพอจนก่อให้เกิดการมสี ขุ ภาพทางรา่ งกายและจติ ใจท่ดี ี

จากความหมายของคุณภาพชีวิตดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่าคุณภาพชีวิตหมายถึง ความรู้สึก
ท่ีพึงพอใจของบุคคลอันเกิดจากการได้รับการตอบสนองความต้องการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม
ความคิดและจิตใจ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่สมดุลกันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม
วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนาและค่านิยมในสังคมที่ทาให้ตนเองและสมาชิกในสังคมได้อยู่ร่วมกันอย่างมี
ความสุข

การนิยามความหมายของคุณภาพชีวิตอีกกลุ่มหนึ่งท่ีเป็นมุมมองของชุมชนแ ละปราชญ์
ชาวบ้านท่ีพยายามต่อต้านกระแสการพัฒนาที่เน้นการสะสมความม่ังคั่งภายใต้ระบบทุนนิยม โดยมอง
คุณภาพชีวิตไปท่ีความสุขของชีวิต ความพอเพียงและการพึ่งตนเอง เช่น (พนิษฐา พานิชาชีวะกุล และ
จันทรเ์ พญ็ ประดบั มุข, 2542. อา้ งถึงใน มณมี ัย ทองอยู่, 2547 : 193)

ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม เป็นผู้ทรงไว้ซ่ึงภมู ิปัญญาได้ให้ความหมายของคุณภาพชวี ิตท่ีเน้นถงึ
การให้ความสาคัญกับความสามารถในการพึ่งตนเอง โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ของชาวบ้าน
ส่วนเป้าหมายคุณภาพชีวิต คือเกษตรกรต้องมีภาวะท่ีพ่ึงตนเองได้หมายถึง ความสามารถของคนที่จะ
ช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุด โดยไม่เป็นภาระของคนอื่นมากเกินไป มีความสมดุล ความพอดีในชีวิต
และพึงพอใจในส่ิงที่ตนเองมีหรือเป็นอยู่ มีสิ่งจาเป็นในชีวิตอัน ได้แก่ ปัจจัยสี่พอเพียง เป็นความพร้อม
ของชวี ติ และจิตใจ

พ่อคาเดือ่ ง ภาษี ซ่งึ เปน็ ปราชญ์ชาวบ้านในภาคอีสานได้ใหค้ วามหมายของคุณภาพชวี ิตโดย
เริ่มจากการมีสุขภาพท่ีดีว่า “...สุขภาพที่ดี คือทุกคนต้องมีความอบอุ่นและม่ันใจ ทุกวันนี้เกษตรกรมี
ความม่ันใจพรอ้ มทุกอย่างท่จี ะไม่เป็นเกษตรกรเกษตรกรจะมีความมั่นใจเมื่อสะสมสิง่ แวดล้อม ซ่ึงเปน็ สิ่ง
มคี ่ามากมาย ทุกวนั นีเ้ ราพ่ึงพาเทคโนโลยี โดยเฉพาะเรื่องการรักษาโรคภยั ไข้เจ็บ คุณภาพชีวิตไม่ได้มอง
เป็นส่วน ๆ เป็นอัน ๆ แต่ต้องเป็นองค์รวมไม่ใช่แยกส่วน ครอบครัวอบอุ่นอยู่ด้วยกัน ครอบครัวสมบูรณ์
มีการไปมาหาสู่กับชาวบ้านพ่ีน้อง เราไม่ได้ฟังเงินตราเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพึ่งธรรมชาติด้วยทางออก
ของการมคี ณุ ภาพชีวิตทด่ี ีของเกษตรกรคือเกษตรกรต้องปลูกพชื หลายอยา่ งเพ่ืออยเู่ พื่อกนิ ไม่เป็นปัญหา
ด้านตลาดทาได้หลายอย่างก็ขายได้หลายอย่าง ไม่มีอะไรดีไปกว่าเกษตรกรต้องกลับมาอยู่บ้าน เราต้อง
ทาการเกษตรของเราใหด้ ี...”

คตชิ นและภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ 153

กลา่ วไดว้ า่ คุณภาพชีวิตในความหมายของปราชญ์ชาวบ้านจะเน้นในเรื่องความสุขของชีวิต
ท่ีมีลักษณะเป็นองค์รวม เช่ือมโยง บูรณาการทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคมเข้าด้วยกัน
นอกจากนยี้ งั เน้นในภาวะความสามารถในการแก้ไขปญั หา การพึง่ พาตนเอง ความพอเพยี งและความพอ
อยู่พอกินของชมุ ชนอีกดว้ ย

องคป์ ระกอบและคณุ ลกั ษณะของคณุ ภาพชวี ิต
คุณภาพชีวิตมีความหมายที่กว้างขวางและมีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์องค์ความรู้ต่าง ๆ
หลายสาขา นอกจากนี้คณุ ภาพชวี ิตยงั สามารถเปล่ียนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อมและสภาวการณ์ตา่ ง ๆ
ได้อีกด้วย ดังนั้นจึงได้มีหน่วยงาน และนักวิชาการท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากร
ทาการกาหนดองค์ประกอบและคณุ ลักษณะของคุณภาพชีวติ ดังนี้
ยูเนสโก (UNESCO, 1981) กล่าวถึงองค์ประกอบของคุณภาพชีวิต ว่า การมีคุณภาพชีวิต
ตอ้ งมีความเกยี่ วข้องกับอาหาร สุขภาพ อนามยั การศึกษา สง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากร ทีอ่ ยู่อาศยั และการ
ตง้ั ถน่ิ ฐาน การมงี านทา ค่านิยม ศาสนาจรยิ ธรรม กฎหมายและปัจจัยทางจติ วทิ ยา
นิโคลัส เบนเนท (Nicholas Bennet, 1975 : 68) ได้กล่าวถึงการมีชีวิตที่มีคุณภาพว่า
สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ระดบั คือ
1. ระดบั แรก คือ ปจั จยั ทีเ่ ปน็ ความจาเปน็ ในการดารงชีวิต ไดแ้ ก่

1.1 ความจาเปน็ ตา่ สดุ ทม่ี ตี อ่ อาหาร ทอ่ี ย่อู าศัย และเสอ้ื ผา้
1.2 สขุ ภาพ หมายถึงสขุ ภาพแข็งแรง เจ็บป่วยน้อยคร้ัง
1.3 ความม่ันคงและความเป็นอิสระจากความไม่ถูกต้อง การมีเศรษฐกิจดี สังคมที่ดี
และสนใจในเรือ่ งการเมือง
2. ระดบั ทีส่ อง เพ่อื ให้มคี ุณภาพชีวติ ทดี่ ี ไดแ้ ก่
2.1 มีค่านิยมท่ีเหมาะสม กลมกลืนกับสังคม วัฒนธรรม การเมืองและด้าน
ส่ิงแวดล้อมทางดา้ นเศรษฐกจิ
2.2 จะต้องมีความสมดุลระหว่างความปรารถนาและความเป็นไปได้ที่จะบรรลุถึง
ความปรารถนา
2.3 มจี ุดุมงุ่ หมายของชีวิต
2.4 มชี ีวิตที่กลมกลนื กบั ครอบครัว ชุมชนและสิ่งแวดลอ้ ม

154 ชวนพิศ อตั เนตร์

อลัน คอนโด (Allan Kondo, 1985 : 66) ได้ให้คาอธิบายว่า องค์ประกอบคุณภาพชีวิต
ควรประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ดา้ น คือ

1. มาตรฐานความเป็นอยู่ทางด้านร่างกาย ประกอบด้วย อาหารหรือโภชนาการ สุขภาพ
ทอ่ี ยอู่ าศยั ส่ิงแวดลอ้ ม สงิ่ อานวยความสะดวก โรงเรียน โรงพยาบาล การสุขาภบิ าล เปน็ ตน้

2. จิตใจหรืออารมณ์ ประกอบดว้ ย ความรกั ความเข้าใจ ความเปน็ เพอื่ น การแต่งงานหรือ
การมีบุตร ครอบครัวนันทนาการการใช้เวลาว่าง การศึกษา ความพึงพอใจในงานและความมั่นคงทาง
สถานภาพ ความมน่ั คงในวัยชรา เปน็ ต้น

3. ความรสู้ กึ นกึ คิด ประกอบด้วย การมีอสิ ระตอ่ การปฏิบัติตามความเชอ่ื ของตน

อาร์ ซี ชาร์มา (R.C. Sharma, 1988 : 24) ได้นาเสนอแนวคิดเก่ียวกับองค์ประกอบของ
คณุ ภาพชีวติ ไว้ ดังนี้

1. มาตรฐานการครองชีพ ประกอบด้วยท่ีอยู่อาศัย อาหาร หรือโภชนาการ สุขภาพ
การศกึ ษา การมงี านทา รายไดป้ ระชาชาติและการบรกิ ารทางสงั คม

2. การเปล่ียนแปลงประชากร ประกอบด้วย ขนาดของประชากร อัตราการเติบโตของ
ประชากร อัตราการเกดิ และการตาย การยา้ ยถิ่นและความหนาแนน่ ของประชากร

3. ระบบสงั คมและวฒั นธรรม ประกอบด้วย ระบบการเมอื งการปกครอง ระบบสังคมและ
ค่านยิ มทางวัฒนธรรม

4. กระบวนการพัฒนา ประกอบด้วย ลาดับข้ันความสาคัญของการพัฒนา ประสิทธิภาพ
และความสามารถของบคุ คล การพัฒนาเศรษฐกจิ การพฒั นาสังคม การพฒั นาการคา้

5. ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย มนุษย์ ส่ิงแวดล้อม ธรรมชาติ ทุนและ
เทคโนโลยี

ณรงค์ เทียนส่ง (2519 : 50) อธิบายว่า องค์ประกอบคุณภาพชีวิตของบุคคลประกอบด้วย
2 สว่ น คือ

1. ส่วนแรก บุคคลได้มีส่ิงที่มีความจาเป็นแก่ความต้องการของชีวิต ได้แก่ อาหาร ท่ีอยู่
อาศยั เสอ้ื ผ้า สุขภาพแขง็ แรงและมคี วามมนั่ คงในชวี ติ

2. ส่วนท่ีสอง บุคคลมีค่านิยมท่ีเหมาะสมกับสังคม วัฒนธรรม การเมืองและสิ่งแวดล้อม
ทางเศรษฐกิจ ซ่ึงแต่ละคนใช้เป็นรากฐานการตัดสินใจอันสาคัญของชีวิตท่ีน่าจะนาไปสู่จุดหมาย
ปลายทางแห่งชีวิตทีด่ ี

คตชิ นและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ 155

ศิริ ฮามสุโพธิ์ (2543 : 58) กล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตทั้งระดับบุคคล ครอบครัว
และประเทศวา่ ขึน้ อยูก่ ับองคป์ ระกอบสาคัญ 4 ประการ คอื

1. ระดับความเป็นอยู่ ประกอบด้วย รายได้ประชาชาติต่อหัว สุขภาพ ท่ีอยู่อาศัย
สวสั ดกิ ารสังคมและการศกึ ษา

2. ภาวการณ์เปล่ียนแปลงประชากร ประกอบด้วย อัตราการเพิ่มของประชากร การเกิด
การตาย องค์ประกอบด้านอายแุ ละการย้ายถิน่

3. ทรัพยากร ประกอบดว้ ย มนุษย์ อาหาร เงินทุน ธรรมชาติและเทคโนโลยี
4. ระบบสังคมและวัฒนธรรม ประกอบด้วย ระบบของสังคม ค่านิยมทางศาสนาและ
วฒั นธรรม วถิ ชี ีวติ ระบอบการปกครอง

นงเยาว์ ธาราศรีสุทธิ (2523 อ้างถึงในศิริ ฮามสุโพธิ์, 2543 : 58) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะ
ของบุคคลผู้ทม่ี คี ณุ ภาพชวี ิตทีด่ วี า่ ควรมีปัจจยั สว่ นบุคคล ดงั นี้

1. เป็นคนท่ีมีสุขวทิ ยาส่วนบคุ คลท่ดี ี
2. สขุ ภาพอนามัยสมบรู ณ์
3. เปน็ คนมีคุณธรรม จรยิ ธรรม มโนธรรมและศีลธรรมสูง
4. เปน็ คนมีสขุ ภาพจิตดี
5. เป็นคนมกี ารศกึ ษาและประสบการณพ์ อสมควร
6. มฐี านะทางเศรษฐกจิ พอสมควร
7. อยใู่ นสภาพแวดลอ้ มท่ีดที ้ังทางด้านรา่ งกายและจติ ใจตลอดจนทรัพย์สนิ
8. ปฏบิ ตั ิตามประเพณี วฒั นธรรมและหน้าที่ของสังคม
9. สามารถดาเนนิ กจิ กรรมเพ่อื ให้ได้มาซงึ่ สง่ิ ที่ตนประสงค์ดว้ ยวธิ กี ารท่ีมีความชอบธรรม
10. รจู้ กั ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัดและถูกต้อง
11. สามารถแก้ไขปญั หาเฉพาะหนา้ ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
12. สามารถคาดคะเนเหตกุ ารณ์ภายหนา้ ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
13. มีความเอ้อื เฟอ้ื เผื่อแผ่และโอบอ้อมอารีต่อพ่อ แม่ ญาติ พ่นี ้อง
14. มคี วามสามารถปรบั ตวั เข้ากับสภาพแวดลอ้ มทางสังคม เศรษฐกจิ และการเมอื ง
15. เปน็ คนทม่ี ีความสมบูรณท์ ั้งทางร่างกายและจติ ใจ
16. มีอดุ มคติและอดุ มการณใ์ นการสร้างสรรค์และไม่ขัดต่อสังคม
17. ร้จู กั สทิ ธิหน้าทแี่ ละปฏบิ ัตติ ามบรรทดั ฐานทางสงั คม
18. ไม่เป็นภาระและไม่กอ่ ใหเ้ กิดปัญหาต่อสังคม

156 ชวนพศิ อัตเนตร์

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบและคุณลักษณะท่ีสาคัญของคุณภาพชีวิตนั้นกว้างมาก
และมีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ หลายด้านซึ่งมีทั้งลักษณะท่ีเป็นตัวบุคคลและสภาพแวดล้อม
กลา่ วโดยสรุปได้วา่ คณุ ภาพชีวติ ท่ีดีควรมอี งค์ประกอบ และคณุ ลกั ษณะท่ปี ระกอบด้วยการมคี ุณภาพชีวิต
ทางดา้ นกายภาพ ดา้ นชีวภาพ ดา้ นสงั คม และด้านจิตใจ

ตัวบง่ ชค้ี ุณภาพชวี ิต
คาว่าตัวบ่งช้ีหรือ Indicators แปลว่า ส่ิงบ่งชี้ คานี้ได้ถูกนาไปใช้เรียกชื่อแตกต่างกัน เช่น
ดัชนีชี้วัดดัชนีบ่งชี้ ตัวชี้วัด และเครื่องชี้วัด เป็นต้น ซ่ึงการนาคาไปใช้ก็จะข้ึนอยู่กับลักษณะของการ
นาไปใช้ โดยการใช้คาว่า “เครอื่ งช้ีวัดหรือเครื่องมือชี้วดั ” ในความหมายที่กว้างครอบคลุมมากกว่าคาว่า
“ตัวบ่งชี้” หรือ “ตัวช้ีวัด” เพราะเคร่ืองมือวัดน้ัน ประกอบไปด้วยตัวช้ีวัดหลายตัวในแต่ละประเด็น
เครื่องชี้วัดที่ดีและมีคุณภาพนั้นจะมีความหมายรวมถึงเครื่องมือในการวัด วิธีการวัดแบบประเมินหรือ
แบบทดสอบที่สามารถสะท้อนส่ิงต่าง ๆ ที่ต้องการวัดได้อย่างแม่นยา เช่น เคร่ืองมือช้ีวัดคุณภาพชีวิต
สามารถวัดได้จากรายได้ การได้รับการศึกษาภาคบังคับ และการไม่เจ็บป่วยด้วยโรคท่ีป้องกันแก้ไข ได้
รวมถึงการมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี เป็นต้น (สุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) และคณะ, 2553 : 39)
การกาหนดเคร่ืองบง่ ชีค้ ณุ ภาพชีวิตได้มกี ารรวบรวมไว้ ดงั น้ี
องค์การยูเนสโก (UNESCO, 1981) ได้กาหนดเครื่องบ่งช้ีคณุ ภาพชวี ติ ของประชากรไว้ ดังนี้
อาหารและโภชนาการสุขภาพ การศึกษา สภาพแวดลอ้ ม รายได้ การมีงานทา สถานภาพสตรี และที่อยู่
อาศัย
องค์การสหประชาชาติ (United Nation, อ้างถึงในพรทพิ า นิโรจน์, 2551 : 14) ได้กาหนด
เครื่องชี้วัดคุณภาพชีวิตประชากรในกลุ่มประเทศภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกไว้ 9 หมวด ประกอบด้วย
สุขภาพอนามัย ท่ีอยู่อาศัย ส่ิงแวดล้อม การศึกษาความปลอดภัยของสาธารณะ วัฒนธรรม การจ้างงาน
และชีวิตการทางาน รายได้ และสวสั ดกิ ารสงั คม
องค์การเอสแคป (U.N. 1995) ได้นาแนวคิดคุณภาพชีวิตมากาหนดเป็นเกณฑ์การวัด
คุณภาพชีวิตหรือดัชนีชี้วัดคุณภาพชีวิต โดยมองคุณภาพชีวิตในฐานะท่ีเป็นภาพรวมขององค์ประกอบ
ตา่ ง ๆ ประกอบด้วย 7 ด้าน 28 ตัวชีว้ ัด ดังน้ี
1. ความม่นั คงปลอดภยั ทางเศรษฐกจิ ไดแ้ ก่ รายได้ การใช้จา่ ยและการออม ความยากจน
2. สุขภาพ ไดแ้ ก่ อายุขัย การเปน็ โรค การตาย โภชนาการ ภัยพบิ ตั หิ รือความหายนะ
3. ชีวิตด้านการใช้สติปัญญา ได้แก่ การใช้เหตุผล การอ่านออกเขียนได้ การศึกษานอก
โรงเรยี น การเรยี นรู้ตลอดชวี ติ เชิงวฒั นธรรม
4. ชีวิตการทางาน ได้แก่ การว่างงาน อุบัติเหตุจากการทางาน ความขัดแย้งทาง
อตุ สาหกรรม สภาพการทางาน

คติชนและภูมิปญั ญาท้องถน่ิ 157

5. สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ ท่ีอยู่อาศัย โครงสร้างพ้ืนฐานในการคมนาคมและ
การตดิ ตอ่ สื่อสารสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ

6. ชีวิตครอบครวั ไดแ้ ก่ เด็ก วัยรนุ่ ผู้ใหญ่ ความแตกแยกในครอบครวั
7. ชวี ิตในชุมชน ได้แก่ การมีสว่ นร่วมในสังคม การเมอื งและอตั ราอาชญากรรม
พรทพิ า นโิ รจน์ (2551 : 13) ได้กล่าวถงึ เคร่อื งช้ีวัดทางสงั คมของประเทศสหรฐั อเมริกาที่ใช้
ในการวัดคุณภาพชีวิตของประชากรของประเทศไว้ 8 ด้าน คือ ด้านสุขภาพ ด้านความปลอดภัยในชีวิต
และทรัพย์สินจากอาชญากรรม ด้านการศึกษา ด้านการจ้างงาน ด้านรายได้ ด้านบ้านเรือนท่ีอยู่อาศัย
สิ่งอานวยความสะดวก และเพือ่ นบา้ น ดา้ นเวลาว่างและนนั ทนาการ และดา้ นประชากร
สาหรับในประเทศไทยได้มีการนาเสนอกรอบแนวคิดและการจัดทาตัวบ่งชี้การพัฒนา
คุณภาพชีวิต และการพัฒนาสังคมในลักษณะต่าง ๆ โดยนักวิชาการ นักวิจัยและปราชญ์ชาวบ้าน
ตลอดจนองค์กรต่าง ๆ เพื่อนาไปเป็นทางเลือกให้แก่สังคมมากขึ้น คือ ด้านสิทธิเสรีภาพและการเมือง
ดา้ นการศกึ ษา ด้านสิง่ แวดล้อมและดา้ นคณุ ภาพชวี ิตและการพัฒนาสงั คม

แนวคิดความจาเป็นพ้นื ฐาน (จปฐ.)
ประเทศไทยได้ดาเนินงานด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรมาเป็นเวลานานแล้ว
อาทิเช่น ด้านการศึกษาด้านการสาธารณสุข การพัฒนาชนบท เป็นต้น โดยประเทศไทยได้กาหนด
นโยบายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาตฉิ บับท่ี 3 เป็นต้นมา ซ่ึงการพฒั นาสังคมตามมาตรฐานตวั บ่งช้ีการพัฒนาคุณภาพชีวิตในประเทศ
ไทยได้นาเอาแนวความคิดความจาเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) มาใช้กาหนดเครื่องชี้วัดคุณภาพชีวิตของ
ประชาชนในประเทศ
ข้อมูลความจาเป็นพ้ืนฐาน (จปฐ.) จัดเป็นข้อมูลท่ีแสดงถึงคุณลักษณะของสังคมไทยที่พึง
ประสงค์ ตามเกณฑ์มาตรฐานข้ันต่าของเครอ่ื งชี้วัดวา่ อย่างนอ้ ยคนไทยควรจะมีระดับความเป็นอยู่ไมต่ ่า
กว่าระดับไหน ในช่วงระยะเวลาหน่ึงๆ และทาให้ประชาชนสามารถทราบได้ด้วยตนเองว่าในขณะนี้
คุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัวรวมไปถึงหมู่บ้านอยู่ในระดับใด มีปัญหาท่ีจะต้องแก้ไขในเร่ือง
ใดบ้าง จัดว่าเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาตนเองครอบครัวและสังคม
อนั เปน็ นโยบายสาคัญในการพฒั นาชนบทของประเทศ
ข้อมลู ความจาเป็นพืน้ ฐาน คือข้อมูลในระดบั ครัวเรือนท่ีแสดงถึงสภาพความจาเป็นพ้ืนฐาน
ของคนในครัวเรือนในด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตที่ได้กาหนดมาตรฐานข้ันต่าเอาไว้ว่าคนควรจะมี
คุณภาพชีวิตในแต่ละเร่ืองอย่างไรในช่วงระยะเวลาหน่ึงๆ โดยหลักการของข้อมูล จปฐ. ประกอบด้วย
ดงั น้ี (พรทิพา นโิ รจน์, 2551 : 21)

158 ชวนพิศ อัตเนตร์

1. ใช้เครื่องช้ีวัดความจาเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) เป็นเคร่ืองมือของกระบวนการเรียนรู้ของ
ประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อให้ประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน ทราบถึงสภาพความเป็นอยู่ของตนเอง
และชมุ ชนวา่ บรรลุตามเกณฑค์ วามจาเปน็ พื้นฐานแล้วหรือไม่

2. ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโดยผ่านกระบวนการ จปฐ. นับต้ังแต่การ
กาหนดปัญหาความต้องการทีแ่ ท้จริงของชุมชน ตลอดจนค้นหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยใช้ข้อมูล
จปฐ. ท่ีมีอยตู่ ลอดจนการประเมินผลการดาเนินงานท่ผี ่านมา

3. ใช้ขอ้ มลู จปฐ. เปน็ แนวทางในการคดั เลือกโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลใหส้ อดคล้องกับ
สภาพปัญหาที่แท้จริงของชุมชน ทาให้สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดได้อย่างท่ัวถึงและมี
ประสทิ ธิภาพ รวมท้ังมกี ารประสานระหวา่ งสาขาในดา้ นการปฏบิ ัตมิ ากขึน้

วัตถุประสงค์ของข้อมูลความจาเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) คือ เพ่ือให้ประชาชนสามารถพัฒนา
ชวี ิตความเป็นอยขู่ องตนเองและครอบครัวให้มีคุณภาพชีวติ ท่ีดี อย่างนอ้ ยผ่านเกณฑค์ วามจาเป็นพ้ืนฐาน
โดยมีเครื่องช้ีวัด จปฐ. เปน็ เครื่องมอื

1. ประโยชนข์ องการใช้ขอ้ มูลความจาเป็นพ้ืนฐาน
1.1 ประโยชนข์ องประชาชน ประกอบดว้ ย
1) ประชาชนไม่สบั สนในบทบาทเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
2) ประชาชนไดร้ ู้จกั กบั ปญั หาของตนเอง
3) ประชาชนสามารถกาหนดแนวทางพัฒนาหรือแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ

ได้
4) ประชาชนมีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองสามารถ

ประเมนิ ผลได้
5) เปน็ หลกั ประกนั ในการพฒั นาระยะยาว
6) เป็นการระดมทรพั ยากรในชุมชนมาใชใ้ นการพฒั นา
7) เป็นการส่งเสรมิ ให้ชาวบ้านมีกระบวนการคดิ ทีเ่ ป็นเหตุเปน็ ผล

1.2 ประโยชนข์ องเจา้ หนา้ ท่ีรัฐ/หน่วยงาน ประกอบดว้ ย
1) เจ้าหนา้ ทีข่ องภาครฐั เกดิ การประสานงานกันอยา่ งจริงจงั และเป็นรปู ธรรม
2) เจ้าหน้าท่ีภาครัฐระดับปฏิบัติการมีการรวมความคิดในการทางานร่วมกัน

เพ่ือประชาชน
3) มเี ป้าหมายท่แี นน่ อนสาหรบั การพัฒนาประเทศและสังคมในระยะยาว
4) เป็นการกระจายทรัพยากรไปสู่การพัฒนาที่เป็นความจาเป็นพื้นฐานของ

ประชาชน

คตชิ นและภูมิปญั ญาท้องถิ่น 159

2. ความเป็นมาของการใช้ข้อมูลความจาเป็นพื้นฐาน ประเทศไทยได้ให้ความสาคัญกับ
คุณภาพชีวิตของประชาชนในลักษณะที่เป็นแบบแผนชัดเจนโดยมีพัฒนาการของการใช้ข้อมูลความ
จาเปน็ พ้ืนฐาน ดงั น้ี

ปีพ.ศ. 2528 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบและอนุมัติเมื่อวันท่ี 20 สิงหาคม
2528 ให้มีการดาเนินการโครงการปีรณรงค์คุณภาพชีวิต และประกาศใช้เป็นปีรณรงค์คุณภาพชีวิตของ
ประชาชนในชาติ (ปรช.) ระหว่างวันท่ี 20 สิงหาคม 2528 - 31 ธันวาคม 2530 โดยใช้เครื่องชี้วัด
ความจาเป็นพื้นฐาน 8 หมวด 32 ตัวช้ีวัด เป็นเคร่ืองมือใช้วัดคุณภาพชีวิตของคนไทยว่าอย่างน้อย
คนไทยควรมีคุณภาพชีวติ ในเร่ืองอะไรบ้างและมีระดับความเป็นอยู่ไม่ตา่ กว่าระดับไหนในชว่ งระยะเวลา
หน่งึ ๆ

ปี พ.ศ. 2531 คณะกรรมการพัฒนาชนบทแห่งชาติ (กชช.) ได้ให้สานักงาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (สศช.) มอบโครงการปีรณรงค์คุณภาพชีวิตของประชาชน
ในชาติให้ความสุขกายสบายใจจะทาให้ทางานด้วยความทุ่มเทท้ังกาลังกายและกาลังสมองส่งผลให้
ผลผลิตทเ่ี กิดข้นึ มีคณุ ภาพเกดิ ประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลในการทางานตามไปดว้ ย

3. คุณภาพชีวิตที่ดีเป็นส่ิงสาคัญและเป็นจุดหมายปลายทางของบุคคล ชุมชนและ
ประเทศชาติโดยส่วนรวม หากประเทศใดท่ีประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีจะสามารถพัฒนาประเทศให้
เจริญก้าวหน้าได้ทัดเทียมกับอารยะประเทศได้ ดังน้ันประเทศต่าง ๆ จึงให้ความสาคัญพยายามอย่าง
เต็มที่ในการที่จะพัฒนา และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สูงขึ้นจนถึงระดับมาตรฐานสังคมท่ี
ต้องการ โดยจะเห็นได้จากนโยบายของรัฐบาลแต่ละประเทศกาหนดให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตของ
ประชาชนเปน็ ยุทธศาสตรห์ นึง่ ในการขับเคลอื่ นการพฒั นาประเทศ

จากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตมีความสาคัญต่อบุคคล
สังคมและประเทศชาติ ดงั นี้

1. ความสาคัญระดับตนเองและครอบครัว คือ การมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สุขภาพ
อนามัยดี ไม่เจ็บป่วยทาให้ประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนตนและสามารถประกอบอาชีพทาการงานได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ ทาใหช้ วี ิตความเปน็ อยู่ดี ครอบครวั อบอุ่นไมม่ ปี ญั หา

2. ความสาคัญระดับสังคมและประเทศชาติ เมื่อประชากรในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดีย่อม
ทาให้คุณภาพชีวิตในสังคมและประเทศดีข้ึนด้วย แต่ท้ังนี้รัฐบาลจะต้องมีนโยบายที่จะเอื้อต่อการพัฒนา
คุณภาพชีวิตของประชากรด้วย เช่น ด้านการศึกษา สภาพแวดล้อม การประกอบอาชีพ รายได้ของ
ประชากร เป็นตน้

160 ชวนพิศ อัตเนตร์

เปา้ หมายของการพัฒนาคณุ ภาพชีวิต
ประเทศไทยได้ให้ความสนใจการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรมาอย่างต่อเน่ืองกระทั่ ง
ในปจั จบุ ันได้กาหนดคุณภาพชวี ิตใหเ้ ป็นเป้าหมายสูงสุดของการพฒั นาประเทศ ดงั นนั้ เปา้ หมายของการ
พัฒนาทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้าน สังคมเศรษฐกิจ การปกครอง การสาธารณสุข ฯลฯ ล้วนมุ่งไปสู่การมี
คุณภาพหรือชีวิตท่ีดีของมนุษย์ในสังคม คุณภาพชีวิตเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถกาหนดสร้างเกณฑ์
มาตรฐาน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้และเพื่อทาให้พัฒนาตนเองและสังคมไปสู่เป้าหมายของแต่ละคน
และสังคม นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ในสังคม แต่คุณภาพชีวิตในการยอมรับของสังคม แต่ละ
สังคมจะแตกต่างกัน บางคนอาจมองคุณภาพชีวิตเพียงเรื่องเดียว แต่บางคนอาจมองในหลายๆ เร่ืองซ่ึง
จะข้นึ อย่กู บั การรับรแู้ ละประสบการณ์ (บุญมา พงษโ์ หมด, 2553 : 21) โดยประชากรจะมคี ณุ ภาพหรือมี
คุณลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ ดงั นี้
แบตเตน (Batten, อ้างถึงใน สัญญา สัญญาวิวัฒน์, 2514 : 38) อธิบายถึงลักษณะของคน
ท่เี จรญิ ซงึ่ เปน็ ประชากรทมี่ คี ุณภาพไว้ 5 ประการ คือ
1. เปน็ คนที่รู้จกั ใช้ความคดิ ตอยา่ งมีจดุ หมายปลายทางได้
2. เป็นคนทสี่ ามารถคาดการณ์ภายหนา้ ได้
3. เปน็ คนทสี่ ามารถดาเนินกิจการท่ยี ุง่ ยากและสลับซับซอ้ นได้
4. เป็นคนทยี่ ินดีจะรบั ฟงั ทาความเขา้ ใจความคิดเห็นและความสนใจของผู้อืน่ ได้
5. เปน็ คนท่ีมีความชานาญในการติดต่อสัมพนั ธก์ ับผอู้ ่นื เพ่ือบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ของตน

สญั ญา สญั ญาวิวัฒน์ (2514 : 55) ได้ใหค้ วามคิดเห็นเพ่ิมเติมเก่ียวกับลักษณะประชากรที่มี
คุณภาพเพ่ิมเติมอีกว่านอกจากจะมีคุณลักษณะทั้ง 5 ข้อข้างต้นแล้ว ควรมีคุณสมบัติพ้ืนฐานสาคัญ คือ
มีความรับผิดชอบ มีความสม่าเสมอ มีความเชื่อมั่นในตนเอง รู้จักการพึ่งพาตนเองและมีความซื่อสัตย์
เพม่ิ เตมิ อีกด้วย

นิศารัตน์ ศิลปะเดช (2539 : 67) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของบุคคลที่พึงประสงค์ไว้
6 ประการ ดงั ต่อไปน้ี

1. บุคคลสามารถชว่ ยตนเองได้เพือ่ บรรลถุ งึ ความจาเป็นพนื้ ฐาน
2. บุคคลที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเห็นด้วยกับการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตย
3. บุคคลรักความยุติธรรม ความเสมอภาค เคารพและรู้จักใช้สิทธิเสรีภาพในขอบเขตที่
สงั คมเปน็ ผกู้ าหนดในเร่ืองต่อไปนี้

3.1 รจู้ ักใชเ้ สรีภาพและเคารพสทิ ธิเสรภี าพและประโยชน์ของผูอ้ ื่นและส่วนรวม

คติชนและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น 161

3.2 รูจ้ กั ร่วมมอื กบั ผูอ้ ืน่ ในการทากิจกรรมทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยมจี ิตสานึก
รับผิดชอบ คานึงถึงความทุกข์ยากของผู้อ่ืน ร้จู กั เสยี สละและบาเพ็ญประโยชนแ์ ก่สว่ นรวมเพ่ือความเป็น
ธรรมในสังคมดว้ ยความเต็มใจ

4. บคุ คลในสังคม
4.1 มีสติปัญญาที่จะศกึ ษาและใฝห่ าความรู้
4.2 มคี วามสามารถในการประกอบอาชพี โดยสามารถวางแผนพัฒนาครอบครัวและ

อาชีพให้ถกู ต้อง
4.3 รูจ้ กั หาความสขุ ความพอใจใหแ้ ก่ชวี ติ ในทางที่ถูกทีค่ วร
4.4 มีสขุ ภาพสมบูรณ์ท้งั ร่างกายและจติ ใจ
4.5 มีความขยัน ซื่อสัตย์สุจริต ประหยัด อดทน มีระเบียบวินัย รู้จักพึ่งตนเอง

กตัญญูกตเวที มีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา มีศรัทธา มีความละอายและเกรงกลัวต่อการทาช่ัว มี
สตสิ มั ปชญั ญะและมีความรูเ้ กี่ยวกับหลกั ธรรม

4.6 สามารถรกั ษาเอกลกั ษณ์และวัฒนธรรมอนั ดงี าม
4.7 สามารถพฒั นาเยาวชนในครอบครัวให้สืบทอดเจตนารมณ์และทรัพย์สนิ มภี าวะ
ความเป็นผู้นาในด้านการดารงชีพและอาชีพ เพอ่ื เป็นกาลงั ในการพัฒนาสังคมในอนาคต
5. บุคคลมีความรู้และสามารถในการเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมต่อการประกอบ
อาชพี การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ และอนรุ กั ษ์ธรรมชาติสงิ่ แวดล้อม
6. ประชาชนมขี นาดครอบครวั ทีเ่ หมาะสม
ดังทก่ี ล่าวมาข้างต้นอาจสรปุ ได้วา่ เปา้ หมายของการพัฒนาคุณภาพชวี ิต คอื เป้าหมายสงู สุด
ในการพัฒนาประเทศเพื่อให้ประชากรในประเทศเป็นผ้มู ีความรู้ มคี วามสามารถ มสี มรรถนะทางร่างกาย
ท่ปี กติสุข สขุ ภาพร่างกายแข็งแรงและมีคณุ ธรรมและสามารถอยู่ร่วมกันกับผู้อ่ืนได้ น่ันคือการพัฒนาคน
ใหเ้ ก่ง ดี มีสขุ นั่นเอง
บทสรุป
คุณภาพชีวิตหมายถึง ความรู้สึกที่พึงพอใจของบุคคลอันเกิดจากการได้รับการตอบสนอง
ความต้องการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ความคิด และจิตใจ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่สมดุลกันทั้ง
ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ส่ิงแวดล้อมวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา และค่านิยมในสังคมที่ทาให้
ตนเอง และสมาชิกในสังคมได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ส่วนการพัฒนาคุณภาพชีวิต หมายถึง
กระบวนการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ให้เป็นไปในทิศทางท่ีดีขึ้นในทุกด้าน เพ่ือให้บุคคลแต่ละคนมี
ความสมบรู ณท์ ง้ั ดา้ นรา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญา สามารถปรับตัวเขา้ กบั สังคมและสิง่ แวดล้อม
ได้ มีระดับความเป็นอยู่ท่ีดี มีความผาสุกทั้งทางกายและทางใจ มีความเจริญก้าวหน้ามีความม่ันคงใน
ชีวิตซึ่งปัจจุบันสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเหนือ

162 ชวนพิศ อตั เนตร์

ความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม หรือแม้แต่การ
เปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยที ่ีเรียกวา่ ก้าวไปส่ยู ุคโลกาภิวตั น์ จนทาให้มนุษย์เราต้องมาปรับปรุงและ
พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตให้สอดคล้องรองรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดข้ึนในอนาคตประเทศไทยได้
กาหนดแผนงานในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรอย่างต่อเน่ือง โดยใช้เกณฑ์ข้อมูลความจาเป็น
พ้ืนฐาน หรอื จปฐ. ซึ่งเป็นดชั นีช้ีวัดคุณภาพชวี ิตในเบ้ืองตน้ ดังนน้ั เป้าหมายของการพัฒนาทุกด้านไม่ว่า
จะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ การปกครอง การสาธารณสุข ฯลฯ ล้วนมุ่งไปสู่การมีคุณภาพหรือชีวิตที่ดี
ของมนุษย์ในสังคม คุณภาพชวี ติ เปน็ สิง่ ที่มนุษยส์ ามารถกาหนดสร้างข้ึนได้ตามความต้องการ 5 ข้นั ตาม
แนวคิดเกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ของอับราฮัม มาสโลว์เพ่ือให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้และเพ่ือทาให้
พัฒนาตนเองและสังคมไปสู่เป้าหมายของแตล่ ะคนและสงั คมนอกจากนีย้ ังช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ในสังคม
แตค่ ณุ ภาพชีวติ ในการยอมรับของสงั คมแตล่ ะสงั คมจะแตกต่างกนั โดยบางคนอาจมองคุณภาพชวี ิตเพียง
เรือ่ งเดยี ว สาหรบั บางคนอาจมองในหลายๆ เร่อื งซ่งึ จะขนึ้ อยู่กบั การรับรแู้ ละประสบการณ์

มนุษย์เรามีความต้องการที่จะให้ตนเองเจริญก้าวหน้า ดังน้ันทุกคนจึงต้องพยายามพัฒนา
คุณภาพชวี ติ ของตนเองเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขน้ึ มกี ารคานงึ ถึงสิ่งแวดล้อมและมลภาวะที่มีผล
ต่อการเปล่ียนแปลงรูปแบบของการดาเนินชีวิต การเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม ทาให้มนุษย์มี
รสนิยมสูงขึ้น ปรารถนาสิ่งที่ดีข้ึนหรือดีที่สดุ มีความสามารถที่จะทาตัวเองให้เข้ากับบุคคลอื่นใหไ้ ด้ และ
เป็นที่รักใคร่ชอบพอแก่ทุก ๆ คน การพัฒนาตนเองเป็นทั้งการพัฒนาความรู้ ทักษะและพฤติกรรม ไปสู่
การพัฒนาทัศนคติ แรงจูงใจ และอุปนิสัยเพ่ือค้นหาตนเอง รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปตาม
สิ่งแวดล้อมท่ีเปล่ียนไป การพัฒนาตนเองอาจเป็นการพัฒนาท่ีจิตใจของตนเอง หรือพัฒนาไปสู่
ความสาเร็จในชวี ิต ทาใหม้ คี ณุ ภาพชวี ิตท่ีสมบูรณม์ ีความเป็นอยู่ทีด่ ขี ึ้นตามทใี่ จปรารถนา

6.9 บทสรุป

คาว่า ภูมิปัญญา หมายถึงองค์ความรู้ทั้งหลายทั้งปวงอาจจะอยู่ในรูปของวัตถุหรือมิใช่วัตถุ
กไ็ ด้ เป็นทัง้ ทกั ษะความสามารถ เทคนิคและวิธกี ารตา่ ง ๆ ท่มี กี ารสง่ั สม และไดถ้ า่ ยทอดสบื ตอ่ กันมาจาก
รนุ่ สู่รนุ่ โดยการคิดคน้ ปรบั เปลีย่ นผสมผสานกับความรู้ใหม่ และพัฒนาให้เหมาะสมกับสภาพของสังคม
เพ่ือก่อให้เกิดการพัฒนาวถิ ีชวี ติ ภูมิปัญญามีความเปน็ เอกลกั ษณ์ของตัวเอง ซึ่งภูมิปัญญามี 2 ระดับ คือ
ระดับชาติและระดับท้องถิ่น เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับภูมิปัญญาแล้วพบว่าสะท้อน
ออกมาในมิติของความสัมพันธ์ท่ีได้ดุลยภาพ คือระหว่างคนกับคนท่ีอยู่ร่วมกันในชุมชน และสังคม
ระหว่างคนกับธรรมชาติส่ิงแวดล้อม และระหว่างคนกับส่ิงที่อยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งมิติความสัมพันธ์
ดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ท่ีมีความสมดุลที่ทาให้ทุกฝ่ายทุกภาคส่วนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
และการสบื ทอด และถา่ ยทอดภูมิปัญญาไทยเพ่ือให้คนรนุ่ หลังได้เรียนรู้นัน้ สามารถกระทาได้ท้ังในระบบ
การศึกษาและนอกระบบการศึกษาโดยมีครูภูมิปัญญาหรือปราชญ์ชาวบ้านเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้

คติชนและภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ 163

ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบของการเรียนรู้แบบรายบุคคล และการเรียนรู้แบบรายกลุ่มหรืออาจจะอยู่ใน
รปู แบบของศนู ยก์ ารเรยี นรูก้ ไ็ ด้

ดังนน้ั การศกึ ษาเรียนรู้ และทาความเข้าใจในภูมปิ ัญญาไทยด้านตา่ ง ๆ ถอื ว่ามคี วามจาเป็น
อย่างยิ่งในการท่ีจะทาให้เห็นถึงคุณค่า และความสาคัญของภูมิปัญญารวมไปถึงการผสมผสานประยุกต์
ภูมิปัญญาจากถ่ินอื่นหรือภูมิปัญญาสากลนาใช้ให้เกิดความเหมาะสมลงตัวและสามารถนาไปใช้ได้อย่าง
สอดคล้องกับความต้องการ อีกประการหนึ่งคือการเผยแพร่ภูมิปัญญาไทยออกไปสู่สาธารชนให้เป็นที่
รู้จัก และยอมรับกันโดยทั่วไปย่อมเป็นหนทางท่ีดีในการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยให้เกิดการพัฒนา
ก้าวหน้า และเกิดคณุ คา่ สงู สดุ ในสังคมต่อไป

6.10 คำถำมทบทวน

ตอนที่ 1 เปน็ แบบปรนัย :

จงเลือกคาตอบทถี่ กู ตอ้ งทสี่ ุดเพยี งข้อเดยี วโดยทาเครื่องหมาย X ลงบนขอ้ ทท่ี า่ นเลอื ก

1. ลกั ษณะเดน่ ภูมิปญั ญาไทย คอื ข้อใด

ก. เป็นทศั นคติรูปแบบหน่ึงในการมองชวี ติ

ข. เปน็ ประสบการณ์ เรยี นรู้ดว้ ยตนเอง

ค. สืบทอดทางสายเลอื ดได้

ง. เปน็ ผลงานทีจ่ บั ต้องได้

จ. เปน็ องคค์ วามรู้

2. ข้อใดเป็นภมู ปิ ัญญาที่เปน็ “นามธรรม”

ก. พฤตกิ รรมการแสดงออก ข. เครอื่ งใช้ภายในบา้ น

ค. ความเช่อื ความรู้ ง. ภาพวาดศิลปะ จ. โทรศัพทม์ อื ถือ

3. “ย้ิมสยาม” จดั เปน็ ภูมปิ ัญญาประเภทใด

ก. ความเช่ือ สิ่งศกั ดสิ์ ิทธิ์ ข. แบบแผน พฤติกรรม

ค. จารตี ประเพณี ง. มารยาททด่ี งี าม จ. ไม่มขี อ้ ใดถูก

4. ขอ้ ใดคอื มติ ิความสัมพนั ธข์ องภูมปิ ญั ญา

ก. ธรรมชาติ ส่งิ เหนือธรรมชาติ ความเช่ือ

ข. คน ธรรมชาติ สงิ่ เหนือธรรมชาติ

ค. มนุษย์ เทคโนโลยี ธรรมชาติ

ง. ธรรมชาติ ความเช่อื ศาสนา

จ. เศรษฐกจิ สงั คม การเมือง

164 ชวนพศิ อัตเนตร์ ข. 3 ระดับ จ. 6 ระดับ
ง. 5 ระดบั
5. ภมู ิปัญญาไทย มกี ่รี ะดบั
ก. 2 ระดับ
ค. 4 ระดับ

ตอนที่ 2 เป็นแบบอัตนยั : จงตอบคาถามตอ่ ไปนีโ้ ดยเขยี นลงบนกระดาษใบตอบ
6. ภูมิปัญญาไทยหรือภูมิปัญญาชาติ เหมือนหรือแตกต่างกับภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือภูมิปัญญา

ชาวบ้านอย่างไร
7. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร แบ่งประเภทของภมู ิปญั ญาไทยไว้ท่ดี ้าน อะไรบา้ ง
8. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้กาหนดสาขาภูมิปัญญาไทยเพ่ือประโยชน์ทาง

การศึกษาไว้อย่างไร
9. จงอธิบายถึงคณุ ค่า และความสาคญั อยา่ งไรภมู ปิ ญั ญาไทย
10. แนวทางการส่งเสริมภูมปิ ญั ญาไทย ประกอบด้วยอะไรบ้าง

6.11 เอกสำรอำ้ งองิ

กฤษณา วงษาสนั ต์ และคณะ. (2542). วถิ ไี ทย. กรุงเทพฯ : เธริ ์ดเวฟเอด็ ดูเคชน่ั .
กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ. (2544). ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย. กรุงเทพฯ :

ร่วมด้วยชว่ ยกัน.
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. (2556).

รายงานวิจัยเร่ือง การศึกษารูปแบบการใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาท้องถ่ินเพื่อการจัด
สวสั ดิการสังคมกรณศี กึ ษา : ภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ินผู้สูงอายุ. เอกสารวชิ าการท่ี 15/2556,
สานักส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 3 (สสว.3). คมพล สุวรรณกูฎ. (2550). วัฒนธรรมกับสังคม.
กรุงเทพฯ : แฟมิลกี ๊อปป.ี้
ทรงจิต พูลลาภ และคณะ. (2544). รายงานการศึกษาสารวจศักยภาพและสถานภาพของภูมิปัญญา
ไทยเพอื่ ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาชุมชนใหเ้ ขม้ แข็งและยั่งยืน. กรุงเทพฯ : สถาบัน
ราชภฏั พระนคร.
ธวชั ปณุ โณทก. (2531). ภมู ปิ ญั ญาชาวบ้านอสี าน ทัศนะของอาจารย์ปรีชา พณิ ทอง. ในเสรี พงศ์พิศ
(บรรณาธกิ าร). ทิศทางหม่บู า้ นไทย. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พ์หมู่บา้ น.
ประเวศ วะส.ี (2532). วัฒนธรรมกบั การพฒั นา. กรุงเทพฯ : คุรุสภา.
________. (2539) เอกสารประกอบการประชุมคณะกรรมการดาเนินงานโดยภูมิปัญญาท้องถิ่น
กับการพัฒนาหลักสูตร. ครั้งที่ 1/2539 วันอังคารท่ี 13 กุมภาพันธ์ 2539 เวลา 13.00-
15.00 น. ห้องประชุมวชิ าการชัน้ 6.

คตชิ นและภูมปิ ญั ญาท้องถิ่น 165

ปราณี ตันตยานบุ ุตร. (2551). ภมู ปิ ัญญาไทย. พมิ พ์ครง้ั ที่ 3, กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธุรกิจบัณฑติ .
พระครูวินัยธรประจักษ์ จกฺกธมฺโม. (2545). พระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์

มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .
ยิ่งยง เทาประเสริฐ (2537). ศักยภาพของภูมิปัญญาพ้ืนบ้าน. วารสารการศึกษาแห่งชาติ. (ปีที่ 28

ฉบับที่ 5 มถิ ุนายน 2537).
รัตนะ บัวสนธิ์. (2535). การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญา

ท้องถ่ิน : กรณีศึกษาชุมชนในเขตภาคกลางตอนล่าง. ปริญญาดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวโิ รฒ วิทยาเขตประสานมติ ร.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. พิมพ์ครั้งท่ี 6.
กรุงเทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทัศน.์
วรวธุ สวุ รรณฤทธิ์ และคณะ. (2546). วิถีไทย. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.

บทท่ี 7
วฒั นธรรมวัตถุ

ส่ิงมีชีวิตในโลกนี้ย่อมมีความต้องการในส่ิงจาเป็นต่าง ๆ เพ่ือดารงชีวิตของตนให้อยู่รอด
ส่ิงจาเป็นนี้บางอย่างก็เป็นความจาเป็นท่ีผลัดหรือหลีกเล่ียงไปไม่ได้เลย ซ่ึงมักจะเป็นความต้องการทาง
กายภาพและทาให้มีชีวติ อย่ตู ่อไปได้

ความต้องการ (Need หรือ Needs) เป็นสิ่งท่ีมนุษย์ทุกคนในสังคมมีอยู่ ดังที่อุทัย หิรัญโต
อธบิ ายถึงเรอ่ื งของความต้องการนี้ไว้ว่า

“ในทางจติ วิทยาน้ันถือวา่ ทุกกรยิ าทา่ ทางหรือการแสดงออกใด ๆ ทม่ี นษุ ย์แสดงออกมาเป็น
รูปของพฤติกรรม เกิดข้ึนเพราะมีสิ่งหน่ึงสิ่งใดมาเร้า (Stimulus) แต่ความเคล่ือนไหวของอินทรีย์ที่
ปรากฏออกมาในรูปของพฤติกรรมนี้ต้องมีมูลเจตนาหรือแรงจูงใจ และแรงจูงใจน้ันมีท้ังท่ีเกี่ยวกับ
ร่างกายและจิตใจ เช่น ความหิว ความกระหาย ความอยากจะมีช่ือเสียง เป็นต้น ซ่ึงเกิดข้ึนจากความ
ต้องการ (Needs) ของร่างกาย หรือความต้องการแห่งชีวิตทางสรีรวทิ ยา (Physiological Needs) ส่วน
ความต้องการทางด้านจิตใจหรือความต้องการทางสังคม (Social Needs) เป็นสมบัติประจาตัวของ
มนุษย์เช่นกัน หากแต่เป็นความต้องการท่ีเกิดจากความเคยชินที่มนุษย์มีชีวิตรอดอยู่เช่นต้องการมี
รถยนต์สวย ๆ มีบา้ นใหญ่โต และต้องการมีเกียรติชื่อเสียง เป็นตน้

ตามที่กล่าวมาคาว่า “ความต้องการ” จึงมีความหมายกว้างขวางอยู่มาก นอกจากนี้ยังมคี า
อืน่ ๆ ท่ีมีความหมายใกลเ้ คยี งกนั อีกหลายคา เช่น Want (ความอยากได้) Wish (ความประสงค์) Desire
(ความปรารถนา) คาดังกล่าวความจริงก็เปน็ ความต้องการประเภทหน่ึงนนั่ เอง ความต้องการเป็นเร่อื งท่ี
พัวพันกับการดารงชีวิตให้อยู่รอดของมนุษย์ ความต้องการจึงปรากฏออกมาในรูปต่าง ๆ คือ อาจเป็น
“ความอยากได้” “ความประสงค์” และ “ความปรารถนา” ทั้งในรูปของความต้องการอันจาเป็นแห่ง
ชีวิตซ่ึงมีมาแต่กาเนิด และหาข้ึนภายหลัง (The Needs Original And Acquired) แต่ถ้าจะกล่าวโดย
สรุปแล้ว ความตอ้ งการของคนที่มีอยู่ 3 ประการใหญ่ ๆ คอื

1. ความตอ้ งการทางร่างกาย (Biological Needs)
2. ความตอ้ งการทางจติ วิทยา (Psychological Needs)
3. ความตอ้ งการทางสังคม (Social Needs)”

คติชนและภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่ 167

วิลเลียม เอ. ฮาวิแลนด์ (William A. Haviland) กล่าวว่า บรอนิสลอว์ มาลินอฟสกี

อภิปรายว่าผู้คนทุกหนทุกแห่งในโลกนี้จะมีความต้องการทางร่างกาย และความต้องการทางจิตวิทยา

ร่วมกัน และบทบาทหน้าที่พ้ืนฐานของหน่วยงาน หรือสถาบัน หรือหลักการทางวัฒนธรรม ก็คือการ

สนองความต้องการเหล่าน้ัน ซึ่งมาลินอฟสกี ได้สรุปให้เห็นว่าความต้องการเบื้องต้นของมนุษย์มีอยู่

3 ระดบั ท่ีวฒั นธรรมทกุ แห่งจะตอ้ งตอบสนอง คอื

1. วัฒนธรรมจะต้องตอบสนองความต้องการทางร่างกาย เช่น ความต้องการอาหารและ

ความต้องการแพรพ่ ันธุ์

2. วัฒนธรรมจะต้องตอบสนองความต้องการทางเคร่ืองมือ หรือเคร่ืองอานวยประโยชน์

เชน่ ความต้องการกฎหมายและความต้องการการศกึ ษา

3. วัฒนธรรมจะต้องตอบสนองความต้องการรวมกันเป็นหน่ึงเดียว เช่น ศาสนา และ

ศิลปะ

ทฤษฎีของมาลินอฟสกี คือทฤษฎีการหน้าท่ีนิยม (Functionalism) ซึ่งสรุปว่าลักษณาการ

วัฒนธรรม (Cultural Trait) ทั้งหมดทาหน้าท่ีสนองความต้องการของปัจเจกบุคคลในสังคม ความ

ต้องการน้ีมีทั้งความต้องการพื้นฐาน (Basic Need) ที่รวมไปถึงการกินอาหาร การแพร่พันธุ์ ความสุข

กาย ความปลอดภัย การพักผ่อนการเคล่ือนไหว และการเจริญเติบโต ลักษณะบางอย่างของวัฒนธรรม

จะตอบสนองความต้องการพ้ืนฐานเหล่าน้ี และในการทาเช่นนี้จะทาให้เกิดความต้องการสืบเน่ือง

(Derived Need) ซ่ึงก็จะต้องได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่นลักษณาการวัฒนธรรมท่ี

ตอบสนองความต้องการอาหาร จะทาให้เกิดความต้องการสืบเน่ือง หรือความต้องการระดับรอง คือ

ความรว่ มมอื กนั ในการเก็บ รวบรวมอาหาร หรือผลิตอาหาร และเมอ่ื เป็นเช่นนีแ้ ล้วสังคมกจ็ ะต้องพัฒนา

รูปแบบของการจัดระเบียบทางการปกครอง และการควบคุมทางสังคมที่เป็นหลักประกันว่าจะต้องให้

สมาชิกในสงั คมมีความร่วมมอื กัน

ความต้องการที่จาเป็น และการตอบสนองทางวัฒนธรรมนี้ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีวิถีชีวิต

และความเป็นอยู่แตกต่างไปจากสัตว์ ท้ังยังมีวัฒนธรรม อันเป็นสิ่งที่แยกมนุษย์ออกมาจากสัตว์ด้วย

ความต้องการจาเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์น้ีมองเห็นได้ชัดในการทากิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ดังท่ี

นักวิชาการด้านมานุษยวิทยาระบุไวเ้ ป็นข้อๆ โดยกลา่ วถึงความต้องการจาเป็น (Basic Needs) และการ

ตอบสนองทางวัฒนธรรม (Cultural Responses) ควบคกู่ ันไปดังนี้

ความต้องการจาเป็น การตอบสนองทางดา้ นวฒั นธรรม

1. สิง่ ท่ีบารงุ เลยี้ งชีวติ 1. เสบยี ง การหาอาหาร

2. การสืบพันธ์ุ การแพร่พนั ธ์ุ 2. เครือญาติ

3. ความจาเปน็ ทางรา่ งกาย 3. ที่อยูอ่ าศยั

4. ความปลอดภัย 4. การป้องกันภัย

168 ชวนพิศ อัตเนตร์

5. การเคลอื่ นไหว 5. กิจกรรม

6. การเจรญิ เติบโต 6. การอบรม การฝกึ อบรม

7. สขุ ภาพดี 7. การสาธารณสุข สขุ อนามัย

เม่ือเวลาผ่านไปนาน ๆ เข้า มนุษย์ก็สามารถท่ีจะพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถในการที่จะสร้างเครื่อง

ไม้เครื่องมือสาหรับใช้สอย หรืออุปกรณ์สาหรับอานวยความสะดวกสบายต่าง ๆ ได้มากข้ึน และดีข้ึน

ตามลาดับ ดังที่นักมานุษยวิทยาช้ีให้เห็นวิวัฒนาการของมนุษยชาติว่า มนุษย์จะมีความเจริญไปตาม

ขั้นตอน จากข้ันตอนป่าเถื่อน ไร้อารยธรรมไปจนถึงขั้นตอนอารยธรรม มนุษย์จะเกิดการเรียนรู้ในด้าน

กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเลี้ยงสัตว์ การดูแลปศุสัตว์ การปลูกพืช และต่อมาก็รู้จักการเก็บสะสมอาหาร

และถนอมอาหารไว้รับประทานนาน ๆ เหล่าน้ีเป็นการตอบสนองด้านวัฒนธรรมท่ีเกิดจากน้ามือมนุษย์

เพื่อตอบสนองความต้องการจาเป็น ต้ังแต่สังคมสมัยด้ังเดิมมาจนถึงสังคมที่มีความเจริญทางอารยธรรม

และมคี วามกา้ วหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ

7.1 ความหมายของวฒั นธรรมวัตถุ

พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายคาว่า Material
Culture ว่า วฒั นธรรมวตั ถุ คือวฒั นธรรมในสว่ นที่ประกอบขึ้นดว้ ยส่งิ ที่เป็นวตั ถุ ไม่วา่ จะเป็นส่ิงประดิษฐ์
หรอื วตั ถุอืน่ ใดท่วี ฒั นธรรมกาหนดความหมายหรือคุณค่าให้ เสถยี รโกเศศ ไดอ้ ธิบายไวใ้ นเร่ืองวฒั นธรรม
วัตถุ ว่าส่ิงมีชีวิตต้องมีความต้องการและความจาเป็นเร่ืองอาหารการกิน ซึ่งมนุษย์เองก็ดีกว่าสัตว์ตรงท่ี
รู้จักการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การหุงต้ม และถนอมอาหาร ตลอดจนการทาเส้ือผ้าเครื่องนุ่งห่ม การ
สรา้ งบา้ นเรือน และเครือ่ งมือเครื่องใช้ และสรุปวา่ “สิ่งทส่ี ังคมสร้างขึ้นหรือทาข้ึนดว้ ยความจาเป็น และ
มีความต้องการเก่ยี วกบั ชีวติ หรือรา่ งกายน้ี เรียกเป็นคารวมวา่ วัฒนธรรมทางวตั ถุ (Material Culture)”

ส่วนความหมายของ Material Culture นั้น Encyclopaedia Britannica อธิบายว่า
Material Culture หรือวิถีชีวิตพื้นบ้าน (Folk Life) คือส่วนประกอบของคติชนท่ีเป็นท่ีตรงกันข้ามกับ
วรรณกรรมมุขปาฐะคา ๆ นี้ใช้แสดงถึงวัตถุต่าง ๆ ที่มีตัวตนที่ผลิตข้ึนในวิถีทางที่เป็นประเพณีปรัมปรา
ดังน้ัน Material Culture จะมีความหมายครอบคลุมไปถึงสถาปัตยกรรมพื้นบ้าน ศิลปะพ้ืนบ้าน และ
หัตถกรรมพื้นบ้าน ซึ่งก็จะรวมเอาวิธีการสร้างบ้าน การออกแบบและการตกแต่งสิ่งก่อสร้าง และ
เคร่ืองใชไ้ มส้ อย และการทาอุตสาหกรรมในครัวเรือน ซ่งึ มีแนบ และวธิ กี ารตามแบบดัง้ เดมิ นอกจากน้ีก็
ยังมกี ารสร้างรว้ั การทานา้ หวานท่ีไดจ้ ากข้าวฟ่าง และการเยบ็ ผ้าหม่ นวม ทน่ี ับรวมอยูใ่ นหัวข้อนที้ ง้ั หมด

ริชาร์ด เอ็ม. คอร์สัน กล่าวถึง Material Culture ว่าหมายถึงวิถีชีวิตพ้ืนบ้านทางกายภาพ
(Physical Folklite) ท่ีตรงกันข้ามกับข้อมูลคติชนแบบมุขปาฐะอย่างสิ้นเชิง การศึกษาแบบน้ีคือการเข้า
ไปเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคนพื้นบ้าน ท่ีเป็นลักษณะที่มองเห็นได้มากกว่าลักษณะที่ได้ยินได้ฟัง

คติชนและภูมปิ ัญญาท้องถ่ิน 169

พฤติกรรมแบบพื้นบ้านนี้คงอยู่มาก่อนอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักร และยังคงอยู่อย่างต่อเน่ือง ควบคู่มา
กับอุตสาหกรรมนี้ Material Culture เป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อกลวิธีทักษะตาราอาหารตารับยา และสูตร
ตา่ ง ๆ ท่ถี า่ ยทอดกันต่อ ๆ มาเปน็ รุ่น ๆ และข้ึนอยกู่ ับพลงั อานาจของประเพณีปรัมปราที่อนรุ ักษ์ไว้แบบ
เดียวกันกับศิลปะเกี่ยวกับถ้อยคา กับมีการเปล่ียนแปลงที่เป็นเอกเทศเหมือนกับศิลปะเกี่ยวกับถ้อยคา
ดว้ ย

ดอร์สันอธิบายต่อไปว่า นักศึกษาวัฒนธรรมวัตถุจะต้องเกี่ยวข้องกับคาถามท่ีว่า ผู้คนทั้ง
ชายและหญิงในสังคมโบราณสรา้ งท่ีอยู่อาศัยของพวกเขาอย่างไร ทอผ้าและทาเส้ือผ้าอย่างไร เตรียมยา
หารอย่างไร เพาะปลูกและตกปลาอย่างไร ทาเคร่ืองป้ันดินเผาอย่างไร สร้างเครื่องมือและอุปกรณ์
ตลอดจนออกแบบเคร่ืองเรือนและเครื่องใช้ไม้สอยอย่างไร ซ่ึงในสังคมของแต่ละเผ่านั้นกระบวนการ
เหล่าน้ีจะเป็นประเพณีท่ีถ่ายทอดกันมาตั้งแต่ต้ังเดิม และผลผลิตทั้งหลายก็จะทาด้วยมือ ถึงแม้ว่าจะมี
บางส่ิงบางอย่างใหม่ๆเกิดขึ้นก็ตาม นักคติชนวิทยาอีกผู้หนึ่งคือไซมอน เจ. บรอนเนอร์ (Simon J.
Bronner) กล่าวถึง “วัตถุพื้นบ้าน” หรือ Folk Object เช่น บ้าน ไม้แกะสลัก อาหารพื้นบ้านบางอย่าง
ว่าเป็น “ผลผลิตทางวัตถุตามประเพณีนิยม” บรอนเนอร์อธิบายว่า “วัตถุพื้นบ้านคือสิ่งท่ีเป็นปัจจัย
สาคัญของประเพณีปรัมปรา ซึ่งปกติแล้วจะเรียนรู้ด้วยวิธีการเลียนแบบงานของชุมชนหรือครอบครัว
จากสมาชกิ ในชมุ ชนหรือในครอบครวั และด้วยการเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มในประเพณีของท้องถน่ิ วตั ถพุ ื้นบ้าน
จะแสดงถึงการซ้า (Repetition) และการเปลี่ยนแปลง (Variation) ที่มีร่วมกับรูปแบบอื่น ๆ ของคติชน
เชน่ นทิ าน เพลง สภุ าษติ และปรศิ นาซงึ่ เปน็ เร่ืองแนน่ อนวา่ วัตถุพ้ืนบ้านแสดงให้เห็นความสมั พันธ์หรือ
การเช่ือมโยงภายในท่ีมีร่วมกับรูปแบบทุกประเภทของคติชน ไม่ว่าจะเป็นบ้านสักหลังหน่ึง ไม้แกะสลัก
สักช้ินหนึ่งหรืออาหารสักจานหนึ่งก็ตาม ส่ิงเหล่าน้ีล้วนสะท้อนให้เห็นประสบการณ์ที่ทุกคนมีร่วมกัน
เห็นความคิดของชุมชน และค่านิยมท่ีดึงเอาปัจเจกบุคคลและกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งกัน และกันทั้งยัง
เก่ียวขอ้ งกับสภาพแวดล้อมดว้ ย ในการท่ีจะเน้นถึงความเช่ือมโยงภายในน้ี เรามกั จะใช้คาว่า “Material
Culture” เพื่อชใี้ หเ้ หน็ วตั ถทุ ีเ่ ขา้ มาสอดประสานกับชีวิตประจาวนั ของปัจเจกบุคคลและชมุ ชน”

บรอนเนอร์ อธิบายต่อไปว่า สิ่งที่สอดประสานเข้ามานี้เองท่ีทาให้เราสามารถมีต้นฉบับ
(Text) ท่ีจะนามาศึกษาได้ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว “ต้นฉบับ” เป็นคาท่ีเรานามาใช้บอกลักษณะของ
เร่ืองเล่า และรูปแบบของการใช้ถ้อยคา โดยท่ีเราลืมไปว่าคา ๆ น้ีมาจากภาษาละตินที่หมายถึง “สิ่งท่ี
สอดประสานเข้ามา” และด้วยเหตุนี้เองเราจึงสามารถนาคานี้มาใช้กับการกาหนดลักษณะของวัตถุได้
ด้วย แต่ด้วยเหตุท่ีวัตถุพื้นบ้านจะคงอยู่ในรูปแบบของวัตถุมากกว่ารูปแบบของถ้อยคา หรือรูปแบบของ
ท่าทาง (Gestural Form) วิถีทางการศึกษาของรูปแบบเหล่าน้ีจึงต่างกัน เน่ืองจากวัตถุชิ้นหน่ึงต้องการ
เนือ้ ที่ เปน็ ส่ิงทค่ี งอย่ไู ด้ เป็นส่ิงทีเ่ หน็ ได้ สูดกลิน่ ได้ และสมั ผสั แตะตอ้ งได้ การศึกษาวตั ถพุ ื้นบา้ นจงึ ต้องมี
มตี ทิ ี่กวา้ งกวา่ การศึกษาข้อมูลที่เปน็ ถ้อยคา

170 ชวนพศิ อตั เนตร์

ความหมายของ Material Culture ในทางมานุษยวิทยาจะค่อนข้างกว้าง และเน้นความ
เปน็ ของกลุ่มมากกว่าของปัจเจกบุคคล คือ หมายถึงการประดิษฐ์ทางเทคโนโลยี (Technology) และสิ่ง
ที่ประดิษฐ์ด้วยมือคน หรือวัตถุที่คนประดิษฐ์ข้ึน และเผยแพร่อยู่ในกลุ่มสังคม ซ่ึงรวมถึงส่วนประกอบที่
เก่ียวข้องกบั กิจกรรมทยี่ ังคงกระทาอยใู่ นกลุ่ม ตลอดจนสิ่งท่ผี ลติ ขึ้นมาเพ่ือใหเ้ ป็นเครื่องประดบั เป็นงาน
ศิลปะ หรือมีจุดประสงค์เพ่ือใช้ในพิธีกรรม การศึกษา Material Culture ในนัยหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับ
โบราณคดี ซ่ึงจะเป็นการศึกษาข้อมูลวัตถุท่ีปรากฏหลงเหลอื เป็นหลักฐานของชุมชนท่ีเราต้องการศึกษา
และการศึกษาวัฒนธรรมของชุมชนน้ันทาได้โดยศึกษาจากข้อมูลเหล่าน้ันเท่าน้ัน ส่วนอีกนัยหน่ึงก็คือ
เกี่ยวข้องกับมานุษยวิทยาของศิลปะ (Art) คนตรี (Music) การร่ายรา (Dance) สัญลักษณ์นิยม
(Symbolism) และพิธีกรรม (Ritual) และยังรวมไปถึงมานุษยวิทยาของระบบเทคโนโลยี
(Technological systems) อีกดว้ ย

จากการศึกษาความหมายของวฒั นธรรมวัตถุ ดงั ทีก่ ลา่ วมาแล้วน้ี สรุปได้วา่ วัฒนธรรมวัตถุ
โดยทั่วไป หมายถึง ผลผลิตที่เป็นวัตถุที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ในการดารงชีวิตของมนุษย์ และมี
ความสาคัญต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ในแง่ที่ว่า ผลผลิตบางอย่างเป็นสิ่งท่ีสร้างขึ้นตามความต้องการท้ังทาง
รา่ งกายและจิตใจ

วัตถุที่มนุษย์ประดิษฐ์ข้ึนมา คือ Artifact หรือ Artefact ซึ่ง เสถียรโกเศศ ใช้คาภาษาไทย
ว่า วัตถุวัฒนธรรม ส่วนพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ-ไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานใช้ว่า
ส่ิงประดิษฐ์ หมายถึงสิ่งท่ีเป็นวัตถุอันเป็นผลงานการออกแบบของมนุษย์ ในท่ีน้ีจะใช้ว่าส่ิงประดิษฐ์
ส่ิงประดิษฐ์ของคนพ้ืนบ้าน จะเป็นส่ิงที่ธรรมดาสามัญ และในสมัยแรก ๆ จะเกี่ยวข้องกับการดาเนิน
ชีวิตประจาวันมากกว่าอย่างอื่น เช่น การปรุงอาหาร การตกแต่งที่อยู่อาศัย การทาเส้ือผ้า และ
การประดิษฐ์เครื่องใช้ไม้สอยในบ้าน นอกจากนี้ก็มีเคร่ืองมือทางเกษตรกรรม เคร่ืองมือท่ีใช้สาหรับตัด
หรอื เจาะ หรือขดุ หรือใชเ้ ป็นอาวธุ ตลอดจนเคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการขนส่ง เช่น เกวยี นหรือรถมา้ เป็นต้น

การผลิตวัตถุทางวัฒนธรรมของคนพื้นบ้าน ทาได้โดยการศึกษาและเลียนแบบวิธีการท่ี
ถ่ายทอดกันมาในชุมชนที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ ซ่ึงอาจจะเป็นวิธีการท่ีทากันอยู่ในครอบครัวของเขาเอง
หรือตัวบุคคลผู้นั้นเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในประเพณีของท้องถิ่นนั้น ๆ การที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมใน
วัฒนธรรม ประเพณี ของท้องถิ่นใด ๆ ก็ตาม จะทาให้เรามองเห็นว่า วัฒนธรรมวัตถุจะเข้าไปมีส่วน
เก่ียวข้องสัมพันธ์กับคติแบบต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ในท้องถ่ินนั้น ๆ เช่น การสร้างวัดในชุมชนใดชุมชนหน่ึง
เป็นการสร้างวัตถุทางวัฒนธรรม ที่เก่ียวข้องกับความเช่ือทางศาสนา และการสร้างวัดในแต่ละชุมชน
แตล่ ะทอ้ งถ่ิน จะมรี ปู ทรงและลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป ดังนัน้ วฒั นธรรมวัตถุทุกรูปแบบ จะสะท้อน
ให้เห็นประสบการณ์ร่วมของคนในชุมชน เช่น การสร้างบ้านที่อยู่อาศัย โรงนา ยุ้งข้าว การแกะสลักไม้
การสานตะกร้า หรือแม้แต่การทาอาหารสักจานหนึ่ง จะแสดงให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของคนในชุมชน
และค่านิยมในชุมชน ท่ีจะช่วยดึงเอาปัจเจกบุคคลเข้าไปเก่ียวข้องกับคนในชุมชนนั้น เราใช้คาว่า

คตชิ นและภูมิปัญญาทอ้ งถ่นิ 171

“วัฒนธรรมวัตถุ” เพ่ือแสดงให้เห็นว่าวัตถุต่าง ๆ เหล่าน้ีจะเข้าไปมีบทบาทอยู่ในชีวิตประจาวันของ
ปจั เจกบคุ คลกบั กลมุ่ ของเขา

คาท่มี ีความหมายเกี่ยวขอ้ ง
คาท่ีมีความหมายเก่ียวข้องกับวัฒนธรรมวัตถุกาหนึ่ง คือ Technology พจนานุกรมศัพท์
สังคมวิทยา อังกฤษ - ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่า Technology ประยุกต์วิทยา เทคโนโลยี
หมายถึง
1. มวลความรู้และวิธีการสร้างทาเครื่องมือเคร่ืองใช้ ของมนุษย์ในสังคมวัฒนธรรมหน่ึง
ในแต่ละยุคแต่ละสมัย รวมทั้งการนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการผลิต และกิจกรรมอื่น ๆ ใน
สงั คม
2. วิชามานุษยวิทยาแขนงหน่ึง ที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางวัตถุ และศิลปะ
อุตสาหกรรมต่าง ๆ
สว่ นอุทัย พริ ญั โต อธิบายว่าคาว่า Technology ในภาษาไทยมีผู้แปลว่า ประยกุ ตการวทิ ยา
แต่โดยมากนิยมใช้ทับศัพท์ว่า “เทคโนโลยี” เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ท่ีเก่ียวกับการใช้
ความรู้ และเครือ่ งมอื ของมนษุ ยใ์ นการผลิต หรอื ประกอบกิจกรรมตา่ ง ๆ ในสังคม ซ่ึงสามารถทาได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ นอกจากน้ีวิชามานุษยวิทยาแบ่งวิชาออกเป็นแขนงหนึ่งเรียกว่า Technology โดยมี
เน้ือหาทาการศกึ ษาเก่ยี วกบั วัฒนธรรมทางวตั ถุ และศิลปะในการประกอบอตุ สาหกรรม
ดังนั้น เทคโนโลยีของกลุ่มก็คือ วิถีทางท่ีมนุษย์มีการปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติแวดล้อม
น่ันเองวถิ ที างเหล่านจ้ี ะรวมเอาความรู้ ความสามารถ และความชานาญทีม่ นษุ ยม์ อี ยู่ มาสรา้ งสงิ่ ตา่ ง ๆ ท่ี
เป็นความจาเป็นแก่ชีวิต เช่น การแสวงหาวัตถุดิบในถ่ินที่อยู่ของตน หรือการขนย้ายวัตถุดิบจากแหล่ง
อ่ืน หรือท้องถ่ินอ่ืน เพ่ือนามาบริโภค หรือผลิตเป็นเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ การปฏิสัมพันธ์นี้รวมถึงการใช้
เครื่องมือเครื่องใช้ แบบแผนของงาน ข้อมูลข่าวสารหรือความรู้ และการจัดการแหล่งทรัพยากรเพื่อ
กจิ กรรมการผลติ ดว้ ย
คาว่า Technology กว้างกว่าคา Material Culture ซึ่งคาหลังนั้นอ้างอิงถึงการสร้าง
สิ่งประดิษฐ์หรือการประดิษฐ์วัตถุขึ้นมาใช้ในหมู่ประชากร และลักษณะของส่ิงประดิษฐ์น้ัน แต่คา
Technology จะใช้ควบคู่กันไปกับเศรษฐกิจ และการจัดการทางสังคมอย่างไม่อาจจะเเยกออกจากกัน
และยังขึ้นอยู่กับการแบ่งประเภททางวัฒนธรรมของทรัพยากรที่เก่ียวข้องกับส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาติ
ด้วย
ดังน้ันวัฒนธรรมวัตถุจึงรวมถึงการประดิษฐ์ทางเทคโนโลยี และสิ่งที่ประดิษฐ์ด้วยมือคน
หรือวัตถุท่ีคนประดิษฐ์ข้ึน แล้วเผยแพร่อยู่ในกลุ่มสังคม อันเป็นส่วนประกอบหรือส่ิงต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง
กบั กจิ กรรมของกลุ่ม ตลอดจนสิ่งที่ประดิษฐ์ข้ึนมาเพ่ือให้เปน็ เคร่ืองประดับ เป็นผลงานทางศิลปะหรือใช้

172 ชวนพิศ อตั เนตร์

ในพิธีกรรม การศึกษาวัฒนธรรมวัตถุยังเก่ียวข้องกบั ด้านโบราณคดี ซ่งึ มีวัตถุทีป่ รากฏเปน็ หลกั ฐานว่ามัน
เป็นของชุมชนใดชุมชนหนึ่ง และเป็นข้อมูลท่ีใช้ในการศึกษาชุมชนนั้น นอกจากนี้ยังหมายรวมไปถึง
ผลงานทางศิลปะทัว่ ไป และสิง่ ประดิษฐ์ทใี่ ชเ้ กีย่ วกบั การดนตรี การร้องราอกี ดว้ ย

7.2 ความม่งุ หมายของการศกึ ษาวัฒนธรรมวัตถุ

การศึกษาวัฒนธรรมวัตถุ คือ การศึกษาสิ่งประดิษฐ์ หรือสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยน้ามือของมนษุ ย์
ผู้ศึกษาวัฒนธรรมวัตถุ และวิถีชีวิตพื้นบ้านจะต้องรู้จักสังเกต และศึกษาค้นคว้าสิ่งประดิษฐ์ที่มีที่มาจาก
ประเพณีปรัมปราของทอ้ งถน่ิ มีวิธกี ารประดิษฐ์ทเ่ี กา่ แก่ และสามารถศึกษาได้ในระดบั ต่อไปน้ี

1. การระบุได้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งประดิษฐ์เหล่าน้ีเกิดขึ้นในประเพณีปรัมปราพื้นบ้านจริง
และประมาณระยะเวลาที่มีการสร้างสิ่งประดิษฐ์เหล่าน้ีข้ึนมาได้ และถา้ หากเปน็ ไปได้ก็อาจจะอธิบายถึง
รูปแบบ และวิธกี ารประดิษฐ์ของชา่ งฝีมือแตล่ ะคนดว้ ย

2. การพรรณนาถึงบทบาทหน้าท่ีของส่ิงประดิษฐ์ คือบทบาทหน้าที่ต่อปัจเจกบุคคล เช่น
ประโยชน์ใช้สอย บทบาทหน้าท่ีต่อสังคม เช่น สุนทรียภาพ ความสัมพันธ์กับความเช่ือทางศาสนาและ
เวทมนตร์คาถา เป็นต้น

3. การอธิบายถงึ วิธกี ารและกระบวนการเรยี นรู้ท่ีเกยี่ วข้องกับการสรา้ งสิ่งประดิษฐ์ชนิ้ น้นั

มนุษย์เรามีความแตกต่างจากสัตว์ตรงท่ี มนุษย์นั้นมีความสามารถในการสร้างเคร่ืองมือ
เครื่องใช้ข้ึนมาเพื่ออานวยความสะดวกให้กับตนเองในการดารงชีวิต การสร้างเครื่องมือเครื่องใช้น้ีคือ
ความสามารถในการคิดประดิษฐ์ กับความสามารถทางร่างกายของมนุษย์ ทาให้มนุษย์ปรับตัวเข้ากับ
สภาพแวดล้อมได้มากกว่าสัตว์อื่น ๆ เพราะเม่ือสร้างเครื่องมือเคร่ืองใชข้ ึ้นมาได้แล้ว มนุษย์ก็จะสามารถ
ก่อไฟ สร้างท่ีพักอาศัย และทาเสื้อผ้าเคร่ืองนุ่งห่ม ฯลฯ ส่ิงเหล่านี้เป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่ทาให้
มนษุ ยส์ ามารถรับมอื กบั ความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และยงั ขยายถิ่นทีอ่ ยู่ โยกยา้ ยตวั เองไปอยู่
ในพื้นท่ตี า่ ง ๆ ท่มี สี ภาพดนิ ฟ้าอากาศแตกตา่ งกนั ได้ทุกหนทุกแหง่

การศึกษาวัฒนธรรมวัตถุเก่ียวข้องกับการศึกษาวิถีชีวิตพื้นบ้าน ซ่ึงเริ่มมาต้ังแต่สมัยเก่าแก่
ดั้งเดิม และมีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ ต่อมาวัฒนธรรมวัตถุเหล่านี้ก็มามีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรม
ลักษณะอ่ืน ๆ ด้วย เช่น เกิดมีประเพณีที่เกี่ยวกับการกิน ประเพณีที่เกี่ยวกับการแตง่ กาย การสร้างบา้ น
การรอ้ งราทาเพลง เปน็ ต้น

การศึกษาวัฒนธรรมวัตถุ ทาให้เราได้ทราบถึงความรู้ความสามารถของมนุษย์ท่ีมนุษย์ใช้
สร้างส่ิงที่จาเป็นต่อการใช้ชีวิต สังคมใดที่มีการผลิตสร้างวัฒนธรรมวัตถุอย่างง่ายๆ มีวิถีทางการตารง
ชีวิตอย่างง่าย ๆ ก็แสดงว่าสังคมนั้นยังมีวัฒนธรรมอยู่ในระยะแรกเร่ิม แต่ถ้าหากสังคมใดท่ีมีการพัฒนา
ทางด้านเทคโนโลยี มีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ซับซ้อนขึ้น หรือมีเคร่ืองจักรเครื่องยนต์กลไกที่เป็นความ

คตชิ นและภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ 173

เจริญก้าวหน้า วัฒนธรรมของสังคมนั้นก็จะเจริญก้าวหน้าและซับซ้อนตามไปด้วย ทาให้มนุษย์ในสังคม
นั้นต้องการส่ิงประดิษฐ์ที่ประณีตงดงามมากข้ึนกว่าท่ีเคยมี และต้องการส่ิงประดิษฐ์ที่เป็นส่วนประกอบ
เพ่ิมเตมิ จากส่ิงท่ีเป็นความจาเป็นในชวี ิต มนษุ ยม์ ีสมองท่ีจะคิดค้นสร้างสรรค์จากส่ิงที่มีลักษณะเรยี บง่าย
ให้เป็นส่ิงที่มีลักษณะละเอียด ประณีต พิถีพิถัน เพ่ือสนองความต้องการทางใจอันเป็นความต้องการใน
ระดับที่ซบั ซอ้ นขึ้น

อย่างไรก็ตาม ก่อนท่ีมนุษย์จะมีความเจริญก้าวหน้าในวัฒนธรรมมาจนถึงขั้นอารยธรรม
ปัจจุบัน วิถีชีวิตของสังคมมนุษย์ย่อมต้องผ่านขั้นตอนที่ด้ังเดิม ป่าเถ่ือน และเจริญอย่างเชื่องช้ามาก่อน
การศึกษาวัฒนธรรมวตั ถุจะทาให้มองเห็นลักษณะของวัตถุที่มนุษย์สร้างข้ึนมา ตั้งแต่ลักษณะที่เรียบง่าย
และมพี ฒั นาการมาเป็นลาดบั ในสังคมพ้ืนบา้ น ซึ่งมคี วามสาคญั ต่อวถิ ีชีวิตพื้นบ้านท่วั ไป

มนษุ ยเ์ รามีความจาเป็นตอ้ งมสี ง่ิ บารุงเลีย้ งชวี ิต สิ่งท่สี าคญั และเป็นความจาเปน็ ท่ีต้องเผชิญ
ในชีวิตประจาวนั กค็ อื เรือ่ งอาหารการกิน เนื่องจากถ้าไมม่ อี าหาร มนษุ ย์กจ็ ะดารงชวี ติ อยู่ไมไ่ ด้ ดังนัน้ การ
แสวงหาอาหารจึงเปน็ ส่ิงจาเปน็ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นการยงั ชีพ เป็นความสนใจเบ้ืองต้น เเละเป็นส่ิง
ที่เก่ียวข้องกับความหิวซ่ึงเป็นแรงขับเบื้องต้นเชน่ เดียวกัน ความหิวกระตุ้นให้มนุษย์ตอ้ งออกไปแสวงหา
อาหาร ซึง่ แหล่งทรพั ยากรท่ีเปน็ ท่ีพง่ึ ของมนษุ ย์นั้นขนึ้ อย่กู ับปจั จยั 3 ประการคือ

1. สงิ่ แวดล้อมตามธรรมชาติ (Natural Environment)
2. วัฒนธรรม (Culture)
3. ประชากร (Population)
มนุษย์พวกท่ียึดมั่นอยู่กับส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาติ ก็คือพวกท่ีดารงชีวิตอยู่ด้วยการเก็บ
รวบรวมของป่า เช่น รากไม้ ผลไม้ เมล็ดพืช และแมลงบางชนิด แต่ในเวลาต่อมา มนุษย์ท่ีรู้จักการปลูก
พืช รู้จักวิธีการเพาะปลูกเก็บเก่ียวพืชผล รู้จักการเล้ียงสัตว์ และต่อมาก็รู้จักวิธีปรุงอาหารหรือทาให้
ผลผลิตตามธรรมชาติกลายเปน็ อาหาร รู้จักการใชก้ รรมวธิ ีบางอย่างที่ทาใหเ้ ก็บอาหารไว้ได้หรือมรี สชาติ
เปล่ียนไปจากธรรมชาติของเดิม นั่นก็คือการท่ีมนุษย์เรียนรู้การผลิตอาหาร หรือวิธีการหาอาหารโดยใช้
กลวิธีและเครอื่ งมือด้านวัฒนธรรมเข้ามาชว่ ย
มนุษย์ในยุคดั้งเดิมที่สุดจะเป็นพวกท่ีใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่า และจะมี
วิวัฒนาการทางด้านวัฒนธรรมขึ้นมาเรื่อย ๆ ในการเสาะแสวงหาอาหารและการทากิจกรรมต่าง ๆ
เกี่ยวกับการอยู่รอดน้ัน มนุษย์จะต้องมีเครื่องมือช่วย สาหรับกลวิธีในการที่จะอยู่รอดน้ัน แบ่งออกเป็น
ระดับของวิธกี ารยังชพี ซ่ึง อ.แอดัมสนั โฮเบล (E. Adamson Hoebel) แบง่ จากระดบั ความซบั ช้อนไปสู่
ความเรยี บงา่ ย ดงั นี้
1. การกสิกรรมหรือเกษตรกรรมแบบเข้มข้นหรือการเลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อน (Intensive
Agriculture or Pastoralism)
2. การกสิกรรมหรือการเลยี้ งสตั วแ์ บบเร่รอ่ น (Agriculture or Pastoralism)

174 ชวนพศิ อตั เนตร์

3. การล่าสตั วแ์ ละการหาเสบียงอาหาร (Hunting and Foraging)
4. การล่าสตั ว์และหาของปา่ (Hunting and Gathering)
อย่างไรก็ตาม โฮเบลเน้นว่า วิธีการยังชีพที่จาแนกออกเป็นประเภทใหญ่ๆเหล่าน้ีไม่ได้เป็นสิ่งเฉพาะตัว
หรือแยกจากกันอย่างเด็ดขาด เพราะเรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรด้านอาหารน้ันจะต้องผสมกลมกลืนกัน
ท้ังหมด ไม่ว่าจะเป็นระดับที่มากขึ้นหรือน้อยลง เน่ืองจากชาวไร่ชาวสวนก็ยังคงล่าสัตว์ และทาการ
ประมง ผู้เลี้ยงสัตว์ก็ต้องนาเน้ือสัตว์ไปแลกกับอาหารอย่างอ่ืน เช่น แป้ง แม้แต่สังคมอุตสาหกรรมใน
ปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งกิจกรรมเก่ียวกับเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์ การประมงและการล่าสัตว์ ก็ไม่ใช่เรื่องท่ี
แยกออกมาเฉพาะตัวเช่นเดียวกัน เม่ือเราระบุถึงทรัพยากรที่ใช้ในการยังชีพ เช่น เกษตรกรรม หรือ
การเลี้ยงสัตว์นั้น ส่ิงนี้จะหมายถึงแหล่งทรัพยากรอาหารที่เด่นชัดเท่าน้ัน ส่วนทรัพยากรทางด้านการ
ลา่ สัตว์และการเกบ็ ของปา่ จะไมเ่ ด่นชดั เท่า

วธิ กี ารยงั ชีพทัง้ 4 ระดบั ทาให้เกดิ วตั ถุทางวัฒนธรรมไดด้ ังนี้
1. การลา่ สัตว์และหาของปา่

มนุษย์โดยท่ัวไปจะอาศัยผลไม้ และรากไม้ ซึ่งเป็นอาหารท่ีมีอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อยัง
ชีพของตนเอง แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์ท่ีเปน็ สัตวเ์ ลยี้ งลูกดว้ ยนมท่ีกินเน้ือเป็นอาหารดว้ ย ธรรมชาติทา
ให้มนุษย์กินทุกอย่างที่กินได้ การกินเน้ือสัตว์น่ีเองที่ทาให้เกิดเครื่องมือสาหรับล่าสัตว์ข้ึนมาและมี
พฒั นาการมาเร่ือย ๆ

มนุษย์เป็นสัตว์โลกประเภทเดียวท่ีรู้จักประดิษฐ์เครื่องมือขึ้นมาใช้ ในการล่าสัตว์และ
ตามรอยสตั วจ์ ึงมีส่ิงประดิษฐ์หลายอย่าง เชน่ กระบองหรือไม้พลอง (Club) หอก (Spear) หลาวหรือลูก
ตอก (Dart) ธนู (Arrow) กับดักที่มีของหนักตกลงมาทับเหยื่อตาย (Deadfall) หลุมพราง (Pitfall)
ฉันหรือแร้ว (Sure) ตาข่าย (Net) ทานบดักปลาหรือเข่ือนเล็ก ๆ (Weir) ตะขอ (Hook) ขวาน (Ax) มีด
(Knife) และยาพิษ (Poison) บางครัง้ อาจจะมีสุนัขที่เลี้ยงไว้มาช่วยลา่ หรือมพี าหนะ เช่นมา้ อฐู เรือ วิธี
ลา่ สัตว์ก็จะเป็นการยงิ การใชห้ อกแทง ใช้ลูกดอกซัด ใชข้ วานฟัน ใช้มีดแทง และใช้กบั ดัก

2. การล่าสัตวแ์ ละการหาเสบยี งอาหาร
การหาเสบียงอาหาร (Foraging) ต่างกับการหาของป่า (Gathering) ตรงท่ีว่า พวกท่ี

หาเสบยี งอาหารจะใช้พวกพชื ป่าเป็นอาหารหลัก คือกนิ เมล็ดพชื ป่า ผลไมป้ า่ รากไม้ และใช้เนอ้ื สตั ว์เป็น
อาหารเสริม ส่วนพวกท่ีหาของป่าจะกินเนื้อสัตว์เป็นหลัก กินพืชป่าเป็นอาหารเสริม แต่ก็ยังไม่รู้จักการ
ปลกู พชื ไวก้ ินใกล้กบั ท่ีพักอาศัย

การใช้เคร่ืองมือของมนุษย์กลุ่มนี้ มีลักษณะเรียบง่ายเหมือนกลุ่มท่ีหาของป่า คือใช้ไม้
แหลมหรือไม้ลักษณะกลม สั้น มีปลายแหลม ใช้เจาะรูในดินเพื่อขุดรากไม้ ส่วนการเก็บเมล็ดพืชน้ันใช้
ตะกร้าสานสาหรับใส่เมล็ดพืช โดยมีไม้ตีเมล็ดพืชรูปร่างเหมือนพัด สาหรับตีเอาเมล็ดหญ้าใส่ในตะกร้า

คตชิ นและภมู ิปัญญาทอ้ งถิน่ 175

นอกจากการเก็บพืชและรากไม้ตามธรรมชาติแล้ว พวกน้ียังรู้จักเก็บแมลงบางชนิดมากินด้วย เช่น ตก
แตน มด สัตว์เล็ก ๆ เช่น หนู กระรอก อปุ กรณท์ ี่ใชก้ ็มตี ะกรา้ ตาขา่ ย ไม้ตี เปน็ ต้น

3. การกสิกรรมหรอื การเล้ยี งสัตวเ์ ร่รอ่ น
การเล้ียงสัตว์เป็นกิจกรรมในแถบที่เกษตรกรรมไม่อาจเล้ียงดูประชากรจานวนมากได้

อย่างพอเพียง แต่มักจะมีหญ้าพอเพียงที่จะเลี้ยงสัตว์ในพ้ืนท่ีกว้างใหญ่ สัตว์เลี้ยงสาคัญๆคือสัตวท์ ่ีให้นม
และเนื้อ เชน่ ววั ควาย แพะ แกะ การเลีย้ งสตั วแ์ บบเรร่ ่อนน้คี ือ พวกทเี่ ลีย้ งสัตว์จะนาฝูงสัตว์เคล่ือนย้าย
ไปเร่ือย ๆ เพื่อไปยังทุ่งหญ้าที่มีความอุดมสมบูรณ์ แต่การเลี้ยงสัตว์แบบนี้ไม่เพียงพอต่อการเล้ียงดู
ประชากรมนุษย์ จึงตอ้ งมกี ารเพาะปลกู ควบคูก่ ันไปด้วย หรือมฉิ ะนนั้ ก็ต้องมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับ
กลุ่มทปี่ ลูกพชื

ตามปกติชาวไร่ชาวนามักจะเล้ียงสัตว์ไว้ในที่อยู่อาศัยของพวกเขา มีสัตว์บางชนิดที่
เล้ียงไวเ้ ปน็ สัตวเ์ ล้ียง บางชนดิ เล้ยี งไว้เพื่อเป็นเคร่ืองบูชาทางศาสนา แตโ่ ดยทั่วไปมนุษย์จะเลี้ยงสัตว์เพื่อ
ประโยชน์ ดังน้ี

1. กนิ เน้อื และเลือดของสตั วเ์ หลา่ นน้ั เป็นอาหาร
2. ใช้หนงั ทาเครื่องนงุ่ ห่มเคร่ืองใช้
3. ใช้ขนทอเปน็ ผ้าขนสตั วพ์ รม
4. นมใช้ดม่ื และทาเนย
5. ใชบ้ รรทุกของหรอื ลากของ
6. ใชเ้ ปน็ พาหนะ
ดังน้ัน การเล้ียงสัตว์ซ่ึงเก่ียวข้องกับส่ิงประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างข้ึนมาหลายอย่าง เช่น เครื่องมือในการ
ชาแหละ ภาชนะที่ใส่นม ใส่อาหาร ใส่เนย แผ่นหนังสาหรับปูนอน เส้ือผ้า รถ เกวียน อานม้า บังเหียน
การใช้มลู สตั ว์ผสมดนิ สร้างบ้าน ปพู น้ื เป็นตน้
4. การกสกิ รรมหรือเกษตรกรรมแบบเขม้ ขน้
ในสมยั โบราณ มนุษยม์ ีชีวติ ข้นึ อยู่กับธรรมชาติ การทาเกษตรกรรมจึงขน้ึ อยู่กับฝนและ
การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ดังนั้นเม่ือมนุษย์มีความเจริญมากขึ้น จึงพัฒนาวิธีการปลูกพืชเพื่อเพ่ิม
ผลผลิตขึ้นมา แต่วิธีการในสมัยแรก ๆ มักจะเป็นการถางป่า หรือเผาป่าเพื่อใช้เนื้อท่ีมาทาการเพาะปลูก
และสาหรบั พืน้ ทที่ ี่แห้งแลง้ กจ็ ะมกี ารชลประทาน ช่วยให้ปลูกพืชได้เช่นเดยี วกนั
การเพาะปลูกเพื่อการยังชีพของมนุษย์เริ่มขึ้นมาเม่ือประมาณ 8,000 ปี-10,000 ปี
มาแลว้ ซึ่งเป็นชว่ งเวลาแหง่ ความเปล่ยี นแปลงในสังคมมนุษยน์ ัน่ ก็คอื มนุษย์สามารถควบคมุ สิ่งแวดล้อม
ได้มากขึ้นกว่าพวกท่ีล่าสัตว์ และเก็บของป่า มีกลุ่มสังคมที่อยู่ในเขตเดียวกัน มีประชากรหนาแน่นข้ึน
และการเพาะปลูกพืชที่ใช้เป็นอาหารจะใช้เน้ือที่น้อยลง เพราะการพึ่งพาธรรมชาติในการท่ีจะรักษา
ความอดุ มสมบูรณข์ องดนิ มีน้อยลง

176 ชวนพศิ อตั เนตร์

การกสิกรรม หรือเกษตรกรรมแบบเข้มข้นนี้จะใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อทาให้พ้ืนท่ีที่ใช้
เพาะปลูกใช้ได้อย่างถาวร มีการใช้ปุ๋ยกับพืชท่ีเป็นอาหารสาคัญๆ ซึ่งอาจเป็นวัตถุอินทรีย์ เช่น มูลสัตว์
อุจจาระ และมีการปลูกพืชบางชนิดลงไปในนาขา้ วเพ่ือช่วยไม่ให้ขาดสารประกอบบางอย่าง มีการทดน้า
จากแมน่ า้ ลาธารเขา้ ไปตามพืน้ ทก่ี ารเพาะปลูก ส่วนเครอ่ื งมอื เครื่องใชใ้ นการเพาะปลูกน้นั มีท้ังไมแ้ หลมที่
ใช้เจาะรูทีด่ นิ จอบ เสยี ม ไถ

ในเรื่องของการกสิกรรมนี้มีเร่ืองที่ควรศึกษาอยู่เร่ืองหนึ่งคือ การทาสวน หรือพืชสวน
(Horticulture) ซ่ึงในทางมานุษยวิทยา หมายถึงการปลูกพืชผลทุกชนิดด้วยเคร่ืองมือธรรมตาสามัญ
และวิธีการท่ีธรรมตาสามัญ ท้ังยังรวมไปถึงความเช่ือถือในธรรมชาติว่า ธรรมชาติจะจัดหาสิ่งท่ีใช้เป็น
อาหารมาให้ในดินท่ีจาเป็นจะต้องใช้ในการปลูกพืชผลนั้น ส่วนเครื่องมือท่ีใช้จะเป็นเครื่องมือง่าย ๆ
ใช้มือจับ เช่น ไม้แหลมสาหรับขุดเจาะ จอบ เสียม แต่จะไม่ใช้ไถ ซ่ึงต้องใช้สัตว์เทียม วิธีการปลูกก็ไม่มี
การใส่ปุ๋ย การชลประทาน หรือวิธีอื่น ๆ ที่จะรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินไว้ได้ หลังจากที่ฤดูการ
เพาะปลูกผ่านไปแล้ว

การปลูกพชื สวนแบง่ ออกเป็น 2 ชนดิ คอื
1. การเพาะปลูกอย่างกว้างหรือแบบเคลื่อนที่ ( Extensive หรือ Shifting
Cultivation) สาหรับการเพาะปลูกแบบน้ีจะใช้พื้นท่ีเพาะปลูกในระยะเวลาอันส้ัน และอาจจะท้ิงพ้ืนที่
ให้ว่างอยู่หลาย ๆ ปี เพ่ือให้ธรรมชาติฟ้ืนฟูความอุดมสมบูรณ์ของดินอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลาท่ีไม่มี
การเพาะปลูกนั้น หญ้า และวัชพืชจะขึ้นมาบนพื้นที่ และจะต้องมีการทาลายด้วยการถางหญ้า และ
เผาเสียก่อน จงึ จะปลกู พชื ท่ใี ชเ้ ป็นอาหารได้ ข้ีเถ้าทเ่ี กดิ จากการเผาหญา้ ก็จะกลายเป็นปุ๋ยได้ แตด่ ้วยเหตุ
ท่ีไม่มีการใสป่ ุย๋ เลย ดินก็จะหมดสภาพไปอยา่ งรวดเรว็ ทาให้ตอ้ งยา้ ยไปปลูกพชื ผลในพน้ื ท่ีใหม่
2. การเพาะปลูกพืชท่ีอายุยืน (Long Growing Tree Crops) คือการเพาะปลูกพืชท่ี
ใชเ้ วลานานกวา่ ชนดิ แรก แต่จะไมใ่ ชก่ ารปลูกพชื ไรแ่ บบถาวร
เกษตรกรที่ปลูกพืชสวนจะไม่ยึดพชื ผลท่ีได้จากสวนเป็นอาหารอยา่ งเดียว ในสงั คมของ
คนเหล่านี้จะมีการล่าสัตว์หรือการประมงด้วย และบางสังคมก็อาจจะเลี้ยงสัตว์ แต่เป็นสัตว์ขนาดเล็ก
เชน่ หมู แพะ แกะ เปด็ ไก่ ตามปกตแิ ลว้ ผลติ ผลที่ได้จากกล่มุ สงั คมแบบน้ีจะเพียงพอกบั การยงั ชีพ และ
ยงั ส่งออกไปให้กบั ชมุ ชนอนื่ ได้ด้วย
การแสวงหาอาหารของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์ การเพาะปลูก การเล้ียงสัตว์
หรอื การประมงกต็ าม นอกจากจะเป็นการตอบสนองต่อความต้องการจาเป็นของมนุษย์แลว้ ยังผกู พันอยู่
กับมายาการ (Magic) และศาสนา (Religion) อกี ดว้ ย น่ันก็คอื มนุษย์มีความเช่ือและมีการปฏิบัติที่มุ่งให้
เกิดผลด้วยการบังคับพลังหรืออานาจเหนือธรรมชาติ เนื่องจากวิธีการแสวงหาอาหารนั้นมีความเสย่ี งอยู่
ไม่น้อย คือ การล่าสัตว์ อาจจะไม่ประสบผลสาเร็จในการล่า การเพาะปลูก อาจจะไม่ได้ผลดีตามที่

คตชิ นและภมู ปิ ญั ญาท้องถิน่ 177

ต้องการ การเลี้ยงสัตว์ก็เสี่ยงกับโรคระบาด เป็นต้น ดังนั้นมนุษย์จึงต้องเสริมพลังอานาจของส่ิงเหนือ
ธรรมชาติข้ึนมาให้เป็นพลังท่ีชว่ ยเหลอื ด้วยการประกอบพิธีกรรมบางอย่างหรือมีข้อห้ามบางอย่าง และ
เก่ียวข้องกับวัฒนธรรมวัตถุด้วย เป็นต้นว่า ในการล่าสัตว์ ผู้ล่าอาจจะสวมเคร่ืองรางของขลัง อาจจะมี
ความเช่ือเก่ียวกับอาวุธที่ใช้ล่าสัตว์ หรือการใช้เรือในการประมงนอกจากนี้ยังมีความเช่ือเช่ือมโยงไปถึง
อาหารท่แี สวงหามาไดด้ ว้ ย

7.3 การศกึ ษาวัฒนธรรมวตั ถุบางประเภท

วัฒนธรรมวัตถุสว่ นใหญ่จะเป็นส่ิงที่อยู่รอบตัวเรา เป็นความจาเป็นในการใช้ชวี ิตของเราใน
ที่นี้จะกล่าวถึงวัฒนธรรมวัตถุบางประเภท ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีควรสนใจศึกษารวมถึงวิธีการศึกษา ในแง่คติชน
วทิ ยาดว้ ย

หัตถกรรมพ้ืนบ้าน (Folk Craft) เป็นคาท่ีมีความหมายกว้าง และมีรูปแบบของวัตถุที่
หลากหลายมาก ถ้าหากจะถามว่าหัตถกรรมพ้ืนบ้านคืออะไรแลว้ วอรเ์ รน โรเบิรต์ ส์ (Warren Roberts)
นักวิชาการด้านวัฒนธรรมวัตถุผู้หน่ึงให้คาอธิบายไวว้ ่า “การท่ีจะตอบว่า หัตถกรรมพ้ืนบ้านคืออะไรนั้น
ส่ิงท่ีเป็นความสาคัญอย่างแรกสุดก็คือส่วนประกอบที่เป็นประเพณีเก่าแก่ต้ังเดิม และความหมาย
โดยทั่วไปของหัตถกรรมพื้นบ้าน ก็คือหัตถกรรมแบบเก่าแก่ตั้งเดิมที่ถ่ายทอดมาตามประเพณี ซ่ึงเรา
สามารถสังเกตปฏิบตั ิการของประเพณเี กา่ แกต่ ัง้ เดิมนี้ได้อยา่ งชดั เจน”

วิธีการสร้างหัตถกรรม รวมท้ังการออกแบบด้วย เป็นส่ิงที่ถ่ายทอดกันในครอบครัวสืบต่อ
กันมาหลายช่ัวคน หรืออาจเป็นการถ่ายทอดกันในลักษณะของการฝึกงาน คือ ระหว่างผู้ฝึกกับผู้ถูกฝึก
โดยไมไ่ ด้มกี ารสอนแบบในโรงเรยี น ไม่มกี ารอ่านคู่มือ หรอื หนงั สือตาราใด ๆ

ส่วนประกอบที่เป็นประเพณีดั้งเดิมในหัตถกรรมน้ัน จะปรากฏอยู่ในความเก่าแก่โบราณ
ของงานหัตถกรรมจานวนมาก ตัวอย่างเช่น การป้ันหม้อ การทาเก้าอ้ี การทาเคร่ืองเคลือบดินเผา ฯลฯ
ซึ่งช่างฝีมือสมัยหลัง ๆ ก็ยังมีผู้ท่ีใช้วิธีการด้ังเดิม เพราะรูปแบบของหัตถกรรมเหล่าน้ีจะไม่เปล่ียนแปลง
ไปมากนัก และประเพณีด้ังเดิมน้ีจะมีการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์เช่นเดียวกับการแพร่กระจายทาง
ประวัติศาสตรด์ ้วย นนั่ ก็คือ ขณะท่สี ่วนประกอบของคติชนถ่ายทอดจากคนรนุ่ หนึ่งไปยังคนรุน่ ต่อไปท่ีอยู่
ในบริเวณพื้นท่ีท่ีกาหนดให้นั้น ส่วนประกอบนี้ก็มักจะแพร่ขยายจากพ้ืนท่ีส่วนหน่ึงของโลกไปยังพื้นท่ี
ส่วนอ่นื ๆ ด้วย ดังน้ันผลงานด้านหัตถกรรมบางชิน้ จึงอาจเผยแพรไ่ ปได้ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม งานหัตถกรรมแต่ละช้ิน อาจจะไม่ใช่หัตถกรรมพ้ืนบ้านทั้งหมดก็ได้ ดังที่
โรเบิร์ตส์ อธิบายว่า งานหัตถกรรมท่ีเก่าแก่อาจจะไม่ใช่ผลผลิตของหัตถกรรมพื้นบ้านเสมอไป นั่นก็คือ
ส่วนประกอบท่ีเป็นประเพณีด้ังเดิมจะมีความสาคัญกว่าส่วนประกอบด้านอายุ และในทานองเดียวกัน
เราก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าหัตถกรรมใหม่ ๆ นั้นไม่ใช่พ้ืนบ้าน ดังน้ันในการพิจารณาหัตถกรรมพ้ืนบ้าน
จึงควรพิจารณาส่ิงน้ีประกอบด้วยคือ งานหัตถกรรมชิ้นน้ันจะต้องสามารถนามาใช้ได้ทั่ว ๆ ไป ไม่จากัด

178 ชวนพิศ อตั เนตร์

อยู่กับกลุ่มคนชั้นสูงในสงั คม ท่ีจะมีการถ่ายทอดแบบเป็นพิธรี ตี อง ไม่เป็นธรรมชาติ และเป็นวิชาการอยู่
ซง่ึ ถ้าเปน็ เช่น นี้หัตถกรรมพน้ื บา้ นทไ่ี มใ่ ชข่ องพ้นื บา้ น

โรเบิร์ตส์ สรุปว่า หัตถกรรมที่น่าจะนับได้ว่าเป็นของพื้นบ้านนั้น คือหัตถกรรมท่ีตอนแรก
ท่ีสุดมีมนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์ข้ึน เป็นผู้ออกแบบและสร้างผลผลิตน้ันจนเสร็จ โดยไม่เก่ียวข้องกับ
กระบวนการการผลิตผลผลติ ที่มีจานวนมาก ที่จะมีผู้ปฏิบัติการคนหน่ึงทางานซ้า ๆ กันหรือควบคุมการ
ใช้เครอ่ื งจักรในการผลิตผลงานออกมา

การศึกษาหัตถกรรมพื้นบ้าน ในสมัยโบราณ ก่อนท่ีจะมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมข้ึนมานั้น
หัตถกรรมพื้นบ้านมีบทบาทท่ีสาคัญอย่างมากในสังคมดั้งเดิม เนื่องจากส่ิงของทุกชนิดที่ปัจเจกบุคคลไม่
สามารถผลิตให้ตนเองได้นั้น จะมีช่างฝีมือของท้องถ่ินที่เขาอาศัยอยู่น้ันเป็นผู้ทา ตัวอย่างเช่น สังคม
พ้ืนบ้านของยุโรปซ่ึงมีลักษณะเป็นหน่วยครอบครัวขยาย มีไร่นาที่พอเลี้ยงตัวเอง และมีหัตถกรรมแบบ
เก่าแก่ด้ังเดิมในสมัยโบราณนั้น ร้านค้าต่าง ๆ ไม่สู้จะมีบทบาทมากนักในชนบท ถ้าหากชาวนาต้องการ
สง่ิ ใดท่ีผลิตในไร่นาไมไ่ ด้ เขาจะไปหาช่างฝีมือโดยตรงเพื่อท่ีจะได้ส่ิงนนั้ มา หรอื ชา่ งฝมี อื มาผลิตให้ที่ไร่นา
เลย และในบางโอกาสอาจจะมีงานออกร้านในเมือง และช่างฝีมือไปตั้งแผงลอยขายผลิตภัณฑ์ของเขา
ซง่ึ มักเป็นเครื่องใชใ้ นบา้ นและในไรน่ านัน่ เอง

การปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่องานหัตถกรรมโดยท่ัวไป และต่อ
ชะตากรรมของชา่ งฝมี ือด้วย เมอ่ื สนิ ค้าจากโรงงานเร่มิ แพรห่ ลายไปในหม่ชู าวชนบท เนอ่ื งจากสินค้าจาก
โรงงานมีราคาถูกกว่าสิ่งท่ีช่างฝีมือทาขึ้น ผู้คนท่ัวไปก็หันมานิยมของถูก ดังน้ันเม่ือช่างฝีมือไม่อาจขาย
ผลผลิตของเขาในราคาท่ีเหมาะสมได้ ในท่ีสุดเขากต็ ้องยุตบิ ทบาทของผู้ทาและกลายมาเป็นผ้ซู ่อมสิ่งของ
ทผี่ ลติ จากโรงงานแทน

ความสาคัญของเครื่องมือเครื่องใช้ มนุษย์เป็นผู้สร้างเคร่ืองมือเครื่องใช้ข้ึนมา และก็เป็น
ผู้ใช้เคร่ืองมือเคร่ืองใช้นั้น เคร่ืองมือคือ การขยายตัวทางส่ิงประดิษฐ์ หรือสิ่งที่ใช้แทนแขนขา และ
รา่ งกายบางส่วนของมนษุ ย์ มนุษย์สามารถใช้เคร่อื งมือมาชว่ ยปรับและดดั แปลงกิจกรรมตา่ ง ๆ เพ่ือให้ได้
ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมมากข้ึน พวกที่สร้างเคร่ืองมือข้ึนมาใช้เป็นพวกแรก คือ มนุษย์จาพวก
Australopithecus ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว และนับว่าเป็นผู้นาในการประดิษฐ์เคร่ืองมือให้กับเทคโนโลยีใน
ปัจจุบัน เร่ิมจากสิ่งประดิษฐ์ช้ินแรก ๆ ท่ีเทอะทะ ใช้ไม่คล่องมือ ท่ีเกิดข้ึนเมื่อเวลานับล้านปีมาแล้ว มา
จนถึงทุกวันน้ี มนุษย์ได้พัฒนาเคร่ืองมือเครื่องใช้มาด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่อง เพ่ือสนองความ
ต้องการจาเป็นทางร่างกาย และตอบสนองความพอใจ อันเป็นความต้องการจาเป็นทางจิตใจด้วย
เคร่ืองมือเครื่องใช้ของมนุษย์ที่ทาจากวัตถุ ตั้งแต่สมัยตั้งเดิมน้ันมักจะเป็นหิน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ท่ีใช้ตัด
ขุด และถาก นอกจากน้ีก็มีไม้ ซ่ึงนิยมกันมาก ท้ังท่ีเป็นไม้กระดานและเปลือกไม้ ใช้สร้างบ้าน ทาด้าม
ขวาน ทาเรอื พาย ไมเ้ ทา้ ธนู ลกู ศร เกราะป้องกัน อาวุธ กระบอง ชามอา่ ง จาน ชอ้ น หบี เป็นต้น และ
ท่ีใช้กนั อย่างแพรห่ ลายทัว่ โลกก็คอื ตะบนั ไฟ

คติชนและภมู ปิ ัญญาท้องถิน่ 179

นอกจากหินและไม้แล้ว ส่ิงท่ีนามาใช้เป็นเครื่องมือเคร่ืองใช้สมัยด้ังเดิมก็คือ กระดูกของ
สัตว์จาพวกที่มีกระดูกสันหลัง และเปลือกของสัตว์น้า เช่นเปลือกหอย นามาใช้เป็นเคร่ืองมือสาหรับขุด
และถาก ใช้ทาจานเปลือกหอยขนาดใหญ่และหนาใช้ทาขวานได้ ส่วนกระดูกนกและกระดูกสัตว์ที่มี
ลกั ษณะยาว และปลายแหลม จะถูกน้ามาขัดจนเรียบ และใช้เป็นเครื่องมือเจาะรูหนังและไม้ ซ่ึงเข็มเลม่
แรก ๆ ของโลกก็ทาจากเศษเสี้ยวของกระดูกท่ีแตกน่ีเอง นอกจากนี้ก็ยังมีเบ็ดตกปลา ปลายฉมวก ท่ีใช้
กระดูกทา และยงั มีเครอ่ื งใชท้ ท่ี าจากเขาสัตว์และงาชา้ งอีกด้วย

เคร่ืองมือเครื่องใช้ท่ีสาคัญท่ีสุดในสงั คมดั้งเดิมก็คือ เครื่องมือเคร่ืองใช้ท่ีใช้ในการหาอาหาร
เช่น กับดกั สตั ว์ ซึง่ มีหลายรปู แบบ ที่ดักปลา ซ่ึงกม็ หี ลายรปู แบบเช่นเดียวกัน สาหรบั ลา่ สตั วแ์ ละจับปลา
ส่วนเครื่องใช้สาหรับใส่อาหารนั้น คือถุงหรือกระเป๋าท่ีทาจากหนัง ภาชนะในสมัยดั้งเดิมยังทาจากไม้
หรือดินเหนียว แต่ที่นิยมกันท่ัวไปก็คือตะกร้า ซึ่งทาจากการนาวัสดุบางอย่างมาสานเข้าด้วยกัน เช่น
ตน้ กก ต้นออ้ ตน้ หญ้า เปลือกไมบ้ างชนดิ ที่ถากเป็นเศษเล็กเศษน้อย เชน่ ไม้ไผ่ หรอื ตอกของไทยเรา

การสานตะกร้าเป็นหัตถกรรมที่เก่าแก่โบราณอย่างแท้จริง ผู้ที่สานตะกร้าน้ีก็คือ ผู้ท่ีหา
อาหารด้วยการเก็บของป่าน่ันเอง ตะกร้าท่ีใช้กันในสมัยแรก ๆ มีลักษณะเป็นแบบเปิด สานหลวม ๆ
มีกรอบของตัวมันเอง และใช้การเชื่อมประสานของวัตถุที่เป็นเส้นใย และมีลักษณะเป็นเส้นยาว
ซง่ึ สว่ นมากไดจ้ ากพชื ตา่ ง ๆ ดงั กล่าวแล้ว วสั ดทุ ีใ่ ชส้ านตะกร้านีม้ อี ยูใ่ นสถานท่ที กุ แหง่ ท่ีมนษุ ยอ์ าศัยอยู่

สิ่งที่ควรกล่าวถึงอีกอย่างหน่ึงก็คือ การทาเคร่ืองป้ันดินเผา ในการใช้ชีวิตในสมัยด้ังเดิมนนั้
เครื่องป้ันดินเผาเหล่านี้คือเคร่ืองใช้ท่ีในการทาอาหาร ใส่อาหาร ท่ีมนุษย์รู้จักนาดินเหนียวมาปั้นให้เป็น
ภาชนะรูปต่าง ๆ และนาไปเผาไฟก่อนที่จะใช้ประโยชน์ ต่อมาก็รู้จักการตกแต่งหรือวาดลวดลาย และ
เคลอื บให้สวยงาม ซ่งึ มีวิวัฒนาการมาจนกระทั่งถงึ ปัจจบุ ัน

วิธีการศึกษาหัตถกรรมพื้นบ้าน จะรวมถึงกระบวนการท้ังหมดในการผลิตวัตถุท่ีเป็น
วัฒนธรรมวัตถุ และเป็นวัตถุที่มีความมุ่งหมายท่ีจะนามาใช้ประโยชน์เป็นอันดับแรก หรือมีบทบาท
หน้าท่ีทางด้านประโยชน์ใช้สอยนั่นเอง ช่างฝีมือพื้นบ้านต้ังแต่สมัยโบราณจะทางานด้วยมือของเขาเอง
โดยไม่ต้องใช้เครื่องจักรท่ีซับซ้อนเข้ามาช่วย การเรียนรู้ทาได้โดยการถ่ายทอดแบบมุขปาฐะ และ
การเลียนแบบ ซึ่งก็มักจะเรียนรู้กันในชุมชนที่ช่างฝีมือคนน้ันเป็นสมาชิกอยู่น่ันเอง ดังน้ัน ช่างฝีมือจะ
ทางานของเขาไปตามแบบประเพณีปรัมปรา ทีม่ กี าหนดในเร่ือง การออกแบบวัตถุ รปู แบบของวตั ถุ และ
วิธีการประดิษฐ์วัตถุน้ัน ๆ ส่วนเร่ืองของความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ในสังคม
ตะวันตกท่ีมีการศึกษาหัตถกรรมพ้ืนบ้าน จะมีการศึกษาเรื่องต่าง ๆ อย่างหลากหลาย เช่น การสาน
ตะกร้า การเย็บผ้าหม่ นวม การทาเคร่ืองเรอื น การทาสบู่ การทาบังเหียน และอานม้า การก่ออิฐ ก่อหิน
การทาเครื่องมือ การทอผ้า การทาพรม การตีเหล็ก การทาไม้กวาด การทาถังไม้ เป็นต้น หัตถกรรม
บางอย่างท่ีเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมในชนบทในสมัยก่อน และยังเกี่ยวข้องไปถึงวิธีการเก็บรักษาอาหาร

180 ชวนพิศ อตั เนตร์

อีกด้วย ส่วนในสังคมไทย ก็มีการศึกษาเร่ืองราวท่ีคล้าย ๆ กัน เช่น การทาเคร่ืองจักสาน เครื่องมือ
เครือ่ งใช้ทใี่ ช้ในการเกษตรและการประมง การดกั สตั ว์ การทอผ้า เป็นตน้

การศึกษาหัตถกรรมพื้นบ้านจะต้องคานึงถึงกระบวนการผลิตทั้งหมดก่อนอย่างอื่น
เรมิ่ ต้งั แต่การรวบรวมวสั ดทุ ี่จะนามาผลิต ไปจนถงึ การใชผ้ ลผลติ ทีท่ าเสร็จแลว้ วิธีศึกษาทไี่ ดผ้ ลทีส่ ุดก็คือ
การปฏิบัติงานสนาม ซ่ึงจะต้องเก็บรายละเอียดให้ได้ท้ังหมด เพื่อนามาเขียนรายงานได้ทุกข้ันตอน
เครื่องมือท่ีสาคัญคือกล้องถ่ายรูป นอกจากนี้จะต้องมีการบันทึกการสัมภาษณ์ทุกครั้ง และในระหว่าง
การสัมภาษณ์นั้น ควรจะถามคาถามท่ีเก่ียวกับเคร่อื งมือ การออกแบบ หรือกระบวนการผลิตที่เรากาลงั
สงั เกตอยู่ บางครั้งผู้ศกึ ษาอาจจะมโี อกาสได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการผลิตด้วยกไ็ ด้

คาร์ล ลินดาห์ล และคณะ ได้กล่าวถึงวิธีการศึกษาหัตถกรรมพื้นบ้านตามกระบวนการ
ศกึ ษาวฒั นธรรมวัตถไุ วใ้ น A Basic Guide to Fieldwork of Beginning Folklore Students ดังนี้

1. การหาวัสดุ (Gathering Materials) ให้ศึกษาว่าช่างฝีมือได้วัสดุต่าง ๆ มาอย่างไร
เป็นของที่ได้มาตามธรรมชาติ จากธรรมชาติ หรือต้องซ้ือหามาจากร้านค้า หรือต้องปลูกข้ึนเอง เช่น
หวาย ไม้บางชนิด พืชบางชนิด ฯลฯ หัตถกรรมบางชิ้นอาจจะใช้วัสดุท่ีมีท่ีมาจากหลายๆแหล่งวัสดุ
อาจจะอยู่ในท้องถ่ิน หรือเป็นสิ่งที่นามาจากท้องถิ่นอ่ืนก็ได้ และบ่อยครั้งท่ีเราจะพบว่าแหล่งที่มาของ
วัสดุเหล่าน้ีเปล่ียนแปลงไป เม่ือเวลาผ่านไปหลาย ๆ ปีอันเป็นผลเนื่องมาจาก ความเปล่ียนแปลงของ
สงิ่ แวดลอ้ ม หรอื มกี ารพบแหลง่ วัสดใุ หม่ซง่ึ ดีกวา่ หรอื มจี านวนมากกว่า

2. วิธกี ารสรา้ งวัตถุ (The construction of the object) ในการศึกษาหัตถกรรมพื้นบ้าน
ผู้ศึกษาจะต้องมีเอกสารที่เป็นรายละเอียดในการผลิตวตั ถุนัน้ ๆ ประกอบด้วย การศึกษาเร่ิมจากการนา
วัตถดุ บิ มาใช้ ไปจนกระทั่งส่ิงประดิษฐช์ ้ินน้ันเสร็จเรยี บร้อยสมบรู ณ์ เราต้องจัดลาดับวิธีการทาให้ถูกต้อง
ตามขั้นตอน และระบุเครื่องมือเฉพาะท่ีนามาใช้ รวมทั้งส่วนประกอบท่ีสาคัญในการสร้างวัตถุนั้น
บ่อยครั้งที่เราจะสังเกตไดว้ ่าขณะท่ีช่างฝีมือกาลังบรรยายว่าเขากาลงั ทาอะไรอยู่นน้ั เขาจะมีวิธีการทเ่ี ปน็
พเิ ศษเฉพาะของเขาเอง ส่งิ น้เี ป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล

ส่งิ ทคี่ วรคานึงถงึ ประการหนึ่งก็คอื ในการสังเกตวิธีการสร้างวตั ถุ ซ่ึงเป็นกระบวนการที่
มีรายละเอยี ดมากพอสมควร และเราควรจะเฝ้าดูอยา่ งระมัดระวังน้ัน เราจะตอ้ งไมล่ ืมวา่ เรากาลังสังเกต
กระบวนการทีเ่ ป็นปจั จบุ ันเท่านั้น หรอื กล่าวอีกนยั หน่ึงก็คือ เรากาลงั บันทึกประเพณีปรัมปราได้เพียงจุด
เดียว ดังน้ัน เราจึงต้องถามช่างฝีมือถึงเร่ืองของความเปล่ียนแปลงของผลผลิตนั้น ๆ ด้วยการได้วัสดุ
ใหม่ ๆ มาสามารถทาให้กระบวนการของการทางานเปลี่ยนไปได้ และการใช้วิธีการผลิตแบบใหม่ที่
สามารถเปล่ียนรูปแบบขั้นสุดท้ายของชิ้นงานได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังต้องสังเกตปัจจัยต่าง ๆ ท่ีมี
อิทธิพลต่อวิธีการสร้างงานและการออกแบบของช่างฝีมือด้วยเช่นการผลิตงานให้ใคร ข้อจากัดของ
วัตถุดิบท่ใี ช้ บทบาทหน้าที่ของวสั ดทุ ี่มตี ่อการออกแบบ เปน็ ต้น

คตชิ นและภมู ิปญั ญาท้องถิ่น 181

3. การออกแบบ วิธีการ และรูปแบบ ท่ีเป็นประเพณีปรัมปรา (Traditional Designs,
Techniques And Form) ในการศึกษาค้นคว้าของเราน้ัน เรื่องที่สาคัญเรื่องหนึ่งคือการศึกษาเชิง
เปรียบเทียบและศึกษาในแง่ประวัติศาสตร์ ซ่ึงจะเป็นการนาตัวช่างฝีมือเข้าไปอยู่ในประเพณีปรัมปรา
ด้วย วิธีการศึกษาก็คือ ศึกษาชุมชนหรือท้องถิ่นท่ีช่างฝีมือผู้น้ันทางานอยู่ และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของ
งานหัตถกรรมท่ีเขาทาในท้องถ่ินน้ัน โดยมุ่งความสนใจไปท่ีประเพณีปรัมปราท่ีถ่ายทอดมาถึงช่างฝีมือ
และเก็บขอ้ มูลขา่ วสารจากกระบวนการเรียนรู้ การตั้งคาถามตอ่ ไปนีอ้ าจชว่ ยไดม้ าก คือ

กระบวนการของการถ่ายทอดมีผลต่อช่างฝมี ือในการออกแบบตามแบบดั้งเดิมอย่างไร
การออกแบบงานช้ินไหนที่ยังคงเดิม ไม่เปล่ียนแปลง แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายชั่วอายุคน และ
การออกแบบงานช้ินไหนที่เปลี่ยนแปลง เหตุใดจึงเกิดความหลากหลายขึ้นในประเพณีปรัมปรา สิ่งนี้
เกิดข้ึนจากความหลาของปัจจัยต่าง ๆ ใช่หรือไม่ เช่น การสร้างสรรค์เฉพาะบุคคล บทบาทหน้าที่
เปลี่ยนแปลงไปการได้วัสดุใหม่ ๆ หรือสภาพแวดล้อม หรอื นเิ วศวิทยาเปลยี่ นแปลงไป เปน็ ตน้

ถ้าหากในพื้นที่ที่เราศึกษามีช่างฝีมือหลายคน เราสามารถจะศึกษาในเชิงเปรียบเทียบ
ได้และพิจารณาถึงความคล้ายคลึง และความแตกต่างระหวา่ งปัจเจกบุคคลเหล่านี้ นอกจากน้ีการศึกษา
ในเชิงเปรียบเทียบยังทาได้ในแง่วิวัฒนาการของรูปแบบ ลักษณะ และวิธีการสร้างชนิ้ งานในท้องถ่ินโดย
พิจารณาถึงแหล่งที่มา แบบแผนของรูปแบบและวิธีการ ซ่ึงจะช่วยแบ่งแยกพ้ืนท่ีทางภูมิศาสตร์ให้เรา
ศึกษาไดส้ ะดวก และเราอาจจะตงั้ คาถามได้ ดังน้ี

แบบและวสั ดุ การออกแบบและการตกแต่ง ท่ีมมี ากทสี่ ดุ คืออยา่ งไร ปจั จัยแบบไหนที่มี
อทิ ธพิ ลต่อวิวัฒนาการน้ี นอกจากนี้เรายังต้องคานึงว่า แมแ้ บบแผนของท้องถ่ินมักจะมีวิวัฒนาการข้ึนมา
ตามเส้นทางภูมิศาสตร์ และส่ิงแวดล้อมก็ตาม แต่เราก็จะต้องตระหนักถึงแบบแผนที่เกิดข้ึนมาด้วย
เหตุผลทางด้านศาสนาสังคม หรือชาติพันธ์ุด้วย กลุ่มชาติพันธ์ุแต่ละกลุม่ อาจจะสบื ทอดงานหตั ถกรรมที่
มีอยู่แล้ว และพวกเขารู้สึกว่างานเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของมรดก หรือประเพณีตกทอดมาโดยเฉพาะ
ดังน้ันงานค้นคว้าท่ีดี คืองานที่เน้นตัวช่างฝีมือแต่ละคน วัสดุท่ีช่างฝีมือใช้ วิธีการ และผลผลิตจากนั้นก็
คือการศกึ ษาช่างฝมี อื แตล่ ะคนในประเพณีปรัมปราของกลุ่ม และท้ายท่ีสดุ ก็คือการเปรียบเทียบประเพณี
ปรัมปราของหตั ถกรรมของกลมุ่ ที่อยใู่ นท้องถนิ่ กับกลมุ่ ท่อี ยู่ในพ้นื ที่อื่น ๆ ท่ีมเี อกสารประกอบอย่แู ลว้

4. ลักษณะต่าง ๆ ทางสังคมของการผลิตหัตถกรรมคือ ผู้รับหรือผู้บริโภค (Social
Aspects Of Craft Productiti : The Audience / Consumer) ความสัมพันธ์ระหว่างช่างฝีมือกับ
ชมุ ชนเปน็ ลกั ษณะที่สาคัญของการศึกษาหัตถกรรมพ้ืนบ้าน เราควรจะเร่มิ ต้นดว้ ยการสารวจว่าชุมชนใช้
ผลผลิตของช่างฝีมืออย่างไรบ้าง และผลผลิตนั้นมีความสาคัญอย่างไรต่อชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ความสาคัญด้านเศรษฐกิจ ด้านศาสนา และด้านสังคม ผลผลิตนั้นแจกจ่ายหรือจาหน่ายให้กับสมาชิก
ของชมุ ชนอย่างไร

182 ชวนพศิ อัตเนตร์

ก่อนท่ีจะเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นมาน้ัน บทบาทของช่างฝีมือจะมีต่อประชากร
ของท้องถ่ินโดยตรง แต่ปัจจุบันน้ี ผลผลิตจะขยายออกไปนอกชุมชน คือมีการนาไปขายให้นักทัศนาจร
ซ่ึงในแง่น้ี จะทาให้หัตถกรรมพื้นบ้านเป็นแหล่งรายได้เพ่ิมเติมของช่างฝีมือในชุมชนนั้นแค่คนอื่น ๆ
ชุมชนนั้นจะมีบทบาทที่มีผลกระทบต่อผลผลิตโดยตรง คือเป็นผู้ประเมินคุณค่าของผลผลิต เป็นผู้จัด
อันดับของช่างฝีมือ และมีบทบาทในการแลกเปลี่ยนซื้อขายผลผลิตด้วย เนื่องจากช่างฝีมือจะไม่ใช่ผู้ท่ี
ทางานอย่อู ย่างโดดเดีย่ ว แยกจากกลมุ่ สังคมไปอยา่ งแนน่ อน

7.4 เครือ่ งแต่งกายพน้ื บา้ น

ดอนโยเตอร์ อธิบายว่าเคร่ืองแต่งกายพ้ืนบ้าน (Talk Costume) คือสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์
หรือเครื่องหมายที่มองเห็นได้ อันเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มพ้ืนบ้าน และผู้คนในกลุ่มสวมใส่เพ่ือแสดงออก
ซ่ึงเอกลักษณ์น้ัน เอกลักษณ์นี้อาจจะกาหนดตามสภาพภูมิศาสตร์ และตามขอบเขตภูมิภาคตามอาชีพ
และตามธรรมชาติ ทีเ่ ปน็ มาตามประเพณเี กา่ แก่ดัง้ เดิมก็ได้

โยเดอร์ อธิบายต่อไปว่า หากจะสรุปความคิดในแง่ของนักวิชาการด้านการหน้าที่แล้ว
เครื่องแต่งกายพ้ืนบ้านจะหมายถึง รูปแบบของเส้ือผ้าที่ (1) เป็นสัญลักษณ์ภายนอกท่ีแสดงเอกลักษณ์
ของชมุ ชนพื้นบา้ น และ (2) แสดงออกซ่งึ ความสัมพันธท์ ห่ี ลากหลาย ระหวา่ งปจั เจกบุคคลกบั ชุมชนและ
ความสัมพันธ์กายในชุมชน เครื่องแต่งกายพื้นบ้าน เป็นสัญลักษณ์อย่างหน่ึงของชุมชนพื้นบ้าน และเป็น
ตัวแปรอย่างหน่ึงของวัฒนธรรมแต่ละแห่ง ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ มันแสดงออกซ่ึงความต้องการ
พ้ืนฐานของชุมชนพื้นบ้าน และโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนน้ัน ๆ ด้วย และในฐานะท่ีเป็นตัวแปร มัน
กลายเป็นวิธีการในการระบุ หรือพิสูจน์ในส่ิงท่ีเป็นของท้องถ่ิน นั่นก็คือในเขตวัฒนธรรมต่าง ๆ น้ัน
อาจจะเคยมีเครื่องแต่งกายท่ีเป็นของท้องถ่ินน้ัน ซึ่งเป็นไปตามขอบเขตของวัฒนธรรม ความเชื่อทาง
ศาสนา และบางคร้งั ก็เก่ยี วกับการปกครองด้วย

ในเมื่อเครื่องแต่งกายพื้นบ้านมีความแตกต่างกันไปตามท้องถ่ินเช่นนี้ จึงทาให้เกิดปัญหา
ข้ึนมาวา่ ความแตกตา่ งเหล่าน้มี ีพฒั นาการขน้ึ มาจากอะไร เชน่ พฒั นาข้ึนมาจากความโดดเด่ยี วหรือจาก
ความล้าทางวัฒนธรรม หรือจากความพยายามของคนในชุมชนที่ต้องการแสดงออกซ่ึงความเป็นท้องถน่ิ
หรือความเป็นชุมชนน้ัน คาตอบในเร่ืองน้ีจะต่างกันไปตามเขตพ้ืนที่ต่าง ๆ และไม่ใช่ว่าคาตอบทุกข้อจะ
เช่ือถือได้ทั้งหมด เพราะว่าพื้นท่ีบางแห่งก็ยังคงอนุรักษ์เคร่ืองแต่งกายโบราณไว้ ขณะที่พื้นที่ใกล้เคียงก็
ใชเ้ คร่ืองแต่งกายแบบปจั จุบนั ท่ีใช้กันอยู่ในเมือง แตป่ ระชากรทอ่ี ย่ใู นชนบทน้นั ถึงแมว้ ่าจะใช้เส้อื ผา้ ที่ตัด
เย็บจากโรงงานเชน่ เดียวกบั คนในเมืองก็ตาม พวกเขากส็ วมใส่เส้ือผ้าเหล่านน้ั ในวิถีทางที่ยงั คงแสดงออก
ซ่ึงความต้องการตามแบบวัฒนธรรมพ้ืนบ้านและปรับเคร่ืองแต่งกายน้ันตามความคิดขอ งพวกเขาเอง
นักวิชาการท่ีศึกษาเร่ืองเครื่องแต่งกายพื้นบ้านพบว่า การศึกษาวิเคราะห์บทบาททางสังคมของเคร่ือง
แต่งกายภายในชุมชนพ้ืนบ้านเป็นเร่ืองสาคัญ เพราะเครื่องแต่งกายสามารถแบ่งแยกบุคคลผู้สวมใส่ได้

คตชิ นและภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ 183

ตามความสัมพันธ์กับปัจจัยต่อไปนี้คือ (1) เพศ (2) อายุ (3) สถานภาพทางสงั คม (4) อาชีพ (5) การงาน
และ (6) ความเชื่อทางศาสนา

ในสังคมโบราณนั้น เพศ เป็นปัจจัยเบ้ืองต้นท่ีทาให้เกิดความแตกต่างของการแต่งกาย
ซ่ึงแตกต่างไปจากปัจจุบันน้ี ที่เครื่องแต่งกายของชายหญิงไม่ใช่ส่ิงที่แบ่งแยกเพศอีกต่อไป การแต่งกาย
โดยใช้เครอ่ื งแต่งกายของเพศตรงขา้ มจะมีขึ้นก็ตอ่ เม่ือมีการประกอบพิธกี รรมบางอยา่ ง นอกจากนเี้ ครื่อง
แต่งกายยังเป็นส่ิงที่กาหนดสถานภาพของคนในบางสังคม เช่น เด็ก และหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน
จะแต่งกายแตกต่างจากหญิงท่ีแต่งงานแล้ว โดยที่การแต่งกายนี้จะรวมไปถึงการทาผมและการใช้
เครอ่ื งประดับดว้ ย

ความแตกต่างของเคร่ืองแต่งกายท่ีใชก้ ันในชมุ ชนพื้นบ้านอีกอย่างหนง่ึ ก็คือ เครื่องแต่งกาย
ทใี่ ช้กนั ในชีวิตประจาวัน กบั เครือ่ งแต่งกายที่ใชใ้ นงานฉลอง หรอื เทศกาลต่าง ๆ เครื่องแตง่ กายน้ีจะเป็น
สัญลกั ษณ์ของ “ทางเลอื ก” ไดอ้ ยา่ งชดั เจน คอื เคร่ืองแตง่ กายท่ีใชก้ นั ในชวี ติ ประจาวันจะมุ่งท่ีประโยชน์
ใช้สอย และมักจะไม่มีสีสันสวยงาม ไม่มีการตกแต่งประดับประดา ต่างจากเคร่ืองแต่งกายที่ใช้ในงาน
ฉลอง หรอื เทศกาลพิเศษตา่ ง ๆ ทมี่ กั จะตกแตง่ ประดบั ประดา หรือมีสสี ันสวยงามเป็นพเิ ศษ และในบาง
ชุมชน เคร่อื งแตง่ กายท่ใี ชใ้ นพธิ ีกรรมเกีย่ วกบั ศาสนาก็จะมลี กั ษณะท่เี ดน่ เท่า ๆ กับเครอื่ งแต่งกายทง้ั สอง
ประเภททีก่ ลา่ วมาแล้ว

เคร่อื งแต่งกายกบั การศกึ ษาวถิ ชี วี ติ พ้ืนบา้ น
เครื่องแต่งกายเป็นสิ่งสาคัญท่ีสุดอย่างหน่ึงท่ีจะแสดง บ่งชี้ และเป็นสัญลักษณ์ของชุมชน
พื้นบ้าน ซึ่งเครื่องแต่งกายในประเพณีปรัมปราน้ันเป็นจุดเริ่มต้นท่ีจะนาไปสู่การศึกษาโครงสร้างของ
สังคมพื้นบ้านได้ เพ่ือสังคมเล็ก ๆ ไปเช่ือมโยงกับสังคมใหญ่ และเพื่อพิจารณาผลกระทบของความเช่ือ
ทางศาสนาทีม่ ีต่อชวี ติ ของปัจเจกบคุ คล และชีวิตของชมุ ชนดว้ ย
การศึกษาเคร่ืองแต่งกาย ในฐานะท่ีเป็นเครื่องประดับตัวบุคคล ทาให้เราได้รู้สึกถึงแรงขับ
เบื้องต้นของมนุษย์ อันเป็นการศึกษาในแง่จิตวิทยาและมานุษยวิทยาท่ีกว้างขึ้น เครื่องแต่งกายพื้นบ้าน
นับว่าเป็นศิลปะอย่างหน่ึงท่ีมนุษย์สร้างขึ้น และในวัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่น้ัน ศิลปะนี้ก็เก่ียวข้องกับ
ความเชือ่ ทางศาสนาดว้ ย
มนุษยเ์ รานั้นไมว่ า่ จะอยใู่ นทอ้ งถิ่นใดก็ตาม ต่างก็มีความคดิ ในเร่ืองการทาให้ร่างกายของตน
มองดูดีในสายตาของผู้อื่น และในความรู้สึกของตนเองด้วย ดังน้ันนอกเหนือไปจากการใช้เครื่องนุ่งห่ม
ปกปิดร่างกาย อันเป็นความจาเป็นอย่างหนึ่งของมนุษย์ในหลายๆท้องถ่ินแล้ว ก็มีการประดับตกแต่ง
ร่างกายดว้ ย ดังท่ีเสถยี รโกเศศกลา่ วไวว้ ่า
“ในเรื่องเครื่องนุ่งห่มและเคร่ืองประดับรา่ งกาย ถ้าเป็นสังคมถ่ินหนาว ก็ใช้เครื่องนุ่งห่มตดั
เป็นเสื้อเป็นกางเกงให้เข้ากับรูปร่าง เพ่ือให้แนบกับตัว จะได้กันความเย็นความหนาวได้ดี ส่วนสังคมถ่ิน

184 ชวนพิศ อัตเนตร์

ร้อนก็ใช้ผ้าทั้งผืนสาหรับน่ังและห่ม เป็นอย่างห่มผ้า ห่มจีวร นุ่งผ้า นุ่งสบง นุ่งโสร่ง นุ่งถุง เป็นต้น เมื่อ
ร้อนก็เปล้ืองผ้าห่มออก เม่ือหนาวก็ใช้ห่มคลุมสะดวกดี สังคมบางแห่งที่อยู่ในถ่ินร้อนจัด และยังมี
วัฒนธรรมอยู่ในระดับต่า ก็ปล่อยตัวท่อนบนล่อนจ้อน ส่วนการแต่งผม ทาผม แต่งหน้า แต่งตัว และมี
เครื่องประดับประดาอะไรทเ่ี ปน็ ของเดิม ก็เป็นไปตามลกั ษณะส่ิงแวดลอ้ มทางภูมศิ าสตร์”

การแต่งกาย และการตกแต่งร่างกายของมนุษย์นั้นเป็นไปเพื่อความสวยงาม และมีเหตุผล
เกี่ยวกับสถานภาพของบุคคลด้วย จึงมีการเพิ่มเติมเครื่องประดับอื่น ๆ ท่ีไม่ใช่เสื้อผ้าเข้าไปในเร่ืองของ
การแต่งกาย รวมท้ังการตกแต่งกับร่างกาย คือ วาดภาพหรือระบายสีลงบนร่างกาย สัก ทาให้ร่างกาย
เปน็ แผลเป็น เจาะรู และทาให้รา่ งกายพิการ หรอื เสยี โฉม หรือตดั อวยั วะบางสว่ นออกไป วิธีการดังกล่าว
น้ีมีมาตั้งแต่สมัยดั้งเดิม และถ้าหากเป็นชนเผ่าที่ไม่นิยมสวมเส้ือผ้า หรือสวมแต่ผ้าคาดเอว หรือปกปิด
อวัยวะเพศเท่านั้น ก็จะยิ่งนิยมเจาะบางส่วนของร่างกายเพื่อเสียบเครื่องประดับ เช่น จมูก หู ริมฝีปาก
หรือสักตามตัว ทารอยแผลเป็น ใช้สีเขียนหน้า ย้อมฟันให้ดา หรือเราะฟันหน้าออก หรือเสี้ยมฟันให้
แหลม เปน็ ตน้

ในสังคมด้ังเดิมนั้น การสวมเส้ือผ้าหรือไม่สวมเสื้อผ้า ต่างก็มีบทบาทหน้าที่อยู่ในสังคมไม่
มากก็น้อย ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบท่ีมีอากาศร้อน มีป่าทึบ มีฝนตกมาก มักจะใช้เสื้อผ้าปกปิดร่างกาย
น้อย โดยท่ัวไปแล้วผู้ชายในแถบนี้จะสวมใส่สิ่งที่ปกปิดอวัยวะเพศที่มีลักษณะเป็นสายดึง หรือพยุง
อวัยวะเพศไว้ ซ่ึงในตอนแรก ๆ ก็ไม่มีนักวิชาการกลุ่มใดมองเห็นความจาเป็นของการค้นหาเหตุผลด้าน
ความเช่ือและความเก่ียวข้องกับมายาการ ในการท่ีจะใช้เครื่องปกปิดนี้ ต่อมาจึงมีผู้ศึกษาค้นคว้าและ
สรุปว่า การใช้สิ่งปกปิดอวัยวะเพศท่ีมองเห็นได้เด่นชัดน้ัน มิใช่การเบ่ียงเบนความสนใจแต่อย่างใด
แต่ควรจะเป็นจดุ ประสงค์ในการดงึ ดูดความสนใจมากกวา่ เนอื่ งจากวตั ถทุ ี่ใชป้ กปิดนน้ั จะทาจากเปลือก
หอยที่เป็นประกายแวววาว ผลน้าเด้าแห้ง เปลือกไม้ หนังสัตว์ ผ้า หรือหญ้า ส่วนความคิดที่ว่าเป็นการ
ป้องกัน และมีผลในทางลึกลับ และขลัง เพื่อปกป้องอวัยวะเพศชายให้พ้นจากอิทธิพลของปีศาจและ
ความชว่ั รา้ ยนน้ั น่าจะเปน็ ความคดิ ทพี่ ัฒนาข้ึนมาอกี ระดับหน่ึง

นอกจากนี้ก็ยังมีการใช้วัสดุบางประเภทตกแต่งร่างกาย เพ่ือทาให้บุคลิกภาพของตนดีข้ึน
เชน่ การใช้สีจากดิน เปลือกไม้ ยางไม้ วาดหรือระบายบนร่างกาย ซึ่งมักจะกระทากนั ในโอกาสพิเศษ เช่น
โอกาสท่ีมีงานฉลอง หรือมีพิธีกรรม บางคร้ังการระบายสีร่างกายก็เปลี่ยนสถานภาพของปัจเจกบุคคล
จากคนธรรมดาให้กลายเป็นคนที่มีความสาคัญไป หรือการระบายสีร่างกายในโอกาสท่ีจะทาสงคราม
กเ็ ก่ยี วกบั ความเช่ือในพลังของเวทมนตร์ มายาการ คือเชือ่ วา่ จะทาใหม้ ีกาลังแข็งแรง และผกู้ ระทาก็เกิด
กาลังใจในการที่จะต่อส้ดู ้วย

การวาดหรือระบายสีบนร่างกายแบบถาวร คือการสัก หรือกรีดผิวหนังให้เป็นแผลเป็นที่
มองเห็นไดช้ ัดเจน สว่ นการตกแตง่ ที่ทาใหเ้ สยี โฉม ผดิ ปกติ หรอื พิการ จะเป็นการเจาะรูตามร่างกายหรือ
การขริบหนังหุ้มปลายของอวัยวะสืบพันธ์ุของเพศชายท่ีเรียกว่า Circumcision และการกรีดด้านล่าง

คติชนและภูมปิ ญั ญาท้องถ่ิน 185

ของอวัยวะเพศชายท่เี รียกว่า Subincision นอกจากน้กี ม็ กี ารเราะฟนั หรอื เส้ียมฟนั ซ่งึ วธิ ีการแต่ละอย่าง
เป็นวิธีการท่ีมีผลต่อร่างกายมนุษย์ คือทาให้มีปัญหาด้านการรับประทานอาหาร หรือการติดเช้ือ แต่ใน
วิถีทางท่ีมนุษย์กาหนดข้ึนมานัน้ ดูเหมือนว่า ยิ่งมนุษย์สูญเสียสภาวะทางร่างกายไปเท่าใด ก็จะได้สภาวะ
ทางสังคมมาเท่าน้ัน และยังเป็นเร่ืองของความยินดีและความพอใจส่วนตัว ซึ่งไม่อาจอธิบายด้วยเหตุ
ผลได้

7.6 สถาปัตยกรรมพ้นื บา้ น

ความต้องการจาเป็นที่เป็นพ้ืนฐานมากท่ีสุดของมนุษยชาติอย่างหนึ่ง ก็คือความต้องการท่ี
พกั อาศัย มนุษย์ในสมัยโบราณอาจจะใช้ถา้ หรอื โพรง เปน็ ที่สาหรับพักอาศยั ถ้าเป็นสถานที่ที่ไม่ข้ึนแฉะ
จนเกินไป หรือโพรงนั้นก็จะเป็นท่ีอยู่ท่ีสุขสบายพอสมเอสมควร และป้องกันมนุษย์จากสัตว์ร้ายจากดิน
ฟา้ อากาศ และจากศตั รทู จ่ี ะมาทารา้ ย

อย่างไรกต็ าม การอาศัยอยใู่ นถา้ หรือโพรงทีไ่ ม่ใช่ความสะดวกไปเสยี ทกุ อยา่ ง เพราะถา้ หรือ
โพรงมีจานวนจากัดขณะที่มนุษย์มีจานวนเพ่ิมขึ้น ขณะเดียวกัน ความช้ืนก็ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายและ
สุขภาพ และมนุษย์ที่ใช้ชีวิตเร่ร่อน และเป็นพวกเก็บของป่ากับล่าสัตว์ท่ีมีจานวนมาก พวกนี้จะนอนบน
พ้ืนดิน และที่พักอาศัยของเขาก็มีลักษณะเหมือนรังหยาบ ๆ เท่านั้น คือมีที่กันลมท่ีใช้ก่ิงไม้หรือแถบ
เปลอื กไม้สานขัด ประกอบเข้าดว้ ยกันเป็นรูปโค้ง และหันดา้ นท่ีเปิดโล่งไปทางใต้ลม ท่ีกนั ลมน้ีอาจจะทา
จากผืนหนังก็ได้ และมนุษย์ในสมัยโบราณก็ยังรู้จักสร้างกระท่อมด้วยหญ้าเป็นรูปรังผึ้ง หรือรูปกรวยใน
เวลาต่อมา

กระท่อมของมนุษย์ในสมัยด้ังเดิมมักจะมีส่วนประกอบคล้ายคลึงกัน คือใช้ก่ิงไม้ตั้งเป็นเสา
และใชใ้ บไม้ปกปดิ เปน็ ฝาผนงั ตอ่ มาเมื่อมนุษยร์ ้จู ักการสร้างที่อยู่อาศัยมากขึ้น วัสดทุ ีใ่ ชท้ าฝาผนงั และมุง
หลังคาก็จะมีมากขึ้น และหลากหลายไปตามสภาพของท้องถ่ิน เช่น ใช้หิมะ หญ้าแห้ง ฟาง เปลือกไม้
ใยมะพร้าว หนงั สัตว์ โคลน ไมก้ ระดาน และกอ้ นหนิ เปน็ ตน้

การสร้างที่อยู่อาศัยนับว่าเป็นลักษณะสาคัญของวัฒนธรรมวัตถุ ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของการที่
มนุษย์มีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว การเรียนรู้ท่ีจะสร้างท่ีอยู่และใช้เนื้อท่ีของท่ีอยู่อาศัยนั้น
ทาให้มนุษย์มีความต้องการจาเปน็ ทางด้านการปรับร่างกายใหเ้ ข้ากับสภาพของอากาศนอ้ ยลง และผลที่
ไดร้ ับจากการสร้างที่อยู่อาศยั ก็คือ ทีอ่ ย่นู ้เี ป็นสถานทท่ี ี่ป้องกันฝน หมอกลมและแสงแดดท่ีส่องมาตรง ๆ
นอกจากนีย้ ังทาใหส้ ภาพของส่งิ แวดลอ้ มไม่เปลยี่ นแปลง เพ่ือเป็นทอี่ าศยั ของมนษุ ยชาติดว้ ย

สถาปัตยกรรมพ้ืนบ้าน (Folk Architecture) คือสถาปัตยกรรมด้ังเดิม และเก่ียวข้องกับ
ลักษณะดั้งเดิมต่าง ๆ ส่ิงก่อสร้างน่ัน ก็คือรูปร่างลักษณะ ขนาด และการออกแบบสิ่งก่อสร้างทุกชนิด
เช่น ท่ีอยอู่ าศัย ยุง้ ข้าว โรงนา เพง่ิ กระท่อม โรงเกบ็ เครอ่ื งมอื นอกจากน้ีกย็ ังเก่ียวข้องกับวัสดทุ ่ีนามาใช้

186 ชวนพศิ อตั เนตร์

ในการก่อสร้าง เคร่ืองมือ วิธีการก่อสร้าง การเลือกท่ีตั้ง (Site) การกาหนดสิ่งท่ีจะก่อสร้างในที่ต้ังนั้น ๆ
ตลอดจนสว่ นตา่ ง ๆ ของส่ิงกอ่ สรา้ งนัน้ และประโยชนใ์ ช้สอยของสง่ิ กอ่ สร้างน้นั ด้วย

วอร์เรน โรเบริ ต์ ส์ กลา่ วว่าสถาปตั ยกรรมพื้นบ้านยังคงอยู่เคยี งค่มู ากับสถาปัตยกรรมท่ีเป็น
วิชาการ สถาปัตยกรรมท่ีเป็นวิชาการน้ันได้มีการศึกษากันมานานแล้ว โดยเน้นความสนใจในเร่ือง
วิชาการและค่อนขา้ งจะปล่อยปละละเลยสถาปตั ยกรรมที่ “ไมไ่ ดว้ างแผน” ของตนพน้ื บา้ นธรรมดา และ
ไมค่ ่อยสนใจสิง่ กอ่ สรา้ งเกา่ แกด่ ้ังเดิมนัก ได้แตป่ ล่อยให้ส่ิงก่อสรา้ งเหล่าน้เี สื่อมโทรมไป แตส่ ถาปัตยกรรม
พื้นบ้านท่ีมีความสาคัญตรงที่ว่า จัดว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของวัฒนธรรมท่ีขยายตัวออกไปตามพื้นที่ทาง
ภูมิศาสตร์ สามารถมองเห็นได้ สัมผัสได้ และยังเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นระบบของสังคมและเศรษฐกิจใน
ระดับมลู ฐานอกี ดว้ ย

สถาปัตยกรรมพื้นบ้านจะมีการก่อสร้างไปตามผงั (plan)ด้ังเดิม ผู้สร้างซึ่งมักจะเป็นเจ้าของ
ด้วย จะออกแบบหรือทาไปตามผังที่เขาคุ้นเคย ผังนั้นอาจจะเป็นผังของสิ่งก่อสร้างท่ีใช้อยู่ทั่วไปใน
บริเวณที่เขาอาศัยอยู่ หรือเป็นแบบท่ีบรรพบุรุษของเขาสร้างข้ึนมา วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างเคร่ืองมือ
และวิธีการก่อสรา้ งทจี่ ะเป็นแบบดั้งเดิมดว้ ย เช่ือกันว่ามีการสร้างผังแบบดั้งเดมิ ขึ้นในสมัยโบราณ และมี
วิวัฒนาการข้ึนมาเร่ือย ๆ โดยแยกออกไปเป็นหลายรูปแบบ แต่ในเมื่อส่ิงเหล่านี้เป็นวัตถุ มันจึงสามารถ
คงอยู่ในวฒั นธรรมนาเป็นเวลาอันยาวนานได้

บ้าน จัดเป็นส่วนหน่ึงของสถาปัตยกรรมพื้นบ้านซึ่งถือกันว่าเป็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิม
บ้านจะเก่ียวข้องกับการศึกษารูปร่าง ขนาดและแบบ นอกจากน้ีก็มีวัสดุท่ีใช้ก่อสร้าง เครื่องมือท่ีใช้
ก่อสร้างและวิธีการก่อสร้าง ตลอดจนที่ดินท่ีใช้ปลูกสร้าง และการพิจารณาสภาพของพ้ืนดินด้วย
นอกจากบ้านแล้วก็ยังมีส่ิงก่อสร้างอื่น ๆ เช่น โรงนา ยุ้งฉาง เพิง คอกสัตว์ วัด โบสถ์ และท่ีพักอาศัย
อ่ืน ๆ ซ่ึงเราจะพบรปู แบบของสถาปัตยกรรมพ้นื บ้านได้ในเกือบทุกพื้นทข่ี องประเทศ

การศกึ ษาสถาปตั ยกรรมพ้นื บ้าน
ในการศึกษาสถาปัตยกรรมพ้ืนบ้านควรจะมีอุปกรณ์ต่อไปนี้คือ กล้องถ่ายรูป สมุดโน้ต
กระดาษสาหรับช่างภาพไม้บรรทัด เทปหรือตลับเมตร อาจมีเครื่องบันทึกเทปเพื่อสัมภาษณ์คนใน
ท้องถ่ินด้วย วิธีศึกษาคือ วัดขนาดของสิ่งก่อสร้างทั้งด้านนอกและด้านในเท่าที่จะวัดได้ คือกาแพง-ผนัง
ด้านนอก พื้นท่ีของพ้ืนด้านใน ความหนาของผนัง ส่วนประกอบของโครงสร้างแต่ละชนิด เช่น เสา อิฐ
แผ่นไม้ เตาไฟ ฯลฯ แล้วทาแผนภาพของพ้ืนท่ีท้ังหมด ควรใช้มาตราส่วน 1 น้ิวต่อ 1 ฟุต การทา
โครงการศึกษาสถาปัตยกรรมพ้ืนบ้านมีสิ่งสาคัญที่สุดอย่างหน่ึงท่ีควรเน้น คือการพรรณนารายละเอียด
ของโครงสร้างของมัน โดยมากมักจะเริ่มจากส่วนท่ีเก่าแก่ดั้งเดิมท่ีสุดของสิ่งก่อสร้างเร่ิมจากท่ีตั้ง พ้ืนที่
ภายนอก แล้วจึงย้ายเข้าไปตรงพื้นท่ีภายใน การถ่ายรูปให้ถ่ายโครงสร้างทั้งหมด 4 ด้าน แล้วเริ่มให้
รายละเอียดของส่วนประกอบ คอื ประตู หนา้ ตา่ ง บนั ได ห้อง ผนัง พน้ื เพดาน เตาไฟ และองคป์ ระกอบ

คตชิ นและภูมิปัญญาท้องถน่ิ 187

อนื่ ๆ ของโครงสร้าง เช่น ลม่ิ จนั ทนั หนา้ จั่ว วงกบ ธรณปี ระตู ฯลฯ ในการศึกษาสถาปตั ยกรรมพ้ืนบ้าน
นั้น เราไม่สามารถที่จะพรรณนาถึงส่วนประกอบของโครงสร้างทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วนได้ ดังน้ันจึง
ควรกล่าวถึงเฉพาะลักษณะเด่น หรือลักษณะพิเศษเฉพาะของโครงสร้างแต่ละโครงสร้าง ซ่ึงส่วนใหญ่ก็
จะเป็นสิ่งเหล่าน้ีคือ วัสดุที่ใช้ก่อสร้าง ซึ่งจะข้ึนอยู่กับทาเลท่ีต้ังของส่ิงก่อสร้างนั้น ๆ วัสดุเหล่านี้คือ ไม้
อิฐ ไม้ไผ่ ดินเหนียว หญ้า ตับจาก ตองตึง ฯลฯ วิธีการต่อไม้ และวิธีการวางอิฐ หิน การก่อดินเหนียว
ฯลฯ การสร้างผนังด้านใน การสร้างหลังคา จันทัน ความกว้างและความสูงของหน้าจ่ัว รากฐานของ
สง่ิ กอ่ สร้าง ประตู หน้าตา่ ง กลอนสลัก บนั ได พ้ืน เพดาน เตาไฟ ฯลฯ

การพิจารณาสิ่งเหล่าน้ีจะช่วยให้เราทราบได้ด้วยว่า เขาใช้เครื่องมืออะไรในการก่อสร้าง
และต่อจากน้ีก็ศึกษาดูว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อการก่อสร้างนี้ เช่น การท่ีผู้คนที่อยู่ใน
ทอ้ งถน่ิ นน้ั ออกแบบส่ิงก่อสร้างมาในลักษณะนั้นเปน็ เพราะสาเหตุอะไร เก่ียวกบั ดนิ ฟา้ อากาศ หรอื สภาพ
ของพ้ืนดินหรือไม่ ผู้ก่อสร้างใช้วัสดุอะไร ในแถบนั้นใช้วัสดุอย่างเดียวกันหมดหรือไม่ หรือมีการให้
ความสาคัญกับวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ ในแถบน้ันมีวัสดุอย่างนั้นเป็นจานวนมากใช่หรือไม่
ขั้นต่อไปก็คือการพิจารณาดูว่า พ้ืนท่ีว่างของส่ิงก่อสร้างท้ังด้านนอกและด้านใน จะนามาใช้ประโยชนไ์ ด้
อยา่ งไรบ้าง เชน่ ในบา้ นหลงั หนึ่งจะมกี ารแบง่ พ้นื ท่ีออกเป็นสองสว่ น คอื พ้ืนทท่ี ่เี ปิดเผยต่อสายตาบุคคล
อื่น กับพื้นท่ีส่วนตัว พ้ืนที่ทุกตารางเมตรจะมีหน้าที่อยู่ในตัวของมันเอง ผู้ออกแบบจะเป็นผู้กาหนดว่า
พน้ื ท่สี ่วนไหนมีจุดประสงคใ์ นการใช้อย่างไร

นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า สิ่งก่อสร้างน้ัน ๆ ด้ังอยู่ในทาเลท่ีเหมาะสมหรือไม่
ส่ิงแวดล้อมเป็นอย่างไร ถ้าเป็นท่ีอยู่อาศัย ท่ีอยู่นั้นตั้งอยู่ใกล้ถนนหรือไม่ ประตูหันไปทางไหน และเหตุ
ใดจึงหันไปทางน้ัน หน้าต่าง ทาไว้เพ่ือรับแสงแดดเข้ามาในบ้านหรือทาไว้เพื่อให้มีการระบายอากาศ
อย่างเดียว และดูว่าทาเลท่ีต้ังของส่ิงก่อสร้างน้ันมีความสัมพันธ์กับบทบาทหน้าที่ของสิ่งก่อสร้างนั้น
หรอื ไม่ เช่น วัด ควรจะตั้งอยตู่ รงใจกลางชมุ ชน เพราะทาหนา้ ที่เป็นศูนยก์ ลางของคนในสังคม

สถาปัตยกรรมพ้ืนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นท่ีอยู่อาศัย วัด โบสถ์ โรงนา ยุ้งฉาง เพิ่ง ศาลาท่ีพักคน
เดินทาง ฯลฯ ล้วนแต่เป็นส่ิงที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับส่ิงแวดล้อมทางกายของ
มนุษย์ มนุษย์จะสร้างมันขึ้นมาตามแบบแผนด้ังเดิม ซ่ึงเป็นแบบแผนที่เขาคุ้นเคยปัจจุบันน้ี
สถาปัตยกรรมพ้ืนบ้านก็ยังมีบทบาทและหน้าที่อยู่ในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมชนบท และกลุ่มคน
พื้นบ้าน ถึงแมว้ ่ามนษุ ย์เราจะมีความเจรญิ ทางวตั ถุและวิทยาการใหมๆ่ มากขึ้นเพยี งไรกต็ าม

นักวิชาการกล่าวว่า สถาปัตยกรรมพ้ืนบ้านจะเป็นกุญแจสาคัญที่จะทาให้เข้าใจถึงความ
แตกต่างของวัฒนธรรม การพจิ ารณาวัตถทุ เ่ี ป็นสิ่งก่อสร้าง จะทาใหเ้ ขา้ ใจถงึ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งปัจเจก
บุคคลกับสังคม การแพร่กระจายของวัฒนธรรม ความยืนยงของลักษณาการวัฒนธรรม และการท่ี
วัฒนธรรมเดินปรับตัวเข้ากับส่ิงแวดล้อมใหม่ๆ หรืออาจจะไม่ปรับตัวเลย นอกจากน้ีการศึกษา
สถาปัตยกรรมพ้ืนบ้านยังเป็นสว่ นหน่ึงของการศึกษาบทบาทหน้าทขี่ องคตชิ นท่ีมีต่อสังคมอกี ด้วย เพราะ

188 ชวนพศิ อตั เนตร์

สถาปัตยกรรมพ้ืนบ้านบางประเภท เช่น บ้านเรือน ท่ีอยู่อาศัยน้ันเป็นส่ิงก่อสร้างที่มีบทบาทหน้าท่ีต่อ
สังคมมาเป็นระยะเวลาอนั ยาวนาน

7.6 การประกอบอาหารพ้นื บ้าน

อาหารพื้นบ้าน (foodways หรือ Folk Cookery) คืออาหารท่ีใช้รับประทานกันใน
ชีวติ ประจาวนั ทีส่ บื ทอดกันมาตามประเพณีดั้งเดิม และแตกต่างกันไปตามท้องถน่ิ อาหารในครอบครัวก็
ขนึ้ อยูก่ ับประเพณปี รัมปราของท้องถ่นิ เช่นเดียวกัน ซงึ่ จะตา่ งจากการประกอบอาหารทีเ่ ปน็ การค้าที่เป็น
ของหน่วยงาน และท่ีเป็นศาสตร์ทางโภชนาการ การศึกษาอาหารพื้นบ้านน้ันคือการศึกษาตวั อาหารเอง
ศึกษารปู แบบ และโครงสรา้ งของอาหาร การเตรยี มอาหาร การเกบ็ รกั ษาอาหารตลอดจนบทบาทหน้าที่
ของอาหารทางด้านสงั คม และด้านจติ วทิ ยา และการแพร่เข้าไปในลกั ษณะต่าง ๆ ของวัฒนธรรมพน้ื บา้ น
นอกจากนย้ี ังรวมถึงความซบั ซอ้ นในเรื่องของอาหารในชีวติ ประจาวนั คือทัศนคติ ขอ้ ห้าม และระบบเวลา
รบั ประทานอาหารด้วย

การศึกษาเร่ืองการประกอบอาหารเป็นสาขาหนึ่งของการศึกษาวิถีชีวิตพื้นบ้าน แต่มี
การศึกษาอย่างจริงจังในยุโรปมากกว่าท่ีอ่ืน เนื่องจากนักวิชาการจะมองว่าการประกอบอาหารนั้นเป็น
เร่อื งพืน้ ฐานของวถิ ีชวี ิตพื้นบ้านเลยทีเดียว บรรดานักวิชาการไดว้ างรากฐานการคน้ ควา้ โดยแบง่ ออกเป็น
ท้องถ่ินต่าง ๆ และศึกษาอาหารพ้ืนบ้าน วิธีการเตรียมอาหารแบบพ้ืนบ้าน การนาอาหารมาใช้ในบ้าน
การเก็บผลผลิตของอาหารช่ืออาหารต่าง ๆ และระบบเวลาในการรับประทานซึ่งส่ิงเหล่านี้เป็นข้ันตอน
ของความสัมพันธร์ ะหวา่ งอาหารกับวฒั นธรรมพ้นื บา้ น

การคน้ คว้าเร่ืองอาหารอาจแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 วิธคี ือ
1. การค้นคว้าทางด้านซาติพันธ์ุ (Ethnographical Method) คือการใช้แบบสอบถาม
และการสัมภาษณ์อย่างเข้มข้น จนสามารถทราบถึงลักษณะที่เป็นประเพณีเก่าแก่ของการประกอบ
อาหารในท้องถ่นิ ต่าง ๆ ที่ทาการคน้ ควา้
2. การค้นคว้าทางด้านประวัติศาสตร์ (Historical Method) คือการสืบสาวถึงแหล่งวัสดุ
ที่อยใู่ นท้องถิ่นนัน้ ๆ ตลอดจนการเลือกสรรวัสดุ และการนามาปรับใหเ้ หมาะสมในการประกอบอาหาร
นอกจากน้ียังมีการศึกษาการประกอบอาหารต่างวัฒนธรรม คือการวิเคราะห์ความสัมพันธ์
ระหว่างชีววิทยากับวัฒนธรรมในปัญหาของความรู้สึกอยากอาหาร การศึกษาเคร่ืองใช้ไม้สอยในครัว
นสิ ัยการรบั ประทานอาหาร ความซับซ้อนของอาหาร และสว่ นประกอบของอาหารแต่ละอย่าง ตลอดจน
การเผยแพร่อาหารไปตามวิธีการทางด้านเศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงในแบบฉบับของการบริโภค
อาหารดว้ ย

คตชิ นและภูมิปญั ญาท้องถิน่ 189

ผลงานทางดา้ นการศึกษาเรอ่ื ง อาหารในแง่คตชิ นวทิ ยาของนกั วชิ าการชาวยุโรป ทส่ี รุปได้ก็
คือปัจจัยหรือตัวกาหนดทางด้านประวัติศาสตร์ของการประกอบอาหาร และรูปแบบของอาหารท่ีสาคญั
กค็ ือสิ่งแวดลอ้ มและดนิ ฟา้ อากาศ นอกจากนกี้ ็มีประวตั ิศาสตร์เกยี่ วกบั การตง้ั ถ่นิ ฐาน และสถิตปิ ระชากร
ตามกลุ่มเชื้อชาติ ความเปล่ียนแปลงที่ข้ึนอยู่กับลกั ษณะของเมืองใหญแ่ ละนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยี
ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ องค์ประกอบทางสังคม และศาสนา ซ่ึงการศึกษาการประกอบอาหารพื้นบ้าน
เป็นการพิจารณาปฏิกิริยาตอบสนองของมนุษย์ ท่ีมีต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติพื้นฐานของเขาเอง
และการศึกษานี้ครอบคลุมเรื่องราวทร่ี ะบุมาแล้วน้นั ในฐานะทเี่ ป็นอิทธิพลทางด้านสภาพแวดล้อมที่มีต่อ
การครัว อาหารตามฤดูกาล และพืชในท้องถิ่นกับอาหารในท้องถิ่นที่อยู่ตามภูมิประเทศต่าง ๆ ที่มี
วัฒนธรรมต่างกันด้วย ผู้ท่ีศึกษาเร่ืองนี้ก็คือนักภูมิศาสตร์วัฒนธรรม และนักนิเวศวิทยา ส่วนนัก
ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจจะเพ่ิมเติมลักษณะของการแพร่กระจายของอาหารในระยะต่าง ๆ เช่น
การตลาด การขนส่ง การลาเลียง ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและรูปแบบของอาหารท้องถิ่น ส่วนนัก
ประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเร่ืองชนบท และพวกท่ีศึกษาเทคโนโลยีจะศึกษาความเปล่ียนแปลงในเทคโนโลยี
ของชนบท พวกน้ีจะสามารถให้ข้อมูลที่ตรงกับปัญหาเก่ียวกับผลของความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของ
อาหารด้วย

สาหรับนักคติชนวิทยานั้นอาจใช้การประกอบอาหารพ้ืนบ้านเป็นสว่ นประกอบสาคัญอย่าง
หน่ึงในวัฒนธรรมพ้ืนบ้าน ซึ่งจะแพร่ขยายตัวออกไปในลักษณะต่าง ๆ ของโครงสร้างทั้งหมดนักคติชน
วิทยาสามารถทางานร่วมกับนักประวัติศาสตร์ศาสนาและนักมานุษยวิทยา ในการศึกษาความสัมพันธ์
ระหว่างการประกอบอาหารท่ีเป็นแง่ศักดิ์สิทธ์ิกับแง่โลกวิสัย คติชนวิทยาท่ีเก่ียวกับข้อห้ามของอาหาร
จิตวิทยาเก่ียวกับวิธีการประกอบอาหาร และหากต้องการให้ภาวะแวดล้อมของวิถีชีวิตพ้ืนบ้านที่ศึกษา
อย่กู ว้างข้นึ ก็สามารถนาข้อมลู ไปแลกเปลี่ยนหรือเทียบเคียงกับศาสตร์ทางด้านประวัติศาสตร์สังคมดังท่ี
กล่าวมาแล้ว

การศึกษาอาหารพื้นบ้าน จะเก่ียวข้องกับการประกอบอาหารสาหรับชีวิตประจาวันที่สืบ
ทอดกันมาในประเพณีปรัมปราก่อนสิ่งอื่น การประกอบอาหารนี้จะต่างกันไปตามท้องถิ่น และทากันใน
ครอบครัว อาหารน้ีขึ้นอยู่กับประเพณีปรัมปราของท้องถิ่น และแตกต่างจากการประกอบอาหารเพ่ือ
การค้า เพื่อสถาบัน และตามหลักโภชนาการที่เป็นวิชาการ เราจะต้องศึกษาตัวอาหาร ศึกษารูปร่าง
ลักษณะ หรือสัณฐาน (Imorphology) ของอาหาร การเตรียมอาหาร การเก็บถนอมอาหารบทบาท
หน้าท่ที างสังคมและจติ วทิ ยา และการเขา้ ไปแทรกแซงอยู่ในแง่มมุ ต่าง ๆ ของวฒั นธรรมซง่ึ จะเปน็ เร่ืองท่ี
ซบั ซ้อนมากขึ้น รวมไปถึงระบบของการรับประทานอาหาร ทศั นคตแิ ละข้อห้ามตา่ ง ๆ ดว้ ย

การหาสว่ นการศกึ ษาอาหารในแง่ท่เี ป็นวัฒนธรรมวัตถุนั้นทาได้โดยยดึ หลักตอ่ ไปนี้
1. วิธีการที่ได้อาหารมา (Procurement of Food Supplies) คือการตรวจสอบหรือ
ค้นคว้าว่าเราได้อาหารหรือส่วนประกอบมาจากที่ใดบ้าง บางอย่างอาจจะได้โดยเก็บมาจากสวน ไร่ ทุ่ง

190 ชวนพิศ อัตเนตร์

นา บางอย่างต้องซื้อหามาจากตลาดหรือร้านขายของชา หรือร้านท่ีขายของเฉพาะอย่าง ถ้าหากเรา
ศึกษาค้นคว้าประเพณีปรัมปราเก่ียวกับอาหารตามช่วงเวลา คือ จากคนรุ่นหนึ่งไป ยังคนอีกรุ่นหน่ึงเรา
จะได้ทราบว่าแหลง่ ทมี่ าของอาหารจะเปล่ียนแปลงไปวิธปี ระกอบอาหารเฉพาะอยา่ งอาจจะเปลีย่ นแปลง
ไปตามกาลเวลาและสง่ิ แวดล้อม เชน่ มีการผสมเคร่ืองปรงุ ใหม่ ๆ หรือปรับปรุงรสชาติอาหารทเี่ คยทากัน
มาตงั้ แตโ่ บราณใหเ้ ปลี่ยนไป หรอื ศกึ ษาว่าสิ่งแวดลอ้ มตามลักษณะนเิ วศวิทยาในพนื้ ท่ีทางภมู ิศาสตร์แถบ
นั้นมีผลกระทบต่อการแสวงหาอาหารหรือไม่ การศึกษาอาจจะอาศัยประเพณีปรัมปราของเช้ือชาติเข้า
มาช่วยและควรจะมีการเปรียบเทียบระหว่างสมัยเก่ากับสมัยใหม่ การหาอาหารที่มีลักษณะหรือ
คุณสมบัติคล้ายคลึงกันมาทดแทนสิ่งท่ีขาดไป บางท้องถิ่นอาจจะหาอาหารลาบากเพราะสภาพแวดล้อม
หรือมีอาหารท่ีแปลกไปจากท้องถ่ินอ่ืนมาก เช่น ท้องถ่ินอีสาน การศึกษาเร่ืองน้ีจึงทาให้ทราบถึงภูมิ
ปัญญาพืน้ บ้านด้วย

2. การแพร่กระจาย (Distribution) การศึกษาเรื่องการแพร่กระจายน้ีจะเป็นการศึกษา
เชงิ เปรียบเทยี บเก่ยี วกบั พนื้ ที่และระยะเวลาของการหาอาหารและวธิ ีการประกอบอาหาร สามารถศกึ ษา
ความเปลี่ยนแปลง และความหลากหลายจากคนรุ่นหน่ึงไปยังคนอีกรุ่นหน่ึง ศึกษาครอบครัวใด
ครอบครวั หนึ่งตามกาลเวลาที่ผ่านไปหรอื หลาย ๆ ครอบครวั ในกลมุ่ วฒั นธรรมเดียวกนั หรือเปรียบเทยี บ
ระหว่างสมาชิกในกลุ่มสังคมต่าง ๆ ก็ได้ เพ่ือดูว่าปัจจัยใดท่ีทาให้เกิดการแพร่กระจาย และการถ่ายทอด
และเมื่อมีการแพร่กระจายแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงหรือไม่ การเปล่ียนแปลงเป็นไปเพื่อ
อะไร เชน่ ทาใหร้ สชาติอร่อยขนึ้ หรือทาใหถ้ กู ปาก ถกู รสนยิ มของท้องถ่ินนน้ั

3. การเก็บรักษาอาหาร (Preservation of food) เรียงนี้เก่ียวข้องกับการนาอาหารมาใช้
ในชีวิตประจาวันของเรา เป็นการศึกษาวิธีการถนอมอาหาร โดยเฉพาะส่ิงที่ได้จากการเพาะปลูกเช่น
พืชผักสวนครัว การศึกษาจะรวมถึงการพิจารณาอาหารแต่ละชนดิ ว่า จะเก็บรักษาไว้ได้หรือไม่ได้ถ้าเกบ็
ไว้ได้จะทาอย่างไร เช่น การเก็บผักให้สด ไม่เน่าเสียเร็ว และต่อมาก็มีการดองเอาไว้ อาหารแต่ละชนิดมี
คุณสมบัติทางกายภาพไม่เหมือนกัน บางชนิดบูดเน่าช้า บางชนิดก็บูดเน่าเร็ว นอกจากนี้ก็ยังมีการ
พิจารณาถึงสถานที่เก็บอาหารด้วย เช่น เก็บมะนาวไว้ด้วยการหมกทราย พิจารณาวัสดุที่ใช้ในการเก็บ
รกั ษาอาหาร เช่น เกลอื

4. การเตรียมอาหาร (Preparation) เรื่องน้ีเกี่ยวข้องกับวัตถุท่ีนามาใช้ในการเตรียม
อาหารวิธีการปรุง และทาให้สุก เมื่อพูดถึงการประกอบอาหารจะต้องพูดถึงข้ันตอนการเตรียมต้ังแต่ต้น
จนจบกระบวนการ และต้องบันทึกรายละเอียด เช่น เคร่ืองตวงภาชนะ ท่ีใช้บรรจุหม้อและเคร่ืองมือ
อ่ืน ๆ รายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง เช่น ความเชื่อว่าถ้าใช้หม้อดินหุงข้าว ข้าวจะมี กลิ่นหอม
รับประทานอร่อย ความเช่ือว่าใช้เกลือแทนน้าปลากับอาหารบางอย่างจะดีกว่า วิธีการหรือเคล็ดลับใน
การปรงุ ที่ทาใหร้ สชาติดีขึน้ การใช้วสั ดุตามธรรมชาตทิ าใหเ้ น้ือเป่ือย การใช้สว่ นประกอบบางอยา่ งที่เชื่อ
วา่ ขาดไม่ได้ เชน่ หอม กระเทียม การใชช้ ผี สมตามธรรมชาติ ฯลฯ

คติชนและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ 191

5. การบริโภค (Consumption) การศึกษาเร่ืองนี้เพ่งเล็งถึงวิธีการบริโภคอาหาร เช่น ใน
แต่ละมื้อควรจะประกอบด้วยอาหารอะไรบ้าง การจัดวางอาหารและเคร่ืองใช้ ต้องมีเคร่ืองใช้พิเศษ
หรือไม่ วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณ มีการจัดอาหารท่ีเข้าชุดกันบางอย่าง
ต้องทาใหบ้ รโิ ภคได้อย่างสะดวกสบาย เช่น การตดั นนั่ หรือฉีกเป็นฝอย การทาใหส้ วยงาม เชน่ แกะสลัก
ผัก ผลไม้ การเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมจากการเป็นข้าวด้วยมือมาเป็นใช้ช้อนส้อมหรือศึกษา
วฒั นธรรมการบรโิ ภคของแต่ละกลมุ่ กไ็ ด้

นอกจากนย้ี ังมีเรื่องอ่ืน ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งกับการประกอบอาหาร เช่น สิ่งแวดลอ้ ม ความเช่ือใน
วัฒนธรรมประเพณีบางอย่าง และการศึกษาวิธีการประกอบอาหารในเฉพาะกลุ่มพื้นบ้าน ซ่ึงอาจจะมี
การถา่ ยทอดมาตามประเพณกี ็ได้

7.7 วัตถุพืน้ บา้ นวัตถุ

พื้นบ้าน หรือ Folk Object หมายถึง ผลผลิตท่ีเป็นวัตถุท่ีเป็นไปตามประเพณีนิยมของ
ชาวบ้าน วัตถุพื้นบ้านเป็นส่ิงท่ีทาให้มองเห็นประเพณีปรัมปราได้อย่างจริงจัง และเด่นชัดขึ้น ด้วยเหตุท่ี
วัตถุพื้นบ้านมีการเรียนรู้ด้วยการเลียนแบบงานของชุมชน หรือสมาชิกในครอบครัวและด้วยการมีส่วน
ร่วมในขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นมันจึงแสดงการซ้าและความหลากหลายท่ีมีลักษณะแบบ
เดียวกับข้อมูลคติชนรูปแบบอ่ืน ๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า วัตถุพ้ืนบ้านแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ภายในท่ี
เปน็ แบบเดยี วกับคตชิ นทุกรปู แบบ

วัตถุพื้นบ้าน เป็นส่ิงท่ีสะท้อนถึงประสบการณ์ร่วม ความคิดของชุมชน และค่านิยมที่
เชื่อมโยงปัจเจกบุคคลเข้ากับกลุ่ม และเช่ือมโยงกับสถานการณ์แวดล้อมการเรียกวัตถุเหล่านี้ว่า
“วัฒนธรรมวัตถุ” คือการเน้นความสัมพันธ์ภายใน เพ่ือชี้ให้เห็นการที่วัตถุสอดประสานเข้ามาในวิถชี ีวิต
ของปัจเจกบุคคลและชมุ ชนนนั้ เอง

วัตถุพื้นบ้านจะคงอยู่ในสภาพของส่ิงของท่ีต้องการเน้ือที่ เป็นสิ่งที่คงทน สามารถมองเห็น
ได้ สัมผัสได้ และดมกล่ินได้ ดังน้ันการศึกษาวัตถุจะต่างไปจากการศึกษาข้อมูลคติชนที่เป็นถ้อยคา หรือ
เปน็ ภาษาทา่ ทาง คอื จะเนน้ ทกี่ ารศกึ ษาลกั ษณะของรปู แบบมากกว่าอย่างอนื่

ไซมอน เจ. บรอนเนอร์ กล่าวว่า คาว่ารูปแบบหรือ form น้ันมีรากศัพท์เป็นภาษากรีกท่ีมี
ความหมายว่า รูปร่างที่มองเห็นได้ หรือ Visible Shape วัตถุชิ้นหนึ่งจะเป็นสิ่งท่ีมองเหน็ ได้และมี 3 มิติ
ดังนั้นการพรรณนาวัตถุจะต้องเร่ิมต้นด้วยลักษณะต่าง ๆ ท่ีมองเห็นได้และคงที่คือเส้นโครงร่าง
(Contour) ขนาด (Size) และโครงสร้าง (Structure) นอกจากน้ีวัตถุก็ยังมีส่วนประกอบอ่ืน ๆ ท่ีจะต้อง
บันทึกไว้คือวัสดุ (Material) การประกอบ (Construction) การใช้ (Use) และการออกแบบ (Design)
วัตถุแต่ละแบบอาจมีวัสดุและสีสันแตกต่างกันไป แต่รูปแบบของมันจะคงอยู่ และสามารถนาไป
เปรยี บเทยี บกบั ช้นิ อนื่ ได้ทกุ เมือ่ รูปแบบน้เี ปน็ สงิ่ ทมี่ องเห็นได้และคงท่ี ซ่งึ เราสามารถทาการวดั ได้

192 ชวนพิศ อตั เนตร์

การวดั ทาให้วัตถุแสดงออกซึ่งการซ้า และความหลากหลายในลักษณะของหนว่ ยทส่ี ามารถ
เปรียบเทียบกันได้อย่างชัดเจน การวัดช่วยให้เราพรรณนาถึงมาตรฐานของรูปแบบที่อยู่ในวัฒนธรรมใด
วัฒนธรรมหน่ึง และทาให้มีการโต้แย้งหาเหตุผลในเรื่องของแบบแผน (Pattern) และการมีสัดส่วนท่ีรับ
กัน (Symmetry) โดยอาศัยเวลาและเนื้อท่ีมาเป็นส่วนประกอบ เช่น บ้านบางแห่งเกิดจากความ
เปล่ียนแปลงของรูปส่ีเหล่ียม บ้านบางแห่งจะมีห้องอยู่สองห้อง และความยาวของห้องจะต้องเป็นสอง
เท่าของความกว้าง เปน็ ต้น

วัตถุเปน็ สิง่ ทค่ี งทน ไม่ไดส้ ญู สลายไปต้ังแต่ช่วงเวลาท่ีมีการสร้างสรรคข์ น้ึ มา ซ่งึ แสดงวา่ วตั ถุ
เหล่าน้ีมี “จุดประสงค์ของการคงอยู่” มนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์วัตถุขึ้นมา แต่เมื่อมีการสร้างสรรค์ขึ้น
มาแล้ว วัตถุเหล่าน้ีจะแยกกันอยู่เป็นช้ิน ๆ ต่างหากจากกัน คุณสมบัติเช่นนี้แตกต่างไปจากข้อมูลคติชน
แบบอนื่ ๆ เป็นเหตุใหเ้ กดิ ผลทต่ี ามมาหลายประการคือ

ประการท่ี 1 วัตถุมีความสาคัญทางด้านประวัติศาสตร์อย่างเห็นได้ชัด สาเหตุท่ีวัตถุมี
ลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์ก็เพราะว่ามันเป็นส่ิงที่คงทน เป็นส่ิงท่ีถูกผลักดันมาจากอดีต และด้วย
สาเหตุท่ีวัตถุพื้นบ้านเป็นส่ิงที่ใช้ในชีวิตประจาวัน ซึ่งเป็นชีวิตที่ต้องการท่ีอยู่อาศัย ชีวิตท่ีต้องทางาน
ต้องเล่นต้องสวดมนต์ภาวนาขอความคุ้มครองจากส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ ฯลฯ ดังนั้นวัตถุจึงอาจจะช่วยเรา
เรียกร้องประสบการณ์เกยี่ วกบั บางส่ิงบางอยา่ งในชวี ติ ประจาวันน้ันได้

ประการท่ี 2 วัตถุต่าง ๆ ถึงแม้ว่าจะเเยกออกเป็นชิ้น ๆ ก็ตาม แต่ก็ยังมีการยอมรับว่ามันมี
ความสัมพันธ์กับผู้สร้างและผู้ครอบครองท่ีเป็นมนุษย์ มีการนาลักษณะของมนุษย์มาใช้ให้เป็น
คุณลักษณะของวัตถุ ดังน้ันจึงมีการพรรณนาเก้าอ้ีในลักษณะที่มีขา ขวดและตะเกียงมีคอ นาฬิกามีหน้า
(หน้าปัด) เป็นต้น บางคนก็มีการปฏิสัมพันธ์กับวัตถุราวกับว่ามันเป็นคนจริง ๆ คือต้ังช่ือให้วัตถุ คุยกับ
วัตถุ และตกแต่งประดับประดา หรือแต่งตัวให้วัตถุเหล่านั้น ด้วยเหตุที่วัตถุมีลักษณะทั้งแยกจากกัน
ต่างหาก และทั้งคงอยู่เพ่ือผู้สร้างและผู้ครอบครองเราจึงสามารถใช้วัตถุน้ันเพื่อการแสดง หรือเปิดเผย
บางส่ิงบางอยา่ งได้ คือวัตถุเหลา่ นี้จะทาหน้าทเี่ ป็นสัญลักษณ์ของชนชนั้ เปน็ เคร่อื งหมายของอาชีพ หรือ
ของกลมุ่ ชน เชน่ ลอ้ เกวียน รถมา้ เป็นต้น

ประการท่ี 3 วัตถุต่าง ๆ สามารถเป็นเครื่องมือส่ือสารความเชื่อได้ สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นวัตถุนั้น
สามารถทาให้มนุษย์ได้มองเห็นและรู้สึกในความคิด ความรู้สึกกลัว โชค หรือประสบการณ์ด้านศาสนา
เช่น บ้านผีสิง เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันระหว่างความกลัวกับความพิศวง งงงวยในส่ิงเหนือธรรมชาติ
ในวัฒนธรรมตะวันตกมีวัตถุหลายอย่างท่ีถือว่าเป็นส่ิงนาโชค เช่น เกือกม้า เท้ากระต่าย นอกจากนี้ก็มี
ความเช่ือในการรับประทานอาหารบางชนิด เช่น ในงานเล้ียงท่ีมีขนมจีน ซ่ึงถือเอาลักษณะของวัตถุมา
เป็นคติ ว่าจะทาให้เกิดความยั่งยืน ชื่อของอาหารท่ีเช่ือว่าเป็นมงคล เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง
ทองเอก ฯลฯ สงิ่ เหลา่ น้ลี ว้ นมคี วามสัมพันธก์ ับความเช่ือ และการดาเนนิ ชีวติ ของผ้คู นในสงั คมท้ังส้ิน

คตชิ นและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน 193

วัตถุเป็นส่ิงที่ดูน่าเช่ือถือ และสามารถเชื่อถือได้ เพราะว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตาม
อารมณ์ของมนุษย์ รูปแบบของมันค่อนข้างจะแน่นอน สามารถมองเห็นได้ สัมผัสแตะต้องได้และ
เพราะว่าเป็นส่ิงที่คงทนอยู่ได้ด้วย มันจึงมีลักษณะท่ีเป็นความจริง เน่ืองจากการมองเห็นวัตถุอย่างเดียว
อาจจะยังไม่ทาให้เกิดความพอใจเพียงพอ ความเป็นจริงเกิดขึ้นจากการได้สัมผัสกับวัตถุ และรู้สึกในมิติ
ทั้งความกว้าง ความยาว และความหนาของมัน ซ่ึงการสัมผัสกับความเป็นจริงจะทาให้เชื่อม่ันมากกว่า
การมองเห็นเพียงอย่างเดียว ดังน้ัน วัตถุต่าง ๆ จึงใช้เป็นสิ่งที่ยืนยันความเชื่อได้ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่
วัตถพุ ื้นบ้านกต็ าม แต่มันกเ็ ป็นสงิ่ ทีส่ นับสนนุ ระบบความเชอ่ื พน้ื บ้าน

บรอนเนอร์อธิบายว่า ถ้าหากวัตถุพ้ืนบ้านเป็นประวัติศาสตร์ด้วยเหตุผลท่ีว่ามันอยู่รอดมา
จากอดีตแล้ว เราสามารถอธิบายการคงอยู่ในปัจจุบันของวัตถุนั้นได้ด้วยการนามาใช้ การใช้วัตถุอาจ
เปลี่ยนไปได้ถึงแม้ว่ารูปแบบของมันจะไม่เปล่ียน ตัวอย่างเช่น การใช้ช้ินไม้แกะสลักจะเปลี่ยนแปลงไป
ตลอดช่วงชีวิตของผู้แกะสลัก คือในวัยเด็ก ผู้แกะสลักใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนท่ีเป็นชาวไร่ชาวสวน
การแกะสลักไม้คือการเรียนรู้คุณสมบัติของไม้ การใช้เคร่ืองมือและการแก้ปัญหาในวิธีการทาบางอย่าง
พอเติบโตข้ึนมา เขาอาจจะต้องออกจากชุมชนเดิมไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองและทางานในโรงงาน
อุตสาหกรรม และท้ิงงานแกะสลักไม้ไปโดยปริยาย พอถึงวัยเกษียณอายุผู้แกะสลักจะรื้อฟ้ืนงานของเขา
ข้ึนมาอีกในยามว่าง แต่เขาจะพบว่าการใช้งานแกะสลักของเขาจะเปลี่ยนไป คือใช้ให้คนอ่ืนเพ่ือเป็น
เครื่องหมายแห่งมิตรภาพ ใช้เพ่ือแสดงทักษะของตัวเขาเองให้คนรุ่นหลังได้เห็น และเมื่อเขาตายแล้ว
งานนี้กค็ อื อนุสรณ์ชิ้นเลก็ ๆ ของผู้ท่ีสรา้ งสรรคม์ นั ขึ้นมา

บรอนเนอร์ยังชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างวัตถุพ้ืนบ้านกับรูปแบบอ่ืน ๆ ของคติชนอีก
ประการหนึ่ง คือ วัตถุพ้ืนบ้านมักทาจากวัสดุท่ีได้มาตามธรรมชาติ ขณะท่ีนิทานหรือการร้องราทาเพลง
ขึ้นอยู่กับการใช้ถ้อยคาและท่าทาง วัตถุจานวนมาก โดยเฉพาะวัตถุช้ินใหญ่ ๆ เช่น บ้าน เป็นต้น
มีแนวโน้มวา่ จะมคี วามสัมพันธ์โดยตรงกับสถานที่ที่มันปรากฏอยู่และกลายเปน็ “ภมู ิประเทศท่ีสรา้ งข้ึน”
การสร้างภูมปิ ระเทศแบบน้ี และวสั ดทุ ใ่ี ชส้ ร้างจะแสดงใหเ้ ห็นถึงลักษณะของความสมั พนั ธ์ระหว่างมนุษย์
กับสง่ิ แวดล้อม

วัฒนธรรมวัตถุ เป็นส่ิงที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตมนุษย์กับธรรมชาติใน
สังคมดั้งเดิมมนุษย์มักจะแสดงออกถึงความผูกพันน้ี เช่น การสร้างบ้านเป็นรูปกลม แต่ในเวลาต่อมา
มนุษย์จะพยายามออกแบบให้วตั ถุผูกพันกับรปู แบบของธรรมชาตนิ ้อยลง เพ่ือให้เกิดความรู้สึกว่ามนุษย์
สามารถที่จะควบคุมธรรมชาติได้ เช่น ยึดรูปส่ีเหลี่ยมมุมฉากเป็นรูปร่างพื้นฐานซ่ึงนักวิชาการอธิบายว่า
ท้ังรูปกลมและรูปส่ีเหลี่ยมน้ัน หมายถึงการดาเนินชีวิตของมนุษย์น่ันเองคือรูปกสมหมายถึงวงจรชีวิต
หรือวัฏจักรท่ีหมุนเวียน ส่วนรูปส่ีเหลี่ยมหมายถึงการเคล่ือนท่ีเป็นแนวเส้นตรง ส่วนจะเป็นความเชื่อที่
ปรากฏในสังคมใดบ้างน้นั ก็แลว้ แตว่ า่ มนุษย์ในสงั คมน้นั จะผกู พันกับรูปแบบของวตั ถแุ บบใด


Click to View FlipBook Version