94 ชวนพิศ อัตเนตร์
แช่น้าให้อ่อนตัวและต้มด้วยน้าผสมโซดาไฟเค่ียวจนเปื่อยยุ่ย จึงนาไปล้างน้าหลาย ๆ คร้ัง เพื่อให้หมด
น้าด่าง ต่อจากน้ันนาไปทุบให้เป็นเย่ือกระดาษอาจจะทุบด้วยมือหรือติด้วยเครื่องตีเยื่อท่ีได้ การทุบไม่
ต้องแรงพอให้แยกเส้นใยออกจากกันเป็นเยื่อกระดาบเท่านน้ั แล้วนาไปใส่ถงั น้าเอามือคนให้เย่ือกระจาย
ออกจากกัน ถ้าต้องการให้มีสีขาวที่นาเพื่อไปฟอกน้ายา ถ้าต้องการให้มีสีต่าง ๆ ท่ีน่าเบ่ือนั้นไปย้อมสี
เม่ือจะทาเป็นแผ่นกระดาษก็นาเพ่ือนั้นไปใส่ในถังซ้อนกระดาษที่มีน้าสะอาดอยู่จนเกือบเต็มถังแล้ว
หลังจากใช้เพ่ือลงไปในถังข้อนแล้ว ก็ใช้ไม้กวนเย่ือในถังช้อนให้เยื่อกระจายออกจากกันโดยทั่ว
เอาน้ายางกระเจ๊ียบสดท่ีเตรียมไว้เทใส่ในถังช้อน ใช้ตะแกรงร้อนแผ่นกระดาษ ช้อนแผ่นกระดาบไป
ประมาณ 15 แผ่น ก็เติมเพอ่ื ลงไปอกี และใชต้ ะแกรงช้อนแผ่นอีก เมอ่ื ช้อนแผ่นแล้วกต็ ้องนาเอาตะแกรง
ช้อนแผ่นน้ันไปตากแดดจนกว่ากระดาษจะแห้งสนิท ฉะนั้น การทากระดาษสาจึงต้องมีตะเเกรงช้อน
หลาย ๆ อัน ท่ีพวกชาวบ้านบ่อสร้างอาเภอสันกาแพง จังหวัดเชียงใหม่ ทากระดาษสากันจะมีตะแกรง
ชอ้ นกระตามประมาณบา้ นละ 50 ตะแกรงเป็นอยา่ งน้อย
ประโยชน์ของกระดาบสาน้ันส่วนใหญ่ใชท้ ากระดาษปิดร่มกระดาษ นอกจากนั้นยิ่งใช้
ทาเป็นกระดาษเช็ดมือตามร้านอาหาร ทาเป็นกระดาษห่อของขวัญท่ัว ๆ ไป ใช้ทาเป็นกระดาษห่อ
ผงเคมีบรรจุในก้อนถ่านไฟฉายใช้ทาพัดกระดาษแบบต่าง ๆ ให้เป็นกระดาษลอกลายตามฝาผนังโบสถ์
และยงั ใช้เป็นกระดาษเช็ดสงิ่ เปรอะเป้อื นตามโรงพยาบาล ฯลฯ
2. ศิลปหตั ถกรรมพืน้ บา้ นภาคอสี าน
2.1 ผ้าทอพ้ืนบ้านอีสาน การทอผ้าในภาคอีสานนั้นมีเอกลักษณ์ที่เป็นลักษณะ
เฉพาะของท้องถ่ินมาเป็นเวลาช้านานผ้าทอของชาวอีสานแบ่งออกได้ตามชนิดของวัตถุดิบท่ีใช้ซึ่งมี 2
ชนิด คือ ผ้าฝ้าย และผ้าไหม ผ้าท้ังสองชนิดน้ีนอกจากจะใช้วัตถุดิบต่างกันแล้ว ยังมีเทคนิคการทอและ
ลวดลายแตกต่างกันออกไปอีกมากมายหลายแบบ เช่น ผ้าขิด ผ้ามัดหมีผ้าหางกระรอก ผ้าตีนจก
ผ้าแพรวา เป็นต้น การทอผ้าฝ้ายของภาคอีสานจะเร่ิมจากการปลูกฝ้าย ดูแลรักษาต้นฝ้ายจนกว่าจะโต
เก็บสมอฝ้ายได้นาสมอฝ่ายที่แก่และแห้งดีมาเข้าเคร่ืองบีบเอาเมล็ดออก แล้วนาฝ่ายมาป่ันให้ปุยฝ้ายฟู
และนามากรอเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณท่อนละ 1 ฟุต จึงนาไปเข้าเครื่องป่ันให้ได้เส้นฝ่ายที่เรียกว่า
“การเป็นฝ่าย” ตอ่ จากนนั้ นัน้ จึงนากลมุ่ ฝา้ ยทไ่ี ด้ไปแชน่ า้ ข้าวเจ้าท่สี ุกแล้ว ตีดว้ ยท่อนไม้ใหน้ า้ ข้าวเจ้าเข้า
ไปผสมกับเส้นฝ้ายและนาไปตากให้แห้ง หลังจากนั้นก็ย้อมสีฝ้ายด้วยวัตถุดิบพ้ืนบ้านและนาฝ่ายไปทอ
เป็นผ้าด้วยกี่ทอผ้า ส่วนการทอผ้าไหมของภาคอีสานก็จะเริ่มจากการเล้ียงตัวไหม เก็บรังไหม สาวไหม
ฟอกไหม ยอ้ มไหม แล้วจึงนาไปทอเป็นผา้ ไหมประเภทต่าง ๆ ผ้าทอของภาคอสี านท่ีมีช่อื เสยี ง เช่น
2.1.1 ผ้าขิด เป็นผ้าฝ้ายทอเป็นลวดลายต่าง ๆ ด้วยการใช้ไม้อัดซ้อนเสน้ ด้าย
ให้สอดสานกันเป็นลวดลาย การทอผ้าขิด ผู้ทอจะต้องใช้ความสามารถ เพราะผ้าขิดมีวิธีการสร้าง
ลวดลายยุ่งยากกวา่ ผ้าธรรมดา จะต้องใช้เวลาและความละเอียดประณีตมาก ดังนั้น ชาวอีสานจึงถือวา่
คตชิ นและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ 95
ผา้ ชดิ เป็นของสงู มักใช้ในโอกาสที่เป็นมงคลหรืองานพิธี เชน่ งานกฐนิ งานบวชนาค งานแต่งงาน หรือถ้า
จะใช้เป็นเคร่ืองแต่งกาย ก็ใช้กับส่วนบนของร่างกายต้ังแต่เหนือเอวขึ้นไปเท่าน้ัน นอกจากน้ีการเก็บ
รักษาผ้าขิดจะต้องเก็บไว้ในที่อันควรด้วย จะน่ังทับหรือเดินข้ามไม่ได้เพราะเช่ือว่าจะเกิดอัปมงคลแก่ผู้
นนั้
2.1.2 ผ้ามัดหม่ี เป็นผ้าไหมที่มีลวดลายแปลกไปจากผ้าทอชนิดอ่ืน การทอ
ผ้ามัดหมีจะต้องเร่ิม แต่การย้อมไหมให้มีสีสันเป็นลวดลายเสยี ก่อน แล้วจึงทอให้เกิดเป็นลวดลายโดยใช้
ไหมเส้นยืน เปน็ ไหมสีเดยี ว แล้วใชไ้ หมเส้นพงุ่ ใหม้ สี ีสันสลับกนั เปน็ ลวดลายที่ตอ้ งการ
2.1.3 ผ้าหางกระรอก เป็นผ้าไหมที่ทอกันมากในจังหวัดนครราชสีมา
ในสมัยก่อนขุนนาง ข้าราชการ จะนุ่งผ้าโจงกระเบน และนิยมใช้ผ้าหางกระรอกมาน่ังเป็นโจงกระเบน
ดังน้ันในการทอผ้าหางกระรอกจึงมักทอเป็นผืนใหญ่ ขนาด 2 เท่าของผ้าซิ่น เพื่อใช้สาหรับน่ังเป็นโจง
กระเบนได้ ผ้าหางกระรอกจะมี 2 สีเท่านั้น เป็นสีของไหม 2 เส้นท่ีควบกันเป็นลายที่ใช้ทอเป็นเส้นพุ่ง
ดังน้ัน ลักษณะของผ้าไหมหางกระรอกจะมีลักษณะเป็นมัน และมีเหลือบสี 2 สี อยู่ในตัวโดยไม่ต้องมี
ลวดลายอน่ื
2.1.4 ผา้ ไหมแพรวา เปน็ ผ้าไหมลกั ษณะเป็นผ้าสไบ ทาลวดลายด้วยวธิ ปี ิดทั้ง
ผืน เป็นการทอผสมกับการปักไปพร้อม ๆ กันใช้ไหมเส้นละเอียดล้วน ส่วนที่เป็นลายน้ันใช้วิธีสะกิดเอา
เส้นไหมสีต่าง ๆ ข้ึนมาท่ีเรียกว่า ยกขิด นั่นเองเป็นศิลปหัตถกรรมของชาวผู้ไทยจังหวัดกาฬสินธ์ุที่ สตรี
ชาวผู้ไทยจะทอผ้าแพรวาด้วยฝีมือของตนไว้ใช้ แต่เพียงผืนเดียวเท่านั้นต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ
พระบรมราชินีนาถ มีพระราชประสงค์ท่ีจะอนุรักษ์ไว้ไม่ให้สูญหายไป และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้
เป็นอาชีพเสริมเพ่ิมรายได้ให้แก่ครอบครัวด้วย จึงได้มีการทอผ้าแพรวากันแพร่หลายยิ่งข้ึน เพราะ
นอกจากจะขายไดใ้ นราคาสูงแล้วยงั แสดงถึงความสามารถของผูท้ อผ้าอีกดว้ ย
2.2 เครื่องจักสานพ้ืนบ้านภาคอีสาน ชาวอีสานล้วนมีอาชีพในทางเกษตรกรรม
เป็นหลัก และอาชีพเกษตรกรรมน้ันมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องอาศัยเครื่องมือเครื่องใช้จากการจัก
สาน เพราะเป็นเคร่ืองใช้ที่สามารถนาวัตถุดิบในท้องถิ่นมาผลิตได้ด้วยตนเอง และยังเป็นเครื่องมือ
เครื่องใช้พ้ืนบ้านที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านประโยชน์ใชส้ อยได้ดี จากนั้นในด้านอาหารการ
กนิ คนอีสานยงั มวี ฒั นธรรมในการบรโิ ภคขา้ วเหนยี ว จงึ ประดษิ ฐเ์ ครอื่ งจกั สานที่เก่ียวด้วยการบริโภคข้าว
เหนยี วขน้ึ อีกด้วยนอก ตัวอยา่ งเครื่องจกั สานพน้ื บ้านของภาคอสี าน เชน่
2.2.1 ก่องข้าว ใช้กันในบริเวณอีสานกลาง เช่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด
ขอนแก่น ก่องข้าวนี้ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 3 ส่วน คือ ส่วนฐานทาด้วยแผ่นไม้กากบาทไว้ใช้เป็นฐาน
ต้งั ส่วนตัวก่องข้าว สานด้วยไม้ไผซ่ อ้ นกัน 2 ชัน้ เพอ่ื ให้เกบ็ ความร้อนได้ดี เปน็ รูปคล้ายดอกบวั แต่ขอบ
สงู ขึ้นไปเหมือนโถ ส่วนฝา่ มรี ปู รา่ งเหมือนฝาชีครอบอกี ชั้นหนึง่ ใช้เป็นภาชนะใส่ขา้ วเหนยี วที่นง่ึ สกุ แล้ว
96 ชวนพิศ อัตเนตร์
2.2.2 กระติ๊บข้าว สานด้วยไม้ไผ่เช่นกัน แต่เป็นรูปทรงกระบอกคล้าย
กระป๋องไม่มีขา มีเพียงส่วนตัวกระต๊ิบและส่วนฝาเท่าน้ัน โดยจะสานส่วนตัวกระต๊ิบให้มีความยาวเป็น
สองเท่าของความสูงของตัวกระต๊ิบทีต่ ้องการ แล้วพบั ทบกลบั ส่วนหน่ึงไวเ้ ปน็ ด้านในส่วนกน้ จะต้องสาน
เป็นแผ่นกลม ๆ ต่างหาก แล้วนามาผนึกติดกับตัวกระติ๊บภายหลัง ส่วนฝากทาเช่นเดียวกับตัวกระต๊ิบ
ประโยชนข์ องกระต๊บิ คอื ใช้ใส่ขา้ วเหนยี วนึง่ เชน่ เดียวกนั
2.2.3 กะต้า คือ ตะกร้าน่ันเอง สานด้วยไม้ได้เช่นเดียวกัน มีลักษณะเหมือน
กระบุงของภาคกลาง จะเริ่มสานจากกันก่อนแล้วสานต่อเร่ือยมาจนถึงส่วนปากตะกร้า เม่ือทาขอบ
ตะกร้าเสร็จแล้วจะทาหูตะกร้าเพ่ือใช้น้ิวหรือหาบ เป็นภาชนะท่ีใช้กันอย่างกว้างขวางในภาคอีสาน
เพราะใชใ้ ส่ของได้ทุกชนดิ และใชไ้ ด้ทั้งการน้วิ ทัง้ การหวิ และการหาบ
คติชนและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น 97
เครื่องจักสานในภาคอสี านน้ัน นับเปน็ เครือ่ งมือเครอื่ งใช้ทีส่ าคัญในการดารงชวี ิตอยา่ งมาก และการทา
เครื่องจักสานในภาคอีสานในปัจจุบันก็ยังทากันอยู่มากในหลายท้องถ่ินท้ังที่ทาเป็นอาชีพโดยตรง และ
ทาเปน็ อาชพี รองยามวา่ งจากการทาไร่ทานา
2.2.4 เคร่ืองปั้นดินเผาด่านเกวียน การทาเคร่ืองป้ันดินเผาในดินแดนภาค
อีสานเป็นงานศิลปหัตถกรรมเก่าแก่ท่ีสืบทอดกันมาช้านาน แต่กรรมวิธีและขั้นตอนในการผลิตเป็นไป
ตามแบบอย่างโบราณโดยไม่ได้พัฒนาไปมากนัก แต่มีอยู่แห่งหนึ่งที่ได้เปล่ียนแปลงกรรมวิธีการผลิต
และรูปแบบเครอ่ื งปั้นดินเผาให้พัฒนาไปจากเดิม คอื การทาเครอื่ งป้นั ดินเผาท่ีด่านเกวยี น อาเภอโชคชัย
จังหวัดนครราชสมี า กรรมวิธีการทาเคร่อื งปน้ั ดินเผาด่านเกวียนน้นั จะขดุ ดนิ มาจากทุ่งดา่ นเกวยี น ซึง่ อยู่
ห่างจากโรงงานประมาณ 1 กิโลเมตร และดนิ จากทุ่งดินมูลหลวง ซ่ึงอย่หู ่างไป 2 กโิ ลเมตร นาดินไปตาก
ให้แห้งแล้วนาดินท้ัง 2 ชนิดมาผสมกัน และรดน้าใช้ผ้ายางหรือพลาสติกคุลมไว้ประมาณ 24 ช่ัวโมงนา
ดินท่ีผสมไว้นั้นมาวางบนพ้ืนสมไว้นั้นมาวางบนพื้นกระดาน เหยียบด้วยเท้านวดให้เข้ากันดี จึงนามาปั้น
เป็นรูปตามท่ีต้องการ แล้วนาไปเผาโดยใช้เวลาประมาณ 15-24 ชั่วโมงใช้ความร้อนประมาณ
1200-1350 องศาเซลเซียส เมื่อเผาแล้วรอใหเ้ คร่ืองปนั้ ดินเผาเย็นจึงเอาออกจากเตา เคร่ืองป้ันดินเผา
ด่านเกวียนนี้ผลิตเป็นรปู แบบต่าง ๆ มากมาย เช่น นกฮูกแขวน กระเช้าแขวน โคมไฟตั้งประดับสวน
แจกันใหญ่ กระถาง หรือแม้แต่เครื่องประดับต่าง ๆ เช่น สายสร้อย ต่างหู เข็มกลัด ฯลฯ ท้ังผลิตส่งมา
ขายในตลาดท่ีกรุงเทพฯ และจาหน่ายให้แก่นักทัศนาจรหรือผู้สัญจรไปตามเส้นทางท่ีผ่านจะหยุดซ้ือไป
ใช้เองหรอื เป็นของฝากของขวญั ตอ่ ไป
2.2.5 การแกะสลักไม้เป็นพระพุทธรูป ชาวบ้านภาคอสี านจะใช้เวลาว่างจาก
งานแกะสลกั ไม้เปน็ พระพทุ ธรูปขนาดเล็ก ๆ รูปแบบทีส่ รา้ งขนึ้ นนั้ เป็นไปตามความร้สู ึกนึกคิด และความ
ถนัดของผู้แกะสลักแต่ละคน แต่ส่วนมากจะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของชาวบ้าน เป็นการแสดง
ความรู้สึกอย่างซื่อ ๆ เรียบร้อย ไม่แสดงให้เห็นฝีมือช่างชั้นสูง แต่อย่างไรบางทีแกะสลักแล้วบุด้วยเงิน
หรือทองก็มี การแกะสลักพระพุทธรูปนี้มีจุดประสงค์เพ่ือเป็นการสะเดาะเคราะห์หรือทาบุญตามกาลัง
ศรัทธา โดยถวายไว้ตามวดั วาอารามต่าง ๆ
2.2.6 ภาพจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์หรือสิม ภาพจิตรกรรมฝาผนังสิมของชาว
อีสานน้ี มีลักษณะพิเศษอันแตกต่างไปจากภาพจิตรกรรมฝาผนังท่ัวไป คือ เขียนไว้ที่ฝาผนังด้านนอก
ของสิมหรือโบสถ์ และนิยมเขียนเร่ืองเก่ียวกับนิทานพ้ืนบ้าน ลักษณะเป็นฝีมือของช่างพื้นบ้านอย่าง
แท้จริง แสดงออกด้วยเส้นและสีอย่างซ่ือ ๆ นับเป็นศิลปหัตถกรรมทางภาคอีสานท่ีมีคุณค่าน่าศึกษา
ค้นควา้ อยา่ งยงิ่
98 ชวนพศิ อัตเนตร์
3. ศลิ ปหตั ถกรรมพ้ืนบา้ นภาคใต้
3.1 ผ้าปาเต๊ะ ในเมอื งไทยการทาผ้าโสรง่ ปาเต๊ะโดยวธิ ีพิมพด์ ว้ ยเทยี นบนผืนผ้ามีทา
กันมานานแล้วในแถบจังหวัดภาคใต้ เช่น ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นศิลปหัตถกรรม
พ้ืนบา้ นทางภาคใต้ของไทยโดยเฉพาะทมี่ ีช่อื เสียงมาก
กรรมวิธีในการทาผ้าปาเต๊ะก็มักจะใช้วิธีเขียนลวดลายที่ต้องการลงบนผืนผ้า
แล้วใช้น้าเทียนที่ผสมเตรียมไว้ระบายลงตามลายท่ีเขียนบนผ้า แล้วนาผ้าน้ันไปย้อมสีตามที่ต้องการ
อาจจะมีเพียง 1 สี กย็ ้อมเพียงครั้งเดียว ถ้าตอ้ งการใหเ้ ป็น 2 สี ก็ต้องย้อมครั้งแรกดว้ ยสีอ่อนก่อนพึ่งให้
แห้ง แล้วจึงจะนาไปย้อมสีท่ี 2 ซ่ึงเป็นสีที่เข้มกว่าถ้าต้องการให้มี 3 สี ก็ต้องยอมอีกครั้งหนึ่งด้วยสีท่ีเขม้
ท่ีสุด ตามกรรมวิธีในคร้ังที่ 2 สี ท่ีใช้ต้องใช้สีท่ีย้องใช้สีท่ีย้อมเย็นได้ เม่ือย้อมได้ลวดลายผ้าปาเต๊ะตามที่
ต้องการแล้ว ขั้นต่อไปก็ลอกเทียนออกจากผ้าซ่ึงทาได้หลายวิธี คือ ต้มรีด หรือ ใช้น้ายาก็ได้ต่อจากน้ันก็
จาเป็นต้องทาความสะอาดผ้าให้เทียนและสีที่เกาะอยู่อย่างหลวม ๆ ตามผิวผ้าหมดไป ซ่ึงทาได้โดยการ
ตม้ ผ้าปาเตะ๊ อีกครั้งด้วยนา้ สบู่ เสรจ็ แลว้ กจ็ ะได้ผ้าปาเตะ๊ ที่สวยงาม
ปัจจุบันผ้าปาเต๊ะ เป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วไป โดยถือว่ามีชิ้นเดียวในโลก
เพราะลวดลายจะไม่ซ้าซ้อนกันเลยเพราะเวลาทาใช้มือเขียนลายที่ละผืน ต่อมาระยะหลังพ่อค้าชาวจีน
ที่กรุงเทพฯ คิดเรียนลัดโดยเอาผ้าปาเต๊ะมาถ่ายทาลาย และใช้วิธีพิมพ์โดยพิมพ์ได้คร้ังละหลายร้อยผืน
แต่จะไม่สวย และคณุ คา่ ทางความงามต่า ถงึ จะจาหน่ายราคาถูก แตค่ นกไ็ มน่ ยิ มเหมือนผา้ ปาเต๊ะท่ีเขียน
ลายดว้ ยมือของชาวภาคใต้
3.2 เครื่องถมเมืองนคร เคร่ืองถมไทยเป็นศิลปหัตถกรรมที่มีค่าคู่เมืองและเป็นท่ี
เชิดชูเกียรติทาช่ือเสียงแก่ชาติไทยมาช้านานแล้ว เคร่ืองถมทาเป็นส่ิงของได้หลายสิบชนิด เช่น ทาเป็น
ภาชนะเครื่องงานมงคล ภาชนะเครื่องสาอาง ท่ีใส่หมาก โถแป้ง ถาด ตลับแป้ง เป็นเคร่ืองประดับ
กระดุม เข็มเสียบเนกไท หีบบุหร่ี กาไลมือ ที่ใส่ไม้จ้ิมฟัน ปลอกมีดหัวเข็มขัด ไฟแช็ก สร้อยคอ
สร้อยข้อมือ ฯลฯ ลักษณะเคร่ืองถมท่ีดีต้องเป็นเครื่องถมเมืองนครศรีธรรมราช เพราะมีเนื้อเงินแท้ไม่
ต่ากว่า 95% ลวดลายสวยงามถูกต้องตามลักษณะของลายไทย ลวดลายต้องเกิดจากการสลกั ด้วยมอื
ซึ่งจะสังเกตได้จากด้านหลังว่ามีรอยดุนท่ีเกิดจากการสลัก น้ายาถมมีสีดาสนิทสีมันเป็นเงาไม่มีตามด
แหลง่ ผลิตเครอ่ื งถมนครในปจั จบุ นั นม้ี ีของเอกชนในอาเภอเมืองนครศรีธรรมราชประมาณ 10 โรงเท่าน้นั
คตชิ นและภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน 99
ท้ังน้ีเพราะงานถมเป็นงานประณีตศิลป์ท่ีรวมเอาศิลปะงานช่างไว้ทุกแขนง ท้ังช่างปั้น ช่างเขียน
ช่างสลัก ช่างถม ช่างท่ีมีฝีมือในงานถมจึงมีน้อย การทาเคร่ืองถมเป็นภาชนะและเครื่องใช้ต่าง ๆ น้ัน
ใช้เงินแท้เคาะด้วยค้อนเพื่อให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ เขียนลวดลายไทยท่ีวิจิตรบรรจงลงในรูปพรรณ ใช้น้ิว
เลก็ ๆ สลกั ลวดลายให้เป็นรอยสกั และคดโคง้ ไปตามลกั ษณะของลวดลาย ใชน้ ้ายาถมซงึ่ มสี ีดา โบราณ
เรียกว่า “กุมน้ายา” อนั เกดิ จากการผสมของโลหะ คอื ทองแดงบรสิ ทุ ธิ์ ตะกวั่ นมอย่างดี และเงินแทม้ า
หลอมในเบ้า เพ่ือให้โลหะท้ัง 3 อย่างละลายเข้ากัน และซัดด้วยน้ายาให้เป็นสีดา ใช้น้ายาถมนี้เทลงไป
บนลวดลายจนท่ัวพูดน้ายาที่ไม่ต้องการออก คงเหลือให้เห็นลวดลายท่ีเป็นเน้ือของเงินและพ้ืนที่ไม่ใช่
ลวดลายเปน็ สีดา แลว้ ขัดข้ึนเงา เปน็ อันสาเรจ็ การทาเครอ่ื งถมอย่างย่อ ๆ แตก่ ารทาจริงนั้นเป็นงานท่ี
ยากและใช้เวลานาน นอกจากนั้นยังมีถมทอง ซึ่งดัดแปลงมาจากถมเงินคือมีลายสีทองบนพื้นสีดา
การทาถมทองใช้วิธหี ลอมทองคาบรสิ ุทธ์ิให้ละลายกบั ส่วนผสมบางอย่าง ไท้องตัวอยูเ่ ปน็ ของเหลว แล้ว
ใช้ฟูกันชุบน้าทองเขียนทับบนเส้นเงินที่เป็นลวดลาย ให้ส้นทองติดแต่เฉพาะบนเส้นเงินเท่าน้ัน ความ
ลาบากในการทาและคาของวัสดุมรี าคาสงู จงึ ทาใหภ้ าชนะถมทองมีราคาสูงกว่าถมเงนิ
เคร่ืองถมของไทยทารายได้ให้แก่ประเทศไทยเพิ่มมากข้นึ จนมีผู้คดิ ทาเครอ่ื งถม
ปลอมขน้ึ โดยไม่ใชเ้ งินแท้ทาและใช้วธิ ีปั้มโลหะผสมเงินเนื้อต่า ๆ เปน็ รูปพรรณต่าง ๆ แลว้ ใชน้ ้ากรดกัด
ใหเ้ ปน็ ลวดลายอยา่ งง่าย ๆ ซ่งึ ไมม่ ีคุณคา่ ในทางศิลปะเลย ดังนั้นในการซอื้ เครอื่ งถมควรต้องพิจารณาให้
ดีว่าต้องเป็นเคร่อื งถมเมอื งนครศรีธรรมราชเท่าน้นั
3.3 ผลิตภัณฑ์หอยมุกหอยมุก ในทะเลมีมากในจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะท่ี
จังหวัดภูเก็ต ระนอง ตรัง นราธิวาสมีชุกชุมมากหอยมุกน้ันนามาใช้ทาเครื่องประดับต่าง ๆ เช่น กาไล
แหวน ต่างหู ทต่ี ดิ ผม เข็มกลัดติดเสือ้ ของทีร่ ะลกึ ทัพพี โคมไฟ ที่เข่ยี บหุ รี่ ฯลฯ
กรรมวิธีในการผลิตอย่างย่อ ๆ คือ กะขนาดของเปลือกหอยมุกที่จะนามา
ประดิษฐ์ก่อนว่าใช้ขนาดไหนจึงจะเหมาะสมแล้วขีดไว้ และตัดตามรอยที่กะไว้ต่อจากนั้นจึงขัดเงา
การขัดเปลือกหอยมุกมี 4 ขัน้ คอื ขนั้ แรกเปน็ หินปูนมีตัวเพรยี งเกาะอยูเ่ ต็มต้องใช้หนิ ไฟอยา่ งหยาบหมุน
ด้วยมอเตอรข์ ัด ขั้นที่ 2 ใชห้ นิ ละเอียดขดั ให้สเี ขยี วที่เปลือกหมดไป ขนั้ ที่ 3 ใชก้ ระดาษทราบหยาบขัดให้
100 ชวนพิศ อตั เนตร์
เห็นแววรุ้งปรากฏขนึ้ มา ขน้ั ท่ี 4 ใช้กระดาษทรายน้าชนิดอ่อนขัดให้เรียบจะได้มุกงามมีประกายรุ้ง เมื่อ
ขัดเสร็จแล้วจะตกแต่งให้มีลวดลายก็ต้องลอกลายท่ีต้องการลงบนเปลือกหอยแล้วใช้เหล็กปลายแหลม
ขอไปตามลวดลายที่ลอกไว้ต่อไป เป็นการแกะสลักให้มีลวดลายสวยงามย่ิงขึ้น ข้ันสุดท้ายของการ
ประดิษฐ์อยู่ที่การเจาะรู เพ่ือประกอบเข้ารูปโดยใช้เข็มหมุดท่ีไม่เป็นสนิมช่วยในการผนึก นับว่าการ
ประดิษฐ์ส่ิงของจากเปลือกหอยมุกน้ี ต้องอาศัยความชานาญและความอดทน จึงจะออกมาเป็นสิ่งท่ี
ถูกใจของผู้ซอ้ื ได้
3.4 หนังตะลุง หนังตะลุงเป็นศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของชาวภาคใต้อีกอย่างหนึ่ง
ซ่ึงปัจจุบันน้ีได้ผลิตขึ้นมาสาหรับจาหน่ายแก่ชาวต่างประเทศมากกว่าท่ีจะมาเล่นให้ดูกันอย่างใน
สมัยก่อน นบั ว่าเปน็ ศลิ ปหตั ถกรรมไทยอกี ชนิดหนงึ่ ทีแ่ พร่หลายไปท่ัวโลก
การแกะตัวหนังตะลงุ ข้ึนใช้ในการเล่นหนังตะลุงนั้น แต่เดมิ มที ากนั หลายจังหวัด
ในภาคใต้ คณะหนังตะลุงบางคณะอาจมีช่างแกะสลักของตัวเอง บางคณะก็อาจซ้ือตัวหนังจาก
ช่างแกะหนัง ข้ันตอนของการทาตัวหนังตะลุง เริ่มจากการหาหนังก่อน ซึ่งหนังท่ีใช้มีอยู่ 2 ชนิด คือ
“หนังธรรมดา” และ “หนังแก้ว” หนังธรรมดา คือ หนังที่ทาจากหนังวัวหนังควายธรรมดา โดยไม่ผ่าน
การฟอก แตจ่ ะตอ้ งนาหนงั มาพดู ดว้ ยกะลามะพร้าวเพื่อเอาเนื้อผังผดื เละส่งิ สกปรกออกจากหนังแล้วจึง
นาไปแช่น้าส้มสายชูอ่อน ๆ เพ่ือล้างให้หนังสะอาดแล้วตากไว้ให้แห้งสนิท ต่อจากน้ันจึงลงมือแกะเป็น
ตัวหนัง ส่วนหนังแก้วเป็นหนังที่ผ่านการฟอกแล้วขายเป็นหนังววั ตัวเมีย หรือหนังลูกวัว ซ่ึงมีหนังบาง
กว่าหนังวัวตัวผู้และหนังควาย แต่ถ้าเป็นหนังท่ีมีความหนาจะต้องผ่าเป็นแผ่นบางด้วยเครื่อง จนดูเป็น
แผ่นบางใสคล้ายแผ่นพลาสติกหนังชนิดน้ีนิยมนามาทาตัวหนังกันเพราะสามารถระบายสีไดส้ วยงามกว่า
หนงั ธรรมดา การแกะตัวหนังตอ้ งเขยี นรปู ร่างตวั หนงั ลงกอ่ น ผเู้ ขยี นจะต้องมีความชานาญ และ มี
ความสามารถในการร่างรูปให้ถูกสดั ส่วนตามลักษณะของตวั หนังแต่ละตัว แล้วต่อไปก็จะต้องแกะให้เป็น
ลวดลายโดยการใช้มีดขูด หรอื มดี แกะ แกะหรือตดั เป็นรูปตัวหนัง พร้อมท้งั ใช้ตุ๊ดตู่ (เครื่องมือแกะหนัง)
ชนิดต่าง ๆ แกะเปน็ ลวดลายไปพร้อม ๆ กนั การแกะตัวหนังอาจจะแกะทีละตัว หรือวางซอ้ นข้นึ ครั้งละ
คตชิ นและภูมปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ 101
2 ตัวหรอื มากกว่าก็ได้ แลว้ แต่ความหนาบางของหนัง เมือ่ แกะเสรจ็ เรียบรอ้ ยแล้ว ถา้ ต้องการให้มีสีสันก็
ใช้สีต่าง ๆ ระบายลงไป ต่อมาจะต้องต่อเติมแขน ขา และอวัยวะส่วนท่ีต้องการใหเ้ คลือ่ นไหวได้ โดยใช้
ไม้ไผช่ ้ินเลก็ ๆ เป็นกา้ นเชดิ และเปน็ ไม้สาหรับชักใหแ้ ขนเคลื่อนไหวได้
การทาตัวหนังตะลุงในภาคใต้ปัจจุบันน้ีมีทากันหลายแห่งในหลายจังหวัด ท้ังนี้
เพราะชาวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเท่ียวในประเทศไทยมักนิยมซ้ือไปรวบรวมหรือประดับเป็นของที่
ระลึกและฝากมติ รสหาย จนเปน็ สนิ ค้าส่งออกชนิดหนง่ึ ท่ีเปน็ สัญลกั ษณ์ของไทย
3.5 เคร่ืองจักสานย่านลิเภา ย่านลิเภาเป็นเถาวลั ยช์ นิดหนึ่ง (ภาษาทางภาคใต้เรยี ก
เถาวัลย์ว่า “ย่าน”) มีลักษณะเป็นเถา ชอบขึ้นในที่ลุ่มดินทราย ที่มีอากาศช้ืนมาก มีขึ้นอยู่ทั่วไปทาง
ภาคใต้ของประเทศไทย มีลักษณะใบเล็กยาว ริมใบสองข้างเป็นหยัก ๆ บางทีก็เรียกว่าหญ้าลิเภา ก็มี
เคร่ืองจักสานย่านลิเภา เป็นงานฝีมือชั้นเยี่ยมของชาวภาคใต้คงจะมีกาเนิดมานานแล้ว จะเห็นได้จาก
ภาชนะพื้นบ้านที่ทาด้วยย่านลิเภาที่มีมาแต่โบราณมากมาย เช่น กระเชอกุบหมาก กล่องยาเส้น พาน
เชยี่ นหมาก ปัน้ ชา กล่องขนั กรงนก และเครื่องมือเครื่องใชใ้ นชวี ิตประจาวันของชาวบา้ น ต่อมาในสมัย
รัชกาลท่ี 5 เจ้าพระยายมราช (ป้ันสุขุม) ซ่ึงขณะนั้นคารงตาแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑล
นครศรีธรรมราช ได้ฟื้นฟูการสานย่านลิเภาขึ้นเพราะเป็นของหาง่ายท่ีมีอยู่ทั่วไปในภาคใต้ ต่อมาเม่ือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดาเนินไป
จังหวัดนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. 2513 นายกิมช่วง ศรีธรรมราช ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ได้
สานย่านลิเภาถวาย ทาให้เครื่องจักสานย่านลิเภาได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนท่ัวไปข้ึนมาอีกจนถึง
ปัจจุบัน
วิธีสานเคร่ืองมือเคร่ืองใช้และภาชนะด้วยย่านลิเภาในข้ันแรกจะต้องเลือกเอา
ย่านลเิ ภา ต้นทเ่ี จรญิ เติบโต และยาวพอสมควร ซึ่งต้องดูทเ่ี ปลือกของลาต้นด้านในเปน็ สนี ้าตาลแก่หรือ
เหลืองทองก็ใช้ได้ นามาเด็ดใบทงิ้ ลอกเปลือกเอาไส้ในที่มีลักษณะเป็นสีเขียวอมเหลืองและเปราะมาก
ออกให้หมด เวลาลอกเปลือกต้องระมัดระวังตรงข้อหรือตาอย่าให้ขาดออกจากกันและต้องทาใน
ขณะสด ๆ ถ้าแห้งแล้วจะลอกยาก เสร็จแล้วนาไปตากลมไว้ในท่ีร่ม ต่อจากน้ันก็นามาฉีกให้เป็นเส้นท่ี
เท่า ๆ กัน ตามขนาดท่ีต้องการ พูดเกลาให้สะอาดเรียบร้อยเป็นเส้นตรงไม่ขรุขระแล้วนาไปชุบน้าให้
102 ชวนพศิ อตั เนตร์
เปียกช้ืนทาให้เกิดความเหนียว แล้วจึงนาไปสานรอบเส้นหวายที่พันเป็นโครงด้านในของภาชนะที่จะ
สร้างขน้ึ ยา่ นลิเภามสี องสอี ยูใ่ นตัวของมันเอง คอื ด้านหลังสีออ่ นกวา่ ด้านหนา้ ซึง่ มีสนี า้ ตาลเข้ม เวลาสาน
ก็จะสลับสีเป็นลายตามต้องการเม่ือสานเสร็จแล้วก็จะนาภาชนะนั้นไปทาน้ามัน เพ่ือให้สีเข้มข้ึนและไม่
ข้ึนราภาชนะท่ีสานด้วยย่านลิเภานี้จะสวยงามและไม่ว่าจะเก่าสักเพียงใดก็จะยังคงอยู่ในสภาพเดิมอยู่
น่ันเอง
3.6 การสานเสือกะจูด ชาวภาคใต้ท่ัวไปนิยมเรียกเสื้อกะจูดว่า “สาดาดพูด”
แหล่งวัสดุและแหล่งผลิตเสื้อกระจูดท่ีสาคัญ ๆ อยู่ในเขตจังหวัดพัทลุง และนครศรีธรรมราช เช่น ท่ี
หมู่บ้านควนยาว ตาบลเคร็ง เภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นท่ีที่มีกะจูดข้ึนตามธรรมชาติมาก
และมีช่างฝีมือดีในการสานเสื่อกะจูด อีกแห่งหนึ่งคือท่ีตาบลทะเลน้อย อาเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
แตเ่ ดมิ ทตี่ าบลทะเลน้อยยังไม่มกี ารปลูกกะจูด ชาวทะเลนอ้ ยตอ้ งไปเอาต้นกะจูดท่ีตาบลเคร็ง ซึ่งตอ้ งใช้
เวลาเป็นแรมเดือน ในปี พ.ศ.2480 จึงมีผู้คิดเอาต้นกะจูดมาปลูกท่ีทะเลน้อย แต่ในระยะแรกก็ยังไม่
พอใช้ชาวบ้านจึงยังนิยมเดินทางไปเอาต้นกะจูดท่ีตาบลเครง็ อาเภอชะอวดอยู่ และเนื่องจากตาบลเครง็
อยู่ในที่กันดารทางคมนาคมไปมาไม่สะดวกเหมือนกับทะเลน้อยท่ีเป็นแหล่งท่องเท่ียวภาคใต้ในปัจจุบัน
พวกชาวบ้านตาบลเคร็งจึงได้มาตั้งร้านขายเส้ือกะจูดท่ีทะเลน้อยกันมาก ชาวทะเลน้อยจะปลูกกะพูด
ตามบริเวณรมิ ทะเล ตน้ กะจูดน้มี ีลักษณะคลา้ ยต้นกก แตล่ าต้นกลมยาวประมาณ 2 วา เสน้ ผ่าศนู ย์กลาง
1 ซม. ชอบท่ีบริเวณมีน้าขังและดินโคลน กะจูดท่ีจะนามาสานเสื้อได้ต้องอายุประมาณ 2-3 ปี วิธีสาน
ต้องนากะจูดมามัดรวมกันไว้เป็นกา ๆ กาหนงึ่ ๆ มเี ส้นผ่าศูนยก์ ลางประมาณ 4 น้ิว และน่าไปคลุกโคลน
ทั้งกาเพื่อป้องกันไม่ให้กะจูดเหี่ยวเกินไป และนาไปฝ่ังแตดจนแห้งแล้วจึงนาไปทุบให้แบน แล้วจึงจะนา้
ไปสานเป็นเร่ือถ้ายังไม่สานจะเก็บไว้นานเป็นปีหรือสองปีก็ ได้ก่อนจะสานอาจจะนาไปย้อมสีต่าง ๆ
และสานเป็นลวดลายตามตอ้ งการ เลือกกะจดู น้รี าคาไม่แพงและทนทาน ถอื ไดว้ า่ เปน็ หัตถกรรมพืน้ บ้าน
ทเี่ ป็นเอกลักษณข์ องปกั ษ์ใต้ประเภทหน่งึ
คตชิ นและภูมิปญั ญาท้องถิ่น 103
3.7 ผ้าทอเกาะยอ จังหวัดสงขลา เกาะยอตั้งอยู่ในทะเลสาบสงขลา ห่างจากตัว
เมอื งสงขลาประมาณ 6 กโิ ลเมตรการคมนาคมทางเรอื ไปได้สะดวก ท่ีเรียกกนั ว่าเกาะยอเพราะบนเกาะมี
ต้นยอปลูกอยู่รอบเกาะ ราษฎรส่วนใหญ่มีอาชีพทาสวนผลไม้และการทอผ้าการทอผ้า พ้ืนเกาะยอน้ีมี
ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี กล่าวกันว่าเริ่มทอกันมาตั้งแต่แรกท่ีชาวบ้านมาอาศัยอยู่ในเกาะยอเป็นกลุ่มแรก
เลย ฝีมือการทอผ้าเกาะยอสวยงามมาก ชาวเกาะยอผลิตผ้าพ้ืนส่งไปขายในเมืองสงขลา และจังหวัด
ใกล้เคียงเป็นจานวนมาก แต่เดิมชาวเกาะยอใช้พื้นเมืองทอผ้า ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าพื้นลวดลายต่าง ๆ
วิจิตรพิสดาร และฝีมือละเอียดเนียนมาก ในปัจจุบันน้ีถึงแม้การทอผ้าท่ีเกาะยอจะเปลีย่ นมาใชก้ ่ีกระตุก
เพอ่ื ความรวดเร็ว และฝีมอื ดอ้ ยลงไปมาก แตก่ ย็ ังมีชือ่ เสยี งและเป็นท่นี ยิ มของคนทว่ั ไป
4. ศิลปะหัตกรรมพนื้ บ้านภาคกลาง
4.1 ปลาตะเพียนสานอยธุ ยา คนไทยสมยั กอ่ นสานปลาตะเพยี น แลว้ แขวนไว้เหนือ
เปลเพ่ือให้เด็กดู เด็กจะนอนดูเพลินจนหลับไป ความงามของปลาตะเพียนสานอยู่ที่การลดหล่ันของตัว
แม่ปลา ลกู ปลา สลบั ด้วยกระทง เม็ดปกั เป้า และใบโพหอ้ ย ดคู ลา้ ยกบั ลูกปลาตัวเลก็ ๆ กาลังวา่ ยน้า
ตามแม่ปลาไปช้า ๆ ปัจจุบันปลาตะเพียนสานได้เปลี่ยนจากการทาใช้เป็นส่วนตัวสาหรับบุตรหลานใน
ครัวเรือน กลายเป็นอาชีพที่มั่นคงอาชีพหน่ึง ซ่ึงชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทากันอย่างเป็นล่า
เปน็ สัน จนกลายเปน็ สินคา้ ท่ีส่งไปขายตา่ งประเทศ เป็นเอกลกั ษณอ์ ย่างหนึง่ ของไทย
กรรมวธิ ีการทาปลาตะเพยี นสานนั้น เรมิ่ จากการคดั ใบลานขนาดใหญ่ทาแม่ปลา
ขนาดเล็กทาลกู ปลา สานลูกปลาเสยี กอ่ น จึงจะสานแมป่ ลาทหี ลงั แลว้ นาไปตกแตง่ ด้วยสีน้ามันบางคร้ัง
แต่งลายเกลด็ คลา้ ยของจริง หรอื เปน็ ลายไทย ทง้ิ ไว้ให้แหง้ แล้วนาสว่ นตา่ ง ๆ มาประกอบกันจากกระโจม
มีสายร้อยด้วยเม็ดปักเป้า ต่อลงมาท่ีกระทงจากน้ันก็ถึงแม่ปลาตัวใหญ่ร้อยด้วยเม็ดปักเป้าต่อลงมาท่ี
กระทงอีกแล้วจึงถึงลูกปลาตัวเล็ก ๆ 9 หรือ 12 หรือ 15 ตัวแล้วแต่ขนาดของแม่ปลาสาหรับใบโพจะ
ห้อยประดับอยู่เกือบท้ังพวง สีของพวงปลามีหลายสี เช่น ดา ชมพู เขียว เหลือง น้าเงิน และแดง
รายละเอียดของตัวปลาและส่วนประกอบต่าง ๆ มักจะเน้นด้วยสีบรอนซ์เงิน หรือสีบรอนซ์ทอง
เพือ่ ใหด้ งู ามยงิ่ ขึ้น
104 ชวนพศิ อตั เนตร์
4.2 พัดขนนก สินค้าในครอบครัวที่ข้ึนหน้าข้ึนตาของจังหวัดอยุธยาอีกชนิดหนึ่ง
ได้แก่ การทาพัดขนนก ซึ่งทาสืบทอดกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด จนเป็นท่ีรู้จักและมีช่ือเสียงมากที่สุด
ขนนกที่ใช้ในการทาพัดน้ันใช้ได้ทกุ ชนิด พัดท่ีผลติ ขายทว่ั ไปมี 2 รปู แบบ คือ พดั บอด และพดั หางปลา
กรรมวิธใี นการผลติ พัดขนนก คือ เมอื่ ได้ขนนกมาแล้วจะนามาซักด้วยสบู่ซันไลต์
ช่วยให้ขนเรียบ แล้วนาไปฝ่ังแดดให้แห้ง ขนนกบางชนิดอาจจะย้อมสีให้สวยงามก่อนก็ได้ แล้วนามา
จัดเรียงซ้อนกันตั้งแตส่ ้ันไปถึงยาว พัด 1 เล่มก็เรยี งซ้อนกัน 2 ขา้ ง คือ ท้งั ซ้าย และขวาข้นั ต่อไปเหลาไม้
ไผ่ให้สาหรบั โค้งพัดแล้วใชเ้ หล็กหมาดเจาะก้านขนนกใหเ้ ปน็ รสู าหรบั นาไม้ไผ่ที่เหลาไว้แล้วร้อยตามรูแล้ว
เรียงขนนกทั้งซ้ายขวาให้ลดหลั่นโค้งเป็นรูปพัด แล้วนามาเย็บด้าย 2 ช้ัน แล้วจึงใส่ด้ามทาด้วยไม้โมก
ใส่ด้ามแล้วใช้น้าร้อนลวกตรงโคนก้าน แล้วเอาป่านวัดโคนให้แน่นอีกที ถ้าจะให้สวยงามขึ้นอีกก็ใช้
ขนปุยติดตรงกลางรอบแผ่นกามะหย่ี แล้วปักคนเป็นตัวหนงั สือที่กามะหยี่หรือสักหลาดตรงกลาง ด้วย
ถ้อยคาตา่ ง ๆ เชน่ ที่ระลึก ฝากพี่ ฝากน้อง และตอ้ งไม่ลมื คาวา่ “อยธุ ยา” อันเป็นสัญลกั ษณ์ของแหล่ง
ที่ผลติ นอกจากนย้ี ังปักให้ตามความต้องการของผซู้ ้ือก็ไดอ้ ีกดว้ ย
คตชิ นและภูมิปญั ญาท้องถ่นิ 105
4.3. การทอเสื่อกกจันทบุรี เส่ือจันทบุรีเป็นเสื้อท่ีทอจากต้นกก ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ชนิด
หน่ึงที่ชอบข้ึนอยู่ตามท่ีชุ่มช้ืนฝนตกชุก มีน้าขึ้นถึง ต้นกกที่นามาใช้ในการทอเส่ือน้ันชาวบ้านเรียกว่า
กกกลม เพราะมีลาต้นกลม กกกลมนี้เองท่ีชาวจันทบุรนี ามาทอเป็นเส่อื จนกลายเป็นสินค้าพื้นเมืองท่ีมี
ช่ือเสียงมานานปี ตน้ กกท่จี ะตดั มาใช้ได้ต้องมีอายปุ ระมาณ 4-5 เดอื น เมอื่ ตัดกกมาแล้วจะนามาผ่าเป็น
ซกี เล็ก ๆ ประมาณชิ้นละ 1 กระเบยี ดน้ิว ชาวบา้ นเรียกวา่ การจกั กก แลว้ นามามดั เปน็ กานาไปฝ่ังลม
ให้แห้งสนิท เมื่อเวลาจะใช้ทอเสื่อจะนากกมาย้อมสีอุปกรณ์ท่ีใช้ในการทอเส่ือนอกจากจะมีกกแล้ว
ยังต้องมีเอ็นที่ใช้ร้อยฟึม เย็นน้ันนิยมใช้เอ็นปอกระเจา ซ่ึงต้องนาปอมาย้อมสีก่อนเพื่อให้กลมกลืนกับ
สีของกกท่ีย้อมแล้ว วิธีทอเส่ือกกจะใช้คนสองคน ให้คนหน่ึงเป็นคนพุ่งกกเข้าไปในระหว่างฟึมกับเอ็น
แล้วอีกคนหนึ่งจะเป็นคนกระทบเส้นกกให้เข้ามาชดิ กัน พร้อมทั้งพับปลายกกกันลุ่ย เสื่อท่ีน่ีเสื่อท่ีนิยม
ทอกันน้ันจะมีลักษณะเป็นแบบชั้นเดียวเมื่อทอเสื่อกกได้ยาวจนเป็นที่ต้องการแล้วก็ตัดออกนามาตีริม
เสอ้ื กนั ล่ยุ
เส่ือกกท่ีนิยมทอกันมากในจังหวัดจันทบุรีจะอยู่ที่อาเภอเมือง อาเภอท่าใหม่
อาเภอแหลมสิงห์ ที่มีฝีมือเป็นอันดับหน่ึงของจังหวัด คือ เส่ือท่ีทอจากหมู่บ้านเสม็ดงาม เส่ือจากหลัง
วัดโรมันคาธอลิก อาเภอเมือง เพราะลายละเอียด และสวยงามมาก และเน่ืองจากเมื่อมีความกว้างมาก
ไม่สะดวกในการขนส่ง จึงมีผู้คิดประดิษฐ์ทาเป็นเส่ือพับขึ้นโดยการตัดแบ่งความกว้างของเสื่อออก
ประมาณชิ้นละ 2 ฟุต แล้วใชผ้ ้าเย็บรมิ กันหลดุ
ปัจจุบันน้ีได้มีผู้นาเสื่อจันทบุรีมาประดิษฐ์เป็นของใช้หลายชนิด เช่น เสื่อพับ
กระเป๋าถือ ท่ีรองจาน และส่ิงประดิษฐ์เป็นเครื่องประดับฝาผนังรูปต่าง ๆ รวมรวมทั้งเครื่องตกแต่ง
บ้านเรือนอกี เป็นอนั มาก
4.4 การเจียระไนพลอย จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราดได้ชื่อว่าเป็นเมืองพลอย
เนื่องจากมกี ารขุดพลอยกันเป็นอาชีพ สว่ นรา้ นเจยี ระไนพลอยนั้นมีอยู่ท่ัวไปทั้งในตัวจังหวัด และอาเภอ
รอบนอก ในปัจจุบันนิยมใช้พลอยทาเป็นเคร่ืองประดับกันอย่างกว้างขวาง เช่น ทาเป็นแหวน สร้อยคอ
สร้อยข้อมือ และรูปพรรณอ่ืน ๆ อีกมาก การเจียระไนพลอยถือว่าเป็นศิลปะพ้ืนบ้านแขนงหน่ึงของ
จังหวัดจันทบุรี กับจังหวัดตราด และพลอยที่นิยมนามาเจียระไนทาเป็นเครื่องประดับมากที่สุด คือ
“ทับทมิ สยาม” ซง่ึ เป็นพลอยชั้นหนึง่ มีค่ามหาศาลมสี ีแดงสด หรือแดงเลอื ดนก “พลอยเขียวไพลนิ ” มีสี
น้าเงินแก่เกือบดา “พลอยบุษราคัม” มีสีเหลือง “พลอยมรกต” มีสีเขียวใบไม้ “พลอยสาแหรก” มีสีดา
“พลอยโกเมน” มีสีแดงแก่เกือบดา “พลอยเพทาย” เป็นพลอยท่ีมีประกายสวยงามมีสีต่าง ๆ คือ เขียว
เหลือง ส้ม น้าตาล สีขาว และสีฟ้า เป็นต้น ซึ่งพลอยเหล่าน้ีพบมากที่สุดในเขตจังหวัดจันทบุรี
จังหวัดตราด และจงั หวัดกาญจนบรุ ี
การเจียระไนพลอยเป็นศิลปะในระดับสูง ซึ่งต้องใช้ความประณีตและความ
ละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมาก ในอนั ท่ีจะไมใ่ ห้เกิดความเสยี หายแกเ่ นื้อพลอยที่เจยี ระไนไดค้ วามสาคัญ
106 ชวนพศิ อตั เนตร์
ของการเจียระไน คือ สงวนเนื้อพลอยไว้ให้มากท่ีสุดและให้ได้สีงดงามท่ีหน้าพลอยหรือที่เรียกว่า
“น้าขึ้นดี” หรือ “ไฟดี” เป็นท่ีสะดุดตาของผู้พบเห็น รูปแบบของการเจียระไนพลอยที่นิยมกันมากมี
อยู่ 4 แบบ คือ การเจียระไนเป็นรูปกลม ตัดเหลี่ยมรุ้งประกาย หรือที่เรียกว่า “เหลี่ยมเพชร” การ
เจียระไนเปน็ รูปกลมตดั เหลย่ี มกุหลาบ หรือเหลย่ี มขโมย ซง่ึ เป็นท่ีเขา้ ใจกันในบรรดาช่างเจยี ระไนพลอย
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พลอยร้อย” การเจียระไนเป็นรูปหลังเบี้ย และการเจียระไนเป็นรูปสี่เหล่ียม
ตัดมุมเหล่ียมเป็นชั้น ๆ หรือท่ีเรียกว่า “เหล่ียมมรกต” การเจียระไนพลอยเป็นรูปแบบใดจึงจะสวยงาม
นั้นขึ้นอยู่กับเน้ือพลอยเป็นสาคัญ ซึ่งจะต้องใช้ความพินิจพิเคราะห์โดยละเอียด อย่างไรก็ดีการสงวน
เน้ือพลอยไว้ให้มากเป็นสิ่งจาเป็นอย่างย่ิง เพื่อให้พลอยน้ันมีน้าหนักและได้ราคา ดังนั้นการเจียระไน
พลอยจึงต้องใช้ความชานาญหลายประการ และประสบการณ์ต่าง ๆ ของผู้เจียระไนด้วย เพื่อให้ได้
พลอยทมี่ ีความสวยงามที่สดุ และได้ราคาดที ีส่ ดุ ในปจั จุบันน้พี ลอยทเี่ จยี ระไนแลว้ ได้กลายเปน็ สินค้าออก
ที่ทารายไดใ้ ห้แกป่ ระเทศไทยเป็นจานวนไม่น้อย เพราะในด้านฝมี ือเจียระไนพลอยของคนไทยมีช่ือเสียง
โดง่ ดังมากถงึ กบั มชี าวตา่ งประเทศไดน้ าเอาพลอยก้อนมาจา้ งเจยี ระไนในประเทศไทยก็มี
4.5 ขลุ่ยธนบุรี บริเวณวัดบางไส้ไก่ ตาบลหิรัญรูจี ธนบุรี มีชาวบ้านท่ีทาขลุ่ยอยู่
ประมาณ 16 หลังคาเรือน ซ่ึงทากันมาต้ังแต่บรรพบุรุษโดยไม่ทราบแน่ว่าต้ังแต่เม่ือไร ขลุ่ยเป็นเคร่ือง
ดนตรีที่ใช้เป่าชนิดหนึ่ง นอกจากจะใช้เป่าเพ่ือความบันเทิงใจ แล้วยังใช้เป่าผสมวงร่วมบรรเลงอยู่ในวง
มโหรี และวงเครื่องสายของไทยอีกด้วย ขลุ่ยแบ่งออกเป็น 5 ชนิดคือ ขลุ่ยพลคือขลุ่ยท่ีไม่สามารถ
นาเอาไปเล่นร่วมในวงมโหรี หรือวงเคร่ืองสายเพราะเสียงไม่ได้ระดับใช้เป่าเล่นเพียงคนเดียว เหมาะ
สาหรับผู้หัดเป่าขลุ่ยใหม่ ๆ ฝึกทักษะในการเป่าและการใช้นิ้วมือปิดเปิดรูขลุ่ย ขลุ่ยเพียงออ คือ ขลุ่ยท่ี
เทียบเสียงแล้วใช้ร่วมวงมโหรี และเข้าเครื่องสายได้ใช้เป่าดาเนินทานองไปตามแนวบทเพลง ขลุ่ยขลิบ
หรือขลุ่ยหวีด มีขนาดเล็กกว่ากว่าขลุ่ยเพียงออ ให้เสียงสูงกว่าขลุ่ยเพียงออ ใช้ร่วมกับวงมโหรีและเข้า
เครื่องสายได้ ใช้บรรเลงในท่วงทานองหยอกล้อ โลดโผน ขลุ่ยอู้ เป็นขลุ่ยขนาดใหญ่ทสี่ ุด ให้เสียงตา่
ใช้ร่วมวงมโหรี และเครื่องสายได้ขลุ่ยกรวด เป็นขลุ่ยเทียบเสียงดนตรีสากลใช้บรรเล งในชุดวง
เคร่อื งสายผสมไวโอลิน เคร่อื งสายผสมออรแ์ กนไดเ้ ชน่ กนั
วิธีทาขลุ่ย คือ ใช้ไม้รวกท่ีมีลาตรง ๆ มาตัดเป็นปล้อง ๆ โดยเหลือข้อปล้องไว้
ดา้ นหน่งึ นาไปตากแดดจนกลายเปน็ สเี หลือง แล้วขดั ผวิ ไมร้ วกใหเ้ รียบ แล้วใชก้ าบมะพร้าวซบุ น้าแตะ
อิฐมอญปั่นละเอียดขัดให้ขึ้นเป็นมันเงาวาว ใช้น้ามันหมูหรือน้ามันพืชทาผิวไม้รวกให้ท่ัวเอาไม้สอดจับ
ขลยุ่ พาตปากกระทะ ใชต้ ะหลิวตกตะก่วั หลอมเหลวร้อน ๆ ในกระทะราดลงบนไม้รวก จะเกิดลวดลาย
สวยงาม แล้วนาไม้ขลุย่ ไปวดั สว่ นเอาสวา่ นเจาะรูนา เอาเหล็กแหลมเผาไฟจนแดงเจาะตามรูที่ใช้สว่าน
เจาะนาไว้ และเจาะรูตรงปล้องข้อด้วย เอามีดแกะไม้สักมาอุดปากขลุ่ยให้มีรูสาหรับลมผ่านเวลาเป่า
แล้วเจาะรูสี่เหล่ียมได้ไม้อุดปากขลุ่ย เรียกว่า รูปากนกแก้วซ่ึงในเวลาท่ีเป่าขลุ่ย ถ้าปิดรูปากนกแก้ว
แลว้ จะทาใหไ้ ม่มีเสยี ง
คตชิ นและภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่น 107
ขลุ่ยธนบุรีนี้นอกจากจะทาจาหน่ายท่ีบ้านแล้ว ยังส่งไปขายตามร้านเครื่อง
ดนตรีและในงานประจาปีของทต่ี ่าง ๆ
4.6 มีดอรัญญิก มีดอรัญญิกเป็นงานหัตถกรรมไทยที่เก่าแก่อีกชนิดหน่ึง ซึ่งทากัน
มาเป็นมรดกตกทอดกระท่ังถึงลูกหลานในปัจจุบันนี้แหล่งท่ีผลิตมีดอรัญญิก ซ่ึงรวมถึงขวาน พล่ัว
จอบ ฯลฯ ด้วยอยู่ท่ีหมู่บ้านต้นโพธิ์ และไผ่หนองตาบลท่าช้าง อาเภอนครหลวง จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ท่ีเรียกว่ามีดอรัญญิกเพราะในการจาหน่ายคร้ังแรก ๆ เมื่อทาเสร็จแล้วได้นาไป
จาหนา่ ยท่หี นา้ โรงบ่อนอรญั ญกิ จงึ ไดช้ ือ่ วา่ มดี อรญั ญิก
มีดอรัญญิกท่ีทากันอยู่ในปัจจุบัน ทากันอยู่หลายแบบ หลายขนาด วิธีทา
คลา้ ย ๆ กัน คอื นาเหล็กตรามา้ มาตดั เป็นท่อน ๆ ตามความยาวและขนาดที่ตอ้ งการ นาเข้าเผาในเตาไฟ
ให้เหล็กแดง แลว้ นาออกมาตโี ดยใชพ้ ะเนินที่เปน็ ห่นุ มีดแล้วนาเข้าเผาอีกใหส้ นิมกระเทาะออกแล้วนาไป
ตีด้วยค้อนเหล็กเพื่อให้เน้ือเรียบแล้วใช้ตะไบแต่งให้เข้ารูปทรง จากน้ันก็ใช้เหล็กขูดคร่ึงเล่มให้สวยงาม
ต่อไปใช้ตะไบตกแต่งให้เข้ารูปแล้วจึงนามีดไปทาเลนผสมเกลือ นาไปเผาไฟชุบให้แข็งแรงเม่ือชุบแล้วจึง
ขัดและฝนให้ขาวคมดีขึ้น แล้วนาไปลับหินละเอียดให้ลงคม นาเข้าด้ามซึ่งส่วนมากเป็นด้ามไม้ไผ่ แต่ง
ใหเ้ ข้ากบั ตัวมดี ด้วยตะไบบงุ้ แลว้ นามาทาน้ามนั เกบ็ ไว้จาหนา่ ยต่อไป
4.7 ผ้าโขมพัสตร์ คือผ้าฝ้ายท่ีมีลวดลายแบบไทย ๆ พิมพ์อยู่บนผืนผ้าน้ัน ผู้ผลิต
ผ้าโขมพัสตร์ คือ โรงงานผ้าโขมพัสตร์ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และผู้เป็นต้นคิดริเร่ิมผลิตผ้า
ฝ้ายลวดลายไทยอันทรงคุณคา่ นี้ คือ ม. จ.หญงิ พวงรจติ กฤดากร ชายาพระองคเ์ จ้าบวรเดช
ผ้าฝ้ายที่จะนามาพิมพ์ลายนั้น ปกติโรงงานจะทอขึ้นใช้เองด้วยแรงคนใช้ที่
กระตุกและไม่ใช้ผ้าชนิดเน้ือละเอียดนัก เพราะต้องการให้มีลักษณะพิเศษเป็นแบบไทย ๆ กรณีท่ีต้อง
ใช้ผ้าเน้ือละเอียดหรือมีผู้สั่งมาก ๆ ทอเองไม่ทัน ก็ใช้ผ้าลินินขาวหรือผ้าเลี่ยนชนิดอื่น ๆ ด้วยในการ
พิมพผ์ ้านีก้ อ่ นอน่ื ต้องเตรยี มแม่พิมพ์ทาด้วยผ้าแก้ว ซึ่งมีคุณสมบตั ใิ สโปรง่ และทนทานแม่พมิ พ์จัดว่าเป็น
เร่ืองสาคัญมาก การจัดทาจะต้องอาศัยฝีมือเชิงศิลป์อย่างละเอียด การผลิตลายแบบแต่ละครั้งไม่ใช่
ของงา่ ย จะต้องร่างลวดลายลงก่อนแลว้ ใช้ฝีมอื จริง ๆ ค่อย ๆ เซาะตามลวดลายบนผ้าแก้ว เพ่ือไม่ให้มี
108 ชวนพศิ อตั เนตร์
หมึกลอดลงไปได้ เป็นงานละเอียดประณีตมาก ตกแต่งให้สวยงามประกอบการระบายด้วยพู่กัน และ
ลงพื้นสีฟ้าแกเ่ พ่อื ให้แบบคงทน เมอื่ ทาแบบเสร็จแลว้ คนงานแผนกพมิ พ์จะนาแบบไปเขา้ พิมพซ์ ง่ึ ต้ังอยู่
เหนือแท่นยาวเหยียดซ่ึงมีผ้าท่ีจะพิมพ์ลายปูไปตามแนวยาวของแท่น ก่อนปูผ้าก็ละเลงแป้งเปียก เพื่อ
ตรึงผ้าให้แน่นไม่หลุดแล้วเอาสีซ่ึงผสมตามสูตรอันถูกต้องเทลงบนแม่พิมพ์เอาลูกกล้ิง ๆ ไปบนแม่พิมพ์
ซึ่งกดแน่นอยู่กับผ้าเหมือนกับการพิมพ์หนังสือ เม่ือยกแม่พิมพ์ขึ้นก็จะปรากฏลวดลายสีสันของผ้าลาย
ไทยแบบต่าง ๆ กัน การพิมพ์ต้องค่อย ๆ พิมพ์ไปทีละช่วง ๆ เช่นน้ี จนหมดความยาวของผ้า แล้วจะ
นาผ้าไปฝั่งหรืออบความร้อนเพื่อให้สีสดแห้งสนิท ต่อจากนั้นนาไปซักน้า ลงแป้งตากแดดให้แห้ง เมื่อ
แห้งแล้วนามารดี ใหเ้ รยี บร้อยก่อนออกจาหนา่ ย
สาหรับลวดลายไทยท่ีพิมพ์ลงบนผืนผ้าน้ัน มีท้ังลายกนก ลายเชิงกรวย ลาย
ยักษ์ลักษมณ์ ราม รูปเครื่องใช้เบญจรงค์ หรือเครื่องใช้แบบไทยต่าง ๆ ตลอดจนลายแปลก ๆ ที่จะมี
ผู้ว่าจ้างทาเป็นพิเศษ เน้ือผ้าก็มีท้ังชนิดบางใช้ทาเคร่ืองนุ่งห่มและเคร่ืองใช้อ่ืน ๆ และชนิดหนาใช้ทา
ปลอกเบาะ ผา้ ม่านก็มี เหลา่ นีเ้ ป็นตน้
4.8 โอ่งมังกรราชบุรี การทาโอ่งมังกร จังหวัดราชบรุ ี เป็นงานหัตถกรรมประเภท
เคร่ืองปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี และเป็นท่ีเชิดหน้าชูตาให้แก่จังหวัดราชบุรีเป็นอย่างย่ิง
ชาวบ้านในแถบจังหวัดใกล้เคียงมักนิยมซื้อหาไว้สาหรับเป็นภาชนะบรรจุน้าใช้และน้าด่ืมภายใน
ครวั เรือน
กรรมวธิ ใี นการทาเริม่ จากเตรียมดิน ซง่ึ ตอ้ งเป็นคนท่มี คี ณุ ภาพดี เนอื้ ละเอยี ดมี
ความเหนียวในตัวเอง น้ามาผสมแกลบและทรายละเอียดและนวดดินเพื่อให้เน้ือแน่นและเหนียวย่ิงขึ้น
ต่อจากนั้นก็จะหมักดินไว้ แล้วนาดินไปป้ันเป็นรูปโอ่ง การปั้นนิยมใช้ปั้นแบบแป้นหมุนซึ่งจะต้องมีคน
2 คน คนหนึ่งจะเป็นผู้ถีบแป้นหมุน ส่วนอีกคนหนึ่งคือช่างที่จะน่ังปั้นดินท่ีอยู่บนแป้นให้เป็นรูปโอ่ง
ถ้าเป็นโอ่งเล็กจะป้ันเพียงครั้งเดียวสาเร็จรูปโอ่งเลย แต่ถ้าเป็นโอ่งขนาดใหญ่จะปั้น 2 ครั้ง คือคร้ังแรก
ปั่นส่วนล่างของโอ่งจนถึงกลางโอ่ง แล้วยกข้ึนพักไว้ให้ดินที่ป่ันหมาดเกือบแข็ง ต่อจากนั้นก็จะนา
ส่วนล่างน้ีมาวางบนแป้นอีกคร้ังหนึ่ง แล้วใช้ดินต่อส่วนกลางแล้วป้ันบนแป้นท่ีหมุนให้เป็นรูปโอ่งท่ี
สมบูรณ์ เม่ือยกโอ่งลงมาจากแปน้ ก็จะมกี ารตกแต่งสว่ นกลางในโอ่งให้มรี ปู ทรงท่ีดี ไมบ่ ดิ เบย้ี ว ถ้าจะมี
การเขียนลวดลายก็ต้องให้ชา่ งเขียนลายต่าง ๆ ที่ต้องการที่ผิวด้านนอกของโอ่งลายที่นิยมคือ ลายรูปตวั
มังกร จึงนิยมเรียกว่า “โอ่งมังกร” แล้วนาไปเคลือบน้าเคลือบ พึ่งให้แห้ง แล้วนาไปเผาในเตาเผาขนาด
ใหญ่ที่มีอุณหภูมิพอประมาณ ใช้เวลาเผาประมาณ 3-5 วัน แล้วแต่ขนาดของโอ่ง โอ่งมังกรของจังหวัด
ราชบุรนี ีส้ ่วนใหญจ่ ะมีสีเขยี ว และสีนา้ ตาลตามสีของน้าเคลือบ นับว่าเป็นงานหัตถกรรมท่ีต้องใช้ความ
ชานาญมากโดยเฉพาะชา่ งปัน้ และชา่ งเขยี นลายโอ่ง
คติชนและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ 109
การปั้นโอ่งของจังหวัดราชบุรีได้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่น้ารายได้ให้กับจังหวัดราชบุรีเป็นอย่างมากมี
การสง่ ไปขายตามที่ตา่ ง ๆ ท่ัวประเทศ และถือว่าเปน็ สัญลักษณ์อยา่ งหน่งึ ของชาวจังหวัดราชบรุ ี
5.5 คณุ ค่าของศลิ ปหัตถกรรมพนื้ บา้ นของไทย
ศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้านของไทยมีความใกล้ชิดกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยมาแต่อดีต
มีความสัมพันธ์กับขนบประเพณีและวัฒนธรรมโดยตลอด ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของไทยจึงเป็นส่ิงมีค่า
เปน็ มรดกของบรรพบุรุษ และเปน็ ผลงานของคนปจั จุบันทม่ี ีคณุ ค่าในหลาย ๆ ด้าน ดงั นี้
1. คุณค่าในการใช้สอย จุดประสงค์ของการสร้างงานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านโดยทั่วไป
จะสรา้ งขึ้นเพื่อประโยชนใ์ นการใช้สอยเปน็ หลกั และไดร้ บั การแกไ้ ข ปรบั ปรงุ และพฒั นามาเปน็ ลาดับ
เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ดีท่ีสุดและสมบูรณ์ตามความต้องการของผู้ใช้และสอดคล้องกับ
สภาพแวดล้อมด้านภูมิศาสตร์ ขนบประเพณี และวัฒนธรรมของท้องถิ่น เช่น กะต้า หรือ ตะกร้า
ของภาคอสี านใช้เป็นตะกรา้ ห้วิ ที่สามารถนาติดตัวไปตามสถานท่ีตา่ ง ๆ ไดส้ ะดวกและใชใ้ สส่ ิง่ ของตา่ ง ๆ
ในขณะเดียวกัน ถ้าตะกรา้ ชนิดนี้สานทึบแลว้ ยาดว้ ยชนั้ หรือยางไม้ ทฝี่ าผิดดว้ ยรา่ งแหก็สามารถใช้เป็น
ที่ใส่สัตว์นานาชนิดได้ จึงนับว่ากะตาของภาคอีสานเป็นศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้านท่ีมีคุณค่าในการใช้สอย
ไดอ้ ย่างดแี ละเป็นท่ีนิยมใช้กนั ทั่วไป
2. คุณค่าด้านศิลปะและความงาม ถึงแม้ว่าศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้านจะสร้างข้ึนเพื่อ
ประโยชน์ในการใช้สอยเป็นหลักก็ตาม แต่ผู้สร้างหรือผู้ผลิตก็จะต้องพิจารณาถึงรูปทรงโครงสร้างและ
การเลอื กใช้วัสดุเพือ่ ใหเ้ กดิ ความงาม ความน่าใช้ไปดว้ ย งานศิลปหตั ถกรรมพนื้ บ้านทีม่ ีคุณคา่ ดา้ นศิลปะ
และความงามนน้ั โดยมากมกั จะเกดิ จากการผลิตของช่างผู้มีความสามารถและความชานาญในงานชนิด
นั้น ๆ เช่น การทาเครื่องเขิน หรือเคร่ืองเงินของชาวภาคเหนือ การทาเคร่ืองถมของชาวภาคใต้ ฯลฯ
ล้วนเปน็ งานที่มคี ณุ คา่ ด้านศลิ ปะและความงามทัง้ ส้นิ
3. คุณค่าในการแสดงออกทางอารมณ์ ศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้านในแต่ละถิ่นจะมีคุณค่าใน
การแสดงออกทางอารมณท์ ี่ตา่ งกัน บางส่งิ อาจจะแสดงออกด้วยอารมณ์ท่ตี รงไปตรงมาม่นั คง มีลกั ษณะ
110 ชวนพิศ อตั เนตร์
ท่ีไม่ประณีต แต่บางสิ่งอาจจะแสดงให้เห็นถึงศรัทธาที่ละเอียดประณีต แสดงถึงอารมณ์ท่ีละเอียดอ่อน
ละมุนละไม งานศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้านเหล่าน้ีสะท้อนให้เห็นการแสดงออกทางอารมณ์ของผู้สร้าง
คตินิยมของท้องถิ่นและวัตถุประสงค์ของการสร้างได้ดี และเป็นคุณคาประการหนึ่งของศิลปหัตถกรรม
พื้นบ้าน ตัวอย่างเช่น พระพุทธรูปไม้แกะสลัก ของชาวภาคอีสานท่ีแกะสลักขึ้นตามความศรัทธาและ
ความรู้สึกของแต่ละคน ไม่ได้แสดงความสามารถทางฝมี ือชา่ งพระพุทธรปู เหล่าน้จี ึงมีลกั ษณะไม่ประณีต
ไมค่ ่อยไดส้ ัดสว่ นแตก่ แ็ สดงใหเ้ ห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกศรัทธาท่ีชอ่ื บรสิ ุทธิ์ของผูแ้ กะสลกั ได้เปน็ อย่างดี
4. คุณค่าท่ีเกิดจากลักษณะเฉพาะถิ่น การสร้างศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านแต่ละถ่ินจะมี
กรรมวิธี การสร้างรูปแบบการเลือกใช้วัสดุท่ีแตกต่างกันไปตามคตินิยม สภาพภูมิศาสตร์
ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม ศาสนา ตลอดจนถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละกลุ่มแต่ละ
ถิ่นด้วย แม้ว่าโครงสร้างและกรรมวิธีในการสานกระติบของแต่ละภาค จะแตกต่างกันไปตามคตินิยม
และแบบแผนที่ทาสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษของแต่ละแห่ง ความแตกต่างเหล่าน้ีเป็นลักษณะ
เฉพาะถ่ินหรือเอกลักษณ์ของศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ท่ีแสดงถึงถ่ินกาเนิดของศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้าน
เหล่าน้ัน
5.6 สถาปัตยกรรมพื้นบา้ น
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 อธิบายความหมายไวว้ ่า “สถาปตั ยกรรม,
สถาปตั ยกรรมศาสตร์ น. ศิลปะหรอื วชิ าว่าด้วยการก่อสร้าง”
สถาปตั ยกรรมพื้นบ้าน จงึ หมายถึง สง่ิ กอ่ สรา้ งทเี่ ปน็ ท่อี ยู่อาศัย วัดวาอารามและส่ิงกอ่ สร้าง
อื่น ๆ ซึ่งเป็นฝีมือของชาวบ้าน และมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย ได้แก่ เรือนไทย เรือนแพ
ยุ้งข้าว โบสถ์ วิหาร หอไตร หอระฆัง เจดีย์พระปรางค์ และศาลพระภูมิ รวมไปถึงมัสยิดหรือสุเหรา่
ด้วย
5.7 ลักษณะทว่ั ไปของสถาปัตยกรรมไทย
ลักษณะของสถาปัตยกรรมไทยมีอิทธิพลการก่อสร้างมาจากธรรมชาติแวดล้อม เช่น เป็น
เขตท่ีมีอากาศร้อน มีฝนตก นอกจากนี้ยังสร้างตามคตินิยมทางศาสนา เน้นคุณค่าทางศิลปะหรือความ
อ่อนช้อยสวยงามเป็นตัวกาหนดร่วมด้วยประกอบกับประโยชน์ในการใช้สอยทาให้สถาปัตยกรรมไทยมี
ลักษณะ ดังน้ี
1. มียกพื้นสูง ส่ิงก่อสร้างไม่ว่าบ้าน โรง ศาลา โบสถ์จะยกสูงกว่าพ้ืนดินธรรมดา หรือมี
เสา เพื่อหนจี ากน้าฝนขังหรือนา้ ทว่ ม
คตชิ นและภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น 111
2. มีโครงสร้างง่าย ๆ เห็นได้ชัดเจน อาคารสถาปัตยกรรมไทย จะไม่มีห้องหับ
สลับซับซ้อน โครงสร้างจะประกอบด้วยพ้ืน ฝาผนัง และส่วนหลังคา หากเป็นอาคารหลังใหญ่จะมีเสา
ภายในช่วยรบั น้าหนกั หลังคา ซงึ่ เมือ่ เข้าไปในอาคารจะเห็นโครงสรา้ งทั้งหมดชดั เจน
3. หลังคาทรงสูงมีกันสาดยาว หลังคาทรงไทยจะเปน็ รปู สามเหลี่ยมทรงสงู เพ่อื ให้มีช่อง
ระบายความร้อนใต้ร่มหลังคาได้มาก อยู่อาศัยสบายขึ้น และน้าฝนไหลผ่านวัสดุมุงหลังคาลงได้สะดวก
รวดเรว็ สว่ นกนั สาดท่ยี ่ืนยาวเป็นเคร่ืองชว่ ยกนั ละอองฝนและใหร้ ่มเงาไดม้ ากขึ้น
4. เน้นความงามของหลังคา ส่วนหลังคาสิ่งก่อสร้างเป็นส่วนท่ีแลเห็นได้ง่ายส่ิงก่อสร้าง
ทรงไทยนยิ มสรา้ งหลังคาให้งดงาม เชน่ บ้านไทยเน้นความงามรูปทรงของจิ๋วอาคารสถาน เช่น โบสถ์
วิหาร นิยมทาหลังคาซ้อนกันหลายช้ัน เพื่อให้เกิดจังหวะลดหลั่นงดงาม และตกแต่งช่อฟ้า ใบระกา
หางหงสใ์ ห้สวยงามเพิ่มขน้ึ
5. มีประตหู นา้ ต่างน้อย และมีขนาดเลก็ สว่ นใหญค่ นไทยใชช้ ีวิตอยนู่ อกบ้านนอกอาคาร
มองความงามจากภายนอก การก่อสร้างประตูหน้าต่างน้อย และมีขนาดเล็กทาให้รูปทรงสิ่งก่อสร้าง
งดงาม และเมอื่ แสงแดดเข้าได้น้อยทาให้ภายในอาคารสถานท่ีอาศยั หรือทาพธิ มี เี งามดื สลัว ดูเงียบสงบ
6. นิยมสร้างเป็นอาคารชั้นเดียว การสร้างอาคารสถานน้ันมักมีพ้ืนท่ีมาก จาเป็นต้อง
สร้างอาคารหลายช้ันใต้หลังคาเดียวกัน ซ่ึงเป็นเรื่องยุ่งยาก และส้ินเปลืองมากกว่าอีกประการหนึ่งคน
ไทยเป็นคนถอื หวั และถอื สงิ่ ศกั ดสิ์ ิทธิเ์ ป็นของสูงจงึ ไมน่ ิยมอยู่เหนือช้นั กนั และกัน
5.8 ประเภทของสถาปตั ยกรรมพ้นื บ้านของไทย
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สถาปัตยกรรมประเภทศาสนสถาน ได้แก่ สิ่งก่อสร้างทางศาสนา หรืออาคารที่สร้าง
เพ่ือใช้ในศาสนพิธี เช่นโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ หอระฆัง กุฏิ เจดีย์ พระปรางค์ หอไตร
มัสยดิ หรอื สุเหร่า เปน็ ตน้
2. สถาปัตยกรรมประเภทที่อยู่อาศัย ได้แก่ อาคารที่สร้างเพื่อเป็นท่ีอยู่อาศัยหรือ
เกย่ี วเนอ่ื งกบั การดารงชีวิตของชาวบา้ นท่วั ไป ได้แก่ บ้านเรอื น กุ้งฉาง โรงนา ศาลพระภูมิ เปน็ ตน้
5.9 สถาปตั ยกรรมประเภทศาสนสถาน
ในประเทศไทยน้ันโดยเฉพาะสถาปัตยกรรมที่เก่ียวกบั พุทธศาสนา ปรากฏหลกั ฐานว่ามีมา
นานแลว้ ตงั้ แต่สมัยก่อนประวตั ิศาสตร์ ซง่ึ แบง่ เป็นยุคสมัยไดด้ งั นี้
1. สมัยทวารวดี ได้มกี ารพบศลิ ปวัตถุที่อย่ใู นบริเวณเมอื งนครปฐม เปน็ หลักฐานแสดงให้
เหน็ ถงึ แหล่งทต่ี ง้ั ของอาณาจักรทวารวดี วา่ คงอยใู่ นบริเวณแถบน้ี สถาปตั ยกรรมวตั ถโุ บราณของสมัยนี้
เดิมมีมากแต่ไม่เหลือชิ้นพอดูได้ เนื่องจากถูกทาลายโดยเหตุการณ์ต่าง ๆ แม้แต่องค์พระปฐมเจดีย์องค์
112 ชวนพิศ อัตเนตร์
เดิมก็ดูไม่ได้ เน่ืองจากมีการสร้างองค์เจดีย์ใหม่ครอบเจดีย์เก่าไว้ มีแต่เพียงรูปจาลองท่ีพอจะรู้ว่า
ลักษณะพระสถูปสมัยทวารวดเี ป็นอยา่ งไร ก็คือ พระสถูปสมัยทวารวดีนัน้ วัสดุที่ใช้มักจะเป็นอิฐถือปนู
ปั้นลายประกอบ มีสัณฐานทาเป็นส่ีเหล่ียมตัวองค์พระเจดีย์ รูปกลมเป็นทรงโอคว่า แต่มียอดเตี้ยดัง
ภาพจาลอง
2. สมยั ศรวี ชิ ยั สมยั นี้มเี มอ่ื สมยั นม้ี เี มืองหลวงอยูใ่ นเกาะสุมาตรา ไดแ้ ผอ่ านาจเขา้ มาตอน
ใต้ในแหลมมลายูถึงเมืองนครศรีธรรมราช และไชยา เป็นเหตุให้ศิลปวิทยาได้แผ่เข้ามาในประเทศไทย
ทางปักษ์ใต้ ตัวอย่างสถาปัตยกรรมในสมัยศรีวิชัย ได้แก่ พระมหาธาตุ เมืองไชยา และพระมหาธาตุ
เมืองนครศรีธรรมราช เป็นตน้
พระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
คติชนและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ 113
3. สมัยลพบุรี แบบอย่างสถาปัตยกรรมสมัยลพบุรี เช่น เจดีย์มหาธาตุ เมืองลพบุรี ทา
เป็นปรางค์ใหญ่ เรียกว่าปรางค์ 3 ยอด ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมาสร้างด้วยหินทราย วัด
พระพายหลวง เมืองสุโขทัย วัดกาแพงแลงเมืองเพชรบุรี วัดพนมวันในแขวงจังหวัดนครราชสีมา และ
ปราสาทหินท่เี ขาพนมรุ้ง จังหวดั บรุ ีรมั ย์ วัสดใุ นการก่อสร้างมี 2 ลักษณะ คอื ยุคแรก ๆ ใชก้ ่ออฐิ ท่ีไม่ใช่
ปนู สอ สว่ นยคุ ทีส่ องหรอื ยุคหลังใช้หินทรายและศิลาแลง ดังตัวอย่างภาพต่อไปนี้
ปรางค์ 3 ยอด อาเภอเมอื ง จังหวัดลพบรุ ี
สาหรับสถาปัตยกรรมประเภทศาสนสถาน ในสมัยประวัติศาสตร์ไทยนั้นแบ่งเป็นยุคสมัย
ได้ ดงั นี้
1. สมัยเชียงแสน คาว่า “เชียงแสน” รู้กันมาว่าเป็นชื่อเมืองเก่าเมืองหนึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้า
โขง ในจังหวัดเชียงรายสถาปัตยกรรมเชียงแสนมีมากในเขตล้านนา และเขตล้านช้างสถาปัตยกรรม
สมัยเชียงแสน เช่น พระปรางค์วัดเจดีย์เจ็ดยอด พระเจดีย์ท่ีเมืองนครพนม วัดเจดีย์หลวง พระธาตุ
ดอยสเุ ทพ พระธาตุหริกุญชัย พระธาตุลาปางหลวง ฯลฯ
114 ชวนพศิ อตั เนตร์
เจดียว์ ัดกู่กุฏิ จงั หวดั ลาพูน
เปน็ สถาปตั ยกรรมแบบหนง่ึ ของสมัยเชียงแสนมลี ักษณะคล้ายกบั เจดีย์วดั เจด็ ยอด จ.เชยี งใหม่
2. สมัยสุโขทัย สถาปัตยกรรมที่ปรากฏในสมัยนี้ มีลักษณะแบบพระพุทธศาสนาลัทธิ
ลังกาวงศ์ พระเจดีย์มีทั้งลักษณะเป็นแบบสุโขทัยแท้ คือ มีฐานส่ีเหล่ียม 3 ช้ันซ้อนกัน องค์เจดีย์ยอด
เหลี่ยมทรงข้าวบิณฑ์ เช่น พระเจดีย์องค์ใหญ่กลางวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัยและเจดีย์เจ็ดแถว เมือง
สวรรคโลก และยังมีพระเจดีย์แบบลงั กา เช่น พระมหาธาตทุ ่ีเมอื งนครศรธี รรมราชเจดยี ์ลังกาวัดชา้ งล้อม
เมืองศรีสัชนาลัย นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์แบบศรีวิชัยผสมแบบลังกา คือ ตอนฐานทาเป็นเหลี่ยม
ตอนบนกลม เช่น เจดีย์วัดพระเจดีย์เจ็ดแถว อาเภอศรีสัชนาลัย สุโขทัยและเจดีย์วัดสูง ข้างนอกเมือง
สโุ ขทัยเก่า ด้านตะวันออก เป็นตน้ ตัวอยา่ งเจดีย์สมัยสุโขทัย
เจดยี ์พ่มุ ข้าวบิณฑ์ เจดยี ห์ ลกั วดั มหาธาตุ จังหวัดสโุ ขทัย
คตชิ นและภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ 115
เจดยี ์วดั ช้างลอ้ ม อาเภอศรีสัชนาลยั จงั หวัดสุโขทัย
3. สมยั อยุธยา โบราณสถานท่ีเปน็ สถาปัตยกรรมในทางพระพุทธศาสนาเหลืออยู่มากกว่า
แห่งอื่น ที่สร้างในคริสตศาสนาเหลืออยู่ 3 แห่ง คือ วัดเซนต์โยเซฟ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดสัน
เปาหลอ่ (เซน้ ตป์ อล) ของบาทหลวงเยซอู ติ และโรงสวดในบา้ นรับรองแขกเมืองบา้ นวชิ าเยนทร์ จังหวัด
ลพบุรี สาหรับพระปรางค์ เจดีย์ และวหิ ารตามทสี่ งั เกตฝีมือการช่างดูเหมือนจะนิยมทากัน 4 ยุค
คือ ยุคพระเจ้าอู่ทอง พ.ศ. 1893 ยุคสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 2006 ยุครัชกาลพระเจ้า
ปราสาททอง พ.ศ. 2173 และยุคพระเจ้าบรมโกศจนถึง พ.ศ. 2310 ซ่ึงรวมสมัยท่ีธนบุรีเป็นราชธานี
ด้วย
มณฑลปวัดใหญ่อนิ ทรา ชลบุรี สมัยอยธุ ยา
4. สมัยรัตนโกสินทร์ คือ ต้ังแต่สร้างกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทรม์ าจนถึงปจั จบุ ัน
สถาปัตยกรรมทร่ี จู้ ักกันดี คอื
4.1 พระราชวังหลวง หรือพระบรมมหาราชวัง ได้สร้างแบบพระราชวังในกรุงศรี
อยธุ ยาแทบทกุ อยา่ งคือวางพระราชมณเฑียรเรยี งรายเป็นระยะอย่างเดยี วกนั พระที่น่ังจกั รีมหาปราสาท
116 ชวนพศิ อัตเนตร์
สร้างต่อรัชกาลที่ 5 วัดพระศรีรัตนศาสดารามก็สร้างตรงกับวัดพระศรีสรรเพชญ่ในพระราชวังกรุงเก่า
เดมิ เปน็ เครอื่ งไมท้ ัง้ นนั้ สมัยรัชกาลที่ 3 ได้เปลี่ยนเป็นปูน
4.2 พระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ
พิพิธภัณฑ์สถาน รัชกาลท่ี 1 ได้สร้างวัดสลัก (วัดมหาธาตุ) พระราชมณเฑียร อันเป็นพิพิธภัณฑ์สถาน
แห่งชาติบดั น้ี
4.3 ตาหนักแดง พ.ศ. 2135 เป็นที่ประทับของพระพ่ีนางเธอเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดา
รักษ์ เม่ือ พ.ศ. 2470 สมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้าทรงบริจาคทรัพย์
สว่ นพระองค์ซ่อมแซม
4.4 พระราชวังสถานภิมุข หรือวังหลังพระราชวังจันทรเกษม ที่ตั้งโรงพยาบาล
ศิริราชปจั จบุ ันน้ี ตวั อยา่ งสถาปัตยกรรมสมยั รัตนโกสนิ ทร์
5.10 สถาปตั ยกรรมประเภทที่อย่อู าศยั
บ้านไทยสมัยโบราณ ซึ่งใช้เป็นอาคารพักอาศัย มักจะแสดงถึงระเบียบแบบแผนการอยู่ดี
กินดีของชาติไทย อาคารแบบเรือนไทยส่วนมากสร้างด้วยไม้เนื่องจากอิทธิพลทางทรัพยากรธรรมชาติ
ไม้เป็นส่ิงท่ีหาง่ายและสะดวกตามวิธีของช่างสมัยน้ันเรือนไทยสมัยโบราณ มักเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว
ยกพื้นสูง ใต้ถุนโปร่ง มักสร้างเป็น 3 ช่วงเสา ฝาทาเป็นกรอบใส่ลูกฟักท่ีเรียกว่า ฝาปะกน คูหาหน่ึงมี
หน้าต่างขนาดเล็กและแคบ เปิดเข้าภายในบนเดือยไม้ ประตูก็สร้างวิธีเดียวกันตั้งอยู่บนพรึง และ
มีระเบียงสร้างติดขนานไปตามความยาวของตัวเรือน หลังคาช้ันสูง คลุมลงมาถึงส่วนที่เป็นระเบียง
หลังคาหน้าจ่ัวชานจะเป็นพื้นท่ีที่ติดต่อถึงห้องครัว ถ้าบ้านหนึ่งอยู่ร่วมกัน 2 ครัว ก็สร้างเรือนเพ่ิมขึ้นอกี
หลังหนึ่งทางด้านใดด้านหนึ่งของชาน นอกจากนี้ยังมีอาคารอ่ืนสร้างเคียงข้างคือ หอนั่ง ศาลาพักร้อน
ในสวน เรอื นนกเขา ศาลาท่าน้า ลว้ นแต่มีลกั ษณะแบบไทย
คติชนและภูมิปัญญาท้องถนิ่ 117
แผนผังของเรือนหมู่ โดยมากจะมีเรือนหลักอยู่กลาง เป็นเรือนประธานเรียกว่า
“หอกลาง” เป็นเรือนขนาดใหญ่ 3-5 ห้อง ต่อมาจะมีเรือนอยู่ข้างหอกลางไปทางซ้าย และขวาเรียกว่า
“หอรี” ซ่ึงทาหน้าท่ีเป็นครัวไฟ ส่วนที่อยู่ถัดหอรีออกไปเป็นเรือนปลูกตามขวางก็เรียก “หอขวาง”
และมักเป็นเรือนขวางตะวันจึงไม่ใช้เป็นเรือนนอน ปล่อยโถงไว้ ก้ันฝ่าสามด้านสาหรับรับแขก ซึ่งจะ
ปลูกอยู่ทางด้านสกัดหัวชาน เม่ือมีเรือนปลูกกันเป็นหมู่ ชานเรือนก็จะต้องติดต่อถึงกันและมีบริเวณ
กวา้ งมากจึงปลูกเป็นเรือนโถงข้นึ ที่กลางชานสาหรบั น่ังเลน่ และใชเ้ วลามีงาน เชน่ สวดมนต์ เล้ยี งพระ
เรือนหลังนี้จงึ เรยี กว่า “หอนง่ั ” หรอื อาจอยู่ท่อี ่ืนก็เรียกหอนั่งได้ ถ้าปล่อยให้เปน็ โถง ดา้ นหลงั หอนั่งจะ
เปน็ “หอนก” ปลกู เปน็ รา้ นต้นไม้ ดอกไมต้ ่าง ๆ
5.11 ประเภทของเรอื นไทยแบบดง้ั เดิม
เรือนไทยในยุคต้นรัตนโกสินทร์ จาแนกตามวัสดุท่ีนามาใช้ก่อสร้างออกได้เป็น 2 ชนิด
คอื เรอื นเครอื่ งผูกและเรือนเคร่อื งสบั
1. เรือนเครื่องผูก คือ เรือนท่ีสร้างด้วยไม้ไผ่เกือบทั้งหลัง (ยกเว้นหลังคาเสาและพ้ืนใน
บางครัง้ มุงด้วยจากและปูดว้ ยไม้) โครงหลังคา เสา ฝา พื้น บนั ได ลว้ นเป็นไม้ไผ่เกือบท้ังสนิ้ มบี างท่ี
เท่านั้นท่ีใช้เสาเป็นไม้จริง โดยตัดต้นไม้ท่ีได้ขนาดพอเหมาะมาตั้งเป็นเสาการยึดตรึงวัสดุต่อวัสดุใช้มัด
ด้วยหวาย ท่ีใดท่ีต้องการยึดตรึงค่อนข้างแน่น เพราะเป็นจุดรวมแรงสาคัญ ๆ จะใช้ล่ิมโดยใช้ตอกด้วย
สลักหรือลูกประสัก เรือนเครื่องผูกไม่ทนทานนัก เพราะไม้ไผ่อาจมีมอดหรือแมลงอื่นเจาะกิน จึงถือ
เป็นเรือนชวั่ คราวในชนบท จาเพาะทีห่ าวสั ดุไม้จรงิ ได้คอ่ นขา้ งลาบาก
2. เรือนเคร่ืองสับ คือ เรือนไม้จริง ตั้งแต่เสา โครงหลังคา ฝา พ้ืน บันได หน้าต่าง ประตู
มีหลังคาเท่าน้ันท่ีมุงด้วยวสั ดอุ ่ืน การปลูกเรือนเคร่ืองสับจะตั้งเสาและฝาเอียงเข้าหากัน ท้ังน้ีเพ่ือความ
ม่ันคงแข็งแรง เพราะ แต่เดิมไม่ใช้ตะปูหรือนอตสกรู ใช้เพียงลิ่มและสลักหรือลูกประสักเท่านั้น
นอกจากน้ัน ยังได้ความงามตามความรู้สึกของสายตา อีกประการหนึ่งถ้าต้ังตรงนาน ๆ ไป อาจแยก
ออกจากกนั ได้
เอกลกั ษณ์เฉพาะถนิ่ ของเรอื นไทยในภาคตา่ ง ๆ
ในท้องถ่ินต่าง ๆ ของประเทศไทยมีแบบบ้านท่ีอยู่อาศัย ซึ่งชาวบ้านในท้องถ่ินได้
ออกแบบสร้างข้ึนเพ่ือประโยชน์ใช้สอย มีความเหมาะสมกับอาชีพ วัฒนธรรมประเพณี ดินฟ้าอากาศ
และวัสดุอยู่แล้ว ท้ังน้ี เพราะได้ผ่านการแก้ไขทดลองสืบทอดกัน เป็นเวลานานจนนับได้ว่าเป็นแบบท่ี
นยิ มกนั เป็นเอกลกั ษณเ์ ฉพาะแต่ละถิ่นได้ ดงั นี้
118 ชวนพศิ อัตเนตร์
เอกลักษณ์เรอื นไทยภาคกลาง
เรือนไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สาหรับผู้ท่ี
ฐานะค่อนข้างดี นิยมปลูกบ้านลักษณะแบบเรือนเคร่ืองสับ ซึ่งเป็นเรือนไม้สักที่ชาวบ้านในภาคกลาง
ทั่วไปนิยมปลูกสร้างข้ึนเพื่ออยู่อาศัยกันอย่างแพร่หลาย เพราะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับดินฟ้าอากาศ
และสังคมไทยสมัยน้ัน และมีลักษณะที่งดงาม พอจะสรุปลักษณะได้คือสร้างด้วยไม้คุณภาพดีท้ังหลัง
หลังคาทรงสูง ลักษณะยอดแหลมเหมือนจอมแห จั่วแลจั่วและป้ันลมอ่อนช้อยสวยงาเป็นทรง
สามเหลี่ยมแหล่งพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ปลายล่างของปั้นลมมีตัวหงา งอนรับกับเส้นรอบนอกของจ่ัว ฝา
บ้านเป็นแผง ๆ ติดกันเป็นแผ่นใหญ่ ขนาดพอดีกับความยาวของช่วงเสา แต่ละช่วงถอดเข้าออกไดง้ ่าย
เรียกว่า ฝาปะกน เสาทุกต้นเอนสอบเข้าหาจุดศูนย์กลางของตัวบ้านเล็กน้อย โครงสร้างของบ้าน
ประกอบกันด้วยการเข้าเดือยทั้งหลัง ไม่นิยมใช้ตะปูมีระเบียงและชานเช่ือมตัวบา้ นแต่ละหลัง มักสร้าง
เป็นเรือนหมู่ แต่ละหลังมีประโยชน์ใช้เฉพาะอย่าง ใต้ถุนสูง เมื่อน้าท่วมจะได้ไม่เดือดร้อน ลักษณะ
รูปร่างโปร่ง เบาลอย แสดงความสงบเงียบ ร่มเยน็ ตัวอย่างเรือนไทยในภาคกลาง
หมบู่ า้ นไทยทอี่ าเภอบางแพจังหวดั ราชบรุ ี
เริ่มต้นแห่งเรือนไทยสมัยใหม่ สมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรือนไทยเป็นการสร้างตึกแบบฝร่งั
เรือนไทยสมัยใหม่แบบแรกเรียกว่า “เรือนป้ันหยา” เป็นเรือนไม้แบบยุโรปมุงหลังคาด้วยกระเบื้อง
หลงั คาทกุ ด้านชนกันแบบพีระมิด ไมม่ ีหน้าจ่ัว ตวั อย่างเชน่ หลงั คาพระราชวังต่าง ๆ ทส่ี ร้างในสมยั ต้น
รชั กาลท่ี 4 เป็นแบบปนั้ หยา ตัวอยา่ งเรอื นปน้ั หยา
เรือนปัน้ หยา กุฏิพระสงฆ์ทวี่ ัดศรีสุรยิ วงศ์ อาเภอเมือง จังหวดั ราชบรุ ี
คติชนและภมู ปิ ัญญาท้องถิน่ 119
จากนั้นเรือนป้ันหยาได้วิวัฒนาการมาเป็น “เรือนมะนิลา” คือบางส่วนเป็นเรือนหลังคาปั้นหยา แล้ว
เปิดบางส่วนให้มหี น้าจ่วั
สมัยท่ีเรือนมะนิลาเข้ามาสู่ความนิยมอย่างแพร่หลายตรงกับสมัยที่สถาปัตยกรรมแบบ “เรือนขนมปัง
ขิง” แพร่เข้ามาด้วย ลักษณะเรือนขนมปังขิงน้ีเป็นชื่อเรียกสากลทับศัพท์ว่า “จินเจอร์เบรด” (Ginger
Bread) อันมีที่มาจากขนมปังย่ิงสมัยโบราณของชาวตะวันตก ซ่ึงตบแต่งหรูหราฟู่ฟ่า มีครีบระบาย
แพรวพราย เรือนขนมปังขิงจึงมีลักษณะประกอบด้วยลายฉลุอย่างงดงาม มีศิลปะลวดลายหรหู ราเปน็
ลายแกะสลกั และฉลแุ บบขนมปังขิง ตัวอยา่ งเรอื นขนมปังขิง
หลังจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พ้นไปแล้ว ก็จะส้ินยุคของเรือนขนมปังขิงและเรือนมะนิลาหลังคา
ปั้นหยาและจะเขา้ สู่ยุคเรือนอันออกแบบอย่างเสรีเป็นสมัยใหม่ ซึง่ มแี บบแผนแปลกตาหลายแบบหลาย
รสนยิ มดังจะเห็นไดท้ ัว่ ไปในทุกวนั นี้
เอกลักษณ์เรือนไทยภาคอีสาน
ประชาชนในภาคน้ีสว่ นมากชอบอพยพโยกย้ายและอยู่ไม่ติดท่ี ทงั้ นเ้ี พือ่ หาทาเลท่ีทามาหา
กินที่อุดมสมบูรณ์ การต้ังถิ่นฐานบ้านเมืองเปล่ียนแปลงและโยกย้ายอยู่เนือง ๆ ดังเช่น ท่ีปรากฏใน
ประวัติศาสตร์ อาจจะเป็นเหตุให้แบบอย่างของบ้านเรือนเป็นแบบช่ัวคราวขาดการประดิษฐ์ให้มีแบบ
120 ชวนพศิ อตั เนตร์
เฉพาะและเด่นชัดเช่นเดียวกับเรือนของภาคอื่น อย่างไรก็ตามในแหล่งชุมชนใหญ่ โดยเฉพาะในเขต
เมืองใหญ่เรือนที่สร้างอย่างถาวรพอจะเปน็ แบบฉบับได้ คือ เรือนฝ่ากระดาน หรือเรือนเคร่อื งสบั ส่วนที่
อยู่นอกเมืองออกไปซึ่งเป็นเรือนของชาวไร่ ชาวนา จะเป็นเรือนเครื่องผูก เป็นส่วนใหญ่ เรือนเคร่ือง
สับของภาคอีสาน เป็นเรือนใต้ถุนสูงเช่นเดียวกับเรือนภาคกลางรูปทรงของเรือนเป็นลักษณะ
ส่ีเหลี่ยมผืนผ้าปลูกเป็นเรือน 2 หลัง เคียงขนานหันหน้าเข้าหากัน มีชานแล่นเชื่อมระหว่างกลางไม่มี
ระเบียงพ่วงกบั เรอื นประธาน เมอ่ื ก้าวออกจากหอ้ งเรอื นประธาน
เรือนไทยภาคอีสาน กถ็ งึ ชานเลย เรือนประธานทัง้ สองหลังติดฝารอบทุกด้าน ฝาที่ติดกับ
เรือนทาเป็นแผงสาเร็จรูปแบบฝ่าสายบัว ไม่นิยมเจาะช่องหน้าต่างที่มีอยู่บ้างมักทาเป็นช่องแคบ ๆ
ประตูเรอื นเปดิ ช่องออกทางด้านชานเรือนเพียงประตูเดียว ภายในเรอื นจึงค่อนข้างมืด เหตุที่เปน็ เช่นนี้
เพราะในฤดูหนาว จะมลี มพดั และอากาศหนาวจัด จึงต้องทาเรอื นให้ทึบและกันลมได้
เรือนเครื่องผูกของภาคอีสาน ที่น่าสนใจอีกแบบคือเรือนของชาวผู้ไทย หรือชาวไทยโซ่ง
เป็นเรือนที่สร้างดว้ ยไม้ไผ่ เสาเป็นไม้จรงิ ทาจากต้นไม้ท้ังตน้ หลังคามุงด้วยแฝก ทรงสูงทอดยาวลงมา
คลุมฝาบ้านโดยรอบ ไม่มีหน้าต่าง หัวสกัดเรือนท้ังสองด้านลากปีกนกและชายคาให้เป็นผืนเดียวกับ
หลังคา มีลักษณะโค้งออก ปกคลุมหน้าบ้าน และหลังบ้านคล้ายกับจะป้องกันลมพายุ ฝน และลม
หนาวไดอ้ ย่างดีเยยี่ ม มใี ต้ถนุ สูง ตวั บา้ นก้ันห้องภายในเป็นห้องใหญเ่ พียงห้องเดยี วมีนอกชานหน้าบ้าน
ทาลดขั้นต่ากวา่ พนื้ บา้ นเลก็ น้อย มีเตาหุงข้าวอยูภ่ ายในบา้ น ไมแ่ ยกออกเป็นครัวเรือนต่างหาก หลังคา
ทาเป็นทรงจ่ัวอย่างเรือนไทยภาคกลาง มุงด้วยกระเบ้ืองดินเผา จ่ัวกรุด้วยไม้ตีเกล็ดเป็นรูป รัศมีดวง
อาทิตย์ ไม้ปั้นลมหน้าจ่ัวทาปลายประจบเป็นยอดแหลมปลายตอนล่างทาต่อไม้และจาหลักเป็นตัว
กระหนกด้วยเลขหนึง่ ไทยสองตัวซ้อนกัน ซึง่ ถือว่าเป็นแบบอยา่ งเฉพาะของเรือนในภาคนร้ี อบหลงั คาไม่
มีชายคาหรือปีกนกย่ืนคลุมตัวบ้านเหมือนอย่างเรือนไทยภาคกลาง ท้ังนี้อาจเป็นเพราะฝนตกไม่ชุก
เหมอื นอย่างภาคกลางนัน่ เอง
คติชนและภมู ปิ ญั ญาท้องถนิ่ 121
เรอื นของชาวโซ่งในประเทศไทย
เอกลักษณ์เรอื นไทยภาคเหนือ
ในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศ เช่น บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลาปาง
ลาพูน แพร่ น่านแม่ฮ่องสอน พะเยา การสร้างที่อยู่อาศัยในสมัยก่อนนับว่ามีรูปแบบท่ีมีลักษณะเฉพาะ
เป็นของตนเองไม่เหมือนภายใดเรียกว่า “เรอื น” หรอื “เยือน" ตามภาษาถิน่ ลักษณะของเรือนมรี ูปแบบ
ตา่ งกันตามวสั ดุทใี่ ช้สร้าง แตม่ ีลักษณะโครงสร้างส่วนรวมท่ีคลา้ ยคลงึ กนั พอจะจาแนกได้เป็น 3 ประเภท
ไดแ้ ก่
1. เรอื นชนบท หรอื เรอื นไม้บัว (ตรงกับเรอื นเครอ่ื งผกู ของภาคกลาง)
2. เรอื นไมจ้ ริง (ตรงกับเรอื นเคร่ืองสับของภาคกลาง)
3. เรือนกาแล
สองแบบแรกนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับในภาคกลางจึงจะกล่าวถึงเรือนประเภทที่ 3 คือ
เรือนกาแล ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของภาคเหนือเท่าน้ัน เรือนกาแล เป็นเรือนที่อยู่อาศัยของผู้สูงศักด์ิ
หรืคหบดีเป็นส่วนใหญ่ เรือนกาแลสร้างด้วยไม้จริงท่ีนิยม คือ ไม้สัก เป็นเรือนแฝดสองหลังติดกันหรือ
มากกว่านั้น หลังคาทรงจั่วสูง ชายคายาวคลุมลงมาถึงแนวหน้าต่าง มุงด้วยกระเบื้องดินเผา หรือ
กระเบ้ืองไม้สัก มีใต้ถุนสูงคนเดินลอดได้ โปร่งไม่กันห้อง ลักษณะพิเศษของเรือนแบบน้ี คือ ส่วนที่
เรียกว่า “กาแล" หมายถึงยอดบนสุดของจิ๋วทาเป็นไม้แกะสลักลวดลายไขว้กันมีสองอัน คล้ายป้ันลม
ของเรือนเครื่องผูกที่มีไม้ไผ่สองลาไขว้กันอยู่บนสันหลังคาตรงหน้าจ่ัว ยาวข้างละ 1 ศอก กาแล นับว่า
เป็นเอกลักษณ์ท่ีสาคัญอย่างหนึ่งของเรือนไทยภาคเหนือ ถึงแม้ว่าตัวกาแลเองจะไม่มีประโยชน์ต่อ
โครงสร้างของบ้าน แต่เป็นส่ิงตกแต่งให้ดูมีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใครเป็นลักษณะของท้องถิ่นทาง
ภาคเหนอื โดยเฉพาะเรือนกาแล
122 ชวนพศิ อัตเนตร์
เอกลกั ษณ์เรอื นไทยภาคใต้
ภาคใต้มักมีลักษณะของเรือนเป็นแบบเรือนเครื่องสับ แต่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เป็นเรือนสอง
ช่วงเสา ปลูกยกพ้ืนจากพ้ืนดินเพียงคนก้มตัวลอดไปได้ เสาทุกต้นจะไม่ฝังลงในดิน แต่จะตั้งอยู่บนแผ่น
ปนู หรือแผน่ หินเรียบ ๆ ที่ฝงั อยู่ในดิน ให้โผล่ข้นึ มาจากพื้นดินไมเ่ กิน 1 ฟตุ เพ่อื กนั ไม่ให้ปลวกกดั ตีนเสา
และกันเสาผุจากความชื้นของดิน ต้นเสาตอนล่างห่างจากพ้ืนดินประมาณ 1-2 ฟุต จะมีไม้ร้อยทะลุเสา
ทุกต้นตามยาวของเรือนทั้ง 3 แถว ท้ังน้ีเพื่อทาหน้าท่ียึดให้โครงสรา้ งของเรือนแข็งแรงขึ้น เนื่องมาจาก
เสาทุกต้นวางอยู่บนแท่นปูนเฉย ๆ น่ันเอง กั้นห้องสาหรับเป็นห้องนอน 1 ห้อง อีกห้องหน่ึงปล่อยโล่ง
ด้านหน้าบ้านมีระเบียงด้านข้าง เรือนประธานติดกับระเบียงจะทาหัวรอดยื่นออกมาจากนอกเสา
ประมาณคืบเศษ ๆ ทุกตัว แล้วปูกระดานแผ่นยาวทับหัวรอดตลอดตามความยาวของเรือนเรียกว่า
“กระดานเลยี บ” ใช้เป็นทีว่ างเชยี่ นหมาก และเครื่องใชก้ ระจกุ กระจิกประจาบ้าน
เรือนเครื่องสับภาคใต้ทาช่องหน้าต่างแคบ ๆ ในบางแห่งไม่ทาเลยก็มี เพราะเกรงฝนสาด
เนื่องจากมีฝนตกชุกและมีลมแรงจัด หลังคาทาทรงจ่ัว ถากจันทันให้แอ่นแบบเดียวกับเรือนไทยภาค
กลาง แต่ทรวดทรงเต้ียกว่าเล็กน้อย ติดแผ่นปั้นลมแบบหางปลา ไม่นิยมทาตัวหงาแบบท่ีนิยมกันใน
ภาคกลาง จั่วของเรือนกรุไม้ตีเกล็ดทึบ ชายคาเรือนประธานยังต่อกันสาดย่ืนไปคลุมตัวเรือน 3 ด้าน
ด้านระเบียงทาหลังคาลาดเอียงลงมาก และชายคาระเบียงต่าจนต้องก้มศีรษะค้อมลงเมื่อเดินผ่าน
ชายคาส่วนนี้ หลังคามุงด้วยกระเบ้ืองดินเผาไม่เคลือบ การปลูกเรือนจะปลูกเปน็ หมคู่ ล้ายหมู่เรือนภาค
กลาง คือมีเรือนประธานหลังหน่ึงที่ริมชานด้านตรงข้ามกับเรือนประธานมีเรือนเคียงปลูกข้ึนหลังหนึ่ง
และท้ายชานด้านหนึ่งมีชานแล่นของหัวชานระเบียงเป็นท่ีปลูกเรือนครัว ก้ันฝาด้วยไม้ไผ่สานขัดแตะ
หัวชานหน้าระเบียงด้านตรงขา้ มกับเรือนครัวเป็นส่วนหน้าเรือนมีบันไดขนึ้ ลงทางด้านน้ี ตัวเรอื นท้ังหลัง
สามารถใช้คนหลาย ๆ คนยกเคลือ่ นท่ีไปต้งั ท่ีอนื่ ได้ ตวั อย่างเรือนภาคใต้
คติชนและภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ 123
แบบบา้ นของชาวไทยมสุ ลมิ ในภาคใต้
แบบบ้านของชาวไทยมุสลิมจะดูจากรูปทรงของหลังคาเป็นหลักโดยแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ ๆ ตาม
รปู ทรงของหลงั คา คอื หลงั คาแบบแมและห์ (หลงั คาจว่ั ) หลงั คาแบบแมและห์
บ้านตาบลประจัน อาเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
บา้ นแบบสีมะ (หลงั คาปัน้ หยา)
บ้านนายอดลุ ย์ ณ สายบรุ ี จงั หวดั ปัตตานี
124 ชวนพศิ อัตเนตร์
แบบลานอ (ทรงมะนิลา) ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะแบบหลังคาที่ชาวไทยมุสลิมนามาจาก
อินโดนีเซีย ซ่ึงเคยเป็นอาณานิคมของฮอลันดา เพราะชาวไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้ เรียก
ฮอลนั ดาวา่ “บลานอ”
ปอเนาะ เมาะโงห์ ตาบลสระกา อาเภอมะยอ จงั หวดั ปัตตานี
เกีย่ วกบั การวางผงั บา้ นสร้างบา้ นชาว ไทยมสุ ลมิ มีความเช่ือ ดงั น้ี
1. ให้หน้าบ้านอยู่ทางทิศตะวันออก ครัวอยู่ทางทิศตะวันตก ยุ้งข้าวอยู่ทางทิศใต้ของ
บ้าน
2. จานวนบนั ไดต้องเป็นจานวนคี่
3. ประตหู อ้ งในบา้ นไมใ่ หอ้ ยตู่ รงกลาง
4. ถา้ ลกู หลานจะต่อเติมบ้านหรือสร้างบ้านใหม่ในบรเิ วณเดียวกัน หา้ มสรา้ งบา้ นทางทิศ
ตะวนั ออกของบา้ นหลงั เดมิ
บ้านของชาวไทยมุสลิมจะมีการตกแต่งด้วยลวดลายฉลุไม้ในส่วนต่าง ๆ ของบ้านอย่าง
สวยงามด้วย บริเวณที่มีการตกแต่ง ได้แก่ สันหลังคา หน้าจ่ัว และยอดจ่ัว เชิงชาย ช่องลมใต้เพดาน
ช่องลมเหนือประตูหน้าต่าง คาน ตง พ้ืนระเบียงลูกกรง ตีนเสา และลักษณะของลวดลายที่ตกแต่งจะมี
อยู่ 3 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ เป็นตัวอักษร ซู ลู ซี (Sulusi) และอักษรคูฟ (Kufi) หรือเป็นลวดลาย
เครือเถาว์ และอาจจะเป็นลวดลายเรขาคณิตก็ได้
การตกแต่งบ้านในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าว น้ีกาลังจะค่อย ๆ หมดไปจากสามจังหวัด
ภาคใต้ เพราะนอกจากจะใช้ช่างท่ีมีความสามารถสูงแล้ว ไม้กระดานชนิดที่ดี ๆ มีความทนทานสูง
นอกจากจะมรี าคาแพงแล้ว ยงั หายากดว้ ย ลวดลายการตกแต่งบ้านในลักษณะดังกล่าวกาลังกลายเป็น
อดีต และสภาพบ้านเดิมท่ีมีสภาพทรุดโทรม ขาดการดูแลเอาใจใส่ ส่ิงเหล่านี้กาลังจะเปลี่ยนไป
บางครั้งก็เกินความสามารถของส่ิงใด ๆ ท่ีจะหยุดยั้งได้ ถึงกระน้ันก็ตามลักษณะดังกล่าวก็แสดงให้เห็น
ถึงวัฒนธรรมของสังคมหน่ึงท่ีเป็นเอกลักษณ์นองท้องถิ่นโดยเฉพาะท่ีมีความงดงามน่าสืบทอดและ
อนรุ ักษอ์ ย่างย่ิง
คติชนและภมู ิปัญญาท้องถิน่ 125
ศาสนสถานของชาวไทยมสุ ลิม
กค็ อื สถานที่ทาพธิ ีทางศาสนาอิสลาม ซึง่ ได้แก่ มสั ยิด (Mosgue) หรือท่เี รยี กว่า “สมุ
พร่า” นั่นเอง ในประเทศไทยน้ันมัสยิดจะมีรูปแผนผังเป็นรูปกากบาท หลังคาโค้งมียอดแหลม นิยม
หลังคาโค้งแหลม 5 ยอด หลังคาขนาดโตอยู่กลางเป็นประธานหรอื จุดศูนย์กลางของอาคาร และเป็นท่ี
รวมของแสงสว่างท่ีตกทอดลงสู่พ้ืน และมียอดหลังคากลมแหลมขนาดเล็กกว่ายอดกลางอีก 4
ยอด มบี นั ไดสามารถขนึ้ ไปบนหลังคาได้ ในประเทศไทยนิยมประตูและหน้าต่างทั้งแบบโค้งมน และโค้ง
แหลม ระเบยี งประกอบดว้ ยหอคอยท้ัง 4 มสั ยิดบางแห่งจะมรี ะเบียงลอ้ มรอบทั้ง 4 ดา้ น ในประเทศไทย
นยิ มทาสอี าคารดว้ ยสขี าว สฟี ้า สีเขยี ว บางครง้ั ประดับดว้ ยกระเบ้ืองเคลอื บสี
สถาปัตยกรรมท่เี ปน็ ศาสนสถานของอิสลามมีกชนในประเทศไทยท่สี าคัญ คอื มสั ยิดกลาง
จังหวดั ปตั ตานี สร้างในสมยั รัชกาลที่ 9 น้ี และจดั ว่าเป็นศลิ ปะแบบอิสลามทีง่ ามท่สี ุดในประเทศไทย
จะเห็นได้ว่าสถาปัตยกรรมพ้ืนบ้านของไทย น้ันนอกจากจะเป็นหน่ึงในปัจจัยส่ีท่ีจาเป็นในการดารงชีวิต
ให้ชาวบ้านได้อยู่อาศัยแล้วยังมีคุณค่าในทางศิลปะ และความงามปรากฏอยู่ด้วยเสมอ และยังแสดงให้
เห็นถึงลกั ษณะสภาพของท้องถ่ิน คตินยิ ม และวัฒนธรรมทแ่ี ตกตา่ งกันไปของแตล่ ะท้องถ่นิ อีกด้วย
126 ชวนพิศ อตั เนตร์
5.12 บทสรุป
5.13 คำถำมทบทวน
5.14 เอกสำรอ้ำงอิง
บทที่ 6
ภูมปิ ญั ญากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิต
ภูมิปัญญาเป็นบริบทที่สาคัญบริบทหนึ่งของวัฒนธรรมที่บ่งช้ีให้เห็นถึงความยั่งยืนยาวนาน
ของความเปน็ มาทางประวัตศิ าสตรข์ องสังคม เพราะภมู ปิ ญั ญาเป็นเรอื่ งทส่ี ะท้อนให้เห็นถึงความสามารถ
และเชาวนป์ ัญญาในการแกป้ ัญหาชีวติ ของสมาชิกในชมุ ชนหรือสังคมหน่ึง ๆ เพื่อใหว้ ิถีทางในการดาเนิน
ชีวิตมีความราบรื่น เป็นระเบียบ และมีความสงบสุขในสังคมสาหรับภูมิปัญญาไทยได้รับการถ่ายทอด
และการส่ังสมมาจากหลายกระแสหลายพื้นท่ี เพราะประเทศไทยมิได้ประกอบด้วยคนไทยเพียงกลุ่ม
เดียว แต่เป็นสังคมท่ีมีความหลากหลายชาตพิ ันธุ์และวัฒนธรรมท่ีในแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกันไป
ตามบริบท ดังนั้นภูมิปัญญาจึงเปน็ ระบบความรู้ที่ผสมผสานกันของหลายวฒั นธรรมและมีความแตกตา่ ง
กนั ไปตามประสบการณ์ชีวิต สังคมและส่งิ แวดล้อมจากนน้ั จงึ ถา่ ยทอดสืบต่อกันมา
หากมองย้อนกลับไปยังวิถีชีวิตความเป็นอยู่ตั้งเดิมเราจะสามารถเห็นได้ถึงมรดกที่มีคุณค่า
ทางภูมิปัญญาที่ถูกสั่งสมสืบทอดต่อ ๆ กันมา ซ่ึงสะท้อนให้เห็นแก่นแท้ในการดารงชีวิตน่ันคือวิถีทาง
แห่งการพ่ึงพาตนเองอันเป็นวิถีทางที่เรียบง่ายมีความรักความเอ้ืออาทรต่อกันของคนในชุมชน ทั้งนี้ภูมิ
ปัญญาไม่ได้เกิดจากการศึกษาเรียนรู้ในห้องเรียนตามระบบการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่ภูมิปัญญา
สามารถเรียนรู้จากส่ิงรอบตัวด้วยตนเอง เรียนรู้จากครอบครัว ชุมชน และสังคม อันเป็นความรู้ที่ถูกสั่ง
สมข้ึนมาจนเกิดเป็นองค์ความรู้ในการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้นและตอบสนองความต้องการของตนเอง
รวมถึงเป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นการอยู่ร่วมกันกับผู้อ่ืน อยู่ร่วมกับธรรมชาติแบบพึ่งพาอาศัยกันและกันเป็น
สาคัญ
6.1 ความหมายของภูมปิ ญั ญาและคาท่ีเก่ยี วข้อง
ภูมิปัญญาเป็นแนวความคิดทางสังคมที่สาคัญประการหนงึ่ การท่ีสังคมจะสามารถดารงอยู่
ได้ก็ต้องอาศัยภูมิปัญญา อนึ่งสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเก่าแก่สังคมหน่ึง ดังน้ันจึงปรากฏภูมิปัญญา
ให้เห็นเป็นจานวนมากและภูมิปัญญาเหล่าน้ีได้แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ไทยที่สาคัญโดยภู มิปัญญา
จะมีความหลากหลายซึ่งเป็นความหลากหลายที่แวดล้อมวิถีชีวิตของคนในสังคม ดังนั้นจึงควรทาความ
เข้าใจในความหมายของภูมปิ ญั ญาและคาที่มีความเกยี่ วข้องกับภูมิปัญญา ดังน้ี
128 ชวนพศิ อตั เนตร์
1. ภูมิปัญญา
คาว่า ภูมิปัญญา ตรงกับคาศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Wisdom” ซ่ึงมีความหมายว่า
ความรู้ความสามารถ ความเชื่อ ความสามารถทางพฤติกรรม สามารถใช้ในการแก้ไขปัญหาของมนุษย์
ประเวศ วะสี (2532 : 75) ให้ความหมายไว้ว่า คาว่า ภูมิปัญญา คือ ความรู้ ความสามารถในการสืบ
ค้นหาคุณค่าและการสืบทอดคุณค่าน้นั ๆ เช่น การเรียนรู้ว่าคนโบราณสมัยก่อนน้ันกินอยู่อย่างไร รักษา
สขุ ภาพอยา่ งไร สร้าง และซ่อมแซมบา้ นเรอื นอย่างไร รู้จกั ประดษิ ฐเ์ ครอื่ งนุ่งหม่ อยา่ งไร เป็นต้น
เสรี พงศ์พิศ (2536 : 140) กล่าวว่า ภูมิปัญญา คือ ศาสตร์และศิลป์ของการดาเนิน
ชีวิต ซึ่งผู้คนได้สั่งสมสืบทอดกันมาช้านานจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายสู่ลูกหลาน จากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหน่ึง
จากอดีตถึงปัจจุบัน ภูมิปัญญาเป็นศาสตร์ คือ เป็นความรู้ที่เก่ียวข้องกับการดาเนินชีวิต เป็นปัจจัยสี่
เป็นภาพรวมของการทามาหากิน การอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และการอยู่ร่วมกันในสังคม
ส่วนภูมิปัญญาเป็นศิลป์ คือ เป็นความรู้ที่มีคุณค่าดีงามที่ผู้คนได้คิดค้นขึ้นมา ไม่ใช่ด้วยสมอง แต่เพียง
อย่างเดยี ว แตด่ ้วยอารมณ์ ความรสู้ ึก ญาณทัศนะ คอื ดว้ ยจิตวญิ ญาณ
เอกวิทย์ ณ กลาง (2540 : 11) ได้ให้นิยามคาว่าภูมิปัญญาไว้ว่า ภูมิปัญญา หมายถึง
ความรู้ ความคดิ ความเชื่อความสามารถ ความจัดเจน ทก่ี ลุ่มชนไดม้ าจากประสบการณ์ท่ีไดส้ ่ังสมไว้จาก
การปรับตัว และดารงชีพในระบบนิเวศหรือสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อมทางสังคม และ
วัฒนธรรม ที่ได้มีพัฒนาการสืบสานกันมา โดยภูมิปัญญานั้นเป็นประสบการณ์ท่ีเกิดจากการเรียนรู้ด้วย
ตนเอง หรอื ทช่ี าวบ้านคดิ ค้นข้ึนและสบื ต่อกันมาเพื่อประโยชน์ต่อการดารงชวี ติ เป็นสติปัญญาท่ีสามารถ
สร้างสรรค์ ประดิษฐ์คดิ คน้ โดยอาศยั ศกั ยภาพของชาวบ้านและกลุ่มชน
แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย (2548 : 224) ได้กล่าวว่า ภูมิปัญญา เป็นท้ังความรู้
ความสามารถ ความเช่ียวชาญ ศักยภาพในการแก้ปัญหาของมนุษย์ มีการสืบทอดจากอดีตสู่ปัจจุบัน
อย่างไม่ขาดสาย และมคี วามเช่อื มโยงกันท้ังระบบ ไม่วา่ เศรษฐกิจ การเมือง สงั คม วัฒนธรรม
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (2548 : 20) โดย ปริตรตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล อธิบาย
ไว้ว่า คาว่า ภูมิปัญญา ในปัจจุบันเป็นคาท่ีมีความหมายทับซ้อนกัน สืบเน่ืองมาจากการให้คานิยามและ
ปฏิบัติการหลายประเภทโดยกลุ่มคนหลายกลุ่มในสังคมไทย สถานะของภูมิปัญญาจึงเป็นได้หลายอย่าง
ดงั นี้
1. เป็นอุดมการณ์การพัฒนาท่ีมีกระบวนทัศน์ท่ีก่อให้เกิดจุดเปล่ียนของการพัฒนา
ชนบทหนั เหออกไปจากการพฒั นากระแสหลกั ไม่มุ่งเน้นการพัฒนาท่ีเพม่ิ พนู มลู คา่ ทางเศรษฐกจิ
2. เป็นองค์ความรู้ว่าด้วยวิธีคิดของชาวบ้าน ท่ีได้มีการส่ังสมและสร้างจากสติปัญญา
และประสบการณ์เพื่อแก้ปัญหาในการมีชีวิตอยู่กับธรรมชาติ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกนั
เป็นองค์ความรู้ท่ีสร้างความภาคภูมิใจให้คนที่ห้อยอานาจและเป็นยุทธศาสตร์ในการต่อรองกับกระแส
โลกาภวิ ตั น์ และสร้างความเข้มแขง็ ทางปัญญาใหก้ ับสังคมโดยรวม
3. เป็นภารกจิ ด้านการศึกษาและวฒั นธรรมของรฐั
คติชนและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ 129
อาภากร มินวงษ์ (2549 : 209) กล่าวสรุปว่า ภูมิปัญญา เป็นองค์ความรู้ท้ังหลายที่มี
การส่ังสมและถ่ายทอดสบื ต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ซ่ึงสามารถคิดค้น ปรับเปลี่ยน ผสมผสานกับความรู้ใหม่
และพฒั นาใหเ้ หมาะสมกบั สังคม เพอื่ พฒั นาคุณภาพชีวิตความเปน็ อยขู่ องบุคคล
2. ภูมิปัญญาไทย
คาว่า ภูมิปัญญาไทย ตามความหมายที่ปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2542 อธิบายได้ว่า คาว่าภูมิปัญญามาจากคาสองคา คือ คาว่าภูมิ+ปัญญา=ภูมิปัญญา ซึ่งเป็น
คานาม หมายถึง พ้ืนความรู้ ความสามารถ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546) และเม่ือนาคาว่า “ไทย” มา
ต่อท้ายจะได้คาว่า “ภูมิปัญญาไทย” หมายถึง พ้ืนความรู้ ความสามารถของคนไทย ชาติไทย และ
ประเทศไทย
ส่วนความหมายโดยนัยยะหรือสาระสาคัญของคาว่าภูมิปัญญาไทยนั้นมีความหมาย
กว้างและครอบคลุมไปถึงสาระอ่ืนท่ีเกี่ยวข้องด้วย ดังที่หน่วยงาน องค์กร นักวิชาการ ได้ให้ความหมาย
ไว้ ดงั น้ี
สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547 : 10) ได้ให้ความหมาย คาว่า ภูมิปัญญา
ไทยไว้ว่า ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ความสามารถและทักษะของคนไทยอันเกิดจากการสั่งสม
ประสบการณ์ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนาและถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพ่ือใช้
แก้ปญั หาและพฒั นาวถิ ชี ีวิตของคนไทยให้สมดุลกบั สภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยคุ สมัย
ธนาคารไทยพาณิชย์ (อ้างถึงใน สามารถ จันทร์สูรย์, 2549 : 12) ได้กล่าวถึง
แนวความคิดเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยว่า ในช่วงท่ีสังคมไทยอยู่ในภาวะท่ีกาลังรับวัฒนธรรมจากภายนอก
เกิดความหลงลืมตัวและแก่นแท้ความเป็นไทย ทาอย่างไรจึงจะสามารถชี้แนวทางสรา้ งความมั่นใจให้กบั
เขาเหล่าน้ัน ว่าจุดยืนของพวกเขามาจากไหน รากเหง้าของความเป็นไทยเกิดจากการสั่งสมภูมิปัญญา
ของคนโบราณที่ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากประสบการณ์ การดารงชีวิต การผสมผสานของชาติพันธุ์และ
สภาพสังคมอันหลากหลายนับพันปี จากประสบการณ์ของคนโบราณได้สร้างรูปแบบของวัฒนธรรม
ที่สามารถรับรองการอยู่ร่วมกันในสังคมไทยมาได้อย่างเป็นปึกแผ่น เหล่านี้คือภูมิปัญญาไทยที่คนในรุ่น
ปัจจุบันควรตระหนักถึงและได้เรียนรู้ด้วยความภาคภูมิใจ และก้าวเดินหน้าต่อไปอย่างม่ันใจในชาติภูมิ
ของตน
เสรี พงศ์พิศ (2553 : 142) ได้อธิบายว่า ภูมิปัญญาไทยน้ันหมายถึง รากฐานปรัชญา
ชีวิตของคนไทย อันเป็นท่มี าของความรคู้ วามสามารถต่าง ๆ ท่แี สดงออกในวิถชี วี ติ ของคนไทยในรูปแบบ
ของจารตี ประเพณี วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ อาหาร บา้ นเรอื น เสอ้ื ผ้า ยารักษาโรค เครอ่ื งมือ อปุ กรณใ์ น
การทามาหากิน ศลิ ปะการแสดง เครือ่ งประดับตกแตง่
130 ชวนพิศ อัตเนตร์
3. ภูมิปญั ญาท้องถนิ่
รตั นะ บัวสนธิ์ (2535 : 69) อธบิ ายคาว่าภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่นหรอื ภมู ปิ ญั ญาชาวบ้านไว้ว่า
คือ กระบวนการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดาเนินชีวิตของบุคคลท่ีอยู่ในท้องถิ่น โดยสามารถดาเนินชีวิต
ไดอ้ ย่างสงบสขุ สอดคล้องกบั สภาพสังคมท่ีเปลีย่ นไปแตล่ ะยุคสมยั นน้ั เอง
ประเวศ วะสี (2539 : ข) กล่าวว่า องค์ความรู้ของภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นการสะสม
ขึ้นมาจากประสบการณ์ของชีวิตสังคมและสภาพแวดล้อมท่ีแตกต่างกัน และถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็น
วฒั นธรรม
สามารถ จนั ทร์สรู ย์ (2549 : 16) สรปุ ความหมายคาวา่ ภูมปิ ญั ญาท้องถิน่ ไว้ว่า หมายถึง
องค์ความรู้ สติปัญญา ความคิด ความเชื่อ และความสามารถ ท่ีเป็นองค์รวมทั้งหมดของชาวบ้านโดย
ส่วนรวมท้ังหมดในท้องถ่ิน หมู่บ้านต่าง ๆ ในการดาเนินวิถีชีวิตหรือการแก้ไขปัญหาของชาวบ้านใน
ทอ้ งถิน่ น้ัน ๆ อยา่ งเหมาะสมตามสภาพทอ้ งถ่ินของแตล่ ะแห่ง ซง่ึ ไมใ่ ช่ของผหู้ นึ่งผูใ้ ดโดยเฉพาะ หรืออาจ
กลา่ วอีกนยั หน่ึงวา่ เป็นภูมปิ ัญญานิรนามกไ็ ด้
กรมพัฒนาสังคมและสวสั ดกิ าร (2556 : 13) ได้สรุปความหมายของภูมิปญั ญาท้องถนิ่
เอาไว้ว่า ภูมิปัญญาท้องถ่ิน หมายถึง องค์ความรู้ท่ีเกิดข้ึนจากประสบการณ์ การเรียนรู้ ความฉลาด
ความสามารถ และความเช่ียวชาญของคนในชุมชนท้องถิ่นเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ
การประกอบอาชีพ การแก้ปัญหาต่าง ๆ ในการดาเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุขและเข้ากับ
สภาพแวดล้อมของยคุ ลสมยั ท่มี กี ารปรับเปลีย่ น รวมถงึ การพฒั นาคุณภาพชีวติ ใหด้ ขี ึน้
4. ภมู ปิ ัญญาพ้นื บ้าน
ยิ่งยง เทาประเสริฐ (2537 : 20) กล่าวว่าภูมิปัญญาพ้ืนบ้าน เป็นองค์ความรู้
ความสามารถ และเป็นประสบการณ์ท่ีได้สั่งสมและสืบทอดต่อกันมา อันเป็นความสามารถ และ
ศักยภาพในเชิงของการแก้ปัญหา การปรับตัว การเรียนรู้ และสืบทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อการดารงอยู่
รอดของเผ่าพนั ธุ์ จงึ เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ เผ่าพนั ธห์ุ รอื วถิ กี ารดารงชีวติ ของชาวบา้ น
สามารถ จันทร์สูรย์ (2549 : 13) ได้ให้ความหมายเก่ียวกับภูมิปัญญาพ้ืนบ้านว่า
หมายถึง องค์ความรู้ สติปัญญา ความเชื่อ และความสามารถท้ังหมดของชาวบ้านธรรมดาในพ้ืนท่ี
หมบู่ า้ นต่าง ๆ ในการแก้ไขปญั หาของชาวบ้านอยา่ งเหมาะสมตามสภาพพ้ืนทหี่ รือพืน้ บ้านแต่ละแห่ง
5. ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น
ธวัช ปุณโณทก (2531 : 4) กล่าวว่า ภูมิปัญญาชาวบ้านนั้นก็ คือ ความรอบรู้ของ
ชาวบา้ นท่ีเรยี นรู้ และมปี ระสบการณส์ ืบต่อกันมา ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือประสบการณ์ด้วย
ตนเองสว่ น ทางออ้ มเป็นการเรียนรจู้ ากผ้ใู หญ่หรอื ความรสู้ ะสมทีส่ ืบกนั มา
คติชนและภูมปิ ญั ญาท้องถ่ิน 131
เสน่ห์ จามริก (2541) ให้ความหมายของภูมิปัญญาชาวบ้านไว้ว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน
หมายถึง กระบวนการทางปัญญา ความคิด เพ่ือแสวงหาให้เหน็ ถึงกระแสความสมั พันธ์เช่อื มโยงระหวา่ ง
ธรรมชาติ จิตใจและพฤตกิ รรม สงั คม องค์กรและวฒั นธรรม ชุมชน เศรษฐกจิ เทคโนโลยี การผลติ และ
ในทส่ี ดุ คอื การพง่ึ ตนเอง
สามารถ จันทร์สูรย์ (2549 : 15) อธิบายวา่ ภูมิปัญญาชาวบา้ น หมายถงึ ทุกส่ิงทกุ อย่าง
ที่ชาวบ้านคิดได้เองในการดาเนินวิถีชีวิตและการแก้ไขปัญหา เป็นสติปัญญาและเป็นองค์ความรู้รวม
ท้ังหมด ทั้งทางกว้าง และทางลึก ท่ีชาวบ้านสามารถคิดเองทาเอง โดยอาศัยศักยภาพที่มีอยู่แก้ปัญหา
การดาเนินชวี ติ ได้ในท้องถน่ิ อยา่ งสมสมัย
คมพล สุวรรณกูฏ (2550 : 126) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง
ความรู้ ความสามารถในการดารงชีวิตอยู่ได้ในพ้ืนท่ีน้ัน ๆ โดยใช้สติปัญญาและการสั่งสมความรู้ของตน
อย่างหลากหลาย ผสมผสานความกลมกลืนระหว่างศาสนา สภาพภูมิอากาศ สภาวะแวดล้อม
การประกอบอาชีพ และกระบวนการทางสังคม เพ่ือใช้ชีวิตอยู่ได้ในสภาพที่เหมาะสมกับธรรมชาติ และ
มีการถา่ ยทอดกระบวนการเหลา่ น้ีมาจนช่ัวลูกชว่ั หลาน
6. ภูมิปัญญาสากล
สามารถ จันทร์สูรย์ (2549 : 19) กล่าวไว้ว่าภูมิปัญญาสากลหมายถึงองค์ความรู้
สตปิ ัญญาความคิดความเช่อื และความสามารถที่เป็นองค์รวมของชาวโลกกลุ่มหนง่ึ ทมี่ ีการสบื ทอดไหลบ่า
ไปสูป่ ระเทศต่าง ๆ โดยสว่ นใหญจ่ นเปน็ ทยี่ อมรบั ของคนจานวนมาก
เสรี พงศ์พิศ (2553 : 142) ได้อธิบายเก่ียวกับคาว่าภูมิปัญญาสากลไว้ว่า ภูมิปัญญา
สากล ได้ถูกใช้บ่อยขึ้นในแวดวงการศึกษาโดยเข้าใจกันว่า หมายถึง พ้ืนภูมิความรู้หรือปรัชญาที่ท่ัวโลก
เขาใช้กันซ่ึงก็หมายถึงปรัชญาตะวันตก อันเป็นพ้ืนฐานที่มาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีอิทธิพล
ต่อชีวิตของผู้คนทั่วโลกในวันน้ี ภูมิปัญญาสาสกลเป็นคาท่ีครอบคลุมไปถึงความรู้เฉพาะต่าง ๆ ซ่ึงเป็นที่
ยอมรับกันท่ัวโลก เช่น วิชาความรู้ท่ีเล่าเรียนในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกระดับเกือบทั้งหมดถือ
ว่าเปน็ ความร้สู ากล เปน็ วชิ าการทีม่ กั ไมม่ ขี อ้ ถกเถยี งหรือโตแ้ ยง้ กนั นัก โดยเฉพาะในระดบั พืน้ ฐานทว่ั ไป
จากทั้งหมดท่ีกล่าวมาจึงสามารถสรุปได้ว่า ภูมิปัญญา หมายถึงความรู้และ
ความสามารถ ทักษะและเทคนิคการตัดสินใจในการท่ีจะแก้ไขปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของ
มนุษย์ด้วยการผลิตผลงานของบุคคล อันเกิดจากการสะสมองค์ความรู้ทุกด้าน ท่ีผ่านกระบวนการ
สืบทอด พฒั นา ผสมผสานกับความร้ใู หม่ที่เปน็ สากลและสามารถพัฒนาให้เหมาะสมกับชมุ ชนและสังคม
เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตและมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซ่ึงอาจจะมีการใช้คาที่แตกต่างกันไป เช่น
ภมู ปิ ญั ญาไทย ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน ภมู ิปัญญาชาวบา้ น ภูมิปญั ญาพ้ืนบา้ น และภูมปิ ญั ญาสากล
132 ชวนพิศ อัตเนตร์
6.2 ลักษณะของภูมิปญั ญา
ภูมิปัญญามีลักษณะแตกต่างกันไปตามมุมมองและบริบทในการศึกษาของแต่ละบุคคลแต่
ละกลุ่ม แต่วัตถุประสงค์ หลักคือ ต้องการที่จะอธิบายลักษณะสาคัญของภูมิปัญญาให้เกิดความชัดเจน
และครอบคลุมมากที่สุด ซ่ึงลักษณะของภูมิปัญญาหรือภูมิปัญญาไทยนั้น กฤษณา วงษาสันต์และคณะ
(2542 : 264) ไดก้ ล่าวไว้ ดังน้ี
1. ภูมิปญั ญาเป็นเรอื่ งของการใชค้ วามรู้ ทักษะ ความเชอ่ื และพฤติกรรม
2. ภูมิปัญญาไทยท่ีแสดงถึงความสัมพันธ์กันระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ
สิ่งแวดลอ้ มและคนกบั สงิ่ เหนือธรรมชาติ
3. เปน็ องคร์ วมหรอื กจิ กรรมทุกอย่างในการดาเนนิ ชวี ิต
4. เป็นความสามารถในการแก้ไขปัญหาชีวิต การบริหารจัดการ การปรับตัว การเรียนรู้
เพื่อความอยูร่ อดของบคุ คล ชุมชน และสังคม
5. มีลักษณะเฉพาะหรือเอกลักษณ์ของตัวเอง มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลใน
การพฒั นาทางสังคม
สัญญา สัญญาวิวัฒน์ (2545 : 3) กล่าวว่า ลักษณะท่ีสาคัญของภูมิปัญญาประกอบด้วย
5 ประการ ดงั นี้
1. ภูมิปัญญามีลักษณะเป็นความรู้ คือเป็นส่ิงท่ีเก่ียวข้องกับเรื่องใด ๆ หรือหน่วยใด ๆ
ของสังคมก็ตามและทาให้เกิดลกั ษณะท่ีเปน็ ข้อมูลเป็นเน้อื หาสาระเก่ียวกบั เรื่องน้ัน ๆ ก็คือว่าสิง่ ทีเ่ กิดขึ้น
จากการปฏบิ ตั ิสัมพันธ์กันนี้ คอื ภูมปิ ัญญาเป็นความรู้ เชน่ ความรเู้ ก่ยี วกับมนุษย์ ครอบครัว ผูห้ ญงิ ผชู้ าย
ในสงั คมนั้น ๆ
2. ภูมิปัญญามลี ักษณะเป็นความเช่ือ คอื เปน็ สงิ่ ท่ีมคี วามเกีย่ วข้องกบั เรอื่ งใด ๆ หรือหน่วย
ใด ๆ ของสังคมก็ตาม และเป็นสิ่งที่ทาให้สังคมมีความเช่ือ ซึ่งอาจจะยังไม่มีข้อพิสูจน์ยืนยันว่าถูกต้อง
หากมีการพิสูจน์ความเชื่อนั้นแล้วความเชื่อก็จะกลายเป็นความรู้ดังในข้อ1ข้างต้น บางอย่างอาจพิสูจน์
ไม่ได้ เชน่ นรก สวรรค์ ผี ว่ามีจริง หรือไม่ กจ็ ะเป็นความเช่อื อย่างนั้นต่อไป
3. ภูมิปัญญาคือสิ่งที่แสดงออกถึงความสามารถ หรือแนวทางในการแก้ปัญหา หรือ
ป้องกันปัญหาเก่ียวกับหน่วยของสังคม ยกตัวอย่าง หน่วยทางสังคมระดับครอบครัว เช่น ความสามารถ
ในการปอ้ งกันไม่ใหเ้ กดิ ปัญหาขน้ึ ในครอบครัว ความสามารถในการสร้างความสมั พนั ธ์อันดรี ะหว่างกันใน
ครอบครวั เป็นต้น
4. ภมู ิปญั ญาทางวัตถุ คอื เป็นส่ิงทีเ่ กิดขน้ึ แลว้ สามารถจับต้องได้และมีสว่ นเก่ียวข้องกันใน
หน่วยสงั คมเหล่านนั้ เรา เรยี กว่า ภมู ิปัญญาทางวัตถุ ยกตวั อยา่ ง หน่วยทางสังคมในระดับครอบครัวอาทิ
คติชนและภูมปิ ัญญาทอ้ งถิน่ 133
เช่น เรือนชานบ้านช่อง เคร่ืองใช้ไม้สอยต่าง ๆ ในครอบครัวทาให้ครอบครัวมีความสะดวกสบายตาม
สภาพ เปน็ ต้น
5. ภูมิปัญญาทางพฤติกรรม เป็นส่ิงท่ีไม่สามารถจับต้องได้แต่สามารถรับรู้ได้จาก
ความรู้สึกและเป็นสิ่งที่เข้าไปมีส่วนสัมพันธ์กันในหน่วยสังคม เราจะเรียกภูมิปัญญาเหล่านั้นเป็นภูมิ
ปัญญาทางพฤติกรรม ยกตัวอย่างหน่วยทางสังคมท่ีเป็นครอบครัว เช่น ความประพฤติ การปฏิบัติของ
คนในครอบครัวทาให้ครอบครวั สามารถดารงอยใู่ ต้
สุพจน์ แสงเงิน และคณะ (2550 : 108-109) กล่าวถึงลักษณะโดยรวมของภูมิปัญญาไทย
เอาไว้ ดงั น้ี
1. เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม สืบเน่ืองจากคนไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ
ทางด้านการเกษตรทงั้ การเพาะปลูก เลี้ยงสตั ว์ จับสัตว์ ทาประมง ภูมิปัญญาสว่ นหนึ่งจึงตอบสนองความ
ตอ้ งการในด้านการทามาหากิน กอ่ ใหเ้ กดิ เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใช้ในการทาการเกษตรต่าง ๆ
2. มีความสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนา เน่ืองจากขาติไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนา
ประจาชาติ คนไทยส่วนใหญ่เปน็ พุทธศาสนิกชนมีวิถีการดาเนนิ ชวี ิตทเ่ี ป็นไปตามหลักคาสอนของศาสนา
ความคิด ความเชื่อ ผลงานทางศิลปะ วัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ มีความสอดคล้องกับพระพุทธศาสนา
อยเู่ ปน็ จานวนมาก
3. เกิดจากการเรียนรู้ในชีวิตจริง ทดลองโดยใช้ของจริง รวมทั้งเกิดจากความต้องการใช้
เพ่ือแกป้ ญั หาท่ีเกดิ ขน้ึ จรงิ เชน่ ความรเู้ ร่ืองแพทยแ์ ผนไทยและการใชส้ มุนไพร
4. มีการรวบรวมไว้ในลักษณะของครูภูมิปัญญา ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหน่ึงโดย
การฝากตัวเปน็ ศิษย์หรอื ครูพกั ลกั จา ในสมัยก่อนอาจมีบันทึกในรูปแบบของใบลานหรือสมุดข่อย
ดงั ทกี่ ล่าวมาข้างต้นสามารถสรปุ ไดว้ ่าภมู ิปัญญามลี กั ษณะที่สาคญั 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ
1. ภูมปิ ญั ญาท่เี ปน็ รปู ธรรม คอื สามารถมองเหน็ และจับต้องได้ เปน็ เร่ืองเกย่ี วกบั สง่ิ เฉพาะ
ด้านต่าง ๆ ในการดาเนินชีวิต ได้แก่ วัตถุและการกระทาท้ังหลาย เช่น อาคารบ้านเรือน เคร่ืองใช้และ
เครื่องอานวยความสะดวก เครือ่ งมอื ในการทามาหากิน ศิลปะ ดนตรแี ละอนื่ ๆ
2. ภมู ิปญั ญาทีเ่ ปน็ นามธรรม คือไม่สามารถมองเห็นและจบั ต้องได้ แต่เปน็ สงิ่ ท่มี ีคุณค่าอยู่
ในตัวเองซ่ึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกทัศน์และปรัชญาในการดาเนินชีวิต ได้แก่ ศาสนา จารีต ประเพณี
คุณคา่ และความหมายของทุกส่งิ ในชวี ิตประจาวัน อาทิ ความเชอื่ ความรู้ ความสามารถ แนวทางในการ
แกป้ ญั หา และป้องกันปญั หา
134 ชวนพศิ อตั เนตร์
ลักษณะของภูมิปัญญาดังกล่าวเป็นการนาไปสู่การสร้างความสงบสุข กฎเกณฑ์ ระเบียบ
ปฏิบัติ ประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามในชีวิต การเกิดข้ึนของภูมิปัญญาไทยที่มีความเก่ียวข้องมนุษย์
นัน้ สามารถสะท้อนออกมาใน 3 ลกั ษณะที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกัน คอื (ปราณี ตนั ตยานบุ ุตร, 2551 : 15)
1. เป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนด้วยกันที่อยู่รวมกันในสังคมหรือในชุมชนนั้น ๆ ที่
ตนเองอาศัยอยู่ ภูมิปัญญาจะแสดงออกมาในลักษณะของจารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี กฎหมาย
ศลิ ปะและนนั ทนาการ ภาษาและวรรณกรรมตลอดทงั้ การส่ือสารต่าง ๆ เปน็ ต้น
2. ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับโลกหรือคนกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช ภูมิปัญญา
จะแสดงออกมาในลักษณะของการดารงชีวติ ทเ่ี กี่ยวข้องกบั ปัจจัย 4 (อาหาร ทอ่ี ยู่อาศัย เคร่อื งนุ่งหม่ ยา
รกั ษาโรค) เครอื่ งมอื เครื่องใช้ การประกอบอาชพี การทามาหากิน การจัดการ เปน็ ต้น
3. ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักด์ิสิทธิ์ ส่ิงเหนือธรรมชาติ ภูมิปัญญาจะแสดงออกมา
ในลักษณะของศาสนาส่งิ ศกั ด์สิ ทิ ธท์ิ ่ีตนท่ีตนเองแสดงความเคารพรวมถึงความเชื่อตา่ ง ๆ เปน็ ตน้
ดังนั้นท้ัง 3 ลักษณะดังกล่าวมาน้ี คือสามมิติของเรื่องเดียวกันน่ันหมายถึง ชีวิตของบุคคล
ชุมชน สังคมท่ีสะท้อนออกมาถึงภูมิปัญญาในการดาเนินชีวิตของมนุษย์อย่างมีเอกภาพ เปรียบเหมือน
สามมมุ ของรูปสามเหลี่ยม ดังแสดงในภาพที่ 1.1 ภมู ปิ ญั ญาจงึ เป็นเสมือนรากฐานในการดาเนินชีวิตของ
คนไทย ซึง่ สามารถแสดงใหเ้ ห็นไดอ้ ย่างชัดเจน ลกั ษณะความสัมพันธ์ของภูมปิ ัญญาไทย
ภาพท่ี 6.1 แสดงลกั ษณะความสัมพนั ธ์ของภมู ปิ ัญญาไทย
ท่ีมา : ปราณี ตันตยานุบุตร (2551 : 14)
คติชนและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ 135
โดยนัยยะดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ลักษณะของภูมิปัญญานั้นจะมีความครอบคลุมสาระสาคัญในการ
ดารงชีวิตของคนทุกคนในสังคม ซึ่งจะมีความเช่ือมโยงกับการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีลักษณะเป็น
ภาพรวมที่มีมิติทั้งทางด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ กฎหมายและการเมือง และ
ผสมผสานกลมกลนื จนกลายเป็นเร่อื งราวเดยี วกันอยา่ งลงตัวและเหมาะสม
6.3 ประเภทและสาขาของภูมปิ ัญญา
กรมวิชา การกระทรวงศึกษาธิการ (2544 : 110) ได้จัดแบ่งประเภทของภูมิปัญญาเอาไว้
ดงั น้ี
1. ภมู ิปญั ญาด้านคติธรรมความคิด ความเชอ่ื และหลกั การ อนั เป็นพืน้ ฐานขององค์ความรู้
ที่เกิดจากการส่งั สม สืบทอดและถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา
2. ภูมิปัญญาด้านศิลปวัฒนธรรมขนบธรรมเนยี มประเพณี ที่เป็นแบบแผนของการดาเนนิ
ชีวิตท่ีปฏบิ ัติสืบทอดกันมา
3. ภมู ปิ ญั ญาด้านการประกอบอาชีพในท้องถิ่นท่ไี ดย้ ึดหลักแห่งการพึ่งพาตนเองและได้รับ
การพฒั นาให้เหมาะสมกับกาลสมยั
4. ภูมิปัญญาด้านแนวความคิด หลักปฏิบัติรวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ท่ีชาวบ้านได้นามา
ดัดแปลงใชใ้ นชุมชนอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความเปน็ อยู่
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2542 : 24-25) กาหนดสาขาของภูมิปัญญา
เพอ่ื การสง่ เสริมภูมิปญั ญาไทยไว้ ดังนี้
1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะและ
เทคนคิ ดา้ นการเกษตรกบั เทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพ้นื ฐานคุณคา่ ดั้งเดิมและสามารถพึ่งพาตนเองใน
สภาวการณ์ตา่ ง ๆ ได้ อาทเิ ชน่ การทาการเกษตรแบบผสมผสาน การแก้ปญั หาการเกษตรการแก้ปัญหา
ดา้ นการผลิต ดา้ นการตลาด เชน่ การป้องกนั แกไ้ ขโรคและแมลงท่ีเป็นศัตรพู ชื การรู้จกั ปรบั ใช้เทคโนโลยี
ท่ีเหมาะสมกับการเกษตร เป็นตน้
2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม (การผลิตและการบริโภค) หมายถึง การรู้จัก
ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแปรรูปผลผลิตเพ่ือชะลอการนาเข้าตลาด เพ่ือแก้ปัญหาด้านการ
บริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัดและเป็นธรรม อันเป็นขบวนการให้ชุมชนท้องถ่ินสามารถพ่ึงตนเองทาง
เศรษฐกิจได้ ตลอดทั้งการผลิตและการจาหน่ายผลผลิตทางหัตถกรรมเช่น การรวมตัวของกลุ่มโรงงาน
ยางพารา กลุ่มโรงสี กลมุ่ หตั ถกรรม เป็นตน้
136 ชวนพศิ อัตเนตร์
3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกัน และรักษา
สขุ ภาพของคนในชมุ ชน โดยเน้นใหช้ ุมชนสามารถพึง่ ตนเองทางสุขภาพและอนามยั ได้
4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความรู้ความสามารถ
เกี่ยวกบั การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมท้ังการอนุรกั ษ์ พฒั นา และใชป้ ระโยชน์จาก
คณุ ค่าของทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ มอย่างสมดุลและย่งั ยนื
5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด้านสะสม
เงินทุนและบริหารกองทุนและธุรกิจชุมชนท้ังที่เป็นเงินตราและโภคทรัพย์เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิต
ความเป็นอยทู่ ด่ี ขี องสมาชกิ ในชุมชน
6. สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดการสวสั ดิการในการประกันคุณภาพ
ชีวิตของคนใหเ้ กิดความม่นั คงทางเศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม
7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางศิลปะสาขาต่าง ๆ เช่น
จิตรกรรม ประติมากรรมวรรณกรรม ทัศนศลิ ป์ คีตศลิ ป์ เป็นตน้
8. สาขาการจัดการ หมายถึง ความสามารถในการบริหารการจัดการและการดาเนินงาน
ในด้านต่าง ๆ ทั้งองค์กรชุมชน องค์ทางศาสนา องค์กรทางการศึกษา ตลอดทั้งองค์กรทางสังคมอ่ืน ๆ
ในสังคมไทย อาทิเช่น การจัดการองค์กรของกลุ่มแม่บ้าน ระบบผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน การจัดการศึกษา
การจัดการศาสนสถานวัตถุ ตลอดทั้งการจัดการเรียนการสอน เป็นต้น ในส่วนกรณีการจัดการศึกษา
เรยี นรนู้ บั ได้วา่ เป็นภมู ิปญั ญาสาขาการจดั การทม่ี ีความสาคัญ เพราะการจัดการศกึ ษาเรียนรทู้ ดี่ ี หมายถึง
กระบวนการเรียนรพู้ ฒั นาและถา่ ยทอดความรู้ทางภูมปิ ญั ญาไทยท่ีมปี ระสิทธิผล
9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถในการสร้างผลงานทางด้านภาษา
และการใช้ภาษา ตลอดทงั้ ดา้ นวรรณกรรมทกุ ประเภท
10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถในการประยุกต์และปรับใช้
หลักธรรมคาสอนทางศาสนาความเชื่อและประเพณีด้ังเดิมท่ีมีค่าให้ความเหมาะสมต่อการประพฤติ
ปฏบิ ัติ
ทรงจิต พูลลาภ และคณะ (2546 : 1-8) ได้แบ่งสาขาของภูมิปัญญาไทยออกเป็น 6 ด้าน
เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนงานด้านการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและย่ังยืนและใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานของ
การวางแผน วางโครงการ และกิจกรรมการพฒั นารวมถึงสรา้ งเครือข่ายการเรยี นรูต้ ามแนวคิดเศรษฐกิจ
พอเพยี งของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ซ่ึงประกอบดว้ ย
1. ดา้ นเกษตรกรรม โภชนาการ อาหารแปรรูป
2. ด้านหตั ถกรรม อตุ สาหกรรมครวั เรือนและผา้ ไทย
3. ดา้ นแพทย์แผนไทยและสมนุ ไพร
คติชนและภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ 137
4. ดา้ นเศรษฐกิจชุมชน กองทุนชุมชน องค์กรชุมชนและสวสั ดกิ ารชมุ ชน
5. ด้านศลิ ปะ วัฒนธรรม ประเพณี
6. ดา้ นการจัดการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม
ดังน้ันจึงอาจสรุปได้ว่า ภูมิปัญญามีการจัดแบ่งออกเป็นสาขาเพ่ือประโยชน์ในการศึกษา
และนาไปใช้ตามวัตถุประสงค์ เช่น การจัดแบ่งเพ่ือเป็นการส่งเสริมภูมิปัญญาและการจัดแบ่งเพ่ือ
สนับสนุนให้เกิดการพฒั นาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนทอ้ งถิน่ เปน็ ต้น
6.4 ระดบั ของภมู ปิ ัญญา
เสรี พงศ์พิศ (2536 : 147) ได้อธิบายถึงระดับของภูมิปัญญาไว้ว่า ภูมิปัญญาสามารถ
จาแนกออกได้เป็น 2 ระดับ คอื
1. ภูมิปัญญาชาติ หรือภูมิปัญญาไทยเป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการยอมรับท่ัวทุกภูมิภาคของ
ประเทศ จัดเป็นองค์ความรู้ท่ีเกิดประโยชน์ต่อคนไทยทุกภาคในประเทศ หรือเป็นภูมิปัญญาที่พัฒนา
สังคมไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ต่าง ๆ เช่น การกอบกู้เอกราช การป้องกันตนเองมิให้ตกเป็น
เมอื งขน้ึ การนวดแผนโบราณ การใช้แสงแดดถนอมอาหารและการตั้งช่ือสกุลของคนไทยท่ีมีรากศัพท์มา
จากภาษาบาลีหรือสันสกฤต เป็นตน้
2. ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นภูมิปัญญาท่ีเกิดเฉพาะท้องถ่ินเพ่ือแก้ไข
ปัญหาท่ีเกิดข้ึนในท้องถ่ินน้ัน เป็นพื้นความรู้ของชาวบ้านในการคิดแก้ไขปัญหาในชีวิตของตนเองหรือ
สติปัญญาอันเกิดจากการเรียนรู้ สะสมถ่ายทอดประสบการณ์ท่ียาวนานของผู้คนในท้องถิ่นซ่ึงได้ใช้ชีวิต
อยกู่ บั ปา่ เขา ดิน นา้ สัตว์ปา่ และพืชพรรณธรรมชาตริ อบตวั เปน็ องค์ความร้ทู ้งั หมดของพวกเขา
ความเหมอื นกันของภูมิปญั ญาไทยกับภูมิปัญญาท้องถิ่น คือเปน็ องค์ความรู้และเทคนิคท่ีได้
นามาใช้ในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ซ่ึงได้สืบทอดและเช่ือมโยงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตถึง
ปจั จุบัน
ความแตกต่างกันของภูมิปัญญาไทยกับภูมิปัญญาท้องถ่ิน คือภูมิปัญญาไทยนั้นจัดว่าเป็น
องค์ความรู้และความสามารถในส่วนรวมเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศชาติ ส่วนภูมิปัญญาท้องถ่ินเป็น
องค์ความรู้และความสามารถในระดับท้องถ่ิน ซ่ึงมีขอบเขตจากัดในแต่ละท้องถิ่น เช่น ภาษาไทย
เป็นภูมปิ ญั ญาไทยในขณะทีภ่ าษาอีสานเป็นภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ เปน็ ต้น
6.5 ภูมิปัญญาทอ้ งถนิ่ ดง้ั เดิมของไทยกบั ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่นอืน่
วราวุธ สุวรรณฤทธิ์ และคณะ (2546 : 156-159) ได้อธิบายถึงการผสมผสานภูมิปัญญา
ท้องถิ่นกับภูมิปัญญาสากลไว้ว่า ภูมิปัญญาท้องถ่ินของไทยมีลักษณะท่ีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเกิด
จากการผสมผสานกนั ระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่เดิมกับภูมิปัญญาอื่น ๆ ทไี่ ด้รับมาจากภายนอกจึง
138 ชวนพิศ อตั เนตร์
ทาให้มีลักษณะที่แตกต่างกันไปจากสังคมอ่ืน ๆ หรือแม้แต่ภูมิปัญญาท่ีมีอยู่ในสังคมไทยเองก็จะมีความ
แตกต่างกันออกไปตามถิ่นท่ีอยู่อาศัยในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งส่ิงท่ีทาให้เกิดความแตกต่างมีหลายประการ
ดังน้ี
1. ลกั ษณะของภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ินดั้งเดมิ ของไทย
1.1 ภูมิปัญญาท้องถ่ินไทยเกิดจากพื้นฐานทางการเกษตร เน่ืองจากคนไทยประกอบ
อาชีพเกษตรกรรม ประมาณร้อยละ 80 ของประชากรทงั้ ประเทศ ชีวิตประจาวันของคนไทยสว่ นใหญ่จึง
มีความเก่ียวข้องสัมพันธ์กันกับการทาไร่ ทานาการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การจับสัตว์น้า อาทิเช่น
เครอื่ งมือเครอ่ื งใช้ในการเก็บเก่ยี วผลผลติ เครอื่ งมอื การทาประมงเครื่องมือตักจบั สัตว์ เปน็ ตน้
1.2 ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยส่วนใหญ่มาจากพระพุทธศาสนา คือคนไทยในประเทศ
ไทยจะให้ความเคารพนับถือศาสนาพุทธประมาณร้อยละ 78 หลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา
รวมท้งั ประเพณที ี่เกี่ยวข้องกบั ศาสนามีส่วนสาคัญในการสรา้ งภมู ปิ ัญญา เชน่ การทาบาตรพระ การหล่อ
พระพุทธรูป การหล่อและแกะสลักเทียนพรรษา การก่อสร้างโบสถ์และเจดีย์ รวมถึงจิตกรรมฝาผนัง
เปน็ ตน้
1.3 ภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ ไทยเกิดจาการใชช้ ีวิตจริง เช่น การค้นพบวธิ ีการรักษาโรคโดย
ใช้สมุนไพร การนวดแผนไทยและการทาอาหารไทย ซึ่งส่ิงเหล่านี้เกิดจากประสบการณ์ที่มีการทาซ้า
หลาย ๆ คร้ังจนม่ันใจว่าเป็นประโยชน์ต่อการดารงชีวิตและได้บันทึก ถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นหลังได้ใช้
ต่อไป
1.4 ภมู ปิ ญั ญาไทยมีการบอกเล่าสบื ๆ ตอ่ กนั มา เมือ่ สามารถสรปุ แนวปฏิบตั ิในเรื่อง
ใดได้ชัดเจนแล้วก็จะมีการจดบันทึกเอาไว้และมีการบอกเล่าให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้ทราบและปฏิบัติ
ต่อ ๆ กันไปได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาศึกษาหรือทดลองทาอีก จึงทาให้มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากคนรุ่น
เกา่ สูค่ นรุ่นใหม่เป็นเสมือนมรดกทางสังคม
2. ลกั ษณะของภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ อน่ื หรือภูมปิ ัญญาสากล
ภูมิปัญญาสากลหรือภูมิปัญญาสมัยใหม่ที่รับมาจากท้องถ่ินอื่นส่วนใหญ่มาจาก
ต่างประเทศ อาทิ ยุโรป ประเทศตะวันตก โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส
ออสเตรเลีย เยอรมนี อิตาลี ญป่ี ุ่น เกาหลี เปน็ ต้นโดยทว่ั ไปแล้วภมู ปิ ัญญาสมยั ใหม่จะมีลักษณะ ดงั นี้
2.1 มาจากความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันเป็นผลมาจากการประดิษฐ์
คิดค้นทางด้านต่าง ๆ ทาให้เกิดความรู้สมัยใหม่ทางด้านวิทยาศาสตร์และนามาประยุกต์ใช้ใน
ชีวิตประจาวัน อาทิเช่น ความรู้ทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขสมัยใหม่ ความรู้ด้านสถาปัตยกรรม
และวิศวกรรมศาสตรท์ ่ีนามาใชพ้ ฒั นาอาคารท่อี ยู่อาศัย ด้านการขนสง่ และการส่ือสาร เป็นตน้
คตชิ นและภมู ิปญั ญาท้องถิ่น 139
2.2 มาจากพ้ืนฐานระบบอุตสาหกรรม ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และความรู้สมัยใหม่
ในหลายดา้ นได้ถูกนามาใชใ้ นระบบการผลิตท่สี ามารถผลิตดว้ ยเคร่ืองจกั รกล มีมาตรฐานและสามรถผลิต
ได้คราวละมาก ๆ ผลผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมทาให้มีเครื่องมือเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ท้ังท่ีใช้ในสถานท่ี
ทางานและในสถานทอ่ี ยอู่ าศยั
2.3 มาจากบริเวณท่ีมีสภาพอากาศอบอุ่นจนถึงหนาว ประเทศในกลุ่มตะวันตกจะมี
ส่วนสาคัญในการสร้างภูมิปัญญาสมัยใหม่ ส่วนใหญ่มีท่ีตั้งอยู่ในเขตอบอุ่นและหนาว ดังน้ันการ
สรา้ งสรรคส์ ง่ิ ตา่ ง ๆ ขึน้ มาท้งั ทเี่ ปน็ วัตถุและไม่ใช่วัตถจุ ึงมีพื้นฐานสาคญั มาจากสภาพภูมิอากาศที่มีความ
แตกต่างจากสงั คมไทยที่มอี ากาศร้อนชน้ื
2.4 ลักษณะและองค์ประกอบอ่ืน ๆ อันได้แก่ ลักษณะทางสังคม วัฒนธรรม
ประเพณี ความเชื่อ และการนบั ถอื ศาสนาของแต่ละประเทศ
ภูมิปัญญาสากลในสังคมไทยเป็นองค์ความรู้ด้านตา่ ง ๆ ที่ถูกนาเข้ามาจากต่างประเทศ
เป็นการคิดโดยคนต่างประเทศหรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าภูมิปัญญาเทศก็ได้ และเม่ือภูมิปัญญาไทย
ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นในระดับภูมิภาคหรือระดับโลก สามารถพัฒนาเป็น
ภมู ิปัญญาสากลไดเ้ ช่นเดยี วกัน ซงึ่ ภมู ปิ ัญญาไทยกบั ภมู ิปญั ญาสากลหรือภมู ิปญั ญาเทศจะมีความสัมพันธ์
กนั ใน 3 ลกั ษณะ ดังน้ี (สพุ จน์ แสงเงิน และคณะ, 2550 : 139)
1. การรับภมู ปิ ญั ญาสากลมาใช้ในสังคมไทย เปน็ การพิจารณาเลือกรับภมู ิปญั ญาสากล
ท่ีมีคุณค่า และเป็นประโยชน์ต่อผู้คนในสังคมมาใช้ในสังคมไทยโดยมีแนวทางเบ้ืองต้นในการพิจารณา
เลอื กภูมปิ ญั ญาสากล ดังน้ี
1.1 พิจารณาความแตกตา่ งดา้ นสงั คม วัฒนธรรม ประเพณี การรบั ภูมปิ ญั ญาสากล
จากภายนอกประเทศเข้ามาต้องไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ประเพณี ไม่ทาลายวัฒนธรรม
ประเพณีอันดงี ามของชาติและไมก่ ่อใหเ้ กิดปญั หาสงั คมต่าง ๆ
1.2 พิจารณาสภาพเศรษฐกิจ ภูมิปัญญาสากลท่ีรับเข้ามาในประเทศต้องไม่
ก่อให้เกิดความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ไม่ควรมีราคาแพงหรือมีราคาสูงจนเกินไปและต้องไม่ซ้าซ้อนกับภูมิ
ปัญญาไทยท่ีมีอยู่ในท้องถ่ินดั้งเดิมที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันเพราะจะทาให้เกิดความสิ้นเปลืองโดยไม่
จาเปน็
1.3 พิจารณาด้านส่ิงแวดล้อมและสุขภาพอนามัย ภูมิปัญญาสากลท่ีนาเข้ามา
จะต้องไม่สร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อมของประเทศชาติและสุขภาพอนามัยของประชาชน เช่น
ภูมิปัญญาท่ีเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบางอย่างอาจก่อให้เกิดมลภาวะให้กับประเทศ ซ่ึงจะเป็นผลกระทบ
ตอ่ ส่ิงแวดล้อมและสุขภาพอนามยั ของคนไทย
140 ชวนพิศ อตั เนตร์
2. การผสมผสานภูมิปัญญาไทยกับภูมิปัญญาสากล ถือว่าเป็นการผสมผสานทาง
วัฒนธรรมประการหนึ่ง โดยการผสมผสานต้องเกิดการพิจารณาไตร่ตรอง รู้จักภูมิปัญญาท่ีนามา
ผสมผสานกันเปน็ อยา่ งดี โดยใช้หลักเกณฑ์ 3 ประการ คอื ดขี องเรา ดขี องเขา เข้ากันได้ ดังนี้
2.1 คดั เลือกสง่ิ ท่ีมีคณุ ค่าจากภมู ปิ ญั ญาไทย
2.2 นาเอาส่งิ ทเี่ ป็นประโยชนม์ าจากภูมปิ ญั ญาสากล
2.3 ใช้หลักการผสมผสานที่เหมาะสม สอดคล้องเข้ากันได้จนเกิดเป็นส่ิงใหม่สร้าง
คุณค่าและคณุ ประโยชนต์ อ่ คนไทย
3. การพัฒนาภูมิปัญญาไทยสู่ความเป็นสากล คือการพัฒนาภูมิปัญญาไทยให้มี
คุณลักษณะท่ีเป็นที่ต้องการหรือเป็นที่ยอมรับของนานาชาติท้ังในเร่ืองคุณประโยชน์ในใช้สอย
ภาพลกั ษณ์ ความสวยงาม ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจ และวิถกี ารดาเนินชีวิตแบบ
สากลในระดับภูมิภาคหรือในระดับโลก เช่น อาหารไทยท่ีเป็นท่ีรู้จักระดับโลก คือต้มยากุ้ง ได้มีการ
ยอมรับในเร่ืองรสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการ ด้วยเหตทุ ี่ตม้ ยากุ้งมหี ลายรสชาติ ท้ังเปร้ียว หวานเค็ม
เผด็ ปรบั เปลย่ี นรสชาติให้เน้นหนัก มากน้อยตามแต่ความต้องการของผู้รบั ประทาน และยังมีเครื่องปรุง
ที่เป็นท้ังผัก และสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาไปในตัว เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบกะเพรา ข่า หอม ผักชี
จึงสอดคล้องกับกระแสโลกในปัจจุบันท่ีหันมาเน้นการดูแลตนเองแบบธรรมชาติบาบัดการใช้สมุนไพร
ปรุงอาหารจึงเปน็ ส่ิงทต่ี รงกบั ความต้องการของสากลได้อยา่ งลงตวั
6.6 คุณค่าและความสาคัญของภมู ิปญั ญา
คุณค่าของภูมิปัญญา ได้แก่คุณประโยชน์ทางด้านจิตใจที่บรรพบุรุษของไทยได้สร้างสรรค์
และสืบทอดมาอย่างต่อเนื่องจากอดีตสู่ปัจจุบัน ทาให้คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจท่ีจะ
ร่วมแรงร่วมใจสืบสานต่อไปในอนาคต เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม ประเพณีไทย
ศลิ ปะและวัฒนธรรมไทย ความมนี ้าใจ เป็นต้น
พระครูวินัยธรประจักษ์ จาก ธมโม (2545 : 346) กล่าวถึงความสาคัญของภูมิปัญญาไทย
เอาไว้ว่า
1. ภูมิปัญญาไทยเป็นตัวกาหนดการรับความเจริญทางวิทยาการสมัยใหม่และวัฒนธรรม
ตา่ งประเทศ
2. ถ้าขาดการตระหนักถึงคุณค่าของภูมิปัญญาไทยแล้วความรู้ใหม่จะไม่สอดคล้องกับ
ความตอ้ งการของท้องถิน่
คติชนและภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น 141
อาภากร มินวงษ์ (2549 : 186) ได้อธิบายถึงคุณค่าและความสาคัญของภูมิปัญญาไทย
เอาไว้ ดงั น้ี
1. ภูมิปัญญาไทยช่วยสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง พระมหากษัตริย์ของไทยทรงใช้
ภูมิปัญญาในการสร้างชาติสร้างความเป็นปึกแผ่นของประเทศมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัย โดย
พอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช พระองค์ทรงปกครองประชาชนด้วยพระเมตตา เป็นแบบพอ่ ปกครองลูก เช่น
ผใู้ ดประสบความเดือนร้อนกส็ ามารถส่นั กระดิ่งแจ้งความเดือดร้อนขอรับพระราชทานความชว่ ยเหลือได้
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พระองคท์ รงใช้ภูมิปัญญากระทายุทธหตั ถีชนะขา้ ศึกศัตรูและทรงกอบกู้เอก
ราชของชาติไทยคืนมาได้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลปัจจุบันได้ทรงใช้
ภูมิปัญญาสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพสกนิกรชาวไทยมากมายเหลือคณานับ ทรงใช้
พระปรีชาสามารถแก้ไขวิกฤติการทางการเมืองภายในประเทศจนรอดพื้นภัยพิบัติหลายครั้งหลายหน
ทรงมีพระปรีชาสามารถหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านการเกษตรพระองค์ทรงพระราชทานแนวคิด
เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ให้แก่พสกนกิ รทาการเกษตรแบบสมดลุ และยั่งยืน ฟ้นื ฟสู ภาพแวดล้อม
และส่งผลใหบ้ ้านเมืองมีความสงบสุข มีความรม่ เยน็ เป็นสุข
2. ช่วยสร้างความภาคภูมิใจและเกียรติภูมิแก่คนไทย คนไทยในอดีตนั้นมีความสามารถ
เป็นท่ีปรากฏในประวัติศาสตร์มากมาย เป็นท่ียอมรับของนานาอารยประเทศ อาทิเช่น นายขนมต้ม
เป็นนักมวยไทยที่มีฝีมือเก่งในการใช้อาวุธทุกสว่ น ทุกกระบวนท่าเป็นแม่ไม้มวยไทย สามารถชกมวยจน
ชนะชาวพมา่ ได้ถึงเก้าคนสิบคนในคราวเดียวกัน มวยไทยถือเปน็ ภูมิปัญญาด้านศิลปะป้องกันตวั ช้ันเยี่ยม
เป็นท่ีนยิ มฝกึ และแข่งขนั ในหมชู่ าวไทยและชาวตา่ งชาติ ซ่ึงในปัจจบุ ันมีค่ายฝึกสอนมวยไทยอย่ทู วั่ โลกไม่
ต่ากว่า 3,000 แห่งในแต่ละประเทศ ชาวต่างประเทศที่ได้ฝึกมวยไทยมีความภาคภูมิใจในการใช้กติกา
ของมวยไทย การไหว้ครูมวยไทย การใช้คาส่ังเป็นภาษาไทยทุกคา เช่น คาส่ังให้ชกหรือการสั่งให้แยก
ส่ิงเหล่านี้ถือเป็นภูมิปัญญาไทยท่ีน่ายกย่องและภาคภูมิใจ นอกจากนี้ภูมิปัญญาไทยที่โดดเด่นยังมีอีก
มากมาย ยกตัวอยา่ งได้ ดังน้ี
2.1 เปน็ มรดกภมู ิปญั ญาไทยทางภาษาและวรรณกรรม
2.2 วรรณกรรมไทยถือเป็นวรรณกรรมท่ีมีคาไพเราะไดอ้ รรถรสครบทุกด้าน
2.3 ภูมิปัญญาทางด้านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารที่มีความหลากหลายในรสชาติ
ทั้งอาหารคาว และอาหารหวานปรุงง่าย รสอร่อยถูกปากท้ังชาวไทยและชาวต่างประเทศ พืชท่ีใช้ปรุง
อาหารส่วนใหญ่ เป็นพืชสมุนไพรที่หาง่ายในท้องถิ่นและมีราคาถูก นอกจากมีรสชาติอร่อยแล้วยังมี
คุณคา่ ทางโภชนาการ และยงั สามารถป้องกันโรคไดห้ ลายชนดิ
142 ชวนพศิ อตั เนตร์
3. สามารถประยุกต์หลักธรรมคาสอนในทางศาสนา มาใช้กับวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม
คนไทยส่วนใหญ่จะยอมรับนับถือศาสนาพุทธ นอกจากนั้นยังมีศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ และศาสนา
อนื่ ๆ โดยได้นาหลกั ธรรมคาสอนทางศาสนามาปรับใชใ้ นวิถีชีวติ ได้อยา่ งเหมาะสม
4. เป็นการสร้างความสมดุลระหว่างคนกับสังคม ธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ภูมิปัญญามี
ความเด่นชัดในการยอมรับนับถือและให้ความสาคัญแก่คน สังคมและธรรมชาติอย่างย่ิง มีเคร่ืองบ่งชี้ที่
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนมากมาย อาทิ ประเพณีไทย 12 เดือน เช่น วันสงกรานต์ วันลอยกระทง หรือ
ด้านการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การรักษาป่าต้นน้าลาธารก็ได้มีการประยุกต์ประเพณีเกี่ยวกับ
การบวชป่าข้ึนมา เพ่ือให้ผู้คนเคารพสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ ธรรมชาติ สภาพแวดล้อม ส่วนภูมิปัญญาด้านอาชีพ
การเกษตรจัดเป็นอาชีพหลักของคนไทยท่ีคานึงถึงความสมดุลของคน สังคม และธรรมชาติ โดยทาแต่
น้อยพออยู่พอกินแบบ “เฮ็ดอยู่ เฮ็ดกิน” (นายทองดี นันทะ) เม่ือเหลือกินก็แจกจ่ายญาติพ่ีน้องเพ่ือน
บ้านใกล้เรือนเคียง นอกจากน้ียังนาไปแลกเปล่ียนกับสิ่งของอย่างอ่ืนที่ตนไม่มี เม่ือเหลือกินเหลือใช้
จริง ๆ จึงจะขาย จึงกล่าวได้ว่าเป็นการทาการเกษตรแบบ“กิน-แจก-แลก-ขาย” ทาให้คนในสังคมได้
ช่วยเหลือเกือ้ กลู กัน แบ่งปนั กนั เคารพรักนับถือกนั เป็นญาตกิ นั
5. เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงวิถีชีวิตของคนไทยให้เหมาะสมได้ตามยุคสมัย ถึงแม้ว่า
กาลเวลาจะมีการเปลี่ยนไปอย่างไร องค์ความรู้สมัยเดิมก็สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม
เช่น การรู้จักใช้ภูมิปัญญาในการออมเงินสะสมทุนตามแบบสมัยใหม่ ให้สมาชิกกู้ยืมเพ่ือปลดเปล้ือง
หน้ีสนิ และไดจ้ ดั สวัสดิการใหแ้ ก่สมาชกิ จนชุมชนมีความมัน่ คงเข้มแขง็ ทาใหส้ ามารถช่วยตนเองไดห้ ลาย
ร้อยหมู่บ้านท่ัวประเทศ เช่น กลุ่มออมทรัพย์หมู่บ้านคีรีวงศ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุน
หมุนเวยี นของชมุ ชน กลุ่มสจั จะออมทรัพย์ จังหวัดตราดของพระอาจารย์สุบิน ปณีโต ทใี่ ช้หลักธรรมทาง
พระพุทธศาสนามาปรับใช้ให้เกิดการสะสมเงิน (การออมทรัพย์) และนาดอกผลที่ได้จากการกู้ยืม
เงนิ กองทนุ มาจัดเปน็ สวัสดกิ ารของชุมชน เป็นตน้
เม่ือป่าไม้ถูกทาลายลงเพราะถูกตัดโค่นเพ่ือปลูกพืชชนิดเดียวตามแนวทางการพัฒนา
ประเทศสมัยใหม่ท่ีหวังความม่ังค่ังร่ารวย แต่ในท่ีสุดก็ขาดทุน และมีหนี้สินพ้นตัว สภาพแวดล้อมเกิด
ความสญู เสยี และเส่ือมโทรม คนไทยจงึ ใชภ้ ูมิปญั ญาในการปลูกป่าด้วยพชื ที่กนิ ไดแ้ ละใชป้ ระโยชน์จากไม้
ได้ด้วย มีพืชสวน พืชป่าไม้ผล พืชสมุนไพร สามารถมีกินมีใช้ตลอดชีวิตเรียกว่า “วนเกษตร” มีการแบ่ง
พ้ืนที่ใช้สอยอย่างเหมาะสมเกิดเป็นความสมดุลอย่างองค์รวม จึงก่อให้เกิดภูมิปัญญาในด้านการรวมตัว
เปน็ กลมุ่ รกั ษาป่าไว้ไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ดงั เดิม
ส่วนในทะเลเมื่อปะการังตามธรรมชาติถูกทาลายลง ทาให้ปลาน้อยใหญ่ไม่มีที่อยู่อาศัย
ชาวบ้านก็ใช้ภูมิปัญญาในการสร้างปะการังเทียม (อูหยัม) ข้ึนมา เพื่อให้ปลาได้อยู่อาศัยวางไข่และ
ขยายพันธุ์ให้เจริญเติบโตขยายพันธ์ุจานวนมากดังเดิม ถือเป็นการใช้ภูมิปัญญาช่วยปรับปรุงและ
คติชนและภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ 143
ประยกุ ต์นามาใช้ได้ตามยุคสมยั จากข้อความดงั กลา่ วเบ้ืองต้น จงึ กลา่ วสรปุ ไดว้ า่ คณุ ค่าและความสาคัญ
ของภมู ปิ ัญญาไทยประกอบดว้ ย ดังนี้
1. ภูมิปัญญาไทยแสดงให้เห็นถึงการอนุรักษ์ที่ดีงาม ทั้งจารีตประเพณี วัฒนธรรม และ
การประดษิ ฐค์ ดิ คน้ เพ่อื ใชป้ ระโยชนอ์ ย่างใดอย่างหนึง่ อย่างมคี ุณค่า เช่น การนวดแผนไทย สมนุ ไพรไทย
2. ภูมิปัญญาไทยก่อให้เกิดการคิดริเริ่มสร้างสรรค์คุณค่าทางสังคมใหม่ท้ังในส่ิงท่ีเป็น
รูปธรรม และนามธรรม เชน่ ภูมิปญั ญาการบวชปา่ ไม้ เปน็ ต้น
3. ภูมิปัญญาไทยก่อใหเ้ กดิ การผลติ ภัณฑ์ การแปรรปู และการสร้างอาชีพใหม่ ทง้ั ด้านการ
ผลติ สิ่งใหมแ่ ละวิธกี ารผลิตสง่ิ ใหม่ ๆ เชน่ การผลิตภณั ฑ์หนึง่ ตาบลหนึง่ ผลติ ภณั ฑ์ เป็นตน้
4. ภูมิปัญญาไทยก่อให้เกิดเอกลักษณ์ของท้องถ่ิน เช่น การทาปลาตะเพียนสานด้วย
ใบลาน ทจ่ี ังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา การทาขนมหมอ้ แกงของจังหวดั เพชรบุรี เปน็ ต้น
5. ภูมิปัญญาไทยก่อให้เกิดศิลปะของชาติ ซึ่งบรรพบุรุษได้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรม
ไว้มากมาย เช่น จิตรกรรมฝาผนังลวดลายไทย ศิลปะการต่อสู้มวยไทย การแสดงฟ้อนรา เคร่ืองดนตรี
เป็นต้น ทาให้ประเทศไทยมีศิลปะเปน็ ของตนเองที่แสดงถงึ ความเปน็ อารยธรรมของชาติ
6. ภูมิปัญญาไทยช่วยเสรมิ สรา้ งความสงบสขุ ในการดารงชีวิต โดยสามารถนามาปรับปรงุ
อุปนิสัยท่ีมีความโดดเด่นของคนไทย เช่น รอยยิ้มสยาม ความมีน้าใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักความสงบ
ความขยนั และความอดทน เปน็ ต้น
7. ภูมิปัญญาไทยช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางสังคม เน่ืองจากภูมิปัญญา
ได้รับการยอมรับยกย่องจากชาวต่างชาติว่ามีขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีดีงาม มีความสอดคล้องกับการ
รักษาคณุ ค่าทางธรรมชาติ เช่น ประเพณีลอยกระทง ประเพณีสงกรานต์ เป็นต้น
8. ภูมิปัญญาสามารถสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่น ทั้งที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญา และวัฒนธรรม
ในการทีช่ ว่ ยเสริมสรา้ งความสามคั คีในหมูค่ ณะ
9. ภูมิปัญญาไทยสามารถเสริมสร้างให้คนไทยเกิดความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรี และ
เกียรติภูมิของความเป็นไทย
10. ภูมิปัญญาไทยสามารถนาไปสู่การเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงวิถีชวี ิตของคนไทยให้เกดิ
การดารงชวี ิตเหมาะสมได้ตามยคุ ตามสมยั
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ภูมิปัญญาไทยเกิดจากการท่ีบรรพบุรุษได้สั่งสมความรู้
ประสบการณ์แล้วถ่ายทอดมาสู่คนรุ่นหลังนั้นเป็นส่ิงท่ีมีคุณค่า จึงสมควรที่ชาวไทยทุกคนมีส่วนร่วมใน
การสืบทอด รักษา อนุรักษ์ ศึกษา และเผยแผ่ให้อยู่คู่กับคนไทย และชาติไทยเพ่ือให้เป็นประจักษ์ต่อ
สายตาของชาวโลกต่อไป