280 ชวนพิศ อัตเนตร์
(ตวั อย่างท่ี 1)
ประเพณลี ่าสตั ว์ สแปนชิ ฟอรค์ , ยทู าห์
ข้าพเจ้า ตุลาคม 1979
“การย่ิงชุดล่าสัตว์”
ข้อมลู ของววทิ อยลาเกตรอ:ร์ เอ็ม. โจนส์ (Walter M. Jones) เกิดที่ริชแลนด์, วอชิงตันเม่ือวันท่ี 8 กรกฎาคม
1960 บิดาของเขาเป็นทหารและย้ายที่ทางานบ่อย ภูมิหลังของวอลเตอร์เบ้ืองต้นคือเป็นคนแถบ
ตะวันตก ครอบครัวของเขาสืบเช้ือสายมาจากชาวยุโรปตอนเหนือ เขาเป็นสมาชิกของ LDS (โบสถ์มอร์
มัน) วอลเตอรส์ มรสแลว้ และเป็นนกั ศึกษาช้นั ปที ส่ี ามของมหาวิทยาลยั บริกแฮมยัง
ขอ้ มลู ของภาวะแวดลอ้ ม :
วอเตอร์กลับเข้าเรียนที่ BYU ใน ค.ศ. 1978 และ 1979 ก่อนท่ีจะเข้าไปอยู่ในกองทัพ
เขาอาศัยอยู่กับครอบครวั ใน สแปนิช ฟอร์ค, ยูทาห์และใกล้ชดิ กับครอบครัวมาก ในช่วงเดือนตุลาคมใน
มลรัฐยูทาห์จะมีประเพณีการล่ากวาง ครอบครัวของเขาในสแปนิช ฟอร์ค เข้าร่วมในการล่ากวาง
เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ในรัฐ ด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก ครอบครัวเชิญให้วอลเตอร์เข้าร่วมใน
ประเพณดี ว้ ยและเขากต็ กลง เขาไม่เคยล่ากวางมาก่อนและไม่ทราบวา่ บรรยากาศในการล่านั้นเรา
(ตัวอยา่ งท่ี 1 ต่อ)
ร้อนและจริงจงั มาก ดังน้ันตวั เขากบั คนอนื่ ๆ อกี สองสามคนจึงไม่ได้ยง่ิ กวาง และถกู ลงโทษ
ตามที่กล่าวบรรยายไว้ข้างล่าง สมาเชิงกลุ่มลาบาวางเป็นกลุ่มท่ีแข็งแกร่ง เอาจริงเอาจัง และภูมิใจใน
ความเป็นชายของตนมาก ผู้ท่ีล่ากวางไม่ได้จะถูกมองว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย และผู้ที่ไม่ล่าจะเสียศักด์ิศรี
เนื่องจากถูกลงโทษ หลักฐานของการเสียศักด์ิศรีคือ สวมชุดล่าสัตว์น้ีทั้งปีเพ่ือกระตุ้นให้ผู้ล่ากวางทา
ผลงานให้ดีขนึ้ ในปีตอ่ ไป
รายการ:
เม่ือการล่ากวางเสร็จส้ินลงแล้ว ถ้าใครสักคนหน่ึงไม่ได้ฆ่ากวาง เขาจะต้องถอดหมวกหรือ
เส้ือโค้ตออกวางบนพ้ืนดิน แล้วเขาก็จะถูกสั่งให้ยงิ หมวกหรือเส้อื ก่อนจะสวมเข้าไปใหม่ เมื่อไรท่ีเขาสวม
หมวกหรือเสื้อนี้ ทกุ คนก็จะทราบว่าเขาลา่ กวางไมไ่ ด้และมที างเดียวที่จะไดส้ ิทธสิ วมหมวกหรือเสื้อดี ๆ ก็
คอื ยิง่ กวางให้ไดใ้ นการลา่ ครัง้ ตอ่ ไป
คติชนและภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ 281
วอลเตอร์ เอม็ . โจนส์
373 N. 400 W
Provo, Utah
Brigham Young University
วิลสันได้ให้ตัวอย่างท่ี 2 โดยกล่าวว่า ผู้รวบรวมข้อมูลได้บันทึกทั้งความเชื่อ (ความเช่ือโชคลาง)
และเรื่องราวเก่ียวกับความเช่ือจากปากคาของวิทยากร เรื่องราวน้ีเคยมีผลต่อพฤติกรรมของเธอ แต่
นอกเหนือไปจากเรื่องท่ีเล่าน้ีแล้วเราไม่ทราบข้อมูลเก่ียวกับตัววิทยากรมากนัก และไม่ทราบว่าความ
เชื่อมีบทบาทต่อชีวิตเธออย่างไร มีบทบาทต่อสังคมของเธออย่างไร แต่สาหรับคนท่ีเคยเห็นเคยใช้
เฉพาะเคร่ืองอบผ้าท่ีใชไ้ ฟฟ้าหรอื ก๊าซแล้ว ผู้รวบรวมข้อมูลควรจะอธิบายเร่ือง “อย่าทิ้งผ้าไวบ้ นราว”
ใหเ้ ข้าใจ
(ตวั อยา่ งที่ 2)
ความเช่อื ครสิ ไซเรนสนั (Chris Sorenson)
"ผ้าออ้ มบนราว” Logan, Utah
5 กุมภาพนั ธ์ 1983
ข้อมูลของวทิ ยากร:
คริส โซเรนสัน อายุ 51 เกิด (1932) และเติบโตในรูสต์เวลต์ เป็นสมาชิกที่กล่อง และ
แข็งขนั ของโบสถ์มอร์มันเธอมีบุตรสองคนและหลานสี่คน ปัจจุบนั เปน็ เจ้าของและผู้จัดการร้านเส้ือผ้า
แหง่ หนึ่ง เธอมีหวั ใจเป็นทองและจะใหท้ กุ สงิ่ ทุกอยา่ งแก่ครอบครัว ถ้าส่ิงนน้ั ทาใหพ้ วกเขาเปน็ สุข
ข้อมูลของภาวะแวดลอ้ ม:
คริสบอกว่าเธอได้ยินเร่ืองน้ีมานานแล้วเม่ือเธออายุราวเจ็ดขวบสิ่งที่เกิดขึ้นน้ีฝังใจเธอ
อย่างมากเธอพูดว่าเธอทราบว่าเหตุการณ์จะไม่เกิดข้ึนจริง แต่ก็ใช้เวลานานมากท่ีจะลืมต่อไปน้ีคือ
คาพูดของเธอวธิ ีบันทกึ ใช้การจดตาม
“ตอนท่ีฉันยังเด็กอยู่ มีหลายคนบอกฉนั วา่ ถ้าใครท้ิงเส้ือผ้าไว้บนราวตลอดวันสุกดินก่อน
ขึ้นปีใหม่ จะมีคนในครอบครัวตายในช่วงปีนั้นมีอยู่ปีหน่ึงที่ฉันคุยกับเพื่อนสองสามคนคนหนึ่งพูดว่า
“ฉันไม่เชื่อหรอก จะต้องพิสูจน์ด้วยการทิ้งเสื้อผ้าตัวเองไว้” ในตอนน้ันพวกเรามักจะทิ้งเส้ือผ้าไว้บน
ราวสักสองสามวันใหม้ นั แหง้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในหนา้ หนาว
282 ชวนพิศ อัตเนตร์
(ตัวอย่างท่ี 2 ต่อ)
ยังไงกต็ าม เดก็ ผหู้ ญิงคนนกี้ ็ทิง้ เสื้อผ้าไว้บนราวตลอดปีใหม่ อีกไม่กีเ่ ดอื นต่อมาพช่ี ายของ
เธอก็ตาย น่ีแหละที่ทาให้ฉันฝังใจมากเลย พอถึงวันสุกดิบก่อนวันข้ึนปีใหม่ฉันก็เที่ยวโทรหาญาติทุก
คนเตอื นไม่ใหท้ งิ้ ผา้ ไว้บนราว ทาอย่างน้อี ยตู่ ง้ั หลายปี"
รายการ:
ถ้าท่านทั้งเสอ้ื ผา้ ไว้บนราวในวนั สกุ ดบิ ก่อนวนั ขนึ้ ปีใหม่ จะมีคนในครอบครวั ตายในปีถดั มา
แมรี โซเรนสนั (Mary Sorenson)
234 Maple
Logan, Utah
Utah State University
เ นื่ อ ง จ า ก นั ก ค ติ ช น วิ ท ย า ปั จ จุ บั น ไ ด้ ใ ห้ ค ว า ม ส า คั ญ กั บ ท ฤ ษ ฎี ภ า ว ะ แ ว ด ล้ อ ม นิ ย ม
(contextualism) จึงมีการเสนอความคิดในการวิเคราะห์ไว้มากมาย ตัวอย่างเช่น ริชาร์ด บาวแมน
กล่าวว่า เราต้องมองข้อมูลคติชนอย่างมีภาวะแวดล้อมโดยให้องค์ประกอบของภาวะแวดล้อมไว้
3 ประการคอื
1. องค์ประกอบทางปจั เจกบุคคล
2. องคป์ ระกอบทางสังคม
3. องคป์ ระกอบทางวัฒนธรรม
องค์ประกอบเหล่าน้ีจะกาหนดรูปร่าง และความหมายให้คติชน และทาให้คติชนคงอยู่ได้
และถ้าจะออกเก็บข้อมูลตามวิธีการของการปฏิบัติงานสนาม จะสามารถเข้าสู่การศึกษาภาวะแวดล้อม
ได้ ดงั นี้
1. ภาวะแวดลอ้ มทางวัฒนธรรม (Cultural Context)
ก. ภาวะแวดล้อมทางความหมาย (Context of Meaning) คอื การตอบคาถามว่าคติ
ชนหมายถึงอะไร
ข. ภาวะแวดล้อมทางสถาบัน (Institutional Context) คือคติชนเข้าไปสอดคล้อง
เหมาะสมกบั วฒั นธรรมตรงสว่ นไหน
คติชนและภมู ิปญั ญาทอ้ งถน่ิ 283
ค. ภาวะแวดล้อมทางระบบการสื่อความหมาย (Context of Communicative
System) คือคตชิ นทเ่ี ราศึกษาเข้าไปเกย่ี วขอ้ งสมั พันธก์ บั คตชิ นประเภทอืน่ ๆ ได้อยา่ งไร
2. ภาวะแวดล้อมทางสงั คม (Social Context) ประกอบดว้ ย
ก. พืน้ ฐานทางสังคม (Social Base) คอื คตชิ นเรือ่ งนเี้ ป็นของชุมชนไหน
ข. ภาวะแวดล้อมทางปัจเจกบุคคล (individual context) คอื คตชิ นเขา้ ไปสอดคล้อง
เหมาะสมกับชีวิตของบคุ คลไดอ้ ย่างไร
ค. ภาวะแวดลอ้ มทางสถานการณ์ (Context of Situation) คือคตชิ นเรอ่ื งนี้นามาใช้
ประโยชน์ได้อยา่ งไรในสถานการณข์ องสงั คม
บาวแมนเสนอความคิดนี้ไว้ในบทความเร่ือง “The Field Study of Folklore in
Contest” ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารหลายฉบับ บทความท่ีผู้เขียนนามาแปล เรียบเรียง และ
ตัดข้อความบางส่วนท่ีไม่จาเป็นออกไป ตีพิมพ์ใน Handbook of American Folklore ซึ่งมี ริชาร์ด
เอ็ม. ดอรส์ ัน เป็นบรรณาธิการ บทความอยู่ในสว่ นท่ี 3 เรือ่ ง “ระเบียบวธิ วี จิ ยั ” ดงั น้ี
การศึกษางานสนามของคติชนในภาวะแวดลอ้ ม
นักวิชาการท้ังหลายได้ทาให้คติชนเป็นรูปธรรม มีตัวตน มองเห็นได้ มาเป็นเวลานานหลาย
ศตวรรษแล้ว และยังนาตัวเองเข้าไปเก่ียวข้องกับประวัตคิ วามเป็นมาของคติชนที่ยืนยงอยู่มาตลอดเวลา
อันยาวนานนี้ นอกจากน้ีคติชนยังเดินทางไปท่ัวโลก ฝังรกรากอยู่ในท้องถิ่นต่าง ๆ มากมาย หรือไป
รวมอยูใ่ นหนังสือ และหอเกบ็ เอกสาร ซงึ่ ถา้ มองจากแง่น้ีแลว้ คตชิ นน่าจะมีชีวิตของมันเองและข้นึ อยู่กับ
กระบวนการท่ีเปน็ เหนอื อนิ ทรีย์และไมใ่ ช่ลกั ษณะของมนุษย์ กับกฎข้อบังคบั เทา่ นนั้ เองผูค้ นจะมองว่าคติ
ชนมีลักษณะเป็นนามธรรมท่ีอยู่ในความทรงจา หรือการบันทึกเพลงเม่ือขับร้องบันทึกนิทานเม่ือมีการ
เลา่ บันทกึ คาสาปแช่งเมื่อมีการสาปแชง่ รูปแบบที่เปน็ การแสดงออกและเป็นสญั ลักษณ์ท่ีเราเรยี กว่าคติ
ชนนั้นแรกที่สุดคงอยู่ในการกระทาของผู้คนทั่วไปและฝังลึกลงไปในชีวิตทางสังคม และวัฒนธรรมของ
ผู้คนเหล่านั้น ต้นฉบับต่าง ๆ ท่ีเราเคยเห็น และสัมผัสว่าเป็นวัตถุดิบของคติชนน้ันเป็นการบันทึก
พฤติกรรมระดับลึกของมนุษย์เพียงเล็กน้อยเท่าน้ันเอง ถ้าหากเราต้องการที่จะเข้าใจว่าคติชนคืออะไร
เราจะต้องพิจารณาเหนือแนวความคิดที่ว่าคติชนเป็นส่ิงเหนืออินทรีย์ และมองในแง่ภาวะแวดล้อม
ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับปัจจัยทางด้านปัจเจกบุคคล ด้านสังคมและด้านวัฒนธรรม ซ่ึงจะกาหนดรูปร่าง
ลักษณะความหมายและการคงอยู่ของคติชน การกาหนดทิศทางใหม่น้ีทาให้เราต้องขยายขอบเขตของ
การปฏิบัติงานสนามของเรา การพจิ ารณาคดีชนในภาวะแวดล้อมทาให้โครงการปฏบิ ัติงานสนามด้านคติ
ชนวทิ ยาขยายตัวมากข้นึ และซับซ้อนกว่าแนวทางการรวบรวมข้อมูลท่ีเคยกระทากันมา คือการรวบรวม
ขอ้ มลู โบราณที่อยู่ผดิ ยุคสมยั ซึง่ มักยะผ่านเขา้ มาในงานสนาม
284 ชวนพศิ อตั เนตร์
ในการปฏิบัติงานสนามที่ถึงแม้ว่าจะสาคัญและมีความหมายมากก็ตาม เราก็ไม่จาเป็นต้อง
อ้างหลักฐานหรือเอกสารเก่ียวกับชีวิตทางสังคมหรือวัฒนธรรมทั้งหมด สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือการ
พยายามเสนอแนวความคิดเก่ียวกับคติชนในภาวะแวดล้อมอย่างมีเหตุผลและเข้าใจได้ และมีขอบเขต
กว้างพอท่ีจะกาหนดให้เป็นระบบของโครงการเฉพาะด้านและมีการเน้นอย่างใกล้ชิด ส่ิงที่ยังคงมี
ความสาคัญอยู่คือ แนวความคิดเบื้องต้นของคติชนในฐานะท่ีต้ังอยู่ในสายใยของความสัมพันธ์ภายใน
ซ่ึงเป็นกรอบแห่งการอ้างอิงท่ีจะมีความสัมพันธ์เฉพาะด้านและแบบแผนเฉพาะตามมา ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับ
ความสนใจของผศู้ ึกษาคน้ ควา้ และแหล่งทรัพยากรด้วย
ข้าพเจา้ จะเน้นในลักษณะต่าง ๆ ของภาวะแวดลอ้ มท่ีเขา้ ไปในงานสนามไดง้ า่ ย และรวดเรว็
แรกที่สุดจะเน้นในคติชนที่ใช้ถ้อยคาก่อน เราจะแบ่งความสัมพันธ์กว้างๆของภาวะแวดล้อมออกเป็น
ภาวะแวดล้อมทางวฒั นธรรม (Cultural Context) ซึ่งเก่ียวกับระบบของความหมาย และความสัมพันธ์
ภายในที่เป็นสัญลักษณ์ และภาวะแวดล้อมทางสังคม (Social Context) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระ
ด้านโครงสร้างทางสงั คม และการปฏสิ ัมพนั ธท์ างสังคม
ภาวะแวดลอ้ มทางวัฒนธรรม
ภาวะแวดล้อมทางความหมาย ลักษณะท่ีเป็นพื้นฐานมากที่สุดของภาวะแวดล้อมทาง
วัฒนธรรม ถ้ามองในแง่ของคติชนแล้วน่าจะมีศูนย์กลางอยู่ท่ีปัญหาในการทาความเข้าใจ หรือกล่าวอีก
นัยหนึ่งก็คือ เราจะต้องรู้ข้อมูลข่าวสารอะไรที่เก่ียวกับวัฒนธรรมและชุมชน เพื่อท่ีจะได้เข้าใจเน้ือหา
ความหมาย และ“จุดประสงค์” ของข้อมูลคติชนสักชิ้นหนึ่ง ดังที่ผู้คนเข้าใจมัน ความสาคัญของ
ความหมายท่ีกล่าวถึงในที่น้ีขยายตัวไปเหนือขอบเขตของวัฒนธรรมเอง ลักษณะใดของการดาเนินชีวิต
ของผู้คนท่ีแสดงให้เห็น ถ่ายทอด และเปลี่ยนแปลงอยใู่ นคติชนของพวกเขา ระบบความเชื่อและค่านิยม
แบบใดที่เป็นฐานอยู่ข้างใต้ความสัมพันธ์ของการพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน เหตุและผล การกระตุ้นและ
การเลอื ก แบบของการกระทา ความสัมพันธ์ทเ่ี ป็นสัญลักษณ์และการเปรียบเทียบ และความสาคัญด้าน
ความหมายและสัญลักษณ์อ่ืน ๆ ดังท่ีสิ่งเหล่าน้ีได้กาหนดลักษณะให้กับการแสดงออกค้านคติชน
การกาหนดลักษณะให้คตชิ นทาใหเ้ กิดความคาดหมายอะไรบ้างทเี่ กีย่ วกบั การผลติ และการตีความ
นักวิชาการที่ศึกษาคติชนจากสังคมภายนอก จะตระหนักได้ว่าเขาต้องการเข้าไปสู่สภาวะ
ของสิ่งแวดล้อมชนิดนี้ ซ่ึงในการค้นคว้าจากวัฒนธรรมที่เราคุ้นเคยในประเทศของเราเอง ดังท่ีนักคติชน
วิทยาท่ัว ๆ ไปมักจะกระทากันน้ัน มีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะสรุปว่าความหมายของคติชนเป็นสิ่งท่ี
เข้าถึงได้เพราะผู้คนเป็นผู้ท่ีเข้าถึงได้ แต่ท้ังคนธรรมดาและนักวิชาการก็จะรู้จักสังคมมากขึ้นว่าเป็น
องค์การของความเปลี่ยนแปลง เราควรจะตระหนักได้ว่าความหมายนั้นเป็นปัญหามากในทุกวัฒนธรรม
ตลอดจนวัฒนธรรมย่อยและชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมท่ีซับซ้อนและแตกต่างกันอ ย่าง
หลากหลายของเราเอง ดังน้ัน นักคติชนวิทยาที่ฝึกฝนมาแล้ว และเป็นสมาชิกของกลุ่มท่ีมีคติชนท่ีเขา
คตชิ นและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ 285
ศึกษาอยู่ สามารถที่จะเสนอผลงานที่มีค่าโดยการอธิบายความหมายทางวัฒนธรรมของข้อมูลที่เก็บมา
จากกลุม่ เหล่านี้ได้อย่างแจม่ แจง้
อเมริโก พารีดีส แนะว่า ความหมายส่วนมากจะถูกกาหนดเงื่อนไขโดยปัจจัยของ
สถานการณ์ (ดูภาวะแวดล้อมทางสถานการณ์ข้างลา่ ง) แตค่ วามเปล่ียนแปลงบางอย่างในการตีความนั้น
ฝังอยู่ในตัวแปรของความรู้ของมนุษย์ ตลอดจนความเข้าใจและประสบการณ์ของมนุษย์ด้วย ในที่นี้
ไม่ควรคิดว่าความหมายเป็นส่ิงที่เรารู้อยู่แล้ว ให้ปฏิบัติตัวเป็นนักรวบรวมข้อมูลและขอให้ผู้คนช่วย
อธิบายประเด็น และความหมายของคติชนของพวกเขา นักรวบรวมข้อมูลจะเปิดเผยความสาคัญที่
อาจจะซ่อนเร้นอยใู่ นประเพณปี รมั ปราที่เขาคนุ้ เคยได้
ภาวะแวดลอ้ มทางสถาบัน
ลกั ษณะของภาวะแวดลอ้ มทก่ี ว้างกว่าแต่กเ็ ก่ยี วข้องกัน และสามารถนามาใชใ้ นแง่ความคิด
ทางมานษุ ยวทิ ยาที่เกย่ี วกับสถาบัน และระบบทจ่ี ัดทางด้านบทบาทหน้าท่ีของกิจกรรมท่ีสาคญั ก่อให้เกิด
ส่วนประกอบที่เกี่ยวกับความนึกคิด พฤติกรรม และสังคม ของความสัมพันธ์ภายในสถาบันอาจจะ
ประกอบด้วยสว่ นกวา้ งๆ เช่น การเมือง ศาสนา เครอื ญาติ และเศรษฐกจิ หรือจากัดใหแ้ คบลง เชน่ ผูอ้ ยู่
ใกลเ้ คยี ง การแรกรับ การฉลอง หรอื การสรา้ งยุ่งขา้ ว
คุณค่าหลักของความคิดเกี่ยวกับสถาบันน้ันมีฐานะเท่ากับการวิเคราะห์ความคิดที่รวมตัว
กันโดยเน้นความสนใจไปท่ีว่า ลักษณะต่าง ๆ ของวัฒนธรรมมาลงรอยกันได้อย่างไร และอะไรสัมพันธ์
กับอะไร จากความคิดเหน็ ของนักคตชิ นวทิ ยาน้ันมีคาถามว่า คตชิ นชนิ้ ใดชิ้นหนึง่ หรอื ประเภทใดประเภท
หนึ่งมีความสัมพันธ์กับลักษณะอื่น ๆ ของชีวิตในวัฒนธรรมอย่างไร เพื่อทาให้เกิดองค์ประกอบของ
ความสัมพันธ์ภายในท่ีกว้างขึ้น มันเข้าไปสวมเหมาะเจาะอยู่ในส่วนไหนของวัฒนธรรมและมีบทบาท
หนา้ ท่ีอยา่ งไร
เรื่องของสถาบันนี้มีบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ กันหลายทาง เช่น เป็นวิถีทางของการยกระดับ
ภาพลักษณ์ ส่วนตัวของผู้เล่าในฐานะท่ีเป็นผู้ร่ารวยถ้อยคาและปัญญา ในฐานะที่เป็นความบันเทิงทาง
สังคม ในฐานะผู้นาในการปฏิบัติ ฯลฯ การสืบค้นภาวะแวดล้อมทางสถาบันของรูปแบบของคติชน
จะเปิดเผยให้เห็นบรเิ วณท่ีเป็นส่งิ แวดล้อมของการปฏิบัติภายในวัฒนธรรมในลกั ษณะกว้างๆวา่ คติชนพบ
ท่ีทางของมนั ในวัฒนธรรมแลว้
ภาวะแวดล้อมทางระบบการสอื่ ความหมาย
การศึกษาความสัมพันธ์ภายในวัฒนธรรมท่ีทาให้นักวิชาการสนใจมากข้ึน คือ การจัด
ขอบเขตของคติชนจากแง่ความเห็นของคนพื้นบ้านเอง ระบบของการจัดจาแนกประเภทของข้อมูลจะ
เป็นไปตามท่ีผู้คนจัดคตชิ นของเขา ดังนน้ั เราควรจะรู้ถึงการจัดลาดบั ของรูปแบบต่าง ๆ ท่ีแสดงออกท่ีทา
286 ชวนพิศ อัตเนตร์
ให้เกิดคลังความรู้ทางด้านคติชนข้ึนมาในวัฒนธรรม และกลุ่มของคาท่ีสาคัญ และมีความหมายของ
ท้องถิ่น และความแตกต่างของความหมาย ที่ผู้คนนามาใช้เพื่อแบ่งแยกคา หรือรวมกลุ่มคาเข้าด้วยกัน
ถ้าจะพูดให้กว้างไปกว่านี้ก็คือ รูปแบบของการสื่อสารที่ทาให้เกิดคติชนข้ึนในชุมชนมีความสัมพันธ์กับ
ระบบการสื่อสารทั้งหมดของวัฒนธรรมอย่างไร ระบบท่ีใหญ่กว่าของความสัมพันธ์ภายในที่แสดงออก
เหล่านี้ จะสร้างภาวะแวดล้อมให้กับรูปแบบที่ต่างไปแต่ละรูปแบบและให้ความหมายต่อรูปแบบนี้ใน
ลักษณะของความคาดหวังทางวัฒนธรรม และบรรทัดฐานสาหรับเนื้อหา รูปแบบ การใช้ และการ
ประเมินค่า
โรเจอร์ เอบระสัมส์ พฒั นาการจัดแบง่ ประเภทของวิธีการพูดบนท้องถนนของวฒั นธรรมคน
อเมริกันผิวดา ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การอวยพร การเล่าเรื่องตลก หรือเล่าเร่ืองอื่น ๆ การแบ่งประเภท
จะแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ภายในของรูปแบบของคติชนเหล่าน้ีท่ีมีต่อกันและกัน และที่มีต่อรูปแบบ
การใช้ถ้อยคาอ่ืน ๆ ตามสัดส่วนความสาคัญทางด้านวัฒนธรรม รวมท้ังสถานภาพของผู้ท่ีทาการ
ปฏิสมั พนั ธ์ น้าเสยี งของการปฏิสมั พนั ธ์ ลกั ษณะการแสดงลีลาของการพูดสนทนาท่อี อกมาตามธรรมชาติ
ลีลาของสุนทรียภาพในการพูด และคาถามก็คือรูปแบบเฉพาะของคติชนมีความสัมพันธ์อย่างไรกับ
รปู แบบอน่ื ๆ ของคตชิ น ภายในขอบเขตของวัฒนธรรม
ภาวะแวดล้อมทางสงั คม
พืน้ ฐานทางสังคม
แนวความคิดท่ีว่าคติชนเป็นการแสดงออกส่วนรวม หรือเป็นของบุคคลใดบุคคลหน่ึงเป็น
เรอ่ื งเบื้องต้นของความคิดทีเ่ กีย่ วกับคติชนมาเป็นเวลานานแล้ว และยังคงมีอทิ ธิพลอยา่ งมากตอ่ หลักการ
กฎเกณฑป์ จั จบุ ัน พื้นฐานทางสงั คมของคตชิ น-กลุ่มหรือความเปน็ ส่วนรวมในทท่ี ี่มนั เผยแพร่อยู่-แสดงให้
เหน็ ลกั ษณะทีส่ าคัญของภาวะแวดล้อมทางสังคมของมัน ดงั นน้ั จึงเราถามวา่ การแพร่หลายของข้อมูลคติ
ชนเฉพาะดา้ น เก่ียวขอ้ งกบั ลักษณะเดน่ ของเอกลักษณ์ทางสังคมดา้ นไหน
การอภิปรายของนักวิชาการที่เกี่ยวกับ “คนพื้นบ้านคือใคร” มีความสาคัญต่อจุดน้ีมาก
สาหรบั นกั คติชนวิทยาสมัยศตวรรษท่ี 19 จะใหค้ าตอบว่าชาวชนบท แต่นักคตชิ นวิทยาปจั จุบันจะขยาย
ความคิดเห็นของเขาในเรื่อง พ้ืนฐานทางสังคม ของคติชนออกไปเป็น “กลุ่มชนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ที่มี
องค์ประกอบร่วมกันอย่างน้อยหนึ่งประการ” การศึกษาคติชนของคนอเมริกันส่วนมากถึงแม้ว่าได้ทามา
และทาต่อโดยจากัดลงมาสู่หลักการของการจัดองค์การทางสังคมท่ีจากัดมากขึ้น เช่นท้องถิ่น, เชื้อชาติ,
อาชีพ และอายุ ครอบครัวเปรียบเสมือนพื้นฐานทางสังคมของคติชนในตอนแรกเริ่มท่ีได้รับความสนใจ
ขณะท่ีชมุ ชนแสดงออกซ่งึ บอ่ เกิดหรือส่วนสร้างของสังคม ซ่ึงภายในสว่ นสร้างน้ี มีการเรียนรู้ การใช้ และ
การถ่ายทอดคต-ิ ชน แตก่ จ็ ะถกู มองข้ามไปเสียเปน็ สว่ นมากภาวะแวดล้อมทางปจั เจกบุคคล
คตชิ นและภมู ปิ ัญญาท้องถิน่ 287
ถ้าคติชนเป็นการแสดงออกส่วนรวมของกลุ่มสังคม มันก็จะเป็นการแสดงออกส่วนบุคคล
ของปัจเจกบุคคลผู้ใช้คติชนด้วย ดังท่ีกลุ่มสังคม และชีวิตสังคมสร้างภาวะแวดล้อมที่ปัจเจกบุคคลไดค้ ติ
ชนมาและนามาใช้ ประวัติชีวิตของปัจเจกบุคคลคนหนึ่ง และโครงสร้างกับพัฒนาการของคลังความรู้
ของปัจเจกบุคคล แสดงให้เห็นถึงกรอบของภาวะแวดล้อมท่ีสาคัญในการท่ีจะเข้าใจคติชนในชีวิตมนุษย์
สาหรับรายการข้อมูลที่อยู่ในคลังข้อมูลของคนๆหน่ึงน้ัน เราอาจสืบค้นว่ามีการเรียนรู้เน้ือหาสาระได้
อย่างไรและเม่ือไร องค์ประกอบใดท่ีมีอิทธิพลต่อสถานภาพของข้อมูลในฐานะท่ีเป็นส่วนรุกและส่วนรับ
ของคลังข้อมูล ท้ังองค์ประกอบทางสงั คมคือบทบาทท่ีเหมาะสม และองคป์ ระกอบทางปจั เจกบคุ คล คอื
รสนิยมส่วนบุคคล รายการข้อมูลน้ันมีความสัมพันธ์กับคลังข้อมูลทั้งหมดอย่างไร องค์ประกอบแบบใด
และหลักเกณฑ์แบบใดท่ีช่วยจัดโครงสร้างให้กับคลังข้อมูลของปัจเจกบุคคล ในการรับรู้ประวัติชีวิตและ
การศึกษาคลังข้อมูลของวิทยากร ที่นักคติชนวิทยานามาตีพิมพ์หรือเข้าไปสัมผัส เราจะเร่ิมรู้สึกว่า
องค์ประกอบเหล่านี้เป็นสิ่งที่กาหนดรูปลักษณะของเส้นทางดาเนินชีวิตของผู้ปฏิบัติตติชนพื้นบ้าน และ
วิถีทางท่ีชีวิตของปัจเจกบุคคลแสดงให้เห็นกรอบความคิดทางภาวะแวดล้อมอย่างแจ่มแจ้งในการศึกษา
ขอ้ มลู คตชิ น
ภาวะแวดลอ้ มทางสถานการณ์
มิติใหม่ที่สุดของภาวะแวดล้อมท่ีจับความสนใจของนักคติชนวิทยาได้ แม้ว่ามาลินอฟสกี
จะพรรณนาถงึ อยา่ งย่อ ๆ มาแลว้ ร่วม 50 ปี คอื ภาวะแวดลอ้ มทางสถานการณ์ ซึง่ เป็นการศึกษาการใช้
คติชนในแง่ชาติพันธุ์วรรณนา ในการปฏิบัติชีวิตสังคมไปตามปกติ กรอบของการอ้างอิงเบื้องต้นและ
หน่วยของการพรรณนา และการวิเคราะห์ เป็นเหตุการณ์ทางด้านการสื่อความหมาย (คาว่าเหตุการณ์
[event] แสดงถึงการอธิบายทางด้านวัฒนธรรมในฐานะเป็นกรอบล้อมการไหลของพฤติกรรมและ
ประสบการณ์ และสร้างภาวะแวดล้อมท่ีมีความหมายเพื่อการปฏิบัติ) ส่วนการสุ่มตัวอย่างที่เป็น
เหตุการณ์ด้านคติชน ควรรวมถึงการรวมตัวกันทางสังคม เช่น การรวมตัวกันตามร้านค้าทั่วไป
การรวมกลุ่มสนทนากนั ของผูห้ ญงิ การรวมกลมุ่ ของครอบครวั การแสดงเพลง และแม้แต่การสนทนากัน
ทางโทรศัพทก์ ไ็ ด้
โครงสร้างของเหตกุ ารณ์ทางคติชน เป็นผลผลิตของการปฏิบัติต่อกันและกันของปัจจัยทาง
สถานการณ์จานวนมาก รวมทั้งฉากท่ีมองเห็นได้ ลักษณะและบทบาทของผู้เข้าร่วมในเหตุการณ์
กฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมสาหรับการแสดง บรรทัดฐานสาหรับการปฏิสัมพันธ์ และการตีความของการ
กระทา ทาให้ฉากท่ีเปน็ ของเหตกุ ารณก์ ลายเปน็ ฉากของวัฒนธรรม
วัฒนธรรมในทุกแง่มุมจะมีการจัดการท่ีเป็นแบบแผนและเป็นไปตามธรรมเนียมประเพณี
ให้กับเหตุการณ์ด้านคติชน ซ่ึงเป็นไปตามการพรรณนาค้านชาติพันธ์ุวรรณนาโดยท่ัวไป และ
ในขณะเดียวกันนั้น เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์จะมีลักษณะเฉพาะตัวและปรากฏออกมาทันที ซึ่งขึ้นอยู่กับ
288 ชวนพศิ อัตเนตร์
สถานการณ์แวดล้อมท่ีต่างกันในขณะท่ีปฏบิ ัติ ปัจจัยเหล่านจี้ ะเป็นเง่ือนไขของการเลอื กรายการข้อมลู ที่
จะแสดง ของวิธีการหรือยุทธวิธีท่ีจะนาข้อมูลมาใช้ ของการกาหนดลักษณะของต้นฉบับข้อมูลท่ีปรากฏ
และโครงสรา้ งของสถานการณ์เฉพาะตัว ซึง่ จะทาให้เกิดมิติของความหมายของรายการของข้อมลู คติชน
ที่นามาใช้ ซึ่งมิตินี้อยู่เหนือความหมายทางวัฒนธรรมโดยทั่วไป (ดูภาวะแวดล้อมทางความหมายท่ีกล่าว
มาแล้ว)
ภาวะแวดลอ้ มตามธรรมชาติ
นักคติชนวิทยาแสดงให้เห็นแรงกระตุ้นเพื่อมุ่งมั่นไปให้ถึงส่ิงที่เรียกว่าภาวะแวดล้อมตาม
ธรรมชาติของข้อมูลคติชนแบบใดแบบหนึ่ง แรงกระตุ้นโดยทั่วไปอยู่บนวิถีทางที่เป็นอุดมคติ ก่อนท่ี
นักคติชนวิทยาจะบุกรุกเข้าไปรบกวนคนพื้นบ้าน ไปถึงขอบเขตของประวัติศาสตร์ในวิถีทางที่ส่ิงต่าง ๆ
เคยเป็นอยู่ หรือขอบเขตทางด้านชาติพันธ์ุในวิถีทางท่ีสิ่งต่าง ๆ เป็นไปในชุมชน ตอนที่นักคติชนวิทยา
ไม่ได้เข้าไปสังเกตการณ์ การพยายามเสาะหาภาวะแวดล้อมตามธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่
แนวความคิดอาจจะกลบั กลายเป็นไม่ได้ผล ถ้าหากมีความคิดเห็นว่าการฉีกแนวออกไปจากธรรมชาติจะ
ทาใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็นธรรมชาติ เชน่ คดิ วา่ เพลงพ้นื บา้ นจะสญู เสียความเป็นอติชนไป ถ้าขับร้องกับกีตาร์
ไฟฟา้ เปน็ ต้น
บาวแมนสรุปว่า เราอาจใช้โครงร่างน้ีเป็นกรอบความคิดพ้ืนฐานทางภาวะแวดล้อม และ
เป็นการมองคติชนในแง่ที่เป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในชีวิตสังคม และวัฒนธรรมของมนุษย์ ซ่ึงเป็นการศึกษาคติ
ชนในฐานะวฒั นธรรม
หนงั สอื อีกเล่มหนง่ึ ท่ีเปน็ คมู่ ือที่ดีของนักปฏบิ ัติงานสนาม คือ A Guide for field Workers
in Folklore ของเคนเนธ โกลด์สตีนผู้ พิมพ์คือ The American Folklore Society หนังสือเล่มนี้เดิม
เป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก จึงมีความยาวจนไม่อาจกล่าวถึงรายละเอียดท้ังหมดได้ ผู้เขียนจึงสรุป แต่
สาระสาคัญให้มองเหน็ แนวทางการศกึ ษาของโกลด์สตนี ดังนี้
ในคานาและบทนาของหนังสือเล่มน้ีระบุว่าโกลด์สตีนเป็นผู้ท่ีมีประสบการณ์ในการ
ปฏิบัติงานสนาม และได้เขียนคู่มือน้ีขึ้นมาเป็นแนวทางเพ่ือกาหนดระเบียบวิธีสาหรับผู้ปฏิบัติงานสนาม
ในดา้ นคติชนวิทยา
โกลด์สตีนเป็นนักคติชนวทิ ยาท่ีฝกึ ฝนด้วยตนเองและค้นหาวิธีการที่จะรวบรวมข้อมูลอยา่ ง
ไดผ้ ล นอกจากน้ียังหาคาตอบให้กับปัญหาในการปฏิบัติงานด้วย เขาพัฒนาวิธีการศึกษาด้วยการค้นคว้า
เรื่องการปฏิบัติงานสนามทางด้านคติชนวิทยา มานุษยวิทยาวัฒนธรรม สังคมวิทยา จิตวิทยา และด้าน
สงั คม
สาหรับคติชนวิทยานั้น หากพูดถึงในด้านหลักการแล้ว มีระเบียบวิธีของตัวมันเองท่ีเป็น
ระบบอยู่เป็นจานวนน้อย แตจ่ ะมรี ะเบยี บวิธีของนักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมที่ใกล้ชดิ และเป็นท่ตี ้องการ
คติชนและภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ 289
ของผู้ปฏิบัติงานสนามทางคติชนวิทยามากท่ีสุด ดังน้ันเราจึงเรียกวิธีการศึกษาเหล่านี้ว่าเป็นของนักคติ
ชนวิทยาเชิงมานุษยวิทยา ซ่ึงสนองความต้องการทฤษฎีทางด้านมานุษยวิทยา และการแก้ไขปัญหาดว้ ย
วิธีการเหล่าน้ีส่วนใหญ่จะได้มาจากการศึกษาชาติพันธุ์วรรณนา ทั้งยังพัฒนาแนวทางวิเคราะห์ใหม่ ๆ
ขน้ึ มาเพอ่ื เปน็ ทฤษฎี และการแก้ไขปัญหาทางดา้ นคตชิ นวิทยา หนงั สอื เลม่ นเ้ี ป็นผลของความพยายามที่
จะสร้างกฎเกณฑ์และวิธีการตา่ ง ๆ สาหรับผู้ปฏิบัตงิ านสนามในด้านคตชิ นวิทยา
การท่จี ะเขา้ ไปสู่งานสนามได้น้นั ก็ต้องเรมิ่ ต้นดว้ ยข้อมลู คติชน ขอ้ มลู เหล่าน้อี าจจะมาจากท่ี
ตา่ ง ๆ แตส่ าหรับในที่น้แี ล้ว บุคคลทส่ี าคญั ทส่ี ดุ กค็ อื ผทู้ ่ีรวบรวมขอ้ มูลน่ันเอง ซ่ึงเขาอาจจะเปน็ นักคติชน
วิทยาอาชีพหรอื สมคั รเล่นกไ็ ด้
การรวบรวมข้อมูลก็คือการเสาะหาข้อมูลท่ีเช่ือถือได้ให้ได้จานวนมากท่ีสุดเท่าที่จะทาได้
เพื่อให้ผู้ใช้ข้อมูลซ่ึงมีอยู่เป็นจานวนมากได้ใช้ ผู้ใช้เหล่านี้ก็คือ นักคติชนวิทยาเปรียบเทียบ นักคติชน
วทิ ยาเชงิ มานษุ ยวทิ ยา นกั คตชิ นวิทยาเชงิ วรรณกรรม เปน็ ต้น
ในช่วงเวลานั้นไม่มีตาราหรือคู่มอื ท่ีจะช้ีแนะผู้รวบรวม หรือแนะนาให้นักศึกษาคติชนวิทยา
รู้จักวิธีการในการรวบรวมข้อมูล คู่มือที่มีอยู่ท่ัวไปก็จะมีแต่ข้อมูลคติชน แต่ไม่มีหลักเกณฑ์ท่ีกว้างและ
ครอบคลุมวิธีการที่ละเอียดเพียงพอ โกลด์สตีนจึงมุ่งความสนใจไปท่ีนักมานุษยวิทยาวัฒนธรรม เพื่อ
ค้นหาวิธีการที่เป็นพื้นฐาน และเป็นหลักเกณฑ์ที่เช่ือถือได้ สาหรับผู้ปฏิบัติงานสนามท่ีเป็นนักคติชน
วทิ ยา
ผู้ท่ีออกปฏิบัติการรวบรวมข้อมูลในวงการวิชาการของอเมริกา ในช่วงระยะน้ันอาศัยสาขา
วิชชาติพันธ์ุวรรณนาเป็นแนวทางเข้าไปสู่งานสนาม ซ่ึงถือกันว่าเป็นวิธีการที่ดีท่ีสุด นักวิชาการด้านนี้
มักจะเป็นนักคติชนวิทยาเชิงมานุษยวิทยา และนักมานุษยวิทยาเชิงคติชนวิทยา แต่โกลด์สตีนแนะว่า
เราไม่จาเป็นต้องดาเนินตามทฤษฎีทางมานุษยวิทยาท้ังหมด แม้เราจะยอมรับในคุณค่าของวิธีการทาง
มานุษยวิทยาก็ตาม ขณะน้ีเรากาลังเกี่ยวข้องกับประเพณีปรัมปราของคติชน ตัวข้อมูลและกระบวนการ
และเราสามารถใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นมาตรฐานในการเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับสิ่ง
เหล่านี้ไว้
โกลด์สตนี ไดร้ ะบถุ งึ ข้อจากัดและเงื่อนไขในการใชว้ ธิ ีการทีเ่ ขาเสนอไว้ในหนังสือเลม่ น้ีซ่ึงเขา
ไดม้ าจากธรรมชาตขิ องงานสนามด้านคติชนวิทยา ดังนี้
Guide ของโกลด์สตีนไม่สามารถทาให้นักคติชนวิทยากลายเป็นนักรวบรวมได้ ระเบียบวิธี
ในหนังสอื เลม่ นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องทต่ี ้องรู้ ในการทีจ่ ะรวบรวมขอ้ มูลใหส้ าเรจ็
ปัจเจกบุคคลท่ีจะเป็นผูร้ วบรวมข้อมูล จะต้องมีความโน้มเอียง มีอารมณ์ หรือมีบุคลิกภาพ
ท่ีจะทาการรวบรวมข้อมูล มิฉะนั้นก็จะไม่ประสบความสาเร็จในการเก็บข้อมูลทั้งๆที่ใช้ระเบียบวิธีและ
วิธกี ารตา่ ง ๆ ตามท่ีเสนอไว้
290 ชวนพศิ อัตเนตร์
ผู้ที่จะใช้ Guide นี้ควรมีความรู้พอในเร่ืองสาระสาคัญของคติชน (คือความรู้ในเรื่อง
ประเภทของคติชนและทฤษฎเี บ้อื งตน้ ) และควรจะรู้ภาษาทีว่ ิทยากรใช้ด้วย
Guide มีพ้ืนฐานอยู่ท่ีประสบการณ์การรวบรวมข้อมูลและการทดลองที่ปฏิบัติกันในชุมชน
“พื้นบ้าน” คอื แถบชนบท กลมุ่ เกษตรกร ชุมชนที่ไมใ่ ช่ชุมชนอุตสาหกรรม ซึ่งนักคติชนวิทยานิยมทาการ
เก็บข้อมูลกันมาก ดังน้ัน Guide อาจจะไม่ประสบผลสาเร็จถ้านาไปใช้ในชุมชนที่ไม่ใช่พ้ืนบ้าน ป่าเถื่อน
ไม่มตี ัวหนังสือใช้ ซง่ึ พ้ืนทเี่ หล่าน้ีควรจะใหน้ กั มานษุ ยวิทยาวฒั นธรรมเป็นผ้ศู ึกษา
Guide ของโกลดส์ ตีนแบง่ เนอ้ื หาออกเป็น 9 บท ดังนี้
1. บทนา
2. สภาพของปัญหาและการวเิ คราะห์ประกอบดว้ ย
1) การสอบถามอย่างมหี ลักเกณฑ์
2) สภาพของปญั หา ศึกการตงั้ ปญั หาขนึ้ มาเพ่อื แกไ้ ข
3) การวิเคราะห์ปัญหา คือการกาหนดข้อมูลท่ีเก่ียวข้องและวิธีการที่เหมาะสมท่ีจะ
ไดข้ ้อมลู มา
4) ประเภทของข้อมูลคติชน คือข้อมูลของคติชน กระบวนการของคติชน และ
ความคิดของคตชิ น
5) ประเภทของปัญหาในงานสนามทางคติชน
6) ประเภทของโครงการรวบรวมข้อมูล
3. การพจิ ารณาเรือ่ งเวลาคือปัจจยั เก่ยี วกับเวลาทม่ี ีลักษณะดงั น้ี
1) ปจั จัยทป่ี ัญหาเป็นผ้กู าหนด
2) ปจั จัยทเ่ี กีย่ วข้องกับบุคลกิ ภาพ ความสามารถ และประสบการณข์ องผรู้ วบรวม
3) ปัจจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกับสถานการณ์ปกตใิ นงานสนาม
4) การพิจารณาเรื่องเวลาดา้ นอนื่ ๆ
4. การเตรยี มตวั กอ่ นเขา้ สู่งานสนาม ประกอบดว้ ย
1) วรรณกรรมทใี่ ช้ประโยชน์ได้
2) การพบปะกับผู้รวบรวมอืน่ ๆ
3) การพบปะกับบคุ คลระดับผนู้ าในทอ้ งถิน่
4) การบนั ทึกเสยี งและภาพทีย่ ังคงหลงเหลืออยใู่ นท้องถ่ิน
5) เครื่องมอื และอุปกรณ์
6) คลังความร้เู ร่อื งคติชนของผรู้ วบรวม
คติชนและภูมปิ ัญญาท้องถิ่น 291
5. การสร้างความสัมพันธ์ทดี่ ีประกอบด้วย
1) การหาท่อี ยูใ่ นท้องถน่ิ
2) การขนสง่ ในท้องถ่นิ
3) การสร้างบทบาท
4) จริยธรรมของการสรา้ งบทบาท
5) การสร้างสัมพันธไมตรเี บอ้ื งต้น
6) การรกั ษาสัมพันธไมตรี
7) ขอ้ จากดั และความลาบากในการมีสว่ นร่วม
6. การสังเกตวิธีการรวบรวมขอ้ มูลประกอบด้วย
1) ผู้สงั เกตการณท์ ีม่ สี ่วนร่วม
2) ประเภทของภาวะแวดลอ้ ม
3) ภาวะแวดลอ้ มตามธรรมชาติทชี่ ักจูงใจ
4) สงิ่ ท่ีจะสังเกต
5) การบนั ทึกการสงั เกตอยา่ งไรและเมื่อไร
6) อปุ กรณใ์ นฐานะเครอ่ื งมือการสังเกต
7. วิธกี ารรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยการสมั ภาษณ์ประกอบดว้ ย
1) ประเภทของขอ้ มูลทส่ี ัมภาษณ์
2) วิธีการสมั ภาษณ์
3) การตรวจสอบข้อมลู การสัมภาษณ์
4) ภาวะแวดล้อมทางสังคมของสถานการณ์การสัมภาษณ์
5) ลักษณะพิเศษทางชาติพนั ธ์ุ
6) ความยาวของการสัมภาษณ์
7) การบันทึกขอ้ มูลที่สมั ภาษณ์
8) การบันทกึ สถานการณ์แวดล้อมของการสมั ภาษณ์
9) ประวัตชิ วี ิตส่วนบคุ คล
10) การรวบรวมข้อมลู คติชน
11) ประวตั ิของข้อมลู คตชิ น
12) การถา่ ยทอดการบันทกึ เสยี งเป็นลายลักษณอ์ ักษร
13) ความปลอดภยั ของบนั ทกึ ข้อมูลและการบันทึกเสียง
292 ชวนพศิ อตั เนตร์
8. วิธกี ารออกงานสนามเพ่มิ เติมประกอบดว้ ย
1) สอื่ มวลชน
2) การรวบรวมขอ้ มูลจากเดก็
3) แบบสอบถาม
4) การคน้ หารายการ
9. การกระตุ้นและการตอบแทนวิทยากรประกอบด้วย
1) การรวบรวมขอ้ มลู ชั่วคราว
2) ความพึงพอใจด้านจิตวทิ ยา
3) การชกั จูงใจ
ในบทท้ายของ Guide โกลด์สตนี ระบวุ ่า Guide ของเขาควรจะใช้กับประเพณปี รัมปราของ
ชาวอเมริกันและชาวยุโรปตะวันตก แต่ในเม่ืองานชิ้นน้ีก็มีส่วนท่ีเป็นวิธีการศึกษาของนักชาติพันธุ์
วรรณนา และนกั ปฏิบตั งิ านสนามในสาขาวิชาอืน่ ๆ ในส่วนต่าง ๆ ทั่วโลก ดังนั้นกค็ วรจะนาไปใชก้ ับชาติ
และชนชาตอิ นื่ ๆ ได้ด้วย
ข้อแนะนาอีกประการหนึ่งก็คือ ผู้รวบรวมข้อมูลจะพบว่าในบางชุมชนนั้นเต็มไปด้วยข้อมูล
เปรยี บเสมือนการขดุ ทองเพียงเล็กน้อย แตจ่ ะไดท้ องจานวนมากมาย แต่การเกบ็ ข้อมูลนนั้ เหมือนกับการ
เก็บจากพ้ืนผิว ผู้รวบรวมข้อมูลจะต้องค้นหาตัวมนุษย์ท่ีอยู่เบื้องหลังข้อมูลนั้นด้วย เพื่อความเข้าใจใน
วธิ ีการสร้างสรรค์ข้อมูลอย่างแท้จรงิ
9.9 สรุปวธิ ีการปฏิบตั งิ านสนาม
การปฏิบตั ิงานสนามเป็นงานท่ีไม่ง่าย และมีวิธีการทล่ี ะเอียดซับซ้อนพอสมควร เนื่องจากมี
รายละเอยี ดอยมู่ าก จึงอาจสรุปข้อเสนอแนะในการรวบรวมขอ้ มูลและการรายงาน ดังนี้
1. การพรรณนาประเภทของคติชนท่เี ราต้องการรวบรวม
2. การพรรณนากลมุ่ ชนทเี่ ราตอ้ งการศึกษา
3. การตั้งสมมติฐานตงั้ คาถามหรือเขียนโครงร่างของการสารวจ
4. การตัง้ คาถามวทิ ยากร
5. การพรรณนาวิธีการปฏิบตั ิงานสนามท่ีเราตั้งใจจะทา
6. การรายงานผลควรมหี นงั สอื อ้างอิงประกอบด้วย
คตชิ นและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ 293
9.10 บทสรปุ
9.11 คำถำมทบทวน
9.12 เอกสำรอำ้ งอิง
William A. Wilson, " Documenting Folklore. " in Folk Groups and Folklore Genres : An
Introduction, ed. Elliott Oring. (Logan, Utah: Utah State University Press, 1986).
p. 228-235.
พจนานกุ รมศพั ทส์ ังคมวิทยาอังกฤษ-ไทยฉบับราชบัณฑติ ยสถาน, หนา้ 151.
Barre Toelken, The Dynamics of Folklore. (Boston: Houghton Mifflin Company, 1979).
p. 292.
Carl Lindahl, J. Sanford Rikoon, and Elaine J. Lawless. A Basic Guide to Fieldwork for
Beginning Folklore Students, Folklore Monograph Series, Volume 7 ,
Folklore Publication Group. (Bloomington: Indiana University Press, 1979).
pp. 60-69.
William A. Wilson. "Documenting Folklore" pp. 244-248.
Richard Bauman, " The Field Study of Folklore in Context" in Handbook of American
Folklore, ed. Richard M. Dorson (Bloomington: Indiana University Press. 1983),
pp. 362-368.
Kenneth S. Goldstein, A Guide for Field Workers in Folklore. ( Hatboro, Pennsylvania:
Folklore Associates, Inc., 1964).
บทท่ี 10
ภมู ิปญั ญาท้องถิ่นกับการจัดการความรู้
นับตั้งแต่โลกตะวันตกต้นพบชุดความรู้วิทยาศาสตร์ และขยายพรมแดนความรู้ดังกล่าวจน
เป็นลักษณะความรู้ชุดเดียวในการอธิบายว่าอะไรถูก อะไรที่เป็นจริง และไม่เป็นจริง อะไรควร และ
ไมค่ วร โลกยุคใหม่ (Modernity) ซ่งึ เป็นยคุ ของการอาศยั ฐานความรู้วทิ ยาศาสตร์ในการผลักดนั โลกก้าว
ไปข้างหน้ามาโดยตลอด วิทยาศาสตร์มีข้อดีในด้านความแม่นยาสูง แต่วิทยาศาสตร์เป็นความรู้ท่ีไม่
สมบูรณ์ โดยธรรมชาติของวิทยาศาสตรเ์ องท่ีจากัดอยู่กับการศึกษาสิ่งท่ีวัดได้แม่นยา หากแต่ในโลกของ
ความเป็นจริงประกอบด้วยส่วนท่ีวัดส่วนท่ีวัดได้แม่นยาคือวัตถุธรรมกับส่วนที่วัดไม่ได้หรือไม่ได้แม่นยา
คือนามธรรมคือจิตใจ ฉะน้ันถ้าเอาวิทยาศาสตรเ์ ป็นฐาน ก็จะจากัดการรับรู้เฉพาะวัตถุ ขาดส่วนที่ลึกซึ้ง
คอื จิตใจ ขาดการเช่ือมโยงทางนามธรรมไปสสู่ ่งิ ทีล่ กึ ซึ้งสงู ส่ง (ประเวศ วะสี. 2536)
จากเหตุดังกล่าวข้างต้น จึงทาให้โลกยุคปัจจบุ ันมีปรากฏการณ์มากมายที่สะท้อนให้เห็นถึง
ความล้มเหลวของการพัฒนาทีเ่ กิดข้ึน ถึงแมว้ า่ จะสามารถพัฒนาโลกทางวัตถุให้เจริญก้าวหน้าอย่างมาก
ทาให้มนุษย์มีความสะดวกสบายมากข้ึน แต่บนความเจริญดังกล่าวมนุษย์ได้ทาลายสิ่งต่าง ๆ ไปอย่าง
มากมายเช่นเดียวกันอันเป็นผลให้โลกต้องเผชญิ กับปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม ระบบนิเวศและความหลากหลาย
ทางชวี ภาพถูกทาลายอย่างมหาศาล (เลิศชาย ศิริชัย 2546)
จากปัญหาดังกล่าวท่เี กิดข้ึนได้รบั การวิพากษ์วิจารณ์มากและนาไปสู่การตรวจสอบ ความรู้
ระบบเดียวอย่างขนานใหญ่ จนเกิดเป็นสิ่งท่ีเรียกว่า “ยุคของการเปล่ียนกระบวนทัศน์” (Paradigms
Shift) แท้จริงแล้วก่อนเกิดชุดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มนุษย์มีความรู้ชุดอื่น ๆ อยู่อีกมากมาย พอชุด
ความรูว้ ิทยาศาสตรเ์ ข้ามาก็เบยี ดขับหรือบดบังความรู้เหลา่ น้ันไปหมด ดงั นัน้ เราต้องเร่ิมต้นดว้ ยการปรับ
แนวคิดว่าชุดความรู้ที่อาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์น้ันเป็นเพียงความรู้ระบบหนึ่งเท่า น้ันยังมีความรู้
ระบบอื่น ๆ ท่ีสามารถใช้อธบิ ายเร่ืองเดียวกนั ได้เช่นระบบการแพทยพ์ ื้นบ้านระบบการจัดการทรพั ยากร
ระบบการศึกษา ระบบการผลิต และระบบอ่ืน ๆ อีกมากมายเพราะ ฉะนั้นในยุคใหม่ ซ่ึงเป็นยุคของการ
ต้งั อยบู่ นพืน้ ฐานท่ีต้องยอมรบั ความร้ทู ่ีหลากหลายระบบความรหู้ ลากหลายดังกล่าวถงึ แม้จะถูกเบียดขับ
หรือบดบังจากระบบความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาตลอดเวลาและมีพื้นท่ีของตนเองจากัด แต่ว่าก็ไม่ได้
สูญเสียเลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะการพัฒนาระบบใหม่ไม่ได้ลงไปในชุมชนท้องถ่ินหรือชนบทอย่างท่ัวถึง ใน
ขณะเดียวกันคนในชนบทเองก็พยายามที่จะรักษาความม่ันคงของตนบางอย่างไว้โดยใช้ภูมิปัญญา
ท้องถิ่นหรือภูมิปัญญาชาวบ้านที่สบื ทอดมา แต่เดิม ดังน้ันชุมชนท้องถิ่นหรือหมู่บ้านในชนบทจึงยังพอมี
ภมู ปิ ัญญาท้องถ่ินอนั เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมอยู่ (เลิศชาย ศิริชยั , 2546)
คติชนและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ 295
ซ่ึงวัฒนธรรมเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมมาจากการปฏิบัติจริงและถ่ายทอดกันมาเป็นเวลาค้นพบลองใช้คัด
แปลงและถ่ายทอดกันมาเป็นเวลาช้า นานจึงมีค่ายิ่งนักช้านานเป็นความรู้ท่ีเกิดจากการทดลองปฏิบัติ
จริงในห้องทดลองทางสังคม ความร้เู หลา่ นี้ถกู
10.1 กรอบความคดิ เกี่ยวกับภูมิปญั ญาท้องถ่นิ
ในการศึกษาเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถ่ินและกระบวนการเรียนรู้ของชาวบ้าน ควรมีกรอบ
ความคิดเพ่ือใช้เป็นหลักนาร่องความคิดและเป็นเครื่องกาหนดเส้นทางการศึกษาและเรียนรู้ (เอกวิทย์
ณ ถลาง, 2540) ดงั นีค้ อื
1. ไม่ว่าชนกลุ่มใด เมื่อได้ตั้งหลักแหล่งในการทามาหากินอย่างต่อเน่ืองในสภาพแวดล้อม
ใด เป็นเวลานานหลายชั่วคน ย่อมเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติแวดล้อมแห่งพ้ืนภูมินั้น แล้วปรับตัวและ
สร้างสรรค์วัฒนธรรมท่ีเหมาะสมกับการดารงชีพในสภาพแวดล้อมน้ัน ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้
ประสบการณ์ โลกทศั น์ ชวี ทัศน์ ความเช่อื พธิ ีกรรม และวถิ ชี ีวติ อันสบื เน่ืองจากการปรบั ตัวที่ได้มีการส่ัง
สม สืบสาน และปรับเปล่ียนต่อเน่ืองกันมาในกลุ่มชนรุ่นต่อ ๆ มารวมถึงการแลกเปลี่ยนวัตเปล่ียน
วัฒนธรรมกับคนในวัฒนธรรมอ่ืนที่ได้ไปมาหาสู่กันตลอดมาจึงรวมเรียกประสบการณ์นี้ว่าภูมิปัญ ญา
ส่ังสม
2. โดยเหตุท่ีสังคมทั้งหลายในโลกมีความแตกต่างกันทางสภาพแวดล้อม สังคมและ
วัฒนธรรมในพ้ืนฐานสั่งสมภูมิปัญญาใหม่ที่รับเข้ามา มิอาจแทนท่ีภูมิปัญญาส่ังสมหรือภูมิปัญญาดั้งเดิม
ได้ท้ังหมด ภูมิปัญญาด้ังเดิมที่ได้รับการเลือกสรร ทดสอบ หรือดัดแปลงตามเหตุปัจจัย และพลวัตทาง
วัฒนธรรมแห่งกลุ่มชนน้ัน จึงยังเป็นเหตุจาเป็นและเหมาะสมกับกลุ่มชนท่ีมีวิถีชีวิต และประสบการณ์
พืน้ ฐานแตกตา่ งกัน
3. โดยธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ไม่ว่าในสังคมใดจะไม่เปล่ียนแปลง
โดยสิ้นเชิงอย่างขุดรากถอนโคน หากต้องมีการปรับเปลี่ยนบนพ้ืนฐานรากเหง้าของวัฒนธรรมส่ังสม
เพราะคนในทุกสังคมย่อมมีความเคยชินกับสิ่งเดิม ๆ เป็นฐาน ภูมิปัญญาใหม่จึงย่อมได้รับการทดสอบ
ปรับเปลี่ยนคัดแปลงใหส้ อดคลอ้ งกับความจาเป็นใหม่ โดยมีภูมปิ ญั ญาสงั่ สมเป็นพ้นื ฐานรองรับ
4. ในธรรมชาติของวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มชนย่อมมีความหลากหลายตาม
สภาพแวดล้อมธรรมชาติ และลักษณะสังคมที่แตกต่างกัน ความหลากหลายทางวัฒนธรรมจึงเป็นความ
มั่นคงทางปัญญาที่จะเป็นพลังในการรับ ปรับเปลี่ยน และพัฒนาสังคมให้สมดุล สอดคล้องกับธรรมชาติ
แวดล้อม วัฒนธรรม และประสบการณ์สั่งสมของกลุ่มชนน้ัน ๆ ความพยายามใดท่ีจะทาลายความ
หลากหลายเปน็ การบ่ันทอนพลังตามธรรมชาติ และก่อใหเ้ กดิ วกิ ฤตการณ์ได้
5. ในสังคมสมัยใหม่เราจะคุ้นเคยกับกระบวนการเรียนรู้ท่ีเป็นระเบียบแบบแผนใน
สถาบนั การศกึ ษา เพอ่ื การถ่ายทอดและพฒั นาภูมิปญั ญา ซึ่งเราสามารถเรยี นรู้ได้มากในเวลาจากัดก็จริง
296 ชวนพศิ อตั เนตร์
หากแต่ในช่วงชีวิตของคน ๆ หน่ึงการเรียนรู้นอกช้ันเรียน การเรียนรู้จากข้อเท็จจริงในชีวิตประจาวัน
ตามธรรมชาติย่อมมีอยู่ตลอดเวลาคงเป็นสัดส่วนการเรียนที่มากท่ีสุด การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาในอดีตก็
เกิดจากการเรียนรู้โดยธรรมชาติ และประสบการณ์ในชีวิตจริงเป็นพ้ืนฐานตลอดมา และยังคงจะดาเนิน
ต่อไปในสังคมอุตสาหกรรมและข้อมูลข่าวสารที่มีการปฏิวัติวิธีการเก่ียวกับการจัดการข้อมูล ข่าวสาร
และองคค์ วามรู้อยา่ งรวดเร็ว และกวา้ งขวาง การเรียนรนู้ อกช้นั เรียน เรยี นรดู้ ว้ ยตนเองตามธรรมชาติจะ
ทวคี วามสาคัญย่งิ ขน้ึ ไปอีก
จากศึกษากรอบความคิดเก่ียวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถสรุปได้ว่า กลุ่มชนหรือชุมชน
ทอ้ งถ่ินใด ๆ ย่อมมคี วามแตกตา่ งกนั ตามสภาพแวดลอ้ มธรรมชาติ สังคม และวัฒนธรรมมกี ารเรียนรดู้ ว้ ย
ตนเองโดยธรรมชาติ และประสบการณ์ในชีวิตจรงิ ทาให้มภี ูมปิ ญั ญาส่ังสมท่ีแตกต่างกนั เมื่อมีภูมิปัญญา
ใหม่ ย่อมได้รับการทดสอบ ปรับเปล่ียน คัดแปลง ให้สอดคล้องกับความจาเป็นใหม่ โดยมีภูมิปัญญา
สง่ั สมเป็นพืน้ ฐานรองรบั
10.2 ปจั จัยพื้นฐานการกอ่ เกดิ ภมู ิปัญญาท้องถน่ิ
ภูมิปัญญาของมนุษย์เกิดจากการที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
ทางธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด และการดารงเผ่าพันธุ์ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ต้องสร้าง และปรับระบบ
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันตลอดเวลาเพราะมนุษย์เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในธรรมชาติ มนุษย์ถึง
จะเก่งอย่างไรใช่ว่าจะรู้หรือสามารถควบคุมทุกส่ิงทุกอย่างไว้ใต้อานาจได้มนุษย์จึงสร้างความเชื่อและ
ระบบความสัมพันธ์กับ "ส่งิ เหนอื ธรรมชาติ” ขนึ้ ตามความร้คู วามเข้าใจและจนิ ตนาการ ของเผา่ พนั ธ์ุเพื่อ
อย่างน้อยก็ทาให้เกิดดุลยภาพ เกดิ ความม่ันคงทางใจ ความราบรนื่ ในการดารงชีวิต ท้งั นเ้ี พราะมนุษย์ใช้
ปัญญาแก้ปัญหา ส่ังสม สืบสาน และปรับเปลี่ยนประสบการณ์อย่างไม่หยุดย้ัง และส่ิงน้ีเองคือ
“ภูมิปัญญา” อันเป็นแก่นของวัฒนธรรม (เอกวิทย์ ณ ถลาง, 2542) ซึ่งปัจจัยการก่อเกิดภูมิปัญญา
ท้องถิน่ นัน้ มีปจั จัยพื้นฐานคอื
1. ลักษณะภูมิศาสตร์และส่ิงแวดล้อมธรรมชาตขิ องภูมภิ าคต่าง ๆ กลุ่มชนท่ีตั้งถ่ินฐานอยู่
ในอาณาบริเวณท่ีมีสภาพภูมิศาสตร์ และสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติแตกต่างกัน ย่อมสร้างสม
“ภูมิปัญญา” และพัฒนาระบบความสัมพันธ์กับธรรมชาติแวดล้อมในลักษณะแตกต่างหลากหลาย
เช่นเดียวกับลักษณะภูมิศาสตร์และส่ิงแวดล้อมธรรมชาติของภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยอันเป็น
ปัจจัยพื้นฐานของการก่อเกิดภูมิปัญญาท้องถ่ิน อาณาบริเวณที่ประเทศไทยในปัจจุบันถ้าจะพิจารณาใน
ด้านความแตกต่างหลากหลายของสภาพดินฟ้าอากาศ และพื้นฐานทางภูมิศาสตร์แล้ว ประเทศไทย
นับเป็นประเทศที่มีความแตกต่างหลากหลายมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชียอาคเนย์ดังจะเห็นได้เป็น
ภาพรวมในเชงิ เปรยี บเทยี บกวา้ ง ๆ (เอกวิทย์ ณ ถลาง, 2542) ดงั น้คี อื
คตชิ นและภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ 297
1.1 ภาคเหนือ มีพื้นท่ีเกือบท้ังหมดเป็นเทือกเขาที่ราบใหญ่น้อย ระหว่างเขามีแม่น้า
ไหลผ่านทาให้มนุษย์สามารถตั้งถ่ินฐานบ้านเมืองได้ จึงทาให้ผู้คนอยู่กับภูเขาและสายน้ามานานมีการ
สร้างจารีตประเพณีในการใช้น้าแจกอยาตาจึงเรียนรู้และมีภูมิปัญญาสร้างระบบชลประทานเหมาะกับ
สภาพภมู ปิ ระเทศท่ีเรยี กว่า เหมอื งฝา่ ยมีการร่วมแรงรว่ มใจกันทาพิทักษร์ ักษา และบารุงซ่อมแซมเหมือง
ฝายที่เป็นสมบัติส่วนรวม มีคณะบุคคลจัดต้ังกันขึ้นดูแลการจ่ายแจกน้ากันให้ทั่วถึง มีการสร้างจารีต
ประเพณีในการใช้น้า ปันน้า และบทลงโทษสาหรับผู้ละเมิดกฎ ภูมิปัญญาในการใช้น้าร่วมกันนี้มีมาแต่
ครั้งโบราณ เมอื่ จดั การทรัพยากรน้าไดแ้ ล้ว ก็จะรว่ มกันจดั การเร่ืองทดี่ ินทากิน รวมไปถึงป่าท่ีเป็นสมบัติ
ร่วมกันของชุมชน ป่าในภาคเหนือเป็นส่ิงแวดล้อมธรรมชาติท่ีมีความสาคัญมากต่อชีวิตคนในภาคเหนือ
เพราะ นอกจาก“ ของป่า” นานาชนิดอันมีคุณค่าทางอาหาร ยารักษาโรค อาคารบ้านเรือน และส่ิงของ
เครื่องใช้ในชีวิตประจาวัน ป่าเมืองเหนือยังเป็นท่ีอยู่ของช้าง และเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ป่าไม้ทาง
เศรษฐกิจหลายชนิด ภูมิปัญญาของภาคเหนืออันหมายถึงความรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับชา้ ง เก่ียวกับป่า
และศิลปหัตถกรรม สถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับไม้ โดยเฉพาะไม้สักมีความสาคัญต่อการรังสรรค์
ศิลปวฒั นธรรมล้านนามาเป็นเวลานานหลายศตวรรษ ย่งิ เมอื่ มีการแลกเปล่ยี นสงั สรรค์ทางวัฒนธรรมกับ
คนในวัฒนธรรมอื่น ได้แก่ พม่า มอญ กะเหรี่ยง ละว้า ไทยใหญ่ และลาวล้านช้าง ซ่ึงล้วนแต่มีพื้นฐาน
รายล้อมภาคเหนือมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ภูมิปัญญาท่ีแสดงออกในทางศิลปะ สถาปัตยกรรม และ
หัตถศิลป์ต่าง ๆ ตลอดจนศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติแวดล้อมจึงเข้ามาอยู่ใน
สาระสาคัญของอารยธรรมลา้ นนา อันสบื สานมาตราบจนปัจจบุ ัน
1.2 ภาคกลาง อาณาบริเวณภาคกลางเป็นท่ีราบลุ่มน้าอันกว้างใหญ่ ลักษณะท่ัวไป
ตอนกลางลุ่มน้าตลอดลงไปจรดทะเลคืออ่าวไทยมีแม่น้า 4 สายท่ีหล่อเล้ียงภาคกลาง ได้แก่ แม่น้าแม่
กลอง แม่น้าท่าจีน แมน่ ้าเจ้าพระยา และแม่น้าบางประกง ภาคกลางมลี ักษณะแตกต่างหลากหลายมาก
ระหว่างพืน้ ที่ระดับความอุดมสมบูรณ์ และความสะดวกเหมาะสมในการต้ังหลกั แหล่งถิน่ ฐานแตกต่างกัน
ไป บริเวณน้ีจึงเป็นแหล่งทามาหากินอันสะดวกสบายและอุ่นหนาฝาค่ัง มีความเหมาะสมในการ
สร้างสรรค์อารยธรรมที่มีแหล่งน้าเป็นปัจจัยหลักอย่างบรบิ ูรณ์ พืช และสัตวท์ ่ีเป็นอาหารโดยธรรมชาติมี
อยู่อย่างสมบูรณ์และการไปมาหาสู่กับคนในสังคมหรือภูมิประเทศท่ีแตกต่างออกไปกระทาได้สะดวก
ประสบการณ์สั่งสมของคนที่อาศัย อยู่ในบริเวณ ท่ีต่ อเน่ืองมานานจึ งเป็นปร ะสบ การณ์ ที่รุ่ ม ร ว ย
หลากหลาย ด้วยส่ิงแวดล้อมและปัจจัยภูมิศาสตร์ดังกล่าวลักษณะเด่นของการต้ังถ่ินฐานของคนในภาค
กลาง ไดแ้ ก่ การที่ยึดเอาชัยภมู ิใกล้นา้ เป็นหลักในการต้ังบ้านเรือน ดงั น้ันทา่ นา้ เป็นสิง่ จาเป็นสาหรับการ
เดินทางโดยเรือและขนย้ายส่ิงของน้าขึ้น น้าลง น้าท่วม น้าลด เป็นภาวะปกติของธรรมชาติท่ีคนอยู่กับ
น้าต้องรู้เท่าทันและปรับตัวหาประโยชน์ กดโทษจากการอยู่กับน้าให้ได้ การปลูกสร้างบ้านเรือนวัดวา
อาราม ต่อเรือประดิษฐ์ของใช้ในชีวิตประจาวันต้องคิดออกแบบให้เหมาะสมแก่ประโยชน์ใช้สอยตาม
สภาพดินฟ้า อากาศในด้านการ เกษตร วัฒนธรรมการทานา ต้องปรับให้เข้ากับสภาพพื้นท่ี และภาวะ
298 ชวนพิศ อัตเนตร์
ของป่าการคัดพันธ์ุข้าวที่เหมาะสมกับนาลุ่ม นาดอน นาหว่าน นาปรัง การจัดทาคันคูบังคับน้าเข้าเลี้ยง
ไร่นาหรือไขนา้ ออกจากนาเป็นประสบการณส์ ่ังสบอันเกิดจากการอยู่กับพื้นที่อย่างรู้เท่าทันธรรมชาติรวม
ไปถึงการสร้างเมือง โดยใช้แม่น้าลาคลองเป็นท้ังคูเมืองป้องกันศัตรูและเป็นท้ังทางสัญจร ทั้งวัด ทั้งวัง
จะหันหน้าลงแม่นา้ ลาคลอง เพ่ือความสะดวกของการสัญจร การวางรูปอาคาร โบสถ์ วิหาร ตาหนัก ให้
เหมาะสมกับทิศทางลมที่เปล่ียนแปลงตามฤดูกาลของมรสุม และความผสมกลมกลืนกันระหวา่ ง ดิน น้า
ฟ้า เรือกสวนไร่นากับพฤติกรรมมนุษย์ได้รับการออกแบบแก้ปัญหาต่าง ๆ นานา ส่ิงเหล่าน้ีล้วนเป็น
ประสบการณ์ความรอบรสู้ ่ังสมที่เป็นภูมิปัญญาอันมีลกั ษณะเฉพาะทเี่ หมาะสมแกช่ ีวิตความเปน็ อยู่อย่าง
สัมพันธ์กับธรรมชาติแวดล้อม นอกจากน้ีภาคกลางยังมีชัยภูมิอันได้เปรียบและเอ้ือประโยชน์หลาย
ประการ ได้สัญจรคบหากบั คนจากวฒั นธรรมอ่นื ต่อเนื่องเปน็ เวลาหลายศตวรรษประสบการณ์ท่ผี ่านการ
รู้เหน็ มามากท้งั ความรุ่งโรจน์และความวิบตั ิย่อมส่งั สมภูมปิ ัญญาทั้งเก่าใหม่ไว้มากเป็นภูมิปัญญาตามเหตุ
ปัจจัยและพน้ื ภูมอิ นั มีลกั ษณะเฉพาะเชน่ น้ี
1.3 ภาคอีสาน อาณาบริเวณภาคอีสานหรือตะวันออกเฉียงเหนือมีขนาดพื้นที่กว้าง
ใหญ่กว่าทุกภูมิภาค ลักษณะเฉพาะที่เป็นพ้ืนฐานท่ัวไปของภาคอีสาน คือ เป็นที่ราบสูงในใจกลางค่อน
ตะวันออกของประเทศ อีสานห่างไกลจากทะเล แต่ทว่ามีส่วนได้รับอิทธิพลลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
หอบเอาฝนมาตกท่ัวบริเวณในปริมาณท่ีไม่น้อยไปกว่าภาคกลาง แต่เป็นเพราะผืนแผ่นดินเป็นดินปน
ทรายไม่อุ้มน้า น้าจึงไหลลงสู่แม่น้าโขง ชี มูล และสาขา ทาให้พื้นท่ีไม่ชุ่มฉ่าเม่ือหมดฤดูฝนและแห้งแล้ง
ยาวนานกว่าภาคอื่นแม้สภาพในหลาย ๆ พ้ืนที่ของอีสานจะเป็นดังกล่าวมาน้ี แต่อีกหลายส่วนของ
ดินแดนอีสานยังเป็นพื้นภูมิท่ีดี มีความอุดมสมบูรณ์ในบางส่วน มีภูมิประเทศที่เป็นทิวเขาเป็นต้นน้าลา
ธารไหลลงสู่ท่ีราบสูงเบ้ืองล่างแล้วยังเป็นป่าดงพงพ่ีท่ีมีระบบนิเวศดึงดูดให้ฝนตกและธรรมชาติได้สั่งสม
ความอุดมสมบูรณ์ในระบบนิเวศไว้ได้ระดับหน่ึงป่าเขาและสายน้าจากพ้ืนภูมิเ ช่นนี้เก้ือหนุนให้มีแหล่ง
อาหารอันประกอบด้วยพืชสัตว์อันเป็นอาหารตามธรรมชาติที่มนุษย์ได้พึ่งพาตลอดมา นอกจากน้ันใน
พ้นื ทร่ี าบนอกทวิ เขากย็ ังมีลักษณะเป็นบงึ ใหญห่ ลายแห่งรอบ ๆ ยง่ิ เหลา่ น้ีทาเกษตรกรรมไดส้ ะดวกพ้ืนท่ี
เช่นนี้มีแหล่งใหญ่อันเอื้ออานวยให้มนุษย์ต้ังถิ่นฐานอยู่ 2 บริเวณ คือ แอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร
สาหรับพ้ืนท่ีอ่ืนที่ค่อนข้างแห้งแล้งมีความชุ่มชื้นในหน้าฝนสลับกับแล้งจัดในหน้าแล้ง ในเชิงนิเวศวิทยา
สัตว์สะเทินบก สะเทินน้า และปรากฏว่ามีพืชพรรณหลายชนิดที่สามารถปรับตัวข้ึนได้ในพื้นที่เช่นนั้น
สัตว์บกสัตว์น้าและเป็นน้าหลายชนิดสามารถปรับตัวอยู่ได้กับธรรมชาติท่ีแตกต่างกันมากระหว่างฤดฝู น
ฤดูร้อน ขา้ วบางสายพนั ธุ์ปลาและสัตว์น้าสัตว์บกหลายชนิดขยายพันธุ์และแพร่กระจายอยู่ในพ้ืนที่เช่นน้ี
ได้ ทาให้มนุษย์สามารถยังชีพได้ และปรับระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติแวดล้อมได้
อย่างน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าในภาคอ่ืน ๆ
ในการดารงชีพของคนอีสานสภาพภูมิศาสตร์ท่ีแตกต่างกันระหว่างความชุ่มชื้น
กับความแห้งแล้ง ได้กลายเป็นปัจจัยสาคัญที่มีอิทธิพลต่อการตั้งหลักแหล่งทามาหากินของคนในพื้นที่นี้
คติชนและภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น 299
ด้วย การต่อสู้และปรับตัวให้อยู่ได้กับสภาพที่แตกต่างดังกล่าว น่ันคือ คนอีสานมีภูมิปัญญา และมี
ความสามารถในการเลือกทาเลท่ีเหมาะสมไม่ขาดแคลนน้าเป็นท่ีตั้งหลักแหล่งทาไร่ทานา ชัยภูมิท่ีได้
เลอื กเฟน้ ดีแลว้ นี้เรยี กกันว่าเปน็ ท่ี “ดนิ ดาน้าช่มุ ” ซง่ึ มักจะ ไดแ้ ก่ บริเวณทีเ่ ป็นล่มุ หรอื “กดุ ” มบี งึ หรอื
หนองน้าขนาดใหญ่ ธรรมชาติและแวดล้อมของอีสานได้สร้างนิสัยทรหดอดทนและกล้าเผชิญความ
ยากลาบากให้แกค่ นอสี านและได้สรา้ งองคค์ วามรู้ สร้างคณุ ธรรมหลายอยา่ งไวเ้ ปน็ ภมู ิปัญญา
1.4 ภาคใต้ ทาเลท่ีต้ังของภาคใต้อยู่ใกล้เส้นศูนยส์ ตู รจึงมภี ูมิอากาศร้อนชืน้ และมีฤดู
ฝนยาวนานกว่าภาคอ่ืน ๆ ภูมิประเทศของภาคใต้เป็นป่าเขาเขตร้อนช้ืนเป็นส่วนใหญ่ทาเลที่ต้ังของ
ภาคใต้อยู่ระหว่างทะเลใหญ่ทั้งสองซีก แต่มีที่ราบชายฝั่งที่ค่อนข้างกว้างยาวทางฝ่ังทะเลอ่าวไทยการ
ติดต่อภาคพ้ืนดินกระทาได้อย่างต่อเนื่อง ลักษณะพิเศษสาคัญอีกประการหน่ึงของภาคใต้ ได้แก่ การที่
ดินแดนภาคใต้กลายเป็นแหล่งติดต่อค้าขาย และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันข้ามน้าข้ามทะเลระหว่างคน
ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรมเป็นอันมาก ทาให้คนใต้เป็นคนคล่องแคล่วในการติดต่อกับคน
แปลกหน้าขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยไว้ใจใครง่าย ๆ ไว้ตัวจะเลือกรับ เลือกชอบ เลือกรักษาส่ิงที่ตนพอใจว่า
ดีสาหรับตน เพราะมีประสบการณ์ส่ังสมท่ีคุ้นเคยกับความหลากหลายและมีภูมิคุ้มกันอยู่ระดับหน่ึง
ลักษณะเฉพาะของภาคใต้อีกประการหน่ึง คือ ป่าเขาลาเนาไพรของภาคใต้เป็นป่าดงดิบหรือป่าร้อนช้ืน
ป่าดงดิบทางภาคใต้มีปริมาณฝนมากและไม่แล้งนานทาให้มีพรรณไม้และอินทรีย์วัตถุใน ดินอุดม
หลากหลายมาก กล่าวได้ว่าป่าร้อนชื้นเช่นนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีคุณค่าต่อชีวิตมาก
โดยเฉพาะในเรอ่ื งสมุนไพร พืชพันธ์ุธัญญาหารตามธรรมชาติภมู ิปัญญาสั่งสมของชาวบา้ นในเร่ืองเหล่าน้ี
มีคุณค่าต่อระบบยา และอาหารสมัยใหม่ ที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ใช้เป็นต้นเค้าผลิตออกมามากมาย
สาหรับลักษณะการตั้งชุมชน และถ่ินฐานบ้านเมืองด้วยสิ่งแวดล้อมท่ีมีท้ังทะเลกระหนาบอยู่สองฝากฝ่ัง
มีเทือกเขา และท่ีราบชายฝั่งทะเล และมีป่าเขาลาเนาไพรอันร้อนชื้น มีแม่น้าลาคลองขนาดเล็ก
สั้นจานวนมากไหลลงสู่อ่าวไทย และทะเลอันดามันและมีสันทรายอันเป็นท่ีตั้งชุมชนเก่าแก่ภาคใต้จึงมี
การต้ังชุมชนหลายลกั ษณะกว่าภาคอ่ืน ๆ บริเวณท่ีมีประชากรอยู่มากกว่าบรเิ วณอื่น ๆ คือที่ราบชายฝั่ง
จรดเชิงเขาที่สามารถทาการเกษตรท้ังปลูกข้าว ปลูกผลไม้ ยางพาราและพืชสวนอื่น ๆ การต้ังชุมชนอีก
ลักษณะคือชุมชนประมงท่ีมักจะรวมตัวกันอยู่บรเิ วณปากน้า ชุมชนลักษณะสุดท้าย คือ ชุมชนเมืองตาม
แนวสันทรายท่ีมีความปลอดภัยและสะดวกต่อการดารงอยู่ และไม่ไกลจากแหล่งอาหาร คือ ไร่นา และ
ป่าเขา จึงเป็นแหล่งสืบสานอารยธรรมมาช้านาน และเป็นท่ีพบปะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมจากหลาย
แหลง่
2. ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของภูมิภาคต่าง ๆ ภูมิปัญญาย่อมก่อเกิด หล่อหลอม
ปรุงแต่งและปรบั เปล่ียนไปตามเหตุปจั จัยของสังคมและวัฒนธรรม เชน่ เดยี วกบั ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์และ
ส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติ กลุ่มคนในภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยได้มีการแลกเปล่ียนสร้างสรรค์ทาง
วัฒนธรรมกันอย่างต่อเน่ือง อิทธิพล ความเชื่อ จารีตประเพณี ภาษาศิลปะ และวิทยาการต่าง ๆ ได้เข้า
300 ชวนพศิ อตั เนตร์
มาผสมผสานกับวัฒนธรรมท่ีมีอยู่เดิมจึงเกิดการพัฒนาทั้งหลากหลายและคล้ายคลึง ซึ่งมีรายละเอียด
ดังนค้ี ือ
2.1 ลักษณะร่วมทางสังคมและวัฒนธรรม ภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยมีลักษณะร่วมทางสังคม
และวฒั นธรรมตา่ ง ๆ คือ
2.1.1 วัฒนธรรมข้าว คนไทยไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคใด ก็ดารงชีพด้วยการทาไร่ไถนา
เห็นได้จากความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างคนกับข้าว อันมีพัฒนาการมาเป็นความเชอ่ื พิธีกรรม ประเพณี
วิถีการผลิตและการบริโภค ทุกปีเม่ือย่างเข้าสู่ฤดูฝน พระมหากษัตริย์ก็จะทรงโปรดให้ทาพิธแี รกนาขวญั
และทรงเสด็จเป็นองค์ประธาน เม่ือมีการทานามานานหลายชั่วอายุคน ความรู้ ความชานาญ ก็ส่ังสมไว้
มาก เช่น การคดั เลอื กพันธขุ์ ้าวที่เหมาะสมกบั ดินฟ้าอากาศการเลือกสรรตกแต่งทาเลเพาะปลูก การผลิต
เครื่องมือเคร่ืองใช้ อาหาร บ้านเรือน ยุ้งฉาง เครื่องปรุงอาหาร ตลอดจนศิลปวัตถุ วรรณกรรมท้องถิ่น
พิธีกรรม การละเล่นต่าง ๆ จะมีความเก่ียวพันหรือสัมพันธ์กับข้าว จึงจัดได้ว่าวัฒนธรรมข้าวเป็น
ลกั ษณะรว่ มทางสังคมและวฒั นธรรม (เอกวิทย์ ณ ถลาง, 2546)
2.1.2 ความเชอื่ พธิ ีกรรม ความเชอื่ และพธิ ีกรรมต่าง ๆ อันเปน็ การแสดงความสมั พันธ์
ระหวา่ งคนกับธรรมชาติ และส่งิ เหนอื ธรรมชาติ ทาใหเ้ กิดดุลยภาพแห่งการดารงอยรู่ ว่ มกันของชวี ิตและ
สรรพส่ิง ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันเป็นหน่ึงเดียว ไม่ควรละเมิดให้เสียดุลยภาพ เพื่อให้การดารง
เผ่าพันธ์ุและการรักษาระบบนิเวศท่ีชีวิตได้พึ่งพาอาศัยประสบการณ์ทั้งดีและร้ายจึงทาให้คนบัญญัติ
"ข้อห้าม” ไว้ในวัฒนธรรมเพ่ือป้องกันการล่วงละเมิด ซึ่งการล่วงละเมิดเป็นการผิดผีมีการลงโทษทาง
สังคมหรือมีการแก้เคล็ดแล้วแต่กรณี “ผี” ตามความคิดความเข้าใจของคนไทย แต่เดิมในความหมาย
ของจิตวิญญาณ ได้แก่ ผีบรรพบุรุษผีนา (แม่ขวัญข้าวแม่โพสพ) ผีดิน (แม่ธรณี) ผีน้า (แม่คงคา) เป็นต้น
เป็นผีที่พึงกราบไหว้บูชาเซ่นสรวงประเพณีซ่ึงความเชื่อและพิธีกรรมทางสังคมประเพณีเดิมมิได้สูญ
หายไปไหน แต่ยงั คงฝังลึกอยู่ในจติ สานกึ ของคนสว่ นใหญ่ดังจะเห็นไดจ้ ากคนในสังคมไทยยงั นยิ มบนบาน
ศาลกลา่ วและทาพิธตี ่าง ๆ อยมู่ าก (เอกวิทย์ ณ ถลาง. 2546)
2.1.3 อิทธิพลพุทธศาสนาธรรมแห่งพุทธศาสนา และข้อวัตรปฏิบัติของชาวพุทธ
ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อการปรับท่าที ความคิด ความเช่ือ พฤติกรรม และพิธีกรรมต่าง ๆ ทาให้สามารถ
ดารงชีวติ อยไู่ ดอ้ ย่างสมดลุ ท้ังภายนอก และภายในและนาคนเขา้ สู่ระดับจิตใจท่ีประณตี สามารถรับความ
จริงเข้าใจธรรมชาติของสรรพส่ิงเข้าใจตนเองเข้าใจผู้อื่นเรียนรู้วิธีการหรือมรรคที่จะดารงชีวิตให้มีความ
ทุกข์น้อยลงๆ ปฏิบัติตามข้อบัญญัติที่ลดการเบียดเบียน ลดความเห็นแก่ตัว ลดความโลภ ความโกรธ
ความหลง จนสามารถเข้าใจชีวติ ท่เี ป็นอดุ มคติผลท่ีไดร้ บั คือผูป้ ฏิบตั ธิ รรมมีความโลภ โกรธ หลง และเห็น
แก่ตัวน้อยลง ทาให้การเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกันและการเอาเปรียบสิ่งแวดล้อมธรรมชาติน้อยลง
(เอกวิทย์ ณ ถลางกัน 2546)
คตชิ นและภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ 301
2.1.4 อิทธิพลวัฒนธรรมใหม่เป็นอิทธิพลท่ีโลกตะวันตกนามาแผ่ขยายครอบงาสังคม
ทั่วโลก ประเทศไทยก็ไดร้ ับอิทธิพลนี้เช่นเดยี วกันสังคมไทย โดยทว่ั ไปได้รบั การทดสอบ และปรบั เปล่ียน
ให้สอดคล้องกับเหตุปัจจัยใหม่ทาให้เกิดการเรียนรู้การสูญเสีย การสืบทอด และการผลิตใหม่
ทางวฒั นธรรม และการนาภมู ปิ ญั ญา ดงั เดิมมาประยุกตใ์ ช้ในสถานการณ์ใหม่ประสบทั้งความสาเร็จและ
ความล้มเหลวนานาประการ (เอกวิทย์ ณ ถลาง, 2546) ลูก”
2.2 ลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งทางสังคมและวฒั นธรรมในภมู ิภาคต่าง ๆ ของไทย
นอกจากลักษณะร่วมทางสังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยดังกล่าว ยังมี
ลักษณะทแี่ ตกต่างทางสงั คมและวฒั นธรรมในภูมภิ าคต่าง ๆ ของไทย (เอกวทิ ย์ ณ ถลาง, 2546) ดังนค้ี อื
2.2.1 ภาคเหนือ เป็นดินแดนเก่าแก่มีกลุ่มชนที่เรียกตัวเองว่าไทหรือลาวได้ต้ังถ่ินฐาน
อยู่ในที่ราบระหว่างเขามีวิวัฒนาการมายาวนานในการดารงชีพและจัด ระบบความสัมพันธ์ของตนเอง
และเกี่ยวข้องกับโลกภายนอกน้อยกว่าภาคกลางและภาคใต้ แต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มชาติพันธุ์
เดียวกันนอกจากน้ันยังสัมพันธ์กับชาติพันธุ์อ่ืน ๆ เช่น ละว้ามอญเป็นต้นธรรมชาติของล้านนา ที่มี
ธรรมชาติแวดล้อมอุดมสมบูรณ์งดงาม และวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตท่ีได้มีการพัฒนาไว้ดีแล้ว โดยเฉพาะ
ในทางศาสนาและศิลปะ อีกท้ังอัธยาศัย ไมตรีของคนล้านนาอ่อนโยนอ่อนน้อมเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้คนใน
ภูมิภาคอื่น ๆ ยอมรับนับถือวัฒนธรรมล้านนา ภูมิปัญญาสั่งสมของล้านนาท่ีบัญญัติไว้ในวรรณกรรม
ล้านนาล้วนสะท้อนให้เห็นคติ ความเช่ือ ปรีชาญาณ จริยธรรม สุนทรียภาพ และธรรมเนียมปฏิบัติที่มี
คุณค่า
2.2.2 ภาคอีสาน โดยสภาพแวดล้อมอีสาน เป็นภูมิภาคท่ีอิทธิพลจากภายนอกท้ังด้าน
วัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ เข้ามาช้ากว่าภาคกลาง ภาคใต้และภาคเหนือ โดยพ้ืนฐานคนอีสาน
ท่ีส่ังสมบ่มเพาะมาเป็นเวลานาน และได้ใช้ความอุตสาหะปรับตัวกับธรรมชาติที่ไม่สมบูรณ์เหมือน
ภูมิภาคอ่ืน ๆ คนอีสานมีพัฒนาการทางวัฒนธรรมของตนเอง โดยประสานสัมพันธ์แลกเปลี่ยนระหว่าง
กลุ่มชนลาวเขมร รวมไปถึงเวียดนามแบบค่อยเป็นค่อยไปตลอดมาคนอีสาน โดยรวมยังยึดม่ันอยู่ในวิถี
ชีวิตแบบสังคมประเพณีซึ่งมีพ้ืนเพพ่ึงพาตนเองด้วยอุปนิสัยพื้นฐานท่ีเป็นคนทรหดอดทนต่อความ
ยากลาบาก กินง่ายอยู่ง่าย สู้งาน สู้ชีวิต และมัธยัสถ์ ขณะเดียวกันก็รักษาความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้
อยา่ งแนน่ แฟน้ โดยอาศัยเครือญาติ และความผกู พันเหนยี วแน่นกับมาตุภูมิ และเคารพส่งิ ศักดิส์ ิทธ์ิความ
ลี้ลับแห่งธรรมชาติในคติความเชื่อเร่ือง “ผี” พุทธศาสนาเถรวาทได้เข้ามาเป็นที่พ่ึงทางใจ และเป็นแกน
ของวัฒนธรรม โดยผสมผสานความเชื่อเรื่องผีบนพ้ืนฐานของวัฒนธรรมข้าวการผสมผสานดังกล่าว
ปรากฏเป็นครรลองของชวี ติ ทเี่ รยี กว่า “ฮีตสบิ สองคลองสิบสี่” อนั เป็นจารตี ของคนอสี านสืบมาหลายช่ัว
อายคุ นจนถึงปจั จุบนั
2.2.3 ภาคใต้ ชุมชนหมู่บ้านในภาคใต้ของไทย แตกต่างจากชุมชนอ่ืน ๆ ของไทย เป็น
ชมุ ชนบนคาบสมทุ รมาลายู และเป็นชุมทางสัญจรทางทะเลระหว่างคนจากแหล่งอารยธรรมใหญน่ ้อยท้ัง
302 ชวนพิศ อัตเนตร์
ซีกโลกตะวันออก และตะวันตก การสัญจรไปมาหาสู่ระหว่างคนจากหลายอารยธรรมดังกล่าว มีความ
ต่อเนอ่ื งมาหลายทศวรรษและเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ซบั ซ้อนกว้างขวางท้ังในทางการค้าศาสนา
ศิลปะและวัฒนธรรมชาติพันธ์ต่าง ๆ กล่าวโดยสรุปภาคใต้ เป็นดินแดนท่ีชนหลายชาติพันธุ์หลายภาษา
หลายวัฒนธรรมมาพบกันประสบการณ์ส่ังสมของคนภาคใต้ที่พบปะกับคนแปลกหน้า การได้รู้ได้ติดต่อ
สัมพันธ์กันระหว่างคนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ทาให้เกิดลักษณะเด่นบางประการของคน
ภาคใต้ คือ เป็นคนท่ีมีความคล่องตัวช่างเจรจาช่างโต้แย้งตั้งปัญหามีไหวพริบ ปฏิภาณ มีช้ันเชิง ไม่ยอม
เสียเปรียบเสียรู้ใครง่าย ๆ เป็นคนทระนงในศักดิ์ศรี ไม่นับถือหรือยินยอมใครง่าย ๆ เป็นคนรักหมู่คณะ
ของตน เมื่อเผชิญหน้ากับหมู่คณะอ่ืน ไวต่อข้อมูลข่าวสารและการเปลี่ยนแปลง ไม่เกรงกลัวและชอบ
เผชิญหน้ากับความจริง อนึ่งความหลากหลายของชาติพันธุ์ทผ่ี สมผสานกนั ด้วยการแตง่ งานข้ามเผ่าพันธ์ุ
ข้ามวัฒนธรรม เป็นเวลาหลายศตวรรษ ทาให้คนใต้มีรูปโฉมไม่เป็นแบบอย่างเดียวกันจะมีหน้าตาผิด
แปลกแตกตา่ งกนั หลายแบบ ไม่เหมือนคนทางภาคเหนอื และภาคอีสาน
2.2.4 ภาคกลาง เป็นท่ีต้ังของราชธานีอันเป็นศูนย์รวมอานาจ การปกครองเป็นที่
ชุมนุมทางการค้าโดยทาเลท่ีต้ังภาคกลางอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ซ่ึงคุมเส้นทางเข้าออกทะเลเป็นศูนย์กลาง
การคมนาคม ทั้งทางน้าและทางบก เป็นแหล่งท่ีมีการส่ังสรรค์วัฒนธรรมกับคนต่างแดนทั้งใกล้และไกล
มาเป็นเวลาชา้ นาน มกี ารคบค้ากนั ระหวา่ งคนตา่ งเผา่ พันธุ์ตา่ งภาษา ตา่ งศาสนา ตา่ งวฒั นธรรม โอกาสที่
จะได้เรียนรแู้ ละเลอื กเฟ้นสง่ิ ที่เหน็ ว่าดีงามจากวัฒนธรรมอื่น ๆ แลว้ รับเข้ามาเป็นของตนซงึ่ ปรากฏอยู่ใน
เรื่องอาหารการกินจิตรกรรมสถาปัตยกรรมการทามาหากินชีวิตประจาวัน และการละเล่นต่าง ๆ ภูมิ
ปัญญาภาคกลางจึงมีความรุ่มรวยหลากหลาย ซึ่งคุณลักษณะเหล่าน้ีเป็นพัฒนาการของประสบการณ์
การอยรู่ ่วมกนั แลกเปลยี่ นวัฒนธรรมกันระหวา่ งคนตา่ งชาตพิ ันธุ์ภาษาและวัฒนธรรม
จากปัจจัยพ้ืนฐานของการก่อเกิดภูมิปัญญาท้องถิ่นดังกล่าวสรุปได้ว่า มนุษย์ใน
แต่ละสภาพนิเวศน์มีการสังเกตเรียนรู้ และปรับตัวตามลักษณะภูมิศาสตร์สภาพแวดล้อมธรรมชาติ
เกิดผล เป็นสภาพท่ีเรียกว่านิเวศน์สงั คม และวัฒนธรรมโดยมนุษย์เกิดภูมิปัญญาจากการเรียนรู้ในแต่ละ
สภาพนั้น ๆ แล้วถ่ายทอดความรู้แก่กัน ปฏิบัติตามกัน แล้วอยู่รอดรวมกันสืบมาด้วยสภาพนิเวศน์ท่ี
หลากหลาย ภมู ิปัญญาท้องถน่ิ ตา่ ง ๆ จงึ เกิดขน้ึ ในเงื่อนไขท่ีแตกต่างกนั ตามบริบทของนิเวศน์สงั คม และ
วัฒนธรรมท้ังน้ีเพราะภูมิปัญญาย่อมก่อเกิดปรับเปล่ียนไปตามเหตุปัจจัย เมื่อมีการแลกเปลี่ยน
สรา้ งสรรค์วฒั นธรรมอย่างตอ่ เน่ืองทาใหศ้ ิลปะและวิทยาการต่าง ๆ ได้เข้ามาผสมผสานกบั วฒั นธรรมที่มี
อยู่เดิม จึงทาให้ชุมชนท้องถ่ินในภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยมีภูมิปัญญาที่มีลักษณะแตกต่างและคล้ายคลึง
กนั
คตชิ นและภูมิปญั ญาทอ้ งถิน่ 303
10.3 กระบวนการกาเนดิ ภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ
กระบวนการกาเนิดภูมิปัญญาท้องถ่ินน้ันมีความสาคัญและควรเน้นมากกว่าตัวเน้ือหาภูมิ
ปัญญาเปน็ หลกั การอย่างหนง่ึ ท่ตี ้อน่ึงท่ีต้องคิดกนั ในแง่ของการนาภูมปิ ัญญาท้องถ่ินมาใช้ประโยชน์ หรือ
นาเอามาปรับใช้ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอาชีพพัฒนาสังคมหรือการเสริมสร้างทางวิชาการสว่ นตัวเน้ือหา
ภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้นมีความล้าสมัยหรือมันจบส้ินในตัวของมันเอง ภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือภูมิปัญญา
ชาวบ้านหลายอย่างอาจจะเอามาใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน แต่กระบวนการภูมิปัญญาท้องถ่ินที่ใช้ไม่ได้แล้วน้ัน
บางท่ียังสามารถเอามาใช้ได้เพราะฉะน้ันจึงควรเน้นในประเด็นท่ีเรียกว่ากระบวนการ “กาเนิด” เพราะ
คาว่ากาเนิดเป็นกิริยาที่คนอื่นหรือส่วนอ่ืนมาทาให้เกิดภูมิปัญญาคนเป็นผู้ทาให้เกิด อยู่ดี ๆ ภูมิปัญญา
ท้องถ่ินจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ ซ่ึงกระบวนการกาเนิดภูมิปัญญาประกอบด้วย 2 ส่วนท่ีสาคัญ (สุทธิวงศ์พงศ์
ไพบูลย.์ 2547) ดังนคี้ อื
1. ต้องมีปัจจัยพ้ืนฐาน ต้องมีข้อมูลเก่าหรือภูมิปัญญาเก่า มีองค์ความรู้เก่า มีสถานภาพ
เก่าเป็นตัวเริ่มต้นแล้วมีคนนาเอาปัจจัยพื้นฐานนั้นมาเช่ือมต่อ โดยอาศัยประสบการณ์ของตนเอง และ
อาจผนวกด้วยสงิ่ ท่ีเป็นญาณทัศนะหรือความฉลาดหลักแหลมของผ้ทู ่ีก่อใหเ้ กิดถ้าประกอบดว้ ย 3 ส่วนน้ี
แล้ว จะเกิดเป็นภูมิปัญญาท้องถ่ินขึ้นมา ในปัจจัยพ้ืนฐานจะเห็นเร่ืองทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก
สภาพแวดล้อมเป็นตัวประกอบ ในส่ิงเหล่าน้ีจะมีวิถีมีพลังในตัวของมันเอง ทรัพยากร และ
สภาพแวดล้อมที่มีอยู่ในแต่ละพ้ืนท่ีแต่ละท้องถ่ิน บางตัวไม่มีวิถีไม่มีพลัง แต่บางตัวมีวิถีมีพลังในตัว
ของมัน นักปราชญ์หรือปราชญ์ชาวบ้านจะต้องนาส่ิงเหล่าน้ีมาพิจารณาว่าวิธใี ดเอามาเสรมิ ยอดได้ พลัง
ใดจะเกิดประโยชน์กับชุมชนท้องถิ่นเพราะฉะนั้นความเป็นท้องถ่ินหรือสภาพความเป็นท้องถิ่น ก็คือ
“ภูม”ิ มาจากรากศัพท์กค็ ือ ภู ภาวะ ภพ ซ่ึงคือทอี่ ยทู่ ่เี ป็นที่มเี พราะฉะนน้ั ภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ ต้องไม่ลืมว่า
พื้นท่ีท่ีก่อให้เกิดความรู้ใหม่ขึ้นมาในแหล่งนั้น เป็นตัวสาคัญท่ีสุด เพราะฉะน้ันคนญ่ีปุ่นที่มีสภาพ
ทรัพยากรต่างกับคนไทย แน่นอนคือภูมิปัญญาจะเกิดเหมือนกันไม่ได้ เพราะภูมิปัญญาต้องอาศัยพ้ืนท่ี
ภูมิปัญญาชาวเหนือจะไม่เหมือนภูมิปัญญาชาวใต้หรือภูมิปัญญาชาวอีสาน เพราะทรัพยากรต่างกัน
ตัวอย่างเช่น ภูมิปัญญาในการทาเคร่ืองดักจับปลาของชาวไต้จะต่างกับภาคเหนือหรือภาคอีสาน
เพราะฉะนัน้ ตัวหลกั ของการเกิดภูมปิ ญั ญาก็คือ สภาพพืน้ ท่ีในแตล่ ะแหลง่
2. ส่วนที่สาคัญท่ีสุดคือคน ท้ังนี้เพราะคนคือผู้ท่ีจะนาเอาปัจจัยพ้ืนฐานมาเช่ือมต่อกับ
ประสบการณ์ของตนเอง คนที่ทาให้เกิดภูมิปัญญา ถ้าไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ เป็นการยาก
ท่ีจะทาให้เกิดภูมิปัญญาได้ ดังนั้นคนคือตัวสาคัญท่ีจะเข้าไปทาใหส้ ่ิงน้นั เกิดการจัดการท่ีดีข้ึนมา จัดการ
ด้วยสติปัญญา และด้วยทักษะท่ีได้จากประสบการณ์ บางทีอาจจะลองผิดลองถูก ในที่สุดเม่ือ
ปจั จัยพนื้ ฐานมาผสมผสานกับวิธีการจัดการ จงึ เรยี กว่า ภูมิปญั ญา ซึง่ ภมู คิ อื พืน้ ที่ปจั จยั สว่ นปญั ญา คอื
วิธีการจัดการที่ต้องใช้สติปัญญานั่นเอง กระบวนการกาเนิดภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถแสดงเป็น
แผนภาพได้ดังแสดงในรปู ที่ 9.1
304 ชวนพิศ อตั เนตร์
รปู ท่ี 9.1 กระบวนการกาเนดิ ภูมปิ ัญญาท้องถิ่น (ปรบั จากสุทธิวงศ์พงศ์ไพบลู ย.์ 2547: 58)
การพลวัตของภมู ปิ ญั ญาท้องถนิ่
10.4 การพลวตั ของภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ
ภูมิปัญญาท้องถ่ินเป็นเรื่องท่ีก่อกาเนิด สั่งสม และปรับเปลี่ยนตามเหตุปัจจัยอยู่ในจิตใจ
ระบบพฤตกิ รรม ความเคยชิน และความสันทัด จัดเจนทเ่ี รยี กเป็นองคร์ วมว่า “วัฒนธรรมชาวบ้าน” โดย
ชาวบ้านเพื่อชาวบ้าน และภูมิปัญญาท้องถิ่นได้รับการทดสอบในชีวิตจริง ผ่านกาลเวลา สถานการณ์
และบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ จึงเป็นธรรมดาท่ีภูมิปัญญา
ท้องถน่ิ หลายสิ่งหลายอยา่ งย่อมตกสมัยไป ทวา่ พร้อมกันน้นั ก็มภี ูมิปัญญาท้องถน่ิ อีกหลายสิ่งหลายอย่าง
ก็ยังคงอยู่ หากแต่มีการปรับใช้ตามสถานการณ์และงอกงามเติบโตต่อไป ดังจะเห็นเป็นตัวอย่างในเร่ือง
ของการประยุกต์ใช้ ศาสนธ์ รรม เรอ่ื งอาหาร เร่ืองยาสมุนไพร หรือหมอพื้นบ้าน เป็นต้น บางคร้งั ก็มีการ
ผลิตซ้าหรือไม่ก็มีการสร้างภูมิปัญญาขึ้นใหม่เพ่ือแก้ปัญหาในบริบทใหม่ ท้ังในด้านเศรษฐกิจและสังคม
เช่น เร่ืองเศรษฐกิจพอเพียง และการพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมความว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นก็
เหมือนชีวติ มนุษย์ คอื มเี กดิ ดบั ปรบั เปลี่ยน เรียนรใู้ หม่ และงอกงามอยู่เสมอ (เอกวทิ ย์ ณ ถลางและคน
อนื่ ๆ. 2546)
คติชนและภมู ิปัญญาท้องถิน่ 305
ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีการพลวัตหรือมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฉะนั้นเม่ือศึกษา เร่ือง
ภูมิปัญญาอย่ามองในภาพนึ่ง เพราะภูมิปัญญาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นกระบวนการเรียนรู้และ
กระบวนการทางวัฒนธรรม การท่ีจะเข้าใจหรือได้ประโยชน์จากภูมิปัญญาของชุมชนหรือท้องถ่ินใด
เราต้องเข้าใจกระบวนการของภูมิปัญญาด้วย ซ่ึงการพลวัตหรือการเปลี่ยนแปลงภมู ิปัญญาท้องถ่ิน อาจ
เกิดจากปจั จยั ต่าง ๆ (สทุ ธิวงศ์พงศไ์ พบลู ย.์ 2547) ดงั นคี้ ือ
1. ทรัพยากรและสภาพแวดล้อม อย่างน้อยทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ไป ทาให้ภูมิปัญญาเกิดความแตกต่าง และเคล่ือนไหวเปลี่ยนแปลง ภูมิปัญญาจะหยุดนิ่งไม่ได้ เพราะ
สภาพแวดลอ้ มทรัพยากรมนั เปลยี่ นแปลงตลอดเวลา
2. คตินิยมวัฒนธรรม ต้องคานึงถึงคตินิยมที่เปลี่ยนไป หรือสภาพของวัฒนธรรมท่ีโยงใย
เพราะสิ่งเหล่าน้ีจะส่ิงเหล่านี้จะทาให้เกิดพลวัตตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมของพาณิชย์นิยม
ที่ภมู ิปัญญาตอ้ งเอามาขายเป็นมูลค่าหรือตวั เงนิ แต่ในวฒั นธรรมชมุ ชนหรือท้องถ่ิน บางทีค่าท่ีมีมากกว่า
น้นั คอื สง่ิ ที่เป็น “คุณคา่ ” ทไ่ี มใ่ ช่มลู ค่าหรือตัวเงนิ คุณค่า คอื คา่ ทีเ่ ปน็ คุณ ไม่ไดส้ ัมผสั ด้วยรูปธรรมในเชิง
วัตถนุ ิยม
3. ประโยชน์ใช้สอย ประโยชน์ใช้สอยก็เป็นปัจจัยท่ีทาให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีพลวัต
ตัวอย่าง เช่น สถาปัตยกรรมพื้นบ้านของปักษ์ใต้ท่ีเป็นภูมิปัญญาพิเศษ คือบ้านของชาวใต้จะมีตีนเสา
ก็เพราะสภาพแวดล้อมวัฒนธรรมและประโยชน์ใชส้ อยต่างจากภาคอ่ืน ๆ ทั้งน้ีเพราะตีนเสาเหมาะท่ีจะ
ทาให้บ้านที่อยู่ในพื้นที่ลุ่ม สามารถโยกย้ายไปไหนเม่ือใดก็ได้และยังทาให้พวกมดปลวกและงูขึ้นไปสู่ตัว
บา้ นยากขึน้
4. อิทธิพลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัจจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ช่วยให้ภูมิปัญญาท้องถ่นิ เปล่ียนไป องค์ความร้เู พิ่มขน้ึ เทคโนโลยีทันสมัยขึน้ ก็จะทาใหภ้ มู ปิ ัญญาท้องถ่ิน
ทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหมือนกัน ซึ่งมีเหตุปัจจัยทาให้เกิดการปรับตัวเปล่ียนแปลงพอสรุปได้
ดงั น้คี ือ (เอกวทิ ย์ ณ ถลาง, 2546)
4.1 ความเจริญก้าวหนา้ ทางด้านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการคมนาคมทาให้
การเดินทาง การส่งและรับข่าวสาร การเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วประกอบกับ
โครงสร้างทางเศรษฐกิจสมัยใหม่เปิดโอกาสให้คนมีทางเลือกในการทางานและการครองชีพหลากหลาย
กว้างขวางมากข้ึน รวมทั้งมีการเดินทางอพยพเคล่ือนย้ายมากขึ้น ทาให้ความเป็นปึกแผ่นของชุมชน
ทอ้ งถิ่นอันเกดิ จากความใกล้ชิดและการพึ่งพากันในชนบทเสื่อมคลายลงในกระแสของความเปล่ยี นแปลง
ดังกล่าว สังคมเมืองเติบโตขยายตัวดึงดูดคนและทรัพยากรจากชนบท เช่น ดิน น้า ป่า และแรงงานคน
ทาใหช้ มุ ชนทอ้ งถน่ิ ในชนบทเล็กลง ถดถอย ออ่ นแอและยากจนลง
4.2 แบบแผนการผลิตและการบริโภคของคนในสังคมไทยเปล่ียนไปจากการทาไร่ไถ
นาซึ่งเป็นวิถีชีวิตแบบมุ่ง“ เอ็ดกินเฮ็ดอยู่” กลายเป็นการปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ เพ่ือขายเอา
306 ชวนพิศ อตั เนตร์
เงินตราและในปัจจุบันวิธีการผลิตทั้งเคร่ืองอุปโภคบริโภคในปริมาณมาก ๆ มุ่งผลกาไรระบบการพ่ึงพา
กันในชมุ ชนทอ้ งถนิ่ แบบ “พริกบ้านเหนอื เกลอื บา้ นใต”้ ไม่อาจดารงอยไู่ ด้เพราะระบบเศรษฐกจิ สมัยใหม่
เอาอานาจ เงนิ แรงงาน เทคโนโลยกี ารผลติ การจดั การเป็นปัจจัยสาคัญ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นจะค่อย ๆ เกิดค่อยๆสั่งสมมาจากประสบการณ์จากส่ิงแวดล้อมและจาก
ประโยชน์ใช้สอย และมีการพลวัตหรือเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยท่ีมีการเปลี่ยนแปลงไปดังแสดงในรูปที่
9.2
รปู ท่ี 9.2 การพลวตั ของภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ ท่ีมาปรับจาก (สุทธิวงศ์พงศ์ไพบลู ย.์ 2547: 61)
การจัดการความร้ภู มู ปิ ัญญาท้องถนิ่
ปัจจุบนั การจดั การความรู้เป็นทนี่ ยิ มในสงั คมไทย แตม่ กั จะมองข้ามภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินที่เป็น
รากเหง้าของสังคมท่ีแท้จริง การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน เป็นเครื่องมือหรือวิธีการในการเพ่ิม
มูลค่าหรือคุณค่า ของกิจกรรมของกลุ่มบุคคลหรือชุมชนท้องถ่ินการแลกเปล่ียนความรู้ของคนในชุมชน
ท้องถิ่นเอง โดยคานึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีของคนในชุมชนท้องถิ่น ร่วมกับสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่
ตามบริบทของท้องถ่ิน ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ในกิจกรรมของตนจากประสบการณ์จริงหรือ
“ความร้ปู ฏบิ ตั ิ” จนเกดิ เปน็ ฐานความรขู้ องผปู้ ฏิบตั จิ าก
ฐานความรู้เมื่อนาไปทดลองปฏิบัติจริง ก็ก่อเกิดเป็นความรู้ใหม่ ทุกคนรู้สึกดีท่ีได้เรียนรู้
ร่วมกันเหมือนมีเพื่อนช่วยคิด ช่วยทา ส่วนเป้าหมายสาคัญของการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นน้ัน
คอื เพ่อื ให้เกดิ ระบบเศรษฐกจิ แบบพอเพยี งเน้นความเข้มแข็งของชมุ ชนท้องถิ่น ภายใตก้ ารพัฒนาท่ยี ั่งยืน
บนรากฐานของทรัพยากรธรรมชาตคิ วบคู่กบั ความรู้ทอ้ งถ่ินไทยเดมิ
10.5 การจัดการความรภู้ มู ิปญั ญาท้องถนิ่
เน้นความร่วมมือไม่ใช่การแข่งขัน เน้นการแบ่งปันไม่ใช่การผูกขาด เป็นมิติด้านคน ไม่ใช่
เทคโนโลยีสารสนเทศ ซ่ึงผลที่ได้รับจากการจัดการความรู้ คือ มีชีวิตท่ีดี และมีความสาเร็จร่วมกัน
การจัดการความรู้ โดยท่ัวไปแบ่งเป็นทักษะ (Skil) 90% และทฤษฎีเพียง 10% เท่านั้นความรู้ที่สาคัญ
คตชิ นและภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน 307
คือ ความรู้ในเชิงปฏิบัติการจัดการความรู้ เน้นความรู้ในคน ความรู้ฝังลึก หรือความรู้ซ่อนเร้น โดยผ่าน
การแลกเปลี่ยนเรยี นรแู้ ละความร่วมมือจากทกุ ๆ ฝ่าย
การจดั การเพ่ือนาเอาภมู ิปัญญาท่ีคนในสังคมรู้และเข้าใจมาใช้ประโยชน์ให้มากทีส่ ุดจาต้อง
มียุทธศาสตร์และการกระทาท่ีแตกต่างจากความรู้ท่ีเป็นศาสตร์หรือความรู้ที่เป็นวิชาการท่ีเรียนอยู่ใน
สถาบันการศึกษาทุกระดับ การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงจาเป็นต้องอาศัยความละเอียดอ่อน
ตอ้ งเขา้ ใจธรรมชาติของภูมปิ ญั ญา ต้องให้เกียรติชาวบา้ นเป็นคนคดิ เอง ทาเอง และประยกุ ตค์ ัดแปลงส่ิง
ทีอ่ ยูใ่ นสานึกหรือเบื้องลึกความเคยชนิ ของเขามาปรับใช้เปน็ เรื่องทค่ี นในชุมชนท้องถิ่นน้ัน ๆ จะตอ้ งเป็น
ผู้มีส่วนสาคัญในการสร้าง สืบสานหรือพัฒนาความรู้ภูมิปัญญาน้ัน ๆ ให้สามารถเช่ือมต่อกับสมัยใหม่
หรือมีการประยุกต์ใช้ให้สมสมัย มิฉะน้ันความรู้ภูมิปัญญาที่ส่ังสมกันมา ก็อาจขาดการสืบทอดหรือตาย
ไปในทส่ี ดุ (เอกวิทย์ ณ ถลางและคนอื่น ๆ . 2546)
ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นเห็นคุณค่า ตระหนักถึงความสาคัญในการจัดการ
ความรู้ของตนเอง และสามารถเข้าถึง ดูแล ใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาของตนเองได้จริงในวิถีชีวิต
ปัจจุบนั จงึ จะทาให้ภมู ิปัญญานนั้ อยรู่ อด และยังเป็นเครอ่ื งยนื ยนั ถึงการดารงอย่แู ละพัฒนาสืบทอดอย่าง
ย่ังยืน ฉะน้ันชุมชนท้องถิ่นจึงควรได้รับการติดอาวุธทางความคิด หรือมีเคร่ืองมือท่ีเหมาะสมที่สามารถ
อนุรกั ษ์ สบื สาน จัดการและพัฒนาภูมิปัญญาของตนเองได้ (เอกวทิ ย์ ณ ถลางและคนอ่ืน ๆ . 2546)
10.6 เหตุผลในการจัดการความรู้ภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน
ระยะเวลานานนับหลายทศวรรษของประวัติศาสตร์ การพัฒนาชุมชนท้องถ่ินในชนบทน้ัน
การสั่งสมความรู้ท้ังหมดเพียง แต่นามาสู่ข้อสรุปที่ว่าเรายังไม่สามารถค้นพบรูปแบบตายตัวใด ๆ ที่
สามารถใช้ได้ทั่วไปกับชุมชนในชนบททุก ๆ แห่ง ชนบทที่แท้จริงเป็นชุมชนท้องถิ่นท่ีประกอบด้วย
ความสัมพันธ์ท่ีสานก่อขึ้นอย่างซับซ้อน สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ และ
ความสัมพนั ธท์ างสังคม บนสภาพทางกายภาพภูมศิ าสตร์ วฒั นธรรม ประเพณแี ละความสมั พนั ธ์ทางการ
ผลิต ที่มีรูปลักษณ์เฉพาะอย่างชุมชนเหล่าน้ี มีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนภายนอกทั้งปวงด้วย รูปแบบท่ี
แตกต่างกันออกไปอย่างหลากหลาย ส่ิงท่ีเป็นพื้นฐานที่สุดท่ีอธิบายได้ว่าเหตุใดการพัฒนา
“จากภายนอก” ทั้งปวง ไม่ว่าจะมาจากเจตจานงใด หรือหลักการที่ดีเพียงใด ก็อาจล้มเหลวได้เสมอ
จากเหตุผลเดยี วกันนพี้ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ทรงยา้ ถึงหลักการที่สาคญั อันหน่ึงที่พระองคท์ รงใช้ใน
การสบื คน้ ทาความร้จู ัก เพ่อื กระตุน้ หรือริเร่ิมงานพัฒนาชุมชนท้องถ่ินในชนบทจานวนมากและทรงเรียก
สิ่งนี้ว่า “การระเบิดจากข้างใน” การพัฒนานั้น จะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์และภูมิ
ประเทศทางสังคมศาสตร์ไปพร้อม ๆ กนั ภมู ปิ ระเทศทางสงั คมศาสตร์กค็ ือ เร่ืองทางสังคมวทิ ยา คอื นิสัย
ใจคอของคน (สุเมธตนั ตเิ วชกุล. 2536) ส่วนภูมปิ ัญญาทอ้ งถิ่นน้นั มีความจาเพาะของทอ้ งถิ่น สัง่ สมขึ้นมา
จากประสบการณ์หรอื ความจัดเจนจากชีวติ และสังคมในท้องถ่ินหนึ่งๆ เพราะฉะน้ันภูมิปัญญาจงึ มีความ
308 ชวนพิศ อัตเนตร์
สอดคล้องกับเร่ืองของท้องถ่ินมากกว่าภูมิปัญญาที่มาจากภายนอก แต่อาจเอาไปใช้ในท้องถ่ินท่ีแตกตา่ ง
กันไม่ไดห้ รอื ใชไ้ ด้ไมด่ เี ทา่ ทคี่ วร (ประเวศวะสี. 2536)
ภูมิปญั ญาท้องถ่ินยังเปน็ ความรู้ทางวัฒนธรรมท่ีมีคณุ ค่าย่ิงเพราะเป็นรากฐานของสังคมท่ีมี
การส่ังสมสืบทอดมา เป็นความรู้ท่ีอยู่กับตัวคน และติดกับแผ่นดิน กล่าวคือ ได้สะท้อนถึงวิถีการดาเนิน
ชีวิตของผู้คน ซึ่งเกิดจากการปรับชีวิตให้สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมให้อยู่ได้อย่างปกติ ไม่ว่าจะเป็นด้าน
ปจั จยั สี่ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และความเช่ือตา่ ง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การดาเนินชีวติ ของคนไทยซึ่ง
อย่ใู นภูมิภาคท่อี ดุ มสมบูรณ์ด้วย ทรัพยากรท่มี ีความหลากหลายทางชวี ภาพมีส่วนสาคัญที่กาหนดวิถีการ
กิน การอยู่ หรือภูมิปัญญาของคนไทย ให้มีความหลากหลายไปตามภูมินิเวศน์ของภาคต่าง ๆ ด้วย
อันสะท้อนถึงโลกทัศน์หรือระบบวิธีคิดในการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ
และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ให้เอื้อต่อการดารงชีวิตด้านต่าง ๆ อย่างชาญฉลาด หากแต่น่าเป็นห่วงว่า
ภายใต้บริบททางสังคมท่ีถูกกระแสทุนนิยมเข้าครอบงาน้ัน ความรู้ทางวัฒนธรรมเหล่าน้ีกาลังจะสูญ
หายไป เพราะขาดการสืบทอดและพัฒนาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นพลวัต ดังนั้นจึงมีการนาแนวคิด
เร่ืองการจัดการความรู้มาใช้ในเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้เป็นยุทธศาสตร์สาหรับการสร้างสุขภาวะ
ของชาตใิ ห้คนไทยอยู่ดี มีสุข และพึ่งตนเองได้ (เอกวทิ ย์ ณ ถลาง, 2546)
10.7 มิตกิ ารพ่ึงพาตนเองกับการจดั การความรูภ้ มู ปิ ัญญาท้องถิ่น
แนวคิดเรือ่ งการพฒั นาเพ่อื การพง่ึ พาตนเองของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั นนั้ ขยายออก
ไปในมิติต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง มีผู้กล่าวว่า ทัศนะของพระองค์ก็คือ “Small is Beautiful” ไม่ทรง
โปรดวิธีการเตบิ โตหรือความก้าวหน้า ทตี่ ้องการพ่งึ พาปัจจัยจากภายนอกมากเกนิ ไป จะทรงเลอื กวิธีการ
ท่ีประหยัดเรียบง่ายท่ีสุดเสมอ โดยมีจุดมุ่งหมายคือการเติบโตจากภายในด้วยตนเองที่ละน้อย
จากรากฐานที่ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างข้ึนอย่างแข็งแรง มั่นคง เพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพ้ืนฐานของ
ชีวิต ซ่ึงเป็นจุดมุ่งหมายขั้นต้นท่ีสุด ทรงเห็นว่าการพึ่งตนเองของคนในชนบทนั้นต้องมีลาดับขั้นเมื่อมี
ปัจจัยดารงชีพเพียงพอแล้ว การดาเนินการเก่ียวกับการทามาหากินการเพราะปลูกก็จะเป็นพ้ืนฐาน
สาคัญในลาดบั ถัดไป ซง่ึ พระองค์ทรงเหน็ ว่าน่ีคือการเติบโตที่แท้จริงและถาวรของ บคุ คล ชุมชน ท้องถิ่น
สังคม และประเทศชาติ (สุเมธตนั ตเิ วชกุล, 2536)
แนวคดิ พ่ึงพาตนเองเป็นแนวทางพัฒนาอย่างหน่ึง โดยเรม่ิ จากความเขา้ ใจในธรรมชาติของ
ความเป็นจริงท่ีว่า ชาวไร่ ชาวนา ในฐานะที่เป็นมนุษย์ โดยพ้ืนฐานย่อมมีความสามารถเป็นพลังอยู่ใน
ตวั เองจากปัจจยั สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรม การพัฒนาชนบทหรือชุมชน
ท้องถิ่น ไม่ใช่การหยิบย่ืนจากเบ้ืองบนสู่เบื้องล่าง หากแต่ต้องส่งเสริมให้ชาวไร่ ชาวนา หรือชาวบ้าน
ในชนบทได้ทาความเข้าใจกับปัญหาของตน และคิดค้นหาวิธีแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ในลักษณะที่
สัมพันธ์กับปัญหาความต้องการ และความสามารถของตนเองอย่างแท้จริง หากมีการเชื่อมโยงหลักการ
คตชิ นและภมู ปิ ัญญาท้องถ่ิน 309
เรื่อง “การจัดการความรู้” มาใช้ร่วมกับเรื่อง “ภูมิปัญญาท้องถ่ิน” เพ่ือทาให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเกิดการ
เพม่ิ พนู ยกระดับขนึ้ หรือเพ่ิมคณุ ค่า และเปน็ ประโยชนต์ ่อชุมชนท้องถ่ิน หรือสงั คมประเทศชาติ
10.8 หลักการและแนวคิดเกีย่ วกับการจดั การความรภู้ ูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ
หลักการและแนวคิดการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ การสร้างเวทีหรือกิจกรรมให้
สมาชิกในชุมชนท้องถิ่นได้มาพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และทดลองหาวิธีการหรือความรู้ใหม่ ๆ
แลว้ ขยายเปน็ เครือข่าย และมคี วามสัมพันธร์ ่วมมือกับภายนอก คือ นกั วชิ าการ ภาคราชการ ภาคธรุ กิจ
อย่างรู้เท่าทันและยึดฐานความรู้ของชุมชนท้องถิ่นเป็นหลักการจัดการความรู้ของชุมชนท้องถิ่นมี
ลักษณะเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ เรียนรู้จากการปฏิบัติค่อยเป็นค่อยไปและมีลักษณะเด่นอยู่ที่ปัญญา
ปฏิบัติ (รัตนาโตสกุล, 2548) ซ่ึงคุณสมบัติพื้นฐานของสมาชิกต้องขยัน อดทน และมีความพยายาม
ขณะเดียวกันก็ต้องไม่หวงความรู้จนเกิดหลักคิดใหมท่ ่ีว่า มีการแบ่งปันความรู้ซ่ึงกันและกัน ย่ิงให้ความรู้
ยิ่งเพิ่มได้ความรู้ได้เพ่ือนได้แนวร่วม ที่จะช่วยเกื้อหนุนกันได้อย่างไม่ส้ินสุด เป็นการยกระดับความรู้
เพื่อที่จะนาส่ิง ที่เรียกว่า “ทุนทางปัญญา” (Intellectual Capital) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในกิจการงาน
หน่ึง ๆ ไม่ว่าจะในกลุ่มคนองค์กร หรือชุมชนท้องถิ่น เพ่ือให้สามารถทางานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีข้ึน
เม่ือนาแนวคิดดังกล่าวมาใช้ในการทางานหรือกิจกรรมทุกเรื่องนั้นหมายความว่าองค์กรหรือชุมชน
ท้องถ่ินได้ทางานหรือกิจกรรมใด ๆ และตระหนักหรือให้ความสาคัญในเรื่องการจัดการความรู้ จึงเป็น
การนาทุนทางปัญญาไปสร้างมูลค่าหรือเพ่ิมมูลค่า ซึ่งจะย่ิงทาให้ได้ประโยชน์มากข้ึน ก่อให้เกิดคุณค่า
และมลู คา่ เชน่ ทางด้านธุรกิจอาจเป็นเรื่องของมลู ค่าเปน็ หลักหากนามาเช่ือมโยงกับด้านสงั คม อาจไม่ได้
เป็นเรอื่ งมูลค่าหรืองอกเงยเปน็ เงินแต่จะเป็นเร่ืองคุณค่าที่เกิดกับสังคม ซึง่ เปน็ การเพม่ิ พูนทุนทางปัญญา
อีกขั้นหนึ่ง โดยใช้ความรู้เป็นเครื่องมือพัฒนาตน ครอบครัว ชุมชน ท้องถ่ินและสังคม (วิจารณ์พานิช.
2546, ชุมชนการจดั การความรู้, 2547)
10.9 ตวั แบบของการจัดการความรู้ภมู ปิ ัญญาท้องถนิ่
การจัดการความรูจ้ ะมตี วั แบบ (model) ของการจดั การความรูห้ ลายแบบดังน้ีคอื (เอกวิทย์
ณ ถลาง 2546)
1. ตัวแบบท่ีหนึ่ง เป็นตัวแบบท่ีประกอบด้วย ผู้เอ้ืออานวยให้เกิดการจัดการความรู้
(Knowledge Management Facilitator : KMF) และเกิดกระบวนการจัดการความรู้ในชุมชนท้องถ่ิน
(Community Knowledge Management : CKM) ขึ้นมา ซ่ึงหมายถึงคนกลุ่มต่าง ๆ ที่มีการจัดการ
ความรู้ของตนเองในเร่ืองใด ๆ ก็ตาม อยู่ในลักษณะท่ีแต่ละกลุ่มทาแยกกัน อาจจะมีการนาเอาความรู้
จากภายนอกมาปรับใช้ด้วย เช่น การจัดการความรู้ของกลุ่ม ปลาร้าข้ามปี บ้านหนองบัวน้อย จังหวัด
อุดรธานี การจดั การความรขู้ องกลุ่มทอผา้ ฝา้ ยย้อมสีธรรมชาติ บ้านโป่งคา จังหวัดนา่ น เป็นตน้
310 ชวนพิศ อตั เนตร์
2. ตัวแบบที่สอง เป็นตัวแบบท่ีมีความซับซ้อน นอกจากจะมีผู้เอื้ออานวยให้เกิดการ
จัดการความรู้แล้ว ในส่วนของกลุ่มต่าง ๆ ท่ีมีการจัดการความรู้แบบต่างคนต่างทาก็มาเช่ือมโยงเป็น
เครือข่าย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความเข้าใจ ในการจัดการความรู้ซึ่งกันและกัน (Community
Knowledge Management Network : CKMN) ตัวอย่างเช่น การจัดการความรู้โรงเรียนชาวนา
จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเดิมมีสมาชิกท่ีเป็นกลุ่มชาวนาในจังหวัดสุพรรณบุรี 4 พื้นที่คือ อาเภออู่ทอง คอน
เจดยี ์ บางปลามา้ และอาเภอเมือง ปัจจบุ ันมีสมาชกิ เข้าร่วม 7 จงั หวัดคือ สพุ รรณบุรี นครสวรรค์ พิจิตร
สิงหบ์ ุรี ชยั นาท ลพบรุ ี และพระนครศรีอยุธยา การจัดการความรู้เครือข่ายอนิ แปง มจี ุดเรมิ่ ตน้ ทบ่ี ้านบัว
อาเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร ปัจจุบันเครือข่ายอินแปงขยายออกไปรอบป่าภูพานทั้ง 4 จังหวัด คือ
มกุ ดาหาร สกลนคร กาฬสินธุ์ และอดุ รธานี เปน็ ตน้
3. ตัวแบบที่สาม เป็นตัวแบบท่ีมีความซับซ้อนมากย่ิงข้ึน คือ จะมีผู้อานวยความสะดวก
ของเครือข่าย (Network Facilitator : NE) เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยท่ีมีหลายเครือข่ายเข้ามาเชื่อมโยง
มีการพัฒนาหรือใช้เครื่องมือเทคโนโลยสี ารสนเทศ และมีฐานข้อมูลทาให้ผู้ใช้สามารถนาไปค้นหาข้อมลู
จากฐานข้อมูลเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ตัวอย่างเช่น สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพ่ือสังคม (สคส.)
เป็นต้น
10.10 องคป์ ระกอบในการจัดการความร้ภู มู ปิ ัญญาท้องถิน่
ในการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น จาเป็นจะต้องพิจารณาองค์ประกอบของภูมิปัญญา
ในสามสว่ นทีส่ าคัญ คือ (เอกวิทย์ ณ ถลาง 2546, ปารชิ าตวิ ลัยเสถียร, 2549)
1. องค์ความรู้ องค์ความรู้ของชุมชนท้องถ่ินมิได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่เกิดจากการท่ีสังคมมี
ระบบคิดหรืออุดมการณ์ของชุมชนท้องถ่ินเป็นตัวกากับองค์ความรู้ให้สมาชิกภายในชุมชนท้องถ่ินได้
นาไปใช้อย่างเหมาะสม ประสบการณ์ของบุคคล และชุมชนท้องถ่ินก็เป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดองค์
ความรตู้ า่ ง ๆ ได้ความรู้ของชุมชนท้องถน่ิ มีหลายประเภท ทัง้ ที่เปน็ ความรู้ด้านเน้ือหาสาระ ด้านเทคนิค
และความรู้ที่เกี่ยวกับกระบวนการทางาน ซ่ึงเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนท้องถ่ินโดยตรง มีท้ัง
ความรทู้ ี่ใชป้ ระโยชน์ในระดับครอบครัว และความรทู้ ่ีใชป้ ระโยชนร์ ่วมกนั เปน็ กลุ่ม หรอื ชุมชนท้องถน่ิ
2. กระบวนการได้มาซึ่งความรู้ กระบวนการที่ก่อให้เกิดภูมิปัญญาท้องถ่ินมีความสาคัญ
และควรเน้นมากกว่าตัวเนื้อหาภูมิปัญญา เป็นหลักการที่ต้องคิดกันในแง่ของการนาภูมิปัญญามาใช้
ประโยชน์ หรือเป็นสิ่งท่นี ามาปรบั ใช้ได้ ไมว่ า่ จะเป็นการพฒั นาสงั คม พฒั นาอาชพี กระบวนการดังกล่าว
น้ีน่าจะเป็นประโยชน์กับคนรุ่นหลังท่ีเขาสามารถจะพัฒนาความรู้หรือภูมิปัญญาที่มีอยู่แล้วด้วยตัวของ
เขาเองตามสภาพ ตามกาลเวลา ฉะนัน้ ในการจดั การความร้ภู ูมปิ ัญญาท้องถนิ่ โจทยอ์ ย่ทู ว่ี า่ ทาอย่างไรจึง
จะให้ได้ข้อมูลท่ีเป็นมรรควิธีหรือกระบวนการที่บอกว่าภูมิปัญญาท้องถ่ินแต่ละอย่างเกิดข้ึนได้อย่างไร
ไม่ใช่กระบวนการที่เพียง แต่พรรณนาให้รู้ว่า “อะไรเป็นอะไร” (Know What เท่าน้ัน แต่สามารถ
คติชนและภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน 311
วิเคราะห์และเรียนรู้เชิงวิพากษ์ลึกลงไปว่า “ทาไม” จึงเป็นเช่นน้ัน (Know Why) รู้ถึงเง่ือนไขหรือเหตุ
ปจั จยั ยง่ิ ไปกวา่ นัน้ ยังต้องรู้ดว้ ยว่า “ทาอย่างไร” (Know How) ท่จี ะสรา้ งประโยชน์แกต่ นชุมชนท้องถิ่น
หรอื สงั คม
3. เป้าหมายหรือทิศทางของการพัฒนา การนาความรู้ไปใช้ หรือผลกระทบจากความรู้
และกระบวนการนั้น ๆ ซ่ึงถือว่าเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญ เพราะจะสะท้อนกระบวนทัศน์ วิธีคิดที่
กาหนดวธิ ีการในเรอ่ื งตา่ ง ๆ ของชุมชนท้องถิ่น หรอื สงั คม
การเรยี นรูก้ บั การจัดการความรภู้ มู ปิ ัญญาท้องถิน่
การเรียนรู้ คือกระบวนการทางความคิด และการกระทาท่ีทาให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ใน
เนอ้ื หาสาระของความรู้ และการปฏบิ ัติ ทน่ี าไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงความคิดและพฤติกรรม ซงึ่ เปน็ ผลจาก
ประสบการณ์ที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือจากการฝึกหัด รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงปริมาณ
ความรู้ของบุคคลที่มีความเก่ียวข้องกับการนึกคิด การวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา โดยการเรียนรู้ใด ๆ
คือความเข้าใจถึงความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงกับส่ิงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ (ปาริชาติวลัย
เสถียร, 2549) ส่วนการจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือในการเพ่ิมคุณค่าหรือมูลค่าให้กับองค์กรชุมชน
ท้องถิ่นหรือสังคมที่มีการเรียนรู้ ในมุมมองของการจัดการความรู้น้ัน แบ่งประเภทของความรู้ได้หลาย
ประเภท หากแต่มีความรู้ที่ถูกมองข้ามไปคือความรู้ท่ีเป็นภูมิปัญญาด้ังเดิมของชุมชนท้องถิ่น ที่ไม่มี
โครงสร้างหรือบทบาทที่ชัดเจน แต่สามารถสร้างให้เกิดกระบวนการเรียนรู้หรือจัดการความรู้ได้ จะ
พบว่าในปัจจุบันองค์กรชุมชนหลาย ๆ แห่ง สามารถค้นหาและดึงศักยภาพของบุคคล กลุ่มบุคคล หรือ
องค์กรชุมชนท้องถิ่นมาเป็นทุนทางสังคม เช่น ภูมิปัญญา ประเพณี วัฒนธรรมความเชื่อ
ทรัพยากรธรรมชาติ โดยผ่านกลไกในการจดั การเรียนร้ใู นรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสรา้ งสรรคพ์ ลงั ปัญญาให้กับ
ชมุ ชนท้องถ่ินใหส้ ามารถขับเคล่ือนงานหรือกิจกรรมของชุมชนท้องถ่นิ ให้กา้ วหน้าและขยายสสู่ ังคมในวง
กวา้ งไดม้ ากข้ึน
การเรียนรู้เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนและคนกับส่งิ แวดล้อมอาจจาแนก
วิธีการเรียนรู้ไดด้ ังน้ี
1. วิธีการเรียนรู้โดยกระบวนการปฏิสัมพันธ์ สามารถแบ่งวิธีการเรียนรู้ออกเป็น 2 วิธีคือ
การเรยี นรู้ดว้ ยตวั เองและการเรียนรู้จากผู้อืน่
1.1 การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ที่มีพื้นฐานจากความสนใจ ความมุ่งมั่น
ความเพียรพยายาม มีการต้ังคาถาม การสะท้อนกลับต่อประสบการณ์ และความรู้เดิม สร้างความรู้ที่มี
ผลสัมฤทธิ์สอดคล้องกับวิถีชีวิต ศักยภาพของตน เป็นการเรียนโดยอาศัยการสังเกตการทดลอง และ
การฝึกปฏิบัติด้วยตนเองเป็นหลัก อาจเริ่มจากความสนใจ และทดลองฝึกหัดอย่างต่อเนื่อง ลองผิดลอง
ถูก เพ่ือให้สอดคล้องกับเงื่อนไข และบริบทของตน แล้วนาไปสู่การปฏิบัติจริงจนประสบความสาเร็จ
312 ชวนพิศ อัตเนตร์
การเรียนรู้ด้วยตนเองของชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่น ส่วนใหญ่จะสอดประสานไปกับวิถีการดาเนินชีวิต
และอาศัยข้อมูลท่ีได้รับจากผลกระทบที่เกิดขึ้น และการใช้เหตุผลในลักษณะการปฏิบัติจรงิ การทดลอง
สังเกต จดจา บันทึก เปรียบเทียบ หาข้อสรุป เป็นการเรียนรู้และปรับตัวเพ่ือสามารถแก้ไขสถานการณ์
ปัญหาและกาหนดตนเองให้ดารงชีวติ รักษาอตั ลักษณ์อยู่ไดใ้ นกระแสการเปล่ียนแปลง
1.2 การเรียนรู้จากผู้อ่ืน เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ท้ังการเรียนรู้ที่มี
รูปแบบและไมม่ ีรปู แบบจากบุคคลกลุ่มบุคคลท่ีใกล้ชดิ ด้วยความสัมพันธส์ ่วนตัว และบคุ คลภายนอก ทีม่ ี
ความสัมพันธ์ทางวิชาชีพ หรือหน้าที่การงานเก่ียวข้องกัน ซึ่งสามารถแบ่งวิธีการเรียนรู้จากผู้อ่ืนได้
ดังนี้คือ การเรียนรู้จากบรรพบุรุษ การเรียนรู้จากเครือญาติ หรือคนในชุมชนท้องถิ่นเดียวกัน และ
การเรยี นรจู้ ากบคุ คลภายนอกชุมชนทอ้ งถ่นิ ซ่งึ มีรายละเอียดดงั น้ีคือ
1.2.1 การเรียนรู้จากบรรพบุรุษ เป็นการส่งผ่านความรู้ ภูมิปัญญาจากคนรุ่น
หนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหน่ึง จากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหน่ึง ในลักษณะการเรียนรู้แบบตัวต่อตัว คือ พ่อแม่
สอนลกู ผูเ้ ฒ่าสอนหลาน บคุ คลได้ซมึ ซับความรสู้ ึกนึกคดิ ศรัทธา และวธิ ีการคดิ ของบรรพบุรุษ โดยการ
ถ่ายทอดผ่านส่ือภาษา ทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน และภาษากาย เป็นการเรียนรู้จากการประพฤติปฏิบัติ
ในการดาเนินชีวิตประจาวัน และจากพิธีกรรม จารีต ประเพณี ท่ีมีรากฐานทางวัฒนธรรมร่วมกัน
การเรียนรู้จากบรรพบุรุษ มีท้ังการรับการถ่ายทอดความรู้ และทักษะเดิม และการคิดประยุกต์ให้
สอดคล้องเหมาะสมกับเง่ือนไขของตนเอง โดยสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้เหล่านั้นจะรวมกันเป็นข้อมูล
ขา่ วสาร ความรู้ ทาให้เกดิ ความคิด และเจตคติใหม่ ๆ ตลอดจนเทคนิคและทกั ษะใหม่ ๆ
1.2.2 การเรยี นร้จู ากเครือญาตหิ รือคนภายในชมุ ชนเดียวกัน เปน็ การเรียนรู้ที่
มพี ื้นฐานความเชื่อ เคารพ ศรัทธา ไว้วางใจ และยอมรบั ในแบบกัลยาณมิตร ซ่งึ บุคคลทส่ี ามารถเรียนรู้ได้
ต้องมีใจใฝ่เรียนรู้ มีความมุ่งม่ัน มีความอดทน เพราะต้องอาศัยระยะเวลาเรียนรู้ฝึกฝนจนเกิดทักษะ
ความชานาญ
1.2.3 การเรียนรู้จากบุคคลภายนอกชุมชน ท้องถิ่นเป็นการเรียนรู้จากผู้รู้
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ที่มีประสบการณ์จริง และประสบความสาเร็จ เช่น
นักพัฒนานักวิชาการ นักจัดการความรู้ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ โดยมีการเชิญผู้รู้ หรือ
วิทยากร มาใหค้ วามรหู้ รอื ฝึกอบรมให้
2. วิธีการเรียนรู้โดยการใช้ประสาทสัมผัส วิธีการเรียนรู้โดยการใช้ประสาทสัมผัสในการ
ประมวลผลและวิเคราะห์ ซ่ึงมวี ิธีการเรียนรูด้ งั นี้คือ
2.1 การพูด-การฟัง เป็นการสร้างพื้นท่ีให้มีการส่ือสารระหว่างกัน โดยใช้การพูดคุย
แลกเปล่ียนความรู้ความคิด เพื่อเป็นพื้นฐานหรือท่ี เรียกว่า “เวที” ซ่ึงการพูด-การฟังมีทั้งแบบไม่เป็น
ทางการ เชน่ “วงนา้ ชา” “มุมกาแฟ” หรือ “การโสกัน” ของชุมชนทอ้ งถน่ิ ในภาคอีสาน เปน็ ตน้ นบั เป็น
พ้นื ทหี่ รือเวทีเปิดทสี่ ามารถพดู คุยกันได้ทุกเร่ือง และเวทีการประชมุ แลกเปลีย่ นในรูปแบบท่ีเป็นทางการ
คติชนและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ 313
ต้องมีการเตรียมความพร้อม เช่น การระบุวัตถุประสงค์กาหนดบทบาทหน้าท่ีของฝ่ายตา่ ง ๆ หัวข้อหรือ
ประเด็น ท่ีสร้างบรรยากาศท่ีเอ้ือต่อการมีส่วนร่วมของทุกคน รวมท้ังการบันทึกเน้ือหาสาระและข้อสรปุ
เปน็ ตน้
การพูด-การฟัง ที่จานาไปสู่การเรียนรู้ได้นั้น จาเป็นต้องมีความเท่าเทียมกันใน
เวทีการพูดคุยแลกเปลี่ยน ซ่ึงความแตกต่างในฐานะทางเศรษฐกิจ สภาวะผู้นา ประสบการณ์ เพศวัย
ชาติพันธ์ บรรยากาศ ตลอดจนสัมพันธภาพ มีส่วนสัมพันธ์กับความเท่าเทียมในการร่วมเวทีการพูดคุย
และการฟัง
2.2 การศึกษาดูงาน เป็นวิธีการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับธรรมชาติของการเรียนรู้ที่ใช้
ประสาทสัมผัสในทุก ๆ ด้าน เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ท่ีเกิดข้ึนจริง เป็นการเรียนรู้แบบมีส่วน
ร่วม จึงทาให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว อาจเป็นการศึกษาดูงานของกลุ่มหรือองค์กรภายในชุ มชน
ท้องถิ่น เช่น กลุ่มปลาร้าข้ามปี บ้านหนองบัวน้อย ตาบลหนองสระปลา อาเภอหนองหาน จังหวัด
อุดรธานี สนบั สนนุ ใหน้ กั เรียนในชุมชน ท้องถ่นิ เรียนรู้การทาปลาร้าและปุ๋ยหมักชวี ภาพ โดยกลุ่มปลาร้า
ข้ามปีร่วมกันทากิจกรรมกับโรงเรียนบ้านหนองบัวน้อย และให้นักเรียนมาศึกษาดูงานท่ีกลุ่มหรือมี
การศึกษาดูงานของกลุ่มอ่ืน ๆ ที่ทากิจกรรมเดียวกันท่ีประสบความสาเร็จในต่างพื้นที่ เช่น การศึกษาดู
งานกลุ่มอื่น ๆ ท่ีทาผลิตภัณฑ์ปลาร้าเหมือนกันในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อแลกเปล่ียนความรู้ ประสบการณ์
ปัญหาอปุ สรรคต่าง ๆ
2.3 การเรียนรู้จากกิจกรรมการออกร้าน การแสดงผลงาน และนิทรรศการจากการ
เข้าร่วมกจิ กรรมต่าง ๆ ทาให้เหน็ ผลงานของกลุ่มอน่ื ๆ รวมทง้ั ไดพ้ ดู คยุ แลกเปลย่ี นประสบการณ์แล้วนา
ความร้ทู ่ีได้รับมาคิด วิเคราะห์ ทดลองทา และทาใหม้ ีการทบทวนการทางานของตนเอง เพ่ือหาแนวทาง
ในการพัฒนา
3. การเรยี นรจู้ ากการปฏิบัตจิ รงิ จดั เปน็ การเรียนรู้ทด่ี ีท่สี ุด ซ่งึ มวี ธิ กี ารเรยี นรู้ คอื
3.1 การลองผิดลองถูก นับเป็นวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์นับต้ังแต่สมัยบรรพกาลใน
การเรียนร้เู พือ่ ความอยูร่ อด และดารงเผ่าพันธุ์ ในปัจจบุ ันอาจเรียนรู้โดยการทดสอบ ทดลอง ด้วยตนเอง
หรือเรียนรู้จากผู้อื่น และนามาปฏิบัติให้ได้ผล และต้องลองผิด ลองถูก จากการปฏิบัติจริง ตามเง่ือนไข
และสภาพแวดลอ้ มทีแ่ ตกต่างกนั ออกไป
3.2 การค้นหาเอกลกั ษณ์ของตน ในกิจกรรมดา้ นศลิ ปหตั ถกรรม กลุม่ อาชีพมักจะลง
มือปฏิบัติจริงพร้อมกับการคิดสร้างสรรค์ ประดิษฐ์ ประยุกต์ความรู้เดิม ความรู้ใหม่ท้ังจากภายในและ
ภายนอกชุมชนท้องถ่ิน เพื่อให้ได้ผลงานท่ีมีเอกลักษณ์ของตน เช่น ผ้าฝ้ายย้อมครามของแม่ฑีตา
ท่ีสร้างสรรค์เอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์คือ การคิดลวดลายท่ีไม่ให้ซ้าใครและพัฒนาการย้อมสีคราม
ธรรมชาติไม่ให้ตกสี และผลิตภัณฑ์ของกลุ่มปลาร้าข้ามปี ท่ีคิดค้นปลาร้าท่ีเป็นอาหารพื้นบา้ นของอีสาน
เปน็ นวตั กรรมคอื ปลาร้าคนอร์ทพ่ี กพาได้สะดวกนับว่าเป็นการยกระดับสินคา้ หรือผลิตภณั ฑ์ เป็นตน้
314 ชวนพิศ อัตเนตร์
สาหรับจุดเน้นของการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้น ภูมิปัญญาท้องถ่ินมีพลวัตหรือวิธีการ
เปล่ียนแปลง และยึดโยงกับมิติอื่น ๆ ในสังคมในลักษณะที่เป็นพลังหรือพลวัตทางสังคม มีจุดเน้นของ
การเรียนรู้ภมู ปิ ญั ญาท้องถนิ่ (สทุ ธิวงศพ์ งศไ์ พบลู ย.์ 2547) ดงั น้คี ือ
1. เรยี นรมู้ รรควิธีของภมู ิปัญญาท้องถ่ินมากกว่าผล ทัง้ น้เี พราะมรรควธิ สี ามารถนาไปปรับ
ใช้ได้ เช่น เราเรียนรู้ภูมิปัญญาของคนอีสาน โดยที่ไม่จาเป็นต้องมีวิถีชีวติ แบบชาวอีสาน แต่เราสามารถ
นาไปปรับใช้ได้ วิถีของภูมิปัญญาท้องถ่ิน จะมีกระบวนการที่ทาให้เกิด และเป็นกระบวนการท่ีเลือกสรร
มาปรับใชใ้ หเ้ กิดประโยชนไ์ ด้
2. เรียนรู้วิถีและพลังของภูมิปัญญามากกว่ารูปแบบหรือรูปลักษณ์ ซึ่งวิถีหรือพลังเป็น
เรื่องของความเคล่ือนไหว เป็นนามธรรมท่ีต้องใช้สติปัญญาในการเรียนรู้ เห็นได้ด้วยใจ ส่วนรูปลักษณ์
หรือรูปแบบจะเห็นได้ด้วยตา การเรียนรู้ภูมิปัญญาที่เห็นได้ด้วยตานั้นจะมีการเลียนแบบซึ่งการ
เลียนแบบนั้นเป็นอันตราย แต่ถ้าใช้สติปัญญาดูวิถีและพลังของภูมิปัญญาจะทาให้ประเทืองปัญญายิ่ง
งอกงามขนึ้ เร่อื ย ๆ
3. เรียนรู้ภูมิปัญญาเชิงจารีตมากกว่าการศึกษาภูมิปัญญาเชิงจริต ซึ่งจริตหมายถึง
พฤติกรรมส่วนตน คนทุกคนมีจริตกันด้วยกันท้ังนั้น การมีการศึกษาต่างกัน มีส่ิงแวดล้อมที่ต่างกัน และ
มีปัจจัยอ่ืน ๆ ต่างกัน จะทาให้จริตต่างกัน แต่ในจริตที่หลากหลายน้ัน ถ้ามองในชุมชนเดียวกันจะมีจริต
ร่วม คือ จารีต ซึ่งจารีต หมายถึง ผลรวมของจริต ภูมิปัญญาที่เป็นจารีต จะเป็นของชุมชนของคนหมู่
มาก เพราะฉะนั้น ภูมิปัญญาที่น่าสนใจ เรียกว่า ภูมิปัญญาของชุมชน ภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือที่เรียกว่า
ภูมิปัญญาที่เป็นวัฒนธรรมร่วม เพราะชุมชนท้องถิ่นเป็นผู้ขัดเกลาเป็นผู้พิสูจน์เป็นผู้ปฏิบัติซ้า เป็น
ผคู้ ัดเลือกซา้ จนเปน็ ทพี่ งึ ปรารถนาหรือเปน็ ทพ่ี อใจ
4. เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินที่ช่วยเพิ่มคุณค่ามากกว่าภูมิปัญญาท่ีเพ่ิมมูลค่า ซึ่งมูลค่าเป็น
ตัวเงิน เป็นตัววัตถุ เม่ือใดที่เห็นมูลค่าสาคัญกว่าคุณค่าแล้ว เม่ือนั้นจะเกิดอันตรายต่อชุมชนท้องถ่ิน
สงั คม หรอื ประเทศชาติ
สรุปได้ว่าการเรียนรู้เป็นพื้นฐานสาคัญต่อความสามารถในการจัดการความรู้ การที่บุคคล
หรือชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่นเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ นับว่าเป็นปัจจัยพ้ืนฐานต่อความสาเร็จในการ
จัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งนี้เพราะการจัดการความรู้กับการเรียนรู้มีความเก่ียวพันกัน
หากกระทาส่ิงหน่ึงจักต้องกระทาอีกส่ิงหนึ่งหน่ึงควบคู่กัน ซึ่งการเรียนรู้อาจเป็นการเรียนรู้ทีห่ ลากหลาย
เช่น การเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้จากผู้อ่ืน หรือเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัส เป็นต้นรวมทั้งควรมี
จุดเน้นในการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ซึ่งจะทาให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยังผล
ใหก้ ารจัดการความรูภ้ มู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ สามารถบรรลทุ าวัตถปุ ระสงค์ทต่ี ั้งไว้
เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้เพ่ือเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้และการจัดการความรู้ภูมิ
ปัญญาทอ้ งถ่นิ
คตชิ นและภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน 315
เครื่องมือและเทคนิคท่ีใช้เพื่อเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้และการจัดการความรู้ภูมิ
ปญั ญาทอ้ งถิน่ มหี ลากหลายประเภทซ่งึ สามารถจาแนกได้ ดังน้คี ือ
1. เคร่ืองมือท่ีเป็นตัวบุคคล บุคคลอาจถือเป็นเครื่องมือในฐานะของผู้เอื้ออานวย
กระบวนการเรียนรู้ ผู้เช่ือมประสาน โดยการเป็นวิทยากร เป็นผู้บอกเล่า และนาประสบการณ์ชีวิตของ
ตนมาเป็นแบบอย่างแก่ผูอ้ ื่น ๆ เชน่ ครูภมู ปิ ญั ญา ปราชญ์ชาวบ้าน นักวจิ ัยไทบา้ น นกั พัฒนา เป็นตน้
2. เครื่องมือท่ีเป็นวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถ่ิน นับเป็นการเรียนรู้จากทุนของชุมชน
ท้องถ่ิน โดยการค้นหาวัฒนธรรมท่ีดีงามท่ีมีอยู่ ใช้มาตรฐานภายในวัฒนธรรมนั้นเอง เป็นตัววัดความดี
และความไม่ดี ชาวบ้านโดยเฉพาะปราชญ์ชาวบ้านเป็นคนในชุมชนท้องถิ่นท่ีสามารถมองจากข้างใน
วัฒนธรรมไดแ้ จ่มชดั ทส่ี ุด มคี วามเข้าใจในวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง จะต้องใชภ้ ูมิธรรมและภูมิปัญญาที่ได้รับ
การถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ ในการวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่กาลังเกิดขึ้น และกาลังดาเนินอยู่ใน
ชุมชนท้องถิ่น และใช้ปัญญานั้นพัฒนาวัฒนธรรมของตนขึ้นมาแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชนท้องถ่ินต่อไป
ตัวอย่างเช่น ความเช่ือ และอุดมการณ์ของชุมชนเรื่องผี “เร่ืองผิดผี” คือการละเมิดละเลยกฎประเพณี
ผีคือผู้สร้างความสมดุลระหว่างคนกับคนคนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ผีไม่ใช่ผู้รักษา
กฎผี คือตัวกฎนั้นเอง
ส่วนเทคนิคท่ีใช้เพ่ือเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้และการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น
นัน้ มเี ทคนคิ วิธกี ารในการเรียนรแู้ ละการจดั การความรู้ดงั นคี้ ือ
1. ยึดชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตัง้ ในการเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้และการจดั การความรู้
ภูมิปัญญาท้องถิ่น จะต้องคานึงถึงความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพชุมชนท้องถิ่นเรียนรู้ที่จะนาทุน
สถาบันทางสังคม (บ้าน วัด โรงเรียน) ทุนทางสังคม (ผู้รู้ ครูภูมิปัญญา ปราชญ์ชาวบ้าน วัฒนธรรม
ประเพณี) และทุนทรัพยากรธรรมชาติ (ดิน น้า ป่า) ท่ีมีอยู่ในชุมชนท้องถิ่นนามาเป็นฐานในการ
สนบั สนนุ การดาเนนิ งาน
2. การมีส่วนร่วม ในกระบวนการเรียนรู้และการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินน้ัน ควร
ใชห้ ลักความเสมอภาค คือ ใหท้ กุ คนไม่วา่ จะเป็นเยาวชน ผใู้ หญ่ ผูส้ ูงอายุ พระสงฆ์ ไดม้ ีส่วนร่วมทั้งระดับ
แนวคดิ และการปฏบิ ัติ ตามความสามารถ โดยคานึงถงึ ความหลากหลาย
3. กระบวนการกลุ่มเป็นการทางานเป็นทีม ร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ตลอดจนการวางแผนการตดั สินใจ โดยอาศัยกระบวนการกลมุ่
4. การหาภาคีความร่วมมือควรมีการประสานความรวมมือหรือการสนับสนุนจากองค์กร
หรือชุมชนท้องถิ่น เพ่ือทาให้เกิดความรู้สึกว่า “มีเพื่อนร่วมเดินทาง” เมื่อมีปัญหาก็สามารถปรึกษาได้
ทั้งนี้เพราะต่างก็รู้ดีว่าใครมีความรู้หรือประสบการณ์เรือ่ งใด เปรียบเหมือนเข็มทิศในการดาเนินงานโดย
316 ชวนพิศ อัตเนตร์
ไม่ต้องเร่ิมต้นจากศูนย์ มีบรรยากาศในการทางานแบบเพ่ือนช่วยเพ่ือนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เป็นการเติม
เตม็ ให้กันและกนั ชว่ ยเหลือซ่งึ กนั และกันในลักษณะเครอื ข่ายความรว่ มมือ
สรุปได้ว่าเคร่ืองมือและเทคนิคท่ีใช้ในการเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ และการจัดการ
ความรู้ จะต้องสามารถนาไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับบริบทของชุมชนท้องถิ่น และอยู่บนพื้นฐานของ
ความต้องการของชุมชนท้องถิ่น สอดคล้องกับสภาพปัญหาท่ีเกิดขึ้น สอดคล้องกับทรัพยากรท่ีมีอยู่ใน
ชุมชนท้องถ่ิน รวมท้ังสอดคล้องกับวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ขีดความสามารถท่ีชาวบ้านใน
ชุมชนท้องถิ่นเรียนรู้และดาเนินการได้ โดยใช้หลักความเสมอภาคการมีส่วนร่วมในลักษณะการทางาน
เปน็ ทีม
มิตขิ องการจัดการความรูภ้ มู ปิ ัญญาทอ้ งถนิ่
นอกจากกระบวนการแลกเปลี่ยน แบ่งปัน ถ่ายทอดความรู้ ยังมีมิติการจัดการความรู้ของ
ชุมชนทอ้ งถิ่นต่าง ๆ (ปาริชาตวิ ลัยเสถียร, 2549) มีลกั ษณะดังน้ีคือ
1. การฟืน้ ฟคู วามรู้ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ ท่ีมีอยู่เดิม ทุกชุมชนท้องถน่ิ มีความรูแ้ ละภูมิปัญญาท่ี
เกี่ยวข้องกับการดารงชีวิต ท้ังด้านการผลิต สังคม วัฒนธรรม การเมือง และการปกครองของชุมชน
ท้องถ่ิน รวมท้ังการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเป็นฐานเดิมอยู่แล้ว อาจมีมากน้อยแตกต่างกันไป
การฟ้ืนฟคู วามรู้ภูมปิ ัญญาทมี่ ีอยู่เดมิ ทาให้ความร้ชู ัดเจนและสอ่ื สารได้กวา้ งขวางมากข้นึ วา่ ชุมชนท้องถิ่น
มีความรู้อะไรบ้าง ความรู้น้ันมีท่ีมาอย่างไร ใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ควรปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับ
เงื่อนไขต่าง ๆ ได้อย่างไร
ความสาคัญของการฟื้นฟูความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ีมีอยู่เดิม อยู่ท่ีการให้ความหมาย
แก่ “คุณค่า” ของทุนชุมชนท้องถิ่น ความรู้ภูมิปัญญาในบางเรื่อง ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักเหตุ
ผลได้ เพราะเป็นเร่ืองของศรัทธา ความเชื่อ ดังนนั้ การสืบต่อและการถา่ ยทอดจึงไมเ่ พยี งแต่การสอน การ
บอกเล่า แนะนา หรือจัดทาเป็นเอกสารและสื่อในรูปแบบต่าง ๆ เท่าน้ัน แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติด้วย
ความเขา้ ใจอย่างลกึ ซง้ึ เป็นสาคัญ
2. การสกัดความรู้ท่ีมีอยู่ในตัวบุคคลและกลุ่ม เป็นการประมวลความรู้จากประสบการณ์
ของบุคคลและกลุ่มกิจกรรม โดยร่วมกันวิเคราะห์ ทบทวน ตรวจสอบ ศึกษาเพิ่มเติม เป็นการเสริมฐาน
ต่อยอด และยกระดับความรู้เดิม
3. การใช้วิทยาการหรอื เทคโนโลยีที่เหมาะสมจากภายนอกโดย การศึกษา ทดลอง นามา
ปฏิบัติเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาของชุมชนท้องถ่ิน จัดเก็บเป็นคลังความรู้ของชุมชนท้องถิ่น หรือ
ผลติ เป็นสือ่ และเผยแพร่
4. การสร้างความรู้ใหม่จากประสบการณ์ของบุคคล กลุ่ม ชุมชนท้องถิ่น โดยการทดลอง
การสังเกตและจดั เก็บเปน็ คลงั ความรู้ สรปุ ผลดาเนนิ งานร่วมกันในรูปแบบของกลุม่ เรียนรู้
คติชนและภูมิปญั ญาท้องถิน่ 317
5. การจัดระบบการจัดเก็บความรู้ จากการรวบรวมความรู้ การถอดองค์ความรู้ต่าง ๆ
นามาแยกเป็นหมวดหมใู่ นลักษณะตา่ ง ๆ ดังน้ีคือ
5.1 ฐานข้อมูลเอกสาร จัดเก็บในลักษณะสื่อส่ิงพิมพ์เกี่ยวกับความรู้เทคนิคและง่าย
ทักษะตา่ ง ๆ มีการจดั พิมพ์เปน็ เอกสารจดั ทาเป็นวดี ีทศั นเ์ พ่ือใหผ้ สู้ นใจสามารถเขา้ ถงึ ข้อมลู ได้
5.2 ฐานข้อมูลบุคคลจัดทาทาเนียบบุคคลซ่ึงประกอบด้วยประวัติผลงานความรู้และ
ความเชีย่ วชาญ
5.3 มกี ารเขยี นบันทกึ ประสบการณ์ชีวติ เรือ่ งเลา่ ตานานอดั
5.4 จดั ทาหลักสตู รคมู่ อื การเรยี นการฝึกอบรม
5.5 จดั ทาแหลง่ เรยี นรหู้ อ้ งเรียนธรรมชาติมกี ารวางแผนการจัดการ
5.6 จัดทารายงานงานวิจัยชุมชนท้องถิ่นโดยสมาชิกในชุมชนท้องถ่ินร่วมกับ
นกั วิชาการและนักพัฒนา
เอกวิทย์ ณ ถลาง และคนอ่ืน ๆ (2546) ได้กล่าวถึงมิติของการจัดการความรู้ภูมิปัญญา
ท้องถ่ินไม่ใช้การเก็บข้อมูลความรู้แบบขาดจากฐานของชุมชนท้องถ่ิน แต่หากต้องส่งเสริมให้ชุมชน
ท้องถิ่นเห็นถึงคุณค่า ตระหนักถึงความสาคัญในการจัดการความรู้ของตนเองและสามารถเข้าถึง ดูแล
ใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาของตนเองในวถิ ีชีวติ ปัจจุบัน ทั้งน้ีการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการ
รวบรวมความรู้จาเป็นต้องอาศัยการวิจัยเชิงคุณภาพเพราะเป็นการมุ่งไปหาความรู้จากการสัมภาษณ์
เชิงลึก (Indepth Interview) การสังเกต การรวบรวมข้อมูลจากเข้าไปอยใู่ นเหตุการณ์ตามการรับรู้และ
เข้าใจของผู้วิจัย เพื่อท่ีจะสามารถย้อนรอย สืบสาว หรือสกัดความรู้เหล่าน้ันออกมาได้ ซึ่งอาจทาได้
หลายแนวทางคือ
1. การดทู ี่ผลติ ภณั ฑ์สุดทา้ ย (End Product) แลว้ สบื คน้ ย้อนไปถึงทมี่ าของผลิตภัณฑ์หรือ
ภมู ปิ ัญญานน้ั ๆ เชน่ เรอื่ งยาสมุนไพร อาหาร เปน็ ต้น กล่าวคอื ร้วู ่าผลิตภัณฑ์สุดท้ายเปน็ อย่างนี้ ตน้ ตอ
อยทู่ ไี่ หน วิธีการผลิตออกมาเป็นอย่างไร และภมู ปิ ญั ญาเบอื้ งหลังคืออะไร
2. การเกบ็ รวบรวมความรู้โดยตรงจากตัวบุคคลโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งความรู้ทม่ี ีความจาเป็น
เรง่ ด่วน โดยเก็บรวบรวมความรู้ภูมปิ ัญญาจากผ้รู ู้ หรอื ปราชญช์ าวบา้ น หรอื ครภู ูมิปญั ญาหรือการเข้าถึง
แหล่งสถานท่ี เชน่ พิพธิ ภัณฑ์ชาวบา้ น เป็นต้น
กรณีศึกษา: การจดั การความร้ภู มู ิปญั ญาท้องถิน่ ปลารา้ ข้ามปบี ้านหนองบัวน้อยตาบลหนอง
สระปลาอาเภอหนองหานจงั หวดั อุดรธานี การจัดการความร้ภู ูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่นปลารา้ ข้ามปนี ั้น เป็นการ
วิจัยเชิงคุณภาพของผู้เขียนกับทีมงานวิจัย เพ่ือท่ีจะย้อนรอย สืบสาว หรือสกัดความรู้อันเป็นภูมิปัญญา
ชาวบ้านท่ีสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาร้าซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านของชาวอีสาน เป็นการนาภูมิปัญญา
ทอ้ งถน่ิ อันเปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น และทนุ ทางสังคมมาพฒั นาเปน็ ผลติ ภัณฑ์ใหม่ ๆ
318 ชวนพิศ อตั เนตร์
ที่สร้างช่ือเสียงให้เป็นท่ีรู้จักและยอมรับบุคคลทั่วไป รวมทั้งได้รับการคัดสรรเป็นผลิตภัณฑ์ระดับ5 ดาว
ในโครงการหนึง่ ตาบลหนงึ่ ผลิตภณั ฑ์ 5 ดาว
10.11 กรอบแนวคดิ การจัดการความรูภ้ มู ปิ ัญญาท้องถิ่นปลาร้าข้ามปี
กรอบแนวคิดการจัดการความรู้ (Knowledge Management Framework) ใช้เป็น
แนวทางในการดาเนนิ การจัดการความรู้ ซึ่งกรอบแนวคิดการจดั การความรมู้ ีหลายรูปแบบท่ีแตกต่างกัน
มีจุดดี จุดด้อยของกรอบแนวคิดแต่ละแบบ การจะเลือกใช้กรอบแนวคิดการจัดการความรู้แบบใดจึงจะ
เหมาะสมและมีโอกาสทาให้การดาเนินการจัดการความรู้ประสบความสาเร็จ สาหรับการจัดการความรู้
ภูมิปัญญาท้องถ่ินของกลุ่มปลาร้าข้ามปีนั้น ได้นาเอากรอบแนวคิดการจัดการความรู้ ตัวแบบปลาทู
(Tuna Model) มาประยุกตใ์ ช้ในการดาเนินการจดั การความรูข้ องกลุ่ม ดังรปู ที่ 9.3
รูปท่ี 9.3 ความรู้ ตวั แบบปลาทู (Tuna Model) ที่มา (ประพนั ธ์ ผาสุกยดื . 2547, หน้า 22)
จากกรอบแนวคิดการจัดการความรู้ ตัวแบบปลาทู (Tuna Model) ของกลุ่มปลาร้าข้ามปีมีรายละเอียด
ดังน้ี คือในแบบจาลองน้ีเปรยี บเทียบการจัดการความรู้เหมือนปลาตัวหนึ่ง โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนซึ่งมี
รายละเอยี ดดงั นคี้ ือ
1. ส่วนหัวปลา (Knowledge Vision : KV) คือ ส่วนท่ีเป็นเป้าหมายหรือทิศทางของการ
จัดการความรู้ สาหรับเป้าหมายของการจัดการความรู้ของกลุ่มปลาร้าข้ามปีคือ ต้องการพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ปลาร้าให้เป็นนวัตกรรมใหม่เป็นการยกระดับปลาร้า ซ่ึงเป็นอาหารพื้นบ้านของอีสาน
ให้สามารถขายตามห้างสรรพสนิ คา้ และส่งขายต่างประเทศได้
2. ส่วนกลางลาตัว ( Knowledge Sharing : KS) เป็นส่วนท่ีมีความสาคัญมาก
เป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กลุ่มปลาร้าข้ามปี มีกระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ โดยเรียนรู้ด้วย
ตนเองที่มีพื้นฐานจากความสนใจ ความมุ่งมั่น เพียรพยายามในการเรียนรู้ โดยอาศัยการสังเกต
การทดลอง และการฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนทาให้เกิดประสบการณ์ ประธานกลุ่มและสมาชิกฝ่ายผลิต
คตชิ นและภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ 319
ทกุ คนมีประสบการณใ์ นการทาปลาร้า รวมทั้งเรยี นรจู้ ากชาวบ้านท่ีมีชื่อเสียง (ผชู้ านาญการหรือปราชญ์
ชาวบ้าน) มีวิธีการปฏิบัติท่ีดีเลิศ (Best Practice) ในการทาปลาร้ารวมทั้งความรู้ท่ีได้รับจากผู้รู้หรือ
ผู้เช่ียวชาญเฉพาะด้าน ในการอบรมสัมมนาเกี่ยวกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ทาให้ความรู้และ
ประสบการณ์ของแต่ละคนจะถูกดึงออกมาแลกเปล่ียนกัน โดยใช้การบอกเล่าหรือการเล่าเรื่อง
การระดมความคดิ เวทแี ลกเปลีย่ นเรียนรู้ ในลักษณะชุมชนผู้ปฏบิ ตั ิ (Community of Practice) จนเกดิ
เป็นฐานความรู้ของกลุ่มปลาร้าข้ามปี จากฐานความรู้ แล้วนาไปทดลองปฏิบัติจริง ทาให้กลุ่มได้ความรู้
ใหม่ ๆ เปน็ การยกระดับความรู้ของสมาชิกและกลุ่ม ทาใหก้ ลุ่มปลาร้าข้ามปสี ามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้
หลากหลายรูปแบบ ซึ่งการแลกเปล่ียนเรียนรู้ของกลุ่มปลาร้าข้ามปีมีกิจกรรมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ดงั แสดงในรปู ท่ี 9.4
รปู ท่ี 9.4 กจิ กรรมการแลกเปล่ยี นเรียนร้ขู องกลุ่มปลารา้ ขา้ มปี
3. ส่วนท่ีเป็นหางปลา (Knowledge Assets : KA) คือองค์ความรู้ท่ีกลุ่มปลาร้าข้ามปีได้
เก็บสะสมไว้เป็นคลังความรู้หรือขุมความรู้ คือ ความรู้ที่ชัดแจ้งหรือ ความรู้เปิดเผย (Eplicit
Knowledge) คือ ความรู้เชิงทฤษฎีท่ีปรากฏให้เห็นชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม คือเช่น สูตร วิธีการ และ
ข้ันตอนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาร้าข้ามปีที่ได้จากการแปรรูปปลาร้าข้ามปี หลักสูตรท้องถิ่นของ
โรงเรียนบา้ นหนองบัวน้อย 2 หลักสตู รคอื การทาปลาร้าและการทาปุ๋ยชวี ภาพ ซ่งึ มีองคค์ วามรู้ของกลุ่ม
ปลาร้าข้ามปี ดังรปู ท่ี 9.5
320 ชวนพิศ อตั เนตร์
รูปท่ี 9.5 องค์ความรผู้ ลิตภณั ฑป์ ลาร้าข้ามปี
10.12 กระบวนการจดั การความรู้ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นปลาร้าข้ามปี
การจัดการความรู้ภูมปิ ัญญาท้องถ่ินปลารา้ ข้ามปีนั้น เป็นการจัดการความร้ใู นระดับปัจเจก
บคุ คลกอ่ นเปน็ อนั ดับแรก และเป็นจดุ เรมิ่ ตน้ ที่จะนาหลักการจัดการความรู้ไปใชใ้ นระดบั กลุ่มหรือชุมชน
ทอ้ งถนิ่ ซง่ึ มกี ระบวนการในการจัดการความรู้ ดังนี้คอื
1. การกาหนดและแสวงหาความรู้
1.1 การกาหนดความรู้ นับเป็นการเริ่มตน้ ที่สาคัญของการจัดการความรู้ ท้ังนี้เพราะ
เป็นการนาความมุ่งมั่น เป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ของกลุ่มปลาร้าข้ามปีมากาหนดความรู้ที่กลุ่ม
คติชนและภูมปิ ญั ญาท้องถิน่ 321
ต้องการใช้ โดยคานึงถึงความจาเป็น และงานที่ต้องปฏิบัติ เพ่ือให้มีจุดเน้น และเป็นความรู้ท่ีสมาชิกใน
กลุ่มจาเป็นต้องเรียนรู้ ซ่ึงความมุ่งม่ันของกลุ่มปลาร้าข้ามปีนั้น ก็คือการนาเอาภูมิปัญญาชาวบ้านที่เป็น
เอกลักษณ์ของชาวอีสาน คือปลาร้ามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นการสร้างนวัตกรรม เพ่ือ
ตอบสนองความตอ้ งการของผบู้ ริโภค
1.2 การแสวงหาความรู้ เป็นการสืบเสาะค้นหา และรวบรวมความรู้จากท่ีต่าง ๆ
นามาใช้ในการปฏบิ ัตงิ านและพัฒนางานอยา่ งสม่าเสมอจนเกิดเป็นทักษะ และความชานาญ ซ่ึงกลมุ่ ปลา
ร้าข้ามปีมกี ารแสวงหาความรู้จากท้ังภายในและภายนอกกลุ่ม ดงั นคี้ อื
1.2.1 การแสวงหาความรู้ภายในกลุ่มและในชุมชนท้องถิ่น เป็นการสืบเสาะ
ค้นหาและรวบรวมความรู้ทมี่ ีอยภู่ ายในกล่มุ และในชมุ ชนท้องถน่ิ ดงั เชน่
1.2.1.1 ความรู้ท่ีเกิดขึ้นเป็นการภายในของสมาชิก ในกลุ่มปลาร้าข้าม
ปีที่เป็นทักษะ หรือความรู้เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลท่ีมาจากประสบการณ์ หรือความคิดสร้างสรรค์ใน
การปฏบิ ัตงิ านทสี่ ง่ั สมมาเปน็ ระยะเวลานาน
1.2.1.2 ความรู้จากประสบการณ์ความสาเร็จ (Best Practice) จากผู้รู้
หรือปราชญ์ชาวบ้านก็คือ คุณยายลาดวน ใจกว้าง ซ่ึงเป็นชาวบ้านบ้านหนองสระปลาที่มีชื่อเสียงในการ
ทาปลารา้ อรอ่ ยทส่ี ดุ ในตาบลหนองสระปลา
1.2.2 การแสวงหาความรู้ภายนอกกลุ่มหรือภายนอกชุมชนท้องถิ่น เป็นการ
สืบเสาะ ค้นหา และรวบรวมความรู้จากแหลง่ ต่าง ๆ ท่อี ยูภ่ ายนอกกล่มุ และชุมชนท้องถิ่น ดังเชน่
1.2.2.1 ศึกษาค้นคว้าจากส่ือสิ่งพิมพ์เช่นบทความวารสาร หนังสือพิมพ์
หนงั สือ และจากสอ่ื ต่าง ๆ เช่น วทิ ยุ โทรทัศน์ เป็นต้น
1.2.2.2 จากการเข้าร่วมอบรมสัมมนา จากหน่วยงานภาครัฐและ
เอกชนจัดข้ึน เช่น สานักงานพัฒนาชุมชนอาเภอหนองหาน จัดอบรมเรื่องการทาแจ่วบององค์การแคร์
แห่งประเทศไทย จัดอบรมเรื่องการทาปลาร้าอบ ปลาร้าผง วิทยาลัยการอาชีพหนองหาน ให้คาแนะนา
ออกแบบ และจัดทาเครอ่ื งอดั ปลาร้าก้อน (ปลารา้ คนอร)์
1.2.2.3 ศึกษาดูงานเกี่ยวกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลาร้าจากกลุ่มหรอื
ชมุ ชนทป่ี ระสบความสาเร็จ (Best Practice) ในการทาผลติ ภัณฑ์ประเภทเดียวกนั
2. การสร้างความรู้ ประธานกลุ่มมีวิธีการเรียนรู้การทาปลาร้าข้ามปีโดยดัดแปลงจาก
ภมู ิปัญญาชาวบ้าน โดยการสอบถาม สังเกต จดจา และมีการดัดแปลงหรอื พัฒนาสตู รการทาปลารา้ โดย
ใช้วิธีการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก (การทดลอง) ส่ังสมประสบการณ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541-2544 จะเห็น
ไดจ้ ากพัฒนาการเปล่ยี นแปลงสตู รการทาปลาร้าจากสตู รด้ังเดิมของชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่น ภมู ิปญั ญา
ชาวบ้านท่ีมีชือ่ เสยี ง และของกลุม่ ปลาร้า ดังแสดงในตารางท่ี 9.1
322 ชวนพศิ อัตเนตร์
สตู ร/วิธีการทาปลารา้ ข้ามปีของ สตู ร/วิธีการทาปลารา้ ของยาย สูตร/วิธีการทาปลารา้ ของกลุม่ ปลา
ชาวบ้านในชมุ ชน ลาดวน รา้ ข้ามปี
วตั ถดุ ิบ / อตั ราสว่ น
1. ปลาไม่แยกประเภทและขนาด อตั ราส่วน อตั ราสว่ น
ไม่เน้นขอดเกลด็ ควักไส้ 1. ปลามีการแยกขนาด แตไ่ มแ่ ยก 1. ปลา 100 กก. ใช้ปลาขนาดใหญ่
2. เกลือ ประเภทของปลามกี ารขอดเกลด็ แยกประเภทขนาดและช้ินส่วนของ
3. ราขา้ วหรือข้าวคัว่ ควักไสล้ ้างน้าให้สะอาด ปลาขอดเกลด็ ควกั ไส้
2. เกลือ 2. เกลอื 40 กก. 3. ราขา้ ว 1 กก.
วิธีการทา 3. ข้าวสารเหนียวค่ัว
1. นาปลากับเกลือมาคลุกเคล้าให้ วิธกี ารทา วธิ ีการทา
เขา้ กันจนได้ที่ 1. นาปลากบั เกลอื มาคลุกเคล้าให้ กลมุ่ ปลารา้ ข้ามปีคดิ ค้นสตู รข้นึ มา 4
2. หมกั ท้งิ ไว้ 1 คืนสังเกตตวั ปลา เข้ากนั จนไดท้ ่ี สตู รคอื สูตรที่ 1 หมกั ปลาใสเ่ กลือและ
จะแขง็ เน้ือแน่นแสดงวา่ เกลือพอดี 2. หมกั ทง้ิ ไว้ 1 คืนใช้มอื จับดหู าก ราขา้ วสตู รท่ี 2 หมกั ปลาใส่เกลอื และ
กบั ปลา (อัตราส่วนทีเ่ หมาะสม) ปลาจูบมอื (ตดิ มือ) แสดงวา่ เกลือ ขา้ วคว่ั สตู รท่ี 3 หมกั ปลาใสเ่ กลอื ขา้ ว
3. นาราข้าวมาคลุกเคลา้ ให้เขา้ กัน พอดีกบั ปลา (อตั ราส่วนท่ีเหมาะสม) ค่ัวและราขา้ วสูตรท่ี 4 หมกั ปลาใส่
ในการทาปลารา้ ของชาวบา้ น ตัวปลาจะแข็งเน้ือปลาจะแน่น เกลอื ราขา้ วและเมลด็ กระถิน่ ปจั จบุ นั
ทว่ั ไปไมม่ กี ารชง่ั ตวงวดั จะใช้ 3. ใส่ขา้ วสารเหนียวค่วั คลกุ เคลา้ ให้ กลุ่มปลารา้ ขา้ มปจี ะใช้สตู รท่ี 1 เป็น
ประสบการณ์หรือความชานาญ เข้ากนั จนไดท้ ่ี (ข้าวสารเหนยี วคัว่ ให้ มาตรฐานในการทา
คุณลกั ษณะ เหลืองทิง้ ไวใ้ หเ้ ย็นในการทาของยาย กรรมวธิ ีในการทาปลารา้ มีกรรมวธิ ี
-ปลาร้าจะออกสีคลา้ มกี ลน่ิ แรง ลาดวนไมม่ กี ารชงั่ ตวงวดั จะใช้ ดังนีค้ อื เกลอื 40 กก. แบ่งออกเป็น 3
และมรี สเค็ม ประสบการณ์หรอื ความชานาญ สว่ นคือ
คณุ ลักษณะ สว่ นท่ี 1 ใช้รองกนั ไฟ
-ปลารา้ จะออกสีขาวขนุ่ มกี ล่ินหอม ส่วนท่ี 2 ใชค้ ลุกปลาให้เขา้ กนั
และมรี สเคม็ อมเปร้ียว ส่วนท่ี 3 ใชเ้ กลอื โรยหนา้ ประมาณ 1
ฝา่ มอื จากปากไหหมักทิ้งไว้ 15 วัน
แลว้ ใส่รสลุกเคล้าใหเ้ ขา้ กนั -ปดิ ปาก
โอ่งโดยใช้ฝากระแตะ (ไมไ้ ผส่ าน)
เพ่ือให้ปลาอยใู่ ตน้ า้ ปดิ ปากโอ่งระบุวัน
เดอื นปีบนฝาโอ่ง (เพื่อจะได้ทราบ
ระยะเวลาในการหมักปลารา้ ) ในการ
ทาปลารา้ ของกลมุ่ ใช้วิธีการสงั่ ตวงวดั
และการจดบนั ทึก
คณุ ลกั ษณะ
ปลาร้าออกสีแดงมกี ลิ่นหอมและมรี ส
เคม็
ตารางที่ 9.1 สตู รการทาปลารา้ ของชาวบ้านในชมุ ชนท้องถ่ิน ภูมปิ ัญญาชาวบ้านท่ีมชี ือ่ เสียง และกลุม่
ปลารา้ ทม่ี า (ประภากร แกว้ วรรณา, 2549 : 52)
คตชิ นและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น 323
ส่วนการสร้างความรู้ของกลุ่มปลาร้าข้ามปีน้ัน มีวิธีการพัฒนาและสร้างความรู้จากทักษะหรือความรู้
และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในกลุ่มปลาร้าข้ามปีโดยใช้กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ
เช่น การระดมความคิด เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การทางานเป็นทีมท่ีดาเนินการในลักษณะชุมชนผู้ปฏิบัติ
(Community of Practices : CoPs) ของสมาชิกกลุ่ม และวิธีการแลกเปล่ียนความรู้ที่กลุ่มนิยมใช้อีก
วิธีการหนึ่ง คือ การเล่าเร่ือง (Storytelling) ซึ่งเป็นวิธีการที่นิยมใช้กันมาต้ังแต่ในอดีต ซึ่งการเล่าเรื่อง
จะทาให้ผู้ที่มีประสบการณ์ความรู้จากการทาจริงมาปลดปล่อยความรู้ท่ีซ่อนเร้นอยู่ออกมาเป็นคาพูด
หรือการแสดงออกทางภาษาท่าทาง ซงึ่ ประธานกลุ่มปลาร้าขา้ มปเี ม่ือไดเ้ รียนรู้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลา
ร้าข้ามปี หลายหลากรูปแบบเมื่อได้รับความรู้หรือประสบการณ์ตรงก็จะใช้วิธีการเล่าเรื่องมาถ่ายทอด
ให้กับสมาชิกกลุ่มเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันอย่างมีปฏิสัมพันธ์ เพ่ือคิดค้นผลิตภัณฑ์ปลาร้าข้ามปีให้มี
ความหลากหลาย โดยการคิดคน้ ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดขึ้นมาและใช้การเรียนรโู้ ดยการปฏิบตั ิ หรอื ทดลอง
ทา ลองผิดลองถูก สั่งสมประสบการณ์และพัฒนาปรับปรุงข้ึนตามลาดับ จนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่ี
หลากหลาย รวมทัง้ ผลิตภัณฑท์ ี่เป็นนวัตกรรมในรปู แบบของปลาร้าคนอรส์ ูตรต่าง ๆ ได้
3. การจัดเกบ็ และการค้นคนื ความรู้ กล่มุ ปลารา้ ข้ามปีไดน้ าความรู้ทสี่ ร้างขึน้ แลว้ บันทึก
เปน็ ลายลักษณอ์ ักษรทชี่ ัดเจน ทสี่ ามารถนามาใชป้ ระโยชน์ตามตอ้ งการ เช่น สตู ร วิธีการ และขัน้ ตอนใน
การพฒั นาผลิตภณั ฑป์ ลาร้าขา้ มปที ี่ไดจ้ ากการแปรรูปปลาร้าข้ามปี ตามลาดบั ดงั น้ีคอื
3.1 ปลาร้าขา้ มปี
3.2 แจว่ บองสตู รตา่ ง ๆ
- ปลารา้ สุก
- ปลาร้าปลาป่น
- ปลารา้ แมงดา
- ปลารา้ ทรงเครือ่ ง
3.3 ปลารา้ ผง
3.4 ปลาร้าอบทรงเคร่ือง
3.5 นา้ ปลารา้
3.6 น้าหมกั ชวี ภาพ
3.7 ปลาร้าก้อน (ปลาร้าคนอร)์
นอกจากนี้ประธานกลุ่มยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรท้องถ่ินของโรงเรียนบ้าน
หนองบัวน้อย โดยเปน็ ผูก้ าหนดเน้ือหารายละเอียดของหลักสูตรขน้ึ 2 หลกั สตู ร คือ การทาปลารา้ ข้ามปี
กบั การทาปยุ๋ ชวี ภาพ
4. การถ่ายทอดความรู้และการใช้ประโยชน์ การจะทาให้ความรู้เฉพาะบุคคลเกิดการ
ถ่ายทอดไปยังกลุ่ม หรอื ชมุ ชนท้องถิ่น และกอ่ ให้เกิดประโยชน์ในการพฒั นา หากจะมองให้เป็นระบบใน
324 ชวนพิศ อตั เนตร์
รูปแบบของเกลียวความรู้ของ Takeuchi และ Monaka ซึ่งแบ่งปฏิสัมพันธ์ความรู้เป็น 4 ส่วนน้ันการ
ถ่ายทอดและการสรา้ งความร้ขู องกลมุ่ ปลาร้าขา้ มปี สามารถอธบิ ายในลักษณะเกลียวความรไู้ ดด้ งั น้ี คือ
4.1 การเข้าร่วมกลุ่มชมรมหรือสังคมเดียวกัน (Socialization: S) เป็นกระบวนการ
แลกเปล่ียนประสบการณ์และสร้างความรู้ท่ี กลุ่มปลาร้าข้ามปีใช้ คือ การทางานเป็นทีม ชุมชนผู้ปฏิบตั ิ
และเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทาให้สมาชิกกลุ่มมีปฏสิ ัมพันธก์ ันในรูปแบบต่าง ๆ ทาให้เกิดการแลกเปล่ียน
ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) หรือประสบการณ์ เช่น ทักษะแนวคิดเพ่ือให้สมาชิกกลุ่มเกิด
กระบวนการคดิ และมีทักษะใหม่ ๆ เกดิ ขึ้น
4.2 การเผยความรู้ความคิดออกมาให้ประจักษ์ (Externalization: E) เป็นกระบวน
ที่เปลี่ยนความรู้ฝังลึกในตัวสมาชิกกลุ่มปลาร้าข้ามปีให้อยู่ในรูปแบบท่ีสามารถถ่ายทอดให้เข้าใจได้ง่าย
และสามารถเก็บเป็นความรู้ของกลุ่มได้ เช่น เปล่ียนความรู้ออกมาเป็นภาษาพูดภาษาเขียน เช่น เป็น
สูตร วิธีการทา หรือขั้นตอนการทาผลิตภัณฑ์ปลาร้าข้ามปีในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีกลุ่มได้พัฒนาข้ึนเป็นลาย
ลักษณอ์ ักษรท่ีชัดเจน เปน็ การเปล่ยี นความรูฝ้ ังลึกเป็นความรู้ชัดแจ้งซึ่งเปน็ ความรู้ท่สี ามารถแลกเปล่ียน
ไดโ้ ดยง่ายขึ้น
4.3 การผสานความรู้หลากหลายส่กู ารปฏบิ ัติ (Combination: C) เป็นกระบวนการ
รวบรวม หรือผนวกความรู้ชัดแจ้งที่มีอยู่หลากหลายเข้าด้วยกนั เพื่อใหไ้ ดค้ วามรชู้ ดั แจ้งที่กวา้ งขวางขวาง
และลึกซึ้งขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่ ๆ ข้ึน เช่น การจัดทาสูตรปลาร้าข้ามปี กลุ่มมีการสร้าง
ความรู้ที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีการนาวิธีการช่ัง ตวง วัด มาใช้ มีการกาหนดอัตราส่วน วิธีการทาแล ะ
ขั้นตอนในการทาท่ีชัดเจน มีการจดบันทึกระยะเวลาในการทาที่กล่าวมาน้ันล้วนเป็นวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ท่ีกลุ่มนามาใช้ และเป็นการผนวกความรู้ที่ชัดแจ้งก่อให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่ของกลุ่ม
นอกจากนี้กลุ่มยังมีการจัดทาหลักสูตรท้องถ่ินร่วมกับโรงเรียนบ้านหนองบัวน้อยขึ้นมา 2 หลักสูตร
ด้วยกัน
4.4 การเก็บหรือซึมซับประสบการณ์ไว้ภายในตน (Internalization: 1) การท่ี
สมาชิกแต่ละคนในกล่มุ ปลาร้าข้ามปีได้ลงมือปฏิบัตติ ามความรชู้ ัดแจ้งในข้ันตอนท่ีแลว้ ส่งผลให้เกิดการ
เรียนรู้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ (Learning by Doing) ทาให้ความรู้ชัดแจ้งกลับกลายเป็น
ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวสมาชิกกลุ่มอีกคร้ังในข้ันตอนน้ีสมาชกิ กลุ่มจะตระหนักถึงความรู้จากภายในกลุ่ม
นน่ั คอื การคน้ พบตวั เองในบรบิ ทของกลมุ่ ในขณะเดียวกนั กไ็ ดน้ าความรู้
ใหม่ในระดับบุคคลท่ีเข้าไปส่ังสม เพิ่มฐานข้อมูลภายในตนเองส่ิงที่มีคุณค่ามาก
เมอื่ มีโอกาสไดพ้ บปะกบั สมาชิกอนื่ ๆ จะเป็นการเริม่ ต้นเกลยี วความรู้ในรอบต่อไป
การถ่ายทอดและการสร้างความรู้ของกลุ่มปลาร้าข้ามปี สามารถอธิบายใน
ลักษณะเกลียวความรูไ้ ดด้ งั รปู ท่ี 9.6
คตชิ นและภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ 325
รปู ท่ี 9.6 รูปแบบการถ่ายทอดและการสร้างความรู้ของกล่มุ ปลารา้ ขา้ มปี
กรณีศึกษา: การจัดการความรู้เพ่ือฟื้นฟูและพัฒนาอาหารท้องถิ่นน้าหนังควายอย่างมีส่วน
ร่วมของชมุ ชนบ้านหว้ ยไซ ตาบลห้วยยาบ อาเภอบ้านธิ จังหวดั ลาพนู
ชุมชนบ้านห้วยไซ มีการสืบทอดภูมิปัญญาในการทาน้าหนังควายเป็นอาหารท้องถ่ินอีกทั้ง
เป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่จาหน่ายไปยังชุมชนอ่ืน ๆ สร้างช่ือเสียงและรายได้ให้กับชุมชนมาตั้งแต่อดีต
แต่ในปัจจุบันกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ท่ีทาน้าหนังควายเร่ิมลดลงตามกาลเวลา เพราะแรงงานที่เส่ือมถอยตาม
อายุ และสังขาร อีกทั้งคนรุ่นหลังขาดความเข้าใจและแรงจูงใจที่จะอนุรักษ์สืบทอดภูมิปัญญาดังกล่าว
รวมท้ังควายท่ีเป็นวัตถุดิบในการทาน้าหนังก็หาได้ยาก เพราะถูกลดบทบาทในการใช้แรงงานทานา
นอกจากนั้นผผู้ ลิตนา้ หนงั ควายในชมุ ชนยังขาดความรดู้ า้ นสขุ ลักษณะในการผลติ อาหารท่ปี ลอดภยั
กรอบแนวคิดการจัดการความรู้เพ่ือฟ้ืนฟูและพัฒนาอาหารท้องถิ่นน้าหนังควายได้นาเอา
กรอบแนวคิดการจัดการความรู้ท่ีง่ายต่อการเข้าถึงหลักการของการจัดการความรู้ที่เรียกว่า ตัวแบบ
ปลาทู (Tuna Model) มาประยุกต์ใช้ในการจัดการความรู้ของชุมชนบ้านห้วยไซโดยแบ่งออกเป็น
3 สว่ นมรี ายละเอียด ดังนคี้ ือ
1. ส่วนหัว (Knowledge Vision: KV) คือส่วนที่เป็นเป้าหมายหรือทิศทางของการจดั การ
ความรู้ สาหรบั เปา้ หมายของการจดั การความรขู้ องชุมชนบ้านหว้ ยไซคือ เพื่อหาแนวทางในการฟ้นื ฟูและ
326 ชวนพศิ อัตเนตร์
พัฒนายกระดับภูมิปัญญาน้าหนังควายอย่างเป็นระบบ และสามารถนาองค์ความรู้ไปปรับใช้ให้เกิด
ประโยชนแ์ ก่คนในชมุ ชนที่ตอ้ งการสืบทอดภูมปิ ญั ญาน้าหนงั ควายใหค้ งอยตู่ ่อไป
2. ส่วนกลางลาตัว (Knowledge Sharing: KS) คือส่วนท่ีทาให้เกิดกิจกรรมแบ่งปัน
ความรู้เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งชุมชนบ้านห้วยไซมีกระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้หลายวิธีคือ
การจัดเวทีชุมชนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยเชิญผู้เฒ่าผู้แก่ท่ีมีความรู้และประสบการณ์ทาน้าหนัง
ควาย และผู้ร้ใู นชุมชนมาเล่าเรื่องและมาร่วมเวทีแลกเปล่ยี นเรียนรู้ในประเด็นต่าง ๆ เก่ยี วกับภูมิปัญญา
น้าหนังควาย รวมท้ังมีการสนทนากลุ่มย่อย ใช้การระดมความคิดถึงสาเหตุท่ีภูมิปญั ญาน้าหนังควายเริ่ม
สูญหายและแนวทางฟื้นฟูภูมิปัญญา นอกจากนี้ยังมีเวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้ในลักษณะชุมชนแนวปฏิบัติ
(Community of Practice: CoP) เพอ่ื พัฒนาน้าหนังความให้มสี ุขลักษณะท่ีดี ซง่ึ การแลกเปลย่ี นเรียนรู้
ของชมุ ชนบ้านห้วยไซในการจดั การความร้เู พอ่ื ฟื้นฟูและพัฒนาอาหารท้องถ่ินน้าหนงั ควายมกี จิ กรรมการ
แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ดังแสดงในรูปที่ 9.7
รูปที่ 9.7 กิจกรรมการแลกเปลีย่ นเรยี นร้ขู องชมุ ชนห้วยไซ
3. ส่วนที่เป็นหางปลา (Knowledge Asset: KA) คือส่วนท่ีเป็นคลังความรู้หรือขุมความรู้
ชุมชนบ้านห้วยไซมีองค์ความรูภ้ ูมิปัญญานา้ หนังควายเก็บไว้เป็นคลงั ความรขู้ องชมุ ชนในลักษณะความรู้
คตชิ นและภูมปิ ัญญาท้องถิ่น 327
ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) อาทิ หลักสูตรท้องถิ่นน้าหนังควาย หนังสือเล่มเล็ก ส่ือวีดีทัศน์และ
ฐานขอ้ มลู องค์ความรภู้ มู ปิ ัญญานา้ หนงั ควาย ท่สี ามารถถ่ายทอดไดง้ ่ายดังรูปที่ 9.8
รปู ที 9.8 องค์ความรูภ้ ูมปิ ญั ญาน้าหนังควาย
328 ชวนพศิ อัตเนตร์
10.13 กระบวนการจดั การความรู้เพ่ือฟืน้ ฟูและพัฒนาอาหารท้องถ่ินนา้ หนงั ควาย
มีกระบวนการจัดการความรู้ เพื่อฟ้ืนฟูและพัฒนาอาหารท้องถ่ินน้าหนังควายโดยใช้
กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วมของชุมชนบ้านห้วยไซ เพ่ือสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของภูมิปัญญา
และอาศยั การจดั การความรเู้ ปน็ เครื่องมือในการสบื ค้นองค์ความรโู้ ดยบรู ณาการภมู ิปัญญาท้องถ่นิ กับภูมิ
ปญั ญาสากล อนั เป็นการยกระดบั ความรู้ภมู ิปญั ญา ซ่ึงมกี ระบวนการดังนคี้ ือ
1. การกาหนดความรูแ้ ละแสวงหาความรู้
1.1 การกาหนดความรู้ เป็นการค้นหาว่าชุมชนบ้านห้วยไซมีความรู้อะไรบ้าง
รูปแบบใด อยู่ที่ใคร และความรู้อะไรที่ชุมชนจาเป็นและมีความสาคัญต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชน พบว่า
ชุมชนบ้านห้วยไซมีภูมิปัญญาน้าหนังควายเป็นอาหารของท้องถิ่น เป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียง
และสรา้ งรายได้ใหก้ ับชุมชนมาต้งั แต่อดีต หากแตป่ ัจจุบันเป็นภูมิปัญญาที่หาได้ยาก จึงมีความต้องการที่
จะนาเอาภูมิปัญญาน้าหนังควายของชุมชนบ้านห้วยไซมาฟ้ืนฟูและพัฒนายกระดับให้สามารถนาองค์
ความรภู้ มู ปิ ญั ญาน้าหนังควายไปปรบั ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่คนในชมุ ชนอนั เปน็ การสืบทอดภูมิปัญญาน้า
หนงั ควายใหค้ งอยตู่ ่อไป
1.2 แสวงหาความรู้ มีการสืบเสาะ ค้นหา และรวบรวมความรู้จากท่ีต่าง ๆ มาใช้ใน
กระบวนการฟื้นฟูและพัฒนาอาหารท้องถิ่นน้าหนังควาย ซ่ึงมีการแสงหาความรู้มาจากทั้งภายในและ
ภายนอกชมุ ชนดงั นี้คอื
1.2.1 การแสวงหาความรู้ภายในชมุ ชน อาทิ
1.2.1.1 ผู้เฒ่าผู้แก่ท่ีมีความรู้ประสบการณ์ในการทาน้าหนังควาย
(Best Practice)
1.2.1.2 วิทยากรจากสถานีอนามัยชุมชนมาให้ความรู้เกี่ยวกับน้าหนัง
ควาย
1.2.2 การแสวงหาความรภู้ ายนอกชมุ ชนอาทิ
1.2.2.1 ศึกษาจากเอกสารสงิ่ พมิ พ์ตา่ ง ๆ เกี่ยวกบั น้าหนงั ควาย
1.2.2.2 ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาสากล เก่ียวกับแนวทางปฏิบัติทางด้าน
สุขลักษณะท่ีดีในการผลิตอาหาร จากหน่วยงานบริการด้านความปลอดภัยของอาหารศูนย์พันธุ์
วศิ วกรรมและเทคโนโลยชี ีวภาพแหง่ ชาติ
2. การสร้างความรู้ โดยการนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผนวกกับภมู ิปัญญาสากล ด้วยการนา
แนวปฏบิ ตั ิทางด้านสขุ ลักษณะท่ดี ใี นการผลติ อาหารมาประยุกต์ใช้กับกระบวนการผลติ นา้ หนังควายให้มี
ความสะอาดปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ให้สอดรับกับกระแสเรื่องความปลอดภัยของอาหารในระดับท้องถ่ิน
รวมทั้งมีการตรวจสอบทางกายภาพ คุณค่าโภชนาการ ตรวจสอบสารพิษ และจุลลินทรีย์ก่อโรคใน
คตชิ นและภูมิปัญญาทอ้ งถนิ่ 329
น้าหนังควาย เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพอาหารท้องถิ่นให้ได้มาตรฐาน โดยใช้กิจกรรมการแลกเปล่ียน
เรยี นรใู้ นรูปแบบตา่ ง ๆ อาทิ เวทีแลกเปลีย่ นเรียนรู้ การระดมสมองและชุมชนนักปฏิบัติ เป็นตน้
3. การจัดเก็บและค้นคืนความรู้ มีการรวบรวมองค์ความรู้ภูมิปัญญาน้าหนังควายไว้เป็น
คลังความรู้ของชุมชน ในลักษณะความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ ป้าย
แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาน้าหนังมีเน้ือควาย หนังสือเล่มเล็ก ส่ือวีดีทัศน์และฐานข้อมูลองค์ความรู้น้าหนัง
ควาย นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรท้องถ่ินน้าหนังควาย โดยกาหนดเป็น 4 สาระคือรู้จักสัตว์ในท้องถ่ิน ชีวิต
สัตว์ในทอ้ งถน่ิ ควาย และน้าหนงั ควาย
4. การถ่ายทอดความรู้และการใช้ประโยชน์ กระบวนการถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาน้า
หนังควาย โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้ตามอัธยาศัยของชุมชน และถ่ายทอดโดยการนาองค์ความรู้น้า
หนังควายมาสอดแทรกในการเรียนการสอนของโรงเรียนบ้านห้วยไซ เพ่ือให้มีโอกาสเรียนรู้ภูมิปัญญา
ท้องถิ่นของตนเอง ซ่งึ สามารถอธิบายการถ่ายทอดความรู้ได้ในลักษณะเกลยี วความความรู้คือ
4.1 การปฏิสมั พันธ์ทางสงั คม (Socialization: S) ทีท่ าเกดิ การถ่ายทอดความรู้ฝังลึก
จากบุคคลหน่ึงไปสูอ่ ีกบุคคลหน่ึง ซ่ึงเป็นการแลกเปลย่ี นประสบการณ์ และสร้างความรู้ และฝกึ หดั ทาใน
ลักษณะชุมชนนักปฏิบัติ มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ทาให้เกิดการแลกเปลี่ยน
หรือถา่ ยทอดความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge)
4.2 การเผยความร้คู วามคิดออกมาให้ประจักษ์ (Externalization: E) เปน็ การทาให้
ความรู้ฝังลึกเปล่ียนเป็นความรู้ชัดแจ้ง ซึ่งในท่ีนี้ก็คือการเปล่ียนความรู้ฝังลึกในตัวผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้
และประสบการณ์ทาน้าหนงั ในชุมชนให้อยู่ในรูปความร้ชู ดั แจง้ ทาให้สามารถถา่ ยทอดความรู้ได้งา่ ยและ
สามารถทีจ่ ะจดั เกบ็ เป็นคลังความรู้ของชมุ ชนได้ อาทิ เปล่ียนความรฝู้ ังลึกเป็นภาษาพูด ภาษาเขยี น เช่น
วิธีการทา หรือข้ันตอนการทาน้าหนังควาย เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน นับเป็นความรู้ท่ีเสามารถ
แลกเปลีย่ นไดโ้ ดยง่ายขน้ึ
4.3 การผสานความรู้หลากหลายสู่การปฏิบัติ (Combination: C) เป็นการ
ผสมผสานความรู้ชัดแจ้ง ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีการปรับปรุงเปล่ียนแปลง ผสมผสานความรู้ชัดแจ้งซ่ึง
ก่อให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่ ๆ ข้ึนอาทิ การนาแนวทางปฏิบัติทางด้านสุขลักษณะท่ีดีในการผลิต
อาหาร ของหน่วยบรกิ ารดา้ นความปลอดภัยอาหารศูนย์พนั ธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชวี ภาพแห่งชาติมา
ประยุกต์ใช้กับกระบวนการผลิตน้าหนังควาย เพื่อให้ได้ความรู้ชัดแจ้งท่ีกว้างขวางและลึกซึ้งก่อให้เกิด
การสร้างความรู้ใหม่ ๆ ขึ้น เช่น ในการทาน้าหนังควายมีการสร้างความรู้ที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีการ
ตรวจสอบทางกายภาพ คุณค่าทางโภชนาการ ตรวจสอบสารพิษ และจุลินทรียก์ ่อโรคในน้าหนังควาย ที่
กล่าวมานั้นล้วนเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่นามาใช้ และเป็นการผนวกความรู้ท่ีชัดแจ้ง ท่ีก่อให้เกิด
การสรา้ งความรู้ใหมน่ อกจากนก้ี ลุ่มยงั มีการจดั ทาหนังสือเล่มเลก็ สื่อวดี ีทศั น์ ฐานขอ้ มูล รวมท้ังหลกั สตู ร
ท้องถิ่นเกย่ี วกบั องค์ความรู้นา้ หนงั ควาย