The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรกลุ่มคลนิกคุณธรรม เป็นหลักสูตรที่ใช้ในการอบรมคุณธรรม จริยธรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หลักสูตรกลุ่มคลนิกคุณธรรม

หลักสูตรกลุ่มคลนิกคุณธรรม เป็นหลักสูตรที่ใช้ในการอบรมคุณธรรม จริยธรรม

Keywords: หลักสูตรกลุ่มคลนิกคุณธรรม

จุดเริ่มต้นของการทาํ งานคือการเรียนรู้
จุดเริ่มต้นของการทาํ งานคือการเรียนรู้ น่ันหมายความว่า
เราจะตอ้ งหาความรู้ใส่ตวั ก่อน เราจึงตอ้ งมีครูครูจะสอนใหเ้ ราไดร้ ู้ใน
ส่ิงท่คี วรรู้ สอนใหท้ าํ ในสิ่งทคี่ วรทาํ นอกเหนือจากน้นั กเ็ ป็ นการเรียนรู้
จากการศึกษา คน้ ควา้ สงั เกตดว้ ยตวั เอง เมื่อเรามีความรู้แลว้ ทาํ ไดแ้ ลว้
ยงั สามารถท่ีจะถ่ายทอดส่งต่อแก่ผอู้ ่ืนได้ ข้ึนอยกู่ บั รูปแบบทคี่ ิดวา่ น่าจะ
ไดผ้ ล
กลุ่มคลินิกคุณธรรม เป็ นกลุ่มหน่ึงที่ผ่านกระบวนการการ
เรียนรู้มาเป็ นอยา่ งดี และไดน้ าํ ความรู้น้นั มาสู่การปฏิบตั ิด้วยการเปิ ด
อบรมค่ายคุณธรรมให้แก่เยาวชนจากสถานศึกษาต่าง ๆ มาเป็ นลาํ ดบั
จากการทาํ งานดงั กล่าวทาํ ใหไ้ ดเ้ ห็นปัญหาและอุปสรรคของการอบรม
และต้องการให้เป็ นไปในทางเดียวกัน จึงเป็ นแรงบันดาลใจให้
คณะทาํ งานไดค้ ดิ ทาํ หลกั สูตรข้ึนมา เพอื่ ใชเ้ ป็นแนวทางในการอบรม
ขอชื่นชมในการคิดและทาํ ในสิ่งท่จี ะเป็ นประโยชนส์ รา้ งสรรค์
แก่สงั คมและขอเป็ นกาํ ลงั ใจใหค้ ณะทาํ งานกลุ่มคลินิกคุณธรรมประสบ
ความสาํ เร็จในทกุ ส่ิงท่ที าํ ทุกประการ

พระโสภณวราภรณ์
รองเจ้าคณะจงั หวดั สงขลา

โย หเว ทหโร ภิกขฺ ุ ยชฺ ติ พทุ ฺธสาสเน
โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตโฺ ตว จนฺทิมา
ถงึ แมจ ะเปน เพยี งภิกษหุ นุม แตอทุ ิศตนแกพ ระพุทธศาสนา
เธอยอ มสองโลกนี้ใหส วาง เหมอื นพระจันทรพ นจากเมฆ

จุดเร่ิ มต้นของทุกส่ิงเริ่ มมาจาก “ความต้ังใจดี” คณะ
พระวิทยากรกลุ่มคลินิกคุณธรรม นับเป็ นอีกหน่ึงความต้ังใจดี ที่
เร่ิมตน้ จากคณะพระภิกษุหนุ่มรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ มีความสามารถ มี
ความรัก ตลอดจนมีความต้ังใจในการทํางานด้านการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา ไม่เพยี งเฉพาะในจงั หวดั สงขลาเท่าน้นั แต่ยงั ทาํ งาน
ดา้ นการเผยแผใ่ นหลายจงั หวดั ของภาคใตต้ อนล่าง

การทาํ งานดา้ นการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา นบั วา่ เป็ นงานที่ไม่
ง่าย เพราะจะตอ้ งอดทน พากเพียร เสียสละ และสามัคคี มีความรู้
ความสามารถ มีความรักต่อการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ต้งั ใจประกาศ
พระศาสนาในเชิงรุก โดยนําหลักธรรม คาํ สอน ขององค์สมเด็จ
พระสมั มาสมั พุทธเจา้ เขา้ ไปอบรมสง่ั สอนเยาวชนและประชาชน ตาม
สถานที่ต่าง ๆ ท้งั ในโรงเรียน ศูนยอ์ บรม วดั หรือสถานท่ีปฏิบตั ิธรรม
บางคร้งั ยากลาํ บาก แต่คณะพระวทิ ยากรกลุ่มคลินิกคุณธรรมก็ไม่เคยยอ่
ทอ้ ยงั คงอดทน ต่อสู้กับความยากลาํ บาก และทาํ งานด้านการเผยแผ่
พระพุทธศาสนาด้วยความรัก ความอดทน ความพากเพียร ความ
เสียสละ และ “ความต้งั ใจจริง” เสมอมา

ในนามคณะสงฆอ์ าํ เภอเมืองสงขลา จึงขออนุโมทนาในกุศล
เจตนาของคณะพระวิทยากรกลุ่มคลินิกคุณธรรม ที่ไดก้ ระทาํ บาํ เพญ็
มาแล้วด้วยดี และกาํ ลังจะทาํ ต่อไป รวมถึงขอเป็ นกาํ ลังใจในการ
ทาํ งานเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาใหว้ ฒั นาสถาพรสืบไป

พระครูวริ ัตธรรมโชต,ิ ดร.
เจ้าคณะอาํ เภอเมืองสงขลา

เมอื่ มีความตั้งใจ พรอ มใจ ในการทํางาน
ก็สามารถฝาฟนอปุ สรรคและมคี วามสุขในการทํางาน

จ า ก ก า ร ท่ี ก ลุ่ ม ค ลิ นิ ก คุ ณ ธ ร ร ม มี ค ว า ม มุ่ ง ม่ัน ต้ ัง ใ จ ท่ี จ ะ ท าํ
หลกั สูตรการอบรมใหค้ วามรู้แก่เยาวชนและบุคคลโดยทวั่ ไป เพ่ือเป็ น
การเผยแผ่หลักธรรมคําสอนในทางพระพุทธศาสนาและปลูกฝัง
คุณธรรม จริยธรรมแก่เยาชนและประชาชนโดยท่ัวไป ท้งั จะเป็ น
แนวทางใหผ้ มู้ ีความสนใจในดา้ นการเผยแผไ่ ดศ้ กึ ษา ปรบั ใชต้ ามความ
เหมาะสมต่อไป ถึงแมว้ ่าการเผยแผ่ธรรมะในยคุ โลกาภิวฒั น์ที่สังคม
ปัจจุบนั คนกาํ ลงั ขาดศีลธรรม คุณธรรม จริยะรรม มากข้ึน ๆ ก็ตาม แต่
เมื่อมีความต้งั ใจ พร้อมใจ ในการทาํ งานดา้ นน้ีก็สามารถฝ่ าฟันอุปสรรค
นานาประการไปไดด้ ้วยความราบรื่นและมีความสุขในการทาํ งาน
ต่อไป

ขออนุโมทนาในกุศลและเจตนาที่คณะกลุ่มคลินิกคุณธรรมมี
ความต้งั ใจที่จะทําหลักสูตรในการอบรมคุณธรรม จริยธรรมเพ่ือ
การศึกษาและเผยแผ่หลักธรรมในการปฏิบตั ิ พร้อมท้งั สละแรงกาย
แรงใจ แรงศรัทธา และแรงปั ญญาเพื่อพระพุทธศาสนา และ
พทุ ธศาสนิกชน จงบรรลุในส่ิงที่มุ่งหวงั และปรารถนาทกุ ประการเทอญ

พระครูวิสุทธ์ิสุตคณุ
รองเจ้าคณะอําเภอเมือง จงั หวดั สงขลา
ประธานทป่ี รึกษากลุ่มคลนิ ิกคุณธรรม

นอกจากผลผลติ คือการฝกอบรมไดแลว
ยังตอ งสรางผลงานการอบรมใหเปนรูปธรรม

การอบรมพระวิทยากรกระบวนธรรมท้งั ๒ รุ่นของสถาบนั
พฒั นาพระวิทยากร ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๕๙-๒๕๖๐ ถือเป็ นการวาง
ตน้ แบบของการพฒั นาหลกั สูตรในการอบรมพระวทิ ยากร เน่ืองจากใน
ยคุ น้นั มีรูปแบบและแนวทางการฝึ กอบรมหลากหลายแบบดว้ ยกนั ทุก
แบบลว้ นมีเอกลกั ษณ์ของตนเอง แตส่ ่ิงที่ตอ้ งการฝึกอบรมพระวทิ ยากร
ให้ไดม้ ากกว่ารูปแบบของการฝึกอบรมกค็ อื “กระบวนการทาํ งาน” จึง
ได้วางรูปแบบการอบรมให้พระวิทยากรทาํ งานอยา่ งมีระบบ มีการ
วางเป้าหมาย กาํ หนดเน้ือหาการฝึกอบรมเพ่อื ไปสู่เป้าหมาย วางแผน
งานการทาํ งาน วางบุคลากรในการปฏิบัติหน้าที่ให้หมาะสม และ
แน่นอนท่ีสุด ส่ิงที่จะวดั ผลไดน้ อกจากผลผลิตคือการฝึกอบรมไดแ้ ลว้
ยงั ตอ้ งสร้างผลงานการอบรมท่ีเป็ นรูปธรรมคือ “หลกั สูตรฝึกอบรม”
ข้ึนมาใหไ้ ด้ ซ่ึง “กลุ่มคลินิกคุณธรรม” ไดด้ าํ เนินการจนสาํ เร็จลุล่วงใน
ท่ีสุด

กลุ่มคลินิกคุณธรรม วดั ภูเขาหลง จังหวดั สงขลาได้ศึกษา
หลกั สูตรการอบรมของกลุ่มเพอื่ ชีวติ ดีงามและกลุ่มใตร้ ่มพทุ ธธรรมซ่ึง
เป็ นกลุ่มที่ดําเนินการอบรมมาอย่างยาวนานและสร้างหลักสูตร
ฝึ กอบรมไวเ้ ป็ นแบบอย่าง แต่ด้วยเน้ือหาหลักสูตรน้ันอาจจะต้อง
ปรับเปลี่ยนให้เกิดความเหมาะสมกับพ้ืนที่ เวลา ผูเ้ ขา้ อบรม และ

บุคลากรท่ีมี เพราะเท่าที่ผ่านมา ปัญหาหลักของการอบรมคือพระ
วทิ ยากรทจี่ ะอบรมน้นั มีขอ้ จาํ กดั หลายดา้ น ท้งั จาํ นวนพระวทิ ยากรที่จะ
ทาํ งานกบั จาํ นวนค่ายฝึ กอบรม อีกท้งั คนที่ทาํ งานร่วมกันมานานจะ
เข้าใจจะบวนการอบรมได้ แต่เมื่อมีการผลดั เปลี่ยนหมุนเวียนพระ
วทิ ยากรเขา้ มาใหม่ก็ทาํ ให้ยากจะเขา้ ใจกระบวนการอบรมได้ รวมท้งั
หน่วยงานที่เขา้ ฝึ กอบรมตอ้ งการเห็นหลักสูตรการอบรมเพื่อให้เกิด
ความมัน่ ใจในการทาํ งานที่ชัดเจนและตรงตามวตั ถุประสงคข์ องการ
ฝึ กอบรมของหน่วยงาน การพฒั นาหลักสูตรจึงเป็ นเรื่องสําคญั ท่ีจะ
ช่วยเหลือพระวทิ ยากรอบรมไดใ้ นระยะยาวท้งั ในแง่การฝึ กอบรมและ
ในการพฒั นาหลกั สูตรอ่ืน ๆ ใหเ้ หมาะสมกบั การฝึ กอบรมที่แตกต่าง
กนั

ผูเ้ ขียนจาํ ได้ว่า พระวิทยากรกระบวนรรม “กลุ่มคลินิกคุณ
ธรม” เร่ิมตน้ ร่างหลักสูตรเมื่อหลายปี ก่อนและส่งมาให้อ่าน จาํ ไดว้ า่
เน้ือหาค่อนข้างชัดเจนและเป็ นรูปแบบอย่างคือ มีช่ือกิจกรรม
วตั ถุประสงค์ เน้ือหา อุปกรณ์ กระบวนการ และการสรุป ท่ีปรับให้
สอดคล้องกบั เป้าหมายและวตั ถุประสงคข์ องการอบรมของกลุ่มมาก
ยง่ิ ข้ึน นอกจากน้นั ขอ้ ยากของการทาํ หลกั สูตรคือการเขยี นหลกั สูตรที่
อบรมให้ออกมาแลว้ เห็นภาพชดั เพอื่ นาํ ไปปฏิบตั ิไดง้ ่าย ทางกลุ่มก็ทาํ
ออกมาไดด้ ีในระดบั ท่ีน่าพงึ พอใจ พร้อมกบั มีรูปภาพประกอบกิจกรรม
ใหเ้ ห็นชดั เจนข้นึ

ในนามสถาบนั พฒั นาพระวทิ ยากร สาํ นกั งานส่งเสริมคุณธรรม
จริยธรรมฯ ท่ีดําเนินการให้มีโครงการการฝึ กอบรมพระวิทยากร
กระบวนธรรมท้งั ๒ รุ่นทผ่ี า่ นมา จนเกิดมี “พระวทิ ยากรกระบวนธรรม
กลุ่มคลินิกคุณธรรม” ข้ึน และทางกลุ่มฯ มีการพฒั นาหลกั สูตรเป็ น
"คู่มือพระวทิ ยากรกลุ่มคลินิกคุณรรม" เล่มน้ีข้ึนมาถือเป็ นความสาํ เร็จ
ของการทาํ งานของกลุ่ม ท่ีรวมตวั กนั และสานต่อความต้งั ใจในการ
ทาํ งานฝึกอบรมคุณธรม จริยธรม จงึ ขออนุโทนกบั ความต้งั ใจในการทาํ
คู่มือฯ คร้ังน้ี และขอให้มุ่งม่ันต้งั ใจพฒั นางานฝึ กอบรมให้เกิดเป็ น
หลกั สูตรอื่นๆ รับใชส้ ังคมและสืบต่ออายพุ ระพุทธศาสนาให้ยนื ยาว
ตอ่ ไป ขออนุโมทนา

พระมหาขวัญชัย กติ ติมรี, ป.ธ.๙,ดร.
สถาบันพัฒนาพระวิทยากร

คาํ นาํ

กลุ่มคลินิกคุณธรรม เป็ นกลุ่มพระวทิ ยากรทที่ าํ หน้าท่ีเผยแผ่
และเป็ นหน่วยงานบริการที่วิชาการพระพุทธศาสนา ซ่ึ งผ่าน
กระบวนการฝึ กอบรมให้กับเด็ก เยาวชน สามเณร หน่วยงานท้ัง
ภาครัฐและภาคเอกชน โดยได้จดั ทาํ หลักสูตรการให้การอบรม
สอดคลอ้ งกบั กระแสโลก กระแสธรรม ในยคุ ปัจจุบนั

หลกั สูตรการใหก้ ารอบรมกลุ่มคลินิกคุณธรรมน้ี เป็นการนาํ
ป ร ะส บ ก ารณ์ จ าก ารท ําห น้ าแล ะท ฤ ษ ฎี ท่ี ไ ด้รับ ก าร ป ลู ก ฝั งจ าก
สาํ นักงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและความมั่นคงแห่งสถาบนั
ชาติ พระศาสนา พระมหากษตั ริย์ แลว้ ผา่ นกระบวนการกลน่ั กรองจน
เป็ นหนงั สือคู่มือการอบรมกลุ่มคลินิกคุณธรรมเล่มน้ี

เพื่อจะไดเ้ ป็ นแนวทางให้แก่พระภิกษุ สามเณร ประชาชน
หรือหน่วยงานท้งั ภาครัฐและเอกชน ท่ีสนใจไดศ้ กึ ษาและนาํ แนวทาง
กระบวนการอบรมจติ วทิ ยาการใหค้ าํ ปรึกษาไปใช้

กราบขอบพระคุณพระเทพญาณโมลี (ผนั ปสนฺโณ) อดีต
ประธานที่ปรึกษากลุ่มคลินิกคุณธรรม ท่ีมอบวาทะธรรมเร่ืองขนั ติ
คือความอดทน อดทนต่อความลําบาก อดทนต่อความตรากตรํา

อดทนต่อความเจ็บใจ ให้แก่พระวิทยากรกลุ่มคลินิกคุณธรรมได้
นํามาปฏิบัติ และนํามาเป็ นแนวในการทํางาน อีกท้ังขอขอบคุณ
สํานักงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและความมัน่ คงแห่งสถาบนั
ชาติ พระศาสนา พระมหากษตั ริย์ สถาบนั พฒั นาพระวิทยากร พระ
มหาขวญั ชัย กิตติเมธี ,ดร. กลุ่มใตร้ ่มพุทธธรรม พระมหาธนเดช
ธมฺมป�ฺโญ กลุ่มเพอื่ ชีวติ ดีงาม พระมหาประสิทธ์ิ ธมฺมปทีโป และ
ครูบาอาจารยท์ ุกท่านทเ่ี ป็นเสมือนผชู้ ้ีแนะช้ีนาํ

ทา้ ยสุดน้ีกต็ อ้ งขอขอบคุณพระวทิ ยากร และคณะทาํ งานกลุ่ม
คลินิกคุณธรรมทุกท่าน ที่ไดท้ ุ่มเทกาํ ลงั ท้งั กายใจ กาํ ลงั ปัญญา เพื่อ
ร่วมกันถ่ายทอดคาํ ส่ังสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ
จรรโลงพระศาสนาสืบไป

กลุ่มคลินิกคุณธรรม

พฤษภาคม ๒๕๖๓

สารบญั หน้า

เรื่อง ๑

ประวตั ิความเป็ นมาของกลุ่มคลนิ ิกคณุ ธรรม ๓
ช่ือและตราสัญลกั ษณ์ประจาํ กลุ่มคลนิ ิกคุณธรรม
รูปแบบการจัดกิจกรรมของกลุ่มคลนิ ิกคุณธรรม ๕

- แนวคดิ และทฤษฎีการเรียนรู้ ๗
- แนวคดิ และทฤษฎีเร่ืองระเบยี บวนิ ยั ในการใชช้ ีวติ ๑๒
- หลกั จติ วทิ ยาการใหค้ าํ ปรึกษาแบบพระพทุ ธศาสนา ๒๔
- ปรัชญาการฝึกอบรมตามแนวพทุ ธศาสตร์ ๓๗
โครงสร้างหลกั สูตรค่ายคุณธรรม จริยธรรมกลุ่มคลินิกคณุ ธรรม ๓๙
รายละเอยี ดกจิ กรรมของกลุ่มคลินิกคณุ ธรรม ๔๐
- กิจกรรมการแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ ๔๘
- กิจกรรมมายาทชาวพทุ ธ ๖๔
- กิจกรรมตามหาหวั ใจ ๖๘
- กิจกรรมสายน้าํ แห่งชีวติ ๗๑
- กิจกรรมชีวติ และจติ ใจ ๗๕
- กิจกรรมเพอ่ื ชีวติ ดีงาม ๗๙
- กิจกรรมตน้ แบบตน้ ธรรม ๘๓
- กิจกรรมชีวติ และความฝันใฝ่ (จดุ ประกายระบายฝัน) ๘๗
- กิจกรรมรูโ้ ลกอยา่ งเทา่ ธรรม์

สารบญั หน้า

เรื่อง ๙๑
๙๔
- กิจกรรม D-project ๙๖
- กิจกรรมวชิ าการฐานธรรมะ ๙๘
๑๐๑
 ฐานการเป็นศิษยท์ ีด่ ี ๑๐๓
 ฐานพลเมืองทดี่ ี ๑๑๐
 ฐานพทุ ธศาสนิกชนที่ดี ๑๑๔
 ฐานหนา้ ทช่ี าวพทุ ธ ๑๑๖
 ฐานหนา้ ท่ลี ูกท่ีดีของพอ่ แม่ ๑๒๕
 ฐานเพอ่ื นที่ดีของเพอื่ น ๑๓๘
 ฐานอบายมุข๖ ๑๔๐
 ฐานศาสนพธิ ีเบ้ืองตน้ ๑๑๔
 ฐานศลี ธรรมนาํ ชีวติ ๑๖๙
 ฐานชีวติ กบั ความรกั ๒๐๙
- กิจกรรมมองใหเ้ ป็นกเ็ ห็นคา่ ๒๒๒
- กิจกรรมออ้ มกอดท่ีควรตอบแทน ๒๒๖
- กิจกรรมแสงเทยี นแสงธรรม ๒๒๙
- กิจกรรมสวดมนตท์ าํ วตั รเจริญจติ ภาวนา
- กิจกรรมบณิ ฯตามพระ
- กิจกรรมตกั บาตรสาธิต

สารบัญ หน้า

เร่ือง ๒๓๑
๒๓๓
- กิจกรรมพบพระพบธรรม
การเตรียมการจัดการค่ายคณุ ธรรม ๒๓๕
๒๓๗
- องคป์ ระกอบการเขียนโครงการ ๒๔๒
- การเตรียมงาน ๒๔๕
- ตวั อยา่ งคาํ กล่าวรายงาน ๒๔๗
- ตวั อยา่ งคาํ กล่าวเปิ ดคา่ ยและใหโ้ อวาท
บรรณานุกรม

คมู่ ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑

ประวตั คิ วามเป็ นมาของกลุ่มคลนิ ิกคณุ ธรรม

กลุ่มคลินิกคุณธรรมเกิดข้ึนจากการรวมตวั กนั ของพระวทิ ยากร
กลุ่มเล็ก ๆ ที่ก่อนหน้าน้ีไดท้ าํ หนา้ ท่ีในการเผยแผ่ธรรมะอยใู่ นหลาย ๆ
พ้ืนท่ีกระจดั กระจายกนั ไป จนต่อมาทางสาํ นักงานส่งเสริมคุณธรรม
จริยธรรม และความมนั่ คง แห่งสถาบนั ชาติพระศาสนา พระมหากษตั ริย์
ไดจ้ ดั โครงการอบรมพฒั นาพระวิทยากรข้ึนในโครงการพระวิทยากร
กระบวนธรรมข้ึน จึงเปรียบเสมือนการนาํ นักมวยท่ีเคยข้ึนชกแต่ในเวที
ภธู ร ไดม้ ารู้จกั และฝึกหดั กบั เทรนเนอร์ในเวทที ่ไี ดม้ าตรฐานข้ึน

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๖๐ ทางวดั ภูเขาหลง ซ่ึงนาํ โดยพระอาจารย์
พระครูสมุห์บุญมา อาทโร และพระอาจารยพ์ ระอรรถพล ธีรป�ฺโญ
ไดร้ ับนิมนตจ์ ากโรงเรียนดาวนายร้อย จงั หวดั สงขลา ให้ดาํ เนินการจดั
โครงการบรรพชาสามเณร จาํ นวน ๒๙๙ รูป เพื่อถวายเป็ นพระราชกศุ ล
แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชข้ึน จึงไดม้ ีการ
ติดต่อประสานกบั พระวิทยากรในเครือข่ายพระวิทยากรกระบวนธรรม
ใหม้ าร่วมจดั งานในคร้งั น้นั ดว้ ย

นบั เป็ นกา้ วแรกในการรวมตวั กนั อยา่ งเป็ นทางการของกลุ่มพระ
วทิ ยากรที่มีอุดมการณ์ในการทาํ งานท่เี หมือนกนั จนก่อให้เกิดการพฒั นา
หลักสูตรและเน้ือหาที่ใช้ในการอบรมโดยเน้นไปที่การรักษาระเบียบ

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๒

วนิ ยั และใหร้ ูจ้ กั หนา้ ที่ของตนและนาํ หลกั จติ วทิ ยาการใหค้ าํ ปรึกษามาใช้
ควบคู่ไปดว้ ยนบั แต่น้นั เป็นตน้ มา

“จรถ ภกิ ฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย
โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสสานํ
เทเสถ ภิกฺขเว ธมฺมํ อาทกิ ลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ

ปริโยสานกลยฺ าณ”ํ (ว.ิ มหา. 4/32/ 40)
“ดกู ่อนภิกษทุ ัง้ หลาย ขอเธอทั้งหลายจงเท่ียวจาริกไป

เพ่ือประโยชน์และความสุขแก่ชนหม่มู าก
เพ่ืออนเุ คราะห์โลก เพ่ือประโยชน์เกือ้ กลู
และเพื่อความสุขแก่ทวยเทพ และมนษุ ย์ทงั้ หลาย
เธอท้ังหลายจงแสดงธรรมอันงามในเบือ้ งต้น (ศลี )
งามในท่ามกลาง (สมาธิ) และงามในทีส่ ุด (ปัญญา) เถิด”

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๓

ชื่อและตราสัญลกั ษณ์ประจํากลุ่มคลนิ ิกคณุ ธรรม

ความหมายของช่ือกลุ่ม

กลุ่มคลินิกคุณธรรมมีช่ือเป็นภาษาองั กฤษวา่ MORAL CLINIC
ซ่ึงมีความหมายดงั น้ี
M = Main หมายถึง หลกั
O = Optimism หมายถึง คิดในแง่ดี
R = Roll หมายถึง ยอ้ นกลบั
A = Arehetype หมายถึง ตน้ แบบ
L = Learning หมายถึง เรียนรู้

C = Ceure หมายถึง เยยี วยา
L = Looking หมายถึง มองดู
I = I หมายถึง ตวั เอง
N = Nutrition หมายถึง ความสมบูรณ์
I = Idea หมายถึง ความคดิ
C = Courage หมายถึง ความกลา้ หาญ
Moral Clinic จึงมีความหมายวา่ กลุ่มคลินิกคุณธรรมพรอ้ มท่ีจะ
รักษาเยยี วยาโดยตอ้ งมองที่ตวั เองให้มีความสมบูรณ์พร้อมมีความคิด มี
ความกลา้ หาญและตอ้ งมีหลกั การแห่งความดี คดิ ยอ้ นกลบั ไปแกไ้ ขสิ่งผดิ
เพอื่ เป็นผตู้ ืน่ รู้ทค่ี วามคิดและการปฏบิ ตั ิในการดาํ เนินชีวติ ใหถ้ ูกตอ้ ง

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๔

ตราสัญลกั ษณ์และความหมาย

พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา หมายถึง การแสดงธรรมคร้ังแรก
ของพระตถาคตบรมศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้

กงล้อธรรมจกั ร หมายถึง พระธรรมคาํ สงั่ สอนของพระพทุ ธองค์
อนั ยงั หมุนไปไม่รู้จบ

ใบโพธิ์ หมายถึง ส่วนหน่ึงแห่งการตรัสรู้
ดว้ ยความหมายท้งั หมดน้ีทางกลุ่มฯจึงไดน้ าํ เอาพระพระพุทธรูป
ปางปฐมเทศนา กงลอ้ ธรรมจกั ร และใบโพธ์ิ มาใชเ้ ป็ นตราสญั ลกั ษณ์เพอื่
แสดงถึง การทาํ หนา้ ทีเ่ ผยแผห่ ลกั ธรรมคาํ สอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ใหเ้ กิดเป็ นแสงแห่งปัญญาแก่ผสู้ นใจในธรรมและการปฏิบตั ธิ รรม

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๕

รูปแบบการจดั กจิ กรรมของกล่มุ คลนิ กิ คณุ ธรรม

พระวิทยากรกลุ่มคลินิกคุณธรรมไดจ้ ดั เน้ือหาหลกั สูตรภายใต้
การพฒั นาชีวิตตามหลัก ไตรสิกขา คือศีล สมาธิ และปัญญา และยงั
ผสมผสานแนวคิดในการจดั รูปแบบของกิจกรรมโดยเนน้ ไปในดา้ นของ
ระเบยี บวินัย บวกกบั แนวคดิ จิตวิทยาการให้คําปรึกษา โดยมีทฤษฎีและ
หลกั การต่าง ๆ ดงั น้ี

แนวคดิ ทฤษฎแี ละรูปแบบการเรียนรู้
การฝึ กอบรมพฒั นาคณุ ธรรม

ความหมายของการฝึ กอบรม

การฝึ กอบรม (training) เป็ นกิจกรรมการเรี ยนรู้ ที่มุ่งเน้น
กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอยา่ งมีระบบ โดยอาศยั หลกั การที่
ประกอบดว้ ย แนวคิด ทฤษฎี และรูปแบบการเรียนรู้มาเป็ นเทคนิคการ
ฝึ กอบรมเพื่อพฒั นาความรู้ (knowledge) ทกั ษะ (skiu) ความสามารถ
(ablity) และเจตศติ (attilude) ของบุคคลให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ
หลกั สูตร

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๖

การฝึ กอบรมพัฒนาคณุ ธรรม จริยธรรม

การทาํ ให้ชีวิตเจริญงอกงามอย่างมีคุณภาพ จนเขา้ ถึงจุดหมาย
ของชีวติ ในทางพระพทุ ธศาสนาเป็นจุดหมายในการเป็ นอิสระ ไร้ปัญหา
ไร้ทุกข์ และมีความประพฤติดีงามเพ่ือประโยชน์สุขแก่ตนและสังคม
โดยมีพน้ื ฐานมาจากหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา

เป้าหมายของการฝึ กอบรม

๑) การรู้จักตนเอง อนั ไดแ้ ก่ การเรียนรูเ้ กี่ยวกบั ตวั เอง คือดูตวั เอง
ออก บอกตวั เองได้ ใชต้ วั เองเป็น เห็นตวั เองชดั จดั ตวั เองถูก

๒) การรู้จักผู้อื่น มนุษยจ์ ะอยคู่ นเดียวไม่ได้ ตอ้ งพงึ พาอาศยั ซ่ึง
กันและกันในฐานะต่าง ๆตามสมควร คือ ดูเขาออก บอกเขาได้ ใชเ้ ขา
เป็ น เห็นเขาชดั จดั เขาถูก

๓). การรู้จักแนวทางการดําเนินชีวิต คอื การใชช้ ีวติ ใหส้ อดคลอ้ ง
กบั ความเป็ นจริงตามธรรมชาติ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๗

แนวคดิ และทฤษฎเี ร่ืองระเบยี บวนิ ัยในการใช้ชีวติ

ระเบียบวินัย หมายถึง แบบแผน กฎเกณฑ์ ทก่ี าํ หนดไวเ้ ป็ นแนว
ปฏิบตั ิ คนท่ีมีระเบียบวินัยเป็ นคนท่ีสมารถควบคุมตนเองให้ประพฤติ
ปฏิบตั ิตนไดต้ ามแบบแผนกฎเกณฑ์ และขอ้ บงั คบั ของสงั คมน้นั ไดโ้ ดย
อาจจะใชก้ ฎเกณฑ์ ขอ้ บงั คบั เป็ นเคร่ืองกาํ หนดให้ทาํ ตาม ซ่ึงเรียกว่า
ระเบยี บ

การอยรู่ ่วมกนั เป็ นหมู่เหล่า ถ้าขาดระเบียบวินยั ต่างคนต่างทาํ
ตามอาํ เภอใจ ความขดั แยง้ และลกั ลน่ั ก็จะเกิดข้นึ ยง่ิ มากคนกย็ ง่ิ มากเรื่อง
ไม่มีความสงบสุข การงานท่ีทาํ กจ็ ะเสียผล

หลกั การและเหตผุ ล

การสร้างวินัย ควรเริ่มต้งั แต่วยั เด็กเล็ก ซ่ึงเป็ นวยั ที่กาํ ลงั สร้าง
ลกั ษณะนิสัยและต่อเน่ืองถึงเด็กวยั เรียนซ่ึงจะมี กระบวนการเรียนรู้ คิด
อยา่ งมีเหตุผลมากข้ึน เด็กจะเลือกทาํ กิจกรรมอยา่ งท่ีสนใจและลงมือทาํ
ดว้ ยตนเอง ซ่ึงนาํ ไปสู่การพฒั นาความจาํ และการแกไ้ ขปัญหาดว้ ยเหตผุ ล

การฝึกวนิ ยั ทาํ ใหเ้ ดก็ เกิดนิสยั ในการควบคุมตนเอง อนั จะช่วยให้
สามารถดาํ รงชีวติ อยรู่ ่วมกบั ผูอ้ ่ืน ในสังคมได้ โดยไม่ล่วงเกินสิทธิหรือ
ประพฤติผดิ มารยาทของสงั คม การฝึกวนิ ยั ใหเ้ ด็กจาํ เป็นตอ้ งกระทาํ อยา่ ง
ต่อเน่ืองและสม่าํ เสมอ ค่อยเป็ นค่อยไปโดยมีการยืดหยุ่นได้ตามสภาพ
ของเด็ก และควรให้เด็กเข้าใจถึงเหตุผลของกฎระเบียบน้ัน ๆ ควร

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๘

หลีกเลี่ยงการข่มขู่ แต่ควรสนับสนุนให้กําลังใจยกย่องชมเชยเม่ือมี
โอกาส สถาบนั ที่มีบทบาทในการการปลูกฝังการมีวินัยแก่คนในชาติ
ได้แก่ สถาบนั ครอบครัว สถาบนั การศึกษา สถาบนั ศาสนา สถาบนั
การเมืองและการปกครอง สื่อมวลชน และองคก์ รอิสระ ถึงแม้ว่าการ
พฒั นาการมีวนิ ยั ตอ้ งอาศยั ความร่วมมือจากหลายสถาบนั ดงั กล่าวไป แลว้
น้นั การปลูกฝังการมีวนิ ยั ในตนเองใหแ้ ก่เดก็ วยั เรียนน้นั เป็ นหนา้ ที่สาํ คญั
ของ สถาบนั ครอบครัว และสถาบนั การศึกษาที่ตอ้ งพยามปลูกฝังความมี
ระเบยี บวนิ ยั ใหเ้ หมาะสมกบั วยั โดยเริ่มแรกจากสถาบนั ครอบครัว เพราะ
บิดามารดามีบทบาทต่อพฤติกรรมของเดก็ และคอย อบรมสงั่ สอนใหเ้ ด็ก
มีพฤติกรรมความประพฤติท่ีดีได้ และนอกจากน้ีแลว้ ครูเป็ นผูม้ ีบทบาท
สาํ คญั เช่นกนั ในการเสริมสร้างวินัยให้เด็กเม่ืออยใู่ นช้นั เรียน พร้อมท้งั
เป็ นแบบอยา่ งท่ีดีแก่เด็ก ควรร่วมมือกนั และประสานแนวคิดระหว่าง

บา้ นและโรงเรียน เวลา และวธิ ีการทางบวกเพอื่ สรา้ งวนิ ยั

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๙

ทา่ นพระธรรมปิ ฏก (ป.อ.ปยตุ โต) ไดก้ ล่างถึง วธิ ีสรา้ งวนิ ยั ใน
ตนเอง ดงั น้ี

“ การจะให้เกิดพฤตกิ รรมทีพ่ งึ ประสงค์ให้ยง่ั ยนื เคยชิน ย่อมมา
จากจิตใจท่ีมคี วามพึงพอใจ มคี วามสุขในการทําพฤติกรรมน้ัน เมอื่ เกิด
ปัญญาเรียนรู้ เกิดความรู้ความเข้าใจมองเหน็ คณุ ค่าและประโยชน์ของ
การกระทาํ น้ัน จะเป็ นวธิ ีสร้างวินัยความรับผิดชอบในตนเอง เป็ นการ
จดั สรรโอกาส ทาํ ให้ชีวติ และสังคมมรี ะเบยี บเป็ นโอกาสแก่การพฒั นา
มนุษย์ “

การเสริมสร้างวนิ ัยนักเรียนมี ๒ แนวทาง คอื

๑) การเสริมสร้างวินัยเชิงลบหรือเชิงรับ เป็ นกระบวนการ
เสริมสร้างวนิ ัยท่ีมุ่งจะกาํ กบั ควบคุมไม่ใหน้ ักเรียนแสดงพฤติกรรมทีผ่ ดิ
กฎระเบียบที่โรงเรียนกาํ หนด ครูส่วนใหญ่ท้งั ในอดีตและปัจจุบนั ต่างก็
เห็นว่าการสร้างวินัยโดยวธิ ีน้ีเป็ นวิธีการท่ีไดผ้ ลรวดเร็ว เพราะสามารถ
หยดุ พฤติกรรมของนักเรียนไดท้ นั ทีทนั ใด และนิยมใชก้ ารลงโทษท้งั ที่
กระทาํ ต่อร่างกายและจติ ใจของนกั เรียนโดยไม่ไดค้ าํ นึงถึงผลเสียท่ีจะเกิด
ข้ึนกบั นกั เรียนในระยะยาว ส่วนใหญ่มกั เป็ นการแกไ้ ขปัญหาพฤติกรรม
ทเี่ ดก็ ไดก้ ระทาํ มาก่อนหนา้ แลว้ จงึ เรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่าการสร้างวนิ ัยเชิง
รับ

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๐

๒) การเสริมสร้างวินัยเชิงบวกหรือเชิงรุก เป็ นกระบวนการ
เสริ ม สร้า งวินัยนัก เรี ยน ท่ี มุ่ งจะ พัฒ น า แล ะ ปลู ก ฝั งพฤ ติก รร ม ท่ี พึง
ประสงค์ให้กับนักเรียน ครูในปัจจุบนั อาจจะยงั ไม่เขา้ ใจวิธีการ หรือ
เขา้ ใจแต่ก็ไม่ค่อยเห็นดว้ ยเพราะเป็ นวิธีการท่ีตอ้ งใชเ้ วลากวา่ จะเห็นผล
เป็ นวิธีท่ีครู จะต้องมีความอดทนอดกล้ันสูง จะต้องใช้ความเป็ น
กลั ยาณมิตร ความรักความเมตตาตอ่ ศษิ ยอ์ ยา่ งจริงใจ และจริงจงั และครูก็
มีขอ้ จาํ กดั ในเรื่องของเวลาตลอดจนภาระหนา้ ที่ที่ได้รับมอบหมายจาก
ผูบ้ ังคับบัญชาให้พัฒนาผู้เข้ารับการอบรมให้เป็ นคนดี มีความรู้ มี
ความสุขภายในเวลาจาํ กัดแต่ถ้าครูทําไม่ได้ก็อาจจะถูกเพ่งเล็งจาก
ผบู้ งั คบั บญั ชาก็ได้ ดงั น้นั ครูจึงไม่นิยมการเสริมสร้างวนิ ยั เชิงบวกเพราะ
เห็นผลชา้ แตจ่ ริง ๆ แลว้ การเสริมสร้างวนิ ยั เชิงบวกจะใหผ้ ลท่มี นั่ คงถาวร
กว่า และเป็ นวธิ ีการป้องกนั ก่อนท่ีจะเกิดพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงคก์ บั
นกั เรียน จงึ เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ การเสริมสร้างวนิ ยั เชิงรุก

การมีชีวิตและอยรู่ ่วมสังคมเป็ นระเบียบวินัย เป็ นการรู้จักจดั
ระเบียบชีวิตและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็ นระเบียบเรียบร้อย
เพ่ือให้สังคมอยู่ร่วมกนั ดว้ ยความเรียบร้อยไม่วุ่นวายสับสน ทาํ ให้เกิด
ความสะดวกมีช่องทางมีโอกาสท่จี ะอาํ นวยเก้ือกูลตอ่ กระบวนการศึกษา
และกระบวนการพฒั นาชีวติ ท่ีจะเดินหนา้ ตอ่ ไปไดง้ า่ ย ดว้ ยการที่บุคคลมี
ระเบียบวนิ ยั ในการดาํ เนินชีวติ ร่วมกบั ผอู้ ่ืนในสงั คม

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๑

ประโยชน์ของการมีวนิ ัย

การมีวินัยจะทําให้เราอยู่ร่ วมกับคนในสังคมได้อย่างมี
ความสุข และการมีวินัยน้ันสามารถทาํ ไดง้ ่ายโดยที่ไม่ตอ้ งให้ใครสั่ง
และถา้ เราเป็ นคนทมี่ ีวนิ ยั เราก็จะไดร้ ับสิ่งดี ๆ และอยรู่ ่วมกบั คนในสงั คม
ได้ ดังน้ีการมีวินัยจะทําให้เราอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างมี
ความสุข และการมีวินัยน้ันสามารถทาํ ได้ง่ายโดยที่ไม่ตอ้ งให้ใครสั่ง
และถา้ เราเป็ นคนท่ีมีวนิ ยั เรากจ็ ะไดร้ ับสิ่งดี ๆ และอยรู่ ่วมกบั คนในสงั คม
ได้ ดงั น้ี

๑) ทาํ ใหเ้ ราสามารถอยรู่ ่วมกบั คนในสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสุข

๒)ทาํ ให้สังคมและประเทศชาตสิ งบสุข ไม่มีปัญหากนั ระหวา่ ง
คนในสงั คมและประเทศชาตดิ ว้ ยกนั

๓).ทาํ ใหเ้ รามีอนาคตทดี่ ีในหนา้ ที่การงานและเรื่องตา่ งๆ

๔).ทาํ ใหป้ ระสบความสาํ เร็จในหนา้ ที่การงาน

๕).ทําให้ประเทศชาติเจริ ญก้าวหน้า เน่ื องจากคนใน
ประเทศชาติเคารพสิทธิและมีความเป็ นระเบียบวินัยซ่ึงกนั
และกนั

๖).สร้างนิสยั ใหเ้ ราเป็นคนตรงตอ่ เวลา และเป็ นคนดีมีคุณธรรม

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๒

หลกั จติ วทิ ยาการให้คาํ ปรึกษาแบบพระพทุ ธศาสนา

ความหมายของการให้การปรึกษา

คาํ ว่า การให้การปรึกษา (Counseling) มาจากรากศัพท์ภาษา
ลาตนิ วา่ Consiliumหมายถึง “กบั ดว้ ยกนั ”ตามรูปศพั ท์ การใหก้ ารปรึกษา
มีความหมายในตวั เองดงั ท่นี กั จิตวทิ ยาการใหก้ ารปรึกษาทุกคนเขา้ ใจกนั

พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยุตโต) ไดใ้ ห้ทศั นะไวว้ ่า การให้การ
ปรึกษาเป็ นการแนะแนวที่จะให้บุคคลสามารถช่วยเหลือตนเองได้
โดยทว่ั ไปคนท้งั หลายยงั พ่งึ ตนเองไดไ้ ม่เตม็ ท่ี หรือมีระดบั การพ่งึ ตนเอง
ทย่ี งั ไม่สมบูรณ์จึงตอ้ งการผมู้ าช้ีแนะใหก้ ารปรึกษา เม่ือช่วยตวั เองไม่ไดก้ ็
ตอ้ งมีผชู้ ่วยใหพ้ ่ึงตนเองไดโ้ ดยใชภ้ าษา และกิจกรรมเป็ นตน้ เขา้ มาช่วย
การช่วยคนให้ช่วยตนเองได้ เป็ นหน้าท่ีของการแนะแนวการให้การ
ปรึกษา

จากความหมายดังกล่าวสามารถจําแนกคุณลักษณะของการ
ปรึกษาได้ดังนี้

๑) การให้การปรึ กษาเป็ นกระบวนการซ่ึงมีการปฏิบัติ
ตอ่ เนื่องกนั จนบรรลุเป้าหมาย

๒) การให้การปรึกษาเป็ นกระบวนการ ของสัมพนั ธภาพที่
อบอุ่นเขา้ ใจกนั ให้เกียรติซ่ึงกันและกัน ยอมรับกนั ระหว่างผูใ้ ห้การ
ปรึกษากบั ผรู้ ับการปรึกษา

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๓

๓) การให้การปรึกษาเป็ นบริการใหค้ วามช่วยเหลือ ซ่ึงผูใ้ ห้การ
ปรึกษาจะตอ้ งมีความรู้ในวิชาชีพการให้ความช่วยเหลือเป็ นอย่างดีมี
ประสบการณ์ และสามารถทจ่ี ะช่วยใหผ้ รู้ บั การปรึกษา พน้ จากความทุกข์
และแกป้ ัญหาได้

๔) การให้การปรึกษาเนน้ ในดา้ นความคิด ความเขา้ ใจ และช่วย
ให้ผูร้ ับการปรึกษาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เกิดการเรียนรู้ที่จะพฒั นา
ตนเองและรับผดิ ชอบตนเอง

๕) การให้การปรึกษาเป็ นความร่วมมือกันระหว่างบุคคลต่อ
บคุ คล คอื ผใู้ หก้ ารปรึกษากบั ผรู้ ับการปรึกษา หรืออาจมีผรู้ ับการปรึกษา
มากกวา่ หน่ึงคนก็ได้

หลักสําคญั ที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการให้การปรึกษา ทีเ่ รียกว่า
เทคนิคและลีลาการสอน มอี ยู่ ๔ ประเภท

๑) สันทสั สนา ช้ีแจง้ ใหช้ ดั เจน เป็นข้นั ตอนของการแจกแจงเรื่อง
ทีส่ อน แสดงเหตแุ ละผลใหช้ ดั เจน ผฟู้ ังเขา้ ใจอยา่ งแจม่ แจง้

๒) สมาทปนา การโน้มน้าวจิตใจให้ผูฟ้ ังอยากปฏิบตั ิตาม เป็ น
การบรรยายช้ีให้ผูฟ้ ังเห็นคุณค่า และความสาํ คญั ของเรื่องที่สอน จนเกิด
ความอยากท่จี ะฝึกฝนเพอื่ ใหเ้ กิดความชาํ นาญ

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๔

๓) สมุดเตชนา เร้าใจให้อาจหาญ แกลว้ กลา้ เป็ นเทคนิคในการ
กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนเกิดความกระตือรือร้น มีกาํ ลงั ใจท่ีจะเรียนรู้ กระทาํ ให้
สาํ เร็จ สูง้ านไม่ยอ่ ทอ้ อดทน ไม่กลวั ลาํ บาก

๔) สัมปหังสนา ปลุกใจใหผ้ เู้ รียนสดช่ืนร่าเริง เป็ นเทคนิคในการ
ทาํ ใหผ้ เู้ รียนเกิดความชื่นบานโดยช้ีใหเ้ ห็นผลดี หรือประโยชน์ทจ่ี ะไดร้ ับ
และแนวทางทจ่ี ะนาํ ไปสู่ความสาํ เร็จข้นั ทสี่ ูงข้ึนไป

เป้าหมายการให้การปรึกษามีความมุ่งหวังคือ ให้เกิดการเปลยี่ นแปลงใน
ด้านต่าง ๆ ของผู้มารับการปรึกษา ดังนี้

๑) ในด้านที่มปี ัญหา สามารถเปล่ียนจากความขอ้ งใจกงั ขาสงสัย
ใหเ้ ป็ นความกระจ่างแจง้ เปลี่ยนจากความไม่รูเ้ ป็ นความรู้แจง้ เปลี่ยนจาก
ความมืดเป็ นความสวา่ ง

๒) ในด้านสุขภาพจิต สามารถเปลี่ยนจากความหมักหมม
สกปรกไปสู่ความบริสุทธ์ิ สะอาดโปร่งใสไร้ความวติ กกงั วลใจ

๓) ในด้านอารมณ์ สามารถท่ีจะเปล่ียนจากความพล่านเดือดร้อน
วา้ วนุ่ สบั สนไปสู่ความสงบสุขเยอื กเยน็

๔) ในด้านทัศนะคติทมี่ ีต่อโลกและชีวิต สามารถทจ่ี ะเปล่ียนจาก
การยดึ ถือไปสู่การปล่อยวางไม่มีความยดื ติดดว้ ยอาํ นาจอุปาทาน เปลี่ยน
จากมิจฉาทฏิ ฐิ ไปสู่ สมั มาทิฏฐิ ท่ีถูกตอ้ งตามทาํ นองคลองธรรม

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๕

๕) ในด้านพฤติกรรม สามารถเปลี่ยนจากการกระทาํ ชวั่ ทุจริต มา
เป็ นการทาํ ดีท่ีเป็ นไปในทางสร้างสรรค์ ตลอดถึงการเปลี่ยนแปลงใน
ระดบั สูงข้ึนไป หมายถึง การเปล่ียนแปลงคุณธรรม และคุณภาพชีวติ ให้
สูงส่งข้นึ จากสภาพของปุถุชนเป็นอริยบคุ คลทส่ี ูงข้ึนไป

ขอบข่ายของการให้การปรึกษา
๑) ปัญหาทางด้านการศึกษา ช่วยให้ผูร้ ับการปรึกษามีความรู้

ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางในการศึกษาวางอนาคตของชีวิตทาง
การศึกษาให้เหมาะสมกบั ความสามารถ ความกลา้ และความสนใจของ
แต่ละคน

๒) ปัญหาทางด้านอาชีพ ช่วยใหผ้ รู้ ับการปรึกษา เขา้ ใจถึงโลก
ของงานไดด้ ียงิ่ ข้นึ เลือกอาชีพทเ่ี หมาะสมกบั คุณสมบตั ิของตนเอง ตลอด
ถึงความสุขใจในการประกอบอาชีพ

๓) ปัญหาทางด้านสังคมส่วนตวั ช่วยใหผ้ รู้ ับการปรึกษาสามารถ
ปรับตวั ได้ดีในขณะดาํ เนินชีวิตอยู่ในครอบครัวในท่ีทาํ งานหรือใน
โรงเรียนช่วยทาํ ให้บุคคลมีสุขภาพจิตท่ีดีเขา้ ใจตนเองยอมรับตนเองและ
ยอมรับผูอ้ ื่นได้ดีมากข้ึน ซ่ึงจะช่วยทาํ ให้การทํางานร่วมกับผู้อื่นมี
ประสิทธิภาพยง่ิ ข้ึนอนั เป็ นการสร้างสรรคป์ ระโยชน์ให้แก่ตนเอง และ
สงั คม

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๖

ข้นั ตอนการให้การปรึกษาท่นี ํามาใช้

๑) ข้นั เร่ิมการปรึกษา เป็นข้นั ตอนการสรา้ งสมั พนั ธภาพระหวา่ ง
ผูใ้ ห้การปรึกษา และผรู้ ับการปรึกษา หากเป็ นการปรึกษาคร้ังแรก ผูใ้ ห้
การปรึกษาจะตอ้ งอธิบายกระบวนการ วตั ถุประสงค์ วิธีการให้การ
ปรึกษา และบทบาทหนา้ ท่ีของผูใ้ หก้ ารปรึกษา และผรู้ ับการปรึกษาดว้ ย
คาํ อธิบายส้ัน ๆเขา้ ใจง่าย และเน้นว่าการให้การปรึกษาจะเป็ นความลบั
และสนบั สนุนใหผ้ รู้ ับการปรึกษาไดเ้ ล่าปัญหา หรือเรื่องราวของตนเอง

๒) ข้ันสํารวจปัญหา เป็ นข้นั ตอนที่ผูร้ ับการปรึกษาไดร้ ะบาย
ความรู้สึกในใจ และเร่ืองราวต่าง ๆ ในการให้การปรึกษา ช่วยสาํ รวจ
ปัญหาที่แทจ้ ริงของผรู้ ับการปรึกษา พร้อมท้งั ช่วยให้ผูร้ ับการปรึกษาได้
สาํ รวจตนเองเพอ่ื รับรู้ถึงปัญหา สาเหตุ และแนวทางในการแกไ้ ขปัญหา
น้นั ๆ

๓) ข้ันดําเนินการช่วยเหลือ เป็ นข้นั ที่ผูใ้ ห้การปรึกษาให้การ
สนับสนุน ให้กาํ ลังใจ และให้ความช่วยเหลือแก่ผูร้ ับการปรึกษา ส่วน
ผูใ้ ห้การปรึกษาเป็ นเพียงผูใ้ ห้ขอ้ มูล ข้อสนเทศท่ีเกี่ยวข้องกับปัญหา
ตลอดจนแนวทางในการแกไ้ ขปัญหาเทา่ น้นั

๔) ข้ันประเมินผล เป็ นข้นั ท่ีผูใ้ ห้การปรึกษาไดป้ ระเมินผล ของ
การใหก้ ารปรึกษาวา่ ผรู้ บั การปรึกษาไดเ้ ปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมไปในทาง
ที่ดีข้ึนหรือไม่ เพือ่ ประโยชน์แก่ผใู้ หก้ ารปรึกษาที่จะปรับปรุงวธิ ีการให้

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๗

การปรึกษาหรือคงไว้ และทาํ ใหผ้ ใู้ หก้ ารปรึกษาทราบว่า ควรยตุ ิการให้
การปรึกษา หรือมีการส่งต่อให้ผูเ้ ช่ียวชาญเฉพาะดา้ นใหค้ วามช่วยเหลือ
ต่อไป

๕) ข้ันยุติการปรึกษา ผใู้ หก้ ารปรึกษาจะยตุ ิเม่ือผใู้ ห้การปรึกษา
และผรู้ บั การปรึกษาเห็นพอ้ งตอ้ งกนั วา่ การใหก้ ารปรึกษาบรรลุผลตามที่
ตอ้ งการ ผรู้ ับการปรึกษามีความเขา้ ใจตนเองมีความสามารถที่จะพฒั นา
ตนเองและเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมไดแ้ ลว้ กจ็ ะยดุ ิการใหก้ ารปรึกษา

๖) ข้ันติดตามผล ผูใ้ ห้การปรึกษาควรจะติดตามผลการให้การ
ปรึกษาต่อไป หลังจากยุติการให้การปรึกษาแล้ว เพ่ือติดตามการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผรู้ ับการปรึกษา และเพ่ือให้ความช่วยเหลือ
ตอ่ ไป หากเป็ นความประสงคข์ องผรู้ บั การปรึกษา

๗) ข้ันประเมินผลผู้ให้การปรึกษา ผูใ้ ห้การปรึกษาควรจะตอ้ ง
ประเมินผลตนเองดว้ ยวา่ ในการให้การปรึกษาในแต่ละข้นั ตอน การใช้
ทกั ษะต่าง ๆในการให้การปรึกษาน้ัน มีจุดเด่น จุดอ่อนตรงไหน เพื่อ
แกไ้ ขขอ้ บกพร่องเพ่มิ พูนประสิทธิภาพ และความรู้ใหแ้ ก่ตนเอง และมี
ผลใหส้ ามารถที่จะใหก้ ารปรึกษาไดด้ ียงิ่ ข้นึ ต่อไป

ลกั ษณะจริต ๖ (อุปนิสัย ๖) ประการของมนุษย์

จริต คือ ลักษณะนิสัยหรือความประพฤติพ้ืนฐานที่ประพฤติ
ปฏิบตั ิ ตามความเคยชินของจติ ใจเดิมของบุคคลน้นั

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๘

ในทางพทุ ธศาสนากล่าวถึงเหตุที่คนเรามีจริตแตกต่างกนั น้นั เกิด
จาก “กรรมในอดีต” และสดั ส่วนองคป์ ระกอบของ “ธาตุท้งั ๔” ภายใน
ร่างกายของแต่ละคน การท่ีจะรู้วา่ ใครมีจริตแบบไหนเราสามารถดูจาก
อุปนิสัยของคนคนน้นั และเพ่อื ใหง้ ่ายต่อการเขา้ ใจ เราจึงจะมาศึกษาถึง
รายละเอียดของอุปนิสยั ของคนทม่ี ีจริตต่าง ๆ เพอ่ื ทาํ ใหเ้ ราสามารถทราบ
ไดว้ า่ ตวั เราและบุคคลอื่น ๆ มีจริตเป็นเช่นไร

ซ่ึงจริตน้ันมีอยู่ ๖ แบบใหญ่ ๆ แต่ละจริตก็มีท้งั ขอ้ ดีและขอ้ เสีย
แตกต่างกนั ไป เมื่อเราไดศ้ กึ ษาจนทราบแลว้ วา่ ตนเองมีจริตแบบใดผ มอ
ยบู่ า้ ง กจ็ ะสามารถนาํ ไปประยกุ ตป์ รับปรุงแกไ้ ขในดา้ นทไ่ี ม่ดีใหล้ ดนอ้ ย
จนหมดไป และพนั าในดา้ นดีให้เพิ่มยงิ่ ๆ ข้ึนไป เพอื่ เพิ่มประสิทธิภาพ
ในการทาํ งานร่วมกบั บุคคลต่าง ๆ ในสงั คมทเี่ ราตอ้ งเขา้ ไปเกี่ยวขอ้ ง

อีกท้งั การศึกษาทาํ ความเขา้ ใจในจริตของแต่ละบุคคลน้นั เป็ น
ส่ิงจาํ เป็ นอยา่ งมากในยคุ ปัจจบุ นั ซ่ึงมีความหลากหลายทางอารมณ์ เพอ่ื ที่
เราจะไดห้ ยงั่ ลึกรู้ถึงอุปนิสยั ใจคอของคนท่ีเราจะตอ้ งเขา้ ไปปฏิสัมพนั ธ์
ด้วย ทาํ ให้การวางตวั และการปฏิบตั ิต่อบุคคลที่เราเขา้ หา เป็ นไปอยา่ ง
ถูกตอ้ งและมีประสิทธิภาพตามจริตอธั ยาศยั ของแต่ละคน โดยได้แบ่ง
จริตออกไดเ้ ป็ น ๖ แบบ ดงั น้ี

๑) คนราคะจริต โดยปรกตินิสัยทว่ั ๆ ไป เป็ นคนมีอิริยาบถ
เรียบรอ้ ยจะยนื เดิน นงั่ นอน กพ็ อเหมาะพองามไม่เร็ว หรือชา้ จนเกินไป
ทาํ งานไดป้ ระณีตเรียบร้อย ชอบรับประทานอาหารท่ีมีรสไม่จดั นัก เวลา

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๙

รับประทานก็ค่อยๆ รับประทานไม่มูมมามจนน่าเกลียด ชอบของสวยๆ
งามๆ ลกั ษณะเป็นคนมีรสนิยมสูง ในขอ้ เสียมกั จะเป็ นคนเจา้ เล่ห์ โออ้ วด
ถือตวั มกั ใหญ่ใฝ่สูง ชอบใหค้ นอ่ืนเขายกยอ่ งสรรเสริญในคุณงามความดี
ของตน คนที่มีจริต เช่นน้ี ควรเจริญอสุภกัมมัฏฐาน หรือกายคตานุสติ
อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง

๒) คนโทสจริต เป็นคนคล่องตวั กระฉบั กระเฉง วอ่ งไว เวลายนื
เดิน นัง่ นอน ไม่อึดอาด ทาํ งานรวดเร็วแต่ไม่เรียบร้อย ชอบรับประทาน
อาหารรสจดั และรับประทานไม่เรียบร้อยไม่สนใจของสวยๆ งามๆ เป็ น
คนมีความคิดรุนแรง หงดุ หงิดโกรธง่าย ชอบผกู อาฆาตผอู้ ่ืน เป็ นคนอวด
ดีชอบยกตนข่มท่าน ไม่เห็นความสาํ คญั ในคุณงามความดีของผูอ้ ื่น เป็ น
คนตระหนี่ชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่น คนท่ีมีจริตเช่นน้ีควรเจริญพรหม
วิหาร ๔ มเี มตตาพรหมวิหารเป็นต้น จะช่วยลดความฉุนเฉียวลงได้

๓) คนโมหจริต เป็ นคนไม่เรียบร้อยเดินเสียงดงั (เดินลงส้นเทา้ )
แต่งตวั รุ่มร่าม เชื่องซึมหงอยเหงา ชอบหลบั ชอบทาํ งานคงั่ คา้ ง แมง้ านท่ี
ทําก็ไม่เรี ยบร้อยประณีต ในด้านของความคิดไม่ค่อยมีความคิด
สร้างสรรค์ ไม่มีอุดมการณ์ที่แน่นอน ชอบคลอ้ ยตามผูอ้ ่ืน ผูม้ ีจริตเช่นน้ี
ควรเจริญอานาปานสติกัมมฏั ฐาน หรือเจริญสติปัฏฐาน ๔ มีกายานุปัสส
นาสติปัฏฐานเป็นต้น เพอ่ื ใหม้ ีสตริ ู้ทนั อารมณ์ปัจจบุ นั

๔) คนวิตกจริต คนประเภทน้ี เป็ นกลุ่มเดียวกบั คนโมหจริต มี
นิสัยอึดอาด ไม่กระฉับกระเฉง มีจิตใจฟุ้งซ่าน ทาํ งานอะไรก็ไม่ค่อยมี

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๒๐

ระเบียบเรียบร้อย ชอบพดู ชอบคุยในเรื่องที่ไม่เป็ นเร่ืองชอบคลุกคลีกับ
หมู่คณะ เห็นเขาน่งั รวมกลุ่มกนั ตรงไหน ก็ชอบเขา้ ไปนัง่ ร่วมดว้ ย เป็ น
คนเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้นในการประกอบคุณงามความดี ชอบทาํ งาน
จบั จดไม่เป็ นชิ้นเป็ นอนั ผูม้ ีจริตเช่นน้ี ควรเจริญอานาปานสติกมั มัฏฐาน
เหมือนกบั คนโมหจริต

๕) คนสัทธาจริต ลักษณะนิสัยของคนประเภทน้ี ไม่ว่าจะเป็ น
การยนื เดิน นั่ง นอน เร่ืองอาหารการกิน หรือในดา้ นความรู้สึกนึกคิดท่ี
แสดงออก มีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั คนราคะจริต เป็ นคนหวั อ่อนเช่ือง่าย
คลอ้ ยตามงา่ ย เป็นผมู้ ีศรัทธา เสียสละทุ่มเท จดุ อ่อนของคนประเภทน้ี คือ
มกั จะถูกชกั จูงไปในทางท่ผี ดิ ไดง้ ่าย บคุ คลประเภทน้ีมีความเช่ืออยแู่ ลว้ ก็
ควรที่จะส่งเสริมความเชื่อนั้นให้ เป็ นไปในทางท่ีถูก ด้วยการปลูกฝัง
ศรัทธาในคุณพระพุทธ (พทุ ธานุสสติ) ในคุณพระธรรม (ธัมมานุสสติ)
ในคณุ พระสงฆ์(สังฆานุสสติ) กจ็ ะทาํ ไดง้ ่าย

๖) คนพุทธิจริต เป็ นคนค่อนขา้ งมีปัญญาวอ่ งไว กระฉบั กระเฉง
ทาํ งานต่าง ๆ ไดร้ วดเร็ว แต่ไม่ค่อยเรียบร้อย นิยมรับประทานอาหารทีม่ ี
รสจดั ในดา้ นความคิด มักเป็ นคนเจา้ ถอ้ ยหมอความ มีความเชื่อมนั่ ใน
ตวั เองสูง ทาํ นองเดียวกบั คนโทสจริต ลกั ษณะทเี่ ด่นของเขาคือ เป็ นคนวา่
นอนสอนง่าย นิยมคบหาสมาคมกับคนดี ชอบใช้เหตุผล มีความ
ระมดั ระวงั สูงจะทาํ อะไรก็คิดก่อนอยา่ งรอบคอบ เป็ นคนมีความเพยี รไม่
เกียจคร้าน คนประเภทน้ีควรส่ งเสริ มให้ เจริ ญกัมมัฏฐานประเภท

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๒๑

ธาตุววัฏฐาน แยกกายออกเป็ นธาตุ ๔ คือ ดิน นา้ํ ไฟ ลม หรือประเภท
อาหาเรปฏิกูลสัญญาพิจารณาอาหารท่ีสาํ หรับบริโภคให้เห็นเป็ นของน่า
เกลยี ดปฏิกลู เพราะคนประเภทน้ีชอบคิดชอบวเิ คราะห์อยแู่ ลว้

หลกั การ และวิธีการให้การปรึกษาของพระพุทธเจ้า

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โต) กล่าวถึงหลกั ในการใหก้ าร
ปรึ กษาของพระพุทธเจ้า สามารถสรุปลักษณะสําคัญซ่ึงมีความ
สอดคลอ้ งกนั การสอนไดด้ งั น้ี คือ

๑) ทรงสอนสิ่งทีจ่ ริง และเป็นประโยชน์แก่ผฟู้ ัง
๒) ทรงรูเ้ ขา้ ใจส่ิงที่สอนอยา่ งถ่องแทส้ มบรู ณ์
๓) ทรงสอนดว้ ยเมตตามุ่งประโยชนแ์ ก่ผเู้ ขา้ รับคาํ สอนเป็ นที่ต้งั

ไม่หวงั ผลตอบแทน
๔) ทรงทาํ ไดจ้ ริงอยา่ งท่ีสอน อนั เป็นตวั อยา่ งทดี่ ี
๕) ทรงมีบุคลิกภาพโนม้ นา้ วจิตใจใหเ้ ขา้ ใกลช้ ิดสนิทสนม และ

พงึ พอใจไดค้ วามสุข
๖) ทรงมีหลกั การ และวธิ ีการสอน ทย่ี อดเยยี่ ม

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๒๒

ข้นั ตอนกระบวนการพุทธวิธีการให้การศึกษา
๑) รู้จกั ผมู้ ารับการปรึกษาล่วงหนา้
๒) ทรงปรบั ภาวะผนู้ าํ มารบั การปรึกษาใหม้ ีความพรอ้ มท่ีจะรับ
การใหก้ ารปรึกษา
๓) ทรงใหก้ ารปรึกษาทีม่ ีเน้ือหาเหมาะสมกบั ผมู้ ารบั การใหก้ าร
ปรึกษา
๔) ทรงประเมินผลการใหก้ ารปรึกษา
๕) มีกิจกรรมภาคปฏิบตั ใิ หผ้ เู้ ขา้ รบั การใหก้ ารปรึกษา

การฝึ กอบรมพัฒนาตามหลกั แห่งพระพทุ ธศาสนามสี าระสําคญั ดังนี้

๑) กายภาวนา เป็ นการพฒั นากาย ให้เจริญงอกงามด้วยการ
พฒั นาทกั ษะคอื ความชาํ นาญ ในการพฒั นาอินทรีย์ อนั ไดแ้ ก่ ตา หู จมูก
ล้ินและกาย ให้มีความเฉียบคมเท่าทนั ต่อโลก เช่น ความจาํ เป็ นของ
เทคโนโลยี ท่ีทาํ ให้เกิดความสะดวกสบายเกิดความเพลิดเพลิน อาจจะ
นาํ มาซ่ึงความมวั เมาจนเกิดความประมาทหลงลืมตน การฝึกอบรมกาย
โดยผา่ นกระบวนการค่ายคุณธรรม จริยธรรม ท่ีมีการจดั บรรยากาศการ
เรียนรูใ้ หผ้ เู้ ขา้ อบรมสมั ผสั ถึงความสงบ และความสุขจากภายใน

๒) ศีลภาวนา เป็ นการพฒั นาดา้ นการมีชีวิตอยู่ร่วมกบั ผูอ้ ื่นใน
สงั คม ความมีระเบียบในการเป็นอยู่ การไม่เบียดเบียนกนั ซ่ึงเป็ นพ้นื ฐาน
ของศีล ๕) การฝึ กฝนควบคุมตน ในทางกายวาจา และใจ ค่ายคุณธรรม
จริยธรรม ตอ้ งยดึ หลักของศีลภาวนา ในการดาํ เนินกิจกรรมต่าง ๆเช่น

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๒๓

เรื่องการกิน การอยู่ การนอน การเขา้ หอ้ งประชุม การมีมารยาท การให้
เกียรตติ อ่ กนั และกนั การปฏบิ ตั ิต่อครูอาจารย์

๓). จิตภาวนา การทาํ ให้จิตใจของตนให้มีคุณภาพ โดยมุ่งเน้น
กระบวนการ การระวงั จิต(ไม่ประมาท) ความดีงามท้งั หลายตอ้ งเกิดจาก
ภายในมีใช่การเกิดจากการบงั คบั ค่ายคุณธรรมจริยธรรมตอ้ งบริหาร
จดั การดว้ ยความเมตตา มิใช่ความรุนแรง

๔). ปัญญาภาวนา ฝึ กรับรู้จากประสบการณ์ตรง ความแทจ้ ริง
ของสรรพสิ่งท่ี เกิดข้ึนต้ังอยู่ และดับไป โดยไม่ยินดียินร้ายได้แก่
ความชอบ ความชงั ความกลวั ซ่ึงถูกชกั จงู ดว้ ยโลภะ โทสะ โมหะ ทาํ ให้
เกิดอยากได้ จึงคิดวางแผน คดิ วนิ ิจฉยั ฝึกการรับรู้ส่ิงตา่ ง ๆตามความเป็ น
จริง จากกิจกรรมต่าง ๆ ในหลกั สูตร

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๒๔

ปรัชญาการฝึ กอบรมตามแนวพทุ ธศาสตร์

๑) มีความเห็นทถ่ี ูกต้อง เป็ นการกิจสาํ คญั ของการฝึ กอบรมทีจ่ ะ
ทาํ ใหบ้ ุคคลรู้จกั มองส่ิงท้งั หลาย ใหเ้ กิดประโยชนแ์ ก่ตนและสงั คม ไม่ได้
มองเห็นตามอาํ นาจของกิเลสตณั หา

๒) ผู้สอนเป็ นกลั ยาณมติ ร บอกดี ช้ีโทษ การมีกลั ยาณมิตร ถือวา่
เป็ นสมบตั ิของชีวติ

๓). ผู้เข้ารับการอบรมมสี ่วนร่วม เป็นบทบาทสาํ คญั ของผเู้ ขา้ รับ
การอบรมในฐานะที่เป็ นผูส้ ร้างปัญญา ให้เกิดแก่ตนเละเป็ นผูล้ งมือ
กระทาํ ให้มากที่สุด เพ่ือให้เกิดปัญญาข้ึนตามความสามารถ ความถนัด
และอุปนิสัยของผูเ้ ขา้ รับการอบรมอนั เป็ นสิ่งที่ผูส้ อนจะตอ้ งคาํ นึงเป็ น
สาํ คญั เพอื่ จดั สภาพการเรียนและวธิ ีสอนตา่ ง ๆ

๔). การใช้วิธีการแห่งปัญญาในการเรียนการสอนตามหลัก
กาลามสูตร เป็ นการให้อิสระแก่ผูเ้ ขา้ รับการอบรมในการใชค้ วามคิด
สามารถซักถามโตต้ อบสืบเสาะคน้ หาความจริงต่าง ๆให้ไดร้ ับความรู้
ความเขา้ ใจข้ึนในตน โดยไม่บงั คบั ให้เชื่อ แต่การฝึกอบรมจะใหเ้ หตุผล
เป็ นฐานรองรับ และสามารถพสิ ูจน์ได้

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๒๕

วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าเม่ือจะทรงสอนใครแต่ละคร้ัง พระองค์ก็มี
องคป์ ระกอบในการสอนบุคคลระดบั ตา่ ง ๆ ท่ีมีพ้นื ฐานความรู้ สติปัญญา
ท่ีแตกต่างกัน พระองค์ได้ประยุกต์คาํ สอนแต่ละลักษณะให้มีความ
เหมาะสม เป็ นการสอนท่ีแสดงถึงพุทธลีลาของพระองค์ ที่สําคญั การ
สอนในลกั ษณะน้ีของพระองค์ เป็นการนาํ เน้ือหาที่มีอยู่ มาทาํ การตคี วาม
โดยอาศยั ขอ้ มูลท่ีมีอยู่ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน แล้วนําเข้าสู่
หลกั การทถ่ี ูกตอ้ ง ตามคาํ สอนทางพระพทุ ธศาสนา ดงั น้ี

วิธีการสอนแบบต่าง ๆ

การสอนธรรมะของพระพทุ ธเจา้ มีวธิ ีการท่ีหลากหลาย พระองค์
จะทรงพจิ ารณาจากบคุ คลที่กาํ ลงั รบั ฟัง ถา้ บคุ คลมีระดบั สตปิ ัญญานอ้ ย ก็
จะทรงสอนธรรมะอีกรูปแบบหน่ึง ผูท้ ี่มีปัญญามากก็จะใชอ้ ีกรูปแบบ
หน่ึง เม่ือจดั เขา้ อยใู่ นประเภทแลว้ จาํ แนกวธิ ีการสอนพระพทุ ธเจา้ ได้ ๔
ประเภท คอื

๑) แบบสากจั ฉาหรือสนทนา

เป็ นการสอนโดยใช้วิธีการถามคู่สนทนา เพื่อทาํ ให้เกิดความ
เขา้ ใจธรรมะและความเลื่อมใสศรัทธา วิธีการสอนแบบน้ีจะเห็นไดจ้ าก
การที่พระองค์ใช้โปรดบุคคลในกลุ่มที่มีจาํ นวนจาํ กัดที่สามารถพูด
โตต้ อบกนั ได้ ในการสอนแบบสากัจฉาหรือสนทนา จะมีการถามใน

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๒๖

รายละเอียดไดม้ ากกวา่ การสอนแบบทวั่ ไปเพราะเป็ นการให้ขอ้ มูลต่อ
กลุ่มชนทม่ี ีจาํ นวนจาํ กดั เมื่อพระพทุ ธเจา้ แสดงธรรมจบ ผฟู้ ังมกั จะไดร้ ับ
คุณวเิ ศษจากการฟังธรรมโดยวธิ ีน้ีอยเู่ สมอ

๒) แบบบรรยาย

พระพุทธเจ้าจะทรงใช้ในที่ประชุมใหญ่ในการแสดงธรรม
ประจาํ วนั ซ่ึงมีประชาชนและพระสาวกเป็ นจาํ นวนมากมารับฟัง ถือวา่
เป็ นวิธีการที่พระพทุ ธองคใ์ ชม้ ากที่สุดในการแสดงธรรม มีท้งั การแสดง
ธรรมท่ีมีใจความยาว และทมี่ ีใจความแบบส้นั ๆ ตามแต่สถานการณ์ทเี่ ห็น
วา่ เหมาะสม

๓). แบบตอบปัญหา

การสอนแบบตอบปัญหาของพระพุทธเจ้า จะทรงสอนให้
พิจารณาดูลกั ษณะของปัญหาและใชว้ ิธีตอบให้เหมาะสมกนั ซ่ึงในการ
ตอบปั ญหาของพระองค์น้ันจะทรงพิจารณาจากความเหมาะสม
ตามลาํ ดบั แห่งภมู ิรู้ของผถู้ ามเป็นสาํ คญั

๔). แบบวางกฎข้อบังคบั

เป็ นการสอนโดยใชว้ ธิ ีการกาํ หนดหลกั เกณฑ์ กฎ และขอ้ บงั คบั
ให้พระสาวกหรือสงฆป์ ฏิบตั ิ หรือยดึ ถือปฏิบตั ดิ ว้ ยความเห็นชอบพรอ้ ม
กนั วธิ ีการน้ีจะเป็นลกั ษณะของการออกคาํ สงั่ ใหผ้ ศู้ ึกษาปฏบิ ตั ติ าม ถือวา่
เป็ นการสอนโดยการวางระเบียบใหป้ ฏบิ ตั ิร่วมกนั เพอื่ ความสงบสุขแห่ง

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๒๗

หมู่คณะ ดงั จะเห็นไดจ้ ากการที่พระองคท์ รง บญั ญตั ิพระวนิ ัยต่าง ๆ ซ่ึง
ใช้เป็ นขอ้ บงั คบั ให้พระภิกษุได้ปฏิบตั ิตาม และที่สาํ คญั กฎขอ้ บงั คบั ที่
พระองคท์ รงบญั ญตั ิน้นั สามารถเป็ นตวั แทนของพระองคไ์ ด้ ดงั ที่ทรง
ตรัสในวนั ทีจะเสด็จปรินิพพานว่า “ธรรมและวินัยท่ีเราแสดงแล้ว
บัญญัตแิ ล้วแก่เธอท้ังหลาย หลงั จากเราล่วงลบั ไปก็จะเป็ นศาสดาของเธอ
ท้ังหลาย”

กลวธิ ีการสอนของพระพุทธเจ้า

การสอนหรือการถ่ายทอดความรู้ทุกเร่ือง ถึงแมผ้ ถู้ ่ายทอดจะมี
ความรูด้ ีสกั เพยี งใดกต็ าม หากขาดอุบายการสอนท่ีดีงดูดใหผ้ เู้ รียนมีความ
สนใจได้ การสอนน้ันก็จะไม่ประสบความสําเร็จ หรือภาษาปัจจุบนั
เรียกวา่ ขาดเทคนิคในการสอนพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงใหเ้ ห็นถึงความเป็ น
เลิศ ในการใชก้ ลวธิ ีหรือเทคนิคการสอนเป็นอยา่ งยง่ิ ประกอบดว้ ย ๑๐ วธิ ี
คือ

๑) การยกอุทาหรณ์และการเล่านิทานประกอบ

การยกตวั อยา่ งประกอบคาํ อธิบาย ช่วยใหเ้ ขา้ ใจเน้ือความไดง้ ่าย
และชดั เจน ซ่ึงการสอนแบบน้ี จะเห็นไดช้ ดั เจนจากนิทานท่ีปรากฏอยู่
ท่ัวไ ป เฉพา ะ นิ ท า น ชา ดก อ ย่า งเดี ยวที่ ป รา ก ฏ ใน คัม ภี ร์ ท า ง
พระพทุ ธศาสนาก็มีมากถึง ๕๔๗ เร่ือง เช่น สอนเร่ืองความเสียหายอัน
เกิดจากความไม่สามคั คี โดยยกตวั อยา่ งเรื่องภิกษุชาวโกสมั พี หรือสอน

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๒๘

เร่ืองการอยอู่ ยา่ งสงบ ตอ้ งอาศยั การประกอบความเพยี รอยเู่ สมอ โดยการ
ยกเอาพระมหากสั สปะเป็ นตวั อยา่ งโดยตรัสยกยอ่ งวา่ “เป็ นผูม้ ีสติ หมน่ั
ประกอบความเพียรไม่ติดในที่อยู่ ละความห่วงอาลยั ไป เหมือนหงส์ละ
เปลือกตม ฉะน้นั ”

ดงั น้นั การสอนแบบน้ีจึงถือว่า เป็ นเร่ืองท่ีทาํ ใหม้ องเห็นภาพคาํ
สอนท่ีเป็ นรูปธรรมมากยิ่งข้ึน โดยตัวละครอ่ืน ๆ จะมีบทบาทเขา้ มา
เก่ียวขอ้ งเป็ นจาํ นวนมาก และการสอนแบบน้ีเป็ นการนาํ ตวั ละครมาใช้
ตคี วามธรรมะ ใหค้ วามหลากหลายและเขา้ ใจง่ายมากยง่ิ ข้นึ

๒) การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา

เป็ นการอธิบายเพื่อทําเร่ื องท่ีเข้าใจยากให้เข้าใจง่ายข้ึน
โดยเฉพาะเรื่องที่เป็ นนามธรรม พระพุทธเจา้ ก็ทรงเปรียบเทียบให้เห็น
เป็ นรูปธรรมโดยชดั เจน เช่น คร้ังพระพทุ ธเจา้ ตรัสสอนแก่เมณฑกเศรษฐี
วา่ “โทษของคนอ่ืนเห็นไดง้ ่าย ส่วนโทษของตนเห็นไดย้ ากเพราะคนน้นั
ชอบโปรยโทษของผอู้ ื่นเหมือนคนโปรยแกลบ แต่กลบั ปกปิ ดโทษของ
ตนไว้เหมือนพรานนกปกปิ ดร่างพรางกายตนไว้ พอกพูนเคร่ื อง
พนั ธนาการใหม่ ๆ ยง่ิ ข้ึนยดึ มน่ั ในสิ่งท่ีตนไดเ้ ห็นแลว้ และฟังอยา่ งน้ี จึง
ตกสู่หลุมถ่านเพลิงตลอดไป เหมือนแมลงตกสู่ประทปี น้าํ มนั ฉะน้นั ”

คาํ อุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซ้ึงเข้าใจยาก ปรากฏความเด่นชัด
ออกมาและเข้าใจง่ายข้ึนโดยเฉพาะมักใช้ในการอธิบายส่ิงท่ีเป็ น

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๒๙

นามธรรม เปรียบเทียบให้เห็นชดั ดว้ ยสิ่งทเี่ ป็นรูปธรรมหรือเปรียบเร่ืองที่
เป็ นรูปธรรมดว้ ยขอ้ อุปมาแบบนามธรรม ก็ช่วยให้ความหมายมีความ
หนกั แน่นข้ึน การใชอ้ ุปมาน้ีเป็ นกลวิธีประกอบการสอน ท่ีพระพุทธเจา้
ทรงใชบ้ ่อยมากในการแสดงธรรม

๓). การใช้อุปกรณ์การสอน

เป็ นการใช้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเป็ นสื่อการสอน ซ่ึงก็จดั อยู่ใน
ลกั ษณะท่ีคลา้ ยการใชว้ ิธีการอุปมา วธิ ีการสอนแบบน้ีพระพุทธองค์จะ
ทรงใชอ้ ุปกรณ์ตอบตวั ของพระองคเ์ ป็นสื่อในการแสดงธรรม เช่นในคร้ัง
ท่ีประทบั อยทู่ ี่สีสปาวนั ใกลเ้ มืองโกสมั พี ก็ไดส้ อนภิกษุท้งั หลายโดยใช้
ใบประดู่เป็ นอุปกรณ์ คือพระองคไ์ ดห้ ยบิ ใบประดู่ลายมาเล็กน้อย แลว้
ถามภิกษุท้งั หลายว่า ใบไม้ในป่ ากับในพระหัตถ์ของพระองคท์ ี่ไหนมี
มากกว่ากันภิกษุท้งั หลายก็ทูลว่าในป่ ามีมากกว่ายิง่ นัก แลว้ พระองคก์ ็
ตรสั แสดงการที่พระองคไ์ ม่ทรงสอนท้งั หมด เพราะคาํ สอนของพระองค์
น้นั มีมากมายเหมือนไมป้ ระดู่ลายในป่ าตรสั คาํ สอนท่จี าํ เป็ นเหมือนใบไม้
ในกาํ มือ เพราะมีความจาํ เป็นตอ่ การทาํ ท่สี ุดแห่งทกุ ๆใหส้ ้ิน

๔). การทําเป็ นตวั อย่างหรือสาธิตให้ดู

วธิ ีการสอนทดี่ ีที่สุดอยา่ งหน่ึงโดยเฉพาะในทางจริยธรรมคือการ
ทาํ เป็ นตวั อยา่ งซ่ึงเป็ นการสอนแบบไม่ตอ้ งกล่าวสอนเป็ นทาํ นองการ
สาธิตให้ดู ในวิธีการสอนน้ีเป็ นลักษณะของความเป็ นผูน้ ําที่แท้จริง

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๓๐

เพอื่ ใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิตามเกิดความมน่ั ใจในผสู้ อน วธิ ีการท่ดี ีทส่ี ุดคอื การทาํ ให้
ดู พระพทุ ธเจา้ ถือวา่ เป็ นแบบอยา่ งในเร่ืองน้ี เช่น กรณีของภกิ ษุทปี่ ่ วยจน
ตอ้ งนอนจมกองมูตรและคูกของตนเอง ไม่มีภกิ ษรุ ูปใดมีความปรารถนา
ท่ีจะเขา้ ไปดูแลพยาบาล

พระพทุ ธเจา้ จึงสอนภิกษุท้งั หลายที่อยใู่ นอาวาสน้ัน ดว้ ยการลง
มือปฏิบตั ิดูแลพยาบาลภิกษุรูปน้นั ดว้ ยพระองคเ์ อง หลงั จากท่ีทรงดูแล
จนภกิ ษุทอี่ าพาธใหม้ ีอาการดีข้นึ แลว้ ในตอนที่ประชุมไดต้ รัสไว้ เพอ่ื เป็ น
ขอ้ คิดแก่ภิกษุท้งั หลายวา่ “ภิกษุท้งั หลาย พวกเธอไม่มีมารดา ไม่มีบิดา
ผูใ้ ดเล่าจะพยาบาลพวกเธอ ถ้าพวกเธอไม่พยาบาลกนั เอง ใครเล่าจัก
พยาบาล ผใู้ ดจะถึงอุปัฎฐากเรา ขอใหผ้ นู้ ้นั พยาบาลภิกษผุ อู้ าพาธเถิด”

๕). การเล่นภาษา เล่นคาํ และใช้คาํ ในความหมายใหม่

เป็ นเรื่องของการใช้ความสามารถในการใช้ภาษาผสมกับ
ปฏิภาณ การสอนแบบน้ีแสดงให้เป็ นเห็นถึงพระปรีชาสามารถของ
พระพทุ ธเจา้ ท่ที รงรอบรูท้ ุกดา้ นในการทพี่ ระองคท์ รงใชว้ ธิ ีการสอนแบบ
เล่นภาษา เล่นคาํ และใชค้ าํ ในความหมายใหม่น้ี จะเห็นไดจ้ ากกรณีของ
เวรัญชพราหมณ์ ที่มากล่าวว่าพระองคต์ ่าง ๆ นานา แทนที่พระองคจ์ ะ
ปฏเิ สธการกล่าวหาน้นั กลบั นาํ คาํ กล่าวหามาอธิบายดว้ ยการใชภ้ าษา การ
เล่นคาํ โดยการนาํ เขา้ สู่หลกั การทถี่ ูกตอ้ งของพระองค์

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๓๑

เช่น ในขอ้ กล่าวหาที่พราหมณ์ต่อวา่ พระพุทธองคว์ ่า “ท่านพระ
โคดม เป็ นคนไม่มีสมบตั ิ” ซ่ึงสมบตั ิในความหมายของพราหมณ์ เป็ น
การกล่าวถึงสมบตั ภิ ายนอก ที่เป็นเครื่องตอบสนองความตอ้ งการพ้นื ฐาน
แต่พระพทุ ธเจา้ ใหค้ วามหมายการไม่มีสมบตั คิ ือการละส่ิงทท่ี าํ ใหช้ ีวิตติด
อยกู่ ับวตั ถุน้ัน ๆ เพราะการตดั รากเหงา้ แห่งอกุศลท้งั หลายชื่อว่าไร้ซ่ึง
ความเป็ นคนมีสมบตั ิ เพราะการละอกศุ ลท้งั หลายไดอ้ ยา่ งส้ินเชิง เป็ นตน้

๖). การใช้อุบายเลือกคนและการปฏบิ ัตเิ ป็ นรายบคุ คล

การเลือกคนเป็ นอุบายสาํ คญั ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ที่จะ
ทาํ ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรืองไดเ้ ร็ว ซ่ึงวธิ ้ีเราจะเห็นไดจ้ ากหลงั จาก
การตรัสรู้ใหม่ ๆ ของพระพุทธองคก์ ารสอนแต่ละคร้ังในช่วงน้ัน จะ
เนน้ หนกั ไปในดา้ นผนู้ าํ ชุมชน

เช่น คร้ังตรัสรู้แลว้ ก็เลือกที่จะโปรดปัญจวคั คียก์ ่อน เพราะทรง
เห็นว่าพวกเขามีพ้ืนฐานความศรัทธาเป็ นทุนเดิมอยูแ่ ลว้ ง่ายต่อการทาํ
ความเขา้ ใจคาํ สอนของพระองคแ์ ละต่อมาก็สอนชายหนุ่มทชี่ ื่อยสกลุ บตุ ร
ซ่ึงเป็ นบุตรของเศรษฐีและผนู้ าํ ของชายหนุ่มในชุมชนน้นั เพราะพระองค์
ทรงเล็งเห็นวา่ ปัญจวคั คียแ์ ละยสกุลบุตรน้ี จะเป็ นสาวกที่จะช่วยในการ
เผยแผค่ าํ สอนไดม้ าก

การสอนผูป้ กครองแผน่ ดินของพระพทุ ธองค์ ก็ทรงใชว้ ิธีการน้ี
เช่นเดียวกนั เพราะเม่ือทาํ ใหผ้ นู้ าํ ใหม้ ีความเขา้ ใจและศรัทธาไดแ้ ลว้ ผทู้ ่ี

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๓๒

อยใู่ ตบ้ งั คบั บญั ชายอ่ มปฏิบตั ิตามผูน้ าํ ในที่สุด เช่น กรณีของพระเจา้ พมิ
พสิ าร เป็ นตน้ ซ่ึงวธิ ีการน้ีแสดงใหเ้ ห็นไดว้ า่ พระพุทธเจา้ ทรงมองการณ์
ไกล ในเร่ืองการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา จึงมีการเร่ิมตน้ สอนที่บุคคลซ่ึง
เป็ นประมุขหรือหวั หนา้ ของชุมชนน้นั ๆ ก่อน

การเผยแผ่ธรรมของพระพุทธเจา้ เม่ือคร้ังตรัสรู้ใหม่ ๆ ไดเ้ สด็จ
ไปโปรดปัญจวคั คียผ์ ูท้ ี่อย่ใู กลช้ ิดพระองค์ เม่ือคร้ังออกแสวงหาธรรม
ก่อน ขอ้ น้ีพิจารณาไดท้ ้งั ในแง่ท่ีปัญจวคั คียเ์ ป็ นผูใ้ ฝ่ ธรรมมีอุปนิสัยอยู่
ก่อนแลว้ ท้งั ในแง่ท่ีเป็ นผูม้ ีอุปการะกันมา หรือในแง่ที่เป็ นการสร้าง
ความมน่ั ใจ ทาํ ให้ผูเ้ คยเกี่ยวขอ้ งหมดความคลางแคลงใจในพระองคต์ ดั
ปัญหาในการท่ที ่านเหล่าน้ี อาจไปสร้างความคลางแคลงใจแก่ผอู้ ื่นต่อไป

๗) การรู้จกั จงั หวะและโอกาส

พระพทุ ธเจา้ แสดงให้เห็นถึงพุทธวิธีในการสอน ท่ีพระองคท์ รง
ปฏิบตั ิต่อบุคคลระดบั ต่าง ๆ ไดด้ ี การสอนแบบน้ีพระองคจ์ ะทรงดาํ ริถึง
ความเหมาะสม ความพรอ้ มของผทู้ จี่ ะรบั ฟัง ตลอดจนถึงเหตกุ ารณ์ที่เห็น
วา่ เหมาะสมในการท่ีจะแสดงธรรมหรือบญั ญตั ิขอ้ ปฏบิ ตั ิตา่ ง ๆ เช่น

กรณีการบญั ญตั ิพระวินัยแต่ละขอ้ พระองคก์ ็จะตอ้ งมีมูลเหตุ
ของความผิดที่เกิดข้ึนเสียก่อน แลว้ จึงสอนโทษท่ีเกิดจากการล่วงละเมิด
หลังจากน้ันก็จะบญั ญตั ิส่ิงท่ีไม่ควรปฏิบตั ิหรือที่ควรปฏิบัติ ซ่ึงต่อมา

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๓๓

เรียกวา่ พระวนิ ยั เช่น กรณีของพระสุทินทีต่ อ้ งอาบตั ิปาราชิกดว้ ยการเสพ
เมถุนธรรมกบั อดีตภรรยาของตน

ต่อมาพระองคก์ ็ไดท้ รงบญั ญตั ิในเร่ืองความผิดที่ประพฤติแลว้
ขาดจากความเป็ นพระขอ้ ที่ ๑ และอีกกรณีหน่ึงท่ีแสดงถึงการรู้จักใช้
จงั หวะและโอกาสของพระพทุ ธองคก์ ็คือในเรื่องของการสงั คายนา เมื่อ
คร้ังยงั ทรงพระชนมอ์ ยมู่ ีภิกษุหลายรูปเขา้ ไปทูลแสดงความประสงคใ์ ห้
พระองคท์ าํ สงั คายนา แต่กาลเวลายงั ไม่สมควรจึงตรสั หา้ มเสีย

แต่เม่ือมีเหตุการณ์เกิดข้นึ ตอ่ ลทั ธิอื่น ๆ ที่มีการแตกแยกเพราะครู
บาอาจารยส์ ิ้นไปและทรงเห็นว่าถึงเวลาแลว้ โดยการอ้างตวั อย่างจาก
ลทั ธิต่าง ๆ และเหตุปัจจยั ท่ีเหมาะสมจึงมีมติให้ภิกษุทาํ สงั คายนา โดย
ทรงช้ีใหเ้ ห็นถึงความสาํ คญั ของพระธรรมวนิ ัย และไดท้ รงมอบหมายให้
ภิกษมุ ีพระสารีบุตร เป็นตน้ ไดท้ าํ การสงั คายนาในโอกาสที่เหมาะสม

๘). ความยืดหยุ่นในการใช้วธิ ีการ

วิธีการสอนน้ีเป็ นการแสดงถึงการรู้จกั ผ่อนหนักผ่อนเบาของ
พระพทุ ธองคท์ ี่ใชส้ อนบุคคลต่าง ๆ ถา้ ผสู้ อนสอนอยา่ งไม่มีอตั ตา ลดละ
ตณั หา มานะ ทิฏฐิเสียให้น้อยที่สุด ก็จะมุ่งไปยงั ผลสาํ เร็จในการเรียนรู้
เป็ นสาํ คญั เช่น กรณีท่ีพระพุทธเจา้ ตรสั กบั คนฝึ กมา้ ทีม่ ีวิธีการฝึ กดว้ ยวธิ ี
แบบสุภาพ วธิ ีแบบรุนแรง ท้งั วธิ ีแบบสุภาพและรุนแรงจนกระทงั่ สุดทา้ ย
เม่ือฝึกไม่ไดก้ ็ฆ่าทง้ิ เสีย

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๓๔

พระพทุ ธองคก์ ็ใชว้ ธิ ีการทีค่ นฝึกมา้ กล่าวไวน้ ้นั ยอ้ นกลบั มาเป็ น
อุปกรณ์การสอนของพระองค์ ดว้ ยพระดาํ รัสวา่ “เรายอ่ มฝึ กคนด้วยวิธี
ละมุนละม่อมบา้ ง และถ้าฝึ กไม่ไดก้ ็ฆ่าท้ิงเสีย” แต่ในกรณีการฆ่าของ
พระองคน์ ้ัน หมายถึง การไม่เอาใจใส่ต่อบุคคลท่ีไม่มีความสนใจใน
ธรรม จึงฆ่าเสียคือปล่อยใหห้ ล่นไปสู่หนทางทีไ่ ม่ดี เพราะสาเหตจุ ากการ
ไม่สนใจของบุคคลน้ัน การทาํ ในลกั ษณะดงั กล่าว ถือวา่ เป็ นการฆ่าใน
อริยวนิ ยั

๙). การลงโทษและให้รางวลั

การลงโทษในท่ีน้ีคอื การลงโทษซ่ึงมีท้งั ในทางธรรมและวนิ ยั มี
บทบัญญตั ิความประพฤติอยู่แล้วการให้รางวลั คือการแสดงธรรมไม่
กระทบกระทงั่ ไม่รุกรานใคร แต่เป็ นการกล่าวสรรเสริญในการกระทาํ ที่
ถูกตอ้ ง และถือวา่ เป็นตวั อยา่ งแก่ผอู้ ่ืนดว้ ย ในเรื่องของการลงโทษ

เช่น การลงพรหมทณั ฑ์ต่อพระฉันนะ ซ่ึงมีความเย่อหยิ่งว่า
ตนเองเป็ นผูอ้ ุปัฏฐากพระพุทธเจา้ ในสมยั ที่ยงั ทรงพระเยาวจ์ นกระทงั่
ออกบวช เป็ นเหตุให้พระฉันนะไม่ยอมปฏิบัติตามคาํ ส่ังของครูบา
อาจารย์ ดว้ ยเหตุน้ีเพอื่ ใหพ้ ระฉนั นะรูจ้ กั สาํ นึกในการกระทาํ ของตนเอง

การให้รางวลั ของพระพุทธองค์น้ันท่ีปรากฏเด่นชัดก็คือ การ
ตรัสยกยอ่ งในความเป็นเลิศในดา้ นต่าง ๆ ทเี่ รียกวา่ เป็ น “เอตทคั คะ” เช่น
กรณียกยอ่ งพระสารีบุตรวา่ มีความเป็ นเลิศในดา้ นผูม้ ีปัญญามากมีความ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๓๕

เขา้ ใจอรรถแห่งธรรมที่ละเอียดลึกซ้ึงไดโ้ ดยเปรียบพระสารีบุตรเหมือน
เสนาบดีท่ีมีความรอบรู้ไดอ้ ยา่ งสูงสุด ดงั พระพุทธพจน์ท่ีวา่ “นรชนใดผู้
ไม่ตอ้ งเช่ือใคร รู้จกั นิพพานที่ปัจจยั อะไรปรุงแต่งไม่ไดต้ ดั รอยต่อแห่ง
การเกิดใหม่ ทาํ ลายโอกาสแห่งการท่องเท่ียวไปในสงสาร ความคลาย
หวงั แลว้ นรชนน้นั แล เป็ นบุรุษสูงสุด” แมว้ ่าพระพทุ ธเจา้ จะทรงใชก้ าร
ชมเชยยกยอ่ งบา้ ง ก็เป็นไปในรูปการยอมรับคุณความดีของผนู้ ้นั เป็ นการ
กล่าวชมโดยธรรมใหเ้ ขามน่ั ใจในการกระทาํ ความดีของตนแต่ไม่ใหเ้ กิด
เป็ นการเปรียบเทียบขม่ คนอ่ืนลง บางทที รงยกยอ่ งเพอื่ ใหถ้ ือเป็ นตวั อยา่ ง
หรือเพอ่ื แกค้ วามเขา้ ใจผดิ ใหต้ ้งั ทศั นคตทิ ่ีถูก

๑๐. การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ปัญหาเฉพาะหน้าท่ีเกิดข้ึนต่างคร้ังต่างคราว ย่อมมีลักษณะ
แตกต่างกันไปไม่มีท่ีส้ินสุด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมต้องอาศยั
ปณิธาน คือความสามารถในการประยกุ ตห์ ลกั วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ
มาใชใ้ หเ้ หมาะสมเป็นเรื่องเฉพาะคราวไป

ในการประกาศพระศาสนาของพระพทุ ธเจา้ ตอ้ งเจอกบั ปัญหา
มากมายและพระองคก์ ็ตอ้ งอาศยั ปฏิภาณแก้ไขอย่ตู ลอดเวลาเช่น กรณี
ครอบครัวพราหมณ์ที่อยใู่ นเมืองราชคฤห์ ฝ่ ายสามีนับถือพราหมณ์แต่
ภรรยานบั ถือพระพทุ ธศาสนา และภรรยาก็สรรเสริญแต่พระพทุ ธคุณ อยู่
ตลอดเวลา จนสามีไม่พอใจ คอยพดู วา่ ร้ายพระพทุ ธเจา้ ต่าง ๆ นานา

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม


Click to View FlipBook Version