The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรกลุ่มคลนิกคุณธรรม เป็นหลักสูตรที่ใช้ในการอบรมคุณธรรม จริยธรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หลักสูตรกลุ่มคลนิกคุณธรรม

หลักสูตรกลุ่มคลนิกคุณธรรม เป็นหลักสูตรที่ใช้ในการอบรมคุณธรรม จริยธรรม

Keywords: หลักสูตรกลุ่มคลนิกคุณธรรม

คมู่ ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๘๖

หลกั ธรรมท่นี ํามาใช้ คือ อิทธิบาท ๔ (พระวิทยากรนําผู้เข้าอบรมว่าตาม)
ฉันทะ คอื ความพอใจ วริ ิยะ น้ันไซ้คอื ความขยัน
จติ ตะ คอื ตงั้ ใจมั่น จติ ตะคอื ตั้งใจมั่น
วิมังสา น้ันหม่ันไตร่ตรองเอย

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๘๗

กจิ กรรม รู้โลก อย่างเท่าธรรม์

กิจกรรม “รู้โลก อยา่ งเทา่ ธรรม”์ เป็ นกิจกรรมเนน้ รูปแบบการ
ทาํ งานแบบกลุ่มโดยมีเงื่อนไขกาํ หนดไว้ และเรียนรูก้ ารแกป้ ัญหาแบบ
ทีมวา่ ควรทาํ อยา่ งไร ท้งั น้ีกิจกรรมจะเนน้ ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มหาบทสรุปการ
ทาํ งานทีม่ ีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ดว้ ยการวางแผนและกาํ หนด
กนั เองในกลุ่ม ไม่มีผดิ และถูก แตเ่ นน้ ใหแ้ ต่ละกลุม่ ไดท้ าํ ก่อนแลว้
ประเมินผลท่ีตนไดท้ าํ ไป

กิจกรรมมีการนาํ เสนอแก่กลุ่มอ่ืน เพอื่ ใหก้ ลุ่มอ่นื ไดแ้ สดงความ
คดิ เห็น

กิจกรรมเนน้ ใหเ้ กิดประโยชนแ์ ละทาํ ไดจ้ ริง

วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพ่อื การสร้างจริยธรรมจึงเป็ นการจาํ กดั อารมณ์จดั ลาํ ดบั ช้นั
(ranking) และความรุนแรง (clam/violent) เป็ นการสร้าง
ความสามคั คแี ละสนั ติ
๒. เพ่ือฝึ กการทาํ งานเป็ นทีม การแก้ปัญหา วางแผนงานให้
เหมาะกบั คน
๓. เพอ่ื สรา้ งความเสียสละ

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๘๘

ขอบเขตเนื้อหา / หลักธรรมที่เกยี่ วข้อง
๑. สามคั คี คือ ความร่วมแรงร่วมใจกนั เป็นหน่ึงเดียวกนั
๒. กลั ยาณมิตร คอื การช่วยเหลือกนั ในฐานะมิตรผคู้ ดิ พดู ทาํ
ร่วมกนั อยา่ งมีเมตตา
๓. ความเสียสละ

กิจกรรมนําเสนอ….. “นิทานประสานใจ”
เป็ นกิจกรรมท่ีเน้นการสร้างความสามคั คีและไหวพริบแก่ผูเ้ ขา้

อบรมท่ีรวมกลุ่มกนั ดว้ ยการผสานจิตใจเล่านิทาน เพราะนิทานท่ีต่างคน
ต่างเล่าจะมีเร่ืองราวแตกต่างกนั แต่พอไดร้ วมใจกันหลายๆ คนไดเ้ ล่า
เรื่องเดียวกนั จะช่วยทาํ ให้เร่ืองเล่าน้นั เป็ นนิทานท่ีเกิดจากประสบการณ์
ของแต่ละคน แต่สามารถผสมลงกนั ได้ หากเรามีใจเป็ นอนั เดียวกนั เพอื่
ทาํ ใหร้ ูว้ า่ ไม่วา่ งานไหนหากร่วมแรงกนั ก็จะสาํ เร็จผลไดใ้ นทีส่ ุด

วธิ ีการ
๑) ใหท้ าํ ฉลากทกุ กลุ่มแลว้ ใส่ภาชนะใหจ้ บั ได้ เร่ิมตน้ กลุ่มแรก

ใหพ้ ระวทิ ยากรจบั ก่อน ส่วนกลุ่มต่อไปใหต้ วั แทนกลุ่มทอ่ี อกมาแลว้ จบั
๒) ใหจ้ ดั แถวหนา้ กระดาน แลว้ ใหผ้ เู้ ขา้ อบรมแนะนาํ ตวั เอง
๓) บอกกติกาการแข่งขนั วา่ จะใหท้ กุ คนเล่านิทานหน่ึงเรื่องแต่

ทกุ คนตอ้ งเล่าร่วมกนั โดยมีคาํ บงั คบั ใหค้ นแรกตอ้ งเล่าใหม้ ีคาํ ๆ น้นั อยู่
ดว้ ย ส่วนคนทีส่ องใหเ้ ล่าตอ่ จากคนแรก (ไม่ตอ้ งมีคาํ บงั คบั แลว้ )จนกวา่
จะถึงคนสุดทา้ ย (ขอ้ ควรระวงั ในการเล่า : หา้ มเล่าเป็ นสารคดีเช่น ใหค้ าํ

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๘๙

วา่ สุนขั ก็เล่าวา่ สุนขั คือ หมา อยา่ งน้ี ใหเ้ ล่าเหมือนนิทาน อยา่ งเช่น สุนขั
ตวั หน่ึงเดินเขา้ ไปในวดั แลว้ กดั สามเณร เป็นตน้ )

๔) พอถึงกลุ่มที่สองใหพ้ ระวทิ ยากรเพมิ่ คาํ บงั คบั คนสุดทา้ ยดว้ ย
คอื ใหม้ ีคาํ บงั คบั คนแรก และคนสุดทา้ ย จนกวา่ จะถึงกลุ่มสุดทา้ ย

๕) พอจบกิจกรรมใหเ้ ลือกตวั แทนมาสรุปกิจกรรมวา่ ระหวา่ งมี
คาํ บงั คบั ตน้ กบั บงั คบั ทา้ ยยากงา่ ยแตกต่างกนั อยา่ งไร ?

คาํ แนะนํา
๑) กลุ่มแรกอาจใหพ้ ระวทิ ยากรหรืออาจารยไ์ ดล้ องทดสอบเล่า

ใหด้ ูเป็ นตวั อยา่ งก่อน
๒) ในการเล่าของแตล่ ะกลุม่ อาจใหพ้ ระวทิ ยากร อาจารยค์ รู หรือ

พเี่ ล้ียงร่วมเล่ากบั ผเู้ ขา้ อบรมดว้ ย เพอื่ สรา้ งกาํ ลงั ใจใหผ้ เู้ ขา้ อบรม

ตวั อย่างคาํ ทใี่ ช้นิทานประสานใจ

ท่ี คาํ บงั คบั ต้น คาํ บงั คบั ท้าย

๑. กระสือ แลว้ ท้งั สองก็รกั กนั อยา่ งมีความสุข

๒ องคห์ ญิง น่ีสิ ลูกผชู้ ายตวั จริง

๓ แมว เพอื่ คนที่คุณรัก

๔ กระต่าย ทาํ ไมถึงทาํ กบั ฉนั ได้

๕ เสือ มากกวา่ เพอื่ น แต่ไม่ใช่แฟน

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๙๐

๖ เปรต เพราะอากาศเปล่ียนแปลงบอ่ ย

๗ กระบอื Welcome to Thailand
๘ สม้ ตาํ อร่อยแท้ ๆ แมไ้ ม่ทาอะไรเลย

๙ ขยะ รสชาติของคนรุ่นใหม่

๑๐ สิว ไม่เป็นไร พอทนได้ สบายอยแู่ ลว้

สรุป
๑) ใหต้ วั แทนสกั ๑-๒ คนมาสรุปกิจกรรมน้ี
๒) การเล่านิทานจาํ เป็นตอ้ งอาศยั ความสามคั คขี องทุกคนเพราะ

หากไม่ร่วมแรงใจกนั นิทานเร่ืองน้ีก็เล่าไดไ้ ม่จบ เหมือนชีวติ เราท่ตี อ้ ง
อาศยั คนอ่ืน หากคนแรกเล่าไวด้ ีก็จะทาํ ใหค้ นตอ่ มาเล่าไดง้ ่ายข้ึนแตห่ าก
เล่าไม่ดีกต็ อ้ งช่วยเหลือกนั ใหจ้ บลงไดด้ ว้ ยดี

๓) ถามผอู้ บรมวา่ “ระหวา่ งไม่มีคาํ บงั คบั ตน้ กบั มีคาํ บงั คบั ทา้ ย
อะไรเล่าง่ายกวา่ กนั ” เพอื่ สรุปต่อวา่ การเล่าโดยมีคาํ บงั คบั ตน้ ดูแลว้ เล่า
งา่ ยแตส่ รุปยาก เพราะการไม่มีคาํ บงั คบั ทา้ ยก็เหมือนเรือไม่มีหางเสือ “ไม่
รูจ้ ดุ หมายปลายทาง จะไปทางใหนกไ็ ด้ แต่การเล่าโดยม์ ีท้งั คาํ บงั คบั ตน้
และทา้ ย ทาํ ใหช้ ีวติ มีท้งั พ้นื ฐานดี และมีจดุ หมายชดั เจน ยอ่ มสามารถ
ดาํ เนินไปสู่จดุ หมายน้นั ได้ และเล่าง่ายยง่ิ ข้นึ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๙๑

กจิ กรรม D-project

เป็ นกิจกรรมที่ตอ้ งการให้ผเู้ ขา้ อบรมทาํ งานร่วมกนั และฝึกการ
เสียสละ โดยจะให้ผูเ้ ขา้ อบรมไดค้ ิดทาํ โครงการทาํ ความดี ทาํ ได้ ทาํ ง่าย
ภายใตเ้ ง่ือนไขวา่ เราจะทาํ อะไรไดบ้ า้ งเพื่อแกป้ ัญหาท่ีเกิดข้ึนในชุมชน
องค์กร หรือโรงเรียนที่ผูเ้ ขา้ อบรมสังกดั อยู่ โดยมีขอ้ แมค้ ือห้ามใชเ้ งิน
หรือหา้ มขอเงินจากผปู้ กครองของนกั เรียนเป็นอนั ขาด

ข้นั ตอนการจดั กิจกรรม
๑) พระวทิ ยากรพาผเู้ ขา้ อบรมให้เบิกบานดว้ ยกิจกรรม
นนั ทนาการยอ่ ยเพอื่ ใหเ้ กิดความตน่ื ตวั พร้อมทีจ่ ะเขา้ ร่วม
กิจกรรมดว้ ยความสดใส
๒) พระวทิ ยากรยกตวั อยา่ งบุคคลหรือหน่วยงานที่มีจิตอาสาใน
การทาํ งานเพอื่ สงั คม
๓) พระวทิ ยากรอธิบายกฎกติกาและบอกเวลา โดยให้เวลาคิด
และเตรียมประมาณ ๔๕ นาที (ไม่ควรเกิน ๑ ชวั่ โมง) และ
นาํ เสนอประมาณ ๕ นาที ไม่เกิน ๗ นาที
๔) ให้พระวิทยากรแบ่งกลุ่มตามผูเ้ ข้าอบรม เช่น หากเป็ น
ประชาชนก็ใหอ้ ยใู่ นชุมชนเดียวกนั หรือเป็ นนกั เรียนก็ให้
อยใู่ นช้นั เดียวกนั เป็นตน้ แลว้ กาํ หนดหวั ขอ้ ทาํ ดี เช่น “หาก
เราตอ้ งการทาํ ความดีดว้ ยการแกป้ ัญหาใกลๆ้ ตวั เรา พวก
เราจะทาํ อะไร”

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๙๒

๕) พระวทิ ยากรปล่อยใหผ้ เู้ ขา้ อบรมออกไปทาํ งานในกลุ่มดว้ ย
ความเรียบร้อย

๖) พระวิทยากรประจาํ กลุ่มพาผเู้ ขา้ อบรมนงั่ สมาธิ และพดู ให้
ทุกคนร่วมรวมพลงั กายและใจ เพ่อื ท่ีจะช่วยกนั ทาํ งานให้
สาํ เร็จ

๗) พระวิทยากรปล่อยให้ผูเ้ ขา้ อบรมทาํ งานกนั เอง โดยคอย
เป็นพเ่ี ล้ียงและดูแลอยา่ งใกลช้ ิด เพราะอาจจะเกิดเหตุการณ์
ความขดั แยง้ และความคิดทีแ่ ตกต่างกนั

สรุปกจิ กรรม
ตวั อยา่ งการสรุปกิจกรรมน้ีเพือ่ ใหท้ ุกคนเกิดควารู้สึกอยากทาํ ดี

เสียสละ เช่น เรื่องชายแก่ปลูกตน้ มะม่วง มีพระราชากบั มหาดเลก็ ปลอม
ตวั ไปเย่ยี มประชาชนก็เดินไปพบชายแก่คนหน่ึงกําลงั ขุดดินปลูกตน้
มะม่วง พระราชจงึ ถามข้นึ “ท่านแก่แลว้ จะขดุ ดินปลูกไปทาํ ไม่รู้จะทนั ได้
กินหรือเปล่า” ชายแก่เหงยหน้าข้ึนพร้อมตอบว่า “ก็คิดอยา่ งท่านน้ีไง
ประเทศชาติถึงไม่เจริญ เราปลูกไวถ้ ึงไม่ไดก้ ินเอง ก็ยงั มีลูกมีหลานของ
เรากินได”้ ดว้ ยความประทบั ใจพระราชาจึงใหม้ หาดเล็กน้าํ เงินมอบให้
ชายแก่ ๑ ถุง ขายแก่รับพร้อมกบั พูดต่อ “เห็นไหมละท่าน ปกติปลูกตน้
มะม่วงต้องใช้เวลาเป็ นปี กว่าจะได้กิน น่ีแค่ขุดดินก็ได้ผลมาแล้ว”
พระราชายมิ้ กบั คาํ พูดของชายแก่ จึงใหม้ หาดเลก็ มอบใหอ้ ีก ๑ ถุงขายแก่
รับมาก็พดู อีกว่า “ปกติมะม่วงปี หน่ึงจะออกผลกแ็ ค่คร้ังเดียวน่ียงั ไม่ถึงปี

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๙๓

ได้มาแลว้ ๒ ถุง” พระราชาประทบั ใจมากข้ึนจึงมอบเงินให้อีก ๑ ถุง
พรอ้ มกบั พดู ข้ึน “ท่านไม่ตอ้ งพดู อะไรอีกแลว้ เงนิ ของเราหมดแลว้ ” เร่ือง
น้ีทาํ ให้รู้ว่าการเสียสละเราสามารถทาํ ได้ตลอดเวลา ต้งั แต่หนุ่มยนั แก่
และไม่วา่ เรื่องอะไร หากไม่มีเงินก็ช่วยแรง หากมีท้งั เงินท้งั แรงก็ช่วยกนั
จะไดท้ าํ ใหส้ งั คมเราน่าอยขู่ ้นึ

หลงั จากเสร็จโครงการ D-project ใหพ้ ระวิทยากรนาํ จดั ต้งั กลุ่ม
DD-Club หรือชมรมดีมน่ั ใจ โดยมีประธาน รองประธาน เหรัญญิกและ
เลขานุการ เช่น DD-Club สุวรรณภูมิ เป็ นต้น โดยแต่ละรุ่นเพ่ือจะได้
ติดต่อกันได้กับกลุ่มอ่ืนๆ และอาจมีการประเมินงานในทุกๆ ปี ผ่าน
เวบ็ ไซต์ หรือใหพ้ ระวทิ ยากรเดินทางไปตรวจเยย่ี มโครงการทีโ่ รงเรียน

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๙๔

กจิ กรรม วิชาการฐานธรรมะ

จดุ มุ่งหมายของกิจกรรม

เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ ขา้ รับการอบรมมีความสามารถในดา้ นปัญญา รู้เท่าทนั
ความจริง รู้จกั หน้าที่และแนวทางในการดาํ เนินชีวิตท่ีถูกตอ้ ง และได้
ปรบั เปลี่ยนบรรยากาศในการเขา้ อบรมดว้ ย

วธิ ีการดาํ เนินกจิ กรรม
๑. พระวิทยากรแนะนาํ ฐานแต่ละฐาน (ช่ือฐานและเน้ือหาอาจ
ปรับเปล่ียนไปตามความเหมาะสมและวตั ถุประสงคข์ อง
โครงการ)
๒. พระวิทยากรประจาํ ฐานหรือผูด้ ูแลกลุ่มนาํ ผูเ้ ขา้ อบรมแยก
ยา้ ยไปตามฐานตา่ ง ๆ

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๙๕

๓. พระวิทยากรประจําฐานแนะนําตัวพร้อมท้ังอธิบาย
วตั ถุประสงคข์ องเน้ือหาประจาํ ฐาน

๔. พระวิทยากรประจาํ ฐานจะเป็ นผบู้ รรยายเน้ือหา อาจจะเริ่ม
จากการต้งั คาํ ถามก่อนเพื่อเรียนรู้ถึงพ้ืนฐานความรู้จากผเู้ ขา้
รบั การอบรม

๕. หลังจากบรรยายเน้ือหาจบพระวิทยากรประจาํ ฐานสรุป
เน้ือหาของฐานน้นั ๆ

๖. ผเู้ ขา้ อบรมเดินไปยงั ฐานการเรียนรู้อื่นต่อไปจนครบทุกฐาน
๗. เมื่อครบทุกฐานแลว้ ให้ผูเ้ ขา้ อบรมช่วยกนั ถอดบทเรียนถึง

ส่ิงทไี่ ดเ้ รียนรู้มาในแตล่ ะฐาน
๘. ส่งตวั แทนแต่ละกลุ่มออกมานาํ เสนอ
๙. พระวทิ ยากรสรุปย้าํ ในกิจกรรมแต่ละฐานอีกคร้งั

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๙๖

ตวั อย่างกจิ กรรมวชิ าการฐานธรรมะ

ฐานการเป็ นศิษย์ทีด่ ี

วตั ถุประสงค์
๑.เพื่อให้ผูท้ ี่เขา้ รับการอบรม ไดท้ ราบถึงของการทาํ หนา้ ท่ีศษิ ย์

ทดี่ ี วา่ พงึ ปฏิบตั ิเช่นไร
๒.เพอ่ื ใหเ้ กิดความเคารพ และประสบความสาํ เร็จในชีวติ

เนื้อหา

ความหมายของศิษย์ คือ ผูศ้ ึกษา, ผูเ้ ช่ือฟัง, ผูท้ ่ียอมรับให้ครู
อาจารยส์ อนศษิ ยท์ ่ดี ี คอื ผทู้ ีค่ รูอาจารยส์ ามารถนาํ ไปสู่จุดหมายปลายทาง

ศิษย์แบ่งได้ ๒ ประเภทคือ

๑ ศิษยก์ ตญั �ู คอื ศิษยท์ ดี่ ีสาํ นึกในพระคุณของครูแลว้ ตอบแทน
๒ ศษิ ยอ์ กตญั �ู คอื ศษิ ยเ์ นรคุณ ไม่สาํ นึกในพระคุณของครู คดิ
ลา้ งผลาญครู

หน้าทขี่ องศิษย์ทีด่ ี
๑. ลุกข้นึ ยนื ตอ้ นรบั เป็นการแสดงความเคารพ
๒. เขา้ ไปยนื คอยรับใช้ เมื่อท่านมีกิจธุระ
๓. เช่ือฟังคาํ สงั่ สอนและปฏิบตั ิตาม
๔. อุปัฏฐากรับใชใ้ กลช้ ิด

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๙๗

๕. ต้งั ใจเรียนศิลปวทิ ยาโดยเคารพ

หน้าท่ขี องศิษย์ที่ดอี กี นัยหนึ่ง
๑. ตอ้ งมีความเคารพ
๒. คบการศกึ ษา
๓. กลา้ รับความผดิ
๔. คดิ ช่วยเหลือครู
๕. กตญั �ูตอ่ สถาบนั

ตวั อย่างคาํ ถาม

นกั เรียนคิดวา่ ศิษยท์ ดี่ ีควรปฏบิ ตั ิตนอยา่ งไร คาํ ตอบคอื การ
แสดงกิริยามารยาทท่ีถูกตอ้ งเหมาะสม ตอ่ ครูอาจารย์

สรุป

ไม่มีใครที่เกิดมาไม่เคยเป็ นศิษยแ์ ละถา้ ปฏิบตั ิไดท้ ุกขอ้ จะดีมาก
การแสดงกิริยามารยาทท่ีถูกตอ้ งเหมาะสมในโอกาสต่าง ๆ จะช่วย
ส่งเสริมใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิมีบุคลิกภาพท่ีดีงาม น่ารัก น่าชม ควรแก่การยกย่อง
จากคนในสงั คม

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๙๘

วตั ถปุ ระสงค์ ฐานพลเมืองทด่ี ี

๑. เพ่อื ใหผ้ ไู้ ดเ้ ขา้ รับการอบรมรู้จกั ปฏิบตั ิตามบรรทดั ฐานของ
สงั คม

๒. เพอ่ื ปลูกฝังทกั ษะการดาํ รงชีวติ อยรู่ ่วมกบั ผอู้ ่ืนในสงั คม
๓. เพอื่ ปลูกฝังความมีระเบียบวนิ ยั และความเคารพกฎหมาย ให้
มีทศั นคติ และค่านิยมทด่ี ีตอ่ สงั คม

เนื้อหา

พลเมืองเป็ นองค์ประกอบท่ีสําคัญของสังคม ทุกสังคมย่อม
ตอ้ งการพลเมืองที่มีคุณภาพ ซ่ึงหมายถึงการมีร่างกายแขง็ แรง มีจิตใจดี
คิดเป็ น ทาํ เป็ น แกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เป็ นกาํ ลงั สาํ คญั ใน
การพฒั นาความเจริญกา้ วหนา้ ความมน่ั คงใหก้ บั ประเทศชาติ นอกจากน้ี
ก า ร เ ป็ น พ ล เ มื อ ง ดี น้ัน ย่อ ม ต้อ ง ป ฏิ บัติ ต า ม บร ร ทัด ฐ า น แล ะ
ขนบธรรมเนียมประเพณี ทดี่ ีงามของสงั คม มีคุณธรรมเป็นแนวปฏิบตั ิใน
การดาํ เนินชีวติ เพอื่ การพฒั นาสงั คมใหย้ งั่ ยนื สืบไป

พลเมืองดีท่ีสาํ คญั และจาํ เป็ นสาํ หรับการอยรู่ ่วมกนั อยา่ งราบร่ืน
และช่วยจรรโลงใหส้ งั คมประเทศชาตแิ ละโลกพฒั นากา้ วหนา้ คุณธรรม
จริยธรรมคือ ส่ิงท่ีเป็ นความดีควรประพฤติปฏิบตั ิ เพราะจะนาํ ความสุข
ความเจริญ ความมน่ั คงมาสู่ประเทศชาติ สังคม และบุคคล คุณธรรม
จริยธรรมทสี่ าํ คญั ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๙๙

๑. มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริ ย์
ประเทศชาติ

๒. มีความรบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ท่ี หมายถึง การปฏบิ ตั ิกิจการงาน
ของตนเอง และท่ีไดร้ บั มอบหมายดว้ ยความมานะพยายาม อุทิศกาํ ลงั กาย
กาํ ลงั ใจอยา่ งเตม็ ความสามารถ ท้งั น้ีรวมไปถึงการรบั ผดิ เมื่องานลม้ เหลว
พยายามแกไ้ ขปัญหาและอุปสรรคโดยไม่เก่ียงงอนผอู้ ื่น

๓. ความมีระเบียบวินัย หมายถึง การเป็ นผูร้ ู้และปฏิบตั ิตาม
แบบแผนที่ตนเอง ครอบครัว และสังคมกาํ หนดไว้ โดยที่จะปฏิเสธไม่
รับรูก้ ฎเกณฑห์ รือกตกิ าตา่ ง ๆ ของสงั คมไม่ได้

๔. มีความซื่อสตั ย์ หมายถึง การปฏิบตั ติ น ทางกาย วาจา จิตใจ
ท่ีตรงไปตรงมา ไม่แสดงความคดโกงไม่หลอกลวง ไม่เอาเปรียบผูอ้ ่ืน
ลนั่ วาจาวา่ จะทาํ งานสิ่งใดกต็ อ้ งทาํ ให้สาํ เร็จเป็นอยา่ งดี ไม่กลบั กลอก มี
ความจริงใจต่อทุกคน จนเป็นท่ีไวว้ างใจของคนทุกคน

๕. มีความเสียสละ หมายถึง การปฏิบตั ิตนโดยอุทิศกาํ ลังกาย
กาํ ลงั ทรพั ย์ กาํ ลงั ปัญญา เพอื่ ช่วยเหลือผอู้ ื่นและสงั คมดว้ ยความต้งั ใจจริง
มีเจตนาที่บริสุทธ์ิ คุณธรรมดา้ นน้ีเป็ นการสะสมบารมีให้แก่ตนเอง ทาํ
ใหม้ ีคนรักใคร่ไวว้ างใจ เป็นทย่ี กยอ่ งของสงั คม ผคู้ นเคารพนบั ถือ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๐๐

ตวั อย่างคาํ ถาม

เพราะอะไรนกั เรียนถึงตอ้ งรู้และปฏิบตั ิตามบทบาทหน้าท่ีของ
ตน เพอ่ื ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ

คาํ ตอบ เพราะนักเรียนเป็ นเยาวชนของสงั คมถือว่าเป็ นอนาคต
ของชาติ จึงจาํ เป็ นอยา่ งยง่ิ ท่ีจะตอ้ งเรียนรู้และปฏิบตั ิตามบทบาทหน้าท่ี
ของตน เพอ่ื ช่วยนาํ พาประเทศชาตใิ หพ้ ฒั นาสืบไป

สรุป

ถ้าทุกคนในสังคมได้ปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนอย่าง
ถูกตอ้ งกจ็ ะไดช้ ่ือวา่ เป็น "พลเมืองที่ดีของสงั คมและประเทศชาต"ิ และยงั
ส่งผลใหป้ ระเทศชาติพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื ดงั น้นั ทุกคน ในสงั คมโดยเฉพาะ
เยาวชนที่ถือวา่ เป็ นอนาคตของชาติ จึงจาํ เป็ นอยา่ งยง่ิ ท่ีจะตอ้ งเรียนรู้และ
ปฏิบตั ิตามบทบาทหน้าท่ีของตน เพื่อช่วยนาํ พาประเทศชาติให้พฒั นา
สืบไป

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๐๑

ฐานพุทธศาสนิกชนทดี่ ี (๑)

วตั ถปุ ระสงค์

๑.อธิบายความสาํ คญั และการการมีส่วนร่วมในการ
บาํ รุงรักษาศาสนสถานของพระพทุ ธศาสนาได้

๒.ปฏบิ ตั ติ นเป็นศาสนิกชนทด่ี ีตามทก่ี าํ หนดได้
๓.ทาํ ใหผ้ ทู้ ไ่ี ดเ้ ขา้ รับการอบรมรู้ถึงหนา้ ท่ขี องศาสนิกชนในทาง
พระพทุ ธศาสนาได้

เนื้อหา

พุทธศาสนิกชน หมายถึง คนที่ยนิ ดีท่ีจะปฏิบตั ิตามหลกั คาํ สอน
ของพระพทุ ธศาสนา เต็มใจที่จะปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม พุทธศาสนิกชนท่ี
ดี คอื ผปู้ ฏิบตั ิตนใหเ้ ป็นผูร้ ู้ ผฉู้ ลาด ตื่นตวั อยเู่ สมอ ไม่งมงาย ไม่ประมาท
มวั เมา มีความรู้ปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมและนาํ ไปเผยแผแ่ ก่บุคคลอื่น

ศาสนิกชนท่ดี ี ๔ อย่าง คอื

๑. ศึกษาหาความรู้ ท้งั ทางโลกและทางธรรม การศึกษาทางโลก
จะช่วยในการประกอบอาชีพท่ีสุจริต ซ่ึงเป็ นรากฐานสําคญั ในการ
ดาํ รงชีวิตไดอ้ ยา่ งปกติสุข ส่วนความรู้ทางธรรม เป็ นความรู้ที่จะทาํ ให้
สามารถดาํ เนินชีวิตไปในแนวทางที่ถูกตอ้ ง ช่วยยดึ เหน่ียวจิตใจ ไม่ให้
กระทาํ ความชว่ั และยงั ช่วยใหเ้ ป็นคนมีจติ เมตตา เอ้ือเฟ้ือตอ่ ผอู้ ่ืน

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๐๒

๒. ปฏิบัติตามหลักธรรมและพิธีกรรมทางศาสนา การเป็ น
พทุ ธศาสนิกชนท่ีดีน้นั ไม่เพยี งแต่จะตอ้ งมีความรู้ เกี่ยวกบั หลกั ธรรมคาํ
สอนเท่าน้นั แต่จะตอ้ งปฏิบตั ิตน ตามหลกั ธรรมคาํ สอนไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง
ซ่ึงจะช่วยให้การดาํ เนินชีวติ เป็นไปอยา่ งสงบสุข ส่วนการปฏิบตั ิตนตาม
พธิ ีกรรมทางศาสนาน้นั จะช่วยส่งเสริมให้จิตใจของผูป้ ฏิบตั ิ เกิดความ
เล่ือมใสศรัทธา และมีแนวทางในการปฏิบตั ิ โดยเขา้ ใจจุดมุ่งหมายของ
พธิ ีกรรมตา่ งๆ อยา่ งถ่องแท้ การปฏิบตั ิตามพธิ ีกรรมดงั กล่าว จึงช่วยเสริม
ใหส้ ามารถปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมคาํ สอนไดง้ ่ายข้ึน

๓. เผยแผ่พระพุทธศาสนา เพ่อื ใหผ้ ูอ้ ่ืนรู้และเขา้ ใจหลกั คาํ สอน
ของศาสนาให้ถูกตอ้ ง แต่ก่อนจะเป็ นผูท้ ่ีเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้
พุทธศาสนิกชนผนู้ ้ันจะตอ้ งปฏิบตั ิตนเป็ นพุทธศาสนิกท่ีดีเสียก่อน ผล
จากการเป็นพทุ ธศาสนิกชนทด่ี ีจะทาํ ใหจ้ ิตใจสงบ หนา้ ตาแจ่มใส ใครพบ
เห็นก็สรรเสริญยกยอ่ ง และทาํ ให้ผูอ้ ื่นช่ืนชมว่า การที่เป็ นคนดีน้นั เป็ น
ผลมาจากการเป็ นพทุ ธศาสนิกชนที่ดีนัน่ เอง ก็เท่ากบั เป็ นการเผยแผ่คุณ
ความดีของพระพทุ ธศาสนา ใหแ้ ผก่ ระจายออกไป

๔. ปกป้องพระศาสนา กระทาํ ไดโ้ ดยการรักษาและทาํ นุบาํ รุง
พระพทุ ธศาสนาใหม้ ีความมนั่ คง ซ่ึงสามารถทาํ ไดโ้ ดยมีความศรัทธาใน
พระพุทธศาสนาอย่างจริงใจ ปฏิบตั ิตามคาํ สอนอย่างสม่ําเสมอและ
เคร่งครัด โดยพยายามให้คนท่วั ไปเข้าใจ และทราบว่า แก่นแทข้ อง
ศาสนาอยตู่ รงไหน

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๐๓

ตัวอย่างคาํ ถาม

เมื่อนักเรียนเป็ นพุทธศาสนิกชนคนหน่ึง นักเรียนจะปกป้อง
พระพทุ ธศาสนาอยา่ งไร คาํ ตอบคอื ทาํ นุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนาใหม้ ีความ
มน่ั คงและปฏิบตั ิตามคาํ สอนอยา่ งสม่าํ เสมอ

สรุป

ศาสนิกชนที่ดีตอ้ งมีความรู้ เพื่อนาํ ไปประกอบอาชีพ การงาน
การใช้ชีวิตให้เป็ นไปในทางสุจริต รู้จักหลักในการปฏิบตั ิธรรมและ
พธิ ีกรรม นาํ ความรูท้ ี่ไดจ้ ากพระพทุ ธศาสนาไปเผยแผ่ ชกั นาํ บคุ คลอื่นให้
เขา้ มามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆทางพระพทุ ธศาสนา

ฐานหน้าที่ของชาวพทุ ธ (๒)
วตั ถุประสงค์

๑.เพอ่ื ใหผ้ ทู้ ไี่ ดเ้ ขา้ รบั การอบรม ไดร้ ูว้ ธิ ีการเป็ นชาวพทุ ธท่ดี ีงาม
๒.เพื่อให้ผูท้ ี่ได้เขา้ รับการอบรม ได้นําหลักความรู้ท่ีได้จาก
การศกึ ษาไปปฏบิ ตั ิใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั ของชาวพทุ ธ
เนื้อหา
หน้าท่ีของชาวพุทธ ตามหลกั ของพระพุทธศาสนา คือปฏิบตั ิ
ตามคาํ สั่งสอนท่ีมาในบทโอวาทปาฏิโมกข์ อันเป็ นหัวใจหลักทาง
พระพทุ ธศาสนา ซ่ึงเป็นคาํ สอนทีม่ ีหลกั การ อุดมการณ์ และวธิ ีการ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๐๔

โ อ ว า ท ป า ฏิ โ ม ก ข์ เ ป็ น ห ลัก คํา ส อ น อัน สํ า คั ญ ข อ ง
พระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ได้ประทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ท่ีมา
ประชุมกนั ๑,๒๕๐ รูปในวนั มาฆบูชา เพ่ือวางหลกั การ อุดมการณ์
และวธิ ีการ

หลักการ ๓ ได้แก่
๑. การไม่ทําบาปท้ังปวง ไดแ้ ก่การงดเวน้ การลดละเลิก ไดแ้ ก่
อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งความชวั่ มี ๑๐ ประการ อนั ความชว่ั ทางกาย
ทางวาจา และทางใจ
๒. การทาํ กศุ ลให้ถงึ พร้อม ไดแ้ ก่ การทาํ ความดีทุกอยา่ งซ่ึงได้แก่
กศุ ลกรรมบถ ๑๐ เป็นแบบของการทาํ ฝ่ายดีมี ๑๐ ประกาศอนั เป็ นความดี
ทางกาย ทางวาจาและทางใจ
๓.. การทําจิตให้ผ่องใส ได้แก่ การทําจิตของตนให้ผ่องใส
ปราศจากนิวรณ์ซ่ึงเป็ นเคร่ืองขดั ขวางจิตไม่ให้เข้าถึงความสงบมี ๕
ประการ ไดแ้ ก่

๑.กามฉนั ทะ คือความพอใจในกาม
๒. พยาบาท คอื ความอาฆาตพยาบาท
๓. ถีนะมิทธะ คือความหดหู่ทอ้ แท้ ง่วงเหงาหาวนอน
ข้ีเกียจ
๔. อุทธจั จะ กกุ กุจจะ คือความฟุ้งซ่าน ราํ คาญใจ
๕. วจิ กิ ิจฉา คอื ความสงสยั

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๐๕

อุดมการณ์ ๔ ได้แก่
เป้าหมายสูงสุดในการดาํ เนินชีวติ มี ๔ ประการ ไดแ้ ก่

๑. ความอดทน ไดแ้ ก่ ความอดกล้นั ไม่ทาํ บาปท้งั ทางกาย ทางวาจา
และทางใจ

๒. ความไม่เบียดเบียน ได้แก่ การงดเวน้ จากการทาํ ร้ายรบกวน
หรือ เบยี ดเบยี นผอู้ ื่น

๓. ความสงบ ไดแ้ ก่ ปฏิบตั ิตนใหส้ งบท้งั ทางกาย ทางวาจา และ
ทางใจ

๔. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซ่ึงเป็ นเป้าหมายสูงสุ ดใน
พระพทุ ธศาสนาเกิดข้นึ ไดจ้ ากการดาํ เนินชีวติ ตามมรรคมีองค์ ๘

วธิ ีการ ๖
แนวทางปฏิบตั ิฝึกหดั ขดั เกลาตนและการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา

มี ๖ ประการ คือ
๑. อนูปวาโท ไม่ไปว่าร้ายกนั ผเู้ ผยแผ่คาํ สอนจะตอ้ งไม่โจมตี ไม่

นินทาใคร
๒. อนูปฆาโต ไม่ไปลา้ งผลาญกนั ไม่เผยแผ่ศาสนาด้วยการฆ่า

และตอ้ งไม่ทาํ ใหใ้ ครเดือดร้อน
๓. ปาฏิโมกฺเข จ สวํ โร สาํ รวมในพระปาฏิโมกข์ เวน้ ขอ้ ท่ีไดต้ รัส

หา้ มไว้ และทาํ ตามขอ้ ท่ีทรงอนุญาต

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๐๖

๔. มตฺต�ฺ�ตุ า จ ภตฺตสฺมึ ตอ้ งรู้จกั ประมาณในการกิน การใชเ้ คร่ือง
อุปโภคบริโภคทุกอยา่ ง

๕. ปนฺต�ฺจ สยนาสนํ เลือกท่ีน่ังท่ีนอนในที่สงบ เพ่ือให้ตนเองมี
โอกาสในการบาํ เพญ็ เพยี รเตม็ ท่ี

๖. อธิจิตฺเต จ อาโยโค ประกอบความเพียรในการทาํ ใจหยดุ นิ่งอยู่
เสมอ มุ่งทาํ ตนใหห้ ลุดพน้ จากกิเลส

โอวาทปาฏิโมกข์ท้ัง ๓ ส่วนนี้ เป็ นหลักปฏิบัติและนโยบายใน
การเผยแผ่ของพระพุทธศาสนาที่ พระสัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงประทาน
ให้ แก่ พระอรหันต์ ชุ ดแรกที่ได้ ออกไปประกาศพระศาสนาในโอกา ส ที่
ได้มาประชุมพร้อมเพรียงกัน เพื่อให้ถือเป็ นนโยบายและหลักปฏิบัติใน
การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาให้เป็ นแนวทางดยี วกัน

การประชุมพระอรหนั ตสาวกเช่นน้ี เพอ่ื ประทานนโยบายในการ
เผยแผ่พระพุทธศาสนา วิธีการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระ
สมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทุกๆ พระองค์

หน้าทีโ่ ดยทวั่ ไป

อุบาสก (ชาย) และอุบาสิกา (หญิง) หมายถึง ชาวพุทธผูค้ รอง
เรือนหรือคฤหาั ถผ์ อู้ ยใู่ กลพ้ ระศาสนา ซ่ึงอุทิศตนเพอ่ื ประโยชน์ต่อพระ
ศาสนาและประกอบกิจกรรมทางศาสนามากกวา่ ชาวพทุ ธทวั่ ไป เช่นการ
สมาทานรักษาพระอุโบสถศีล (ถือศีล ๘) ในวนั พระเป็ นตน้ อุบาสก

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๐๗

อุบาสิกาที่ดีควรยดึ หลัก " อุบาสกธรรม ๗ " เป็ นหลกั ในการประพฤติ
ปฏิบตั ติ น ดงั น้ี

๑.หมั่นไปวดั ตามโอกาสท่ีเหมาะสม เพราะ การไปวดั จะได้
พบปะกบั พระภิกษุผูท้ รงศีลทรงคุณธรรมหรือไดพ้ บกบั มิตรที่สนใจใน
เร่ืองธรรมเหมือนกบั เรา ย่อมไดช้ ื่อว่าเป็ นการคบหากัลยาณมิตร หรือ
เรียกว่ามิตรท่ีดี ซ่ึงจะส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบตั ิธรรม
เพม่ิ ข้ึน ดงั พทุ ธสุภาษติ ท่วี า่

ยํ เว เสวติ ตาทิโส ( ยงั เว เสวะติ ตาทิโส )

คบคนเช่นไรกเ็ ป็นคนเช่นนัน้ แล

๒.หมนั่ ฟังธรรม เมื่อมีโอกาสควรใส่ใจในการฟังธรรมอยเู่ สมอ
เพราะการฟังธรรมเป็ นเหตุให้ได้รู้ส่ิงไม่รู้ ส่วนสิ่งท่ีรู้แลว้ ก็จะช่วยให้
เขา้ ใจยง่ิ ข้ึน เช่น การไปวดั เพื่อฟังเทศน์ ฟังธรรมตามโอกาสต่าง ๆ ฟัง
การแสดงธรรมเทศนาทางวทิ ยหุ รือทางโทรทศั น์ เป็ นตน้

๓.พยายามสนใจศึกษาและรักษาศีลให้บริ สุทธ์ิ โดยนํา
หลกั ธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธศานามาใชป้ รับปรุงวถิ ีการดาํ เนินชีวติ ให้
ดียิ่งข้ึน เพ่ือให้เกิดความภาคภูมิใจว่าตนเองว่าเป็ นพุทธศาสนิกชนที่
แทจ้ ริง

๔.มีความเล่ือมใสในพระภิกษุสงฆ์ท้งั หลายเท่าเทียมกัน ท้งั น้ี
เพราะพระสงฆ์แต่ละรูปได้เสียสละความสุขทางโลก เพ่ือมาประพฤติ

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๐๘

ปฏิบตั ิตามพระธรรมวนิ ัยอนั เป็ นหนทางไปสู่ความหลุดพน้ จากทกุ ขแ์ ละ
พระสงฆ์ยงั ได้ช่ือว่าเป็ นผูส้ ืบต่ออายุของพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว
ตลอดไป

๕.ต้งั จิตให้เป็ นกุศลในขณะฟังธรรม มิใช่ฟังธรรมโดยคิดในแง่
อคติ คิดขดั แยง้ พยายามฟังธรรมเพอื่ ก่อใหเ้ กิดกุศล จติ ใจจะไดเ้ ป็ นสุข

๖.ทาํ บุญกุศลตามหลกั และวธิ ีการของพระพทุ ธศาสนา ไม่แสวง
บญุ นอกคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ ควรประพฤติปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมทาง
พระพทุ ธศาสนา

๗.ทะนุบาํ รุงพระพทุ ธศาสนาในทกุ ๆ ดา้ น ถา้ สามารถช่วยเหลือ
พระพทุ ธศาสนาได้ ดว้ ยวธิ ีการใดกค็ วรขวนขวายเร่งรีบกระทาํ อาทิ การ
ต้งั ชมรมพุทธศาสน์ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย จดั ให้มีการอบรม
เยาวชน บุคคลทว่ั ไป หรือ คนตา่ งชาติใหเ้ ขา้ ใจใน พระพทุ ธศาสนา

การปกป้องค้มุ ครองพระพทุ ธศาสนาของพุทธบริษทั

ชาวพทุ ธหรือเหล่าพุทธบริษทั ๔ มีหน้าท่ีปกป้องคุม้ ครองพระ
ศาสนาให้มนั่ คง โดยปกป้องพระพทุ ธ พระธรรมและพระสงฆ์ รวมท้งั
วฒั นธรรม ดงั น้ี

๑. สนใจศึกษาหลกั ธรรมคาํ สอนอยเู่ สมอและนาํ ไปปฏิบตั ิให้
ถูตอ้ ง ท้งั การรักษาศีล การปฏิบตั ิธรรม และการเจริญสมาธิ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๐๙

๒. ช่วยเผยแพร่หลกั ธรรมคาํ สอน โดยอธิบายใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจ
อยา่ งถูกตอ้ งชดั เจน หรือเผยแพร่ในรูปของเอกสารส่ิงพิมพห์ รือส่ือต่างๆ
เท่าท่ีจะทาํ ใด้

๓. ไม่ควรส่งเสริมให้พระสงฆ์ทาํ กิจนอกเหนือพุทธบญั ญตั ิ
เช่น ทาํ ไสยศาสตร์ ทาํ นายโชคชะตาราศรี ใบห้ วย ทาํ เคร่ืองรางของขลงั
หรือประกอบพทุ ธพาณิชยอ์ ื่น ๆ

๔. ส่งเสริมพระภิกษุสงฆ์ท่ีมีวตั รปฏิบตั ิน่าเลื่อมใสศรัทธา
ปฏิบตั ิดี ปฏิบตั ิชอบ หรือเคร่งงครัดในพระธรรมวนิ ัยตามพุทธบญั ญตั ิ
โดยจดั กิจกรรมเชิดชูท้งั ในระดบั ทอ้ งถิ่น จงั หวดั หรือระดบั ประเทศ โดย
ความร่วมมือระหว่างวัด สถานศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาค
ประชาชน

๕. ไม่ทาํ ลายศาสนสถาน หรือศาสนสมบตั ิ เช่น โบสถ์ ภาพ
กิจกรรมฝาผนงั หรือสิ่งของเครื่องใชภ้ ายในวดั ใหช้ าํ รุดแตกหดั รวมท้งั มี
ส่วนร่วมอนุรักษพ์ ุทธวฒั นธรรมต่าง ๆ ในสังคมไทย เช่น ประเพณีทอด
ผา่ ป่ า ทอดผา่ กฐิน ทาํ บุญตกั บาตร ฯลฯ

๖. สอดส่องดูแลมิให้เกิดการกระทาํ อนั เป็นการดูหม่ินเหยยี ด
หยาม ลบหลู่ ทาํ ลาย หรือบดิ เบอื นพระพทุ ธศาสนา

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๑๐

ตวั อย่างคาํ ถาม

หน้าที่ของชาวพุทธ ตามหลักของพระพุทธศาสนาคืออะไร
คาํ ตอบ คอื การปฏบิ ตั ิตามคาํ สงั่ สอนทเ่ี รียกวา่ โอวาทปาฏโิ มกข์ อนั เป็น
หวั ใจหลกั ทางพระพทุ ธศาสนา

สรุป

คาํ สอนเร่ือง โอวาทปาฏิโมกข์ เป็ นหลกั คาํ สอนสาํ คญั ที่เป็ น
หัวใจของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ได้ประทานแก่ที่ประชุม
พระภกิ ษุสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูปในวนั มาฆบชู า เพอื่ วางจุดหมาย หลกั การ และ
วธิ ีการ ในการเผยแผเ่ พอื่ เขา้ ถึงพระพทุ ธศาสนาแก่พทุ ธบริษทั ท้งั หลาย

ฐานหน้าทลี่ ูกทีด่ ีของพ่อแม่
วัตถุประสงค์

๑.เพอ่ื ให้ผเู้ ขา้ รับการอบรมทราบถึงหนา้ ที่ ท่ีบุตรควรปฏิบตั ติ ่อ
บิดา มารดา

๒.เพอื่ ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมมีความรู้ ความเขา้ ใจในหนา้ ที่ของ
ตนเอง และนาํ ไปปรับใชใ้ หเ้ ขา้ กบั ชีวติ ประจาํ วนั

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๑๑

เนื้อหา

บคุ คลหาได้ยาก ๒ อย่าง

๑. บุพการี บุคคลผูท้ าํ อุปการะก่อน บุพการี หมายถึง บุคคลผทู้ าํ
อุปการะแก่คนอื่นโดยไม่หวงั ผลตอบแทน

๒. กตญั �ูกตเวที บุคคลผูร้ ู้อุปการะที่ท่านทาํ แลว้ และทาํ ตอบ
แทนกตญั �ูกตเวที หมายถึง บคุ คลผรุ้ ะลึกถึงอุปการคุณที่ผอู้ ่ืนไดก้ ระทาํ
ไวแ้ ก่ตน แลว้ กระทาํ ตอบแทนอุปการคุณน้นั

พระคุณของพอ่ แม่มีมากมายเกินกวา่ จะตอบแทนไดห้ มด ลูกทดี่ ี
ตอ้ งสาํ นึกในพระคุณของพอ่ แม่ใหเ้ ปี่ ยมลน้ ในใจอยเู่ สมอ ปฏิบตั ติ อ่ ท่าน
ใหด้ ีท่สี ุด ใหส้ มกบั ทีท่ า่ นเป็นพระในบา้ น พอ่ แม่ท่านจดั วา่ เป็ นทิศเบ้ือง
หน้าของลูก ก็โดยฐานที่พ่อแม่ เป็ นผูใ้ ห้กาํ เนิด และบาํ รุงเล้ียงพิทักษ์
รักษามาก่อน นบั ไดว้ า่ เป็ นเจา้ ของชีวิตของพอ่ แม่ก็ได้ เพราะเหตุวา่ นบั
แต่ลูกอยใู่ นครรภ์ จนถึงคลอดมาทุกระยะของวยั ลูกยงั ไม่รู้จกั คุม้ ครอง
รักษาตวั เองได้ ชีวิตยงั ตกอยใู่ นความคุม้ ครองของพอ่ แม่อยู่ จนตราบน้นั
รวมความวา่ พอ่ แม่มีอุปการคุณแก่ลูก ๒ ประการคือ เป็นผใู้ หก้ าํ เนิด และ
เป็ นผอู้ ุปการะเล้ียงดู ดงั น้นั ในฐานะท่ีเป็ นลูกที่ดี พึงปฏิบตั ิต่อ พ่อแม่ ผู้
เปรียบเหมือน ทิศเบ้อื งหนา้ ดงั น้ี

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๑๒

๑. ท่านเล้ียงเรามา เล้ียงท่านตอบ การเล้ียงดูพอ่ แม่ หมายถึงการ
เล้ียง ๒ อยา่ งคือ การเล้ียงให้ท่านมีความสุขกาย เช่น แบ่งปันส่ิงของให้
ตามอตั ภาพ ใหก้ ารดูแลเอาใจใส่เล้ียงดูท่านและยามเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย คอย
ปรนนิบตั ิเอาใจใส่อยา่ งใกลช้ ิด และการเล้ียงให้ท่านสุขใจ เช่น การเช่ือ
ฟังคาํ สั่งสอนของท่าน การประพฤติตนเป็ นคนดี การพฒั นาตนเองให้
เจริญกา้ วหนา้ เป็นตน้

๒. ช่วยทาํ กิจธุระการงานให้ท่าน หมายถึง ใหล้ ูกถือว่า งานการ
ทุกอยา่ งของพอ่ แม่ เหมือนกบั การงานของตน เม่ือท่านมอบหมายใหท้ าํ
ก็มีความเต็มใจทาํ กิจกรรมน้ัน ๆ ให้สําเร็จลุล่วงไปดว้ ยดี เมื่อช่วยงาน
ท่าน ก็ต้งั ใจทาํ จริงเตม็ ความรู้ความสามารถ ดว้ ยความสมคั รใจ ไม่อา้ ง
หรือหลีกเล่ียงหนีงานทท่ี า่ นมอบหมาย เป็นตน้

๓ .ดาํ รงวงศส์ กุลของท่าน หมายถึง การรกั ษาชื่อเสียงวงศต์ ระกลู
หรือสร้างวงศต์ ระกูลให้รุ่งเรือง ให้เจริญก้าวหน้า ไม่สร้างความเดือน
ร้อน หรือความด่างพร้อยมาสู่วงศต์ ระกูล เป็ นตน้ นอกจากน้นั การักษา
เครือญาตไิ วอ้ ยา่ งมนั่ คง มีความสามคั ครี กั ใคร่กลมเกลียวกนั ระหวา่ งเครือ
ญาติ การอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุข สงบ เป็นตน้

๔. ประพฤติตนให้เหมาะสมกับการเป็ นทายาท หมายถึงการ
ปฏบิ ตั ิใหเ้ ป็นผสู้ มควรไดร้ ับทรัพยม์ รดก นนั่ คอื การประพฤตติ นเป็ นคน
ดี โดยเวน้ จากอบายมุขซ่ึงเป็ นหนทางแห่งความเสื่อมท้งั หลาย มีความ
เพียรต้งั หน้าทาํ มาหากิจโดยชอบธรรม ไม่ประพฤติชวั่ ท้งั กาย วาจาและ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๑๓

ใจ เป็ นตน้ นอกจากน้นั ยงั รูจ้ กั การทาํ มาหากินเพมิ่ พนู ทรพั ยส์ ิน และรกั ษา
ทรัพยส์ ินท่ีมีอยู่ เช่น รู้จกั การประหยดั อดออม มีความสันโดษ พ่อแม่กม็ ี
ความอิ่มเอมใจและเตม็ ใจที่จะยกทรพั ยส์ มบตั ิให้

๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว อุทิศส่วนกุศลให้ท่าน เป็ นกิจที่ลูก
จะตอ้ งปฏิบตั ิ เป็ นส่วนของการใหท้ านในสิ่งท่ีสมควรกระทาํ แก่พอ่ แม่ผู้
ล่วงลับไปแลว้ บุญท่ีจะพึงประกอบก็คือ ท่านที่บริจาคแก่บุคคลผูค้ วร
ไดร้ ับ เช่น พระภิกษุสามเณร และผูท้ รงศีล ตลอดถึงคนอนาถา คนชรา
คนพกิ ารและทานท่เี ป็นส่วนสงเคราะห์แก่คนทว่ั ๆ ไป เช่น การก่อสร้าง
สาธารณสถาน ศาสนสถาน เป็ นตน้ และกุศลที่เกิดจากการปฏิบตั ิ เช่น
การรักษาศลี การเขา้ วดั บวชเรียน เป็นตน้ เหล่าน้ีเป็ นบญุ ทคี่ วรอุทิศท้งั ส้ิน
การทาํ บุญอุทศิ น้ี จดุ มุ่งหมายสาํ คญั คอื เพอ่ื ไม่ใหล้ ูกหลานลืมพอ่ แม่ เมื่อ
ล่วงลบั ไปแลว้

ตัวอย่างคาํ ถาม

บุพการี หมายถึงบุคคลเช่นไร คําตอบ บุพการี คือ บุคคลผูท้ าํ
อุปการะแก่คนอื่นโดยไม่หวงั ผลตอบแทน

สรุป เป็ นลูกท่ีดี เป็นไดไ้ ม่ยาก

ก่อนอื่นตอ้ งดูก่อนวา่ ตวั เอง ทาํ ตวั เป็นลูกท่ีดีแลว้ หรือยงั ? การทาํ
ตวั เป็ นลูกที่ดีน้นั ไม่จาํ เป็ นตอ้ งปรนเปรอคุณพ่อคุณแม่ของคุณดว้ ยเงิน
ทองหรือสิ่งของที่เสริมสร้างความสะดวกสบายมากมาย หลากหลาย

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๑๔

วธิ ีการให้ง่ายๆ ท่ีลูกๆ ทุกคนทาํ ได้ โดยไม่ไดใ้ ชเ้ งินทองแมแ้ ต่บาทเดียว
เพยี งแค่ใชเ้ วลา ความรัก และความเขา้ ใจ เท่าน้นั เองก็สามารถเป็ นลูกที่ดี
ของคุณพอ่ คุณแม่ไดเ้ ร่ิมจากใจของเรา

ฐานเพ่ือนทด่ี ีของเพื่อน
วัตถุประสงค์

๑.เพอื่ ใหผ้ ไู้ ดเ้ ขา้ รบั การอบรม ไดร้ บั รู้ถึงความมนี ้าํ ใจ ความ
เก้ือกูล ต่อกนั

๒.เพอ่ื ปลูกฝังความรักความสามคั คี ระหวา่ งเพอื่ นดว้ ยกนั
เนื้อหา

เพอื่ นทดี่ ี คอื ผทู้ ่ีมีความเป็น “บณั ฑิต” ไม่จาํ เป็ นตอ้ งหมายถึง
คนท่ีไปไหนมาไหนกบั เราตลอดเวลา ไม่ไดห้ มายถึงเฉพาะเพอ่ื นท่พี บปะ
สงั สรรคเ์ ฮฮากบั เราเป็นประจาํ

พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงตรสั เร่ือง อุตตรทิส ทศิ เบ้ืองซา้ ย ไดแ้ ก่
มิตรสหาย ไวใ้ นทศิ ๖ วา่
พึงบํารุงมิตรสหาย ดังนี้

๑. เผอ่ื แผแ่ บ่งปัน
๒. พดู จามีน้าํ ใจ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๑๕

๓. ช่วยเหลือเก้ือกลู กนั

๔. มีตนเสมอร่วมสุขร่วมทุกขด์ ว้ ย

๕. ซ่ือสตั ยจ์ ริงใจตอ่ กนั

มิตรสหายอนุเคราะห์ตอบ ดงั นี้

๑. เม่ือเพอ่ื นประมาทช่วยรักษาป้องกนั

๒. เมื่อเพอื่ นประมาท ช่วยรกั ษาทรัพยส์ มบตั ขิ องเพอ่ื น

๓. ในคราวมีภยั เป็นท่ีพ่งึ ได้

๔. ไม่ละทง้ิ ในยามทกุ ขย์ าก

๕. นบั ถือตลอดถึงวงศญ์ าติของมิตร

ตัวอย่างคาํ ถาม

เพอื่ นคนทชี่ อบพดู โกหก จดั วา่ เป็นเพอื่ นทีด่ ีหรือไม่ คาํ ตอบ
ไม่ใช่เพอ่ื นท่ดี ี เพราะเพอื่ นที่ดีตอ้ งซื่อสตั ยแ์ ละจริงใจตอ่ กนั

สรุป

การเป็ นเพอื่ นทด่ี ี มีน้าํ ใจตอ่ กนั รูจ้ กั แบ่งปันกนั มีความสามคั คี
ต่อกนั จะทาํ ใหเ้ กิดการเชื่อถือไวว้ างใจซ่ึงกนั และกนั เป็ นการแสดงออก
ถึง สภาวะทางศีลธรรมท่ีบุคคลมีตอ่ กนั คือ ความรกั ความช่ืนชมในความ
ดีและ ความปรารถนาดี ที่ต่างฝ่ายตา่ งมีใหก้ นั

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๑๖

ฐานอบายมุข ๖

วตั ถุประสงค์

๑.เพอ่ื ใหผ้ ไู้ ดเ้ ขา้ รับการอบรม ไดร้ ับรูถ้ ึงโทษของอบายมุข ๖

๒.เพอื่ ใหผ้ ทู้ ่ีเขา้ รบั การอบรม สามารถนาํ ความรูท้ ไี่ ดร้ ับ นาํ ไป
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั

เนื้อหา

อบายมุข แปลว่า ปากทางแห่งความเสื่อม คือหมายถึงว่า ตวั
อบายมุขน้ันยงั ใช่ความเส่ือมโดยตรง แต่มนั เป็ นเหมือนทางเดินที่จะ
นาํ ไปสู่ความเส่ือม เม่ือใดทีเ่ ราเริ่มติดใจหรือลุ่มหลงในอบายมุข ไม่วา่ จะ
เป็ นชนิดใด ก็เท่ากบั ว่าเราเร่ิมเดินทางไปสู่ความเส่ือมแลว้ ยง่ิ เดินนาน
หรือติดใจลุ่มหลงนาน ก็เท่ากบั วา่ ไดจ้ มอยใู่ นความเสื่อมน้นั ลึกมากและ
ถอนตวั ได้ยาก ซ่ึงปัจจุบนั ผูค้ นสมยั น้ีไม่ค่อยจะรู้จกั ว่าความเสื่อมเป็ น
อยา่ งไร เพราะเกิดมากอ็ ยใู่ นสงั คมท่ีมีแตอ่ บายมุขอยเู่ ตม็ บา้ นเตม็ เมืองเสีย
แล้ว จึงไม่รู้จักว่าอบายมุขน้ันมามันเป็ นสาเหตุให้เกิดความเส่ือมได้
อย่างไร เหมือนหนอนที่เกิดอยู่ในอุจจาระก็ไม่รู้จักคาํ ว่าเหม็นหรือ
สกปรก

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๑๗

อบายมุข๖ คือ วิถีชีวติ ๖ อยา่ ง แห่งความโลภ และความหลงท่ี
ทาํ ใหเ้ กิดความเส่ือม ความฉิบหายของชีวติ ประกอบดว้ ย

๑. ด่ืมน้าํ เมา คอื พฤติกรรมชอบด่ืมสุราเป็นนิจ
๒. เท่ียว คือ พฤตกิ รรมชอบเท่ียวกลางคนื เป็ นนิจ
๓. เท่ียวดู คือ พฤติกรรมชอบเท่ยี วดูการแสดงหรือการละเล่น
เป็ นนิจ
๔. เล่นการ คอื พฤติกรรมชอบเล่นการพนนั เป็นนิจ
๕. คบคนชวั่ เป็ นมิตร คือ พฤติกรรมชอบคบหาคนพาลเป็นนิจ
๖. เกียจครา้ นการงาน คือ พฤตกิ รรมชอบเกียจคร้านในการงาน
เป็ นนิจ

๑. การด่ืมนํา้ เมา

การด่ืมน้าํ เมา แห่งอบายมุข ๖ หมายถึง การด่ืมน้าํ เมาท่ีหมกั โดย
ยงั ไม่กลน่ั และการด่ืมน้าํ เมาท่กี ลน่ั แลว้ ไดแ้ ก่ สุรา และยงั หมายรวมถึง
การเสพสารเสพตดิ อื่นๆ เช่น ยาบา้ กญั ชา เฮโรอีน เป็ นตน้

โทษการด่ืมนํา้ เมาในภพกระทํา

๑. ติดน้าํ เมา ติดสารเสพติด เพราะสารท่ีมีอย่ใู นส่ิงเหล่าน้ีออก
ฤทธ์ิใหร้ ่างกายเกิดการเสพติดหรืออยากท่ีจะด่ืมหรือเสพอีกคร้งั

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๑๘

๒.ขาดสติ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ นาํ ไปสู่การทะเลาะววิ าท เพราะ
ฤทธ์ิของสารเหล่าน้ีออกฤทธ์ิต่อระบบประสาทหลายด้าน อาทิ กด
ประสาท กระตนุ้ ประสาท หลอนประสาท เป็นตน้

๓. เสียทรพั ยใ์ นการซ้ือจ่าย เพราะตอ้ งแลกมาดว้ ยเงินทองในการ
ซ้ือ

๔. เกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคตบั โรคประสาทหลอน เพราะ
สารในส่ิงเหล่าน้ีมีผลต่อการทาํ งานของร่างกาย

๕. ผู้อื่นรังเกียจ และนินทา เพราะเมื่อเมาเป็ นนิจมักแสดง
พฤติกรรมอนั น่ารงั เกียจทาํ ใหค้ นอ่ืนตฉิ ินนินทาในภายหลงั

๖. เสียการงาน เพราะเมื่อเมาแลว้ จะไม่มีสติหรือไม่มีสมาธิใน
การทาํ งานไดเ้ หมือนคนทวั่ ไป

๒. การเท่ยี วกลางคืน

การเที่ยวกลางคนื แห่งอบายมุข ๖ หมายถึง การออกนอกบา้ นใน
ยามวกิ าลในแหล่งบนั เทิงเพอื่ สนองต่อความสุขทางกาย และทางใจ อาทิ
ร้านคาราโอเกะ รา้ นเหลา้ รา้ นเบยี ร์ เป็นตน้

โทษการเทยี่ วกลางคืน

๑. หลงใหลการเทีย่ วเล่นยามราตรี เพราะการบนั เทงิ ตา่ งๆในยาม
ราตรีมกั ยวั่ ยวนจิตใจใหล้ ุ่มหลงเป็นนิจ

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๑๙

๒. เสียทรัพย์ เสียค่าใชจ้ ่าย เพราะการออกเที่ยวกลางคืนมกั ตอ้ ง
จ่ายค่าเดินทาง ค่าบริการ และจ่ายทรัพยต์ นไปเพอื่ ให้ไดม้ าต่อการเที่ยว
ชมในสิ่งน้นั ๆ

๓. มักพบคนพาล และมักถูกหลอกลวง เพราะแหล่งเที่ยว
กลางคืนมักมีคนพาล คนไม่ดีรายล้อม จึงมีโอกาสต้องพบปะ และ
สนทนาให้คุน้ เคย ส่วนสิ่งที่จะตามมา คือ โอกาสการถูกหลอกเพ่ือหวงั
ตณั หาในเรือนร่าง ในทรัพยส์ ิน เป็นตน้

๔. มักเกิดการทะเลาะวิวาท เกิดศัตรูได้ง่าย เพราะการเที่ยว
กลางคืนมกั ไปเป็ นกลุ่ม มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก เสพสิ่งมึนเมา และ
พรอ้ มทจ่ี ะขดั แยง้ กบั คนอื่นหรือกลุ่มอื่นไดง้ ่าย

๕. มักประพฤติผิดในกาม ล่วงในกามได้ง่าย เพราะการเที่ยว
กลางคืนยอ่ มอยหู่ ่างไกลจากครอบครัว สามีหรือภรรยา หากถูกยวั่ ยดุ ว้ ย
ตณั หาทางกามารมณ์แลว้ มกั นาํ พาไปสู่การล่วงในกามไดง้ า่ ย

๓. การเทีย่ วดูการละเล่น

การเที่ยวดูการละเล่น แห่งอบายมุข ๖ หมายถึง การเท่ียวออกดู
การแสดง การบนั เทิงต่างๆ ท้งั ในเวลากลางวนั และยามวิกาล อบายมุข
ในขอ้ น้ี มิไดห้ ้ามมิให้เท่ียวดูเลย แต่พงึ ใหเ้ ที่ยวดูตามกิจท่ีเหมาะสม เพอื่
ยงั ใหเ้ กิดประโยชน์แก่ตนบนพ้ืนฐานแห่งศีลธรรมเป็ นหลกั ท้งั น้ี ก็เพ่อื
ป้องกนั ตนมิใหม้ ีโอกาสเกี่ยวขอ้ งกบั อบายมุขในขอ้ อื่นๆ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ ือพระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๒๐

โทษการเท่ยี วดูการละเล่น

๑. หลงใหลในการละเล่น เพราะการละเล่นเป็ นสิ่งยวั่ ยวนใจให้
ลุ่มหลงไดง้ า่ ย

๒. เสียทรัพย์ เสียค่าใชจ้ ่าย เพราะการชมการละเล่นมกั ตอ้ งเสีย
ทรัพยแ์ ลกมาก่อน หรือต้องเสียทรัพยเ์ พื่อการอื่น เพราะตนเดินทาง
เพราะตนเขา้ ชม เพราะตนเกิดความหิว เป็นตน้

๓. มักเจอคนพาล มักมีผูอ้ ื่นมาหลอกลวง เพราะผูท้ ่ีเข้าชม
การละเล่นบางคนที่หวงั ในทรัพยห์ รือประโยชน์อื่นจากผูค้ นชมมกั แฝง
ตวั เขา้ มาชมดว้ ย

๔. ผูค้ นนินทา เพราะคนที่ชอบไปโน่นไปน่ีเพ่อื ชมการละเล่น
โดยไม่ทาํ กิจอันสําคญั ของตนมักทาํ ให้กิจของตนเสื่อม หรือมีความ
เสียหายจนทาํ ใหผ้ อู้ ื่นเดือดร้อน และกล่าวตเิ ตยี น กล่าวนินทาในภายหลงั

๔. การเล่นการพนัน

การเล่นการพนัน แห่งอบายมุข ๖ หมายถึง การแข่งขันเพื่อ
เอาชนะอีกฝ่ ายดว้ ยการเดิมพนั สิ่งของ ทรัพยส์ ิน หรือประโยชน์แก่ตน
อยา่ งอื่น เพยี งหวงั เพ่ือให้ไดท้ รัพยห์ รือประโยชน์น้ันโดยไม่ตอ้ งลงทุน
หรือออกแรงใดๆใหม้ าก เช่น การซ้ือหวย การแทงพนนั บอล การเล่นไผ่
การเล่นไฮโล การชนไก่ เป็นตน้

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๒๑

โทษการเล่นการพนัน

๑. เสียทรัพย์ เส่ือมทรัพย์ ครอบครัวยากจน เพราะการเล่นการ
พนนั มกั ทาํ ใหเ้ สียทรพั ยเ์ ป็นส่วนใหญ่ เมื่อเสียทรพั ยแ์ ลว้ ก็ไม่มีทรพั ยท์ ี่จะ
มาจุนเจอื ครอบครัว

๒. มักเกิดการทะเลาะวิวาท พยาบาท และการเอาชนะ เพราะ
บางคร้ังเมื่อแพพ้ นันหรือเสียทรัพยม์ ากก็ย่อมท่ีจะเสี่ยงต่อการบนั ดาล
โทสะกบั อีกฝ่ ายหรือหากอีกฝ่ายใชเ้ ล่หก์ ลในการเอาชนะ สิ่งน้ียอ่ มทาํ ให้
เกิดความขดั แยง้ กนั อยเู่ ป็นนิจ

๓. มกั ถูกลวงทรัพย์ เพราะผูท้ ่ีเล่นพนันส่วนมากจะเป็ นคนพาล
คนที่โลภในทรัพยส์ ิน มกั จะใชว้ ิธีดว้ ยเล่ห์กลเพอ่ื ให้ไดม้ าซ่ึงทรัพยข์ อง
อีกฝ่ าย

๔. มกั สร้างนิสัยคดโกงให้แก่ตน เพราะเม่ือเล่นการพนันแลว้
ยอ่ มเกิดความโลภในทรพั ยค์ นอื่น หากไดม้ าดว้ ยการพนนั ไม่สาํ เร็จยอ่ มท่ี
จะคิดหาวธิ ีอ่ืนดว้ ยการใชเ้ ล่หม์ ากข้ึน

๕. ผคู้ นนินทา เพราะคนที่ติดการพนนั มักลุ่มหลงกบั การพนัน
ไม่สนใจเรื่องการงาน หรือความทุกข์สุขของครอบครัว มีแต่นาํ มาให้
ครอบครัวเสื่อมทรัพย์ ครอบครัวแตกแยก จนผูอ้ ่ืนกล่าวนินทาใหเ้ ส่ือม
เสียมากข้นึ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๒๒

๕. การคบคนชั่วเป็ นมิตร

การคบคนชวั่ หรือคนพาลเป็ นมิตร แห่งอบายมุข ๖หมายถึง การ
ยอมรับในความเป็ นมิตรจาฏบุคคลอ่ืนที่ตนอาจแยกแยะไดห้ รือแยกแยะ
ไม่ไดว้ ่าเขาเป็ นคนเช่นไร คนชวั่ หรือคนพาลในท่ีน้ี ไดแ้ ก่ คนพาลการ
พนนั คนพาลนักเลงต่อยตี คนพาลฉ้อโกงหลอกลวง คนพาลเจา้ ชู้ และ
คนพาลข้เี มา เป็นตน้

โทษการคบคนช่ัวเป็ นมติ ร

๑. ปลูกฝังความช่ัวในตน เป็ นนักเลงในทุกด้าน เพราะเม่ือ
ยอมรับเป็นมิตรในคนพาลแลว้ ยอ่ มทจี่ ะไดร้ บั การเรียนรู้ การฝึกฝนในวิถี
แห่งคนพาล จนนาํ มาประพฤตเิ ป็นกิจของตนไดง้ ่าย

๒. วงศ์ตระกูลเส่ือมเสีย เพราะเม่ือเป็ นเช่นคนพาลแล้วยอ่ ม
กระทาํ เช่นคนพาลจนนาํ มาสู่ความเสื่อมเสียในวงศต์ ระกลู

๓. ครอบครัวแตกแยก เพราะคนพาลมกั ไม่เป็ นที่ชื่นชมของคน
อื่นในครอบครัวหรือหากนาํ วิถีแห่งคนพาลมาใชใ้ นครอบครัว ก็ยอ่ มทาํ
ใหเ้ กิดความขดั แยง้ ตอ่ ผอู้ ่ืนไดง้ ่าย

๔. ถูกหลอกลวงไดง้ ่าย เม่ือยอมรับในมิตรของคนพาลแลว้ ยอ่ ม
ตอ้ งพบปะให้เกิดความคุน้ เคย คนพาลเหล่าน้ันอาจหวงั หลอกลวงใน
ทรพั ยห์ รือประโยชน์จากเราเฉกเช่นคนพาลทวั่ ไป

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๒๓

๕. ผคู้ นนินทา ไม่มีผคู้ บหา เพราะเม่ือคบคนพาลหรือนาํ วิธีแห่ง
คนพาลมาประพฤตแิ ลว้ มกั ทาํ ใหผ้ อู้ ่ืนรังเกียจ ไม่กลา้ คบหา

๖. การเกยี จคร้านการงาน

การเกียจครา้ นในการงาน แห่งอบายมุข ๖ หมายถึง การอยนู่ ่ิง ไม่
ยอมทาํ การงานเพอื่ หาเล้ียงชีพตน และครอบครัว หรือไม่ยอมทาํ กิจอนั
เป็ นหนา้ ที่ของตนอยา่ งเป็นนิจ เช่น ไม่หางานทาํ ไม่ไปโรงเรียน เป็ นตน้

โทษการเกียจคร้านการงาน

๑. การงานคง่ั คา้ ง ไม่สาํ เร็จ เพราะความข้ีเกียจ ไม่ทาํ การงานท่ี
ตนรบั ผดิ ชอบกย็ อ่ มนาํ มาซ่ึงงานท่ไี ม่สาํ เร็จตามเวลาที่ต้งั ไว้

๒. ผใู้ หญ่ดุด่า ผอู้ ่ืนนินทา เพราะการงานที่ไม่สาํ เร็จ ยอ่ มทาํ ให้
เกิดความเสียในช่ือเสียงหรือทรพั ยข์ องผบู้ งั คบั บญั ชาหรือนายจา้ ง

๓. ครอบครัวยากจน ลูกเมียอดอยาก เพราะการท่ีไม่ทาํ งาน ไม่
ประกอบทาํ มาหากิน ยอ่ มไม่มีทรพั ยท์ ่ีจะมาจุนเจือครอบครัว

๔. มกั เกิดความแตกแยกในครอบครัว เพราะเม่ือไม่มีทรัพยแ์ ลว้
จากความข้ีเกียจของตน ยอ่ มทาํ ให้ผูอ้ ื่นในครอบครัวดุด่า หรือแยกออก
ห่างเพยี งเพอ่ื ใหต้ นอยรู่ อดจนนาํ มาสู่การแตกแยกของครอบครวั

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๒๔

๕. ไม่มีใครรับทาํ งาน ไม่มีงานทาํ เพราะผูข้ ้ีเกียจยอ่ มไม่งานใด
แสดงใหเ้ ป็นที่ประจกั ษต์ อ่ นายจา้ ง หากนายจา้ งตกลงจา้ งยอ่ มไม่เป็ นผลดี
ต่องานของเขา

ตัวอย่างคาํ ถาม

อบายมุข คือหมายถึงอะไร คําตอบ อบายมุข คือ ปากทางแห่ง
ความเสื่อม หรือหนทางทจี่ ะนาํ ไปสู่ความเสื่อม

สรุป

อบายมุขท้งั หลายน้นั ถา้ บุคคลใดลุ่มหลง บุคคลน้นั ก็เสื่อม ถา้
ครอบครัวใดลุ่มหลง ครอบครัวน้นั ก็เส่ือม ถา้ สังคมใดลุ่มหลง สงั คมน้นั
กเ็ สื่อม ถา้ ประเทศชาตใิ ดลุ่มหลง ประเทศชาตนิ ้นั กเ็ ส่ือม ซ่ึงความเสื่อมน้ี
ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆแก่ผูล้ ุ่มหลง โดยจะทาํ ให้เกิดความตกต่าํ
ยากจน เดือดรอ้ น ถูกลงโทษ และเป็นทาส รวมท้งั ทาํ ใหเ้ กิดความหายนะ
และภยั พบิ ตั ติ า่ งๆตามมาอีกดว้ ย

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๒๕

ฐานศาสนพธิ ีเบื้องต้น

วตั ถปุ ระสงค์

๑ . เ พ่ื อ ใ ห้ ผู้ท่ี ไ ด้ เ ข้า รั บ ก า ร อ บ ร ม ไ ด้ เ ข้า ใ จ ศ า ส น พิ ธี ข อ ง
พระพทุ ธศาสนา

๒.เพื่อให้ผู้ท่ีได้เข้ารับการอบรมนําไปใช้เพื่อให้เกิดความ
สามคั คีในสงั คม เกิดความร่วมมือร่วมใจในการที่จะใหพ้ ทุ ธศาสนาคง
อยแู่ ละสืบทอดตอ่ ไป

๓.เพื่อให้ผู้ที่ได้เข้ารับการอบรมได้รับรู้ถึ งประโยชน์
ของศาสนพธิ ี

เนื้อหา

ศาสนพธิ ี คือ พธิ ีกรรมท่ีมีข้นึ เพอ่ื เป็นแบบแผนในการประพฤติ
ปฏิบตั ิของพุทธศาสนิกชนเพื่อแสดงออกถึงความเช่ือทางพุทธศาสนา
การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิศาสนพธิ ี ตอ้ งทาํ อยา่ งถูกตอ้ งเป็ นระเบียบ เกิดความ
สบายใจ ทาํ ใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิเป็นคนดีเป็นแบบอยา่ งท่ดี ีได้

ประโยชน์ของศาสนพธิ ี

การปฏิบตั ศิ าสนพธิ ีทีถ่ ูกตอ้ งเรียบร้อย งดงาม ยอ่ มเพม่ิ พนู ความ
ศรัทธาปสาทะแก่ผทู้ ่ีไดพ้ บเห็น ท้งั ยงั เป็นการรกั ษาวฒั นธรรมประเพณีท่ี
ดีงามของชาตไิ ว้

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๒๖

ประเภทของศาสนพธิ ีทางพระพุทธศาสนา

๑) กศุ ลพิธี คอื พธิ ีกรรมทเี่ นื่องดว้ ยการอบรมเพอ่ื ความดีงามทาง
พระพุทธศาสนาเฉพาะตวั บุคคล เช่น การแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ การ
เวยี นเทียนในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนาการรกั ษาศีลตา่ ง ๆ

๒) บญุ พธิ ี คอื การทาํ บญุ อนั เป็นประเพณีในครอบครวั ในสงั คม
เก่ียวเน่ืองกบั วถิ ีชีวิตของสังคม เช่น พิธีทาํ บุญงานมงคล พิธีทาํ บุญงาน
อวมงคล

๓) ทานพิธี คือ พิธีถวายทานต่าง ๆ เช่น ปาฏิบุคลิกทาน การ
ถวายสงั ฆทาน การถวายกฐิน ผา้ ป่ า ผา้ อาบน้าํ ฝน และอ่ืน ๆ

๔) ปกิณกพิธี คือ พิธีเบ็ดเตล็ด เก่ียวกบั มารยาทและวิธีปฏิบตั ิ
ศาสนพธิ ี เช่น วธิ ีต้งั โตะ๊ หมู่บูชา จดั อาสนะสงฆ์ วธิ ีวงดา้ ยสายสิญจน์ วธิ ี
จุดธูปเทียน วิธีแสดงความเคารพ วิธีประเคนของพระสงฆ์ วิธีทอดผา้
บงั สุกลุ วธิ ีทาํ หนงั สืออาราธนาและใบปวารณา วธิ ีอาราธนาศลี อาราธนา
พระปริตร อาราธนาธรรม วธิ ีกรวดน้าํ ฯลฯประเภทของงานศาสนพธิ ี

กศุ ลพธิ ี

กุศลพิธี คือ พิธีกรรมท่ีเน่ืองดว้ ยการอบรมเพื่อความดีงามทาง
พระพุทธศาสนาเฉพาะตวั บคุ คล เช่น พิธีเขา้ พรรษา พธิ ีออกพรรษา การ
แ ส ด ง ต น เ ป็ น พุทธ ม า ม ก ะ ก า ร เ วีย น เ ที ย น ใ น วัน สํา คัญ ท า ง
พระพทุ ธศาสนาการรกั ษาศีลตา่ ง ๆ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๒๗

พิธีการแสดงตนเป็ นพุทธมามกะ คอื การประกาศตนของผแู้ สดง
วา่ เป็ นผูน้ ับถือพระพทุ ธศาสนา คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
เป็นส่ิงสูงสุดและเป็นที่พ่งึ ท่ีระลึกของตน

พิธีทําวัตรสวดมนต์ หมายถึง การทํากิจวตั รของพระภิกษุ
สามเณร และอุบาสกอุบาสิกา ซ่ึงถือวา่ เป็นการกระทาํ กิจที่จะตอ้ งทาํ เป็ น
ประจาํ จนเกิดเป็นวตั รปฏบิ ตั ิ เรียกส้นั ๆ วา่ “ทาํ วตั ร” ในแตล่ ะวนั มีการทาํ
วตั ร ๒ เวลา คือ เชา้ กบั เยน็

พิธีกรรมวันธรรมสวนะ วนั ธรรมสวนะ คือ วนั กาํ หนดประชุม
ฟังธรรม ท่ีเรียกเป็ นคาํ สามญั ทวั่ ไปว่า “วนั พระ” เป็ นประเพณีนิยมของ
พทุ ธบริษทั ที่ไดถ้ ือปฏิบตั ิสืบเน่ืองกนั มาแลว้ แต่คร้ังพุทธกาล โดยถือวา่
การฟังธรรมตามกาลทีก่ าํ หนดไวเ้ ป็นประจาํ ยอ่ มก่อให้เกิดสติปัญญาและ
สิริมงคลแก่ผฟู้ ัง อยา่ งน้อยกไ็ ดร้ บั ธรรมสวนานิสงส์อยเู่ สมอ วนั กาํ หนด
ฟังธรรมน้ี พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิไว้ ๔ วนั ในเดือนหน่ึง ๆ คือ วนั ข้ึน
๔ ค่าํ วนั ข้ึน ๑๕ ค่าํ วนั แรม ๘ ค่าํ และวนั แรม ๑๔ ค่าํ หรือ ๑๕ ค่าํ ของ
ปักษท์ ้งั ขา้ งข้ึนและขา้ งแรมโดยจนั ทรคติ วนั ท้งั ๔ น้ีจึงถือกนั วา่ เป็ นวนั
กาํ หนดประชุมฟังธรรมโดยปกติ และเป็ นวนั นิยมรักษาศีลอุโบสถ
สาํ หรบั อุบาสกอุบาสิกาผตู้ อ้ งการบาํ เพญ็ กุศลอีกดว้ ย

พิธีการเวยี นเทียน คือ การเดินเวยี นรอบปชู นียสถานสาํ คญั เช่น
อุโบสถวหิ าร หรือพระพุทธรูปเพือ่ ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยในวนั
สาํ คญั โดยใชเ้ ทยี นธูปและดอกไมเ้ ป็นเครื่องสกั การบชู า ถือไวใ้ นมือแลว้

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๒๘

เดินเวยี น ๓ รอบ ขณะท่เี ดินรอบน้นั พงึ ต้งั จิตให้สงบ พรอ้ มสวดระลึกถึง
พระพทุ ธคุณ ดว้ ยการสวดบท "อิติปิ โส" ระลึกถึงพระธรรมคุณ ดว้ ยการ
สวด สวากขาโต และระลึกถึงพระสังฆคุณ ดว้ ยการสวด สุปะฏิปันโน
จนกวา่ จะเวยี นจบ ๓ รอบ

บญุ พิธี

บุญพิธี คือ การทาํ บุญอันเป็ นประเพณีในครอบครัว ในสังคม
เกี่ยวเน่ืองกบั วถิ ีชีวติ ของสังคม เช่น พธิ ีทาํ บุญงานมงคล พิธีทาํ บุญงาน
อวมงคล

การทําบุญในงานมงคล ไดแ้ ก่ การทาํ บุญในโอกาสต่างๆ เพอื่
ความเป็ นสิริมงคลแก่ตนเองและญาติสนิทมิตรสหาย เช่น การเจริญพระ
พทุ ธมนต์ ทาํ บญุ ข้ึนบา้ นใหม่ การแต่งงาน

การทําบุญงานอวมงคล หมายถึง การทาํ บุญเก่ียวกบั เรื่องการ
ตาย นิยมทาํ กันอยู่ ๒ อย่างคือ ทาํ บุญหน้าศพ การสวดพระอภิธรรม
ทาํ บุญ ๗ วนั ๕๐ วนั ๑๐๐ วนั หรือทาํ บุญหน้าวนั ปลงศพ อยา่ งหน่ึง
ทาํ บุญอฐั ิหรือทาํ บุญปรารภการตาย ของบรรพบุรุษ หรือผใู้ ดผูห้ น่ึง ใน
วนั คลา้ ยกบั วนั ตายของท่านผลู้ ่วงลบั ไปแลว้

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู อื พระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๒๙

ทานพธิ ี

การถวายทาน เป็ นการทาํ บุญหรือทาํ ความดีประการหน่ึง ตาม
หลักการทาํ บุญของพระพทุ ธศาสนา คือ ทานมยั บุญสําเร็จด้วยการให้
ทาน พิธีถวายทานต่าง ๆ เช่น ปาฏิบุคลิกทาน การถวายสังฆทาน การ
ถวายกฐิน ผา้ ป่ า ผา้ อาบน้าํ ฝน และอ่ืน ๆ

การถวายทาน มี ๒ ประเภท คือ การให้หรือการถวายเครื่อง
อุปโภคบริโภคให้แก่บุคคลใดบุคคลหน่ึงโดยเฉพาะเจาะจง เรียกว่า
ปาฏิบุคลิกทาน ประการหน่ึง และการให้หรือการถวายโดยให้หรือถวาย
โดย ผูใ้ ห้หรือผถู้ วาย มีความต้งั ใจถวายหรือใหเ้ ป็ นสาธารณะไม่เจาะจง
ผใู้ ดไม่ว่าผรู้ ับจะเป็ นพระภิกษุหรือสามเณร ซ่ึงเป็ นการถวายอุทิศให้แก่
สงฆจ์ ริง ๆ เรียกวา่ สังฆทาน อีกประการหน่ึง

ปกณิ กพิธี

ปกิณกพิธี เป็ นพิธีเบ็ดเตล็ดเก่ียวกับวิธีปฏิบตั ิบางประการ ใน
การประกอบพธิ ีตา่ ง ๆ มาช้ีแจงเพอื่ ความรู้ และเพอ่ื เป็ นทางปฏบิ ตั ิ แต่จะ
กล่าวเพยี ง ๕ เรื่องเทา่ น้นั คอื

๑.วธิ ีแสดงความเคารพพระ

ความมุ่งหมายของการแสดงความเคารพพระ ก็เพื่อแสดงให้
ปรากฏว่า ตนมีความนบั ถือ ดว้ ยกายและใจจริง การแสดงให้ปรากฏน้ี
ส่วนใหญแ่ สดงออกทางกาย ซ่ึงส่อซ้ึงถึงน้าํ ใจอยา่ งเด่นชดั พระท่คี วรแก่

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

คมู่ ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๓๐

การแสดงความเคารพ ไดแ้ ก่พระพทุ ธรูปรือปูชนียวตั ถุ มีพระสถูปเจดีย์
เป็ นตน้ ๑ พระภิกษุสามเณรผูท้ รง เพศอุดมกว่าตน ๑ การแสดงความ
เคารพตอ่ พระดงั กล่าวน้ี จะนาํ มาช้ีแจงในท่นี ้ีเพยี ง ๓ วธิ ี คอื

๑.ประนมมือ

๒.ไหว้

๓.กราบ

ประนมมือ ตรงกบั หลกั ท่กี ล่าวไวใ้ นบาลีวา่ “ทาํ อญั ชลี” คือ การ
กระพมุ่ มือท้งั สอง ประนมใหฝ้ ่ ามือท้งั สองประกบกนั น้ิวทุกนิ้วของมือ
ท้งั สองแนบชิดตรงกนั ไม่มีเหล่ือมล้าํ กวา่ กนั หรือกางใหห้ ่าง ต้งั กระพมุ่
มือ ที่ประนมด้วยอาการน้ีไวใ้ นระหว่างอก ให้ต้งั ตรงข้ึนข้างบน มี
ลกั ษณะ คลา้ ยดอกบวั ตูม แนบศอกท้งั สองขา้ ง ชิดชายโครง ไม่ให้กาง
ห่างออกไป แสดงอาการอยา่ งน้ี เรียกวา่ ประนมมือ เป็ นการแสดง ความ
เคารพ เวลาสวดมนต์ หรือฟังพระสวดและฟังเทศน์ เป็ นตน้ แสดงอยา่ ง
เดียวกนั ท้งั ชายท้งั หญงิ

ไหว้ ตรงกับท่ีกล่าวไวใ้ นบาลีว่า “นมัสการ” หรือ “วนั ทา” คือ
การยกมือทป่ี ระนม แลว้ ข้นึ พรอ้ มกบั กม้ ศรี ษะลงเล็กนอ้ ย ใหม้ ือประนม
จดหน้าผาก นิ้วหัวแม่มือ ท้งั สองอยรู่ ะหว่างคิ้ว อยา่ งน้ีเรียกวา่ ไหว้ ใช้
แสดงความเคารพพระ ในขณะนั่งเกา้ อ้ี หรือยนื อยู่ ไม่ใช่น่ังราบกบั พ้ืน
แสดงอยา่ งเดียวกนั ท้งั ชายและหญงิ

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม

ค่มู อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๓๑

กราบ ตรงกับที่กล่าวไวใ้ นบาลีว่า “อภิวาท”คือ การทอดมือท้งั สองลง
พร้อม ๆ กนั ใหม้ ือและแขนท้งั สองขา้ งราบกบั พน้ื คว่าํ มือห่างกนั เล็กนอ้ ย
พอใหห้ นา้ ผากจรดพน้ื ระหวา่ งมือได

๒.วิธีประเคนของพระ

การประเคนของพระ คือ การถวายของใหพ้ ระไดร้ ับถึงมือ ของ
ท่ีประเคนน้นั ตอ้ งเป็ น ของที่คนเดียวพอยกไดอ้ ยา่ งธรรมดา ไม่ใช่ของ
หนัก หรือใหญ่โตจนเกินไป ไม่มีวตั ถุอนามาส คือ เงินทอง หรือของ
กะไหล่ด้วยเงินแทห้ รือทองแทป้ นอยู่ด้วย เพราะเป็ นของไม่เหมาะแก่
ภาวะ ของพระที่จะรับได้ และถา้ เป็ นของเค้ียวของฉัน ตอ้ งประเคนได้
เฉพาะในกาล เวลาวิกาลต้งั แต่ เที่ยงแลว้ ไปจนถึงย่าํ รุ่งวนั ใหม่ ไม่ควร
นาํ มาประเคน วธิ ีประเคนน้นั พงึ ปฏิบตั ิ ดงั น้ี

ก. พึงนําของประเคนเขา้ ไปให้ใกลพ้ ระผูร้ ับ ประมาณ ๑ ศอก
(ไม่ถึงศอก หรือไม่ เกินศอกคืบกไ็ ด)้ จะนง่ั หรือยนื แลว้ แต่สถานที่ท่ีพระ
นง่ั อยนู่ ้นั อาํ นวย

ข. จับของที่ประเคนด้วยมือท้งั สองก็ได้ มือเดียวก็ได้ ยกให้
สูงข้ึนเล็กนอ้ ย แลว้ นอ้ ม ถวายพระซ่ึงทา่ นจะยน่ื มือท้งั สองออกมาจบั ถา้
ผถู้ วายเป็ นสตรี พึงวางของลงบนผา้ กราบ ท่ีพระปูรับอยขู่ า้ งหนา้ เสร็จ
แลว้ พงึ ไหวห้ รือกราบแลว้ แต่กรณี หนหน่ึง

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ อื พระวิทยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๓๒

หลกั สําคญั ของการประเคนน้ี ตอ้ งแสดงออกดว้ ยความเคารพ
ไม่ใช่เสือกไส หรือท้งิ ใหโ้ ดยไม่เคารพ

๓. วิธีทาํ หนังสืออาราธนา และทําใบปวารณาถวายจตุปัจจยั

การอาราธนาพระ กค็ อื การนิมนตพ์ ระสงฆไ์ ปประกอบพธิ ีต่าง ๆ
ตอ้ งทาํ ให้เป็ น กิจจะลกั ษณะ แต่ปางก่อนใชอ้ าราธนาดว้ ยวาจาเป็ นพ้ืน
แต่ในปัจจุบันน้ีมีนิยม ทาํ หนังสืออาราธนา ความมุ่งหมายก็เพ่ือแจง้
กาํ หนดงานและรายการใหพ้ ระสงฆท์ ราบ หนงั สืออาราธนาน้ี เรียกกนั ว่า
ฎีกานิมนตพ์ ระ มีขอ้ ความที่จะแสดงเป็นตวั อยา่ ง ดงั น้ี

“ขออาราธนาพระคุณเจา้ (พร้อมดว้ ยพระสงฆใ์ นวดั น้ีอีก...รูป)
เจริญพระพทุ ธมนต์ (หรือสวดพระพทุ ธมนต์ หรือแสดงพระธรรมเทศนา
แล้วแต่กรณี) ในงาน.....ท่ีบา้ นเลขท่ี..... ตาํ บล.....อาํ เภอ......กําหนด
วนั ท่.ี ....เดือน......พ.ศ.......เวลา.....น.

(หากจะอาราธนาใหร้ ับอาหารบิณฑบาต เชา้ หรือ เพล ให้บอก
ดว้ ย ถา้ ตอ้ งการ ตกั บาตรหรือปิ่ นโต กต็ อ้ งบอกไวใ้ นฎีกาใหน้ าํ ไปดว้ ย)

ถา้ งานน้นั มีเรือหรือรถรับส่ง ก็ให้หมายเหตุบอกไวท้ า้ ยฎีกาน้นั
เพ่ือพระจะได้ทราบ ล่วงหน้า การวางฎีกานิมนตพ์ ระน้ี ถา้ เป็ นพระวดั
เดียวกนั ไม่ตอ้ งทาํ ฎีกานิมนต์ เป็ นรายองค์ ก็ได้ เป็ นแต่ระบุจาํ นวนพระ
หรือรายชื่อพระท่ตี อ้ งการใหท้ างวดั จดั นิมนต์ ต่อใหก้ ็ได้

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๓๓

และในการถวายไทยธรรมแก่พระสงฆ์ ที่นิมนตม์ าประกอบพธิ ี
ต่าง ๆ ก็มี นิยมถวายค่า จตปุ ัจจยั เป็นพเิ ศษจากไทยธรรมอีกส่วนหน่ึงดว้ ย
ในการถวายค่าจตุปัจจยั น้ี นิยมทาํ ใบปวารณา ถวาย คือ ถวายด้วยใบ
ปวารณาความมุ่งหมายก็เพอ่ื สงเคราะห์ ใหภ้ กิ ษไุ ดร้ บั ค่าจตปุ ัจจยั น้นั โดย
ชอบดว้ ยวนิ ยั ใบปวารณาน้ี มีแบบนิยมเป็นฉบบั ดงั น้ี

“ขอถวายจตุปัจจัยอันควรแก่สมณบริโภค แด่พระคุณเจ้าเป็ น
มูลค่า.....บาท ....สต. หากพระคุณเจ้าต้องประสงค์ส่ิงใดอันควรแก่สมณ
บริโภคแล้ว ขอได้โปรดเรียกร้องจากกัปปิ ยการก ผ้ปู ฏิบัติของพระคณุ เจ้า
เทอญ”

ใบปวารณาน้ี นิยมกลัดติดกับผา้ ที่ทอดในงานอวมงคล หรือ
ถวายเฉพาะใบ หรือไม่ ก็ใส่ซองแลว้ รวมถวายไปกบั เครื่องไทยธรรมใน
ทุก ๆ งาน ส่วนเงินค่าจตุปัจจยั น้นั มอบไปกบั กปั ปิ ยการก คือศิษยผ์ ูม้ า
กบั พระน้นั

๔. วธิ ีอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร อาราธนาธรรม

อาราธนาธรรม

การอาราธนา คือ การเช้ือเชิญพระสงฆใ์ นพธิ ีให้ศลี ใหส้ วดพระ
ปริตร หรือให้แสดงธรรม เป็ นธรรมเนียมมีมาแต่ด้ังเดิมที่จะต้อง
อาราธนาก่อน พระสงฆจ์ ึงจะประกอบพธิ ีกรรมน้นั ๆ และการอาราธนา
ทีถ่ ือเป็ นธรรมเนียมกนั มากม็ ี ๓ กรณีเทา่ น้นั

พระวิทยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

คมู่ ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม ๑๓๔

วิธีอาราธนา นิยมกนั วา่ ถา้ พระสงฆ์นง่ั บนอาสนะยกสูงเจา้ ภาพ
และแขกน่งั เกา้ อ้ี ผูอ้ าราธนาเขา้ ไปยนื ระหวา่ งเจา้ ภาพกบั แถวพระสงฆ์
ตรงกบั รูปที่ ๓ หรือที่ ๔ ห่างแถวพระสงฆ์ พอสมควรหันหน้าไปทาง
โต๊ะที่บูชา ประนมมือไหวพ้ ระพุทธรูปก่อนแลว้ ยนื ประนมมือต้งั ตวั ตรง
กล่าวคาํ อาราธนาตามแบบท่ีตอ้ งการ ถา้ พระสงฆ์นัง่ อาสนะต่าํ ธรรมดา
เจา้ ภาพและแขกอื่น ก็นงั่ กบั พ้ืน ผูอ้ าราธนาตอ้ งเขา้ ไปนง่ั คุกเข่าต่อหนา้
แถวพระสงฆต์ รงหัวหนา้ กราบพระท่ีโตะ๊ บูชา ๓ คร้ังก่อน แลว้ ประนม
มือต้งั ตวั ตรง กล่าวคาํ อาราธนาทตี่ อ้ งการตามแบบ คือ

พธิ ีสวดมนตเ์ ยน็ อาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร
พธิ ีเล้ียงพระ อาราธนาศีล
พธิ ีถวายทานทกุ อยา่ ง อาราธนาศลี

พิธีเทศน์ ถ้าเทศน์ต่อจากสวดมนต์ ตอนสวดมนต์ไม่ต้อง
อาราธนาศลี เริ่มตน้ ดว้ ย อาราธนาพระปริตร แลว้ อาราธนาศีล ตอนพระ
ข้ึนเทศน์ รับศีลแลว้ อาราธนาธรรมต่อ แต่ถ้า สวดมนตก์ ับเทศน์ไม่ได้
ต่อเนื่องกนั ถือวา่ เป็ นคนละพธิ ี ตอนสวดมนตก์ ็อาราธนา ตามแบบ พธิ ี
สวดมนตเ์ ยน็ ที่กล่าวแลว้ ตอนเทศนก์ เ็ ร่ิมตน้ ดว้ ยอาราธนาศีลก่อน จบรับ
ศีลแลว้ จึงอาราธนา ธรรม

พธิ ีสวดศพต่าง ๆ เช่น สวดแจง สวดพระอภธิ รรม เป็ นตน้ ถา้ ไม่
มีพิธีอื่นนํา หน้าให้ อาราธนาศีลก่อน ถ้ามีพิธีอื่นนําหน้าแล้วไม่ตอ้ ง
อาราธนาศีล

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม

ค่มู ือพระวทิ ยากรกลมุ่ คลนิ กิ คณุ ธรรม ๑๓๕

คาํ อาราธนาศีล

มยํ ภนฺเต วิสุํ วิสุํ รกฺขนตฺถาย ติสรเณน สห ป�ฺจ สีลานิ ยาจาม

ทตุ ิยมฺปิ มยํ ภนฺเต วิสุํ วิสุํ รกฺขนตฺถาย ติสรเณน สห ป�ฺจ สีลานิ ยาจาม

ตติยมฺปิ มยํ ภนฺเต วิสุํ วิสุํ รกฺขนตฺถาย ติสรเณน สห ป�ฺจ สีลานิ ยาจาม

คาํ อาราธนาพระปริตร
วิปตฺติปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติสิทฺธิยา
สพฺพทุกฺขวินาสาย ปริตฺตํ พฺรูถ มงฺคลํ
วิปตฺติปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติสิทฺธิยา
สพฺพภยวินาสาย ปริตฺตํ พฺรูถ มงฺคลํ
วิปตฺติปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติสิทฺธิยา
สพฺพโรควินาสาย ปริตฺตํ พฺรูถ มงฺคลํ ฯ

คาํ อาราธนาธรรม กตฺอ�ฺชลี อนฺธิวรํ อยาจถ
พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิ มํ ปชํ ฯ
สนฺตธี สตฺตาปปฺ รชกฺขชาตกิ า

๕. วธิ ีกรวดนํา้

เมื่อจะกรวดน้าํ เพอื่ อุทิศส่วนบุญ ตอ้ งคาํ นึงถึงประเพณีทมี่ ีมาแต่
โบราณกาลดว้ ยวธิ ีนิยม ทาํ กนั ดงั น้ี คอื เร่ิมตน้ เตรียมน้าํ สะอาดใส่ภาชนะ
ไวพ้ อสมควร จะเป็ นคณฑี ขวดเล็ก แกว้ น้าํ หรือขนั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงก็

พระวทิ ยากรกระบวนธรรมกลมุ่ คลนิ ิกคณุ ธรรม


Click to View FlipBook Version