วงจรดิจิตอลและลอจกิ บทที่ 3 พชี คณติ บลู ลนี 83
ตัวอยา งที่ 3.15 จงออกแบบวงจรลอจิกจากสมการบลู ลีนตอไปน้ี X = AB + AB + ABC
วิธที ํา X = AB + AB + ABC = AB + A(B +BC)
= AB+ A(B+ C)
= AB + AB + AC
= (A + A)B+ AC
= B+AC
นําสมการที่ไดม าเขยี นวงจรลอจกิ ไดอะแกรม
AC
C X=B+AC
รปู ท่ี 3.23 วงจรลอจิกทอี่ อกแบบไดสาํ หรับตวั อยา งท่ี 3.15
ตัวอยางที่ 3.16 จงออกแบบวงจรลอจกิ จากฟง กช ันตอ ไปน้ี F(A,B,C) = m(0,2,4,6)
วิธที ํา จากฟง กชนั ทก่ี าํ หนดใหเปน การเขียนในรปู แบบ Min term ดงั นั้นจะตองเขียนใหอ ยูในรปู แบบ
มาตรฐานของสมการบลู ลีนจะได
F(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC
ลดรปู ของสมการโดยการใชท ฤษฏีบลู ลีนจะได
F(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC
= ABC + ABC + ABC + ABC
= (A + A)BC+ (A + A)BC
= BC +BC
= (B +B)C
=C
นําสมการทไี่ ดมาเขียนวงจรลอจกิ ไดอะแกรม
X=C
รูปที่ 3.24 วงจรลอจกิ ทอี่ อกแบบไดส าํ หรบั ตวั อยางท่ี 3.16
84 บทที่ 3 พีชคณิตบลู ลนี วงจรดจิ ติ อลและลอจกิ
ตัวอยา งที่ 3.17 จงออกแบบวงจรลอจกิ จากฟง กช ันตอไปนี้ F(A,B,C) = M(0,1,2)
วิธีทาํ จากฟงกช ันทกี่ าํ หนดใหเ ปน การเขยี นในรปู แบบ Max term ดงั นัน้ จะตองเขยี นใหอยูในรูปแบบ
มาตรฐานของสมการบลู ลีนจะได
F(A,B,C) = (A +B+ C)(A +B+ C)(A +B+ C)
นาํ สมการท่ไี ดม าลดรูปโดยการใชก ฎการกระจายตวั และจดั กลุมใหม จะได
F(A,B,C) = (A +B+ C)(A +B+ C)(A +B+ C)
และทาํ การลดรูปฟง กช ันจะได
1. ใชกฎไอเดมโปเทมกบั เทอม (A +B+ C)(A +B+ C)
จะได (A +B+ CC)(A +B+ C)
2. ใชกฎคอมพลเี มนตก บั เทอม CC = 0
จะได (A +B)(A +B+ C)
3. นาํ เทอม(A +B+ C) มาคณู ผลลพั ธใ นขอที่ 2
จะได (A +B)(A +B+ C)(A +B+ C)
4. ใชก ฎไอเดมโปเทมกบั เทอม (A +B+ C)(A +B+ C)
จะได (A +B)(A +BB+C)
5. ใชกฎคอมพลีเมนตกบั เทอม BB = 0
จะได (A +B)(A + C)
ดงั นั้นฟงกช ัน F(A,B,C) จงึ มคี า เทา กบั
F(A,B,C) = (A +B)(A + C)
นาํ สมการที่ไดมาเขียนวงจรลอจกิ ไดอะแกรม
B A+B
A X = (A +B)(A + C)
C A+C
รูปท่ี 3.25 วงจรลอจกิ ทอี่ อกแบบไดสาํ หรับตวั อยา งที่ 3.17
วงจรดิจิตอลและลอจกิ บทท่ี 3 พชี คณิตบลู ลีน 85
ตวั อยางท่ี 3.19 จงออกแบบวงจรลอจกิ จากตารางความจริงทก่ี ําหนดใหตอ ไปนี้
(ก) ออกแบบวงจรลอจิกโดยใช Min term
(ข) ออกแบบวงจรลอจกิ โดยใช Max term
อนิ พุต เอาตพุต
ตาํ แหนง i AB C X Min Max
0 0 0 0 0 ABC A+B+C
1 0 0 1 1 ABC A +B + C
2 0 1 0 1 ABC A +B + C
3 0 1 1 1 ABC A +B + C
4 1 0 0 0 ABC A +B+ C
5 1 0 1 1 ABC A +B + C
6 1 1 0 0 ABC A +B+C
7 1 1 1 0 ABC A +B + C
ขอ (ก) จากตารางความจรงิ ที่กาํ หนดใหส ามารถนํามาเขยี นฟงกช นั ในรปู แบบ min term ไดด ังนี้
F(A,B,C) = m(1,2,3,5)
จากฟงกชนั min term นํามาเขยี นในรปู แบบปกตจิ ะได
F(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC
และทาํ การลดรปู ฟง กช ันจะได
1. ใชกฎการจัดกลมุ กับเทอม ABC + ABC และ ABC + ABC
จะได (A + A)BC + AB(C + C)
2. ใชกฎการลดทอนกบั เทอม A + A และ C + C
จะได BC + AB
ดงั น้นั ฟงกช ัน F(A,B,C) จึงมคี า เทา กบั
F(A,B,C) = BC + AB
นําฟง กช นั ที่ลดรูปแลว มาเขยี นวงจรลอจิกไดอะแกรม
C BC
B F(A,B,C) = BC+ AB
A AB
รปู ท่ี 3.26 วงจรลอจิกทอี่ อกแบบไดสาํ หรบั ตัวอยา งที่ 3.19 (ก)
86 บทท่ี 3 พชี คณติ บูลลนี วงจรดจิ ติ อลและลอจกิ
ขอ (ข) จากตารางความจริงทีก่ าํ หนดใหส ามารถนาํ มาเขยี นฟงกช ันในรปู แบบ max term ไดด ังน้ี
F(A,B,C) = M(0,4,6,7)
จากฟงกชัน max term นํามาเขยี นในรูปแบบปกตจิ ะได
F(A,B,C) = (A +B+C)(A +B+C)(A +B+C)(A +B+C)
และทาํ การลดรูปฟง กช นั จะได
1. ใชกฎไอเดมโปรเทมกบั เทอม (A +B+ C)(A +B + C) และ (A +B+ C)(A +B+ C)
จะได (AA +B+ C)(A +B+ CC)
2. ใชก ฎคอมพลีเมนตกบั เทอม A A และ CC
จะได (B+ C)(A +B)
ดงั น้ันฟงกช ัน F(A,B,C) จงึ มคี า เทา กับ
F(A,B,C) = (B+C)(A +B)
นาํ ฟง กชันทีล่ ดรปู แลว มาเขยี นวงจรลอจิกไดอะแกรม
A +B
F(A,B,C) = (B + C)(A +B)
รูปที่ 3.27 วงจรลอจิกทอี่ อกแบบไดส าํ หรบั ตวั อยา งท่ี 3.19 (ข)
3.9 การออกแบบวงจรลอจกิ โดยเกตอเนกประสงค (Logic Implement of Universal Gates)
การออกแบบวงจรลอจิกโดยการใชเกตเพียงชนิดเดียวทําใหลดตนทุนการออกแบบวงจรลอจิกได
สําหรับลอจิกเกตท่ีนิยมใชคือแนนดเกต (NAND Gate) และนอรเกต (NOR Gate) เปนลอจิกเกต
อเนกประสงคที่สามารถนําไปใชในงานทั่วไป ดังนั้นการออกแบบวงจรลอจิกผูออกแบบจึงมักนิยม
ที่จะออกแบบใหวงจรประกอบดวยแนนดเกตหรือนอรเกตเพียงอยางเดียว เพราะสามารถนําวงจร
ท่ปี ระกอบดวยแอนดเกต ออรเกต นอตเกตไดใหเปนวงจรท่ีประกอบดวยแนนดเกต หรือนอรเกตเพียง
อยางเดียวได
หลักการดัดแปลงวงจรลอจกิ ใหป ระกอบไปดว ยแนนดเกต หรือนอรเ กตเพยี งอยางเดียว จะใชทฤษฎี
ของบลู ลนี โดยมขี ้ันตอนดังน้ี
ขน้ั ที่ 1 ทําการลดรปู สมการบูลลีนใหอยูใ นรปู ท่สี ั้น และทําการคอมพลีเมนตจาํ นวน 2 ครัง้
ขน้ั ที่ 2 ใชทฤษฎี De Morgan จํานวน 1 ครั้ง เพ่ือใหคอมพลีเมนตเหลือเพยี งคร้ังเดียว จากนั้นนํา
สวติ ชฟง กชันทไ่ี ดไ ปเขยี นวงจรลอจกิ ไดอะแกรม
วงจรดจิ ติ อลและลอจกิ บทท่ี 3 พชี คณิตบลู ลีน 87
ตัวอยา งท่ี 3.20 จงออกแบบวงจรลอจิกจากฟง กช นั F(A,B, C) = m(3,6,7) โดยการใชแ นนดเกต
เพยี งอยา งเดยี วเทา น้ัน
วธิ ที าํ จากฟงกช ันที่กาํ หนดใหน าํ มาเขยี นในรปู แบบปกตจิ ะได
F(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC
ทาํ การลดรปู ฟง กช นั จะได
F(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC
= ABC+ AB(C+C)
= (AC+ A)B
= (A + C)B
= AB+BC
จากฟงกชัน F(A,B,C) = AB + BC ทไ่ี ดใหทาํ การคอมพลเี มนตจ าํ นวน 2 ครั้ง จะได
F(A,B,C) = AB+BC
และใชท ฤษฎี De Morgan กับฟงกช ัน AB+BC จํานวน 1 คร้งั จะได
F(A,B,C) = ABBC
นําฟง กช ันท่ีไดมาออกแบบวงจร
A B
F(A,B,C) = AB×BC
BC
รปู ที่ 3.28 วงจรลอจกิ ทอี่ อกแบบไดส าํ หรับตวั อยา งที่ 3.20
ตวั อยา งท่ี 3.21 จงออกแบบวงจรลอจิกจากฟง กช ัน F(A,B,C) = M(0,1,2) โดยการใชน อรเ กตเพยี ง
อยางเดียวเทา นน้ั
วธิ ีทํา จากฟงกช นั ท่กี าํ หนดใหนาํ มาเขียนในรปู แบบปกติจะได
F(A,B,C) = (A +B+ C)(A +B+ C)(A +B+ C)
ทําการลดรปู ฟง กช ันจะได
= (A +B+ CC)(A +B+ C)
= (A +B)(A +B+ C)
= AA + AB + AC + BA + BB + BC
= A(1+B+ C+ A)+BC
88 บทที่ 3 พชี คณิตบูลลีน วงจรดจิ ิตอลและลอจกิ
= A+BC
= (A +B)(A + C)
จากฟงกช ัน F(A,B,C) = (A +B)(A + C) ทไ่ี ดใ หท ําการคอมพลเี มนตจาํ นวน 2 ครงั้ จะได
F(A,B,C) = (A +B)(A +C)
และใชท ฤษฎี De Morgan กบั ฟง กช นั (A +B)(A +C) จํานวน 1 ครงั้ จะได
F(A,B,C) = (A +B)+(A +C)
นาํ ฟง กช ันที่ไดม าออกแบบวงจร
A A+B
B F(A,B,C) = (A +B) + (B + C)
C B+C
รปู ที่ 3.29 วงจรลอจิกทอี่ อกแบบไดสาํ หรบั ตัวอยางที่ 3.21
3.10 สรปุ
พชี คณิตบูลลนี จะมีการใชตัวดําเนนิ การคือ การกลบั คาหรอื การคอมพลเี มนต การคูณบลู ลีน และ
การบวกบลู ลีน ในการเขียนสมการบูลลีนจากลอจิกไดอะแกรมจะเพ่ิมพิจารณาจากทางดา นอนิ พตุ ไปยัง
ดานเอาตพุต สําหรับการเขียนวงจรลอจิกไดอะแกรมจะพิจาณาจากเอาตพุตไปอินพุต สําหรับการ
ออกแบบวงจรลอจกิ จะใชท ฤษฎบี ลู ลนี ในการลดรูปสมการใหส น่ั ทีส่ ดุ เพ่อื ลดจาํ นวนลอจกิ เกต เวลาในการ
ทํางาน และตนทุนในการผลติ การออกแบบวงจรลอจกิ ที่ตอ งการใชเ กตชนิดเดียวกนั สามารถนาํ แนนดเกต
หรอื นอรเกตมาใชไดโ ดยการกลับคาจํานวน 2 ครง้ั แลวนาํ ทฤษฎเี ดอมอรแกนมาใช 1 ครงั้
วงจรดิจติ อลและลอจกิ บทที่ 3 พีชคณติ บลู ลีน 89
แบบฝกหดั ทา ยบท
1. จงพสิ จู นส มการลอจกิ ตอไปน้ี โดยใชตารางความจรงิ
(1.1) A (B + C) = AB + AC
(1.2) A = A
(1.3) A B = A + B
(1.4) AB + AC + BC = AB + AC
2. จงลดทอนสมการตอไปนโ้ี ดยทฤษฎบี ลู ลีน และเขียนวงจรลอจกิ ใหถ กู ตอ ง
(2.1) f (A, B, C, D) = A B C + A B C + AB C + A B C
(2.2) f (A, B, C, D) = A B C D + A B CD + A B C D + A B CD + A B C D + A B CD
+A BC D + A BCD
3. จงขยายสมการตอ ไปนเ้ี ปน Canonical Sum
(3.1) f (A, B, C) = AB + A C + A BC
(3.2) f (A, B, C, D) = A B + AB C + BCD
4. จงขยายสมการตอ ไปน้ีเปน Canonical Product
(4.1) f (A, B, C) = (A + C)( A + B )(A + B + C )
(4.2) f (A, B, C, D) =( A + C )(A + B +C)( A + B + C + D )
5. จงแปลงรปู สมการตอ ไปนี้เปนสมการ POS พรอ มกับลดทอนสมการ
(5.1) f (A, B, C) = AB + A BC + BC
(5.2) f (A, B, C, D) = A B + ABC + BCD
6. จากสมการลอจิกในโจทยข อ 5 จงแปลงสมการไปเปน สมการ SOP พรอ มกบั ลดทอนสมการ
7. จากวงจรลอจกิ ท่ีกาํ หนด จงเขียนสมการลอจกิ ตารางความจริงและ Timing Diagram
8. จากตารางความจรงิ ซึง่ เปน คาํ ตอบของโจทยข อ 11 จงเขียนสมการลอจิกในรปู Canonical Sum
และ Canonical Product
90 บทท่ี 3 พชี คณติ บลู ลนี วงจรดิจิตอลและลอจกิ
เอกสารอา งองิ
ธวชั ชัย เลอื่ นฉวี และอนุรกั ษ เถื่อนศริ .ิ 2546. ดิจติ อลเทคนิค. กรงุ เทพมหานคร : มติ รนรา การพมิ พ.
บัณฑิต บวั บูชา. 2545. ทฤษฎแี ละการออกแบบวงจรดจิ ิตอล. กรงุ เทพมหานคร : ฟส กิ สเซน็ เตอร.
รงุ แสง เครอื ไวศยวรรณ. 2545. การออกแบบวงจรดจิ ติ อล. กรงุ เทพมหานคร : สมาคมสง เสรมิ
เทคโนโลย.ี
สมโชค ลกั ษณะโต. 2543. ปฏิบตั วิ งจรดิจติ อล 1. กรุงเทพมหานคร : เอมพันธ จาํ กัด.
วิศวกรรมสถานแหงประเทศไทย. (2540). ศัพทเทคนคิ วศิ วกรรมอเิ ล็กทรอนิกส. กรุงเทพมหานคร
: จุฬาลงกรณม หาวทิ ยาลัย.
Bignell James & Donavan. (2000). Digital Electronics. (4th ed.). New York : Delmar .
Kleitz, W. (1999). Digital Electronics. New Jersey : Prentice-Hall.
Mano, Morris P. (1991). Digital Design. Los Angeles : Prentice-Hall.
Reis, R.A. (1991). Digital Electronics through Project analysis. New York : Macmillan.
Tocci, R. J. , & Wildmer, N. S. (2001). Digital Systems. (8th ed.). New Jersey : Prentice-
Hall.
แผนบรหิ ารการสอนประจําบทท่ี 4
แผนผงั คารโ นห 4 ชัว่ โมง
หวั ขอ เนอ้ื หา
4.1 บทนาํ
4.2 การเขียนแผนผังคารโ นหช นิด 2 ตวั แปร
4.3 การเขียนแผนผงั คารโ นหช นิด 3 ตัวแปร
4.4 การเขียนแผนผังคารโนหช นิด 4 ตัวแปร
4.5 การลดรปู สมการในรปู ของ Sum of Product (SOP)
4.6 การลดรปู สมการลอจกิ ในรปู ของ Product of Sum (POS)
4.7 การกาํ หนดระดบั ลอจกิ สาํ หรบั เทอมทไี่ มส นใจ (Don't care term)
4.8 การลดทอนสมการลอจกิ แบบหลายเอาตพุตโดยแผนผังคารโ นห
4.9 สรปุ
แบบฝก หัดทา ยบท
วัตถปุ ระสงคเ ชิงพฤตกิ รรม
เมื่อเรียนจบเรือ่ งนแี้ ลว ผเู รียนจะมคี วามสามารถดงั น้ี
1. เขยี นตารางแผนผงั คารโ นหได
2. ใชแ ผนผงั คารโ นหลดรูปสมการได
3. ออกแบบวงจรลอจิกโดยการใชแ ผนผงั คารโ นหไ ด
4. ลดทอนสมการหลายฟงกช ันโดยการใชแผนผังคารโ นหได
วธิ ีสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน
1. ผสู อนนาํ เขา สบู ทเรียน
2. แบงนกั ศกึ ษาออกเปน 5 กลมุ แลวใหผ ูเรียนศกึ ษาเนือ้ หาจากเอกสารประกอบการสอน
3. ใหผ เู รียนแตละกลมุ เขียนแผนภาพแนวความคดิ แสดงภาพรวมของเนอื้ หาของการลดรูปสมการ
ดว ยแผนผงั คารโ นห
4. ใหผ เู รียนทาํ ใบงานเร่อื ง การลดรูปสมการดว ยแผนผงั คารโ นห
5. ใหผูเรยี นแตละกลมุ อภปิ รายเน้อื หา
6. ใหผูเรยี นทาํ แบบฝก หัดทา ยบท เรอื่ งการลดรปู สมการดว ยแผนผงั คารโนห
7. ผูสอนสรปุ เรอ่ื งระบบตวั เลข
92 บทท่ี 4 การลดรูปสมการดวยผังคารโนห วงจรดจิ ิตอลและลอจกิ
สอื่ การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอนเรอ่ื ง ดิจิตอลและลอจิก
2. บอรดทดลองดจิ ิตอลและลอจกิ
3. ใบงานเรอ่ื ง การลดรปู สมการดวยแผนผงั คารโ นห
4. แบบฝกหัดทา ยบท
การวดั ผล
1. สงั เกตการณเ ขา รวมกจิ กรรมกลมุ
2. จากการปฏบิ ตั ติ ามใบงาน
3. จากการทาํ แบบฝกหัดทายบท
การประเมนิ ผล
1. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและทาํ กจิ กรรมไดแลว เสรจ็ ภายในกาํ หนด
2. ปฏบิ ตั ติ ามใบงานไดถ กู ตอง
3. ทาํ แบบฝก หัดทา ยบทไดถ ูกตอ งไมน อยกวา รอยละ 80 เปอรเ ซน็ ต
วงจรดิจิตอลและลอจกิ บทที่ 4 การลดรูปสมการดวยผงั คารโนห 93
บทท่ี 4
แผนผงั คารโนห (Karnaugh MAP)
4.1 บทนํา
การลดรปู สมการสวติ ชฟงกชันในบทที่ผา นมา จะใชทฤษฎขี องบูลลนี เพื่อทาํ ใหสมการสน้ั ท่ีสดุ เทา ท่ี
จะทําได สําหรับวงจรลอจิกที่มีตัวแปรมากๆ จะทําใหมีความยุงยากและซับซอน ทําใหการลดรูปน้ัน
เสียเวลาอยางมากและเกดิ ความผิดพลาดไดงาย แผนผงั คารโ นห เปน เคร่อื งมือที่จะใชจดั แบบรปู สมการ
ลอจกิ ซ่ึงจะชว ยใหผ ูออกแบบวงจรลอจิกสามารถลดรูปสมการท่มี ีตวั แปรจํานวนมากๆ ไดง า ยข้ึน การใช
แผนผังคารโ นหในการลดรปู สมการสวิตชฟงกช ันทาํ ใหไ ดผ ลลพั ธร วดเร็วและมคี วามซับซอนนอยกวาการ
ใชทฤษฎีของบูลลนี ในการลดรูปสมการ สาํ หรบั การใชแ ผนผงั คารโนหลดรปู สมการโดยท่ัวไปมกั จะใชก ับ
สวิตชฟ ง กชนั ทมี่ ีจํานวน 2 ตวั แปร 3 ตัวแปร และ 4 ตัวแปร แตอ ยา งไรก็ตามถามตี วั แปรจาํ นวนมากขึ้น
และเปนสมการท่ซี ับซอนมากก็มักจะใชเ ครือ่ งคอมพิวเตอรชวย
4.2 การเขยี นแผนผงั คารโ นหช นดิ 2 ตัวแปร (2 Variable Karnaugh Map)
แผนผังคารโนหชนิด 2 ตัวแปร (2 Variable Karnaugh Map) ประกอบดวยชองท่ีเขียนในรูปของ
ตารางที่แทนดว ยคาของตวั แปรลอจกิ จํานวน 2 ตวั โดยจะมีจํานวนเทา กับ 22 = 4 ชอ ง ดงั รปู ที่ 4.1
A 2
B0 3
1
รปู ที่ 4.1 การเขยี นแผนผังคารโนหช นิด 2 ตวั แปร
จากรูปท่ี 4.1 การเขียนแผนผังคารโนหชนดิ 2 ตัวแปร ซ่ึงมตี วั แปรลอจกิ A และ B โดยที่ตัวแปร A
จะเขยี นแทนในแนวต้ังจาํ นวน 2 ชอง แทนดว ยคา นัยสําคัญสงู (Most Significant Bit : MSB) ตวั แปร B
จะเขียนในแนวนอนจํานวน 2 แถว แทนดวยคานัยสําคัญต่ํา (Least Significant Bit : LSB) สําหรบั คา
ที่กําหนดในแตละชองจะแทนดวยคาของตัวแปรท่ีเขียนในรูปตัวแปรมาตรฐาน (Canonical From)
การเขียนแบบ Min Term หรือ Max Term
การพจิ ารณาแผนผังคารโนหชนิด 2 ตัวแปร ในลักษณะ Min Term
จากรูปท่ี 4.1 แผนผังคารโนหจะมี 4 ชอง ตามจํานวนของตัวแปรลอจิก ในการพิจารณาแผนผัง
คารโนหซึ่งมีลักษณะเปนพ้ืนผิวทรงกลม จะพบวาดานตรงขามทุกดานน้ันสามารถเชื่อมตอถึงกันได
94 บทท่ี 4 การลดรูปสมการดวยผังคารโนห วงจรดิจิตอลและลอจกิ
แตใ นความเปนจรงิ น้นั ไมส ามารถเขียนไดจ งึ มกี ารตีแผพ นื้ ผวิ นนั้ ออกมาเปน ตารางสี่เหลีย่ ม เมอ่ื นํารูปแบบ
ตวั แปรมาตรฐานชนดิ 2 ตัวแปร เขียนแทนดวยฟงกชันแบบ Min Term จะสามารถเขียนไดดังตารางที่
4.1
ตารางท่ี 4.1 แผนผงั คารโ นหชนิด 2 ตวั แปร ในลักษณะ Min Term
ชองท่ี ตวั แปร ฟงกช ัน
AB Min Term
00 0
10 1 AB
21 0 AB
31 1 AB
AB
AB AB
AB
รปู ที่ 4.2 การเขียนแผนผังคารโนหช นิด 2 ตวั แปร ในลักษณะ Min Term
การพจิ ารณาแผนผังคารโ นหชนดิ 2 ตัวแปร ในลักษณะ Max Term
จากรูปท่ี 4.2 แผนผังคารโนหจะมี 4 ชอง ตามจํานวนของตัวแปรลอจิก เม่ือนํารูปแบบตัวแปร
มาตรฐานชนดิ 2 ตวั แปร เขยี นแทนดว ยฟงกชันแบบ Max Term จะสามารถเขยี นไดด งั ตารางที่ 4.2
ตารางที่ 4.2 แผนผงั คารโ นหชนดิ 2 ตวั แปร ในลักษณะ Max Term
ชองที่ ตัวแปร ฟง กช ัน
AB Max Term
00 0
10 1 (A+B)
21 0 (A +B)
31 1 (A +B)
(A +B)
วงจรดิจิตอลและลอจกิ บทที่ 4 การลดรูปสมการดวยผงั คารโนห 95
(A +B)
(A +B) (A +B)
รูปท่ี 4.3 การเขียนแผนผังคารโนหช นดิ 2 ตัวแปร ในลกั ษณะ Max Term
4.3 การเขียนแผนผังคารโ นหช นดิ 3 ตัวแปร (3 Variable Karnaugh Map)
แผนผังคารโนหชนิด 3 ตวั แปร ประกอบดวยชองท่เี ขยี นในรูปของตารางที่แทนดวยคาของตัวแปร
ลอจิกจาํ นวน 3 ตัว โดยจะมจี ํานวนเทา กับ 23 = 8 ชอ ง ดงั รูปท่ี 4.4
รปู ท่ี 4.4 การเขยี นแผนผังคารโนหช นิด 3 ตวั แปร
จากรูปท่ี 4.4 การเขยี นแผนผงั คารโ นหช นิด 3 ตัวแปร ซึ่งมีตวั แปรลอจิก A B และ C โดยที่ตวั แปร A
และ B จะเขียนแทนในแนวตง้ั จํานวน 4 ชอง ตัวแปร A แทนดวยคา นัยสําคัญสงู (MSB) และตัวแปร C
จะเขียนในแนวนอนจํานวน 2 แถว แทนดวยคานัยสําคัญตํ่า (LSB) รวมจํานวนเทากับ 8 ชองสําหรับ
คาท่ีกําหนดในแตละชอ งจะแทนดวยคาของตวั แปรท่ีเขยี นในรูปตวั แปรมาตรฐาน แบบ Min Term หรือ
Max Term
การพิจารณาแผนผงั คารโ นหชนดิ 3 ตวั แปร ในลักษณะ Min Term
จากรูปที่ 4.4 แผนผังคารโนหจะมี 8 ชอง ตามจํานวนของตัวแปรลอจิก เมื่อนํารูปแบบตัวแปร
มาตรฐานชนิด 3 ตวั แปร เขียนแทนดวยฟงกช ันแบบ Min Term เขียนไดดังตารางที่ 4.3
96 บทท่ี 4 การลดรูปสมการดวยผังคารโนห วงจรดจิ ติ อลและลอจกิ
ตารางท่ี 4.3 แผนผงั คารโนหชนิด 3 ตัวแปร ในลกั ษณะ Min Term
ชองท่ี A ตวั แปร C ฟงกชัน
B Min Term
00 0 0
10 0 1 ABC
20 1 0 ABC
30 1 1 ABC
41 0 0 ABC
51 0 1 ABC
61 1 0 ABC
71 1 1 ABC
ABC
ABC ABC ABC ABC
ABC ABC ABC
รูปที่ 4.5 การเขียนแผนผงั คารโ นหช นดิ 3 ตัวแปร ในลกั ษณะ Min Term
การพจิ ารณาแผนผังคารโ นหชนดิ 2 ตัวแปร ในลักษณะ Max Term
จากรูปที่ 4.5 แผนผังคารโนหจะมี 8 ชอง ตามจํานวนของตัวแปรลอจิก เม่ือนํารูปแบบตัวแปร
มาตรฐานชนดิ 3 ตัวแปรเขยี นแทนดว ยฟงกชันแบบ Max Term จะสามารถเขยี นไดด ังตารางที่ 4.4
ตารางที่ 4.4 แผนผงั คารโ นหชนิด 3 ตัวแปร ในลักษณะ Max Term
ชองที่ A ตวั แปร C ฟงกช ัน
B Max Term
00 0 0
10 0 1 (A+B+C)
20 1 0 (A +B+ C)
30 1 1 (A +B+ C)
(A +B+ C)
วงจรดิจติ อลและลอจกิ บทท่ี 4 การลดรูปสมการดว ยผงั คารโนห 97
ตารางที่ 4.4 แผนผงั คารโนหชนิด 3 ตวั แปร ในลกั ษณะ Max Term (ตอ )
ชองท่ี A ตัวแปร C ฟง กชนั
B Max Term
41 0 0 (A +B+ C)
51 0 1 (A +B+ C)
61 1 0 (A +B+ C)
71 1 1 (A +B+ C)
C0 AB 00 0 01 11 6 10 4
1 (A+B+C) 1 (A +B+ C) 2 +B+ +B+ 5
(A +B + C) (A +B + C) 3 (A C) (A +B+ C)
(A +B+C) 7 (A C)
รูปที่ 4.6 การเขยี นแผนผงั คารโนหช นิด 3 ตวั แปร ในลักษณะ Max Term
4.4 การเขยี นแผนผงั คารโนหช นิด 4 ตวั แปร (4 Variable Karnaugh Map)
แผนผังคารโนหชนิด 4 ตัวแปร ประกอบดว ยชองท่ีเขยี นในรูปของตารางท่ีแทนดวยคาของตัวแปร
ลอจิกจํานวน 4 ตัว โดยจะมจี ํานวนเทากับ 24 = 16 ชอ ง ดังรูปที่ 4.7
รูปท่ี 4.7 การเขียนแผนผงั คารโ นหช นิด 4 ตัวแปร
จากรูปที่ 4.7 การเขียนแผนผังคารโนหชนิด 4 ตัวแปร ซึ่งมีตัวแปรลอจิก A B C และ D โดยที่ตัว
แปร A และ B จะเขียนแทนในแนวตั้งจํานวน 4 ชอง ตัวแปร A แทนดวยคานัยสําคัญสูง (MSB) และ
98 บทท่ี 4 การลดรปู สมการดวยผังคารโนห วงจรดิจิตอลและลอจกิ
ตวั แปร C และ D จะเขียนในแนวนอนจํานวน 4 แถว สาํ หรับตวั แปร D แทนดว ยคานัยสําคัญตํ่า (LSB)
รวมจาํ นวนเทากบั 16 ชอ งสาํ หรบั คา ทก่ี ําหนดในแตล ะชองจะแทนดวยคา ของตวั แปรที่เขียนในรปู ตัวแปร
มาตรฐาน แบบ Min Term หรอื Max Term
การพิจารณาแผนผงั คารโ นหชนดิ 4 ตวั แปร ในลักษณะ Min Term
จากรูปที่ 4.7 แผนผังคารโนหจะมี 16 ชอง ตามจํานวนของตัวแปรลอจิก เม่ือนํารูปแบบตัวแปร
มาตรฐานชนดิ 4 ตัวแปรเขยี นแทนดว ยฟงกช ันแบบ Min Term เขยี นไดด งั ตารางที่ 4.5
ตารางที่ 4.5 แผนผงั คารโ นหชนิด 4 ตวั แปร ในลกั ษณะ Min Term
ชองท่ี A ตวั แปร D ฟงกช ัน
00 BC 0 Min Term
10 00 1
20 00 0 ABCD
30 01 1 ABCD
40 01 0 ABCD
50 10 1 ABCD
60 10 0 ABCD
70 11 1 ABCD
81 11 0 ABCD
91 00 1 ABCD
10 1 00 0 ABCD
11 1 01 1 ABCD
12 1 01 0 ABCD
13 1 10 1 ABCD
14 1 10 0 ABCD
15 1 11 1 ABCD
11 ABCD
ABCD
วงจรดิจิตอลและลอจกิ บทที่ 4 การลดรปู สมการดวยผังคารโ นห 99
ABCD ABCD ABCD ABCD
ABCD ABCD ABCD ABCD
ABCD ABCD ABCD ABCD
ABCD ABCD ABCD ABCD
รูปที่ 4.8 การเขยี นแผนผงั คารโนหช นดิ 4 ตวั แปร ในลักษณะ Min Term
การพิจารณาแผนผงั คารโนหชนิด 4 ตัวแปร ในลกั ษณะ Max Term
จากรูปที่ 4.7 แผนผังคารโนหจะมี 16 ชอง ตามจํานวนของตัวแปรลอจิก เม่ือนํารูปแบบตัวแปร
มาตรฐานชนดิ 4 ตัวแปรเขียนแทนดว ยฟงกช ันแบบ Max Term เขียนไดดงั ตารางท่ี 4.6
ตารางท่ี 4.6 แผนผงั คารโ นหชนิด 4 ตัวแปร ในลักษณะ Max Term
ชอ งท่ี A ตวั แปร ฟง กช ัน
00 BC D Min Term
10 00 0 (A +B+ C+D)
20 00 1 (A +B+ C+ D)
30 01 0 (A +B+ C +D)
40 01 1 (A +B+ C + D)
50 10 0 (A + B + C+D)
60 10 1 (A + B +C+ D)
70 11 0 (A + B + C +D)
81 11 1 (A + B + C + D)
91 00 0 (A +B+C+D)
10 1 00 1 (A +B+C + D)
11 1 01 0 (A +B+ C +D)
12 1 01 1 (A +B+ C + D)
13 1 10 0 (A + B +C+D)
10 1 (A + B +C+ D)
100 บทที่ 4 การลดรปู สมการดวยผังคารโนห วงจรดิจติ อลและลอจกิ
ตารางท่ี 4.6 แผนผงั คารโนหชนิด 4 ตัวแปร ในลกั ษณะ Max Term (ตอ )
ชองท่ี A ตัวแปร ฟง กช ัน
14 1 BC D Min Term
15 1 11 0 (A + B + C +D)
11 1 (A + B + C + D)
(A +B + C +D) (A +B + C +D) (A +B+C+D) (A +B+C+D)
(A +B + C +D) (A +B + C +D) (A +B+C+D) (A +B+C+D)
(A +B + C +D) (A +B + C +D) (A +B+C+D) (A +B+C+D)
(A +B + C +D) (A +B + C +D) (A +B+C+D) (A +B+C+D)
รปู ท่ี 4.9 การเขยี นแผนผังคารโ นหช นดิ 4 ตวั แปร ในลกั ษณะ Max Term
4.5 การลดรปู สมการในรปู ของ Sum-of-Product (Simplified of SOP)
การลดรปู สมการลอจกิ ทเ่ี ขียนในรปู แบบสมการของ Sum of Product เปน การนาํ คา เอาตพตุ ทม่ี คี า
ลอจิกเทากับ 1 จากตารางความจริง (Truth Table) มาใชในการสรางแผนผังคารโนห และเขียนเทอม
ของเอาตพุตในรูปแบบมินเทอม และทําการลดรูปสมการลอจิกโดยการจัดกลุมใหใหญมากท่ีสุดและมี
จาํ นวนกลมุ นอ ยท่ีสดุ แลว หาผลการลดรูปสมการลอจิก โดยสามารถแบง เปนข้นั ตอนไดด ังน้ี
เขียนสมการลอจิกใหอยูในรปู ของ Sum-of-Product หรือ Minterm โดยพิจารณาเฉพาะเทอมที่มี
เอาตพุตเปนลอจิก "1" เทานั้น แลวเขียนเทอมของเอาตพุตในแผนผังคารโนห ตามจํานวนของตัวแปร
อนิ พุต
ทาํ การจัดกลุมโดยจับเทากับ 2n โดยทคี่ า n เปนเลขจํานวนเต็มท่ีคาตง้ั แต 0,1,2,3, …. ซึง่ จะทําให
สามารถจัดกลุมไดต้งั แต 1 2 4 8 16 ขึ้นไป สําหรบั การจัดกลุมจะตอ งจัดใหไ ดจํานวนมากทส่ี ุดเพอ่ื ทาํ ให
การลดรูปสมการมคี า นอยมากทีส่ ดุ การจัดกลมุ สามารถทีจ่ ะจัดซ้ํากับบางสว นของกลมุ ทีเ่ คยจัดไปไดแลว
และสามารถจัดกลุมกบั เทอมในขอบแตละดาน โดยการพิจารณาแผนผังวาสามารถมวนเขาหากันใน
แนวต้ังและแนวนอนก็ได เรียกวา การจัดกลมุ ภายนอกเพ่อื ทําใหจาํ นวนของกลุมในการจัดมีจํานวนนอย
ที่สุด
ทําการลดรูปสมการลอจกิ โดยการพิจารณาจากกลุมท่ีทําการจัดโดยการพิจารณาจากตัวแปรอินพุต
ท่ีกําหนดไวดานบนและดานขาง โดยตัวแปรที่มีคาซ้ํากันคือตัวแปรอินพุตสามารถลดรูปสมการได
วงจรดจิ ิตอลและลอจิก บทที่ 4 การลดรปู สมการดว ยผังคารโนห 101
ซง่ึ ตัวแปรอินพุตที่แทนดวยลอจิก “0” จะตอ งใชเครื่องหมายคอมพลีเมนตหรอื การกลับคาไวดว ย เชน
A=0 สามารถเขียนไดเปน A สําหรับตัวแปรอินพุตที่แทนดวยลอจิก “1” เขียนในรูปแบบปกติ A=1
สามารถเขียนไดเ ปน A
นําสมการลอจกิ ทล่ี ดรปู สมการการแลว มาทาํ การออกแบบวงจรลอจกิ ซ่ึงสามารถทีจ่ ะออกแบบวงจร
ในรูปแบบวงจรแนนดเ กตเพียงอยางเดยี วเทานั้นกไ็ ด เพอ่ื ประหยดั ชนิดของเกตทใี่ ชโ ดยการใชก ฎการกลบั
คา 2 คร้งั และใชท ฤษฏีของเดอรมอรแ กน
4.5.1 เทคนิคการรวมกลมุ แบบ Sum of Product
การรวมกลุมสําหรบั ตวั แปรอนิ พุตทม่ี ีจาํ นวนไมเกิน 4 ตัวแปร โดยสว นมากแลว จะพบมี 4 แบบ
คือ การจับกลุม 2 4 และ 8 เทอม และกลุมที่ไมสามารถจัดเขากลุมได ดังตัวอยางขางลาง (Tocci,
Ronald J.,1998 :p 131-134)
4.5.1.1 การจดั กลุมแบบ 2 เทอม
X = A.B.C + A.B.C X = A.B.C + A.B.C
(ข)
(ก)
X == BA..CB.C+ A. B.C B. C. D
B. C.D
X = A. B.C.D + A. B.C.D + A.B.C.D + A.B.C.D
= B.C.D +B. C.D
(ค) (ง)
รูปที่ 4.10 การจับกลมุ แบบ 2 เทอม
102 บทท่ี 4 การลดรูปสมการดว ยผังคารโนห วงจรดิจิตอลและลอจกิ
รปู ที่ 4.10 (ก) และรูปที่ 4.10 (ข) เปนการจับคูประชิดทั้งแนวนอนและแนวตั้งของตาราง
รูปท่ี 4.10 (ค) เปน ผังคารโนหชนิด 3 ตัวแปร เชนเดยี วกัน เปนการจับคูประชดิ นอกโดยการมวนตาราง
เขาหากัน สวนรูปที่ 4.10 (ง) เปนผังคารโนหชนิด 4 ตัวแปร สามารถท่ีจะจับคูประชิดภายในไดท้ังใน
แนวนอนและแนวตงั้ และจับคูประชดิ ภายนอกไดทั้งในแนวนอนและแนวต้งั เชนเดยี วกนั
4.5.1.2 การจบั กลมุ แบบ 4 เทอม
(ก)
X = A.B X = B.C
CD AB 00 (ข) 10 (ค) X = B. D
00 1 01 11 1 (จ)
01 1 00
11 0 1
10 0 00 0 X = B. C
00 0
00
(ง)
รูปที่ 4.11 การจดั กลมุ แบบ 4 เทอม
วงจรดจิ ิตอลและลอจิก บทที่ 4 การลดรูปสมการดวยผงั คารโนห 103
การจบั กลุม 4 เทอม จะจับเทอมประชิดท่ีเรียงลําดับตลอดท้ัง 4 เทอม อาจจะเปนแนวนอน
หรือแนวต้ังก็ได ดังรูปที่ 4.11 (ก) และรูปที่ 4.11 (ข) สวนในรูปท่ี 4.11 (ค) เปนการจับกลุมประชิด
ภายใน 4 เทอมท่ีประชดิ กันทงั้ 4 ดาน และรูปที่ 4.11 (ง) , 4.11 (จ) เปนการจบั กลมุ ประชดิ นอกทจ่ี ะตอง
มว นตารางเขา หากนั
4.5.1.3 การจับกลุม 8 เทอม
X=A X=D
(ก) (ข)
CD AB 00 01 11 10
00 1 1 1 1
X= A 01 0 0 0 0
11 0 0 0 0 X = D
10 1 1 1 1
(ค) (ง)
รปู ท่ี 4.12 การจดั กลมุ แบบ 8 เทอม
รปู ที่ 4.12 (ก) และ 4.12 (ข) เปน การจับกลมุ ประชิดภายใน 8 เทอม ซ่ึงจะทําไดทั้งแนวนอน
และแนวตั้ง สวนรูปที่ 4.12 (ค) และ 4.12 (ง) เปนการจับกลุมประชิดภายนอก 8 เทอม อยางไรก็ตาม
การจับกลุมนอกจากการจับกลุมแบบประชิดภายในและประชิดภายนอกแลว ในทางปฏิบัติจะตอง
พจิ ารณาการใชก ลมุ ทับและจะตอ งจับใหไ ดก ลุมใหญท ่ีสดุ ดงั ไดก ลาวมาแลว
104 บทท่ี 4 การลดรูปสมการดวยผังคารโนห วงจรดิจิตอลและลอจกิ
ตัวอยางที่ 4.1 จงลดรูปสมการลอจิกชนิด 2 ตัวแปรตอไปน้ีใหส ั้นทสี่ ดุ โดยการใชแ ผนผงั คารโนห
(ก) f(A,B) = AB+ AB
(ข) f(A,B) = AB+ AB
(ค) f(A,B) = AB+ AB+ AB
(ง) f(A,B) = AB+ AB+ AB+ AB
วธิ ที าํ (ก) จากสมการลอจกิ f(A,B) = AB+ AB เมื่อนํามาเขยี นผังคารโ นหจะเขียนเทอมทก่ี าํ หนดใหโดย
แทนดว ยระดับลอจกิ 1 ดงั น้ี
ทาํ การจบั กลมุ ทคี่ าชดิ กนั จะไดก ลมุ ทม่ี ากที่สดุ เทากับ 2 จาํ นวน 1 กลุม และทําการลดรปู สมการ
โดยการพจิ ารณาทต่ี วั แปร A และ B ดังน้ี
ตวั แปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดา นบนจะพบวาตัวแปร A มีคา ระดับ
ลอจกิ เทากบั “0” และไมม กี ารเปลย่ี นคา ระดับลอจิก ดงั นั้นจึงมีคาเทากับ A
และตัวแปร B จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร B มีคา
ระดบั ลอจิก “0” และ “1” ซงึ่ มีการเปลย่ี นคาระดบั ลอจกิ จึงมคี าเทากบั 1
เพราะฉะนน้ั f(A,B) = AB+AB มคี าเทากับ A
(ข) จากสมการลอจิก f(A,B) = AB+ AB เมื่อนํามาเขียนในแผนผังคารโนหโดยแทนดวยระดับ
ลอจกิ 1 ลงในแผนผัง ไดด ังน้ี
ทําการจับกลุมทีค่ า ชดิ กนั จะไดก ลุมทมี่ ากทสี่ ดุ เทากบั 2 จาํ นวน 1 กลมุ และทาํ การลดรปู สมการ
โดยการพจิ ารณาที่ตวั แปร A และ B ดังนี้
วงจรดิจิตอลและลอจิก บทที่ 4 การลดรูปสมการดว ยผังคารโนห 105
ตวั แปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางขึ้นไปดา นบนจะพบวาตัวแปร A มีคา ระดับ
ลอจิกเทา กบั “1” และไมม กี ารเปล่ยี นคาระดับลอจกิ ดังนน้ั จึงมีคา เทากบั A
และตวั แปร B จากแผนผังคารโ นหใหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร B มีคา
ระดบั ลอจิก “0” และ “1” ซง่ึ มีการเปลีย่ นคา ระดบั ลอจิก จึงมคี าเทากบั 1
เพราะฉะนน้ั f(A,B) = AB+ AB มคี าเทา กบั A
(ค) จากสมการลอจกิ f(A,B) = AB+ AB+ AB เม่อื นํามาเขียนในแผนผงั คารโ นหโดยแทนดว ย
ระดบั ลอจกิ 1 ลงในแผนผังไดด งั นี้
ทาํ การจบั กลมุ ทคี่ า ชดิ กันจะไดกลมุ ท่มี ากที่สดุ เทา กับ 2 จาํ นวน 2 กลมุ และทําการลดรปู สมการ
โดยการพจิ ารณาทีต่ ัวแปร A และ B ในแตล ะกลุมไดด ังนี้
กลุมที่ 1 ตัวแปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดานบนจะพบวาตัวแปร A
มคี าระดับลอจิกเทากับ “1” และไมมีการเปล่ียนคาระดับลอจิก ดงั น้ันจึงมีคาเทากับ A และตัวแปร B
จากแผนผงั คารโ นหใ หมองจากดานขวามือไปดา นซายจะพบวาตวั แปร B มีคาระดบั ลอจกิ “0” และ “1”
ซึ่งมกี ารเปลีย่ นคาระดับลอจกิ จงึ มคี าเทา กบั 1
กลุมที่ 2 ตัวแปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดานบนจะพบวาตัวแปร A
มีคาระดับลอจิกเทากับ “1” และ “0” ซ่ึงมีการเปลี่ยนคาระดบั ลอจิก จึงมีคาเทากบั 1 และตัวแปร B
จากแผนผงั คารโ นหใ หม องจากดา นขวามอื ไปดา นซา ยจะพบวา ตวั แปร B มีคาระดบั ลอจิก “1” ซ่งึ ไมมีการ
เปล่ียนคา ระดับลอจกิ ดังนนั้ จึงมีคา เทา กบั B
เพราะฉะน้ัน f(A,B) = AB+ AB+ AB มีคา เทา กบั A+B
(ง) จากสมการลอจกิ f(A,B) = AB+ AB+ AB+ AB เมื่อนาํ มาเขียนในแผนผงั คารโ นหโ ดยแทน
ดวยระดบั ลอจกิ 1 ลงในแผนผงั ไดดงั น้ี
106 บทท่ี 4 การลดรูปสมการดว ยผังคารโนห วงจรดจิ ิตอลและลอจกิ
ทาํ การจบั กลมุ ทค่ี า ชดิ กันจะไดกลมุ ที่มากทีส่ ดุ เทา กบั 4 จํานวน 1 กลมุ และทาํ การลดรปู สมการ
โดยการพิจารณาที่ตัวแปร A และ B ดงั นี้
ตวั แปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดา นบนจะพบวาตัวแปร A มีคา ระดับ
ลอจกิ เทากับ “1” และ “0” ซ่งึ มีการเปลีย่ นคา ระดับลอจกิ ดงั น้ันจึงมคี าเทากบั 1
และตัวแปร B จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร B มีคา
ระดับลอจกิ “0” และ “1” ซ่งึ มีการเปล่ียนคา ระดบั ลอจกิ จงึ มคี า เทา กับ 1
เพราะฉะนัน้ f(A,B) = AB+ AB+ AB+ AB มคี า เทา กบั 1
ตัวอยางที่ 4.2 จงลดรูปสมการลอจิกชนิด 3 ตัวแปรตอ ไปนีใ้ หส นั้ ทสี่ ุด โดยการใชแ ผนผังคารโนห
(ก) f(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC
(ข) f(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC
(ค) f(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC+ ABC+ ABC
(ง) f(A,B,C) = m(0,1,4,5)
(จ) f(A,B,C) = m(0,1,6,7)
วธิ ีทาํ (ก) จากสมการลอจิก f(A,B,C) = ABC + ABC+ ABC+ ABC เมื่อนาํ มาเขียนผงั คารโนหจะเขียน
เฉพาะเทอมท่ีกาํ หนดใหเ ทา นั้น โดยแทนดว ยระดับลอจกิ 1 ดังน้ี
ทาํ การจบั กลมุ ทคี่ า ชดิ กันจะไดก ลมุ ท่ีมากทส่ี ดุ เทากบั 4 จาํ นวน 1 กลุม และทําการลดรปู สมการ
โดยการพิจารณาทต่ี ัวแปร A B และ C ดังนี้
ตวั แปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดานบนจะพบวาตัวแปร A มีคา ระดับ
ลอจิกเทา กบั “0” และไมม กี ารเปลยี่ นคาระดบั ลอจกิ ดงั นั้นจงึ มคี าเทา กับ A
ตัวแปร B จากแผนผังคารโนหใหมองจากดา นลางขึ้นไปดานบนจะพบวาตัวแปร B มคี าระดับ
ลอจกิ เทากบั “0” และ “1” ซ่งึ มกี ารเปล่ียนคาระดับลอจิก ดงั น้นั จึงมีคา เทากับ 1
และตัวแปร C จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร C มีคา
ระดบั ลอจกิ “0” และ “1” ซงึ่ มีการเปลย่ี นคาระดับลอจกิ จงึ มีคาเทากับ 1
เพราะฉะนนั้ f(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC มีคา เทา กบั A
วงจรดจิ ิตอลและลอจกิ บทที่ 4 การลดรปู สมการดวยผังคารโนห 107
(ข) จากสมการลอจกิ f(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC เมอื่ นํามาเขียนผังคารโ นหจะเขียน
เฉพาะเทอมทก่ี าํ หนดใหเ ทา นัน้ โดยแทนดวยระดับลอจิก 1 ดงั นี้
ทําการจบั กลมุ ทค่ี าชดิ กันจะไดกลมุ ท่มี ากที่สดุ เทา กับ 4 จาํ นวน 1 กลมุ และทําการลดรูปสมการ
โดยการพิจารณาท่ตี วั แปร A B และ C ดงั นี้
ตวั แปร A จากแผนผงั คารโนหใหมองจากดานลางขึ้นไปดานบนจะพบวา ตัวแปร A มีคาระดับ
ลอจกิ “0” และ “1” จาํ นวน 2 ครัง้ ซ่ึงเปนการเปลี่ยนคาระดับลอจิก ดังนัน้ จึงมคี า เทา กับ 1
ตวั แปร B จากแผนผังคารโ นหใหมองจากดา นลางข้ึนไปดานบนจะพบวาตัวแปร B มีคา ระดับ
ลอจิก “0” และ “1” จํานวน 2 ครั้ง ซึ่งเปน การเปลี่ยนคา ระดบั ลอจิก ดงั นนั้ จึงมคี าเทากบั 1
และตัวแปร C จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร C มีคา
ระดับลอจิก “0” ซง่ึ ไมมกี ารเปลีย่ นคา ระดบั ลอจิก จงึ มคี า เทา กับ C
เพราะฉะนั้น f(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC มีคา เทากบั C
(ค) สมการลอจกิ f(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC+ ABC+ ABCเม่ือนาํ มาเขยี นผังคารโ นห
จะเขียนเฉพาะเทอมท่ีกําหนดใหเทานนั้ โดยแทนดวยระดับลอจิก 1 ดังน้ี
ทาํ การจบั กลมุ ทคี่ า ชดิ กนั จะไดก ลมุ ที่มากทีส่ ดุ เทากับ 4 จํานวน 2 กลมุ และทําการลดรูปสมการ
โดยการพจิ ารณาที่ตัวแปร A B และ C ดงั น้ี
กลมุ ที่ 1 ตวั แปร A จากแผนผงั คารโ นหใ หมองจากดานลา งขึ้นไปดานบนจะพบวา ตัวแปร A มคี า
ระดับลอจิกเทากับ “1” และไมมีการเปล่ียนคาระดับลอจิก ดังนั้นจึงมีคาเทากับ A ตัวแปร B
108 บทที่ 4 การลดรปู สมการดวยผังคารโนห วงจรดจิ ติ อลและลอจกิ
จากแผนผงั คารโ นห มีคาระดบั ลอจิก “1” และ “0” ซึ่งมีการเปลย่ี นคา ระดับลอจกิ จึงมีคา เทา กับ 1 และ
ตัวแปร C ซึ่งมองจากดานขวามอื ไปดานซายจะพบวา ตวั แปร C มีคา ระดับลอจกิ “1” และ “0” ซ่งึ มีการ
เปลี่ยนคา ระดบั ลอจกิ ดงั นน้ั จึงมคี าเทา กบั 1 ดังนน้ั ในกลมุ ที่ 1 จึงมคี า เทากบั A
กลุมท่ี 2 ตวั แปร A จากแผนผังคารโ นหมองจากดานลางขึ้นไปดานบนจะพบวา ตวั แปร A มีคา
ระดับลอจิกเทากับ “1” และ “0” มีการเปลี่ยนคาระดับลอจิก ดังนั้นจึงมีคาเทากับ 1 ตัวแปร B จาก
แผนผงั คารโ นห มีคาระดับลอจิก “0” ซึง่ ไมม ีการเปล่ียนคาระดับลอจกิ จงึ มีคา เทา กับ B และตัวแปร C
ซึง่ มองจากดา นขวามอื ไปดา นซายจะพบวาตวั แปร C มีคา ระดับลอจกิ “1” และ “0” ซงึ่ มกี ารเปล่ยี นคา
ระดับลอจกิ ดังนนั้ จึงมคี า เทากบั 1 ดังน้นั ในกลุมที่ 1 จึงมีคาเทากบั B
เพราะฉะน้นั f(A,B,C) = ABC+ ABC+ ABC+ ABC+ ABC+ ABC มคี า เทา กบั A +B
(ง) สมการลอจิก f(A,B,C) = m(0,1,4,5) เม่ือนํามาเขียนผังคารโนหจะเขียนเฉพาะเทอม
ท่ีกาํ หนดใหเ ทานนั้ โดยแทนดวยระดบั ลอจกิ 1 ดงั นี้
ทาํ การจบั กลมุ ทค่ี าชดิ กันจะไดกลมุ ที่มากที่สดุ เทากับ 4 จํานวน 1 กลุม และทาํ การลดรูปสมการ
โดยการพจิ ารณาท่ีตวั แปร A B และ C ดังน้ี
ตวั แปร A จากแผนผงั คารโ นหม องจากดานลางขึน้ ไปดานบนจะพบวาตวั แปร A มคี าระดับลอจกิ
เทา กับ “1” และ “0” มีการเปลย่ี นคาระดับลอจิก ดังน้ันจึงมคี าเทา กับ 1 ตัวแปร B จากแผนผังคารโ นห
มคี าระดบั ลอจกิ “0” ซึ่งไมม กี ารเปล่ียนคา ระดับลอจิก จึงมีคา เทากับ B และตวั แปร C ซง่ึ มองจากดา น
ขวามือไปดานซา ยจะพบวาตัวแปร C มีคาระดับลอจิก “1” และ “0” ซึ่งมีการเปลี่ยนคาระดับลอจิก
ดงั น้ันจึงมีคา เทากับ 1 ดังน้นั ในกลุมที่ 1 จงึ มคี า เทา กบั B
เพราะฉะน้ัน f(A,B,C) = m(0,1,4,5) มีคา เทา กบั B
(จ) สมการลอจกิ f(A,B,C) = m(0,1,6,7) เม่ือนาํ มาเขยี นผงั คารโ นหจ ะเขียนเฉพาะเทอม
ท่กี าํ หนดใหเทา น้ัน โดยแทนดว ยระดบั ลอจกิ 1 ดังนี้
วงจรดจิ ติ อลและลอจิก บทที่ 4 การลดรปู สมการดว ยผงั คารโ นห 109
ทาํ การจบั กลุมทค่ี า ชดิ กันจะไดก ลุม ทม่ี ากทส่ี ุดเทา กับ 2 จํานวน 2 กลุม และทาํ การลดรปู สมการ
โดยการพจิ ารณาท่ีตวั แปร A B และ C ดังน้ี
กลมุ ท่ี 1 ตวั แปร A จากแผนผังคารโนหใ หมองจากดานลา งขึน้ ไปดา นบนจะพบวาตวั แปร A มีคา
ระดับลอจิกเทากับ “1” และไมมีการเปลี่ยนคาระดับลอจิก ดังนั้นจึงมีคาเทากับ A ตัวแปร B
จากแผนผงั คารโ นห มคี าระดบั ลอจิก “1” ซึง่ ไมมกี ารเปล่ียนคาระดบั ลอจกิ จึงมีคา เทา กบั B และตวั แปร
C ซึ่งมองจากดา นขวามือไปดานซา ยจะพบวาตวั แปร C มคี าระดับลอจกิ “1” และ “0” ซ่ึงมีการเปลยี่ น
คา ระดบั ลอจิก ดงั นั้นจึงมคี าเทากับ 1 ดังนนั้ ในกลุมที่ 1 จงึ มคี าเทากับ AB
กลุมท่ี 2 ตวั แปร A จากแผนผังคารโ นหมองจากดานลางข้ึนไปดานบนจะพบวาตวั แปร A มีคา
ระดับลอจิกเทากับ “0” ทั้งคู ซึ่งไมมีการเปล่ียนคาระดับลอจิก ดังน้ันจึงมีคาเทากับ A ตัวแปร B
จากแผนผงั คารโ นห มีคา ระดบั ลอจิก “0” และ “1” ซงึ่ มีการเปลี่ยนคา ระดบั ลอจิก จงึ มคี า เทากับ 1 และ
ตัวแปร C ซง่ึ มองจากดานขวามอื ไปดานซายจะพบวา ตัวแปร C มคี าระดบั ลอจิก “0” ซ่ึงไมมีการเปลีย่ น
คาระดับลอจิก ดังน้ันจงึ มคี าเทากบั C ดังนน้ั ในกลุมท่ี 2 จึงมีคา เทา กับ AC
เพราะฉะนั้นสมการ f(A,B,C) = m(0,1,6,7) มีคาเทา กบั AB+ AC
ตวั อยางท่ี 4.3 จงลดรปู สมการลอจกิ ชนดิ 4 ตวั แปรตอไปนใี้ หส ัน้ ทสี่ ุด โดยการใชแ ผนผงั คารโ นห
(ก) f(A,B,C,D) = ABCD+ ABCD + ABCD+ ABCD + ABCD+ ACBD + ABCD+ ABCD
(ข) f(A,B,C,D) = ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD + ABCD + ABCD + ABCD+ ABCD
(ค) f(A,B, C,D) = m(0,2,4,6,8,10,12,14)
(ง) f(A,B, C,D) = m(0,1,2,4,5,6,7,8,10,12,13,14,15)
(ก) จากสมการลอจกิ เมอื่ นาํ มาเขียนผงั คารโนหจ ะเขยี นเฉพาะเทอมทกี่ าํ หนดใหเ ทา น้นั โดยแทน
ดว ยระดบั ลอจกิ 1 ดงั นี้
f(A,B,C,D) = ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ACBD+ ABCD+ ABCD
110 บทท่ี 4 การลดรูปสมการดวยผังคารโนห วงจรดจิ ิตอลและลอจกิ
ทาํ การจบั กลมุ ท่คี า ชดิ กนั จะไดก ลมุ ทม่ี ากทส่ี ุดเทา กับ 8 จาํ นวน 1 กลุม และทาํ การลดรปู สมการ
โดยการพจิ ารณาที่ตวั แปร A B C และ D ดังน้ี
ตัวแปร A จากแผนผังคารโ นหใ หมองจากดา นลา งข้นึ ไปดา นบนจะพบวา ตัวแปร A มคี า ระดบั
ลอจกิ เทา กบั “0” และไมม กี ารเปล่ยี นคา ระดับลอจกิ ดังน้นั จึงมคี า เทา กบั A
ตัวแปร B จากแผนผงั คารโนหใ หม องจากดา นลา งขน้ึ ไปดา นบนจะพบวา ตวั แปร B มคี า ระดับ
ลอจกิ เทากบั “0” และ “1” ซงึ่ มกี ารเปล่ียนคา ระดบั ลอจิก ดงั น้ันจงึ มคี า เทา กบั 1
ตัวแปร C จากแผนผงั คารโ นหใ หม องจากดา นขวามอื ไปดา นซา ยจะพบวาตวั แปร C มคี า ระดบั
ลอจกิ เทา กับ “0” และ “1” จาํ นวน 2 ครง้ั ซง่ึ มีการเปลี่ยนคา ระดบั ลอจกิ ดังน้นั จงึ มคี า เทา กับ 1
และตัวแปร D จากแผนผงั คารโ นหใ หม องจากดา นขวามือไปดา นซา ยจะพบวา ตวั แปร D มีคา
ระดับลอจกิ “0” และ “1” จาํ นวน 2 ครัง้ ซ่ึงมกี ารเปลี่ยนคา ระดบั ลอจกิ จงึ มคี า เทา กบั 1
เพราะฉะน้นั f(A,B,C,D) = ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ACBD+ ABCD+ ABCD
มีคา เทา กบั A
(ข) จากสมการลอจิก เม่อื นาํ มาเขยี นผังคารโ นหจ ะเขียนเฉพาะเทอมทก่ี าํ หนดใหเ ทา น้ัน โดยแทน
ดวยระดบั ลอจิก 1 ดงั น้ี
f(A,B,C,D) = ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD+ ABCD
วงจรดจิ ติ อลและลอจิก บทท่ี 4 การลดรูปสมการดว ยผังคารโนห 111
ทําการจบั กลมุ ทค่ี าชดิ กนั จะไดกลมุ ทมี่ ากที่สดุ เทา กบั 8 จํานวน 1 กลุม และทําการลดรปู สมการ
โดยการพจิ ารณาทต่ี วั แปร A B C และ D ดงั น้ี
ตวั แปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางขึ้นไปดา นบนจะพบวาตัวแปร A มีคาระดับ
ลอจกิ เทากับ “0” และ “1” ซง่ึ มกี ารเปล่ยี นคาระดบั ลอจิก ดงั น้ันจึงมคี าเทา กับ 1
ตัวแปร B จากแผนผังคารโนหใหมองจากดา นลางข้ึนไปดานบนจะพบวาตัวแปร B มีคาระดับ
ลอจิกเทา กบั “0” และไมมีการเปล่ียนคา ระดับลอจกิ ดงั น้นั จึงมคี าเทา กับ B
ตวั แปร C จากแผนผังคารโ นหใหม องจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร C มีคาระดับ
ลอจิกเทากบั “0” และ “1” จํานวน 2 คร้ัง ซ่งึ มกี ารเปลี่ยนคาระดบั ลอจิก ดังนัน้ จงึ มีคา เทา กับ 1
และตัวแปร D จากแผนผังคารโ นหใหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร D มีคา
ระดับลอจกิ “0” และ “1” จาํ นวน 2 ครง้ั ซ่งึ มีการเปล่ยี นคา ระดับลอจกิ จึงมีคา เทา กบั 1
เพราะฉะน้นั f(A,B,C,D) = ABCD+ ABCD + ABCD + ABCD+ ABCD+ ABCD + ABCD+ ABCD
มคี า เทา กับ B
(ค) จากสมการลอจกิ เม่ือนาํ มาเขยี นผังคารโ นหจ ะเขยี นเฉพาะเทอมท่กี าํ หนดใหเ ทานัน้ โดยแทน
ดวยระดบั ลอจิก 1 ดังนี้
f(A,B, C,D) = m(0,2,4,6,8,10,12,14)
ทําการจบั กลมุ ทค่ี าชดิ กันจะไดกลมุ ท่มี ากทสี่ ดุ เทา กบั 8 จาํ นวน 1 กลุม และทําการลดรูปสมการ
โดยการพิจารณาทีต่ ัวแปร A B C และ D ดงั นี้
ตัวแปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดา นบนจะพบวาตัวแปร A มีคาระดับ
ลอจกิ เทา กับ “0” และ “1” จํานวน 2 ครั้ง ซ่ึงมีการเปลีย่ นคาระดับลอจิก ดงั น้นั จึงมคี าเทากบั 1
ตวั แปร B จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดานบนจะพบวาตัวแปร B มคี าระดับ
ลอจกิ เทา กับ “0” และ “1” จาํ นวน 2 ครัง้ ซ่ึงมีการเปล่ยี นคา ระดบั ลอจิก ดงั น้ันจงึ มีคาเทา กับ 1
112 บทที่ 4 การลดรูปสมการดว ยผังคารโนห วงจรดจิ ติ อลและลอจกิ
ตวั แปร C จากแผนผงั คารโ นหใหม องจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร C มคี าระดับ
ลอจกิ เทากับ “0” และ “1” จํานวน 2 คร้ัง ซ่ึงมีการเปลี่ยนคาระดบั ลอจกิ ดังนน้ั จึงมีคา เทา กบั 1
และตัวแปร D จากแผนผังคารโ นหใหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร D มีคา
ระดับลอจกิ “0” จํานวน 2 คร้งั ซ่ึงไมม กี ารเปลี่ยนคา ระดับลอจิก จงึ มคี า เทากับ D
เพราะฉะน้ัน f(A,B,C,D) = m(0,2,4,6,8,10,12,14) มีคา เทา กบั D
(ง) จากสมการลอจกิ เมื่อนาํ มาเขียนผงั คารโ นหจ ะเขยี นเฉพาะเทอมทีก่ าํ หนดใหเทา น้ัน โดยแทน
ดว ยระดบั ลอจกิ 1 ดงั น้ี
f(A,B,C,D) = m(0,1,2,4,5,6,7,8,10,12,13,14,15)
CD AB กลุมท่ี 3 กลมุ ที่ 2
00 11
00 0 01 1 12 10
1 14 1 13 18
01 1 1 1 15
11 3 5 1 14 9
10 1 2 7 11 กลมุ ที่ 1
16
1 10
ทําการจับกลุมที่คาชิดกันจะไดกลุมท่ีมากท่ีสุดเทากับ 8 จํานวน 1 กลุม จับกลุม 4 จํานวน
1 กลมุ และจบั กลมุ 2 จาํ นวน 1 กลุม ทําการลดรูปสมการโดยการพิจารณา ที่ตวั แปร A B C และ D ดงั น้ี
กลมุ ท่ี 1 ตวั แปร A และตวั แปร B จากแผนผงั คารโนหใ หม องจากดานลา งข้นึ ไปดา นบนจะพบวา
ตวั แปร A และ B มีคาระดับลอจิกเทากับ “0” และ “1” จาํ นวน 2 ครง้ั ซึ่งมีการเปลี่ยนคาระดบั ลอจิก
ดังนน้ั จงึ มีคาเทา กบั 1 ตวั แปร C จากแผนผงั คารโนหใ หมองจากดา นขวามอื ไปดา นซายจะพบวา ตัวแปร C
มคี า ระดับลอจกิ เทา กบั “0” และ “1” จํานวน 2 คร้ัง ซ่งึ มีการเปลี่ยนคา ระดับลอจกิ ดงั นัน้ จงึ มคี า เทากับ
1 และตัวแปร D จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร D มีคาระดับ
ลอจกิ “0” จํานวน 2 ครั้ง ซึ่งไมม ีการเปล่ยี นคาระดับลอจิก จึงมีคาเทา กบั D
กลมุ ที่ 2 ตวั แปร A และตวั แปร B จากแผนผงั คารโ นหใ หม องจากดา นลา งขึน้ ไปดา นบนจะพบวา
ตวั แปร A และ B มคี า ระดับลอจกิ เทากบั “1” จํานวน 2 ครัง้ ซึ่งไมมกี ารเปลยี่ นคา ระดบั ลอจกิ ดังน้นั จงึ มี
คา เทากบั AB ตวั แปร C และ D จากแผนผงั คารโ นหมองจากดา นขวามือไปดานซา ยจะพบวาตัวแปร C
และ D มคี าระดับลอจิกเทากับ “0” และ “1” จํานวน 2 ครงั้ ซึ่งมกี ารเปลี่ยนคาระดบั ลอจกิ ดังน้ันจงึ มี
คา เทา กับ 1 ดังน้ันในกลุมท่ี 2 จงึ มคี าเทา กับ AB
วงจรดิจิตอลและลอจิก บทที่ 4 การลดรปู สมการดวยผังคารโ นห 113
กลุมที่ 3 ตัวแปร A และตัวแปร B จากแผนผงั คารโนหใหมองจากดานลางขึ้นไปดานบนมีคา
ระดับลอจิกเทากับ “0” ซ่ึงไมมีการเปลี่ยนคาระดับลอจกิ ดังน้ันจึงมีคาเทากับ AB ตัวแปร C และ D
จากแผนผงั คารโ นหม องจากดานขวามอื ไปดา นซายมคี าระดับลอจกิ เทา กับ “0” และ “1” ซงึ่ มกี ารเปลย่ี น
คา ระดับลอจิก ดงั นน้ั จงึ มีคาเทา กบั 1 ดงั นั้นในกลุมท่ี 3 จงึ มีคา เทา กบั AB
เพราะฉะนั้น f(A,B, C,D) = m(0,1,2,4,5,6,7,8,10,12,13,14,15) มีคา เทา กบั AB + AB +D
4.6 การลดรูปสมการลอจกิ ในรูปของ Product of Sum (Simplified of POS)
การลดรูปสมการลอจิกในรูปของ Product of Sum (POS) โดยใช K-map ก็ทําเชนเดียวกันกับการ
ลดรปู ของสมการ Sum-od-Product (SOP) ดังกลาวมาแลว ต้งั แตก ารสรา งผงั การลงคา ลอจกิ ในผงั และ
หลักการจบั กลมุ ประชดิ แตก ารจับกลมุ ประชดิ จะตองจับกลมุ ของเซลลท ่มี ีลอจกิ เอาตพตุ เปน “0”
ตวั อยา งท่ี 4.4 จงลดรปู สมการลอจิกชนิด 2 ตัวแปรตอ ไปน้ีใหส้ันท่สี ุด โดยการใชแ ผนผังคารโนห
(ก) f(A,B) = (A +B)(A +B)
(ข) f(A,B) = (A +B)(A +B)(A +B)
(ค) f(A,B) = (A +B)(A +B)(A +B)(A +B)
วธิ ที ํา (ก) จากสมการลอจกิ f(A,B) = (A +B)(A +B) เมื่อนํามาเขยี นผงั คารโนหจ ะเขียนเทอม
ทกี่ าํ หนดใหโ ดยแทนดวยระดบั ลอจกิ “0” ดงั น้ี
ทําการจบั กลมุ ทค่ี า ชดิ กนั จะไดก ลมุ ทมี่ ากทสี่ ดุ เทากบั 2 จํานวน 1 กลมุ และทาํ การลดรูปสมการ
โดยการพจิ ารณาที่ตวั แปร A และ B ดังน้ี
ตวั แปร A จากแผนผงั คารโ นหม องจากดา นลา งขนึ้ ไปดานบนจะพบวาตวั แปร A มีคาระดบั ลอจิก
เทา กับ “0” และไมม ีการเปล่ียนคา ระดับลอจกิ ดงั นั้นจงึ มคี า เทากบั A
และตัวแปร B จากแผนผงั คารโ นหม องจากดานขวามอื ไปดานซา ยจะพบวา ตวั แปร B มคี าระดับ
ลอจกิ “0” และ “1” ซึ่งมีการเปล่ยี นคา ระดบั ลอจิก จึงมคี าเทากับ BB = 0
เพราะฉะนน้ั f(A,B) = (A +B)(A +B) มีคา เทา กับ A +0 = A
114 บทท่ี 4 การลดรูปสมการดว ยผังคารโนห วงจรดิจิตอลและลอจกิ
(ข) จากสมการลอจกิ f(A,B) = (A +B)(A +B)(A +B) เมื่อนํามาเขียนผงั คารโ นห จะเขยี นเทอม
ท่กี าํ หนดใหโดยแทนดวยระดบั ลอจิก “0” ดังนี้
ทาํ การจับกลมุ ทคี่ า ชดิ กันจะไดก ลุมทม่ี ากทส่ี ุดเทากบั 2 จาํ นวน 2 กลมุ และทาํ การลดรปู สมการ
โดยการพจิ ารณาทต่ี วั แปร A และ B ดังนี้
กลุมที่ 1 ตัวแปร A จากแผนผังคารโ นหมองจากดา นลางไปดานดานบน ตัวแปร A มคี าระดับ
ลอจกิ เทากบั “0” และ “1” ไมม กี ารเปล่ยี นคา ระดบั ลอจกิ ดังนนั้ จงึ มีคาเทา กับ 0 และตวั แปร B จะมีคา
เทามองจากดา นขวามือไปดานซา ยมือ จะมีคาเทา กบั B เพราะไมมีการเปล่ยี นแปลงลอจิก ดงั น้นั ในกลมุ ท่ี
1 จะมีคา เทากบั B
กลุมท่ี 2 ตัวแปร A จากแผนผังคารโนหมองจากดานลางไปดานดานบน ตัวแปร A ไมมีการ
เปล่ียนคาระดบั ลอจกิ ดงั นั้นจึงมคี าเทากับ A และตัวแปร B มองจากดานขวามือไปดา นซา ยมอื จะมีคา
เทา กับ 0เพราะมกี ารเปล่ยี นแปลงลอจกิ ดังน้ันในกลมุ ท่ี 2 จะมีคา เทากับ A
เพราะฉะนั้น f(A,B) = (A +B)(A +B)(A +B) มีคา เทา กับ A +B
(ค) จากสมการลอจิก f(A,B) = (A +B)(A +B)(A +B)(A +B) เม่ือนํามาเขียนผงั คารโนห จะเขียน
เทอมทก่ี าํ หนดใหโ ดยแทนดว ยระดบั ลอจกิ “0” ดงั นี้
ทําการจบั กลมุ ทคี่ าชดิ กันจะไดก ลมุ ท่มี ากทส่ี ดุ เทา กับ 4 จํานวน 1 กลมุ และทาํ การลดรปู สมการ
โดยการพจิ ารณาท่ตี ัวแปร A และ B ดงั นี้
ตวั แปร A จากแผนผังคารโนหม องจากดา นลางขึ้นไปดานบนจะพบวาตัวแปร A มกี ารเปลย่ี นคา
ระดบั ลอจกิ ดงั น้ันจึงมีคา เทา กบั 0
วงจรดิจติ อลและลอจิก บทที่ 4 การลดรปู สมการดว ยผังคารโนห 115
และตัวแปร B จากแผนผงั คารโนหม องจากดา นขวามอื ไปดา นซายจะพบวา ตวั แปร B มีคา ระดับ
ลอจกิ “0” และ “1” ซ่ึงมกี ารเปลี่ยนคา ระดบั ลอจกิ จงึ มีคา เทา กบั 0
เพราะฉะนั้น f(A,B) = (A +B)(A +B)(A +B)(A +B) มีคา เทากบั 0
ตวั อยา งท่ี 4.5 จงลดรปู สมการลอจกิ ชนิด 3 ตวั แปรตอ ไปนี้ใหส ัน้ ท่ีสดุ โดยการใชแ ผนผงั คารโ นห
(ก) f(A,B,C) = M(0,1,2,3)
(ข) f(A,B,C) = M(0,2,4,6,7)
(ค) f(A,B,C) = M(0,1,2,3,4,5)
(ง) f(A,B,C) = M(0,2,6,7)
วธิ ีทาํ (ก) จากสมการลอจกิ f(A,B,C) = M(0,1,2,3) เม่ือนํามาเขียนผงั คารโนห จะเขียนเฉพาะเทอม
ท่ีกาํ หนดใหเทา น้นั โดยแทนดว ยระดบั ลอจกิ 0 ดังน้ี
ทําการจบั กลมุ ทคี่ า ชดิ กันจะไดกลมุ ท่มี ากท่สี ดุ เทากบั 4 จาํ นวน 1 กลมุ และทาํ การลดรปู สมการ
โดยการพิจารณาท่ตี วั แปร A B และ C ดงั น้ี
ตัวแปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดา นบนจะพบวาตัวแปร A มีคา ระดับ
ลอจกิ เทา กบั “0” ท้ัง 2 ครงั้ ดังน้ันจึงไมม กี ารเปลย่ี นคาระดับลอจกิ ดังน้นั จึงมีคา เทากับ A
ตัวแปร B จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดานบนจะพบวาตัวแปร B มคี าระดับ
ลอจกิ เทากับ “0” และ “1” ซ่ึงมกี ารเปลีย่ นคา ระดบั ลอจกิ ดังน้ันจึงมีคา เทา กบั 0
และตัวแปร C จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร C มีคา
ระดบั ลอจิก “0” และ “1” ซง่ึ มีการเปลย่ี นคาระดับลอจกิ จึงมีคาเทากบั 0
เพราะฉะนัน้ f(A,B,C) = M(0,1,2,3) มีคาเทากบั A+0+0 = A
(ข) จากสมการลอจิก f(A,B, C) = M(0,2,4,6,7) เม่ือนํามาเขียนผังคารโ นห จะเขียนเฉพาะ
เทอมท่ีกําหนดใหเทานนั้ โดยแทนดวยระดับลอจิก 0 ดงั นี้
116 บทที่ 4 การลดรปู สมการดวยผังคารโนห วงจรดจิ ิตอลและลอจกิ
ทาํ การจับกลมุ ท่ีคาชิดกันจะไดจ ํานวน 2 กลุม คือกลุมที่ 1 เทากับจํานวน 4 เทอมคือ 0,2,4,6
จาํ นวน 1 กลุม และกลุมท่ี 2 จํานวน 2 เทอม คือ 6 และ 7 ทําการลดรูปสมการโดยการพิจารณาท่ีตัว
แปร A B และ C ดงั นี้
กลุมท่ี 1 ตัวแปร A จากแผนผงั คารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดานบนจะพบวาตัวแปร A มี
การเปลี่ยนคาระดับลอจิก ดังนั้นจึงมีคาเทากับ 0 สําหรับตัวแปร B จากแผนผังคารโนหใหมองจาก
ดา นลา งขนึ้ ไปดา นบนจะพบวาตวั แปร B มกี ารเปลี่ยนคาระดบั ลอจกิ ดงั นน้ั จงึ มีคาเทา กบั 0 และตัวแปร
C จากแผนผงั คารโ นหมองจากดา นขวามือไปดา นซายจะพบวาตัวแปร C เทากบั 0 ซ่ึงไมม ีการเปลยี่ นคา
ระดับลอจกิ จงึ มคี า เทา กบั C
กลุมที่ 2 ตัวแปร A และ B มองจากดานลางไปดานบนจะพบวามีคาเทากับ 11 ซ่ึงไมมีการ
เปลยี่ นแปลงจึงมคี า เทา กับ (A +B) สําหรับตัวแปร C มกี ารเปล่ียนแปลงคาดังน้ันจงึ มคี า เทากบั 0
เพราะฉะนัน้ f(A,B,C) = M(0,2,4,6,7) มีคา เทา กับ (0+0+ C)(A +B+0) = C(A +B)
(ค) จากสมการลอจิก f(A,B,C) = M(0,1,2,3,4,5) เมือ่ นาํ มาเขยี นผังคารโนห จะเขยี นเฉพาะ
เทอมทก่ี ําหนดใหเ ทา น้นั โดยแทนดวยระดับลอจิก 0 ดงั น้ี
ทาํ การจบั กลุมทค่ี าชิดกันจะไดจาํ นวน 2 กลุม คอื กลุมท่ี 1 เทา กบั จาํ นวน 4 เทอม คือ 0,1,2,3
จํานวน 1 กลุม และกลุม ท่ี 2 จํานวน 4 เทอม คอื 0, 1, 4 และ 5 ทาํ การลดรปู สมการโดยการพิจารณาที่
ตัวแปร A B และ C ดงั น้ี
วงจรดิจติ อลและลอจกิ บทที่ 4 การลดรูปสมการดวยผงั คารโ นห 117
กลมุ ท่ี 1 ตวั แปร A จากแผนผงั คารโ นหใหมองจากดา นลา งข้ึนไปดา นบนจะพบวา ตัวแปร A ไมม ี
การเปลยี่ นคาระดบั ลอจกิ จาก 0 ดงั นั้นจึงมีคา เทากับ A สําหรับตวั แปร B จากแผนผงั คารโนหใหมองจาก
ดา นลางข้ึนไปดานบนจะพบวา ตวั แปร B มกี ารเปลย่ี นคา ระดับลอจิก ดงั นน้ั จึงมีคาเทา กบั 0 และตวั แปร
C จากแผนผังคารโนหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร C มีการเปล่ียนคาระดับลอจิก
จงึ มีคาเทา กับ 0
กลุมท่ี 2 ตัวแปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดานบนจะพบวาตัวแปร A
มีการเปลี่ยนคาระดับลอจิก ดังนั้นจึงมีคาเทากับ 0 สําหรับตัวแปร B จากแผนผังคารโนหใหมองจาก
ดานลา งขน้ึ ไปดานบนจะพบวาตัวแปร B มคี าเทากบั 0 และไมม กี ารเปล่ียนคาระดบั ลอจกิ ดังนน้ั จงึ มคี า
เทากับ B ตวั แปร C จากแผนผงั คารโนหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตวั แปร C มีการเปลีย่ น
คา ระดบั ลอจกิ จงึ มีคาเทากับ 0
เพราะฉะนนั้ f(A,B,C) = M(0,1,2,3,4,5) มคี า เทา กับ (A+0+0)(0+B+0) = AB
(ง) จากสมการลอจิก f(A,B,C) = M(0,2,6,7) เมอ่ื นํามาเขียนผงั คารโ นหจะเขยี นเฉพาะเทอม
ท่ีกําหนดใหเทา นัน้ โดยแทนดวยระดบั ลอจิก 0 ดงั นี้
ทําการจับกลุมท่คี าชดิ กนั จะไดจ ํานวน 2 กลุม คือกลุมท่ี 1 เทากับจํานวน 2 เทอมคือ 0 และ 2
จํานวน 1 กลุม และกลุมท่ี 2 จํานวน 2 เทอม คือ 6 และ 7 ทําการลดรูปสมการโดยการพิจารณาท่ี
ตัวแปร A B และ C ดงั นี้
กลุมท่ี 1 ตวั แปร A จากแผนผังคารโ นหมองจากดานลา งขึ้นไปดานบนจะพบวา ตวั แปร A มีคา
เทา กบั 0 และไมม กี ารเปลยี่ นคา ระดับลอจิก ดงั นั้นจึงมีคา เทา กบั A สาํ หรับตัวแปร B จากแผนผงั คารโ นห
ใหมองจากดานลา งข้ึนไปดานบนจะพบวา ตวั แปร B มกี ารเปลย่ี นคาระดับลอจกิ ดังน้ันจึงมีคา เทากับ 0
และตัวแปร C จากแผนผังคารโ นหมองจากดานขวามือไปดานซายจะพบวาตัวแปร C เทากับ 0 ซ่ึงไมมี
การเปลีย่ นคาระดับลอจิก จึงมคี าเทา กับ C
กลุมที่ 2 ตัวแปร A และ B มองจากดานลางไปดานบนจะพบวามีคาเทากับ 11 ซ่ึงไมมีการ
เปลีย่ นแปลงจึงมีคาเทา กับ (A +B) สาํ หรับตัวแปร C มีการเปล่ยี นแปลงคา ดงั น้นั จงึ มีคาเทา กบั 0
เพราะฉะนน้ั f(A,B,C) = M(0,2,6,7) มีคาเทา กบั (A +0+ C)(A +B+0) = (A + C)(A +B)
118 บทท่ี 4 การลดรปู สมการดว ยผังคารโนห วงจรดิจิตอลและลอจกิ
ตัวอยา งที่ 4.6 จงลดรปู สมการลอจกิ ชนดิ 4 ตัวแปรตอ ไปนีใ้ หส นั้ ที่สดุ โดยการใชแ ผนผงั คารโ นห
(ก) f(A,B,C,D) = M(0,1,2,3,4,8,12,13,14,15)
(ข) f(A,B,C,D) = M(0,1,2,3,4,5,6,7,8,10)
วิธีทาํ (ก) จากสมการลอจกิ f(A,B,C,D) = M(0,1,2,3,4,8,12,13,14,15) เมือ่ นาํ มาเขียนผงั คารโนห
จะเขียนเฉพาะเทอมทก่ี าํ หนดใหเ ทา นัน้ โดยแทนดว ยระดับลอจกิ 0 ดงั นี้
ทําการจับกลุมท่ีคาชิดกันจะไดจํานวน 3 กลุม คือกลุมท่ี 1 เทากับจํานวน 4 เทอมคือ 0 1 2
และ 3 จํานวน 1 กลุม กลุมท่ี 2 จาํ นวน 4 เทอม คือ 12 13 14 และ 15 และกลุมท่ี 3 จํานวน 4 เทอม
คือ 0 4 8 และ 12 และทาํ การลดรปู สมการโดยการพิจารณา ทีต่ ัวแปร A B C และ D ดงั น้ี
กลุมที่ 1 ตัวแปร A และ B จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางข้ึนไปดานบนจะมีคาระดับ
ลอจกิ เทากับ “0” และไมม ีการเปลีย่ นคาระดับลอจิก ดงั นน้ั จึงมีคา เทากับ A+B ตัวแปร C และ D มอง
จากกดา นขวามือไปซา ยมอื มกี ารเปลยี่ นแปลงระดบั ลอจกิ ดังน้ันจงึ มีคาเทา กบั 0
กลุมที่ 2 ตัวแปร A และ B จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางขึ้นไปดานบนจะมีคาระดับ
ลอจิกเทา กับ “1” และไมมีการเปล่ียนคา ระดบั ลอจกิ ดังนน้ั จงึ มคี าเทากับ A +B ตวั แปร C และ D มอง
จากกดานขวามือไปซายมอื มกี ารเปล่ียนแปลงระดบั ลอจิก ดงั นน้ั จงึ มคี า เทา กับ 0
กลุม ที่ 3 ตวั แปร A และ B จากแผนผงั คารโนหใหมองจากดานลา งขึ้นไปดานบนมีการเปล่ียนคา
ระดับลอจิก ดังน้ันจึงมีคาเทากบั 0 ตัวแปร C และ D มองจากกดานขวามือไปซายมือมีคาระดบั ลอจิก
เทากบั 00 และไมมกี ารเปลี่ยนแปลงระดับลอจิก ดังนัน้ จึงมคี า เทากบั C+D
เพราะฉะน้นั f(A,B,C,D) = M(0,1,2,3,4,8,12,13,14,15) จึงมคี า เทา กบั
(A +B+0+0)(A +B+0+0)(0+0+C+D) = (A +B)(A +B)(C +D)
(ข) จากสมการลอจิก f(A,B,C,D) = M(0,1,2,3,4,5,6,7,8,10) เมื่อนํามาเขียนผังคารโนห
จะเขียนเฉพาะเทอมท่ีกําหนดใหเ ทานน้ั โดยแทนดวยระดับลอจกิ 0 ดงั นี้
วงจรดิจติ อลและลอจิก บทที่ 4 การลดรูปสมการดวยผังคารโ นห 119
ทาํ การจับกลุมท่คี า ชิดกันจะไดจาํ นวน 2 กลุม คอื กลมุ ท่ี 1 เทากบั จํานวน 8 เทอมคอื 0 1 2 3 4
5 6 และ 7 จาํ นวน 1 กลุม กลมุ ที่ 2 จาํ นวน 4 เทอม คอื 0 2 8 และ 9 และทาํ การลดรปู สมการโดยการ
พิจารณาทีต่ วั แปร A B C และ D ดังน้ี
กลุมที่ 1 ตัวแปร A จากแผนผังคารโนหใหมองจากดานลางขึ้นไปดานบนจะมีคาระดับลอจิก
เทากบั “0” และไมม ีการเปลย่ี นคาระดบั ลอจกิ ดงั นัน้ จึงมคี า เทา กบั A ตวั แปร B มกี ารเปลีย่ นแปลงคาจงึ
มคี า เทากบั 0 ตัวแปร C และ D มองจากกดา นขวามือไปซายมือ มีการเปลยี่ นแปลงระดบั ลอจิก ดังนั้นจึง
มีคาเทากบั 0
กลมุ ที่ 2 ตวั แปร A จากแผนผังคารโ นหมองจากดานลางข้ึนไปดานบนจะมีการเปลี่ยนแปลงคา
ระดับลอจิก ดงนั้นจึงมีคาเทากับ “0” ตัวแปร B มีคาลอจิกเทา กับ “0” และไมมีการเปล่ียนคาระดับ
ลอจิก ดังนน้ั จงึ มคี า เทากบั B ตัวแปร C มองจากกดานขวามือไปซายมือ มกี ารเปลย่ี นแปลงระดับลอจิก
จงึ มคี าเทากบั 0 และตวั แปร D มคี า ลอจิกเทากบั “0” และไมม กี ารเปล่ียนคาระดบั ลอจิก ดงั นัน้ จึงมีคา
เทา กบั D
เพราะฉะนั้น f(A,B,C,D) = M(0,1,2,3,4,5,6,7,8,10) จึงมคี า เทา กับ (A+0+0+0)(0++0+B)
= A(B+D)
4.7 การกาํ หนดระดับลอจิกสาํ หรับเทอมทไ่ี มส นใจ (Don't care term)
ในวงจรลอจกิ ทีม่ ีตวั แปรอินพตุ จาํ นวนมาก อาจจะมีบา งเงื่อนไขทไ่ี มจําเปน ตองสนใจการเปลีย่ นแปลง
สถานะลอจกิ เอาตพ ุต ซง่ึ เหตุการณด ังกลา วเรยี กวา “ Don't care term” ซ่งึ วงจรสามารถที่จะออกแบบ
วงจรโดยท่ีไมจําเปน ตองระบุระดับลอจิกเอาตพุตวา จะตองเปนระดับลอจกิ “1” หรอื ระดับลอจิก “0”
ก็ได เชน ตารางที่ 4.7 มีจํานวนอินพุต 4 ประกอบดวย A B C และ D มีเอาตพุตท่ีตองการใหมีระดับ
ลอจิก “1” คอื ลาํ ดับท่ี 0 2 4 6 และ 8 สวนเอาตพตุ ทีต่ อ งการใหเ ปนระดับลอจกิ “0” คอื ลําดับท่ี 1 3
5 7 9 และ 10 ซงึ่ สามารถเขยี นในรปู ของตารางความจรงิ ไดดงั ตารางท่ี 4.7
120 บทที่ 4 การลดรปู สมการดวยผังคารโนห วงจรดิจติ อลและลอจกิ
ตารางที่ 4.7 ตารางความจรงิ เม่ือกําหนดใหเอาตพตุ 0 2 4 6 และ 8 มคี า เทา กบั 1
ลําดบั ท่ี A อินพุต เอาตพ ตุ
0 0 BC DY
1 0 00 01
2 0 00 10
3 0 01 01
4 0 01 10
5 0 10 01
6 0 10 10
7 0 11 01
8 1 11 10
9 1 00 01
10 1 00 10
11 1 01 00
12 1 01 1D
13 1 10 0D
14 1 10 1D
15 1 11 0D
11 1D
รูปท่ี 4.13 การกาํ หนดคา สาํ หรบั ตารางท่ี 4.7
วงจรดิจติ อลและลอจกิ บทท่ี 4 การลดรปู สมการดว ยผังคารโ นห 121
จากตารางท่ี 4.7 คา อินพุตท่ีตองการมีเอาตพุตทตี่ องการใหมีระดับลอจิก “1” คอื ลําดบั ท่ี 0 2 4 6
8 และเอาตพุตท่ตี องการใหเ ปน ระดับลอจิก “0” คือ ลาํ ดับที่ 1 3 5 7 9 และ 10 เทา นั้น สว นลําดบั ท่ี 11
ถึง 15 จะไมสนใจวาเอาตพุตน้ันจะมีคาเปนระดับลอจิกอะไร โดยการใช “D” แทนคาระดับที่ไมสนใจ
ในการใชแผนผังคารโนหเพ่ือลดทอนสมการ ผูออกแบบวงจรอาจจะแทนคาลอจิกที่เปน “Don't
care” ลงแผนผังคารโนห เปนระดับลอจิก “0” หรือระดับลอจิก “1” ก็ได จากรปู ท่ี 4.13 เปนการลง
แผนผงั คารโ นหตามเอาตพตุ ในตาํ แหนงทล่ี ง “X” จะแทนคา ดวย “0” หรือ “1” ข้นึ อยูกับผูอ อกแบบ
วงจรลอจิกดวยวา จาํ เปนตองนําไปเขา กลุมหรือไม ถาจําเปนก็แทนคาดวย “1” ถาไมจําเปนก็แทนดวย
“0” กไ็ ด
ตวั อยางที่ 4.7 จากรูปที่ 4.13 จงใชแ ผนผังคารโ นหอ อกแบบวงจรลอจกิ ใหส น้ั ทส่ี ดุ
วธิ ที าํ กาํ หนดใหค า “D” ลงในตารางแผนผงั คารโนหดังตอ ไปน้ี และทาํ การจบั กลุม
และทาํ การจบั กลมุ จะได
122 บทที่ 4 การลดรูปสมการดวยผังคารโนห วงจรดจิ ิตอลและลอจกิ
CD
AD
Y = CD+ AD
Y = AD + CD
รปู ที่ 4.14 วงจรลอจิกสาํ หรับตวั อยา งที่ 4.7
4.8 การลดทอนสมการลอจิกแบบหลายเอาตพุตโดยแผนผังคารโนห (Multiole Output of
Karnaugh MAP)
สําหรับสมการท่ัวไปที่กลาวถึงมาแลวน้ัน จะมีเพียงหน่ึงเอาตพุตเทานั้น (Multiple Input Single
Output : MISO) สําหรับกรณีทมี่ ีเอาตพ ุตจํานวนมากขึ้น (Multiple Input Multiple Output : MIMO)
การลดทอนสมการจะตองพิจารณาถงึ จาํ นวนเกตท่ีสามารถใชงานรวมกันในแตละสมการ โดยมีข้ันตอน
ดังน้ี
1. พจิ ารณาเทอมในแตละสมการท่สี ามารถนํามารว มกันไดในแตละสมการ แลว ทําการรวมเทอมแต
ละเทอมเขา ดว ยกนั กอ น
2. เมอื่ ไมมีเทอมในสมการที่สามารถรว มกนั ไดแลว จากนน้ั ทําการรวมเทอมที่เหลือ สําหรบั เทอมใดที่
เปนชดุ ยอย (subset) ใหท าํ การเลอื กเทอมท่ีทาํ ใหม ผี ลการลดทอนมคี วามซบั ซอนนอ ยที่สดุ
3. การรวมเทอมของสมการ ทําไดโดยการนําสมการมาแอนดหรอื ออรกันในรูปแบบของ Sum of
product หรอื Product of sum
วงจรดจิ ิตอลและลอจกิ บทที่ 4 การลดรูปสมการดวยผังคารโนห 123
ตัวอยา งที่ 4.8 จงลดทอนสมการลอจิก 2 เอาตพุต ตอ ไปนี้ พรอ มทงั้ เขียนลอจกิ ไดอะแกรม
f1(A,B,C,D) = m(4,5,6,7,12,14)
f2(A,B,C,D) = m(5,7,11,15)
วธิ ีทํา ข้ันที่ 1 พจิ ารณาเทอมทีส่ ามารถรว มกันไดของสมการ f1 และสมการ f2 ซ่งึ จะไดว า
f1 f2 = m(5,7)
ขั้นที่ 2 พิจารณารว มเทอมที่เปนชุดยอ ยในแตล ะสมการ
AB AB
CD00 00 01 11 10 CD00 00 01 11 10
1 1
01 1 01 1
11 1 11 1 1 1
10 1 1 10
BD
ABD ABD ACD
f1 f2
f1(A,B,C,D) = ABD +BD
f2(A,B,C,D)= ABD + ACD
ข้นั ท่ี 3 เขยี นวงจรลอจกิ ไดอะแกรม
BD
f1 = ABD + BD
ABD
f2 = ABD + ACD
ACD
รูปท่ี 4.15 วงจรลอจกิ สาํ หรบั ตวั อยา งที่ 4.8
4.9 สรุป
การลดรูปสมการลอจิกโดยการใชผังคารโนห จะนิยมใชสําหรับตัวแปรอินพุตที่มีจํานวนไมเกิน
4 ตัวแปร โดยในการเขียนผังคารโนหจะมีเทากับ 2n ตัวแปร ในการจับกลุม จะสามารถจับไดเทากับ
จาํ นวน 1 เทอม หรือ 2 เทอม หรือ 4 เทอม หรือ 8 เทอม หรือ 16 เทอม โดยการจับกลุมจะตอ งจบั ให
กลมุ ท่ีมจี ํานวนมากท่สี ดุ เพื่อทาํ ใหจํานวนเทอมของสมการสนั้ ทสี่ ดุ การแทนคา สมการลอจกิ ในผงั คารโนห
สาํ หรับสมการแบบ sum of product จะใชคา ลอจิก “1” สําหรับสมการลอจกิ แบบ product of sum
จะใชค าลอจิก “0” สําหรับคาเอาตพุตที่เปนไดทั้งลอจิก “1” และ “0” จะเรียกวา don’ care term
ซึ่งในการออกแบบสามารถกาํ หนดใหเปน ลอจกิ อะไรกไ็ ดเพอื่ ทําใหส ามารถจับกลมุ ไดงาย
124 บทที่ 4 การลดรูปสมการดวยผังคารโนห วงจรดจิ ติ อลและลอจกิ
แบบฝก หดั ทา ยบท
1. จงลดทอนสมการลอจิกตอ ไปนี้ โดยวธิ ี KM ใหเขยี นคาํ ตอบท้งั ในรปู SOP และ POS
(1.1) f(A, B, C) = m (0, 1, 5, 7)
(1.2) f(A, B, C) = M (0, 1, 2, 6)
(1.3) f(D, C, B, A) = m (0, 2, 5, 7, 8, 10, 13, 15)
(1.4) f(D, C, B, A) = M (0, 1, 4, 5, 6, 7, 8, 9)
2. จงลดทอนสมการลอจิกตอไปน้ี โดยใชวธิ ี KM
(2.1) f(C, B, A) = C B + BA + CA
(2.2) f(C, B, A) = (C + B)( B + A)(C + B + A)(C + A)
(2.3) f(A, B, C, D) = ABC + ABD + AB C + CD +B D
(2.4) f(A, B, C, D) = B C + ABD + A BD + A CD + BCD +BC
3. จงลดทอนสมการลอจกิ ตอไปนี้โดยวิธี KM
(3.1) f(A, B, C, D) = m (0, 2, 5, 7, 8, 10, 13, 15)
(3.2) f(A, B, C, D) = m (1, 9, 10, 12, 14, 15)+d(0, 2, 5, 7, 8, 13)
(3.3) f(A, B, C, D) = M (7, 10, 11)d (0, 1, 2, 3)
(3.4) f(A, B, C, D) = M (1, 2, 5, 6, 7, 8, 9)
(3.5) f(A, B, C, D) = M (1, 3, 4, 6, 9, 11, 12, 14)
4. จงขยายสมการลอจิกตอ ไปน้ใี หเ ปน Canonical Sum โดยวิธี KM
(4.1) f(A, B, C) = (A +B)(A + C)( B + C)(A + B)
(4.2) f(D, C, B, A) = CA +D CB + D C B
(4.3) f(A, B, C, D, E) = ABC + BDE + A CE
5. จงลดทอนสมการลอจกิ ที่มหี ลายเอาตพ ตุ โดยวธิ ี KM
(5.1) f1 (A, B, C) = m (0, 1, 3)
f2 (A, B, C) = m (3, 6, 7)
(5.2) f1 (A, B, C, D) = m (5, 9, 10, 11, 13)
f2 (A, B, C, D) = m (5, 10, 11, 13, 14, 15)
f3 (A, B, C, D) = m (5, 9, 13, 14, 15)
วงจรดจิ ติ อลและลอจิก บทที่ 4 การลดรูปสมการดวยผงั คารโนห 125
เอกสารอา งองิ
ธนทั ชยั ยทุ ธ และกณพ แกว พชิ ยั . 2546. ดจิ ติ อลพ้นื ฐาน. กรุงเทพมหานคร : ซเี อด็ ยูเคช่ัน จากัด.
ธวชั ชยั เลอื่ นฉวี และอนุรกั ษ เถื่อนศริ .ิ 2546. ดิจิตอลเทคนิค. กรุงเทพมหานคร : มติ รนราการพมิ พ.
ธีรวฒั น ประกอบผล. 2545. ดจิ ติ อลลอจิก. กรงุ เทพมหานคร : ซเี อ็ดยูเคช่ัน จากดั .
บณั ฑิต บัวบูชา. 2545. ทฤษฎแี ละการออกแบบวงจรดจิ ิตอล. กรุงเทพมหานคร : ฟสิกสเ ซน็ เตอร.
รฐั วฒุ ิ ประทมุ ราช. 2545. การออกแบบวงจรดิจิตอล. กรงุ เทพมหานคร : ซีเอด็ ยเู คช่นั จากัด.
สมโชค ลักษณะโต. 2543. ปฏิบตั ิวงจรดิจติ อล 1. กรุงเทพมหานคร : เอมพนั ธ จากัด.
วศิ วกรรมสถานแหง ประเทศไทย. (2540). ศัพทเทคนคิ วิศวกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส. กรงุ เทพมหานคร
: จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลัย.
Bignell James & Donavan. (2000). Digital Electronics. (4th ed.). New York : Delmar .
Kleitz, W. (1999). Digital Electronics. New Jersey : Prentice-Hall.
Mano, Morris P. (1991). Digital Design. Los Angeles : Prentice-Hall.
Reis, R.A. (1991). Digital Electronics through Project analysis. New York : Macmillan.
Tocci, R. J. , & Wildmer, N. S. (2001). Digital Systems. (8th ed.). New Jersey : Prentice-
Hall.
แผนบรหิ ารการสอนประจําบทท่ี 5
ตระกูลไอซีดจิ ิตอลและลอจิก 4 ช่ัวโมง
หวั ขอเนอ้ื หา
5.1 บทนาํ
5.2 ไอซดี ิจิตอลตระกลู ตางๆ
5.3 ไอซตี ระกลู ไบโพลาร
5.4 ไอซีตระกลู มอส
5.5 ขอ มลู ไอซี (Data Sheet)
5.6 ตารางแสดงคา สงู สุดในการใชงานทปี่ ลอดภัย
5.7 เงอ่ื นไขในการทาํ งาน
5.8 ตารางแสดงคุณลกั ษณะทางไฟฟา กระแสตรง
5.9 ตารางคณุ ลกั ษณะของการสวิตช
5.10 อนิ พตุ การโหลดท่เี อาตพุตและแฟนเอาต (Fan Out)
5.11 การเลอื กไอซี
5.12 การเชอ่ื มตอ ไอซี (Interfacing)
5.13 สรุป
แบบฝก หดั ทา ยบท
วตั ถปุ ระสงคเชงิ พฤตกิ รรม
เม่อื เรยี นจบเร่ืองนแ้ี ลว ผเู รยี นจะมคี วามสามารถดังนี้
1. อธิบายขอแตกตา งของไอซีดจิ ิตอลได
2. อา นขอ มลู จากแผนขอมูลได
3. เลอื กใชไอซีดจิ ติ อลในการออกแบบวงจรได
วิธสี อนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน
1. ผสู อนนาํ เขา สูบทเรียน
2. แบง นกั ศึกษาออกเปน 5 กลมุ แลวใหผเู รียนศึกษาเนอื้ หาจากเอกสารประกอบการสอน
3. ใหผ ูเรยี นแตล ะกลมุ เขียนแผนภาพแนวความคดิ แสดงภาพรวมของเน้อื หาของตระกลู ไอซดี จิ ติ อล
และลอจิก
4. ใหผ ูเรยี นแตละกลมุ อภปิ รายเนอ้ื หา
5. ใหผูเ รยี นทาํ แบบฝก หัดทา ยบท เร่อื งตระกลู ไอซีดจิ ติ อลและลอจกิ
128 บทที่ 5 ตระกูลไอซีดิจิตอลและลอจกิ วงจรดจิ ติ อลและลอจกิ
6. ผสู อนสรปุ เร่อื งระบบตวั เลข
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอนเรอื่ ง ดิจติ อลและลอจกิ
2. บอรด ทดลองดจิ ติ อลและลอจิก
3. แบบฝก หดั ทา ยบท
การวดั ผล
1. สงั เกตการณเ ขา รวมกิจกรรมกลมุ
2. จากการทําแบบฝกหดั ทา ยบท
การประเมนิ ผล
1. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนและทาํ กจิ กรรมไดแ ลว เสร็จภายในกาํ หนด
2. ทาํ แบบฝก หดั ทา ยบทไดถ ูกตองไมนอยกวา รอยละ 80 เปอรเซน็ ต
วงจรดจิ ิตอลและลอจกิ บทท่ี 5 ตระกูลไอซีดิจติ อลและลอจิก 129
บทที่ 5
ตระกลู ไอซดี จิ ติ อลและลอจกิ (IC Digital And Logic Families)
5.1 บทนาํ
ลอจิกเกตท่ีมีใชในทางไฟฟาเปนตัวแรกคือรีเลย ตอมาไดพัฒนามาใชเปนหลอดสุญญากาศและ
ทรานซิสเตอร ในปจจุบันน้ีลอจิกเกตถูกจัดทําเปนไอซี หรือมีช่ือเรียกวา ชิป (Chip) ในชิปแตละตัว
ประกอบไปดว ย ทรานซิสเตอร ไดโอด ตัวตา นทาน ตวั เก็บประจุไฟฟา และสายตอวงจร
ในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร มีชปิ ขนาดเล็กเปนสวนประกอบทําใหใชเน้ือท่ีนอย ขนาดของชิปเมื่อ
เทียบกับนิ้วมือจะมีขนาดเล็กมาก ดังรูปท่ี 5.1 ไอซีผลิตข้ึนคร้ังแรกในป ค.ศ.1958 โดยบริษัทเท็กซัส
อินสตรูเมนต ตอมาโรเบิรต นอย (Robert Noyce) ไดพัฒนาไอซีใหสามารถใชในงานอุตสาหกรรมได
ทาํ ใหวงจรอิเลก็ ทรอนกิ สมขี อบเขตการใชงานมากขึ้น ไอซีเร่ิมมีใชครั้งแรกในป ค.ศ.1960 มีหลายขนาด
ดงั นี้
1. ไอซขี นาดเล็ก (Small Scale Integration : SSI) ประกอบดวยอปุ กรณ 20 ถงึ 50 ตัว ในแตละชิป
สามารถทาํ เปนเกตได 12 ตัว
2. ไอซีขนาดกลาง (Medium Scale Integration : MSI) เปนชิปท่ีมีอุปกรณเพิ่มข้ึนเปน 500 ตัว
ใชเปน วงจรถอดรหสั วงจรมลั ตเิ พลก็ เซอร ชปิ ขนาดน้ีมีจํานวนเกต 12 ถึง 100 ตัว
3. ไอซีขนาดใหญ (Large Scale Integration : LSI) เปนชิปท่ีมีอุปกรณภายในมากถึง 20,000 ตัว
ทําใหเกิดเปนเกตได 100 ถึง 1,000 ตัว ไอซีแบบนีใ้ ชท าํ เปน ระบบดิจิตอลได เชน ทําเปนหนวยความจํา
ในไมโครคอมพวิ เตอร
4. ไอซีขนาดใหญมาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เปนชิปที่มีอุปกรณ 20,000 ถึง
100,000 ตัว ใชเ ปน สว นประมวลผลและสวนความจําในไมโครคอมพิวเตอร
5. ไอซีขนาดใหญพ ิเศษ (Super Large Scale Integration : SLSI) เปนไอซีท่ีมอี ุปกรณ 100,000 ตัว
ข้นึ ไป สามารถเก็บขอมลู ไดถ งึ 1 ลานบติ
ไอซไี ดร บั การพฒั นาไปเรอ่ื ยๆ โดยทาํ ใหม ขี นาดเลก็ ลง ราคาต่าํ กินไฟนอ ย และมคี วามเชื่อมัน่ สูง ไอซี
ทาํ ใหเกดิ วงจรดจิ ติ อลทีม่ เี ทคโนโลยสี งู ขน้ึ
รูปท่ี 5.1 ชปิ ไมโครคอมพิวเตอรเ ปรียบเทียบกบั นวิ้ มือ
(ที่มา : http://www.รับซอื้ ไอซ.ี com/wp-content/uploads/2012/02/chip-ic1.jpg)
130 บทที่ 5 ตระกูลไอซดี จิ ติ อลและลอจกิ วงจรดจิ ติ อลและลอจกิ
5.2 ตระกูลไอซดี ิจิตอล (Digital IC Families)
ไอซีเกือบทุกชนิดใชวัสดุและกระบวนการผลิตเหมือนกันโดยใชวัสดุท่ีเปนพ้ืนฐานคือ สารกึ่งตัวนํา
ผลึกเอ็นไทป (N-type) และพไี ทป (P-type) ทีใ่ ชท ําทรานซสิ เตอร การทาํ งานของไอซขี ึ้นอยูก บั ปฏิกริ ิยา
ตรงรอยตอ ของเอ็นไทปแ ละพไี ทป
การผลิตไอซีเรมิ่ พัฒนาขนึ้ ในป ค.ศ.1960 โดยไอซที ่ีเปน ดจิ ิตอลจะสรา งจากวงจรท่ใี ชอ ปุ กรณแยกกนั
ทาํ ใหมีขีดจํากดั ในการออกแบบวงจร ตอมาบรษิ ัทท่ีทําการผลิตไอซไี ดมกี ารพัฒนาและแขง ขนั กนั มากขนึ้
ทําใหม ีวงจรลอจิกเกดิ ข้ึนหลายชนิด บางตวั ไมเปนที่นิยมในขณะทบ่ี างตัวไดรับการพฒั นาและมีผูนยิ มใช
มากขนึ้
ไอซีท่ีใชในทางดิจิตอล แบงไดเปน 2 ประเภท คือ แบบไบโพลาร (Bipolar) และแบบที่ใชสาร
ก่งึ ตัวนําเมตอลออกไซด (Metal Oxide Semiconductors : MOS) เรยี กยอๆ วา มอส ทัง้ สองชนดิ มขี อ
แตกตางกันที่อุปกรณภายใน แบบไบโพลารประกอบดวยทรานซิสเตอรแบบพีเอ็นพีและเอ็นพีเอ็น
ทมี่ รี อยตอพเี อน็ 2 รอยตอ อยูชดิ กนั ทาํ งานเปน ลอจกิ สว นแบบมอสใชฟลดเ อฟเฟคทรานซสิ เตอร (FET)
หรอื ทีเ่ รยี กวามอสเฟต มีรอยตอพเี อ็นเพยี งอยา งเดียว ไอซใี นทางดจิ ิตอลจําแนกได ดังรูปท่ี 5.2
I2L
รปู ที่ 5.2 การจาํ แนกไอซดี จิ ติ อล
5.3 ไอซตี ระกูลไบโพลาร (Bipolar Families)
ไอซีตระกลู นแ้ี บง ไดเปน 2 ชนดิ คอื แบบอ่ิมตวั และไมอ ม่ิ ตัว มีขอแตกตา งกันดังนี้
5.3.1 แบบอิ่มตัว เปนแบบท่ีมีช่ือเรียกเฉพาะวา ทรานซิสเตอร ทรานซิสเตอรลอจิก (Transistor –
Transistor Logic : TTL) เบอรที่มีการใชกันอยางแพรหลายเปนเบอรในตระกูล 7400 หรือ 5400
วงจรดิจติ อลและลอจกิ บทที่ 5 ตระกลู ไอซดี จิ ติ อลและลอจกิ 131
ใชทรานซิสเตอรท ั้งดา นอินพตุ และเอาตพุต ดงั รูปที่ 5.3 ไอซีตระกูลน้ีเปนไอซีขนาดเล็ก ยังแบง ออกเปน
ตระกลู ยอยๆ ตามความเร็วและความส้ินเปลืองพลงั งานดงั น้ี
5.3.1.1 ทีทีแอลมาตรฐาน (Standard TTL : Std ) เปนไอซีมาตรฐาน มีคุณสมบัติที่ดีและ
มีราคาถูก เปน ไอซีทกี่ ลาวถึงในหนงั สอื เลม นี้ ตัวอยา งไอซีท่ีเปนแนนดเกต 2 อนิ พตุ แสดงดังรปู ท่ี 5.3 (ก)
ประกอบดวยทรานซิสเตอรท่ีทํางานในชวงอ่ิมตัวหรือคัทออฟ เมื่ออิ่มตัวทรานซิสเตอรจะทําหนาท่ี
เหมอื นกับสวิตชป ด วงจร และเมือ่ คทั ออฟก็เหมอื นกับสวติ ชเปด วงจร
VCC = +5V
R1
Q4
Q1 Q2
Q3
(ก) วงจรภายใน (ข) ตารางความจรงิ
รปู ท่ี 5.3 วงจรภายในและตารางความจรงิ ของทีทแี อลแนนดเ กต
5.3.1.2 ทที ีแอลกําลังตํ่า (Low-Power TTL : L) เปนไอซีที่คลายกับทีทีแอลมาตรฐาน แตใช
พลังงานไฟฟา นอ ยกวาและทาํ งานชา กวา
5.3.1.3 ทีทแี อลกําลงั สงู (High-Speed TTL : H) เปนวงจรทีค่ ลา ยกับทีทแี อลมาตรฐาน แตค า
ความตานทานลดลง ทาํ ใหส ้นิ เปลืองพลงั งานไฟฟา เปนสองเทา เพอื่ เพม่ิ ความเรว็ ในการทํางาน
5.3.1.4 ทที แี อลชอคกี้ (Schottky TTL : S) คลายกบั ทที แี อลมาตรฐาน แตใชไดโอดชนดิ พิเศษ
ทเี่ รยี กวา ชอคกี้ โดยตอ อยูระหวา งขาเบสกบั ขาคอลเลกเตอรข องทรานซสิ เตอรแ ตล ะตวั เพื่อเพ่มิ ความเร็ว
แตส ิน้ เปลอื งพลังงานไฟฟานอ ยลง แบง ออกไดเปน
- Low-Power Schottky TTL : LS สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟานอยลง และความเร็วใน
การทํางานจะลดลง
- Advanced Schottky TTL : AS ความเร็วสูงสุด มีคา ประวิงเวลาของเกตเฉล่ีย 1ns
และสิ้นเปลอื งพลงั งานไฟฟานอ ยทีทแี อลมาตรฐาน ประมาณ 10%-40%
- Advanced Low-Power Schottky TTL : ALS ความเร็วในการทํางานจะมีคา
ประวิงเวลาของเกตเฉล่ยี 4ns และสนิ้ เปลอื งพลงั งานไฟฟานอยกวา ทีทแี อลมาตรฐาน ประมาณ 10 เทา
132 บทที่ 5 ตระกูลไอซดี ิจติ อลและลอจกิ วงจรดิจิตอลและลอจกิ
5.3.1.5 ทที ีแอลแบบ Fast : F คลา ยกับ Advanced Low-Power Schottky TTL แตทํางาน
ไดช า กวา การสน้ิ เปลืองพลังงานไฟฟา นอ ยกวาทีทแี อลมาตรฐาน
ดงั นั้นการทํางานของไอซีทที แี อลสามารถนํามาเปรยี บการทํางานในเร่ืองของกาํ ลังงานที่ใชและ
ความเร็วในการทาํ งานของแตล ะกลุมไดด ังนี้
กาํ ลงั ไฟฟา ท่ใี ช
สงู H S Std AS F LS ALS L ตํ่า
ความเรว็ ในการทาํ งาน
สงู AS F S H ALS LS Std L ชา
5.3.2 แบบไมอิ่มตัว ใชทรานซิสเตอรใหทํางานในสถานะอ่ิมตัวหรือคัทออฟ เพ่ือทําใหเกิดสภาวะ
ลอจิก 1 และ 0 ในการออกแบบใหทํางานในชว งทเี่ สน โคงลักษณะสมบตั เิ ปน เสน ตรง จะชวยจํากัดเวลา
ของการอม่ิ ตัวของทรานซสิ เตอร เพอ่ื ใหการเปลีย่ นแปลงระดบั ลอจกิ ท้งั สองเร็วขึ้น แบง ได 2 ชนดิ
5.3.2.1 อิมิตเตอรคัปเปลลอจิก (Emitter Couple Logic : ECL) จะทํางานไดเร็วกวาแบบ
ทที ีแอล
5.3.2.2 อินทริเกรตอินเจคชันลอจกิ (Integrated Injection Logic : I2C) จะสน้ิ เปลืองพลงั งาน
ไฟฟานอยกวา แบบไบโพลารแ ละมขี นาดเลก็ กวา เนอ่ื งจากการออกแบบใหม ขี นาดเลก็ จงึ มรี าคาสงู มาก
5.4 ไอซตี ระกูลมอส (Mos Families)
การออกแบบไอซที ม่ี คี วามหนาแนนมากๆ โดยใชไ บโพลาทรานซสิ เตอรท ําไดย าก มตี น ทนุ การผลติ สงู
จงึ ไดมีการนําเอามอสมาใชแทนโดยใชทรานซิสเตอรท่ีเปนแบบเฟต ในการออกแบบวงจรภายในทําให
สิน้ เปลืองพลังงานไฟฟานอยและสามารถทาํ ใหม ีขนาดเล็กมาก นยิ มนําไปผลิตเปน ไอซีท่ีมีความซบั ซอน
เชน ไมโครโปรเซสเซอร หนวยความจาํ และทนตอ สญั ญาณรบกวนไดดี (นอยสมารจนิ มีคาสงู ) แตมปี ญหา
ในเรือ่ งความเรว็ ของการสวติ ชท ี่ชา กวา แบบไอซีตระกูลทที แี อล และเร่อื งไฟฟา สถติ ซมี อสแบง เปน ตระกลู
ตา งๆ ไดดังนี้
5.4.1 พีแชนเนลมอส (P-Channel MOS : PMOS) เปนมอสแบบที่นํามาใชในวงจรดิจติ อลพมี อสได
จากการโดป พีแชนเนลมอส ทําใหมีทรานซิสเตอรหนาแนนมากถึง 11,000 - 15,000 ตอ 1 ชิป ใชเปน
ชปิ ของหนวยความจําท่ีไมต องการความเร็วสงู เชน ในเคร่อื งคดิ เลข เปนมอสที่มคี วามเร็วตา่ํ และตอ งการ
แหลง ตอ ไฟ 2 ชุด
5.4.2 เอ็นแชนเนลมอส (N-Channel MOS : NMOS) ทําจากเอ็นแชนเนลเฟต จะมีกระแสไหลผาน
สารกง่ึ ตวั นาํ ท่ีโดปดวยตวั N เร็วกวาท่ีโดปดว ย P NMOS เปนอุปกรณท ี่สามารถเพิม่ ความเร็วเปน 2 เทา
ใชเ ปน ไมโครโปรเซสเซอรแ ละไมโครคอมพวิ เตอร เปน ไอซีทม่ี ีขนาดใหญ
วงจรดจิ ิตอลและลอจกิ บทที่ 5 ตระกูลไอซีดิจติ อลและลอจิก 133
5.4.3 คอมพลีเมนทารีมอส (Complementary MOS : CMOS) ตระกูลซีมอสจะรวมทั้งพีและเอ็น
แชลเนลเขาดวยกันดังนั้นจึงมีขอดีทั้งดานความเร็วและความหนาแนนของรูปทรงไอซีซีมอสใชเปน
แหลง จา ยไฟของวงจรดจิ ติ อล เชน นาํ ไปใชใ นนาฬกิ าดิจติ อล เปนตน
เมอ่ื เปรียบเทียบไอซตี ระกูลไบโพลารก ับซมี อส จะเหน็ ไดวา แบบมอสจะตองระมดั ระวงั ในการจบั ตอ ง
เพราะไฟฟาสถิตอาจไปทาํ ลายมอสได ดงั นั้นจงึ ตอ งมีขอควรระวังในการใชดังน้ี
1. การเกบ็ หรอื เคลือ่ นยา ยซมี อสจะตองหอ หมุ ดวยแผนอลมู เิ นยี มฟอยด หรือใสภ าชนะพลาสตกิ
2. เมอ่ื ทาํ งานกับซีมอส เชน เครอื่ งมือหรือหวั แรง ที่ใชกับซมี อสตองตอลงกราวด
3. คนทที่ าํ งานกับซมี อสควรสวมเสอ้ื ผา ท่เี ปน ผา ฝา ย หลกี เลย่ี งการสวมเส้ือไนลอน
4. การใชซ มี อสติดต้ังในวงจรตอ งทาํ ทันที เมือ่ นาํ เอาซมี อสออกมาจากภาชนะปอ งกัน
5. พยายามอยา เอามอื ไปแตะถกู ที่ตวั ซมี อส
ไอซีแตล ะตระกูลออกแบบมาใหใชงานแตกตางกัน จึงมีขดี ความสามารถและขอจํากัด ผูออกแบบ
จะตอ งสามารถเลอื กใชง านไดตามคุณลกั ษณะทก่ี าํ หนดไว เชน ลอจกิ เกต ตระกูลที่ตอ งการใหเปลยี่ นจาก
ลอจกิ หนงึ่ ไปยังอกี ลอจิกหน่ึงอยา งรวดเรว็ ในคอมพิวเตอร จะตอ งคาํ นงึ ถงึ ความเรว็ บางตระกลู ส้นิ เปลือง
พลังงานไฟฟา นอย จึงถูกเลือกใหน ํามาใชในนาฬิกาดจิ ิตอลโดยใชแบตเตอรเ่ี ปนแหลงจายไฟฟา ที่ทําให
มอี ายกุ ารใชง านไดน าน
ซมี อสแบงเปน ตระกูลยอ ยตา งๆ ไดด งั นี้
1. แบบมาตรฐาน (Standard/Buffered CMOS : 40/40_B) เปนชนิดแรกที่มีการผลิตข้ึนมาใชงาน
ตอ มามกี ารปรบั ปรุงโดยการเพ่ิมสว นของวงจรกันชน (buffered) ใชก ําลงั ไฟฟา ในชวง nW-W ความเร็ว
ในการทํางานชา กวา ตระกูลทที แี อล มีชวงเวลาในการประวงิ ของเกตประมาณ 20-500ns
2. แบบพินเทียบเทาทีทีแอล (TTL Pin Compatible CMOS : 74C) เปนการปรับปรุงมาจากแบบ
มาตรฐานซีมอส ใหม ีเบอรเทยี บเทา กับตระกูลทที แี อลเพอ่ื ความสะดวกในการนําไปใชง าน เชน 740C00
จะเทียบเทากับ 7400 ของตระกลู ทีทีแอล
3. แบบความเร็วสูง (High-Speed CMOS : 74HC) จะมีความเร็วในการทํางานท่ีเพ่ิมมากข้ึน โดยมี
ความเร็วในการทํางานใกลเคียงกับตระกูลทีทีแอลแบบ LS และยังสามารถจายกระแสไดสูงกวาแบบ
74C__
4. แบบความเร็วสูงพินเทียบเทาทีทีแอล (High-Speed CMOS, TTL Compatible 74HCT)
มคี ณุ สมบัตทิ ่ัวไปเหมือนกบั 74HC_แตออกแบบมาใหมีคุณสมบัติแรงดันอนิ พตุ เหมอื นกับตระกูลทที แี อล
ดังนน้ั จงึ สามารถนาํ มาตอ ใชงานรวมกบั ตระกูลทีทีแอลชนิด LSไดโ ดยตรง
5. แบบลอจิกความเร็วสูง (Advanced CMOS Logic : ACL) ออกแบบมาใชแทน 74HC และ
74HCT_ตามลําดับ แบงเปน 2 ชนิดคือ Advanced CMOS (74AC) และ Advanced CMOS, TTL
(74ACT) มกี ารทํางานทีเ่ รว็ สงู กวา มคี า เวลาในการประวิงเวลาอยูในชว ง 1.5-10 ns
เมื่อตอ งการเปรียบเทียบคณุ ลกั ษณะของไอซตี ระกูลตา งๆ ดูไดจ ากคมู อื ของบรษิ ัทผผู ลิตไอซี