นิเทศศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก
(Communication in Tipitaka)
ดร.ไพฑูรย์ สวนมะไฟ
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ร้อยเอ็ด
พ.ศ.๒๕๖๐
นเิ ทศศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก
(Communication in Tipitaka)
ดร.ไพฑรู ย์ สวนมะไฟ
มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาลยั สงฆร์ อ้ ยเอด็
พ.ศ.๒๕๖๑
นเิ ทศศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก (Communication in Tipitaka)
ผู้แตง่ ดร.ไพฑูรย์ สวนมะไฟ
พิสจู น์อกั ษร ดร.วเิ ชียร แสนมี
ออกแบบปก ดร.ไพฑรู ย์ สวนมะไฟ
พมิ พค์ รงั้ ที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๑
จานวนพมิ พ์ ๕๐๐ เล่ม
ราคาเล่มละ ๒๕๐ บาท
ลขิ สทิ ธิ์
ลขิ สิทธ์ิของวทิ ยาลยั สงฆ์รอ้ ยเอด็ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
หา้ มการลอกเลยี นไมว่ ่าส่วนใด ๆ ของหนงั สือเล่มน้ี
นอกจากจะไดร้ ับอนุญาตเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรเทา่ นนั้
ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของหอสมดุ แหง่ ชาติ
ไพฑรู ย์ สวนมะไฟ
นเิ ทศศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก —ร้อยเอด็
วิทยาลัยสงฆ์รอ้ ยเอด็ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๖๑.
๑. นิเทศศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก ๑. ชอ่ื เรอ่ื ง
ISBN: 978-616-300-492-5
จดั พิมพโ์ ดย
วทิ ยาลัยสงฆร์ อ้ ยเอ็ด มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
๒๕๒ หมู่ ๔ ตาบลนิเวศน์ อาเภอธวชั บุรี จังหวัดรอ้ ยเอ็ด ๔๕๑๗๐
โทร. ๐๔๓-๕๖๙๕๑๗
พิมพท์ ่ี
หจก.โรงพมิ พค์ ลงั นานาวทิ ยา
๒๓๒/๑๙๙ หมู่ ๖ ถนนศรจี ันทร์ ตาบลในเมอื ง อาเภอเมืองขอนแกน่ จังหวัดขอนแกน่ ๔๐๐๐๐
โทร. ๐๔๓-๔๖๖๔๔๔,๐๘๑-๗๑๗๔๒๐๗
คำนยิ ม
มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย วิทยำลัยสงฆ์ร้อยเอ็ด ได้ระดมสรรพกำลังพัฒนำด้ำน
กำยภำพ จะครบสองทศวรรษในปี พ.ศ.๒๕๖๒ จนมีศักยภำพท่ีทำให้สำมำรถผลิตบัณฑิตระดับปริญญำตรี
ระดับปรญิ ญำโท และมบี ัณฑติ ผู้สำเรจ็ กำรศกึ ษำตำมหลกั สูตรเป็นจำนวนมำก
ในฐำนะผู้บริหำรของวิทยำลัยสงฆ์ร้อยเอ็ด ได้ตงั้ ใจไว้วำ่ จำกน้ีไปถงึ เวลำทต่ี ้องระดมสรรพกำลังพัฒนำ
งำนด้ำนวิชำกำรและให้บริกำรวิชำกำรเพื่อช้ีนำสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่ำงสันติสุข จึงได้จัดทำโครงกำรส่งเสริม
และพัฒนำผลงำนด้ำนวิชำกำร มีเอกสำรประกอบกำรสอน เอกสำรคำสอน ตำรำ หนังสือ งำนวิจัยและ
บทควำมทำงวิชำกำร ของคณำจำรยส์ ังกดั วทิ ยำลัยสงฆร์ อ้ ยเอ็ด เพือ่ รองรับสองทศวรรษวิทยำลัยสงฆ์ร้อยเอด็
หนังสือ นิเทศศำสตร์ในพระไตรปิฎก เป็นรำยวิชำในหมวดวิชำเฉพำะหลักสูตรพุทธศำสตรบัณฑิต
สำขำวชิ ำพระพุทธศำสนำ ซง่ึ ดร.ไพฑรู ย์ สวนมะไฟ อำจำรยป์ ระจำรำยวิชำ ได้รวบรวมจัดทำขึ้นเป็นหนังสือ
ใช้ประกอบกำรเรียนกำรสอน และเพื่อประกอบขอกำหนดตำแหนง่ ทำงวิชำกำร ในระดับผู้ช่วยศำสตรำจำรย์
สำขำวิชำพระพุทธศำสนำ
ขออนุโมทนำ ดร.ไพฑูรย์ สวนมะไฟ อำจำรย์ประจำสำขำวิชำพระพุทธศำสนำ วิทยำลัยสงฆ์ร้อยเอ็ด
ที่ได้พำกเพียรพยำยำมพัฒนำเน้ือหำสำระตำมกรอบแนวคิดเกี่ยวกับวิชำนเิ ทศศำสตร์ในพระไตรปิฎกจนแลว้
เสร็จ มำ ณ โอกำสน้ี และหวังเป็นอย่ำงย่ิงว่ำ หนังสือเล่มน้ี จักเกิดประโยชน์ อำนวยควำมสะดวกแก่นิสิต
พร้อมทง้ั ผู้สนใจได้ใช้ประกอบกำรศึกษำ ค้นควำ้ ตอ่ ไป
(พระเมธีธรรมำจำรย์,ดร.)
ผ้รู ักษำกำรในตำแหนง่ ผู้อำนวยกำรวิทยำลยั สงฆ์รอ้ ยเอด็
คำนำ
นิเทศศาสตร์ เป็ นศาสตร์แห่งการส่ือสารท่ีรวมถึงการส่ือสารทุกรูปแบบของมนุษย์ จดั ว่า
เป็นปัจจยั ที่สาคญั อกี ปัจจยั หน่ึงในชีวิตมนุษย์ นอกเหนือจากปัจจยั ๔ ที่จาเป็นเพอ่ื ความอยรู่ อดของ
มนุษย์ แมก้ ารส่ือสารจะไม่ได้เก่ียวขอ้ งโดยตรง แต่การท่ีจะไดม้ าซ่ึงปัจจยั ท้ัง ๔ ต้องอาศยั การ
ส่ือสารเป็ นเคร่ื องมือในการส่ือสารแน่นอน
การส่ือสารจึงเป็นพ้ืนฐานของการติดต่อของมนุษย์ และเป็ นเครื่องมือสาคญั ของกระบวน
การสงั คม ที่มีความสาคญั และมีประโยชน์ต่อสงั คมอยา่ งมาก หากเราสามารถพฒั นาบุคคลแต่ละ
คน ใหม้ ีความรู้มากข้ึน มีสุขภาพจิตที่ดีข้ึน มคี วามเป็นอยทู่ ี่ดีข้ึน กย็ อ่ มเป็นไปเพื่อรักษาสิ่งที่
ดีอย่แู ลว้ ใหด้ าเนินต่อไป ขจดั ส่ิงท่ีไม่ดีใหห้ มดส้ินไปจากสงั คม และเพื่อพฒั นาประเทศใหม้ ีความ
สมบรู ณ์ท้งั ทางดา้ นกายและจิตใจ
นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิ ฎก หรือนิเทศศาสตร์แนวพุทธ เป็ นการอธิบายหัวขอ้ ธรรมใน
เชิงปริยตั ิ ปฏบิ ตั ิ ปฏิเวธ โดยใชว้ ิธีการอธิบายให้ไดอ้ ยา่ งแจ่มแจง้ จูงใจ ชวนใหท้ าตาม และใหเ้ กิด
ความบนั เทิง เพราะพระธรรมของพระพุทธเจา้ หรือหลกั ธรรมในพระไตรปิ ฎกไม่ยากเกินไปจน
ถงึ กบั ตรองตามแลว้ กไ็ มเ่ ห็น และไมง่ ่ายเกินไปจนไม่ตอ้ งตรึกตรองขบคิดกเ็ ห็นได้ พุทธวิธีในการ
สอนหรือหลกั การส่ือสารพทุ ธธรรม จึงไม่อยทู่ ่ามกลางระหวา่ งความยากเกินไปกบั ความง่ายไป แต่
กล่าวโดยสรุปแลว้ พระพทุ ธองคท์ รงสอนใหใ้ ชป้ ัญญาพจิ ารณาดว้ ยตนเอง แลว้ ลงมอื พสิ ูจน์ดว้ ยการ
ปฏิบตั ิเอง
ในการเขียนหนงั สือนิเทศศาสตร์ในพระไตรปิ ฎก หากจะมขี อ้ บกพร่องตอ้ งขออภยั และหวงั
เป็นอยา่ งยง่ิ วา่ หนงั สือเล่มน้ี จะอานวยความสะดวกแก่นิสิต และผสู้ นใจอยา่ งดียงิ่ เพือ่ เป็นแนวทาง
ในการต่อยอดวิชาความรู้ในดา้ นน้ี ใหเ้ กิดองคค์ วามรู้ใหม่ และเพ่ือความยง่ั ยนื แห่งพระปริยตั ิธรรม
สืบต่อไป
ดร.ไพฑรู ย์ สวนมะไฟ
๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑
สารบัญ
บทที่ ๑ ความรู้เบอื้ งต้นเกย่ี วกบั นิเทศศาสตร์ หน้า
บทที่ ๒ ๑.๑ ความหมายของนิเทศศาสตร์
๑.๒ วตั ถุประสงคข์ องการส่ือสาร ๑
๑.๓ การส่ือสารตามหลกั นิเทศศาสตร์ ๑
๑.๔ กระบวนการสื่อสาร ๗
๑.๕ เครื่องมือในการเผยแผห่ รือการกระจายข่าวสาร ๙
๑.๖ ประสิทธิภาพของสารตามหลกั นิเทศศาสตร์ ๙
๑.๗ ประโยชนข์ องนิเทศศาสตร์ ๑๐
๑.๘ ประเภทของการสื่อสาร ๑๕
๑.๙ การจาแนกประเภทของสื่อโดยใชธ้ รรมชาติของส่ือเป็นเกณฑ์ ๑๗
๑.๑๐ คุณสมบตั ิของผสู้ ่งสารตามแนวทางนิเทศศาสตร์ ๑๗
๑.๑๑ แนวคิดทฤษฎีการสื่อสารตามหลกั นิเทศศาสตร์ ๑๘
๑.๑๒ ทศั นคติของผสู้ ่งสาร ๒๐
๑.๑๓ คุณสมบตั ิของผสู้ ่งสารท่ีพึงประสงคต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา ๒๑
๑.๑๔ องคป์ ระกอบของสาร ๒๓
๑.๑๕ หลกั การเลอื กเช่ือถือขอ้ มลู ข่าวสาร ๒๓
๑.๑๖ ทฤษฎีการโนม้ นา้ วใจ ๒๔
๒๕
สรุปทา้ ยบท ๒๖
กิจกรรมทา้ ยบท ๒๙
๓๑
รูปแบบและการวธิ ีสอนของพระพุทธเจ้า ๓๒
๒.๑ หลกั พทุ ธวิธีในการสอน ๓๒
๒.๒ พุทธวิธีในการการสอน(การสื่อสาร)ของพระพุทธเจา้ ๔๓
๒.๓ คุณสมบตั ิของผสู้ อน ๔๘
๒.๔ หลกั การสอนทว่ั ไป ๕๐
๒.๕ จุดมุง่ หมายในการสอนของพระพุทธเจา้ ๕๔
๒.๖ หลกั การท่ีเป็นอดุ มการณ์ในการสอน ๕๗
๒.๗ ลีลาการสอนของพระพทุ ธเจา้ ๖๐
บทที่ ๓ สารบัญ (ต่อ) ๖๐
บทที่ ๔ ๖๑
๒.๘ วิธีการสอนของพระพุทธเจา้ ๖๓
๒.๙ แผนการสอนของพระพุทธเจา้ ๖๙
๒.๑๐ กลวธิ ีและอุบายประกอบการสอน ๗๐
๒.๑๑ หลกั ในการตรัสสอนเวไนยสตั วข์ องพระพุทธเจา้ ๗๒
๒.๑๒ วิธีการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาของพระพุทธเจา้ ๗๙
๒.๑๓ หลกั การเผยแผพ่ ุทธธรรมของพระพุทธเจา้ ๘๑
๒.๑๔ ภาษาท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงใชส้ อน(ส่ือสาร) ๘๔
๒.๑๕ ภาษาที่พระพทุ ธเจา้ ทรงใชใ้ นการสื่อสารหรือในการเผยแผธ่ รรม ๘๕
๒.๑๖ การประชาสมั พนั ธเ์ พอ่ื เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ๘๗
๒.๑๗ เทคนิคการสอนของพระพทุ ธเจา้ ๙๐
๒.๑๘ การบริหารเวลาเพ่ือการเผยแผข่ องพระพุทธเจา้ ๙๒
๒.๑๙ วธิ ีสอนของพระพทุ ธเจา้ มหี ลากหลายอยา่ ง ๙๗
๒.๒๐ เทคนิควิธีในการถา่ ยทอดความรู้ ๑๐๐
๑๐๑
สรุปทา้ ยบท ๑๐๑
กิจกรรมทา้ ยบท ๑๐๑
รูปแบบและวธิ กี ารสอนของพระพุทธสาวกในพระไตรปิ ฎก ๑๐๕
๑๐๗
๓.๑ วธิ ีการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาของพระสาวก ๑๐๙
๓.๒ บทบาทการเผยแผข่ องพระสาวกในสมยั พทุ ธกาล ๑๑๐
๓.๓ วธิ ีสอนของพระอสั สชิเถระ ๑๑๓
๓.๔ วธิ ีสอนของพระสารีบุตรเถระ ๑๑๖
๓.๕ วิธีสอนของพระปุณณมนั ตานีบตุ รเถระ ๑๒๔
๓.๖ วิธีสอนของพระมหากจั จายนเถระ ๑๒๖
๓.๗ วิธีสอนของพระอรุ ุเวลกสั สปเถระ ๑๒๘
๓.๘ การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในสงั คมไทยปัจจุบนั ๑๒๙
๓.๙ หลกั และวิธีการเผยแผพ่ ทุ ธธรรม ๑๒๙
สรุปทา้ ยบท
กิจกรรมทา้ ยบท
รูปแบบและหลกั การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา
๔.๑ แนวคิดเกี่ยวกบั การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา
บทที่ ๕ สารบัญ (ต่อ) ๑๓๒
บทท่ี ๖ ๑๓๓
๔.๒ ความหมายของการเผยแผ่ ๑๓๖
๔.๓ บทบาทและหนา้ ที่ของพระสงฆผ์ เู้ ผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ๑๓๘
๔.๔ คุณสมบตั ิของผสู้ อนหรือนกั เผยแผท่ ่ีดี ๑๔๐
๔.๕ ภาษากบั การเผยแผ่ ๑๔๒
๔.๖ หลกั การประยกุ ตใ์ ชธ้ รรมเพื่อการเผยแผ่ ๑๔๔
๔.๗ วิธีที่พระพทุ ธเจา้ ทรงใชใ้ นการเผยแผ่ ๑๔๖
๔.๘ คุณธรรมของนกั เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ๑๔๗
๔.๙ คุณสมบตั ิของผสู้ อนหรือนกั เผยแผ่ ๑๔๘
๔.๑๐ วิธีการเสนอหลกั คาสอนท่ีเป็นแก่นแทข้ องพระพุทธศาสนา ๑๕๗
๔.๑๑ การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ๑๖๗
๔.๑๒ แนวคิดและเทคนิคการเผยแผธ่ รรม ๑๖๙
๑๗๐
สรุปทา้ ยบท ๑๗๐
กิจกรรมทา้ ยบท ๑๗๑
พุทธวธิ กี ารวเิ คราะห์ธรรมชาตขิ องผ้ฟู ัง ๑๗๑
๑๗๒
๕.๑ ธรรมชาติของผเู้ รียน(ผฟู้ ัง) ๑๗๓
๕.๒ คุณลกั ษณะพ้นื ฐานของผเู้ รียน ๑๗๓
๑๗๕
๕.๒.๑ แบ่งตามระดบั พ้ืนฐานสติปัญญา ๑๗๕
๕.๒.๒ แบ่งตามระดบั สติปัญญา ๑๗๘
๕.๒.๓ แบ่งตามระดบั การเรียนรู้ ๑๗๙
๕.๒.๔ แบ่งตามระดบั พฤติกรรม
๕.๒.๕ แบ่งตามระดบั สภาพแวดลอ้ ม ๑๗๙
สรุปทา้ ยบท ๑๘๖
กิจกรรมทา้ ยบท ๑๘๖
๑๘๘
วธิ กี ารสื่อสารธรรมในพระพุทธศาสนา ๑๙๑
๖.๑ เทศนา
๖.๒ โอวาท
๖.๓ ธรรมสากจั ฉาหรือสนทนา
๖.๔ ปาฐกถา
๖.๕ บรรยาย
บทที่ ๗ สารบัญ (ต่อ) ๑๙๓
บทที่ ๘ ๑๙๔
๖.๖ อภิปราย ๑๙๕
๖.๗ ปราศรัย ๒๐๒
๖.๘ สุนทรพจน์
๖.๙ สมั โมทนียกถา ๒๐๖
๒๐๗
สรุปทา้ ยบท ๒๐๗
กิจกรรมทา้ ยบท ๒๐๘
พทุ ธจริยธรรมกบั จรรยาบรรณในการสื่อสาร ๒๑๐
๒๑๒
๗.๑ หลกั พุทธวธิ ีการส่ือสาระธรรม ๒๑๔
๗.๒ ความหมายของจริยธรรม ๒๑๕
๗.๓ ความหมายของการสื่อสาระธรรม ๒๑๕
๗.๔ วตั ถุประสงคข์ องการส่ือสาระธรรม ๒๑๕
๗.๕ หลกั ของการสื่อสาระธรรม ๒๑๗
๗.๖ ธรรมะท่ีเหมาะสมกบั ยคุ ขอ้ มลู ข่าวสาร ๒๑๘
๗.๗ หลกั การพดู ตามแนวพทุ ธศาสนา ๒๒๔
๒๒๔
๗.๗.๑ การพดู ท่ีดีและไมด่ ี ๒๒๗
๗.๗.๒ บุคคลไม่ควรพดู ปดหรือพดู เทจ็ ๒๒๘
๗.๘ หลกั ธรรมของนกั ส่ือสารมวลชน ๒๒๙
๗.๙ หลกั ธรรมกบั หลกั การประชาสมั พนั ธ์ ๒๒๙
๗.๑๐ พทุ ธจริยธรรมสาหรับนกั เผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ๒๓๔
สรุปทา้ ยบท ๒๓๔
กิจกรรมทา้ ยบท ๒๓๕
๒๓๕
การพฒั นาบุคลกิ ภาพเกย่ี วกบั การส่ือสาร ๒๓๖
๘.๑ ความหมายของบคุ ลิกภาพ
๘.๒ ประเภทของบุคลกิ ภาพ
๘.๒.๑ บุคลิกภาพของมนุษยโ์ ดยทว่ั ไป
๘.๒.๒ บุคลกิ ภาพตามแนวของพระพุทธศาสนา
๘.๒.๓ ลกั ษณะของบุคลกิ ภาพ
๘.๒.๔ บุคลกิ ภาพของมนุษยแ์ บ่งตามความสมั พนั ธก์ บั โครงสร้างทาง
ร่างกาย
๘.๓ สารบัญ (ต่อ) ๒๓๗
๘.๔ ๒๓๘
องคป์ ระกอบของบคุ ลกิ ภาพ ๒๓๘
๘.๕ ปัจจยั ที่มอี ิทธิพลต่อบุคลิกภาพ ๒๓๙
๘.๖ ๘.๔.๑ ปัจจยั ทางพนั ธุกรรม ๒๔๑
๘.๔.๒ ปัจจยั ทางดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม ๒๔๙
บรรณานุกรม ความสาคญั ของบุคลกิ ภาพ ๒๕๐
ประวตั ผิ ้เู ขยี น บุคลิกภาพของพระพทุ ธองค์ ๒๕๒
สรุปทา้ ยบท ๒๕๓
กิจกรรมทา้ ยบท ๒๖๗
บทท่ี ๑
ความรู้เบือ้ งต้นเกี่ยวกับนิเทศศาสตร์
๑.๑ ความหมายของนิเทศศาสตร์
ตอ้ งยอมรับว่า การสื่อสารของผคู้ นในโลกใบน้ี เป็นการส่ือสารท่ีไร้พรมแดน คือ การรับ
ข่าวสาร เป็ นไปดว้ ยความรวดเร็ว ทนั ใจ และทนั สมยั ไม่ว่าจะเป็ นข่าวทางหนา้ หนงั สือพิมพ์ วิทยุ
และโทรทศั น์ และ จาก Web Site ต่าง ๆ เสนอข่าวความเคล่ือนไหวของเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน
บนโลกใบน้ีอย่างต่อเน่ือง ในการรับข่าวสารหรื อบริ โภคข่าวต่าง ๆ จงเป็ นไปด้วยการใช้
วิจารณญาณ ควรใชต้ รรกะในการพิจารณาแต่ละเร่ือง ในส่วนของผนู้ าเสนอข่าวสาร ต่อสาธารณะ
ชนหรือในนามส่ือสารมวลชนน้ัน จะตอ้ งมจี รรยาบรรณของวิชาชีพเป็นหลกั สาคญั ในการนาเสนอ
ข่าวแต่ละคร้ัง ในเร่ืองของการส่ือสารหรือนิเทศศาสตร์น้ี พระพทุ ธองค์ไดท้ รงสอนเร่ืองการสื่อสาร
(การพดู ) ซ่ึงจะกล่าวในดาดบั ต่อไป นิเทศศาสตร์๑ หมายถึง วิชาว่าดว้ ยการสื่อสารมวลชนและการ
ประชาสัมพนั ธ์ นิเทศศาสตร์๒ มาจากคาภาษาองั กฤษวา่ Communication Arts แปลว่า ศาสตร์แห่ง
การสื่อสาร ซ่ึงหมายรวมถึงการสื่อสารทุกรูปแบบของมนุษย์ พลตรีพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมื่น
นราธิปพงศ์ประพนั ธ์ ทรงให้ความหมาย ของนิเทศศาสตร์๓ เอาไวว้ ่า เป็ นวิชาการส่ือสารไปยงั
มวลชนโดยทางใดก็ตาม ไม่จาเพาะทางหนงั สือพิมพ์ เช่น การสื่อสารทางละครกเ็ ขา้ ไปอย่ใู นนิเทศ
ศาสตร์ การส่ือสารมวลชนทางอืน่ นอกจากทางหนงั สือพิมพ์ เช่น ทางวิทยุ ทางโทรทศั น์ กเ็ ขา้ อยใู่ น
นิเทศศาสตร์ การส่ือสาร ตรงกับภาษาองั กฤษว่า Communication มีใชใ้ นภาษาไทยหลายคา เช่น
การติดต่อส่ือสาร การส่ือความหมาย มีรากศพั ท์มาจากภาษาลาตินว่า communis ซ่ึงหมายถึง
common หรือ commonness ในภาษาองั กฤษ และ มีความหมายเป็ นภาษาไทยว่า “ความร่วมกนั
๑ ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน, (กรุงเทพมหานคร: อกั ษรเจริญ
ทศั น์,๒๕๒๕), หนา้ ๔๔๘.
๒ ปรมะ สตะเวทนิ , นิเทศศาสตร์กบั สังคม, (กรุงเทพมหานคร: คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๔), หนา้ ๑.
๓ บารุงสุข สีหอาไพ, หนังสือประจาปี ของแผนกอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพนั ธ์
พ.ศ. ๒๕๑๕, (พระนคร: โรงพิมพอ์ กั ษรสมยั , ๒๕๑๕), หนา้ ๕.
๒
หรือความคลา้ ยคลึงกัน” ถา้ แปลตามรูปศพั ท์เดิม การส่ือสารหมายถึง กิจกรรมที่มุ่งสร้างความ
ร่วมมือหรือคลา้ ยคลึงกนั ให้เกิดข้ึนระหว่างบุคคลที่เกี่ยวขอ้ ง ดงั น้ัน การสื่อสาร๔ ก็คือ การสร้าง
ความเหมือนกันหรื อความคล้ายคลึงกัน ในบางสิ่งบางอย่างกับผูอ้ ื่น การส่ือสาร ตรงกับ
ภาษาองั กฤษว่า “Communication” ตรงกบั ภาษาบาลีว่า“นิเทศ” ภาษาไทยใชค้ าว่า “การส่ือสาร”
เป็ นคานาม ซ่ึงมาจากสองคา คือ คาว่า ส่ือ และคาว่า สาร คาว่า “ส่ือ” ตามพจนานุกรมฉบบั เฉลิม
พระเกียรติ พ.ศ. ๒๕๓๐ ใหค้ วามหมายว่า “ก. (กริยา) ทาการติดต่อให้ถงึ กนั ชกั นาใหร้ ู้จกั กนั , น.
(นาม) ส่ิงที่ทาการติดต่อให้ถึงกนั หรือรู้จกั กนั ” และให้ความหมาย คาว่า “สื่อสาร” ว่า “นาหนงั สือ
หรือข้อความของอีกฝ่ ายหน่ึงส่งให้อีกฝ่ ายหน่ึง”๕ การส่ือสาร คือ การมีความเขา้ ใจร่วมกันต่อ
เคร่ืองหมาย ที่แสดงข่าวสาร๖ การส่ือสารเกิดจากภาษาแห่งภาพจินตนาการ ที่จาไดจ้ ากสัญญา
(Concept) แลว้ แปลงมาเป็ นภาษา ถอ้ ยคา ภาษาก็จะโยงไปหาประสบการณ์ท่ีเคยพบเคยเห็น (ภาพ
ภายใน) แลว้ ก็เกิดลกั ษณะการสื่อสารกนั ข้ึนมา เพ่อื บอกจุดประสงคห์ น่ึง บอกความรู้สึก ความคิด
ความเขา้ ใจ๗ การสื่อสาร คือ การส่ือที่ทาให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ สนั ติสุขหมายความว่า การ
สื่อสารเพ่ือการดับทุกข์ของตนได้ ดับทุกข์ของสังคมได้ ดับทุกข์ของโลกได้๘ การสื่อสารมี
ความหมายกวา้ งครอบคลุมถึงกระบวนการทุกอย่างท่ีจิตใจของคนๆหน่ึง อาจมีผลต่อจิตใจของคน
อีกคนหน่ึง การสื่อสารจึงไม่หมายความแต่เพียงการเขียนและการพูดเท่าน้ัน หากแต่ยงั รวมไปถึง
ดนตรี ภาพ การแสดง บลั เลด์ และพฤติกรรมทุกพฤติกรรมของมนุษยอ์ กี ดว้ ย๙ การส่ือสารหมายถึง
๔ มณฑล ใบบวั , หลักและทฤษฎีการสื่อสาร, กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พโ์ อเดียนสโตร์, ๒๕๓๖.หนา้ ๑.
๕ พจนานุกรม ฉบบั เฉลมิ พระเกยี รติ พ.ศ. ๒๕๓๐, พิมพค์ ร้ังที่ ๓, กรุงเทพมหานคร :
วฒั นาพานิช, ๒๕๓๑, หนา้ ๕๓๙.
๖ Wilbur Schramm and D. F. Roberts (eds.), How Communication Works,
in the Process and Effect of Mass Communication, Urbana III : University of Illinois, 1957, p. 13.
๗ พระธรรมปิ ฎก (ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต), การสื่อสารเพ่ือเข้าถึงสัจธรรม, กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา,
๒๕๓๙, หนา้ ๒.
๘ พุทธทาสภกิ ข,ุ ฟ้ าสางระหว่าง ๕๐ ปี ท่มี สี วนโมกข์, กรุงเทพมหานคร: การพมิ พพ์ ระนคร, ๒๕๒๖,
หนา้ ๑๓.
๙ Warren W. Weaver and Claude E. Shannon, The Mathermatical theory of Communication, Urbana,
lllinois : The University of lllinois, Press, 1949, p. 95.
๓
การถ่ายทอดข่าวสารจากท่ีหน่ึงไปยงั อีกท่ีหน่ึง๑๐ การส่ือสาร คือการมีความเขา้ ใจร่วมกันต่อ
เครื่องหมายที่แสดงข่าว๑๑ การส่ือสาร หมายถึง กระบวนการสื่อสาร ไปยงั คนอ่ืนเพ่ือให้เกิดความ
เขา้ ใจ เขา้ ถงึ ความจริง และเพ่อื ใหเ้ กิดความสมั พนั ธใ์ นสงั คม และธรรมชาติ
นิเทศศาสตร์ หมายถึง วชิ าที่ว่าดว้ ยการสื่อสารมวลชนและการประชาสมั พนั ธ์ คาน้ีเทียบ
ความกบั ภาษาองั กฤษไดว้ ่า Communication Arts นิเทศศาสตร์ เป็นวชิ าที่มีความสมั พนั ธก์ บั ศาสตร์
สาขาต่าง ๆ มากมาย จึงเป็ นท่ีสนใจของนักศึกษามาทุกยคุ ทุกสมยั การศึกษาเพื่อทาความเขา้ ใจ
เก่ียวกับหลกั นิเทศศาสตร์ จะเป็ นประโยชน์อยา่ งย่ิงต่อการนาไปประยกุ ต์ใชก้ บั หลกั ธรรมนิเทศ
ในพระพุทธศาสนา เพราะเป็ นศาสตร์สมยั ใหม่ที่มีพฒั นาการมาจากการส่ือสาร (Communication)
ซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั พฤติกรรมของมนุษย์ในการแลกเปลย่ี นเรียนรู้ และแจกจ่ายขอ้ มลู ข่าวสารซ่ึงกนั และ
กนั โดยอาศยั ความตอ้ งการ ความอยากรู้อยากเห็น และความพึงพอใจของมนุษยเ์ ป็นหลกั
นิเทศศาสตร์หรือ การส่ือสาร คือ กระบวนการทาความเขา้ ใจซ่ึงกันและกัน การส่ง
ขอ้ ความ ข่าวสารจากฝ่ ายหน่ึงไปยงั อีกฝ่ ายหน่ึง ทาให้เขา้ ใจตรงกัน ตรงกบั ภาษาอังกฤษว่า
Communication หมายถึง กิจกรรมหรือกระบวนการใหข้ อ้ มลู ข่าวสารแก่ผอู้ ่ืนหรือแก่ส่ิงมีชีวติ ดว้ ย
การใชส้ ัญญาณ เช่น การพูด กริยาท่าทาง หรือสัญญาณวิทยุ เป็ นตน้ กระบวนการสื่อสาร เป็ น
ประโยชน์โดยตรงต่อการพฒั นาทักษะการเรียนรู้ของมนุษย์ ช่วยเสริมสร้างพฒั นาการทางดา้ น
สติปัญญาใหก้ วา้ งขวางย่งิ ข้ึน ส่งเสริมความเขา้ ใจท่ีถกู ตอ้ งต่อกนั และช่วยลดปัญหาความขดั แยง้
ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในสงั คมมนุษย์ ดว้ ยเหตุน้ีหลกั นิเทศศาสตร์จึงเกี่ยวขอ้ งโดยตรงกบั การส่ือสาร ท้งั น้ี
เพราะกระบวนการสื่อสารมีขอบเขตกวา้ งขวางมาก มหี ลายระดบั ซบั ซอ้ น มที ้งั ที่ใชค้ าพดู และไมใ่ ช้
คาพูด และแทรกซึมอยู่เกือบทุกส่วนของแบบแผนการดารงชีวิตของมนุษย์ การสื่อสารจึงมี
ความสาคญั ต่อทุกคน เพราะทาให้เกิดความเขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั ทาใหม้ นุษย์ อยรู่ ่วมกนั ในสงั คม
๑๐ George A. Miller, Language and Communication, New York: Mc Craw- Hill, 1951, p. 6.
๑๑ Wilbur Schramm, The Process and Effects of Mass Communication, Wilbur Schramm and Donald
F. R oberts eds. Urbana, lllinois : University of lllinois Press, 1974, p. 13.
๔
อย่างมีความสุข กระบวนการส่ือสารที่เกิดข้ึนจึงมีผลมาจากความต้องการท่ีจะถ่ายทอดอารมณ์
ความรู้สึกนึกคิด ทศั นคติของมนุษย์ หรือมจี ุดมงุ่ หมายอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ดงั น้ี
๑) ใหค้ วามรู้และขอ้ มลู ข่าวสาร
๒) ใหค้ วามสุขความเพลิดเพลินและความสบายใจ
๓) ใหเ้ กิดความคิดริเริ่มสร้างสรรคส์ ่ิงใหม่ๆ และ
๔) ใหก้ ารติดต่อประสานงานและสร้างสรรคง์ านร่วมกนั
การส่ือสารที่สัมฤทธ์ิผล จึงตอ้ งดาเนินไปพร้อมกบั องค์ประกอบของการสื่อสาร ไดแ้ ก่ ผู้
ส่งสาร สาร ส่ือ และผรู้ ับสาร ภายใต้ “สาร” คือ เน้ือหา ซ่ึงสื่อออกมาจากความคิดท่ีกลน่ั กรองเป็ น
เร่ืองราว ความคิดน้นั จะไม่สามารถถ่ายทอดไดถ้ า้ ไม่มี ซ่ึงใชภ้ าษาเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงองค์
ความรู้ระหว่างผสู้ ่งสารและผรู้ ับสาร ภาษาที่ใชใ้ นการส่ือสารจึงเป็ นสื่อที่จะทาใหเ้ น้ือหาเกาะเกี่ยว
ไปยงั ผรู้ ับสารใหเ้ กิดความเขา้ ใจหรืออาจกลา่ วไดว้ า่ ภาษา คือ ตวั สารนน่ั เอง
เมื่อพิจารณาการสื่อสารตามหลกั พระพุทธศาสนาแลว้ ต้องมองถึงพระพุทธศาสนาว่า
เกิดข้ึน ในโลกมาแลว้ กวา่ ๒,๕๐๐ ปี มีอายยุ นื ยาวมาจนถึงปัจจุบนั น้ี ยอ่ มเนื่องมาจากปัจจยั ที่สาคญั
อย่างหน่ึง คือ ระบบปฏิสมั พนั ธ์ที่เกิดข้ึนจากการขบั เคล่ือน “ธรรมจกั ร” หรือวงลอ้ แห่งธรรมของ
พระพทุ ธเจา้ ใหห้ มนุ ไปอยา่ งต่อเน่ืองตลอดระยะเวลา ท่ีผา่ นมานนั่ เอง ท้งั น้ีพร้อมกบั นิเทศศาสตร์ท่ี
ขบั เคล่อื นไปทุกยคุ ทุกสมยั จึงทาให้ “สารธรรม” หรือพระธรรมคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ซ่ึงเป็ น
องคป์ ระกอบหน่ึงของการส่ือสารท่ีเกิดข้ึนในกลมุ่ ของพุทธศาสนิกชน ไดร้ ับการขบั เคลอ่ื นไปอยา่ ง
ต่อเนื่องจากพุทธศาสนิกชนกลุ่มหน่ึงไปสู่พทุ ธศาสนิกชนอีกกล่มุ หน่ึง โดยคานึงถึงประโยชน์สุข
ของมหาชนเป็ นที่ต้งั ในเชิงสงั คมวิทยากล่าวกนั ว่ามนุษยเ์ ป็ นสตั วส์ งั คม (Social Being) ที่นิยมอยู่
กนั เป็ นกลุ่ม เป็ นคณะ โดยรวมตวั กนั เป็ นครอบครัว ชุมชน เผ่าพนั ธุ์ มกี ารปฏิสมั พนั ธเ์ พื่อดาเนิน
กิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน และขยายขอบเขตออกไปเป็ นความสัมพันธ์กันในระดับสังคมและ
ประเทศชาติ การปฏิสัมพันธ์ดงั กล่าวจะต้องมีวิธีการถ่ายทอดความรู้ ความคิด คาแนะนา ข้อ
ปรึกษาหารือ และขอ้ มลู ข่าวสารอนื่ ๆ ท้งั น้ีอาจจะมจี ุดมุง่ หมายแตกต่างกนั ไป เช่น พฒั นาสติปัญญา
ปรับเจตคติ เรียนรู้รูปแบบการดาเนินชีวิต หรือถ่ายทอดวฒั นธรรม ซ่ึงวิธีการน้ีเรียกว่า “การ
๕
ส่ือสาร” (Communication)
การสื่อสารของมนุษยม์ ีข้ึนพร้อม ๆ กบั ชีวิตมนุษย์ การติดต่อส่ือสารซ่ึงกนั และกนั เกิดข้ึน
และไดร้ ับการพฒั นามาตลอดเวลา จากสมยั เริ่มแรกจนกกระทงั่ ปัจจุบนั การสื่อสารในสมยั โบราณ
หรือ ในสมยั ปัจจุบนั มิไดม้ ีความแตกต่างกนั ในดา้ นจุดมุ่งหมายเลย กล่าวคือคนเราสื่อสารกนั เพื่อ
สร้างความเขา้ ใจให้เกิดข้ึนระหว่างกนั การส่ือสารเป็ นการสื่อความคิดของคนหน่ึงหรือกลุ่มหน่ึง
เพอื่ จะใหค้ นอกี คนหน่ึงหรือกลมุ่ หน่ึงรู้ว่า เขาตอ้ งการบอกอะไร วธิ ีในการส่ือสารไดร้ ับการพฒั นา
มาตลอด และมีความยงุ่ ยากซบั ซอ้ นมากข้ึน โดยเฉพาะในสงั คมปัจจุบนั ซ่ึงไดม้ กี ารสร้างเคร่ืองมือ
อุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย เพอื่ นามาเป็ นส่ิงท่ีจะช่วยทาหนา้ ที่ในการสื่อสาร๑๒ การส่ือสารจะเกิดข้ึน
ไดก้ ต็ ่อเม่ือผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารมีความเหมอื นกนั หรือร่วมกนั ชแรมม์ (Schramm) กล่าวว่า เมือ่ เรา
ทาการส่ือสารกห็ มายความว่า เรากาลงั พยายามท่ีจะสร้าง โรเจอร์ (Rojers)เรียกลกั ษณะคลา้ ยคลึง
กนั ของผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารว่า Homophily ลกั ษณะความคลา้ ยคลึงกนั ของผสู้ ่งสารและผรู้ ับสาร
ไดแ้ ก่ความเชื่อ ค่านิยม การศึกษา สถานะทางสงั คม ทศั นคติ เป็นตน้ ชแรมม์ (Schramm) เรียกปัจจยั
เหลา่ น้ีว่า ประสบการณ์ (Experience) ความร่วมมือกนั ที่จะทาให้การสื่อสารเกิดข้ึนไดด้ งั กล่าวคือ
ความร่วมกนั ในความหมาย (Common Meaning)“ความร่วมกนั ” (Commonness) กบั คนอ่นื ๑๓ เบอร์
โล (Berlo) กล่าวว่าผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารจะต้องมีความคลา้ ยคลึงกนั หากท้ังสองฝ่ ายไม่มีความ
คลา้ ยคลงึ กนั การส่ือสารก็เกิดข้ึนไมไ่ ด๑้ ๔ ยง่ิ สงั คมมคี วามสลบั ซบั ซอ้ นเพยี งใด ประกอบกบั ดว้ ยคน
จานวนมากเท่าใด การส่ือสารก็ย่งิ มีความจาเป็ นมากข้ึนเท่าน้ัน การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม และสังคมที่นามาซ่ึงความสับสน ก่อให้เกิดความไม่เขา้ ใจและความไม่แน่ใจแก่
สมาชิกของสงั คม ยอ่ มตอ้ งอาศยั การส่ือสาร๑๕ เป็นเคร่ืองมือเพอื่ แกป้ ัญหาดงั กล่าว แต่กต็ อ้ งยอมรับ
ว่าการส่ือสารของมนุษยน์ ้ันเป็ นกระบวนการ ท่ีมีพลวตั หรือการเคลื่อนไหว (dynamic) คือมี
๑๒ มณฑล ใบบวั , หลกั และทฤษฎีการส่ือสาร, หนา้ ๑
๑๓ Wilbur schramm ed, The Process and Effects of Mass Communication, (Urbana, lll. : University
of lllinois Press, 1960), p. 3.
๑๔ Schramm, The Process and Effects of Mass Communication, (Urbana, lll. : University of lllinois
Press, 1960), p. 6
๑๕ ปรมะ สตะเวทิน, หลกั นิเทศศาสตร์, พมิ พค์ ร้ังท่ี ๙, (กรุงเทพมหานคร: คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐), หนา้ ๑.
๖
ความสมั พนั ธท์ ่ีมีผลกระทบ (effect) ต่อกนั และกนั ระหว่างองคป์ ระกอบต่าง ๆของการสื่อสาร การ
ส่ือสารของมนุษยจ์ ึงมีความต่อเนื่อง (continuous) มีการเปลี่ยนแปลง (changing)๑๖ และตอ้ งอาศยั
การปรับตวั อยตู่ ลอดเวลา (adative)
การส่ือสารทาใหม้ นุษยเ์ ขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั เป็นเคร่ืองมอื สาคญั ในการทาใหม้ นุษยร์ วมตวั
กนั เขา้ เป็ นสังคม มีผลต่อการดารงอยแู่ ละการเปล่ียนแปลงทางสังคม โดยการสร้างกฎเกณฑ์เพ่ือ
ปรับทัศนคติ ตลอดจนพฤติกรรมของสมาชิกในสังคมให้อย่รู ่วมกนั ไดอ้ ย่างสงบสุข เป็ นไปใน
ทิศทางที่พึงประสงค์ ตลอดเวลาท่ีเราต่ืนข้ึน เราทาการสื่อสารเป็นกิจวตั รประจาวนั ไมใ่ ช่ในฐานะผู้
ส่งสาร ก็ในฐานะผรู้ ับสาร ท้งั ในดา้ นการทางาน การดาเนินธุรกิจ การคบหาสมาคม การคมนาคม
และการขนส่ง ท้ังหมดล้วนต้องอาศัยการสื่อสารเป็ นเครื่ องมือที่สาคัญท้ังน้ัน เช่น ใช้การ
ประชาสมั พนั ธ์ เพอื่ สร้างเสริมความเขา้ ใจ อนั ถกู ตอ้ งต่อกนั ใชใ้ นการโฆษณา เพื่อเผยแพร่สินคา้
และชักจูงใจให้ผูบ้ ริ โภค ตลอดท้ังใช้การส่ือสาร ในรูปแบบต่าง ๆ ในการบริหารงานและ
ปฏบิ ตั ิงานใหส้ าเร็จลลุ ่วงตามเป้ าหมายขององคก์ ร การปกครอง รัฐบาลหรือผปู้ กครองตอ้ งเผยแพร่
ข่าวสารใหป้ ระชาชนทราบ เพื่อให้เกิดความเขา้ ใจ และไดร้ ับความร่วมมือจากประชาชน รวมท้ัง
การตรวจสอบประชามติ เพอื่ ใหท้ ราบความคิดเห็นของประชาชน และนาไปสู่การกาหนดนโยบาย
บริหารงาน สงั คมโลก ยคุ ปัจจุบนั ถกู เรียกขานกนั ว่า เป็นโลกแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน ดว้ ยความ
จาเป็ นท่ีแต่ละประเทศตอ้ งแสวงหาความสนับสนุนทางดา้ นการเมือง ท้งั จากประชาชนและความ
ร่วมมือจากต่างชาติ ดว้ ยเหตุน้ี การส่ือสารจึงเป็นเคร่ืองมือสาคญั ที่สุดในการประสานความสมั พนั ธ์
และการสนบั สนุนในระดบั ประเทศ
สรุปความว่า นิเทศศาสตร์ หรือการส่ือสารเป็ นสิ่งที่มีความจาเป็ นต่อมนุษย์ ท้ังในดา้ น
ความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคล และสงั คมต่อสงั คม ตลอดถึงเร่ืองละเอียดลึกซ้ึงไปถึงข้ัน
ศาสนาและปรัชญาอีกดว้ ย ผปู้ ฏิบตั ิงานดา้ นการเผยแผจ่ ึงตอ้ งเป็ นผมู้ คี วามรู้รอบดา้ น มีท้งั หลกั การ
และวิธีปฏิบตั ิท่ีสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของประชาชนกลุ่มเป้ าหมาย รู้จักกระบวนการคิด
วิเคราะห์ และบูรณาการความรู้พ้ืนฐานทางพระพุทธศาสนาใหเ้ ขา้ กบั ศาสตร์สมยั ใหม่ ศึกษาพุทธ
๑๖ พชั นี เชยจรรยา และคณะ, แนวคิดหลกั นิเทศศาสตร์, พมิ พค์ ร้ังที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร:
บริษทั เยลโล การพิมพ,์ ๒๕๔๑), หนา้ ๗
๗
วิธีการส่ือสาร ซ่ึงพระพุทธเจา้ ทรงปฏิบตั ิมาต้งั แต่เริ่มงานประกาศพระศาสนา หรือศึกษาข้นั ตอน
ต่าง ๆ ของการส่ือสารตามวิธีการของพระพุทธเจา้ จากน้นั จึงค่อยนาไปปรับประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะ
กบั ยุคสมยั ศึกษากรอบแนวคิดพ้ืนฐานของหลกั ธรรมนิเทศและนิเทศศาสตร์ เพื่อนาไปใชเ้ ป็ น
เครื่องมือในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะหลกั การส่ือสารยอ่ มดาเนินจากจุดเริ่มต้นไปยงั
จุดหมายได้ ก็ดว้ ยการกาหนดกรอบการสื่อสารไวเ้ ป็ นแม่บทเพ่ือเป็ นประโยชน์ต่อการกาหนด
ทิศทางของการสื่อสารน้นั ๆ
๑.๒ วตั ถุประสงค์ของการส่ือสาร
เมื่อพิจารณาหน้าที่ของการสื่อสารแลว้ พอที่จะสรุปไดว้ ่า วตั ถุประสงค์หลกั ของการ
ส่ือสารน้นั มี ๓ ประการ เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจง่าย จะอธิบายตามรูปแบบ KAP Model ดงั น้ี
K = Knowledge คือ การส่ือสารเพื่อใหผ้ รู้ ับสารเกิดความรู้
A = Attitude คือ การสื่อสารเพอื่ ใหม้ ีทศั นคติที่ตอ้ งการในเร่ืองท่ีประชาสมั พนั ธ์
P = Practice คือ การส่ือสารใหน้ าไปปฏิบตั ิ๑๗
การส่ือสารเป็นกิจกรรมที่มีความต้งั ใจหรือมงุ่ ก่อใหเ้ กิดผลในลกั ษณะใดลกั ษณะหน่ึงท้งั ใน
ตวั ของผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารเอง โดยทั่วไปการสื่อสารเป็ นการกระทาท่ีพยายามก่อใหเ้ กิดความ
ร่วมมอื และความคลา้ ยคลึงกนั (Commonness) ของท้งั สองฝ่ าย คือ ท้งั ผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารซ่ึงอาจ
เป็นความพยายามท่ีจะมีอิทธิพลเหนือหรือเอาชนะจิตใจหรือชกั จูงโน้มนา้ วใจบุคคลอีกฝ่ ายหน่ึงท่ี
กาลงั ส่ือสารดว้ ย
เม่ือพิจารณาถึงวตั ถุประสงค์ของการส่ือสารแลว้ เราอาจพิจารณาถึงความต้ังใจในการ
สื่อสารของผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารในขณะน้ันวา่ ผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารมีความต้งั ใจอยา่ งไร ซ่ึงเราอาจ
แบ่งประเภทของวตั ถุประสงคข์ องการสื่อสารได้ ดงั น้ี
๑) วตั ถุประสงค์ของผ้สู ่งสาร
(๑) เพ่อื แจง้ ใหท้ ราบ (TO INFORM OR TO TELL)
(๒) เพอ่ื ใหก้ ารศึกษา (TO TEACH OR TO EDUCATE)
(๓) เพอื่ ชกั จูง (TO PROPOSE OR TO PERSUADE)
(๔) เพอ่ื สร้างความพอใจ (TO PLEASE OR TO ENTERTAIN)
๑๗ สมาน งามสนิท, องค์ประกอบของการส่ือสารทพ่ี งึ ประสงค์ตามแนวพทุ ธะ, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพม์ หาวทิ ยาลยั สยาม, ๒๕๓๒), หนา้ ๙.
๘
๒) วตั ถุประสงค์ของผู้รับสาร
(๑) เพอื่ ทราบ (TO KNOW OR TO UDERSTAND )
(๒) เพือ่ เรียนรู้ (TO LEARN)
(๓) เพอ่ื ตดั สินใจ (TO DECIDE)
(๔) เพอ่ื สนุกสนาน (TO ENJOY)๑๘
ตารางที่ ๑ แสดงวตั ถปุ ระสงค์ในการส่ือสาร วตั ถุประสงค์ของผ้รู ับสาร
วตั ถุประสงค์ของผ้สู ่งสาร
เพ่อื ทราบ (to know or to understand)
เพือ่ แจง้ ใหท้ ราบ (to inform or to tell) เพือ่ เรียนรู้(to learn)
เพื่อใหก้ ารศึกษา (to teach or to educate) เพื่อตดั สินใจ (to decide)
เพื่อชกั จูง (to propose or to persuade) เพื่อสนุกสนาน (to enjoy)
เพื่อสร้างความพอใจ หรือใหค้ วามบนั เทิง
(to please or to entertain)
จากตารางท่ี ๑ แสดงวตั ถปุ ระสงคใ์ นการสื่อสาร ซ่ึงในการสื่อสารคร้ังหน่ึงน้นั ผสู้ ่งสารและ
ผรู้ ับสารอาจมีวตั ถุประสงคด์ งั กล่าวเพยี งขอ้ ใดขอ้ หน่ึงหรือหลายขอ้ โดยวตั ถุประสงคข์ อ้ แรกผสู้ ่ง
สารตอ้ งการแจง้ ขอ้ มลู ข่าวสารบางอย่างใหผ้ รู้ ับสารไดท้ ราบขอ้ ที่สองผสู้ ่งสารตอ้ งการให้ผรู้ ับสาร
ไดม้ ีความรู้ในขอ้ มลู ข่าวสารที่ส่งออกไป ขอ้ ท่ีสามผสู้ ่งสารตอ้ งการเปล่ยี นแปลงความรู้สึกนึกคิด
ทัศนคติ หรือพฤติกรรมของผรู้ ับสารวตั ถุประสงค์ขอ้ น้ีผสู้ ่งสารอาจต้องใช้วิธีการ และความ
พยายามในการสื่อสารที่หลากหลายเพื่อใหก้ ารสื่อสารคร้ังน้นั บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ ส่วนขอ้ สุดทา้ ย ผู้
ส่งสารตอ้ งการใหผ้ รู้ ับสารเกิดความสนุกสนานร่ืนเริง มีอารมณ์สดช่ืนแจ่มใส๑๙
๑๘ กิติมา สุรสนธิ, ความรู้ทางการสื่อสาร, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ,
๒๕๔๗), หนา้ ๒๒.
๑๙ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๒๓.
๙
๑.๓ การส่ือสารตามหลกั นิเทศศาสตร์
นิเทศศาสตร์ คือ วิชาท่ีสื่อสารไปยงั มวลชนทุกทาง เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์
วิทยกุ ระจายเสียง และการละคร เป็ นตน้ การส่ือสารสื่อสารน้นั จดั ไดว้ ่าเป็นปัจจยั ที่สาคญั อกี ปัจจยั
หน่ึงในชีวิตประจาวนั ของมนุษย์ นอกเหนือจากปัจจยั ๔ ที่เป็ นความจาเป็ นเพ่ือความอยรู่ อดของ
มนุษย์ อนั ไดแ้ ก่ อาหาร ที่อย่อู าศยั เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคแมก้ ารสื่อสารจะไม่ไดม้ ีความ
เกี่ยวขอ้ งโดยตรงกบั ความเป็นความตายของมนุษยเ์ หมือนกบั ปัจจยั ๔ ขา้ งตน้ แต่การที่จะใหไ้ ดม้ า
ซ่ึงปัจจยั ๔ ยอ่ มตอ้ งอาศยั การสื่อสารเป็นเครื่องอยา่ งแน่นอนการสื่อสารเป็นพ้นื ฐานของการติดต่อ
ของมนุษย์ และเป็นเคร่ืองท่ีสาคญั ของกระบวนการทางสงั คมยง่ิ สังคมมีความสลบั ซบั ซอ้ นมากข้ึน
เพียงไร และจะประกอบดว้ ยคนจานวนมากข้ึนเท่าใดการสื่อสารก็ยิง่ มีความสาคญั มากข้ึนเท่าน้นั
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ อตุ สาหกรรม และสังคมท่ีนามาซ่ึงความสบั สน ก่อให้เกิดความไม่
เขา้ ใจและความไม่แน่นอนแก่สมาชิกของสงั คม
ดงั น้ัน จึงตอ้ งการการส่ือสารเพื่อแกไ้ ขปัญหาดงั กล่าว การส่ือสารจึงมีลาดบั ความสาคญั ที่
สามารถแบ่งแยกออกได้ ๖ ประการดว้ ยกนั ๒๐ ดงั น้ี
๑. ความสาคญั ต่อชีวิตประจาวนั
๒. ความสาคญั ต่อความเป็นสงั คม
๓. ความสาคญั ต่อธุรกิจและอตุ สาหกรรม
๔. ความสาคญั ต่อการเมอื งและการปกครอง
๕. ความสาคญั ต่อการตกลงกนั ในระหวา่ งประเทศทวั่ โลก
๖.ความสาคญั ต่อการอนุรักษแ์ ละสืบทอดวฒั นธรรมของมนุษย์
๑.๔ กระบวนการส่ือสาร
กระบวนการส่ือสาร หมายถงึ ปรากฏการณ์อนั ใดอนั หน่ึงที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอยา่ ง
ต่อเนื่องตลอดเวลา การสื่อสารของมนุษย์ เป็นกระบวนการทางสงั คม เช่นเดียวกบั ปรากฏการณ์อ่ืน
ๆ จึงเป็ นลกั ษณะที่เป็ นกระบวนการในการสื่อสารอย่เู สมอ เพราะเม่ือสื่อสารกนั จึงเกิดรูปการ
เคลื่อนไหวของอวยั วะ ปาก มือ สายตา ฯลฯ เป็ นการถ่ายเทส่ิงหน่ึงไปสู่อีกสิ่งหน่ึงจากถ่ายทอด
ความคิดเห็น และสมั พนั ธก์ บั ส่ิงต่าง ๆ รอบตวั มากมาย กระบวนการส่ือสารมีลกั ษณะสาคญั ดงั น้ี
๒๐ ปรมะ สตะเมทิน, หลักนิเทศศาสตร์, หนา้ ๑.
๑๐
๑. กระบวนการสื่อสาร มีการเปลี่ยนแปลงเคล่ือนไหวอย่ตู ลอดเวลาไม่หยุดนิ่ง ไม่มี
จุดเริ่มตน้ และจุดสิ้นสุดท่ีแทจ้ ริง สงั เกตพฤติกรรมการส่ือสารของคนเราจะเห็นว่า เรามีการส่ือสาร
กนั อยา่ งต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่วา่ จะเป็นการพดู การเขียน หรือในขณะที่เราไม่ไดพ้ ดู ไมไ่ ด้
เขียน จะมี การสื่อสารกนั ดว้ ยสายตา หรือท่าทาง
๒. กระบวนการสื่อสาร มีความสัมพนั ธ์กับกระบวนการทางจิตวิทยา เพราะการสื่อสาร
ของมนุษย์ เป็ นเร่ืองเก่ียวพนั กบั การเรียนรู้ ความคิดและการจา คนเราจะไม่สามารถส่ือสารกนั ได้
ถา้ ไม่ผา่ นกระบวนการคิดการรับรู้
๓. กระบวนการสื่อสาร มีความสัมพนั ธ์กับสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ ซ่ึงหมายถึง
สภาพแวดลอ้ มในขณะที่ทาการส่ือสาร เช่น อารมณ์ความรู้สึก รวมไปถึงสภาพแวดลอ้ มภายนอก
เช่น บรรยากาศแวดลอ้ ม สภาพอากาศ เสียงรบกวน ลว้ นมีผลกระทบต่อกระบวนการสื่อสารท้งั ส้ิน
๔. กระบวนการสื่อสาร มีความสมั พนั ธก์ บั กระบวนการทางสงั คม และวฒั นธรรมเพราะ
มนุษยเ์ ป็ นสัตวส์ ังคม การส่ือสาร จึงเกิดข้ึนภายในกรอบของสังคม และวฒั นธรรมตวั อยา่ งเช่น
สงั คมตะวนั ตกยอ่ มมีพฤติกรรมการส่ือสารที่แตกต่างจากคนเอเชีย หรือแมแ้ ต่ผทู้ ่ีอยใู่ นสงั คมและ
วฒั นธรรมเดียวกนั
ดังน้ัน กระบวนการส่ือสาร จึงหมายถึง สภาพของการเคลื่อนไหว ดาเนินไป และ
เปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ก่อให้เกิดการส่ือสารที่เป็นกระบวน (Process) การกระบวนการส่ือสาร
โดยทว่ั ไป มอี งคป์ ระกอบดงั น้ี คือ
ผสู้ ่งสาร สาร ส่ือ ผรู้ ับสาร = ผลลพั ธ์
๑.๕ เครื่องมอื ในการเผยแผ่หรือการกระจายข่าวสาร
การเผยแผห่ รือการกระจายข่าวสารต่าง ๆ จาเป็ นตอ้ งใชเ้ ครื่องมือเป็นตวั กลางการถ่ายทอด
ให้ประชาชนไดร้ ับทราบ เขา้ ใจ นิยม ศรัทธา แต่ในทางการติดต่อส่ือสารความเขา้ ใจกนั ไม่ว่าเป็ น
สื่อคาพดู สิ่งพมิ พ์ โสตทศั นูปกรณ์ ตลอดจนส่ืออน่ื ๆ ลว้ นแต่ตอ้ งอาศยั สื่อเป็ นตวั กลางในการส่ือ
ใหเ้ ขา้ ใจกนั ท้งั สิ้นเพื่อใหผ้ รู้ ับ (Receiver) และผฟู้ ัง (Source) ไดร้ ับข่าวสาร (Message) และขอ้ มลู
ถกู ตอ้ งตรงกนั
๑๑
ดังน้ัน เคร่ื องมือและสื่ อจึงเป็ นหัวใจสาคัญของการประชาสัมพันธ์กับประชาชน
กลุ่มเป้ าหมายต่าง ๆ ซ่ึงอาจทาได้หลายวิธีโดยใช้เคร่ื องมือสื่อสารเข้ามาช่วยเสริ มให้การ
ประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานองค์การมีประสิทธิภาพมากข้ึน ปัจจุบันการดาเนินงานด้าน
ประชาสมั พนั ธ์ไดข้ ยายไปอยา่ งกวา้ งขวางและรวดเร็วองค์การ/สถาบนั ต่าง ๆ เลง็ เห็นความสาคญั
อยา่ งยงิ่ ที่จะตอ้ งทาการบอกกลา่ วช้ีแจงใหป้ ระชาชนมีความรู้ เขา้ ใจในเร่ืองต่าง ๆ การติต่อสื่อสาร
การประชาสมั พนั ธ์กบั กลุ่มประชาชนเป้ าหมายยอ่ มอาจทาไดห้ ลายวธิ ี การใชเ้ ครื่องมือและส่ือต่าง
ๆ มาช่วยงานประชาสมั พนั ธ์มีประสิทธิภาพมากข้ึน สามารถถึงกลุ่มของประชาชนเป้ าหมายได้
อยา่ งรวดเร็วและสู่มวลชนจานวนมาก เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการประชาสมั พนั ธป์ ัจจุบนั มีอย่หู ลายชนิด
อาจแยกไดเ้ ป็นประเภทได้ ดงั น้ี๒๑
(๑) ส่ือการพูดหรือส่ือบุคคล
ส่ือประเภทการพดู การติดต่อส่ือสารดว้ ยวาจาหรือคาพดู มีรูปแบบต่าง ๆ ซ่ึงใชก้ นั มากมาย
พอสรุปไดด้ งั น้ี
๑) การพูดคุยสนทนา เป็ นการติดต่อส่ือสารระหว่างบุคคลท่ัวไปเช่น สื่อสารระหว่าง
หวั หนา้ กบั ลกู นอ้ ง พอ่ แมก่ บั ลกู ฯลฯ
๒) การบรรยายสรุป เป็นการบรรยายช้ีแจงให้ผฟู้ ังมีความรู้ความเขา้ ใจในเรื่องใดเรื่องหน่ึง
อย่างกวา้ งๆ ผบู้ รรยายเป็ นผมู้ ีความรู้ในเรื่องท่ีพดู เป็ นอยา่ งดี เช่นการพูดเยี่ยมเยยี น การบรรยาย
พเิ ศษ ฯลฯ
๓) การประชุมแบบต่าง ๆ มีการระดมความคิด (Brain storming) การแลกเปล่ียนความคิด
การปรึกษา และการเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ
๔) การอภิปรายกลุ่ม เป็ นการเสนอความเห็นหรือการให้ทศั นะของผทู้ รงคุณวุฒิในหวั ขอ้
เร่ืองใดเรื่องหน่ึงแก่ผเู้ ขา้ ร่วมประชุม
๕) การกล่าวปราศรัย เป็ นการพูดท่ีมีพิธีกรเฉพาะเรื่องหรือเฉพาะโอกาส เช่น การกล่าว
ปราศรัยของนายกรัฐมนตรีเนื่องในโอกาสวนั สาคญั ต่าง ๆ
๖) การให้โอวาท เป็ นการพดู เพื่อใหข้ อ้ คิด คาแนะนา หรือกระคุน้ เตือนในโอกาสสาคญั
ต่าง ๆ เช่น พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั
๒๑ วรี ะ อรญั มงคล, การประชาสัมพนั ธ์, พมิ พค์ ร้ังที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพส์ ุดจิตออฟเซต, ๒๕๓๘), หนา้
๗๕- ๘.
๑๒
๗) การกล่าวสุนทรพจน์ เป็ นการพูดถอ้ ยคาไพเราะ เสนาะหู ในโอกาสต่าง ๆ ของผนู้ า
ระดบั ประเทศ
๘) การอบรมสัมมนา เป็ นการพูดของผูม้ ีความรู้สมารถสูง มาถ่ายทอดให้แก่ผเู้ ข้ารับ
สมั มนา ไดฟ้ ัง เพือ่ ใหส้ ามารนาไปประยกุ ตใ์ นการปฏบิ ตั ิงานได้
๙) การพูดในที่ประชุม เป็ นการพูดท่ีมีความสาคัญในด้านการประชาสัมพนั ธ์ เพราะ
บ่อยคร้ัง นกั ประชาสมั พนั ธต์ อ้ งมีการพดู ลกั ษณะเช่นน้ีอยเู่ สมอ๒๒
นกั ประชาสมั พนั ธ์จึงตอ้ งทราบหรือศึกษาหลกั การพูดอยา่ งมีประสิทธิภาพและสาฤทธ์ิผล
จะตอ้ งอาศยั ความรู้ความสามารถและทกั ษะหรือความเช่ียวชาญในการพดู การฝึ กบ่อย ๆ จนเกิด
ทกั ษะเชื่อมนั่ ในตนเองไม่ประหมา่ ต่ืนเตน้ นกั ประชาสัมพนั ธต์ อ้ งสามารถพดู ไดใ้ นลกั ษณะต่าง ๆ
เช่น ในโรงแรมที่โอ่อ่า ศาลาวัด ในหมู่บ้าน จึงจาเป็ นต้องมีการเตรี ยมตัวให้พร้อม
ทาการศึกษาคน้ ควา้ ทาความเขา้ ใจใหถ้ ่องแท้ วิเคราะห์ผฟู้ ัง เวลา โอกาสสถานที่รวมท้งั ศึกษา
หลกั การพดู เชิงวชิ าการดว้ ย
(๒) การส่ือสารในพระพทุ ธศาสนา
การส่ือสารเผยแผธ่ รรมในทางพทุ ธพระศาสนา พระพุทธองคไ์ ดว้ างแนวทางปฏบิ ตั ิไว้ เพื่อ
ใช้ ในการสอน การเผยแผ่ อธิบายหลกั ธรรม ตลอดถึงใชต้ กั เตือนช้ีแจง้ ใหเ้ ห็นโทษในการกระทา
เพอ่ื เป็นตวั อยา่ งที่ดีในฐานะเป็นอาจารย์ เป็นศิษย์ พแี่ ละนอ้ งที่ดี การเขา้ ร่วมประกอบพธิ ีกรรมทาง
พุทธศาสนาในโอกาสอนั สมควร และปฏิบตั ิตามหลกั การเผยแผศ่ าสนาอยา่ งสมควรแก่โอกาส ดว้ ย
วธิ ีการพดู การเขียน หรือการใชห้ ลกั การส่ือสารท่ีเหมาะสมเพ่ือทาใหผ้ อู้ ืน่ รู้และเขา้ ใจหลกั คาสอนท่ี
ถูกต้อง การปฏิบตั ิให้ดูเป็ นตวั อยา่ งให้รู้จกั ประวตั ิความเป็ นมาของศาสนา ให้เห็นการประกอบ
พิธีกรรมต่าง ๆ ของศาสนา เม่ือรู้และเห็นแลว้ ใครมีศรัทธาจะนบั ถือหรือไมน่ ้ันเป็ นสิทธิของแต่ละ
คน ผทู้ ่ีจะเผยแผศ่ าสนาไดน้ ้นั ตอ้ งเป็นผมู้ ีความรู้เขา้ ใจและสามารถปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมไดถ้ ูกตอ้ ง
การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนามีวิธีการคือ
๑. ถา้ เห็นเขาไม่เขา้ ใจหลกั ธรรม ก็อธิบายใหฟ้ ังตามที่เรารู้ หรือแนะนาหนงั สือดี ๆ ให้เขา
อ่าน
๒๒ พระพรี พงศ์พีรสกฺโก (ศรีฟ้ า), ศึกษารูปแบบและวธิ ีการประชาสมั พนั ธข์ องยวุ พทุ ธิกสมาคมแห่งประเทศไทยใน
พระบรมราชูปถมั ภ,์ วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ,
๒๕๕๓). หนา้ ๓๘-๓๙.
๑๓
๒. เห็นเพ่ือนประพฤติมชิ อบ เรากค็ วรช้ีแนะใหเ้ ห็นคุณและโทษว่าไม่ดีอยา่ งไร ช่วยใหเ้ ขา
หลกี เล่ยี งสิ่งใหล้ ่าน้ี
๓. แนะนาชาวพุทธท่ีน่านับถอื ให้คนที่เป็ นชาวพุทธแต่ช่ือไดร้ ู้จกั เพื่อว่าใหเ้ ขาเห็นว่าการ
เป็นคนดีน้นั ทาไดไ้ ม่ยากและทาใหช้ ีวติ ประสบความสาเร็จดว้ ย
๔. ชวนเพื่อนเขา้ ร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนาบา้ งหลกั การพดู ตามแนวพุทธศาสนา
หลกั การการสื่อสารเผยแผ่ธรรมในทางพุทธพระศาสนาที่เกี่ยวข้องในดา้ นการสื่อสารและการ
ประชาสมั พนั ธไ์ ดว้ างแนวทางปฏิบตั ิไวเ้ ป็นหลกั ท่ีต่าง ๆ ไดแ้ ก่
(๓)หลักการใช้คาพดู ของบัณฑติ
พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงสอนหลกั การพดู ในหลายหลกั วิธี ในการพูดที่ดีและไม่ดี พระพุทธเจา้
ทรงแสดงไวในพาลบณั ฑิตสูตร ทรงช้ีไหเห็นคุณสมบตั ิที่สาคญั ของบณั ฑิต คือ มกี ารพดู ถอยคาที่ดี
ท่ีเคยพูดมาเป็ นปกติ ซ่ึงวจีกรรมหรือการพดู ของบณั ฑิตเป็นวจีกรรมท่ีสุภาพดีงาม ซ่ึงมีลกั ษณะ ๔
ประการ คือ บุคคลไม่พดู คาเท็จ ทาใหค้ นอ่ืนเสียหาย ไม่พดู สอเสียดให้คนอืน่ เขาใจผิดทะเลาะเบาะ
แวง ไม่พูดคาหยาบให้เกิดความเสียหายกับผอู้ ื่น และไม่พูดเพอเจอไรสาระไร้ ประโยชน์ การ
ส่ือสารดว้ ยสมั มาวาจา ยอมก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจกนั เป็นเป้ าหมาย คนมปี ัญญาท้งั หลายพดู แต่คาจริง
คาพูดของบณั ฑิตท้งั หลายจึงไม่กลบั กลายเป็ นอย่างอื่น คนทาบุญไวจ้ ะไปในที่ใดย่อมมีแต่ส่ิงท่ี
น่ารักน่าใคร่บนั เทิงอยใู่ นท่ีน้นั
หลกั ของการส่ือสารและเป็นเคร่ืองช้ีวดั ประสิทธิภาพความสาเร็จของการส่ือสารดว้ ยคาพูด
ดว้ ย ไดแ้ ก่
๑) พดู คาจริง คือ คาพดู แน่นอนและคงที่ รักษาคาพดู ไม่เปลย่ี นแปลงไปมา
๒) พดู คาสมานไมตรี คือ พดู คาผกู ไมตรีและพดู คาประสานสามคั คี พดู แนะนาคนท่ียงั ไม่
รู้จกั ใหร้ ูจกั กนั และพดู ชกั นาคนท่ีรูจกั กนั ใหช้ อบพอกนั พดู ชกั จงู คนท่ีชอบพอกนั ใหส้ นิทสนมกนั
๓) คาไพเราะ คือ คาพดู ที่ดูดดื่มและคาพดู ออ่ นหวาน ถอยคาออกมาจากใจใสสะอาดของผู้
พดู ใหเ้ ห็นควรถือเอาเป็นเยยี่ งอยา่ ง ซ่ึงจดั เป็นคาพดู ดีพดู ใหก้ าลงั ใจ ทาใหผ้ ฟู้ ังช่ืนใจ
๔) คาพดู ท่ีมีประโยชน คือ คาพดู มีเหตุผล มีหลกั ฐานยนื ยนั ผอู้ ื่นคดั คา้ นไม่ได้ บทว่า เจรจา
ผกู ไมตรี ในโสณทณั ฑสูตร คือ ทรงประกอบพร้อมดว้ ยพระดารัสผกู ไมตรีที่ท่านกลา่ วไวโ้ ดยนัย
เป็นตน้ ว่า บรรดาวาจาเหล่าน้นั คาพูดผกู ไมตรีเป็ นไฉน คาพดู ผกู ไมตรี คือวาจาที่หาโทษมไิ ด้ เป็ น
วาจาดี ไพเราะเสนาะเป็ นไฉน คาพูดผกู ไมตรี คือวาจาท่ีหาโทษมิได้ เป็ นวาจาดี ไพเราะเสนาะหู
ดงั น้ี อธิบายวา่ มพี ระดารัสออ่ นหวาน บทว่า ช่างปราศรัย คือทรงฉลาดในการปฏิสนั ถาร
๑๔
(๔) วธิ สี ื่อสารในการสอนของพระพทุ ธเจ้า
หลกั การเลือกใชช้ องสารในการเปิ ดรับขอ้ มูลข่าวสาร ช่องทางการสื่อสารซ่ึงในทางพุทธ
ศาสนาในองั คุตตรนิกายแสดงไวว้ า่ ‚สงั คหวตั ถุ ๔ ประการที่พระผมู้ ีพระภาคไดท้ รงแสดงไวแ้ ลว้
คือ ข้าพระองค์รู้ว่า ‘ผูน้ ้ีควรสงเคราะห์ด้วยทาน’ ก็สงเคราะห์ด้วยทานรู้ว่า ‘ผูน้ ้ีควร
สงเคราะหด์ ว้ ยคาพดู อนั ไพเราะ’ ก็สงเคราะห์ดว้ ยคาพูดอนั ไพเราะรู้ว่า ‘ผนู้ ้ีควรสงเคราะห์ดว้ ยการ
ทาประโยชน์ให้’ ก็สงเคราะห์ด้วยการทาประโยชน์ให้รู้ว่า ‘ผูน้ ้ีควรสงเคราะห์ด้วยการวางตัว
สม่าเสมอ’ กส็ งเคราะห์ดว้ ยการวางตวั สม่าเสมอ ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จริญโภคทรัพยใ์ นตระกลู ของขา้
พระองค์มีอยพู่ ร้อม คนท้งั หลายยอ่ มเขา้ ใจคาพูดของขา้ พระองคว์ ่าควรฟังไม่เหมือนคาพดู ของคน
จน๔๒ ในนฬินิกาชาดกตรัสว่า คาพดู ของเธอ ไม่หยาบคาย ไม่คลาดเคล่ือนนุ่มนวลอ่อนหวาน
ซื่อตรง ไมท่ าให้ฟ้ ุงซ่าน ไม่คลอนแคลน เมอื่ เปล่งออกมา นา้ เสียงของเธอทาใหฟ้ ใู จ ไพเราะจบั ใจ
ดุจเสียงนกการเวก ทาใหใ้ จของลกู กาหนดั ยง่ิ นกั
(๕) คุณสมบตั ขิ องสารตามหลักพทุ ธศาสนา
คุณสมบตั ิของสารตามหลกั พทุ ธศาสนา มี ๕ ประการ คือ
๑. สัจจะ คือ ตอ้ งมีความจริงเสมอในข่าวหรือสารน้นั ๆ ท่ีน่าเชื่อถอื เช่น อริยสจั ส่ี
๒. ตถตา คือ เป็นเร่ืองจริงตามสถานะ ไม่บิดเบือนหรือแต่งเติมเสริมสาร เช่น ทาดีผลยอ่ มดี
รับรอง เรื่องการมีสติ ไมป่ ระมาท
๓. กาละ คือ เหมาะสมกบั กาลเทศะ ดูเวลาใหเ้ หมาะ เช่น การตรัสเร่ือง มหาปเทสสี่ กาลม
สูตร สปั ปุริสธรรม เป็นตน้
๔. ปิ ยะ คือ เป็นเร่ืองที่ผคู้ นใหค้ วามสาคญั มากนอ้ ยเพียงใด มีประโยชน์แก่มวลชนอยา่ งไร
๑๕
๕. อัตถะ คือ ต้องประกอบด้วยสาระจริง ๆ ต่อส่วนรวมโดยแท้๒๓ เช่น หลักธรรมท่ี
พระองค์ ตรัสสามารถนาไปใชใ้ นชีวิตได้ เห็นผลไดท้ นั ที มิใช่ตรัสอยา่ งฟ่ ุมเฟื อย น้าหนกั ของสารท่ีพระองค์
ทรงเนน้ คือ นาออกไปจากทุกข์ เบื่อหน่าย คลายกาหนดั และเพ่ือนิพพาน เป็นตน้
๑.๖ ประสิทธิภาพของสารตามหลกั นิเทศศาสตร์
การสื่อสารท่ีถ่ายทอดไปยงั ผรู้ ับ ส่ิงสาคญั คือ “สาร” หรือเน้ือหาสาร เน้ือหาสารที่ส่งออก
ไปจะตอ้ งมีลกั ษณะที่ชดั เจน โดยมลี กั ษณะดงั น้ีคือ
๑. ต้องมีความน่าเชื่อถือ (Credibility) คือ ไม่เป็ นสารเล่ือนลอย ล่าลือ โคมลอย หรือไร้
ขอ้ เท็จจริง มแี หล่งท่ีมาชดั เจน
๒. มีความละเอียด (Context) คือ ไม่เป็ นสารที่ย่อหรือใชภ้ าษาเฉพาะเกินไป เน้ือหาไม่
บริบรู ณ์ เน้ือหาคลุมเครือ
๓. มีเน้ือหาสาระท่ีชดั เจน (Content) คือ ไม่ใช่เป็ นสารท่ีไร้สาระ ตอ้ งมีประโยชน์ อย่ใู น
ความสนใจของมวลชน มผี ลได้ ผลเสียของผรู้ ับ
๔. มีความชดั เจน (Clarity) คือ ใช้ภาษาที่ผรู้ ับเข้าใจง่าย ไม่ใช้ภาษากากวม หรือภาษา
คลุมเครือ
๕. การสรุป (Conclusion) คือ การกล่าวย้าเพ่ือใหเ้ ขา้ ใจง่ายข้ึน ไม่สบั สน และเพื่อป้ องกนั
การหลงลืมดว้ ย
๖. ช่องทาง (Channel) คือ สารท่ีจะเกิดประสิทธิภาพท่ีได้ผลมาก ตอ้ งรู้จกั เลือกช่องทาง
หรือสื่อกลางในการถ่ายทอด เช่น วทิ ยุ โทรทศั น์ อนิ เตอร์เน็ต แฟกซ์
๒๓ พระวุฒิกรณ์ วุฑฺฒิกรโณ, “ศึกษาเทคนิคและวิธีการเผยแผ่พุทธธรรมของพระราชวรมุนี (ประยูร
ธมฺมจิตฺโต)”, วิทยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั :มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ),
๒๕๔๓.
๑๖
๗. ความสามารถ (Capability) คือ สารที่จะเกิดผลสมั ฤทธ์ิไดด้ ี จะตอ้ งอาศยั ความสามารถ
ของผสู้ ่งและผรู้ ับประกอบกนั ดว้ ย คือ ผสู้ ่ง ผรู้ ับตอ้ งมปี ระสบการณ์ มไี หวพริบ มีความสามารถใน
การใชส้ ื่อ การเขา้ ใจสารดว้ ย๒๔
นอกจากประสิทธิภาพของการสื่อสารตามหลกั นิเทศศาสตร์ที่ถ่ายทอดไปยงั ผรู้ ับ นอกจาก
สิ่งสาคญั คือ “สาร” หรือเน้ือหาสาร เน้ือหาสารที่ส่งออกไปจะตอ้ งมีลกั ษณะท่ีชดั เจนแลว้ ยงั มี
ลกั ษณะของสารท่ีจะตอ้ งชดั เจนอีก ๘ ประการคือ
๑. เขา้ ใจเร่ืองท่ีจะส่ือใหช้ ดั แจง้
๒. มีความมนั่ ใจในตวั เองและสร้างความเช่ือถอื ใหแ้ ก่ผรู้ ับสาร
๓. มีความรู้ ความสามารถอ่ืน ๆ ประกอบในการส่ือสารกบั คู่สนทนาหรือกบั ผรู้ ับ
๔. การรู้จกั การใชภ้ าษาที่เขา้ ใจกนั ท้งั สองฝ่ าย
๕. ใหค้ วามสาคญั กบั กิริยาอาการ น้าเสียง ถอ้ ยคา สีหนา้ ท่าทาง
๖. การส่ือสารอยา่ งกระชบั ไมค่ ลมุ เครือ ไม่วกวน ไม่เยน่ิ เยอ้ เขา้ ใจยาก
๗. มีการยกเอาตวั อยา่ งมาประกอบ เพอ่ื ใหเ้ กิดความชดั เจนและเขา้ ใจง่ายข้ึน
๘. มคี วามสุขุม สงบนิ่ง ในสีหนา้ แววตา กิริยาอ่นื ๆ ในคราวถกู ตอบโต๒้ ๕
๒๔ มณฑล ใบบวั , หลักและทฤษฎีการส่ือสาร,(กรุงเพทมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๖) หนา้ ๗๗-๗๘.
๒๕ เร่ืองเดียวกนั , หน้า ๗๘-๗๙
๑๗
๑.๗ ประโยชน์ของนิเทศศาสตร์๒๖
ประโยชนข์ องนิเทศศาสตร์ที่มีต่อสงั คม ๓ ประการ คือ
๑. การรักษาสิ่งท่ีดีอย่แู ลว้ ใหด้ าเนินต่อไป เช่น สามารถส่งเสริมและรักษาขนบธรรมเนียม
ประเพณีและวฒั นธรรมที่ดีงามจากคนรุ่นหน่ึงไปสู่คนอีกรุ่นหน่ึง เผยแพร่ข่าวสารที่ดีงามและ
ถกู ตอ้ ง ในสงั คมใหข้ จรขจายไป
๒. การขจดั สิ่งท่ีไม่ดีใหห้ มดส้ินไปจากสังคม ดว้ ยการเสนอข่าวสารที่ขุดคุย้ หรือสืบเสาะ
เบาะแสของความไม่ดีงามในสงั คมและเสนอแนะทางแกไ้ ขที่เป็นประโยชน์
๓. การพฒั นาสังคม การส่ือสารทที่มีประสิทธิภาพจะพฒั นาความรู้ ทศั นคติและความ
เขา้ ใจของประชาชนไดเ้ ป็ นอย่างดี อนั จะนามาซ่ึงความสุขท้งั ทางกายและทางจิตวิญญาณของ
พลเมอื ง
๑.๘ ประเภทของการส่ือสาร๒๗
หากจาแนกการสื่อสารโดยใชจ้ านวนของผทู้ าการส่ือสารเป็นเกณฑ์ จะแบ่งไดด้ งั น้ี
๑) การส่ือสารภายในบุคคล เป็ นการส่ือสารของบุคคลคนเดียว โดยคนเดียวกนั ทาหนา้ ท่ี
เป็นท้งั ผสู้ ่งสารและผรู้ ับสาร กล่าวคือระบบประสาทส่วนกลางของบุคคลน้นั จะทาหนา้ ท่ีท้งั ส่งสาร
และรับสาร ตวั อยา่ งของการสื่อสารภายในบุคคล ไดแ้ ก่ การพดู กบั ตวั เอง การร้องเพลง ฟังคนเดียว
การเขียนจดหมายแลว้ อา่ นตรวจทานก่อน การคิดถึงงานท่ีจะทา เป็นตน้
๒) การสื่อสารระหวา่ งบุคคล คือ การสื่อสารท่ีประกอบดว้ ยบุคคลต้งั แต่ ๒ คนข้ึนไปมาทา
การส่ือสารในลกั ษณะตวั ต่อตวั กล่าวคือ ท้งั ฝ่ ายผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารสามารถท่ีจะติดต่อแลกเปลีย่ น
สารกนั ไดโ้ ดยตรง ในขณะท่ีคนหน่ึงทาหนา้ ท่ีส่งสาร อกี คนหน่ึงก็จะทาหนา้ ท่ีรับสาร ดงั น้นั การ
ส่ือสารระหวา่ งบุคคลจึงเกิดข้ึนไดท้ ้งั กรณี คน ๒ คน เช่น การพดู คุยกนั ระหวา่ งคน ๒ คน การเขียน
๒๖ พระบุญโชค ชยธมฺโม (ส่งแสง). ศึกษารูปแบบและวิธีการเทศนาของพระสงฆ์ไทยในปัจจุบัน,
วิทยานิพนธ์พุทธศาสรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั พุทธศกั ราช
๒๕๔๗), หนา้ ๓๐
๒๗ บารุง สุขพรรณ์, จิตวิทยาเพื่อการสื่อสาร, (กรุงเทพมหานคร : บณั ฑิตวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั , ๒๕๔๒),หนา้ ๑
๑๘
จดหมายถึงกนั และการใชโ้ ทรศพั ท์คุยกนั เป็ นตน้ ในทานองเดียวกนั การส่ือสารระหว่าบุคคลก็
เกิดข้ึนไดใ้ นกรณีของกลมุ่ ยอ่ ยซ่ึงมีคนมากกว่า ๒ คนข้ึนไป มารวมกนั ในลกั ษณะท่ีสามารถติดต่อ
แลกเปลีย่ นสารกนั ไดโ้ ดยตรง เช่น การประชุมกลมุ่ ยอ่ ย การเรียน ในช้นั เรียน เป็นตน้
๓) การสื่อสารกลุ่มใหญ่ เป็ นการส่ือสารระหว่างคนจานวนมากซ่ึงอย่ใู นท่ีเดียวกันหรือ
ใกลเ้ คียงกนั เช่น การอภิปรายในหอประชุม การพดู หาเสียงเลือกต้งั การสอนท่ีมีกลมุ่ ผเู้ รียนจานวน
มากซ่ึงอยใู่ นหลายหอ้ งเรียนท่ีอาศยั สื่อการสอน เช่น โทรทศั น์วงจรปิ ดเขา้ ช่วย และการปราศรัยใน
งานสังคม เป็ นตน้ การสื่อสารในกลุ่มใหญ่น้ีผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารจะติดต่อแลกเปล่ียนสารกนั ได้
นอ้ ย เพราะขาดลกั ษณะการส่ือสารแบบตวั ต่อตวั
๔) การสื่อสารในองค์การ เป็ นการสื่อสารระหว่างผูท้ ี่เป็ นสมาชิกขององค์การหรื อ
หน่วยงาน เพ่ือปฏบิ ตั ิภารกิจของหน่วยงานใหส้ าเร็จลุล่วงตามเป้ าหมาย ซ่ึงประกอบดว้ ยการส่ือสาร
ระหว่างผบู้ งั คบั บญั ชากบั ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา การส่ือสารระหว่างผรู้ ่วมงานในระดบั เดียวกนั ตวั อยา่ ง
ของการส่ือสารในองคก์ าร ไดแ้ ก่ การสื่อสารในบริษทั การส่ือสารในหน่วยงานราชการเป็นตน้
๕) การส่ือสารมวลชน เป็นการส่ือสารกบั มวลชนจานวนมาก ในเวลาเดียวกนั พร้อม ๆ กนั
โดยที่สมาชิกของมวลชนแต่ละคนอย่ทู ่ีต่าง ๆ กนั เพอ่ื ใหข้ ่าวสารไปถึงมวลชนไดพ้ ร้อมกนั จึงตอ้ ง
อาศัยสื่อท่ีเข้าถึงประชาชนจานวนมากได้ในเวลาอนั รวดเร็ว คือ ส่ือสารมวลชนซ่ึงได้แก่
หนงั สือพมิ พ์ วิทยุ โทรทศั น์ เป็นตน้
๑.๙ การจาแนกประเภทของสื่อโดยใช้ธรรมชาตขิ องส่ือเป็ นเกณฑ์
การจาแนกประเภทของส่ือโดยใชธ้ รรมชาติของส่ือเป็นเกณฑ์ มีดว้ ยกนั ๒ ลกั ษณะ ดงั น้ี
๑) ส่ือวจั นะ
ส่ือวจั นะ หมายถึง ส่ือประเภทที่ใชค้ าพูดหรือภาษาในการสื่อความหมาย ซ่ึงรวมถึงการ
เขียนเขา้ ไวด้ ว้ ย สื่อในลกั ษณะน้ีมีความสาคญั อยา่ งยงิ่ และเป็นสื่อท่ีใชก้ นั ทวั่ ไปในการส่ือสารของ
มนุษย์ ท้งั น้ียงั สามารถจาแนกได้ ดงั น้ี คือ
๑) สื่อคาพูด หรือสื่อวาจา ถือว่าเป็ นสื่อพ้ืนฐานด้ังเดิมของมนุษยท์ ี่ใชต้ ิดต่อสื่อสารเพื่อ
ถ่ายทอดความนึกคิด ความรู้สึก ความตอ้ งการ ทศั นคติ รวมถึงความหมายในดา้ นต่าง ๆของมนุษยท์ ่ี
มตี ่อกนั เน่ืองจากคาพดู เป็ นภาษา (language) ที่มนุษยใ์ ชส้ ่ือสารกนั ในถ่นิ ฐานของตน หากพดู ภาษา
เดียวกนั ก็เกิดความเขา้ ใจกนั ไดง้ ่าย รวดเร็ว และถกู ตอ้ ง แต่ถา้ พูดต่างภาษากนั ก็อาจเกิดความไม่
เขา้ ใจกนั เขา้ ใจกนั ไดช้ า้ หรือเขา้ ใจกนั อยา่ งไม่ถูกตอ้ ง การส่ือสารดว้ ยคาพูดน้ีจึงตอ้ งกระทาอย่าง
ระมดั ระวงั ใหม้ ากที่สุดในการส่ือสารกบั ผคู้ นในสงั คม
๑๙
แมก้ ระทง่ั สื่อชนิดอื่น เช่น วิทยุกระจายเสียง วิทยโุ ทรทศั น์ ภาพยนตร์ โทรศพั ท์ เป็ นตน้
เหลา่ น้ีต่างกม็ ธี รรมชาติในการสื่อสารท่ีอาศยั คาพดู เป็นสื่อหลกั ในการสื่อสาร
๒) ส่ือการเขียน การเขียนหรือภาษาเขียนน้ีกถ็ ือเป็นการส่ือสารเชิงวจั นะ เพราะนอกจากจะ
เป็ นสญั ลกั ษณ์แทนเสียงที่เปล่งออกมาเป็นคาพูดแลว้ ภาษาเขียนยงั แสดงถึงความคิดการมอง การ
ฟัง และประสบการณ์ของกลุ่มสังคมโดยทั่วไปที่พบเห็นได้ในชีวิตประจาวนั เช่นจดหมาย
หนังสือพิมพ์ นิ ตยสาร ฯลฯ สื่ อการเขียนน้ี สามารถใช้เพ่ือการติดต่อระหว่างบุคคลเพ่ือ
กลุ่มเป้ าหมายเฉพาะ หรือเพ่ือส่ือมวลชน เช่น การเขียนบทความเพื่อการส่ือสารทางวิทยโุ ทรทศั น์
เป็ นตน้
อย่างไรก็ตาม ในการเลือกใช้ส่ือเหล่าน้ียงั ข้ึนอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ เช่น
สภาพแวดลอ้ ม ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผสู้ ่งสารและผรู้ ับสาร เป็นตน้
๒) ส่ืออวจั นะ
สื่ออวจั นะ หมายถึง ส่ือใด ๆ ท่ีใชใ้ นการส่ือสาร ซ่ึงไม่ตอ้ งอาศยั คาพดู เป็นสื่อ แต่กส็ ามารถ
ทาความเขา้ ใจระหวา่ งผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารได้ อาจแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ไดด้ งั น้ี คือ
๑) ส่ือบุคคล ไดแ้ ก่ การส่ือสารดว้ ยอากปั กิริยา การเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือการแต่ง
กาย เป็นตน้ แมว้ า่ พฤติกรรมเหล่าน้ีจะเกิดข้ึนโดยปราศจากการใชค้ าพดู ใด ๆ ก็ตาม
๒) ส่ือสัญลกั ษณ์ ไดแ้ ก่ สัญญาณ หรือเครื่องหมายต่าง ๆ เป็ นตวั กลางหรือพาหะนาสาร
จากผสู้ ่งสารไปยงั ผรู้ ับสาร ซ่ึงสามารถแปลความหมายไดโ้ ดยตรงจากสื่อ โดยมีการตกลงกนั ไว้
ก่อนและยอมรับในความหมายร่วมกนั เช่น สญั ญาณจราจร เสียงนกหวีด หรือป้ ายหา้ มจอด เป็นตน้
สื่อสญั ลกั ษณ์เหล่าน้ีมีความสาคญั ต่อการดารงชีวิตประจาวนั เป็ นอย่างย่งิ แต่ท้งั น้ี การยอมรับใน
ความร่วมกนั อาจเปลีย่ นแปลงไดต้ ามวิวฒั นาการในแต่ละยคุ สมยั
๓) สื่อทางวัฒนธรรม ได้แก่ การท่ีความรู้ ประสบการณ์ ค่านิยม ทัศนคติ ศาสนา
แนวความคิดเก่ียวกบั ตนเอง มวลมนุษย์ และสรรพส่ิงในโลก เป็นตน้ ไดร้ ับการถ่ายทอดสืบต่อกนั
มาในรูปของพฤติกรรม และการปฏิบตั ิกิจกรรมต่าง ๆ ตามแต่สิ่งแวดลอ้ มทางสังคม เช่นวฒั นธรรม
การแต่งกายของไทยอย่างชุดไทยจิตรลดา การนุ่งโจงกระเบน หรือศาสนพิธี เป็ นต้น ส่ือทาง
วฒั นธรรมน้ียงั ครอบคลมุ ถึงทศั นคติ ค่านิยม และชีวิตความเป็ นอย่ขู องกลุ่มชนเจา้ ของวฒั นธรรม
น้นั ๆ ที่แสดงออกผา่ นส่ือพ้นื บา้ น เช่น ศลิ ปหัตถกรรม ดนตรี ฯลฯ ตลอดจนส่ือทศั นศลิ ป์ ซ่ึงมีท้งั
เพื่อจรรโลงใจ และเพ่อื การพาณิชย์ ท้งั น้ี นอกจากการใชธ้ รรมชาติของสื่อเป็นเกณฑใ์ นการจาแนก
แลว้ รูปแบบและสถานการณ์ก็เป็ นเกณฑอ์ ีกชนิดท่ีนิยม เพราะสามารถเป็ นตวั กาหนดส่ือท่ีใชใ้ น
การสื่อสารใหเ้ ห็นภาพไดช้ ดั เจนข้ึน
๒๐
๑.๑๐ คุณสมบัตขิ องผ้สู ่งสารตามแนวทางนิเทศศาสตร์๒๘
ผสู้ ่งสารจะประสบความสาเร็จ หรือความลม้ เลวในการสื่อสารได้ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั คุณสมบตั ิ
ของผสู้ ่งสารท่ีสาคญั ๆ คือ ความน่าเชื่อถือ ความน่าเล่ือมใสของผสู้ ่งสารในสายตาของผรู้ ับสาร
(Source Credibility) ซ่ึงแมคครอสกี ไดก้ ล่าวถงึ ปัจจยั ๕ ประการ ท่ีจะสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้
ส่งสาร คือ
๑. ความสามารถ (Competence) อนั ไดแ้ ก่ ความรู้ ความสามารถ ในขอ้ มลู ข่าวสารหรือเรื่อง
ที่จะสื่อสาร และการส่งสารของผสู้ ่งสาร รวมท้งั ความสามารถในการจดั ควบคุมสถานการณ์ในการ
ส่ือสาร เช่น ควบคุมอารมณ์ไม่ใหต้ ื่นเตน้ ในขณะพดู หรือในขณะทาการส่ือสารไดด้ ี เป็นตน้
๒. คุณลกั ษณะ หรือบุคลิกลกั ษณะ (Character or Appearance) ผสู้ ่งสารจาเป็ นจะต้องมี
บุคลิกลกั ษณะที่ดีท้งั ภายนอกและภายใน ผสู้ ่งสารจะตอ้ งแสดงถึงความเฉลยี วฉลาด การเป็นผทู้ ่ีมี
ไหวพริบท่ีดีสามารถท่ีจะตดั สินใจกระทาในสิ่งต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม แสดงออดต่อผรู้ ับ
สารท้งั ลกั ษณะการใหค้ วามอบอุ่น เป็นที่น่าไวว้ างใจ ซ่ึงจะทาใหผ้ รู้ ับสารมีความเล่อื มใสศรัทธาใน
ตวั ผสู้ ่งสาร แต่ถา้ ผสู้ ่งสารมีบุคลิกลกั ษณะไมด่ ี ไม่น่าไวว้ างใจ ผรู้ ับสารก็จะพยายามหลีกเล่ียงท่ีจะ
รับสารหรือจะสื่อสารได้
๓. ความสุขมุ เยอื กเยน็ (Composure) และความคล่องแคลว้ ในการส่ือสาร หมายถงึ การไม่มี
อาการท่ีแสดงถึงความตื่นเตน้ หวาดกลวั หรือไม่แสดงถึงความไมส่ ามารถควบคุมอารมณ์ความรู้ใน
ขณะท่ีทาการส่ือสารของผสู้ ่งสาร การไม่ติดท่ีจะใชค้ าใดคาหน่ึงอนั แสดงอาการทางประสาท เช่น
ออ้ อา้ ในเวลาพดู เหลา่ น้ีผรู้ ับสารจะมคี วามรู้สึกดีต่อผสู้ ่งสาร
๔. การเป็ นคนที่สงั คมใหก้ ารยอมรับหรือเป็ นท่ีรู้จกั ทางสงั คม (Sociability) การเป็ นคนที่มี
ชื่อเสียงหรือเป็ นท่ียอมรับของสังคมโดยทว่ั ไปน้นั จะทาให้ไดร้ ับความรู้สึกท่ีดีจากผรู้ ับสารผรู้ ับ
สารจะใหค้ วามนิยม เชื่อถือ ซ่ึงส่วนใหญ่มกั เป็ นความรู้สึกที่เกิดข้ึนก่อนท่ีจะมีการสื่อสารเกิดข้ึน
(Prior Attitude ) เป็ นความรู้สึกที่ผรู้ ับสนใจท่ีจะรับข่าวสารจากผสู้ ่งสารท่ีเขาช่ืนชอบอย่กู ่อนแลว้
อยา่ งไรก็ตามในคร้ังต่อไปหากผสู้ ่งสารท่ีผรู้ ับสารชื่นชอบอยทู่ าการสื่อสารไม่ดีก็อาจทาใหเ้ กิดผล
ทางลบต่อความรู้สึกของผรู้ ับสารไดเ้ ช่นกนั
๕. การเป็ นคนเปิ ดเผย (Extraversion) การเป็ นคนเปิ ดเผยเป็ นสิ่งหน่ึงท่ีจะสร้างความ
ไวว้ างใจต่อตวั ผสู้ ่งสารให้เกิดข้ึนกบั ผรู้ ับสารโดยการให้ขอ้ มูลที่เพียงพอและการไม่ปิ ดบงั ขอ้ มูล
ของผสู้ ่งสารซ่ึงจะทาใหผ้ รู้ ับสารเกิดความรู้สึกสนิทสนมเป็นกนั เองและรู้สึกไวว้ างใจดว้ ย
๒๘ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๐.
๒๑
๑.๑๑ แนวคดิ ทฤษฎกี ารสื่อสารตามหลักนิเทศศาสตร์
๑) ทฤษฎีสารและการสร้างสาร
สาร หมายถงึ เรื่องราวอนั มีความหมายและถแู สดงออกมาโดยอาศยั ภาษาหรือสญั ลกั ษณ์ใด
ๆ ก็ตามที่สามารถทาใหเ้ กิดการรับรู้ร่วมกนั ระหว่างผสู้ ่งสารและผรู้ ับสาร ดงั น้ันในกระบวนการ
สื่อสารจึงจาเป็นท่ีจะตอ้ งคานึงถึงความสาคญั ของสาร ดงั น้ี
• รหสั สาร (Message Codes)
• เน้ือหาของสาร (Message Content)
• การจดั เรียงลาดบั สาร (Message Treatment)
• องคป์ ระกอบยอ่ ยของสาร (Element)
• โครงสร้างของสาร (Structure)
๑. รหสั สาร (Message Codes) หมายถึง ส่วนท่ีเลก็ ที่สุดของสาร อนั ไดแ้ ก่ สระ พยญั ชนะ
หรือวรรณยุกตต์ ่าง ๆ ที่นามาประกอบเป็ นคาที่มีความหมาย หรือ หมายถึง ภาษา หรือสัญลกั ษณ์
หรือ สัญญาณ ที่มนุษยค์ ิกข้ึนเพื่อแสดงออกแทนความคิด ความรู้สึก ความเช่ือ ค่านิยมและ
วตั ถุประสงคต์ ่าง ๆ ของผสู้ ่งสารซ่ึงรหสั สารอาจถูกแสดงออกมาเป็ นสารที่เป็ นท้งั ภาษาพดู ภาษา
เขียน และรหสั สารที่ไมใ่ ช่ท้งั ภาษาพดู หรือภาษาเขียน เช่น กริยาท่าทาง ภาพ เป็นตน้
๒. เน้ือหาของสาร (Message Content) หมายถงึ เรื่องราวหรือสิ่งต่าง ๆ ท่ีผสู้ ่งสารตอ้ งการ
จะถ่ายทอดหรือส่งไปยงั ผรู้ ับสาร ซ่ึงเน้ือหาของสารน้นั อาจแบ่งออกไดเ้ ป็ นหลายประเภทหลาย
ลกั ษณะตามเน้ือหาของสารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เน้ือหาโดยท่ัวไป เน้ือหาเฉพาะ เน้ือหาเชิง
วชิ าการ หรืออาจเป็ นเน้ือหาประเภทบอกเล่ากบั เน้ือหาประเภทความคิดเห็น เน้ือหาประเภทข่าว
เน้ือหาประเภทบนั เทิง รวมท้งั เน้ือหาเกี่ยวกบั การชกั จงู ใจ เป็นตน้
๓. การจดั เรียงลาดบั สาร (Message Treatment) หมายถึง รูปแบบวิธีการในการนารหัสสาร
มาเรียบเรียงเพื่อใหไ้ ดใ้ จความตามเน้ือหาท่ีตอ้ งการ ซ่ึงมกั จะข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะโครงสร้างของภาษา
และบุคลิกลักษณะของแต่ละบุคคล ซ่ึงส่วนใหญ่การจัดเรียงลาดับสารออกมาในรูปแบบลีลา
ส่วนตวั หรือบุคลกิ ลกั ษณะของผสู้ ่งสารแต่ละคนว่ามีบุคลิกลกั ษณะแตกต่างกนั อย่างไร เช่น คนที่
อารมณ์เยน็ มกั จะพดู จาดว้ ยวิธีการท่ีสุภาพ สุขมุ เยือกเยน็ ในขณะที่คนอารมณ์ร้อน มกั จะพดู รวบ
รัดสรุป เป็นตน้
๔. องค์ประกอบยอ่ ยของสาร (Element) หมายถึง นอกจากสารจะแบ่งออกเป็ นรหัสสาร
เน้ือหาของสาร และการจดั เรียงลาดบั สารแลว้ ยงั อาจพิจารณาสารในแง่ขององคป์ ระกอบยอ่ ยของ
สารในแง่ของคาหน่ึง ประโยคหน่ึง ย่อหน้าหน่ึง เร่ืองหน่ึง ก็ได้ เช่น ในการเขียนเรียงความจะ
๒๒
ประกอบไปดว้ ยองค์ประกอบยอ่ ย คือ คานา เน้ือเร่ือง และสรุป หรือในการเขียนข่าว กจ็ ะประกอบ
ไปดว้ ย ประโยคต่าง ๆ เช่น การพาดหวั ข่าว เน้ือข่าว เป็นตน้
๕. โครงสร้างของสาร (Structure) หมายถึง ในแต่ละภาษาจะมีโครงสร้างของภาษาท่ี
แตกต่างกนั ไป เช่น ประโยคในภาษาไทยก็จะมีโครงสร้างของประโยคโดยเรียงต้งั แต่ ประธานกริยา
และกรรม หรือในการเขียนข่าว โครงสร้างของข่าวจะประกอบไปดว้ ย พาดหัวใหญ่ พาดหวั รอง
เน้ือหา และสรุป เป็นตน้ ๒๙
๒) ทฤษฎีการส่ือสารของแชนนอนและวีเวอร์ (The Shannon and Weaver Model)
แชนนอนและวเี วอร์ ไดก้ ล่าวถึงการส่ือสารจะมีประสิทธิผลมากนอ้ ยเพยี งใดข้ึนอยกู่ บั องคป์ ระกอบ
๖ ประการ คือ
• ผพู้ ดู (Information Source)
• เครื่องส่ง (Transmitter)
• สญั ญาณ (Signal)
• เคร่ืองรับ (Receiver)
• ผฟู้ ัง (Destination)
• เสียงรบกวน (Noise Source)
จากองคป์ ระกอบแบบจานองทฤษฎีการสื่อวารของแชนนอนและวีเวอร์ สามารถอธิบาย
พฤติกรรมการส่ือสารของมนุษยไ์ ดใ้ นลกั ษณะ ดงั น้ีคือ
ผพู้ ดู คือ ผสู้ ่งสาร
เคร่ืองส่ง คือ ผทู้ าหนา้ ท่ีในการถ่ายทอดสารจากผสู้ ่งสารไปยงั ผรู้ ับสาร
สญั ญาณ คือ สาร
เครื่องรับ คือ ผทู้ าหนา้ ท่ีรับสาร
ผฟู้ ัง คือ ผรู้ ับสารท่ีเป็นหมายของผสู้ ่งสาร
เสียงรบกวน คือ ส่ิงรบกวนที่สอดแทรก หรือแข่งขนั กบั การส่ือสารน้ันทาใหก้ ารสื่อสาร
น้นั ขาดความชดั เจนและดอ้ ยประสิทธิผล๓๐
๒๙ กติ มิ า สุรสนธิ, ความรู้ทางการสื่อสาร, หนา้ ๑๒.
๓๐ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๔๗.
๒๓
๑.๑๒ ทัศนคตขิ องผู้ส่งสาร
ทศั นคติของผสู้ ่งสารเป็นปัจจยั สาคญั ประการหน่ึงที่มีผลต่อการส่ือสาร ทศั นคติ หมายถึง
แนวโนม้ ของคนๆ หน่ึงท่ีมีต่อสิ่งเร้าหรือเร่ืองบางเรื่อง รวมถงึ ผลรวมของความรู้สึก อคติ ความกลวั
ความคิด และความรู้สึกอืน่ ๆ ที่มีต่อเร่ืองต่าง ๆ
สาหรับทศั นคติของผสู้ ่งสารในการส่ือสารน้นั อาจพิจารณาใน ๓ ดา้ นดว้ ยกนั ๓๑ คือ
๑) ทศั นคติที่ผสู้ ่งสารมตี ่อตนเอง หากผสู้ ่งสารมีทศั นคติต่อตนเองในทางท่ีดี ยอ่ มมผี ลให้
เกิดความเช่ือมนั่ ในตนเอง มีความมนั่ ใจในการส่งสาร ไม่ประเมินค่าความสามารถของตนเองต่า
หรือสูงเกินไป หากขาดคุณสมบัติเบ้ืองตน้ เช่นน้ี อาจทาให้การส่ือสารน้ันไม่ประสบผลสาเร็จ
เพราะพฤติกรรมของผสู้ ่งสารท่ีแสดงออกวา่ ขาดความมน่ั ใจ ยอ่ มมีผลต่อความเชื่อมนั่ ของผรู้ ับสาร
ที่มตี ่อผสู้ ่งสาร จึงเป็นสิ่งที่ผสู้ ่งสารพงึ ตระหนกั อยา่ งยง่ิ
๒) ทศั นคติต่อเร่ืองท่ีจะทาการสื่อสาร ซ่ึงโดยมากมกั แสดงใหท้ ราบจากสารท่ีส่งไป ในการ
ส่ือสารทุกประเภท ผสู้ ่งสารควรมีทศั นคติที่ดีต่อสารน้นั ท้งั น้ีเพื่อสร้างความมนั่ ใจในสารท่ีตนเอง
จะนาเสนอ สามารถส่ือสารน้นั ออกไปไดอ้ ยา่ งเตม็ ปากเต็มคา ไมร่ ู้สึกลาบากใจ หรือตะขิดตะขวงใจ
ท่ีตอ้ งกล่าว หรื อสื่อสารส่ิงใดออกไปด้วยความเช่ือมั่นในเน้ือหาสาระของส่ิงน้ันซ่ึงมีผลให้
ประสิทธิภาพในการส่ือสารปรากฏข้ึนตามมา
๓) ทศั นคติต่อผรู้ ับสาร ทัศนคติที่ผสู้ ่งสารมีต่อผรู้ ับสารมีผลต่อพฤติกรรมในการสื่อสาร
ดว้ ยเช่นกนั หากผสู้ ่งสารเห็นว่าผรู้ ับสารเป็ นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ียากจะสอน หรือส่ือสารให้
เขา้ ใจไดโ้ ดยง่าย อาจทาใหไ้ ม่เต็มใจนกั ในการทาหนา้ ที่ผสู้ ่งสาร
๑.๑๓ คุณสมบตั ขิ องผู้ส่งสารท่ีพงึ ประสงค์ตามแนวพระพุทธศาสนา
คุณสมบตั ิของผสู้ ่งสารจาแนกไดต้ ามคุณสมบตั ิที่เรียกวา่ “สปั ปุริสธรรม ๗” ประการคือ
๑. ธมั มญั ญุตา เป็นผรู้ ู้ธรรมะเป็นหลกั การ หลกั ความจริง เน้ือหาสาระของเร่ืองท่ีจะส่ือสาร
รู้แจง้ แทงตลอดในเร่ืองทฤษฎีและปฏิบตั ิในศาสตร์และศลิ ป์ ของตน
๒. อตั ถญั ญุตา รู้จกั เน้ือหาสาระ ความหมาย ความมุ่งหมาย วตั ถุประสงคข์ องการส่ือสารที่
แน่นอน ชดั เจน (Goal Oriented)
๓. อตตญั ญุตา รู้จักตนเอง รู้ว่าตนคือใคร มีความพร้อมหรือไม่พร้อมอย่างไรการรู้จัก
ตนเองเป็นส่ิงสาคญั ยงิ่ เมื่อเรารู้จกั ตนเองดีแลว้ จะนาไปสู่การยอมรับตน (Self Acceptance)แลว้ จะ
๓๑ มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, “ผสู้ ่งสาร” เอกสารการสอนชุดวิชาหลักและทฤษฎีการสื่อสาร หน่วยที่ ๑-๘,
(นนทบุรี : โรงพมิ พม์ หาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๒๗),หนา้ ๒๗๒-๒๗๔
๒๔
เปิ ดเผยตน (Self Disclosure) สามารถสื่อสารภายในตนไดอ้ ยา่ งดียิง่ ผทู้ ่ีสามารถสื่อสาร ภายในตน
ไดด้ ี จะเป็ นคนที่สามารถรับรู้ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และวิจารณญาณที่สุขุมรอบคอบมเี หตุผล ทาให้
การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากข้ึน
๔. มตั ตญั ญุตา รู้จกั ประมาณ รู้จกั ความพอดี การส่ือสารบางอยา่ งหากมากเกินไปผรู้ ับสารก็
รับไมไ่ ด้ หากน้อยเกินไปก็ไม่เพียงพอ การรู้จกั ประมาณในการส่ือสาร (Frequency) คือไม่ส่งสาร
ซ้าซากมากเกินไปหรือนอ้ ยเกินไป จึงเป็นคุณสมบตั ิประการสาคญั อกี ประการหน่ึงของผสู้ ่งสาร
๕. กาลญั ญุตา รู้จกั เวลา ผสู้ ่งสารตอ้ งรู้จกั เวลาในการส่ือสารว่าเวลาไหนควรเวลาไหนไม่
ควร หากผสู้ ่งสารไม่รู้จกั เวลาในการส่ือสารแมว้ า่ จะเป็ นการส่ือสารภายในตน การสื่อสารระหว่าง
บุคคล หรือการส่ือสารมวลชน กจ็ ะทาใหเ้ กิดปัญหาในการสื่อสารได้
๖. ปริ สัญญุตา รู้จกั ชุมชน รู้จักสังคม ในทางนิเทศศาสตร์เรี ยกว่า กลุ่มผูร้ ับสารหรื อ
กลุ่มเป้ าหมาย ผสู้ ่งสารตอ้ งรู้จกั กลุ่มเป้ าหมาย การส่ือสารจึงจะประสบความสาเร็จ ยิ่งรู้จกั มาก
เท่าไร การสื่อสารย่ิงมีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึนเท่าน้ัน พระพุทธเจา้ เผยแผ่พุทธธรรมได้อย่างมี
ประสิทธิภาพน้นั เพราะพระองคแ์ จงแทงตลอดเกี่ยวกบั กลุ่มเป้ าหมาย จึงทาใหก้ ารเผยแผพ่ ุทธธรรม
ของพระองคป์ ระสบความสาเร็จ
๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้จกั ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล รู้วา่ ผรู้ ับสารแต่ละคนแต่ละกลุ่ม
มีลกั ษณะจาเพาะเป็นของตนเอง มจี ริต มีอธั ยาศยั มศี กั ยภาพในการรับสารมากนอ้ ยแค่ไหนเพยี งใด
การท่ีผสู้ ่งสารรู้ความแตกต่างระหว่างบุคคลไดน้ ้นั ทาใหส้ ามารถแยกแยะผรู้ ับสารได๓้ ๒
๑.๑๔ องค์ประกอบของสาร
องค์ประกอบของสารตามแนวทางแห่งพุทธะ ตอ้ งประกอบดว้ ยคุณสมบตั ิ ๕ ประการ๓๓
คือ
๑. สัจจะ ไดแ้ ก่ เร่ืองท่ีเสนอต่อมวลชนน้นั ตอ้ งเป็ นเรื่องจริง เสนอหรือส่งสารตามความ
เป็ นจริ งไม่บิดเบือน
๒. ตถตา ไดแ้ ก่ เรื่องแท้ เรื่องท่ีเสนอหรือเน้ือสารน้ันตอ้ งเป็ นเรื่องแท้ ไม่คาดเดาไม่แต่ง
แตม้ สี ไม่ใส่ไข่
๓. กาละ ไดแ้ ก่ เร่ืองท่ีเสนอน้นั ตอ้ งเหมาะสมกบั กาลเวลา
๔. ปิ ยะ ไดแ้ ก่ เรื่องที่เสนอน้นั ตอ้ งเป็นเรืองที่คนชอบ หรือเสนอโดยวิธีท่ีผรู้ ับสาร
ช่ืนชอบ
๓๒ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๔ – ๕.
๓๓ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๔ – ๕.
๒๕
๕.อตั ถะ ไดแ้ ก่ เรื่องที่เสนอหรือส่งสารน้นั ตอ้ งเป็นประโยชนต์ ่อส่วนรวม
๑.๑๕ หลักการเลือกเชื่อถือข้อมูลข่าวสาร
หลกั การเลือกเช่ือถอื ขอ้ มลู ข่าวสารตามแนวทางพระพทุ ธศาสนาน้นั พระพทุ ธองคท์ รงมคี า
สอนใหบ้ ุคคลเลอื กเปิ ดรับและเลอื กเชื่อ๓๔ ดงั น้ี
๑. อยา่ ด่วนเช่ือเพราะฟังตามๆ กนั มา
๒. อยา่ ด่วนเชื่อเพราะเป็นประเพณีแต่โบราณ
๓. อยา่ ด่วนเช่ือเพราะเป็นข่าวลือ
๔. อยา่ ด่วนเช่ือเพราะมีในคมั ภีร์
๕. อยา่ ด่วนเช่ือเพราะเพยี งมีเหตุผลตามตรรกวทิ ยา
๖. อยา่ ด่วนเชื่อเพราะเห็นเพียงลกั ษณะภายนอก
๗. อยา่ ด่วนเช่ือเพราะเพราะนึกเดาเอาดว้ ยตนเอง
๘. อยา่ ด่วนเช่ือเพราะตรงกบั ทศั นะเดิมของตน
๙. อยา่ ด่วนเชื่อเพราะมลี กั ษณะน่าเชื่อ
๑๐.อยา่ ด่วนเช่ือเพราะผพู้ ดู เป็นครูของตน
๑.๑๖ ทฤษฎกี ารโน้มน้าวใจ
(๑) ทฤษฎีการโน้มน้าวใจ
ถา้ ตอ้ งการพฒั นาบุคลากรในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาให้สาเร็จและสามารถตอบสนอง
ความต้องการของสังคมปัจจุบันได้ จาเป็ นจะตอ้ งส่งเสริมให้เรียนรู้ทฤษฎีการโน้มน้าวใจ ซ่ึง
หมายถึงการส่ือสารเพื่อการจูงใจ ช้ีแนะ และชกั ชวนใหบ้ ุคคลทาตามในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง โดยอาศยั
กระบวนการส่ือสารเป็ นเคร่ืองมือโน้มนา้ วใจ มผี รู้ ับสารเป็ นเป้ าหมายหลกั ในการสื่อสารเพื่อโนม้
น้าวใจมีองค์ประกอบ ๔ อย่าง ได้แก่ ผสู้ ่งสาร สารช่องทาง และผรู้ ับสาร จะปรากฏอย่ใู นทุก
สภาพการณ์ท่ีทาการส่ือสาร โดยซมอนส์ ไดส้ รุปทฤษฎีการโน้มน้าวใจ
ถา้ ตอ้ งการพฒั นาบุคลากรในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาใหส้ าเร็จและสามารถตอบสนอง
ความตอ้ งการของสังคมปัจจุบันได้ จาเป็ นจะตอ้ งส่งเสริมให้เรียนรู้ทฤษฎีการโน้มน้าวใจ ซ่ึง
หมายถึงการส่ือสารเพอ่ื การจูงใจ ช้ีแนะ และชกั ชวนใหบ้ ุคคลทาตามในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง โดยอาศยั
๓๔ ชยั วฒั น์ อตั พฒั น์. หลกั พุทธศาสนา. (กรุงเทพมหานคร: คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง,
๒๕๒๓), หนา้ ๑๑๓.
๒๖
กระบวนการส่ือสารเป็ นเคร่ืองมือโน้มนา้ วใจ มีผรู้ ับสารเป็ นเป้ าหมายหลกั ในการส่ือสารเพ่ือโน้ม
น้าวใจมีองค์ประกอบ ๔ อย่าง ได้แก่ ผสู้ ่งสาร สารช่องทาง และผรู้ ับสาร จะปรากฏอย่ใู นทุก
สภาพการณ์ท่ีทาการส่ือสาร โดยซมอนส์ ไดส้ รุปความหมายของการโนม้ นา้ วใจเพอื่ การส่ือสารของ
มนุษย์ ท่ีสร้างข้ึนมา เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือผอู้ ่ืน มีการเปลี่ยนแปลงความเช่ือถือ ค่านิยม สามารถ
สรุปไดด้ งั น้ี
๑. ผโู้ นม้ นา้ วใจมคี วามต้งั ใจที่จะมอี ิทธิพลบางประการเหนือผถู้ กู โนม้ นา้ วใจ
๒. โดยปกติผถู้ กู โนม้ นา้ วใจ จะมีทางเลอื กมากกว่าหน่ึงและผถู้ กู โนม้ นา้ วใจจะพยายามชกั
จูงผถู้ กู โนม้ นา้ วใจใหย้ อมรับทางเลอื กท่ีตนเสนอ
๓. ส่ิงที่ผโู้ น้มน้าวใจตอ้ งการคือการเปล่ียนแปลงความคิดเห็น ทศั นคติ และความเช่ือให้
ถกู ตอ้ งตามความเป็นจริง ท้งั ดา้ นอารมณ์ และพฤติกรรม เป็นตน้ ๓๕
(๒) วตั ถปุ ระสงค์การโน้มน้าวใจ
วตั ถุประสงคห์ รือเป้ าหมายการสร้างความโนม้ นา้ วใจของการส่ือสาร คือ
๑. เพ่ือใหเ้ กิดความเป็นเอกภาพมีการเนน้ การย้า การกระตุน้ การซ้าไดอ้ ยา่ งต่อเนื่อง
๒. เพ่อื ใหผ้ สู้ ื่อสารสามารถเลือกใชส้ าร และช่องทางในการสื่อสารไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
๓. สามารถติดตามผลการดาเนินงาน มกี ารประเมินผลเป็ นระยะตามความตอ้ งการรวมท้งั
พิจารณาถงึ ปฏิกิริยายอ้ นกลบั แลว้ นามาปรับปรุงการสื่อสารคร้ังใหม่ต่อไป
๔. เป็นแนวทางและเป้ าหมายในการดาเนินงาน ถือเป็นส่ิงจูงใจสาหรับผทู้ ่ีทาการสื่อสาร
๕. ทาให้ผรู้ ับสารสามารถรับรู้ วิเคราะห์ และประเมินผลเพ่ือการโน้มน้าวใจได้อย่าง
ถกู ตอ้ ง๓๖
(๓) ผลของการโน้มน้าวใจ
การโนม้ นา้ วใจเป็นผล หรือไม่ก็โดยดทู ่ีความสาเร็จพฤติกรรมท่ีโน้มนา้ วใจน้นั มีการแสดง
ออกมาหรือไม่ หรือเป็ นความลม้ เหลว คือไม่มีพฤติกรรมที่ตอ้ งการแสดงออกมาสาหรับเกณฑ์
ตดั สินการโนม้ นา้ วใจประสบความสาเร็จหรือไม่ มีกฎเกณฑ์ ๓ ประการ คือ
๑. ความสอดคลอ้ งกนั ระหว่างเจตนาของผสู้ ่งสารและพฤติกรรมของผรู้ ับสาร
๒. ระดบั ของความสอดคลอ้ งระหว่างเจตนาของผสู้ ่งสาร และพฤติกรรมของผรู้ ับสารที่
ตามมา
๓. ระดบั ของความสมยากง่ายของผสู้ ่งสาร๓๗
๓๕ วรรณ ปิ ลนั ธนโอวาท, การสื่อสารเพ่ือการโน้มน้าวใจ. พิมพ์คร้ังที่๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
จุฬา ลงรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๒), หนา้ ๔.
๓๖ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๒๔.
๒๗
(๔) องค์ประกอบของการสื่อสารเพอ่ื โน้มน้าวใจ
องคป์ ระกอบในการโนม้ นา้ วใจท่ีเป็นปัจจยั ภายนอกของผรู้ ับสาร มี ๔ ประการ คือ
๑. ความแตกต่างภายในผสู้ ่งสารแต่ละคนมีปัจจยั ต่าง ๆ กนั ซ่ึงทาใหม้ ีความน่าโน้มนา้ วใจ
ไม่เหมือนกนั อาทิ ความน่าเชื่อถอื อานาจทางการเมือง บทบาทในสังคมสัมพนั ธภาพกบั ผรู้ ับสาร
และลกั ษณะทางประชากรอื่น ๆ เช่น อายเุ พศ อาชีพ
๒. ความแตกต่างภายในสารแต่ละช้ินมีความน่าโนม้ นา้ วใจแตกต่างกนั การพดู หรือการ
เขียนมีความโนม้ นา้ วใจไม่เหมือนกนั ความแตกต่างในหัวขอ้ หรือเน้ือหาของสารการจดั เรียบเรียง
สารขอ้ โตแ้ ยง้ ในภาษา ตลอดจนลกั ษณะของท่วงทานองลีลา
๓. ความแตกต่างของสื่อ เป็ นความน่าโน้มนา้ วใจของสาระจะแตกต่างกนั เมอื่ การสื่อสาร
ระหว่างบุคคลเปรียบเทียบกบั สื่อสารโดยผา่ นสื่อ เช่น วทิ ยุ โทรทศั น์ เป็นตน้
๔. ความแตกต่างภายในสภาพการณ์ สภาพการณ์ที่มีบุคคลหน่ึงบุคคลใดหรือขาดบุคคล
หน่ึงบุคคลใด ความคุน้ เคยหรือไมค่ ุน้ เคยของผรู้ ับสารต่อสภาพการณ์หน่ึงๆการมีตวั เร้าบวกหรือลบ
ในสภาพการณ์ เช่น การโนม้ นา้ วใจใหบ้ ริจาคเงินโดยมีสื่อมวลชน คอยถ่ายภาพลอ้ มอยอู่ าจจะเป็ น
ตวั เร้าบวกในการโนม้ นา้ วใจก็เป็นได้
สาหรับตวั ผรู้ ับสารเอง การท่ีผรู้ ับสารคนหน่ึงๆ จะมีความละเอียดอ่อน (Susceptible) ต่อ
การถกู โนม้ นา้ วใจเพียงใดโดยอาจพิจารณาไดจ้ าก
๑. ลกั ษณะของประชากร ไดแ้ ก่เพศ อายุ เช้ือชาติ การศกึ ษา อาชีพ
๒. ทรรศนะ และทศั นคติ
๓. ความรู้ซ่ึงผรู้ ับสารมีความเก่ียวขอ้ งกบั สารน้นั
๔. ลกั ษณะดา้ นอารมณ์
๕. ความสาคญั ท่ีรับสารใหแ้ ก่หวั ขอ้ หน่ึงๆ
๖. วธิ ีการที่ผรู้ ับสารรับรู้สภาพการณ์หน่ึงๆ๓๘
(๕) ความน่าเชื่อถอื ของผ้สู ่งสารต่อการโน้มน้าวใจ
ความน่าเชื่อถือของผรู้ ับสารต่อการโน้มนา้ วใจไดม้ ีนกั วชิ าการใหค้ วามสนใจศกึ ษาความ
น่าเช่ือถอื ของผรู้ ับสารน้นั อริสโตเติลกลา่ วถึงเมือ่ ๒๐๐๐ ปี ลว่ งมาแลว้ วา่ บุคลิกของผพู้ ดู เป็นสาเหตุ
สาคญั ของการโน้มนา้ วใจ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เมือ่ มีผรู้ ับฟังไม่รู้ความจริงในเรื่องที่ฟัง หรือความเห็น
ถูกแบ่งแยก เมื่อผูพ้ ูดมีความหมายมาก การโน้มน้าวใจ ด้วยบุคลิกลกั ษณะจึงมีความสาคัญ
เน่ืองมาจากเหตุ ๓ ประการ คือ
๓๗ เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๗.
๓๘ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๐.
๒๘
๑. ผพู้ ดู ตอ้ งเป็ นผทู้ ่ีมีสติปัญญาลึกซ้ึง มีไหวพริบเชาวป์ ัญญากอปรดว้ ยวิจารณญาณอย่างดี
(Intelligence)
๒. ผพู้ ดู ตอ้ งแสดงใหเ้ ห็นว่าเป็ นผมู้ ีความปรารถนาดีต่อผพู้ ูด มีความต้งั ใจจริงที่จะรักษา
ประโยชน์ให(้ Good will)
๓. ผพู้ ดู ตอ้ งแสดงให้เห็นว่าเป็ นผมู้ วี ินยั ดี มนั่ คงในศีลธรรม (Good Character)คือเป็นผรู้ ัก
ความยตุ ิธรรม กลา้ หาญ ยบั ย้งั ชง่ั ใจ มีเมตตากรุณา โอบออ้ มอารี เสรีนิยม สุภาพ สุขุม รอบคอบ พดู
จริง ทาจริง รักษาคาพดู ๓๙
(๖) จริยธรรมในการสื่อสารเพอ่ื โน้มน้าวใจ
การท่ีผสู้ ่งสารจะส่งส่ือสารไดป้ ระสบความสาเร็จตอ้ งมเี น้ือหาดี มวี าทศลิ ป์ ดีบุคลิกลกั ษณะ
ดีแลว้ การพดู ในแต่ละคร้ังจะตอ้ งคานึงถึงจริยธรรม วฒั นธรรมของสงั คมน้นั ๆ ดว้ ย การโนม้ นา้ ว
ใจไม่เพียงแต่เขา้ กนั ไดก้ บั วฒั นธรรมเท่าน้ัน แต่ต้องมีประโยชน์ต่อสังคมดว้ ย ถือเป็ นกฎเกณฑ์
สาหรับในการโนม้ นา้ วใจ ดงั น้ี
๑. จริยธรรมการโนม้ นา้ วใจที่พ่งึ ประสงคเ์ ป็นจริยธรรมที่ใชไ้ ดก้ บั หลายวฒั นธรรม
๒. จริยธรรมการโนม้ นา้ วใจควรตระหนกั ถงึ บทบาทร่วมกนั ระหว่างผโู้ นม้ นา้ วใจและผถู้ กู
โนม้ นา้ วใจ
๓. จริยธรรมในการส่ือสารจะตอ้ งแสดงความเป็นประโยชนค์ วบค่ไู ปกบั แสดงความมอี ุดม
คติ(Pragmatic and Idealistic)
๔. จริยธรรมการโนม้ นา้ วใจจะตอ้ งมีขอ้ ยกเวน้ ใหบ้ า้ งในสภาพการณ์บางอย่างซ่ึงมกี ารพูด
อยา่ งหน่ึงและการทาอีกอยา่ งหน่ึง
๕. จริยธรรมการโนม้ นา้ วใจข้ึนอยกู่ บั สภาพแวดลอ้ มวา่ จะใชม้ นั ถึงระดบั ไหน
มีวิธีการใดบา้ งที่ผูส้ ่งสารและผรู้ ับสารจะสามารถค้าจุนจริยธรรมในการสื่อสารให้เป็ น
หัวใจหลกั ของการส่ือสารได้ คาตอบก็คือรู้จักคิดและเป็ นตวั ของตัวเอง มีความมนั่ ใจในการ
ตดั สินใจ ในขณะเดียวกนั ตอ้ งเคารพการตดั สินใจของผอู้ ื่นดว้ ย คือมองโลกในทรรศนะที่กวา้ งขวาง
พยายามอยา่ สรุปภาพรวมท่ีครอบคลมุ ทุกอยา่ งมากเกินไป(Overgeneralize) ทุกอยา่ งมคี วามแตกต่าง
(Diversity) มองไดห้ ลายทรรศนะ
จากทฤษฎีการส่ือสารเพ่อื โนม้ นา้ วใจท้งั หมดท่ีกลา่ วมาแลว้ สามารถสรุปไดด้ งั น้ี
๑. ผสู้ ื่อสารอาจจะเพิ่มประสิทธิในการโนม้ นา้ วใจไดด้ ว้ ยการใหร้ างวลั หรืออาจมาในรูปคา
ชมเชยผรู้ ับสาร
๓๙ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๑๔.
๒๙
๒. การใหผ้ รู้ ับสารเขา้ มามีส่วนร่วมเป็นกลวิธีที่สาคญั ท่ีจะเปลี่ยนทศั นคติ และพฤติกรรม
ของผรู้ ับสาร
๓. ทศั นคติท่ีดีที่ผรู้ ับสารมีต่อหวั ขอ้ ๆ หน่ึง อาจจะสรุปนาไปโยงกบั ทศั นคติทาง
ลบที่ผรู้ ับสารมีต่อหวั ขอ้ อน่ื ๆ
๔. การแยกหวั ขอ้ ออกเป็นหวั ขอ้ ยอ่ ยอาจทาใหผ้ รู้ ับสารเขา้ ใจง่ายยง่ิ ข้ึน
๕. ปฏิกิริยายอ้ นกลบั (Feedback) ทาให้ผสู้ ่งสารรู้จุดดอ้ ยและจุดเด่นของตนเองและก็
สามารถปรับปรุงใหเ้ ขา้ กบั ผรู้ ับสารตามท่ีตอ้ งการไดใ้ นคร้ังต่อไป
๖. การสื่อสารเพ่ือโน้มนา้ วใจจะไม่ประสบความสาเร็จ ถา้ ผสู้ ่งสารใชว้ าทเพียงอยา่ งเดียว
โดยไม่คานึงถึงผรู้ ับดา้ นความรู้ เพศ อายุ ความยากง่ายของสื่อควบคู่กนั จะต้องมีการสื่อสารท่ี
ต่อเน่ืองพร้อมกบั การประเมนิ ผล๔๐
สรุปท้ายบท
นิเทศศาสตร์ คือ วิชาท่ีส่ือสารไปยงั มวลชนทุกทาง เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์
วทิ ยกุ ระจายเสียง และการละคร เป็ นตน้ การส่ือสารส่ือสารน้นั จดั ไดว้ ่าเป็นปัจจยั ท่ีสาคญั อีกปัจจยั
หน่ึงในชีวิตประจาวนั ของมนุษย์ นอกเหนือจากปัจจยั ๔ ท่ีเป็ นความจาเป็ นเพ่ือความอย่รู อดของ
มนุษย์ อนั ไดแ้ ก่ อาหาร ท่ีอยอู่ าศยั เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคแมก้ ารสื่อสารจะไม่ได้มีความ
เกี่ยวขอ้ งโดยตรงกบั ความเป็นความตายของมนุษยเ์ หมือนกบั ปัจจยั ๔ ขา้ งตน้ แต่การท่ีจะใหไ้ ดม้ า
ซ่ึงปัจจยั ๔ ย่อมตอ้ งอาศยั การสื่อสารเป็นเครื่องอยา่ งแน่นอนการส่ือสารเป็นพ้นื ฐานของการติดต่อ
ของมนุษย์ และเป็นเครื่องท่ีสาคญั ของกระบวนการทางสังคมยง่ิ สงั คมมคี วามสลบั ซบั ซอ้ นมากข้ึน
เพียงไร และจะประกอบดว้ ยคนจานวนมากข้ึนเท่าใดการส่ือสารก็ย่งิ มีความสาคญั มากข้ึนเท่าน้ัน
การเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และสังคมท่ีนามาซ่ึงความสับสน ก่อให้เกิดความไม่
เขา้ ใจและความไม่แน่นอนแก่สมาชิกของสงั คม
การส่ือสารเป็นกิจกรรมที่มคี วามต้งั ใจหรือมงุ่ กอ่ ใหเ้ กิดผลในลกั ษณะใดลกั ษณะหน่ึงท้งั ใน
ตวั ของผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารเอง โดยท่วั ไปการส่ือสารเป็ นการกระทาท่ีพยายามก่อใหเ้ กิดความ
ร่วมมอื และความคลา้ ยคลงึ กนั ของท้งั สองฝ่ าย คือ ท้งั ผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารซ่ึงอาจเป็นความพยายาม
ท่ีจะมีอิทธิพลเหนือหรือเอาชนะจิตใจหรือชกั จงู โนม้ นา้ วใจบุคคลอีกฝ่ ายหน่ึงที่กาลงั ส่ือสารดว้ ยใน
๔๐ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๒๖.
๓๐
การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาให้สาเร็จและสามารถตอบสนองความตอ้ งการของสังคมปัจจุบันได้
จาเป็ นจะตอ้ งส่งเสริมใหเ้ รียนรู้ทฤษฎีการโน้มน้าวใจ ซ่ึงหมายถึงการสื่อสารเพื่อการจูงใจ ช้ีแนะ
และชกั ชวนใหบ้ ุคคลทาตามในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง โดยอาศยั กระบวนการส่ือสารเป็ นเคร่ืองมือโน้ม
นา้ วใจ มีผรู้ ับสารเป็ นเป้ าหมายหลกั ในการสื่อสารเพ่ือโนม้ นา้ วใจมีองคป์ ระกอบ ๔ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ผู้
ส่งสาร สาร ช่องทาง และผรู้ ับสาร จะปรากฏอย่ใู นทุกสภาพการณ์ที่ทาการสื่อสาร ผสู้ ่งสารและ
ผรู้ ับสารจะสามารถค้าจุนจริยธรรมในการส่ือสารใหเ้ ป็ นหวั ใจหลกั ของการสื่อสาร รู้จกั คิดและเป็ น
ตวั ของตวั เอง มีความมน่ั ใจในการตดั สินใจ ในขณะเดียวกนั ตอ้ งเคารพการตดั สินใจของผอู้ นื่ ดว้ ย
คือมองโลกในทรรศนะท่ีกวา้ งขวางพยายามอยา่ สรุปภาพรวมท่ีครอบคลุมทุกอยา่ งมากเกินไป
(Overgeneralize) ทุกอยา่ งมคี วามแตกต่าง (Diversity) มองไดห้ ลายทรรศนะ
๓๑
กิจกรรมท้ายบท
๑. พระพุทธเจา้ ทรงวางหลกั เกณฑ์การศึกษาเรียนรู้เก่ียวกบั ศาสนธรรมไวอ้ ย่างไรบา้ ง
ศาสนธรรมท้งั ในส่วนของพระธรรมและพระวนิ ยั มีความสาคญั ต่อพระพุทธศาสนาอยา่ งไรบา้ ง
๒. การศึกษาความหมายของธรรมนิเทศ ผูศ้ ึกษาควรพิจารณาจากหลกั การใดบา้ ง แต่ละ
หลกั การมีรายละเอียดอยา่ งไร และไดข้ อ้ สรุปเก่ียวกบั ความหมายของธรรมนิเทศว่าอยา่ งไร
๓. คาว่า “เผยแผ่” และ “เผยแพร่” มีความแตกต่างหรือเหมือนกนั อยา่ งไร เพราะเหตุใดจึง
ใชค้ าวา่ “เผยแผ”่ กบั พระพุทธศาสนา
๔. ความสาคญั ของธรรมนิเทศว่าดว้ ยการประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจา้ มีจุดเริ่ม
ตามลาดบั อยา่ งไรบา้ ง อธิบายพอสงั เขป
๕. การเลือกประดิษฐานพระศาสนาที่แควน้ มคธ มีแนวทางในการคิดวิเคราะห์เพ่ือให้
ทราบถงึ พระประสงคข์ องพระพทุ ธเจา้ เก่ียวกบั เรื่องน้ีอยา่ งไรบา้ ง
๖. ปฐมเทศนา เรื่อง ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร มใี จความสาคญั กล่าวถึงเรื่องใดบา้ ง เพราะเหตุ
ใดพระพุทธเจา้ จึงทรงแสดงปฐมเทศนาเรื่องน้ีโปรดเบญจวคั คีย์
๗. พระธรรมเทศนาเร่ือง อาทิตตปริยายสูตร มีใจความสาคญั กล่าวถึงเร่ืองใดบา้ ง เพราะ
เหตุใดพระพทุ ธเจา้ จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาเร่ืองน้ีโปรดชฎิลสามพน่ี อ้ ง
๘. การพฒั นาศรัทธาและปัญญาท่ีถกู ตอ้ งตามหลกั พระพทุ ธศาสนา มีแนวทางและวิธีการ
ปฏิบตั ิอยา่ งไรบา้ ง
๙. การฝึ กอบรมตนและและการพ่ึงพาตนเองตามหลกั พระพุทธศาสนา มีแนวทางและ
วธิ ีการปฏบิ ตั ิอยา่ งไรบา้ ง
๑๐. การประยุกตห์ ลกั นิเทศสมยั ใหม่ เพ่ือการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ควรใชแ้ นวทางใน
การพิจารณาอยา่ งไรบา้ ง และไดห้ ลกั ปฏิบตั ิเก่ียวกบั เร่ืองน้ีอยา่ งไรบา้ ง
บทที่ ๒
รูปแบบและการวิธีสอนของพระพทุ ธเจ้า
๒.๑ หลักพทุ ธวธิ ีในการสอน
ในบทน้ีจะพดู ถงึ รูปแบบและวสี อนของพระพุทธเจา้ พระพุทธเจา้ ทรงใชว้ ิธีการสอนแบบ
ประยกุ ต์เข้ากบั สภาพแวดลอ้ มทางภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ทางสังคม จารีต ประเพณีในแต่ละ
ทอ้ งถิ่นท่ีมีความแตกต่างกนั มากมาย ไม่ว่าจะทรงใชว้ ธิ ีไหนก็ตาม เช่น ทรงใชอ้ ุบายในการเลือก
บุคคล รอจงั หวะหรือโอกาส เป็ นตน้ กม็ กั จะประสบผลสาเร็จเสมอ น้นั เพราะความสาเร็จเช่นว่าน้ี
ไม่ใช่เป็ นเหตุผลเฉพาะยคุ สมยั เท่าน้นั แต่ยงั อาศยั บารมธี รรมที่ทรงสร้างมาเพ่ือทาหน้าที่ของพระ
ศาสดา โดยเฉพาะตามที่ท่านแสดงไวใ้ นท่ี ต่าง ๆ ความวา่ “ พระผเู้ ป็ นท่ีพ่ึงของโลก ทรงบาเพ็ญ
บารมใี หบ้ ริบูรณ์เพื่อประโยชน์ เพ่ือเก้ือกลู เพอ่ื ความสุขแก่สิ่งมีชีวิตท้งั หลาย พระองคไ์ ดต้ รัสรู้พระ
อนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณแลว้ เอกบุคคล เมื่อบงั เกิดข้ึนในโลก ยอ่ มบงั เกิดข้ึนเพื่อประโยชน์ เพ่ือ
เก้ือกูล เพ่ือความสุขแก่คนเป็ นอนั มาก เพ่ืออนุเคราะห์ต่อชาวโลก เอกบุคคลน้ันคือพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจา้ ”๑ เพื่อให้ไดแ้ นวทางพระจริยาวตั รของพระพุทธเจา้ ที่เรียกว่า “พุทธจริยา” กิจ
ประจาวนั ที่ทรงบาเพญ็ มาตลอดพระชนมายขุ องพระพุทธเจา้ ที่เรียกว่า “พุทธกิจ” และพุทธลีลาใน
การสอนหรือเทศนาวิธี แลว้ จึงนาไปสู่การสรุปประเด็นเพื่อใหท้ ราบถงึ ความสาคญั ของธรรมนิเทศ
เป็นลาดบั ต่อไป ดงั น้ี
๑) พุทธจริยา คือ พระจริยาวตั รของพระพุทธเจา้ หรือการบาเพ็ญประโยชน์ของ
พระพทุ ธเจา้ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏบิ ตั ิตน มี ๓ ประการ
๑.๑) โลกกตั ถจริยา พระพุทธจริยา เพอ่ื ประโยชน์แก่โลก ทรงประพฤติเป็นประโยชน์
แก่โลก คือ ทรงอาศยั พระมหากรุณาเสดจ็ ไปประกาศพระศาสนาเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนในถ่ิน
ฐานแว่นแควน้ ต่างๆ เป็ นอนั มาก โดยไม่คานึงถึงความเหน่ือยยากหรือความสุขส่วนพระองค์ ได้
ทรงอุทิศเวลาหลงั จากตรัสรู้อนุตรสมั มาสมั โพธิญาณถงึ ๔๕ พรรษา เพอื่ ประกาศหลกั ความจริงอนั
ประเสริฐและหลกั ความประพฤติท่ีถูกตอ้ งดีงามแก่ชาวโลก ดงั เป็ นท่ีประจักษแ์ จง้ แลว้ แก่พุทธ
บริษทั ท้งั สี่ และไดท้ รงประดิษฐานพระศาสนาไวเ้ พ่ือประโยชน์สุขแก่มหาชนภายหลงั มาจนทุก
๑ พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ), พุทธวธิ ีเผยแผ่พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์
มหามกุฎราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐), หนา้ ๑๕.
๓๓
วนั น้ี
๑.๒) ญาตัตถจริ ยา พระพุทธจริ ยา เพื่อประโยชน์แก่พระญาติตามฐานะ ทรง
ประโยชน์แก่พระประยูรญาติ เช่น ทรงอนุญาตให้พระญาติท่ีเป็ นเดียรถียเ์ ขา้ มาอุปสมบทใน
พระพุทธศาสนาไมต่ อ้ งอยตู่ ิดถยิ ปริวาส ๔ เดือนเสียก่อนเหมือนเดียรถียอ์ ่ืน และเสด็จไปห้ามพระ
ญาติที่วิวาทกนั ด้วยเรื่องน้า เป็ นตน้ (ติตถิยปริวาส คือ วิธีอย่กู รรมสาหรับเดียรถียท์ ่ีขอบวชใน
พระพุทธศาสนา กล่าวคื อ นักบวชในลัทธิศาสนาอื่น หากปรารถนาบวชเป็ นภิกษุ ใน
พระพทุ ธศาสนาจะตอ้ งประพฤติปริวาสก่อน ๔ เดือน หรือจนกวา่ พระสงฆพ์ อใจจึงจะอปุ สมบทได้
ส่วนติตถิยปักกนั ตกะ คือผทู้ ่ีไปเขา้ รีตเดียรถยี ท์ ้งั ท่ีเป็นภิกษุจะอปุ สมบทอกี ไมไ่ ด)้
๑.๓) พทุ ธตั ถจริยา พระพุทธจริยาที่ทรงบาเพญ็ ประโยชน์ตามหนา้ ท่ีของพระพุทธเจา้
ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่สตั วโ์ ลก โดยฐานะเป็นพระพทุ ธเจา้ ทรงประดิษฐานพระศาสนาให้
ยง่ั ยนื มาตราบเท่าทุกวนั น้ี
ฉะน้นั พระจริยาวตั รหรือการบาเพญ็ ประโยชน์ของพระพุทธเจา้ ดงั กล่าวน้ัน มิไดท้ รง
บาเพ็ญเพื่อผใู้ ดผหู้ น่ึงเป็ นการเฉพาะ แต่ได้ทรงบาเพ็ญเพื่อชาวโลกท้ังมวลดว้ ยความมุ่งหมายที่
ตอ้ งการใหพ้ ระพุทธศาสนาประดิษฐานยง่ั ยนื ตลอดกาล ความสาคญั ของการเผยแผ่ธรรมซ่ึงเน่ือง
ดว้ ยพุทธจริยาน้นั จึงเกิดจากพุทธคุณอนั ประกอบดว้ ย พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหา
กรุณาคุณ ท่ีทรงมตี ่อหม่สู ตั วท์ ้งั มวลโดยแท้
๒) พุทธกิจ คือ กิจท่ีพระพุทธเจา้ ทรงบาเพ็ญ หรือพุทธกิจประจาวนั ท่ีพระพุทธเจา้ ทรง
ปฏบิ ตั ิทุก ๆ วนั มีอยู่ ๕ ประการ ไดแ้ ก่
๑) ปุเรภตฺตกิจฺจ (ปุพฺพณฺ เห ปิ ณฺ ฑปาต) เวลาเชา้ เสด็จบิณฑบาต
๒) ปจฺฉาภตฺตกิจฺจ (สายณฺ เห ธมฺมเทสน) เวลาเยน็ ทรงแสดงธรรม
๓) ปุริมยามกิจฺจ (ปโทเส ภิกฺขโุ อวาท) เวลาคาประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ
๔) มชฺฌิมยามกิจฺจ (อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหน) เที่ยงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา
๕) ปจฺฉิมยามกิจฺจ (ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกน) ใกลส้ ว่าทรง
ตรวจพิจารณาเวไนยสัตว์ที่พระองคค์ วรเสด็จไปโปรดหรือไม่ มีอะไรเป็ นเหตุ
ปัจจยั และสามารถเขา้ ถึงธรรมที่พระองคแ์ สดงไดห้ รือไม่๒
๒ ท.ี สี.อ. ๔/๗๐/๑.
๓๔
พุทธกิจท้งั ๕ ประการจดั เป็ นการเผยแผ่พุทธธรรมขององค์สมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา้
และเมอื่ จาแนกแลว้ สามารถแบ่งออกเป็น ๔ ลกั ษณะวธิ ีดว้ ยกนั ไดแ้ ก่
(๑) วิธีการยอมรับคาสอนของนกั ปราชญอ์ น่ื คือ ยอมรับคาสอนของนกั ปราชญ์ต่าง ๆ ที่
พระองคเ์ ห็นว่าดีอยแู่ ลว้ ท่ีมีมาก่อนหนา้ น้ีหรือร่วมสมยั กบั พระองค์ ซ่ึงจะสามารถนามาประยกุ ตใ์ ช้
กบั คาสอนของพระองค์ได้ และคาสอนน้ันจะตอ้ งเป็นเรื่องจริงมีประโยชน์เช่นพระองคท์ รงนาเอา
ฌาน สมบตั ิ มาสอนเกี่ยงกบั การทาจิตใหเ้ ป็ นสมาธิ หรือสอนผปู้ ระกอบความทางจิตใหบ้ าเพ็ญ
ฌาน โดยท่ีฌานสมาบตั ิ เป็ นการพาเพญ็ ของนกั พรตจาพวกฤๅษี และคร้ังที่พระองคท์ รงผนวชใหม่
ๆ ก็ไดเ้ ขา้ ไปศึกษาอยทู่ ี่สานักของอาฬารดาบสและอุทกดาบสซ่ึงเป็ นชฎิลจาพวกฤาษี ไดส้ อนให้
พระองคท์ าฌาน สมาบตั ิ จนไดส้ าเร็จอรูปฌาน หลงั จากพระองคต์ รัสรู้แลว้ พระองค์ กไ็ ดน้ าวธิ ีการ
น้นั มาปฏบิ ตั ิและเผยแพร่สืบต่อมา
(๒) วิธีการปฏิบตั ิ คือ วธิ ีการเปลี่ยนแปลงท้งั หมด หมายถึงคาสอนของเจา้ ลทั ธิใดท่ีสอน
กนั มาผดิ ๆ ทาใหค้ นหลงงมงายไร้สาระ ไมม่ ีประโยชน์ไม่เป็นส่ิงที่จะนาคนให้พน้ ไปจากทุกข์ได้
พระองคก์ ็จะทรงสอนเปล่ียนแปลงใหต้ รงกนั ขา้ มกบั คาสอนของเจา้ ลทั ธิเห่ลาน้ัน เช่น บางลทั ธิ
สอนให้คนหมกมุนอย่ใู นกามคุณที่เรียกวา่ “กามสุขลั ลิกานุโยค” ถือว่าการแสวงหาความสุขจาก
กามคุณเป็ นหนทางแห่งความสุข พระองคต์ รัสช้ีแจงตรงกนั ขา้ มว่า “การหลีกออกจากกามเสียได้
เป็นสุขอยา่ งยงิ่ ๆ
บางลทั ธิสอนใหท้ รมานตนให้รับความลาบากที่เรียกวา่ “อตั ตกิลมถานุโยค” ซ่ึงถือวา่ เป็ น
การประพฤติตบะอยา่ งแรงกลา้ เมอ่ื ตายแลว้ ยอ่ มเขา้ ถึงปรมาตมนั ปรพรหมอนั เป็นการหลดุ พน้ ได้
เขา้ ถึงพรหมโลก ไปอยรู่ ่วมกบั พระพรหม ซ่ึงถอื วา่ เป็ นบรมธรรมพระองคต์ รัสปฏิเสธว่า เป็นการ
ทรมานตนใหล้ าบากเปล่า ไม่ใช่หนทางแห่งการตรัสรู้ ไมใ่ ช่การบาเพ็ญเพ่ือตบะ เพราะสิ่งเหลา่ น้ี
พระองคเ์ คยทดลองทาอยา่ งยง่ิ ยวดมาก่อนแลว้ และตรัสวา่ “ขนั ติเท่าน้นั เป็นตบะอยา่ งยงิ่ ”
บางลทั ธิสอนว่าการเขา้ ถึงปรมาตมนั ปรหพรหม หรือการไดอ้ ยรู่ ่วมกนั กบั พระพรหมถือ
วา่ เป็นบรมธรรม เป็นความสุข พระองคต์ รัสสอนวา่ “นิพฺาน ปรม สุข นิพพานเป็นสุขอยา่ งยง่ิ การ
ไดบ้ รรลุพระนิพานเท่าน้ันเป็ นบรมธรรม และพระนิพพานเป็นแก่นแทเ้ ป็ นหลกั ธรรมอนั สูงสุดใน
พระพทุ ธศาสนา” ๓
บางลทั ธิสอนว่าการฆ่าสัตวเ์ พ่ือเซ่นสรวงบูชาเป็ นบุญมหาศาล พระองคต์ รัสสอนให้มี
เมตตาต่อสตั ว์ ไมใ่ หฆ้ า่ สตั ว์ เพราะสิ่งมชี ีวติ ท้งั หลายต่างก็กลวั ความตายดว้ ยกนั ท้งั น้นั หากใครฆ่า
สตั วต์ ดั ชีวติ เพื่อบชู ายญั กจ็ ะไดแ้ ต่บาปเท่าน้นั ไม่เป็นบุญเลย มแี ต่ความเศร้าหมอง
๓ ขุ.ธ. ๒๕/๒๕/๔๒.
๓๕
(๓) วิธีการปฏิรูป คือ การนาเอาความเช่ือเดิมของประชาชนท่ีดีอยแู่ ลว้ แต่ยงั มจี ุดบกพร่อง
อยบู่ า้ งมาปรับปรุงเปล่ียนแปลงแกไ้ ขใหม่ใหด้ ีข้ึนกว่าเดิม เพ่อื ใหผ้ ลในทางปฏิบตั ิสมบรู ณ์ ในขอ้ น้ี
พระองคไ์ ดท้ รงปรับปรุงแกไ้ ขหลกั การเดิม และวธิ ีการของเหล่านกั บวชที่มีอยกู่ ่อนแลว้ ซ่ึงเป็นขอ้
ปฏิบตั ิที่ทากนั มาก่อนหน้าน้ี ทรงนามาประยกุ ตแ์ กไ้ ขเพ่ิมเติมอีกคร้ัง เช่น เรื่องการจาพรรษา และ
วนั อุโบสถ เป็นตน้ ซ่ึงเป็ นวนั ท่ีประชาชนยดึ ถือปฏิบตั ิกนั มาก่อนเป็ นเวลานานแลว้ เม่ือพระองค์
ทรงเห็นว่าเป็ นส่ิงที่ดี จึงได้นามาปรับปรุงใชใ้ หม่ และทรงปรับปรุงแกไ้ ขคาเรียกนักบวชใน
พระพุทธศาสนาวา่ ภิกษุบา้ ง สมณะบา้ ง บรรพชิตบา้ ง เพราะการเผยแผ่พระศาสนาจาตอ้ งอาศยั
ถอ้ ยคาที่เขาใชพ้ ดู กนั ในสมยั น้นั
(๔) วิธีการบญั ญตั ิหลกั การข้ึนใหม่ คือ วธิ ีการน้ีเป็นสิ่งท่ีใคร ๆ ยงั ไม่ไดน้ ามาสั่งสอนกนั
ในสมยั น้นั เช่น หลกั อริยสจั ๔ ปฏิจจสมปุ บาท อนตั ตา และนิพพาน ซ่ึงความจริงแลว้ การสอน
ของพระพุทธองค์มีวิธีการและลกั ษณะลีลาการสอนพุทธลีลาในการสอน หรือ เทศนาวิธี ๔ การ
สอนของพระพุทธเจา้ แต่ละคร้ัง แมท้ ่ีเป็ นเพียงธรรมีกถา หรือการสนทนาทวั่ ไปซ่ึงมิใช่คราวที่มี
ความมุ่งหมายเฉพาะพิเศษก็จะดาเนินไปอยา่ งสาเร็จผลดีโดยมีองค์ประกอบท่ีเป็ นคุณลกั ษณะ ๔
ประการไดแ้ ก่
๑) สนั ทสั สนา ช้ีแจงใหเ้ ห็นชดั คือ จะสอนอะไร ก็ช้ีแจงจาแนกแยกแยะอธิบายและแสดง
เหตุผลใหช้ ดั เจน จนผฟู้ ังเขา้ ใจแจ่มแจง้ เห็นจริงเห็นจงั ดงั จงู มือไปดเู ห็นกบั ตา
๒) สมาทปนา ชวนใจใหอ้ ยากรับเอาไปปฏิบตั ิ คือ สิ่งใดควรปฏิบตั ิ หรือหัดทา ก็แนะนา
หรือบรรยายใหซ้ าบซ้ึงในคุณค่า มองเห็นความสาคญั ที่จะตอ้ งฝึกฝนบาเพญ็ จนใจยอมรับ อยากลง
มือทา หรือนาไปปฏบิ ตั ิ
๓) สมุตเตชนา เร้าใจให้อาจหาญแกลว้ กลา้ คือ ปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้น เกิดความ
อุตสาหะ มีกาลงั ใจแขง็ ขนั มนั่ ใจที่จะทาใหส้ าเร็จจงได้ สูง้ าน ไม่หวนั่ ระยอ่ ไม่กลวั เหนื่อย ไม่กลวั
ยาก
๔) สัมปหังสนา ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง คือ บารุ งจิตให้แช่มชื่นเบิกบาน โดย
ช้ีใหเ้ ห็นผลดีหรือคุณประโยชน์ที่จะไดร้ ับและทางที่จะกา้ วหนา้ บรรลุผลสาเร็จยง่ิ ข้ึนไป ทาใหผ้ ฟู้ ัง
มีความหวงั และร่าเริงเบิกบานใจ สมดงั พทุ ธดารัสท่ีว่า “สพฺพ รส ธมฺมรโส ชินาติ รสพระธรรมชนะ
รสท้งั ปวง สพฺพ รตึ ธมฺมรตี ชินาติ ความยนิ ดีในธรรมชนะความยนิ ดีท้งั ปวง”๔ อรรถกถาช้ีแจง
เพมิ่ เติมว่า ขอ้ ๑ ปลดเปล้อื งความเขลาหรือความมืดมวั ขอ้ ๒ ปลดเปล้ืองความประมาท ขอ้ ๓ ปลด
๔ ขุ.ข.ุ ๒๕/๓๔/๖๓., ข.ุ ธ. ๒๕/๒๕/๔๒.
๓๖
เปล้ืองความอดื คร้าน ขอ้ ๔ สมั ฤทธ์ิ การปฏิบตั ิ จา ๔ ขอ้ น้ีส้นั ๆ ว่า “ช้ีใหช้ ดั ชวนใหป้ ฏิบตั ิ เร้าให้
กลา้ ปลกุ ใหร้ ่าเริง หรือ แจ่มแจง้ จงู ใจ แกลว้ กลา้ ร่าเริง”๕
พระพทุ ธเจา้ ทรงมีวิธีการสอนของพระองค์ ท่ีเหมาะสมนบั ว่าเป็นบนั ไดข้นั แรกท่ีจะนาผฟู้ ัง
ไปสู่ความรู้ในช้นั สูงๆ ข้ึนไป มอี ยู่ ๘ วิธีดงั น้ี
(๑) ทรงรู้วิธีการเร่ิมตน้ ในการสอนทุกคร้ัง พระพทุ ธองคจ์ ะทรงมีวธิ ีการเร่ิมตน้ ท่ีเหมาะสม
แก่กรณี ท้งั น้ีเพอ่ื เตรียมผฟู้ ังใหพ้ ร้อมที่จะรับฟังการสอนของพระองค์ เช่น “พบนายพรานเบ็ดชื่อว่า
อริยะกต็ รัสถามวา่ เขาช่ืออะไร แลว้ แสดงธรรมว่าผทู้ ี่ชื่อวา่ อริยะตอ้ งไม่ทาปาณาติบาต”๖
(๒) ทรงรู้การสร้างบรรยากาศในการสอน เช่น “พระพุทธเจา้ ทรงสอนโสณฑณั ฑพราหมณ์
ผมู้ ีความปริวิตกตอ้ งการให้พระพทุ ธเจา้ ตรัสถามปัญหาเกี่ยวกบั ไตรเพทท่ีตนเองชานาญ แลว้ ตนจะ
กราบทูลแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งดีท่ีสุด พระพุทธเจา้ ทรงทราบเหตุน้นั จึงตรัสถามปัญหาเกี่ยวกบั ไตรเพท
ของพราหมณ์ ดว้ ยถามถงึ คุณสมบตั ิของพราหมณ์เพือ่ สร้างบรรยากาศใหพ้ ราหมณ์เกิดความสบายใจ
ก่อน แลว้ จึงจะสอนธรรมะท่ียงิ่ ยวดที่พราหมณ์น้นั ควรรู้ควรเห็นไดใ้ นท่ีสุด”๗
(๓) ทรงสอนมุง่ เน้ือหาแก่ผฟู้ ัง พระพุทธเจา้ ทรงสอนผคู้ นกเ็ พอ่ื ที่จะใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจถงึ หลกั
เน้ือหาต่าง ๆ กล่าวคือ ตัวคาสอน แม้บางคร้ังก็ถูกทูลถามว่าลทั ธิใดผิด ลทั ธิใดถูก ตรงน้ี
พระพทุ ธเจา้ จะตรัสเสมอวา่ “อย่าเลยสาหรับการบอกว่าลทั ธิใดผดิ หรือถกู ขอใหพ้ กั ไวก้ ่อน ขอให้
ฟังเราก่อนดีกวา่ ”๘
(๔) ทรงสอนโดยเคารพ พระพุทธเจา้ ทรงสอนสาวกดว้ ยความเคารพ กล่าวคือ พระองค์
ทรงสอนดว้ ยการเอาพระทยั ใส่ในการสอนทุกคร้ัง ดว้ ยทรงระลกึ อยเู่ สมอว่า ส่ิงที่พระองคก์ าลงั สอน
อยนู่ ้นั เป็นสิ่งท่ีมีค่าและมคี วามสาคญั ต่อผฟู้ ัง ไมท่ รงมองวา่ ผฟู้ ังเป็นคนต่าตอ้ ยหรือโง่เขลา และทรง
ถือวา่ งาน คือ การสอนน้ีเป็นงานท่ีสาคญั หาใช่สกั แต่ว่าสอนไปเท่าน้นั ดงั พทุ ธดารัสวา่
ดกู ่อนภิกษุท้งั หลาย ถา้ แมต้ ถาคตจะแสดงธรรมแก่ภิกษุท้งั หลาย ตถาคตยอ่ มแสดง
โดยเคารพ ไม่แสดงโดยไม่เคารพ ถา้ แมจ้ ะแสดงธรรมแก่ภิกษุณีท้งั หลาย ยอ่ มแสดงโดย
เคารพ ไม่แสดงโดยไมเ่ คารพ ถา้ แมจ้ ะแสดงธรรมแก่อุบาสกท้งั หลายยอ่ มแสดงโดยเคารพ
ไม่แสดงโดยไม่เคารพ ถา้ แมจ้ ะแสดงธรรมแก่อุบาสิกาท้งั หลาย ย่อมแสดงโดยเคารพ ไม่
แสดงโดยไม่เคารพ ถา้ แมจ้ ะแสดงธรรมแก่ปุถุชนท้งั หลาย ยอ่ มแสดงโดยเคารพ ไม่แสดง
๕ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์คร้ังที่ ๙,
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , หนา้ ๑๕๘–๑๕๙.
๖ ขุ.ธ.อ. ๑๘/๔๐๒/๓.
๗ ท.ี สี. ๙/๑๗๘-๙๘/๑๔๒-๑๖๑.
๘ องฺ.นวก. ๒๓/๒๔๒/๔๔๖-๔๕๐.
๓๗
โดยไม่เคารพ โดยท่ีสุดแมแ้ ก่คนขอทานและพรานนก ยอ่ มแสดงโดยเคารพ ไมแ่ สดงโดย
ไม่เคารพ ขอ้ น้นั เพราะเหตุไร เพราะตถาคตเป็นผหู้ นกั ในธรรม เคารพในธรรม๙
(๕) ทรงสอนดว้ ยอาการอนั สุภาพ พระพทุ ธเจา้ ทรงมกี ารสอนดว้ ยอาการอนั สุภาพนุ่มนวล
สละสลวยต่อผฟู้ ังเสมอกนั หมด เพราะพระองคม์ ีพระทัยอนั ไม่ระคนกบั กิเลสเครื่องเศร้าหมอง
ท้งั หลาย ดงั คากลา่ วของโสณฑณั ฑพราหมณ์ที่วา่
พระองคม์ พี ระวาจาไพเราะ มพี ระสาเนียงไพเราะ ประกอบดว้ ยวาจาของ
เมืองสละสลวยหาโทษมิได้ ให้ผฟู้ ังเข้าใจเน้ือความได้ชดั ... พระองคเ์ ป็ นกรรม
วาที เป็นกิริยวาที ไม่ทรงมุ่งร้ายแก่พวกพราหมณ์ ... พระเกียรติศพั ทอ์ นั งามของ
พระองค์ขจรไปแล้ว… พระองค์มีปรกติกล่าวเช้ือเชิญเจรจา ผูกไมตรี ช่าง
ปราศรัย พระพกั ตร์ไม่สยิว เบิกบาน มีปรกติตรัสก่อน ... พระองค์เป็ นผอู้ ัน
บริษทั ๔ สักการะเคารพนับถือบูชานอบน้อม ... เทวดาและมนุษยเ์ ป็ นอนั มาก
เลือ่ มใสพระองคย์ ง่ิ นกั ๑๐
(๖) ทรงสอนอย่างละมุนละม่อม ส่วนมากแลว้ พระพุทธเจา้ จะใชว้ ิธีน้ีกบั ผฟู้ ังท่ีมีความ
หวดกลวั หรือเกิดความสงั เวชสลดหดหู่ใจเป็ นอยา่ งมาก รวมท้งั ผฟู้ ังผปู้ ฏิบตั ิท่ีมีจิตใจยงั ไม่สงบ
เช่นพทุ ธดารัสท่ีวา่
ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย เราจะขอเตือนเธอท้งั หลาย การท่ีบุคคลผทู้ ุศีล ฯลฯ
เป็ นดังหยากเยื่อ บริ โภควิหารท่ีเขาถวายด้วยศรัทธา ของกษัตริ ย์มหาศาล
พราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาล จะดีอยา่ งไร…แต่ผนู้ ้นั เมื่อตายไป ไม่พึง
เขา้ ถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะข้อน้ันเป็ นปัจจยั ส่วนการท่ีบุคคลผูท้ ุศีล
ฯลฯ ดกู ่อนภิกษุท้งั หลาย เพราะเหตุน้นั แหละ เธอท้งั หลายพึงศึกษาอยา่ งน้ีว่า เรา
ท้งั หลายบริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจยั เภสัชบริขาร ของชน
เหลา่ ใด ปัจจยั ของชนเหล่าน้นั จกั มผี ลมาก มอี านิสงส์มากและการบรรพชาของ
เราท้งั หลายจกั ไม่เป็นหมนั มีผล มกี าไร ดูก่อนภิกษุท้งั หลายเธอท้งั หลายพึงศกึ ษา
อย่างน้ีแล อน่ึง เธอท้งั หลายพึงศึกษาอย่างน้ีว่า เมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ตน
ควรแทท้ ีเดียวท่ีจะให้ประโยชนน์ ้ันสาเร็จดว้ ยความไม่ประมาทเมือ่ พจิ ารณาเห็น
ประโยชน์ผอู้ ื่น ก็ควรแทท้ ีเดียวที่จะใหป้ ระโยชนน์ ้นั สาเร็จดว้ ยความไมป่ ระมาท
๙ องฺ.ปญจฺ ก. ๒๒/๙๙/๑๓๗-๑๓๘.
๑๐ ท.ี สี. ๙/๑๘๒/๑๔๘.
๓๘
หรือเม่อื พิจารณาเห็นประโยชน์ท้งั สอง ก็ควรแทท้ ีเดียวท่ีจะให้ประโยชนท์ ้งั สอง
น้นั สาเร็จดว้ ยความไมป่ ระมาท๑๑
(๗) ทรงสอนดว้ ยวธิ ีการรุนแรง พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนดว้ ยวิธีการรุนแรงน้ีก็เพ่ือใหเ้ ขา้ กบั
อุปนิสัยความตอ้ งการของผฟู้ ัง กระตุน้ ใหผ้ ฟู้ ังไดเ้ กิดความสานึกในส่ิงท่ีพระองคก์ าลงั สอนอย่นู ้นั
เช่นพทุ ธดารัสท่ีวา่
ดูก่อนเกสี ถา้ บุรุษที่ควรฝึ กของเราไม่เขา้ ถงึ การฝึ กดว้ ยวิธีละม่อม ดว้ ย
วิธีรุนแรง ดว้ ยวธิ ีท้งั ละมอ่ มท้งั รุนแรง เราก็ฆ่าเขาเสียเลยฯ จริง เกสี ปาณาติบาต
ไมส่ มควรแก่ตถาคต ก็แต่ว่าบุรุษท่ีควรฝึกใด ยอ่ มไม่เขา้ ถึงการฝึ กดว้ ยวิธีละมอ่ ม
ดว้ ยวิธีรุนแรง ดว้ ยวิธีท้งั ละม่อมท้งั รุนแรง ตถาคตไม่สาคญั บุรุษที่ควรฝึ กน้นั ว่า
ควรว่ากล่าว ควรสง่ั สอน แมพ้ รหมจารีผเู้ ป็ นวิญญูชนก็ย่อมไม่สาคญั ว่า ควรว่า
กล่าว ควรส่ังสอน ดูกรเกสี ขอ้ ท่ีตถาคตไม่สาคญั บุรุษที่ควรฝึ กว่า ควรว่ากล่าว
ควรส่ังสอน แม้ สพรหมจารีผเู้ ป็ นวิญญูชนท้ังหลายก็ไม่สาคญั ว่า ควรว่ากล่าว
ควรสงั่ สอน น้ีเป็นการฆา่ อยา่ งดีในวินยั ของพระอริยะ๑๒
(๘) ทรงสอนอย่างขอร้องวิงวอน พระพุทธเจา้ ทรงสอนอยา่ งขอร้องวิงวอนต่อผฟู้ ังดว้ ย
ทรงมุง่ หวงั ใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจในตวั ของผฟู้ ังนนั่ เอง เช่นพุทธดารัสที่ว่า
ดกู ่อนภิกษุท้งั หลาย เธอท้งั หลายจงเป็ นมีศลี อนั สมบูรณ์ มปี าติโมกขอ์ นั
สมบูรณ์ อยเู่ ถดิ จงเป็นผสู้ ารวมดว้ ยความสารวมในปาติโมกข์ ถงึ พร้อมดว้ ยอาจา
ระและโคจรอยู่เถิด จงเป็ นผูม้ ีปกติเห็นภัยในโทษท้ังหลายมีประมาณน้อย
สมาทานศึกษาในสิกขาบทท้งั หลายเถดิ ฯ ดกู รภิกษุท้งั หลาย ถา้ ภิกษุจะพึงหวงั ว่า
ขอเราพึงเป็ นท่ีรัก เป็ นท่ีชอบใจ เป็ นท่ีเคารพ และเป็ นผคู้ วรยกย่องของเพ่ือน
พรหมจรรยท์ ้งั หลายเถิดดงั น้ี ภิกษุน้นั พึงกระทาใหบ้ ริบรู ณ์ในศีล หมนั่ ประกอบ
ธรรมเคร่ืองระงบั จิตของตน ไม่ทาฌานใหเ้ หินห่าง ประกอบดว้ ยวิปัสสนา พอก
พนู สุญญาคาร๑๓
การสอนธรรมะของพระพทุ ธเจา้ มีวิธีการที่หลากหลาย พระองคจ์ ะทรงพจิ ารณาจากบุคคล
ที่กาลงั รับฟัง ถา้ บุคคลมีระดบั สติปัญญาน้อยก็จะทรงสอนธรรมะอกี รูปแบบหน่ึง ผมู้ ีปัญญามากก็
จะใช้อีกรูปแบบหน่ึง แต่ถึงจะมีวิธีการสอนที่หลากหลายอย่างไร เม่ือจดั เขา้ อย่ใู นประเภทแลว้
จาแนกวิธีการสอนของพระพทุ ธเจา้ ได้ ๔ ประเภท ไดแ้ ก่
๑๑ องฺ.สตตฺ ก. ๒๓/๖๙/๑๒๙-๑๓๗.
๑๒ องฺ.จตุกกฺ . ๒๑/๑๑๑/๑๕๐-๑๕๒.
๑๓ ม.มู. ๑๒/๗๓-๙๐/๕๘-๖๓.
๓๙
(๑) แบบสากจั ฉาหรือสนทนา เป็ นการสอนโดยใช้วิธีการถามคู่สนทนา เพื่อทาให้เกิด
ความเขา้ ใจธรรมะและความเล่ือมใสศรัทธา วิธีการสอนแบบน้ีจะเห็นไดจ้ ากการที่พระองค์ ใช้
โปรดบุคคลในกลุ่มที่มีจานวนจากดั ท่ีสามารถพูดตอบโตก้ ันได้ การสอนแบบน้ีจะมีปรากฏใน
พระไตรปิ ฎกหลายๆที่ เช่น กรณีของปริพพาชกช่ือว่า “วจั ฉโคตร ท่ีเขา้ ไปทูลถามเร่ืองความเห็น
สุดโต่ง ๑๐ ประการกบั พระองค์ และก็ไดม้ ีการสนทนาแบบถาม – ตอบ ในเร่ืองดงั กล่าวระหว่าง
ปริพพาชกกบั พระพุทธองค์”๑๔ ในการสอนแบบสากจั ฉาหรือสนทนา จะมีการถามในรายละเอียด
ไดม้ ากกวา่ การสอนแบบทว่ั ไป เพราะเป็ นการใหข้ อ้ มลู ต่อกลมุ่ ชนที่มีจานวนจากดั ซ่ึงเมอ่ื พระพุทธ
องคแ์ สดงธรรมจบ ผฟู้ ังมกั จะไดร้ ับคุณวเิ ศษจากการฟังธรรมโดยวิธีน้ีอยเู่ สมอ
(๒) แบบบรรยาย พระพุทธเจา้ จะทรงใชใ้ นที่ประชุมใหญ่ ในการแสดงธรรมประจาวนั
ซ่ึงมปี ระชาชนและพระสาวกเป็นจานวนมากมารับฟัง ถอื ว่าเป็นวธิ ีการที่พระพุทธองคใ์ ชม้ ากที่สุด
ในการแสดงธรรม มีท้ังการแสดงธรรมท่ีมีใจความยาว และท่ีมีใจความแบบส้ันๆ ตามแต่
สถานการณ์ที่เห็นวา่ เหมาะสม เช่น ในพรหมชาลสูตร พระองคก์ ไ็ ดบ้ รรยายเกี่ยวกบั เน้ือหาของศลี
ซ่ึงแบ่งออกเป็ น ๓ ระดบั คือ “ ๑) ศีลระดบั ตน้ ท่ีเรียกว่าจุลศีล ๒) ศีลระดบั กลางท่ีเรียกว่ามชั ฌิม
ศีล ๓) ศีลระดบั สูงท่ีเรียกว่ามหาศีลและในตอนทา้ ยก็ทรงแสดงเรื่องทิฏฐิ ทฤษฎีหรือปรัชญาของ
ลทั ธิต่าง ๆ ร่วมสมยั พุทธกาลซ่ึงมีท้งั หมด ๖๒ ทฤษฎี โดยพระพุทธเจา้ ทรงนามาแสดงหรือบรรยาย
และช้ีใหเ้ ห็นว่าพระพุทธศาสนามีความเห็นหรือมีหลกั คาสอนที่ต่างจากทฤษฎีท้งั ๖๒ ประการน้ี
อยา่ งไร”๑๕
(๓) แบบตอบปัญหา การสอนแบบตอบปัญหาของพระพทุ ธเจา้ จะทรงสอนใหพ้ จิ ารณาดู
ลกั ษณะของปัญหาและใชว้ ิธีตอบใหเ้ หมาะสมกนั ซ่ึงในการตอบปัญหาของพระองคน์ ้ัน จะทรง
พจิ ารณาจากความเหมาะสม ตามลาดบั แห่งภูมิรู้ของผถู้ ามเป็นสาคญั เช่น ในเทวตาสงั ยตุ ที่มเี ทวดา
ไปทูลถามพระพุทธเจา้ ว่า “บุคคลใหอ้ ะไรชื่อว่าให้กาลงั ช่ือว่าให้วรรณะ ช่ือว่าใหค้ วามสุข ชื่อว่า
ให้จกั ษุ ช่ือว่าใหท้ ุกส่ิงทุกอยา่ ง” พระพุทธเจา้ ก็ตรัสตอบว่า “บุคคลท่ีให้ขา้ ว ช่ือวา่ ใหก้ าลงั ใหผ้ า้
ช่ือว่าใหว้ รรณะ ใหย้ านพาหนะช่ือว่าใหค้ วามสุข ใหป้ ระทีปชื่อว่าใหจ้ กั ษุ และผใู้ หท้ ี่พกั ชื่อวา่ ใหท้ ุก
สิ่งทุกอยา่ ง ส่วนผพู้ ร่าสอนธรรมช่ือว่าให้อมตะ”๑๖ ซ่ึงในเน้ือหาดงั กล่าว แสดงให้เห็นถึงลกั ษณะ
การสอนแบบตอบปัญหา และแสดงถึงการให้ความหมาย ดว้ ยการตีความคาถามในขณะเดียวกนั
ดว้ ย
๑๔ ม.ม. ๑๓/๒๔๐-๓/๒๓๖-๒๓๙.
๑๕ ที.สี. ๙/๑-๙๑/๑-๖๐.
๑๖ สํ.ส. ๑๕/๑๓๘/๔๔.
๔๐
(๔) แบบวางกฎขอ้ บงั คบั เป็ นการสอนโดยใชว้ ธิ ีการกาหนดหลกั เกณฑ์ กฎ และขอ้ บงั คบั
ให้พระสาวกหรือสงฆป์ ฏิบัติ หรือยึดถือปฏิบตั ิดว้ ยความเห็นชอบพร้อมกนั วิธีการน้ีจะเป็ น
ลกั ษณะของการออกคาสง่ั ใหผ้ ศู้ ึกษาปฏบิ ตั ิตามซ่ึงถือว่าเป็นการสอนโดยการวางระเบียบใหป้ ฏิบตั ิ
ร่วมกนั เพื่อความสงบสุขแห่งหม่คู ณะ ดงั จะเห็นไดจ้ ากการที่พระองค์ทรงบญั ญตั ิพระวินัยต่าง ๆ
ซ่ึงใชเ้ ป็ นขอ้ บงั คับให้พระภิกษุไดป้ ฏิบตั ิตามและท่ีสาคญั กฎขอ้ บงั คบั ที่พระองคท์ รงบญั ญัติน้ัน
สามารถเป็นตวั แทนของพระองคไ์ ด้ ดงั พุทธดารัสในวนั ท่ีจะเสด็จปรินิพพานว่า “ธรรมและวนิ ยั ที่
เราแสดงแล้ว บัญญัติแลว้ แก่เธอท้ังหลาย หลังจากเราล่วงลับไปก็จะเป็ นศาสดาของเธอ
ท้งั หลาย”๑๗ วิธีการสอนของพระพทุ ธเจา้ น้นั มมี าก สามารถสรุปลงเป็น ๕ วิธีการ ดงั น้ี
(๑) ทรงสอนโดยวธิ ีเอกงั สลกั ษณะ คือ ทรงแสดงยนื ยนั ไปขา้ งเดียว เช่น ความดีมผี ลเป็นสุข
ความชวั่ มีผลเป็นทุกข์ หรือกศุ ลเป็นส่ิงท่ีควรบาเพญ็ อกุศลเป็นส่ิงท่ีควรละ ดงั พทุ ธดารัสที่ว่า
ดูกรภิกษุท้งั หลาย โทษในเพราะทุจริต ๕ ประการน้ี ๕ ประการเป็ นไฉน
คือ แมต้ นเองยอ่ มติเตียนตนได้ ๑ วิญญูชนพิจารณาแลว้ ย่อมติเตียนได้ ๑ กิติศพั ท์
อนั ชว่ั ยอ่ มฟ้ ุงไป ๑ ยอ่ มเป็ นผหู้ ลงกระทากาละ ๑ เม่ือตายไปยอ่ มเขา้ ถงึ อบาย ทุคติ
วนิ ิบาต นรก ๑ ดกู รภิกษุท้งั หลายโทษในเพราะทุจริต ๕ ประการน้ีแล
ดกู รภิกษุท้งั หลาย อานิสงส์ในเพราะสุจริต ๕ ประการน้ี ๕ ประการเป็ น
ไฉน คือ แมต้ นเองยอ่ มไมต่ ิเตียนตนได้ ๑ วญิ ญูชนพิจารณาแลว้ ยอ่ มสรรเสริญ ๑ กิ
ติศพั ท์อนั งามยอ่ มฟ้ ุงไป ๑ ยอ่ มไม่เป็นผหู้ ลงกระทากาละ ๑ เมื่อตายไปยอ่ มเขา้ ถึง
สุคติโลกสวรรค์ ๑ ดกู รภิกษุท้งั หลาย อานิสงสใ์ นเพราะสุจริต ๕ ประการน้ีแล๑๘
รวมความว่า การสอนหรือการตอบในลกั ษณะน้ี เป็ นการสอนหรือตอบแบบ
เด็ดขาดโดยอาศยั ความรู้จริง การปฏิบัติที่ไดผ้ ลจริง เช่น ฆ่าผอู้ ื่นตายก็ยอ่ มมีผลเป็ นบาป
เป็นความชวั่ อยา่ งแน่นอน
(๒) ทรงสอนโดยวิธีวิภชั ชลกั ษณะ คือ ทรงแยกประเด็นใหช้ ดั เจน เช่น เร่ืองท่ีทรงแสดง
แก่อภยั ราชกุมารในอภยั ราชกมุ ารสูตร เป็นตน้ ดงั พุทธพจนท์ ่ีวา่ “วาจาใดท่ีไมจ่ ริง ไม่มีประโยชน์
จะเป็นท่ีรักที่พอใจของผอู้ ืน่ หรือไม่ กไ็ ม่ตรัสพระวาจาน้นั ส่วนวาจาใดท่ีจริง ที่มปี ระโยชน์ จะเป็ น
ที่รักท่ีพอใจของผอู้ ่นื หรือไม่ก็ตาม ก็ทรงเลอื กกาลเวลาตรัสพระวาจาน้นั ”๑๙
รวมความว่า การสอนโดยวิธีน้ี คือ การแยกประเด็นสอนหรือตอบคาถาม เช่นมีผถู้ ามว่า
ผหู้ ญิงกบั ผชู้ ายใครดีกวา่ กนั อยา่ งน้ีเป็นตน้ จะตอบยนื ยนั ไปขา้ งเดียวแบบเอกงั สไมไ่ ด้ควรตอบแยก
๑๗ ที.ม. ๑๐/๑๔๓/๑๘๐.
๑๘ องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๒๔๑/๒๙๖.
๑๙ ม.ม. ๑๓/๙๔/๙๑.