The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Communication in Tipitaka)-ผศ.ดร.ไพฑุรย์-สวนมะไฟ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chokoooon, 2021-06-13 23:57:25

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Communication in Tipitaka)

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Communication in Tipitaka)-ผศ.ดร.ไพฑุรย์-สวนมะไฟ

๔๑

วา่ เป็นหญิงบางคนดีกว่าชายบางคน ชายบางคนดีกว่าหญิงบางคน ดงั น้ีเป็นตน้ เป็นคาตอบหรือคา
สอนท่ีมีเงื่อนไข

(๓) ทรงสอนโดยวิธีปฏิปุจฉาลกั ษณะ คือ ทรงถามยอ้ นเสียก่อน แลว้ จึงตรัสสอน เช่น ท่ี
ทรงสนทนากบั สจั จกนิครนถเ์ รื่องอตั ตา และอนตั ตา โดยท่ีสจั จนิครนถย์ นื ยนั ว่ารูป เวทนา สัญญา
สังขารและวิญญาณเป็ นตัวตน มีอย่จู ริง เปรียบดังพืชพนั ธุ์ ธญั ญาหารอาศยั แผ่นดินจึงงอกงาม
ไพบูลยไ์ ด้ พระพุทธเจา้ ตรัสถามเขาวา่ ถา้ สิ่งเหล่าน้นั เป็ นของตนจริงมีอยจู่ ริงแลว้ ท่านมีอานาจที่
จะบังคบั ไดห้ รือว่า ขอรูของเราจงเป็ นอย่างน้ี อย่าเป็ นอย่างน้ัน สัจจกนิครนถ์นั่งน่ิงไม่ตอบ
พระพุทธเจา้ จึงตรัสถามอีกถงึ ๒ คร้ัง สจั จกนิครนถก์ ไ็ มต่ อบในที่สุด สจั จกนิครนถจ์ ึงยอมรับวา่ ตน
หลงผดิ ไป ท่ีจริงแลว้ เป็ นอยา่ งที่พระพุทธองคต์ รัสสอนวา่ “รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ
ไมเ่ ที่ยง ไมม่ ีตวั ตน บงั คบั บญั ชาไม่ไดว้ า่ จงเป็นอยา่ งน้ีเถิด อยา่ เป็นอยา่ งน้นั เลย”๒๐

รวมความว่า ปฏิปุจฉาพยากรณ์ คือ การส่งั สอนหรือสนทนาแบบถามยอ้ นเสียก่อนให้ผู้
สนทนาตอบปัญหาทางนามธรรมอนั ลึกซ้ึงไปไดเ้ อง เช่น มีคนถามวา่ เมื่อความรู้เกิดข้ึน ความไม่รู้
หายไปไหน เราอาจถามยอ้ นในสิ่งท่ีมองเห็นง่ายๆ เสียก่อนวา่ เม่อื แสงสว่างเกิดข้ึน ความมืดหายไป
ไหน ดงั น้ีเป็นตน้ ถา้ เขาตอบปัญหาท่ีเราถามได้ กเ็ ป็นอนั ตอบปัญหาของเขาไปในตวั

(๔) ทรงสอนโดยฐปนลกั ษณะ คือ พกั ปัญหาไว้ ไมท่ รงพยากรณ์ กลา่ วคือ ไม่ทรงตอบเร่ือง
น้นั เพราะทรงเห็นว่าไม่เป็ นประโยชน์ หรือยงั ไม่ถึงเวลาท่ีจะรู้ เช่นเรื่องพระมาลุงกยะมาทูลถาม
เร่ืองโลกเที่ยงหรือไม่เท่ียงเป็ นตน้ พระพุทธเจา้ ทรงเห็นว่าไมจ่ าเป็นท่ีจะตอบปัญหาอยา่ งน้ี จึงทรง
น่ิงเสีย แต่ทรงช้ีแจง้ ใหพ้ ระมาลุงกยะเขา้ ใจว่า “เร่ืองทุกขซ์ ่ึงเผชิญหนา้ มนุษยอ์ ยเู่ ป็นปัญหาเร่งด่วนที่
จะตอ้ งรู้ก่อน เปรียบดงั คนที่ถกู ลูกศรอาบยาพษิ ควรรีบขวนขวายรักษาแผลใหห้ ายดีกว่ามวั สนใจ
เร่ืองว่าใครยงิ ลกู ศรทาดว้ ยอะไร”๒๑

(๕) ทรงสอนโดยวิธีอุปมาลกั ษณะ คือ “ทรงสอนแบบเปรียบเทียบ เช่น ทรงเปรียบเทียบ
ภิกษุดว้ ยผา้ เปลอื กไมแ้ ละผา้ กาสี”๒๒ วธิ ีน้ีนบั ว่ามีอยมู่ ากในพุทธวธิ ีการสอนของพระพทุ ธเจา้

ดว้ ยพุทธวิธีอนั ชาญฉลาดและมปี ระโยชน์แก่ผูฟ้ ังน่ีเอง พระพทุ ธเจา้ จึงทรง
สามารถต้งั พุทธจกั ร ศาสนจกั รข้ึนท่ามกลางศาสดาเจา้ ลทั ธิท้งั หลายในสมยั น้นั ซ่ึง
ลว้ นต่อต้านและเป็ นปฏิปักษ์ต่อคาสอนของพระองค์เสมือนดอกบัวโผล่ข้ึน
ท่ามกลางหนามและโคลนตม แต่ก็ทรงสามารถหมุนธรรมจักรอนั ประเสริฐสู่

๒๐ ม.มู. ๑๒/๓๙๒-๔๐๔/๔๒๐-๓๔.
๒๑ ม.ม. ๑๓/๑๔๗-๑๕๒/๑๔๓-๑๕๓.
๒๒ องฺ.ติก. ๒๐/๕๓๙/๓๑๗-๓๒๐.

๔๒

ดวงใจของมนุษยใ์ ห้ไดร้ ับรสพระธรรมเป็ นท่ียอมรับกนั ทั่วหนา้ ว่า คาสอนของ
พระพุทธองคเ์ ป็นสิ่งอานวยสุขใหจ้ ริงต้งั แต่บดั น้นั จนกระทง่ั บดั น้ี๒๓
ส่วนท่าทีท่ีพระพุทธเจา้ ทรงสอนน้นั มีอยู่ ๓ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่
(๑) ทรงสอนอยา่ งละมุนละม่อม เช่นท่ีตรัสกบั ภิกษุท้งั หลายว่า “ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย จะ
เป็ นความงามหาน้อยไม่ ถา้ พวกเธอผบู้ วชในธรมรวินัยที่เรากล่าวไวด้ ีแลว้ น้ี และพึงเป็ นผมู้ ีความ
อดทน มีความสุภาพ”๒๔ และที่ว่า

อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตปิ เจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ เมตฺตจิตฺต ภาเวติ อย วจุ ฺจติ ภิกฺขเว
ภิกฺขุ อริตฺตชฺฌาโน วหิ รติ สตฺถุสาสนกโร โอวาทปฏิกโร อโมฆ รฏฺ ปิ ณฺ ฑ ภุ

ชฺ ติ โก ปน วาโท เย น พหุลกี โรนฺตีติฯ
ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย ถา้ ภิกษุเจริญเมตตาจิต แมช้ วั่ การเพยี งลดั นิ้วมือเดียว

เท่าน้นั ภิกษุน้ีเรากล่าวว่า อยไู่ ม่เหินห่างจากฌาน ทาตามคาสอนของพระศาสดา
ปฏิบตั ิตามโอวาท ไม่ฉนั บิณฑบาตของชาวแว่นแควน้ เปล่า ก็จะกล่าวไยถงึ ผทู้ า
เมตตาจิตน้นั ใหม้ ากเล่า๒๕
(๒) ทรงสอนอย่างเข้มงวดรุนแรง มีตัวอย่างมากหลายท่ีแสดงถึงวิธีสอนอย่างน้ีของ
พระพุทธเจา้ ท้งั น้ีเพื่อใหเ้ หมาะสมกบั อุปนิสยั หรืออินทรียข์ องคนน้นั ๆ ทานองเดียวกบั ช่างเหล็ก
จะตอ้ งใชไ้ ฟแรงแก่เหลก็ จึงจะทาการตีเหลก็ ตามตอ้ งการได้

ภิกษุมีเสียงดงั เสมอกนั ไม่มีใคร ๆ สาคญั ตวั ว่าเป็นพาล เม่ือสงฆแ์ ตกกนั
ต่างก็มิไดส้ าคญั ตวั กนั เองให้ยง่ิ พวกท่ีเป็ นบณั ฑิตกพ็ ากนั หลงลืม มีปากพดู ก็มี
แต่คาพดู เป็นอารมณ์พดู ไป เท่าท่ีปรารถนาแสดงฝีปาก ไมร่ ู้เหตุท่ีตนนาไปแต่ชน
เหลา่ ใดในท่ีน้นั รู้สึก ความมาดร้ายกนั ยอ่ มสงบแต่ชนเหล่าน้นั ได้ คนพวกอนื่ ตดั
กระดูกกนั ผลาญชีวติ กนั ลกั โค มา้ ทรัพยก์ นั แมช้ ิงแวน่ แควน้ กนั ยงั มคี ืนดีกนั
ได้ เหตุไร พวกเธอจึงไม่มีเล่าถา้ บุคคลไดส้ หายท่ีมีปัญญารักษาตวั ร่วมทางจร
เป็นนกั ปราชญ์มีปรกติใหส้ าเร็จประโยชน์อยู่ คุม้ อนั ตรายท้งั ปวงได้ พึงช่ืนชม มี
สติเท่ียวไปกบั สหายน้นั เถิด๒๖
(๓) ทรงสอนอยา่ งขอร้องวิงวอน เช่นพทุ ธดารัสที่วา่

๒๓ วศิน อินทสระ, พุทธวิธีในการสอน, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หามกุฎราชวิทยาลยั ,
๒๕๓๘, หนา้ ๓.

๒๔ ขุ.ธ.อ. ๑๗/๕๕/๖๗.
๒๕ องฺ.เอก. ๒๐/๕๕/๑๒.
๒๖ ม.อุ. ๑๔/๔๓๙-๖๖/๒๙๕-๓๑๐.

๔๓

ธมฺมทายาทา เม ภิกฺขเว ภวถ มา อามิสทายาทา อตฺถิ เม ตุมฺเหสุ อนุกมฺ
ปา กินฺติ เม สาวกา ธมฺมทายาทา ภเวยฺยุ โน อามิสทายาทาติฯ

ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เธอท้งั หลายจงเป็ นธรรมทายาทเถิด อย่าเป็ นอามิส
ทายาทของเราตถาคตเลย เราตถาคตมีความอนุเคราะห์ในเธอท้ังหลายอย่วู ่า ทา
อย่างไรหนอ สาวกท้ังหลายของเราตถาคตจะเป็ นธรรมทายาท ไม่เป็ นอามิส
ทายาท๒๗
สรุ ปว่า พุทธวิธีในการสอนของพระพุทธเจ้ามีเป็ นอเนกปริ ยาย ผูท้ ี่ทาการเผยแผ่
พระพุทธศาสนาตอ้ งมีความสุขุมรอบคอบ ต้องมีการพิจารณาสังเกตโดยโยนิโสมนสิการจึงจะ
สามารถทาการเผยแผพ่ ระธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนาใหเ้ จริญกา้ วหนา้ สามารถใหผ้ คู้ นหนั มา
นบั ถือ ศึกษาปฏิบตั ิตามไดน้ ้นั ตอ้ งมีความรอบรู้ท้งั ทางโลกทางธรรม ท้งั ความรู้ท่ีจะทาการสอน รู้
ถงึ ความสามารถของแต่ละบุคคลวา่ เป็ นอยา่ งไรรวมท้งั จะตอ้ งมีประพฤติดีปฏิบตั ิชอบดว้ ย อนั เป็ น
คุณสมบตั ิภายในของตวั ผสู้ อนเอง

๒.๒ พุทธวธิ ใี นการการสอน(การสื่อสาร)ของพระพทุ ธเจ้า
การสอนหรือการถ่ายทอดความรู้ทุกเรื่อง ถึงแมผ้ ถู้ ่ายทอดจะมีความรู้ดีสกั เพียงใด ก็ตาม

หากขาดอุบายการสอนท่ีดึงดูดให้ผเู้ รียนมีความสนใจได้ การสอนน้ันก็จะไม่ประสบความสาเร็จ
หรือภาษาปัจจุบนั เรียกว่าขาดเทคนิคในการสอน พระพุทธเจา้ ทรงแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความเป็นเลิศใน
พทุ ธวธิ ีการสอน(การสื่อสาร)เป็นอยา่ งยงิ่ ประกอบดว้ ย ๑๐ วธิ ี คือ

๑) การยกอุทาหรณ์และการเล่านิทานประกอบ การยกตวั อยา่ งประกอบคาอธิบาย และการ
เล่านิทานประกอบการสอนช่วยใหเ้ ขา้ ใจไดง้ ่ายและชดั เจน ในคมั ภีร์ทางพระพุทธศาสนาปรากฏ
นิทานชาดกมากถึง ๕๔๗ เรื่ อง เช่น สอนเร่ืองความเสียหายอนั เกิดจากความไม่สามัคคี โดย
ยกตวั อย่างเรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี๒๘ หรือสอนเรื่องอยอู่ ย่างสงบ ตอ้ งอาศยั การประกอบความ
เพียรอยเู่ สมอ โดยการยกเอาเฉพาะพระมหากสั สปะเป็ นตวั อยา่ ง โดยตรัสยกย่องว่า “เป็ นผมู้ ีสติ
หมน่ั ประกอบความเพียร ไม่ติดอยใู่ นที่ ละความห่วงอาลยั ไป เหมอื นหงสล์ ะเปื อกตมไป ฉะน้นั ”๒๙
ดงั น้นั การสอนแบบน้ีจึงถือว่าเป็นเร่ืองที่ทาใหม้ องเห็นภาพคาสอนให้เป็นรูปธรรมมากยิง่ ข้ึน ช่วย
ใหจ้ าแมน่ เห็นจริงและความเพลิดเพลิน ทาใหก้ ารเรียนการสอนมีรสยง่ิ

๒๗ ม.ม.ู ๑๒/๒๑/๒๑.
๒๘ ขุ.ขุ. (ไทย) ๒๕/๖/๒๕
๒๙ ขุ.ขุ. (ไทย) ๒๕/๙๑/๕๗.

๔๔

๒) การเปรียบเทียบด้วยข้ออปุ มา คาอปุ มาช่วยใหเ้ ร่ืองที่ลึกซ้ึงเขา้ ใจยาก ปรากฏความหมาย
เด่นชัดออกมา และเขา้ ใจง่ายข้ึน โดยเฉพาะมกั ใชใ้ นการอธิบายสิ่งที่เป็ นนามธรรม เปรียบให้
เห็นชดั ดว้ ยส่ิงท่ีเป็ นรูปธรรม หรือแมเ้ ปรียบเร่ืองท่ีเป็ นรูปธรรมดว้ ยขอ้ อุปมารูปธรรม ก็ช่วยให้
หนกั แน่นเขา้ เช่น คร้ังพระพุทธเจา้ ตรัสสอนแก่เมณฑกเศรษฐีว่า “โทษของคนอนื่ เห็นไดง้ ่าย ส่วน
โทษของตนเห็นไดย้ าก เพราะคนน้นั ชอบโปรยโทษของผอู้ ื่น เหมือนคนโปรยแกลบ แต่กลบั ปกปิ ด
โทษของตนไว้ เหมือนพรานนกปกปิ ดร่างพรางกายตนไว”้ ๓๐ หรือคร้ังท่ีพระองค์ตรัสในคราวที่
ประทบั อยใู่ นอารามของอนาถปิ ณฑิกเศรษฐี เขตกรุง สาวตั ถวี ่า “สมณพราหมณ์พวกหน่ึงแลน่ เลย
ไปไมบ่ รรลุธรรมที่เป็ นสาระ ช่ือวา่ พอกพนู เคร่ืองพนั ธนาการ ใหม่ๆยง่ิ ข้ึน ยึดมน่ั ในส่ิงท่ีตนไดเ้ ห็น
แลว้ และฟังอยา่ งน้ี จึงตกสู่หลุมถา่ นเพลิงตลอดไป เหมือนแมลงตกสู่ประทีปน้ามนั ฉะน้ัน”๓๑ การ
ใชอ้ ุปมาน้ี น่าจะเป็นกลวธิ ีประกอบการสอนท่ีพระพทุ ธองคท์ รงใชม้ ากท่ีสุด มากกวา่ กลวธิ ีอ่นื ใด

๓) การใช้อปุ กรณ์การสอน ในสมยั พุทธกาล ยอ่ มไม่มีอุปกรณ์การสอนชนิดต่าง ๆ ที่จดั ทา
ข้ึนไวเ้ พ่อื การสอนโดยเฉพาะเหมอื นสมยั ปัจจุบนั เพราะยงั ไมม่ ีการจดั การศกึ ษาเป็นระบบข้ึนอยา่ ง
กวา้ งขวาง หากจะใชอ้ ุปกรณ์บา้ ง ก็คงตอ้ งอาศยั วตั ถุสิ่งของท่ีมใี นธรรมชาติ เช่น ในคร้ังท่ีพระพทุ ธ
องคป์ ระทบั อย่ทู ี่สีสปาวนั ใกลเ้ มืองโกสมั พี กไ็ ดส้ อนภิกษุท้งั หลายโดยใชใ้ บประดู่เป็นอุปกรณ์ คือ
พระองค์ไดห้ ยิบใบประดู่ลายมาเล็กน้อยแลว้ ถามภิกษุท้งั หลายว่า ใบไมใ้ นป่ ากบั พระหัตถข์ อง
พระองคท์ ี่ไหนมากกวา่ กนั ภิกษุท้งั หลายก็ทูลว่า ในป่ ามีมากยงิ่ นกั แลว้ พระองคก์ ็ตรัสแสดงการที่
พระองค์ไมส่ อนท้งั หมด เพราะคาสอนของพระองค์น้นั มีมากมาย เหมือนไมป้ ระดู่ลายในป่ า แต่ที่
ตรัสเปรียบคาสอนท่ีจาเป็ นเหมือนใบไมใ้ นกามือ เพราะมีความจาเป็ นต่อการทาที่สุดแห่งทุกขใ์ ห้
ส้ิน๓๒

๔) การทําเป็ นตัวอย่าง วิธีสอนที่ดีที่สุดอยา่ งหน่ึง โดยเฉพาะในทางจริยธรรม คือทาเป็ น
ตวั อย่าง ซ่ึงเป็ นการสอนแบบไม่ตอ้ งกล่าวสอน เป็ นทานองการสาธิตให้ดู แต่ท่ีพระพุทธเจา้ ทรง
กระทาน้ันเป็ นไปในรูปทรงเป็ นผนู้ าที่ดี เช่น กรณีของภิกษุท่ีป่ วยจนตอ้ งนอนจมกองมตู รและคูถ
ของตนเอง ไม่มีภิกษุรูปใดมีความปรารถนาท่ีจะเข้าไปดูแลพยาบาล พระพุทธเจา้ จึงสอนภิกษุ
ท้งั หลายที่อยใู่ นอาวาสน้นั ดว้ ยการลงมอื ปฏิบตั ิดูแลพยาบาลภิกษุรูปน้นั ดว้ ยพระองคเ์ อง หลงั จากที่
ทรงดูแลจนภิกษุที่อาพาธให้มีอาการดีข้ึนแลว้ ในตอนประชุมไดต้ รัสไว้ เพ่ือเป็ นข้อคิดแก่ภิกษุ

๓๐ ขุ.ขุ. (ไทย) ๒๕/๒๕๒/๑๑๐.
๓๑ ขุ.ข.ุ (ไทย) ๒๕/๕๙/๓๐๖.
๓๒ สํ.ส. (ไทย) ๑๙/๑๑๐๑/๖๑๓.

๔๕

ท้งั หลายวา่ “ ภิกษุท้งั หลาย พวกเธอไม่มีมารดา ไมม่ ีบิดา ผใู้ ดเล่าจะพยาบาลพวกเธอ ถา้ พวกเธอไม่
พยาบาลกนั เอง ใครเลา่ จกั พยาบาล ผใู้ ดจะพึงอปุ ัฏฐาก ขอใหผ้ นู้ ้นั พยาบาลภิกษุผอู้ าพาธเถดิ ”๓๓

๕) การเล่นภาษา เล่นคํา และใช้คําในความหมายใหม่ การเล่นภาษาและเล่นคา เป็ นเร่ือง
ของความสามารถในการใชภ้ าษาผสมกับปฏิภาณ ขอ้ น้ีเป็ นอจั ฉริยะภาพแสดงถึง พระปรีชา
สามารถของพระพุทธเจา้ ท่ีมรี อบไปทุกดา้ น จะเห็นไดจ้ ากกรณีของเวรัญชพราหมณ์ ท่ีมากลา่ วต่อ
พระองคต์ ่าง ๆนานา แทนที่พระองคจ์ ะปฏเิ สธการกล่าวหาน้นั กลบั นาคากลา่ วหามาอธิบายดว้ ยการ
ใชภ้ าษา การเล่นคา โดยการนาเขา้ สูห้ ลกั การท่ีถกู ตอ้ งของพระองค์ เช่น ในขอ้ กล่าวหาท่ีพราหมณ์
ต่อว่าพระพุทธเจ้าว่า “ท่านเป็ นพระโคดม เป็ นคนไม่มีสมบัติ” ซ่ึงสมบัติในความหมายของ
พราหมณ์ เป็ นการกล่าวถึงสมบัติภายนอก ท่ีเป็ นเคร่ืองตอบสนองความต้องการพ้ืนฐาน แต่
พระพุทธเจา้ ให้ความหมายการไม่มีสมบตั ิคือ การละส่ิงที่ทาใหช้ ีวิตติดอย่กู บั วตั ถุน้นั ๆ เพราะการ
ตดั รากเหงา้ แห่งอกศุ ลท้งั หลายช่ือวา่ ไร้ซ่ึงความเป็นคนมีสมบตั ิ เพราะการละอกุศลท้งั หลายไดอ้ ยา่ ง
ส้ินเชิง๓๔ เป็นตน้

๖) อบุ ายเลอื กคน และการปฏบิ ัตริ ายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายสาคญั ในการเผยแผพ่ ระ
ศาสนา ในการประกาศธรรมของพระพุทธเจา้ เร่ิมแต่ระยะแรกประดิษฐานพระพุทธศาสนา จะเห็น
ไดว้ ่าพระพุทธเจา้ ทรงดาเนินพุทธกิจดว้ ยพุทโธบายอย่างที่เรียกว่า การวางแผนท่ีไดผ้ ลจริง ทรง
พิจารณาว่าเม่ือจะเขา้ ไปประกาศพระศาสนาในถ่ินใดถิ่นหน่ึงควรไปโปรดใครก่อน เช่น คร้ังตรัสรู้
แลว้ ก็เลอื กท่ีจะโปรดปัญจวคั คียก์ ่อน เพราะทรงเห็นวา่ พวกเขามีพ้นื ฐานความศรัทธาเป็นทุนเดิมอยู่
แลว้ ง่ายต่อการทาความเขา้ ใจคาสอนของพระองค์ และต่อมาก็สอนชายหนุ่มที่ชื่อยสกุลบุตร ซ่ึง
เป็นบุตรของเศรษฐีและผนู้ าของชายหนุ่มในชุมชนน้นั เพราะพระองคท์ รงเลง็ เห็นว่าปัญจวคั คียแ์ ละ
ยสกุลบุตรน้ีจะเป็ นสาวกท่ีจะช่วยในการเผยแผ่คาสอนไดม้ าก๓๕ จากน้ันพระองคก์ ็เสด็จไปโปรด
ชฏิล ๓ พ่ีนอ้ ง พร้อมบริวาร ท้งั พนั เริ่มดว้ ยชฎิลคนพ่ีใหญ่เสียก่อน แลว้ นาชฏลิ เหล่าน้ี ผกู้ ลายเป็ น
สาวกแลว้ เขา้ สู่นคร ราชคฤหป์ ระกาศธรรม ณ พระนครน้นั ไดร้ าชาเป็ นสาวก เป็นอนั วา่ พอเร่ิมตน้
ประกาศ พระศาสนา ก็ไดท้ ้งั นกั บวชผใู้ หญ่ เศรษฐี และราชา ซ่ึงเป็ นคนช้นั สูงสมยั น้นั เป็ นสาวก
เป็นการนาทางเสดจ็ เผยแผใ่ หป้ ลอดโปร่งต่อไป

๗) การรู้จกั จงั หวะและโอกาส ผสู้ อนตอ้ งรู้จกั ใชจ้ งั หวะและโอกาสใหเ้ ป็นท่ีประโยชน์ เช่น
กรณีของการบญั ญตั ิพระวินยั แต่ละขอ้ พระองคจ์ ะตอ้ งมมี ลู เหตุของความผดิ ท่ีเกิดข้ึนเสียก่อน แลว้
จึงสอนโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิด หลงั จากน้นั จะบญั ญตั ิสิ่งท่ีไม่ควรปฏบิ ตั ิหรือที่ควรปฏิบตั ิ ซ่ึง

๓๓ วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๖๕/๒๓๙-๒๔๑.
๓๔ วิ.มหา. (ไทย) ๑ /๒-๑๐/๒-๔.
๓๕ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๒-๓๑/๑๘-๔๐.

๔๖

ต่อมาเรียกวา่ พระวินยั เช่น กรณีของพระสุทินที่ตอ้ งอาบตั ิปาราชิก ดว้ ยการเสพเมถุนกบั อดีตภรรยา
ของตน๓๖

ต่อมาพระองค์ก็ไดท้ รงบัญญัติ ในเร่ืองความผิดที่ประพฤติแลว้ ขาดจากความเป็ นขอ้ ที่ ๑
และอีกกรณีหน่ึงท่ีแสดงถึงการรู้จกั ใช้จงั หวะและโอกาสของพระพุทธองค์ก็คือ ในเรื่องการทา
สงั คายนา เม่อื คร้ังยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ มีภิกษุหลายรูปเขา้ ไปทูลแสดงความประสงคใ์ ห้พระองคท์ า
สงั คายนา แต่กาลเวลายงั ไม่สมควรก็ตรัสห้ามเสีย แต่เม่ือมีเหตุการณ์เกิดข้ึนต่อลทั ธิอื่น ๆ ท่ีมีการ
แตกแยกเพราะครูอาจารยส์ ิ้นไป และทรงเห็นว่าถึงเวลาแลว้ โดยการอา้ งตวั อยา่ งจากลทั ธิต่าง ๆ และ
เหตุปัจจยั ท่ีเหมาะสม จึงมีมติใหภ้ ิกษุไดท้ าสงั คายนาโดยทรงช้ีใหเ้ ห็นถึงความสาคญั ของพระธรรม
วินัย และได้ทรงมอบหมายให้ภิกษุมีพระสารี บุตร เป็ นต้น ได้ทาการสังคายนาในโอกาสที่
เหมาะสม๓๗

๘) ความยึดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถา้ ผสู้ อนสอนอยา่ งไม่มีอตั ตา ตดั ตณั หา มานะ ทิฏฐิเสีย
ใหน้ อ้ ยท่ีสุด ก็จะมงุ่ ไปยงั ผลสาเร็จในการเรียนรู้เป็นสาคญั สุดแต่จะใชก้ ลวิธีใดใหก้ ารสอนไดผ้ ลดี
ที่สุด กจ็ ะทาในทางน้นั ไม่กลวั ว่าจะเสียเกียรติ ไม่กลวั จะถกู รู้สึกวา่ แพ้ เช่น กรณีที่พระพุทธเจา้ ตรัส
กบั คนฝึกมา้ ที่มีวธิ ีการฝึกดว้ ยวิธีแบบสุภาพ วธิ ีแบบรุนแรงท้งั วิธีแบบสุภาพและรุนแรง จนกระทงั่
สุดทา้ ยเม่ือฝึ กไม่ไดก้ ็ฆ่าท้ิงเสีย ซ่ึงพระองค์ก็ใชว้ ิธีการท่ีคน ฝึ กมา้ กล่าวไวน้ ้นั ยอ้ นกลบั มาเป็ น
อุปกรณ์การสอนของพระองค์ ดว้ ยพระดารัสว่า “เรายอ่ มฝึ กคนดว้ ยวิธีแบบสุภาพบา้ ง ดว้ ยวธิ ีแบบ
รุนแรงบา้ ง ดว้ ยวิธีท้งั สุภาพและท้งั รุนแรงปนกนั ไปบา้ ง และถา้ ฝึกไม่ไดก้ ฆ็ ่าเสีย”๓๘ แต่กรณีการฆ่า
ของพระองคน์ ้ัน หมายถึงการไมเ่ อาใจใส่ต่อบุคคลที่ไม่สนใจในธรรม จึงฆ่าเสียคือปล่อยใหห้ ล่น
ไปสู่หนทางท่ีไม่ดี เพราะสาเหตุจากการไม่สนใจของบุคคลน้นั การทาในลกั ษณะดงั กล่าว ถือว่า
เป็ นการฆ่าในอริ ยวินยั

๙) การลงโทษและการให้รางวลั การลงโทษในที่น้ีคือ การลงโทษซ่ึงมที ้งั ในทางธรรมและ
วินัย มีบทบัญญัติความประพฤติอย่แู ลว้ การให้รางวลั คือการแสดงธรรมไม่กระทบกระท่ังไม่
รุกรานใคร แต่เป็นการกลา่ วสรรเสริญในการกระทาที่ถกู ตอ้ ง และถอื วา่ เป็นตวั อยา่ งแก่ผอู้ ืน่ ดว้ ย ใน
เร่ืองของการลงโทษ เช่น การลงพรหมทัณฑ์ต่อพระฉันนะ ซ่ึงมีความเย่อหย่ิงว่าตนเองเป็ นผู้
อปุ ัฏฐากพระพุทธเจา้ ในสมยั ท่ียงั ทรงพระเยาวจ์ นกระทงั่ ออกบวช เป็ นเหตุให้พระฉนั นะไม่ยอม
ปฏิบตั ิตามคาสั่งสอนของครูอาจารย์ ดว้ ยเหตุน้ี เพ่ือให้พระฉันนะรู้จกั สานึกในการกระทาของ
ตนเอง พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้มีการลงพรหมทณั ฑ์ ดว้ ยการไม่ให้ผใู้ ดพูดคุยหรือกล่าวตกั เตือน

๓๖ ว.ิ ม. (ไทย) ๑/๒๔-๓๙/๑๗-๒๙.
๓๗ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๙๖-๓๐๒/๒๔๗-๒๕๐.
๓๘ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๑๑/๑๖๙-๑๗๑.

๔๗

อะไรเลยแก่พระฉนั นะ โดยตรัสกบั พระอานนท์ก่อนที่จะเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานวา่ “อานนท์ เม่ือ
เราล่วงไปแลว้ สงฆ์พึงลงพรหมทณั ฑ์แก่ภิกษุฉนั นะ ด้วยการท่ีว่า แมภ้ ิกษุฉันนะจะพูดไดต้ าม
ตอ้ งการ แต่ภิกษุไมพ่ ึงว่ากล่าวตกั เตือน พร่าสอนเธอ”๓๙

การให้รางวลั ของพระพุทธองค์น้นั ท่ีปรากฏเด่นก็คือ การตรัสยกยอ่ งในความเป็ นเลิศใน
ดา้ นต่าง ๆ ท่ีเรียกว่าเป็ น “เอตทัคคะ” เช่น กรณียกยอ่ งพระสารีบุตรว่า มีความเป็ นเลิศในดา้ นผมู้ ี
สติปัญญามาก มีความเข้าใจอรรถแห่งธรรมท่ีละเอียดลึกซ้ึงได้ โดยเปรียบพระสารีบุตรเหมือน
เสนาบดีท่ีมีความรอบรู้ไดอ้ ยา่ งสูงสุด ดงั พระพุทธพจน์ที่วา่ “นรชนใดผไู้ ม่ตอ้ งเช่ือใคร รู้จกั นิพพาน
ที่ปัจจยั อะไรปรุงแต่งไมไ่ ดต้ ดั รอยต่อแห่งการเกิดใหม่ ทาลายโอกาสแห่งการท่องเท่ียวไปในสงสาร
ความคลายหวงั แลว้ นรชนน้นั แล เป็นบุรุษสูงสุด”๔๐ แมว้ ่าพระพุทธเจา้ จะทรงใชก้ ารชมเชยยกยอ่ ง
บา้ ง กเ็ ป็นไปในรูปแบบการยอมรับคุณความดีของผนู้ ้นั เป็นการกลา่ วชมเชยโดยธรรม ใหเ้ ขามน่ั ใจ
ในการกระทาความดีของตน แต่ไมใ่ หเ้ กิดเป็นการเปรียบเทียบข่มคนอ่ืนลง บางทีทรงยกยอ่ งเพ่อื ให้
ถือเป็นตวั อยา่ งหรือเพื่อแกค้ วามเขา้ ใจผดิ ใหต้ ้งั ทศั นคติท่ีถกู

๑๐) การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเฉพาะหน้าท่ีเกิดข้ึนต่างคร้ังต่างคราว ยอ่ มมีลกั ษณะ
แตกต่างกนั ไปไม่มีที่สิ้นสุด การแกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ ยอ่ มอาศยั ปฏิภาณคือ ความสามารถในการ
ประยกุ ตห์ ลกั วิธีการ และกลวธิ ีต่าง ๆ มาใชใ้ หเ้ หมาะสม เป็ นเรื่องเฉพาะคร้ังเฉพาะคราวไป ยิ่งใน
การประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจา้ ตอ้ งเจอปัญหามากมาย และพระองคก์ ็ตอ้ งอาศยั ปฏิภาณ
แกไ้ ขอยตู่ ลอดเวลา เช่น กรณีของครอบครัวพราหมณ์ท่ีอยใู่ นเมอื งราชคฤห์ ฝ่ ายสามีนับถือศาสนา
พราหมณ์แต่ภรรยานบั ถอื พระพุทธศาสนา และภรรยาก็สรรเสริญแต่พระพทุ ธคุณอยตู่ ลอดเวลา จน
สามไี มพ่ อใจ คอยพดู ว่าร้ายพระพุทธเจา้ ต่าง ๆ นานา

จนกระทง่ั อยมู่ าวนั หน่ึงภรรยาทาอาหารหล่น แลว้ เปล่งอุทานดว้ ยคาท่ีแสดงออกถึงความ
เคารพต่อพระพุทธเจา้ พราหมณ์เกิดความไม่พอใจยิง่ นัก จึงไปเพ่ือท่ีจะเอาชนะดว้ ยการถามให้
พระพุทธเจา้ จนปัญญาในการตอบปัญหาว่า “บุคคลกาจดั อะไรไดจ้ ึงอยเู่ ป็นสุข กาจดั อะไรไดจ้ ึงไม่
เศร้าโศก ขา้ แต่พระโคดม พระองคท์ รงพอพระทยั การกาจดั ธรรมอยา่ งหน่ึงคืออะไร” พระพทุ ธเจา้
ทรงใชก้ ลวิธีแกป้ ัญหาเฉพาะหน้าดว้ ยการตรัสตอบว่า “บุคคลกาจัดความโกรธไดจ้ ึงอย่เู ป็ นสุข
กาจดั ความโกรธได้จึงไม่โศก พราหมณ์ พระอริยะท้งั หลายสรรเสริญการกาจดั ความโกรธ ซ่ึงมี
รากเหงา้ เป็ นพิษ มียอดหวาน เพราะบุคคลกาจดั ความโกรธน้ันได้แลว้ จึงไม่โศก” ซ่ึงหลงั จากท่ี
พระพุทธเจา้ ตรัสแกป้ ัญหาจบ พราหมณ์จึงความเลื่อมใสและยอมรับที่จะเป็ นสาวกของพระองค์๔๑

๓๙ ท.ี ม. (ไทย) ๒๙/๘๘/๒๗๕.
๔๐ ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๘๘/๒๗๕.
๔๑ สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๗/๒๖๔.

๔๘

ซ่ึงเน้ือหาในการตรัสตอบปัญหาโดยการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหน้ากบั พราหมณ์ แสดงถึงลกั ษณะ
ความเป็นบรมครูของพระพุทธองคอ์ ยา่ งหาใครเปรียบได้

๒.๓ คุณสมบตั ขิ องผู้สอน

ในเรื่องหลกั คาสอนทางพระพุทธศาสนาน้นั ถือวา่ นักเผยแผ่กบั ผฟู้ ังน้นั มีความสมั พนั ธก์ นั
ในฐานะเป็ นกลั ยาณมิตร ผมู้ ีความเมตตากรุณาเอ้ืออาทรกนั ในดา้ นของการอบรมส่ังสอนและให้
คาแนะนาต่าง ๆ และผสู้ อนน้นั ไดม้ ที ่านผรู้ ู้ใหค้ วามหมายไวใ้ นท่ีหลายแห่งดงั มปี รากฎ ดงั น้ี

ในพระไตรปิ ฎกไดก้ ล่าวถึงคุณสมบตั ิของผทู้ ี่เป็ นกลั ยาณมิตรหรือองค์คุณของความเป็ น
กลั ยาณมติ ร ๗ ประการ ไวว้ า่

๑. เป็นท่ีรักเป็นท่ีพอใจ
๒. เป็นที่เคารพ
๓. เป็นที่ยกยอ่ ง
๔. เป็นนกั พดู
๕. เป็นผอู้ ดทนต่อถอ้ ยคา
๖. เป็นผพู้ ดู ถอ้ ยคาลึกซ้ึงได้
๗. ไมช่ กั นาในอฐานะ๔๒
พระธรรมปิ ฎก(ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) ไดอ้ ธิบายความเป็ นกลั ยาณมิตรไวใ้ นหนงั สือพทุ ธวิธีใน
การสอน มเี น้ือความว่า
๑. ปิ โย น่ารัก คือ เขา้ ถงึ จิตใจ สร้างความรู้สึกสนิทสนมเป็นกนั เอง ชวนใหผ้ ฟู้ ังอยากสนใจ
อยากซกั ถาม
๒. ครุ น่าเคารพ คือ มีความประพฤติเหมาะสมแก่ฐานะ ชวนใหเ้ กิดความอบอุ่นใจ เป็ นท่ี
พ่งึ ไดอ้ ยา่ งปลอดภยั
๓. ภาวนีโย น่าเจริญใจ คือ มีความรู้จริง ทรงภูมิปัญญาแทจ้ ริงและเป็ นผฝู้ ึกฝน ปรับปรุง
ตนเองอยเู่ สมอๆ เป็นที่ยกยอ่ ง น่าเอาเยยี่ งอยา่ ง ทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดศรัทธาได้
๔. วตั ตา รู้จกั ว่ากล่าว คือ รู้จกั พูดช้ีแจงเผยแผใ่ ห้ไดผ้ ล โดยอาจเลือกใชว้ ิธีการเผยแผ่ใน
รูปแบบต่างๆ เพ่ืออธิบายใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจได้

๔๒ องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๓๗/๕๗.

๔๙

๕. วจนักขโม อดทนต่อถอ้ ยคา คือ พร้อมท่ีจะรับฟังคาไต่ถาม คาซกั ถาม คาล่วงเกิน คา
ตกั เตือน คาวิพากษ์วจิ ารณ์ต่าง ๆ อดทนไดไ้ ม่เบื่อหน่าย ไม่เสียอารมณ์ แมบ้ างคร้ังอาจถกู ต่อตา้ น
จากลทั ธิภายนอกมาขดั ขวางต่องานเผยแผธ่ รรม

๖. คมั ภีรัญจ กถงั กตั ตา สามารถอธิบายหลกั ธรรมที่ลึกซ้ึงให้ผฟู้ ังเขา้ ใจได้ นกั เผยแผ่ที่ดี
ตอ้ งมีความรู้ในศาสตร์หลาย ๆ อย่าง และต้องฉลาดในการเลือกใช้วิธีเผยแผ่แบบต่าง ๆ เพ่ือให้
เหมาะสมกบั ผฟู้ ังเพ่ือใหเ้ กิดศรัทธาและยอมปฏิบตั ิตามได้

๗. โน จัฏฐาเน นิโยชเย ไม่ชกั นาผฟู้ ังให้เดินผิดทางไปจากพุทธดารัส แต่ตอ้ งรู้จกั ชกั จูง
แนะนาในทางที่ถกู ที่ควร๔๓

เสฐียรพงษ์ วรรณปก ไดอ้ ธิบายความหมายของคุณสมบตั ิของกลั ยาณมิตรไวว้ ่า “...ครูท่ีมี
ความกรุณาต่อศษิ ยจ์ ะเป็นครูท่ีมีองคค์ ุณของกลั ยาณมิตร ๗ ประการ ตามท่ีพระบรมศาสดาตรัสไว้
คือ

๑. น่ารัก น่าวางใจไดอ้ ยา่ งสนิทสนม อยากเขา้ ไปหาเพื่อปรึกษาหารือสอบถามเรื่องวชิ าการ
และอ่นื ๆ

๒. น่าเคารพ เกิดความรู้สึกอบอนุ่ ใจท่ีไดเ้ ขา้ ไปหาเป็นที่พ่งึ พาไดอ้ ยา่ งปลอดภยั
๓. น่ายกย่อง เป็นผทู้ รงภมู ปิ ัญญา มคี วามสามารถในวิชาการน้นั ๆ และในเร่ืองอ่ืน ๆ อยา่ ง
น่าท่ึง เป็นความภาคภูมขิ องศษิ ยท์ ่ีมคี วามรู้สึกว่ามีอาจารยเ์ ก่ง
๔. รู้จกั พดู คอยใหค้ าแนะนา วา่ กล่าวตกั เตือน เป็นท่ีปรึกษาที่ดี รู้วา่ ขณะใดควรพดู อยา่ งใด
ให้คาแนะนาประเภทไหน อนั น้ีรวมถึงความสามารถที่จะสอนที่จะถ่ายทอดอยา่ งมีประสิทธิภาพ
ดว้ ย
๕. อดทนต่อถอ้ ยคา พร้อมท่ีจะรับฟังคาซักถามต่าง ๆ ของศิษยเ์ สมอ ไม่เบ่ือหน่าย มี
วญิ ญาณของความเป็นครู รักการสอนถ่ายทอดวิชาความรู้อยา่ งแทจ้ ริง
๖. แถลงเรื่องลกึ ซ้ึงได้ มคี วามสามารถในการอธิบายเร่ืองราวต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งลึกซ้ึง เร่ืองยาก
ๆ อธิบายให้เป็ นท่ีเข้าใจง่ายได้ และเร่ืองง่าย ๆ บางคร้ังก็สามารถอธิบายได้อย่างลึกซ้ึงละเอียด
พิสดาร
๗. ไม่ชักนาในทางเสียหาย เป็ นครูท่ีดีจะต้องไม่ชกั จูงให้ศิษยไ์ ปในทางเสียหาย อนั น้ี
รวมถงึ ตวั ครูเองตอ้ งมีความประพฤติดีเป็นแบบอยา่ งท่ีดีงามของศิษยด์ ว้ ย...”๔๔

๔๓ พระธรรมปิ ฎก (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต), พุทธวิธีในการสอน, (กรุงเทพมหานคร: โอเอน็ จีการพิมพ,์
๒๕๔๒),
หนา้ ๒๖

๕๐

นอกจากน้ี แสง จันทร์งาม ไดศ้ ึกษาถึงคุณสมบตั ิของนักเผยแผท่ ่ีเรียกว่า คุณสมบตั ิของ
ผสู้ อนสรุปไดว้ ่า “...ผสู้ อนท่ีดีควรมลี กั ษณะพึงประสงค์ ดงั น้ีคือ

๑. มคี วามกรุณาเป็นพ้นื ฐานของจิตใจ
๒. ไม่ถอื ตวั หยงิ่ ยโส
๓. มคี วามอดทน ใจเยน็
๔. มคี วามยตุ ิธรรม ไม่เห็นแก่หนา้
๕. มคี วามรอบคอบ
๖. มคี วามประพฤติน่าเคารพบชู า
๗. รู้จกั ภมู สิ ติปัญญาของผฟู้ ัง...”๔๕

๒.๔ หลักการสอนทว่ั ไป

เมื่อพูดถึงหลกั การสอน มกั จะหมายถึงหลกั การใหญ่ๆ ไม่ว่าจะสอนเร่ืองอะไรก็มีหลกั ใน
การสอนอยู่ ๓ หลกั คือ

ก) หลกั เกยี่ วกบั เนือ้ หาทีส่ อน
เน้ือหาที่จะสอนน้นั มีหลกั สาคญั อยู่ ๗ ประการ ดงั ต่อไปน้ี

๑. สอนจากสิ่งที่รู้เห็นเขา้ ใจง่ายหรือรู้เห็นเขา้ ใจอยแู่ ลว้ ไปหาสิ่งที่เห็นเขา้ ใจยาก หรือยงั ไม่
รู้ไมเ่ ห็นไม่เขา้ ใจ ดงั ตวั อยา่ งคืออริยสจั ซ่ึงทรงเร่ิมสอนจากความทุกข์ ความเดือดร้อน ปัญหาชีวิตที่
คนมองเห็นและประสบอย่โู ดยธรรมดา รู้เห็นประจกั ษก์ นั อยทู่ ุกคนแลว้ ต่อจากน้นั จึงสาวหาเหตุท่ี
ยากลึกซ้ึง และทางแกไ้ ขต่อไป

๒. สอนเน้ือเร่ืองท่ีค่อยลุ่มลึกยากลงไปตามลาดบั ช้นั และความต่อเน่ืองกนั เป็ นสายลงไป
อยา่ งที่เรียกวา่ สอนเป็นอนุปุพพีกถา ตวั อยา่ งก็คือ อนุปุพพีกถา ไตรสิกขา พุทโธวาท ๓ เป็นตน้

๓. ถา้ สิ่งท่ีสอนเป็ นส่ิงที่แสดงไดก้ ็สอนดว้ ยของจริง ใหผ้ เู้ รียนไดด้ ู ไดเ้ ห็น ไดฟ้ ังเอง อยา่ ง
ท่ีเรียกว่าประสบการณ์ตรง เช่น ทรงสอนพระนันทะที่คิดถึงคู่รักคนงาม ดว้ ยการทรงพาไปชม
นางฟ้ า นางอปั สรเทพธิดา ใหเ้ ห็นกบั ตา เป็นตน้

๔๔ เสฐียรพงษ์ วรรณปก, พุทธวิธีสอนจากพระไตรปิ ฎก, (กรุงเทพมหานคร : เพชรรุ่งการพมิ พ์,
๒๕๔๐),
หนา้ ๒๔-๒๕.

๔๕ แสง จนั ทร์งาม, วิธีสอนของพระพทุ ธเจ้า, (กรุงเทพมหานคร : กมลการพิมพ,์ ๒๕๒๖), หนา้ ๒๔-
๓๐.

๕๑

๔. สอนตรงเน้ือหา ตรงเร่ือง คุมอยใู่ นเร่ือง มีจุด ไมว่ กวน ไม่ไขวเ้ ขว ไมอ่ อกนอกเรื่องโดย
ไมม่ ีอะไรเก่ียวขอ้ งในเน้ือหาเลย

๕. สอนมีเหตุผล ตรองตามเห็นจริงได้ อยา่ งที่เรียกว่า สนิทาน
๖. สอนเท่าที่จาเป็นพอดีสาหรับใหเ้ กิดความเขา้ ใจ ใหก้ ารเรียนไดผ้ ล ไม่ใช่สอนเท่าที่ตนรู้
หรือสอนแสดงภมู ิว่าผสู้ อนมีความรู้มาก เหมอื นอยา่ งท่ีพระพุทธเจา้ เม่ือประทบั อย่ใู นป่ าประดู่ลาย
ใกลเ้ มืองโกสมั พี ไดท้ รงหยบิ ใบไมป้ ระดู่ลายเลก็ นอ้ ยใส่กาพระหัตถ์ แลว้ ตรัสถามภิกษุท้งั หลายว่า
ใบประดู่ลายในพระหัตถก์ บั ในป่ า ไหนจะมากกวา่ กนั ภิกษุท้งั หลายกราบทูลว่า ในป่ ามากกว่า จึง
ตรัสว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้แต่มิไดท้ รงสอนเหมือนใบประดู่ลายในป่ า ส่วนท่ีทรงส่ังสอนน้อย
เหมอื นใบประดู่ลายในพระหตั ถ์ และตรัสแสดงเหตุผลในการท่ีมไิ ดท้ รงสอนท้งั หมดเท่าที่ตรัสรู้ว่า
เพราะส่ิงเหล่าน้นั ไม่เป็ นประโยชน์มิใช่หลกั การดาเนินชีวิตอนั ประเสริฐ ไม่ช่วยให้เกิดความรู้
ถกู ตอ้ งนาไปสู่จุดหมายคือพระนิพพานได้
๗. สอนในส่ิงท่ีมีความหมาย ควรที่เขาจะเรียนรู้และเขา้ ใจ เป็ นประโยชน์แก่ตวั เอง อย่าง
พระพจน์ที่วา่ พระองคท์ รงมพี ระเมตตาหวงั ประโยชน์แก่สตั วท์ ้งั หลาย จึงตรัสพระวาจาตามหลกั ๖
ประการ ดงั น้ีคือ
๗.๑ คาพดู ท่ีไม่จริง ไมถ่ กู ตอ้ ง, ไม่เป็นประโยชน์, ไม่เป็นท่ีรัก, ไม่เป็นท่ีชอบใจของผอู้ น่ื -
ไมต่ รัส
๗.๒ คาพูดที่จริง ถกู ตอ้ ง, แต่ไม่เป็ นประโยชน์, ไม่เป็ นท่ีรัก, ไม่เป็ นท่ีชอบใจของผอู้ ่ืน -
ไมต่ รัส
๗.๓ คาพดู ที่จริง ถกู ตอ้ ง, เป็ นประโยชน์, ไม่เป็นท่ีรัก,ไม่เป็นที่ชอบใจของผอู้ ื่น–เลือกกาล
ตรัส
๗.๔ คาพดู ท่ีไมจ่ ริง ไมถ่ กู ตอ้ ง, ไม่เป็นประโยชน์, ถงึ เป็นที่รัก, เป็นท่ีชอบใจของผอู้ ่นื – ไม่
ตรัส
๗.๕ คาพดู ท่ีจริง ถูกตอ้ ง, แต่ไม่เป็ นประโยชน์, ถึงเป็ นที่รัก, เป็ นท่ีชอบใจของผอู้ ่ืน – ไม่
ตรัส
๗.๖ คาพดู ท่ีจริง ถกู ตอ้ ง, เป็นประโยชน์, เป็นท่ีรัก, เป็นที่ชอบใจของผอู้ น่ื เลือกกาลตรัส
ลกั ษณะของพระพุทธเจา้ ในเร่ืองน้ี คือทรงเป็ นกาลวาที สัจจวาที ภูตวาที อตั ถวาที ธรรม
วาที
วนิ ยั วาที

๕๒

ข) หลกั เกย่ี วกบั ตวั ผ้เู รียน
ผเู้ รียนหรือผฟู้ ังน้นั มีความสาคญั ไม่แตกต่างไปกบั เน้ือหาที่จะเรียน กล่าวคือผสู้ อนตอ้ ง
รู้จกั แยกแยะผเู้ รียนใหอ้ อกว่า ในแต่ละคนน้นั มลี กั ษณะแตกต่างกนั อยา่ งไรบา้ ง ในดา้ นใดบา้ ง ท้งั น้ี
เพ่ือเป็นขอ้ มลู ในการเตรียมตวั ของผสู้ อนนนั่ เอง ดงั น้นั ผสู้ อนควรคานึงถึงลกั ษณะต่าง ๆ ดงั ต่อไปน้ี
๑. รู้ คานึงถึง และสอนใหเ้ หมาะสมตามความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ดงั เช่นทรงคานึงถึง
จริต ๖ อนั ได้แก่ ราคจริต โทสจริต โมหจริต ศรัทธาจริต พุทธิจริต และวิตกจริต และรู้ระดับ
ความสามารถของบุคคล อยา่ งที่พระพทุ ธเจา้ ทรงพิจารณาวา่
สตั วท์ ้งั หลายผมู้ ีธุลีในตานอ้ ย มีธุลีในตามาก มอี ินทรียแ์ ก่กลา้ มอี ินทรียอ์ ่อน มี อาการดี มี
อาการทราม สอนใหร้ ู้ไดง้ ่าย สอนใหร้ ู้ไดย้ าก บางพวกมกั เห็นปรโลกและโทษว่าน่ากลวั ก็มี บาง
พวกมกั ไม่เห็นปรโลกและโทษว่าน่ากลวั ก็มี มีอุปมาเหมือนในกอดอุบล ในกอปทุม หรือในกอ
บุณฑริก บางดอกท่ีเกิดในน้า เจริญในน้า ยงั ไม่พน้ น้า จมอย่ใู นน้า...เจริญในน้าอยเู่ สมอน้า...เจริญ
ในน้า ข้ึนพน้ น้า ไมแ่ ตะน้า๔๖
พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงบุคคลท่ีมีลักษณะต่างกันไป แลว้ เปรี ยบเทียบกับดอกบัว ๔
ประเภท ไวน้ ่าสนใจยงิ่ ดงั ที่พระองคต์ รัสไว้ มดี งั น้ี
๑. อุคฆฏิตญั ญู (ผเู้ ข้าใจไดฉ้ ับพลนั ) หมายถึง ผรู้ ู้เขา้ ใจไดฉ้ ับพลนั แต่พอยกหัวข้อข้ึน

แสดง
เท่าน้นั เทียบกบั บวั พน้ น้า แต่พอรับสมั ผสั รัศมตี ะวนั ก็จะบาน ณ วนั น้นั

๒. วปิ จิตญั ญู (ผเู้ ขา้ ใจต่อเมอื่ ขยายความ) หมายถงึ บุคคลผสู้ ามารถรู้เขา้ ใจไดต้ ่อเมื่ออธิบาย
ความพสิ ดารออกไป เทียบกบั บวั ปริ่มน้า จกั บานต่อวนั รุ่งข้ึน

๓. เนยยะ (ผทู้ ่ีพอจะแนะนาได)้ หมายถึง บุคคลผพู้ อจะหาทางค่อยช้ีแจงแนะนาใชว้ ธิ ีการ
ยกั เย้อื งใหเ้ ขา้ ใจไดต้ ่อไป เทียบกบั บวั งามใตพ้ ้ืนน้า จกั บานในวนั ต่อ ๆ ไป

๔. ปทปรมะ (ผทู้ ่ีสอนให้รู้ได้เพียงตัวบทคือพยญั ชนะ) หมายถึง บุคคลผอู้ บั ปัญญา มี
ดวงตามืดมิด ยงั ไม่อาจบรรลุคุณวิเศษในชาติน้ีได้ เทียบกบั บัวจมใตน้ ้า น่าจกั เป็ นภกั ษาแห่งปลา
และเต่า๔๗

ในพระสุตตนั ตปิ ฎก ปุคคลบญั ญตั ิ ไดก้ ล่าวถงึ บุคคล ๔ จาพวกไวว้ ่า
บุคคลผเู้ ป็นอคุ ฆฏติ ญั ญู เป็นไฉน
บุคคลใดบรรลธุ รรมพร้อมกบั เวลาท่ีท่านยกหวั ขอ้ ข้ึนแสดง บุคคลน้ีเรียกว่าผเู้ ป็นอคุ ฆฏิตญั ญู
บุคคลผเู้ ป็นวปิ จิตญั ญู เป็นไฉน

๔๖ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๙/๑๔.
๔๗ อง.จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๑๓๓/๒๐๒.

๕๓

บุคคลใดเม่ือเขาอธิบายเน้ือความแห่งภาษิตโดยย่อให้พิสดาร จึงบรรลุธรรม บุคคลน้ี
เรียกว่า ผเู้ ป็นวิปจิตญั ญู

บุคคลผเู้ ป็นเนยยะ เป็นไฉน
บุคคลใดบรรลธุ รรมโดยลาดบั อยา่ งน้ี คือ โดยการแสดง การถาม การมนสิการโดยแยบคาย
การเสพ การคบ การเขา้ ไปนง่ั ใกลก้ ลั ยาณมิตร บุคคลน้ีเรียกว่า ผเู้ ป็นเนยยะ
บุคคลผเู้ ป็นปทปรมะ เป็นไฉน
บุคคลใดฟังก็มาก กล่าวก็มาก ทรงจาก็มาก บอกสอนก็มาก แต่ไม่บรรลุธรรมในชาติน้ัน
บุคคลน้ีเรียกว่า ผเู้ ป็นปทปรมะ๔๘
๒. ปรับวิธีสอนผอ่ นใหเ้ หมาะกบั บุคคล แมส้ อนเรื่องเดียวกนั แต่ต่างบุคคลกนั ก็อาจจะใช้
ต่างวิธีกนั
๓. นอกจากคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลแลว้ ผสู้ อนยงั ตอ้ งคานึงถึงความพร้อม
ความสุกงอม ความแก่รอบแห่งอินทรียห์ รือญาณที่เรียกวา่ ปริปากะ
๔. สอนโดยให้ผเู้ รียนลงมือทาดว้ ยตนเอง ซ่ึงจะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจชัดเจน
แม่นยาและไดผ้ ลจริง เช่น ทรงสอนพระจูฬปันถกผโู้ ง่เขลา ดว้ ยการใหน้ าผา้ ขาวไปลบู คลา เป็นตน้
๕. การสอนดาเนินไปในรูปที่ให้รู้สึกว่าผเู้ รียนกบั ผสู้ อนมบี ทบาทร่วมกนั ในการแสวงหา
ความจริง ให้มีการแสดงความคิดเห็น โตต้ อบเสรี หลกั น้ีเป็ นขอ้ สาคญั ในวิธีการแห่งปัญญาซ่ึง
ตอ้ งการอิสรภาพในทางความคิด และโดยวธิ ีน้ีเมื่อเขา้ ถงึ ความจริง ผเู้ รียนกจ็ ะรู้สึกวา่ ตนไดม้ องเห็น
ความจริงดว้ ยตนเอง และมีความชดั เจนมน่ั ใจ
๖. สอนโดยคานึงถึงความสนใจเป็นรายบุคคลโดยผเู้ รียนแต่ละคนน้ันจะมีความสนใจใน
แต่ละอยา่ งที่ไมเ่ หมือนกนั ผสู้ อนตอ้ งพงึ สงั เกตและปรับวธิ ีการสอนใหเ้ หมาะสมกบั บุคลิกลกั ษณะ
ของแต่ละบุคคลดว้ ย

ค) หลกั เกยี่ วกบั ตวั การสอน
ตวั การสอน หมายถงึ วธิ ีการหรือกลอุบายประกอบการสอน ผสู้ อนตอ้ งรู้จกั และปรับใชใ้ ห้
ถกู ตอ้ งเหมาะสมกบั กาลเทศะ เช่น
๑. สร้างจุดสนใจในการสอนให้ผเู้ รียนรู้สึกว่าน่าสนใจ อยา่ งน้อยการเริ่มตน้ ดึงดูดความ
สนใจของผเู้ รียนต้งั แต่เริ่มตน้ กเ็ ป็นความสาเร็จอกี ระดบั หน่ึงได้

๔๘ อภ.ิ ป.ุ (ไทย) ๓๖/๑๔๘-๑๕๑/๑๘๖-๑๘๗.

๕๔

๒. สร้างบรรยากาศในการเรียนใหป้ ลอดโปร่ง แจ่มใส เพลิดเพลิน ไม่ตึงเครียด ไม่ใหเ้ กิด
ความอดึ อดั ในการเรียน ใหเ้ กียรติผเู้ รียน

๓. สอนมุ่งเน้ือหาโดยมุ่งให้เกิดความเขา้ ใจในเร่ืองที่สอนเป็ นสาคญั ไม่กระทบตนและ
ผอู้ น่ื ไม่มุ่งยกตนข่มผอู้ ื่น

๔. สอนโดยเคารพ คือต้ังใจสอน ทาจริ งด้วยความรู้สึกว่าเป็ นสิ่งมีคุณค่า มองเห็น
ความสาคญั ของผเู้ รียนและงานสัง่ สอนน้นั ไมใ่ ช่สกั ว่าทา หรือเห็นผเู้ รียนน้นั โง่เขลาหรือเห็นเป็ น
คนช้นั ต่า

๕. ใชว้ าจาที่สุภาพ นุ่มนวล ไพเราะน่าฟัง สละสลวย เขา้ ใจง่าย ไม่หยาบคาย ไม่หยาบ
กระดา้ ง จนผฟู้ ังไม่สนใจที่จะเรียน

๒.๕ จุดมุ่งหมายในการสอนของพระพทุ ธเจ้า

พดู ถงึ จุดมงุ่ หมายในการสอนของพระพทุ ธเขา้ น้นั หลงั จากที่พระพทุ ธองคท์ รงบรรลุโมกข
ธรรมแลว้ ไดท้ รงเสวยวิมุตติสุขอยู่ ๗ สปั ดาห์กท็ รงมีพุทธประสงคท์ ี่จะสัง่ สอนใหป้ วงเวไนยสตั ว์
เป็ นผรู้ ู้ ผตู้ ่ืน ผเู้ บิกบานในธรรมที่พระองค์ทรงคน้ พบ พระพุทธองคก์ ็เร่ิมประกาศหลกั พุทธธรรม
คร้ังแรกในวนั เพ็ญ ๑๕ ค่าเดือน ๘ โดยมีปัญจวคั คียท์ ้ัง ๕ เป็ นเป้ าหมายในการเผยแผ่ โดยทรง
ประกาศธรรมจกั รกปั ปวตั ตนสูตร เป็ นคร้ังแรกในคร้ังน้ันไดม้ ีโกณฑญั ญะ เป็ นผสู้ ามารถรู้และ
เขา้ ใจในธรรมท่ีพระพุทธองค์ทรงคน้ พบ พระพุทธองคจ์ ึง ประกาศว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺ ฑญฺ
โญอญฺญาสิ วต โภ โกณฺ ฑญฺโญ โกณฑญั ฺญะ ไดร้ ู้แลว้ หนอ โกณฑญั ฺญะไดร้ ู้แลว้ หนอโกณฑญั ฺญะ
จึงได้ช่ือนาหน้าว่า อัญญาโกณฑัญญะ จากน้ัน จึงได้ทูลขออุปสมบทเป็ นภิกษุรูปแรกใน
พระพุทธศาสนา๑ ต่อมาพระพุทธศาสนาแพร่หลายออกไปในทุกสารทิศ มีผศู้ รัทธาเลอ่ื มใส เคารพ
ยาเกรง ในพระรัตนตรัยนอ้ มนาเอาหลกั ธรรมในทางพระพทุ ธศาสนาไปประพฤติปฏบิ ตั ิ

จุดมุ่งหมายในการสอนของพระพุทธเจา้ จึงม่งุ เนน้ ไปที่ประโยชนข์ องมหาชนเป็นท่ีต้งั ใน
การประกาศพระพุทธศาสนาจึงยดึ หลกั ประโยชน์ของมหาชนเป็นที่ต้งั ซ่ึงเป็นหลกั การสาคญั ของ
การส่ือธรรมในพระพุทธศาสนา โดยเป็นหลกั และนโยบาย ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาของเหล่า
สาวก ท้งั น้ีก็เพอ่ื ประโยชนส์ ุขแก่มนุษย์ โดยหลกั การกค็ ือ ใหเ้ กิดประโยชนส์ ุขตามพุทธประสงค์ ๓
ประการ คือ

๑) ทิฏฐธมั มิกตั ถประโยชน์ ประโยชนช์ าติน้ี
๒) สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ ประโยชนช์ าติหนา้

๕๕

๓) ปรมตั ถประโยชน์ ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ๔๙

พุทธพจน์น้ีเป็นเครื่องช้ีชดั ถึงบทบาทสาคญั ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา เพราะพระพทุ ธ
องค์ประสงคใ์ หเ้ กิดเป็ นประโยชน์แก่มหาชน เพราะฉะน้ัน ประโยชน์ ๓ จึงเป็นความชดั เจนในคา
สอนพระพุทธศาสนามุ่งหมายความสุขดว้ ยขอ้ ปฏบิ ตั ิใหเ้ กิดสุข มิใช่บรรลุดว้ ยความทุกข์ หรือทุก
คนเป็ นอิสระสมบูรณ์จากกิเลสท้ังปวง จึงจะถือว่าเป็ นความสุขท่ีเป็ นจุดหมายปลายทางตาม
จุดมุ่งหมายในพระพุทธศาสนา ดงั น้ัน พระพุทธองค์จึงทรงมีพุทธประสงค์ในการสอนเพ่ือให้
มหาชนเกิดความรู้ ความเห็น ๓ ประการ คือ

๑. อภิญญายธรรมเทศนา เพอ่ื ใหผ้ ฟู้ ังรู้แจง้ เห็นจริงในสิ่งท่ีควรรู้ควรเห็น
๒. สนิทานธรรมเทศนา เพือ่ ใหผ้ ฟู้ ังตรองตามแลว้ เห็นจริงได้ ทรงแสดงธรรมอยา่ งมีเหตุมี
ผล ท่ีผฟู้ ังพอตรองตามใหเ้ ห็นดว้ ยตนเองได้
๓. สัปปาฏิหาริยธรรมเทศนา เพื่อให้ผฟู้ ังไดร้ ับผลแห่งการปฏิบตั ิตามสมควร ทรงแสดง
ธรรมมีคุณเป็นอศั จรรย์ สามารถยงั ผปู้ ฏบิ ตั ิตามให้ไดร้ ับผลตามสมควรแก่กาลงั แห่งการปฏบิ ตั ิของ
ตน๕๐
๑) อภิญญายธรรมเทศนา หมายความว่า สิ่งใดที่พระองคท์ รงรู้แลว้ ทรงเห็นแลว้ แต่เม่ือ
ทรงพิจารณาวา่ ไมเ่ ป็ นประโยชน์สาหรับมหาชน พระพทุ ธองคก์ ็จะไมท่ รงสอนในสิ่งน้นั ทรงสอน
ให้รู้จริงเห็นแจง้ เฉพาะเท่าที่จาเป็ นสาหรับสาวกน้นั ๆ อุปมาเหมือนครูท่ีมีความรู้มาก แต่ก็นาเอา
เฉพาะความรู้เท่าท่ีจาเป็นแก่ศิษยใ์ นข้นั น้นั ๆ มาสอน เท่าที่จะพึงเป็ นประโยชน์แก่ศษิ ย์ และเท่าท่ี
วุฒิภาวะของศษิ ยจ์ ะรับได้ ดงั ตวั อยา่ งเช่น

.....พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ประทบั อยู่ ณ สีสปาวนั (ป่ าประด่ลู าย)
ใกลเ้ มืองโกสมั พี คร้ังน้นั ทรงถอื ใบประด่ลู ายเพียงเลก็ นอ้ ยไวใ้ น
พระหตั ถแ์ ลว้ ตรัสถามภิกษุท้งั หลายว่าใบประด่ลู ายในพระหตั ถก์ บั
ใบประด่ลู ายท่ีอยบู่ นตน้ อยา่ งไหนจะมากกว่ากนั ภิกษุท้งั หลาย
กราบทูลว่า ใบประด่ลู ายในพระหตั ถม์ ีเพยี งเลก็ นอ้ ย ส่วนท่ีอยู่
บนตน้ มมี ากนกั พระพุทธองคต์ รัสวา่ เรื่องน้ี ฉนั ใด เรื่องท่ีทรงรู้
น้นั มีมากเหมอื นใบไมบ้ นตน้ ส่วนท่ีทรงบอก และทรงแสดงแก่ภิกษุ
ท้งั หลายมีเพียงเลก็ นอ้ ยเหมือนใบไมใ้ นพระหตั ถ๕์ ๑

๔๙ ข.ุ จู (ไทย) ๓๐/๖๗๓/๓๓๓.
๕๐ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๔/๒๘๙, องฺ. ติก. (ไทย) ๒๐/๑๒๖/๓๗๓.
๕๑ สี.สํ. (ไทย) ๑๙/๕๔๘/๑๗๑๒.

๕๖

ท้งั น้ี ก็เพราะพระพุทธองคท์ รงมีพุทธประสงค์ที่จะบอกว่า ส่วนไหนที่ไมม่ ีประโยชน์แก่
พรหมจรรย์ ไม่เป็นเป็นไปเพ่อื ความเบ่ือหน่ายคลายกาหนดั เพือ่ ความรู้ยงิ่ และนิพพาน ก็จะไมบ่ อก
ส่วนไหนท่ีที่ประกอบดว้ ยประโยชน์ เป็นไปเพ่อื การตรัสรู้และนิพพานเช่นเรื่องทุกข์ เหตุแห่งทุกข์
ความดบั ทุกข์ และทางปฏิบตั ิใหถ้ ึงความดบั ทุกข์ พระองคก์ ็จะตรัสบอกพระธรรมเทศนาของพระ
พุทธองคไ์ มย่ ากเกินไปจนถงึ กบั ตรองตามแลว้ กไ็ มเ่ ห็น

๒) สนิทานธรรมเทศนา เป็ นพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจา้ ไม่ยากเกินไป จนถึงกบั
ตรองตามแลว้ ไม่เห็นและไมง่ ่ายเกินไปจนไม่ต้องตรึกตรองขบคิดกเ็ ห็นได้ พุทธวิธีในการสอนจึง
อยทู่ ่ามกลางระหว่างความยากเกินไปกบั ความง่ายเกินไป ส่วนใหญ่ทรงสอนใหใ้ ชป้ ัญญาพิจารณา
ดว้ ยตนเอง ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

ในสิงคาลกสูตร เล่าไวว้ ่า เชา้ วนั หน่ึงพระพุทธองคท์ รงเสด็จเขา้ ไปบิณฑบาตในเมืองรา
ชคฤห์ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกมานพผมู้ ีผา้ เปี ยก ผมเปี ยก(แสดงถงึ ความทุกขโ์ ศก)กาลงั ไหวท้ ิศ
ท้งั หลายอยใู่ นระหว่างทางเสด็จพุทธดาเนิน จึงตรัสถามว่า ทาอย่างน้นั เพื่ออะไรมานพกราบทูลว่า
ทาตามคาของบิดาซ่ึงไดส้ ง่ั ไวเ้ มื่อใกลจ้ ะส้ินชีพว่าใหไ้ หวท้ ิศท้งั หลาย

พระผมู้ ีพระภาคเจา้ จึงตรัสว่าในวินยั ของพระอริยะเขาไมน่ อบนอ้ มไหวท้ ิศกนั อยา่ งน้ีดอก
มาณพขอร้องใหท้ รงแสดงการไหวท้ ิศในอริยวนิ ยั พระพทุ ธองคจ์ ึงทรงแสดงธรรมเร่ืองใหเ้ วน้ ความ
ชว่ั ต่าง ๆ ให้รู้จกั มิตรแทม้ ิตรเทียมและทรงแสดงทิศ ๖ ในความหมายใหม่ซ่ึงเป็ นประโยชน์แก่
การปฏบิ ตั ิในชีวิตประจาวนั กล่าวคือ

๑. ทิศเบ้ืองหนา้ มารดา บิดา
๒. ทิศเบ้ืองขวา ครูอาจารย์
๓. ทิศเบ้ืองหลงั บุตร ภรรยา
๔. ทิศเบ้ืองซา้ ย มติ ร
๕. ทิศเบ้ืองต่า ทาสกรรมกร หรือคนท่ีอยใู่ นฐานะต่ากวา่
๖. ทิศเบ้ืองบน สมณพราหมณ์ผมู้ ีศีล๕๒
ทรงแสดงว่า ให้ปฏิบตั ิชอบต่อบุคคลประเภทต่าง ๆ ดงั กล่าวมาช่ือว่าเป็ นการไหวท้ ิศที่
ถกู ตอ้ งตามอริยวินยั นอกจากน้ียงั ทรงแสดงหน้าท่ีท่ีบุคคลประเภทน้นั พ่ึงปฏิบตั ิต่อกนั เพ่ือความ
สงบสุข ความราบร่ืนของการครองชีวติ อยดู่ ว้ ยกนั
เม่ือพระพุทธองคท์ รงแสดงธรรมจบลงแลว้ สิงคาลกมาณพก็ช่ืนชมยนิ ดีปฏิญาณตนเป็ น
อุบาสกถงึ พระรัตนตรัยตลอดชีวติ ท้งั น้ีเพราะเขาตรองตามดว้ ยเหตุผลแลว้ เห็นจริงตามที่พระพุทธ
องคท์ รงสอน

๕๒ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑ / ๒๖๖ - ๒๗๒ / ๒๑๒ – ๒๑๖.

๕๗

๓) สัปปาฏิหาริยธรรมเทศนา ในขอ้ น้ีมีเรื่องท่ีพอจะนามาประกอบการพิจารณาหลายเรื่อง
ขอนามากล่าวเพียงเล็กน้อยดงั น้ีบรรดาปาฏิหาริยท์ ้งั ๓ น้ันพระพุทธองค์ทรงสรรเสริญอนุศาสนี
ปาฏิหาริ ย์ว่าดีที่ สุ ด ประณี ตท่ี สุ ด และเป็ นประโยชน์ที่ สุ ดข้อน้ี เป็ นความจริ งอย่างยิ่ง
พระพุทธศาสนาท่ีดารงเป็ นประโยชน์แก่มหาชนมาจนกระทง่ั บัดน้ีก็ดว้ ยอานุภาพของอนุศาสนี
ปาฏิหาริยน์ นั่ เอง

ในสงั คารวสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ๓ แก่สังคารวพราหมณ์ ให้พราหมณ์
พิจารณาว่าอย่างไหนดีกว่า ประณี ตกว่า พราหมณ์กราบทูลว่า อิทธิปาฏิหาริยแ์ ละอาเทศนา
ปาฏิหาริยไ์ ม่ประณีต ผใู้ ดทาก็เป็ นเร่ืองเฉพาะตวั ของผนู้ ้นั และปรากฏแก่ตน(สงั คารวพราหมณ์)
เหมือนภาพลวง (มายาสหธมฺมรูป วิย ขายติ) ส่วนอนุศาสนีปาฏิหาริยเ์ ป็ นของประณีต พระผมู้ ีพระ
ภาคเจา้ ตรัสดีแลว้ ๕๓

เร่ืองน้ีแสดงให้เห็นว่า พระพุทธองค์ทรงเน้นปาฏิหาริยท์ างคาสอน คือ พูดสอนใหผ้ ฟู้ ัง
นาไปปฏิบตั ิ เมือ่ ปฏิบตั ิแลว้ ไดผ้ ลตามที่ทรงสอนก็เหมือนอศั จรรย์ นน่ั แหละคือยอดปาฏิหาริยแ์ ละ
เป็นประโยชน์อยา่ งย่ิง ไม่เพียงเฉพาะตนเท่าน้นั แต่เป็นประโยชน์แก่เทวดาและมนุษยท์ ้งั หลายเป็ น
อนั มาก

ในมหาปรินิพพานสูตร เมื่อพระพุทธองคจ์ วนปรินิพพาน ทอดพระเนตรเห็นมหาชนนา
เคร่ืองสกั การะเป็ นจานวนมากมาบูชาพระองค์ จึงตรัสกบั พระอานนทว์ ่า การทาการบูชาอยา่ งน้ัน
ไม่ใช่บูชาพระองคด์ ว้ ยการบูชาอย่างย่งิ แต่ผใู้ ดจะเป็ นภิกษุหรือภิกษุณีอุบาสกหรืออุบาสิกาก็ตาม
ปฏบิ ตั ิธรรมสมควร ปฏบิ ตั ิชอบ ผนู้ ้นั แหละช่ือว่าการบูชาพระองคด์ ว้ ยการบูชาอยา่ งยงิ่ ๕๔

๒.๖ หลักการทเี่ ป็ นอุดมการณ์ในการสอน

(๑) หลกั การที่เป็ นอดุ มการณ์ที่ควรยดึ ในการสั่งสอน มี ๔ อย่างคอื
๑. ตอ้ งมีความอดทนอดกล้นั ต่ออารมณ์ภายในและภายนอก
๒. ตอ้ งไมเ่ บียดเบียนผอู้ นื่
๓. ตอ้ งอยใู่ นที่สงบสงดั ทางกาย วาจาและใจ
๔. ตอ้ งยดึ เป้ าหมายคือ พระนิพพานเป็นที่สุด๕๕

๕๓ องฺ.ติก (ไทย) ๒๐ / ๒๑๔ / ๕๐๐.
๕๔ ท.ี มหา. (ไทย) ๑๐ / ๑๖๑ / ๑๒๖.
๕๕ พระธรรมปิ ฎก(ป.อ. ปยุตฺโต), จาริกบุญ จารึกธรรม, พิมพ์คร้ังท่ี ๑๐, (กรุงเทพมหานคร:พิมพส์ วย
,๒๕๔๗), หนา้ ๑๒๒.

๕๘

การเผยแผค่ วามคิด คาสอนของเจา้ ลทั ธิต่าง ๆ ในคร้ังพุทธกาล ลว้ นแต่มีการต่อสู้กนั ในแง่
การข่มกนั การโตแ้ ยง้ การหกั ลา้ งดว้ ยคาพดู ในเชิงภาษา ปรัชญา การเสนอทางปฏบิ ตั ิ การกล่าวร้าย
การใหร้ ้ายกนั ถึงขนาดข่ทู าร้ายกนั ก็มี เช่น พระพุทธเจา้ ถกู ศิษยจ์ ากสานกั อ่ืน ๆ หวงั ปลงพระชนม์
และทาให้พระองค์เสียหาย แมแ้ ต่พวกชฎิลยงั เคยคิดประทุษร้ายพระองค์ โดยอาราธนาใหป้ ระทบั ที่
โรงเรือนบูชาไฟ ซ่ึงมีงูใหญ่อาศยั อยู่ แต่พระองคส์ ามารถปราบพยศคนเหล่าน้ันได้ นัน่ เพราะว่า
พระองค์ทรงทราบว่า การแสดงออกในแง่ตอบโตม้ ีแต่ทางเสียอยา่ งเดียวเน่ืองจากว่า พระองคเ์ อง
เป็นผใู้ หมใ่ นแง่การเผยแผธ่ รรมะ หากจะเทียบกบั เจา้ ลทั ธิต่าง ๆ ที่ก่อตวั มานาน ยอ่ มเสียเปรียบเป็ น
แน่แท้

ดงั น้ัน ส่ิงที่พระองค์ตระหนักดีคือ วางกรอบ วางหลกั การสอนเอาไวเ้ พ่ือป้ องกันความ
เสียหายแก่คาสอนและสาวกของพระองค์เอง หลกั การ ๔ ขอ้ น้นั คือ เกราะป้ องกนั เป็ นอย่างดี ใน
ขณะเดียวกนั ก็เป็นการสร้างทศั นะและแนวคิดรูปแบบใหม่ ที่ทา้ ทายใหผ้ สู้ นใจใฝ่ ทางหลุดพน้ ใน
สมยั น้นั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี นี่คือ การแกป้ ัญหาของพระองคอ์ ยา่ งชาญฉลาด นอกจากหลกั ท่ีกล่าวแลว้ ยงั
มหี ลกั การท่ีเนน้ ถึงความสมั พนั ธก์ บั สงั คมและการบริหารตนเอง

(๒) หลกั การในแง่ความสัมพนั ธ์กบั สังคมและการบริหารตวั เองมี ๖ อย่างคอื
๑. การอยทู่ ี่ใดก็ไมก่ ล่าวร้าย ไมใ่ หร้ ้ายใคร
๒. การอยทู่ ่ีใดกไ็ มท่ าร้ายและเบียดเบียนใคร
๓. ไมว่ ่าจะอยทู่ ี่ใดกต็ าม ตอ้ งมีความสารวมระวงั ในปาติโมกขต์ ลอด
๔. การบริโภคอาหาร กต็ อ้ งรู้จกั พอเพยี งแก่ตนเอง
๕. ไมว่ า่ จะไปที่ใดท่ีนน่ั ควรเป็นท่ีสงบสงดั แก่ตวั เอง
๖. ตอ้ งหมนั่ ฝึกฝนตนเองใหเ้ กิดความสงบอยตู่ ลอด๕๖

นอกจากหลกั การท่ีกล่าวแลว้ น้ี พระองคย์ งั มิไดว้ างเฉยในการปรับตวั ของสาวกเช่นน้ัน
พระองคย์ งั วางกรอบใหส้ าวกแสดงท่าทีต่อตวั เองอกี เพ่ือปฏิบตั ิต่อคนอ่ืนและตวั เอง นี่คือหลกั การ
ในการแสดงความสมั พนั ธก์ บั คนอ่นื ซ่ึงอยบู่ นพ้นื ฐานในกรอบของตวั เอง เรียกวา่ มดี ีก่อนที่จะสอน
คนอื่นได้ ซ่ึงกเ็ ป็นไปอยา่ งราบรื่นตามท่ีพระองค์วางกฎเหลา่ น้ีไว้ อยา่ งไรก็ตาม จะพบวา่ หลกั การที่
พระองค์วางไวแ้ ลว้ น้ัน หากสาวกองค์ไหนละเมิด พระองค์ก็ทรงตาหนิ หรือลงโทษไวด้ ว้ ย น่ัน
แสดงว่า พระองคเ์ นน้ การสร้างแม่แบบท่ีดีให้แก่ประชาชน ส่วนในเร่ืองการปฏิบตั ิ หากสาวกองค์
ใดมวั เมาหรือหลงทางหรือทอ้ แท้ พระองค์ก็ขวนขวายช่วยเหลือใหส้ าวกเหล่าน้นั มีกาลงั ใจ เช่น
พระวกั กลิที่มวั เมาแต่ดูรูปพระองค์ พระองคก์ ็ทรงเตือน พระโมคคลั ลานะขณะปฏิบัติธรรมเกิด

๕๖ เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๑๒๖. ดูรายละเอยี ดใน ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐-๕๑.

๕๙

นิวรณ์ (ง่วงนอน) ครอบงา พระองคก์ ท็ รงหาอบุ ายแก้ จนสามารถบรรลธุ รรมเม่อื กล่าวโดยสรุปแลว้
หลกั การที่พระองค์วางไวก้ วา้ ง ๆ สาหรับสาวกท่ีจะออกไปเผยแผ่ธรรมะ มีใจความย่อ ๆ ใน ๓
ประการ เนื่องจากวา่ พระองคม์ ิไดจ้ ากดั วธิ ีการเผยแผธ่ รรมะอยา่ งเคร่งครัดจนเกินไป แต่ให้สาวก
พิจารณาในกรอบกวา้ งๆ ท้งั สามน้ี

(๓) หลกั การกว้างๆ ในแง่การกระทาํ มี ๓ คอื
๑. การไม่ทาบาปท้งั ปวง
๒. การทากุศลใหถ้ งึ พร้อม
๓. การทาจิตใหผ้ อ่ งแผว้ ๕๗

นี่คือ หลกั การกวา้ ง ๆ ที่พระองค์ประทานแก่สาวกที่เป็ นพระอรหนั ต์ ๑,๒๕๐ องค์ ในวนั
มาฆบชู า เพราะสาวกเหลา่ น้ี ตอ้ งเดินทางไปยงั ท่ีต่าง ๆ เพื่อเผยแผ่พระธรรมคาสอนของพระองค์ นี่
แสดงใหเ้ ห็นวา่ พระองคม์ ิไดจ้ ากดั สิทธิในการเผยแผ่ธรรมะ ในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึง การเผยแผ่
หรือการใชว้ ธิ ีต่าง ๆ ในการสงั่ สอนน้นั แต่ละองคต์ ระหนกั ในหลกั การกวา้ ง ๆ ขา้ งบนน้ีส่วนวธิ ีการ
สื่อสาร การสมั พนั ธ์กบั ผคู้ นในที่ต่าง ๆ น้นั สาวกท้งั หลายคงใชภ้ าษาชาวบา้ น หรือหากตอ้ งการ
เน้ือความท่ีแทจ้ ริง เพอ่ื มิใหเ้ กิดความผดิ เพ้ยี นในหลกั ที่พระพุทธเจา้ สอน สาวกองคน์ ้นั จะหาโอกาส
เขา้ เฝ้ าพระองค์ เพอ่ื ใหพ้ ระองคเ์ ทศนาธรรมใหฟ้ ังอีกคร้ัง

อยา่ งไรก็ตาม พระองคก์ ็ไดว้ างกรอบแนวการสอน และการเผยแผพ่ ระธรรมคาสอนเอาไว้
แก่พุทธสาวกกล่มุ แรก ๖๐ องค์ ซ่ึงถอื กนั วา่ เป็นพุทธปณิธานท่ีจะก่อใหเ้ กิดประโยชน์แก่เวไนยสตั ว์
ท้งั ปวงอยา่ งสูงสุด เพ่อื ใหส้ าวกไดท้ าหนา้ ท่ีของตนตามพุทธประสงคท์ ี่วา่

“จรถ ภิกฺขเว จาริก พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย
โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสาน
พวกเธอจงเท่ียวจาริก (ไป) เพ่ือประโยชน์และความสุข
แก่มหาชน เพ่ืออนุเคราะหแ์ ก่ชาวโลก เพ่ือประโยชน์เก้ือกลู
และความสุขแก่ทวยเทพและมนุษยท์ ้งั หลาย”๕๘

๕๗ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐-๕๑.
๕๘ วิ. มหา. (บาลี) ๔/๓๒/๒๗, ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐.

๖๐

๒.๗ ลลี าการสอนของพระพทุ ธเจ้า

การสอนของพระพทุ ธเจา้ ในแต่ละคร้ัง จะมีคุณลกั ษณะซ่ึงเรียกไดว้ ่า เป็นลีลาการสอน ๔
รูปแบบ ดงั ต่อไปน้ี คือ

๑. สนั ทสั สนา อธิบายใหเ้ ห็นชดั เจนแจ่มแจง้ เหมอื นจงู มอื ไปดเู ห็นกบั ตา
๒. สมาทปนา ชกั จงู ใจใหเ้ ห็นจริงดว้ ยชวนใหค้ ลอ้ ยตามยอมรับนาไปปฏิบตั ิได้
๓. สมุตเตชนา เร้าใจใหแ้ กลว้ กลา้ บงั เกิดกาลงั ใจ ปลกุ ใหม้ ีอตุ สาหะแข็งขนั มนั่ ใจว่าจะทา
ใหส้ าเร็จได้ ไม่หวนั่ ระยอ่ ต่อความเหน่ือยยาก
๔. สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อและเป่ี ยมดว้ ยความหวงั
เพราะมองเห็นคุณประโยชนท์ ี่ตนจะพึงไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ๕๙

๒.๘ วธิ ีการสอนของพระพุทธเจ้า

พุทธวิธีในการสอนหรือวิธีการสอนของพระพุทธเจา้ น้ัน ท่ีน่าสังเกตหรือพบอยบู่ ่อย ๆ
ไดแ้ ก่วิธีการสอนดงั ต่อไปน้ี

๑. แบบสากจั ฉาหรือสนทนา เป็นวธิ ีท่ีทรงใช่บ่อยไมน้ อ้ ยกว่าวธิ ีใดๆ โดยเฉพาะเม่อื ผมู้ าเฝ้ า
หรือทรงพบน้ัน ยงั ไม่ได้เล่ือมใสศรัทธาในพระศาสนายงั ไม่รู้ ไม่เข้าใจในหลกั ธรรม ในการ
สนทนา พระพุทธเจา้ มกั เป็นฝ่ ายถามนาค่สู นทนาเขา้ สู่ความเขา้ ใจธรรมและเส่ือมใสศรัทธาในท่ีสุด
แมใ้ นหมู่พระสาวกพระองคก์ ็ใช้วิธีไม่น้อย เช่น ในปฐมปัจโจโรหณีสูตร การสนทนาระหว่าง
พระพุทธเจา้ กบั พราหมณ์ชานุสโสณิ ถึงเร่ืองวิธีการอาบน้าลอยบาป คร้ันจบการสนทนาแลว้ ชาณุส
โสณิพราหมณ์ไดป้ ระกาศตนเป็นอุบาสกเขา้ ถงึ พระรัตนตรัย

๒. แบบบรรยาย วิธีสอนแบบน้ีทรงใช้ในการแสดงธรรมหรื อที่ประชุมใหญ่ ซ่ึงมี
ประชาชนหรือพระสงฆเ์ ป็ นจานวนมาก และส่วนมากมีพ้ืนฐานความรู้ความเข้าใจกับมีความ
เลอ่ื มใสศรัทธาอยแู่ ลว้ มาฟังเพ่ือหาความรู้ความเขา้ ใจเพ่มิ เติมและหาความสงบสุขทางจิตใจ นบั ได้
ว่าเป็นคนประเภทและระดบั ใกลเ้ คียงกนั พอจะใชว้ ธิ ีบรรยายอนั เป็ นแบบกวา้ งๆ ได้ ลกั ษณะพิเศษ
ของพทุ ธวิธีสอนแบบน้ีที่พบในคมั ภีร์บอกว่า ทุกคนท่ีฟังพระองคแ์ สดงธรรมอยใู่ นท่ีประชุมน้นั แต่
ละคนรู้สึกว่าพระพุทธเจา้ ตรัสอย่กู บั ตวั เองโดยเฉพาะ ซ่ึงนับว่าเป็นความสามารถอศั จรรยอ์ ีกอยา่ ง
หน่ึงของพระพทุ ธเจา้ ๖๐

๕๙ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พุทธวิธีในการสอน, หนา้ ๔๕.
๖๐ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๔๖.

๖๑

๓. แบบตอบปัญหา ผทู้ ่ีมาถามปัญหาน้ันนอกจากผทู้ ี่มคี วามสงสยั ขอ้ งใจในขอ้ ธรรมต่าง ๆ
แลว้ โดยมากเป็นผนู้ บั ถอื ลทั ธิศาสนาอน่ื บา้ งก็มาถามเพื่อตอ้ งการรู้คาสอนทางฝ่ ายพระพทุ ธศาสนา
หรือเทียบเคียงกบั คาสอนในลทั ธิของตน บา้ งก็มาถามเพื่อลองภูมิ บา้ งก็เตรียมมาถามเพ่ือข่มปราบ
ให้จนหรือให้ไดร้ ับความอบั อาย ในการตอบพระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณาดูลกั ษณะของ
ปัญหาและใชว้ ิธีตอบใหเ้ หมาะกนั

ในหลกั การถามและตอบปัญหาน้นั พระพุทธเจา้ จะทรงใหห้ ลกั ในการพจิ ารณาดลู กั ษณะ
ของปัญหาและวธิ ีการที่จะตอบปัญหาไว้ ๔ ประการ คือ

๑) เอกงั สพยากรณียปัญหา (ปัญหาท่ีควรตอบโดยนยั เดียว)
๒) วภิ ชั ชพยากรณียปัญหา (ปัญหาท่ีควรแยกตอบ)
๓) ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา (ปัญหาที่ควรตอบโดยยอ้ นถาม)
๔) ฐปนียปัญหา (ปัญหาท่ีควรงดตอบ)๖๑

๔. แบบวางกฎขอ้ บงั คบั เมื่อเกิดเรื่องมีภิกษุกระทาความผดิ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ข้ึนเป็ นคร้ัง
แรก พระสงฆ์หรือประชาชนเล่าลือโพนทะนาติเตียนกนั อยู่ มีผนู้ าความมากราบทูลพระพุทธเจา้
พระองคก์ ็จะทรงเรียกประชุมสงฆ์ สอบถามพระภิกษุผกู้ ระทาความผดิ เมอ่ื เจา้ ตวั รับไดค้ วามเป็ น
สตั ยจ์ ริงแลว้ กจ็ ะทรงตาหนิช้ีแจงผลเสียหายที่เกิดแก่ส่วนรวม พรรณนาผลร้ายของความประพฤติ
ไม่ดี และคุณประโยชน์ของความประพฤติท่ีดีงาม แลว้ ทรงแสดงธรรมกถาที่สมควรเหมาะสมกนั
กบั เร่ืองน้ัน จากน้นั จะตรัสใหส้ งฆท์ ราบวา่ จะทรงบญั ญตั ิสิกขาบท โดยทรงแถลงวตั ถปุ ระสงคใ์ น
การบญั ญตั ิใหท้ ราบ แลว้ ทรงบญั ญตั ิสิขาบทขอ้ น้นั ๆ ไว้ โดยความเห็นชอบพร้อมกนั ของสงฆ์

ในการสอนแบบน้ี พึงสงั เกตว่า พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิสิกขาบท โดยความเห็นชอบของ
สงฆ์ ซ่ึงบาลีใช้คาว่า “สงฺฆสุฏฺ ฐุตาย” แปลว่า “เพ่ือความรับว่าดีแห่งสงฆ์” หมายความว่า ทรง
บญั ญตั ิโดยช้ีแจงใหเ้ ห็นแลว้ วา่ ถา้ ไมร่ ับจะเกิดผลเสียอยา่ งไร เมอื่ รับจะมีผลดีอยา่ งไร จนสงฆร์ ับคา
ของพระองคว์ ่า “ดีแลว้ ” ไม่ทรงบงั คบั เอาโดยพลการ๖๒

๒.๙ แผนการสอนของพระพุทธเจ้า

พระพุทธองค์ทรงมีแผนการสอนเป็ นข้นั ตอนเริ่มแต่การเลือกบุคคลท่ีจะทรงสอนว่า มี
คุณลกั ษณะหรือภมู ิหลงั เป็นอยา่ งไร แลว้ จึงทรงกาหนดเน้ือหาสาระใหเ้ หมาะกบั บุคคลน้นั ๆ ทรงมี
วธิ ีการหรือรูปแบบในการนาเสนอมากมาย ทรงลดส่วนที่เกินและเพ่ิมส่วนท่ีขาดโดยมีพระกรุณา

๖๑ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๔๒/๗๐.
๖๒ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พทุ ธวธิ ใี นการสอน, หนา้ ๕๐.

๖๒

คุณเป็นที่ต้งั หลงั จากดาเนินการสอนแลว้ พระพทุ ธองคก์ ็ทรงประเมนิ ผลว่าเกิดประโยชนม์ ากนอ้ ย
เพียงใด และทรงติดตามผลของการปฏิบัติด้วยตัวของพระองค์ทุกคร้ังไป แผนการสอนของ
พระองคม์ ีดงั น้ี๖๓

๑. วเิ คราะห์ผู้ฟัง พระองคจ์ ะทรงศึกษาและเลอื กบุคคลอยา่ งละเอยี ด จะเห็นไดจ้ ากพุทธกิจ
ที่ทรงใช้ เช่น ในเวลาใกลร้ ุ่งจะทรงตรวจดสู ตั วโ์ ลกผสู้ มควรไดร้ ับพระกรุณา เป็นตน้

๒. กาหนดรู้ปริบทของผ้ฟู ัง พระพุทธองคจ์ ะทรงกาหนดรู้ถึงคุณลกั ษณะภูมหิ ลงั ของผฟู้ ัง
เช่น เพศ วยั ฐานะ ความเป็นอยู่ สภาพแวดลอ้ ม ชุมชน จารีตประเพณี อุปนิสยั ระดบั สติปัญญา เป็ น
ตน้

๓. กาหนดเนือ้ หาสาระท่ีจะทรงใช้สอน ข้นั ตอนการเลือกธรรมท่ีจะนามาสอนน้ัน นบั ว่า
เป็นข้นั ตอนที่สาคญั อยา่ งยิง่ เพราะว่าผฟู้ ังยอ่ มมีความพร้อม มีคุณสมบตั ิปริบททางสังคมท่ีต่างกนั
มอี ินทรียท์ ่ีแก่กลา้ ต่างกนั การกาหนดเน้ือหาสาระท่ีมคี วามยากง่ายใหต้ รงกบั ความตอ้ งการของผรู้ ับ
ฟัง ยอ่ มมผี ลต่อการรับรู้ธรรมะของผฟู้ ังท้งั ส้ิน

๔. รูปแบบการนาเสนอ พระพุทธเจา้ ทรงมีรูปแบบในการสอนมากมาย เช่น การสนทนา
การบรรยาย และการตอบปัญหา เป็นตน้

๕. วธิ กี ารนาํ เสนอ พระพทุ ธเจา้ ทรงใชว้ ิธีการนาเสนอที่หลากหลาย เช่น บางคร้ังทรงใชว้ ิธี
ยกอุปมาข้ึนเปรียบเทียบ บางคร้ังใชว้ ิธีตอบปัญหา บางคร้ังใชว้ ธิ ีเลา่ นิทานประกอบเป็นตน้

๖. ลดส่วนที่เกนิ เพม่ิ ส่วนทพ่ี ร่อง การแสดงธรรมของพระพุทธเจา้ มุ่งประโยชนเ์ ก้ือกลู และ
ประโยชนต์ ่อชาวโลกโดยอาศยั พระกรุณาธิคุณเป็นท่ีต้งั

๗. การประเมนิ ผล พระพุทธองคท์ รงใชว้ ธิ ีการประเมนิ ผลในการแสดงธรรมทุกคร้ังเมือ่ จบ
การแสดงธรรมเทศนาแลว้ จะเกิดคาวา่ ธมั มาภิสมโย คือ การไดบ้ รรลธุ รรมตามเหตุปัจจยั ส่วนชนท่ี
อยใู่ นที่ประชุมน้นั ก็จกั สามารถบรรลุคุณธรรมมากนอ้ ยต่างกนั ไปตามความแก่กลา้ ของอินทรีย์

๘. การตดิ ตามผล พระพทุ ธองค์จะทรงติดตามผลความคืบหนา้ ในเรื่องท่ีทรงสอนไป เช่น
ทรงมอบใหพ้ ระสารีบุตรเถระเป็นพระอุปัชฌายใ์ หก้ ารอปุ สมบทแก่พระราธะผบู้ วชเมือ่ แก่ ภายหลงั
เมือ่ พระสารีบุตรนามาเฝ้ า จึงไดต้ รัสถามถึงความเป็นไปของพระราธะ ซ่ึงพระสารีบุตรก็ทลู ว่า พระ
ราธะเธอเป็นผวู้ ่าง่ายสอนง่ายเหลอื เกิน เป็นตน้

๖๓ พระราชปัญญาภรณ์ (ชยวโส/ไชยวงศ์), “ศึกษารูปแบบและแนวทางการเผยแผ่ธรรมทางสถานี
วิทยกุ ระจายเสียงแห่งประเทศไทย : ศึกษาเฉพาะกรณีการแสดงพระธรรมเทศนาในวันธัมมัสสวนะ ระหว่าง พ.ศ.
๒๕๓๙-๒๕๔๒,” วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั , ๒๕๔๘), หนา้ ๒๒ -๒๓.

๖๓

๒.๑๐ กลวธิ ีและอุบายประกอบการสอน

ในกลวิธีและอุบายประกอบการสอนน้ัน ในหลกั พุทธวิธีการสอน พระพุทธเจา้ จะทรงใช้
กลวธิ ีและอุบายในการสอน ดงั ต่อไปน้ี

๑. การยกอุทาหรณ์และเล่านิทานประกอบ การยกตวั อย่างประกอบคาอธิบายและการเล่า
นิทานประกอบการสอน ช่วยใหเ้ ขา้ ใจความไดง้ ่ายและชดั เจน ช่วยใหจ้ าไดแ้ ม่นยาเห็นจริงและเกิด
ความเพลิดเพลนิ ทาใหก้ ารเรียนการสอนมรี สยง่ิ ข้ึน เช่นเมื่อจะอธิบายใหเ้ ห็นว่าบุคคลควรพดู แต่คา
ที่น่าพอใจ ไม่ควรพดู คาไม่น่าพอใจ แมแ้ ต่สัตวอ์ ่ืนเขาก็ชอบคาพูดท่ีน่าพอใจเช่นกนั ก็เล่านิทาน
ชาดกเร่ือง โคนันทวิศาล๖๔ เป็ นต้น พระพุทธเจ้าทรงใชอ้ ุทาหรณ์และนิทานประกอบการสอน
มากมายเพียงใด จะเห็นไดจ้ ากการที่ในคมั ภีร์ต่าง ๆ มีอุทาหรณ์และนิทานปรากฏอย่ทู วั่ ไป เฉพาะ
คมั ภีร์ชาดกอยา่ งเดียวกม็ นี ิทานชาดกถึง ๕๔๗ เรื่อง

๒. การเปรียบเทียบดว้ ยขอ้ อปุ มา คาอปุ มาช่วยใหเ้ ร่ืองที่ลึกซ้ึงเขา้ ใจยาก ปรากฏความหมาย
เด่นชดั ออกมาและเขา้ ใจง่ายข้ึน โดยเฉพาะมกั ใชใ้ นการอธิบายส่ิงท่ีเป็นนามธรรม เปรียบใหเ้ ห็นชดั
ดว้ ยส่ิงที่เป็ นรูปธรรม หรือแมเ้ ปรียบเรื่องที่เป็ นรูปธรรมดว้ ยขอ้ อปุ มาแบบรูปธรรม ก็ช่วยใหค้ วาม
หนกั แน่นเขา้ เช่น

กลิ่นดอกไมล้ อยไปทวนลมไม่ได้ กลิ่นจนั ทน์ กล่ินกฤษณาหรือกล่ินกระลาพกั ก็ลอยไป
ทวนลมไม่ได้ ส่วนกลิ่นของสตั บุรุษ ลอยไปทวนลมได้ กลิ่นศีลยอดเยยี่ มกว่ากล่ินหอมเหลา่ น้ี คือ
กลน่ิ จนั ทน์ กล่นิ กฤษณา กลิ่นดอกอุบล และกล่ินดอกมะลิ๖๕ ตณั หายอ่ มเจริญ แก่มนุษยผ์ ปู้ ระพฤติ
ประมาท เหมือนเถายา่ นทรายเจริญในป่ า ฉะน้นั ๖๖

๓. ใชอ้ ุปกรณ์การสอน ในสมยั พุทธกาลย่อมไม่มีอุปกรณ์การสอนชนิดต่าง ๆ ที่จดั ทาข้ึน
ไวเ้ พ่ือการสอนโดยเฉพาะเหมอื นสมยั ปัจจุบนั เพราะยงั ไมม่ ีการจดั การศกึ ษาเป็ นระบบข้ึนมาอยา่ ง
กวา้ งขวาง หากจะใชอ้ ุปกรณ์บา้ ง ก็คงตอ้ งอาศยั วตั ถุส่ิงของท่ีมใี นธรรมชาติ หรือเครื่องใชต้ ่าง ๆ ที่
ผคู้ นใชก้ นั อยู่

อยา่ งไรก็ดี มีตวั อยา่ งท่ีทรงใชอ้ ุปกรณ์การสอนเหมือนกนั โดยทรงใชเ้ ครื่องใชท้ ่ีมีอยู่ ใน
กรณีสอนผเู้ รียนที่มีอายนุ อ้ ย ๆ ซ่ึงเขา้ ใจจากวตั ถุไดง้ ่ายกว่านามธรรม บางทีกท็ รงใชว้ ิธีทายปัญหา
ซ่ึงช่วยใหเ้ กิดความรู้สึกสนุกสาหรับเดก็ ดงั ปรากฏในสามเณรปัญหา ความว่า “อะไรชื่อว่า หน่ึง...
อะไรช่ือว่า สอง...อะไรชื่อวา่ สาม...อะไรชื่อวา่ ส่ี”๖๗

๖๔ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๒๘/๑๒.
๖๕ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๕๔-๕๕/๔๓-๔๔.
๖๖ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๓๓๔/๑๓๗.
๖๗ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๔/๕.

๖๔

๔. ทาให้ดูเป็ นตวั อยา่ ง วิธีสอนท่ีดีที่สุดอยา่ งหน่ึงโดยเฉพาะในทางจริยธรรม คือการทา
เป็ นตวั อย่าง ซ่ึงเป็ นการสอนแบบไม่ตอ้ งกล่าวสอน เป็ นทานองการสาธิตใหด้ ู แต่ที่พระพุทธเจ้า
ทรงกระทาน้นั เป็ นไปในรูปทรงเป็ นผนู้ าท่ีดี การสอนโดยทาเป็ นตวั อยา่ ง ก็คือพระจริยาวตั รอนั ดี
งามท่ีเป็นอยโู่ ดยปกติ แต่ที่ทรงปฏิบตั ิเป็ นเรื่องราวเฉพาะกม็ ี ดงั เช่น “คราวหน่ึง พระพุทธเจา้ พร้อม
ดว้ ยพระอานนท์ตามเสด็จ ขณะเสด็จไปตามเสนาสนะท่ีอยขู่ องพระสงฆ์ ได้ทอดพระเนตรเห็น
พระภิกษุรูปหน่ึงอาพาธเป็ นโรคทอ้ งร่วง นอนจมกองมูตรและคูถของตน ไม่มีผพู้ ยาบาลดูแล จึง
เสด็จเขา้ ไปหา จดั การทาความสะอาด ให้นอนโดยเรียบร้อย เสร็จแลว้ จึงทรงประชุมสงฆ์ ทรง
สอบถามเรื่องน้นั และตรัสตอนหน่ึงว่า “ภิกษุท้งั หลาย พวกเธอไม่มีมารดา ไมม่ ีบิดาผคู้ อยพยาบาล
ภิกษุท้งั หลาย ถา้ พวกเธอไม่พยาบาลกนั เอง ใครเล่าจะคอยพยาบาลพวกเธอ ภิกษุท้ังหลาย ผจู้ ะ
พยาบาลเรา ก็จงพยาบาลภิกษุไขเ้ ถิด”๖๘

๕. การเล่นภาษา เลน่ คาและใชค้ าในความหมายใหม่ การเล่นภาษาและเลน่ คา เป็นเรื่องของ
ความสามารถในการใชภ้ าษาผสมกบั ปฏิภาณ ขอ้ น้ีก็เป็นการแสดงใหเ้ ห็นถงึ พระปรีชาสามารถของ
พระพุทธเจา้ ที่มีรอบไปทุกดา้ น เมอ่ื ผใู้ ดทูลถามมาเป็ นคาร้อยกรอง พระองคก์ ็ทรงตอบเป็ นคาร้อย
กรองไปทนั ที ทานองกลอนสด บางทีเขาทูลถามหรือกล่าวขอ้ ความ โดยใชค้ าที่มีความหมายไป
ในทางไม่ดีงาม พระองคก์ ็ตรัสตอบไปดว้ ยคาพูดเดียวกนั น้นั เอง แต่เป็ นคาพดู ในความหมายท่ีต่าง
ออกไปเป็นฝ่ ายดีงาม คาสนทนาโตต้ อบแบบน้ี มรี สอยแู่ ต่ในภาษาเดิม แปลออกสู่ภาษาอื่นยอ่ มเสีย
รสเสียความหมาย บางคร้ังผมู้ าเฝ้ าบริภาษพระองค์ ดว้ ยคาพดู ต่าง ๆ ที่รุนแรงยง่ิ พระองคย์ อมรับคา
บริภาษเหล่าน้นั ท้ังหมด แลว้ ทรงแปลความหมายอธิบายเสียใหม่ใหเ้ ป็ นเร่ืองดีงาม เช่น กรณีของ
เวรัญชพราหมณ์และสีหเสนาบดีผรู้ ับแผนมาจากนิครนถน์ าฏบุตร

๖. อุบายเลือกคนและการปฏิบัติรายบุคคล การเลือกคนเป็ นอุบายสาคัญในการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา เริ่มแรกประดิษฐานพระพุทธศาสนาพระพุทธเจา้ ทรงดาเนินพุทธกิจดว้ ยพระพุท
โธบายที่ได้ผลดีอย่างย่ิง ในการส่ังสอนแสดงธรรมก็เช่นกัน ทรงมกั เริ่มต้นด้วยบุคคลที่เป็ น
พระมหากษตั ริยห์ รือประมุขของประเทศ อีกท้งั ผนู้ าของลทั ธิต่าง ๆ ทาใหก้ ารประกาศพระศาสนา
ของพระองคน์ ้นั ไดป้ ระสบผลสาเร็จอยา่ งยง่ิ และรวดเร็ว อีกท้งั เป็นการยนื ยนั พระปรีชาสามารถของ
พระองคเ์ ป็นอยา่ งดีดว้ ย

๗. การรู้จกั จงั หวะและโอกาส วิธีสอนน้ีเช่น ผเู้ รียนยงั ไม่พร้อม ยงั ไม่เกิดปริปากะแห่ง
อินทรียห์ รือญาณ ผสู้ อนตอ้ งมคี วามอดทน ไม่ชิงหกั หาญหรือดึงดนั ทา แต่ตอ้ งตื่นตวั อยเู่ สมอ เมื่อ
ถึงจงั หวะและโอกาส ก็ตอ้ งมีความฉบั ไวที่จะจบั มาใชใ้ หเ้ ป็ นประโยชน์ ไม่ปล่อยใหผ้ า่ นเลยไป ดงั
ตวั อยา่ งเช่น ในระยะเริ่มแรกประกาศพระพุทธศาสนา ณ วนั มาฆปุรณมี หลงั ตรัสรู้ ๓ เดือน เมื่อ

๖๘ ว.ิ ม. (ไทย) ๕/๒๒๔/๒๔๐.

๖๕

ประทบั อยู่ ณ เวฬุวนั พระสงฆส์ าวกมาประชุมพร้อมกนั ณ ท่ีน้นั และเป็นโอกาสเหมาะ พระองคก์ ็
ทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข์ เป็นการใชจ้ งั หวะและโอกาสใหเ้ กิดประโยชน์

๘. ความยดื หยนุ่ ในการใชว้ ธิ ีการ ถา้ ผสู้ อนสอนอยา่ งไม่มีอตั ตา ตดั ตณั หา มานะ ทิฐิเสียให้
น้อยท่ีสุด ก็จะมุ่งไปยงั ผลสาเร็จในการเรียนรู้เป็ นสาคญั สุด แต่จะใชก้ ลวิธีใดให้การสอนได้ผลดี
ที่สุด ก็จะทาในทางน้ัน ไม่กลวั ว่าจะเสียเกียรติ ไม่กลวั จะถูกรู้สึกว่าแพ้ บางคราวเม่ือสมควรก็
ยอมรับใหผ้ เู้ รียนรู้สึกว่าเขาเก่ง บางคราวสมควรข่มกข็ ่ม โอนออ่ นผอ่ นตามก็ยอมตาม สมควรขดั ก็
ขดั สมควรคลอ้ งก็คลอ้ ย สมควรปลอบก็ปลอบ ดงั พระดารัสว่า “เราฝึกผทู้ ี่ควรฝึ กไดด้ ว้ ยวิธีแบบ
สุภาพบา้ ง วธิ ีแบบรุนแรงบา้ ง วธิ ีท้งั แบบสุภาพและแบบรุนแรงบา้ ง”๖๙

๙. ลงโทษและการใหร้ างวลั มีคาสรรเสริญพระพุทธคุณท่ียกมาแสดงขา้ งตน้ ว่า “พระผมู้ ี
พระภาคเจา้ ทรงฝึกอบรมชุมชนไดด้ ีถงึ เพียงน้ีโดยไม่ตอ้ งใชอ้ าชญา” แสดงวา่ การใชอ้ านาจลงโทษ
ไม่ใช่วิธีการฝึ กคนของพระพุทธเจา้ อยา่ งไรก็ตาม การลงโทษน่าจะมีอยแู่ บบหน่ึง หมายถึงการ
ลงโทษตนเอง ซ่ึงมีท้งั ในทางธรรมและวินัย ในทางวินยั ถือว่า มีบทบญั ญตั ิความประพฤติอยแู่ ลว้
และบทบญั ญัติเหล่าน้ีพระพุทธเจา้ ทรงบญั ญัติไว้ โดยความเห็นชอบแห่งสงฆ์ ส่วนในทางธรรม
ภิกษุที่เหลือของคือว่ายากสอนยากจริง ๆ สอนไมไ่ ดจ้ ริง ๆ ก็จะกลายถูกเพ่ือนพรหมจารีและเพื่อน
ภิกษุถือว่าเป็ นผทู้ ่ีไม่ควรว่ากล่าวสัง่ สอนและตกั เตือน ไม่มีใครคบคา้ สมาคมดว้ ยไม่ว่าทางธรรม
หรือวินยั โดยวิธีน้ีซ่ึงถือเป็ นบทลงโทษท่ีรุนแรงที่สุด ส่วนการใหร้ างวลั ทรงใชก้ ารชมเชยยกย่อง
แต่ก็เป็ นในรูปแบบการยอมรับคุณความดีของผนู้ ้นั คือกล่าวชมโดยธรรม ให้เขามน่ั ใจในการทา
ความดี

๑๐. กลวิธีแกป้ ัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดข้ึนบางคร้ังคราว ย่อมมีลกั ษณะ
แตกต่างกันไปไม่มีท่ีสุด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมอาศยั ปฏิภาณ คือ ความสามารถในการ
ประยุกต์หลักวิธีการ และกลวิธีต่าง ๆ มาใช้ให้เหมาะสม เป็ นเร่ืองเฉพาะคร้ัง เฉพาะคราวไป
อย่างไรก็ดี การไดเ้ ห็นตัวอย่างการแกป้ ัญหาเช่นน้ี อาจช่วยให้เกิดความเข้าใจในแนวทางท่ีจะ
นาไปใชป้ ฏิบัติไดบ้ า้ ง การประกาศพระศาสนาพระพุทธเจา้ ก็ทรงประสบปัญหาเฉพาะหน้าอยู่
ตลอดเวลา และทรงแกส้ าเร็จไปในรูปต่าง ๆ กนั ดงั เช่นท่ีปรากฏในธนัญชานิสูตร อกั โกสกสูตร สุ
นทริกสูตรและกสิสูตร เป็นตน้

นอกจากน้ี บรรจบ บรรณรุจิ ยงั ไดก้ ล่าวถึงพุทธวิธีในการสอนของพระพุทธเจา้ ไวห้ ลาย
ประการ ดงั ต่อไปน้ี

๖๙ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๑๑๑/๑๗๐.

๖๖

๑. วิธีการสอนแบบอธิบายเชิงวิเคราะห์ วิธีน้ีทรงใชใ้ นการสอนพระอญั ญาโกณทญั ญะ
พระวปั ปะ พระภทั ทิยะ พระมหานามะและพระอสั สชิ โดยทรงช้ีใหเ้ ห็นทางปฏิบตั ิที่ผดิ และเสนอ
แนวทางปฏิบตั ิที่ถูกตอ้ ง รวมท้งั ทรงวเิ คราะห์ใหเ้ ขา้ ใจถงึ สามญั ลกั ษณะคือความไม่เที่ยง ความเป็ น
ทุกขแ์ ละความไม่ใช่ตวั ตนที่แทจ้ ริงของขนั ธ์ ๕ อนั ไดแ้ ก่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขารและวิญญาณ กบั
ทรงใช้สอนพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะและพระนาคิตะ พระสารีบุตร พระองค์ทรง
วเิ คราะห์ให้เขา้ ใจถึงว่าเวทนาไม่เท่ียง พระมหาโมคคลั ลานะพระองคท์ รงวิเคราะห์ใหเ้ ขา้ ใจถึงว่า
ธาตุ ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย ท่ีประชุมกนั เขา้ เป็นกายเป็นของไมใ่ ช่ตวั ตน

๒. วิธีการสอนแบบอธิบายธรรมข้นั ต่าข้ึนไปถึงธรรมข้นั สงู วิธีน้ีทรงใชส้ อนพระยสะ พระ
วมิ ละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควมั ปติ และพระมหากปั ปิ นะ โดยทรงช้ีใหเ้ ห็นวา่ ทานและศลี มี
ผลส่งใหไ้ ปเกิดในสวรรคอ์ นั เป็นแดนท่ีพรั่งพร้อมดว้ ยเบญจกามคณุ แต่ถงึ อยา่ งไร เบญจกามคุณใน
สวรรคน์ ้นั ก็ยงั เป็นของต่าชา้ ใหโ้ ทษ เป็นทุกข์ สุดทา้ ยทรงช้ีใหเ้ ห็นว่าการออกบวชเป็นทางท่ดี ีท่ีสุด
แลว้ ทรงตอกย้าเรื่องทุกข์ เหตุเกิดของทุกข์ ความดบั ทุกข์ และขอ้ ปฏบิ ตั ิใหเ้ ขา้ ถงึ ความดบั ทุกข์

๓. วิธีการสอนแบบใหผ้ ฟู้ ังต้งั ปัญหาทูลถาม วิธีน้ีทรงใชส้ อนพระกมุ ารกสั สปะ พระสภิยะ
พระอชิตะ พระติสสเมตเตยยะ พระปุณณกะ พระเมตตคู พระโธตกะ พระอุปสีวะ พระนนั ทะ พระ
เหมกะ พระโตเทยยะ พระกปั ปะ พระชตุกณั ณี พระภทั ราวุธ พระอทุ ยะ พระเปสาละ พระโมฆราช
และพระปิ งคิยะ โดยทรงเปิ ดโอกาสใหพ้ ระสาวกดงั กล่าวน้ีทูลถามปัญหาต่าง ๆ ซ่ึงลว้ นแลว้ แต่มี
จุดม่งุ หมายอยทู่ ่ีความพน้ ทุกข์

๔. วิธีการสอนแบบยกเรื่องให้สอดคลอ้ งกบั ประสบการณ์เดิมของผฟู้ ัง วิธีน้ีทรงใชส้ อน
พระอรุ ุเวลกสั สปะ พระนทีกสั สปะ พระคยากสั สปะ โดยทรงพิจารณาเห็นว่าพระสาวกท้งั ๓ รูปน้ี
คุน้ เคยกบั การบูชาไฟจึงทรงยกเร่ืองไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มาสอนเพื่อทรงช้ีให้เห็นว่า ไฟ
ดงั กล่าวเผาไหมส้ ตั วใ์ หเ้ ร่าร้อนเช่นเดียวกบั ไฟท่ีท่านท้งั ๓ เคยบชู าแลว้

๕. วิธีการสอนแบบแสดงธรรมตามใจผฟู้ ัง วิธีน้ีทรงใชใ้ นการสอน พระนาลกะ พระ
ปุณณะ พระอานนท์ พระกงั ขาเรวตะ พระสุภูติ พระปิ ลินทวจั นะ พระนาลกะประสงคจ์ ะฟังโมเนยย
ปฏิปทา พระองค์ก็ทรงแสดงให้ฟังตามท่ีทูลขอ พระปุณณะประสงค์จะฟังพระดารัสตรัสเตือน
สาหรับอยใู่ นสุนาปรันตชนบท พระองคก์ ็ทรงแสดงใหฟ้ ัง พระอานนทป์ ระสงคจ์ ะไดฟ้ ังธรรมะทุก
เรื่องที่ตรัสสอน พระองคก์ ็ทรงแสดงใหฟ้ ัง พระกงั ขาเรวตะ พระสุภูติและพระปิ ลินทวจั นะ ๓ รูปน้ี
ประสงคจ์ ะรับกรรมฐานไปปฏิบตั ิก็ทรงประทานใหต้ ามที่ทูลขอ กบั ทรงใชส้ อน พระมหาโกฏฐิกะ
พระนันทกะ พระภคุ พระกิมพิละ พระภทั ทิยะ(กาฬิโคธาบุตร) พระมหาอุทายี พระโสภิตะ พระ
รัฐบาล พระเสละ พระอุปวาณะ พระมหาปัณถก พระพากลุ ะ พระกุณฑธานะ ซ่ึงพระสาวกท้งั ๑๓
รูปน้ีแมจ้ ะไมม่ หี ลกั ฐานระบุวา่ ไดฟ้ ังธรรมเร่ืองอะไรจากพระพทุ ธเจา้ แต่ก็มหี ลกั ฐานระบุว่าท่านได้

๖๗

ปฏิบตั ิกรรมฐานจึงทาใหส้ ันนิษฐานไดว้ ่า ท่านจะตอ้ งไดร้ ับกรรมฐานมาจากพระพุทธเจา้ แน่นอน
เพราะต่างลว้ นไดฟ้ ังธรรมในสานักพระพุทธเจ้าท้ังสิ้น และพระพุทธเจา้ จะต้องทรงประทาน
กรรมฐานใหต้ ามท่ีทลู ขอ เหมือนท่ีทรงประทานแก่พระกงั ขาเรวตะ พระสุภตู ิ และพระปิ ลินทวจั นะ
อยา่ งแน่นอน

๖. วิธีการสอนแบบตาหนิให้ตระหนัก วิธีน้ีทรงใชส้ อน พระยโสชะ พระสคตะ พระอุป
เสนะ พระปิ ณโฑลภารทวาชะ โดยทรงตาหนิพระยโสชะในเร่ืองท่ีพระบริวารของท่านส่งเสียงดงั
ทรงตาหนิพระสาคตะในเร่ืองท่ีท่านด่ืมเหลา้ จนเมาหมดสติ ทรงตาหนิพระอุปเสนะในเร่ืองบวชได้
เพียง ๑ พรรษาก็เป็ นอปุ ัชฌายบ์ วชใหก้ ลุ บุตรอ่นื และทรงตาหนิพระปิ ณโฑลภารทวาชะในเร่ืองไม่
รู้ประมาณในอาหาร ซ่ึงพระสาวกท้ัง ๔ รูปน้ีเมื่อถกู ตาหนิก็ตระหนกั และบาเพ็ญเพียรจนบรรลุ
อรหตั ตผล

๗. วิธีการสอนแบบใหค้ วามหวงั วิธีน้ีทรงใชส้ อน พระนันทะ พระวงั คีสะ โดยทรงให้
ความหวงั แก่พระนนั ทะว่าหากบรรลอุ รหตั ตผลก็จะไดน้ างฟ้ าตามที่ปรารถนา และทรงใหค้ วามหวงั
แก่พระวงั คีสะว่า หากไดเ้ รียนรู้อาการ ๓๒ แลว้ ก็จะรู้ท่ีเกิดของพระอรหันตต์ ามท่ีตอ้ งการ ซ่ึงเม่ือ
พระสาวกท้งั ๒ รูปน้ีไดบ้ รรลพุ ระอรหตั ตผลแลว้ กร็ ู้ทนั ทีวา่ ความหวงั ท่ีพระพุทธเจา้ ทรงใหไ้ วน้ ้ัน
คืออบุ ายสอนธรรมท่ีฉลาด

๘. วิธีการสอนแบบใหล้ องผดิ ก่อนแลว้ จึงสอนวิธีปฏิบตั ิที่ถูกใหภ้ ายหลงั วิธีน้ีทรงใชส้ อน
พระโสณโกฬิวสิ ะ และพระเมฆิยะ โดยทรงปลอ่ ยใหพ้ ระโสณโกฬิวิสะบาเพ็ญเพยี รอยา่ งหนกั ดว้ ย
การเดินจรงกรมจนกระทง่ั เทา้ แตกไดร้ ับทุกขเวทนาอยา่ งแสนสาหสั ก่อนแลว้ จึงทรงสอนวิธีปฏิบตั ิ
ที่ถูกตอ้ ง คือ บาเพ็ญเพียรแต่พอเหมาะไม่ตึงเกินไป ไม่หยอ่ นเกินไป และทรงปล่อยให้พระเมฆิยะ
ไปอย่ปู ฏิบตั ิธรรมตามลาพงั แลว้ ไม่สามารถข่มจิตไดจ้ นตอ้ งกลบั มาหาพระองค์อีก และทูลขอให้
ตรัสบอกวธิ ีทาจิตใหส้ งบ ซ่ึงเม่ือพระสาวกท้งั ๒ รูปน้ีปฏบิ ตั ิตามที่ตรัสบอกก็ไดบ้ รรลอุ รหตั ตผล

๙. วธิ ีการสอนแบบตรัสแนะเสริม วิธีน้ีทรงใชส้ อน พระอนุรุทธะ โดยทรงพิจารณาเห็นว่า
พระอนุรุทธะกาลงั ตรึกถงึ ธรรมะอยา่ งถกู ตอ้ ง แต่ยงั ไมแ่ จ่มแจง้ ถงึ ไดต้ รัสแนะเสริมใหต้ ิดต่อไปจน
เขา้ ใจแจ่มแจง้

๑๐. วิธีการสอนแบบค่อยเป็ นค่อยไป วิธีน้ีทรงใช้สอน พระราหุล และพระจูฬปันถก
พระองคท์ รงสอนพระราหุล ซ่ึงมีอายุ ๑๕ ขวบเพิ่งบวชใหมใ่ หส้ ารวมในการพดู เม่ือท่านมีอายุ ๑๘
ปี พระองคก์ ็ทรงสอนใหพ้ ิจารณารูปท้งั ปวงวา่ ไม่ใช่ของเรา เพ่อื บ่มปัญญาของท่านใหแ้ กลว้ กลา้ ใน
หลกั ของไตรลกั ษณ์ และเม่ือท่านอายุ ๒๐ ปี พระองค์ทรงเห็นว่ามีปัญญาแก่กลา้ แลว้ จึงตรัสเตือน
ใหท้ ่านเร่งทาท่ีสุดของทุกขใ์ หไ้ ด้ ส่วนพระจฬู ปันถก พระองคท์ รงสอนใหท้ ่านนง่ั มองดดู วงอาทิตย์
พลางลบู ผา้ ขาว พร้อมท้งั นึกบริกรรมว่า

๖๘

“ผา้ เช็ดฝ่ นุ ผา้ เช็ดฝ่ นุ ” คร้ังผา้ ขาวเร่ิมสกปรก พระองค์ก็ทรงสอนให้ท่านไดค้ ิดพิจารณา
เปรียบเทียบจิตเหมือนผา้ ขาวจนไดบ้ รรลธุ รรม

๑๑. วธิ ีการสอนแบบเลือกใหศ้ ึกษา วิธีน้ีทรงใชใ้ นการสอน พระอุบาลี โดยท่ีทรงพิจารณา
เห็นว่า พระอุบาลีน้ีหากไปอย่ปู ฏิบตั ิธรรมตามลาพงั แลว้ ก็จะชานาญเฉพาะการเจริญวิปัสสนา
เท่าน้ัน แต่จะไม่เชี่ยวชาญในการพิจารณาตัดสินพระวินัยจึงทรงบอกให้ท่านอย่ปู ฏิบตั ิธรรมใน
สานกั ของพระองค์ ซ่ึงท่านกท็ าตามที่ทรงเลือกให้

๑๒. วิธีการสอนแบบยอ้ นคาพดู ใหค้ ิด วิธีน้ีทรงใชใ้ นการสอน พระองคุลมิ าล โดยเมอื่ วนั
พระองคุลิมาลว่งิ ไล่หมายจะปลงพระชนมข์ องพระองคพ์ ร้อมท้งั ร้องตะโกนบอกใหพ้ ระองคห์ ยดุ
พระองคไ์ ดต้ รัสยอ้ นว่า พระองคห์ ยุดแลว้ แต่พระองคุลิมาล(ขณะน้ันยงั เป็ นโจร)ต่างหากท่ียงั ไม่
หยดุ ซ่ึงก็หมายความว่า พระองคห์ ยดุ ทาบาปแลว้ แต่พระองคุลมิ าลยงั ไม่หยดุ พระองคุลิมาลเขา้ ใจ
ตามที่พระองคท์ รงหมายถึง จึงยอมทิ้งดาบแลว้ ทลู ขอบวช

๑๓. วธิ ีการสอนแบบรอให้ผฟู้ ังมีความพร้อมท้งั ทางร่างกายและจิต วิธีน้ีทรงใชส้ อน พระ
พาหิยะ โดยทรงพิจารณาเห็นว่าพระพาหิยะขณะเฝ้ าพระองคอ์ ย่นู ้ัน สภาพร่างกายและจิตยงั ไม่
พร้อม เพราะเดินทางมาไกลและเพิง่ มาถงึ ร่างกายยงั เหนื่อยอ่อนและจิตก็ไมส่ งบ เพราะดีใจเกินไป
ที่ไดม้ าพบพระองค์ ดงั น้นั เม่ือท่านทูลขอใหแ้ สดงธรรมให้ฟังจงทรงยบั ย้งั ไวก้ ่อน ต่อเมื่อเห็นว่า
ท่านหายเหนื่อยและจิตกส็ งบแลว้ จึงทรงแสดงธรรมใหฟ้ ัง

๑๔. วิธีการสอนแบบปลอบใจ วิธีน้ีทรงใชส้ อนพระวกั กลิ โดยในตอนแรกทรงขบั ไล่พระ
วกั กลิเพราะโทษฐานที่ละทิ้งการบาเพญ็ สมณธรรม เที่ยวติดตามดูพระรูปกายของพระองค์ เป็นเหตุ
ให้พระวกั กลิเสียใจถึงข้นั จะไปกระโดดภูเขาฆ่าตวั ตาย พระองค์จึงเสด็จไปปลอบและทรงให้
กาลงั ใจจนพระวกั กลิเกิดความรู้แจง้ ไดบ้ รรลุอรหตั ตผลในท่ีสุด

๑๕. วิธีการสอนแบบยว่ั ยใุ หแ้ สดงความสามารถแลว้ ใหโ้ อวาท วธิ ีน้ีทรงใชใ้ นการสอนพระ
โสณกุฏิกัณณะ โดยทรงให้พระโสณกุฏิกัณณะซ่ึงเดินทางมาเฝ้ าจากแคว้นอวันตีได้แสดง
ความสามารถดว้ ยการสวดสรภญั ญะ คร้ันแลว้ ไดต้ รัสชมและประทานพระโอวาท

๑๖. วิธีการสอนแบบแสดงธรรมโปรดคนทวั่ ไปแต่มีเป้ าหมายอยทู่ ่ีคนคนหน่ึงหรือกลุ่ม
หน่ึง วิธีน้ีทรงใชส้ อน พระมหากจั จายนะ และพระกาฬทุ ายี เป็นตน้ ๗๐

๗๐ บรรจบ บรรณรุจิ, เล่มน้ีมปี ัญหา, (กรุงเทพมหานคร : พรบุญการพิมพ์, ๒๕๓๘), หนา้ ๔๕-๕๔.

๖๙

๒.๑๑ หลกั ในการตรัสสอนเวไนยสัตว์ของพระพทุ ธเจ้า

สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ทรงเป็ นบรมครูช้นั เยี่ยมยากที่จะหาใครทัดเทียมได้ เพราะ
พระองคเ์ ป็ นครูผสู้ อนท้งั เทวดาและมนุษยท์ ้ังหลายให้รู้ตามในส่ิงท่ีควรรู้ ควรเห็นไดด้ ว้ ยตนเอง
และพระองค์ทรงมีเทคนิคในการเผยแผ่ธรรมะเป็ นอย่างดี องค์ประกอบที่พระองค์ทรงใชเ้ ป็ น
เทคนิคในการสอนเพ่อื เผยแผธ่ รรมะแก่ประชาชน นกั ปราชญศ์ าสนาไดจ้ ดั รวบรวมเป็ นโครงสร้าง
เอาไวอ้ ย่างมีระบบ สมควรที่จะใชเ้ ป็ นแบบอย่างในการเผยแผ่ และในการส่ังสอนเวไนยสัตวน์ ้ัน
พระพทุ ธองคท์ รงมีหลกั ในการตรัส ๖ ประการ ไดแ้ ก่

๑) ตถาคตรู้วาจาท่ีไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์ และวาจาน้ัน
ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นท่ีชอบใจของคนอื่น ตถาคตไมก่ ล่าววาจาน้นั

๒) ตถาคตรู้วาจาที่จริง ท่ีแท้ แต่ไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์ และวาจาน้นั
ไมเ่ ป็นท่ีรัก ไมเ่ ป็นท่ีชอบใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจาน้นั

๓) ตถาคตรู้วาจาท่ีจริง ที่แท้ และประกอบดว้ ยประโยชน์ แต่วาจาน้ันไม่
เป็นท่ีรัก ไมเ่ ป็นท่ีชอบใจของคนอ่ืน ในขอ้ น้นั ตถาคตรู้กาลท่ีจะกล่าววาจาน้นั

๔) ตถาคตรู้วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์ แต่วาจาน้ัน
เป็นท่ีรัก เป็นท่ีชอบใจของคนอน่ื ตถาคตไมก่ ล่าววาจาน้นั

๕) ตถาคตรู้วาจาท่ีจริง ท่ีแท้ ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ แต่วาจาน้นั เป็นที่
รัก เป็นท่ีชอบใจของคนอืน่ ตถาคตไมก่ ลา่ ววาจาน้นั

๖) ตถาคตรู้วาจาที่จริง ท่ีแท้ ที่ประกอบดว้ ยประโยชน์ และวาจาน้นั เป็นท่ี
รัก เป็ นที่ชอบใจของคนอนื่ ในขอ้ น้ัน ตถาคตรู้กาลท่ีจะกล่าววาจาน้นั ท้งั น้ี เพราะ
ตถาคตมคี วามเอน็ ดูในหม่สู ตั วท์ ้งั หลาย๗๑
จากเน้ือความขา้ งตน้ น้ี สรุปไดว้ ่า พระวาจาท่ีพระพุทธเจา้ ทรงกล่าวสอนน้นั ประกอบไป
ดว้ ย

๑) พระวาจาน้นั เป็นความจริง ความแท้
๒) พระวาจาน้นั ประกอบดว้ ยสารประโยชน์ต่อเวไนยสตั วท์ ้งั หลายเป็นสาคญั
๓) พระวาจาน้นั เหมาะสมแก่กาละเทศ โอกาส และบุคคล
ถา้ วาจาที่จะกล่าวน้นั เป็นเร่ืองไม่จริง ไม่แทแ้ ลว้ พระองค์ทรงช้ีลงไปเพียงประเด็นเดียวว่า
ไม่มปี ระโยชน์ ไมว่ ่าจะเป็นท่ีพอใจของใครหรือไม่ก็ตาม พระพุทธเจา้ จะไม่ตรัสพระวาจาเช่นน้นั
และแมแ้ ต่วาจาน้นั จะเป็นวาจาจริงมีประโยชน์ ก็จะทรงพิจารณาความสมควรแก่กาลเทศะโอกาส

๗๑ ม.ม. ๑๓/๙๔/๙๑.

๗๐

และบุคคลก่อน จึงจะตรัส เพราะทรงมงุ่ ท่ีประโยชนใ์ นการอนุเคราะห์เก้ือกูลเวไนยสตั วเ์ ป็นสาคญั
ท้ังน้ีก็เพราะพระองค์ทรงตระหนักว่าพระสงฆ์และคฤหัสถน์ ้ันย่อมพ่ึงพาอาศยั ซ่ึงกันและกัน
ในขณะท่ีคฤหัสถน์ ้ันเป็ นผถู้ วายจตุปัจจยั ไทยทานแก่พระสงฆ์ พระสงฆก์ ็ควรตอบแทนโดยการ
แสดงธรรมเพื่อยกระดบั จิตใจของคฤหสั ถด์ งั พุทธดารัสท่ีวา่

ดูกรภิกษุท้งั หลาย พราหมณ์และคฤหบดีท้งั หลายเป็ นผมู้ อี ุปการะมากแก่
เธอท้งั หลาย บารุงเธอดว้ ยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยั เภสชั บิร
ขาร แมเ้ ธอท้งั หลายกจ็ งเป็นผมู้ อี ุปการะมากแก่พราหมณ์ และคฤหบดีท้งั หลายจง
แสดงธรรมอนั งามในเบ้ืองต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศ
พรหมจรรย์ พร้อมท้งั อรรถ พร้อมท้ังพยญั ชนะ บริสุทธ์ิบริบูรณ์ส้ินเชิง แก่
พราหมณ์ และคฤหบดีท่ีเหลาน้นั เถิด ดูกรภิกษุท้งั หลาย คฤหบดีและบรรพชิต
ท้งั หลายต่างอาศยั ซ่ึงกันและกันดว้ ยอานาจ อามิสทาน และธรรมทาน อยู่
ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อตอ้ งการ สลดั โมฆะ เพ่ือจะทาซ่ึงท่ีสุดแห่งทุกข์ โดย
ชอบธรรมดว้ ยประการอยา่ งน้ี๗๒
สรุปวา่ พระพุทธองคท์ รงมีหลกั ในการตรัสอยา่ งเหมาะสม มิใช่ตรัสอย่างไร้หลกั การและ
ขาดหลกั เกณฑ์ ทุกส่ิงที่พระองคท์ รงคานึงมาก ก็คือ ประโยชนแ์ ละความเมตตากรุณาในสรรพสตั ว์
ตลอดถงึ เพื่อใหผ้ รู้ ับการสอนไดม้ องเห็นส่ิงท่ีพระองคท์ รงสอนอยา่ งชดั เจน

๒.๑๒ วธิ ีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า

เมอื่ พระพทุ ธองคต์ รัสรู้เป็นพระอรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธเจา้ และเสวยวิมุตติสุข พอสปั ดาห์ท่ี
๗ ผา่ นไป พระองค์เสด็จจากร่มไมร้ าชายตนะ กลบั ไปยงั ตน้ อชปาลนิโครธ ทรงคานึงถึงการที่จะ
ทรงแสดงธรรมโปรดประชาชน ในข้นั แรกพระองคท์ รงมคี วามขวนขวายนอ้ ยเกิดความทอ้ ในการที่
จะแสดงธรรมโปรดสตั ว์ เพราะทรงเห็นว่าธรรมที่ทรงคน้ พบด้วยการตรัสรู้น้ัน เป็ นสิ่งอนั ล้าลึก
ยากแก่ผทู้ ี่ยงั ยดึ ติดในกามคุณจะรู้ได้ แต่กท็ รงตระหนกั ในหลกั ความจริงวา่ มนุษยแ์ ตกต่างจากสตั ว์
ท้งั ปวง มนุษยเ์ ป็นเวไนยสตั ว์ คือ เป็นสตั วท์ ี่แนะนาสง่ั สอนได้ แต่ถงึ กระน้นั มนุษยก์ ย็ งั มีระดบั ของ
ความแตกต่างในความพร้อมทางดา้ นสติ ปัญญา ความรู้ ความสามารถ และคาอาราธนาของทา้ ว
สหัมบดีพรหมว่า “พระองค์ผเู้ จริญ ขอพระผมู้ ีพระภาคไดโ้ ปรดแสดง ขอพระสุคตเจา้ ไดโ้ ปรด
แสดงธรรม เพราะสตั วท์ ้งั หลายผมู้ ีธุลีในตานอ้ ยมีอยู่ สตั วเ์ หล่าน้นั ยอ่ มเส่ือมเพราะไม่ไดส้ ดบั ธรรม

๗๒ ขุ.อิติ. ๒๕/๒๘๖/๒๔๖.

๗๑

เพราะจกั มีผรู้ ู้ธรรม” พระองคจ์ ึงไดท้ รงพิจารณาเห็นสตั วเ์ ปรียบเหมือนดอกบวั ๓ ประเภท คือ บวั
ใตน้ ้า บวั เสมอน้า และบวั เหนือน้า ที่มคี วามแตกต่างกนั ดงั น้ี

มีธุลีในตานอ้ ย มีธุลีในตามาก
มีอนิ ทรียแ์ ก่กลา้ มอี นิ ทรียอ์ อ่ น
มีอาการดี มอี าการทราม
สอนใหร้ ู้ไดง้ ่าย สอนใหร้ ู้ไดย้ าก
บางพวกมกั เห็นปรโลกและโทษว่าเป็ นส่ิงน่ากลวั ก็มี บางพวกไม่เห็นปรโลกและโทษว่า
เป็นส่ิงน่ากลวั ก็มี ฉนั น้นั จึงตรัสว่า “ประตูแห่งพระนิพพานไดเ้ ปิ ดแลว้ สาหรับผใู้ คร่สดบั จึงปลอ่ ย
ศรัทธาเถดิ ”๗๓
ดงั น้ัน วิธีการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาของพระองค์ จึงเริ่มมีข้ึนท้งั หลกั การ และหลกั ปฏิบตั ิ
แตกต่างกนั ไปตามกาลเทศะ และบุคคลที่จะทรงสง่ั สอน วิธีการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า

น้นั สามารถจบั ประเดน็ ไดใ้ นคราวท่พี ระพทุ ธองคท์ รงส่งพระภกิ ษุสาวก ๖๑ รูปรวมท้งั พระพทุ ธองคไ์ ปยงั ทิศต่าง
ๆ เพ่ือทาการเผยแผ่พระธรรมคาสอนในทางพระพุทธศาสนา เพื่อใหเ้ วไนยสัตว์ท้งั หลายพบความจริงของชีวิต
รู้จักวิธีแกไ้ ขปัญหาชีวิตและทาชวี ิตของตนให้ดีงามซ่ึงมีพุทธพจน์ว่า “จรถ ภิกฺขเว จาริก พหุชนหิตาย พหุชนสุ
ขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานฯ ดกู ่อนภิกษทุ ้งั หลาย พวกเธอจงเท่ียวไป เพ่อื ประโยชน์
เพอื่ ความสุขแก่มหาชน เพ่ืออนุเคราะห์ชาวโลก เพ่ือเก้อื กูล เพ่อื ประโยชน์และเพ่ือความสุขแก่เทวดาและมนุษย์
ท้ังหลาย”๗๔ จากพุทธพจน์ข้างตน้ น้ี ทาให้ทราบและเขา้ ใจถึงแนวทางในการเผยแผ่พระธรรมคาสอนทาง
พระพุทธศาสนาว่า เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่ออนุเคราะห์เก้ือกูลต่อสรรพสัตว์เป็ นหลัก มิใช่เพ่ือลาภ
สักการะ เพอ่ื ความไร้สาระของชีวติ และมใิ ชเ่ พ่ือความงมงายไร้แสงสว่างนาพาชีวติ

ส่วนปัญหาในการเผยแผ่พระธรรมคาสอนของคณะสงฆ์ไทยน้ันมีสาเหตุมาจากการท่ี
พระสงฆแ์ ละสามเณรส่วนใหญ่มีการศึกษานอ้ ยไม่เขา้ ใจพระพุทธศาสนาอยา่ งลึกซ้ึง และไมเ่ ขา้ ใจ
สภาพสงั คมปัจจุบนั จึงส่ือกบั ประชาชนไม่ไดแ้ ละเป็ นผนู้ าจิตวิญญาณไม่ไดค้ วามสัมพนั ธร์ ะหว่าง
พระกบั ประชาชน เป็ นเพียงพิธีกรรมเป็ นส่วนใหญ่ การท่ีมีพระสงฆ์เขา้ ใจพุทธธรรมไดล้ ึกซ้ึง
เขา้ ใจชีวิตและสังคมในปัจจุบนั และมีความสามารถในการส่ือสาร มีความสาคญั ต่อประเทศไทย
และต่อโลกมาก สมควรที่รัฐบาลและทางการคณะสงฆจ์ ะใหค้ วามสนใจต่อเรื่องน้ีใหม้ ากท่ีสุด๗๕

๗๓ วิ. มหา. (ไทย) ๔/๘/ ๑๒ - ๑๔.
๗๔ วิ.ม. ๔/๓๒/๓๒.
๗๕ ประเวศ วะสี, สวนโมกข์ ธรรมกาย สันติอโศก, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์หมอชาวบ้าน,
๒๕๓๐), หนา้ ๑๐๘.

๗๒

๒.๑๓ หลกั การเผยแผ่พทุ ธธรรมของพระพทุ ธเจ้า

การแสดงธรรมหรือการประกาศเผยแผห่ ลกั คาสอนพระพุทธศาสนา ขององคส์ มเด็จพระ
สมั มาสมั พุทธเจา้ ท่ีประสบผลสาเร็จไดโ้ ดยง่ายน้นั เพราะพระองคท์ รงยดึ ถือหลกั การ ดงั น้ี

(๑) อนุปุพพกิ ถา แสดงธรรมไปตามลาดบั ส่วนใดท่ีเห็นวา่ เป็นประโยชนแ์ ก่ผฟู้ ังถงึ แมจ้ ะมี
เพียงคนเดียวก็จะไม่ตดั เน้ือความใหเ้ สียหาย แสดงจากง่ายไปหายากง่ายไปหายากตามลาดบั อนุปุ
พพกิ ถามีอยู่ ๕ ประการ ไดแ้ ก่

๑) ทานกถา เร่ืองทาน
๒) สีลกถา เร่ืองศลี
๓) สคั คกถา เรื่องสวรรค์
๔) กามาทีนวกถา เรื่องโทษของกามคุณท้งั หลาย
๕) เนกขมั มานิสงั สกถา เรื่องอานิสงส์แห่งการออกจากกามคุณท้งั หลาย๗๖
โดยปกติ “พระพุทธเจา้ เมื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่คฤหสั ถ์ ผทู้ ่ีมอี ุปนิสัยสามารถ
ที่จะบรรลุธรรมได้ พระองคท์ รงแสดงอนุปุพพิกถาน้ีก่อน แลว้ จึงตรัสแสดงอริยสจั ๔ เป็นการทาจิต
ใหพ้ ร้อมที่จะรับ ดุจผา้ ที่ซกั สะอาดแลว้ ควรรับน้ายอ้ มต่าง ๆ ไดด้ ี”๗๗
๒) ปริยายทสั สาวี ทรงช้ีแจงยกเหตุผล หรืออุทาหรณ์ใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจ
๓) อนุทนตา สอนดว้ ยมีจิตเมตตาต่อผฟู้ ังจริง ๆ คือ ปรารถนาจะใหเ้ ขาพน้ จากทุกข์
๔) อนามิสนั ตระ ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่อามิสสินจา้ ง คือ ไม่ไดท้ รงเห็นแก่ลาภผล
หรือรางวลั ท่ีจะตอบแทน มุ่งประโยชนส์ ุขแก่ผฟู้ ังอยา่ งเดียว ดงั พุทธดารัสที่ว่า “สพฺพทาน ธมฺมทาน
ชินาติ การใหธ้ รรมทาน ชนะการใหท้ ้งั ปวง”
๕) อนุปหจั จะ “ไม่แสดงธรรมดว้ ยการยกตนข่มท่าน ไม่เสียดสีผอู้ ่ืนใหไ้ ดร้ ับความเสียหาย
ไมบ่ งั คบั ให้ผฟู้ ังเช่ือ ใหผ้ ฟู้ ังเช่ือโดยการพิจารณาไตร่ตรองดว้ ยปัญญาของเขาเอง”๗๘ ดงั พทุ ธศาสน
สุภาษิต
ท่ีว่า “สุทสฺส วชฺชมญฺเ ส อตฺตโน ปน ทุสฺสส โทษคนอนื่ เห็นไดง้ ่าย ส่วนโทษของตนเห็น
ไดย้ าก”๗๙ และสมดงั พุทธพจน์ท่ีว่า “ตเมว วาจ ภาเสยฺย ยายตฺตาน น ตาปเย ปเร จ น วหิ ึเสยฺย สา เว

๗๖ ท.ี สี. ๙/๒๓๗/๑๘๙- ๑๙๐.
๗๗ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์คร้ังที่ ๙,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๒๐๙-๒๑๐.
๗๘ องฺ.ปญจฺ ก. ๒๒/๑๕๙/๒๐๕.
๗๙ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๘/๓๔.

๗๓

วาจา สุภาสิตาบุคคลพึงกล่าววาจาใดอนั ไม่เป็ นเคร่ืองทาตนให้เดือดร้อนและไม่พึงเบียดเบียนผอู้ ื่น
วาจาน้นั เป็นสุภาษิตแท”้ ๘๐

หลกั ธรรมเทศกธรรมท้งั ๕ ประการน้ี จดั เป็นหลกั การที่พระพุทธเจา้ ทรงใชใ้ นการสง่ั สอน
เวไนยสตั วเ์ พื่อม่งุ อนุเคราะห์ เป็ นประโยชน์ต่อเวไนยสัตวท์ ้งั หลายจริง ๆ อีกประการหน่ึง หลกั การ
สอนดว้ ยพระวาจาของพระพทุ ธเจา้ น้นั เรียกกนั วา่ ภสั สมาจาร คือ ความประพฤติเสมอเรียบร้อยทาง
วาจา ๔ ประการ ไดแ้ ก่

๑) ไม่ตรัสพระวาจาท่ีประกอบดว้ ยคาเท็จ
๒) ไม่ตรัสพระวาจาส่อเสียด ซ่ึงทาใหแ้ ตกสามคั คี
๓) ไม่ตรัสพระวาจาเพือ่ ม่งุ เอาผลแพห้ รือชนะ ไม่ตรัสพระวาจาท่ีทาใหเ้ กิดการแข่งดีกนั
๔) ตรัสพระวาจาท่ีประกอบดว้ ยปัญญา เหมาะสมตามกาลสมยั ๘๑
ส่วนเน้ือเร่ืองหรือถอ้ ยคาท่ีทรงตรัสสอนน้นั เรียกว่า กถาวตั ถุ มอี ยู่ ๑๐ ประการ ไดแ้ ก่
๑) ถอ้ ยคาท่ีชกั นาใหม้ คี วามปรารถนานอ้ ย (อปั ปิ จฉกถา)
๒) ถอ้ ยคาที่ชกั นาใหส้ นั โดษยนิ ดีดว้ ยปัจจยั ตามมตี ามได้ (สนั ตุฏฐิกถา)
๓) ถอ้ ยคาท่ีชกั นาใหส้ งดั กายสงดั ใจ (ปวิเวกกถา)
๔) ถอ้ ยคาท่ีชกั นาไม่ใหร้ ะคนดว้ ยหมู่ (อสงั สคั คกถา)
๕) ถอ้ ยคาที่ชกั นาใหป้ รารภความเพยี ร (วริ ิยารัมภกถา)
๖) ถอ้ ยคาที่ชกั นาใหต้ ้งั อยใู่ นศลี (สีลกถา)
๗) ถอ้ ยคาท่ีชกั นาใหท้ าใจใหส้ งบ (สมาธิกถา)
๘) ถอ้ ยคาที่ชกั นาใหเ้ กิดปัญญา (ปัญญากถา)
๙) ถอ้ ยคาท่ีชกั นาใหท้ าใจใหพ้ น้ จากกิเลส (วิมุตติกถา)
๑๐) ถอ้ ยคาท่ีชกั นาใหส้ นใจและเขา้ ใจเร่ืองความรู้ความเห็นในภาวะท่ีหลุดพน้ จากกิเลส
และความทุกข์ (วมิ ุตติญาณทสั สนกถา)๘๒
กถาวตั ถุ ๑๐ ประการน้ีจดั เป็ นหลกั การหรือเร่ืองราวท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงสงั่ สอนเวไนยสตั ว์
ทว่ั ไปที่เกิดความทุกขก์ าย ความเดือดร้อนใจแลว้ มากราบทูลขอฟังธรรมเพอื่ คลายความทุกข์ ความ
เดือดร้อนดงั กลา่ ว อน่ึง ในโอวาทปาติโมกข์ น้นั พระพุทธเจา้ ไดป้ ระทานอุดมการณ์ หลกั การ
และวธิ ีการแก่เหลา่ ภิกษุในการสงั่ สอนประชาชนทวั่ ไปว่าภิกษุท้งั ท้งั หลายตอ้ งปฏิบตั ิตามใหไ้ ดจ้ ึง

๘๐ ข.ุ สุ. ๒๕/๓๕๗/๔๑๑ - ๔๑๒.
๘๑ ท.ี ปา. ๑๑/๘๓/๑๑๖.
๘๒ องฺ.ทสก. ๒๔/๖๙/๑๓๘.

๗๔

จะเกิดผลที่ตอ้ งการในการสั่งสอนประชาชนท้งั หลาย ฉะน้ัน หลกั การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ตามท่ีปรากฏในโอวาทปาติโมกขน์ ้นั ประกอบไปดว้ ยหลกั การต่าง ๆ ดงั น้ี

ข้นั ที่ ๑ เรียกว่าข้นั อุดมการณ์ มพี ุทธพจนว์ า่
ขนฺตี ปรม ตโป ตีติกฺขา

นิพฺพาน ปรม วทนฺติ พทุ ฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปร วเิ ห ยนฺโตฯ
ขนั ติ คือ ความทนทานเป็ นตบะอย่างยงิ่ พระพุทธเจา้ ท้งั หลายตรัสว่า

พระนิพพานเป็ นธรรมอย่างย่ิง ผูท้ าร้ายผอู้ ื่นผูเ้ บียดเบียนผูอ้ ื่น ไม่ชื่อว่าเป็ น
บรรพชิต ไมช่ ื่อวา่ เป็นสมณะเลย๘๓
พระพุทธโอวาทท้งั ๓ ประการขา้ งตน้ น้ีถือวา่ เป็ นอุดมการณ์ ที่เหล่าภิกษุผทู้ าการเผยแผ่
พระพทุ ธศาสนาพงึ ยดึ ถือปฏิบตั ิใหไ้ ดใ้ นการเผยแผพ่ ระธรรมคาสอน โดยมอี ธิบาย ดงั น้ี
(๑) ความอดทนเป็ นตบะอยา่ งย่ิงไดแ้ ก่ ผูท้ ี่เป็ นนักเผยแผ่ต้องมีธรรมที่ทาให้งดงาม ๒
ประการไดแ้ ก่ ขนั ติ ความอดทน นักเผยแผต่ อ้ งผมู้ ีมนี ้าใจเขม้ แข็งหนกั แน่น ความอดทนน้ีว่าโดย
ลกั ษณะมี ๓ อยา่ ง ไดแ้ ก่ อดทนดว้ ยการกล้นั ไวไ้ ด้ (ตีติกขาขนั ติ) นกั เผยแผต่ อ้ งใชส้ ติปัญญานึกอยู่
เสมอวา่ คนท่ีอยรู่ วมกนั เป็นหม่เู ป็นคณะ ตอ้ งกระทบกระทงั่ กนั บา้ งเป็นธรรมดา ถา้ ไดย้ นิ ไดฟ้ ังเสียง
ที่ไม่เพราะหูก็ตอ้ งอดทน โดยนาเอาความดีเขา้ ต่อสูเ้ พ่อื ชนะความไม่ดีน้นั อดทนจนเป็นตบะเดชะ
(ตปขันติ) ข้อน้ีมีความสาคัญมากย่ิงข้ึนไปอีกคนที่อยู่นิ่งเฉย คอยระวงั คาพูดของตนอย่เู สมอ
โดยมากมกั จะเป็นคนมีตบะทุกคน คนที่พูดมากจูจ้ ้ีข้ีบ่นจนราคาญ ว่าคนโน้นบา้ ง คนน้ีบา้ ง มกั จะ
เสียตบะ เพราะจะทาใหค้ นอ่นื ขาดความเคารพเกรงกลวั ส่วนคนท่ีมีความระวงั เคร่งขรึมไม่ค่อยจูจ้ ้ี
กบั ใคร พดู บา้ งเป็นคร้ังคราว มกั จะมคี นเกรงกลวั มตี บะเดชะอยใู่ นตวั และอดทนเผาความชว่ั ในจิต
ให้หมดไป อดทนจนยงั คาพดู ของผอู้ ่นื ให้กลบั อยเู่ ป็ นเพ่อื นเป็นมิตรกนั ได้ (อธิวาสนขนั ติ) ไดแ้ ก่
การทนไดเ้ หมอื นลกั ษณะของแผน่ ดิน แมต้ น้ ไม้ ภเู ขา และอ่ืน ๆ แผน่ ดินกย็ งั ทรงไวไ้ ด้ อดทนจน
เปล่ียนเร่ืองร้ายใหก้ ลายเป็นเรื่องดี คือ ยอมรับความลาบากกายใจ ยอมรับดว้ ยใบหนา้ ชื่นบาน เขา
จะตาหนิติเตียน ด่าว่า หยาบคายเสียดสีใหเ้ จ็บใจอยา่ งไรก็ทนได้ ไม่แสดงการโตต้ อบ ในท่ีสุดเร่ือง
กส็ งบไปเอง พระบรมศาสดาถกู พรรคพวกของนางมาคณั ฑิยาใส่ความปริ ภาษพระองค์ดว้ ยคาด่า
ต่าง ๆ นานา กล่าวหาว่าพระองค์เป็ นอูฐ เป็ นลา เป็ นตน้ ถึง ๗ วนั พระองค์ก็ไม่หวนั่ ไหว พระ
อานนทก์ ราบทูลใหเ้ สด็จหนีไปสู่เมอื งอ่ืน พระองคก์ ลบั ตรัสถามวา่ ถา้ ถกู คนในเมอื งน้นั ด่าอกี จะทา

๘๓ ที.ม. ๑๐/๕๔/๕๗.

๗๕

อย่างไร พระอานนทท์ ูลว่า หนีไปเมืองอ่ืนอีก พระองค์ตรัสซกั ว่าถา้ ถกู คนเมืองน้ันด่าอีกจะทา
อยา่ งไร พระอานนทก์ ็ทูลวา่ หนีไปเมอื งอน่ื ๆ ต่อไป พระองคต์ รัสว่า อยา่ งน้นั ไม่สมควร เรื่องเกิด
ท่ีไหน ควรใหร้ ะงบั ไปในที่น้นั และอานิสงส์ของความอดทนน้นั มอี ยู่ ๕ ประการ ไดแ้ ก่

๑) ยอ่ มเป็นท่ีรักท่ีชอบใจของคนเป็นอนั มาก
๒) ยอ่ มเป็นผไู้ ม่มากดว้ ยเวร
๓) ยอ่ มเป็นผไู้ มม่ ากดว้ ยโทษ
๔) ยอ่ มเป็นผไู้ มห่ ลงกระทากาละ
๕) เมื่อตายไปยอ่ มเขา้ ถงึ สุคติโลกสวรรค๘์ ๔
โสรัจจะ ความเสงี่ยม ไดแ้ ก่การรู้จกั ทาจิตใจให้แช่มชื่นผอ่ งใสเบิกบาน มีกายวาจาสงบ
เสงี่ยมเรียบร้อย เพราะเม่ืออดทนไดแ้ ลว้ ก็ไม่แสดงกิริยากาย วาจา ให้ผิดปกติ คนท่ีถูกหมิ่น
ประมาทใหไ้ ดร้ ับความเจ็บใจ ไมแ่ สดงการโตต้ อบ เพราะอดทนได้ แต่ยงั แสดงอาการผดิ ปกติ เช่น
หน้าบูดบ้ึงเม่ือเกิดความโกรธข้ึน หรือครวญครางเม่ือทุกขเวทนาครอบงาเป็ นต้น เพราะยงั ขาด
ธรรมะคือโสรัจจะ แต่สาหรับผมู้ ีขนั ติ อดทนต่อความเจบ็ ใจไดแ้ ลว้ ยงั รู้จกั ทาใจใหส้ งบแช่มช่ืนเบิก
บานอีกดว้ ย คือ มีการปกติเหมอื นไม่มอี ะไรเกิดข้ึน เพราะมธี รรมะ คือ โสรัจจะ ธรรมขอ้ น้ียอ่ มเขา้
สนบั สนุนขนั ติใหส้ ูงเด่นยงิ่ ข้ึน สมดงั พทุ ธภาษิตท่ีว่า

เสโล ยถา เอกฆโน วาเตน น สมีรติ
เอว นินฺทาปสสาสุ น สมฺมิญฺชนฺติ ปณฺ ฑิตาฯ
ภูเขาศิลาลว้ น เป็นแท่งทึบ ยอ่ มไม่หวนั่ ไหวเพราะลม ฉนั ใด
บณั ฑิตท้งั หลาย กย็ อ่ มไม่หวนั่ ไหวในเพราะนินทาและสรรเสริญ ฉนั น้นั ๘๕
(๒) พระนิพพานเป็ นธรรมอย่างยง่ิ กล่าวคือ พระนิพพาน จดั เป็ นสภาวะที่ดบั กิเลสและ
กองทุกขไ์ ดห้ มดส้ิน เป็ นภาวะของผทู้ ี่ไดพ้ ฒั นาคุณธรรมจนถงึ ข้นั สูงสุดหรือจุดมุ่งหมายสูงสุดตาม
หลกั คาสอนทางพระพทุ ธศาสนา และถอื ว่าเป็ นจุดมุ่งหมายท่ีนกั เผยแผ่พึงปฏิบตั ิตนและชกั นาคน
อ่นื ไปให้ถึงให้ได้ โดยปฏิบตั ิตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการให้บริบรู ณ์ดว้ ยดี จนสามารถทาลาย
อวิชชาให้หมดส้ินไปได้ บรรลุเป้ าหมายของการเผยแผพ่ ระธรรมคาสอน หรืออีกประการหน่ึง
อาจหมายถงึ ลกั ษณะสงบ ระงบั ดบั ความอยากท่ีผดิ ศีลธรรมทางกาย วาจา และจิตใจของนักเผยแผ่
เช่น เทศน์เพ่ือตอ้ งการใหผ้ คู้ นเกิดศรัทธาต่อตน และนามาซ่ึงลาภสกั การะ ช่ือเสียง เป็นตน้ ฉะน้ัน
คุณสมบตั ิของนกั เผยแผท่ ี่ดี ตอ้ งมคี วามสะอาด สงบ และสว่างครบทางไตรทวาร

๘๔ องฺ.ปญจฺ ก. ๒๒/๒๑๕/๒๘๓.
๘๕ ขุ.ธ. ๒๕/๑๖/๒๕.

๗๖

(๓) สมณะบรรพชิตผทู้ าการเผยแผ่ ตอ้ งเป็นผไู้ มท่ าร้ายหรือวา่ ร้ายผอู้ ่นื ตอ้ งมีคุณลกั ษณะท่ี
ดี กลา่ วคือ มกี าย วาจา และใจสงบระงบั ต่ออารมณ์ต่าง ๆ ไมว่ ่าดีหรือร้ายใหไ้ ด้ การทาร้ายหรือการ
กล่าวใหร้ ้ายผอู้ ่ืนน้นั พระพุทธศาสนาถอื ว่าผดิ หลกั การในการเผยแผแ่ ละไมอ่ าจชกั นาคนอื่นใหเ้ กิด
ความเลื่อมใสศรัทธาไดเ้ ลย ฉะน้ัน นกั เผยแผต่ อ้ งประกอบไปดว้ ยหลกั การท้งั ๓ คือ มคี วามอดทน
ไมพ่ ยาบาท และเป็นผรู้ ักสงบ ไมท่ าใหใ้ ครไดร้ ับความเดือดร้อน คือ

๑) เวน้ จากทุจริต ๓ ไดแ้ ก่ การเวน้ จากการประพฤติชวั่ ดว้ ยกาย วาจา และใจ๘๖
๒) ประกอบสุจริต ๓ ไดแ้ ก่ การประพฤติดีปฏิบตั ิชอบดว้ ยกาย วาจา และใจ๘๗
๓) ทาใจของตนใหห้ มดจดจากเคร่ืองเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง๘๘
โอวาทท้ัง ๓ ประการน้ี จัดเป็ นหลักการแห่ งการเผยแผ่พระธรรมคาสอนทาง
พระพุทธศาสนาเพื่อพฒั นาชีวิตให้ดีงามของสรรพสตั วท์ ้งั หลาย เป็ นหลกั การท่ีผทู้ าการเผยแผ่พึง
ปฏบิ ตั ิใหไ้ ด้
วิธีการของผเู้ ผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในการชกั นา แนะนาพร่าสอนผอู้ ื่นใหเ้ ป็ นผปู้ ระพฤติดี
ปฏบิ ตั ิชอบ มอี ยู่ ๖ ขอ้ ดงั น้ี
(๑) การไมว่ ่าร้าย ไดแ้ ก่ นกั เผยแผเ่ ป็นผสู้ งบกาย สงบวาจา และสงบใจ ไม่ปล่อยใหอ้ ารมณ์
ที่ข่นุ มวั เขา้ มาบงการจิตใจได้ เช่น เม่อื ถกู ใครว่ากลา่ วในทางเสียหาย ก็สามารถควบคุมใจของตนให้
สงบได้ ไม่ตอบโตผ้ ทู้ ่ีวา่ กล่าวน้นั ดงั พุทธภาษิตที่ว่า “โกธ ฆตฺวา สุข เสติ ฆ่าความโกรธไดแ้ ลว้
ยอ่ มอยเู่ ป็นสุข”๘๙
(๒) การไม่ทาร้าย ไดแ้ ก่ การทาร้ายผอู้ น่ื ไม่วา่ ดว้ ยตนเองหรือสงั่ ใหค้ นอ่นื กระทาน้นั นบั วา่
ผดิ จากหลกั การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ฉะน้นั ไมว่ า่ กรณีใด ๆ ไมว่ า่ จะเกิดเหตุการณ์อยา่ งไรนกั เผย
แผก่ ็ตอ้ งไม่ทาร้ายผอู้ นื่ แมว้ า่ ตนเองอาจไดร้ ับความลาบากเพยี งใดก็ตาม ตอ้ งอดทนใหไ้ ด้
(๓) ความสารวมในพระปาติโมกข์ ไดแ้ ก่ ความสารวมในพระปาติโมกข์ของพระภิกษุผทู้ า
การเผยแผ่พทุ ธธรรมน้นั ตอ้ งมีความสารวมกาย วาจา ใจ ซ่ึงจะมีส่วนอยา่ งมากต่อการชกั จูงใหผ้ คู้ น
เป็ นคนดีได้ เช่น สอนผคู้ นไม่ใหว้ ่าร้ายผอู้ ื่น แต่ผสู้ อนกลบั กระทาลงไปเสียเอง แลว้ ใครจะเช่ือถือ
ปฏบิ ตั ิตาม และการเผยแผน่ ้นั ก็ลม้ เหลว
(๔) ความเป็นผรู้ ู้จกั ประมาณในภตั ตาหาร ไดแ้ ก่ ผเู้ ป็นนกั เผยแผน่ ้นั ตอ้ งรู้จกั ควบคุมความ
อยากของตนใหไ้ ด้ กล่าวคือ รับประทานอาหารเพียงพอต่อร่างกาย ไม่ใหห้ ิวหรืออิ่มมากจนเกินไป

๘๖ ท.ี ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๒๗.
๘๗ ท.ี ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๒๗.
๘๘ ท.ี ปา. ๑๑/๓๙๓/๒๙๑.
๘๙ สํ.ส. ๑๕/๑๙๙/๕๗.

๗๗

คิดวา่ การรับประทานอาหารก็เพยี งจะมกี าลงั ทางร่างกาย และสติปัญญาในการสง่ั สอนผอู้ ืน่ มใิ ช่เพือ่
ความหลงมวั เมา มกั มาก เห็นแต่กิน เป็นตน้

(๕) ที่นง่ั ท่ีนอนอนั สงดั เงียบสงบ ไดแ้ ก่ ผเู้ ป็นนกั เผยแผต่ อ้ งรู้จกั ว่าสถานที่ท่ีตนควรอยพู่ กั
น้นั เป็นอยา่ งไร มีผคู้ นพลกุ พลา่ นไหม เงียบสงบหรือเปล่า เหมาะแก่ฐานะของตนหรือยงั เป็นตน้

(๖) การประกอบความเพียรในอธิจิตหรือทางใจ ไดแ้ ก่ ผเู้ ป็ นนกั เผยแผ่เม่ือว่างเวน้ จากการ
เผยแผพ่ ระธรรมคาสอนแลว้ ก็ควรประพฤติปฏิบตั ิธรรมหรือพิจารณาหวั ขอ้ ธรรมต่าง ๆ ที่ตนยงั ไม่
เขา้ ใจแจ่มชดั ใหเ้ ขา้ ใจแจ่มชดั พร้อมท้งั ฝึกฝนพฒั นาตนใหม้ คี ุณธรรมสูงๆ ข้ึนไป เพือ่ ประโยชน์ตน
และประโยชนต์ ่อผอู้ ืน่ มใิ ช่กล่าวสอนแต่หลกั การต่าง ๆ ท่ีปรากฏในคมั ภีร์เท่าน้นั

หลกั การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาของพระพุทธเจา้ และพระสาวกท้ังหลายในอดีตจวบจน
ปัจจุบนั ลว้ นเป็นไปในลกั ษณะเดียวกนั แต่ในปัจจุบนั อาจตอ้ งเพ่มิ หรือประยกุ ต์หลกั การเผยแผใ่ น
รูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้สอดคลอ้ งและทนั สมยั กบั ยคุ สมยั ท้งั น้ีท้งั น้ัน นกั เผยแผต่ อ้ งยดึ หลกั การที่
ปรากฏในบทธรรมคุณ ๖ ประการ ไดแ้ ก่

๑) สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอนั พระผมู้ ีพระภาคตรัสไวด้ ีแลว้
๒) สนฺทิฏฺ ฺโก อนั ผศู้ กึ ษาปฏบิ ตั ิจะพึงเห็นเอง
๓) อกาลโิ ก ไม่ประกอบดว้ ยกาลเวลา
๔) เอหิปสฺสิโก ควรเรียกใหด้ ู พสิ ูจนด์ ว้ ยตนเอง
๕) โอปนยโิ ก ควรนอ้ มเขา้ มาไวใ้ นใจของตน
๖) ปจฺจตฺต เวทิตพฺโพ วิ ฺ หฺ อนั วิญญชู นจะพึงรู้เฉพาะตน๙๐
หลกั แสดงคุณลกั ษณะของพระธรรมคาสอนของพระพุทธเจา้ ๖ ประการน้ีสามารถเป็ น
เคร่ืองยดึ เหน่ียวทาใหผ้ เู้ ผยแผ่และผศู้ ึกษาหรือผฟู้ ังเกิดมีกาลงั ใจ ไม่ย่อทอ้ ต่อการเผยแผแ่ ละปฏิบัติ
ธรรมไดด้ ีที่สุดในสถานการณ์ของความเปลย่ี นแปลงของโลกปัจจุบนั
สรุปว่า จุดม่งุ หมายหรือจุดประสงคข์ องการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจา้ และ
ของพทุ ธสาวกท้งั หลายน้นั มีอยู่ ๓ ประการ เท่าน้นั ดงั น้ี
๑) เพ่ือให้รู้จริงในส่ิงที่ควรรู้ (อภิญญายธรรมเทศนา) หมายความว่า ส่ิงใดที่ทรงรู้แลว้ เห็น
แลว้ แต่เมื่อทรงเห็นว่าไม่จาเป็ นสาหรับผฟู้ ังหรือผรู้ ับคาสอน พระองคก์ ็ไม่ทรงสอนสิ่งน้ัน ทรง
สอนใหร้ ู้จริงเห็นแจง้ เฉพาะเท่าท่ีจาเป็นสาหรับสาวกน้นั ๆ เหมอื นครูที่มคี วามรู้มาก แต่ถงึ กระน้นั ก็
ยอ่ มนาเอาเฉพาะความรู้เท่าที่จาเป็ นแก่ศษิ ยใ์ นข้นั น้ัน ๆ มาสอน เท่าที่ศิษยจ์ ะรับไดเ้ พื่อประโยชน์

๙๐ องฺ.ฉกฺก. ๒๒/๒๘๑/๓๑๘.

๗๘

แก่ศิษย์ อน่ึง เหมอื นบิดามารดาแมจ้ ะมีทรัพยม์ ากปานใดกย็ ่อมใหท้ รัพยแ์ ก่บุตรธิดาตามควรแก่วยั
และความจาเป็นของบุตรธิดาน้นั ๆ

๒) เพ่ือให้รู้เหตุและผลที่ผูฟ้ ังสามารถตริตรองตามเห็นด้วยตนเองได้ (สนิทานธรรม
เทศนา) หมายความว่า พระธรรมเทศนาของพระพุทธองคไ์ ม่ยากเกินไปจนถงึ กบั ตรองตามแลว้ กไ็ ม่
เห็น และไม่ง่ายเกินไปจนไม่ต้องตรึกตรองขบคิดก็เห็นได้ พุทธวิธีในการสอนจึงอย่ทู ่ามกลาง
ระหว่างความยากเกินไปกบั ความง่ายเกินไป ส่วนใหญ่ทรงสอนใหใ้ ชป้ ัญญาพิจารณาดว้ ยตนเอง

๓) เพื่อให้ไดร้ ับประโยชน์จากความรู้ การศึกษาปฏิบตั ิน้ัน ๆ (สปั ปาฏิหาริยธรรมเทศนา)
หมายความว่า ผฟู้ ังสามารถไดร้ ับผลแห่งการฟัง การปฏิบตั ิตามสมควร ทรงแสดงธรรมมีคุณเป็ น
อศั จรรย์ สามารถยงั ผปู้ ฏิบตั ิตามใหไ้ ดร้ ับผลตามสมควรแก่กาลงั แห่งการปฏบิ ตั ิของตนๆ๙๑

หลกั การเผยแผ่พระธรรมคาสงั่ สอนของพระพุทธเจา้ ที่ไดเ้ สด็จเท่ียวจาริกแสดงบอกกลา่ ว
แก่เหล่าเทวดาและมนุษยน์ ้นั ลว้ นเกิดข้ึนจากความรู้ที่แท้จริงของพระองค์ และมีประโยชน์แก่ผู้
ปฏบิ ตั ิตาม สมดงั บทพทุ ธคุณ ๙ ประการที่วา่

๑) อติ ิปิ โส โส ภควา อรห แมเ้ พราะเหตุน้ี พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงเป็นพระอรหนั ต์
๒) สมฺมาสมฺพทุ ฺโธ เป็นผตู้ รัสรู้ชอบเอง
๓) วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผถู้ งึ พร้อมดว้ ยวชิ ชาความรู้และจรณะความประพฤติ
๔) สุคโต เป็นผเู้ สดจ็ ไปดีแลว้
๕) โลกวิทู เป็นผรู้ ู้แจง้ โลก
๖) อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นผฝู้ ึกมนุษยไ์ ดอ้ ยา่ งดียงิ่ ไม่มีใครยงิ่ ไปกว่า
๗) สตฺถา เทวมนุสฺสาน เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย
๘) พทุ ฺโธ เป็นผตู้ ื่นและเบิกบานแลว้
๙) ภควา เป็นผมู้ ีโชค๙๒
พุทธคุณท้งั ๙ บทน้ี แสดงถึงความรู้ ความสามารถและความประพฤติของพระพุทธเจา้ ว่า
พระองค์ทรงเพรียบพร้อมครบทุกดา้ น ไม่มีดา้ นเสียใด ๆ และมีความสามารถที่จะสั่งสอนเวไนย
สตั วท์ ้งั หลายไดด้ ว้ ยความรู้ที่พระองคท์ รงรู้แจง้ และความประพฤติที่ดีงามท่ีพระองคท์ รงประพฤติ
ตลอดมา ฉะน้นั พึงทราบเก่ียวกบั วธิ ีการในการเผยแผพ่ ทุ ธธรรมคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ต่อไป

๙๑ องฺ.ติก. ๒๐/๕๖๕/๓๕๖. อา้ งใน วศิน อนิ ทสระ, พุทธวิธีในการสอน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
มหา
มกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๒๔), หนา้ ๗ - ๑๗.

๙๒ ม.ม.ู ๑๒/๙๕/๖๗.

๗๙

๒.๑๔ ภาษาทีพ่ ระพุทธเจ้าทรงใช้สอน (ส่ือสาร)

เป็นท่ีประจกั ษ์ดีว่า ภาษาท่ีพระพทุ ธเจา้ ใชใ้ นการเผยแผ่ธรรมะ คือ ภาษามคธ แต่บางส่วน
ยงั สงสยั ว่าจริงหรือไม่ ภาษามคธหรือเรียกอีกอยา่ งว่า ภาษาบาลี โดยเฉพาะฝ่ ายเถรวาทไดย้ ดึ ภาษาน้ี
เป็ นหลกั ในการศึกษาคา้ ควา้ พระพุทธพจน์ เพราะเชื่อว่า น่าเช่ือถือที่สุด นอกจากน้ัน ยงั มีภาษา
สนั สกฤต ซ่ึงเป็นภาษาพวกพราหมณ์ท่ีมีอิทธิพลอยใู่ นยคุ น้ัน จากขอ้ ความก่อนหน้าน้ี คงพอทราบ
เหตุผลไดว้ ่า พระพุทธเจา้ มิไดเ้ จาะจงว่า จะใชภ้ าษาใดในการเผยแผ่ธรรมะ ส่วนการใชภ้ าษามคธ
สนั สกฤตและภาษาบาลีน้ัน ก็เป็ นส่วนหน่ึงในแควน้ บางแควน้ ท่ีใชเ้ ป็ นภาษาพูดกนั พระพุทธเจา้
เป็ นที่รู้จกั กนั กวา้ งไกล การที่พระองคเ์ สด็จไปท่ีใด พระองคท์ รงใชภ้ าษาพ้ืนเมืองเหล่าน้นั ในการ
สื่อสาร แต่อยา่ งไรก็ตาม ยงั เป็ นปัญหาว่า พระพุทธเจา้ เน้นการใชภ้ าษาอะไรกนั แน่ในการเผยแผ่
ธรรมะ แมจ้ ะมสี าวกหรือผคู้ นต่างแควน้ ต่างถ่นิ มาเลอื่ มใสจนยอมรับเป็นสาวกของพระองคก์ ็ตาม
สาวกเหลา่ น้ี อาจจะเป็นตวั แทนในการนาเอาภาษาด้งั เดิมของตนไปเผยแผศ่ าสนาดว้ ย แต่ถงึ กระน้นั
ก็ยงั ต้องการภาษาท่ีเป็ นมาตรฐาน เพ่ือเป็ นเอกภาพในหลกั การสอน น่นั คือพระพุทธเจา้ ตรัสเป็ น
ภาษาใด เม่ือสาวกนาไปถ่ายทอด จะต้องแปลงเป็ นภาษาอ่ืนหรือไม่ ความผิดเพ้ียน ความคลาด
เคล่ือนอาจจะเกิดข้ึนหรือไม่ ดว้ ยเหตุน้ี สาวกในสมยั น้นั จึงตระหนกั ดีว่าการท่ีตนเองจะถือวิสาสะ
แสดงธรรมเอง ก็อาจเกิดความผิดเพ้ียนในพุทธประสงค์ของพระองค์ จึงตัดสินใจพาบุคคลท่ี
เล่อื มใส ไปเฝ้ าพระพุทธองค์เพ่ือทลู ถามปัญหา จะไดฟ้ ังดว้ ยหู ดูดว้ ยตาของตนเองดีกว่า อน่ึง บาง
องค์อาจจะไม่ถนดั ภาษาในทอ้ งถิน่ ที่จรจาริกไป เลยไม่กลา้ พดู ไมก่ ลา้ แสดงธรรมมากนัก จึงกล่าว
เพียงยอ่ ๆ หรือแค่หวั ใจธรรมเท่าน้นั เช่น พระอสั สชิ ในขณะออกบิณฑบาตอุปติสสบุตร ซ่ึงเป็ น
ศิษยข์ องอาจารยส์ ญั ชยั เห็นท่านอสั สชิแลว้ เกิดความเลื่อมใส จึงติดตามท่านไปเพื่อฟังธรรมท่าน
อุปติสสบุตรขอร้องให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง แต่พระอสั สชิปฏิเสธ อุปติสสะจึงขอร้องให้แสดง
ธรรมเพียงยอ่ ๆ ส้นั ๆ ท่านจึงกล่าวเพียงส้ัน ๆ ว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดง
เหตุแห่งธรรมเหล่าน้ัน และย่อมดบั ไปเพราะเหตุน้นั ๙๓ เพียงแค่น้ี ทาให้อุปติสสะเกิดดวงตาเห็น
ธรรม นี่แสดงให้เห็นว่า พระธรรมคาสอนของพระองค์ ใชภ้ าษาท่ีเขม้ ขน้ ส้ัน ๆ แต่มีความกระชบั
กินใจ ไดค้ วามหมายอยา่ งลึกซ้ึง แมส้ าวกเองยงั ไม่กลา้ ขยายเน้ือความออกไปใหพ้ ิสดาร

อย่างไรก็ตาม การใชภ้ าษาในการส่ือสารเฉพาะกลุ่มคน ที่มีภาษาเดียวกนั น้ัน ย่อมเป็ น
รากฐานในการเขา้ ใจในภาษาของตนได้ ในสมยั พุทธกาล อาจจะมีภาษาที่อยใู่ นตระกลู เดียวกนั
มากมาย ท่ีใชใ้ นการสื่อสารธรรมกนั อยา่ งเช่น ภาษาสนั สกฤต ภาษาบาลีหรือภาษามคธ ท่ีชาวมคธ
สื่อสารกนั อยู่ เป็นท่ีน่าสงั เกตอยวู่ ่าทาไมคนสมยั น้ัน ฟังธรรมของพระพุทธเจา้ จึงสะดุดในเน้ือหา

๙๓ แสง จนั ทร์งาม, วธิ สี อนของพระพทุ ธเจ้า, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกกุฎราชวิทยาลยั ,
๒๕๔๐), หนา้ ๔๐.

๘๐

ธรรมะหรือสะดุดในคาสอนของพระองค์ แมแ้ ต่สาวกบางองคย์ งั สามารถใชภ้ าษาอยา่ งกลมกลนื กบั
เน้ือหาคาสอนของพระพุทธเจา้ อยา่ งดียงิ่ นนั่ แสดงใหเ้ ห็นว่า คาสอนของพระพุทธเจา้ เป็นคาสอนท่ี
ใชภ้ าษาท่ีเป็ นจริง ไม่ใชภ้ าษาฟ่ ุมเฟื อย ใชภ้ าษาเพื่อประโยชน์อยา่ งยิ่ง ใชภ้ าษานาพาไปสู่การดบั
ทุกข์ แกป้ ัญหาไดน้ ่นั เอง ในขณะลทั ธิอื่น ๆ ลว้ นแต่ใชภ้ าษาที่เขา้ ใจยาก ลื่นไหล วกวน ซบั ซอ้ นเชิง
ปรัชญา ภาษาของพระพุทธองค์จึงเหมาะแก่ผแู้ สวงหาความจริง ไดส้ าระแก่นแทข้ องการหลุดพน้
ภาษาและเน้ือหาธรรมจึงเกลียวเขา้ ดว้ ยกนั อย่างสนิท เวลาส่ือออกมาจึงไมม่ ีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้น
เรียกวา่ ปาก (ภาษา) กบั ใจ (เน้ือหาธรรม) ตรงกนั นน่ั เอง ผฟู้ ังจึงสามารถจบั เอาเน้ือธรรมความจริง
น้นั ไดเ้ ร็ว อน่ึง การท่ีพระพทุ ธเจา้ ใชภ้ าษามคธ อาจเป็นไปไดว้ ่า แควน้ มคธมภี าษาของตวั เองอยแู่ ลว้
และแควน้ น้ีเป็นแควน้ ท่ีมีอานาจในการปกครองดว้ ย

พระมหาปฐมพงษใ์ ห้ทศั นะว่า “ภาษาท่ีพระองค์ใช้สื่อสารคือ ภาษามคธ แม้พระพุทธเจ้า
เป็ นชาวโกศลโดยกาเนิด แต่พระองค์ ก็ใช้เวลาส่ วนใหญ่เผยแผ่ศาสนาท่ีแคว้นมคธ”๙๔ ท่าน
วิเคราะห์ในเร่ืองน้ี จากงานท่ีศึกษาของนกั ปราชญ์ ที่ถกเถียงกนั ในประเดน็ ดงั น้ี (๑) ภาษาบาลีน่าจะ
มาจากภาษามาคธีหรือไม่ เหตุผลที่ภาษาบาลีน่าจะเป็นภาษามคธ (แนวคิดน้ี ท่านช้ีว่าเป็ นของท่าน
พุทธโฆษาจารยน์ ี่เอง) เพราะว่า แต่เดิมเป็ นภาษาช้นั สูง มีวฒั นธรรมมาต้งั แต่ก่อนพุทธกาล แต่
อยา่ งไรก็ดี ท่านยงั ไม่เช่ือสนิทนักวา่ ภาษาท้งั สองคือ ภาษาเดียวกนั (๒) ภาษาบาลีมาจากถิ่นอชุ เชนี
หรือไม่ เนื่องจากว่า ภาษาบาลีมีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั ภาษาไปศาจี ซ่ึงอยตู่ ิดกบั แควน้ อุชเชนี ท่านกล่าว
ว่า ขอ้ น้ีน่าคิดและมีเหตุผลเป็นไปได้ (๓) ภาษาบาลีเป็นภาษาอรรธมาคธีหรือไม่ เน่ืองจากวา่ พบใน
ศลิ าจารึกของพระเจา้ อโศก ซ่ึงเป็นภาษามคธแตกต่างจากภาษาบาลีอยมู่ าก ท่านจึงสรุปวา่ ภาษาบาลี
ภาษาอรรถมาคธี ภาษาไปศาจี น่าจะมาจากกลุ่มภาษาปรากฤตน่ันเอง ส่วนท่ีแตกต่างกนั เพราะ
ทอ้ งถิน่ หรือภูมศิ าสตร์ แต่แค่เลก็ นอ้ ยเท่าน้นั

ดงั น้นั ภาษาบาลีจึงเชื่อวา่ มีที่มาจากภาษามาคธี นอกจากน้ี ภาษาบาลี ยงั มีส่วนที่เหมือนกบั
ภาษาปรากฤตอยมู่ ากทีเดียว ส่วนภาษาบาลีมีส่วนเก่ียวกนั กบั ภาษามคธน้นั ท่านกล่าวว่าเพราะมา
จากภาษาไวทิกะแห่งเดียวกนั แต่แตกต่างกนั เลก็ นอ้ ยคือ ภาษาสนั สกฤต ส่วนมากเป็นภาษาที่พวก
พราหมณ์ใชก้ นั ส่วนภาษาปรากฤต คนสามญั ใชก้ นั เพราะไม่ยาก จึงอาจกล่าวไดว้ า่

พระพุทธศาสนาในพุทธกาล เกิดในท่ามกลางของภาษาต่าง ๆ มากมาย โดยแต่ละแควน้ มี
ภาษาของตวั เอง ภาษาท่ีพระพุทธเจา้ ใชจ้ ึงไม่อาจจะใชภ้ าษาใดภาษาหน่ึงเป็นหลกั ดงั ที่พระองคเ์ อง
ไม่อนุญาตใหย้ ืนยนั ตามภาษาพุทธพจน์ แต่ใหใ้ ชต้ ามภาษาทอ้ งถ่ินน้นั ๆ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ปราชญ์
ผรู้ ู้ในศาสนาท่านหน่ึง คือ เสถียร โพธินันทะ กล่าวในประเด็นน้ีว่า ในสมยั พุทธกาล มีภาษา

๙๔ พระมหาปฐมพงษ์ งามล้วน, ประวัติภาษาบาลี ความเป็ นมาและที่สัมพันธ์กับภาษาปรากฤตและ
สันสกฤต, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๔), หนา้ ๒๙.

๘๑

มากมายส่วนท่ีพระองคใ์ ชภ้ าษามคธ เพราะมเี หตุผล ๒ ประการคือ (๑) ภาษามคธเป็นภาษาชาวบา้ น
ไม่ยากบางทีเรียกภาษาน้ีว่า ตนั ติภาษา แปลว่า ภาษาท่ีมีแบบแผน คือ มีระบบเป็ นไวยากรณ์ มี
ระเบียบมากข้ึน (๒) ส่วนท่ีพระองคใ์ ชภ้ าษาสนั สกฤตดว้ ย เพราะเป็ นภาษานกั บวช นกั เผยแผ่ เป็ น
ภาษาช้ันสูง พวกพราหมณ์เองจึงภูมิใจในภาษาของตวั เองและมีแนวโน้มเหยียดภาษาชาวบ้าน
(ภาษามคธ) ดว้ ย มาในยคุ พระพุทธเจา้ พระองคจ์ ึงยดึ เอาภาษาธรรมดาหรือภาษาชาวบา้ น ข้ึนมาเป็น
ภาษาในการสื่อสาร ภาษามคธจึงไดร้ ับการฟ้ื นฟูอีกที เพื่อเผยแผ่ศาสนากบั ทุกชนทุกช้ันไม่มี
วรรณะ๙๕

๒.๑๕ ภาษาท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงใช้ในการส่ือสารหรือในการเผยแผ่ธรรม

ภาษาท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงใชใ้ นการส่ือสารหรือในการเผยแผธ่ รรม น่าจะประกอบดว้ ย ภาษา
ทอ้ งถิ่น(ชาวบา้ น) และภาษาชาวเมือง (ทางการ) หากกลา่ วโดยเจาะจงภาษาคือ ภาษาปรากฤต ภาษา
มาคธีและภาษาสนั สกฤต เป็นตน้

(๑) ภาษาด้งั เดิมในท้องถนิ่
พระพุทธศาสนาเกิดในท่ามกลางลทั ธิต่าง ๆ โดยมีศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูเป็ นศาสนา
หลกั ในการเผยแผค่ าสอนอยตู่ อนน้นั ดงั น้ัน กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีพระพทุ ธศาสนาประกอบข้ึนมาน้นั
ลว้ นแต่อาศัยฐานทางวฒั นธรรมของพราหมณ์ โดยเฉพาะภาษาในการถ่ายทอดสาระเน้ือหา
หลกั ธรรม ความจริงท่ีพระพุทธเจา้ ประกาศ ส่วนหน่ึง ไดน้ าเอาคาศพั ทต์ ่าง ๆ มาจากพราหมณ์ แลว้
นามาปริวรรตเป็ นของตวั เอง ในเน้ือหาเฉพาะชาวพุทธ ภาษาในสมยั น้ัน คือสันสกฤตและภาษา
มคธหรือภาษาบาลี รากฐานจากความเช่ือเร่ืองภาษาเกิดมานานแลว้ โดยเฉพาะภาษาสันสกฤตเป็ น
ภาษาท่ีพราหมณ์เช่ือวา่ คือ วจนะของพระเจา้ โดยตรง ไม่ใช่คาพดู หรือส่ิงที่มนุษยส์ ร้างข้ึน ต่อมาจึง
เรียกภาษาน้ันว่า “พระเวท” แปลว่า การท่องจา (เพื่อใหเ้ กิดความรู้) ไม่มีการจดหรือบันทึกเป็ น
อกั ษรเด็ดขาด เพราะชาวพราหมณ์ใหค้ วามสาคญั ภาษาพดู มากกวา่ ภาษาเขียน เหตุผลที่ใชว้ ิธีการพดู
หรือท่องจา คือ ภาษาน้ีเป็นวจนะที่เกิดมาจากเสียงหรือลมหายใจของพระเจา้ คือพระพรหมนนั่ เอง
การท่องจึงเป็นการเผยความจริงเก่ียวกบั พรหมนั การทาใหบ้ รรลุถงึ การดบั ทุกข๙์ ๖
ดงั น้นั ภาษาท่ีใชใ้ นการเผยแผท่ างศาสนาพราหมณ์ในสมยั น้นั คือ ภาษาสนั สกฤต ซ่ึงเป็ น
ภาษาที่ศกั ด์ิสิทธ์ิ เป็ นภาษาที่สูง ผทู้ ่ีอ่านไดค้ ือ ผนู้ าทางพิธีกรรมเท่าน้ัน และผทู้ ี่สืบทอดจะต้อง

๙๕ เสถยี ร โพธินนั ทะ, ประวัติศาสตร์พระพทุ ธศาสนา, พระนคร : บรรณาคาร, ๒๕๑๓)หนา้ ๙๔-๙๖.
๙๖ สมฤดี วิศทเวทย์, “ภาษากับความจริงในพระพุทธศาสนาเถรวาท”, วารสารพุทธศาสน์ ศึกษา
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ฉบบั ท่ี ๑, (ม.ค.-เม.ย., ๒๕๔๖) : ๕๐–๕๑.

๘๒

ท่องจาเอา ส่วนภาษาชาวบา้ นน้นั แตกต่างกนั แลว้ แต่ละแควน้ ในแควน้ ท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงเผยแผค่ ือ
แควน้ มคธ ดงั น้ัน ภาษาที่พระองค์ใชจ้ ึงเป็ นไปไดว้ ่าคือ ภาษามคธเช่นกนั แต่อย่างไรกต็ ามแต่ละ
แควน้ กวา้ งใหญ่ การที่จะใชภ้ าษาเดียวกนั คงเป็ นไปไม่ได้ พระองคท์ รงอนุญาตใหส้ าวกท้งั หลาย
ของพระองค์ แปลสิ่งท่ีพระองค์ไดต้ รัสไวเ้ ป็ นภาษาถิ่นของตน๙๗ แสดงวา่ พระองคม์ ิไดใ้ ห้สาวก
นาเอาภาษาท่ีพระองคต์ รัสไปถ่ายทอดทีเดียว แต่ใหแ้ ปลเป็นภาษาของทอ้ งถ่นิ น้นั ได้ แต่ทุกวนั น้ี ยงั
เป็นปัญหาอยวู่ า่ พระพทุ ธเจา้ ใชภ้ าษาใดสื่อสารกนั แน่ ระหว่าง ภาษาประกฤต สนั สกฤตและภาษา
มคธหรือภาษาบาลี เพราะพระองค์ใชว้ ิธีการสอนที่แตกต่างกนั หลายแบบ เช่น แบบปฏิรูป แบบ
ปฏิวตั ิ และแบบท่ีต้งั คาสอนข้ึนใหม่ ไม่วา่ จะเป็น ศพั ท์ ความหมายและพิธีกรรม๙๘

(๒) ภาษาทีป่ ระยกุ ต์จากภาษาเดิมในท้องถ่ิน
การกาเนิดทฤษฎีภาษา ศ. กีรติ บุญเจือให้ความเห็นเรื่องการกาเนิดของภาษาว่า ภาษาหลกั
ในโลกมีถึง ๔, ๐๐๐ ภาษา ไมร่ วมถึงภาษาเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ อีกจานวนมาก ใน ๔,๐๐๐ ภาษาน้ี จดั เป็ น
๓ ตระกลู คือ

๑. ตระกลู อนิ โดยโู รเป่ี ยน (Indo-European)
๒. ตระกลู เสมติ ิก (Semitic)
๓. ตระกลู แอลเทอกิ (Altaic)๙๙

(๓) ภาษาทใี่ ช้ในพระพุทธศาสนามี ๔ ระดบั ๑๐๐ คอื
๑. ภาษาทต่ี คี วามตามอักษร คือ ภาษาที่ว่าไปตามความหมายของอกั ษร ท่ีไม่ซ่อนความนัย
ที่ลึกใด ๆ ซ่ึงอาศยั ภาษาสมมติหรือภาษาคนเป็ นหลกั แต่ภาษาเหล่าน้ี ไม่สามารถถือเอาเป็ นหลกั
สากลไดต้ อ้ งแปลตามภาษาต่าง ๆ ในกล่มุ เดียวกนั

๙๗ พระมหาเทียบ สิริญาโณ, “บาลคี อื อะไร?”, เกบ็ เพชรจากคมั ภีร์พระไตรปิ ฎก, อนุสรณ์ชนมายคุ รบ
๘๔ ปี พระสุเมธาธีบดี, (๒๕๔๕) : หนา้ ๒๔๐.

๙๘ วสิน อนิ ทสระ, ประวตั ิศาสตร์พระพทุ ธศาสนา, พิมพค์ ร้ังท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พเ์ จริญกิจ
, ๒๕๓๕), หนา้ ๓๓๒–๓๓๓.

๙๙ ศ. กีรติ บุญเจือ, ปรัชญาและสาสนาเซนต์จอฮ์น ศาสนาอรรถปริวรรตของมนุษยชาติ, เล่มที่ ๗,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพฐ์ านบณั ฑติ จากดั , ๒๕๔๖), หนา้ ๒๐๓.

๑๐๐ พระสุนทร รตนปญฺโญ (มตยิ าภกั ด์)ิ , “การศึกษาปัญหาเกยี่ วกบั การใชภ้ าษาในการสื่อสารเพ่ือการเผย
แผ่ธรรมะในยุคปัจจุบนั ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลยั ), ๒๕๔๘.

๘๓

๒. ภาษาระดับอุปมาอุปไมย คือ เป็ นภาษาซ่อนนัย ความหมายแฝงอยู่ เป็ นภาษากวี
วรรณกรรม ท่ีใชก้ ารร้อยกรองหรือร้อยแกว้ เพ่ือใหเ้ กิดความสวยงามของภาษาและเน้ือหาอยา่ ง
กลมกลืน เรียกวา่ ศิลปภาษา ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั คนท่ีสนใจดว้ ย

๓. ภาษาระดับนามธรรม คือ ภาษาท่ีใชใ้ นทางศาสนา เพราะว่าในคมั ภีร์ของแต่ละศาสนา
ลว้ นแต่มีความหมายที่ซุกซ่อนความหมาย ความจริงเอาไว้ บางทียากแก่การเข้าใจ จึงเป็ นปัญหา
สาหรับคนท่ีไม่ค่อยใส่ใจเรื่องศาสนา เกิดการตีความผดิ เชื่อผดิ และปฏิบตั ิผดิ อน่ึง การที่วางภาษา
ธรรมหรือเน้ือธรรมเอาไวก้ วา้ ง ๆ อยา่ งน้ัน เพอ่ื เปิ ดโอกาสให้แก่คนรุ่นหลงั ใชส้ ติปัญญา โดยการ
ตีความตามกาลยคุ สมยั น้นั ๆ ไดแ้ ละยงั เป็นการทดสอบความมน่ั คงในศรัทธาของศาสนิกน้นั ๆ ดว้ ย

๔. ภาษาระดับอภิธรรม หรืออภิปรัชญา คือ ภาษาท่ีเหนือโลก เป็นภาษาโลกุตรธรรมซ่ึงมี
ท้งั เปรียบเทียบและเป็นนามธรรม ที่ตอ้ งอาศยั การตีความอยา่ งละเอียด บางทีภาษาระดบั น้ีอาจจะมา
จากระดบั ภาษาธรรมดา แต่มีความหมายไม่ธรรมดา เช่น การกิน การเกิด อาจแปลเป็ นได้ ๒
ความหมายคือ กินทางปากตามภาษาชาวโลกและกินทางอายตนะซ่ึงเป็นภาษาธรรม ที่มีความหมาย
ซ่อนความในภาษา ซ่ึงผทู้ ่ีจะเขา้ ใจตอ้ งมีฐานในการเรียนรู้หรือมีประสบการณ์ในดา้ นศาสนาดว้ ย
ส่วนการเกิด หมายถงึ การเกิดจากแมจ่ ริง ๆ หรือการคลอดและเกิดจากกิเลส๑๐๑ หมายถึง การเกิดข้ึน
ของกิเลสที่เกิดจากอกศุ ลภายในจิต ดงั น้นั ภาษาระดบั อภิธรรม จึงอมความหมายอยใู่ นตวั ข้ึนอยกู่ บั
ผพู้ ดู ว่า อยทู่ ี่ไหน พูดเรื่องอะไร เหมือนดงั ท่ีพระพุทธเจา้ ตรัสแก่สาวกหรือพวกพราหมณ์ที่ใชภ้ าษา
ตามสถานการณ์ต่าง ๆ

ดงั น้นั ภาษาด้งั เดิมของพวกพราหมณ์ในสมยั น้นั จึงถูกพระพุทธเจา้ แปลงความหมายใหม่
แต่การแปลงพระองค์มิได้กระทาแบบส้ินเย่ือใย พระองค์ยงั ยึดเอาคาเดิมอยู่ แต่ท่ีเปล่ียนคือ
ความหมายเท่าน้นั บางคร้ัง ลทั ธิอ่ืนมาทูลถามพระองคใ์ นเร่ืองต่าง ๆ พระองคย์ งั ทรงใชค้ าน้นั เป็ น
เคร่ืองมือในการโตก้ ลบั ก็มี ลกั ษณะการตอบ การตรัสแก่สาวกและลทั ธิต่าง ๆ มี ๔ แบบคือ

๑. แบบยนื ยนั เรียกว่า เอกงั สพยากรณยี
๒. แบบยอกยอ้ น เรียกว่า ปฏปิ ุจฉาพยากรณยี
๓. แบบแยกแยะ เรียกว่า วภิ ัชชพยากรณยี
๔. แบบหยดุ อยู่ เรียกวา่ ฐปนีย๑๐๒
ลักษณะแรก หมายความว่า พระองค์ทรงยืนยนั ในด้านของพระองค์เอง ตรัสแบบ
ตรงไปตรงมา ไม่ยกั เย้อื ง ไม่วกวน ตรัสแต่เรื่องสจั จริง เช่น คาพูดท่ีควรพูด ๑๐ อยา่ งหรือแสดง
ธรรมในเร่ืองอริยสัจส่ีนน่ั เอง จุดประสงคข์ องพระองค์ เพื่อท่ีจะยนื ยนั ในหลกั คาสอนที่พระองค์

๑๐๑ สุทธิวงศ์ พงศไ์ พบูลย,์ พุทธศาสน์ , (กรุงเทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๑๙), หนา้ ๑๐–๑๖.
๑๐๒ ท.ี ม. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๑.

๘๔

ตรัสรู้ดว้ ยพระองคเ์ อง น่ันหมายความว่า ภาษาที่ออกมาจากพระโอษฐย์ อ่ มจะมีค่ามีคุณประโยชน์
อยา่ งแทจ้ ริง

ลกั ษณะที่สอง หมายความว่า พระองค์ใช้ความรู้ ท่ีผถู้ ามมีอยู่เป็ นเครื่องมือตอบโตน้ ่ัน
หมายถงึ พระองค์ทรงรู้ภาษาผถู้ ามไดด้ ีและสามารถยอ้ นถามได้ นี่คือ การถือโอกาสโตเ้ พ่ือให้คน
ถาม เกิดอาการหวนั่ ไหวหรือประหมา่ ในท่าทีของตน

ลกั ษณะท่ีสาม หมายความว่า พระองคอ์ ธิบายช้ีแจงใหฟ้ ังอยา่ งละเอียดในเร่ืองน้ัน ๆ หากผู้
ถามมคี วามรู้ไม่ถงึ หรือไมร่ ู้จริง จะยอมรับเองวา่ ตวั เองไม่มีความเขา้ ใจจริง ๆ ขอ้ น้ีเอง ท่ีสาวกของ
ลทั ธิอ่ืน ๆ ท่ีมาทูลถามพระองค์ เกิดเปล่ียนใจมานับถือพระองค์และแสดงตวั เป็ นสาวกแทน น่ัน
แสดงใหเ้ ห็นวา่ พระองคส์ ามารถนาเอาภาษามาขยายใหค้ นถามจน (ทาง) ได้

ลกั ษณะที่ส่ี หมายความว่า พระองคไ์ ม่ทรงพยากรณ์หรือตอบอะไรเลย เพราะบางเรื่อง ไมม่ ี
ประโยชน์ในการแกป้ ัญหาชีวิต ไมส่ ามารถดบั ทุกขไ์ ด้ แต่อาจเกิดความแตกแยกหรือขดั ใจกนั เช่น
มีคนถามว่า ตายแลว้ ไปไหน โลกเท่ียงหรือไม่ คาตอบมิไดส้ ร้างสรรค์ปัญญาใด ๆ แต่อาจจะเป็ น
หลกั ฐานในการยอมรับหรือจบั ผดิ ในบางลทั ธิที่ยนื ยนั เช่นน้นั ได้ น่ีหมายความวา่ พระองคท์ รงใช้
ภาษาชาวบา้ นไดอ้ ย่างไม่มีปัญหา คือ ไม่ตอบก็ได้ นัน่ เพราะพระองคท์ รงเห็นวา่ ภาษามิไดเ้ ป็นจุด
จบของปัญหา ที่สาคญั คือ แกท้ ุกขไ์ มไ่ ด้

๒.๑๖ การประชาสัมพนั ธ์เพอื่ เผยแผ่พระพุทธศาสนา

ดงั ท่ีไดก้ ล่าวมาในเบ้ืองตน้ น้ี จึงทาให้มีมุมมองใหม่ว่าหลกั การเผยแผ่พระพุทธศาสนาท่ี
พระพุทธเจา้ ทรงกระทาน้นั ตรงกบั หลกั การประชาสัมพนั ธ์ เป็ นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ซ่ึงนกั วิชาการ
ท้งั หลายในดา้ นการประชาสมั พนั ธ์ (Public Relations) กลา่ วว่าการเผยแผ(่ Publicity) น้นั โดยแทจ้ ริง
แลว้ เป็ นส่วนหน่ึงของการประชาสัมพนั ธต์ ่างหาก เพราะงานเผยแผ่เป็ นเพียงหน่ึงในบรรดางาน
หลาย ๆ อย่างของการประชาสัมพนั ธ์ เช่น การประกวด การเผยแผ่ การแจง้ ความ เป็ นต้น ไปยงั
ประชาชนใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจ๑๐๓ ดงั ที่มีนกั วิชาการหลายท่านไดก้ ล่าวไว้ อาทิ เสรี วงษม์ ณฑา
กล่าวไวว้ ่า “พระพุทธศาสนาใชว้ ิธีการเผยแผห่ ลกั ธรรมคาสอนไปยงั ประชาชนดว้ ยคาพดู และการ
กระทาอนั เป็นส่ืออยา่ งหน่ึงของการประชาสมั พนั ธ์”๑๐๔

๑๐๓ ลกั ษณา สตะเวทิน, หลักการประชาสัมพนั ธ์, พิมพค์ ร้ังที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : บริษทั เฟื่ องฟ้ าพร้ิน
ตง้ิ จากดั , ๒๕๔๒), หนา้ ๒๓.

๑๐๔ เสรี วงษม์ ณฑา, การประชาสัมพนั ธ์: ทฤษฎีและปฏบิ ัติ, (กรุงเทพมหานคร : บริษทั ธีระฟิ ลมแ์ ละไซ
เทก็ ซ์ จากดั , ๒๕๔๒), หนา้ ๓๙.

๘๕

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจุดมุ่งหมายของการประชาสัมพนั ธ์เพ่ือที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจ
สร้างความนิยม ให้สาธารณชนรับรู้ สร้างความสัมพนั ธ์อนั ดีกระทง่ั องค์กรได้รับความยกย่อง
ศรัทธา สร้างสรรคค์ วามกา้ วหน้าแก่สงั คม ในท่ีสุดสังคมก็สนใจ ให้ความร่วมมือและไดร้ ับการ
สนับสนุนจากประชาชน๑๐๕ ๘๑ ก็ถือว่าเป็ นจุดมุ่งหมายในระดบั พ้ืนฐาน หากแต่ลึกลงไปกว่าน้นั
การประชาสมั พนั ธก์ ลบั มีวตั ถุประสงคท์ าใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงทศั นคติ ความรู้ ความเขา้ ใจ ทาให้
ผรู้ ับมีส่วนร่วมนอ้ มนาไปปฏิบตั ิเพ่ือผลแก่ผปู้ ฏิบตั ิเองดว้ ย

ดงั น้ัน ผวู้ ิจยั จึงขอใชศ้ พั ทว์ ่า “การประชาสมั พนั ธ”์ ทบั กบั ศพั ท“์ การเผยแผ่” หรือใชค้ วบคู่
กนั ไป เช่น “การประชาสมั พนั ธเ์ พ่อื เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา” หรือ “การประชาสมั พนั ธใ์ นการเผยแผ่
พระพทุ ธศาสนา” เป็นตน้ เพอ่ื เนน้ ใหช้ ดั ถงึ หลกั การประชาสมั พนั ธใ์ นบางแห่งของบท

อน่ึง กระบวนการประชาสัมพนั ธ์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยา่ งมีระบบ จึงทาให้
พุทธศาสนิกชนรับรู้ ศรัทธา ใหค้ วามสนใจ และเขา้ ร่วมส่งเสริมสนบั สนุน จนไดผ้ ลสมั ฤทธ์ิในการ
เผยแผพ่ ระพุทธศาสนาอยา่ งกวา้ งขวาง พุทธศาสนิกชนเกิดความเขา้ ใจศรัทธาในหลกั ธรรมนาไป
ปฏิบตั ิจนไดร้ ับผลตามกาลงั สติปัญญาแห่งการปฏิบตั ิของตน พระพุทธศาสนาจึงไดป้ ระดิษฐาน
มนั่ คงถาวรมาจนกระทง่ั ถึงทุกวนั น้ี ความสาเร็จส่วนใหญ่เร่ิมตน้ จากคุณสมบตั ิของพระผมู้ พี ระภาค
เจา้ ท้งั ดา้ นบุคลิกภาพ ร่างกาย น้าเสียง บุคลิกลกั ษณะ และคุณธรรมภายในคือพระปัญญาคุณ พระวิ
สุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ประกอบกบั การวางแผนการเผยแผใ่ นเชิงรุกดว้ ยพระองคเ์ องและการ
ส่งพระสาวกออกไปเผยแผ่ โดยเน้นส่ังสอนบุคคลผูเ้ ป็ นหัวหน้าประชาชนให้ศรัทธาก่อนแลว้
บริวารหรือประชาชนผเู้ ป็ นลูกนอ้ งกจ็ ะศรัทธาตาม รวมท้งั การใชน้ โยบายเชิงต้งั รับแสดงธรรมแก่
ประชาชนที่เขา้ มาในสานักวดั หรืออาราม โดยมีกิจกรรมทางพระศาสนาเป็ นสื่อกลางสาคญั ซ่ึง
พระองคท์ รงกระทาใหด้ ูเป็นตวั อยา่ งแลว้ เพ่ือให้พระภิกษุสงฆร์ ุ่นหลงั ๆ ไดป้ ฏิบตั ิตาม ทาใหเ้ กิดมี
พุทธศาสนิกชนจานวนมากรับรู้ ยอมรับและปฏิบตั ิตามแนวทางคาสงั่ สอนของพระผมู้ ีพระภาคเจา้
ต้งั แต่สมยั พุทธกาลจนตราบเท่าทุกวนั น้ี

๒.๑๗ เทคนิคการสอนของพระพทุ ธเจ้า

สมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงเป็นแบบอยา่ งของผทู้ ่ีมเี ทคนิควิธีสอนท่ีหลากหลายทรง
สอนแบบทานามธรรมใหเ้ ป็นรูปธรรม หรือจากง่ายไปหายาก ธรรมะเป็ นเรื่องท่ีมเี น้ือหาลึกซ้ึงยาก
ท่ีจะเขา้ ใจ โดยเฉพาะธรรมะข้นั สูง เพราะพระองคท์ รงใชเ้ ทคนิควธิ ีต่อไปน้ี

๑๐๕ ลกั ษณา สตะเวทิน, หลักการประชาสัมพนั ธ์, หนา้ ๑๓.

๘๖

๑. การยกอุทาหรณ์และการเล่านิทานประกอบ ทรงยกตวั อยา่ งประกอบคาอธิบายและการ
เล่านิทานประกอบ ช่วยให้เขา้ ใจความไดง้ ่ายและชดั เจน ดงั เช่น เร่ืองท่ีพราหมณ์ทะเลาะกนั ยึด
ความเห็นของตนเท่าน้ันว่าถกู พระพุทธองคท์ รงทราบแลว้ จึงตรัสวา่ ผทู้ ี่รู้เห็นอะไรแง่มุมเดียว ไม่
แคลว้ ที่จะทะเลาะกนั ดุจคนตาบอดคลาชา้ ง แลว้ เลา่ เรื่องคนตาบอด ๙ คนใหฟ้ ัง เป็นตน้

๒. การเปรียบเทียบดว้ ยขอ้ อุปมา ทาให้เรื่องที่ลึกซ้ึงเขา้ ใจยาก ปรากฏความหมายเด่นชดั
ออกมาและเขา้ ใจง่ายข้ึน เช่น ตรัสสอนราหุลว่า ราหุลเห็นน้าท่ีเราเหลือไวใ้ นภาชนะหน่อยหน่ึง
ไหม ราหุลตอบว่า เห็นพระเจ้าข้า ตรัสต่อไปว่า ดูก่อนราหุล คนท่ีพูดเท็จท้ังที่รู้ มีคุณความดี
เหลอื อยนู่ อ้ ย ดุจน้าในภาชนะน้ีแหละ ตรัสแลว้ ทรงเทน้าที่เหลอื หน่อยหน่ึงน้นั ท้ิง เป็นตน้

๓. การใช้อุปกรณ์หรือสื่อการสอน พระองคท์ รงใชส้ ่ือทุกอยา่ งท่ีอยใู่ กลต้ วั มาสอนเช่น
ขณะท่ีเดินไปในป่ าแห่งหน่ึง มีพระสงฆห์ ม่ใู หญ่ตามเสด็จ พระองค์ทรงหยบิ ใบไมข้ ้ึนมากาหน่ึง
แลว้ ตรัสถามภิกษุท้งั หลายว่า เห็นใบไมใ้ นมือตถาคตไหม เห็นพระเจา้ ขา้ พระสงฆต์ อบพร้อมกนั นี่
คือการใชส้ ่ือใกลต้ วั ในการสอน

๔. การทาเป็ นตวั อย่าง เฉพาะในทางจริยธรรม คือ การทาเป็ นตวั อย่าง เช่น ทรงพยาบาล
ภิกษุไข้ และตรัสตอนหน่ึงว่า “ภิกษุท้งั หลาย พวกเธอไม่มีบิดามารดา ผใู้ ดเล่าจะพยาบาลพวกเธอ
ถา้ พวกเธอไม่พยาบาลกนั เอง ใครเล่าจะพยาบาล ผใู้ ดจะพึงอุปัฏฐากเรา ขอให้ผนู้ ้นั พยาบาลภิกษุผู้
อาพาธเถดิ ”๑๐๖

๕. การเล่นภาษา เลน่ คา และใชค้ าในความหมายใหม่ ซ่ึงเป็นเรื่องของความสามารถในการ
ใชภ้ าษาผสมกบั ปฏิภาณ เช่น กรณีของเวรัญชพราหมณ์ เป็นตวั อยา่ ง

๖. อุบายการเลือกคน และการปฏิบตั ิรายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายอนั สาคญั การเผยแผ่
พระพุทธศาสนา ไดแ้ ก่ การเร่ิมตน้ ท่ีบุคคลซ่ึงเป็ นประมุขหรือหวั หน้าของชุมชนน้นั ๆ เพ่ือการเผย
แผพ่ ระพทุ ธศาสนา

๗. การรู้จกั จงั หวะและโอกาส ผสู้ อนตอ้ งรู้จกั ใชจ้ งั หวะและโอกาสให้เป็ นประโยชน์ใน
การสอนธรรมะอยา่ งไดผ้ ล

๘. ความยดื หยนุ่ ในการใชว้ ธิ ีการ ถา้ ผสู้ อนสอนอยา่ งไม่มอี ตั ตา ตดั ตณั หามานะทิฏฐิเสียให้
นอ้ ยที่สุด ก็จะมงุ่ ไปยงั ผลสาเร็จในการเรียนรู้เป็ นสาคญั ดงั พระพุทธพจน์ที่ว่า “เรายอ่ มฝึ กฝนดว้ ย
วิธีออ่ นละมนุ ละไมและท้งั รุนแรงปนกนั ไปบา้ ง”

๙. การลงโทษและการใหร้ างวลั การลงโทษในท่ีน้ี คือ การลงโทษตนเองซ่ึงมีท้งั ทางธรรม
และทางวินัยอย่แู ลว้ มีบทบญั ญัติความประพฤติอย่แู ลว้ การให้รางวลั คือ การแสดงธรรมไม่
กระทบกระทง่ั ไม่รุกรานใคร เป็นตน้

๑๐๖ วิ.ม. (ไทย) ๕ / ๓๖๕ / ๒๔๐.

๘๗

๑๐. กลวธิ ีแกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ ปัญหาเฉพาะหนา้ ที่เกิดข้ึนต่างคร้ัง ต่างคราว ยอ่ มมีลกั ษณะ
ท่ีแตกต่างกนั ออกไปไมม่ ที ี่สิ้นสุด การแกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ ยอ่ มตอ้ งอาศยั ปฏิภาณ คือความสามารถ
ในการประยกุ ตห์ ลกั การ วธิ ีการ และเทคนิควธิ ีการต่าง ๆ มาใชใ้ หเ้ หมาะสมเป็นเร่ืองเฉพาะคราวไป

วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจา้ น้ันเป็ นตน้ ตาหรับหลกั การนิเทศศาสตร์
กล่าวคือ จะทรงต้งั จุดมงุ่ หมายในการสอนว่าทรงกาหนดจุดมุ่งหมายแต่ละคร้ังเพ่ืออะไร แลว้ กท็ รง
เตรียมเน้ือหาหรือเร่ืองท่ีจะสอนไปตามลาดบั ความยากง่ายไปพร้อม ๆ กนั และทรงคานึงถึงตวั ผรู้ ับ
การสอนหรือผรู้ ับสารดว้ ยวา่ เขาจะสามารถเขา้ ใจและจะนาไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไร ซ่ึงจะทาใหเ้ กิด
ความรู้สึกอยากเรียนรู้ และสนใจเอาใจใส่มมากยิง่ ข้ึน ท้งั น้ีเพราะเทคนิค และวิธีสอนก็ทรงมีไว้
หลายรูปแบบ และวธิ ีการดงั กล่าวกท็ าให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจา้ ในขณะน้นั มี
บุคคลทุกช้นั วรรณะเล่ือมใสศรัทธา จนทาใหเ้ กิดการอุปสมบทตาม และสามารถบรรลุธรรมเป็ น
พระอรหนั ตเ์ ป็ นจานวนมาก ดงั ที่ปรากฏในพทุ ธประวตั ิ ถึงแมบ้ างคนจะมิไดอ้ ุปสมบทก็ตาม แต่ก็
ไดน้ ้อมนาหลกั พุทธธรรมไปใชใ้ นการดาเนินชีวิตที่สงบสุขท้งั ในระดบั บุคคล ครอบครัว ชุมชน
และสงั คม ทาใหเ้ กิดความเจริญรุ่งเรืองท้งั ฝ่ ายอาณาจกั รและศาสนจกั รมาโดยตลอด

๒.๑๘ การบริหารเวลาเพอื่ การเผยแผ่ของพระพทุ ธเจ้า

พระพุทธองค์ทรงกระทากิจในแต่ละวนั แต่เม่ือสังเกตจากพระจริยาวตั รท่ีพระพุทธองค์
ทรงปฏิบัติเป็ นประจาวนั ซ่ึงปรากฏในพระไตรปิ ฎกแล้วพระอรรถกถาจารยไ์ ด้แบ่งเวลาที่
พระพทุ ธเจา้ ทรงบาเพญ็ พทุ ธกิจเป็น ๕ ช่วง คือ

๑. กิจในปุเรภตั
๒. กิจในปัจฉาภตั
๓. กิจในปุริมยาม
๔. กิจในมชั ฌิมยาม
๕. กิจในปัจฉิมยาม
บรรดาพทุ ธกิจ ๕ ประการน้ี พระอรรถกถาจารยใ์ หอ้ รรถาธิบายดงั น้ี
กิจในปุเรภัต พระผมู้ ีพระภาคเจา้ เสด็จลุกข้ึนแต่เชา้ ตรู่ ทรงปฏิบตั ิพระสรีระ มีบว้ นพระ
โอฏฐ์ เป็ นต้น เพ่ือทรงอนุเคราะห์อุปัฏฐาก และเพื่อความสารวมแห่งพระสรีระ เสร็จแลว้ ทรง
ประทบั ยบั ยง้ั อยบู่ นพุทธอาสน์ที่เงียบสงดั จนถึงเวลาภิกษาจาร คร้ันถึงเวลาภิกษาจารทรงนุ่งสบง
ทรงคาดประคดเอว ทรงครองจีวร ทรงถือบาตร บางคร้ังเสด็จพระองคเ์ ดียว บางคร้ังแวดลอ้ มไป
ดว้ ยภิกษุสงฆ์ เสด็จเขา้ ไปบิณฑบาตยงั คามหรือนิคม บางคร้ังเสดจ็ เขา้ ไปตามปกติ บางคร้ังก็เสด็จ
เขา้ ไปดว้ ยปาฏิหาริยห์ ลายประการ เม่ือรับบิณฑบาต ทรงตรวจดูจิตสนั ดานของสัตวเ์ หล่าน้นั ทรง

๘๘

แสดงพระธรรมเทศนาโปรดใหบ้ างพวกต้งั อยใู่ นสรณคมน์บางพวกต้งั อยใู่ นศีล ๕ บางพวกต้งั อยใู่ น
โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง บางพวกบวชแลว้ ต้งั อยใู่ นพระอรหตั ซ่ึง
เป็นผลเลิศ ทรงอนุเคราะหม์ หาชนดงั พรรณนามาฉะน้ีแลว้ ทรงลุกจากอาสนะเสดจ็ ไปยงั พระวิหาร
คร้ันแลว้ ประทบั นงั่ บนพุทธอาสน์อนั บวร ซ่ึงปูลาดไวใ้ นมณั ฑลศาลา ทรงรอคอยการเสร็จภตั กิจ
ของภิกษุท้งั หลาย คร้ันภิกษุท้งั หลายเสร็จภตั กิจเรียบร้อยแลว้ ภิกษุผอู้ ุปัฏฐากก็กราบทลู พระผมู้ ีพระ
ภาคเจา้ ใหท้ รงทราบ ลาดบั น้นั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ กท็ รงเสดจ็ เขา้ พระคนั ธกุฎี

พุทธกิจในปัจฉาภตั คร้ันพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงบาเพญ็ ภตั กิจในปุเรภตั เสร็จแลว้ อยา่ งน้ี
ประทบั นงั่ ณ ศาลาปรนนิบตั ิใกลพ้ ระคนั ธกุฎี ทรงลา้ งพระบาทแลว้ ประทบั ยนื บนตงั่ รองพระบาท
ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ณ ทีน้นั ภิกษุบางพวกทูลถามกรรมฐานกะพระผมู้ พี ระภาคเจา้ แมพ้ ระ
ผมู้ ีพระภาคเจา้ ก็ประทานกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตของภิกษุเหล่าน้นั ลาดบั น้ัน ภิกษุท้งั ปวงถวาย
บงั คมพระผมู้ พี ระภาคเจา้ แลว้ ไปยงั ท่ีพกั กลางวนั และกลางคืนของตน ๆ บางพวกไปสู่ป่ า บางพวก
ไปสู่โคนไม้ บางพวกก็ไปยงั ท่ีแห่งใดแห่งหน่ึง มีภเู ขาเป็นตน้ บางพวกก็ไปยงั ภพของเทวดาช้นั จาตุ
มหาราชิกา ฯลฯ บางพวกไปยงั ภพของเทวดาช้นั วสวสั ดี ดว้ ยประการฉะน้ี ต่อจากน้นั พระผมู้ พี ระ
ภาคเจา้ เสด็จเขา้ พระคนั ธกุฎี ถา้ มีพุทธประสงค์ ก็ทรงมีพระสติสัมปชญั ญะ สาเร็จสีหไสยาสน์ครู่
หน่ึง โดยพระปรัสเบ้ืองขวา คร้ันมีพระวรกายปลอดโปร่งแลว้ เสดจ็ ลุกข้ึนตรวจดโู ลกในภาคท่ีสอง
ณ คาม หรือนิคมท่ีพระองคเ์ สด็จเขา้ ไปอาศยั ประทบั อยู่ มหาชนพากนั ถวายทานก่อนอาหาร คร้ัน
เวลาหลงั อาหารนุ่งห่มเรียบร้อย ถือของหอมและดอกไม้ เป็ นตน้ มาประชุมกนั ในพระวิหาร คร้ัน
บริษทั พร้อมเพรียงกนั แลว้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ เสด็จไปดว้ ยพระปาฏิหาริยอ์ นั สมควรประทับน่ัง
แสดงธรรมที่ควรแก่กาลสมยั ณ บวรพุทธอาสน์ที่บรรจงจดั ไว้ ณ ธรรมสภาคร้ันทรงทราบกาลอนั
สมควรแลว้ กท็ รงส่งบริษทั กลบั

พุทธกิจในปฐมยาม คร้ันเสร็จกิจหลงั อาหารแลว้ ถา้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ประสงค์จะโสรจ
สรงพระวรกาย ก็เสด็จลุกจากพุทธอาสน์เขา้ ซุม้ ประตูสงสนาน ทรงสงพระวรกายดว้ ยน้าที่ภิกษุผู้
เป็นพุทธอุปัฏฐากจดั ถวาย ฝ่ ายภิกษุผเู้ ป็ นพุทธอุปัฏฐาก กน็ าพุทธอาสนม์ าปลู าดที่บริเวณพระคนั ธ
กุฎี พระองคท์ รงครองจีวรสองช้ันอนั ยอ้ มดีแลว้ ทรงคาดประคดเอว ทรงครองจีวรเฉวียงบ่าข้าง
หน่ึง แลว้ เสด็จไปประทบั นงั่ บนพุทธอาสน์น้ัน ทรงหลีกเร้นอยคู่ รู่หน่ึงแต่ลาพงั พระองค์เดียว คร้ัง
น้นั ภิกษุท้งั หลายพากนั มาจากท่ีน้นั ๆ แลว้ มาสู่ที่ปรนนิบตั ิของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ณ ที่น้ัน ภิกษุ
บางพวกทูลถามปัญหา บางพวกก็ทูลขอกรรมฐานบางพวกก็ทูลขอฟังธรรม พระผมู้ ีพระภาคเจา้
ประทบั ยบั ย้งั อยตู่ ลอดยามตน้ ทรงใหค้ วามประสงคข์ องภิกษุเหลา่ น้นั สาเร็จแลว้

พทุ ธกิจในมชั ฌิมยาม กเ็ มือ่ ส้ินสุดกิจในปฐมยาม ภิกษุท้งั หลายถวายบงั คมพระผมู้ ีพระภาค
เจา้ แลว้ หลีกไป เหล่าเทวดาในหม่นื โลกธาตุท้งั ส้ิน เมือ่ ไดโ้ อกาสกพ็ ากนั เขา้ เฝ้ าพระผมู้ พี ระภาคเจา้

๘๙

ต่างทลู ถามปัญหาตามที่เตรียมมา โดยท่ีสุดแมอ้ กั ขระ ๔ ตวั พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงตอบปัญหาของ
เทวดาเหล่าน้นั ใหม้ ชั ฌิมยามผา่ นไป

พุทธกิจในปัจฉิมยาม ในปัจฉิมยาม พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงแบ่งเป็ น ๓ ส่วน คือ ทรงยบั ย้งั
อย่ดู ว้ ยการเสด็จงกรมส่วนหน่ึง เพื่อทรงเปล้ืองจากความเมื่อยลา้ แห่งพระสรีระอนั ถกู อิริยาบถนงั่
ต้งั แต่ก่อนอาหารบีบค้นั ในส่วนท่ีสอง เสด็จเขา้ พระคนั ธกุฎี ทรงมีสติสมั ปชญั ญะ สาเร็จสีหไสยา
โดยพระปรัศวเ์ บ้ืองขวา ในส่วนท่ีสาม เสด็จลุกข้ึนประทบั เป็ นตน้ บางพวกก็ไปยงั ภพของเทวดา
ช้นั จาตุมหาราชิกา ฯลฯ บางพวกไปยงั ภพของเทวดาช้นั วสวสั ดี ดว้ ยประการฉะน้ี ต่อจากน้นั พระผู้
มีพระภาคเจ้าเสด็จเขา้ พระคนั ธกุฎี ถ้ามีพุทธประสงค์ ก็ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ สาเร็จสีห
ไสยาสนค์ รู่หน่ึง โดยพระปรัสเบ้ืองขวา คร้ันมีพระวรกายปลอดโปร่งแลว้ เสด็จลุกข้ึนตรวจดูโลก
ในภาคท่ีสอง ณ คาม หรือนิคมที่พระองคเ์ สดจ็ เขา้ ไปอาศยั ประทบั อยู่ มหาชนพากนั ถวายทานก่อน
อาหาร คร้ันเวลาหลงั อาหารนุ่งห่มเรียบร้อย ถือของหอมและดอกไม้ เป็นตน้ มาประชุมกนั ในพระ
วิหาร คร้ันบริษทั พร้อมเพรียงกันแลว้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ เสด็จไปดว้ ยพระปาฏิหาริยอ์ นั สมควร
ประทบั น่ัง แสดงธรรมที่ควรแก่กาลสมยั ณ บวรพุทธอาสน์ท่ีบรรจงจดั ไว้ ณ ธรรมสภาคร้ันทรง
ทราบกาลอนั สมควรแลว้ ก็ทรงส่งบริษทั กลบั

พทุ ธกิจในปฐมยาม คร้ันเสร็จกิจหลงั อาหารแลว้ ถา้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ประสงค์จะโสรจ
สรงพระวรกาย ก็เสดจ็ ลุกจากพุทธอาสน์เขา้ ซุม้ ประตสู งสนาน ทรงสงพระวรกายดว้ ยน้าท่ีภิกษุผู้
เป็นพุทธอุปัฏฐากจดั ถวาย ฝ่ ายภิกษุผเู้ ป็ นพุทธอุปัฏฐาก กน็ าพุทธอาสน์มาปูลาดที่บริเวณพระคนั ธ
กุฎี พระองคท์ รงครองจีวรสองช้นั อนั ยอ้ มดีแลว้ ทรงคาดประคดเอว ทรงครองจีวรเฉวียงบ่าขา้ ง
หน่ึง แลว้ เสด็จไปประทบั นง่ั บนพทุ ธอาสน์น้นั ทรงหลีกเร้นอยคู่ รู่หน่ึงแต่ลาพงั พระองคเ์ ดียว คร้ัง
น้นั ภิกษุท้งั หลายพากนั มาจากท่ีน้ัน ๆ แลว้ มาสู่ท่ีปรนนิบตั ิของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ณ ที่น้ัน ภิกษุ
บางพวกทูลถามปัญหา บางพวกก็ทูลขอกรรมฐานบางพวกก็ทูลขอฟังธรรม พระผมู้ ีพระภาคเจ้า
ประทบั ยบั ย้งั อยตู่ ลอดยามตน้ ทรงใหค้ วามประสงคข์ องภิกษุเหล่าน้นั สาเร็จแลว้

พทุ ธกิจในมชั ฌิมยาม กเ็ มือ่ สิ้นสุดกิจในปฐมยาม ภิกษุท้งั หลายถวายบงั คมพระผมู้ ีพระภาค
เจา้ แลว้ หลีกไป เหล่าเทวดาในหมน่ื โลกธาตุท้งั ส้ิน เมอ่ื ไดโ้ อกาสก็พากนั เขา้ เฝ้ าพระผมู้ ีพระภาคเจา้
ต่างทูลถามปัญหาตามท่ีเตรียมมา โดยท่ีสุดแมอ้ กั ขระ ๔ ตวั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงตอบปัญหาของ
เทวดาเหล่าน้นั ใหม้ ชั ฌิมยามผา่ นไป

พทุ ธกิจในปัจฉิมยาม ในปัจฉิมยาม พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงแบ่งเป็ น ๓ ส่วน คือ ทรงยบั ย้งั
อย่ดู ว้ ยการเสด็จงกรมส่วนหน่ึง เพ่ือทรงเปล้ืองจากความเม่ือยลา้ แห่งพระสรีระอนั ถกู อิริยาบถนงั่
ต้งั แต่ก่อนอาหารบีบค้นั ในส่วนท่ีสอง เสด็จเขา้ พระคนั ธกุฎี ทรงมีสติสมั ปชญั ญะ สาเร็จสีหไสยา
โดยพระปรัศวเ์ บ้ืองขวา ในส่วนที่สาม เสด็จลุกข้ึนประทบั นงั่ แลว้ ทรงใชพ้ ุทธจกั ษุตรวจดูสตั วโ์ ลก

๙๐

เพื่อเลง็ เห็นบุคคลผสู้ ร้างสมบุญญาธิการไวด้ ว้ ย อานาจทานและศีลเป็ นตน้ ในสานกั พระพุทธเจา้
องคก์ ่อนๆ ๑๐๗

พทุ ธกิจเหลา่ น้ี สวดมนตฉ์ บบั หลวง ท่านโบราณาจารยไ์ ดแ้ ต่งเป็นคาถาภาษาบาลีเอาไวเ้ พอื่
เขา้ ใจและจดจาไดง้ ่ายว่า

ปุพฺพณฺ เห ปิ ณฺ ฑปาตญฺจ สายญฺเห ธมฺมเทสน
ปโทเส ภิกฺขุโอวาท อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหน
จเู สว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกน ๑๐๘
แปลวา่ เวลาเชา้ เสด็จเขา้ ไปบิณฑบาต เวลาบ่ายทรงแสดงธรรม เวลาค่าประทานโอวาทแก่
ภิกษุ เวลาเที่ยงคืนตอบปัญหาเทวดา เวลาใกลร้ ุ่งตรวจดอู ปุ นิสยั ผทู้ ่ีควรและไมค่ วรตรัสรู้

๒.๑๙ วธิ ีสอนของพระพทุ ธเจ้า มีหลากหลายอย่าง ดังนี้

๑. แบบสากจั ฉาหรือสนทนา
การสอนโดยใชว้ ิธีการ ถามคู่สนทนา เพื่อนาให้เกิดความเขา้ ใจหลกั ธรรมอนั จะนาใหเ้ กิด
ความเลื่อมใสศรัทธา วิธีการสอนแบบน้ี จะเห็นไดจ้ ากท่ีพระองคใ์ ชโ้ ปรดบุคคลในกลุ่มท่ีมีจานวน
จากดั ที่สามารถพูดตอบโต้กนั ได้ การสอนแบบน้ี มีปรากฏในหนังสือพระไตรปิ ฎกหลายแห่ง
ดว้ ยกนั ตวั อยา่ งเช่น กรณีของปริพาชกชื่อว่าวจั ฉโคตรที่เขา้ ไปทูลถาม เรื่องความเห็นสุดโต่ง ๑๐
อย่าง ต่อพระองค์ และก็ไดม้ ีการสนทนาแบบถาม-ตอบ ในเรื่องดงั กลา่ วระหว่างปริพาชกกบั พระ
พุทธองค์ เป็ นตน้ ๑๐๙ ในการสอนแบบสากจั ฉา มีการถามในรายละเอียดไดม้ ากกว่าการสอนแบบ
ทวั่ ไป และเป็ นการให้ขอ้ มูลต่อกลุ่มชนท่ีมีจานวนจากดั โดยพระพุทธองคแ์ สดงธรรมจบ ผฟู้ ังจะ
ไดร้ ับคุณวเิ ศษจากการฟังดว้ ยวธิ ีน้ีอยเู่ สมอ๑๑๐

๑๐๗ มหามกุฎราชวิทยาลยั , พระสูตรและอรรถกถาแปล ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่มท่ี ๑ ภาคที่ ๑ (เล่ม
๑๑), หนา้ ๑๔๗-๑๕๒.

๑๐๘ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต),พุทธวิธีการสอน,พิมพ์คร้ังที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การ
ศาสนา, ๒๕๔๕), หนา้ ๒๙.

๑๐๙ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๘๗-๑๘๙/๒๑๙-๒๒๓
๑๑๐ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พุทธวธิ ใี นการสอน, พิมพค์ ร้ังท่ี ๗, ( กรุงเทพมหานคร: สหธรรมมกิ ,
๒๕๔๔) หนา้ ๑ - ๑๐.


Click to View FlipBook Version