The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Communication in Tipitaka)-ผศ.ดร.ไพฑุรย์-สวนมะไฟ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chokoooon, 2021-06-13 23:57:25

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Communication in Tipitaka)

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Communication in Tipitaka)-ผศ.ดร.ไพฑุรย์-สวนมะไฟ

๙๑

๒. แบบบรรยาย
การสอนที่พระพุทธเจ้าจะทรงใช้ในที่ประชุมใหญ่ ในการแสดงธรรมประจาวนั ซ่ึงมี
ประชาชนและพระสาวกเป็ นจานวนมาก คอยรับฟัง จดั เป็ นวิธีสอนที่พระพุทธเจา้ ใชม้ ากท่ีสุด ใน
การแสดงธรรม เพราะมีท้งั การแสดงธรรม ซ่ึงมใี จความยาว และมใี จความแบบส้ัน ๆ ท้งั น้ี แลว้ แต่
สถานการณ์ที่เห็นวา่ เหมาะสม เช่น ในพรหมชาลสูตร พระองคก์ ท็ รงไดบ้ รรยายเกี่ยวกบั เน้ือหาของ
ศลี ซ่ึงสามารถแบ่งออกเป็ น ๓ ระดบั คือ ศลี ระดบั ตน้ ท่ีเรียกว่าจุลศีล ศลี ระดบั กลางท่ีเรียกวา่ มชั ฌิม
ศีล ศีลระดบั สูงท่ีเรียกวา่ มหาศีล และในตอนทา้ ยก็ทรงแสดงเรื่องทิฎฐิ ทฤษฎีหรือปรัชญาของลทั ธิ
ต่าง ๆ ท่ีร่วมสมยั พุทธกาลมีท้ังหมด ๖๒ ทฤษฎี โดยพระพุทธเจ้าทรงนามาแสดงดว้ ยวิธีการ
บรรยาย และช้ีใหเ้ ห็นวา่ พระพุทธศาสนามีความเห็น หรือมีหลกั คาสอนที่ต่างจากทฤษฎีท้งั ๖๒ น้ี
อยา่ งไร เป็นตน้ ๑๑๑

๓. แบบตอบปัญหา
จะทรงสอนให้พิจารณาดูลกั ษณะของปัญหา และใชว้ ิธีตอบให้เหมาะสม สาหรับในการ
ตอบปัญหาของพระองคน์ ้นั จะทรงพิจารณาจากความเหมาะสมตามลาดบั แห่งภูมิความรู้ของผถู้ าม
เป็นสาคญั เช่น ในเทวตาสงั ยตุ มเี ทวดาไปกราบทูลถามพระพุทธองค์ วา่ “บุคคลให้อะไรชื่อว่าให้
กาลงั ชื่อว่าใหว้ รรณะ ชื่อว่าให้ความสุข ช่ือว่าใหจ้ กั ษุ ชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอยา่ ง” พระพุทธเจา้ ก็ตรัส
ตอบว่า “บุคคลท่ีให้ขา้ วช่ือว่าให้กาลงั ให้ผา้ ช่ือว่าใหว้ รรณะ ให้ยานพาหนะช่ือว่าใหค้ วามสุข ให้
ประทีปชื่อว่าใหจ้ กั ษุ และผใู้ หท้ ่ีพกั ชื่อวา่ ใหท้ ุกสิ่งทุกอยา่ ง ส่วนผพู้ ร่าสอนธรรมช่ือวา่ ใหอ้ มตะ”๑๑๒

๔. แบบวางกฎข้อบังคบั
เป็นการกาหนดหลกั เกณฑ์ ขอ้ บงั คบั ใหพ้ ระสาวกหรือสงฆป์ ฏบิ ตั ิดว้ ยความเห็นชอบพร้อม
กัน วิธีการน้ีเป็ นลกั ษณะของการออกคาสั่ง ให้ผูศ้ ึกษาปฏิบัติตาม เป็ นการสอนโดยการวาง
กฎระเบียบขอ้ บงั คับให้ปฏิบตั ิร่วมกัน เพ่ือนามาซ่ึงความสงบสุขแก่หมู่คณะ ดงั จะเห็นได้จาก
พระองคท์ รงบญั ญตั ิพระวินยั โดยเป็นขอ้ บงั คบั ใหพ้ ระสงฆไ์ ดป้ ฏบิ ตั ิตาม และท่ีสาคญั กฎขอ้ บงั คบั
ท่ีพระองค์ทรงบญั ญตั ิน้ัน เป็ นตวั แทนของพระองคไ์ ดด้ ว้ ย และมีความเสมอภาคกนั ท้งั หมด ไม่มี
ขอ้ ยกเวน้ ใหแ้ ก่บุคคลใดเป็ นกรณีพิเศษ พระองคท์ รงตรัสก่อนท่ีจะปรินิพพานวา่ “ธรรมและวนิ ยั ที่

๑๑๑ ท.ี สี. (ไทย) ๙/๒๘/๑๑
๑๑๒ สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๔๒/๕๘

๙๒

เราแสดงแลว้ บญั ญตั ิแลว้ แก่เธอท้งั หลาย หลงั จากเราปรินิพพานไปแลว้ ก็จะเป็ นศาสดาของเธอ
ท้งั หลาย”๑๑๓

๒.๒๐ เทคนิควธิ ีในการถ่ายทอดความรู้

การสอนหรือการถ่ายทอดความรู้ทุกเรื่อง ถึงแมผ้ ถู้ ่ายทอดจะมีความรู้ดีสักเพียงใดก็ตาม
หากขาดอบุ ายการสอนที่ดึงดูดใหผ้ เู้ รียนมีความสนใจได้ การสอนน้ันก็จะไม่ประสบความสาเร็จ
หรือภาษาปัจจุบนั เรียกว่าขาดเทคนิคในการสอน พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงใหเ้ ห็นถึงความเป็ นเลศิ ใน
การใชก้ ลวิธีหรือเทคนิคการสอนเป็นอยา่ งยงิ่ มี ๑๐ วิธี ดงั น้ี

(๑) การยกเร่ืองชาดกและนิทาน
การยกเรื่องมาเป็นตวั อยา่ งน้นั ช่วยให้เขา้ ใจเน้ือความไดง้ ่ายและชดั เจน ซ่ึงการสอนแบบน้ี จะเห็น
ได้ชัดเจนจากนิ ทานที่ปรากฏอยู่ท่ัวไป เฉพาะนิ ทานชาดกอย่างเดียวท่ีปรากฏในคัมภีร์
พระพทุ ธศาสนาก็มมี ากถงึ ๕๔๗ เร่ือง เช่น สอนเร่ืองความเสียหายอนั เกิดจากความไม่สามคั คี โดย
ยกตวั อย่างเร่ืองภิกษุชาวเมืองโกสมั พี๑๑๔ หรือสอนเร่ืองการอยอู่ ย่างสงบ ตอ้ งอาศยั การประกอบ
ความเพียรอยเู่ สมอ โดยการยกเอาพระมหากสั สปะเป็นตวั อยา่ ง โดยตรัสยกยอ่ งว่า “เป็นผมู้ ีสติ หมนั่
ประกอบความเพียร ไม่ติดในที่อยู่ ละความห่วงอาลยั ไป เหมือนหงส์ละเปื อกตมไป ฉะน้ัน”๑๑๕
ฉะน้นั การสอนแบบน้ีจึงถือวา่ เป็ นเร่ืองท่ีทาใหม้ องเห็นภาพคาสอนใหเ้ ป็นรูปธรรมมากยง่ิ ข้ึน โดย
ตวั ละครอื่น ๆ จะมีบทบาทเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งเป็ นจานวนมาก และการสอนแบบน้ี เป็นการนาตวั ละคร
มาใหต้ ีความธรรมะ ใหม้ ีความหลากหลายและเขา้ ใจง่ายมากยง่ิ ข้ึน

(๒) การเปรียบเทยี บด้วยข้ออุปมา
การยกอุปมาใหเ้ ห็น คือ การอธิบายเพื่อทาให้เร่ืองท่ีเขา้ ใจยากใหเ้ ขา้ ใจง่ายข้ึน โดยเฉพาะ
ในเรื่องที่เป็ นนามธรรม พระพุทธเจา้ ก็ทรงเปรียบเทียบให้เห็นเป็ นรูปธรรมโดยชดั เจน ตวั อย่างเช่น
มอี ยคู่ ร้ังหน่ึง ท่ีพระพทุ ธเจา้ ไดต้ รัสสอนแก่เมณฑกเศษฐีว่า “โทษของคนอื่นเห็นไดง้ ่าย ส่วนโทษ
ของตนเห็นไดย้ าก เพราะคนน้ัน ชอบโปรยโทษของผอู้ ื่น เหมือนคนโปรยแกลบ แต่กลบั ปกปิ ด
โทษของตนไว้ เหมือนพรานนกปกปิ ดร่างพรางกายตนไว”้ ๑๑๖ ตวั อยา่ งท่ี ๒ เช่น พระพุทธองคเ์ ม่ือ
ทรงประทบั อยใู่ นอาราม ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวตั ถีไดต้ รัสว่า “สมณพราหมณ์พวก

๑๑๓ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔
๑๑๔ ขุ.ขุ.(ไทย) ๒๕/๖/๒๕
๑๑๕ เร่ืองเดยี วกนั , ขอ้ ท่ี ๙๑ หนา้ ๕๗.
๑๑๖ อา้ งแลว้ , ขอ้ ท่ี ๒๕๒ หนา้ ๑๑๐.

๙๓

หน่ึงแลน่ เลยไป ไมบ่ รรลุธรรมที่เป็ นสาระ ชื่อว่าพอกพูนเครื่องพนั ธนาการใหม่ ๆ ยง่ิ ข้ึน ยดึ มนั่ ใน
ส่ิงที่ตนไดเ้ ห็นแลว้ และฟังอยา่ งน้ีจึงตกสู่หลุมถ่างเพลงิ ตลอดไป เหมือนแมลงตกสู่ประทีปน้ามนั
ฉะน้ัน”๑๑๗ คาอุปมาช่วยให้เร่ืองท่ีลึกซ้ึงเข้าใจยาก ปรากฏความเด่นชดั ออกมาและเข้าใจง่ายข้ึน
โดยเฉพาะมกั ใชใ้ นการอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรม เปรียบเทียบใหเ้ ห็นชดั ดว้ ยสิ่งที่เป็นรูปธรรม หรือ
เปรียบเร่ืองท่ีเป็ นรูปธรรมดว้ ยขอ้ อุปมาแบบนามธรรม ก็ช่วยใหค้ วามหมายมีความหนกั แน่นข้ึน
การใชอ้ ปุ มาน้ี เป็นวิธีประกอบการสอนท่ีพระองค์ ทรงใชเ้ ป็นนิตยใ์ นการแสดงธรรมแต่ละคร้ัง

(๓) การใช้อุปกรณ์เสริมในการสอน
การใชอ้ ุปกรณ์ในการสอนน้ัน เป็ นการใชส้ ิ่งต่าง ๆ ท่ีมีอยแู่ วดลอ้ มตวั เราเพ่ือ เป็ นสื่อใน
การสอน ซ่ึงก็จดั อยใู่ นลกั ษณะท่ีคลา้ ยการใชว้ ธิ ีการอุปมา วธิ ีการสอนแบบน้ี พระพุทธองค์จะทรง
ใชอ้ ุปกรณ์รอบตวั เป็ นส่ือในการแสดงธรรม ตวั อยา่ งเช่น ในคร้ังที่ประทบั อยทู่ ่ีสีสปาวนั ใกลเ้ มือง
โกสมั พี ก็ไดส้ อนภิกษุท้งั หลายโดยใชใ้ บประดู่เป็นอุปกรณ์ โดยพระองคไ์ ดท้ รงหยบิ ใบประดู่ลาย
มาเลก็ นอ้ ย แลว้ ตรัสถามภิกษุท้งั หลายว่า ใบไมใ้ นป่ ากบั ในพระหัตถข์ องพระองค์ ท่ีไหนมากกว่า
กนั ภิกษุท้งั หลายทูลว่า ในป่ ามากกว่ายง่ิ นัก แลว้ พระองค์ก็ตรัสแสดงการที่พระองคไ์ ม่ทรงสอน
ท้งั หมด เพราะคาสอนของพระองคน์ ้นั มีมากมายเหมือนไมป้ ระด่ลู ายในป่ า แต่ที่ตรัสเปรียบคาสอน
ที่จาเป็น วา่ เหมอื นใบไมใ้ นกามือ เพราะมีความจาเป็นต่อการทาท่ีสุดแห่งทุกขใ์ หส้ ้ินไป๑๑๘

(๔) การทาํ ตวั เป็ นตวั อย่าง (สาธิตให้ดู)
การสอนวิธีน้ี เป็นวิธีการสอนที่ดีที่สุดอยา่ งหน่ึงโดยเฉพาะในทางจริยธรรม คือการทาเป็ น
ตวั อย่าง ซ่ึงเป็ นการสอนแบบไม่ตอ้ งกล่าวสอน เป็ นทานองการสาธิตให้ดู ในวิธีการสอนน้ีเป็ น
ลกั ษณะของความเป็ นผนู้ าที่แทจ้ ริง เพื่อใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิตามเกิดความมนั่ ใจในผสู้ อน วิธีการที่ดีที่สุดคือ
การทาใหด้ ู พระพทุ ธเจา้ ถือว่าเป็นแบบอยา่ งในเร่ืองน้ี ตวั อยา่ งเช่น กรณีของภิกษุท่ีป่ วยจนตอ้ งนอน
จมกองมตู รและคูถของตนเอง ไม่มีภิกษุรูปใดปรารถนาที่จะเข้าไปดูแลพยาบาล พระพุทธเจ้าจึง
สอนภิกษุท้งั หลายที่อยใู่ นอาวาสน้นั ดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิดูแลพยาบาลภิกษุรูปน้นั ดว้ ยพระองคเ์ อง
หลงั จากที่ทรงดูแลภิกษุรูปที่อาพาธใหม้ อี าการดีข้ึนแลว้ ในตอนประชุมไดต้ รัสไว้เพื่อเป็นขอ้ คิดแก่
ภิกษุท้งั หลายวา่ “ภิกษุท้งั หลาย พวกเธอไม่มมี ารดา ไม่มบี ิดา ผใู้ ดเลา่ จะพยาบาลพวกเธอถา้ พวกเธอ
ไม่พยาบาลกนั เอง ใครเล่าจกั พยาบาล ผใู้ ดจะพงึ อปุ ัฏฐากเรา ขอใหผ้ นู้ ้นั พยาบาลภิกษุอาพาธเถดิ ”๑๑๙

๑๑๗ ข.ุ ข.ุ (ไทย) ๒๕/๕๙/๓๐๖
๑๑๘ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๑๐๑/๖๑๓
๑๑๙ วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๖๕/๒๓๙

๙๔

(๕) การเล่นภาษา (เล่นคาํ ศัพท์)
การเลน่ ภาษา หรือ การเล่นคาศพั ท์ โดยการใหน้ ิยามศพั ท์ในความหมายใหม่ หมายถึง เป็นเร่ืองของ
การใชค้ วามสามารถ ในการใชภ้ าษาผสมปฏิภาณ การสอนแบบน้ีแสดงให้เห็นถึง พระปรีชา
สามารถของพระพุทธเจา้ ที่ทรงรอบรู้ทุกดา้ น ในการที่พระองคท์ รงใชว้ ิธีการสอนแบบเล่นภาษา
เล่นคา และใช้คาในความหมายใหม่น้ี ตวั อย่างเช่น กรณีของเวรัญชพราหมณ์ ท่ีมากล่าวต่อว่า
พระองคต์ ่าง ๆ นานา แทนที่พระองค์จะปฏเิ สธคากลา่ วหาน้นั กลบั นาคากล่าวหามาอธิบายดว้ ยการ
ใชภ้ าษา การเลน่ คา โดยการนาเขา้ สู่หลกั การท่ีถกู ตอ้ งของพระองค์ เช่น ในขอ้ กล่าวหาที่พราหมณ์
ต่อว่าพระพทุ ธองคว์ ่า “ท่านพระโคดม เป็นคนไม่มสี มบตั ิ” และสมบตั ิในความหมายของพราหมณ์
เป็นการกลา่ วถึงสมบตั ิภายนอก อนั เป็ นเครื่องตอบสนองความตอ้ งการข้นั พ้นื ฐาน แต่พระพุทธเจา้
ไดค้ วามหมายใหม่วา่ การไมม่ ีสมบตั ิ ไดแ้ ก่ ก็การละส่ิงที่ทาใหช้ ีวิตติดอยกู่ บั วตั ถุน้ัน ๆ เพราะการ
ตดั รากเหงา้ แห่งอกุศลท้งั หลายได้ จึงชื่อว่าเป็ นคนไร้สมบตั ิ เพราะการละอกุศลท้งั หลายไดอ้ ย่าง
ส้ินเชิง๑๒๐

(๖) การใช้อุบายเลอื กคนให้เหมาะสม
การเลือกคนเป็ นอุบายสาคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่จะทาให้พระพุทธศาสนา
เจริญรุ่งเรืองไดเ้ ร็ว ซ่ึงวิธีน้ีจะเห็นไดจ้ ากหลงั การตรัสรู้ใหม่ๆ ของพระพุทธองค์ การสอนแต่ละคร้ัง
ในช่วงน้นั จะเน้นหนกั ไปในดา้ นผนู้ าในชุมชน ตวั อยา่ งที่เช่น ภายหลงั เมอื่ คร้ังตรัสรู้ พระองคท์ รง
เลือกไปโปรดปัญจวคั คียก์ ่อน เพราะทรงเห็นว่าพวกเขามีพ้ืนฐานความศรัทธาเป็ นทุนเดิมอย่แู ลว้
ง่ายต่อการทาความเขา้ ใจคาสอนของพระองค์ ขอ้ น้ีพิจารณาไดท้ ้งั ในแง่ซ่ึงปัญจวคั คียเ์ ป็นผใู้ ฝ่ ธรรม
มีอปุ นิสัยก่อนแลว้ ท้งั ในแง่ที่เป็นผเู้ คยอปุ การะกนั มา หรือในแง่ที่เป็ นการสร้างความมน่ั ใจ ทาใหผ้ ู้
เคยเก่ียวขอ้ งหมดความเคลือบ แคลงใจ ตดั ปัญหาในการที่ท่านเหล่าน้ี อาจไปสร้างความเคลือบ
แคลงใจแก่ผอู้ ่ืนต่อไปอีก ดว้ ย คร้ันเสร็จจากการสงั่ สอนปัญจวคั คียแ์ ลว้ ก็ไดโ้ ปรดยสกลุ บุตรพร้อม
ท้งั เศรษฐีผเู้ ป็ นบิดาและญาติมิตร และต่อมาก็ทรงสอนชายหนุ่มที่มีชื่อว่า ยสกุลบุตร ซ่ึงเป็ นบุตร
ของเศรษฐีและผนู้ าของชายหนุ่มในชุมชนน้ัน เพราะพระองคท์ รงเลง็ เห็นว่า ปัญจวคั คียแ์ ละยสกุล
บุตรน้ีจะเป็นสาวกที่จะช่วยในการเผยแผค่ าสอนไดม้ าก ๑๒๑
แมแ้ ต่ในการสอนผปู้ กครองแผน่ ดินของพระพุทธองค์ ก็ทรงใชว้ ธิ ีการน้ี เช่นเดียวกนั เพราะเม่ือทา
ใหผ้ นู้ า มคี วามเขา้ ใจและศรัทธาไดถ้ กู ตอ้ งแลว้ บุคคลผทู้ ่ีอยใู่ ตบ้ งั คบั บญั ชา ยอ่ มปฏิบตั ิตามผนู้ าไป
โดยปริ ยาย คือ ไม่ได้บังคับขืนใจให้ทา ท้ังน้ี จึงเป็ นการแสดงให้เห็นถึงหลักการเผยแผ่

๑๒๐ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒-๑๐/๒-๔
๑๒๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๒ - ๓๑/๑๘ - ๔๐

๙๕

พระพทุ ธศาสนาของพระองค์ ดว้ ยพระปรีชาญาณอยา่ งแทจ้ ริง เพราะพระองคท์ รงรู้จกั เลอื ก ที่จะหา
แกนนาคนสาคญั สาหรับเป็นนกั เผยแผ่ จากบุคคลระดบั ผนู้ าประเทศก่อน

(๗) การรู้จกั จงั หวะและโอกาส
การสอนแบบน้ี พระองค์จะทรงดาริถึงความเหมาะสม ความพร้อมของผูท้ ่ีจะรับฟัง
ตลอดจนถึงเหตุการณ์ที่เห็นว่าเหมาะสม ในการที่จะแสดงธรรมหรือบุญยตุ ิขอ้ ปฏิบตั ิต่าง ๆ ดงั จะ
เห็นไดจ้ ากการบัญญตั ิพระวินัยในแต่ละสิกขาบท พระองคท์ รงปรารภถึงมูลเหตุของความผดิ ที่
เกิดข้ึนก่อน แลว้ จึงตรัสสอนโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดน้ันในภายหลงั ต่อ จากน้นั ก็จะทรง
บญั ญตั ิส่ิงท่ีไมค่ วรปฏิบตั ิหรือท่ีควรปฏิบตั ิ ซ่ึงต่อมาเรียกว่าพระวินยั ตวั อยา่ งเช่น กรณีเร่ืองของการ
สังคายนา เม่ือคร้ังยงั พระชนมอ์ ยู่มีภิกษุหลายรูปเข้าไปทูลแสดงความประสงค์ให้พระองค์ทา
สงั คายนา แต่การเวลายงั ไม่สมควร จึงตรัสหา้ มเสีย แต่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดข้ึนต่อลทั ธิอื่น ๆ ที่มีการ
แตกแยกเพราะครูอาจารยส์ ิ้นไป และทรงเห็นว่า ถึงเวลาแลว้ โดยการอา้ งตวั อย่างจากลทั ธิต่าง ๆ
และเหตุปัจจยั ที่เหมาะสม จึงทรงมมี ติให้ พระภิกษุไดท้ าสงั คายนา โดยทรงช้ีใหเ้ ห็นถึงความสาคญั
ของพระธรรมวินยั และไดท้ รงมอบหมายใหภ้ ิกษุมีพระสารีบุตร เป็ นตน้ ไดท้ าการสงั คายนาใน
โอกาสท่ีเหมาะสม๑๒๒

(๘) ความยดื หย่นุ ในการใช้วชิ าการ
การแสดงถงึ การรู้จกั ผอ่ นหนกั ผอ่ นเบาของพระพุทธองค์ ท่ีใชส้ อนบุคคลระดบั ต่าง ๆ ถา้
ผสู้ อนสอนอยา่ งไม่มอี ตั ตา ลดละตณั หา มานะ ทิฏฐิเสียให้นอ้ ยท่ีสุด ก็จะ ทรงมุ่งไปยงั ผลสาเร็จใน
การเรียนรู้เป็ นสาคญั ตวั อยา่ งเช่น กรณีที่พระพุทธเจ้าตรัสกบั คนฝึ กมา้ ที่มีวิธีการฝึ กด้วยแบบวิธี
สุภาพ วิธีแบบรุนแรง ท้งั วิธีแบบสุภาพและรุนแรง จนกระทง่ั สุดทา้ ยเม่ือฝึ กไม่ไดก้ ็ฆ่าทิ้งเสีย ซ่ึง
พระองค์ก็ใชว้ ิธีการคนฝึ กมา้ กล่าวไวน้ ้ัน มาเป็ นอุปกรณ์การสอนของพระองค์ ดว้ ยพระดารัสว่า
“เรายอ่ มฝึกคนดว้ ยวิธีละมุนละไมบา้ ง ดว้ ยวิธีรุนแรงบา้ ง ดว้ ยวธิ ีท่ีท้งั ละมุนละไมและท้งั รุนแรงปน
กนั ไปบา้ ง และถา้ ฝึกไมไ่ ด้
กฆ็ า่ เสีย”๑๒๓

๑๒๒ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๙๖ - ๓๐๒/๒๔๗ - ๒๕๐
๑๒๓ องฺ. จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๑/๑๑๑/๑๗๐

๙๖

แต่ในกรณีในการฆ่าของพระองค์น้ัน หมายถึงการไม่เอาใจใส่ต่อบุคคลท่ีไมม่ ีความสนใจ
ในธรรม จึงฆ่าเสีย คือ ปล่อยใหห้ ล่นไปสู่หนทางท่ีไม่ดี เพราะสาเหตุจากการไม่สนใจของบุคคล
น้นั การทาในลกั ษณะดงั กลา่ ว ถอื ว่าเป็นการฆา่ ในอริยวนิ ยั

(๙) การตกั เตอื นลงโทษ และชมเชย
การลงโทษในที่น้ี ได้แก่ การลงโทษซ่ึงมีท้ังในทางธรรมและวินัย มีบทบัญญัติความ
ประพฤติอย่แู ลว้ การให้รางวลั คือ การแสดงธรรมไม่กระทบกระทัง่ ไม่รุกรานใคร แต่เป็ นการ
กลา่ วสรรเสริญในการกระทาที่ถกู ตอ้ ง และถือวา่ เป็นตวั อยา่ งแก่ผอู้ ่ืนดว้ ย ตวั อย่างเช่น กรณีการลง
พรหมทณั ฑต์ ่อพระฉนั นะ ซ่ึงมีความเยอ่ หยง่ิ ว่าตนเอง เป็นผอู้ ปุ ัฏฐากพระพุทธเจา้ ในสมยั ที่ยงั ทรง
พระเยาว์ จนกระทั่งออกผนวช จึงเป็ นเหตุให้พระฉันนะ ไม่ยอมปฏิบตั ิตามคาส่ังสอนของครู
อาจารย์ ดว้ ยเหตุน้ี เพ่ือใหท้ ่านไดส้ าเหนียกในการกระทาของตน พระพุทธเจา้ จึงตรัสให้ลงพรหม
ทณั ฑ์ ดว้ ยการไม่ให้ผใู้ ดพูดคุย หรือกล่าวตกั เตือนอะไรเลยแก่ท่าน และได้ตรัสแก่พระอานนท์
ก่อนที่จะเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพานวา่ “อานนท์ เม่ือเราล่วงไป สงฆพ์ ึงลงพรหมทณั ฑ์แก่ภิกษุฉนั นะ
ดว้ ยการที่ว่า แมภ้ ิกษุฉันนะ จะพึงพูดไดต้ ามต้องการ แต่ภิกษุไม่พึงว่ากล่าวตักเตือนพร่าสอน
เธอ”๑๒๔
ส่วนตวั อยา่ งการใหร้ างวลั เช่น การให้รางวลั ของพระพุทธองค์น้นั ที่ปรากฏเด่นชดั น้ัน ก็
คือ การตรัสยกยอ่ งในความเป็นเลิศในดา้ นต่าง ๆ ท่ีเรียกว่า“เอตทคั คะ” เฉพาะ ทาง (คือ เป็ นผเู้ ลิศ
เฉพาะทาง) เช่น การยกยอ่ งพระสารีบุตรวา่ มีความเป็นเลศิ ในดา้ นผมู้ ีปัญญามาก มคี วามเขา้ ใจอรรถ
แห่งธรรม ที่ระเอียดลึกซ้ึงสุขมุ ไดด้ ีเยย่ี ม โดยเปรียบพระสารีบุตรว่า เหมือนเสนาบดี ท่ีมีความรอบรู้
ไดอ้ ยา่ งสูงสุด…๑๒๕

๑๒๔ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๕
๑๒๕ ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๘๘/๒๗๕

๙๗

(๑๐) การแก้ปัญหาท่ีเผชิญเฉพาะหน้า

ปัญหาเฉพาะหน้าท่ีเกิดข้ึนต่างคร้ังต่างวาระกัน มีลกั ษณะแตกต่างกนั ไปไม่มีท่ีส้ินสุด
การแกป้ ัญหาเฉพาะหน้า ตอ้ งอาศยั ปฏิญาณ คือ ความสามารถในการประยุกต์หลกั วิธีการและ
เทคนิคต่าง ๆ เพื่อนามาใชใ้ หเ้ หมาะสม เป็ นเร่ืองเฉพาะคราวไป ในการประกาศพระศาสนาของ
พระพุทธเจา้ ตอ้ งประสบกบั ปัญหาหลายรูปแบบ ซ่ึงทรงอาศยั ปฏิภาณในการแกไ้ ขอย่ตู ลอดเวลา
เช่น คร้ังหน่ึงมีครอบครัวพราหมณ์ซ่ึงอาศยั ในเมืองราชคฤห์ สามีนับถือศาสนาพราหมณ์ ส่วน
ภรรยานบั ถือพระพทุ ธศาสนา และเธอก็มกั จะ สรรเสริญพระพทุ ธเจา้ อย่เู สมอๆ จนกระทงั่ สามีไม่
พอใจ จึงคอยพูดว่าร้ายพระพุทธเจา้ ต่าง ๆนานา อยมู่ าในวนั หน่ึงภรรยาทาอาหารหล่น แลว้ เปล่ง
อุทาน ดว้ ยคาพูดท่ีแสดงออกถงึ ความเคารพ ต่อพระพุทธเจา้ สามีจึงเกิดความไม่พอใจเป็ นอยา่ งยงิ่
จึงไปวดั เชตวนั เพ่ือสอบถามหวงั จะเอาชนะ ดว้ ยการถามใหพ้ ระพุทธเจา้ จนปัญญา โดยถามปัญหา
ว่า

“บุคคลกาจดั อะไรได้ จึงมคี วามสุข
กาจดั อะไรได้ จึงไมเ่ ศร้าโศก ขา้ แต่พระโคดม
พระองคท์ รงพอพระทยั การกาจดั ธรรมอยา่ งหน่ึง คือ อะไร”
พระพุทธเจา้ ทรงใชก้ ลวธิ ีแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ ดว้ ยการตรัสวา่ “บุคคลกาจดั ความโกรธ
ไดจ้ ึงอยเู่ ป็นสุข กาจดั ความโกรธไดจ้ ึงไม่เศร้าโศก พราหมณ์ พระอริยะท้งั หลายสรรเสริญการกาจดั
ความโกรธ ซ่ึงมีรากเหงา้ เป็ นพิษ มียอดหวาน เพราะบุคคลกาจดั ความโกรธน้ันไดแ้ ลว้ จึงไม่เศร้า
โศก” ภายหลงั ที่พระพทุ ธวิสชั นาจบลง เขากเ็ กิดความเล่ือมใส และยอมนบั ถอื เป็นอุบาสก ถงึ พระ
รัตนตรัย ดว้ ยความเคารพศรัทธาดว้ ยความพอใจยงิ่ นกั ๑๒๖

สรุปท้ายบท

พทุ ธวิธีในการสอน หมายถึง วธิ ีการที่พระพุทธเจา้ ทรงสอนพุทธบริษทั คือ ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อบุ าสิกา หรือบุคคลทวั่ ไปท้งั เทวดาและมนุษย์ ตามพระนามที่ไดร้ ับยกยอ่ งว่า “สตฺถา เทว
มนุสฺสาน ทรงเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย พระองคท์ รงววิ ิธีสอนที่เหมาะสมแก่ผฟู้ ัง
หรือผสู้ นทนาดว้ ย เมือ่ จบการสอนหรือการสนทนาจึงมกั จะไดร้ ับผลสมความมงุ่ หมาย คือ ผฟู้ ังได้
บรรลมุ รรคผลบา้ ง แสดงตนถึงพระรัตนตรัยเป็ นพุทธมามกะบา้ ง สุดแลว้ แต่บุญบารมหี รืออนิ ทรีย์
ของแต่ละคนซ่ึงแก่ออ่ นไมเ่ ท่ากนั

๑๒๖ สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๗/๒๖๔

๙๘

รูปแบบและการเผยแผ่พุทธธรรมขององคส์ มเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจา้ เม่ือจาแนกแลว้
สามารถแบ่งออกเป็น ๔ ลกั ษณะวธิ ีดว้ ยกนั คือ

(๑) วธิ ีการยอมรับคาสอนของนักปราชญอ์ นื่ คือ ยอมรับคาสอนของนกั ปราชญต์ ่าง ๆ ที่
พระองคเ์ ห็นวา่ ดีอยแู่ ลว้ ท่ีมมี าก่อนหนา้ น้ีหรือร่วมสมยั กบั พระองค์ ซ่ึงจะสามารถนามาประยกุ ตใ์ ช้
กบั คาสอนของพระองคไ์ ด้ และคาสอนน้ันจะตอ้ งเป็นเรื่องจริงมีประโยชน์เช่นพระองคท์ รงนาเอา
ฌาน สมบตั ิ มาสอนเกี่ยงกบั การทาจิตให้เป็ นสมาธิ หรือสอนผปู้ ระกอบความทางจิตให้บาเพ็ญ
ฌาน โดยท่ีฌานสมาบตั ิ เป็นการพาเพญ็ ของนกั พรตจาพวกฤาษี และคร้ังท่ีพระองคท์ รงผนวชใหม่
ๆ ก็ไดเ้ ขา้ ไปศึกษาอยทู่ ่ีสานกั ของอาฬารดาบสและอุทกดาบสซ่ึงเป็ นชฎิลจาพวกฤาษี ไดส้ อนให้
พระองคท์ าฌาน สมาบตั ิ จนไดส้ าเร็จอรูปฌาน หลงั จากพระองคต์ รัสรู้แลว้ พระองค์ ก็ไดน้ าวิธีการ
น้นั มาปฏิบตั ิและเผยแพร่สืบต่อมา

(๒) วิธีการปฏิบตั ิ คือ วธิ ีการเปลี่ยนแปลงท้งั หมด หมายถึงคาสอนของเจา้ ลทั ธิใดที่สอน
กนั มาผิดๆ ทาใหค้ นหลงงมงายไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ไม่เป็นส่ิงที่จะนาคนใหพ้ น้ ไปจากทุกขไ์ ด้
พระองคก์ ็จะทรงสอนเปลี่ยนแปลงให้ตรงกนั ขา้ มกบั คาสอนของเจา้ ลทั ธิเห่ลาน้ัน เช่น บางลทั ธิ
สอนใหค้ นหมกมุ่นอย่ใู นกามคุณท่ีเรียกวา่ “กามสุขลั ลิกานุโยค” ถือว่าการแสวงหาความสุขจาก
กามคุณเป็ นหนทางแห่งความสุข พระองคต์ รัสช้ีแจงตรงกนั ขา้ มว่า “การหลีกออกจากกามเสียได้
เป็นสุขอยา่ งยง่ิ ๆ

(๓) วิธีการปฏริ ูป คือ การนาเอาความเชื่อเดิมของประชาชนท่ีดีอยแู่ ลว้ แต่ยงั มีจุดบกพร่อง
อยบู่ า้ งมาปรับปรุงเปล่ียนแปลงแกไ้ ขใหม่ใหด้ ีข้ึนกว่าเดิม เพอื่ ใหผ้ ลในทางปฏิบตั ิสมบรู ณ์ ในขอ้ น้ี
พระองคไ์ ดท้ รงปรับปรุงแกไ้ ขหลกั การเดิม และวธิ ีการของเหลา่ นกั บวชท่ีมีอยกู่ ่อนแลว้ ซ่ึงเป็นขอ้
ปฏิบตั ิท่ีทากนั มาก่อนหนา้ น้ี ทรงนามาประยกุ ตแ์ กไ้ ขเพิม่ เติมอีกคร้ัง เช่น เรื่องการจาพรรษา และ
วนั อุโบสถ เป็ นตน้ ซ่ึงเป็ นวนั ที่ประชาชนยดึ ถือปฏิบตั ิกนั มาก่อนเป็ นเวลานานแลว้ เมื่อพระองค์
ทรงเห็นว่าเป็ นส่ิงท่ีดี จึงได้นามาปรับปรุงใชใ้ หม่ และทรงปรับปรุงแกไ้ ขคาเรียกนักบวชใน
พระพุทธศาสนาว่า ภิกษุบา้ ง สมณะบา้ ง บรรพชิตบา้ ง เพราะการเผยแผ่พระศาสนาจาตอ้ งอาศยั
ถอ้ ยคาที่เขาใชพ้ ดู กนั ในสมยั น้นั

(๔) วธิ ีการบญั ญตั ิหลกั การข้ึนใหม่ คือ วิธีการน้ีเป็นส่ิงท่ีใคร ๆ ยงั ไมไ่ ดน้ ามาสง่ั สอนกนั
ในสมยั น้นั เช่น หลกั อริยสจั ๔ ปฏิจจสมุปบาท อนตั ตา และนิพพาน

จุดมุ่งหมายในการสอนของพระพุทธเจา้ ทรงมุ่งเน้นไปท่ีประโยชน์ของมหาชนเป็ นที่ต้งั
การประกาศพระพุทธศาสนาจึงยดึ หลกั ประโยชน์ของมหาชนเป็นที่ต้งั ซ่ึงเป็นหลกั การสาคญั ของ
การสื่อธรรม ในพระพทุ ธศาสนา โดยเป็นหลกั และนโยบาย ในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาของเหล่า

๙๙

สาวก ท้งั น้ี กเ็ พ่ือประโยชน์สุขแก่มนุษย์ โดยหลกั การก็คือ ให้เกิดประโยชนส์ ุขตามพุทธประสงค์
๓ ประการ คือ

๑) ทิฏฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ ประโยชนช์ าติน้ี
๒) สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ ประโยชนช์ าติหนา้
๓) ปรมตั ถประโยชน์ ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่
พทุ ธพจน์น้ีเป็นเครื่องช้ีชดั ถงึ บทบาทสาคญั ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา เพราะพระพทุ ธ
องคป์ ระสงคใ์ ห้เกิดเป็ นประโยชน์แก่มหาชน เพราะฉะน้นั ประโยชน์ ๓ จึงเป็นความชดั เจนในคา
สอนพระพุทธศาสนามุ่งหมายความสุขดว้ ยขอ้ ปฏิบตั ิใหเ้ กิดสุข มิใช่บรรลุดว้ ยความทุกข์ หรือทุก
คนเป็ นอิสระสมบูรณ์จากกิเลสท้งั ปวง จึงจะถือว่าเป็ นความสุขที่เป็ นจุดหมายปลายทางตาม
จุดมุ่งหมายในพระพุทธศาสนา ดังน้ัน พระพุทธองค์จึงทรงมีพุทธประสงค์ในการสอนเพ่ือให้
มหาชนเกิดความรู้ ความเห็น ๓ ประการ คือ
๑. อภิญญายธรรมเทศนา เพือ่ ใหผ้ ฟู้ ังรู้แจง้ เห็นจริงในส่ิงท่ีควรรู้ควรเห็น
๒. สนิทานธรรมเทศนา เพือ่ ใหผ้ ฟู้ ังตรองตามแลว้ เห็นจริงได้ ทรงแสดงธรรมอยา่ งมีเหตุมี
ผล ท่ีผฟู้ ังพอตรองตามใหเ้ ห็นดว้ ยตนเองได้
๓. สปั ปาฏหิ าริยธรรมเทศนา เพือ่ ใหผ้ ฟู้ ังไดร้ ับผลแห่งการปฏบิ ตั ิตามสมควร ทรงแสดง
ธรรมมคี ุณเป็นอศั จรรย์ สามารถยงั ผปู้ ฏิบตั ิตามใหไ้ ดร้ ับผลตามสมควรแก่กาลงั แห่งการปฏบิ ตั ิของ
ตน

๑๐๐

กิจกรรมท้ายบท

๑. พระพุทธเจา้ ทรงใชว้ ิธีการสอนอยา่ งไร ในคร้ังพทุ ธกาล
๒. การเผยแผธ่ รรมของพระพทุ ธเจา้ แบ่งออกเป็นกี่ลกั ษณะ อะไรบา้ ง
๓. วิธีการส่ือสาร (การสอน) ของพระพทุ ธเจา้ มกี ี่อยา่ ง อะไรบา้ ง
๔. หลกั การสอนโดยทวั่ ไปมีกีหลกั การ อะไรบา้ ง
๕. การสอนของพระพทุ ธเจา้ มุง่ ประโยชนอ์ ยา่ งไร
๖. อุดมการณ์ในการสอนของพระพุทธเจา้ มกี ่ีอยา่ ง อะไรบา้ ง
๗. ลีลาการสอนของพระพุทธเจา้ มีกี่รูปแบบ อะไรบา้ ง
๘. คุณสมบตั ิของผสู้ อนในฐานะเป็นกลั ยาณมิตรมกี ี่อยา่ ง อะไรบา้ ง
๙. แผนการสอนของพระพทุ ธเจา้ มกี ่ีอยา่ ง อะไรบา้ ง
๑๐.กลวธิ ีและอบุ ายประกอบการสอนของพระพทุ ธเจา้ มกี ่ีอยา่ ง อะไรบา้ ง
๑๑.การตรัสสอนเวไนยสตั วข์ องพระพุทธองคม์ ีกี่ประการ อะไรบา้ ง
๑๒.การแสดงธรรมหรือประกาศเผยแผพ่ ระศาสนาของพระพุทธเจา้ ทรงยดึ หลกั การ
อยา่ งไร
๑๓.พระพทุ ธเจา้ ทรงใชภ้ าษาในการเผยแผ(่ ส่ือสาร)ธรรม อยา่ งไร
๑๔.เวลาเป็นส่ิงมคี ่า พระพุทธองคท์ รงมีวธิ ีบริหารเวลาในการเผยแผพ่ ุทธธรรม อยา่ งไร

------------------------------

บทที่ ๓

รูปแบบและวิธีการสอนของพระพทุ ธสาวกในพระไตรปิ ฎก

๓.๑ วธิ ีการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาของพระสาวก

การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาเป็นภาระหรือหน้าท่ีหน่ึงท่ีพระสงฆจ์ ะตอ้ งทา แมโ้ ดยความจริง
แลว้ การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา จะตอ้ งช่วยกนั ของพทุ ธบริษทั ท้งั สี่ แต่โดยความเป็ นจริงภาระหนกั
ก็ยงั ตกเป็ นหน้าท่ีของพระสงฆ์ ดว้ ยเหตุผลว่า พระสงฆม์ ีเวลาศึกษาธรรมวินัยมากกว่าชาวบา้ น
ประกอบกับการเผยแผ่ธรรม ได้ถูกมอบหมายจากพระพุทธองค์ต้ังแต่เร่ิมแรกของการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา ประชาชนทว่ั ไป จึงมองว่า พระสงฆเ์ ป็ นธรรมทายาทของพระพุทธเจา้ บทบาท
หน้าท่ีของพระสงฆต์ ามพระไตรปิ ฎกไดแ้ ก่การเป็นผปู้ ฏิบตั ิธรรมตามคาสง่ั สอนของพระพุทธเจา้
เพ่ือให้บรรลุพน้ ทุกข์และส่ังสอนคนทว่ั ไปให้พน้ ทุกข์ตามหน้าท่ีการเทศนาสงั่ สอนธรรมอนั เป็ น

การเผยแผ่ และสื บทอดต่อพระศาสนา เป็ นหน้าที่โดยตรงของพระสงฆ ์๑ การเผยแผ่

พระพุทธศาสนาไดแ้ พร่หลายไปทั่วทุกสารทิศ ท้งั จานวนผเู้ ผยแผ่และจานวนของผูท้ ่ีนับถือ
พระพุทธศาสนาก็มจี านวนมากยงิ่ ข้ึน ตอ้ งยอมรับวา่ องคก์ รท่ีสาคญั คือ องคก์ รผเู้ ผยแผ่ น้นั คือ พระ
สาวกทาใหก้ องทพั ธรรมซ่ึงมีพระพทุ ธเจา้ เป็นพระธรรมราชา มีพระสารีบุตรเป็นธรรมเสนาบดี
มพี ระมหาโมคลั ลานะเป็นธรรมเสนาซา้ ย มีบทบาทสาคญั ยิง่ ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ในงาน
เขียนบทน้ีจะเลือกนาเสนอพระสาวกท่ีท่านได้ทางานในเร่ืองของการเผยแผท่ ี่มีบทบาทสาคญั ๆ
เฉพาะบางรูปเท่าน้ันมาเป็นตวั อยา่ ง เพื่อใหม้ องเห็นภาพรวมในบทบาทและรูปแบบวธิ ีการของการ
เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา

๓.๒ บทบาทการเผยแผ่ของพระสาวกในสมยั พทุ ธกาล

พระพุทธเจา้ ทรงมีพระสงฆส์ าวกเป็นกาลงั หลกั ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา จึงนบั ว่าเป็ น
ผูม้ ีบทบาทสาคัญ เพราะเป็ นส่วนหน่ึงของพระรัตนตรัย หน่ึงในพุทธบริ ษัท ซ่ึงถือว่า เป็ น
องคป์ ระกอบหลกั ของพระพทุ ธศาสนา ในสมยั พทุ ธกาลน้นั พระสงฆส์ าวกส่วนใหญ่เป็ นผปู้ ฏิบตั ิดี
ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร และยึดมน่ั ในคุณธรรม จึงสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาไดอ้ ย่างมี
ประสิทธิภาพ สามารถเป็ นกาลงั สาคัญในการประกาศพระพุทธศาสนาทาให้พระพุทธศาสนา

๑ ภทราพร สรกาญ , “ความสาคญั ของพระสงฆต่อชาวไทย”, องคก์ ารพุทธศาสนิกสมั พนั ธ์แห่งโลก
(พสล.) ปี ที่ ๒๙ ฉบบั ท่ี ๑๙๖ (กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๓๘), หนา้ ๖๐-๖๑.

๑๐๒

แพร่หลายออกไปทั่วชมพูทวีปและเจริญรุ่งเรืองมน่ั คง สืบเน่ืองจนถึงยุคสมยั ปัจจุบนั มีตัวอย่าง
ประกอบ ดงั น้ี

๑) การปฏิบตั ติ นให้เป็ นทน่ี ่าเลื่อมใส

จรรยามารยาทและการวางตวั ดีถือไดว้ า่ เป็ นจุดแรกที่เรียกความนิยมชมชอบจากผฟู้ ังต้งั แต่
แรกเห็นช่วยสร้างความศรัทธามากข้ึน คุณลกั ษณะพิเศษจึงเป็ นองคป์ ระกอบสาคญั ประการหน่ึง
ของผเู้ ผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา อนั หมายถึง อปุ นิสยั การศึกษา การแต่งกาย กิริยามารยาท การกา้ วเดิน
การพูดจา การสร้างศรัทธา การสารวมให้ดูดี การมีคุณลกั ษณะบุคลิกภาพที่ดี จึงจะมีผอู้ ื่นยอมรับ
การยอมรับเป็นส่ิงสาคญั ที่จะช่วยใหก้ ารเผยแผพ่ ุทธธรรมประสบความสาเร็จ

พระอสั สชิเถระ ท่านเป็ นแบบอยา่ งและเป็นพระสาวกท่านหน่ึงที่ผคู้ นเห็นแลว้ เกิดความรัก
ใคร่พอใจ เล่ือมใสศรัทธา มเี รื่องเล่าว่า พระอสั สชิเถระ ท่านเป็นพระเถระท่ีเรียบร้อย มีกิริยาท่ีกา้ ว
ไป ถอยกลบั แลดู เหลียวดู คูเ้ ขา้ เหยียดออก น่าเล่ือมใส มีจกั ษุทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ
เวลาเดินแต่ละยา่ งกา้ วดูเรียบร้อย อปุ ติสสะ คือ พระสารีบุตรเห็นกิริยาอาการของพระอสั สชิเท่าน้นั
กเ็ กิดความศรัทธา อยากเขา้ ไปหาร่วมสนทนาดว้ ย๒

พระมหากสั สปเถระ ท่านเป็ นแบบอย่างของผสู้ ันโดษที่ก่อให้เกิดความเล่ือมใสศรัทธา
ท่านมีความเป็ นอยอู่ ย่างเรียบง่าย อนั เป็ นธรรมเนียมของนกั บวชที่ควรใช้เป็ นแบบอย่างของการ
ปฏิบตั ิ ดา้ นน้ี ความเป็ นผคู้ งแก่เรียน ท่านพระมหากสั สปเถระ แมบ้ วชเมื่ออายมุ าก ท่านก็ไม่ทอด
ธุระในพระศาสนา มุ่งประพฤติปฏบิ ตั ิจนเกิดความสมบูรณ์ในไตรสิกขา ไปถึงที่จุดหมาย คือ พระ
อรหตั ผล เป็ นผแู้ ตกฉานในองคธ์ รรม อบรมสัง่ สอนภิกษุท้งั ทางตรงและทางออ้ ม จนเป็ นท่ีเคารพ
ของหมภู่ ิกษุ ท่านพระมหากสั สปเถระ ไดเ้ ป็นแบบอยา่ งของผปู้ ระพฤติดีปฏิบตั ิชอบจนเป็นท่ีเคารพ
ยา่ เกรงของเพือ่ นภิกษุ ถือเป็นการสง่ั สอนดว้ ยการปฏบิ ตั ิ ซ่ึงมผี ลมากกว่าการพดู อบรมสง่ั สอน พระ
มหากสั สปเถระ ไดร้ ับมอบหมายให้เป็ นประธานทาสังคายนาพระธรรมวินัยคร้ังแรกในปี พุทธ
ปรินิพพาน อนั เป็นการรักษาหลกั การและขอ้ ปฏิบตั ิท่ีถูกตอ้ ง ใชเ้ ป็ นแนวทางการศึกษาและปฏิบตั ิ
สืบมา ซ่ึงเป็นตน้ แบบของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทสืบมาจนถึงปัจจุบนั ๓

๒ วิ.ม. (บาลี) ๔/๖๐/๕๑-๕๒, วิ.ม. (ไทย) ๔/๖๐/๗๒.
๓ พระมหาจรูญ ปญฺญาวโร (อินทร์ยงค์), ‚การศึกษาบทบาทของพระมหากัสสปเถระในการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา‛, วิทยานิพนธพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั , ๒๕๔๐).

๑๐๓

๒) การแสดงธรรม

การแสดงธรรมเป็นการเผยแผพ่ ุทธธรรมที่ผลประการหน่ึงที่ทาใหพ้ ระพทุ ธศาสนาไดเ้ จริญ
มน่ั คงมาจนถึงปัจจุบนั พระพทุ ธเจา้ ไดส้ ่งสาวกไปประกาศพระพทุ ธศาสนาในดินแดนต่าง ๆ จนมี
สาวกที่มคี วามสาคญั ที่ใชก้ ารแสดงธรรมจนเป็นไดร้ ับการยอมรับจากพระพทุ ธเจา้ ดงั น้ี

พระสารีบุตรเถระ ท่านเป็ นพระเถระที่เป็ นแบบอย่างในดา้ นการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา
ท่านมีวิธีเผยแผใ่ นลกั ษณะใหค้ าแนะนา ปรึกษา สนทนา ตอบปัญหาขอ้ ขอ้ งใจ และการแสดงธรรม
เมอื่ ไดฟ้ ังจากพระบรมศาสดาแลว้ นาไปถ่ายทอดแก่ภิกษุ ภิกษุณี อบุ าสกอุบาสิกา และบุคคลทวั่ ไป
ใหเ้ ขา้ ใจหลกั ธรรม อนั ลกึ ซ่ึงดว้ ยวิธีการบรรยาย อธิบาย ขยายความ เปรียบเทียบ และตอบปัญหา
ธรรม เป็ นตน้ จนเป็นท่ีไวว้ างพระทยั ของพระพุทธเจา้ ทาใหบ้ ุคคลทวั่ ไปศรัทธาเล่ือมใสแลว้ หนั มา
นบั ถือพระพุทธศาสนากนั อยา่ งแพร่หลาย มีบางส่วนเท่าน้ันที่มิไดห้ ันมานบั ถือพระพุทธศาสนา
เพราะยดึ ติดอยกู่ บั ลทั ธิเดิมอย่างแรงกลา้ ถงึ กระน้ันกต็ าม ก็ไดน้ บั ถือในตวั ท่านอยกู่ ็มซี ่ึงเท่ากบั ได้
สร้างความเขา้ ใจอนั ดีระหวา่ งกลุ่มความเช่ือต่าง ๆ นบั เป็นตวั อยา่ งการประกอบศาสนกิจดาเนินชีวติ
และเผยแผ่พระพุทธศาสนาในปัจจุบนั ไดเ้ ป็ นอย่างดี บทบาทในการรักษาพระสัทธรรมใหค้ งอยู่
ท่านกระทาโดยการศึกษาและลงมือปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมท่ีพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงแสดงไวอ้ ยา่ ง
จริงจงั ท่านเคยกราบทูลเสนอใหพ้ ระผมู้ ีพระภาคเจา้ สงั คายนาพระธรรม แต่ในขณะน้ัน พระพุทธ
องคต์ รัสว่า ยงั ไม่ถึงเวลา ท่านจึงไดจ้ าแนกธรรม โดยแบ่งไวเ้ ป็ นหมวดหมู่ เพ่ือความสะดวกต่อ
การศกึ ษา ในเวลาต่อมายงั ใชห้ ลกั ธรรมที่ท่านแสดงไว้ เช่นในสงั คีติสูตร เป็ นแนวทาง ในการทา
สงั คายนาคร้ังแรกหลงั จากพระพทุ ธเจา้ ปรินิพพานแลว้ ๔

พระอานนทเ์ ถระ เป็นพระเถระท่านหน่ึงท่ีมีผลงานโดดเด่นและมคี วามสาคญั ต่อการเผยแผ่
พระพุทธศาสนาเป็ นอย่างยิ่ง คือ ท่านมีบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในลกั ษณะให้
คาแนะนา ให้คาปรึกษา สนทนา ตอบปัญหา ขอ้ ขอ้ งใจ และการแสดงธรรม โดยท่านไดร้ ับฟังจาก
พระพุทธเจา้ ศึกษาแลว้ นาไปถา่ ยทอดหรือเผยแผ่แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และบุคคลทว่ั ไป
ดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ เช่น การบรรยาย การอธิบาย ขยายขอ้ ความ เปรียบเทียบ และถามตอบ เป็นตน้ จน
เป็ นท่ีศรัทธาเลื่อมใส และยอมรับ ในการรักษาพระสัทธรรมคาสั่งสอนของพระพุทธองคใ์ หค้ งอยู่
โดยการศึกษาและทรงจาในเถรคาถา ได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ จนไดร้ ับการคดั เลือกใหเ้ ขา้ ร่วม
ปฐมสังคายนา ในฐานะผูว้ ิสัชนาพระธรรม นาเสนอพระโอวาทและพระธรรมเทศนาของ
พระพุทธเจา้ ต่อท่ีประชุมสงฆใ์ หจ้ ดั หมวดหมู่ จนกลายมาเป็ นพระสูตร พระอภิธรรม และท่านยงั ได้

๔ พระกิตติศักด์ิ ยโสธโร (แก้วเหลา), “การศึกษาบทบาทของพระสารีบุตรเถระในการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั , ๒๕๓๙).

๑๐๔

สร้างทายาทสืบต่อในคมั ภีร์สงั ยตุ ตนิกาย นิทานวรรค และอรรถกถา ซ่ึงภิกษุผเู้ ป็นศิษยข์ องท่านได้
มีบทบาทสาคญั ในการสงั คายนา คร้ังท่ี ๒๕

พระมหากจั จายนะเถระ ท่านมีผลงานที่สาคญั คือ ท่านเป็นผทู้ าหนา้ ท่ีแทนพระพุทธเจา้ ใน
การประกาศพระศาสนา ในด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านใช้วิธีการสอน ๔ อย่าง คือ
สนั ทสั สนา สมาทปนา สมุตเตชนา และสัมปหงั สนา พร้อมท้งั ใชร้ ูปแบบการสอนอกี ๔ อยา่ ง คือ
การสนทนาธรรม การบรรยาย การตอบปัญหา และการวางกฎระเบียบ โดยการอธิบายพุทธพจน์
อยา่ งละเอียดลึกซ้ึงแก่พุทธบริษทั และบุคคลทวั่ ไปใหเ้ ขา้ ใจในหลกั ธรรมอยา่ งแจ่มแจง้ เหมอื นกบั
พระพุทธเจา้ ทรงแสดงเองดว้ ยการบรรยายอธิบายเน้ือความแห่งธรรม และตอบปัญหาธรรม เป็นตน้
จนพระพุทธเจา้ ทรงใหไ้ ปประกาศพระพทุ ธศาสนา ณ แควน้ อวนั ตี ทาให้เกิดมผี ศู้ รัทธาเล่ือมใสเป็ น
จานวนมาก และมีผหู้ ันมา นบั ถอื พระพุทธศาสนาเป็ นอุบาสกจานวนมาก และท่านยงั ไดป้ ระพนั ธ์
คมั ภีร์ ๖ เล่ม คือ กจั จายนไวยากรณ์ จูฬนิรุตติ มหานิรุตติ เนตติ เปฏโฏปเทส และวณั ณนีติ๖

พระโสณะกุฏิกัณณะเถระ ท่านมีผลงานที่สาคญั ก็คือเร่ืองท่ีท่านสวดอฏั ฐกวรรคถวาย
พระพทุ ธเจา้ ถอื ว่าเป็นผลงานท่ีสาคญั เพราะ พระสารีบุตรไดน้ ามาอธิบาย พระสงั คีติกาจารยจ์ ดั เป็ น
พระไตรปิ ฎกเล่มท่ี ๒๙ การแสดงธรรมแก่อบุ าสกอุบาสิกาของพระโสณะกฏุ ิกณั ณะ ทาให้อบุ าสก
อบุ าสิกามีความเขา้ ใจในหลกั ธรรมคาสอนในพระพุทธศาสนาไดอ้ ย่างไม่มีขอ้ สงสัยในหลกั ธรรม
และนาไปปฏิบตั ิในชีวิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งดียง่ิ เช่น แสดงธรรมแก่มารดาของท่านและบริวารท่าน
แสดงธรรมไดอ้ ยา่ งไพเราะ เน่ืองจากขณะที่ฟังธรรมมโี จรเขา้ ปลน้ บา้ นยงั บอกใหโ้ จรเอาสมบตั ิไป
แต่ อย่ามารบกวนเวลาฟั งธรรม ทาให้มารดาของท่านและบริ วารท่ี มีความเลื่อมใสใน
พระพุทธศาสนาอยแู่ ลว้ มีความเลื่อมใสมากย่ิงข้ึนไป พระโสณะกุฏิกณั ณะในขณะที่ท่านแสดง
ธรรมโปรดมารดาและบริวาร มิไดถ้ กู ขดั ขวางและใหน้ าสมบตั ิท่ีมีอย่ไู ปแต่อยา่ มาขดั ขวางเวลาใน
การฟังธรรม ซ่ึงในเหตุการณ์น้ันทาให้หัวหน้าโจรมีความสานึกผิดกับมารดาของท่าน และได้
อุปสมบทในพระพุทธศาสนาโดยท่านพระโสณะกุฏิกณั ณะเป็ นพระอุปัชฌาย์ และไดแ้ นะนา
หลกั การปฏิบตั ิในพระพุทธศาสนาท่ีไดร้ ับการถา่ ยทอดมาจากพระมหากจั จายนเถระ การศกึ ษาและ
ทรงจาในเถรคาถา ได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ จนไดร้ ับการคดั เลอื กใหเ้ ขา้ ร่วมปฐมสงั คายนา ใน

๕ พระมหาจิตติภัทร อจลธมโม (จันทร์คุ้ม), ‚การศึกษาบทบาทของพระอานนทในการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา‛, วิทยานิพนธพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั , ๒๕๓๗).

๖ พระมหาสนธ์ สนฺติกโร(เกษมญาติ), การศึกษาบทบาทของพระมหากัจจายนเถระในการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา‛, วิทยานิพนธพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั , ๒๕๔๔).

๑๐๕

ฐานะผวู้ ิสัชนาพระธรรม นาเสนอพระโอวาทและพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจา้ ต่อท่ีประชุม
สงฆ์ให้จดั หมวดหมู่ จนกลายมาเป็ นพระสูตร พระอภิธรรม และท่านยงั ไดส้ ร้างทายาทสืบต่อใน
คมั ภีร์สงั ยตุ ตนิกาย นิทานวรรค และอรรถกถา ซ่ึงภิกษุผเู้ ป็นศิษยข์ องท่านไดม้ ีบทบาทที่สาคญั ใน
การทาสงั คายนา คร้ังท่ี ๒๗

พระมหากัจจายนะเถระ ท่านมีผลงานที่โดดเด่นและสาคญั คือ ท่านเป็ นผทู้ าหน้าท่ีแทน
พระพุทธเจา้ ในการประกาศพระศาสนา ในดา้ นการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านใชว้ ิธีการสอน ๔
อยา่ ง คือ สนั ทสั สนา สมาทปนา สมุตเตชนา และสัมปหงั สนา พร้อมท้งั ใชร้ ูปแบบการสอนอกี ๔
อยา่ ง คือ การสนทนาธรรม การบรรยาย การตอบปัญหา และการวางกฎระเบียบ โดยการอธิบาย
พุทธพจน์อยา่ งละเอียดลึกซ้ึงแก่พุทธบริษทั และบุคคลทวั่ ไปให้เขา้ ใจในหลกั ธรรมอย่างแจ่มแจง้
เหมือนกบั พระพุทธเจา้ ทรงแสดงเองดว้ ยการบรรยายอธิบายเน้ือความแห่งธรรม และตอบปัญหา
ธรรม เป็ นต้น จนพระพุทธเจา้ ทรงให้ไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ แควน้ อวนั ตี ทาให้เกิดมีผู้
ศรัทธาเลอื่ มใสเป็ นจานวนมาก และมีผหู้ นั มา นบั ถือพระพทุ ธศาสนาเป็ นอุบาสกจานวนมาก และ
ท่านยงั ไดป้ ระพนั ธ์คมั ภีร์ ๖ เล่ม คือ กจั จายนไวยากรณ์ จูฬนิรุตติ มหานิรุตติ เนตติ เปฏโฏปเทส
และวณั ณนีติ ๘

๓.๓ วธิ ีสอนของพระอสั สชิเถระ๙

ช่วงเวลาท่ีพระพุทธเจา้ ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณและส่ังสอนธรรมได้ ๑ พรรษา
ตอนน้นั พระองค์ไดส้ งั่ สอนจนสามารถทาใหส้ าวกที่สาเร็จเป็นพระอรหนั ต์ถึง ๖๐ รูป และทรงส่ง
พระสาวกชุดน้ันไปประกาศศาสนา ซ่ึงบรรดาพระอรหันต์ท้งั หลายเหล่าน้นั มีพระอสั สชิซ่ึงเป็ น
หน่ึงในบรรดาพระปัญจวคั คียร์ วมอยดู่ ว้ ย ท่านเป็นพระสาวกรูปหน่ึงที่ไม่ไดเ้ นน้ เรื่องการพดู แต่เน้น
ในเร่ืองของการสารวม โดยทาใหด้ ูเป็ นตวั อยา่ ง จนไดบ้ ุคลากรท่ีมีคุณภาพถึง ๒ ท่าน คือ พระสารี
บุตร และพระมหาโมคคลั ลานะ ซ่ึงเป็ นพระอคั รสาวกเบ้ืองขวาและเบ้ืองซ้ายต่อมา ดังมี เรื่อง
ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

๗ องฺ.เอกก. (บาลี) ๒๐/๒๐๖/๒๔, องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๐๖/๒๗.
๘ องฺ.จตุกฺก. (บาลี) ๒๑/๖๕/๘๑, องฺ.จตุกกฺ . (ไทย) ๒๑/๖๕/๙๓.
๙ พระมหาสุชญา โรจนญาโณ, “การศกึ ษาบทบาทของพระมหาโมคคลั ลานะในการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลยั ), ๒๕๔๐, หนา้ ๑๗ – ๑๘.

๑๐๖

เชา้ วนั หน่ึง พระอสั สชิไดอ้ อกไปบิณฑบาต ณ กรุงราชคฤห์ ระหว่างทางอุปติสสปริพาชก
เดินทางกลบั มาจากสานกั สัญชยั ปริพาชก พอพบพระเถระเขา้ ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส เพราะท่านเดิน
ดว้ ยอาการสารวมอินทรียเ์ หลียวซา้ ยแลขวาอยา่ งระมดั ระวงั คือ การกา้ วไป การถอยกลบั การแลดู
การเหลียวดู การคู้ และการเหยียดแขน น่าเลอื่ มใส มีนัยน์ตาทอดลงต่าสมบูรณ์ดว้ ยอิริยาบถ๑๐ อุป
ติสสปริพาชกคิดว่า “นกั บวชแบบน้ีเราไมเ่ คยเห็นมาก่อน คงจะเป็นพระอรหนั ตอ์ งคห์ น่ึงในบรรดา
พระอรหันตท์ ่ีมีอยใู่ นโลกน้ี” และอยากทราบว่าใครเป็ นศาสดาของท่าน แต่เห็นว่าไม่ใช่เวลาที่จะ
ถาม จึงไดเ้ ดินติดตามไปขา้ งหลงั เมอ่ื พระอสั สชิบิณฑบาตเสร็จแลว้ เตรียมจะฉนั ภตั ตาหารจึงเขา้ ไป
อุปัฏฐากและได้สนทนาปราศรัยกับพระอสั สชิอย่างอ่อนน้อม“อินทรียข์ องท่านช่างผ่องใส
ผวิ พรรณผดุ ผอ่ ง ท่านบวชอุทิศใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือ ท่านชอบใจธรรมของใคร? ”

พระอสั สชิ ตอบว่า “มีท่านพระมหาสมณะผเู้ ป็ นศากยบุตร เสด็จออกผนวชจากศากยตระ
กูลเราบวชอุทิศเฉพาะพระผูม้ ีพระภาคพระองค์น้นั พระพุทธเจา้ พระองค์ น้ันเป็ นศาสดาของเรา
และเราชอบใจธรรมของพระผมู้ ีพระภาคพระองคน์ ้นั ”

อุปติสสปริพาชก “ก็พระศาสดาของท่านตรัสอยา่ งไร สอนอยา่ งไร”
พระอสั สชิ “ ท่าน เราเป็นผบู้ วชใหม่ บวชไมน่ าน เพง่ิ เขา้ มาสู่ธรรมวนิ ยั น้ี ไมส่ ามารถแสดง
ธรรมแก่ท่านโดยพสิ ดารได้ แต่จกั กลา่ วแต่ใจความโดยยอ่ แก่ท่าน”
อปุ ติสสปริพาชก “เอาเถอะ ผมู้ ีอายุ จะนอ้ ยหรือมากก็ตาม จงกล่าวแต่ใจความแก่ขา้ พเจา้
ขา้ พเจา้ ตอ้ งการแต่ใจความอยา่ งเดียวเท่าน้นั ท่านจะทาพยญั ชนะใหม้ ากไปทาไม"
พระอสั สชิ “ธรรมเหลา่ ใดเกิดแต่เหตุเพระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่าน้นั และความดบั
แห่งธรรมเหล่าน้นั พระมหาสมณะมีปกติตรัสอยา่ งน้ี”๑๑
หลงั จากพระอสั สชิกล่าวจบอปุ ติสสะก็ไดด้ วงตาเห็นธรรมว่า “ส่ิงใดสิ่งหน่ึงมีความเกิดข้ึน
เป็นธรรมดา ส่ิงน้นั ท้งั หมดลว้ นมีความดบั ไปเป็นธรรมดา” และไดถ้ ามถึงพระพทุ ธเจา้ ไดท้ ราบว่า
พระพุทธองค์ประทับอย่ทู ี่วดั เวฬุวนั มหาวิหาร จึงตามไปส่งพระเถระ แลว้ มุ่งหน้าไปสู่สานัก
ของสญชยั ปริพาชกเพอื่ ลาอาจารยส์ ญชยั
จากเรื่องน้ีจดั ไดว้ ่า วิธีการเผยแผ่ของพระอสั สชิท่านใช้วิธีการส่ือทางอาการสารวมเพ่ือ
สร้างความเล่ือมใสศรัทธาให้เกิดแก่ผพู้ บเห็น ไม่จาเป็ นต้องพูดอย่างเดียว แต่อาศยั กริยาอาการ
แสดงออก เป็นเคร่ืองมอื ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา และไดผ้ ลดีเกิดคาดอกี ดว้ ย

๑๐ ว.ิ ม. (ไทย) ๔ / ๖๐ / ๗๒.
๑๑ เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๗๓ – ๗๔.

๑๐๗

๓.๔ วธิ ีสอนของพระสารีบุตรเถระ

ท่านก็เป็นมหาสาวกรูปหน่ึงที่โดดเด่นในเร่ืองของการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนายกตวั อยา่ งที่
เห็นไดช้ ดั เจน ดงั ต่อไปน้ี

หลงั จากอุปติสสปริพาชก ไดด้ วงตาเห็นธรรมหลงั จากไดฟ้ ังพระอสั สชิแลว้ กเ็ ดินทางไป
บอกข่าวสารแก่เพ่ือรักของตน คือ โกลิตตะ โดยกล่าวธรรมที่พระอสั สชิแสดงใหฟ้ ังทาให้เพ่ือนได้
ดวงตาเห็นธรรมเช่นกนั ถือว่าท่านก็เป็ นกลั ยาณมิตรท่ีดีที่ทาตามสญั ญา ต่อมาท่านก็ไดพ้ าบริวาร
และเพ่ือน ไดไ้ ปบวชในสานกั ของพระพุทธเจา้ พร้อมกบั บริวาร หลงั จากที่ท่านบวชจนไดบ้ รรลุ
พระอรหนั ตแ์ ลว้ ก็ไดร้ ับแต่งต้งั จากพระพทุ ธองคใ์ หเ้ ป็นพระอคั รสาวกเบ้ืองขวา

วิธีการเผยแผ่ธรรมะของพระสารีบุตร ใชว้ ิธีการเดียวกับพระพุทธเจา้ คือ การเริ่มต้น
สนทนาเป็นจุดสาคญั การเริ่มตน้ ท่ีดีในการเผยแผจ่ ะใหผ้ ลสาเร็จดีเป็นอยา่ งมาก นอกจากน้ียงั สร้าง
บรรยากาศใหป้ ลอดโปร่ง เพลิดเพลินไม่ตึงเครียด ไม่เกิดความอึดอดั ใจแก่ผรู้ ับสารหรือผฟู้ ังเป็ น
สาคญั อน่ึงการเผยแผไ่ ดม้ ุ่งไปที่เน้ือสาระใหเ้ กิดความรู้ความเขา้ ใจในสิ่งท่ีนามาเผยแผ่ ไม่กระทบ
ท้งั ตนและผอู้ ื่น ไม่ยกตนข่มท่าน ไมเ่ สียดสีใคร ๆ ใชภ้ าษาที่นุ่มนวล สละสลวย ไม่หยาบคายชวน
ใหส้ บายใจ ต้งั ใจสอนหรือเผยแผโ่ ดยเคารพ พระสารีบุตรใชล้ ลี าในการสอน ๔ อยา่ ง คือ

๑. สนั ทสั สนา อธิบายความชดั เจนแจ่มแจง้
๒. สมาทปนา จงู ใจใหเ้ ห็นจริงชวนคลอ้ ยตามยอมรับและนาไปปฏบิ ตั ิ
๓. สมุตเตชนา การเร้าใจใหเ้ กิดความแกลว้ กลา้ เกิดกาลงั ใจ ไมท่ อ้ ต่อปัญหา
๔. สมั ปหงั สนา การชโลมใจใหเ้ กิดความร่าเริงเบิกบานใจ เปี่ ยมดว้ ยความหวงั
ดงั ตวั อยา่ งของการเผยแผ่ มีดงั ต่อไปน้ี
คร้ังหน่ึงคฤหบดีชื่อนกลุ บิดา เขา้ ไปเฝ้ าพระผมู้ ีพระภาคเจา้ เพื่อทราบถึงวิธีท่ีทาให้เกิดสุข
พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรัสถึงกายอนั กระสับกระส่าย เหมือนฟองไข่อนั มผี วิ หนงั หุม้ เอาไวค้ ฤหบดีชื่น
ชมยนิ ดีกบั พุทธภาษิต แลว้ ทูลลาพระพุทธองค์มุ่งหนา้ สู่ที่อย่ขู องพระสารีบุตร ไดไ้ ป ขอให้ท่าน
สอนธรรมที่เป็นไปเพอ่ื ประโยชน์ เพื่อความสุข พระสารีบุตรเถระ กลา่ ววา่
ดูก่อนคฤหบดี ผทู้ ี่มกี ายอ่อนเพลยี กระสบั กระส่ายเพราะไม่ฉลาดในธรรมของท่านสตั บุรุษ
ไมไ่ ดร้ ับการแนะนาในสปั ปุริสธรรม ยอ่ มเห็นรูปโดยความเป็นตน ยอ่ มเห็นตนมีรูปยอ่ มเห็นรูปใน
ตน ยอ่ มเห็นตนในรูป เป็ นผตู้ ้งั อยดู่ ว้ ยความยดึ มน่ั ว่า “เราเป็ นรูป รูปเป็นของเรา” เมื่อเขาต้งั อย่ดู ว้ ย
ความยดึ มงั่ อย่างน้ี รูปยอ่ มแปรปรวนไปเป็ นอยา่ งอ่ืนเพราะรูปแปรปรวนเป็ นอย่างอื่นไป โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงเกิดข้ึน ฯลฯ ยอ่ มเห็นวญิ ญาณโดยความเป็นตน ย่อมเห็นตน
มวี ญิ ญาณ ยอ่ มเห็นวิญญาณในตน ยอ่ มเห็น ตนในวิญญาณ เป็นผตู้ ้งั อยดู่ ว้ ยความยดึ มนั่ วา่ “เราเป็ น
วิญญาณวิญญาณเป็นของเรา” เมือ่ เขาต้งั อยดู่ ว้ ยความยดึ มนั่ อยา่ งน้ี วิญญาณยอ่ มปรวนแปรไปอยา่ ง

๑๐๘

อืน่ เพราะวญิ ญาณปรวนแปรเป็นอยา่ งอืน่ ไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั วิธีการเผยแผธ่ รรมะของ
พระสารีบุตร ใชว้ ธิ ีการเดียวกบั พระพุทธเจา้ คือ การเริ่มตน้

สนทนาเป็นจุดสาคญั การเร่ิมตน้ ที่ดีในการเผยแผจ่ ะใหผ้ ลสาเร็จดีเป็ นอยา่ งมาก นอกจากน้ี
ยงั สร้างบรรยากาศใหป้ ลอดโปร่ง เพลิดเพลินไม่ตึงเครียด ไม่เกิดความอึดอดั ใจแก่ผรู้ ับสารหรือผฟู้ ัง
เป็ นสาคญั อน่ึงการเผยแผ่ไดม้ ุ่งไปที่เน้ือสาระให้เกิดความรู้ความเขา้ ใจในสิ่งท่ีนามาเผยแผ่ ไม่
กระทบท้งั ตนและผอู้ ่ืน ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่เสียดสีใคร ๆ ใชภ้ าษาที่นุ่มนวล สละสลวย ไม่หยาบ
คายชวนใหส้ บายใจ ต้งั ใจสอนหรือเผยแผโ่ ดยเคารพ พระสารีบุตรใหล้ ีลาในการสอน ๔ อยา่ ง คือ

๑. สนั ทสั สนา อธิบายความชดั เจนแจ่มแจง้
๒. สมาทปนา จงู ใจใหเ้ ห็นจริงชวนคลอ้ ยตามยอมรับและนาไปปฏิบตั ิ
๓. สมตุ เตชนา การเร้าใจใหเ้ กิดความแกลว้ กลา้ เกิดกาลงั ใจ ไม่ทอ้ ต่อปัญหา
๔. สมั ปหงั สนา การชโลมใจใหเ้ กิดความร่าเริงเบิกบานใจ เป่ี ยมดว้ ยความหวงั ดงั ตวั อยา่ ง
ของการเผยแผ่ มดี งั ต่อไปน้ี
คร้ังหน่ึงคฤหบดีช่ือนกลุ บิดา เขา้ ไปเฝ้ าพระผมู้ ีพระภาคเจา้ เพ่ือทราบถึงวิธีที่ทาใหเ้ กิดสุข
พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรัสถงึ กายอนั กระสบั กระส่าย เหมอื นฟองไข่อนั มผี วิ หนงั หุม้ เอาไว้ คฤหบดีช่ืน
ชมยนิ ดีกบั พุทธภาษิต แลว้ ทูลลาพระพทุ ธองคม์ งุ่ หนา้ สู่ท่ีอยขู่ องพระสารีบุตร ไดไ้ ปขอใหท้ ่านสอน
ธรรมท่ีเป็นไปเพอ่ื ประโยชน์ เพือ่ ความสุข พระสารีบุตรเถระ กลา่ ววา่

ดูก่อนคฤหบดี ผทู้ ี่มีกายอ่อนเพลีย กระสับกระส่ายเพราะไม่ฉลาดในธรรมของ
ท่านสตั บุรุษ ไม่ไดร้ ับการแนะนาในสัปปุริสธรรม ยอ่ มเห็นรูปโดยความเป็นตน ยอ่ มเห็น
ตนมรี ูปยอ่ มเห็นรูปในตน ยอ่ มเห็นตนในรูป เป็นผตู้ ้งั อยดู่ ว้ ยความยดึ มน่ั วา่ “เราเป็นรูป รูป
เป็นของเรา” เมื่อเขาต้งั อยดู่ ว้ ยความยดึ มง่ั อยา่ งน้ี รูปยอ่ มแปรปรวนไปเป็ นอยา่ งอื่นเพราะ
รูปแปรปรวนเป็ นอย่างอ่ืนไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั และอุปายาสจึงเกิดข้ึน ฯลฯ
ยอ่ มเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ยอ่ มเห็นตนมีวิญญาณ ยอ่ มเหวิญญาณในตน ยอ่ มเห็น
ตนในวิญญาณ เป็ นผตู้ ้งั อย่ดู ว้ ยความยกึ มน่ั ว่า “เราเป็ นวญิ ญาณวิญญาณเป็นของเรา” เม่ือ
เขาต้ังอยู่ด้วยความยึดมน่ั อย่างน้ี วิญญาณย่อมปรวนแปรไปอย่างอื่น เพราะวิญญาณ
ปรวนแปรเป็นอยา่ งอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั และอปุ ายาส จึงเกิดข้ึน ดงั น้ี๑๒

๑๒ ส.ข. (ไทย) ๑๗ / ๑ / ๑ - ๔.

๑๐๙

๓.๕ วธิ ีสอนของพระปุณณมนั ตานีบุตรเถระ

พระปุณณมนั ตานีบุตรเถระ ไดเ้ ขา้ มาบวชในพระพุทธศาสนาโดยการชกั นาของพระอญั ญา
โกณฑัญญเถระผูเ้ ป็ นลุง ในสมยั เม่ือพระพุทธองค์หลงั จากทรงจาพรรษาแรกที่ป่ าอิสิปตน
มฤคทายวนั เมื่อออกพรรษาแลว้ พระพุทธองค์ทรงส่งพระสาวกจานวน ๖๐ รูป ออกประกาศพระ
ศาสนา ซ่ึงรุ่นน้ัน นบั ว่าเป็ นพระธรรมทตู รุ่นแรก พระอญั ญาโกณฑญั ญเถระก็เป็นหน่ึงในจานวน
น้นั ดว้ ย ท่านไดก้ ลบั ไปท่ีบา้ นเกิดของท่าน ไดแ้ สดงธรรมโปรดญาติพี่นอ้ งของท่าน ขณะน้นั ปุณณ
มนั ตานีบุตรหลานชายของท่านเกิดศรัทธาเล่อื มใสขอบวชในพระพุทธศาสนา ซ่ึงท่านไดบ้ รรพชา
เป็ นสามเณรไวก้ ่อนแลว้ พาไปเฝ้ าพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ท่ีกรุงราชคฤห์ พระพุทธองค์ประทานการ
อุปสมบทให้

เมอ่ื บวชไม่นานท่านไดบ้ รรลุเป็ นพระอรหันต์ และท่านมีปฏิปทาต้งั มน่ั อย่ใู นคุณธรรม ๑๐
ประการ คือ

๑. อปั ปิ จฉตา เรื่องความปรารถนานอ้ ย
๒. สนั ตุฏฐิตา เรื่องความสนั โดษ
๓. ปวิเวกตา เร่ืองความสงดั
๔. อสงั สคั คตา เรื่องความไม่คลกุ คลดี ว้ ยหม่คู ณะ
๕. วิริยารัมภะ เรื่องความเพียร
๖. สีลตา เรื่องศลี
๗. สมาธิ เรื่องสมาธิ
๘. ปัญญา เร่ืองปัญญา
๙. วมิ ุตติ เร่ืองความหลดุ พน้
๑๐. วิมตุ ติญาณทสั นะ เร่ืองความรู้ความเห็นว่าหลดุ พน้
คุณธรรมน้ีเรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า กถาวตั ถุ ๑๐ ประการ ท่านปุณณมนั ตานีบุตรเถระจะสั่ง
สอนบริวารของท่านดว้ ยคุณธรรมน้ี แมแ้ ต่พระอานนท์ เมื่อบวชใหม่ ๆ ก็ได้ฟังธรรมกถา ๑๐
ประการน้ี จากท่านจนไดส้ าเร็จเป็ นพระโสดาบนั ดว้ ยเหตุน้ี ภิกษุผเู้ ป็นศษิ ยข์ องท่านไม่ว่าจะไปสู่ท่ี
ใด ๆ ก็จะพากนั กล่าวยกยอ่ งท่านให้ปรากฏแก่พุทธบริษทั ในที่น้นั ๆ เสมอ แมพ้ ระสารีบุตรเถระได้
ทราบข่าวคุณธรรมของท่านแลว้ ก็มีความปรารถนาจะไดส้ นทนาธรรมกบั ท่าน สาหรับการสนทนา
ธรรมของท่านปุณณมนั ตานีบุตรเถระกบั พระสารีบุตรเถระ มีเร่ืองกลา่ วไว้ ดงั น้ี
สมยั หน่ึงสมเด็จพระผมู้ พี ระภาคเสด็จมายงั เมืองสาวตั ถี ณ ท่ีน้นั พระสารีบุตรกบั พระปุณณ
มนั ตานีบุตรไดม้ โี อกาสพบเจอกนั พระสารีบุตรไดส้ นทนาไต่ถามท่านเกี่ยวกบั วิสุทธิ ๗ ประการ
อนั ไดแ้ ก่

๑๑๐

๑. สีลวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งศลี
๒. จิตตวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งจิต
๓. ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ
๔. กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเคร่ืองขา้ มพน้ ความสงสยั
๕. มคั คามคั คญาณทสั สนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเคร่ืองเห็นวา่ ทางหรือไม่ใช่ทาง
๖. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นทางปฏบิ ตั ิ
๗. ญาณทสั สนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทสั สนะ กลา่ วคือ มรรคญาณ
พระปุณณมนั ตานีบุตร ไดถ้ วายคาอธิบายว่า วิสุทธิท้งั ๗ ประการน้ียอ่ มเป็นปัจจยั อาศยั ส่ง
ต่อกนั ไปจนถึงพระนิพพาน ท่านเปรียบเหมือนรถ ๗ คนั ท่ีส่งต่อ ๆ กนั ไปโดยลาดบั เม่อื การสนทนา
ไต่ถามกนั และกนั จบลง พระเถระท้งั สองต่างก็กล่าวอนุโมทนาคุณกถาของกนั และกนั และกนั กลบั
สู่ที่พกั ของตนเพราะความท่ีพระปุณณมนั ตานีบุตรเถระ ท่านดารงตนต้งั มนั่ อยใู่ นคุณธรรมเช่นไร ก็
สงั่ สอนบรรดาศษิ ยแ์ ละพทุ ธบริษทั อื่น ๆ ใหด้ ารงอยใู่ นคุณธรรมน้นั ดว้ ย พระผมู้ พี ระภาคจึงทรงยก
ยอ่ งท่านปุณณมนั ตานีบุตรในตาแหน่งเอตทัคคะ เป็ นเลิศกว่าภิกษุท้ังหลายในทาง ผเู้ ป็ นธรรม
กถกึ ๑๓

๓.๖ วธิ ีสอนของพระมหากจั จายนเถระ

ท่านก็เป็ นมหาสาวกรูปหน่ึงท่ีโดดเด่นในเรื่องของการเผยแผร่ ะพุทธศาสนาโดยเฉพาะใน
เรื่องการแสดงธรรม ซ่ึงท่านไดร้ ับการยกยอ่ งจากพระพุทธเจา้ ใหด้ ารงตาแหน่งเอตทตั คคะ เลิศกว่า
ภิกษุท้งั หลายในทาง ผอู้ ธิบายเน้ือความยอ่ ใหพ้ ิสดาร มีเร่ืองเล่าว่า

พระมหากจั จายนะ เป็นบุตรของพราหมณ์ตระกลู กจั จายนะ ผเู้ ป็นปุโรหิต (ท่ีปรึกษา)ของ
พระเจา้ จณั ฑปัชโชต ในกรุงอุชเชนี เดิมท่านมีชื่อวา่ “กญั จนะ” เพราะท่านมรี ูปร่างลกั ษณะงามสง่า
มีเสน่หแ์ ก่ผพู้ บเห็น เมอ่ื เจริญวยั ข้ึนท่านไดเ้ รียนจบไตรเพท คือ คมั ภีร์ศกั ด์ิของศาสนาพราหมณ์ เม่อื
บิดาถึงแก่กรรมแลว้ ท่านไดด้ ารงตาแหน่งปุโรหิตแทนบิดา

เมอ่ื พระบรมศาสดาตรัสรู้ เสด็จเที่ยวจาริกประกาศหลกั ธรรมคาสอนตามคามนิคมชนบท
อยนู่ ้นั พระเจา้ จณั ฑปัชโชตมพี ระราชประสงคจ์ ะกราบทลู อาราธนาพระพทุ ธองคเ์ สดจ็ สู่กรุงอชุ เชนี
ของพระองคบ์ า้ ง จึงรับสง่ั ใหป้ ุโรหิจกญั จายนะไปกราบทลู อาราธนา กญั จายนะถือโอกาสกราบทูล
ลาเพื่ออุปสมบทดว้ ยเมื่อทรงอนุญาตแลว้ ก็พร้อมดว้ ยบริวารติดตามอีก ๗ คน เดินทางไปเฝ้ าพระ
บรมศาสดา เมือ่ เดินทางไปถงึ ก็รีบเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธองค์ก็ตรัสพระธรรมเทศนาใหฟ้ ัง และท่านท้งั ๘

๑๓ พระครูกลั ยาณสิทธิวฒั น์ (สมาน กลฺยาณธมฺโม), เอตทัตคะในพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์ บริษทั สหธรรมิก จากดั , ๒๕๔๖), หนา้ ๔๕.

๑๑๑

คนน้นั ก็ไดบ้ รรลุเป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ กราบทลู ขออปุ สมบท พระพุทธองคท์ รงอนุญาตใหเ้ ป็ นภิกษุ
ดว้ ยวิธีเอหิภิกขุอปุ สัมปทา เมื่อไดอ้ ุปสมบทแลว้ ไดก้ ราบทูลพระบรมศาสดาเสดจ็ สู่กรุงอชุ เชนีตาม
หนา้ ที่ท่ีไดร้ ับมอบหมายใหเ้ ดินทางมา แต่พระบรมศาสดารับสงั่ ใหท้ ่านไปเอง พระเจา้ จณั ฑปัชโชต
และชามเมอื งกจ็ ะเกิดศรัทธาเหมือนกนั

พระมหากจั จายนะ จึงกราบทูลลาพระบรมศาสดาพาภิกษุบริวารอีก ๗ องค์น้ัน เดินทาง
กลบั สู่กรุงอุชเชนี ไดป้ ระกาศหลกั ธรรมคาสอนในพระพุทธศาสนาใหพ้ ระเจา้ จณั ฑปัชโชตและ
ชาวเมืองไดส้ ดบั รับฟัง เกิดศรัทธาเลื่อมใส ทาให้พระพุทธศาสนาแพร่กระจายทวั่ กรุงอุชเชนีแลว้
ท่านกเ็ ดินทางกลบั มาเฝ้ าพระบรมศาสดาอกี

ความสามารถพเิ ศษของพระมหากจั จายนะ
พระมหากจั จายนะ เป็ นพุทธสาวกท่ีมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถอธิบายธรรมที่ยอ่ ให้
พิสดาร ให้ผฟู้ ังเกิดศรัทธาเลื่อมใสไดโ้ ดยไม่ยาก ท้งั น้ีเพราะส่วนหน่ึงท่านเป็ นผมู้ ีความเชี่ยวชาญ
ในปฏิสมั ภิทา ๔ คือ
๑. อตั ถปฏิสมั ภิทา ผมู้ ปี ัญญาแตกฉานในอรรถสามารถอธิบายความยอ่ ใหพ้ ิสดารได้
๒. ธมั มปฏิสัมภิทา ผมู้ ีปัญญาแตกฉานในธรรมสามารถถือเอาความโดยยอ่ จากธรรมที่
พสิ ดารได้
๓. นิรุตติปฏิสมั ภิทา ผมู้ ีปัญญาแตกฉานในนิรุตติมคี วามเช่ียวชาญในภาษา สามารถพดู ให้
ผอู้ ่นื เล่ือมใสได้
๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ผมู้ ีปัญญาแตกฉานในปฏิภาณมีไหวพริบและปฏิภาณ สามารถ
แกไ้ ขสถานการณ์เฉพาะหนา้ ได้
นอกจากน้ียงั มีพระธรรมเทศนาท่านอกี หลายกณั ฑ์ ท่ีพระธรรมสงั คาหกาจารยไ์ ดย้ กข้ึนสู่
สงั คีติ คือ การทาสงั คายนา ไดแ้ ก่
๑. ภทั เทกรัตตสูตร เป็นสูตรที่แสดงถึงเร่ืองบุคคลผมู้ ีราตรีเดียวเจริญ คือคนที่เวลาวนั คืน
หน่ึง ๆ มีแต่ความดีงาม ความเจริญกา้ วหนา้ ไดแ้ ก่ ผทู้ ี่ไม่มวั ครุ่นคิดถึงอดีต ไม่เพอ้ ฝันหวงั อนาคต
ใชป้ ัญญาพจิ ารณาใหเ้ ห็นแจง้ ประจกั ษ์ส่ิงที่เป็นปัจจุบนั ทาความดีเพ่ิมพนู ข้ึนเรื่อยไป มคี วามเพียร
พยายามทากิจที่ควรทาต้งั แต่ในวนั น้ี
๒. มธุรสูตร เป็นสูตรที่ท่านแสดงแก่พระเจา้ มธุรราชอวนั ตีบุตร ในขณะท่ีท่านพกั อยทู่ ี่คุณ
ทาวนั มธุรราชธานี สูตรน้ีมีใจความแสดงถึงความไม่แตกต่างกันของวรรณะ ๔ คือ กษัตริ ย์
พราหมณ์ แพศย์ และศทู ร วรรณะท้งั ๔ น้ีแมจ้ ะถือตวั อยา่ งไร เหยยี ดหยามกนั อยา่ งไร แต่ถา้ ทาดีก็
ไปสู่ท่ีดีเหมือนกนั ท้งั หมด ถา้ ทาชวั่ ก็ตอ้ งไดร้ ับโทษไปอบายเหมือนกนั ท้งั หมดทุกวรรณะเสมอกนั

๑๑๒

ในพระธรรมวินยั ออกบวชบาเพญ็ สมณธรรมแลว้ ไม่เรียกวา่ วรรณะอะไร แต่เป็นสมณะเหมือนกนั
ท้งั หมด

ที่พระเถระกล่าวสูตรน้ี กเ็ พราะพระเจา้ มธุรราชอวนั ตีบุตรถามปัญญากบั ท่านเกี่ยวกบั เร่ือง
พราหมณ์ถือตวั ว่าเป็ นผบู้ ริสุทธ์ิ และเกิดจาก พรหม ท่านจึงแกว้ ่าไม่เป็ นความจริงแลว้ ยกตวั อยา่ ง
เป็น ขอ้ ๆ ดงั น้ี

๑. ในวรรณะ ๔ เหล่าน้ี วรรณะใดเป็นผรู้ ่ารวย มงั่ มีเงินทอง วรรณะเดียวกนั และวรรณะอื่น
ๆ ยอ่ มเขา้ ไปหา ยอมเป็นบริวารของวรรณะน้นั

๒. วรรณะใดประพฤติอกุศลกรรมบถ เม่ือตายไปวรรณะน้ัน ย่อมเข้าสู่อบายเสมอ
เหมอื นกนั ท้งั หมด

๓. วรรณะใดประพฤติกุศลกรรมบถ เม่ือตายไป วรรณะน้ันย่อมเขา้ ถึงสุคติโลกสวรรค์
เหมือนกนั หมด

๔. วรรณะใดทาโจรกรรม ทาปรทาริกกรรม (การประพฤติล่วงเมียคนอ่ืน) วรรณะน้นั ตอ้ ง
รับราชอาญา เหมือนกนั ท้งั หมดไมม่ ยี กเวน้

๕. วรรณะใดออกบวช ต้งั อย่ใู นศีลในธรรม วรรณะน้ันยอ่ มไดร้ ับความนบั ถือ การบารุง
และการคุม้ ครองรักษา เสมอเหมือนกนั หมด

เมอื่ พระเถระแสดงเทศนามธุรสูตรจบลงแลว้ พระเจา้ มธุรราช กเ็ กิดศรัทธาเลอ่ื มใสประกาศ
พระองคเ์ ป็นอบุ าสกในพระพุทธศาสนา

พระมหากจั จายนะได้รับยกย่องในทางอธิบายความย่อให้พสิ ดาร
คร้ังหน่ึง พระผมู้ ีพระภาคทรงแสดงภทั เทกรัตตสูตรแต่โดยยอ่ แลว้ เสด็จเขา้ สู่พระวหิ ารที่
ประทบั พระภิกษุท้งั หลายไมไ่ ดโ้ อกาสเพื่อจะกราบทูลถามเน้ือความที่ตรัสไวโ้ ดยยอ่ ใหเ้ ขา้ ใจได้ จึง
พากนั เขา้ ไปหาพระมหากจั จายนะกราบอาราธนาใหท้ ่านไดเ้ มตตาอธิบายขยายความใหฟ้ ังพระเถระ
ไดอ้ ธิบายขยายความยอ่ ใหฟ้ ังอยา่ งพิสดารแลว้ กลา่ วแนะนาวา่
ท่านผูม้ ีอายุข้าพเจ้าเข้าใจความหมายแห่งพระสูตรน้ีตามที่ไดอ้ ธิบายมาน้ี แต่ถ้าท่าน
ท้งั หลายมคี วามตอ้ งการจะทราบใหแ้ น่ชดั ก็จงไปกราบทูลถามพระผมู้ พี ระภาคเจา้ เมื่อพระองคท์ รง
แกไ้ ขอยา่ งไร ก็จงจาไวอ้ ยา่ งน้นั เถิด
พระภิกษุเหล่าน้ันพากนั ลาพระเถระแลว้ เขา้ ไปกราบทูลเน้ือความท่ีพระมหากจั จายนะ
อธิบายไวใ้ หพ้ ระพุทธองคท์ รงสดบั
พระผมู้ ีพระภาค ตรัสสรรเสริญพระเถระว่า “ภิกษุท้งั หลาย พระมหากจั จายนะ เป็ นผมู้ ี
ปัญญา เน้ือความน้ันถา้ พวกเธอถามตถาคต แมต้ ถาคตกจ็ ะอธิบายอยา่ งน้นั เช่นกนั ขอพวกเธอจงจา

๑๑๓

เน้ือความน้นั ไวเ้ ถดิ ” เมื่อคร้ังพระพทุ ธองค์ ประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั มหาวหิ าร ทรงต้งั พระมหากจั
จายนะไว้ ในตาแหน่งเอตทตั คะ เลศิ กว่าภิกษุท้งั หลายในฝ่ าย ผอู้ ธิบายเน้ือความยอ่ ใหพ้ ิสดาร๑๔

๓.๗ วธิ ีสอนของพระอุรุเวลกัสสปเถระ

พระอุรุเวลกสั สปะ เกิดในวรรณะพราหมณ์ เมืองพาราณสี แควน้ กาสี ตระกลู กสั สป-โคตร
มชี ื่อว่า กสั สปะ มีพ่ีนอ้ งบิดามารดาเดียวกนั คือ พระนทีกสั สปะ และพระคยากสั สปะ เมื่อเติบโต
แลว้ ไดศ้ กึ ษาจบไตรเพท หลงั จากศกึ ษาไตรเพทแลว้ ครองชีวิตฆราวาสอยไู่ ดไ้ มน่ านก็เกิดความเบื่อ
หน่าย จึงพร้อมใจกนั ออกบวชเป็นชฎิลพร้อมดว้ ยบริวาร๑๕ พ่ีชายคนโตพร้อมดว้ ยบริวาร ๕๐๐ คน
เดินทางไปยงั อุรุเวลาเสนานิคม อธิษฐานจิตบวชแลว้ ต้งั อาศรมอย่ทู ี่ อุรุเวลาเสนานิคมปรากฏช่ือว่า
อุรุเวลกสั สปะ ตามชื่อสถานท่ี ตาบลอุรุเวลาเสนานิคมมีแม่น้าเนรัญชราไหลผ่านจากทิศใตไ้ ปทิศ
เหนือ อาศรมของอรุ ุเวลกสั สปะต้งั อย่บู นฝั่งดา้ นทิศตะวนั ออกของแมน่ ้าเนรัญชรา และถดั ไปทาง
ตะวนั ออกของอาศรมมีแมน่ ้าโรหิณีอีกสายหน่ึง ซ่ึงไหลมาบรรจบกนั กบั แมน่ ้าเนรัญชราตรงที่โคง้
และเลยจุดที่บรรจบกนั น้นั ไป เรียกแม่นา้ รวมสายน้นั ว่า แม่นา้ คยา ตามช่ือสถานที่ท่ีไหลผา่ น พชี่ าย
คนรองพร้อมดว้ ยบริวาร ๓๐๐ คน เดินทางไปยงั ที่บริเวณโคง้ แม่น้าเนรัญชรากับแม่น้าโมหินี
บรรจบกนั ซ่ึงอยเู่ หนือจากน้นั ไปเลก็ นอ้ ย อธิษฐานจิตบวชแลว้ ต้งั อาศรมอยทู่ ่ีโคง้ แมน่ า้ น้นั เองและ
ปรากฏชื่อว่า นทีกสั สปะตามชื่อสถานที่ น้องชายคนเลก็ พร้อมดว้ ยบริวาร ๒๐๐ คน เดินทาง ไปยงั
ที่คยาสีสะซ่ึงอย่เู หนือจากน้นั ไป อธิษฐานจิตบวชแลว้ ต้งั อาศรมอยทู่ ี่ ริมฝั่งแม่น้าคยา และปรากฏ
ชื่อวา่ คยากสั สปะ ตามชื่อสถานที่๑๖

จากการศกึ ษารูปแบบและวธิ ีการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาของพระอุรุเวลกสั สปะ พบว่า ท่าน
เป็ นนกั เผยแผ่ที่มีลกั ษณะคุณสมบตั ิของผสู้ อนซ่ึงสอดคลอ้ งกบั หลกั การของพระพุทธเจา้ อนั เป็ น
องคข์ องกลั ยาณมติ ร ดงั ต่อไปน้ี

๑. ปิ โย น่ารัก จะเห็นไดจ้ ากเหตุการณ์ตอนที่พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ ไปโปรดชฎิล อรุ ุเวลกสั ส
ปะเริ่มแรก เม่ือสนทนากนั เสร็จก็อนุญาตใหพ้ ระพุทธเจา้ ไดอ้ ยตู่ ามสบาย ดงั คากล่าวที่ว่า “ขา้ แต่
สมณะ นิมนต์ท่านอยตู่ ามสบายเถิด”๑๗ และจากน้ันก็ไดบ้ ารุงพระศาสดาดว้ ยภตั ตาหารประจา๑๘
จากขอ้ ความน้ีจะเห็นไดว้ า่ พระอุรุเวลกสั สปะทาตวั ไดน้ ่ารักอยา่ งเห็นไดช้ ดั เจน

๑๔เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๙๐.
๑๕ พระครูกลั ยาณสิทธิวฒั น์ (สมาน กลฺยาณธมฺโม), เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา, หนา้ ๑๒.
๑๖ อง.ฺ เอกก.อ. (ไทย) ๑/๑/๔๕๗-๔๕๘.
๑๗ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๗/๔๘.
๑๘ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๙/๕๐.

๑๑๔

๒. ครุ ความน่าเคารพ เน่ืองจากศกึ ษาชีวประวตั ิของท่านเอรุ ุเวลกสั สปะแลว้ พบว่า ท่านเอรุ ุ
เวลกสั สปะแต่เดิมน้นั เป็นผนู้ าลทั ธิซ่ึงมบี ริวารนับพนั คนและยงั เป็นที่ศรัทธาของชาวมคธเป็ นจาน
วนมาก รวมถึงพระเจา้ พิสารผเู้ ป็นกษตั ริยข์ องแควน้ มคธ ซ่ึงเป็ นแควน้ ใหญ่แควน้ หน่ึงในชมพทู วีป
ในขณะน้ันก็ยงั มีความเล่ือมใสศรัทธาในตวั ของท่านอุรุเวลกสั สปะอยู่มากพอสมควร ดงั ความ
ปรากฏในหนังสืออสีติมหาสาวก ความว่า “ชฎิลสามพ่ีน้องอนั ได้แก่ อุรุเวลกัสสปะ นทีกสั ปะ
และคยากสั ปะ เป็ นศาสดาเจา้ ลทั ธิบูชาไฟที่ประชาชนให้ความเคารพนบั ถืออยา่ งมากลทั ธิหน่ึง”๑๙
ท้งั ยงั ปรากฏในหนงั สือ “แผนการกอู้ สิ รภาพของเจา้ ชายสิทธตั ถะ” ความว่า “ท่านผนู้ ้ีเป็นคณาจารย์
ใหญ่ มสี าวกเป็นบริวารถึง ๑,๐๐๐ รูปและมีนอ้ งชายอีก ๒ รูป ท่านผนู้ ้ีเป็นนกั บวชที่มีอิทธิพลเหนือ
จิตใจชาวมคธอยมู่ าก”๒๐ ซ่ึงการท่ีท่านเอุรุเวลกสั สปะสามารถเป็ นถงึ ผนู้ าลทั ธิที่มีผเู้ ลื่อมใสศรัทธา
เป็นจานวนมากเช่นน้ี จึงสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความเป็ นบุคคลที่มีคุณสมบตั ิของความเป็ นผสู้ อนหรือ
เผยแผใ่ นลกั ษณะของความน่าเคารพไดอ้ ยา่ งชดั เจน

๓. วตั ตา รู้จกั พดู ช้ีแจงเผยแผใ่ หไ้ ดผ้ ล โดยอาจจะเลือกใชว้ ธิ ีการเผยแผใ่ นรูปแบบต่างๆเพ่ือ
อธิบายให้ผฟู้ ังเขา้ ใจได้ จากศึกษาชีวประวตั ิของท่านเอุรุเวลกสั สปะแลว้ พบว่าการท่ีท่านพระอุรุ
เวลกสั สปะเมือ่ กราบทลู แลว้ ก็ลกุ ข้ึนไปซบศรี ษะอยู่ แทบพระบาทของพระพทุ ธเจา้ แลว้ ไดก้ ราบทลู
ว่า “ขา้ แต่พระบรมศาสดา พระองคเ์ ป็ นพระศาสดาของขา้ พระพุทธเจา้ ขา้ พระพุทธเจา้ เป็ นพระ
สาวก”๒๑ จากกิริยาอาการและถอ้ ยคาของพระอุรุเวลกสั สปะทาให้บริวารของพระเจา้ พิมพิสาร
ท้ังหมดเหล่าน้ันหายสงสัย พร้อมที่จะฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า เพราะตอนน้ัน
ประชาชนยงั ไม่รู้วา่ ใครคืออาจารยข์ องใคร จึงสะทอ้ นให้เห็นถึงความเป็ นบุคคลที่มีคุณสมบตั ิของ
ความเป็นผสู้ อนหรือเผยแผใ่ นลกั ษณะของวตั ตาไดอ้ ยา่ งชดั เจน

๔. วะจะนกั ขะโม อดทนต่อถอ้ ยคา คือพร้อมที่จะรับฟังคาไต่ถาม จะเห็นไดจ้ ากการท่ีท่าน
ยอมตอบคาถามต่อพระพุทธเจา้ อีกคร้ังหน่ึงเพ่ือใหป้ ระชาชนชาวเมืองมคธไดเ้ ขา้ ใจในหลกั ธรรม
ของพระพทุ ธเจา้ ดงั คาที่ท่านกล่าวไวใ้ นตอนน้นั วา่ “การบูชายญั กลา่ วยกยอ่ งรูปเสียง กล่นิ และรส
ที่น่าปรารถนา และกล่าวยกยอ่ งสตรีท้งั หลาย ขา้ พระพุทธเจา้ รู้วา่ นั่นเป็นมลทิน เพราะเหตุน้นั จึงไม่
ยนิ ดีในการเซ่นสรวงบูชา ขา้ พระพุทธเจา้ ไดเ้ ห็นทางอนั สงบ ไม่มีการยดึ ถือ ไม่มีกงั วล ไมต่ ิดอยใู่ น
กามภพ ไม่ผนั แปร ไม่ใช่ธรรมท่ีผอู้ ื่นแนะให้บรรลุ เพราะฉะน้ันขา้ พระพุทธเจา้ จึงไม่ยนิ ดีในการ

๑๙ บรรจบ บรรณรุจิ, อสีติมหาสาวก, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร :กองทุนพุทธสถาน, ๒๕๓๙),
หนา้ ๔๑-๔๒.

๒๐ จานงค์ ทองประเสริฐ, แผนการก้อู ิสรภาพของเจ้าชายสิทธัตถะ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ บริษทั
สหธรรมมกิ จากดั , ๒๕๔๗), หนา้ ๖๗.

๒๑ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕๖/๖๗.

๑๑๕

เซ่นสรวงบูชา”๒๒ จากขอ้ ความน้ี เป็ นคากล่าวของท่านอีกคร้ังหน่ึง ซ่ึงท่านก็ยินดีในการท่ีจะตอบ
แก่พระพุทธเจา้ จะเห็นไดว้ ่าท่านอุรุเวลกสั สปะเป็ นผมู้ คี ุณสมบตั ิของผเู้ ผยแผข่ อ้ วะจะนกั ขะโม ได้
อยา่ งชดั เจน

๕.โน จฎั ฐาเน นิโยชะเย ไม่ชกั นาผฟู้ ังให้เดินผดิ ทางไปจากพุทธดารัส แต่ตอ้ งรู้จกั ชกั จูง
แนะนาในทางที่ถกู ที่ควร จะเห็นไดจ้ ากการที่ท่านไดช้ กั ชวนเหล่าชฎิลใหห้ นั มาเลื่อมใสศรัทธาใน
พระพุทธเจา้ โดยจะเห็นไดจ้ ากเหตุการณ์ท่ีท่านตอบคาถามกบั นอ้ งชายของท่านต่อไปน้ี “ขา้ แต่
พ่ีกัสสปะ พรหมจรรยน์ ้ีประเสริฐกว่าหรื อ” ท่านพระอุรุ เวลกัสสปะตอบว่า “ถูกละ ผมู้ ีอายุ
พรหมจรรยน์ ้ีประเสริฐกว่า”๒๓ จากเหตุการณ์น้ีทาใหเ้ หลา่ ชฎิลไดห้ นั มานับถอื พระพุทธเจา้ และได้
ขออปุ สมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาต่อไป

พระอลุ เุ วลกสั สปะมีจุดมุ่งหมายในการสอนที่น่าสนใจ คือ
๑. ท่านสอนเพอื่ ใหผ้ ฟู้ ังรู้แจง้ เห็นจริงในส่ิงท่ีควรรู้ควรเห็น แสดงธรรมอยา่ งมีเหตุผลท่ีผฟู้ ัง
พอตรองตามใหเ้ ห็นดว้ ยตนเอง จะเห็นไดจ้ ากท่ีเมอ่ื พระอรุ ุเวลกสั สปะตอบคาถามพระพุทธเจา้ จบ
ลงทาให้ประชาชนเขา้ ใจและพร้อมท่ีจะรับฟังธรรมะจากพระพุทธเจา้ ต่อไป ดงั คากล่าวว่า “จาก
กิริยาอาการและถอ้ ยคาของพระอุรุเวลกสั สปะทาให้บริวารของพระเจา้ พิมพิสารท้งั หมดเหล่าน้ัน
หายสงสยั พร้อมท่ีจะฟังพระธรรมเทศนา”๒๔ จากขอ้ ความดงั กลา่ วช้ีให้เห็นว่าพระอุรุเวลกสั สปะมี
จุดมุ่งหมายในการสอนไดอ้ ย่างชดั เจน ผวู้ ิจยั มองว่า พระอุรุเวลกัสสปะทราบวตั ถุประสงคข์ อง
พระพุทธเจา้ ทรงมจี ุดมุง่ หมายในการสอนเนน้ ที่บุคคล เพราะตระหนกั วา่ มนุษยเ์ ป็นผฝู้ ึกไดแ้ ละเป็ น
ผทู้ ี่จะรู้ตามได้ ถา้ เขาไดฝ้ ึ กตนเองตามหลกั การและวิธีการ เพราะว่ามนุษยท์ ุกคนมีศกั ยภาพ ทาง
ปัญญาเม่ือไดฟ้ ังการแนะนาแลว้ ก็จะสามารถพฒั นาจิตใจของตนเองใหเ้ ป็ นผมู้ ีความรู้ได้ แต่ระดบั
ความสามารถของแต่ละบุคคลแตกต่างกนั ดงั น้นั ในการสอนแต่ละคร้ังพระพุทธเจา้ ก็ทรงใชว้ ิธีการ
สอนท่ีหลากหลาย ข้ึนอย่กู บั ประเภทและศกั ยภาพของแต่ละบุคคลโดยพระองคจ์ ะคานึงถึงผฟู้ ังเป็ น
หลกั ในการสอนแต่ละคร้ังพระองคจ์ ะทรงตรวจดูลกั ษณะและระดบั ภมู ปิ ัญญาก่อน จึงจะทรงสอน
เพอื่ ใหผ้ ฟู้ ังนาไปปฏิบตั ิใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุดตามที่พระพทุ ธองคท์ รงแสดง
๒. ท่านสอนเพ่อื ใหผ้ ฟู้ ังไดร้ ับผลแห่งการปฏบิ ตั ิตามควร จะเห็นไดจ้ ากเหตุการณ์ท่ีท่านได้
กล่าวว่า “ขา้ พระพุทธเจา้ ไดเ้ ห็นทางอนั สงบ ไม่มีการยดึ ถือ ไม่มีกงั วล ไม่ติดอยใู่ นกามภพ ไม่ผนั

๒๒ วิ.ม. (ไทย) ๔/๕๖/๖๗.
๒๓ วิ.ม. (ไทย) ๔/๕๒/๖๒.
๒๔ บรรจบ บรรณรุจิ, อสีตมิ หาสาวก, หนา้ ๕๔.

๑๑๖

แปร”๒๕ จากเหตุการณ์น้ีสะท้อนให้เห็นว่าท่านไดร้ ับผลแห่งการปฏิบตั ิตามหลักคาสอนของ
พระพุทธเจา้ แลว้ จึงนามาบอกแก่ประชาชนท้งั หลาย

๓.๘ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในสังคมไทยปัจจุบัน

ในปัจจุบนั พระพทุ ธศาสนาถอื ว่าเป็นศาสนาท่ีมีคนไทยนบั ถือเป็ นจานวนมากที่สุด โดย
ที่พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่จนเป็ นที่เคารพเลื่อมใส รวมท้ังพระมหากษัตริยแ์ ละฝ่ าย
ปกครองลว้ นไดท้ านุบารุงพระพุทธศาสนามาโดยตลอด จึงกล่าวไดว้ า่ พระพุทธศาสนามีอิทธิพล
หลอ่ หลอมจิตใจของคนไทยจนมีเอกลกั ษณะทางวฒั นธรรมที่แตกต่างจากชาติอน่ื ๆ พอสมควร

พระพุทธศาสนาที่ประดิษฐานมนั่ คงในประเทศไทยมี ๒ นิกาย ไดแ้ ก่ นิกายอาจริยวาท
หรือมหายาน และนิกายเถรวาท โดยมลี กั ษณะท่ีผสมผสานกบั ศาสนาพราหมณ์และความเชื่อด้งั เดิม
เกี่ยวกบั ผีสางเทวดา พระพุทธศาสนาไดส้ ร้างสรรคว์ ฒั นธรรมของไทยในดา้ นต่างๆ ท้งั ทางจิตใจ
บุคลกิ ภาพของคนไทย รวมท้งั วฒั นธรรมทางวตั ถุ เช่น โบสถว์ หิ าร เจดีย์ พระพทุ ธปฏมิ ากร เป็นตน้
พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองในสมยั สุโขทยั ต่อเน่ืองมาถึงอยธุ ยา และมาเริ่มเสื่อมโทรมลง
เม่อื สมยั กรุงศรีอยธุ ยาพา่ ยแพแ้ ก่พมา่ จนกระทงั่ พระเจา้ ตากสินมหาราช กอบกเู้ อกราชไดส้ าเร็จและ
ต้งั ราชธานีใหม่ท่ีกรุงธนบุรี จึงไดฟ้ ้ื นฟูศาสนาข้ึนมาใหม่ให้เป็ นปึ กแผน่ แต่ก็ยงั ไม่สาเร็จผล จน
มาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราชไดท้ รงจดั ระเบียบการ
ปกครองสงฆ์ ทรงต้งั กรมสังฆการีข้ึนให้มีบทบาทหน้าท่ีในการดูแลพระสงฆ์โดยตรง ปัจจุบนั
รูปแบบการปกครองไดเ้ ปล่ยี นแปลงเป็นการปกครองโดยมหาเถรสมาคม ซ่ึงเป็นองคก์ รของสงฆท์ า
หนา้ ท่ีดแู ลรับผดิ ชอบและบริหารกิจการของสงฆท์ ว่ั ราชอาณาจกั ร

๑) ความสัมพนั ธของพระพุทธศาสนากบั สังคมไทย
ในดา้ นความสัมพันธ์กับสังคม พระพุทธศาสนามีบทบาทต่อสังคม เศรษฐกิจและ

การเมืองมาตลอด ขณะเดียวกนั ก็อาจจะไดร้ ับผลกระทบจากสภาพสังคมที่เปลีย่ นแปลงไปเช่นกนั
เพราะพระพุทธศาสนาเป็ นสถาบนั สงั คมที่เอ้ืออานวยให้สังคมดารงอยอู่ ยา่ งมีปึ กแผ่นในทานอง
เดียวกนั สงั คมก็ไดอ้ ุปถมั ภแ์ ละส่งเสริมใหศ้ าสนามีความเจริญทางดา้ นวตั ถุ ส่วนศาสนาทางดา้ น
จิตใจและเป็ นท่ีนับถือยา่ งกวา้ งขวาง มีวดั และพระสงฆท์ าหน้าที่สนับสนุนการเมือง เศรษฐกิจ
วฒั นธรรมและค่านิยม ใหต้ อบสนองวตั ถุประสงคข์ องสงั คม และใหเ้ กิดประโยชน์ต่อชุมชน วดั ได้
ทาหนา้ ที่ต่อสงั คมไทยในดา้ น ต่าง ๆ ดงั ต่อไปน้ี

๒๕ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕๖/๖๗.๓๐ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๕๖/๖๗.๓๐ วิ.ม. (ไทย) ๔/๕๖/๖๗.

๑๑๗

ก. เป็ นสถานที่ศกึ ษา ที่ชาวบา้ นส่งลกู หลานมารับการฝึกการอบรมทางศีลธรรมหรือมา
รับใชพ้ ระสงฆ์ เป็นการเล่าเรียนวชิ าความรู้ต่าง ๆ ทางออ้ มจากพระสงฆไ์ ดท้ ุกเวลาและโอกาส

ข. เป็ นสถานสงเคราะห์ เป็ นที่พกั ของคนเดินทาง และสาหรับคนยากจนไดม้ าอยอู่ าศยั
เป็ นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตครอบครัวและความทุกข์ต่าง ๆ และช่วยไกลเ่ กลี่ยขอ้ พิพาทของชาวบา้ น
รวมท้งั ช่วยรักษาผปู้ ่ วยตามความรู้ของพระสงฆใ์ นขณะน้นั

ค. เป็ นศนู ยก์ ลางชุมชน ท่ีชาวบ้านมาพบปะสังสรรค์ทากิจกรรมและพิธีกรรมต่าง ๆ
รวมท้งั ชาวบา้ นจะหาความบนั เทิงในงานเทศกาลและงานมหรสพต่าง ๆ ที่วดั ได๒้ ๖

บทบาทของพระพุทธศาสนาไดม้ ีอิทธิพลต่อสงั คมในแง่ปฏิบตั ิทางศาสนาเป็นความเชื่อ
และวิถีชีวิตของคนไทยในสังคมไปอยา่ งเดียวกนั เสริมสร้างให้คนมีความเป็ นเอกภาพและมีการ
ผสมผสานเผา่ ชนต่าง ๆ ที่อาศยั อยใู่ นประเทศไทยใหม้ ีความรักสามคั คีต่อกนั ไมแ่ ตกแยก นอกจากน้ี
หลักคาสอนยังเป็ นส่ื ออบรมให้รู้จักระเบียบและประเพณี ของส่ วนรวม จึงกล่าวได้ว่า
พระพุทธศาสนาเป็นกลไกอยา่ งหน่ึงท่ีสามารถควบคุมสงั คมใหเ้ กิดความสงบเรียบร้อย๒๗

๒) พระพทุ ธศาสนาในสถานการณปัจจุบนั
ในอดีตสงั คมไทยในเขตเมืองและชนบท วดั และพระสงฆไ์ ดเ้ ขา้ มามีบทบาทเกี่ยวกบั วิถี
ชีวิตของคนไทยทุกระยะนบั ต้งั แต่เกิดจนกระทงั่ ตาย อาจกล่าวไดว้ า่ วดั และพระสงฆเ์ ป็นส่วนหน่ึง
ของสงั คมไทย และเป็ นศูนยก์ ลางของสังคมไทย๒๘ คร้ันเม่ือความเจริญแบบตะวนั ตกไดแ้ พร่ เขา้ สู่
ประเทศไทย ก็ทาใหบ้ ทบาทของวดั และพระสงฆห์ ลายอยา่ งหมดไป วดั และพระสงฆก์ บั ชาวบา้ น
ต่างก็เหินห่างกนั มากข้ึน เมื่อคนไทยหรือสงั คมไทยเหินห่างจากวดั และพระสงฆ์ ก็เท่ากบั เหินห่าง
จากพระธรรมหรือธรรมะ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระธรรม ไม่มีธรรมะเป็ นหลกั นาใจและความ
ประพฤติทางกาย ในการดาเนินชีวติ มกั ไปยดึ วตั ถเุ ป็นคา่ นิยม ชอบหาความสุขจากรูป รส กล่นิ เสียง
และอบายมุขต่าง ๆ นบั ถือเงิน อานาจ และอิทธิพลเป็นสรณะ อนั เป็นผลทาใหเ้ กิดปัญหาสังคมต่าง


เม่ือเราพูดถึงคนไทย ก็หมายถึงพระพุทธศาสนา (หรือเมื่อพดู ถึงพระพุทธศาสนา ก็คือ
เราพดู ถึงคนไทย) ความเป็ นไทยกบั ความเป็ นพุทธศาสนิกชน ไดถ้ ูกหล่อหลอมเป็ นอย่างเดียวกนั

๒๖ สมบูรณ์ สุขสาราญ, บทบาทของวัดและพระสงฆในอนาคต, (กรุงเทพมหานคร : คณะกรรมการ
ศาสนาเพือ่ การพฒั นา, ๒๕๒๕), หนา้ ๔๙.

๒๗ เรื่องเดยี วกัน, หนา้ ๕๐
๒๘ ปันนัดดา นพพนาวนั : การศึกษากระบวนการส่ือสารเพ่ือเผยแพร่ธรรมะของสถาบันสงฆไทย
วทิ ยานิพนธนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต ภาควชิ าการประชาสัมพนั ธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ๒๕๓๓, หนา้ ๑.

๑๑๘

อยา่ งแยกไม่ออกเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี วถิ ชี ีวิตของคนไทยคือวถิ ีชีวิตแบบพทุ ธ เพราะเหตุท่ีไทย
มีชีวิตแบบพุทธน้ีเอง คืออยู่สบาย ใจกวา้ ง โอบออ้ มอารี จึงทาให้คนไทยรับรู้และเลียนแบบ
วฒั นธรรมอนื่ ไดง้ ่าย เมื่อยา่ งเขา้ มาสู่ยคุ IT (Information Technology) ไทยจึงไดร้ ับแรงกระทบจาก
วฒั นธรรมอื่นอย่างยิ่ง เราได้รับผลกระทบจากยุคโลกาภิวฒั น์ (Globolization) ยุคขอบฟ้ าไร้
พรมแดน สื่อจึงกลายมามบี ทบาทอนั สาคญั ต่อมนุษยอ์ ย่างย่งิ สื่อสามารถนาความรู้สึกนึกนิยมโดย
ผา่ นประสาทสมั ผสั ท้งั หกปลกุ เร้าของมนุษย์ โดยที่มนุษยไ์ ม่สามารถรู้ทนั หรือปิ ดก้นั ไดท้ นั ท่วงที๒๙

ในปัจจุบันความเจริญทางเทคโนโลยีมีผลกระทบต่อบุคคลแทบทุกดา้ น ผลกระทบ
บางอยา่ งเป็ นไปในดา้ นส่งเสริมชีวิตความเป็ นอยขู่ องบุคคลให้ดีข้ึน แต่บางอย่างเป็ นไปใน ด้าน
ตรงกนั ขา้ ม คือในดา้ นการทาลายคุณค่าของชีวติ บุคคลใหต้ กต่าลง เป็นที่น่าสงั เกตว่าเมอื่ ความเจริญ
ทางเทคโนโลยีมีมากข้ึน คุณภาพของบุคคลในทางคุณธรรมก็ดูจะมีแนวโน้มลดความสาคญั ลง
สาเหตุท่ีเป็นเช่นน้ีอาจจะเนื่องมาจากการให้ความสาคญั กบั เทคโนโลยีบางอยา่ งมากเกินไป แต่ถึง
อยา่ งไรก็ตาม ความเจริญทางเทคโนโลยใี นบางสาขาไดช้ ่วยแกไ้ ขปัญหาความเดือดร้อนและความ
ยากลาบากของมวลมนุษยน์ านัปการมีผลช่วยให้มวลมนุษยม์ ีการเป็ นอย่ดู ีกินดี และมีชีวิตท่ี
สะดวกสบายข้ึนบา้ ง

เทคโนโลยใี นตวั ของมนั เองน้นั มีความเป็นกลางทางดา้ นคุณธรรมและจริยธรรม คือไม่
มคี วามดีและความชว่ั แต่จะดีหรือไมด่ ีข้ึนอย่กู บั จุดมุ่งหมายและผลท่ีเกิดจากการใชเ้ ทคโนโลยนี ้ัน
ๆ มากกว่า ในสังคมปัจจุบนั ไดม้ ีการใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างแพร่หลาย เช่น ดา้ นทหาร การปกครอง
การศึกษา การพฒั นาเศรษฐกิจ การบนั เทิง และแมก้ ระทงั่ ในทางศาสนา เทคโนโลยที ี่ประยกุ ต์ใช้
ส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของนวตั กรรมหรือสิ่งประดิษฐท์ างวตั ถุ ซ่ึงเป็นรูปธรรมและมองเห็นไดช้ ดั เจน

พทุ ธศาสนาไดเ้ สนอเทคโนโลยี หรือวิธีการนามาใชใ้ นการปรับปรุงชีวิตของบุคคลใน
สงั คมใหด้ ีข้ึนในหลายระดบั ซ่ึงเทคโนโลยีในพุทธศาสนากค็ ือ หลกั คาสอนของพระพุทธองคแ์ ละ
ของพระสาวกนน่ั เอง เทคโนโลยีตามคาสง่ั สอนของพระพุทธศาสนา อาจจะเรียกว่าเป็ นเทคโนโลยี
ทางนามธรรม (Software Technology) ซ่ึงรวมอยใู่ นกล่มุ ความคิดและทฤษฎีต่าง ๆ เทคโนโลยหี รือ
คาสอนของพระพุทธศาสนามีหลายระดบั แต่กล่าวโดยสรุปแลว้ มี ๒ ระดบั คือ ระดบั โลกียะ และ
ระดบั โลกุตตระ๓๐

๒๙ คณะทางาน “นิทานวจนะพุทธธรรมกบั ส่ือ” พุทธจักร ปี ที่ ๕๒ ฉบบั ที่ ๗ (กรกฎาคม ๒๕๔๑), หน้า
๑.

๓๐ จานงค์ อดิวฒั นสิทธ์ิ รศ. ดร., สังคมวทิ ยาตามแนวพุทธศาสตร : สานกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรม
แห่งชาติ กระทรวงศกึ ษาธิการ จดั พมิ พค์ ร้ังที่ ๒ (๒ ตลุ าคม ๒๕๓๐), หนา้ ๓๕๓-๓๕๕.

๑๑๙

พระพุทธองคเ์ ป็นนกั ประชาสมั พนั ธท์ ี่ยง่ิ ใหญ่ท่ีสุดในโลก ประโยคแรกที่พระองคท์ รง
ส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาว่า “จรถ ภิกฺขเว พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย”
ภิกษุท้งั หลาย พวกเธอจงจาริกไปอนุเคราะห์ชาวโลก เพือ่ ประโยชน์สุขของประชาชนเป็นจานวน
มากเถิด๓๑การส่งพระสาวกของพระพุทธองคน์ ้นั เพือ่ ใหเ้ กิดการพฒั นาคนใหเ้ ป็นบณั ฑิต ดาเนินชีวิต
ดว้ ยปัญญา สร้างคุณค่าใหแ้ ก่สังคม มีค่านิยมท่ีมีสาระ ความหมายก็คือวา่ นาธรรมโอสถไปมอบ
ให้แก่ประชาชนท้งั หลายน่ันเอง ซ่ึงยงั เป็นปุถุชน ยงั มีโรคร้ายในตวั อยู่ คือ กิเลสเครื่องเศร้าหมอง
ของจิต การท่ีพระพุทธองคส์ ่งพระสาวกไปเพ่ือกาจดั ปัดเป่ าเขม่าใจ คือ เป็ นการเปิ ดศกั ราชในการ
ประชาสัมพนั ธ์ เพราะไดร้ ับแต่สิ่งท่ีดีงาม มีชีวิตท่ีสงบสุข บริสุทธ์ิ หลุดพน้ จากพนั ธนาการของ
กิเลส

ปัจจุบนั สงั คมไทยเรากาลงั ใชส้ ่ือของการประชาสมั พนั ธท์ ่ีเป็นไปในทางลบ สร้างสรรค์
ในเชิงทาลายมากกว่าสร้างสรรค์ ทาให้กลุ่มชนเอาชนะกนั อยา่ งเอาเป็ นเอาตาย ส่ือกาลงั ทาหน้าท่ี
เป็ นผู้ช้ีนา กาชะตากรรมของสังคมไม่ว่าของราชการ ทหาร ตารวจ ครู รวมท้ังสถาบัน
พระพทุ ธศาสนา กระทง่ั สถาบนั ทางการเมืองท้งั หลาย คือ ตอ้ งตกอยภู่ ายใตอ้ ิทธิพลของส่ือ สถาบนั
พระพุทธศาสนาเป็ นหวั ใจแห่งการพฒั นา เริ่มจากตวั บุคคล สังคม และบรรยากาศ เป็ นสถาบนั ผู้
ช้ีนาทางจิตวิญญาณให้แก่สังคมไทยมาแต่โบราณคู่บา้ นคู่เมืองมาตลอด แต่ทุกวนั น้ีกลบั ไดร้ ับ
ผลกระทบจากสื่อ ซ่ึงกาลงั แผอ่ ทิ ธิพล กาชะตากรรมของสงั คม ท้งั รัฐบาล ขา้ ราชการ ทหาร ตารวจ
ครูอาจารย์ รวมท้งั สถาบนั ทางพระพุทธศาสนา ให้ประชาชนเกิดความคิดแบ่งแยกภายในท้งั การ
ปกครองและการศึกษา แยกขาดกนั โดยส้ินเชิง๓๒

จึงกลา่ วไดว้ า่ ส่ือมอี ิทธิพลและผลกระทบต่อพระพทุ ธศาสนาอยา่ งมากในยคุ ปัจจุบนั คือ
อิทธิพลทางด้านทัศนคติ ด้านอารมณ์ ผลกระทบด้านศีลธรรม ด้านสติปัญญา ความรู้ และ
ผลกระทบดา้ นพฤติกรรมในสังคม ส่ิงท่ีมีอทิ ธิพลอยา่ งมากต่อมนุษย์ แต่ส่ือก็ยงั เป็นเคร่ืองมือ ของ
การประชาสมั พนั ธ์เผยแพร่หลกั พุทธธรรม โดยใชส้ ื่อเป็ นตวั นาพุทธธรรมไปสู่ประชาชนไดอ้ ยา่ ง
ทว่ั ถึงและรวดเร็ว

ข่าวสารขอ้ มูลในเวลาน้ีแพร่หลายเป็ นอย่างมาก แพร่ไปอยา่ งทว่ั ถึงไปในโลกาภิวฒั น์
ฉบั พลนั ทนั ใด ในปัจจุบนั น้ีมคี วามสาคญั อยู่ ๓ ลกั ษณะ คือ๓๓

๑. มากมาย
๒. ไปทว่ั ถงึ

๓๑ ว.ิ มหา. (บาลี) ๔/๓๒/๒๗, ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐.
๓๒ จานงค์ อดวิ ฒั นสิทธ์ิ รศ. ดร., สังคมวทิ ยาตามแนวพุทธศาสตร, หนา้ ๓๔๕.
๓๓ คณะผจู้ ดั ทา “นิทานวจนะ” พทุ ธจักร. ปี ท่ี ๕๑ ฉบบั ท่ี ๙ (กนั ยายน ๒๕๔๑), หนา้ ๒.

๑๒๐

๓. ฉบั พลนั ทนั ใด
ในลกั ษณะน้ี ข่าวสารขอ้ มูลมีอิทธิพลครอบงาโลกมาก เราควรวเิ คราะห์เน้ือข่าวขอ้ มลู น้นั
ความหมาย ความสาคญั อิทธิพลของมนั ต่อโลกท้งั หมดต่อมนุษยใ์ นปัจจุบนั และแคบเขา้ มาก็คือ
สงั คมของเรา ใหร้ ู้จกั ใชห้ ลกั ของของโยนิโสมนสิการคือการพิจารณาโดยละเอียด หลกั ของโยนิโส
มนสิการน้นั ก็ทาใหเ้ ราปฏบิ ตั ิกบั ข่าวสารขอ้ มลู ไดถ้ กู ตอ้ ง ข่าวสารขอ้ มลู ท่ีดีเป็นประโยชน์กน็ ามาใช้
ได้ ข่าวสารที่มนั ไม่ดี มนั เลวร้ายก็สามารถเอาประโยชน์มนั ได้ หลกั น้ีดูมนั คู่กนั กบั หลกั ของ
กลั ยาณมิตรปรโตโฆสะท่ีดี หมายความว่าข่าวที่ไดจ้ ดั สรรปัจจยั แวดลอ้ มทางสงั คมยคุ สมยั น้ีตอ้ งใช้
โยนิโสมนสิการอยา่ งยง่ิ เพราะเต็มไปดว้ ยข่าวสารที่ดีและไม่ดีอยดู่ ว้ ยกนั ตอ้ งรู้จกั เลือกใช๓้ ๔

พระพุทธศาสนาในสงั คมยคุ ขอ้ มูลข่าวสาร จะเขา้ ถึงประชาชนไดด้ ีตอ้ งปรับใชว้ ิธีการ
เผยแพร่ให้ทันเหตุการณ์ ความเป็ นไปในสังคมแห่งยคุ ลว้ นมีผลต่อพระพุทธศาสนา สังคมสมยั
พระพุทธเจ้าเป็ นยุคเกษตรกรรมเข้าหลกั คาสอนของพระพุทธเจ้า ในยุคน้ันอาศยั การท่องจา
พระไตรปิ ฎก แมห้ ลงั จากที่พระพุทธเจา้ ปรินิพพานก็ยงั มีการท่องจาพระไตรปิ ฎกแลว้ ถ่ายทอดสั่ง
สอนโดยวิธีมุขปาฐะ คือ บอกจากปากต่อปากแลว้ ให้ท่องจาต่อ ๆ กันมา เม่ือโลกเข้าสู่ยุค
โลกาภิวฒั น์ท่ีเทคโนโลยีด้านข้อมูลข่าวสารพัฒนาไปมาก รูปแบบการเก็บรักษาและเผยแผ่
พระไตรปิ ฎกกป็ รับเปล่ยี นไป มีการนาคอมพิวเตอร์มาใชบ้ นั ทึกและคน้ พระไตรปิ ฎก เราเพียงกด
แป้ นคอมพิวเตอร์ก็พบได้ในเวลาไม่ถึงนาที ไวกว่าเปิ ดหนังสือค้นเองไม่รู้ก่ีเท่า นี่แสดงว่า
เทคโนโลยดี า้ นการส่ือสารมผี ลกระทบต่อการศึกษาคน้ ควา้ พระไตรปิ ฎก พระสงฆม์ ีทางเลือกมาก
ข้ึนในการเก็บรักษาและศึกษาพระไตรปิ ฎก นั่นคือพระสงฆ์จะใช้วิธีท่องจาแบบสังคมยุค
เกษตรกรรมก็ได้ หรือจะใชว้ ธิ ีอ่านหนงั สือแบบยคุ อุตสาหกรรมก็ได้ หรือเขา้ กบั สมยั โลกาภิวฒั น์ก็
คือศกึ ษาพระไตรปิ ฎกจากคอมพิวเตอร์๓๕

การเผยแพร่ธรรมในยคุ ขอ้ มลู ข่าวสารในแง่ของการเผยแพร่ วิธีการเผยแพร่ที่ดีเราใหค้ วามรู้
ในเร่ืองของพระพุทธศาสนาเป็นหลกั การชดั เจนถกู ตอ้ ง เกิดความรู้ ความเขา้ ใจ เจริญรุ่งเรือง ถา้ หาก
เผยแพร่ไม่ดี มีความขดั แยง้ เผยแพร่ส่ิงท่ีไม่ถูกตอ้ ง ก่อให้เกิดความสับสนในหม่ชู าวพุทธ คนที่
ไดร้ ับแทนท่ีจะเกิดความเขา้ ใจพุทธศาสนากเ็ กิดความเขา้ ใจผดิ เกิดความสับสนแทนท่ีจะเกิดความ
เจริญก็เกิดความเส่ือมได้ จึงบอกไดว้ า่ ส่ิงเหล่าน้ีมีท้งั คุณและโทษ เพราะฉะน้นั เราจึงจะตอ้ งพยายาม
ถอื เอาเฉพาะประโยชน์จากยคุ ข่าวสารข้อมูล คือใชม้ นั ใหเ้ ป็ นประโยชน์ ทาให้ไดผ้ ลในแง่ดี ถา้ เรา

๓๔ พระธรรมปิ ฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) “ทิศทางอุดมศึกษาในยุคไอที.” พุทธจักร ปี ท่ี ๕๒ (มิถุนายน
๒๕๔๑), หนา้ ๘.

๓๕ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), “พระพุทธศาสนาในยคุ โลกาภิวฒั น์,” พุทธจักร. ปี ที่ ๕๑
(มกราคม ๒๕๓๙), หนา้ ๗-๙.

๑๒๑

ไม่ใชม้ นั ให้เป็ นประโยชน์ มนั ก็อาจจะใชเ้ ราให้เป็ นประโยชน์ เอาสถาบนั พระพุทธศาสนาใชใ้ ห้
เป็ นประโยชน์หรือบางทีก็ใชใ้ ห้เป็ นโทษดว้ ย เพราะเราใชป้ ระโยชน์ของข่าวสารขอ้ มลู หรือไม่ก็
ตาม ตวั ข่าวสารเหตุการณ์ย่อมเกิดข้ึนเสมอ เพราะว่าสถาบันพระพุทธศาสนาวงการชาวพุทธน้ัน
กวา้ งใหญ่ไพศาล เหตุการณ์ในวงการชาวพุทธเกิดข้ึนอยเู่ สมอและก็ตอ้ งเป็ นข่าวไป ถา้ เราไม่เป็ น
ฝ่ ายรุกฝ่ ายกระทาเราก็ตอ้ งเป็ นฝ่ ายรับ จะเรียกว่าถกู บุกหรือกระหน่าก็ได้ และอาจจะเกิดโทษแก่
สถาบนั พระพทุ ธศาสนา๓๖

พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงใชภ้ าษาในการเผยแผด่ ว้ ยถอ้ ยคาท่ีงดงาม ไม่มีโทษ ทาใหเ้ ห็น
แจง้ ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ดว้ ยธรรมกิ ถา อาจผกู ส้นั ๆ ได้ แค่ว่า แจ่มแจง้ จูงใจ อาจหาญ ร่า
เริง หรือช้ีชดั เชิญชวน เบิกบาน พระพุทธองคท์ รงมีพระสุรเสียงไพเราะ และตรัสพระวาจาสุภาพ
สละสลวย อยา่ งคาชมของจงั กีพราหมณ์ท่ีว่า “พระสมณโคดม มีพระวาจาไพเราะ รู้จกั ตรัสถอ้ ยคา
ไดง้ ดงาม มีพระวาจาสุภาพ สละสลวย ไม่มีโทษ ยงั ผฟู้ ังใหเ้ ข้าใจเน้ือหาไดช้ ดั แจง้ ” และคาของ
อตุ ตรมาณพที่วา่ “พระสุรเสียงท่ีเปล่งถอ้ ยจากพระโอษฐ์น้นั ประกอบดว้ ย คุณลกั ษณะ ๘ ประการ
คือ แจ่มใส ๑ ชดั เจน ๑ นุ่มนวล ๑ ชวนฟัง ๑ กลมกลอ่ ม ๑ ไม่พร่า ๑ ซ้ึง ๑ กงั วาน ๑” หรือตามมหา
บุรุษลกั ษณะขอ้ ท่ี ๒๘ ว่า มีพระสุรเสียงดุจพระพรหมตรัส มสี าเนียงไพเราะดุจนกการเวก ใชว้ าจา
สุภาพ นุ่มนวล ไม่หยาบคาย ชวนใหส้ นใจ สละสลวย เขา้ ใจง่าย แต่เม่อื แสดงธรรมตามปกติกไ็ ม่ ยก
ยอ และไม่รุกรานที่ประชุม ทรงช้ีใหร้ ู้ เขา้ ใจชดั เจนไปตามธรรม๓๗ พุทธพจนแ์ ห่งหน่ึงท่ีตรัสสอน
ภิกษุแสดงธรรมเรียกกันว่า ในการดาเนินชีวิตในโลกกวา้ งจะตอ้ งนาธรรมะไปสั่งสอนตามแบบ
พุทธวิธีเพื่อเป็ นแนวทางในการปูพ้ืนฐาน เพ่ือหลอมศาสนิกชนให้เข้าใจหลักธรรมตามหลกั
ยทุ ธศาสตร์ การเผยแพร่พุทธยคุ โลกาภิวฒั น์ คือ

๑. สันทสั สนา การช้ีแจงแสดงเหตุผล บาปบุญคุณโทษของหลกั ธรรมขอ้ น้นั ๆ อย่าง
แจ่มแจง้

๒. สมาทปนา คือการช้ีแจงแสดงเหตุผล แสดงบาปบุญคุณโทษของหลกั ธรรมขอ้ น้นั ๆ
ใหย้ อมรับนบั ถือ

๓. สมุตเตชนา คือช้ีแจงแสดงเหตุผล แสดงบาปบุญคุณโทษของธรรมข้อน้ัน ๆ ให้
ยอมรับนบั ถอื และนาไปปฏิบตั ิเป็นคุณธรรมประจาใจ

๓๖ พระธรรมปิ ฎก (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) “การเผยแพร่ธรรมในยคุ ขอ้ มูลขา่ วสาร” พทุ ธจกั ร. ปี ที่ ๔๙ ฉบบั ที่
๙ (มกราคม ๒๕๓๘), หนา้ ๘-๙.

๓๗ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต), เทคนิคการสอนของพระพุทธเจ้า, กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิพุทธ
ธรรม ๒๕๓๐), หนา้ ๔๓.

๑๒๒

๔. สมั ปหงั สนา คือ การช้ีแจงแสดงเหตุผล แสดงบาปบุญคุณโทษของหลกั ธรรมขอ้ น้นั
ๆ ใหผ้ ฟู้ ังร่าเริง บนั เทิงใจ เกิดความแช่มชื่นเบิกบานใจ ไมใ่ หง้ ่วงเหงาหาวนอน พระผมู้ ีพระภาคเจา้
ทรงแสดงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมิกถา ดงั พระบาลีว่า “อถ โข ภควา
เวรญฺช พฺราหฺมณ ธมมฺ ิยา กถาย สนฺทสฺเสตวฺ า สมาทเปตฺวา สมุตฺเตเชตฺวา สมฺปหเสตวฺ า อุฏฺ ฐายสนา
ปกกฺ าม”ิ ๓๘

ในการแสดงธรรมน้นั พระพุทธเจา้ ทรงตรัสองคแ์ ห่งธรรมกถึกต่อพระอานนทด์ งั น้ีวา่
อานนท์ การแสดงธรรมใหค้ นอน่ื ฟัง มใิ ช่ส่ิงที่กระทาไดง้ ่าย ผแู้ สดงธรรมแก่ คน

อ่ืน พึงต้งั ธรรรม ๕ อยา่ งไวใ้ นใจ คือ
๑. เราจกั กลา่ วช้ีแจงไปตามลาดบั
๒. เราจกั กลา่ วช้ีแจง ยกเหตุผลมาแสดงใหเ้ ขา้ ใจ
๓. เราจกั แสดงดว้ ยอาศยั ความเมตตา
๔. เราจกั ไมแ่ สดงธรรมดว้ ยเห็นแก่อามสิ
๕. เราจกั แสดงธรรมไปโดยไมก่ ระทบตนและผอู้ น่ื ๓๙

ในการเผยแพร่ทุกคร้ังควรมีท้งั ภาคปริยตั ิและภาคปฏิบตั ิ ปริยตั ิคนลืมเร็ว แต่การปฏบิ ตั ิน้ัน
จะอยใู่ นใจคนฟังคนปฏบิ ตั ิตลอดไป จติ วทิ ยาการเผยแพร่ของพระพุทธเจ้า๔๐ การพดู ทุกคร้ังควรให้
ครบ ๔ รส คือ พูดให้ชดั ชวนให้ติดตาม ก่อให้เกิดกาลงั ใจ สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลิน ใน
พระสูตรทุกสูตรจะมี ๓ ตอน คือ นิทานวจนะ ตวั พระสูตร และนิคมวจนะ การเทศน์ตอ้ งมีอุเทศ-
บทต้งั นิเทศ-บทแสดง และปฏินิเทศ บทสรุป หรือเอาแบบพระพุทธองค์ คือ อาทิกลฺยาณ ตน้ ต่ืนเตน้
มชฺเฌกลยฺ าณ กลางกลมกลอ่ ม ปริโยสาณกลฺยาณ จบจบั ใจ นกั เผยแพร่ท่ีดีควรเป็นนกั ตอบปัญหาท่ีดี
๔ วิธี คือ

๑. เอกงั สพยากรณยี ปัญหา ปัญหาท่ีควรตอบโดยนยั เดียว
๒. ปฏปิ ุจฉาพยากรณยี ปัญหา ปัญหาท่ีควรแยกตอบ
๓. วภิ ชั ชพยากรณยี ปัญหา ปัญหาที่ควรตอบโดยยอ้ นถาม
๔. ฐปณยี ปัญหา ปัญหาท่ีควรงดตอบ๔๑

๓๘ วิ.มหา. (บาลี) ๑/๒๓/๑๓, ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๒๓/๑๕. ท.ี สี.(บาลี) ๙/๓๕๘/๑๕๐, ที.สี. (ไทย) ๙/๓๕๘/
๑๕๐.

๓๙ องฺ.ปญฺจก. (บาลี) ๒๒/๒๐๒/๒๓๓, องฺ.ปญจฺ ก. (ไทย) ๒๒/๒๐๒/๓๔๔.
๔๐ พระสุธีวรญาณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ), พุทธศาสตรปริทรรศน, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลยั ๒๕๔๑), หนา้ ๒๙๒-๒๙๓.
๔๑ ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๓๑๒/๒๐๔, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙.

๑๒๓

จุดมุง่ หมายของการแสดงธรรม ผแู้ สดงธรรมควรคานึงถงึ จุดมุ่งหมายแห่งการฟังธรรม
๕ ประการ คือ

๑. ผฟู้ ังยอ่ มไดฟ้ ังส่ิงที่ยงั ไม่เคยฟัง
๒. ส่ิงใดท่ีเคยฟังแลว้ แต่ไม่เขา้ ใจชดั ยอ่ มเขา้ ใจในส่ิงน้นั ชดั
๓. บรรเทาความสงสยั เสียได้
๔. ทาความเห็นใหถ้ กู ตอ้ งได้
๕. จิตของผฟู้ ังยอ่ มผอ่ งใส
การแสดงธรรม ผแู้ สดงธรรมตอ้ งมุ่งให้ผฟู้ ังไดร้ ับอานิสงส์ ๕ ประการน้ี ถา้ แสดงแลว้
ผฟู้ ังไมร่ ู้เร่ือง ไม่แจ่มแจง้ ไม่หายสงสัย ไมเ่ ปลี่ยนความคิดเห็นที่ผิด จิตใจไม่แจ่มใสเบิกบาน เช่นน้ี
ที่ชื่อว่าแสดงธรรมไมถ่ งึ จุดหมาย ถา้ ไดผ้ ลตรงกนั ขา้ มก็ชื่อวา่ แสดงธรรมตรงจุดหมาย
คาสรรเสริญของพระพทุ ธเจา้ ว่า
๑. ทรงแสดงธรรมเพ่อื ใหผ้ ฟู้ ังรู้ยง่ิ เห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
๒. ทรงแสดงธรรมมีเหตุผลท่ีผฟู้ ังอาจตรองตามใหเ้ ห็นจริงได้
๓. ทรงแสดงธรรมเป็ นอศั จรรย์ คือ ผปู้ ฏิบตั ิตามยอ่ มไดป้ ระโยชน์โดยสมควรแก่การ
ปฏบิ ตั ิ
ผฟู้ ังไดร้ ับอานิสงส์ ๕ ประการทุกคร้ังท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรม๔๒
๑. ไดฟ้ ังส่ิงที่ยงั ไมเ่ คยฟัง
๒. เขา้ ใจชดั สิ่งท่ีไดฟ้ ังแลว้
๓. บรรเทาความสงสยั เสียได้
๔. ทาความเห็นไดต้ รง
๕. จิตของผฟู้ ังธรรมยอ่ มเล่ือมใส
คาพูดสามารถเปล่ียนเหตุการณ์ร้ายให้เป็ นดีได้ คนมีทุกข์ พูดให้ลืมทุกข์ได้ คนเกียจ
คร้านพดู ให้ขยนั ได้ คนโง่พดู ให้ฉลาด คนว่นุ วายพดู ให้สงบได้ คนด้ือพดู ให้กลบั เป็ นคนดีได้ เช่น
สิงคาลมาณพ คนเสียสติพดู ใหเ้ ป็นคนกลบั มสี ติได้ นางปฏาจารา คนววิ าทพดู ใหส้ ามคั คีกนั ได้ โทณ
พราหมณ์ คนสามคั คีพดู ใหแ้ ตกความสามคั คีกนั เช่น วสั สการพราหมณ์ และคนชว่ั พดู ใหเ้ ป็ นคนดี
ได้ เช่น องคุลมิ าล
การแสดงธรรมใหป้ ระสบผลสาเร็จ ทาใหค้ นเล่อื มใส นกั เผยแผต่ อ้ งคานึงถึงผฟู้ ังซ่ึงมี ๔
จาพวก คือ
๑. รูปปฺปมาณกิ า จาพวกถอื รูปเป็นประมาณ (รูปงาม)

๔๒ องฺ.ปญจฺ ก. (บาลี) ๒๒/๒๐๒/๒๓๓, องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๒๐๒/๓๔๔.

๑๒๔

๒. โฆสปฺปมาณกิ า จาพวกถอื เสียงเป็นประมาณ (เสียงเพราะ)
๓. ลขู ปฺปมาณกิ า จาพวกถอื ความเคร่งครัด (ระเบียบ) เป็นประมาณ
๔. ธมมฺ ปฺปมาณกิ า จาพวกถือธรรม (ความรู้) เป็นประมาณ๔๓

๓.๙ หลกั และวธิ ีการเผยแผ่พทุ ธธรรม

ผทู้ ่ีมีหน้าที่ในการเผยแผธ่ รรมะโดยตรงคือ พระสงฆใ์ นพุทธศาสนา การที่พระสงฆจ์ ะ
ทาหนา้ ท่ีสง่ั สอนประชาชนใหไ้ ดผ้ ลดี จะตอ้ งสนบั สนุนใหม้ กี ารอบรมศึกษาและปฏบิ ตั ิตามธรรมะ
น้นั ให้เข้าใจและไดผ้ ลแก่ตนก่อน จึงเป็ นหน้าท่ีของคณะสงฆท์ ่ีจะตอ้ งทาให้พระสงฆ์มีความรู้
แตกฉานในพระธรรมวินยั เพ่อื ใหพ้ ระสงฆท์ าหน้าที่สง่ั สอนประชาชนตามหลกั การ ๓ ประการ คือ
สอนธรรมะให้ผฟู้ ังรู้จริง เห็นจริงในสิ่งท่ีบุคคน้ันควรรู้ สอนธรรมะที่มีเหตุผลที่ผฟู้ ังสามารถ
ไตร่ตรองพจิ ารณาแลว้ เห็นจริงจนเป็นสิ่งอศั จรรยแ์ ก่ผฟู้ ังและปฏบิ ตั ิตามธรรมะใหไ้ ดร้ ับผลตามควร
แก่การปฏิบตั ิ ในหลกั การสอนทวั่ ไปของพทุ ธศาสนาน้นั พระราชวรมุนี๔๔ ไดล้ าดบั หลกั การไว้ ๓
ประการ ดงั น้ี

๑. เก่ียวกบั เน้ือเรื่องท่ีสอน โดยธรรมชาติของคาสอนในพุทธศาสนาน้นั ตอ้ งอยใู่ นกรอบ
๓ ประการ คือ เป็นเน้ือหาสาระที่ก่อให้เกิด คารวะธรรม สามคั คีธรรมและปัญญาธรรม หมายความ
ว่าเน้ือหาที่สอนจะต้องสร้างความเคารพในความเป็ นมนุษยข์ องแต่ละบุคคล ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั
หลกั การประชาธิปไตรท่ีตอ้ งการใหม้ นุษยย์ อมรับคุณค่าของความเป็ นมนุษยข์ องแต่ละคนไม่มีการ
เหยียดหยามแบ่งแยก (Respect of Individuals) จะต้องให้เกิดความร่ วมมือร่ วมใจกันในหมู่
ประชาชนภายในสังคม ไม่ใช่สอนให้เกิดความแตกแยก สอนให้รู้จกั แบ่งปัน ซ่ึงตรงกบั หลกั การ
ประชาธิปไตยในหวั ขอ้ การรับผดิ ชอบต่อหม่คู ณะ การมสี ่วนร่วมในการแกป้ ัญหาสงั คมในทุกเร่ือง
ทุกระดบั (Sharing, participation and co-operation) ตลอดจนสอนใหค้ นเรามีเหตุผลยอมรับการใช้
สติปัญญาในการแสวงหาทางแกป้ ัญหาของตนและสงั คม ไมใ่ ช่สอนใหห้ ลงเช่ืองมงายกบั เร่ืองเหนือ
ธรรมชาติเหนือเหตุผล ตรงกบั หลกั การประชาธิปไตยในเรื่องท่ีเนน้ ความเชื่อมน่ั ในความสามารถ
ของมนุษย์ในการใช้เหตุผลและสติปัญญาหาทางเลือกชีวิตท่ีดีกว่า (Faith in the Method of
Intelligence)๔๕

๔๓ องฺ.จตุกฺก. (บาลี) ๒๑/๖๕/๘๑, องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๐๘-๑๐๙.

๔๔ พระราชวรมุนี (ป.อ.ปยตุ ฺโต), เทคนิคการสอนของพระพทุ ธเจ้า, หนา้ ๓๑-๔๒.

๔๕ ธนัน ญาณพิทกั ษ์, พุทธศาสนากับประชาธิปไตย, วารสารจันทรเกษม ๘๘ (พฤษภาคม-มิถุนายน
๒๕๑๒), หนา้ ๒๓-๓๒..

๑๒๕

๒. เกี่ยวกบั ตวั ผฟู้ ัง คานึงถงึ แบะสอนใหเ้ หมาะสมตามความแตกต่างระฟว่างบุคคล เช่น
รู้ถึงข้ันพ้ืนฐานของผฟู้ ังรู้ระดบั ความสามารถของเขาในการรับฟัง ปรับวิธีการสอนให้เหมาะกับ
บุคคลแมส้ อนเรื่องเดียวกนั แต่ต่างบุคคลอาจตอ้ งใชว้ ิธีการที่แตกต่างกนั และคานึงถงึ ความแตกต่าง
ของความพร้อมกบั ความสุกงอมทางความคิดของผฟู้ ัง สอนโดยใหผ้ ฟู้ ังลงมอื ทาเอง ช่วยใหผ้ ฟู้ ังเกิด
ความรู้ความเขา้ ใจชดั เจนแมน่ ยาและไดผ้ ลจริง การสอนควรดาเนินในรูปท่ีใหร้ ู้สึกว่าผฟู้ ังกบั ผสู้ อน
มบี ทบาทร่วมกนั ในการแสวงหาความจริง เพ่ือให้เกิดอิสรภาพทางความคิดให้ผฟังมองเห็นความ
จริงดว้ ยตนเอง เอาใจใส่แก่บุคคลที่ควรไดร้ ับความสนใจเป็ นพิเศษ เป็ นรายๆ ไปตามสมควรแก่
กาลเทศะ และเหตุการณ์ และผเู้ ผยแพร่ควรช่วยเหลอื เอาใจใส่คนท่ีดอ้ ย ที่มีปัญหาให้กาลงั ใจแก่เขา
วิธีการในการสอนที่สามารถสร้างความรู้สึกร่วมให้เกิดข้ึนกับผูร้ ับการถ่ายทอด ท่ีสาคัญตาม
หลกั การสื่อสาร คือการเปิ ดโอกาสใหม้ ีการโตแ้ ยง้ แลกเปล่ียนความคิดเห็นเหตุผลของกนั และกนั
เทคนิคการสอนเช่นวา่ น้ีในสมยั พระพุทธองค์กใ็ ชอ้ ยเู่ สมอ โดยพระองคม์ กั จะสนทนาหวั ขอ้ ธรรม
กบั ผทู้ ่ีมาเฝ้ าพระองค์ ไม่ทรงเลือกว่าจะเป็นช้นั ใด ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ระดบั สติปัญญา และความสามารถ
ของผฟู้ ังหรือท่ีเรียกกนั ในหม่พู ระสงฆก์ ค็ ือแลว้ แต่ระดบั ของทิฏฐิของผฟู้ ัง พระพุทธองคไ์ ม่นิยม
สอนโดยการสั่งให้เชื่อหรือให้คิดตาม แต่จะทรงเน้นให้ยอมรับโดยเขาเห็นว่าเหตุผลของเขาไม่
สามารถโตแ้ ยง้ คาสอนของพระองค์ไดอ้ ีกต่อไป และเห็นวา่ หลกั การของพระองค์ถกู ตอ้ งกว่า เป็ น
วธิ ีการสอนแบบส่ือสารสองทาง

๓. เก่ียวกบั ตวั ผเู้ ผยแพร่ การสอนหรือเผยแผ่ธรรมะเน้นผสู้ อน ควรเริ่มตน้ ดว้ ยการสร้าง
ความสนใจให้เกิดข้ึนแต่ตน้ สร้างบรรยากาศการเผยแพร่หรือการสอนใหป้ ลอดโปร่ง เพลิดเพลิน
ไมต่ ึงเครียด ไมใ่ หเ้ กิดความอึดอดั และใหเ้ กียรติแก่ผฟู้ ัง สอนม่งุ เน้ือหาใหเ้ กิดความเขา้ ใจเป็นสาคญั
ไมก่ ระทบตนและผอู้ ื่น ไมม่ ุ่งยกตนข่มท่าน ไมม่ ุ่งเสียดสี หรือตาหนิติเตียนใครใหเ้ สียหาย สอนโดย
เคารพ คือต้งั ใจสอนทาจริงดว้ ยความรู้สึกว่ามีคุณค่า มองเห็นความสาคญั ของผฟู้ ังและงานการ
เผยแพร่น้ันมิใช่เพียงแต่เผยแพร่ไป หรือเห็นวา่ ผฟู้ ังโง่เขลาหรือเป็ นคนช้นั ต่า การเผยแพร่ควรใช้
ภาษาสุภาพนุ่มนวลไม่หยาบคาย เขา้ ใจง่ายสละสลวย

พระสุธีวรญาณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ)๔๖ ไดเ้ ขียนปรารภไวว้ ่า หน้าที่หลกั ของพระสงฆ์
คือ การเผยแพร่ธรรม นาการปฏิบตั ิ พฒั นา และปรึกษากิจ ดงั น้นั งานเผยแผจ่ ึงเป็นงานแรกท่ีทุกรูป
จะพงึ กระทา แต่ทาไมจึงทาไม่ไดด้ ีเพราะสาเหตุ ๓ ประการ คือ

๑. ผเู้ ผยแพร่ขาดความรู้และความแตกฉานในธรรม มีความรู้ช้นั สญั ญา ไม่ถงข้นั ทิฏฐิ
และระดบั ญาณ

๔๖ พระสุธีวรญาณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ), พทุ ธศาสตรปริทรรศน, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๑), หนา้ ๒๘๙-๒๙๒.

๑๒๖

๒. ผเู้ ผยแผ่ขาดความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดธรรม เช่น ไม่เคยฝึ กการพดู ในที่
ชุมชน หรือพฒั นาบุคลกิ ภาพ ใชเ้ สียงเบา ใชบ้ าลีมาก ยกหวั ขอ้ ธรรมมาก ไม่เตรียมตวั ไม่สงั เกตคน
ฟัง ติดรูปแบบ ใชเ้ วลามาก เป็นตน้

๓. ผเู้ ผยแผข่ าดความพอใจ เต็มใจ และความรักในการสอนธรรม เผยแผธ่ รรมเอาแต่ฝ่ าย
รับไม่ทาแบบฝ่ ายรุก

สรุปท้ายบท

การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาไดแ้ พร่หลายไปทวั่ ทุกสารทิศ ท้ังจานวนผเู้ ผยแผแ่ ละจานวน
ของผทู้ ่ีนับถือพระพุทธศาสนาก็มีจานวนมากยงิ่ ข้ึน ตอ้ งยอมรับวา่ องคก์ รที่สาคญั คือ องคก์ รผเู้ ผย
แผ่ น้นั คือ พระสาวกทาให้กองทพั ธรรมซ่ึงมีพระพุทธเจา้ เป็ นพระธรรมราชา มีพระสารีบุตรเป็ น
ธรรมเสนาบดี มีพระมหาโมคัลลานะเป็ นธรรมเสนาซ้าย มีบทบาทสาคัญย่ิงในการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา การวจิ ยั ในคร้ังน้ีจะเลอื กนาเสนอพระสาวกที่ท่านไดท้ างานในเรื่องของการเผยแผ่
ท่ีมีบทบาทสาคญั ๆ เฉพาะบางรูปเท่าน้ันมาเป็ นตวั อยา่ ง เพ่ือใหม้ องเห็นภาพรวมในบทบาทและ
รูปแบบวธิ ีการของการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา

พระอสั สชิ เป็นพระสาวกรูปหน่ึงท่ีผคู้ นเห็นแลว้ เกิดความรักใคร่พอใจ เลื่อมใสศรัทธา มี
เร่ืองเลา่ ว่า พระอสั สชิ ท่านเป็นพระท่ีเรียบร้อย มีกิริยาที่กา้ วไป ถอยกลบั แลดู เหลียวดู คเู้ ขา้ เหยยี ด
ออก น่าเล่ือมใส มีจกั ษุทอดลง ถึงพร้อมดว้ ยอิริยาบถ เวลาเดินแต่ละยา่ งกา้ วดูเรียบร้อย อุปติสสะ
คือ พระสารีบุตรเห็นกิริยาอาการของพระอสั สชิเท่าน้ัน ก็เกิดความศรัทธา อยากเขา้ ไปหาร่วม
สนทนาดว้ ย

พระมหากสั สปเถระ เป็ นแบบอย่างของผสู้ ันโดษท่ีก่อให้เกิดความเล่ือมใสของผมู้ ีความ
เป็ นอย่อู ย่างเรียบง่าย อนั เป็ นธรรมเนียมของนักบวชที่ควรใช้เป็ นตัวอย่างของการปฏิบตั ิดา้ นน้ี
ความเป็ นผคู้ งแก่เรียน ท่านพระมหากสั สปเถระ แมบ้ วชเมื่ออายุมาก ท่านก็ไม่ทอดธุระในพระ
ศาสนา มุ่งประพฤติปฏิบตั ิจนเกิดความสมบูรณ์ในไตรสิกขา ไปถึงที่จุดหมาย คือ พระอรหัตผล
เป็นผแู้ ตกฉานในองคธ์ รรม อบรมสงั่ สอนภิกษุท้งั ทางตรงและทางออ้ ม จนเป็นที่เคารพของหมภู่ ิกษุ

พระสารีบุตร ในดา้ นการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ท่านมีวิธีเผยแผ่ในลกั ษณะ ให้คาแนะนา
ปรึกษา สนทนา ตอบปัญหาขอ้ ขอ้ งใจ และการแสดงธรรม เมอื่ ไดฟ้ ังจากพระบรมศาสดาแลว้ นาไป
ถ่ายทอดแก่ภิกษุ ภิกษุณี อบุ าสกอุบาสิกา และบุคคลทว่ั ไปใหเ้ ขา้ ใจหลกั ธรรม อนั ลกึ ซ่ึงดว้ ยวธิ ีการ
บรรยาย อธิบาย ขยายความ เปรียบเทียบ และตอบปัญหาธรรม เป็ นตน้ จนเป็นท่ีไวว้ างพระทยั ของ
พระพทุ ธเจา้ ทาใหบ้ ุคคลทวั่ ไปศรัทธาเลอ่ื มใสแลว้ หนั มานบั ถอื พระพุทธศาสนากนั อยา่ งแพร่หลาย

๑๒๗

พระอานนท์ ผลงานท่ีสาคญั คือ ท่านมีบทบาทในการเผยแผ่ในลกั ษณะให้คาแนะนา คา
ปรึกษา สนทนา ตอบปัญหา ขอ้ ขอ้ งใจ และการแสดงธรรม โดยท่านไดร้ ับฟังจากพระพุทธเจา้ ศกึ ษา
แลว้ นาไปถ่ายทอดหรือเผยแผแ่ ก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และบุคคลทว่ั ไป ดว้ ยวิธีการต่างๆ
เช่น การบรรยาย การอธิบาย ขยายข้อความ เปรียบเทียบ และถามตอบ เป็ นตน้ จนเป็ นที่ศรัทธา
เล่ือมใส และยอมรับ ในการรักษาพระสทั ธรรมใหค้ งอยู่ โดยการศึกษาและทรงจาในเถรคาถา ได้
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ จนไดร้ ับการคดั เลือกให้เข้าร่วมปฐมสังคายนา ในฐานะผวู้ ิสัชนาพระ
ธรรม นาเสนอพระโอวาทและพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าต่อท่ีประชุมสงฆใ์ หจ้ ดั หมวดหมู่
จนกลายมาเป็ นพระสูตร พระอภิธรรมและท่านยงั ได้สร้างทายาทสืบต่อในคัมภีร์สังยุตตนิกาย
นิทานวรรค และอรรถกถา ซ่ึงภิกษุผเู้ ป็นศิษยข์ องท่านไดม้ บี ทบาทสาคญั ใน การสงั คายนา คร้ังท่ี ๒

พระมหากจั จายนะ ผลงานท่ีสาคญั คือ เป็ นผทู้ าหน้าที่แทนพระพุทธเจา้ ในการประกาศ
พระศาสนา ในดา้ นการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ท่านใชว้ ิธีการสอน ๔ อยา่ ง คือ สนั ทสั สนา สมาทป
นา สมุตเตชนา และสัมปหังสนา พร้อมท้งั ใชร้ ูปแบบการสอนอีก ๔ อย่าง คือ การสนทนาธรรม
การบรรยายการตอบปัญหา และการวางกฎระเบียบ โดยการอธิบายพทุ ธพจน์อยา่ งละเอียดลึกซ้ึงแก่
พุทธบริษทั และบุคคลทว่ั ไปใหเ้ ขา้ ใจในหลกั ธรรมอยา่ งแจ่มแจง้ เหมอื นกบั พระพุทธเจา้ ทรงแสดง
เองดว้ ยการบรรยายอธิบายเน้ือความแห่งธรรม และตอบปัญหาธรรม เป็ นตน้ จนพระพุทธเจา้ ทรง
ใหไ้ ปประกาศพระพทุ ธศาสนา ณ แควน้ อวนั ตี ทาใหเ้ กิดมีผศู้ รัทธาเล่อื มใสเป็นจานวนมาก

พระโสณะกฏุ กิ ณั ณะ ผลงานท่ีสาคญั กค็ ือเร่ืองท่ีท่านสวดอฏั ฐกวรรคถวายพระพทุ ธเจา้ ถือ
ว่าเป็นผลงานที่สาคญั เพราะ พระสารีบุตรไดน้ ามาอธิบาย พระสงั คีติจารยจ์ ดั เป็นพระไตรปิ ฎกเล่มที่
๒๙ การแสดงธรรมแก่อุบาสกอุบาสิกาของพระโสณะกุฏิกณั ณะ ทาให้อุบาสกอุบาสิกามีความ
เขา้ ใจในหลกั ธรรมคาสอนในพระพุทธศาสนาไดอ้ ยา่ งไม่มขี อ้ สงสยั ในหลกั ธรรม และนะไปปฏบิ ตั ิ
ในชีวิตประจาวนั ไดอ้ ย่างดียง่ิ เช่น แสดงธรรมแก่มารดาของท่านและบริวารท่านแสดงธรรมได้
อย่างไพเราะ เน่ืองจากขณะท่ีฟังธรรมมีโจรเข้าปลน้ บา้ นยงั บอกให้โจรเอาสมบัติไปแต่อยา่ มา
รบกวนเวลาฟังธรรม ทาใหม้ ารดาของท่านและบริวารที่มคี วามเลอื่ มใสในพระพทุ ธศาสนาอยแู่ ลว้ มี
ความเลือ่ มใสมากยงิ่ ข้ึนไป

๑๒๘

กจิ กรรมท้ายบท

๑. พระอสั สชิเถระมีหลกั การและวิธีการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาอยา่ งไรบา้ ง
๒. พระสารีบุตรเถระมีหลกั การและวธิ ีการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาอยา่ งไรบา้ ง
๓. พระอสั สชิเถระมีหลกั การและวิธีการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาอยา่ งไรบา้ ง
๔. พระปุณณมนั ตานีบุตรเถระมหี ลกั การและวธิ ีการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาอยา่ งไรบา้ ง
๕. พระอรุ ุเวลกสั สปเถระมีหลกั การและวิธีการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาอยา่ งไรบา้ ง
๖. ท่านคิดวา่ พระพุทธศาสนาในสถานการณ์ปัจจุบนั เป็นอยา่ งไร

บทที่ ๔
รูปแบบและหลักการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา

๔.๑ แนวคดิ เกีย่ วกบั การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา

การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาเร่ิมมีข้ึนต้งั แต่สมยั คร้ังพุทธกาลหลงั จากที่พระพุทธองค์ ไดส้ ่ง
พระสาวกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่เมืองต่าง ๆ ทาให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองมา
ตามลาดบั มีประชาชนเขา้ มานบั ถือพระพุทธศาสนาเป็นจานวนมาก พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง
ไปสู่เมืองต่าง ๆ เป็ นลาดบั การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา มีวิธีการสืบทอดและพฒั นาตามยคุ สมยั จาก
พระศาสดามาสู่ พระสาวก รูปแบบและวธิ ีการเผยแผท่ ่ีใชม้ ีการสืบทอดเร่ือยมาหลายรูปแบบ อาทิ
การแสดงธรรม๑ การสนทนาธรรม๒ การแนะนาส่งั สอน๓ การปฏิบตั ิตนให้เป็ นที่น่าเล่ือมใส๔
และ การตอบปัญหาขอ้ ขอ้ งใจ๕ โดยที่พระพุทธเจา้ ไดป้ ระทานหลกั การและเทคนิคการเผยแผใ่ ห้
พระสาวกยดึ ถอื ปฏิบตั ิเป็นหลกั ในการเผยแผพ่ ระศาสนา การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา คือ การทาให้
พระพุทธศาสนาขยายวงกวา้ งออกไป ให้แพร่หลาย ไดแ้ ก่ การดาเนินการเพ่ือให้หลกั คาสอนใน
พระพุทธศาสนาเผยแพร่ออกไป ทาใหม้ ีผเู้ คารพเลื่อมใสศรัทธา ในพระรัตนตรัย น้อมนาเอาหลกั คา
สอนในพระพุทธศาสนาไปประพฤติปฏบิ ตั ิเพ่ือให้เกิดแก่ผปู้ ฏิบตั ิเหล่าน้นั เพราะพระพทุ ธศาสนา
บงั เกิดข้ึนเพ่ือประโยชน์สุขแก่ชาวโลกหวั ใจสาคญั ของการเผยแผค่ าสอนของพระพุทธศาสนา ก็
เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลก โดยใหเ้ กิดประโยชนส์ ุข ตามที่พระพุทธองคท์ รงประสงค์ ๓ ประการ
คือ ทิฏฐธมั มิกตั ถประโยชน์ (ประโยชนใ์ นชาติน้ี) สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ (ประโยชน์ในชาติหนา้ )
และปรมตั ถประโยชน์ (ประโยชน์อย่างยิ่ง คือพระนิพพาน) บุคลากรเผยแผ่พระพุทธศาสนา
หมายถึง พระสังฆาธิการทุกระดบั ช้นั เลขานุการเจ้าคณะจงั หวดั เลขานุการเจา้ คณะอาเภอ พระ
ธรรมทูต พระนักเทศน์ พระวิป้ สสนาจารย์ พระจริยานิเทศ พระปริยตั ินิเทศ ครูสอนพระปริยตั ิ
ธรรมแผนกธรรมบาลี ครูสอนปริยตั ิธรรมแผนกสามญั ศึกษา และครูสอนศลี ธรรมในสถานศกึ ษา มี
หนา้ ที่จะตอ้ งรับผดิ ชอบ ดา้ นการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ตามระเบียบมหาเถรสมาคม วา่ ดว้ ยการเผย

๑ ว.ิ ม. (ไทย) ๑๐ / ๒๐ / ๒๗.
๒ ส.ส. (ไทย) ๑๙ / ๙๐๑ / ๔๓๔.
๓ ส.ส. (ไทย) ๑๗ / ๘๗ / ๑๔๗.
๔ วิ.ม. (ไทย) ๔ / ๖๐ / ๗๒.
๕ ส .ส. (ไทย) ๑๙ / ๘๒๗ / ๔๐๐.

๑๓๐

แผ่พระพุทธศาสนา พ.ศ.๒๕๕๐๖ ตามระเบียบของมหาเถรสมาคมฉบับน้ี พระสังฆาธิการทุก
ระดบั ช้นั จะตอ้ งเป็ นผรู้ ับผดิ ชอบงานศาสนาดา้ นการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา อนั เป็นภารกิจสาคญั
ประจาตลอดเวลาท่ีดารงตาแหน่ง แยกออกเป็น ๒ ประเภท คือ

๑. เป็นธุระในการจดั การศกึ ษา อบรมสงั่ สอนพระธรรมวินยั แก่บรรพชิต
๒. เป็นธุระในการอบรม และสงั่ สอนธรรมะแก่คฤหสั ถ์
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ท้ังวัด และพระสงฆ์ได้ทาการเผยแผ่
พระพุทธศาสนามากเป็นพเิ ศษ ดงั น้นั จะเห็นไดจ้ ากมีหน่วยพระธรรมทูต ธรรมจาริก ธรรมพฒั นา
และหน่วยอบรมทางจิต มีท้งั หน่วยอบรมประชาชนประจาตาบล (อ.ป.ต.) ท้งั น้ีการเผยแผจ่ ะไดผ้ ลก็
ต่อเมอื่
๑. พระสงฆ์จะตอ้ งศึกษา ใหม้ ีความรู้ความเขา้ ใจในเร่ืองพระธรรมวินัย และปฏิบัติตาม
อยา่ งจริงจงั สอนอยา่ งไร ปฏบิ ตั ิอยา่ งน้นั
๒. ไม่สอนใหค้ ลาดเคลื่อนจากความจริง เพือ่ ประโยชนข์ องตน
๓. ไม่ยดึ ติดในแง่ใดแง่หน่ึงของหลกั ธรรม
๔. ไม่เห็นแก่ความง่าย ตีความพระธรรมวินัยตามความชอบใจ หรือความตอ้ งการของ
ประชาชน
๕. ไมส่ นองความตอ้ งการของผมู้ อี านาจ
๖. ประสานความเขา้ ใจ ความเชื่อหรือลทั ธิศาสนาอืน่ ๆ
พทุ ธศาสนิกชนทุกคนมหี นา้ ที่ เผยแพร่พุทธศาสนาใหก้ วา้ งไกลออกไปเพื่อประโยชน์สุข
ของชาวโลก ความวฒั นาสถาพรของพระพุทธศาสนาและความมน่ั คงของชาติไทย ผทู้ ่ีทาหนา้ ที่เผย
แผ่พระพุทธศาสนาไดด้ ีตอ้ งเป็ นผรู้ ู้ศาสนา และปฏิบตั ิตามคาสอนของศาสนาไดโ้ ดยสมบูรณ์เป็ น
นิจ การเผยแพร่ พระพุทธศาสนามีอยู่ ๒ คาที่ใช้อยู่ คือ คาว่า “เผยแพร่ ” และ “เผยแผ่” คาว่า
“เผยแพร่” เป็ นลักษณะของมิชชนั นารี คือ มุ่งม่นั จะให้ผอู้ ่ืนยอมรับในศาสนาของตน ซ่ึงเป็ น
ลกั ษณะของการจูงใจใหอ้ ีกฝ่ ายหน่ึงหนั มานบั ถอื คาสอนน้นั ๆ คาว่า “เผยแผ”่ หมายถึงการประกาศ
ให้ทราบ หากทราบแลว้ สนใจก็ไม่เป็ นที่รังเกียจ การเผยแผเ่ ป็ นศพั ท์ที่มีลกั ษณะอะลุ่มอล่วย และ
แสดงถึงมคี วามใจกวา้ ง และไมผ่ กู มดั ผอู้ ่ืนดว้ ยดว้ ยความคิดของตนเองหรือศาสนาของตน๗ ในการ
เผยแพร่หรือเผยแผ่พระพุทธศาสนา ถา้ กระทาโดยคฤหัสถ์ นิยมใชค้ าว่า “เผยแพร่”เช่น อานาจ

๖ สานักเลขาธิการมหาเถรสมาคม, สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, คู่มือพระสังฆาธิการ(พ.ศ.
๒๕๕๙),กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พส์ านกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๕๙),หนา้ ๓๗๐.-๓๗๕.

๗ สมเดจ็ พระมหารัชมงั คลาจารย์ (ช่วง วรปญุ ฺโญ), การเผยแผ่พระพุทธศาสนา, คู่มือพระสังฆาธิการว่า
ด้วยเรื่องการคณะสงฆ์และการศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพก์ ารศาสนา, ๒๕๔๐), หนา้ ๑๔๔

๑๓๑

หน้าที่ส่วนหน่ึงของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการคือ การเผยแพร่พระพุทธศาสนาอนั
นบั เป็นศาสนาประจาชาติ

องค์การ สมาคมต่าง ๆ ท่ีต้งั ข้ึนโดยมีวตั ถุประสงค์เก่ียวกับพระพุทธศาสนา จะใชค้ าว่า
เผยแพร่พระพุทธศาสนา แต่ถา้ เป็ นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณรหรือพระสงฆจ์ ะใชค้ าว่า เผยแผ่...
เช่น “พระพุทธศาสนาแพร่ หลายมาจนถึงทุกวันน้ี ก็เพราะพระสาวกได้ช่วยกันเผยแผ่
พระพุทธศาสนาถา้ ขาดการเผยแผแ่ ลว้ พระพทุ ธศาสนาจกั ไมแ่ พร่หลายมาจนถึงทุกวนั น้ี”

เก่ียวกบั การเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระธรรมทตู เป็นผแู้ ทนขอพระพุทธเจา้ เมอ่ื เป็นผแู้ ทน
ของพระพุทธเจา้ ในฐานพระธรรมทูตมหี นา้ ท่ีในการเผยแผธ่ รรม พระธรรมทูตมีหนา้ ที่เดียว หนา้ ที่
หลกั กค็ ือการเผยแผธ่ รรม การเผยแผธ่ รรมทาอยา่ งไร มีหลายวิธี วิธีแรกที่พระพุทธเจา้ ทรงปฏิบตั ิก็
คือการเทศน์ และถอื ว่าเป็ นวธิ ีหลกั ที่พระพุทธเจา้ ทรงถอื ปฏบิ ตั ิดว้ ยพระองคเ์ องมาโดยตลอด ๔๕ ปี
พระพทุ ธเจา้ เทศนไ์ ม่หยดุ เลย ส่วนวิธีอื่น เช่น พดู คุย ปาฐกถา บรรยาย มีผรู้ วบรวมทาวิจยั เอาไวว้ ่า
วิธีการสอนของพระพุทธเจา้ หรือวิธีการเผยแผข่ องพระพุทธเจา้ น้นั มีอยู่ ๗ ประการดว้ ยกนั เท่าที่
ท่านคน้ ควา้ ไวน้ านแลว้ คือ

๑. อปุ นิสินนกถา
๒. ธรรมกี ถา
๓. โอวาทกถา
๔. อนุสาสนีกถา
๕. ธรรมสากจั ฉากถา
๖. ปุจฉาวสิ ชั ชนากถา
๗. ธรรมเทศนากถา
ในเร่ืองน้ีจะไมก่ ล่าวถึงรายละเอียด ก็ใหร้ ู้ว่าวิธีเผยแผข่ องพระพุทธเจา้ กค็ ือการเทศน์ การ
เทศน์คืออะไร การเทศน์ก็คือการแสดงธรรม การช้ีแจง การบอกกล่าว นี่เรียกกันว่าเทศน์ สมยั
ปัจจุบนั น้ี เรากน็ าวิธีการเทศน์น้นั มาปรับเปลี่ยนใหเ้ ขา้ กบั ยุคเขา้ กบั สมยั การเทศน์น้นั กย็ งั คงอยู่ แต่
ว่าหนกั (ค่อนขา้ ง) ไปทางพิธีการ และเป็นพิธีการที่ศกั ด์ิสิทธ์ิ น่นั คือการเทศน์แบบเดิม ปรับเปลย่ี น
มาเป็ นปาฐกถา เรียกว่า “ปาฐกถาธรรม” พูดธรรมะ เปลี่ยนเป็ นบรรยายธรรม ก็คือพูดธรรมะ
เปลี่ยนเป็ นอภิปรายธรรม ก็คือการบรรยายธรรมเหมือนกนั แต่บรรยายหลายคน ปรับเปล่ียนเป็ น
การเทศนป์ ุจฉา-วสิ ชั ชนา สองธรรมาสน์ สามธรรมาสน์ ปรับเปลีย่ นไปตามยคุ ตามสมยั น้ีกเ็ ป็นการ
ทาหนา้ ที่เหมอื นกนั ทีน้ีทาอยา่ งไรถงึ จะไดผ้ ล น้ีคือตวั หลกั และน้ีก็เป็นอกี เหตุผลหน่ึงที่นิมนตท์ ่าน
ท้งั หลายมาประชุมกนั น้ี เพ่ือที่จะไดร้ ู้แนวทางในการเผยแผ่ธรรมในฐานะที่เป็ นพระธรรมทูต ให้
รู้จกั แนวทางใหร้ ู้จกั วิธีการ ส่วนรายละเอยี ด เน้ือหาสาระน้นั ก็คงจะพูดอะไรกนั ไม่ได้ ธรรมะน้นั

๑๓๒

เป็ นเรื่องใหญ่ ท่านท้งั หลายต้องมีทุนเดิมกนั อยแู่ ลว้ น่ันก็คือตอ้ งมีความรู้ด้านธรรมะ ไดศ้ ึกษา
นักธรรมบ้าง บาลีบ้าง อ่านหนังสือด้วยตนเองบา้ ง ส่ิงเหล่าน้ีเรียกว่าเป็ นตน้ ทุนในการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา๘

๔.๒ ความหมายของการเผยแผ่

การเผยแผ่ หมายถึง การทาใหพ้ ระพุทธศาสนาขยายวงกวา้ งออกไปให้แพร่หลาย ไดแ้ ก่
การดาเนินการเพื่อใหห้ ลกั คาสอนในพระพุทธศาสนาแพร่ขยายออกไป ทาให้มีผเู้ คารพเล่ือมใส
ศรัทธาในพระศาสนาและน้อมนาเอาหลกั ธรรมคาสอนในพระพุทธศาสนาไปปฏิบตั ิเพ่ือให้เกิด
ประโยชน์สูงสุดแก่ผปู้ ฏิบตั ิ พระพุทธศาสนาบงั เกิดข้ึนมาในโลกเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกหัวใจ
สาคญั ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก็เพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก โดยประโยชน์สุขตามท่ี
พระองคป์ ระสงค์ ๓ ประการ คือ ประโยชนใ์ นชาติน้ี ประโยชน์ในชาติหนา้ และประโยชน์อยา่ งย่ิง
คือพระนิพพาน การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา คือการหยิบธรรมะซ่ึงมีมากมายหลายหวั ขอ้ ไปขยาย
เป็นหนา้ ท่ีของพระสงฆท์ ี่จะตอ้ งเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา๙ คาวา่ “เผยแผ”่ เป็นการประกาศให้ทราบ
หากทราบแลว้ สนใจจะเป็ นพระพุทธศาสนิกชนก็ไมเ่ ป็ นที่รังเกียจ การเผยแผเ่ ป็ นศพั ทท์ ี่มีลกั ษณะ
อะลมุ่ อล่วยและแสดงถึงความมใี จกวา้ ง ไมผ่ กู มดั ผอู้ ืน่ ดว้ ยความคิดของตนหรือศาสนาของตน ส่วน
คาว่า “เผยแพร่” คือโฆษณาใหแ้ พร่หลาย ถา้ คิดอยา่ งคนธรรมดาความหมายก็คลา้ ยคลงึ กนั ถา้ คิดให้
ลกึ ใหล้ ะเอียดลงไปจะเห็นวา่ คาว่า “เผยแผ”่ จะมคี วามหมายท่ีชดั ลึกลงไป เป็นการ เผยแผ่ ใหบ้ รรลุ
จุดมุ่งหมายที่มีที่มาที่ไปไม่ใชโ้ ฆษณาชวนเชื่อให้ทราบและเห็นดว้ ยเพียงอยา่ งเดียว ดงั น้ัน คณะ
สงฆ์จึงมกั ใชค้ าน้ีในการเขียนในพระพุทธศาสนาว่าเป็ นการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา การประกาศ
พระพุทธศาสนาใหแ้ ก่ศาสนทายาทและประชาชนไดร้ ับทราบในทุกวิธี ๆ ที่ไม่ขดั ต่อพระธรรมวนิ ัย
โ ด ย มุ่ ง เน้ น ให้ ป ร ะ ช า ช น ไ ด้ มี ค ว า ม รู้ ค ว า ม เข้า ใ จ ใน ห ลัก ธ ร ร ม แ ล้ว น้ อ ม น า ไ ป ป ฏิ บั ติ ใ น
ชีวิตประจาวนั ไดแ้ ก่การเทศนา การปาฐกถาในโอกาสและสถานที่ต่าง ๆ ท้งั ในวดั และนอกวดั โดย
มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื การเผยแผธ่ รรมหรือตอ้ งการใหป้ ระชาชนไดเ้ ขา้ วดั ปฏิบตั ิธรรม หรือมุ่งเนน้ สืบ
สานวฒั นธรรมไทยที่ไดร้ ับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนา การดาเนินการ ใด ๆ ของภิกษุสงฆใ์ น
พระพุทธศาสนาท่ีเป็ นไปเพื่อการเผยแผธ่ รรมทางพระพุทธศาสนาท้งั ในวดั และนอกวดั ชื่อว่าเป็ น

๘ พระธรรมกติ ติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบณั ฑิต), การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา, ขอ้ มูลออนไลน์,
เขา้ เมื่อ ๑๐ ส.ค. ๒๕๖๐.

๙ พระเทพโสภณ (ประยรู ธมฺมจิตโต), พระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นท่ี ๙, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๖ ), หนา้ ๑๕๐.

๑๓๓

ภารกิจดา้ นการเผยแผ่ท้งั ส้ิน๑๐ การเผยแผ่ หมายถึง “การพูดการส่ังสอน การแนะนา, การเขียน
หนังสือ, การเป็ นตวั อย่าง การทาใหด้ ู การอย่ใู ห้เห็น”๑๑ การเผยแผ่ หมายถึง การเปิ ดเผยสิ่งที่ถูก
ปิ ดบงั ใหค้ นอืน่ ไดร้ ับรู้ คือ การเผยส่ิงที่ดีท่ีงามคนยงั ไมร่ ู้ไม่เห็นไดร้ ู้เห็นทวั่ กนั และคาน้ีมกั จะใชก้ บั
สิ่งที่เป็ นนามธรรม เช่น แผค่ วามสุข ความช่วยเหลือเผ่ือแผ่ ส่วนคาว่า เผยแพร่ หมายถงึ การขยาย
หรือการกระจายออกไปในวงกวา้ งก็ใชค้ าว่า เผยแพร่ และคาน้ีมกั จะใชก้ บั สิ่งที่เป็ นรูปธรรม เช่น
แพร่ภาพ แพร่ภาพ แพร่ข่าว แพร่เช้ือ ดังน้ันหลักคาสอนในพระพุทธศาสนาอย่ใู นฐานที่เป็ น
นามธรรม จึงสมควรท่ีจะใช้คาว่า เผยแผ่จะเหมาะกว่าใช้คาว่าเผยแพร่ ๑๒ หลักการเผยแผ่
พระพุทธศาสนาต้ังแต่คร้ังพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ได้ให้ความสาคัญต่อศาสนทายาท คือ
พระภิกษุสงฆผ์ อู้ อกเผยแผธ่ รรมเป็นอยา่ งยง่ิ และตอ้ งพ่ึงพาอาศยั บุคคลภายนอกที่เป็ นคฤหสั ถ์ เขา้
มามีบทบาทใน การสนบั สนุน หรือท่ีเรียกวา่ อุบาสก อุบาสิกา คือผถู้ ึงพระรัตนตรัย เป็นกลุ่มคนท่ี
สาคญั ต่อพระพุทธศาสนาสืบเร่ือยมา๑๓ วิธีการเผยแผพ่ ทุ ธธรรมในคร้ังพทุ ธกาลพระพุทธเจา้ ทรงใช้
วิธีการเผยแผ่แบบประยกุ ต์เข้ากบั สภาพแวดลอ้ มทางภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ทางสังคม จารีต
ประเพณีในแต่ละทอ้ งถ่ินท่ีมีความแตกต่างกนั มากมาย ไม่ว่าจะทรงใชว้ ิธีไหนก็ตาม เช่น ทรงใช้
อบุ ายในการเลอื กบุคคล รอจงั หวะหรือโอกาส เป็นตน้ .๑๔

๔.๓ บทบาทและหน้าท่ขี องพระสงฆ์ผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนา

กระบวนการเรี ยนรู้ทางสังคม (Socialization)๑๕ เป็ นกระบวนการส่ วนหน่ึ งมาจาก
พระพุทธศาสนาโดยการเรี ยนรู้จากพระสงฆ์(Input) ซ่ึงเป็ นแหล่งเรี ยนรู้เบ้ืองต้น (Primary
Knowledge) หลงั จากเร่ิมการเรียนรู้จากครอบครัว สังคม ระดบั โลก ประเทศ ปัจจุบนั เรียกว่าการ
เรียนรู้ทางดา้ นเทคโนโลยี

๑๐ กรมการศาสนา, คู่มอื การบริหารและการจดั การวัดฉบับย่อ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพก์ ารศาสนา,
๒๕๔๒), หนา้ ๙.

๑๑ วศิน อินทสระ, การเผยแผ่ศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กติ ติวรรณการพิมพ์, ๒๕๓๖), หนา้
๓๗.

๑๒ พระประทิน ยสินฺธโร, “สัมฤทธิผลในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา”, สารนิพนธ์พุทธศาสตรบณั ฑิต
ประจาปี ๒๕๕๑). หนา้ ๕๗๗.

๑๓ ธีรวสั บาเพญ็ บญุ บารมี, โครงการวจิ ยั ธรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา, พมิ พค์ ร้ังท่ี ๑
(กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิเบญจนิกาย, ๒๕๕๐), หนา้ ๕๓.

๑๔ พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ), พุทธวิธีเผยแผ่พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพม์ หามกุฎราชวิทยาลยั , ๒๕๔๐), หนา้ ๑๕.

๑๕ Davis Kinsey, Human Society, (New York : The Macillan Company, 1966), p. 45.

๑๓๔

พระสงฆ์ในปัจจุบันอย่ใู นสมัยรัตนโกสินทร์ ดังน้ัน บทบาทของพระสงฆ์ ได้มีการ
เปล่ียนแปลงนบั แต่สมยั พระบาทสมเด็จพระเจา้ จุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลที่๕) เป็นตน้ มามีการ
ติดต่อกบั ประเทศทางตะวนั ตกซ่ึงมีการเผยแผ่ศาสนาสูงมาก รัชกาลที่ ๕ จึงทรงทาการฟ้ื นฟู
พระพุทธศาสนาใหท้ นั สมยั กวา้ งขวางข้ึน ในปี พุทธศกั ราช ๒๔๒๗ มีพระบรมราชโองการโปรด
เกลา้ ฯ ใหพ้ ระสงฆม์ ีหนา้ ที่ดา้ นการศึกษาของชาติ ทรงโปรดให้ต้งั โรงเรียนหลวงตามพระอาราม
ต่าง ๆ โปรดฯใหม้ พี ระสงฆส์ อนภาษาไทยและคณิตศาสตร์ในทุกพระอาราม ต่อมาในปี พุทธศกั ราช
๒๔๔๑ ประกาศใหพ้ ระสงฆท์ ว่ั ราชอาณาจกั ร สอนธรรมะและวชิ าความรู้ต่าง ๆ แก่ประชาชน๑๖๔๙
เป็ นการตอบสนองพระบรมราชโองการดังกล่าว ดังน้ันพระสงฆไ์ ทยในปัจจุบนั จึงตอ้ งเข้ามามี
บทบาทและหนา้ ที่ในการดาเนินการปรับปรุง แกไ้ ข เพอ่ื ใหเ้ กิดความกา้ วหนา้ เขา้ กบั คนยคุ ใหมท่ ี่มุ่ง
แสวงหาความรู้ทางปัญญาจากวตั ถุ โดยผา่ นสื่อสารสนเทศดว้ ยมุ่งเน้นการจดั การศึกษา เพอ่ื พฒั นา
คนไทยใหเ้ ป็นมนุษยท์ ่ีสมบรู ณ์ท้งั ร่างกายและจิตใจ สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม ในการดารงชีวติ อยู่
ร่วมกบั ผอู้ ่ืนไดอ้ ย่างมีความสุข๑๗ ปัจจุบนั สงั คมไทยเป็ นสงั คมที่มีความสลบั ซบั ซอ้ น ประชาชนมี
ปัญหามากข้ึน มงุ่ เนน้ ความรู้จากต่างประเทศ จากข่าวสารการส่ือสารที่ไร้พรมแดน ทาใหว้ ตั ถเุ จริญ
แต่จิตใจกลบั เส่ือมลง สังคมเกิดปัญหามากยงิ่ ข้ึน เช่น ดา้ นจิตใจ ดา้ นคุณธรรม ความรู้ดงั กล่าวไม่
สามารถที่จะเขา้ มาแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง จึงจาเป็นตอ้ งอาศยั พระสงฆท์ ี่มีความรู้ความสามารถ
เป็นผนู้ าทางปัญญา ผา่ นส่ือที่มีรูปแบบต่าง ๆ กนั ที่จะทาใหเ้ กิดความสนใจและเขา้ ถึงไดง้ ่าย รัฐและ
คณะสงฆเ์ ห็นวา่ เป็นบทบาทหนา้ ท่ีของพระสงฆ์ ในการช่วยเหลือสงั คมอยา่ งใกลช้ ิด๑๘

หนา้ ท่ีในการเผยแผ่หลกั ธรรมของวดั หรือพระสงฆ์ ส่วนมากเป็ นการจดั การเทศนาอบรม
สงั่ สอนประชาชนให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แลว้ ต้งั อย่ใู นสมั มาปฏิบตั ิเพื่อเป็ น
พลเมืองดีของประเทศชาติ ซ่ึงเป็ นหนา้ ท่ีของเจา้ อาวาส เจา้ คณะตาบล เจา้ คณะอาเภอ และเจา้ คณะ
จงั หวดั จะตอ้ งทาหนา้ ท่ีเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา๑๙ ดงั น้ี

๑๖ พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต), พระพุทธศาสนาในอาเซีย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๑), หนา้ ๑๒๔.

๑๗ สานักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช, ๒๕๔๒,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพส์ านกั นายกรัฐมนตรี, ม.ป.ป.), หนา้ ๗.

๑๘ พระมหาประสิทธ์ิ รวมพิมาย, “บทบาทพระธรรมทูตภายในประเทศ : ศึกษาจากกรอบความคิดโรง
การพระธรรมทตู สานกั งานพระธรรมทตู สายท่ี ๒ เฉพาะกรณีศูนยง์ านพระธรรมทูตจงั หวดั ลพบุรี”,วิทยานิพนธ์
มหาบัณฑิต, (คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๓๘), หนา้ ๖๙.

๑๙ เร่ืองเดียวกนั . หนา้ ๑๔๕.

๑๓๕

๑. อบรมพระภิกษุสามเณร ใหเ้ ป็นสมณะสญั ญา และอบรมเรื่องจรรยามารยาท ตลอดจนถึง
การปฏบิ ตั ิอนั เกี่ยวกบั พธิ ีหรือแบบอยา่ งต่าง ๆ

๒. อบรมการทาวตั รสวดมนตใ์ หเ้ ป็นไปโดยมีระเบียบเรียบร้อย
๓. หาอุบายวิธีใหไ้ ดย้ นิ ไดฟ้ ังโอวาท คาสงั่ สอนหรือคาแนะนาท่ีเป็นประโยชน์
๔. แนะนาสง่ั สอนธรรมประชาชนใหเ้ ขา้ ใจศาสนพธิ ี และการปฏิบตั ิ
๕. เทศนาส่ังสอนประชาชนให้ต้ังอยู่ในศีลธรรม และได้ยินได้ฟังเรื่ องท่ีเกี่ยวกับ
พระพทุ ธศาสนาโดยถกู ตอ้ ง
๖. หาอบุ ายวธิ ีสกดั ก้นั สทั ธรรมปฏิรูปมิใหเ้ กิดข้ึน หรือบาบดั ที่เกิดข้ึนแลว้ ใหห้ มดไปโดยที่
ชอบขวนขวายเพอ่ื ใหศ้ ษิ ยว์ ดั มคี วามรู้ในเร่ืองพระศาสนา และอบรมในทางศีลธรรม มกี ารไหวพ้ ระ
สวดมนตเ์ ป็นตน้
๘. ขวนขวายจัดต้ังห้องสมุด เพ่ือประโยชน์แก่การศึกษาธรรมบาลี เพื่อประโยชน์แก่
ประชาชน หรือขวนขวายจดั หาหนงั สือเก่ียวกบั ความรู้ทว่ั ไปบา้ ง ท่ีเกี่ยวกบั การไหวพ้ ระสวดมนต์
บา้ ง ท่ีเกี่ยวกบั ศีลธรรมบา้ ง ที่เก่ียวกบั ประวตั ิพระบา้ ง เพื่อใหผ้ รู้ ักษาศีลฟังธรรมตามวดั ต่าง ๆ ได้
ท่อง ไดอ้ ่านได้ ไดฟ้ ังตามสมควรแก่สถานท่ี และโอกาส
๙. ขวนขวายจดั หาอุปกรณก์ ารเรียนภาษาไทยบางประเภทสาหรับช้นั ประถมข้ึนไวเ้ พือ่ ให้
เด็กท่ีขดั สนไดใ้ ชย้ มื เรียน

บทบาทหน้าที่หรือบทบาทที่วดั ต่าง ๆ เจา้ คณะตาบล คณะสงฆ์อาเภอ และคณะสงฆ์
จงั หวดั เกี่ยวกบั การเผยแผ่ ไวด้ งั น้ี

๑. หาอบุ ายวิธีใหไ้ ดย้ นิ ไดฟ้ ังโอวาท คาสง่ั สอนหรือขอ้ แนะนาท่ีเป็นประโยชน์
๒. แนะนา สง่ั สอน อบรม ประชาชนใหเ้ ขา้ ใจในศาสนพิธีและการปฏิบตั ิ
๓. เทศนาสั่งสอนประชาชนให้ต้งั อยใู่ นศีลธรรมและให้ไดย้ นิ ไดฟ้ ังเก่ียวกบั พระศาสนา
โดยถกู ตอ้ ง๒๐

สรุปว่าวิธีท่ีภิกษุสงฆใ์ ชใ้ นการเผยแผธ่ รรมะในปัจจุบนั มีหลายวิธี เช่น การเทศนา ปาฐกถา
ธรรม อภิปรายธรรม สนทนาธรรม การสอนวิปัสสนากรรมฐานและการใชส้ ื่อประกอบ การสอน
ธรรมะจะเลือกใชว้ ิธีใด ข้ึนอยู่กบั ลกั ษณะของผรู้ ับ การเทศนาส่งั สอนประชาชน เป็ นการเผยแผ่

๒๐ สมเดจ็ พระมหารัชมงั คลาจารย์ (ชว่ ง วรปญฺโญ), การเผยแผ่พระพุทธศาสนา, คู่มือพระสังฆาธกิ ารว่า
ด้วยเร่ืองการคณะสงฆ์และการพระศาสนา, หนา้ ๑๔๘-๑๕๕.

๑๓๖

พระพุทธศาสนา ท่ีพระสงฆแ์ ละคณะสงฆ์ ถือเป็ นกิจการท่ีสาคญั ที่สุด การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เป็ นการทาให้พระพุทธศาสนาขยายวงกวา้ งออกไป โดยการนาเอาหลกั ธรรมคาสอนไปทาให้
แพร่หลายให้ประชาชนไดน้ าไปเป็ นแนวทางในการดาเนินชีวิตอยา่ งมีความสุข และหลกั ธรรมคา
สอนในทางพระพุทธศาสนาน้ี เป็ นความจริงตามธรรมชาติ อีกอย่างหน่ึงพุทธศาสนิกชนทุกคนมี
หนา้ ที่ เผยแพร่พุทธศาสนาใหก้ วา้ งไกลออกไปเพ่ือประโยชน์สุขของชาวโลก ความวฒั นาสถาพร
ของพระพุทธศาสนาและความมน่ั คงของชาติไทย ผทู้ ่ีทาหนา้ ที่เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาไดด้ ีตอ้ งเป็ น
ผรู้ ู้ศาสนา และปฏบิ ตั ิตามคาสอนของศาสนาไดโ้ ดยสมบูรณ์

๔.๔ คุณสมบัตขิ องผู้สอนหรือนักเผยแผ่ทีด่ ี

การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาน้นั เกิดข้ึนหลงั จากท่ีพระพุทธองคท์ รงตรัสรู้แลว้ พระองคท์ รง
เร่ิมทาการเผยแผพ่ ระศาสนาโดยการแสดงธรรมแก่ภิกษุท้งั หลายจนเกิดมพี ระอรหันตส์ าวกข้ึนใน
โลก หลงั จากน้ันพระองค์ทรงเร่ิมส่งภิกษุเหล่าน้ันไปเผยแผ่ศาสนา ซ่ึงมีจุดประสงค์คือให้ภิกษุ
ท้งั หลายแยกยา้ ยกนั ไปเพ่ือประโยชน์สุขเพือ่ อนุเคราะห์แก่เทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย เท่ียว ไปช้ีแจง
ให้ชนท้งั หลายเขา้ ใจในหลกั ธรรมท้งั หัวขอ้ ธรรมและความหมายของธรรมะอยา่ งชดั เจน ดงั ความ
ปรากฏในพระวินยั ปิ ฎกวา่ “คร้ังหน่ึง พระผมู้ พี ระภาครับสง่ั กะภิกษุท้งั หลายว่า ดกู ่อนภิกษุท้งั หลาย
เราพน้ แลว้ จากบ่วงท้งั ปวงท้งั ท่ีเป็นของทิพย์ ท้งั ที่เป็ นของมนุษย์ แมพ้ วกเธอก็พน้ แลว้ จากบ่วงท้งั
ปวง ท้งั ท่ีเป็นของทิพย์ ท้งั ท่ีเป็ นของมนุษย์ พวกเธอจงเท่ียวจาริก เพ่ือประโยชน์ และความสุข แก่
ชนหม่มู ากเพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เก้ือกลู และความสุข แก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธอ
อย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมในเบ้ืองต้น งามในท่ามกลาง งามในท่ีสุด จง
ประกาศพรหมจรรยพ์ ร้อมท้งั อรรถท้งั พยญั ชนะครบบริบรู ณ์ สตั วท์ ้งั หลายจาพวกท่ีมีธุลคี ือกิเลสใน
จกั ษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ไดฟ้ ังธรรม ยอ่ มเสื่อม ผรู้ ู้ทวั่ ถึงธรรม จกั มี ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย แมเ้ ราก็จกั
ไปยงั ตาบลอุรุเวลาเสนานิคม เพอ่ื แสดงธรรม”๒๑

ครูผสู้ อนหรือนกั เผยแผท่ ี่ดีตอ้ งสร้างบุคลกิ ภาพท่ีน่าเคารพเลือ่ มใสแก่ผทู้ ่ีพบเห็นหรือผฟู้ ัง
จะเห็นไดว้ ่า พระพุทธเจา้ ทรงมีพระลกั ษณะท้งั ทางดา้ นความสง่างามแห่งพระวรกายที่งดงามมีพระ
สุรเสียงที่โนม้ นาจิตใจควรแก่ศรัทธาปสาทะทุกประการ ทรงมีพระมหาปุริสลกั ษณะ ๓๒ ประการ
และอนุพยญั ชนะ ๘๐ ประการ พระฉวีวรรณผดุ ผ่องดงั ทอง น่าดู น่าเลื่อมใส ส่วนพระสุรเสียงก็

๒๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๑/๔๐

๑๓๗

ไพเราะ สุภาพสละสลวย แจ่มใส ชดั เจน นุ่มนวล ชวนฟัง กลมกล่อม ไม่พร่า ซ้ึง กงั วานดุจเสียง
พรหม สาเนียงใสไพเราะดุจนกการเวก

พระพทุ ธศาสนา ถือว่าผเู้ ผยแผก่ บั ผฟู้ ัง หรือผสู้ อนกบั ผเู้ รียนน้นั มคี วามสมั พนั ธก์ นั ในฐานะ
กลั ยาณมิตร นกั เผยแผพ่ ทุ ธธรรมท่ีดีจึงมีลกั ษณะคุณสมบตั ิซ่ึงเป็นองคข์ องกลั ยาณมติ ร ดงั น้ี

๑. ปิ โย เป็นที่รักเป็ นท่ีพอใจ คือ เขา้ ถึงจิตใจ สร้างความรู้สึกสนิทสนมเป็ นกนั เองชวนให้
ผฟู้ ังอยากสนใจท่ีจะซกั ถาม

๒. ครุ เป็ นท่ีเคารพ คือ มีความประพฤติเหมาะแก่ฐานะ ชวนให้เกิดความอบอุ่นใจ เป็ นที่
พงึ ไดอ้ ยา่ งปลอดภยั

๓. ภาวนีโย เป็ นท่ียกยอ่ ง คือ มคี วามรู้จริง ทรงภูมปิ ัญญาแทจ้ ริงและเป็ นผฝู้ ึกฝนปรับปรุง
ตนเองอยเู่ สมอ เป็นท่ียกยอ่ งน่าเอาอยา่ ง ทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดศรัทธาได้

๔. วตั ตา เป็ นนกั พดู โดยอาจจะเลือกใชว้ ิธีการเผยแผ่ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่ออธิบายใหผ้ ฟู้ ัง
เขา้ ใจ

๕. วะจะนักขะโม เป็ นผอู้ ดทนต่อถอ้ ยคา คือ พร้อมท่ีจะรับฟังคาไต่ถาม คาล่วงเกินคา
ตกั เตือน วิพากษว์ จิ ารณ์ต่าง ๆ อดทนไดไ้ ม่เบ่ือหน่าย ไม่เสียอารมณ์ แมบ้ างคร้ังอาจถกู ต่อตา้ นจาก
ลทั ธิภายนอกมาขดั ขวางต่องานเผยแผ่

๖. คัมภีรัญจะ กะถงั กตั ตา เป็ นผพู้ ูดถอ้ ยคาลึกซ้ึงได้ ให้ผฟู้ ังเขา้ ใจได้ง่าย นักเผยแผ่ที่ดี
จะตอ้ งมีความรู้ในศาสตร์หลาย ๆ อยา่ ง และตอ้ งฉลาดในการเลือกใชว้ ธิ ีเผยแผแ่ บบฃต่าง ๆ เพอื่ ให้
เหมาะสมกบั ผฟู้ ัง เพือ่ ใหเ้ กิดศรัทธาและยอมปฏิบตั ิตาม

๗. โน จฏั ฐาเน นิโยชะเย ไมช่ กั นาในอฐานะ ไมช่ กั นาผฟู้ ังใหเ้ ดินผดิ ทางไปนอกพุทธดารสั
แต่ตอ้ งรู้จกั ชกั จงู แนะนาในทางที่ถกู ท่ีควร๒๒

คุณสมบตั ิของนกั เผยแผท่ ่ีดี ตอ้ งมีคุณสมบตั ิดงั น้ี ๑) มีความกรุณาเป็ นพ้ืนฐานของจิต ๒)
ไมถ่ ือตวั หยงิ่ ยโส ๓) มีความอดทน ใจเยน็ ๔) มีความยุติธรรมไม่เห็นแก่หน้า ๕) มคี วามรอบคอบ
๖) มคี วามประพฤติน่าเคารพบูชา ๗) รู้จกั ภูมิสติปัญญาของผฟู้ ัง๒๓

๒๒ องฺ.สตฺตก (ไทย) ๒๓/ ๓๗ / ๕๗. อธิบายเพิม่ เตมิ โดย พระพรหมคุณาภรณ์
๒๓ แสง จนั ทร์งาม, วธิ ีสอนของพระพุทธเจ้า, (กรุงเทพมหานคร : กมลการพมิ พ,์ ๒๕๒๖), หนา้ ๒๔ -
๓๐.

๑๓๘

๔.๕ ภาษากับการเผยแผ่

การเผยแผพ่ ระศาสนาน้ัน จาเป็นตอ้ งใชภ้ าษาท่ีเหมาะสม เพราะถา้ ใชภ้ าษาไม่สละสลวย
ไม่สุภาพ คาต่าคาแสลง คาฟ่ ุมเฟื อย ยอ่ มทาให้เน้ือหาสาระของธรรมะมีคุณค่าลดลง ทาให้ผฟู้ ังมี
ความสนใจลดน้อยลงดว้ ย นักเผยแผท่ ีดี จะตอ้ งฝึ กทกั ษะในการพูดใหถ้ ูกตอ้ งตามอกั ขระวิธี ใช้
หลกั ภาษาไทยให้ถูกตอ้ ง ชัดเจน ตอ้ งคิดอย่เู สมอว่า “เราจะสอนคนระดบั ไหนตอ้ งใช้ภาษาให้
ถกู ตอ้ ง และขอ้ สาคญั อีกอยา่ งหน่ึง ในฐานะเราเป็ นคนไทย ตอ้ งระมดั ระวงั ใหม้ ากในการออกเสียง
แมเ้ ราจะเป็นคนต่างจงั หวดั เสียงมนั อาจเพ้ียน ๆ ไปบา้ ง ก็ตอ้ งฝึ กกนั แมต้ วั กล้าตวั อะไรก็ตอ้ งออก
เสียงใหช้ ดั ตอ้ งมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวธิ ีการใหม่ เพราะถา้ พดู ไมช่ ดั คนฟังเขาก็ไม่อยากฟัง”๒๔

๑) การฝึ กทกั ษะในการพดู และการใช้ถ้อยคา (Verbal)๒๕
๑. จะตอ้ งใชห้ ลกั ภาษาไทยใหถ้ กู ตอ้ ง
๒. ถอ้ ยคาน้ันจะต้องชดั เจน ไดค้ วามหมาย ทาให้การส่ือสารชัดเจน ซ่ึงอาจมี

ปัญหาในเรื่องการใชค้ าควบกล้า หรือการใชอ้ กั ษร “ร” “ล”
๓. หากจาเป็นตอ้ งใชค้ าราชาศพั ท์ จะตอ้ งใชใ้ หถ้ กู ตอ้ ง
๔. คายอ่ จะตอ้ งใชใ้ หถ้ กู ตอ้ ง หากไมแ่ น่ใจควรใชค้ าเต็มกากบั เพ่อื ผฟู้ ังเขา้ ใจ
๕. ใช้คาหรือประโยคท่ีกินความกวา้ ง อาจยกหรืออ้างคาพูดของนักพูดหรื อ

นกั ปราชญ์
๖. ควรหลีกเลี่ยงคาฟ่ มุ เฟื อย เช่น แบบวา่ เออ้ อา้
๗. หลีกเลีย่ งการใชศ้ พั ท์ทางวิชาการ เพราะผฟู้ ังมิใช่มีความรู้ความชานาญ เฉพาะ

ดา้ นหมดทุกคน เวน้ แต่เป็นเรื่องการบรรยายความรู้ในเร่ืองเฉพาะดา้ น
๘. ไมใ่ ชค้ าต่างประเทศโดยไมจ่ าเป็น

๒๔ ศาสตราจารยพ์ ิเศษจานงค์ ทองประเสริฐ, ภาษาไทยกับการเทศน์, (กรุงเทพมหานคร: หจก. เอมเ่ี ทรด
ดงิ้ , ๒๕๔๔), หนา้ ๑๘๒.

๒๕ สานกั เสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ บทบาทของพระสงฆ์เพื่อการพัฒนา
สังคมไทย, กรุงเทพมหานคร : ศนู ยพ์ ระสงฆ์นกั เผยแผ่ธรรมเพ่ือพฒั นาสังคม : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ วนั พุธ
และวนั พฤหสั บดี ท่ี ๑๕-๑๖ มกราคม ๒๕๔๖ (เอกสารอดั สาเนา).

๑๓๙

๙. ใช้คาให้เหมาะสมกับบุคคล เน่ืองจากภาษาไทยมีความลึกซ้ึงในเร่ืองน้ี จึง
จะตอ้ งสรรหาคาพดู ท่ีเหมาะสมกบั ประเภทของผฟู้ ัง เช่นคาว่า คุณ ท่าน เธอ “การใชถ้ อ้ ยคา
ท่ีดีน้นั ตอ้ งเวน้ คาต่า คาตลาด คาหยาบ คาภาษาถ่นิ ”๒๖

(๒) ข้อบกพร่องในการใช้ภาษา๒๗
ก. ใชภ้ าษาไมเ่ หมาะสมกบั สถานะของบุคคล ไม่ถกู กาละเทศะ
ข. ใชภ้ าษาแสลงหรือภาษาตลาด
ค .ใชภ้ าษาต่างประเทศปนภาษาไทย และใชเ้ ป็นภาษาแสลง
ง. ใชค้ าสุภาพไมเ่ ป็น ใชค้ าสาบานติดปาก และใชภ้ าษาหยาบคาย
จ. ยกคาอา้ งอิง คาพงั เพย ภาษิต ไม่ถกู ตอ้ ง
ฉ. ใชถ้ อ้ ยคากะทดั รัดไม่ได้ อธิบายไม่ไดค้ วาม ทาใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจไมไ่ ด้
ช. ไม่มวี ิธีพดู ท่ีแปลกใหม่ ไมร่ ู้วธิ ีพดู หรือเลา่ เรื่องใหส้ นุก

การสอนใหผ้ ฟู้ ังสนุกและเขา้ ใจง่าย ก็ตอ้ งใชภ้ าษาที่คนธรรมดาฟังได้ ตอ้ งมี การเล่าเร่ือง
สนุก ๆ หรือมีคาพูดที่ขบขนั ขอ้ ธรรมท่ีนามาสอนก็ตอ้ งเป็ นข้อธรรมง่าย ๆ จึงจะเขา้ กบั ลกั ษณะ
ภาษาเช่นน้ัน แต่ถา้ ผเู้ ผยแผธ่ รรมะตอ้ งการสอนธรรมะอย่างละเอียด มีการวิเคราะห์เชิงวิชาการ
ภาษาก็จะกลายเป็ นภาษาวิชาการ เพราะความประสงคข์ องผสู้ อนท่ีจะใหธ้ รรมะเป็ นเรื่องวิชาการ
เป็นตวั กาหนดภาษา

การสื่อสารเพื่อเผยแผธ่ รรมะจะประสบความสาเร็จหรือลม้ เหลวน้นั ภาษายอ่ มมสี ่วนสาคญั
เป็ นอย่างยง่ิ พระธรรมกถึกท่ีดีจะตอ้ งฝึ กทกั ษะในการอ่านการพดู ภาษาให้คลอ่ งไม่ติดขดั ขยนั ใน
การคน้ ควา้ หาขอ้ มลู นามาประกอบในการเทศน์ ติดตามขอ้ มลู ข่าวสารอยตู่ ลอดเวลา การใชภ้ าษาใน
การแสดงพระธรรมเทศนาทางสถานีวิทยกุ ระจายเสียงน้นั ตอ้ งคานึงถงึ หลกั การใชภ้ าษา ๒ ประการ
คือ

๑. ใชภ้ าษามาตรฐาน คือ ใชภ้ าษาใหถ้ กู ตอ้ งมคี วามหมายชดั เจน เหมาะสม

๒๖ พรพรรณ ธารานุมาศ, สานวนการเขียน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บรรณกิจ ๑๙๙๑ จากดั ,
๒๕๔๔), หนา้ ๑๑๙

๒๗ เกรียงศกั ด์ิ พลอยแสง, ภาษากับการสื่อสาร, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั , ๒๕๔๒), หนา้ ๕๐.

๑๔๐

กบั บุคคลและสถานที่ เช่น การใชร้ าชาศพั ทเ์ ป็นตน้ ระมดั ระวงั การออกเสียงคาควบกล้าหรือการใช้
อกั ษร “ร ล” ตอ้ งออกเสียงใหช้ ดั เจน ใชภ้ าษาใหต้ รงกบั ความหมายของธรรมะ

๒. หลีกเล่ียงการใชภ้ าษาต่ากว่ามาตรฐาน คือ ภาษาท่ีนิยมใช้ชัว่ ระยะเวลา หน่ึง มกั มี
ความหมายในทางหยาบคาย ไม่สุภาพ เป็ นคาสองแง่สองง่าม คาแสลง หรื อคาตลาด แมแ้ ต่
ภาษาต่างประเทศกใ็ ชเ้ มอื่ มีความจาเป็น

๔.๖ หลักการประยุกต์ใช้ธรรมเพอ่ื การเผยแผ่๒๘

แนวทางในการประยกุ ตใ์ หเ้ หมาะกบั การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาได้ โดยอาศยั หลกั การคิด
พิจารณาในเบ้ืองตน้ ที่ว่า ดงั น้ี

๑. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพอ่ื

๑) ความยอ้ มใจใหต้ ิด
๒) ความประกอบทุกข์
๓) ความพอกพนู กิเลส
๔) ความมกั มากอยากใหญ่
๕) ความไมส่ นั โดษ
๖) ความคลุกคลใี นหม่คู ณะ
๗) ความเกียจคร้าน
๘) ความเล้ยี งยาก
ธรรมเหล่าน้ี พึงรู้ว่าไมใ่ ช่ธรรม ไม่ใช่วนิ ยั ไมใ่ ช่สตั ถุศาสน์
๒. ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพือ่
๑) คลายความหายติด
๒) ความไม่ประกอบทุกข์
๓) ความไมพ่ อกพนู กิเลส
๔) ความมกั นอ้ ย
๕) ความสนั โดษ

๒๘ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา ธรรมนิเทศ.
(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙ ), หนา้ ๑๕๐.


Click to View FlipBook Version