The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Communication in Tipitaka)-ผศ.ดร.ไพฑุรย์-สวนมะไฟ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chokoooon, 2021-06-13 23:57:25

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Communication in Tipitaka)

นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก (Communication in Tipitaka)-ผศ.ดร.ไพฑุรย์-สวนมะไฟ

๑๔๑

๖) ความสงดั
๗) การประกอบความเพยี ร
๘) ความเล้ยี งง่าย
ธรรมเหล่าน้ี พึงรู้ว่าเป็ นธรรม เป็ นวินัย เป็ นสัตถุศาสน์ และควรยดึ หลกั การประยุกตต์ าม
แนวพุทธศาสตร์และธรรมศาสตร์ควบคู่กนั ไป กล่าว คือ ใชห้ ลกั พุทธศาสตร์นาความรู้ในศาสตร์
สาขาต่าง ๆ และนาความรู้ในศาสตร์สาขาต่าง ๆ มาประยกุ ตใ์ ชก้ บั หลกั ธรรม หรือนาหลกั ธรรมไป
ประยกุ ตเ์ ขา้ กบั ความรู้ในศาสตร์เหล่าน้นั ฉะน้นั หลกั การประยกุ ต์ใชเ้ พ่ือการเผยแผ่ จึงมุ่งเนน้ การ
เรียนรู้ให้สามารถจดั การกบั ตนเองได้ เพื่อปูพ้ืนฐานไปสู่การเป็ นผมู้ ีใจเปิ ดกวา้ ง เรียนรู้ท่ีจะอยู่
ร่วมกนั กบั ผอู้ น่ื อยา่ งมคี วามสุขสงบท่ามกลางความแตกต่างทางความคิดของผคู้ นในสงั คมปัจจุบนั
ดว้ ยหลกั การ ดงั ต่อไปน้ี

๑) เรี ยนรู้ความต้องการของตนเอง เข้าใจตนเอง พร้อมที่จะปรับปรุ งแก้ไข
ขอ้ บกพร่องของตนเอง หมนั่ ฝึกอบรมตน และมีทศั นคติที่ดี เขา้ ใจกฎของการอยรู่ ่วมกนั ท่ีว่า “เรารัก
สุขเกลยี ดชงั ทุกขฉ์ นั ใด คนอ่ืนสตั วอ์ ่ืนก็รักสุขเกลียดชงั ทุกขฉ์ นั น้นั ”

๒) รู้จกั ปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั ผอู้ ่นื มมี นุษยสมั พนั ธท์ ่ีดี เสียสละ แบ่งปัน พยายามเขา้ ใจ
ความคิดของผอู้ ่นื และยอมใหผ้ อู้ นื่ มสี ่วนเขา้ ใจความคิดของตนเองดว้ ย

๓) เขา้ ไปมีส่วนร่วมเป็ นสมาชิกของกล่มุ ไม่ควรอยโู่ ดดเดี่ยว กลา้ เผชิญกบั ปัญหา
เพราะการคบหาสมาคมกบั ผอู้ น่ื จะเป็นพ้ืนฐานที่ดีของการอยรู่ ่วมกนั ในสงั คม

๔) เรียนรู้การทางานร่วมกบั ผอู้ ่นื รู้จกั ใหเ้ กียรติ เป็นมติ รท่ีดี มคี วามจริงใจ และถือ
เป็นโอกาสดีท่ีจะไดแ้ ลกเปลย่ี นความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ ร่วมกนั

๕) รู้จกั การวิเคราะห์วิจยั การสารวจแนวคิดหรือประชามติ เพ่ือประโยชน์ในการ
จดั การบริหารชุมชนหรือกลุ่มชน ซ่ึงจะส่งผลดีต่อความเชื่อถือศรัทธา และการร่วมแรงร่วมใจกนั

๖) มีความสามารถในการบริหารจดั การโครงการ หรือกาหนดกิจกรรมต่าง ๆ โดย
ตอ้ งมีการวางแผนไวล้ ่วงหนา้ อยา่ งเป็ นระบบ และเป็นข้นั ตอน พร้อมท้งั ตอ้ งพยายามใหป้ ระชาชน
กลมุ่ เป้ าหมายเขา้ มามีส่วนร่วมในการดาเนินงานดว้ ยทุกคร้ัง

๑๔๒

๗) มีบทบาทสาคัญในการให้คาแนะนาปรึกษาดา้ นการส่ือสารมวลชนและการ
ประชาสมั พนั ธต์ ่อฝ่ ายบริหารองค์กร เพื่อประโยชนใ์ นการเดินงานใหเ้ กิดความสมั พนั ธ์กบั ชุมชน
และประชาชนกลมุ่ เป้ าหมาย

๔.๗ วธิ ีที่พระพทุ ธเจ้าทรงใช้ในการเผยแผ่

วิธีท่ีทรงใชใ้ นการเผยแผข่ องพระพุทธเจา้ มีหลายวิธีดว้ ยกนั โดยพระพุทธองค์ทรงเลือกใช้
ตามความเหมาะสม ตามสถานการณ์ ตามเหตุปัจจยั ตามกาลงั สติปัญญา ตามความพร้อมของผฟู้ ัง
แต่ที่พบบ่อยพระพุทธองคท์ รงใชว้ ิธีดงั ต่อไปน้ี คือ

๑. แบบสนทนา พระพุทธองค์จะทรงเป็ นฝ่ ายถามนาคู่สนทนาให้เข้าสู่ความเข้าใจ
หลกั ธรรม และเกิดความเลอื่ มใสศรัทธาในท่ีสุด

๒. แบบบรรยาย จะทรงใชใ้ นที่ประชุมใหญ่ในการแสดงธรรมะประจาวนั ซ่ึงมปี ระชาชน
หรื อพระสาวกเป็ นจานวนมาก

๓. แบบตอบปัญหา เป็ นวิธีการที่ทรงใชเ้ ม่ือมผี มู้ าถามปัญหาความสงสยั ขอ้ งใจต่าง ๆ ใน
การตอบปัญหาพระองค์ทรงสอนใหพ้ ิจารณาดูลกั ษณะของปัญหา และใชว้ ิธีตอบท่ีเหมาะสม ๔
ประการ คือ

(๑) เอกังสพยากรณียปัญหา คือ ปัญหาที่ตอบแสดงยืนยนั โดยตรงข้างเดียว ซ่ึงจะเป็ น
ประโยชน์แก่ผถู้ าม เช่น ถามว่า “ตาเป็นของไมเ่ ที่ยงหรือ” พึงตอบว่า “ถกู แลว้ ”๒๙ หรือตรัสตอบพระ
อานนทใ์ นเรื่องท่ีทูลถามเกี่ยวกบั สิ่งที่ภิกษุพงึ ปฏิบตั ิ โดยพระอานนทท์ ูลถามว่า “พวกขา้

พระองคจ์ ึงพงึ ปฏิบตั ิในมาตุคามอยา่ งไร?”
การไม่เห็น อานนท์
เมือ่ การเห็นมอี ยู่ จะพึงปฏบิ ตั ิอยา่ งไร?
การไมเ่ จรจา อานนท์
เมอื่ ตอ้ งเจรจา จะพงึ ปฏิบตั ิอยา่ งไร?
พึงต้งั สติไว้ อานนท๓์ ๐
(๒) ปฏิปุจฉาพยากรณ์ คือ ปัญหาที่ควรยอ้ นถามก่อนแลว้ จึงตรัสสอน คือปัญหาท่ีผถู้ าม
ถามโดยอาการจะวางเป็ นอุบายให้ผูต้ อบพลาดพล้งั หรือเป็ นปัญหาที่ประสงค์จะลองภูมิผตู้ อบ
ปัญหาเช่นน้ี หากตอบโดยตรงทนั ทีจะเป็นผลร้ายได้ จึงทรงกาหนดใหจ้ าแนกก่อนแลว้ ใหต้ อบเป็ น

๒๙ องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๖๘/๒๐๕-๒๐๖.
๓๐ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๐๓/๑๕๑.

๑๔๓

กลางๆ อนั เป็ นการแสดงใหผ้ ถู้ ามทราบว่า ผตู้ อบรู้เท่าทนั แต่กม็ ีเมตตามากพอที่จะตอบคาถามน้ีแก่
ผถู้ าม เช่น คาถามวา่ “หูกเ็ หมือนตาหรือ” พึงยอ้ นถามว่า “ที่ถามน้นั หมายถึงในแง่ใด”ถา้ เขาบอกว่า
“ในแง่เครื่องมองเห็น” พึงตอบว่า “ไมเ่ หมอื น” ถา้ เขาว่า “ในแง่ไม่เท่ียง” พงึ ตอบว่า“เหมอื น”๓๑

(๓) วภิ ัชชพยากรณยี ปัญหา คือ ปัญหาท่ีควรจะแยกแยะประเด็นให้ชดั เจน คราวหน่ึงคณก
โมคคลั ลานะ ทูลถามพระองคว์ า่ “ในเม่อื พระนิพพานมีอยู่ ทางปฏิบตั ิใหถ้ ึงพระนิพพานกม็ ีอยู่ และ
พระพทุ ธเจา้ ผสู้ อนกด็ ารงอยู่ แต่เหตุใด พุทธสาวกจึงไมถ่ ึงนิพพานทุกองค”์ พระพุทธเจา้ ตรัสตอบวา่
“พราหมณ์ ท่านชานาญทางไปกรุงราชคฤห์มิใช่หรือ?”“ใช่”พระองค์ทรงยอ้ นต่อไปอีกว่า “ถา้
เช่นน้ัน หากมีคนสองคนมาถามทางไปกรุงราชคฤห์จากท่าน และท่านไดบ้ อกหนทางไปอยา่ ง
ชดั เจนแลว้ คนคนหน่ึง จาทางผดิ ไปกรุงราชคฤห์ไม่ถกู ส่วนอีกคนหน่ึงจาทางไปกรุงราชคฤห์ถูก
โดยคนคนเดียว”พราหมณ์ทูลตอบวา่ “ในเรื่องน้ีขา้ พเจา้ จะทาอยา่ งไรได้ ขา้ พเจา้ เป็ นแต่เพยี งผบู้ อก
ทาง”พระพุทธเจา้ จึงตรัสบอกแก่พราหมณ์อีกวา่ “ท่านพราหมณ์ เช่นเดียวกนั ในเม่อื พระนิพพานก็
ดารงอยู่ ทางไปพระนิพพานกด็ ารงอยู่ เราผชู้ กั ชวนกด็ ารงอยู่ แต่สาวกของเราอนั เราโอวาทสัง่ สอน
อยอู่ ยา่ งน้ี บางพวกเพยี งส่วนนอ้ ย ยนิ ดีพระนิพพานอนั มีความสาเร็จบางส่วนบางพวกไม่ยนิ ดี เราจะ
ทาอยา่ งไรได้ ตถาคตเป็นแต่ผบู้ อกหนทางใหเ้ ท่าน้นั ”๓๒

(๔) ฐปนียปัญหา๓๓ คือ ปัญหาท่ีทรงไม่ตอบ เพราะเห็นว่า เป็ นปัญหาท่ีไม่มีประโยชน์
หรือยงั ไม่ถงึ เวลาจะรู้ เหมือนอย่างชายถูกลูกศรอาบยาพิษนอนเจ็บอยู่ ก็ควรจะถอนลกู ศรในทนั ที
แลว้ เยยี วยารักษาแผลให้หายเสียก่อน ไม่ใช่มวั ไปถามวา่ ลกู ศรน้นั ใครยงิ มา ทาดว้ ยอะไร ขนาดยาว
กวา้ งแคไหนก่อน เป็ นตน้ ดงั น้ีว่า แน่ะมาลุงกยบุตร เธอท้งั หลายจงทรงจาปัญหาท่ีเราไม่ตอบ โดย
ความเป็นปัญหาท่ีเราไม่ตอบเถดิ อะไรเล่าท่ีเราไม่ตอบ แน่ะมาลงุ กยบุตร ทิฏฐิว่าโลกเท่ียง โลกไม่
เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีวะอนั น้ัน สรีระก็อนั น้ัน ชีวะอย่างหน่ึงสรีระอยา่ งหน่ึง สัตว์
หลงั จากตายแลว้ มีอยกู่ ็มี ไม่มีอยกู่ ็มี สัตวห์ ลงั จากตายแลว้ มอี ยกู่ ็หามิไดไ้ มม่ ีอยกู่ ็หามไิ ด้ ดงั น้ี เรา
ไม่ตอบ แน่ะมาลุงกยบุตร เพราะเหตุใด ข้อน้ันเราจึงไม่ตอบ เพราะข้อน้ัน ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ ไม่เป็ นเบ้ืองตน้ แห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็ นไปเพื่อความเบื่อหน่ายเพื่อความคลายกาหนด
เพ่ือความดบั เพื่อความสงบ เพ่ือความรู้ยง่ิ เพือ่ ความตรัสรู้ เพ่อื นิพพานเหตุน้นั เราจึงไมต่ อบ๓๔

๓๑ องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๖๘/๒๐๕-๒๐๖.
๓๒ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๗๔-๗๗/๗๘-๘๓
๓๓ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๑, องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๔๑/๗๐.
๓๔ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๒๒-๑๒๘/๑๓๓-๑๔๑.

๑๔๔

๔. แบบวางกฎข้อบังคบั โดยใชว้ ิธีการกาหนดหลกั เกณฑ์ กฎและระเบียบขอ้ บังคับให้
พระสงฆส์ าวกถือปฏิบตั ิดว้ ยความเห็นชอบพร้อมกนั ดงั คาว่า สงฺฆสุฏฺฐุตาย เพ่ือความรับว่าดีแห่ง
สงฆ๓์ ๕

๔.๘ คุณธรรมของนักเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา

คุณธรรมของผเู้ ป็ นนกั เผยแผพ่ ระพุทธศาสนาใหม้ นั่ คงมาจนถงึ ปัจจุบนั น้ี มีอยู่ ๕ ประการ
ไดแ้ ก่

๑) อนุปุพฺพิกถา ดว้ ยการสอนให้ถูกตอ้ งตามลาดบั ข้นั ตอน มีการแสดงเน้ือหาหลกั ธรรม
ตามลาดบั แห่งความยากง่ายไดอ้ ยา่ งลกึ ซ้ึง มหี ลกั การเหตุผลสมั พนั ธ์กนั อยา่ งต่อเน่ืองไปตามลาดบั
ทาใหผ้ ฟู้ ังเห็นคลอ้ ยตามได้ ดงั เช่น ยสกลุ บุตรผมู้ ีเรือน ๓ หลงั เหมือนกบั พระพุทธเจา้ เพื่ออยใู่ น ๓
ฤดู เกิดความเบ่ือหน่ายในชีวิตแลว้ เดินออกจากบา้ นในยามราตรีไปสู่ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ดว้ ย
การเปล่งอุท่านว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ท่ีน่ีขดั ขอ้ งหนอ” ในขณะท่ีพระพุทธเจา้ เดินจงกรมอย่นู ้ันไดม้ ี
พระดารัสตอบว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ ท่ีนี่ไม่ขดั ขอ้ งหนอ เชิญมาที่นี่เถิด เราจะแสดงธรรมแก่ท่าน”
ท่านเขา้ ไปเฝ้ าพระพทุ ธองคเ์ พ่ือฟังธรรมอนุปุพพิกถา ๕ คือ ทาน ศลี สวรรค์ โทษแห่งกามคุณ คุณ
แห่งการบวช และอริยสจั เป็ นท่ีสุด๓๖ ไดด้ วงตามเห็นธรรมเป็ นพระโสดาบนั ฉับพลนั จดั ไดว้ ่าเป็ น
อุคฆฏิตญั ญูบุคคล

๒) ปริยายทสฺสาวี สอนดว้ ยการจบั จุดสาคญั มาขยายเน้ือความแห่งธรรมเพ่อื ให้ผฟู้ ังเขา้ ใจ
ตามเหตุผลน้ัน มีความเขา้ ใจแต่ละแง่แต่ละประเด็น และสามารถทาใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจกระจ่างแจง้ ตาม
เหตุผล ดงั เช่น พระรัฐบาลตอบปัญหาพระเจา้ โกรัพยะผเู้ ป็นกษตั ริยแ์ ห่งกุรุเร่ืองความเสื่อม ๔ อยา่ ง
ทาใหบ้ ุคคลออกบวช คือ ความแก่ชรา ความเจบ็ ป่ วยความสิ้นโภคทรัพย์ และความส้ินญาติ ซ่ึงพระ
เถระไดท้ ูลแกด้ ว้ ยธรรมเุ ทส ๔ ประการ ไดแ้ ก่

๓๕ วิ.อ. (บาลี) ๑/๓๙/๒๓๔.
๓๖ พระเทพวสิ ุทธิญาณ (อุบล นนฺทโก), ประวัติอนุพุทธสังเขป ๙๙, พิมพ์คร้ังที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพม์ หามกุฎราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐), หนา้ ๔๕.

๑๔๕

(๑) โลก คือหม่สู ตั ว์ อนั ชราเป็นผนู้ าไปใกล้ มคี วามไม่ยง่ั ยนื

(๒) โลก คือหมสู่ ตั ว์ ไม่มีสิ่งใดป้ องกนั ได้ ไมไ่ ดเ้ ป็นใหญ่เฉพาะตน

(๓) โลก คือหมสู่ ตั ว์ ไมม่ ีสิ่งใดเป็นของตน จาตอ้ งละสิ่งน้นั

(๔) โลก คือหมสู่ ตั ว์ มคี วามพร่องเป็นนิตย์ ไม่รู้จกั อ่ิม เพราะตณั หา๓๗

๓) อนุทยตา ต้งั จิตประกอบดว้ ยเมตตาที่จะสอนใหผ้ ฟู้ ังรู้ยงิ่ เห็นจริง เพ่ือจะไดบ้ รรลมุ รรค
ผลนิพพาน หรือบรรลุประโยชน์สูงสุดแห่งการแสดงธรรม ดงั เช่นอรรถกถาธรรมบทภาคท่ี ๑ ที่
พระพทุ ธเจา้ แสดงแก่พระจกั ขุบาลเถระวา่

มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺ ฐา มโนมยา

มนสา เจ ปทุฏฺ เฐน ภาสติ วา กโรติ วา

ตโต น ทุกขฺ มเนฺวติ จกฺกว วหโต ปท๓๘

แปลความว่า ธรรมท้งั หลาย มีใจเป็ นหวั หนา้ มีใจเป็นใหญ่ สาเร็จแลว้ ดว้ ยใจ ถา้ บุคคลมใี จ
ร้ายแลว้ พดู อยกู่ ็ดี ทาอยกู่ ็ดี ทุกข์ยอ่ มไปตามเขา เพราะเหตุน้ัน ดุจลอ้ อนั หมุนไปตามรอยเทา้ โค
ผนู้ าแอกไปอยฉู่ ะน้นั ๓๙

๔) อนามสิ นฺตร ไม่ไดแ้ สดงธรรมเพราะเห็นแก่อามสิ สินจา้ งที่จะไดร้ ับ สอนไปตามหนา้ ท่ี
แห่งนกั เผยแผ่พระพทุ ธศาสนาที่ดีมคี ุณธรรม ดงั เช่นในอรรถกถาธรรมบทภาคท่ี ๑ เรื่องจุลกาลมหา
กาลวา่

อสุภานุปสฺสึ วหิ รนฺต อนิ ฺทฺริเยสุ สุสวุต

โภชนมฺหิ จ มตฺตญฺญุ สทฺธ อารทฺธวรี ิย

๓๗ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๕.
๓๘ ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๑/๑/๓.
๓๙ เทพ สุนทรศารทูล, พระธรรมบทไตรพากย์ พระธรรมบทคาโคลง, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
มหา มกุฎราชวิทยาลยั , ๒๕๔๗), หนา้ ๑.

๑๔๖

ต เว ปสหตี มาโร วาโต รุกฺขว ทุพฺพล๔๐

แปลความว่า มารยอ่ มไม่ยา่ ยบี ุคคลผมู้ กั เห็นอารมณ์ว่าไมง่ าม สารวมอนิ ทรียด์ ีรู้จกั ประมาณ
ในการบริโภค มีศรัทธา ปรารภความเพียร เหมือนลมไม่อาจพดั ภูเขาศิลาแท่งทึบให้แตกแยกได้
ฉะน้นั ๔๑

๕) อนุปหจฺจ ไมแ่ สดงธรรมแบบยกตนข่มผอู้ ื่น หรือแสดงธรรมแบบกระทบผอู้ ่นื ใหไ้ ดร้ ับ
ความคบั ขอ้ งใจ เป็นการแสดงตามลาดบั แห่งเน้ือหาความเป็ นจริง ดงั เช่นพระมหากจั จายนะเป็นผทู้ ี่
แสดงธรรมไดไ้ พเราะ และไดร้ ับการยกยอ่ ง หรือ เอตทัคคะว่า “ผเู้ ลิศกว่าภิกษุท้งั หลาย ผอู้ ธิบาย
หัวขอ้ ธรรมให้พิสดาร” หรือพระธรรมทินนาเถรีเป็ นผตู้ อบปัญหาวิสาขอุบาสกเร่ืองโสดาปัตติ
มรรค แต่วิสาขอุบาสกถามเกินภูมิธรรมแห่งตนเอง จึงถูกทักท้วง เกิดความสงสัยไปทูลถาม
พระพุทธเจา้ ก็ทรงตอบยืนยนั ตามเดิม และไดร้ ับการยกย่อง หรือ เอตทคั คะว่า “ผเู้ ลิศกว่าภิกษุณี
ท้งั หลาย ผเู้ ป็นธรรมถึก”๔๒

๔.๙ คุณสมบัตขิ องผ้สู อนหรือนักเผยแผ่

พุทธวิธีในการสอนน้ันต้องเริ่มต้นจากปรัชญาข้นั พ้ืนฐานอนั ไดแ้ ก่ กลั ยาณมิตรและมี
สติปัญญาไหวพริบที่ชาญฉลาดเป็ นเบ้ืองตน้ จากน้ันตอ้ งประกอบดว้ ยหลกั ของนักเผยแผก่ บั ผฟู้ ัง
หรือผสู้ อนกบั ผเู้ รียนที่มีความสัมพนั ธก์ นั ในฐานะเป็ นกลั ยาณมิตรเป็นอนั ดบั ต่อไป เพราะในทาง
พระพุทธศาสนาถือว่า ผเู้ ผยแผก่ บั ผฟู้ ังหรือผสู้ อนกบั ผเู้ รียนน้นั ตอ้ งประสานสัมพนั ธ์กนั มีความ
กรุ ณาต่อกันโดยเฉพาะในด้านการอบรมสั่งสอนน้ัน ย่อมเป็ นส่วนประกอบที่สาคัญให้เกิด
คุณลกั ษณะของผสู้ อนซ่ึงเรียกว่า องคค์ ุณของกลั ยาณมติ ร ดงั น้นั พระธรรมกถึกหรือนกั เผยแผพ่ ทุ ธ
ธรรมท่ีดีจึงมีลกั ษณะคุณสมบตั ิซ่ึงเป็นองคข์ องกลั ยาณมติ ร ๗ ประการ ดงั น้ี

๑. ปิ โย เป็นท่ีรักเป็นท่ีพอใจ ในฐานเป็นท่ีสบายและสนิทสนม ชวนใหอ้ ยากเขา้ ไปปรึกษา
ไต่ถาม

๒. ครุ เป็ นที่เคารพ ในฐานประพฤติสมควรแก่ฐานะ ให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เป็ นที่พ่ึง
ได้ และปลอดภยั

๔๐ ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๑/๖/ ๖๗.
๔๑ เทพ สุนทรศารทูล, พระธรรมบทไตรพากย์ พระธรรมบทคาโคลง, หนา้ ๔.
๔๒ พระเทพวสิ ุทธิญาณ (อบุ ล นนฺทโก), ประวตั ิอนุพทุ ธสังเขป ๙๙, หนา้ ๓๓, ๗๒.

๑๔๗

๓. ภาวนีโย เป็นท่ียกยอ่ ง ในฐานทรงคุณคือความรู้และภูมปิ ัญญาแทจ้ ริง ท้งั เป็นผฝู้ ึกอบรม
และปรับปรุงตนอยเู่ สมอ ควรเอาอยา่ ง ทาใหร้ ะลึกและเอ่ยอา้ งดว้ ยซาบซ้ึงภมู ิใจ

๔. วตฺตา จ เป็นนกั พดู รู้จกั ช้ีแจงใหเ้ ขา้ ใจ รู้วา่ เมื่อไรควรพดู อะไรอยา่ งไร คอยใหค้ าแนะนา
วา่ กล่าวตกั เตือน เป็นท่ีปรึกษาที่ดี

๕. วจนกฺขโม เป็ นผอู้ ดทนต่อถอ้ ยคา คือพร้อมท่ีจะรับฟังคาปรึกษา ซกั ถาม คาเสนอแนะ
วิพากษว์ ิจารณ์ อดทน ฟังไดไ้ มเ่ บ่ือ ไมฉ่ ุนเฉียว

๖. คมฺภีรญฺจ กถ กตฺตา เป็นผพู้ ูดดว้ ยถอ้ ยคาลึกซ้ึงได้ สามารถอธิบายเรื่องยุ่งยากซบั ซอ้ นให้
เขา้ ใจ และใหเ้ รียนรู้เร่ืองราวที่ลกึ ซ้ึงยงิ่ ข้ึนไป

๗. โน จฏฺฐาเน นิโยชเย ไม่ชกั นาในอฐานะ คือไม่แนะนาในเร่ืองเหลวไหล หรือชกั จงู ไป
ในทางเสื่อมเสีย๔๓

๔.๑๐ วธิ ีการเสนอหลักคาสอนท่เี ป็ นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

วธิ ีการน้ีเป็ นวิธีที่สืบเน่ืองมาจากวิธีการดงั กล่าวแลว้ ขา้ งตน้ น้ัน กล่าวคือ เม่ือทรงอธิบาย
ช้ีแจงถงึ ส่วนดีส่วนบกพร่องของศาสนาพราหมณ์แลว้ ไดเ้ สนอหลกั การใหมท่ ่ีเป็นหลกั คาสอนของ
พระพุทธศาสนาลว้ น ๆ ข้ึนแทนที่และเผยแผห่ ลกั คา สอนท่ีเป็ นแก่นแทข้ องพระพุทธศาสนาแก่
ประชาชนเพ่ือให้เขา้ ใจถึงธรรมชาติแทจ้ ริงของมนุษยแ์ ละสรรพสิ่ง หลกั ธรรมที่เป็ นแก่นแท้ของ
พระพุทธศาสนา ไดแ้ ก่ ไตรลกั ษณ์หรือสามญั ลกั ษณะ คือความเป็นของไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ และ
ความเป็นของไม่ใช่ตวั ตน ความไม่คงท่ีแน่นอนของสรรพส่ิงเกิดข้ึนต้งั อยแู่ ละดบั ไปตามเหตุปัจจยั
ท่ีอาศยั กนั เกิดข้ึนและเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาที่ผา่ นไป๔๔

และหลักอริยสัจ ๔ ถือไดว้ ่าเป็ นหลกั หัวใจสาคัญของพระพุทธศาสนา เป็ นหลกั ธรรมท่ี
สาคญั ครอบคลุมคาสอนท้งั หมดในพระพุทธศาสนา กุศลธรรมท้งั หมดในพระพุทธศาสนารวมอยู่
ในอริยสจั ท้งั ส้ิน พระพุทธองคท์ รงบรรลุธรรมก็ดว้ ยหลกั ธรรมขอ้ น้ีซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นถึงการเกิดข้ึน
และดบั ไปอยา่ งมีเหตุปัจจยั เป็นหลกั ธรรมท่ีพระพุทธองคท์ รงนามาแสดงเพ่ือโปรดสตั วม์ ากที่สุด๔๕

๔๓ ม.ม. (บาลี) ๒๓/๓๗/๒๙, ม.ม. (ไทย) ๒๓/๓๗/๕๗, พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานุกรม
พทุ ธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม, พมิ พค์ ร้ังท่ี ๑๓, (กรุงเทพมหานคร : บริษทั เอส.อาร์.พร้ินต้งิ แมส โปรดกั ส์จากดั
, ๒๕๔๘), หนา้ ๒๐๔

๔๔ องฺ.ตกิ . (บาลี) ๒๐/๑๓๗/๒๗๘ – ๒๗๙, องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๑๓๗/๓๘๕
๔๕ วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๓/๑๓ – ๑๖, ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓/๒๐ – ๒๕.

๑๔๘

๔.๑๑ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
๑) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคสมยั พทุ ธกาล

วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมยั พุทธกาล พระพุทธเจา้ ทรงมีท้งั หลกั การ และหลกั
ปฏิบตั ิแตกต่างกนั ไปตามกาลเทศะและบุคคลที่จะทรงส่ังสอน ดงั น้ันการพิจารณาวิธีการเผยแผ่
พระพุทธศาสนาของพระองคจ์ ึงเร่ิมต้งั แต่ คุณสมบตั ิของผสู้ อน ลลี าการสอนและหลกั การสอน

๒) คุณสมบัตขิ องผ้สู อนหรือนกั เผยแผ่
พุทธวิธีในการสอนน้ันต้องเริ่มตน้ จากปรัชญาข้นั พ้ืนฐานอนั ได้แก่ กลั ยาณมิตรและมี
สติปัญญาไหวพริบท่ีชาญฉลาดเป็ นเบ้ืองตน้ จากน้ันตอ้ งประกอบดว้ ยหลกั ของนกั เผยแผ่กบั ผฟู้ ัง
หรือผสู้ อนกบั ผเู้ รียนท่ีมีความสมั พนั ธก์ นั ในฐานะเป็ นกลั ยาณมิตรเป็นอนั ดบั ต่อไป เพราะในทาง
พระพุทธศาสนาถือว่า ผูเ้ ผยแผ่กบั ผฟู้ ังหรือผูส้ อนกบั ผเู้ รียนน้นั ตอ้ งประสานสัมพนั ธก์ นั มีความ
กรุ ณาต่อกันโดยเฉพาะในด้านการอบรมส่ังสอนน้ัน ย่อมเป็ นส่วนประกอบที่สาคัญให้เกิด
คุณลกั ษณะของผสู้ อนซ่ึงเรียกวา่ องคค์ ุณของกลั ยาณมิตร ดงั น้นั พระธรรมกถกึ หรือนกั เผยแผพ่ ทุ ธ
ธรรมท่ีดีจึงมลี กั ษณะคุณสมบตั ิซ่ึงเป็นองคข์ องกลั ยาณมติ ร ๗ ประการ ดงั น้ี
(๑) ปิ โย เป็ นที่รักพอใจ ในฐานเป็ นที่สบายและสนิทสนม ชวนใหอ้ ยากเขา้ ไปปรึกษาไต่
ถาม
(๒) ครุ เป็นท่ีเคารพ ในฐานประพฤติสมควรแก่ฐานะ ใหเ้ กิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นท่ีพ่ึง
ได้ และปลอดภยั
(๓) ภาวนีโย เป็ นที่ยกย่อง ในฐานทรงคุณคือความรู้และภูมิปัญญาแท้จริง ท้ังเป็ นผู้
ฝึกอบรมและปรับปรุงตนอยเู่ สมอ ควรเอาอยา่ ง ทาใหร้ ะลึกและเอย่ อา้ งดว้ ยซาบซ้ึงภมู ใิ จ
(๔) วตฺตา จ เป็ นนักพูด รู้จกั ช้ีแจงให้เข้าใจ รู้ว่าเมื่อไรควรพูดอะไรอย่างไร คอยให้
คาแนะนาวา่ กล่าวตกั เตือน เป็นที่ปรึกษาที่ดี
(๕) วจนกฺขโม เป็นผอู้ ดทนต่อถอ้ ยคา คือพร้อมที่จะรับฟังคาปรึกษา ซกั ถาม คาเสนอแนะ
วิพากษว์ จิ ารณ์ อดทน ฟังไดไ้ มเ่ บื่อ ไมฉ่ ุนเฉียว
(๖) คมฺภีรญฺจ กถ กตฺตา เป็ นผพู้ ดู ดว้ ยถอ้ ยคาลึกซ้ึงได้ สามารถอธิบายเรื่องยุ่งยากซบั ซอ้ น
ใหเ้ ขา้ ใจ และใหเ้ รียนรู้เร่ืองราวที่ลึกซ้ึงยง่ิ ข้ึนไป
(๗) โน จฏฺ ฐาเน นิโยชเย ไมช่ กั นาในอฐานะ คือไมแ่ นะนาในเรื่องเหลวไหล หรือชกั จงู ไป
ในทางเส่ือมเสีย๔๖

๔๖ ม.ม. (บาลี) ๒๓/๓๗/๒๙, ม.ม. (ไทย) ๒๓/๓๗/๕๗, พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานุกรม
พุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม, พมิ พค์ ร้ังท่ี ๑๓, (กรุงเทพมหานคร : บริษทั เอส.อาร์.พริ้นตง้ิ แมส โปรดกั ส์จากดั
, ๒๕๔๘), หนา้ ๒๐๔.

๑๔๙

๓) ลลี าการสอน
การสอนของพระพุทธเจา้ แต่ละคร้ัง แมท้ ี่เป็ นเพียงธรรมมกี ถา หรือการสนทนาทวั่ ไป ซ่ึง
มิใช่คราวที่มีความมุ่งหมายเฉพาะพิเศษ ก็จะดาเนินไปอยา่ งสาเร็จผลดี โดยมีองค์ประกอบท่ีเป็ น
คุณลกั ษณะที่เรียกไดว้ า่ เป็นลีลาในการสอน มี ๔ ประการ คือ
(๑) สนั ทสั สนา ช้ีแจงใหเ้ ห็นชดั คือจะสอนอะไร กช็ ้ีแจงจาแนกแยกแยะอธิบาย และแสดง
เหตุผลใหช้ ดั เจน จนผฟู้ ังเขา้ ใจแจ่มแจง้ เห็นจริงเห็นจงั ดงั จูงมอื ไปดูเห็นกบั ตา
(๒) สมาทปนา ชวนใจใหอ้ ยากรับเอาไปปฏิบตั ิ คือส่ิงใดควรปฏิบตั ิหรือหดั ทา ก็แนะนา
หรือบรรยายใหซ้ าบซ้ึงในคุณค่า มองเห็นความสาคญั ท่ีจะตอ้ งฝึกฝนบาเพ็ญจนใจยอมรับ อยากลง
มือทา หรือนาไปปฏิบตั ิ
(๓) สมุตเตชนา เร้าใจให้อาจหาญแกลว้ กลา้ คือปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้น เกิดความ
อุตสาหะ มีกาลงั ใจแข็งขนั มน่ั ใจท่ีจะทาใหส้ าเร็จจงได้ สูง้ าน ไม่หวนั่ ระย่อ ไม่กลวั เหน่ือย ไม่
กลวั ยาก
(๔) สัมปหังสนา ปลอบชโลมใจให้สดช่ืนร่าเริง คือบารุงจิตให้แช่มชื่นเบิกบาน โดย
ช้ีใหเ้ ห็นผลดี หรือคุณประโยชนท์ ี่จะไดร้ ับและทางที่จะกา้ วหนา้ บรรลผุ ลสาเร็จยง่ิ ข้ึนไป ทาใหผ้ ฟู้ ัง
มีความหวงั และร่าเริงเบิกบานใจ ๔๗
๔) หลกั การสอน
พระพทุ ธองคไ์ ดต้ รัสองคแ์ ห่งธรรมกถึก ๕ ประการ คือ
(๑) อนุปุพฺพิกถ กล่าวความไปตามลาดบั คือแสดงหลกั ธรรม หรือเน้ือหาวิชาตามลาดับ
ความง่ายยากลุม่ ลกึ มเี หตุผลสมั พนั ธต์ ่อเนื่องกนั ไปโดยลาดบั
(๒) ปริยายทสฺสาวี ช้ีแจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ คือช้ีแจงให้เขา้ ใจชัดในแต่ละแง่
แต่ละประเดน็ โดยอธิบายขยายความ ยกั เยอ้ื งไปต่าง ๆ ตามแนวเหตุผล
(๓) อนุทยต ปฏิจฺจ แสดงธรรมด้วยอาศยั เมตตา คือสอนเขาด้วยจิตเมตตา มุ่งจะให้
เป็นประโยชนแ์ ก่เขา
(๔) น อามิสนฺตโร ไม่แสดงธรรมด้วยเห็นแก่อามิส คือสอนเขามิใช่เพราะมุ่งท่ีตนจะได้
ลาภ หรือผลประโยชนต์ อบแทน
(๕) อตฺตานญฺจ ปรญฺจ อนุปหจฺจ แสดงธรรมไม่กระทบตนและผอู้ ่ืน คือสอนตามหลกั ตาม
เน้ือหา มุ่งแสดงอรรถ แสดงธรรม ไม่ยกตน ไม่เสียดสีข่มขี่ผอู้ ่นื ๔๘

๔๗ ท.ี สี. (บาลี) ๙/๓๒๒/๑๒๖, ท.ี สี. (ไทย) ๙/๓๒๒/๑๒๔, พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต) , เร่ืองเดียวกัน,
หนา้ ๑๕๘ - ๑๕๙.

๑๕๐

หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแลว้ เมื่อทรงพระดาริ ที่จะ
ประกาศเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา พระองค์จึงทรงระลกึ ถึงพระปัญจวคั คียท์ ้งั ๕ จึงเสดจ็ ไปท่ีป่ าอิสิป
ตนมฤคทายวนั พระองคไ์ ดแ้ สดงปฐมเทศนาเป็นคร้ังแรกในโลกคือพระธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร จน
ท่านอญั ญาโกณฑญั ญะไดด้ วงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก และไดข้ อบรรพชาอปุ สมบทเป็นพระภิกษุ
พระองคท์ รงประทานอนุญาตใหก้ ารอุปสมบท ถือวา่ ท่านเป็ นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา
ต่อมาพระองคท์ รงแสดงพระธรรมเทศนาอนัตตลกั ขณสูตรแก่พระปัญจวคั คียท์ ี่เหลอื จนไดบ้ รรลุ
เป็นพระอรหนั ตห์ มดทุกรูป และไดท้ รงแสดงธรรมแก่ยสกุลบุตรพร้อมเพือ่ นอีก ๕๔ คน จนบรรลุ
อรหัตผลในกาลต่อมา จึงมีพระอรหนั ตเ์ กิดข้ึนในขณะน้นั ๖๑รูปรวมท้งั พระพุทธองค์ดว้ ย ดงั น้ัน
พระองค์ทรงส่งพระภิกษุสงฆท์ ้งั ๖๐ รูปออกไปประกาศเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาโดยใหแ้ ยกกนั ไป
ในทิศทางต่าง ๆ ให้ไปรูปเดียว ส่วนพระองคเ์ องเลือกไปเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาท่ีตาบลอุรุเวลา
เสนานิคม ๔๙

๕) การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาหลงั สมยั พุทธกาล
พระพุทธศาสนาไดก้ าเนิดข้ึนมาในชมพูทวีปหรือประเทศอินเดีย ภายหลงั จากท่ีเจา้ ชาย
สิทธตั ถะไดเ้ สด็จออกผนวชจากศากยวงศ์ จุดมุ่งหมายของพระองค์ ก็เพ่ือแสวงหาทางหลุดพน้ จาก
ความทุกข์ โดยเวลาแสวงหาความรู้ถึง ๖ ปี ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณที่ทรงคน้ พบทางหลุด
พน้ จากความทุกขท์ ้งั ปวง ในวนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ก่อนพุทธศกั ราช๔๕ ปี จึงไดพ้ ระนามว่า พทุ ธะ
พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงอาศยั พระมหากรุณาธิคุณอนั ยง่ิ ใหญ่ในหมสู่ ตั ว์ เสด็จจาริกไปเพื่อเผยแผพ่ ระ
ธรรมคาสงั่ สอนที่ตรัสรู้แก่เวไนยสตั วท์ ้งั หลาย ในเบ้ืองตน้ น้นั พระพุทธองคไ์ ดเ้ สด็จไปแสดงธรรม
จกั กปั ปวตั ตนสูตร แก่หม่ปู ัญจวคั คีย์ ณ ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ทาใหป้ ัญจวคั คียไ์ ดด้ วงตาเห็นธรรม
ตามท่ีพระพุทธองค์ทรงสง่ั สอน ต่อจากน้นั ทรงแสดงธรรมแก่ยสกุลบุตรและสหาย จึงทาใหบ้ งั เกิด
มีพระอรหนั ตสาวกในพระพุทธศาสนาจานวน ๖๐ องค์ พระองคท์ รงส่งพระสาวกท้งั หมดไปเผยแผ่
ธรรมะในที่ต่าง ๆ โดยไม่ซ้ากนั โดยพระองคท์ รงประทานพุทโธวาทว่า “จรถ ภิกฺขเว จาริก พหุ
ชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสาน” ๕๐ ภิกษุท้งั หลาย พวกเธอ
จงเท่ียวจาริกไป เพ่อื ประโยชนส์ ุขแก่ชนจานวนมาก เพอื่ อนุเคราะหช์ าวโลก เพ่ือประโยชน์เก้ือกลู
และความสุขแก่ทวยเทพและมนุษยท์ ้งั หลาย๕๑

๔๘ องฺ.ปญฺจก. (บาลี) ๒๒/๑๕๙/๑๗๔–๑๗๕, องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๕๙/๒๖๓,พระธรรมปิ ฎก
(ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม, หนา้ ๑๖๔.

๔๙ ว.ิ ม. (บาลี) ๔/๑๒ – ๔๗/๑๒ – ๔๑, ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๒ – ๔๗/๑๘ – ๔๘.
๕๐ วิ.ม. (บาลี) ๔/๓๒/๒๗.
๕๑ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐.

๑๕๑

จากพุทโธวาทน้ี ถือเป็ นกุญแจเปิ ดประตูสู่การเดินทางเพื่อการเผยแผพ่ ุทธธรรมแก่พุทธ
บริษทั ท้งั ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อบุ าสก และอุบาสิกา ช่วยกนั ทาหนา้ ที่ในการเผยแผแ่ ละสืบทอดพระ
ธรรมคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ใหแ้ ผข่ ยาย ไปทว่ั ทุกสารทิศ รูปแบบการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนามี
การสืบทอดและพฒั นามาตามยุคตามสมยั จากพระศาสดามาสู่พระสาวก จากพระสาวกรุ่นต่อรุ่น
มาแลว้ วิธีการเผยแผ่พุทธธรรมท่ีไดร้ ับการสืบทอดมาเร่ือย ๆ การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในสมยั
พทุ ธกาลจนถึงสมยั พระเจา้ อโศกมหาราชก็ยงั คงใชร้ ูปแบบด้งั เดิมอยคู่ ืออาศยั พระสงฆเ์ ป็นผเู้ ผยแผ่
ธรรมะ แต่คร้ันมาถึงยคุ พระพทุ ธศาสนาไดแ้ ยกออกเป็ นหลายนิกาย โดยเฉพาะที่เด่นชดั ท่ีสุดหลงั
พุทธกาล พระพุทธศาสนาไดแ้ ตกแยกออกเป็ น๒ นิกายใหญ่ๆ คือเถรวาทกบั อาจริยวาท หลงั จาก
การทาสงั คายนาคร้ังที่ ๒ ลว่ งมาได้ ๑๐๐ ปี ๕๒ จุดเด่นของการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในสมยั พระ
เจ้าอโศกมหาราช คือพระเจ้าอโศกมหาราชได้หันมานับถือพระพุทธศาสนาจนสามารถนาเอา
หลกั ธรรมในทางพระพุทธศาสนามาใชใ้ นการบริหารประเทศ และเปล่ียนการขยายอานาจดว้ ย
ศาสตราวุธมาเป็ นธรรมาวุธ โดยอาศยั พระราชอานาจ ของพระองคใ์ นการใชน้ โยบายหลกั ธรรม
วินยั ในการบริหารประเทศ เช่น

๑. ทรงปกครองบ้านเมืองโดยระบบธรรมาธิปไตย คือใช้หลกั พระธรรมวินัยบริหาร
บา้ นเมือง

๒. ทรงอุทิศพระองคเ์ ป็ นธรรมทาส โดยทรงหวงั ผลท้งั ในภพน้ีและภพหนา้ นาประชาชน
ใหง้ ดเวน้ จากมจิ ฉาชีพ ดารงชีวิตโดยหลกั สมั มาอาชีวะ

๓. เสด็จประพาสเพ่ือธรรม คือเที่ยวนมสั การปูชนียสถานในพระพุทธศาสนาและแนะนา
สงั่ สอนประชาชนใหร้ ู้และปฏิบตั ิธรรม

๔. ทรงปฏิวตั ิสังคมโดยธรรม คือยกเลิกพิธีกรรมต่าง ๆ ท่ีมีการเบียดเบียนทาลายลา้ งห้าม
การฆา่ สตั วบ์ ชู ายญั ดว้ ยกฎ “มา ฆาต” คือหา้ มฆ่า แมภ้ ายในพระราชวงั เองกห็ า้ มฆ่าสตั ว์

๕. ทรงใชร้ ะบบรัฐสวสั ดิการ ดว้ ยการสร้างโรงพยาบาลข้ึนรักษาคน และโรงพยาบาลรักษา
สตั ว์ ปลูกสมุนไพรไวใ้ นส่วนต่าง ๆ ของประเทศ ขดุ บ่อน้า สระน้า สร้างถนนคูคลอง เพ่ืออานวย
ความสะดวกแก่ประชาชน

๖. ใหเ้ ลิกพิธีกรรมทุกชนิดที่ไม่เป็ นธรรม และไดน้ าเอาหลกั ของมงคลสูตร สิงคาลสูตรให้
คนปฏิบตั ิต่อกนั ตามสมควรแก่ฐานะหน้าท่ี เน้นใหป้ ระชาชนรู้จกั คุณค่าของธรรมทาน เห็นคุณค่า
ของการแนะนา การรับการแนะนาสง่ั สอนกนั ดว้ ยเมตตา กรุณา

๕๒ สิริวฒั น์ คาวนั สา, ประวตั พิ ระพุทธศาสนาในประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร : บริษทั จรัลสนิท
วงศก์ ารพมิ พ์ จากดั , ๒๕๔๒), หนา้ ๑๐.

๑๕๒

๗. ทรงต้งั ขา้ หลวงแทนพระองคเ์ พื่อส่งเสริมการปฏบิ ตั ิธรรม โดยใหข้ า้ หลวงเหลา่ น้นั สร้าง
ความรู้สึกต่อประชาชนวา่ เป็นเหมือนลกู หลานของตน ใหพ้ ยายามสอดส่องดแู ลสุขทุกขข์ องเขาดุจ
บิดาเอาใจใส่ดูแลบุตรธิดาของตน การกระทาทุกอยา่ งทรงเน้นหนกั ไปท่ีผลประโยชนอ์ นั ผกู้ ระทา
ถึงไดใ้ นภพน้ีและภพหนา้

ผลจากการปกครองโดยระบบธรรมาธิปไตย ทาใหเ้ พอ่ื นบา้ นใกลเ้ คียงมีสมั พนั ธไมตรีกบั
พระองค์ มเี มอื งเป็ นอนั มากท่ียอมเป็นขา้ ขอบขนั ธเสมา เพราะความเคารพศรัทธาต่อพระเจา้ อโศก
มหาราช ความสงบสุขจึงไดบ้ งั เกิดข้ึน ๕๓

หลงั จากการทาสงั คายนาคร้ังที่ ๓ แลว้ พระเจา้ อโศกมหาราช และพระโมคคลั ลีบุตรทรง
พิจารณาเห็นวา่ พระพทุ ธศาสนาอาจจะดารงอยไู่ ม่ยง่ั ยนื ในประเทศอินเดียจึงสมควรส่งสมณทตู ออก
ประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาในนานาประเทศ เผ่ือว่าเม่ือเส่ือมสูญจากประเทศอินเดียแลว้
พระพุทธศาสนาอนั เป็ นประโยชน์แก่โลกกย็ งั มีปรากฏอยใู่ นประเทศอืน่ ๆ จึงส่งสมณทูตออกเป็ น
๙ สาย ดงั น้ี

๑. พระมหาเทวเถรไปยงั มหิสมณฑล (คือแว่นแควน้ ขา้ งใตล้ าน้าโคทาวารี อนั เป็นเมอื งไม
สอร์บดั น้ี) แห่ง ๑

๒. พระรักขิตเถรไปยงั วนั วาสีประเทศ (คือแวน่ แควน้ กะนะระเหนือ อนั เป็ นเขตเมอื งบอม
เบยบ์ ดั น้ี) แห่ง ๑

๓. พระธรรมรักขิตเถรไปยงั ปรันตปะประเทศ (คือแว่นแควน้ ตอนชายทะเลขา้ งเหนือเมือง
บอมเบยบ์ ดั น้ี) แห่ง ๑

๔. พระมหาธรรมรักขิตเถรไปยงั มหารัฐประเทศ (คือแว่นแควน้ ขา้ งยอดลาน้าโคทาวารี)
แห่ง ๑

๕. พระมชั ฌนั ติกะเถรไปยงั กษั มิระและคนั ธาระประเทศ (คือท่ีเรียกว่าประเทศแคชเมีย
และอาฟฆานิสถานบดั น้ี) แห่ง ๑

๖. พระมชั ฌนั เถรไปยงั หิมวนั ตประเทศ (คือมณฑลท่ีต้งั อยเู่ ชิงเขาหิมาลยั มีเนปาลราฐเป็ น
ตน้ ) แห่ง ๑

๗. ให้พระมหารักขิตเถรไปยงั โยนโลกประเทศ (คือเหล่าเมอื งท่ีพวกโยนกไดม้ าเป็ นใหญ่
อยใู่ นแดนประเทศเปอร์เซียบดั น้ี) แห่ง ๑

๘. พระมหินทรเถร อนั เป็นราชบุตรของพระเจา้ อโศกไปยงั ลงั กาทวปี แห่ง ๑
๙. พระโสณะเถร กบั พระอุตรเถร ไปยงั สุวรรณภูมปิ ระเทศ แห่ง ๑ ๕๔

๕๓ พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ), ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พ์ มหามกุฎราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒), หนา้ ๑๕๕ – ๑๕๖.

๑๕๓

การท่ีพระสมณทูต คือพระโสณะเถรกบั พระอุตรเถรนาพระพุทธศาสนาเขา้ มาสู่ประเทศ
ไทยน้นั ตามเสน้ ทางของชาวอนิ เดียซ่ึงเขา้ มาสู่สุวรรณภูมมิ หี ลายทางดว้ ยกนั ทางใดทางหน่ึงคือ

๑. มาทางบก โดยผา่ นเบงกอล ขา้ มเทือกเขาปาดไก่เขา้ สู่พม่าตอนบน
๒. ลงเรือขา้ มอ่าวเบงกอลข้ึนที่อ่าวเมาะตะมะ หรือมาข้ึนท่ีฝ่ังมะริด ทวาย ตะนาวศรีแลว้
เดินบกเขา้ สู่ลุ่มแม่น้าเจา้ พระยา โดยผา่ นจงั หวดั กาญจนบุรี
๓. ลงเรือขา้ มมหาสมุทรเขา้ ช่องแคบมะละกา มาข้ึนบกบนแหลมมลายู หรืออาจจะออ้ มไป
เลยเขา้ อา่ วญวนไปกมั พชู าและจามปา
การอพยพคร้ังใหญ่ๆ ของอินเดียมาสู่สุวรรณภูมิเกิดข้ึนในรัชสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช
กล่าวกนั ว่าชาวแควน้ กลงิ คะ (แควน้ โอริสาปัจจุบนั ) หนีภยั สงครามลงเรือจานวนหลายร้อยลามาสู่
สุวรรณภูมิและหม่เู กาะอินโดนีเซีย จึงไมต่ อ้ งสงสยั เลยวา่ ชาวอนิ เดียเหลา่ น้ีจะตอ้ งมีนกั ปราชญร์ าช
บณั ฑิตตามมาดว้ ยเป็ นจานวนมาก ดงั น้ันตานานพ้ืนเมืองของชนชาติต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิท่ีชาว
อินเดียไดม้ าสอนความเจริญให้มกั จะเล่าถงึ ปฐมวงศข์ องตนวา่ เป็นขตั ติยะมาจากอินเดีย ดงั น้นั เม่ือ
พระโสณะและพระอุตตระซ่ึงนาพระพุทธศาสนามาเผยแผ่เป็ นคณะแรก อาจเป็นทางเรือหรือไม่ก็
ทางบก โดยผ่านเบงกอลข้ามเทือกเขาปาดไก่เข้าสู่พม่าตอนบน แลว้ ผ่านเข้ามาทางจังหวดั
กาญจนบุรี มาสู่นครปฐมอนั เป็ นเมืองหลวง ซ่ึงเรียกช่ือในสมยั น้ันว่า “ทวาราวดี” พระโสณะและ
พระอุตตระจึงไดแ้ สดงธรรมเทศนาแก่ชาวสุวรรณภูมิ เพราะอย่างนอ้ ยก็มชี าวอินเดียที่อาศยั อย่ใู น
ถิ่นน้ีรู้เร่ืองแลว้ จึงช่วยกนั เผยแผ่ออกไปถงึ ชาวพ้นื เมือง นนั่ ก็คือพวกมนุษยม์ อญโบราณ และละวา้
ซ่ึงเป็นพวกแรกในสุวรรณภูมทิ ี่นบั ถือพระพทุ ธศาสนาในยคุ น้นั ๕๕ดงั น้นั ชาวไทยจึงไดย้ อมรับนบั
ถือพระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาของตนและนบั ถอื ตลอดมาจนกระทง่ั บดั น้ี
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระเจา้ อโศกมหาราชดงั ท่ีกล่าวมาน้ีได้รับการพฒั นาจน
กลายมาเป็ นรูปแบบการเผยแผใ่ นปัจจุบนั ความเก่ียวเนื่องสมั พนั ธก์ นั ของพระเจา้ อโศกมหาราชกบั
พระพุทธศาสนาก็เป็ นแม่แบบของประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนา กล่าวคือศาสนจกั รและ
อาณาจักรต้องมีความสมัครสมานกลมเกลียวกันอย่างแยกกันไม่ได้ นับได้ว่าวิธีการเผยแผ่
พระพุทธศาสนาของพระเจา้ อโศกมหาราชมีบทบาทต่อนักเผยแผ่ในรุ่นต่อมาอย่างแท้จริง จน
พระพทุ ธศาสนาไดด้ ารงมนั่ อยู่ ในประเทศไทย พระมหากษตั ริยข์ องไทยทุกพระองคต์ ่างก็ไดร้ ับ

๕๔ สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, ตานานพระพทุ ธเจดีย์, (กรุงเทพมหานคร : สานกั พิมพ์ มติชน
,๒๕๔๕), หนา้ ๕๐.

๕๕ กรมการศาสนา, ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ภาค ๒, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพก์ ารศาสนา, ๒๕๒๕), หนา้ ๒๐๓.

๑๕๔

อทิ ธิพลน้ันแลว้ เจริญรอยตามแบบอยา่ งดงั กล่าวมาโดยลาดบั จนกลายเป็นวฒั นธรรมประเพณีที่ดี
งามของไทยไป

๖) การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย
แผ่นดินในสุ วรรณภูมิที่พระโสณะและพระอุตตระเดินทางมาเผยแผ่คาสอนทาง
พระพุทธศาสนาน้นั สนั นิษฐานว่าไดแ้ ก่นครปฐม ซ่ึงมหี ลกั ฐานปรากฏอยหู่ ลายอยา่ ง เช่น พระปฐม
เจดีย์ พระสถปู เจดียท์ รง “สถปู รูปฟองน้า” เหมือนกบั สถปู สาญจิในประเทศอินเดีย ซ่ึงพระเจา้ อโศก
ได้สร้างข้ึน “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงสันนิ ษฐานว่า
พระพุทธศาสนาเห็นจะมาประดิษฐานในประเทศสยามต้ังแต่ก่อน พ.ศ. ๕๐๐ และนับถือมน่ั คง
ต้ังแต่คร้ังน้ัน เม่ือเกิดประเพณี สร้างพระพุทธรูปข้ึนในประเทศอินเดีย พวกชาวอินเดียได้นา
แบบอยา่ งพระพทุ ธรูปมาสร้างในประเทศสยาม ขอ้ น้ีสงั เกตไดด้ ว้ ยลกั ษณะ พระพทุ ธรูปซ่ึงเป็ นช้ิน
แรกท่ีมขี ้ึนในประเทศน้ี เช่น พระพุทธรูปนงั่ ห้อยพระบาทเหมือนการนง่ั เกา้ อ้ี เป็นตน้ ทาตามแบบ
ชาวมคธรัฐ คร้ังสมยั ราชวงคค์ ุปตะ ซ่ึงรุ่งเรืองราว พ.ศ. ๙๐๐ แบบอยา่ งที่กล่าวมาน้ีเป็ นหลกั ฐาน
ประกอบว่า แบบอยา่ งอนั แสดงมรดกวฒั นธรรมของพระพุทธศาสนาอนั แพร่หลายมาจากแควน้
มคธ”๕๖
ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พระนางจามเทวี ไดเ้ สด็จไปครองเมอื งหริภุญไชย พระนางได้
นิมนตพ์ ระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ไดส้ ร้างวดั เป็นจานวนมาก ไดน้ าอารยธรรมสมยั ทวาราวดีไปสู่ล่มุ แม่น้า
ปิ ง อานุ ภาพของทวาราวดีได้แผ่ขยายข้ึนไปถึงภาคเหนื อของประเทศไทย เป็ นเหตุให้
พระพทุ ธศาสนาฝ่ ายเถรวาทไดเ้ จริญรุ่งเรืองไปดว้ ย
ในสมยั เดียวกนั กบั ทวาราวดีที่กาลงั เจริญรุ่งเรือง ปรากฏว่าทางภาคใต้ ของประเทศไทย ได้
เกิดอาณาจักรศรี วิชัย ซ่ึงนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ ายสาวกยาน ต่อมาอาณาจักศรี วิชัยได้มี
สมั พนั ธไมตรีกบั ราชวงศป์ าละแห่งแควน้ มคธ ซ่ึงราชวงศน์ ้ียอมรับนบั ถือลทั ธิมหายาน นิกายตนั ตร
ยาน ก็ทาใหอ้ าณาจกั รศรีวชิ ยั ยอมรับนบั ถือลทั ธิมหายาน และนบั ถือเป็นศาสนาประจาชาติดว้ ย
การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในสมยั สุโขทัย และกรุงศรีอยธุ ยาน้ัน มีรูปแบบการเผยแผ่ท่ี
คลา้ ยคลึงกนั คือ ทรงมีพระมหากษตั ริยเ์ ป็ นศาสนูปถมั ภ์ พระองค์ทรงส่งเสริม ใหข้ า้ ราชบริพาร
และประชาชนนบั ถอื และศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาดว้ ยพระองคเ์ องทรงเป็นผนู้ าในการสร้างศาสน
วตั ถุ เป็ นจานวนมาก พระพุทธศาสนาในยุคน้ีมีการสอดแทรกธรรมะเข้าไปในเน้ือหาของ
วรรณคดี เพ่ือใหป้ ระชาชนไดร้ ับรู้ธรรมในอีกรูปแบบหน่ึง

๕๖ พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต), ความสาคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะพระศาสนาประจาชาติ,
(กรุงเทพมหานคร : ศูนยส์ ่งเสริมพระพทุ ธศาสนาแห่งประเทศไทย, ๒๕๓๒), หนา้ ๒๘-๒๙

๑๕๕

ในสมยั กรุงธนบุรี และตน้ รัตนโกสินทร์ เป็ นสมยั ที่พระพุทธศาสนาซบเซาลงตามสภาพ

บา้ นเมือง หลงั จากท่ีกรุงศรีอยุธยาแตกเม่ือ พ.ศ. ๒๓๑๐ แต่คราใดที่ทรงมีโอกาสก็ไดท้ านุบารุง

พระพุทธศาสนา ทรงมีพระราชศรัทธาสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วดั และอารามตลอด ๑๕ ปี ที่

ครองราชย์ ทรงให้รวบรวมสืบหาพระไตรปิ ฎกจากหัวเมืองต่าง ๆ ท่ียงั เหลืออย่มู าคดั ลอกเป็ น

พระไตรปิ ฎกฉบบั หลวง และทรงนิพนธธ์ รรมะเร่ืองส้นั การอุปถมั ภ์ บารุงพระพุทธศาสนานับว่า

เป็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ ดงั มีจารึกไวใ้ นศาลพระเจา้ กรุงธนบุรี ณ วดั อรุณราชวรารามว่า

“ อนั ตวั พอ่ ชื่อวา่ พระยาตาก ทนทุกขย์ ากกชู้ าติพระศาสนา

ถวายแผน่ ดินใหเ้ ป็นพทุ ธบชู า แด่ศาสนาสมณะพระพทุ ธโคดม

ใหย้ นื ยงคงถว้ นหา้ พนั ปี สมณะพราหมณ์ ชี ปฏบิ ตั ิใหพ้ อสม

เจริญสมถะวปิ ัสสนา พอ่ ชื่นชม ถวายบงั คมรอยบาทพระศาสดา

คิดถงึ พอ่ พ่ออยคู่ ่กู บั เจา้ ชาติของเราคงอยคู่ ่พู ระศาสนา

พระพุทธศาสนาอยยู่ งค่อู งคก์ ษตั รา พระศาสดาฝากไวใ้ หค้ ่กู นั ”๕๗

ในสมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ คือ รัชกาลท่ี ๑-๔ การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ก็ยงั คลา้ ยกบั

สมยั กรุงธนบุรี มีการปฏสิ งั ขรณ์วดั และอาราม การส่งเสริมใหพ้ ระสงฆศ์ กึ ษาพระธรรมวินยั การเผย

แผพ่ ระพุทธศาสนาโดยพระสงฆเ์ องก็มไี ม่มากนกั เพราะบา้ นเมอื งอยใู่ นภาวะที่สร้างกรุงใหม่

พระราชกรณียกิจอนั ยงิ่ ใหญ่ และสาคญั ท่ีสุดของพระองคเ์ กี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนาน้นั กค็ ือ

การทาสงั คายนา เป็นการฝังรากแกว้ ของพระพุทธศาสนาลงในกรุง รตนโกสินทร์ พระองคท์ รงดาริ

วา่ “ควรสงั เวชกุลบุตรท้งั หลายในพระพุทธศาสนา เมื่อไม่รู้คุณและโทษก็จะพากนั มืดมวั มีความ

หลงเป็นตน้ พระไตรปิ ฎกที่ขนมาจากกรุงศรีอยธุ ยาน้นั และพระไตรปิ ฎกท่ีพระเจา้ กรุงธนบุรีเสาะ

แสวงหามาจากหวั เมอื งต่าง ๆ น้นั ไมม่ ี ความสมบูรณ์พอที่จะสร้างข้ึนเป็นพระไตรปิ ฎกฉบบั หลวง

ได้ เพราะเหตุที่พระไตรปิ ฎก เหลา่ น้ันมีอกั ษรวิปลาส การสะกดการันตก์ ไ็ ม่ถูกตอ้ ง ฉบบั ที่ดีก็หา

มิได”้ ๕๘

ในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ในยุคหลงั ต้ังแต่รัชกาลท่ี ๕ ถึงรัชกาลปัจจุบัน การเผยแผ่

พระพุทธศาสนา พระสงฆไ์ ดท้ าหนา้ ท่ีเผยแผพ่ ระพุทธศาสนามากยงิ่ ข้ึน ไดช้ ้ีแจงแนะนาสั่งสอน

ประชาชน มีรูปแบบในการเทศน์ บรรยาย ปาฐกถา โตว้ าที อภิปราย ไดว้ ิเคราะห์วจิ ารณ์หาเหตุผล

เผยแผ่เสริ มสร้างด้านปัญญา พระมหากษัตริ ยท์ ุกพระองค์ ได้เป็ นศาสนูปถมั ภ์ในการชาระ

๕๗ กรมการศาสนา, ประวัตพิ ระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร:
โรงพมิ พก์ ารศาสนา, ๒๕๒๕), หนา้ ๔๒.

๕๘ เฉลิมพล โสมอินทร์, ประวัติพระพุทธศาสนาและการปกครองคณะสงฆ์ไทย, (กรุงเทพมหานคร:
สานกั พิมพส์ ูตรไพศาล, ๒๕๔๖), หนา้ ๒๕.

๑๕๖

พระไตรปิ ฎก และอรรถกถา นบั วา่ การเผยแผธ่ รรมะในยคุ น้ีมีความพร้อมในดา้ นต่าง ๆ เป็นอยา่ งยิ่ง
โดยเฉพาะในรัชกาลปัจจุบนั ไดม้ ีการนาเทคโนโลยมี าเป็นเครื่องมือในการเผยแผ่ พระสงฆเ์ องกไ็ ด้
ใชส้ ่ือสารมวลชนในการเผยแผธ่ รรมะ เช่น หนงั สือพิมพ์ โทรทศั น์ วิทยุ นิตยสาร หนงั สือ เอกสาร
อนิ เทอร์เนต โทรศพั ทฮ์ อทไลน์ และเทคโนโลยอี น่ื ๆ อยา่ งมากมายมหาศาล

“นบั แต่ยคุ ตน้ ๆ ประวตั ิศาสตร์ของประเทศ พระเจา้ แผ่นดินทุกพระองคล์ ว้ นเป็นพุทธมาม
กะ ก่อนกระบวนการทาใหท้ นั สมยั พระพทุ ธศาสนายงั มบี ทบาทในสงั คมไทย โครงสร้างทางสงั คม
ยงั เป็ นชุมชนเกษตรกรรมเสียเป็ นส่วนมาก วดั เป็ นศูนยก์ ลางของชุมชนท้ังในด้านการศึกษา
การรักษาพยาบาล วฒั นธรรมและความคิดทางจิตวิญญาณ สงั คมเช่นน้ีสามารถดารงอยไู่ ดเ้ องเป็ น
ระยะเวลายาวนาน…”๕๙

การเผยแผ่หลกั ธรรมคาสงั่ สอนในทางพระพุทธศาสนาทุกยคุ ทุกสมยั เป็ นไปดว้ ยดีก็เพราะ
อาศยั ผมู้ ีอานาจในการปกครอง หรือพระมหากษตั ริยไ์ ดถ้ วายการอุปถมั ภ์บารุงพระพุทธศาสนา
นับต้ังแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็ นต้นมา เห็นได้จากการสังคายนาแต่ละคร้ัง จะมี
พระมหากษตั ริยใ์ หค้ วามอปุ ถมั ภด์ ว้ ยดีตลอดมา

๗) กระบวนการเผยแผ่ (Propagating Process)
การเผยแผ่เป็ นกระบวนการพฒั นาศกั ยภาพของมนุษยใ์ นดา้ นการเรียนรู้ ซ่ึงมีผลต่อการ
ประพฤติปฏิบตั ิและการตดั สินใจในการดาเนินชีวติ การเผยแผอ่ าจกระทาไดใ้ นหลายช่องทาง ไดแ้ ก่
การพูดคุย การโฆษณา การประชาสัมพนั ธ์ การจัดอบรม การแจกเอกสาร การชักชวนเขา้ ร่วม
กิจกรรม การเทศนาทางวิทยกุ ระจายเสียง การบรรยายธรรมทางโทรทศั น์ เป็นตน้ เกี่ยวกบั การเผย
แผธ่ รรมะ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจติ โฺ ต) ใหท้ รรศนะในมิติแห่งเศรษฐศาสตร์ว่า
การประกนั คุณภาพมี ๔ อยา่ ง เรียกวา่ ปัจจยั ๔ ในการท่ีพวกเราจะเทศน์จะสอนแต่ละคร้ัง
จะตอ้ งมี ๔ ข้นั ตอนดว้ ยกนั ถ้าท่านรับประกนั กระบวนการใน ๔ ข้นั ตอนน้ี ดูแลอยา่ งครบถว้ น การ
เทศนก์ ารสอนธรรมะของท่านจะมีคุณภาพ เป็ นที่น่าเชื่อถือ ตอ้ งมปี ัจจยั ๔ อยา่ ง คือ ๑. Input ปัจจยั
นาเขา้ ๒. Process ปัจจยั กระบวนการ ๓. Output ปัจจยั ผลติ ๔. Impact ปัจจยั ผลกระทบ
ปัจจยั นาเข้า (Input) หมายถึง ตวั ป้ อน เวลาท่านไปสอนธรรม ท่านตอ้ งมีธรรมเป็นตวั ป้ อน
ขอเปรียบเทียบกบั การผลิตสับปะรดกระป๋ องท่ีเราส่งไปขายต่างประเทศ ตอ้ นป้ อนของโรงงาน
สบั ปะรดก็คือเงินที่ลงทุนไป คนงาน และก็สบั ปะรดที่ลงทุนไปซ้ือมา ป้ อนเขา้ ไปในโรงงาน มนั ก็
จะเขา้ ไปในกระบวนการผลิต ในปัจจยั กระบวนการ (Process) พอผลสับปะรดมาถึงโรงงาน ฝ่ าย
ปอกก็ปอก ฝ่ ายลา้ งก็ลา้ ง ฝ่ ายสับก็สับ ฝ่ ายบรรจุกระป๋ องก็ใส่ลงกระป๋ องแลว้ กป็ ิ ดกระป๋ อง ผลผลิต

๕๙ ศาสตราจารย์ นายแพทยป์ ระเวศ วะสี, พุทธวบิ ัติ ? ตอน พระพทุ ธศาสนากับจิตวิญญาณสังคมไทย,
(กรุงเทพมหานคร : บริษทั อมรินทร์พร้ินตง้ิ แอนดพ์ บั ลชิ ชิง่ จากดั ๒๕๔๒), หนา้ ๑๖.

๑๕๗

ออกมา เช่น จะใหห้ วานเท่าไร แลว้ กไ็ ม่เสีย ไม่เน่า แลว้ กส็ บั ปะรดสวยทุกชิ้น เรียกวา่ ปัจจยั ผลผลิต
(Output)

มีแบรนดเ์ นมดี มีตรา มียหี่ อ้ คนเห็นแลว้ อยากซ้ือ หีบห่อสวยลกู คา้ ช่ืนชอบ แพงเท่าไรกซ็ ้ือ
ยหี่ ้อเมดอินไทยแลนด์ พูดจาปากต่อปาก ราคาสินคา้ ก็ข้ึน น่ีเรียกวา่ Impact คือ ผลกระทบ ในการ
เผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ปัจจยั นาเขา้ ก็คือความรู้ที่เราเตรียมไปเทศน์ไปสอน เราอา่ นหนงั สือมากี่เล่ม
เราอา่ นมากฟังมาก ตีความธรรมะ เราเตรียมขอ้ มลู และวางลาดบั การนาเสนอ

ปัจจยั กระบวนการ กค็ ือ วธิ ีการนาเสนอ วิธีการเทศน์ วิธีการเผยแผ่ มีสื่ออปุ กรณ์ผลผลติ ที่
ออกมา Output ก็คือ คนฟัง อยฟู่ ังจนจบรายการและไดอ้ ะไรติดใจกลบั ไป

ผลกระทบ Impact ท่ีตามมาคือ จากปากต่อปากพดู ถึงเราว่าเทศน์ดีเหลือเกิน กณั ฑ์เทศน์
เพิ่ม มีชื่อเสียง ผฟู้ ังเกิดความเลือ่ มใสและปฏิบตั ิตามคาสอนได้ มกี ารเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางท่ีดี
เหล่าน้ีกจ็ ดั เป็นผลกระทบ๖๐

๘) เทคนคิ เป็ นภาษาต่างประเทศ ตรงกบั ภาษาไทยว่า ศิลปะ
เทคนิคเป็ นภาษาต่างประเทศ ตรงกบั ภาษาไทยว่า ศิลปะ ๆ คือวิธีการเผยแผท่ ่ีจะประสบ
ผลสาเร็จ ตอ้ งประกอบดว้ ยส่ิงเหลา่ น้ี คือ

(๑) คาคมนิด
(๒) สุภาษิตหน่อย
(๓) อร่อยตอ้ งมคี ากลอน
(๔) ไมง่ ่วงนอนตอ้ งมีขาขนั
(๕) ตรึงใจไปนานตอ้ งมีแหล่ รวมความตอ้ งมีท้งั “ศาสตร์” และ “ศิลป์ ” ศาสตร์คือ
ความรู้ ศิลป์ คือ วิธีการหรือเทคนิค๖๑

๔.๑๒ แนวคดิ และเทคนิคการเผยแผ่ธรรม

๑) เทคนิคการสอนธรรม
เทคนิคการสอนศีลธรรมแก่ประชาชนหนา้ ที่ของพระธรรมทูต เป็นสิ่งที่ลึกซ้ึงกว่าการสอน
นักเรียน เพราะประชาชนเป็ นผมู้ ีประสบการณ์มาก และความรู้ของประชาชนก็ไม่เสมอภาคกนั
ฉะน้นั วธิ ีการที่เผยแผ่ใหไ้ ดผ้ ล ในเบ้ืองตน้ ตอ้ งศึกษาพ้ืนฐานแห่งจิตใจศึกษาอปุ นิสยั ใจคอของคน

๖๐ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยรู ธมฺมจิตฺโต), การเผยแผ่เชิงรุก, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๘), หนา้ ๕๒-๕๔

๖๑ พระพิจิตรธรรมพ าที (ชัยวัฒ น์ ธมฺ มวฑฺ ฒ โน), พ ระธรรมทู ตสายต่ างป ระเทศ รุ่ นท่ี ๔ ,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๑๓๗.

๑๕๘

ในถ่ินน้ัน ๆ พร้อมท้งั ตอ้ งทาตวั ใหเ้ ป็ นท่ีเคารพนับถือของเขาดว้ ย วิธีการสอนศีลธรรมน้นั หลกั
ใหญ่ที่พระพุทธเจา้ ทรงวางไวค้ ือโอวาทปาฏิโมกขซ์ ่ึงไดแ้ สดงแนวทางการเผยแผไ่ ว้ ดงั น้ี

คาถาที่ ๑ เป็ นหลกั อุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา คือ ตอ้ งอดทน อดกล้นั ไม่เบียดเบียน
คนอ่นื มหี ลกั สูงสุด คือ นิพาน

คาถาท่ี ๒ เป็นหลกั การ คือ ไม่ทาชว่ั ทาดี ทาจิตใจใหผ้ อ่ งใส
คาถา ที่ ๓ เป็นวิธีการ คือ ไมว่ ่าร้ายคนอ่ืน ไม่ทาร้ายคนอนื่ สารวมในพระปาฏิโมกข์ รู้จกั
ประมาณในการบริโภค มีที่นอนท่ีน่ังอนั เงียบสงดั ประกอบความเพียรทางจิต นอกจากน้ี ยงั มี
วิธีการสอนศีลธรรมแก่ประชาชนตามหลกั ๗ ประการเป็นวิธีการภาคปฏิบตั ิ ซ่ึงศึกษาคน้ ควา้ โดย
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ วดั สามพระยา มีดงั น้ี คือ
๑. อุปนิสินนกถา คือ การสนทนาปราศรัยกบั บุคคลผมู้ าหาสู่ หรือการตอ้ นรับแขกผมู้ า
เยอื นการพูดคุยกนั โดยการสอดแทรกธรรมะ เขา้ ไปในการสนทนากนั น้นั ตามสมควรแก่ เหตุการณ์
กาลเทศะ และบุคคลผฟู้ ัง โดยไม่มีการเตรียมตวั มาก่อนนิยมพดู กนั วา่ “การเทศน์ธรรมาสนเ์ ต้ีย ”
๒. ธรรมีกถา คือ การสอนศีลธรรมแก่ประชาชนอยา่ งเป็ นกิจจะลกั ษณะเป็ นงานเป็ นการ
เป็นเรื่องเป็นราว มกี ารเตรียมการไวล้ ่วงหนา้ ไดแ้ ก่ การแสดงปาฐกถา การบรรยายธรรม เป็นตน้
๓. โอวาทกถา คือ การสอนศีลธรรมแก่ประชาชน แบบคาแนะนา คาตกั เตือน คาสอน
โดยเฉพาะเจาะจงลงไปเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง เพ่ือใหผ้ ฟู้ ังเกิดความสงั วรระวงั ไม่ทาความชว่ั ใหล้ ะความ
ชวั่ ใหท้ าความดีและรักษาความดีได้
๔. อนุสาสนีกถา คือ การสอนศีลธรรมแก่ประชาชนแบบสอนบ่อย ๆ นิยมพดู กนั ว่า “พร่า
สอน” เพอื่ ใหเ้ กิดความจาได้ เกิดความชินหู จนเกิดความ “คล่องปากข้ึนใจ” เรื่องท่ีสอนน้นั กอ็ ยใู่ น
ประเภทคาแนะนา คาแนะแนว คาตกั เตือน และคากล่าวสอนนน่ั เอง ถา้ กล่าวสอนเป็ นคร้ังคราว
จดั เป็น “โอวาทกถา” ถา้ กลา่ วสอนเป็นประจา และทาบ่อย ๆ จดั เป็น “อนุสาสนีกถา ”
๕. ธรรมสากัจฉากถา คือ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกนั และกนั การสนทนากนั เพ่ือ
แสวงหาความถกู ตอ้ ง หรือเพ่อื ปรับความเขา้ ใจกนั และกนั นิยมเรียกว่า “การสนทนาธรรม”โดยผลดั
กนั พดู ผลดั กนั ฟัง
๖. ปุจฉาวิสัชชนากถา คือ การสอนศีลธรรมแก่ประชาชน แบบการถามและการตอบ ใน
เร่ืองท่ีจะสอนน้ัน เพื่อทดสอบถึงความรู้เดิมของผรู้ ับสอนว่า มีอย่แู ค่ไหนเพียงไร เพื่อเป็ นการ
กระตุน้ เร้าใจใหผ้ ฟู้ ังเกิดความตื่นตวั อยเู่ สมอ และเพื่อทดสอบความจาและความเขา้ ใจในเร่ืองท่ีสอน
น้นั วา่ ผฟู้ ังมีแค่ไหนเพียงไร โดยมีวิธีการ ๓ วธิ ี คือ ๑. ถามเพอื่ ให้ตอบ ๒. ถามเองตอบเองและ ๓.
ใหถ้ ามเพอ่ื ตอบ

๑๕๙

๗. ธรรมเทศนากถา คือ การแสดงธรรม ช้ีแจงแสดงหลกั ธรรม หลกั สมั มาปฏิบตั ิ เพ่ือให้
ผฟู้ ังรู้แจง้ เห็นจริงในธรรมท่ีควรรู้ควรเห็น เป็ นการช้ีนาใหผ้ ฟู้ ังเกิดศรัทธาปสาทะในธรรมปฏิบตั ิ
ยอมรับเป็น “หลกั จา” และเป็ น “หลกั ใจ” ยดึ ถอื เป็นอุดมคติในการดาเนินชีวิตประจาวนั เพ่อื ความ
อยเู่ ยน็ เป็นสุข พน้ จากความอยรู่ ้อนนอนทุกข์

ความจริง “ธรรมเทศนากถา” กบั “ธรรมีกถา” มีส่วนคลา้ ยคลึงกนั บางแห่งท่านกล่าวว่า
เป็นอยา่ งเดียวกนั แต่ธรรมเทศนากถาน้ี นิยมทาเป็นกิจจะลกั ษณะและมกี ระบวนการ มีระเบียบแบบ
แผนมากกว่าธรรมีกถา โดยเนน้ ถึงลีลาหรือท่วงทานองวาจาท่ีเปล่งใหถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสม เป็ นวรรค
เป็ นตอน เน้นถึงอิริยาบถทางกาย เป็ นระเบียบเรียบร้อย โดยมีหลกั ใหญ่ ๒ ประการ คือ ๑. หลกั
เทศน์ คือ ลีลาการข้ึนธรรมาสน์ เป็ นตน้ ๒. หลกั ธรรม คือ หัวขอ้ ธรรมะ เหมาะแก่งาน แก่กาละ
เทศะ และบุคคล ประกอบดว้ ย อุเทศ นิเทศ และปฏินิเทศ อย่างสมบูรณ์ทุกประการ โดยแบ่งวิธี
เทศนเ์ ป็น ๒ แบบ คือ ๑. อา่ นคมั ภีร์ ๒. เทศน์ปฏิภาณ

๒) วธิ ีการบรรยายธรรม อบรมแบบปลูกฝัง
๑. ควรใชว้ ิธีธรรมสากจั ฉา คือ การพดู ไป ถามไป ในระหว่างการบรรยายธรรมน้นั
๒. จงั หวะท่ีพดู พอเหมาะแก่วยั ของผฟู้ ัง ไมเ่ ร็วเกินไป และไมช่ า้ เกินไป
๓. เสียงที่พดู นุ่มนวลชวนฟัง ไม่ดงั เกินไป และไมค่ ่อยเกินไป
๔. ควรพดู แบบใหค้ ิด ไม่ใช่พดู แบบใหฟ้ ังอยา่ งเดียว
๕. ควรใชค้ าพดู วา่ “ควรทา ควรพดู ควรคิด” เป็นตน้ ไม่ใชค้ าพดู ว่า “จงทา จงพดู

จงคิด” เป็นตน้
เพราะธรรมะทุกขอ้ เป็ นเร่ืองของจิตใจ เป็ นเร่ืองของความสมคั รใจประพฤติดว้ ยตนเอง
เป็ นเร่ืองของผมู้ ีจิตศรัทธาปสาทะไมใ่ ช่เร่ืองของระเบียบวนิ ัย อนั เป็ นเร่ืองขอ้ บงั คบั ให้ปฏบิ ตั ิตาม
หลกั การอธบิ ายธรรมะ ๖ ประการ คือ
๑. อตั ถะ คือ อธิบายความของธรรมะขอ้ น้นั ๆว่ามีความหมายอยา่ งไร แยกอธิบายออกได้
เป็น ๒ อยา่ ง คือ

๑) โดยอรรถ คือ ความหมายท่ีเป็นจุดประสงค์ หรือความหมายที่แทจ้ ริง
๒) โดยพยญั ชนะ คือ ความหมายตามพยญั ชนะ ตามหลกั บาลีไวยากรณ์
อกี นยั หน่ึงอตั ถะ คือ อธิบายความหมายของธรรมะขอ้ น้นั ๆ ว่ามีความหมายอยา่ งไร แยก
อธิบายออกไดเ้ ป็น ๒ อยา่ ง คือ ทางคดีโลก คือ ความหมายทางคดีโลก หรือความหมายของชาวโลก
ทางคดีธรรม คือ ความหมายทางคดีธรรมหรือความหมายทางศาสนา

๑๖๐

๒.ประเภท คือ ธรรมะขอ้ น้ัน ๆ แยกประเภทออกไปไดอ้ ยา่ งไรหรือไม่ และแยกประเภท
ออกไปไดเ้ ท่าไรคืออะไรบา้ ง

๓. เหตุ คือ ธรรมะขอ้ น้ัน ๆ มีอะไรเป็ นมูลเหตุทาให้เกิดข้ึน หรือเป็ นธรรม มีอะไรเป็ น
“ปทฏั ฐาน ” คือเป็นเหตุทาใหเ้ กิดข้ึน

๔. ผล คือ ธรรมะข้อน้ัน ๆ มีผลเป็ นอย่างไร แก่บุคคลผูป้ ฏิบัติตาม และแก่บุคคลผู้
ปราศจากธรรมะขอ้ น้นั ๆ กล่าวคือมอี านิสงส์หรือมโี ทษแก่บุคคลผปู้ ฏบิ ตั ิอยา่ งไร

๕. อปุ มา คือ ธรรมะขอ้ น้นั ๆ มีขอ้ อุปมา (เปรียบเทียบ) เหมือนอะไร เพื่อช่วยใหผ้ ฟู้ ังเกิด
ความเขา้ ใจธรรมะขอ้ น้นั ๆ ชดั เจนยง่ิ ข้ึน

๖. สาธก คือ ธรรมะขอ้ น้ัน ๆ ควรยกเร่ืองอะไรนามาเล่าประกอบเป็ นบุคลาธิษฐาน เพ่ือ
ช่วยใหผ้ ฟู้ ังทรงจาธรรมะไดด้ ียง่ิ ข้ึน

ธรรมะ ๓ ประการ ธรรมะในทางพระพุทธศาสนา รวมท้ังวินัยดว้ ยท่ีมี ๘๔,๐๐๐ พระ
ธรรมขนั ธ์ มีมาติการใหญ่เพียง ๓ เรื่อง คือ

๑. กุสลา ธมฺมา คือ ธรรมที่เป็นกุศลหรือกุศลธรรม เป็ นธรรมฝ่ ายดี เป็ นฝ่ ายคุณธรรม เป็ น
ธรรมประเภท “ภาเวตพั พธรรม” คือ ธรรมะที่ควรบาเพ็ญให้มีข้ึนในตน เป็ นธรรมะท่ีมีผลเป็ น
ความสุข ความเจริญรุ่งเร่ือง เป็ นบารมีธรรมอนั เป็ นพลงั ภายในอนั เป็นเหตุทาให้เกิด “สมบตั ิ” ท้งั
ปวง

๒. อกุสลา ธมฺมา คือ ธรรมท่ีเป็ นอกุศล หรืออกุศลธรรม เป็ นธรรมฝ่ ายช่วั เป็ นธรรม
ประเภท “ปหาตพั พธรรม” คือธรรมที่ควรละเวน้ เสีย เป็นธรรมะท่ีมผี ลเป็ นความทุกข์ เป็ นความ
เส่ือมเสีย เป็นอาสวะอนั เป็นพลงั ความชวั่ ภายในทาใหเ้ กิด “วบิ ตั ิ” ท้งั ปวง

๓. อพฺยากตา ธมฺมา คือ ธรรมท่ีเป็นอพั ยฃากฤต หรืออพั ยากตธรรม เป็นธรรมฝ่ ายกลาง ๆ
ไม่ดีไม่ชวั่ เป็ นธรรมประเภท “ปริญเญยธรรม” คือ ธรรมะท่ีควรกาหนดรู้ ควรยอมรับความจริงว่า
โลกน้ีมีปกติเป็ นอยา่ งน้ี ตวั อยา่ งเช่น โลกธรรม ๘ สามญั ลกั ษณะ ๓ เป็ นตน้ ก่อนท่ีจะสอน จึงตอ้ ง
คานึงว่าธรรมะที่จะใชส้ อนเป็ นธรรมประเภทไหน ถา้ เป็ นกุศล ก็เน้นให้เขาปฏิบตั ิจริง ๆ บอก
อานิสงส์หรือผลก่อนแลว้ แสดงเหตุ เวลาพดู กไ็ ดเ้ นน้ ภาคปฏบิ ตั ิ ถา้ เป็นอกศุ ลธรรม กบ็ อกโทษแห่ง
ความชว่ั เสียก่อน แลว้ บอกให้ละ ส่วนอพั ยากตธรรม กบ็ อกหรือสอน เพ่ือใหโ้ ยมละความยดึ มนั่ ถือ
มน่ั ใหย้ อมรับความจริง๖๒

จากการปฏิบตั ิหน้าท่ีของพระธรรมทูตในการประกาศและเผยแผ่พระพุทธศาสนาและ
พฒั นาสงั คมของพระสงฆใ์ นสมยั พุทธกาลน้นั เอง ส่งผลใหพ้ ระพุทธศาสนาไดเ้ ขา้ มาสู่ประเทศไทย

๖๒ พระธรรมวโรดม (บุญมา คุณสมฺปนฺโน ป.ธ.๙), เทคนิคการสอนธรรมะ, ขอ้ มลู ออนไลน์, เขา้ เมื่อ ๑๒
พ.ค. ๒๕๕๘.

๑๖๑

ซ่ึงเป็ นหน่ึงในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมคิ ร้ังแรก ดว้ ยการเดินทางมาเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาของ
สาวกที่เป็ นสายพระธรรมทูตสายที่ ๘คือคณะของพระโสณเถระและ พระอุตรเถระทาให้
พระพุทธศาสนาเขา้ มาประดิษฐานในประเทศไทยอยา่ งสมบรู ณ์ ภายใตพ้ ระราชปู ถมั ภข์ องพระมหา
กษตั ริยไ์ ทย โดยมกี ารบวช การศึกษาเลา่ เรียนพระธรรมวนิ ยั สืบทอดกนั มาจนถึงปัจจุบนั ๖๓

๓) ศิลปะในการเทศน์

รูปแบบวธิ ีการสื่อสารเคลด็ ลบั หรือศลิ ปะการเทศน์ ท่ีน่าสนใจ ไวด้ งั น้ี

คาว่า “เคลด็ ลบั ” หมายถงึ กลเมด็ หรือวิธีท่ีชาญฉลาดที่คนส่วนใหญ่ยงั ไม่รู้จกั หรือรู้จกั แต่ยงั

ไม่คุน้ เคยนัก คาว่า “ศิลปะ” หมายถึง ความมีฝี มือหรือความชานาญในการแสดงออก ในท่ีน้ี

หมายถงึ ศิลปะในการเทศน์

การเทศน์” หมายถงึ การยกหวั ขอ้ ธรรมข้ึนแสดงเพือ่ ส่งั สอนประชาชนให้รู้ใหเ้ ขา้ ใจ จะได้

ละชวั่ ทาดีมีสวรรคแ์ ละนิพพานเป็นจุดหมายของชีวติ การเทศน์ในท่ีน้ี หมายถึง การเทศน์ ๒ แบบ

คือ

๑. การเทศน์ปฏิภาณ ไม่อา่ นคมั ภีร์

๒. การเทศนป์ ุจฉา – วสิ ชั นา

ในการเทศน์น้นั มเี คลด็ ลบั และศลิ ปะสาคญั ท่ีนกั เทศนค์ วรทาความเขา้ ใจอยู่ ๓ ประการ คือ

ทุน ทาง ธรรม

๑. “ทุน” หมายถึง พ้ืนความรู้และความสามารถท่ีมีอยเู่ ดิม ถา้ จะเป็ นนักเทศกต์ อ้ งมีอย่าง

นอ้ ย ๖ ประการ ดงั น้ี

๑. รู้หลกั ธรรม ๒. จาหลกั สูตร

๓. พดู ฉะฉาน ๔. ปฏิภาณไว

๕. น้าใจงาม ๖. มคี วามรอบรู้

๒. “ทาง” หมายถึง วิธีเขา้ ถึงความสาเร็จโดยสามารถ “เทศน์ได้” รวมไปถึง “เทศน์เป็ น”

การจะทาไดด้ งั น้ี ตอ้ งมวี ิธีการเหล่าน้ีเป็นแนวทาง คือ

๑. มีครูแนะนา ๒. ท่องจาเทศนา

๓. ฝึกว่าปากเปลา่ ๔. เขา้ ใจวางโครง

๕. ฟัง เขียน เพียร อ่าน ๖. ปฏิภาณวอ่ งไว

๗. จิตใจสงบ ๘. ชอบคบบณั ฑิต

๖๓ สิริวฒั น์ คาวนั สา, ประวตั พิ ระพุทธศาสนาในประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั , ๒๕๓๔), หนา้ ๒๔.

๑๖๒

๙. เกาะติดสถานการณ์
๓. “ธรรม” ในท่ีน้ี หมายถงึ หลกั การและอุดมคติของนกั เทศก์ การเทศนค์ วรปฏิบตั ิไปตาม
หลกั การ ดงั ต่อไปน้ี

๑. เทศนาตามข้นั ตอน ๒. สง่ั สอนอยา่ งมเี หตุผล
๓. เมตตาต่อสาธุชน ๔. ไม่กงั วลกบั เครื่องกณั ฑ์
๕. ไมก่ ระทบตนกระทบท่าน คือหลกั การเทศนา

๔) ลกั ษณะของโครงเทศน์
(ก) โครงเทศนน์ ้นั จะประกอบดว้ ย
๑. อุเทศ คือ หวั ขอ้ ที่ยกข้ึนเป็นหลกั ในการแสดง
๒. นิเทศ คือ การอธิบายขยายความอุเทศในเชิงปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ โดยใชว้ ธิ ีอธิบายแบบ
๔ ส. (สนั ทสั นา เทศน์ไดแ้ จ่มแจง้ สมาทปนา เกิดแรงจูงใจ สมุตเตชนา ชวนให้ทาตามสัม
ปหงั สนา เกิดความบนั เทิง)
๓. ปฏินิเทศ คือการสรุปใจความวางเป็นประเดน็ ท้ิงทา้ ยไวก้ ่อนจบการเทศน์

๕) การเตรียมตวั เทศน์ ๒. ซกั ซอ้ มไวด้ ี
๑. เตรียมตวั ใหพ้ ร้อม ๔. กถาเตะหู
๓. ท่าทีเตะตา ๖. ท่านง่ั ผ่งึ ผาย
๕. ตาดูคนฟัง ๘. แสดงหลกั การ
๗. อธิบายแจ่มแจง้ ๑๐. จิตใจสะอาด
๙. ปฏิภาณวอ่ งไว
๑๑. มารยาทยอดเยย่ี ม

๖) ข้อปฏิบัตใิ นการเทศน์

๑. ไปก่อนเวลา ๒. เขา้ หาเจา้ หนา้ ท่ี

๓. คมั ภีร์ไม่ขาด ๔. ฉลาดเจรจา (เจา้ ภาพ)

๕. ถามหาขอ้ มลู (งาน) ๖. เพิม่ พนู ศรัทธา

๗. จรรยางดงาม ๘. รูปความแจ่มชดั (ในใจ)

๑๖๓

๗) จุดเด่นของนักเทศน์
๑. รูปสะดุดตา รูปโสภา กิริยางดงาม มีความสะอาด มารยาทเรียบร้อย
๒. เน้ือหาสะดุดหู เน้ือหาสาระสละสลวย ที่ควรส้นั ก็ส้นั ท่ีควรยาวกย็ าว สัมผสั คลอ้ งจอง
และเป็นไปตามลาดบั ไม่สบั สน
๓. ความรู้สะดุดจิต รู้จริง รู้แจง้ รู้กวา้ ง รู้ลกึ และรู้รอบ
๔. ขอ้ คิดสะดุดใจ แสดงแทรกขอ้ คิด เช่น หลวงพ่อพุทธทาส “ทุกขเ์ กิดที่จิต ถา้ เห็นผดิ เมื่อ
ผสั สะ” พระธรรมปิ ฎก กล่าวไวว้ ่า “คนเก่งทาเคราะห์ใหเ้ ป็ นโอกาส คนประมาททาโอกาสให้เป็ น
เคราะห์” ดงั น้ีเป็นตน้
๕. อุปมาอุปไมยน่าฟัง ผลกรรมติดตามคนทาเหมือนลอ้ รถหมนุ ตามรอยเทา้ โค เงาตามตวั
วงิ่ จ้ีตามกนั ไปไม่ลดละ

๘) อุดมคตนิ กั เทศน์
๑. สอนใหจ้ า ทาใหด้ ู อยใู่ หเ้ ห็น
๒. สอนตนก่อน แลว้ จึงสอนคนอนื่
๓. ความเป็นนกั ธรรม ตอ้ งนานกั เทศก์
๔. ถา้ สอนจากเร่ืองท่ีตนทา ทุกถอ้ ยคาจะมฤี ทธ์ิ
๕. อยา่ ลมื “คนผอมขายยาพี หญิงผวั หนีขายยาเสน่ห์”
๖. คติว่า “จงทาตามท่ีฉนั สอน อยา่ ทาตามอยา่ งที่ฉนั ทา” อยา่ นามาใช้
๗. สอนอยา่ งไร ทาไดอ้ ยา่ งน้นั ๖๔

๙) หลกั นิทานกบั การเทศน์
นิทานกค็ ือนิยายหรือเรื่องท่ีจะนามาเล่าสู่กนั ฟังในโอกาสต่าง ๆ เป็นสื่อนาไปสู่ความสนใจ
เขา้ ใจ ช่วยใหเ้ รื่องท่ีเล่าน้นั เกิดมโนภาพเป็นรูปธรรมข้ึน และคงไมม่ ีใครปฏิเสธว่านิทานไม่มสี ่วน
เก่ียวขอ้ งกบั ชีวิต เพราะ
- นิทานเป็นกาวใจระหวา่ งคุณตาคุณยายกบั หลาน ๆ
- นิทานเป็นรางวลั ความเช่ือฟังที่พ่อแม่จะใหก้ บั ลกู ๆ
- นิทานเป็นสื่อการสอนของครูอนั แสนวเิ ศษ
- นิทานเป็นหุ่นของธรรมะท่ีจะช่วยขยายเรื่องน้นั ๆ ใหก้ ระจ่าง

๖๔ พระโสภณธรรมวาที(บุญมา อาคมปุญฺโญ), วิชาการเทศนา, (กรุงเทพมหานคร : เอมี่เทรดดิ้ง,
๒๕๔๔), หนา้ ๓๑-๓๓.

๑๖๔

- นิทานเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์อนั สาคญั ของนกั สอน นกั พดู นกั เผยแผ่
- นิทานเป็นแคปซลู ที่เคลือบเรื่องขมใหเ้ ป็นขนมหวาน
การใชน้ ิทานประกอบการบรรยายเป็ นเร่ืองธรรมดาในวงการพุทธศาสนา แมอ้ งค์สมเด็จ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กท็ รงเล่านิทานประกอบการสอนธรรม ดงั จะเห็นไดว้ ่า พระพทุ ธองคท์ รงแบ่ง
คาสอนออกเป็ น ๙ หมวดเรียกว่า นวงั คสัตถุศาสน์ คือสุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิ
ติวตุ ตกะ ชาดก อพั ภูตธรรม และเวทลั ละ
ในบรรดาคาสอนท้งั ๙ หมวดน้ี นิทานธรรมะ จดั เขา้ ในหมวดที่ ๗ คือ ชาดก พระอรรถกถา
จารยร์ ะบุว่า ในพระไตรปิ ฎกมีชาดกท้งั สิ้น ๕๕๐ เร่ือง เช่น ในมโนรถปูรณี ฉบบั มหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลยั ภาคท่ี ๒ หน้า ๒๘๒ ท่านกล่าวไวว้ ่า “ปญญาสาธิกานิ ปญฺจ ชาตกสตานิ ชาตกนฺติ
เวทิตพฺพานิ ควรทราบว่า ชาดก ๕๕๐ เร่ือง จดั เป็ นชาดก” แต่ในพระไตรปิ ฎกบาลปี ัจจุบนั มีชาดก
จริงเพียง ๕๔๗ เรื่องเท่าน้นั
การใชน้ ิทานประกอบการสอนธรรมช่วยให้ผฟู้ ังเกิดสัมปหงั สนา คือได้ความบนั เทิงใน
ธรรม และในขณะเดียวกนั ก็ไดส้ ันทสั สนา คือความแจ่มแจง้ ในธรรมไปดว้ ย การเลา่ นิทานจะไดผ้ ล
ดงั กลา่ วก็ต่อเมอ่ื ผเู้ ลา่ พยายามโยงเขา้ หาหวั ขอ้ ธรรมในทานองว่า “นิทานเรื่องน้ีสอนใหร้ ู้ว่า” ดงั น้นั
นิทานชาดกจึงประกอบดว้ ยภาษิต คาคม และคาถาร้อยกรองสรุปคติสอนใจไวเ้ สมอ
อนั นิทานน้นั มหี ลายหลากมากชนิด ท้งั นิทานไทย แขก ฝรั่ง อาหรับ พม่า มอญ เขมร จีน
ฯลฯ แต่เม่อื ประมวลแลว้ เห็นจะแบ่งเป็นประเภทได้ ๑๒ ประเภท ดงั น้ี
๑. นิทานตวั อยา่ ง มีบุคคล สถานที่ ประกอบ เช่น ใคร ทาอะไร ที่ไหน เม่ือไหร่
๒. นิทานเปรียบเทียบ เร่ืองนาไปสู่คติธรรม หรือความสานึกที่ดีงาม ช้ีใหเ้ ห็นผลของการ
กระทา เช่น ทาดีไดด้ ี ทาชว่ั ไดช้ ว่ั ขยนั -รวย เกียจคร้าน-จน
๓. นิทานกระทบกระเทียบ เร่ืองที่เล่าเสียดสี เหน็บแนม หรือลอ้ เลียนฝ่ ายตรงขา้ มใหเ้ จ็บ
(ใจ)หรืออาย เช่น คนศีรษะลา้ นหรือคนท่ีมีปมดอ้ ย ใครจะพดู ขอ้ งแวะหรือแตะตอ้ งเร่ืองอืน่ ๆ เล่ยี น
ๆ เตียน ๆ โล่ง ๆ ไมไ่ ด้ เพราะมกั จะนอ้ ยใจ
๔. นิทานชาดก เร่ืองเก่ียวกบั อดีตชาติของพระพทุ ธเจา้ เช่น สุวรรณสาม มโหสถ ปรากฏอยู่
ในพระสูตรหรือชาดกต่าง ๆ
๕. นิทานตลก เรื่องที่เล่าเพื่อคลายเครี ยดหรือสร้างบรรยากาศให้เป็ นกันเอง ฟังแล้ว
สนุกสนานเกิดความเพลิดเพลิน แต่ไมถ่ ือเป็นจริงจงั
๖. นิทานพ้ืนบา้ น เรื่องท่ีเกิดข้ึนในชุมชนหรือถิ่นฐานยา่ นน้นั ๆ เช่น เรื่องก่องขา้ วนอ้ ยฆ่า
แม่ ท่ีจงั หวดั ยโสธร เป็นตน้
๗. นิทานปรัมปรา เร่ืองที่เล่าสืบต่อกนั มาหลายยคุ สมยั มกั มีอภินิหาร

๑๖๕

๘. นิทานประเทืองปัญญา เร่ืองที่สอนให้รู้จักคิดหรือแกป้ ัญหา เช่นนิทานอีสป หรือศรี
ธนญชยั เป็นตน้

๙. นิทานปริศนาปัญหาธรรม เร่ืองท่ีนาปริศนามาต้งั แลว้ มีตวั ละครหรือธรรมะมาอธิบายให้
เกิดความเขา้ ใจและซาบซ้ึง เช่น อะไรเอ่ย ? ยามเชา้ เจา้ สี่ขา คลานไปมาร้องไหแ้ ง เท่ียงวนั กลบั ผนั
แปร เป็นสองขาน่าแปลกใจ สายณั หต์ ะวนั เยน็ กลบั กลายเป็นสามขาได้ สตั วน์ ้ีคืออะไร ใครตอบได้
ช่วยบอกที

๑๐. นิทานเทียบสุภาษิต เรื่องท่ีนาสุภาษิต คาโคลงมาต้งั แลว้ มีนิทานเล่าเทียบเร่ือง เรียกอีก
อยา่ งวา่ นิทานกระทู้

๑๑. นิทานวรรณคดี เช่น เร่ืองขุนชา้ ง-ขุนแผน, พระอภยั มณี, ไกรทอง-ชาละวนั , อิเหนา
เป็ นตน้

๑๒. นิทานโบราณคดี เรื่องจริงท่ีเกิดข้ึนแต่มิไดม้ ีการจดบนั ทึกไว้ เลา่ สืบ ๆ กนั มา มีที่ไป
ที่มา บุคคล สถานท่ี และเวลาจริง

สรุ ปได้ดังน้ีว่า นักเทศน์ นักเผยแผ่ จาเป็ นต้องมีนิทานไวเ้ ป็ นส่ือสอนธรรม โดยมี
วตั ถุประสงค์ ๔ ประการ คือ

๑. เพ่ือเผยแพร่ขอ้ คิด คติธรรมทางพระพุทธศาสนาที่อยใู่ นรูปของนิทาน
๒. เพ่ือส่งเสริมศิลปะในการสื่อคาสอนทางพระพทุ ธศาสนาดว้ ยนิทาน
๓. เพือ่ อนุรักษธ์ รรมนิทานทุกรูปแบบของนกั เทศก์ นกั ปราชญท์ างศาสนาท้งั บรรพชิตและ
คฤหสั ถไ์ วม้ ิใหส้ ูญ๖๕
กลวิธีและเทคนิคประกอบการสอนสาหรับครูอาจารยผ์ สู้ อนจะตอ้ งมีความเคารพในพระ
ธรรม คือพดู ตามธรรม เอาความถกู ตอ้ ง ไมเ่ อาความถกู ใจ วิธีการสอนแบบใดคงไมด่ ีไปกวา่ วธิ ีการ
ของพระพุทธเจา้ เพราะการสอนของพระองคแ์ ต่ละคร้ังจะดาเนินไปจนบรรลุผลสาเร็จน้นั พระองค์
มีกลวธิ ีและเทคนิคในการสอน ๔ ประการ คือ
๑. แบบสันทสั สนา เป็นการสอนท่ีช้ีใหแ้ จ่มแจง้ ชดเจน มิใช่การพดู มากหรือพูดยาว ๆ แต่
หมายถงึ การอธิบายใหค้ นเขา้ ใจเร่ืองที่พดู น้นั ชดั เจน เห็นจริงตามท่ีพดู จนยอมรับนบั ถอื อยากนาเอา
ไปปฏบิ ตั ิตาม จะทาไดเ้ ช่นน้ี ครูผสู้ อนตอ้ งมีการเตรียมตวั อยา่ งดี โดยใชว้ ธิ ี ดงั น้ี
. ๑) การตีความหมาย
๒) การขยายความหมาย
๓) การอุปมาอุปมยั

๖๕ พระพิจิตรธรรมพาที (ชัยวฒั น์ ธมฺมวฑฺฒโน). วิชาการเทศนา, (กรุงเทพมหานคร: เอม่ีเทรดดิ้ง,
๒๕๔๔), หนา้ ๓๔-๓๖

๑๖๖

๔) การยกอุทาหรณ์
๕) ใชอ้ ปุ กรณ์ประกอบ
๒. แบบสมาทปนา เป็นการสอนชวนใจใหอ้ ยากรับเอาไปปฏิบตั ิหรือบรรยายใหซ้ าบซ้ึงใน
คุณค่าเห็นความสาคญั ที่จะตอ้ งฝึกฝนใจยอมรับ ทาให้อยากลงมอื ทาหรือนาไปปฏบิ ตั ิ เช่นส่ิงใดท่ี
บอกว่าดีมปี ระโยชน์ก็บอกใหท้ า ส่ิงใดที่ไม่มปี ระโยชน์ก็เลิกเสีย แต่ตอ้ งใชห้ ลกั การพูด โนม้ นา้ ว
จิตใจ อยา่ งท่ีเขาพดู ปลุกระดม ตอ้ งใชว้ าทศลิ ป์ ดงั น้ี
๑) เรียกร้องความสนใจ
๒) เร้าใจใหเ้ ห็นประโยชนอ์ นั จะพงึ ได้
๓) จุดไฟปรารถนา
๔) พาลงมอื กระทา
๓. แบบสมุตเตชนา เป็ นการสอนเร้าใจให้อารมณ์อาจหาญแกล้วกลา้ คือปลุกใจให้
กระตือรือร้น เกิดความอตุ สาหะ มีกาลงั ใจเขม้ แข็ง มนั่ ใจท่ีจะทาใหส้ าเร็จลงได้ สู้งาน ไม่หวนั่ ไหว
ไม่กลวั ยากลาบาก การสอนแบบน้ี เป็ นการสอนเพ่ือให้มีความกลา้ หาญ ให้เกิดความเช่ือมนั่ ใน
ตนเองสูง เมื่อกล่าวโดยสรุป งานทุกอย่างตอ้ งอาศยั พลงั ธรรมเขา้ ช่วย มนุษยท์ ุกคนกา้ วหน้าและ
ประสบความสาเร็จได้ เพราะอาศยั อิทธิบาทธรรม คือคุณธรรมเป็นเครื่องนาไปสู่ความสาเร็จ ท้งั ๔
ประการ ไดแ้ ก่
๑) ฉนั ทะ ไดแ้ ก่ เตม็ ใจทา ตอ้ งรักงานท่ีรับผดิ ชอบ
๒) วริ ิยะ ไดแ้ ก่ แขง็ ใจทา ตอ้ งมคี วามมานะอตุ สาหะพากเพยี ร
๓) จิตตะ ไดแ้ ก่ ต้งั ใจทา ตอ้ งดูแลสอดส่องเอาใจใส่ตลอดเวลา
๔) วิมงั สา ไดแ้ ก่ เขา้ ใจทา ตอ้ งใชป้ ัญญาไตร่ตรองใหร้ อบคอบ
๔. แบบสมั ปหงั สนา เป็นการสอนแบบปลอบชโลมใจใหร้ ่ืนเริง คือบารุงจิตใจใหแ้ ช่มชื่น
เบิกบาน โดยมุ่งช้ีให้เห็นผลดีหรือคุณประโยชน์ท่ีจะไดร้ ับ และทางท่ีจะกา้ วหน้าบรรลุผลสาเร็จ
ยง่ิ ข้ึน ทาให้บรรยากาศในท่ีน้ัน ๆ สดช่ืนแจ่มใส ไม่ทาใหเ้ ขาซบเซาหดหู่ แต่ให้ทาผเู้ รียนแจ่มใส
ปรอดโปร่ง แต่ทาใหเ้ ขาแจ่มใสทางจิตใจและสีหน้าก็พลอยอิ่มเอิบไปดว้ ย หลกั การพูดให้ร่าเริง
หมายถึง การพดู การสอนที่ทาใหผ้ ฟู้ ังมจี ิตใจร่าเริง ซ่ึงพอสรุปเน้ือหาไดด้ งั น้ี
๑) พดู หกั มุม หมายถงึ การพดู หกั มุมจากความคิดเดิมของเขา
๒) พดู ทนั สมยั หมายถงึ คาพดู ที่ทนั เหตุการณ์ เหมาะกบั วยั ของผฟู้ ัง
๓) พดู คลอ้ งจอง หมายถงึ การพดู สมั ผสั อกั ษรคลอ้ งจองไดค้ วามหมาย เอามาพูดเชื่อมโยง
กนั ไดอ้ ยา่ งสนุกสนาน

๑๖๗

๔) พูดสร้อยคา หมายถึง การพูดต่อกันเป็ นกลอนให้เกิดความสนุกสนาน หรือประดับ
คาพดู ใหแ้ พรวพราวมองเห็นภาพพจน์ไดช้ ดั เจนยง่ิ ข้ึน

๕) พดู ตรงไปตรงมา หมายถึง พดู ตรงประเด็นใหเ้ ห็นชดั เจน
๖) พดู พร้อมกบั แสดงท่าประกอบ หมายถงึ พดู พร้อมแสดงใหท้ าตาม
๗) พูดแบบแต่งเติมคา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงคาเก่าท่ีมีอย่แู ลว้ เพ่ือให้เกิดคาใหม่ที่
น่าสนใจยงิ่ ข้ึน
๘) พูดเล่าเร่ืองขาขนั หมายถึง การเล่าเร่ืองประกอบที่ขาขันไม่หยาบโลน ทาให้เกิด
ประโยชน์ในขณะน้นั หรือทาใหบ้ รรยากาศไมเ่ ครียด สบายอารมณ์๖๖

สรุปท้ายบท

การประกาศพระศาสนา เพ่ือเปิ ดเผยสัจจธรรมให้ปรากฏแก่ชาวโลก เป็ นพุทธกิจที่พระ
พุทธองค์ทรงบาเพญ็ อย่างยากยิง่ ตลอด ๔๕ พรรษา ซ่ึงประมวลเน้ือหาออกเป็ น ๒ ไดแ้ ก่ นิเทศ
ศาสตร์ในคร้ังพุทธกาล ประกอบดว้ ยการพิจารณาตดั สินใจประกาศพระศาสนา การประดิษฐาน
พระศาสนาในแควน้ มคธ และธรรมนิเทศยคุ หลงั พุทธกาล ประกอบดว้ ยการทาสงั คายนาเพ่ือสืบต่อ
อายพุ ระพุทธศาสนา และการไดอ้ งค์อุปถมั ภ์ผยู้ ิง่ ใหญ่ คือ พระเจา้ อโศกมหาราช พระองคผ์ ขู้ ยาย
โอกาสแห่งการเขา้ ถงึ ธรรมไปยงั ดินแดนต่าง ๆ ทวั่ โลก และประเด็นสุดทา้ ย เป็ นเรื่องเกี่ยวกบั การ
ประยกุ ตห์ ลกั นิเทศศาสตร์สมยั ใหม่ เพ่ือนามาใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทาให้
ไดค้ วามรู้ที่จะอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมซ่ึงมีความแตกต่างกนั ทางความคิดไดอ้ ย่างสงบสุข มีความม่งุ มนั่
ในการฝึ กอบรมตน มีทศั นคติที่ดีต่อการมองโลกมองชีวิต รู้จักเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อ
ประโยชน์สุขของส่วนรวม รู้จกั สารวจแนวคิดหรือประชามติของประชาชนกลุ่มเป้ าหมาย เพ่ือ
น าไ ป สู่ ก า รพ ัฒ น าง าน ด้าน ก าร เผ ยแ ผ่พ ระ พุ ท ธศ าสาน า ให้ส อด ค ล้องกับ ค ว าม ต้อง ก าร ข อ ง
ประชาชน

การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนายงั สามารถกระทาไดอ้ ีกหลายวิธี แต่วิธีการเผยแผท่ ่ีนิยมใชก้ นั
มากพอจะสรุปได้ ๒ วธิ ี คือ วิธีทางกายและวิธีทางวาจา

๖๖ พระมหาสนอง ปจฺโจปการี (จานิล), วิชาธรรมนิเทศ, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลง
กรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตหนองคาย, ๒๕๓๙), เอกสารประกอบการสอน, หนา้ ๓๒-๕๑.

๑๖๘

๑) วิธีทางกาย ได้แก่ การปฏิบตั ิใหด้ ู เช่น เวลายืน จะเดิน นง่ั จะนอน เป็ นไปด้วยความ
เรียบร้อย มีสติสารวม ระมดั ระวงั ท่าทางของผสู้ งบเยือกเยน็ วิธีน้ีก็คือการฝึกฝนควบคุมจิตของตน
อยา่ งเช่น การปฏิบตั ิวิปัสสนากมั มฏั ฐาน

๒) วิธีทางวาจา ไดแ้ ก่ การบรรยายธรรมใหผ้ อู้ ื่นฟัง เช่น การปาฐกถาธรรม การเทศน์หรือ
การแสดงธรรม ผทู้ ี่ทาหนา้ ท่ีน้ีเรียกวา่ ธรรมกถึก แปลวา่ ผกู้ ลา่ วธรรม ผสู้ อนธรรมหรือผแู้ สดงธรรม
ใหผ้ อู้ น่ื ฟัง ผทู้ าหน้าที่เผยแผพ่ ระพุทธศาสนาจึงควรเป็นผปู้ ระกอบพร้อมดว้ ยคุณสมบตั ิท้งั ในส่วน
ของคนั ถธุระและวิปัสสนาธุระ เขา้ ถึงสทั ธรรมท้งั สาม ไดแ้ ก่ ปริยตั ิสทั ธรรม ปฏิบตั ิสทั ธรรม และ
ปฏเิ วธสทั ธรรม ดงั น้ี

๑) ปริยัติสัทธรรม สทั ธรรมคือ สิ่งที่พึงศึกษาเล่าเรียน หรือการศึกษาเล่าเรียนพระ
ธรรมวินัย ปริยตั ิศกึ ษามคี วามหมายรวมถึงการศึกษาเล่าเรียนพระบาลี คือ พระไตรปิ ฎก พุทธพจน์
หรือพระธรรมวินยั

๒) ปฏิบัตสิ ัทธรรม สัทธรรมคือสิ่งที่พึงปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ ไตรสิกขา คือ ขอ้ ปฏิบตั ิท่ีตอ้ ง
ศกึ ษา ๓ อย่าง ไดแ้ ก่ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา หรือที่นิยมเรียกว่า ศีล สมาธิ
ปัญญา

๓) ปฏิเวธสัทธรรม สทั ธรรมคือผลที่พึงบรรลุ ไดแ้ ก่ มรรค ผล และนิพพาน ปฏิเวธจึง
เป็นผลสมั ฤทธ์ิจากการปฏิบตั ิ เกิดผลเป็นความเขา้ ใจ รู้แจง้ รู้ทะลุปรุโปร่ง

๑๖๙

กิจกรรมท้ายบท

๑. การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา คืออะไร คาวา่ “เผยแผ”่ และ “เผยแพร่” มีความแตกต่างหรือ
เหมอื นกนั อยา่ งไร

๒. ทาอยา่ งไรการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาของพระสงฆแ์ ละวดั จึงจะทาไดผ้ ลมากยง่ิ ข้ึนไปกวา่
น้ี

๓. จงอธิบายวธิ ีการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในประเทศไทย
๔. คุณสมบตั ิของผสู้ อนหรือนกั เผยแผศ่ าสนาท่ีดีควรเป็นอยา่ งไร
๕. จงอธิบายถึงแนวคิดเกีย่ วกบั การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา
๖. การสอนแบบสนั ทสั สนา คือ วธิ ีการสอนแบบใด

บทที่ ๕
พทุ ธวธิ ีการวเิ คราะห์ธรรมชาตขิ องผู้ฟัง

๕.๑ ธรรมชาตขิ องผู้เรียน(ผ้ฟู ัง)

ในบทน้ีจะกล่าวถึงธรรมชาติของผเู้ รียน(ผฟู้ ัง) อนั หมายถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล

ดงั เช่นที่พระพุทธองคท์ รงตรัสถึงจริต ๖ อนั ไดแ้ ก่ “ราคจริต โทสจริต โมหจริต ศรัทธาจริต พุทธิ

จริต และวิตกจริต และรู้ระดับความสามารถของบุคคล อย่างที่พระองค์ทรงพิจารณาว่า สัตว์

ท้งั หลายผู้มีธุลีในตาน้อย มีธุลีในตามาก มอี นิ ทรีย์แก่กล้า มอี นิ ทรีย์อ่อน มี อาการดี มอี าการทราม

สอนให้รู้ได้ง่าย สอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมกั เห็นปรโลกและโทษว่าน่ากลวั กม็ ี บางพวกมกั ไม่เห็น

ปรโลกและโทษว่าน่ากลวั กม็ ี มอี ปุ มาเหมอื นในกอดอุบล ในกอปทุม หรือในกอบุณฑริก บางดอกที่

เกดิ ในน้า เจริญในน้า ยงั ไม่พ้นนา้ จมอยู่ในนา้ ...เจริญในนา้ อยู่เสมอนา้ ...เจริญในนา้ ขึน้ พ้นนา้ ไม่

แตะน้า”๑ พดู ถึงธรรมชาติของผเู้ รียนน้นั แบ่งเป็ น ๓ ประเดน็ คือ (๑) ธรรมชาติทางกายภาพ (๒)

ธรรมชาติทางจิต (๓) ธรรมชาติทางพฤติกรรม ตามหลกั ของพระพุทธศาสนาไดก้ ลา่ วไวว้ ่า ผเู้ รียน

ยอ่ มประกอบดว้ ยขนั ธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขารและวญิ ญาณ ส่วนปัญหาพ้ืนฐานของผเู้ รียน

ก็คือ ผเู้ รียนมีอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ และโมหะ อยมู่ าก ถา้ ผเู้ รียนไม่เขา้ ใจวิธีท่ีจะลดหรือละ

อกศุ ลมลู ลงไดบ้ า้ งแลว้ กจ็ ะเป็นอนั ตรายต่อตวั เองและสงั คมดว้ ย๒

ในภาษาบาลมี ีคาใชห้ มายถงึ “ผเู้ รียน” อยหู่ ลายคาดว้ ยกนั และแต่ละตามีความหมายและขอ้

แตกต่างกนั ๓ ดงั น้ี

๑) สิสสะ(ศึกฺษ) ผศู้ ึกษา

๒) สทั ธิวหิ าริก ผอู้ ยรู่ ่วม

๓) อนั เตวาสิก ผอู้ ยภู่ ายใน

๔) เสขะ ผทู้ ี่ยงั ตอ้ งศึกษา

๑ วิ.ม. (ไทย) ๔/๙/๑๔.
๒ คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พุทธวิธีการสอน.(กรุ งเทพมหานคร:
มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๕), หนา้ ๒๒.
๓ คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , พุทธวธิ ีการสอน. หนา้ ๒๓.

๑๗๑

๕.๒ คุณลักษณะพนื้ ฐานของผู้เรียน

คุณลกั ษณะพ้ืนฐานของผูเ้ รียน แบ่งระดบั ของบุคคล คือ อุปนิสัย ปัญญา การเรียนรู้
พฤติกรรม และสภาพแวดลอ้ ม มรี ายละเอยี ดดงั น้ี

๕.๒.๑ แบ่งตามระดับพนื้ ฐานสตปิ ัญญา

บุคคลยอ่ มมีระดบั พ้ืนฐานสติปัญญาท่ีแตกต่างกนั แบ่งตามระดบั พ้ืนฐานสติปัญญาของ
บุคคลบุคคล ๔ จาพวก มปี รากฎอยใู่ นโลกน้ี คือ อุคฆฏิตญั ญู วิปจิตญั ญู เนยยะ และปทปรมะ๔ ใน
การแบ่งตามระดบั พ้ืนฐานสติปัญญาของบุคคลน้ี พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต)๕ ไดข้ ยายความไวว้ า่

(๑) บุคคลผรู้ ู้เขา้ ใจไดฉ้ ับพลนั แต่พอยกหัวขอ้ ข้ึนแสดงเท่าน้นั บุคคลประเภทน้ีเรียกว่า
อคุ ฆฏิตญั ญู เทียบกบั บวั พน้ น้า แต่พอรับสมั ผสั รัศมีตะวนั กจ็ ะบาน ณ วนั น้นั

(๒) บุคคลผสู้ ามารถรู้เขา้ ใจได้ ต่อเม่ือท่านอธิบายความพิสดารออกไป บุคคลประเภทน้ี
เรียกวา่ วิปจิตญั ญู เทียบกบั บวั ปร่ิมน้า จกั บานต่อวนั รุ่งข้ึน

๓) บุคคลผพู้ อจะหาทางค่อยช้ีแจงแนะนา ใชว้ ิธีการยกั เย้อื งให้เขา้ ใจได้ต่อ ๆ ไป บุคคล
ประเภทน้ีเรียกวา่ เนยยะ เทียบไดก้ บั บวั งามใตผ้ วิ น้า จกั บานในวนั ต่อ ๆ ไป

๔) บุคลผูอ้ บั จนปัญญา มีดวงตามืดมิด ยงั ไม่อาจให้บรรลุคุณวิเศษไดใ้ นชาติน้ี บุคคล
ประเภทน้ีเรียกว่า ปทปรมะ เทียบกบั บวั จมใตน้ ้า น่าจกั เป็นภกั ษาแห่ปลาและเต่า

ในพระสุตตนั ตปิ ฎก ปุคคลบญั ญตั ิ ไดก้ ล่าวถึงบุคคล ๔ จาพวกไวว้ ่า
บุคคลผเู้ ป็นอคุ ฆฏติ ญั ญู เป็นไฉน
บุคคลใดบรรลุธรรมพร้อมกับเวลาท่ีท่านยกหัวข้อข้ึนแสดง บุคคลน้ีเรี ยกว่าผูเ้ ป็ น
อคุ ฆฏติ ญั ญู
บุคคลผเู้ ป็นวิปจิตญั ญู เป็นไฉน
บุคคลใดเม่ือเขาอธิบายเน้ือความแห่งภาษิตโดยย่อใหพ้ ิสดาร จึงบรรลุธรรม บุคคลน้ีเรียกว่า ผเู้ ป็ น
วปิ จิตญั ญู
บุคคลผเู้ ป็นเนยยะ เป็นไฉน
บุคคลใดบรรลุธรรมโดยลาดบั อยา่ งน้ี คือ โดยการแสดง การถาม การมนสิการโดยแยบคาย
การเสพ การคบ การเขา้ ไปนง่ั ใกลก้ ลั ยาณมิตร บุคคลน้ีเรียกวา่ ผเู้ ป็นเนยยะ

๔ อง.ฺ จตุกฺก.(ไทย) ๒๑/ ๑๓๓/๒๐๒
๕ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธวิธีในการสอน,(กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๓๘). หนา้
๓๖–๓๘

๑๗๒

บุคคลผเู้ ป็นปทปรมะ เป็นไฉน
บุคคลใดฟังก็มาก กล่าวก็มาก ทรงจาก็มาก บอกสอนก็มาก แต่ไม่บรรลุธรรมในชาติน้ัน
บุคคลน้ีเรียกว่า ผเู้ ป็นปทปรมะ๖

๕.๒.๒ แบ่งตามระดบั สตปิ ัญญา

บุคคลยอ่ มมีระดับปัญญาที่แตกต่างกนั แบ่งตามระดบั สติปัญญาของบุคคล บุคคล ๔

จาพวก มปี รากฏอยใู่ นโลก๗ น้ี คือ

๑) บุคคลผฉู้ ลาดผกู ไมฉ่ ลาดแก้

๒) ฉลาดแก้ ไมฉ่ ลาดผกู

๓) ฉลาดท้งั ผกู ฉลาดท้งั แก้

๔) ไม่ฉลาดท้งั ผกู ไม่ฉลาดท้งั แก้

ระดับสติปัญญาความสามารถของบุคคลไม่เท่ากันอย่างที่พระพุทธเจา้ ไดท้ รงพิจารณา

เมอื่ ก่อนเสด็จออกประกาศพระศาสนาว่า

“เหล่าสตั วท์ ี่มีธุลีในดวงตานอ้ ยก็มี ท่ีมกี ิเลสใน

ดวงตามากกม็ ี ที่มีอนิ ทรียแ์ ก่กลา้ กม็ ี มีอินทรียอ์ อ่ น

กม็ ี ที่มีอาการดีกม็ ี มอี าการทรามกม็ ี ที่ทรงสอนใหร้ ู้ได้

ง่ายก็มี ท่ีจะสอนใหร้ ู้ไดย้ ากกม็ ี บางพวกที่ตระหนกั

ถงึ โทษภยั ในปรโลกอยกู่ ม็ ี ท้งั น้ีอุปมาเหมือนดงั ใน

กออุบล กอประทุม หรือกอบุณฑริก”๘

นอกจากการพิจารณาถงึ ความแตกต่างระดบั สติปัญญาบุคคลแลว้ ยงั จะตอ้ งคานึงถึงความ

พร้อม ความสุกงอม ความแก่รอบแห่งอนิ ทรีย์ หรือญาณ ที่บาลเี รียกว่า “ปริปากะ” ของผเู้ รียนแต่ละ

บุคคลเป็ นราย ๆ ไป ในแต่ละคราวหรือเม่ือถึงเวลาน้นั ๆ เขาควรจะไดเ้ รียนรู้อะไรและเรียนไดแ้ ค่

ไหนเพียงไร หรือสิ่งที่ตอ้ งการใหเ้ ขารู้น้นั ควรใหเ้ ขาเรียนไดห้ รือยงั เร่ืองน้ีจะเห็นไดช้ ดั ในพุทธ

วิธีการสอนว่าพระพุทธเจา้ ทรงคอยพิจารณาปริปากะของบุคคล เช่น ในคราวหน่ึงพระพุทธเจ้า

ประทบั อยใู่ นท่ีสงดั ทรงดาริว่า

“ธรรมเครื่องบ่มวมิ ตุ ติของราหุล สุกงอมดีแลว้

ถา้ กระไรเราพึงช่วยชกั นาเธอในการกาจดั อาสวะ

๖ อภ.ิ ป.ุ (ไทย) ๓๖/๑๔๘-๑๕๑/๑๘๖-๑๘๗.
๗ องฺ.จตุกกฺ .(บาลี) ๒๑/๑๓๒/๒๐๑-๒๐๒, อภิ.ปุ.(ไทย) ๓๖/๑๕๒-๑๕๕/๑๘๗.
๘ วินย. (ไทย) ๔ / ๙ / ๔๓ .

๑๗๓

ใหย้ งิ่ ข้ึนไปอกี ” ดงั น้ี
คร้ันเมื่อเสดจ็ ไปบิณฑบาต เสวยเสร็จแลว้ จึงตรัสชวน
พระราหุลใหโ้ ดยเสด็จไปพกั ผอ่ นกลางวนั ในป่ าอนั ธวนั
เมอื่ ถงึ โคนไมแ้ ห่งหน่ึง ก็ไดป้ ระทบั น้นั ลงและทรงสอนธรรม
ดว้ ยวธิ ีสนทนา วนั น้นั พระราหุล ก็ไดบ้ รรลุอรหตั ตผล๙

๕.๒.๓ แบ่งตามระดบั การเรียนรู้

บุคคลย่อมมีระดบั การเรียนรู้ที่แตกต่างกนั แบ่งตามระดบั การเรียนรู้ของบุคคล บุคคล ๔
จาพวก มีปรากฏอยใู่ นโลก๑๐น้ี คือ

๑) บุคคลผมู้ ีสุตะนอ้ ย ไม่เขา้ ถึงดว้ ยสุตะ คือ รู้นอ้ ยและไมร่ ู้จริง
(อปปฺ สฺสุโต สุเตน อนุปปนฺโน)

๒) บุคคลผมู้ สี ุตะนอ้ ย เขา้ ถึงดว้ ยสุตะ คือ รู้นอ้ ยแต่รู้จริง
(อปฺปสฺสุโต สุเตน อปุ ปนฺโน)

๓) บุคคลผมู้ สี ุตะมาก ไมเ่ ขา้ ถงึ ดว้ ยสุตะ คือ รู้มากแต่ไมร่ ู้จริง
(พหุสฺสุโต สุเตน อนุปปนฺโน)

๔) บุคคลผมู้ ีสุตะมาก เขา้ ถึงดว้ ยสุตะ คือ รู้มากและรู้จริง
(พหุสฺสุโต สุเตน อุปปนฺโน)

๕.๒.๔ แบ่งตามระดับพฤตกิ รรม

บุคคลยอ่ มีระดบั พฤติกรรมท่ีแตกต่างกนั แบ่งตามระดบั พฤติกรรมของบุคคล บุคคล ๔
จาพวกมีปรากฏอยใู่ นโลก๑๑ น้ี คือ

(๑) ตโม ตมปรายโน ผมู้ ดื มาแลว้ มีมดื ต่อไป
(๒) ตโม โชติปรายโน ผมู้ ดื มาแลว้ มีสวา่ งต่อไป
(๓) โชติ ตมปรายโน ผสู้ ว่างมาแลว้ มีมืดต่อไป
(๔) โชติ โชติปรายโน ผสู้ ว่างมาแลว้ มสี ว่างต่อไป
เมอ่ื พดู ถึงพฤติกรรมของบุคคลแลว้ ควรพจิ ารณาถงึ พฤติกรรมของบุคคลจากเกณฑ์ ดงั น้ี

๙ ส.สฬ. (ไทย) ๑๘ / ๑๘๗ / ๒๕๔
๑๐ องฺ.จตุกฺก.(บาลี) ๒๑/๖/๙
๑๑ องฺ.จตกุ ฺก.(บาล)ี ๒๑/๘๕/๑๒๙-๑๓๑.

๑๗๔

๑) ความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยจริตนิสัย บุคคลยอ่ มมีพฤติกรรมท่ีแตกต่างกนั เน่ือง
จากสาเหตุภายใน คือ จริตนิสยั มี ๖ ไดแ้ ก่ บางคนชอบสวยงาม (ราคจริต) บางคนก็ชอบใชอ้ ารมณ์
หุนหันพลนั แล่น มกั โกรธ (โทสจริต) บางคนก็มีปกติลุ่มหลงเร็ว (โมหจริต) บางคนก็มีความเชื่อ
ศรัทธาโดยขาดปัญญา (ศรัทธาจริต) บางคนก็มปี กติใชว้ จิ ารณญาณก่อนรับฟัง (พุทธิจริต) บางคน
ก็จดั อยพู่ วกคิดมากกงั วลมากหาขอ้ ยตุ ิในจิตใจไดย้ าก๑๒ อยา่ งไรก็ตาม เหตุผลที่ผแู้ สดงธรรมจะตอ้ ง
พจิ ารณาจริตนิสยั ประกอบการสอนน้นั เนื่องจากว่า เวไนยสตั วบ์ างคนกพ็ อมอี ปุ นิสยั อยบู่ า้ ง เม่อื ได้
เหตุปัจจยั แรงกระตุน้ ท่ีดี ยอ่ มสามารถจะบรรลธุ รรมไดเ้ ลย ส่วนพวกท่ีสอนยากก็ตอ้ งปล่อยไปตาม
กรรม เหมือนดอกบวั ที่อย่ใู ต้น้ารอคอยแสงอาทิตยส์ ่องไปถึงก็พร้อมจะบานในวนั ถดั ไปไดเ้ ลย
เช่นกนั ๑๓

๒) ความแตกต่างของบุคคล ๔ ประเภท หมายถึง บุคคลท่ีจะฟังธรรมและไดร้ ับผลดีจาก
การฟังน้นั พระพุทธองคท์ รงยกเอาบวั ๓ ระดบั ข้ึนแสดง และนามาเปรียบกบั บุคคล ๔ กลุ่ม ไดแ้ ก่

(๑) อุฆคติตัญญู บุคคลผรู้ ู้ธรรมเขา้ ใจไดร้ วดเร็วฉับพลนั เมื่อท่านยกหัวขอ้ ข้ึน
แสดง เป็ นผฟู้ ังที่มีเชาวป์ ัญญาดี เหมือนบวั พน้ น้า แต่พอรับสัมผสั รัศมีตะวนั
ในวนั พรุ่งน้ี เช่น พระอสั สชิเถระ แสดงธรรมแก่พระสารีบุตร คร้ังยงั เป็ นอุป
ติสสปริพาชก วา่ ธรรมเหลา่ ใดเกิดแต่เหตุ จะดบั ก็ตอ้ งดบั เหตุ พระสารีบุตร
ก็เขา้ ใจไดท้ นั ทีวา่ หลกั ธรรมในพระพุทธศาสนา ถือว่าสรรพส่ิงเป็นเหตุผล
ของกนั และกนั จะเกิดหรือดบั ก็เพราะเหตุ

(๒) วิปจิตญั ญู บุคคลผสู้ ามารถเขา้ ใจเมื่อไดฟ้ ังอธิบายความหมายเหตุผลประกอบ
หวั ขอ้ น้ันแลว้ เหมือนบวั ปริ่มน้าซ่ึงจกั บานในวนั รุ่ง เช่นพระพุทธองค์ตรัส
อธิบายถึงเบญจขนั ธ์ เป็ นอนัตตา แก่ พระปัญจวคั คีย์ โดยทรงอธิบายว่า ถา้
เบญจขนั ธ์เป็ นอตั ตาแลว้ ไชร์ เบญจขนั ธน์ ้นั ก็จะไม่เป็ นไปเพ่ือความลาบาก
และพึงปรารถนาไดต้ ามใจว่า จงเป็ นไปอยา่ งน้นั เถดิ อยา่ ไดเ้ ป็ นอยา่ งน้นั เลย
พระปัญจวคั คียก์ เ็ ขา้ ใจ

(๓) เนยยะ ผพู้ อจะอบรมส่ังสอนได้ แต่ตอ้ งใช้ความพยายามอย่างมาก บุคคลที่
ตอ้ งคอยให้ความช่วยเหลือท้งั การสอน และสาธิตใหด้ ู นาปฏิบตั ิดว้ ย เหมือน
บวั ใตน้ ้าท่ีรอแสงตะวนั และจะบานในวนั ต่อไป

๑๒ ขุ.ม. (บาลี) ๒๙/๑๒๗/๔๓๕
๑๓ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๙/๑๔– ๑๕

๑๗๕

(๔) ปทปรมะ ผมู้ บี ทเป็ นอยา่ งยงิ่ คือ บุคคลผอู้ บั ปัญญาหรือมปี ัญญาแต่ไม่ศรัทธา
หลกั พทุ ธธรรม ผสู้ กั แต่ว่าฟัง ไม่อาจใหส้ าเร็จประโยชน์เพราะการฟังได้ เช่น
พวกสัญชยั เสฏฐบุตร เจา้ ลทั ธิสมยั พุทธกาล ก็ถือว่าเป็ นบุคคลประเภทน้ีดว้ ย
หรือแมก้ ระทงั่ พระเทวทัตต์ ก็สอนไม่ได้ก็อย่ใู นกลุ่มน้ีเช่นกนั ท่านเปรียบ
เหมือนบวั ใตน้ ้า คอยเป็นภกั ษาเต่า ปลา เป็นตน้ ๑๔

๕.๒.๕ แบ่งตามระดับสภาพแวดล้อม

บุคคลย่อมมีสภาพแวดลอ้ มท่ีแตกต่างกัน แบ่งตามระดบั สภาพแวดลอ้ มของบุคคลน
บุคคล ๔ จาพวก๑๕ ดาเนินชีวติ ไปตามสภาพแวดลอ้ มต่าง ๆ กนั อธิบายดงั น้ี

๑) อนุโสตคามบี ุคคล ผไู้ ปตามกระแส
๒) ปฏโิ สตคามบี ุคคล ผไู้ ปทวนกระแส
๓) ฐิตตั โตบุคคล ผมู้ ีตนต้งั อยแู่ ลว้
๔) พราหมโณบุคคล ผเู้ ป็นพราหมณ์ ขา้ มถงึ ฝั่งต้งั อยบู่ นบก

สรุปท้ายบท

ผเู้ รียนน้ีก็คลา้ ยกบั เน้ือหาหรือเรื่องที่พระองคท์ รงเลือกมาเพื่อสอน พระพุทธองคจ์ ะสอน
ใครน้นั ตอ้ งดกู ่อนว่ามคี วามพร้อมท่ีจะเรียนรู้หรือไม่ หรือคนไหนมีความรู้ระดบั ไหน พระองคก์ จ็ ะ
ปรับความยากง่ายใหเ้ ขา้ กบั บุคคลน้นั พระองคจ์ ะรู้ว่าบุคคลน้ันมนี ิสยั หรือจริตในทางใด (รู้ดว้ ยทศ
พลญาณ) พระองคก์ ็จะสอนตามน้นั เก่ียวกบั ตวั ผเู้ รียนน้นั แบ่งออกเป็น ๗ ประเภท ดงั น้ี

๑. รู้ คานึงถงึ และสอนใหเ้ หมาะสมตามความแตกต่างระหวา่ งบุคคล
๒. ปรับวิธีสอนผอ่ นใหเ้ หมาะกบั บุคคล แมส้ อนเรื่องเดียวกนั แต่ต่างบุคคล อาจใชต้ ่างวธิ ี
๓. นอกจากคานึงถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคลแลว้ ผสู้ อนยงั จะตอ้ งคานึงถึงความพร้อม
ความสุกงอม ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ หรือญาณ ท่ีบาลีเรียกว่า “ปริปากะ” ของผเู้ รียนแต่ละบุคคล
เป็นราย ๆ ไป
๔. สอนโดยให้ผเู้ รียนลงมือทาดว้ ยตนเอง ซ่ึงจะช่วยใหเ้ กิดความรู้และความเขา้ ใจชดั เจน
แม่นยาและไดผ้ ลจริง เช่น ทรงสอนพระจูฬปันถกผโู้ ง่เขลาดว้ ยการใหน้ าผา้ ขาวไปลบู คลา เป็นตน้

๑๔ องฺ.จตกุ ฺก. (บาลี) ๒๑/๑๓๓/๑๘๓ , อภิ.ปุ.(บาลี) ๓๖/๑๐๘/๑๘๕

๑๕ อง.ฺ จตกุ กฺ .(บาล)ี ๒๑/๕/๗-๙.

๑๗๖

๕. การสอนดาเนินไปในรูปที่ใหร้ ู้สึกว่าผเู้ รียนกบั ผสู้ อนมีบทบาทร่วมกนั ในการแสวงหา
ความจริง ใหม้ ีการแสดงความคิดเห็นโตต้ อบโดยเสรี หลกั น้ีเป็ นขอ้ สาคญั ในวธิ ีการแห่งปัญญา ซ่ึง
ตอ้ งการอิสรภาพทางความคิด และวิธีน้ีเมื่อเขา้ ถึงความจริง ผเู้ รียนก็จะรู้สึกว่าตนไดม้ องเห็นความ
จริงดว้ ยตนเอง

๖. เอาใจใส่บุคคลท่ีควรไดร้ ับความสนใจพเิ ศษเป็นราย ๆ ไปตามสมควรแก่กาลเทศะและ
เหตุการณ์

๗. ช่วยเหลอื เอาใจใส่คนท่ีดอ้ ย ที่ไม่มปี ัญญา
อีกอยา่ งหน่ึง บุคคลยอ่ มมลี กั ษณะต่างกนั ไป เปรียบเทียบกบั ดอกบวั ๔ ประเภท ดงั น้ี
๑) อคุ ฆฏติ ญั ญู (ผเู้ ขา้ ใจไดฉ้ บั พลนั ) หมายถงึ ผรู้ ู้เขา้ ใจไดฉ้ บั พลนั แต่พอยกหวั ขอ้ ข้ึนแสดง
เท่าน้นั เทียบกบั บวั พน้ น้า แต่พอรับสมั ผสั รัศมตี ะวนั กจ็ ะบาน ณ วนั น้นั
๒) วิปจิตญั ญู (ผเู้ ขา้ ใจต่อเม่ือขยายความ) หมายถึง บุคคลผสู้ ามารถรู้เขา้ ใจไดต้ ่อเมอื่ อธิบาย
ความพิสดารออกไป เทียบกบั บวั ปร่ิมน้า จกั บานต่อวนั รุ่งข้ึน
๓) เนยยะ (ผทู้ ี่พอจะแนะนาได)้ หมายถึง บุคคลผพู้ อจะหาทางค่อยช้ีแจงแนะนาใชว้ ธิ ีการ
ยกั เย้อื งใหเ้ ขา้ ใจไดต้ ่อไป เทียบกบั บวั งามใตพ้ ้ืนน้า จกั บานในวนั ต่อ ๆ ไป
๔) ปทปรมะ (ผทู้ ี่สอนให้รู้ได้เพียงตวั บทคือพยญั ชนะ) หมายถึง บุคคลผอู้ บั ปัญญา มี
ดวงตามืดมิด ยงั ไม่อาจบรรลุคุณวิเศษในชาติน้ีได้ เทียบกบั บัวจมใตน้ ้า น่าจกั เป็ นภกั ษาแห่งปลา
และเต่า
อย่างไรกต็ าม ส่ิงที่สาคญั ท่ีสุดนักเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาพึงคานึงถงึ ตวั ผฟู้ ังเป็ นหลกั โดย
พจิ ารณาจากเกณฑ์ ดงั ต่อไปน้ี

๑) ความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยจริตนิสัย บุคคลย่อมมีพฤติกรรมท่ีแตกต่างกัน
เนื่องจากสาเหตุภายใน คือ จริตนิสัย มี ๖ ไดแ้ ก่ บางคนชอบสวยงาม (ราคจริต) บางคนก็ชอบใช้
อารมณ์หุนหันพลนั แล่น มกั โกรธ (โทสจริต) บางคนก็มีปกติลุ่มหลงเร็ว (โมหจริต) บางคนก็มี
ความเช่ือศรัทธาโดยขาดปัญญา (ศรัทธาจริต) บางคนก็มปี กติใชว้ ิจารณญาณก่อนรับฟัง (พุทธิจริต)
บางคนก็จดั อยพู่ วกคิดมากกงั วลมากหาขอ้ ยตุ ิในจิตใจไดย้ าก

๒) ความแตกต่างของบุคคล ๔ ประเภท หมายถึง บุคคลท่ีจะฟังธรรมและไดร้ ับผลดีจาก
การฟังน้นั พระองคท์ รงยกเอาบวั ๓ ระดบั ข้ึนแสดง และนามาเปรียบกบั บุคคล ๔ กลุ่ม ไดแ้ ก่

(๑) บุคคลผรู้ ู้เขา้ ใจไดร้ วดเร็วฉบั พลนั เม่ือยกหัวขอ้ ข้ึนแสดง เหมือนบวั พน้ น้า แต่พอรับ
สมั ผสั รัศมีตะวนั ในวนั พรุ่งน้ี (อฆุ คติตญั ญู)

(๒) บุคคลผสู้ ามารถเขา้ ใจเมื่อไดฟ้ ังเหตุผลประกอบหวั ขอ้ น้ันแลว้ (วิปจิตญั ญู) เหมอื นบวั
ปริ่มน้าซ่ึงจกั บานในวนั รุ่ง

๑๗๗

(๓) บุคคลท่ีตอ้ งคอยใหค้ วามช่วยเหลอื ท้งั การสอน และสาธิตใหด้ ู นาปฏบิ ตั ิดว้ ย (เนยยะ)
เหมือนบวั ใตน้ ้าท่ีรอแสงตะวนั และจะบานในวนั ต่อไป

(๔) บุคคลผอู้ บั ปัญญาหรือมีปัญญาแต่ไม่ศรัทธาหลกั พุทธธรรม (ปทปรมะ) เช่น พวกสญั
ชยั เสฏฐบุตร เจา้ ลทั ธิสมยั พุทธกาล กถ็ ือวา่ เป็นบุคคลประเภทน้ีดว้ ย หรือแมก้ ระทงั่ พระเทวทตั ต์ ก็
สอนไม่ไดก้ อ็ ยใู่ นกลุ่มน้ีเช่นกนั ท่านเปรียบเหมือนบวั ใตน้ ้า คอยเป็นภกั ษาเต่า ปลา เป็นตน้

๑๗๘

กจิ กรรมท้ายบท

๑. ผทู้ ่ีเป็นนกั เผยแผจ่ ะกลา่ ว หรือแสดงธรรมตอ้ งยดึ หลกั การสอนอยา่ งไรบา้ ง
๒. เก่ียวกบั เน้ือหาหรือเร่ืองท่ีจะทรงสอนน้นั พระพทุ ธองคท์ รงคานึงถงึ อะไรเป็นหลกั ใน

การแสดงธรรมหรือในการสอน
๓. ในการสอนหรือเผยแผ่พุทธธรรมทุกคร้ัง ผูส้ อนจะตอ้ งคานึงถึงตนเองในฐานะผู้

นาเสนอและผเู้ รียนตามหลกั อยา่ งไรบา้ ง
๔. พระพทุ ธองคไ์ ดต้ รัสถงึ บุคคลที่มลี กั ษณะต่างกนั เปรียบเทียบกบั ดอกบวั อยา่ งไรบา้ ง
๕. พระนักเผยแผ่หรือนักสอนศาสนาควรคานึงถึงตวั ผฟู้ ังหรือผเู้ รียน มีเกณฑ์ในการ

พจิ ารณาอยา่ งไรบา้ ง

๑๗๙

บทที่ ๖
วธิ ีการสื่อสารธรรมในพระพุทธศาสนา

ในบทน้ีจะพดู ถึงวิธีการสื่อสารธรรมในพระพทุ ธศาสนา เช่น เทศนา โอวาท ธรรมสากจั ฉา
ปาฐกถา บรรยาย อภิปราย ปราศรัย สุนทรพจน์ ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี

๖.๑ เทศนา

เทศนา หมายถงึ การแสดงธรรม, การช้ีแจงแสดงความ
๑) การเทศน์ในแง่ของการแสดงธรรมเทศนา มี ๒ ประการ คอื
(๑) บุคคลาธิษฐานเทศนา คือ เทศนามีบุคคลเป็ นท่ีต้งั , เทศนาอา้ งคน, แสดงโดยยกคนข้ึน
อา้ งpกคนเป็นหลกั ฐานในการอธิบาย
(๒) ธรรมาธิษฐานเทศนา คือ เทศนามีธรรมเป็ นท่ีต้งั , เทศนาอา้ งธรรม, แสดงโดยยกหลกั
หรือตวั สภาวะข้ึนอา้ ง๑
๒) การเทศน์ในแง่ของหลกั ธรรม มี ๒ ประการ คอื
(๑) สมมตเิ ทศนา คือเทศนาโดยสมมติ, แสดงตามความหมายที่รู้ร่วมกนั หรือตกลงยอมรับ
กนั ของชาวโลก เช่นวา่ บุคคล สตั ว์ หญิง ชาย กษตั ริย์ เทวดา เป็นตน้
(๒) ปรมตั ถเทศนา คือเทศนาโดยปรมตั ถ,์ แสดงตามความหมายของสภาวธรรมแท้ ๆ เช่น
ว่า อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ขนั ธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นตน้ ๒
๓) การเทศน์ตามนยั แห่งพระไตรปิ ฎก แยกประเภทได้ ดงั น้ี
ก. อย่างหยาบ
(๑) วินัยปิ ฎก เป็ น อาณาเทศนา คือการแสดงธรรมในลกั ษณะต้งั เป็ นขอ้ บงั คบั โดยส่วน
ใหญ่

๑ ปฏิ. สํ.อ. ๗๗.
๒ ผูฟ้ ังจะเขา้ ใจความ สาเร็จประโยชน์ดว้ ยเทศนาอยา่ งใด กท็ รงแสดงอยา่ งน้นั ใน ที.อ.๑/๔๓๖; ส.อ.๒/
๙๘

๑๘๐

(๒) สุตตนั ตปิ ฎก เป็น โวหารเทศนา คือการแสดงธรรมยกั ยา้ ยสานวนใหเ้ หมาะสมแก่จริต
อธั ยาศยั ของผฟู้ ัง

(๓) อภิธัมมปิ ฎก เป็ น ปรมัตถเทศนา คือการแสดงธรรมเจาะจงเฉพาะประโยชน์อยา่ งยง่ิ
ซ่ึงเป็นธรรมะช้นั สูง ไม่เก่ียวดว้ ยทอ้ งเรื่องหรือโวหารข. อย่างปานกลาง

(๑) วนิ ัยปิ ฎก เป็ น ยถาปราธสาสนะ คือการสอนตามความผดิ หรือโทษชนิดต่าง ๆ ท่ีพึง
เวน้

(๒) สุตตนั ตปิ ฎก เป็น ยถานุโลมสาสนะ คือการสอนโดยอนุโลมแก่จริตอธั ยาศยั ผฟู้ ัง
(๓) อภธิ ัมมปิ ฎก เป็น ยถาธมั มสาสนะ คือการสอนตามเน้ือหาแท้ ๆ ของธรรมะ
ค. อย่างละเอยี ด
(๑) วนิ ัยปิ ฎก เป็น สังวราสังวรกถา คือถอ้ ยคาที่วา่ ดว้ ยความสารวมและไม่สารวม
(๒) สุตตนั ตปปิ ฎก เป็น ทิฎฐิวนิ เิ วฐนกถา คือถอ้ ยคาท่ีสอนใหผ้ อ่ นคลายทิฐิ ความเห็นผดิ
(๓) อภิธัมมปิ ฎก เป็ น นามรูปปริจเฉทกถา คือถอ้ ยคาท่ีสอนให้กาหนดนามและรูป คือ
ร่างกายจิตใจ
ส่วนเทศนาธรรม คือ การชี้แจง แสดงหลักธรรม หลกั สัมมาปฏิบัติ โดยมีวตั ถุประสงค์
เพอ่ื ใหผ้ ฟู้ ังรู้แจง้ เห็นจริงในธรรมที่ตนควรรู้ควรเห็น เกิดศรัทธาในธรรมยดึ ถือเป็นอุดมคติในการ
ดาเนินชีวิตประจาวนั
การเทศน์มีธรรมเนียมปฏิบตั ิอย่างเป็ นระเบียบแบบแผน มีลีลาหรือท่วงทานองวาจาที่
ถกู ตอ้ งเหมาะสมเป็นวรรคเป็นตอน และเนน้ อริ ิยาบถทางกายท่ีเป็นระเบียบเรียบร้อย
๔) เคลด็ ลบั และศิลปะในการเทศน์
คาว่า “เคลด็ ลบั ” หมายถึง กลเมด็ หรือวธิ ีที่ชาญฉลาดที่คนส่วนใหญ่ยงั ไม่รู้จกั
คาว่า “ศิลปะ” หมายถึง ความมีฝีมือหรือความชานาญในการแสดงออก คือศิลปะการเทศน์
ส่วนคาว่า “การเทศน์” หมายถงึ การยกหัวขอ้ ธรรมข้ึนแสดงเพื่อสั่งสอนประชาชนใหร้ ู้ให้
เขา้ ใจจะไดล้ ะชวั่ ทาดี มีสวรรคแ์ ละนิพพานเป็นจุดหมายของชีวิต

๑๘๑

ในการเทศน์ มเี คลด็ ลบั และศลิ ปะสาคญั ที่นกั เทศน์ควรทาความเขา้ ใจ ๓ ประการ๓ คือ

(๑) “ทุน” หมายถึง พ้นื ความรู้และความสามารถที่มีอย่เู ดิม ถา้ จะเป็ นนกั เทศน์ ก็ตอ้ งมีทุน
อยา่ งนอ้ ย ๖ ประการ คือ รู้หลกั ธรรม จาํ หลกั สูตร พูดฉะฉาน ปฏิภาณไว นํา้ ใจงาม มคี วามรอบรู้

(๒) “ทาง” หมายถึง วธิ ีเขา้ ถึงความสาเร็จ ตอ้ งมีวิธีการเหล่าน้ีเป็ นแนวทาง คือ มคี รูแนะนํา
ท่องจําเทศนา ฝึ กว่าปากเปล่า เข้าใจวางโครง ฟังเขียนเพยี รอ่าน ปฏิภาณว่องไวจติ ใจสงบ ชอบ
คบบัณฑติ เกาะตดิ สถานการณ์

(๓) “ธรรม” ในที่น้ี หมายถงึ หลกั การและอดุ มคติของนกั เทศนา

๕) หลกั การเทศน์

การเทศนค์ วรปฏบิ ตั ิไปตามหลกั การคือ “เทศนาตามข้ันตอน ส่ังสอนอย่างมเี หตผุ ล เมตตา
ต่อสาธุชน ไม่กงั วลกบั เคร่ืองกณั ฑ์ ไม่กระทบตนกระทบท่าน” นักเทศนข์ ้นั แนวหน้า ท่านถือหลกั
ว่า “ก่อนจะเทศนต์ อ้ งเตรียม ถา้ ไมเ่ ตรียมก็เสียเหลยี่ มนกั เทศน์” การเตรียมตวั ของการเป็นนกั เทศนท์ ่ี
ดี จะตอ้ งเตรียมส่ิงที่เป็นพ้ืนฐาน ดงั น้ี

(๑) เตรียมตวั คือ เรียนรู้วิชาการต่าง ๆ ใหถ้ กู ตอ้ งตามข้นั ตอนของจรรยาหรือศาสนพิธีที
เก่ียวกบั การเทศน์

(๒) เตรียมใจ คือ ควบคุมใจให้มีสมาธิ มีใจปลอดโปร่ง สร้างความเชื่อมน่ั ไม่หวน่ั ไหว
กงั วล พรรณนาว่าในใจไปเป็นตอน ๆ

(๓) เตรียมวิใจผฟู้ ัง คือลกั ษณะของคนฟัง และเลือกวิธีการเทศนาให้เหมาะสมกบั คนฟัง
เหมือนกบั การป้ อนขา้ วว่าจะป้ อนคาเลก็ คาโต ตอ้ งดขู นาดของปากของผจู้ ะทานเสียก่อน

(๔) เตรียมหลกั การเทศน์ คือ ถา้ ตอ้ งการให้เทศนางามในเบ้ืองตน้ ในท่ามกลาง และใน
ท่ีสุด
ก็ตอ้ งอธิบายตามพุทธวิธีสอน ๔ ส. คือ๔

๑) สันทสั สนา คือ เทศน์ไดแ้ จ่มแจง้ สอนไดแ้ จ่มแจ้ง ดุจเห็นดว้ ยตาของตนเอง เช่น การ
สอนของพระพุทธเจา้ ท่ีทรงสอนไดแ้ จ่มแจง้ ชดั เจน เห็นภาพพจน์ปรากฏเป็นรูปธรรม จนไดร้ ับคา
ช่ืนชม นิยมยกยอ่ งว่า เทศนาของพระองคแ์ จ่มแจง้ เหลือเกิน

๓ องคก์ ารเผยแผว่ ดั ประยรู วงศาวาสวรวิหาร, วิชาการเทศนา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพก์ ารศาสนา,
๒๕๔๖), หนา้ ๔๙.

๔ พระโสภณธรรมวาที (บุญมา อาคมปุญฺโญ), ความรู้พืน้ ฐานการเทศน์. (กรุงเทพมหานคร: บริษทั

ศลิ ป์ สยามบรรจุภณั ฑแ์ ละการพมิ พ์ จากดั , ๒๕๔๑), หนา้ ๑๒.

๑๘๒

๒) สมาทปนา คือเทศน์ไดจ้ ูงใจ สอนให้มีตวามศรัทธาในพระพุทธศาสนา ยึดมน่ั ในหลกั
ศีลธรรมและนิยมท่ีดีงาม และเช่ือมน่ั ในหลกั กรรม

๓) สมุตเตชนา คือ เทศน์ปลุกให้กลา้ สอนให้มีความพยายามในการปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม
และศาสนพิธี โดยเฉพาะมกี ารนาการบริหารจิตและเจริญปัญญาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั

๔) สัมปหังสนา คือ เทศน์ให้ร่าเริง สอนใหส้ นุกดว้ ยลีลาหรรษาร่าเริง ทาให้ผฟู้ ังรักที่จะ
เรียนรู้เร่ืองพระพุทธศาสนา ทาให้เกิดการเรียนรู้พระพุทธศาสนาต่อเน่ืองตลอดชีวิต ไม่คิดลม้ เลิก
การเรียนรู้พระพุทธศาสนา๕

๖) หลกั การเตรียมการเทศน์

หลักการเตรียมการเทศน์ คือ เตรียมตวั ให้พร้อม ซักซ้อมให้ดี ท่าทีเตะตา กถาเตะหู ตาดู
คนฟัง ท่านัง่ ผงึ่ ผาย อธบิ ายแจ่มแจ้ง แสดงหลกั การ ปฏภิ าณว่องไว จติ ใจสะอาด มารยาทเป็ นเยยี่ ม

(๑) ข้อปฏิบตั นิ ักเทศน์

ขอ้ ปฏิบัตินักเทศน์ควรคานึงถึงเรื่องน้ี คือ ไปก่อนเวลา เข้าหาเจ้าหน้าท่ี คัมภีร์ไม่ขาด
ฉลาดเจรจา (เจ้าภาพ) ถามหาข้อมลู (งาน) เพมิ่ พนู ศรัทธา จรรยางดงาม รูปความแจ่มชัด

(๒) จุดเด่นของนักเทศน์

จุดเด่นของนักเทศน์ คือ รูปสะดุดตา เนื้อหาสะดุดหู ความรู้สะดุดจติ ข้อคิดสะดุดใจ
อุปมาอปุ ไมยน่าฟัง เสียงดงั พอดี ไมตรีพอได้

(๓) อุดมคตนิ ักเทศน์

อดุ มคตนิ ักเทศน์ คอื สอนให้จาํ ทําให้ดู อย่ใู ห้เห็น สอนตนก่อน แล้วจงึ สอนคนอน่ื ความ
เป็ นนักทํา ต้องนาํ นกั เทศน์ ถ้าสอนจากเรื่องที่ตนทํา ทุกถ้อยคาํ จะมฤี ทธ์ิ อย่าลมื “คนผอมขายยา
พี หญิงผวั หนีขายยาเสน่ห์ คตวิ ่าจงทาํ ตามท่ีฉันสอน อย่าทําตามอย่างท่ีฉันทํา อย่านํามาใช้สอน
อย่างไร ทําได้อย่างน้ัน

(๔) การเทศน์แบบอ่านคัมภีร์ การเทศน์แบบอ่านคมั ภีร์ คือ การเทศน์ท่ีผเู้ ทศน์จะอ่าน
เน้ือความไปตามคมั ภีร์ที่ท่านผรู้ ู้ไดแ้ ต่งไว้ ดว้ ยน้าเสียงและท่วงทานอง ท่ีไพเราะซ่ึงแตกต่างจากการ
อา่ นออกเสียงทว่ั ไป

(๕) การเทศน์แบบปฏิภาณ การเทศน์แบบปฏิภาณ คือ การเทศน์ที่ผเู้ ทศน์จะใชค้ วามรู้
ความสามารถ ท่ีเกิดจากการศึกษาทางดา้ นปริยตั ิ และประสบการณ์ ในดา้ นการปฏบิ ตั ิมาถ่ายทอด

๕ พระธรรมปิ ฎก, พุทธวธิ ใี นการสอน. (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม,๒๕๔๒), หนา้ ๑๒.

๑๘๓

อยา่ งมีศิลปะในการพดู แต่ยงั คงรักษารูปแบบของการเทศน์ไวอ้ ยา่ งครบถว้ น การเทศนใ์ นลกั ษณะ
น้ี ไดร้ ับความสนใจจากผฟู้ ังเป็ นอยา่ งมาก เพราะทนั สมยั ทนั เหตุการณ์ และทาใหผ้ ฟู้ ังไดร้ ับความ
บนั เทิงในธรรม

(๖) การเทศน์ธรรมาสน์เดยี ว การเทศน์ธรรมาสน์เดียว คือ การเทศน์องคเ์ ดียว สะดวกใน
การเตรียมตวั เพราะผเู้ ทศน์สามารถวางโครงเรื่อง กาหนดหัวขอ้ และขอบข่ายของเน้ือเรื่องท่ีจะ
เทศน์ไดด้ ว้ ยตวั เอง

(๗) การเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ การเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ คือ การเทศนใ์ นลกั ษณะปุจฉา-วสิ ชั นา
ผเู้ ทศน์ตอ้ งอาศยั ปฏิภาณไหวพริบมาก และตอ้ ง ใชผ้ เู้ ทศน์ ๒ รูป ท่ีมีความเขา้ ใจในหลกั เทศน์และ
หลกั ธรรมเป็นอยา่ งดี และควรเป็นผทู้ ี่มีความคุน้ เคยกนั

(๘) การเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ การเทศน์ ๓ ธรรมาสน์มีช่ือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า เทศน์แจง
เน้ือหาที่ เทศน์จะกลา่ วถึงการทาสงั คายนาคร้ังท่ี ๑ปรารภเรื่องที่สุภทั ทภิกษุ ผบู้ วชเมื่อตอนแก่ กล่าว
จว้ งจาบพระธรรมวินัย พระมหากสั สปะเป็ นประธาน และเป็ นผถู้ าม พระอุบาลีเป็ นผวู้ ิสชั นาพระ
วนิ ยั พระอานนทเ์ ป็นผวู้ สิ ชั นาพระธรรม

(๙) หลกั การเทศน์แจง การเทศน์แจงผเู้ ทศน์จะตอ้ งสมมุติหน้าที่ของกนั และกนั มีหลกั ท่ี
ถอื ปฏิบตั ิกนั มาต้งั แต่โบราณกาล ดงั น้ี

(๑) ผมู้ อี าวุโสสูงสุดเป็นพระมหากสั สปะ ทาหนา้ ท่ีใหศ้ ลี

(๒) ผมู้ อี าวุโสถดั มาเป็นพระอุบาลี ทาหนา้ ท่ีบอกศกั ราช

(๓) ผมู้ ีอาวุโสน้อยท่ีสุดเป็นพระอานนท์ ทาหนา้ ท่ีบอกอานิสงส์ ดาเนินการเทศน์
และเป็นผสู้ มมตุ ิมอบหมาย ตาแหน่งหนา้ ที่ใหแ้ ก่ผทู้ ี่เหลอื อกี ๒ รูป

(๑๐) องค์ประกอบทีส่ ําคญั ของการเทศน์

(๑) อุเทศ คือ หวั ขอ้ ที่ยกเป็นบทต้งั แสดง

(๒) นิเทศ คือ การอธิบายความหมายของอุเทศใหก้ วา้ งออกไป

(๓) ปฏนิ เิ ทศ คือ การแสดงซ้าอีกคร้ัง เพ่ือสรุปความหรือทบทวนความทรงจา ซ่ึง
ทาใหผ้ ฟู้ ังสามารถนาไปเป็นหลกั ปฏบิ ตั ิไดท้ นั ที

(๑๑) หลกั การอธบิ ายเนือ้ หาของการเทศน์

(๑) บอกปริยัติ ไดแ้ ก่ หวั ขอ้ ธรรมท่ีควรศึกษาตามลาดบั หมวดหม่ขู องเน้ือหาที่
เกี่ยวขอ้ ง

๑๘๔

(๒) บอกปฏิบัติ ได้แก่ ขอ้ ที่ควรนามาประพฤติปฏิบัติ เพ่ือยดึ ถือเป็ นแนวทาง
ข้นั ตน้ สาหรับการดาเนินชีวิตท่ีดีงาม

(๓) บอกปฏิเวธ ได้แก่ ผลอนั เกิดจากการปฏิบัติ คือ ความอย่ดู ีมีสุขในระดับ
ของโลกิยธรรมจนถงึ ข้นั โลกุตรธรรม

(๑๒) จรรยาบรรณของนักเทศน์

การเผยแผห่ รือการแสดงพระธรรมเทศนามรี ะเบียบท่ีพึงปฏิบตั ิเพ่อื ความเรียบร้อยดีงาม สิ่ง
ท่ีสาคญั ในการเทศน์คือ จรรยา จรรยาน้ัน เป็ นเรื่องสาคัญของนักเทศน์ ที่ว่าสาคัญก็เพราะว่า
“จรรยา” เป็นเครื่องเชิดชูความรู้และความสามารถของนกั เทศนใ์ หด้ ีเด่นข้ึนเหมือนแหวนเรือนทอง
เป็ นเครื่องรองรับอญั มณี ท่ีเป็นหัวแหวนใหง้ ามเด่นเป็ นสง่า ถา้ ไร้มารยาทขาดจรรยา ถึงจะเทศนา
ไดย้ อดเย่ยี มสักปานใด กไ็ ม่มีใครเช่ือถือ คาสอนก็จะไม่ศกั ด์ิสิทธ์ิและส้ินความหมาย คลา้ ยคนผอม
ขายยาอว้ นอยา่ งน้นั สมจริงดว้ ยคาวา่ “ความเก่งจะไร้ความหมาย ถา้ ขาดหายซ่ึงความดี” จรณะ หรือ
จรรยา คือความประพฤติดี ถือว่าเป็นหวั ใจสาคญั ของนกั เทศน์และนกั เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ส่วน
คาว่า จรรยา หมายถงึ ความดี ๒ ดา้ น คือ ดีดว้ ยมารยาทและรู้ศาสนพธิ ีดี๖

พระพทุ ธเจา้ ตรัสสอนหลกั ธรรมเทสกธรรมสาหรับภิกษุผเู้ ป็นพระธรรมกถึกไว้๕ ประการ
ดงั น้ี

(๑) อนุปุพฺพิกถํ การแสดงธรรมตามลาดบั ของความยากลุ่มลึก มีเหตุผลสัมพนั ธ์
ต่อเน่ืองกนั ไปโดยลาดบั

(๒) ปริยายทสฺสาวี การช้ีแจงใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งชดั เจนในแต่ละประเด็น โดยการขยาย
ความไปตามแนวของเหตุและผล

(๓) อนุทยตํ ปฏิจฺจ การแสดงธรรมดว้ ยจิตเมตตา มงุ่ จะใหเ้ ป็นประโยชน์แก่ผฟู้ ัง
(๔) น อามสิ นฺตโร การแสดงธรรมไม่เห็นแก่อามิสหรือผลประโยชนต์ อบแทน
(๕) อตฺตานญฺจ ปรญฺจ อนุปหจฺจ การแสดงธรรมไม่กระทบตนและผอู้ ื่น คือ
สอนตามเน้ือหา มงุ่ แสดงอรรถ ไม่ยกตน และไม่เสียดสีผอู้ น่ื ๗

๖ องคก์ ารเผยแผว่ ดั ประยรู วงศาวาสวรวหิ าร, วิชาการเทศนา, หนา้ ๙๕.
๗ องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๕๙/๒๓๕.

๑๘๕

การเผยแผ่หรือการแสดงพระธรรมเทศนา มีระเบียบที่พึงปฏิบตั ิเพ่ือความเรียบร้อยดีงาม
เป็ นที่ต้งั แห่งความเล่ือมใสศรัทธาของผฟู้ ัง แต่ก่อนจะแสดงธรรม ผแู้ สดงธรรมควรใส่ใจถึงพระ
วนิ ยั ที่พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิไวใ้ นเสขิยวตั ร เรียกวา่ “ธมั มเทศนาปฏิสังยตุ ” มี ๑๖ ขอ้ ดงั น้ี

(๑) ภิกษุพงึ ความศึกษาวา่ เราจกั ไม่แสดงธรรมแก่คนไมเ่ ป็นไข้ มรี ่มในมอื
(๒) ภิกษุพงึ ความศกึ ษาว่า เราจกั ไม่แสดงธรรมแก่คนไมเ่ ป็นไข้ มไี ม้พลองในมอื
(๓) ภิกษุพึงความศกึ ษาวา่ เราจกั ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มศี าสตราในมอื
(๔) ภิกษุพงึ ความศึกษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มอี าวธุ ในมอื
(๕) ภิกษุพึงความศึกษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ สวมเขียงเท้า
(๖) ภิกษุพงึ ความศกึ ษาว่า เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแก่คนไมเ่ ป็นไข้ สวมรองเท้า
(๗) ภิกษุพึงความศกึ ษาว่า เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ไปในยาน
(๘) ภิกษุพงึ ความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ อย่บู นที่นอน
(๙) ภิกษุพงึ ความศกึ ษาวา่ เราจกั ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ น่ังรัดเข่า
(๑๐) ภิกษุพึงความศกึ ษาว่า เราจกั ไม่แสดงธรรมแก่คนไมเ่ ป็นไข้ พนั ศีรษะ
(๑๑) ภิกษุพงึ ความศึกษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแก่คนไมเ่ ป็นไข้ คลุมศีรษะ
(๑๒) ภิกษุพึงความศึกษาวา่ เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแก่คนไมเ่ ป็นไข้ นัง่ บนอาสนะ
(๑๓) ภิกษุพึงความศึกษาว่า เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแก่คนไม่เป็ นไข้ นั่งบนอาสนะ
สูง
(๑๔) ภิกษุพึงความศกึ ษาว่า เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้นัง่ อยู่
(๑๕) ภิกษุพึงความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็ นไข้ ผู้เดินไป
ข้างหน้า
(๑๖) ภิกษุพงึ ความศึกษาว่า เราจกั ไม่แสดงธรรมแก่คนไมเ่ ป็นไข้ ผู้ไปในทาง

๑๘๖

๖.๒ โอวาท

โอวาท คือ คาแนะนาตักเตือน คาสอนที่ผใู้ หญ่ให้แก่ผนู้ ้อย เพื่อจะให้ข้อคิด แนะนา
ตกั เตือนและส่งั สอน โอวาทของเจา้ นายเรียกพระโอวาท ของพระเจา้ แผ่นดิน เรียกว่า พระบรม
ราโชวาท เน่ืองในโอกาสสาคญั ๆ การใหโ้ อวาทควรยดึ แนวปฏิบตั ิในการกล่าว ดงั น้ี

(๑) ความสาคญั ของโอกาสที่ใหโ้ อวาท
(๒) ใหห้ ลกั การ ขอ้ แนะนา ตกั เตือน ขอ้ คิดที่สมเหตุผล และอธิบายประกอบใหแ้ จ่มแจง้
(๓) เน้ือหามีคติเตือนใจ มเี หตุผล ไมย่ ดื ยาว
(๔) ถา้ มีเวลาพอก็อาจจะช้ีใหเ้ ห็นขอ้ บกพร่องต่าง ๆ ท่ีอาจจะเกิดข้ึนแลว้ เสนอแนะวิธีแกไ้ ข
ขอ้ บกพร่องน้นั ๆ
(๕) เป็นการแสดงความปรารถนาดี บางคร้ังอาจกลา่ วตาหนิตรง ๆ บา้ ง
(๖) ไมค่ วรใหโ้ อวาทหลายเรื่องพร้อม ๆ กนั
(๗) อาจนาไปประพฤติปฏบิ ตั ิไดจ้ ริง ผฟู้ ังตอ้ งฟังดว้ ยความเคารพ และยนิ ดีที่จะนาคาสอน
คาช้ีแนะไปปฏิบตั ิ
(๘) ลงทา้ ยดว้ ยการอวยชยั ใหพ้ ร

๖.๓ ธรรมสากจั ฉาหรือสนทนา

ธรรมสากจั ฉาหรือสนทนา เป็ นเป็ นการสื่อสารหรือการสอนโดยใชว้ ิธีการถามค่สู นทนา
เพื่อทาให้เกิดความเขา้ ใจธรรมะและความเลื่อมใสศรัทธา วิธีการสอนแบบน้ีจะเห็นไดจ้ ากการที่
พระองค์ ใช้โปรดบุคคลในกลุ่มที่มีจานวนจากดั ท่ีสามารถพดู ตอบโตก้ นั ได้ การสอนแบบน้ีจะ
ปรากฏในพระไตรปิ ฎกหลายๆ ท่ีเช่น กรณีของปริพาชกช่ือว่าวจั ฉโคตร ที่เขา้ ไปทูลถามเรื่อง
ความเห็นสุดโต่ง ๑๐ ประการกบั พระองค์ และก็ไดม้ ีการสนทนาแบบถาม-ตอบ ในเรื่องดงั กล่าว
ระหว่างปริพาชกกบั พระองค์๘ เป็ นตน้ ในการสอนแบบสากจั ฉาหรือสนทนา จะมกี ารถามในราย
ระเอียดไดม้ ากกว่าการสอนแบบทวั่ ไป เพราะเป็ นการใหข้ อ้ มลู ต่อกลุ่มชนที่มีจานวนจากดั ซ่ึงเม่ือ
พระพุทธองคท์ รงแสดงธรรมจบ ผฟู้ ังมกั จะไดร้ ับคุณวิเศษจากการฟังธรรมโดยวิธีน้ีอยเู่ สมอ

ธรรมสากจั ฉาหรือสนทนา เป็นวิธีที่พระพุทธเจา้ ทรงใชบ้ ่อยไม่นอ้ ยกวา่ วิธีใด ๆ โดยเฉพาะ
ในเมื่อผมู้ าเขา้ เฝ้ าหรือทรงพบน้นั ยงั ไม่ไดเ้ ลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ยงั ไม่รู้ยงั ไม่เขา้ ใจ
หลกั ธรรม ในการสนทนา พระพุทธเจา้ มกั ทรงเป็ นฝ่ ายถามนา คู่สนทนาเขา้ สู่ความเขา้ ใจธรรมและ

๘ ม.ม. (ไทย) ๑๓ / ๑๘๗ – ๑๘๙ / ๒๑๙ – ๒๒๓.

๑๘๗

ความเลอ่ื มใสศรัทธาในท่ีสุด แมใ้ นหม่พู ระสาวกพระองค์ก็ใชว้ ธิ ีไมน่ อ้ ย และทรงส่งเสริมใหส้ าวก
สนทนาธรรมกนั อยา่ งในมงคลสูตรว่า “กาเลน ธมฺม-สากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมตุ ฺตม - การสนทนาธรรม
ตามกาล เป็นมงคลอนั อดุ ม”๙

ธรรมสากัจฉา หมายถึง การสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปรายปัญหา
การแสวงหาเหตุผล คิดคน้ คดั คา้ น หรือคลอ้ ยตาม เป็นการซกั ถามและแกป้ ัญหา พุทธวธิ ีการสอนน้ี
ใชก้ นั มาแต่คร้ังพุทธกาล การสอนแบบธรรมสากจั ฉาเป็ นการสอนเพื่อให้ผเู้ รียนรู้จกั คิดแกป้ ัญหา
เป็ นคนมีเหตุผล๑๐ วิธีสอนแบบธรรมสากจั ฉาน้ีพระพุทธเจา้ ทรงใชบ้ ่อย ๆ ในสมยั พุทธกาล ภิกษุ
ท้งั หลายมกั จะประชุมสนทนาธรรมกนั ถกปัญหากนั หากปัญหาใดถกกันแลว้ อภิปรายกนั แลว้
โตเ้ ถียงกนั แลว้ ยงั ตกลงกนั ไมไ่ ด้ พระพุทธองคก์ ม็ กั จะเสด็จมาทรงเป็นประธานตดั สินช้ีขาด ทาให้
ผเู้ ขา้ ประชุมไดร้ ับความรู้ความเขา้ ใจที่ถกู ตอ้ ง และมกั ปรากฏมีผบู้ รรลุธรรมถึงพระอรหตั ผลดว้ ย
พุทธวิธีสอนแบบน้ีอย่เู สมอ วิธีสอนแบบน้ีเปิ ดโอกาสให้ผฟู้ ังไดใ้ ชค้ วามคิดเพื่อหาคาตอบดว้ ย
ตวั เอง ซ่ึงทาใหเ้ ขา้ ใจลกึ ซ้ึงเป็นความเขา้ ใจที่มน่ั คง๑๑

พระธรรมปิ ฎก (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต๑๒ไดอ้ ธิบายเกี่ยวกบั ธรรมสากจั ฉาไวว้ ่า การส่ือสารหรือ
การสอนของพระพุทธเจา้ มอี งคป์ ระกอบท่ีเป็นคุณลกั ษณะ ๔ ประการ คือ

(๑) สันทัสสนา ชี้แจงให้เห็นชัด คือ จะสอนอะไรก็ช้ีแจง จาแนก แยกแยะ อธิบาย และ
แสดงเหตุผลใหช้ ดั เจน จนผฟู้ ังเขา้ ใจแจ่มแจง้ เห็นจริงเห็นจงั ดงั จงู มือไปเห็นกบั ตา

(๒) สมาทปนา ชวนใจให้อยากรับไปปฏิบัติ คือสิ่งใดควรปฏบิ ตั ิหรือหดั ทา ก็แนะนา หรือ
บรรยายใหซ้ าบซ้ึงในคุณค่า มองเห็นความสาคญั ท่ีจะตอ้ งฝึ กฝนบาเพญ็ จนใจยอมรับอยากลงมือทา
หรือนาไปปฏบิ ตั ิ

๙ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธวิธีในการสอน, พิมพ คร้ังที่ ๘ (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก,
๒๕๔๔), หนา้ ๔๗.

๑๐ สุมน อมรวิวฒั น์ .สมบัติทิพย ของการศึกษาไทย, พิมพ์คร้ังที่ ๒. (กรุงเทพเทพมหานคร :

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๕) หนา้ ๑๗๓-๑๗๔.
๑๑ ประสาร ทองภกั ดี. กลวิธีสอนตามแนวพุทธศาสตร์. ศึกษาศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์ ภาคที่ ๒

ระบบการเรียนการสอน. กรุงเทพมหานคร: สานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ, ๒๕๒๖), หนา้ ๑๒๒-
๑๒๕.

๑๒พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธวิธใี นการสอน, พิมพ คร้ังที่ ๘ (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก,
๒๕๔๔), หนา้ ๑๕๘.

๑๘๘

(๓) สมุตเตชนา เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า คือปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้น เกิดความ
อตุ สาหะ มีกาลงั ใจแข็งขนั มนั่ ใจท่ีจะทา ใหส้ าเร็จจงได้ สูง้ าน ไมห่ วน่ั ระย่อ ไม่กลวั เหน่ือย ไม่กลวั
ยาก

(๔) สัมปหังสนา ปลอบชโลมใจให้สดช่ืนร่าเริง คือ บารุงจิตให้แช่มช่ืนเบิกบาน โดย
ช้ีใหเ้ ห็นผลดีหรือคุณประโยชน์ที่จะไดร้ ับและทางที่จะกา้ วหนา้ บรรลุผลสาเร็จยงิ่ ข้ึนไป ทาใหผ้ ฟู้ ัง
มคี วามหวงั และร่าเริงเบิกบานใจ

สรุปไดว้ ่า วิธีการสื่อสารหรือการสอนแบบธรรมสากจั ฉา เป็นวธิ ีสอนหน่ึงท่ี (๑) ส่งเสริม
ให้ผฟู้ ังเกิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (๒) มุ่งเกิดกระบวนการคิด (๓) รู้จกั วิเคราะห์ประเมินค่า เห็น
คุณค่า (๔) มกี ารแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปราย การคิดคดั คา้ นหรือคลอ้ ยตาม (๕) รู้จกั
การจาแนกแยกแยะ รวมท้ังการจัดหมวดหมู่หรือการจดั ประเภทไปพร้อมกนั และนา ความรู้
ความคิด ความเขา้ ใจจนสรุปเป็นแนวคิดอนั จะนาไปสู่ความคิดรวบยอดได้ และนาความรู้มาสู่การ
ปฏบิ ตั ิไดใ้ นชีวติ จริง

๖.๔ ปาฐกถา

ปาฐกถา มาจากคาว่า ปาฐ + กถา ในภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ปาฐ แปลว่า เนือ้ ความทก่ี ล่าว
บทความ ส่วน กถา แปลวา่ ถ้อยคาํ เรื่องราว คาํ พูด

ปาฐกถา ในภาษาไทยใช้ หมายถึง เรื่องราวหรือการบรรยายทางวิชาการที่มีผบู้ รรยายในท่ี
ชุมนุมชนหรือในหอ้ งเรียนช้นั อดุ มศึกษา ตรงกบั คาในภาษาองั กฤษว่า lecture เช่น เมือ่ วานมคี นไป
ฟังปาฐกถากนั เตม็ หอประชุมทีเดียว

คาวา่ ปาฐกถา ใชเ้ ป็นคากริยาก็มี เช่น รู้ไหมวนั น้ีใครจะมาปาฐกถา ผทู้ ่ีแสดงปาฐกถาใชว้ ่า
ผปู้ าฐกถา หรือ ผแู้ สดงปาฐกถา๑๓

การแสดงปาฐกถา คือ การพดู ถึงความรู้ ความคดิ นโยบาย แสดงเหตุผล และส่ิงท่ีน่าสนใจ
ผทู้ ่ีแสดงปาฐกถา ยอ่ มตอ้ งมีความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างแทจ้ ริงในเร่ืองน้ัน ๆ การแสดงปาฐกถา
ไม่ใช่การสอนวิชาการ แต่มีข้อเสนอแนะ หรือข้อคิดเห็นสอดแทรก และไม่ทาให้บรรยากาศ
เคร่งเครียด

๑๓ บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ศาสตราจารยพ์ ิเศษ จานง ทองประเสริฐ ออกอากาศทางสถานี
วทิ ยกุ ระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมอ่ื วนั ที่ ๒๒ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๐๗.๐๐-๐๗.๓๐ น.

๑๘๙

ส่วนปาฐกถาธรรมคือ การพูดที่มีเนื้อหาปรารภหลักธรรม เพ่ือให้ผฟู้ ังนาไปใชเ้ ป็ นหลกั
ปฏิบตั ิในการดาเนินชีวติ ใหเ้ กิดสติปัญญา เขา้ ใจชีวิต เขา้ ใจสงั คม รู้เท่าทนั สถานการณ์ ไม่ตกเป็ น
ทาสของอารมณ์ท่ีใฝ่ ต่า และมงุ่ เนน้ ใหเ้ กิดความสุข ความจรรโลงใจแก่ผฟู้ ังทุกระดบั

๑) ประเภทของปาฐกถา
ปาฐกถา มี ๒ ประเภท ดงั น้ี
(๑) ปาฐกถาเชิงวชิ าการ ผพู้ ูดจะเน้นเน้ือหาวิชาการตามหวั ขอ้ ที่ไดร้ ับเชิญ มีการนาเสนอ
อยา่ งเป็นระบบ มหี ลกั ฐานอา้ งอิงชดั เจน ผฟู้ ังสามารถจะนาไปเป็นขอ้ มลู ศกึ ษาคน้ ควา้ เพ่มิ เติมได้
(๒) ปาฐกถาที่ให้ความรู้ทว่ั ไป ผพู้ ดู จะไมเ่ นน้ หลกั การในเชิงวิชาการแต่จะมุง่ ให้เกิดความ
จรรโลงใจ ใช่ลลี าการพดู ท่ีเป็นกนั เอง เลา่ เรื่องจากความรู้และประสบการณ์ท่ีคุน้ เคยกบั สถาบนั หรือ
หน่วยงานน้นั ๆ พร้อมสอดแทรกขอ้ คิดเห็นพอสมควร
๒) หลกั การแสดงปาฐกถา
มีหลกั การแสดงปาฐกถาดงั น้ี

(๑) พดู ตรงตามหวั ขอ้ กาหนด
(๒) เน้ือหาสาระใหค้ วามรู้ มีคาอธิบายตวั อยา่ งใหฟ้ ังเขา้ ใจไดร้ วดเร็ว
(๓) สร้างทศั นคติที่ดีต่อเร่ืองท่ีพดู

๑๙๐

ตวั อย่างปาฐกถา เรื่อง“สมบตั ขิ องนกั พดู ”

โดย หลวงวจิ ติ รวาทการ

แสดงทางวทิ ยกุ ระจายเสียง

วนั อาทิตย์ท่ี ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๔

-----------------------

ท่านผฟู้ ังท้งั หลาย

ขา้ พเจา้ เริ่มปาฐกถาดว้ ยการขออภยั ว่า ขอ้ ความท่ีขา้ พเจา้ จะกล่าวต่อไปในวนั น้ี เป็ นเร่ืองท่ี
เก่ียวกบั ตวั ขา้ พเจา้ เองท้งั หมด การพดู ถึงตวั เองเป็ นของไม่ดี เพราะเป็นการยกตวั อวดตวั อะไรต่าง
ๆ แต่ถา้ หากขา้ พเจา้ จะไม่พดู ถึงเร่ืองของตวั เองในวนั น้ี ปาฐกถาเร่ือง “สมบัตขิ องนักพูด” ก็จะไม่
เป็ นปาฐกถาข้ึนได้ เพราะขา้ พเจา้ ไม่เคยได้เรียนวิชาการพูดจากโรงเรียนใด และไม่ได้ศึกษา
ตารับตาราจริงจงั ในเรื่องน้ี เรื่องที่ขา้ พเจา้ จะไดน้ ามากล่าวในวนั น้ี ก็มีแต่ไดเ้ คยประสบไดเ้ คยใช้
และฝึ กฝนตนเองมาเท่าน้นั

มีคนหลายคนกลา่ ววา่ ขา้ พเจา้ พดู เก่ง ขา้ พเจา้ ไมเ่ คยนึกวา่ ขา้ พเจา้ พดู เก่งจริงดงั เขาวา่ แต่เมือ่
ทางราชการไดย้ อมรับในขอ้ น้ี ถึงกบั ใหร้ าชทินนามแก่ขา้ พเจา้ “วจิ ติ รวาทการ” ซ่ึงแปลว่า พูดเก่ง
พูดเพราะ ดงั น้ีแลว้ ขา้ พเจา้ เองตอ้ งขวนขวายในวิชาการพดู ใหม้ ีติดตวั ไวบ้ า้ ง เพ่ือใหส้ มกบั ราชทิน
นาม ในเวลาน้ี ขา้ พเจา้ จะพดู เก่งสกั เพียงไรขา้ พเจา้ ไมท่ ราบ แต่ขา้ พเจา้ ทราบอยเู่ พยี งอยา่ งเดียวว่า
ขา้ พเจา้ ไม่ไดเ้ ป็นคนพดู เก่งมาแต่เดิม ตรงกนั ขา้ มธรรมชาติกลบั ขดั ขวางการพูดของขา้ พเจา้ ไวแ้ ต่
เดิมดว้ ย ขา้ พเจา้ เป็นคนติดอา่ งมาแต่กาเนิด และเป็นเอามากดว้ ย บิดามารดาไดพ้ ยายามแกไ้ ขมาแต่
เล็กแต่น้อยก็ไม่สาเร็จ จนกระท่ังถึงเวลาที่ข้าพเจ้าแกไ้ ขตวั เองได้ ความเป็ นคนติดอ่างจึงไดล้ ด
นอ้ ยลง และลงทา้ ยก็รู้ว่า การติดอา่ งเก่ียวกบั เสน้ ประสาทมากกวา่ อยา่ งอ่ืน เวลาใดเส้นประสาทของ
ขา้ พเจา้ สงบและมนั่ คง รู้สึกเป็นนายอยา่ งแทจ้ ริงแลว้ ในเวลาน้นั ขา้ พเจา้ พดู ไมต่ ิดอา่ งเลยสกั คาเดียว
แต่ถา้ เกิดมีความประหม่าข้ึนมาเม่ือไร ขา้ พเจา้ กพ็ ดู ติดอา่ งข้ึนทนั ที และพอเร่ิมติดอ่างกร็ ู้สึกกระดาก
ความกระดากอนั น้ียงิ่ ทาใหต้ ิดอ่างมากข้ึน อีกประการหน่ึงถา้ หากว่าในเวลาพดู พยายามทาถอ้ ยคา
ใหห้ นกั แน่น พดู เป็นจงั หวะเป็ นตอนโดยสมา่ เสมอไปแลว้ ก็ไม่ติดอ่างพอพดู เร็วหรือ รีบเร่งอะไร
เขา้ แลว้ ก็ติดอา่ งทนั ที

ฉะน้นั ขา้ พเจา้ จึงใชว้ ิธีแกอ้ า่ ง ๒ ประการ คือ ๑. พยายามทําให้พูดหนักแน่นเป็ นจังหวะ
อย่างสมา่ํ เสมอ และ ๒. พยายามเป็ นนายตวั เอง และมดี วงจิตแน่วแน่อยู่เสมอ ไมว่ ่าในเวลาพูดกบั
ใคร ๒ ประการน้ี เป็ นยาขนานเอกที่ดีที่สุดท่ีแกอ้ ่างของขา้ พเจา้ เกือบหาย น่ีเป็ นเรื่องส่วนตวั
ของขา้ พเจา้


Click to View FlipBook Version