๑๙๑
เรื่องหน่ึงท่ีขา้ พเจา้ จะนามาบรรยายและท่านผฟู้ ังจะเห็นไดว้ ่า ถงึ แมจ้ ะเป็ นเรื่องส่วนตวั กไ็ ม่
ไร้ประโยชน์สาหรับผฟู้ ังเสียทีเดียว ถา้ บรรดาท่านผฟู้ ังมใี ครติดอ่างอยบู่ า้ ง ขา้ พเจา้ ขอแนะนาใหใ้ ช้
วิธี ๒ประการท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ ซ่ึงขา้ พเจา้ เห็นเป็ นยาขนานประเสริฐสุดสาหรับแกโ้ รคติดอ่าง
และต่อไปน้ีขา้ พเจา้ จะพดู ถึงสมบตั ิของนกั พดู ต่อไป
วิชาการพูดเป็ นศิลปะอนั สาคญั อนั หน่ึง และผทู้ ี่เป็ นนักพูดก็ต้องนับว่าเป็ นผมู้ ีศิลปะอนั
ประเสริฐอนั หน่ึงเหมือนกนั นกั พดู เป็ นบุคคลจาพวกหน่ึงซ่ึงทาใหโ้ ลกน้ีเป็ นที่รื่นรมย์ นักพูดท่ีดี
ยอ่ มสามารถจะดบั ความทุกข์และให้ความสุขแก่คนท้งั หลายโดยการปลุกหรือปลอบหวั ใจ ดว้ ย
คาพูดอนั ฉลาดของเขา การที่นกั พดู เป็ นท่ีพอใจของคนท้งั หลายน้นั ก็เพราะเหตุว่าเขาไดใ้ ชค้ าพูด
ของเขาเป็นเคร่ืองทาความสุขความรื่นรมยใ์ หแ้ ก่บุคคล อนั ท่ีจริง คนเราที่เกิดมาในโลก เราจะเห็น
โลกเป็นที่สว่าง คนที่ใจข่นุ มวั อยเู่ สมอก็จะเห็นโลกเป็นที่มืด แต่ในขณะที่หวั ใจของเรากาลงั ข่นุ มวั
หรือทอ้ ถอ้ ยหมดมานะอยอู่ ย่างน้ี คาพดู ของนกั พดู ท่ีดี ๆ ยอ่ มจะเป็ นยาอนั ประเสริฐสาหรับชโลม
หวั ใจ พระพุทธเจา้ เป็นนกั พดู ท่ีประเสริฐสุดองคห์ น่ึงของโลก ใครจะเศร้าโศกทุกขร์ ้อนข่นุ หมอง
อยา่ งไร ถา้ ไดเ้ ขา้ ไปถึงพระองคแ์ ลว้ ความเศร้าโศกและขุ่นหมองน้นั ก็พลนั หาย และความสุขความ
สบายก็จะเกิดข้ึนมาแทนท่ี เพราะเหตุน้ี วชิ านกั พดู จึงเป็นศลิ ปะอนั สาคญั และมีประโยชน์อยา่ งยงิ่
อนั หน่ึงของโลก… ฯลฯ
ยงั เหลือขอ้ ความสาคญั อีกประการหน่ึงคือ ท่าทาง มีคนโดยมากเขา้ ใจผิดไปว่าการออก
ท่าทางประกอบคาพูดให้มาก ๆ น้ัน เป็ นการดี แทจ้ ริงการออกท่าทางมาก ๆ น้ัน กลบั จะทาให้
คาพูดเสียไป ขา้ พเจา้ เคยเขา้ ประชุมนานาประเทศคร้ังใหญ่ ๆ มามาก และสงั เกตเห็นดว้ ยตาตนเอง
วา่ นกั พดู ที่เก่งท่ีสุดน้นั เขามีท่าทางนอ้ ยที่สุด เขาระวงั ตวั ไม่ใหโ้ ยกโคลง จะมกี ารเคล่ือนไหวก็
แต่เลก็ นอ้ ย เพราะการเคล่อื นไหวเหลา่ น้นั ก็มีอาการหนกั แน่นอยใู่ นตวั เสมอ
ขา้ พเจา้ ขอจบปาฐกถาเรื่อง “สมบตั ขิ องนกั พดู ” เพียงเท่าน้ี ถา้ หากจะเป็นประโยชนแ์ ก่ท่าน
บา้ ง ขา้ พเจา้ ก็จะยนิ ดี แต่ถา้ ไมเ่ ป็นประโยชนอ์ ะไรเลยก็จะไมเ่ สียใจ เพราะขา้ พเจา้ ไดท้ าหนา้ ท่ีของ
ขา้ พเจา้ บริบูรณ์แลว้
๖.๕ บรรยาย
การบรรยาย คือ การพูดที่มีจุดมุ่งหมายเพ่ือช้ีแจงหรืออธิบายเรื่องราวตามเน้ือหาที่กาหนด
และเป็ นวิธีการพูดที่ใชส้ าหรับการสอนหนงั สือ โดยผพู้ ูดจะต้งั ประเด็นศกึ ษาและถา่ ยทอดความรู้
ไปสู่ผฟู้ ัง และเพื่อความเขา้ ใจที่แจ่มชดั ผพู้ ดู อาจใชส้ ื่อหรืออปุ กรณ์ประกอบการบรรยายตามความ
เหมาะสมของเน้ือหาวชิ าดว้ ยกไ็ ด้
การบรรยาย คือวิธีสอนท่ีทรงใชใ้ นการแสดงธรรมหรือท่ีประชุมใหญ่ ซ่ึงมีประชาชนหรือ
พระสงฆเ์ ป็นจานวนมาก และส่วนมากมพี ้ืนฐานความรู้ความเขา้ ใจกบั มีความเลือ่ มใสศรัทธาอยแู่ ลว้
๑๙๒
มาฟังเพ่ือหาความรู้ความเขา้ ใจเพมิ่ เติมและหาความสงบสุขทางจิตใจ นบั ไดว้ ่าเป็ นคนประเภทและ
ระดบั ใกลเ้ คียงกนั พอจะใชว้ ธิ ีบรรยายอนั เป็นแบบกวา้ ง ๆ ได้ ลกั ษณะพเิ ศษของพทุ ธวิธีสอนแบบน้ี
ที่พบในคัมภีร์บอกว่า ทุกคนท่ีฟังพระองค์แสดงธรรมอยู่ในที่ประชุมน้ัน แต่ละคนรู้สึกว่า
พระพุทธเจา้ ตรัสอย่กู บั ตวั เองโดยเฉพาะ ซ่ึงนับว่าเป็ นความสามารถอศั จรรยอ์ ีกอย่างหน่ึงของ
พระพทุ ธเจา้ ๑๔
การบรรยายธรรม คือ การพดู ท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อช้ีแจง หรืออธิบายหวั ขอ้ ธรรมตามเน้ือหาท่ี
กาหนด เพ่ือใหผ้ ฟู้ ังเกิดความรู้ ความเขา้ ใจที่ถกู ตอ้ งต่อหลกั คาสอนของพระพทุ ธเจา้ ส่งผลใหม้ ีการ
นาหลกั ธรรมเป็ นใชเ้ ป็ นหลกั ปฏิบตั ิในการดาเนินชีวิต ประพฤติตนเป็ นแบบอย่างที่ดีของสงั คม
และเป็ นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์
๑) หลกั การบรรยายธรรม
(๑) ควรใชห้ ลกั ธรรมสากจั ฉา คือ การสนทนาธรรม เป็นแนวทางในการบรรยาย
(๒) ควรใชล้ ลี าการพดู ใหเ้ หมาะสมกบั วยั ของผฟู้ ัง
(๓) ควรใชน้ ้าเสียงที่สุภาพ ชวนฟัง ไม่ดงั หรือค่อยจนเกินไป
(๔) ควรใชค้ าพูดว่า “ควรทา ควรพูด ควรคิด” ไม่ควรใชว้ ่า “จงทา จงพูด จงคิด”
เพราะธรรมะเป็นเรื่องของจิตใจ ใหป้ ระพฤติดว้ ยตนเอง เป็นของบุคคลผมู้ ีจิตศรัทธา ไมใ่ ช่
ขอ้ บงั คบั ใหต้ อ้ งปฏิบตั ิตาม
๒) การใช้ส่ือประกอบการบรรยาย
การใชส้ ่ือประกอบการบรรยายสื่อที่ใชป้ ระกอบการบรรยาย จะช่วยให้ผฟู้ ังมองเห็นภาพ
เขา้ ใจง่าย และเกิดความกระตือรือร้น ดงั น้นั สื่อที่เลอื กใชค้ วรมลี กั ษณะ ดงั น้ี
(๑) ผฟู้ ังสามารถมองเห็นและไดย้ นิ อยา่ งชดั เจน
(๒) สร้างแผนผงั หรือแผนภมู ิไดส้ ดั ส่วนกบั ของจริง
(๓) สามารถดึงดูดความสนใจของผฟู้ ังไม่ใหห้ นั เหไปเอาใจใส่กบั สิ่งอ่นื
(๔) สะอาด เรียบร้อย มปี ระสิทธิภาพ และเกิดการบรู ณาการทางความรู้
๑๔ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พุทธวิธีในการสอน, หนา้ ๔๖
๑๙๓
๖.๖ อภปิ ราย
การอภิปราย คือ การพูดช้ีแจงแสดงความคิดเห็น เกิดจากการท่ีบุคคลกลุ่มหน่ึงมีความ
สนใจท่ีจะพิจารณาปัญหาเรื่องใดเร่ืองหน่ึง หรือตอ้ งการปรึกษาหารือ ออกความคิดเห็นร่วมกนั เพ่ือ
แกป้ ัญหาหรือแลกเปล่ียนความรู้ ความคิดเห็นอยา่ งเป็นระบบและมจี ุดมงุ่ หมาย
การอภิปรายธรรม หมายถึง การพดู ช้ีแจงแสดงความคิดเห็นดว้ ยการปรารภหลกั ธรรมใน
ลกั ษณะธรรมสากัจฉา เพ่ือแลกเปล่ียนความรู้ และประสบการณ์จากการนาหลกั คาสอนของ
พระพุทธเจา้ ไปประพฤติปฏิบตั ิ เพ่ือใหผ้ ฟู้ ังนาความรู้ท่ีไดร้ ับไปใชเ้ ป็ นแนวทางในการแกป้ ัญหา
ชีวติ และแกป้ ัญหาต่าง ๆ ของชุมชนโดยมีธรรมะเป็นบรรทดั ฐาน
๑) ลกั ษณะของการอภปิ ราย
(๑) เป็นการแลกเปลย่ี นความรู้ นาเสนอแนวคิด และวธิ ีการแกป้ ัญหา
(๒) เป็นการปรึกษาหารือของกลุ่มบุคคลท่ีสนใจปัญหาร่วมกนั
(๓) เป็นการเปิ ดโอกาสใหก้ ลุ่มบุคคลร่วมกนั คิดอยา่ งอสิ ระและมเี หตุผล
(๔) เป็นการระดมความคิดจากบุคคลหลายฝ่ าย เพื่อนามาแกป้ ัญหาอยา่ งถกู ตอ้ ง
(๕) เป็นการแพร่ความรู้ไปสู่ประชาชนไดอ้ ยา่ งทวั่ ถงึ
๒) ประโยชน์ของการอภปิ ราย
(๑) ผรู้ ่วมอภิปรายและผฟู้ ังไดท้ ราบขอ้ คิดเห็นจากบุคคลหลายฝ่ าย
(๒) เกิดทศั นะคติท่ีดี และพร้อมท่ีจะใหค้ วามร่วมมอื กนั แกไ้ ขปัญหาที่เกิดข้ึน
(๓) ไดร้ ับทราบขอ้ เทจ็ จริง และขอ้ เสนอแนะในหลายดา้ นในเวลาเดียวกนั
(๔) เป็นโอกาสที่จะแกไ้ ขความเขา้ ใจผดิ ของคนส่วนใหญ่ท่ีมีต่อปัญหาน้นั
(๕) เป็นการแสวงหาวธิ ีการแกป้ ัญหาท่ีดีท่ีสุด
๑๙๔
๖.๗ ปราศรัย
คาวา่ “ปราศรัย” น้ีมาจากภาษาสนั สกฤตว่า “ปฺรศฺรย” พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน
พ.ศ. ๒๕๔๒๑๕ ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่
น. การพดู ดว้ ยไมตรีจิต, การแสดงอชั ฌาสยั ในระหว่างผใู้ หญ่ต่อผนู้ ้อย หรือผทู้ ี่เสมอกนั ;
คาปรารภ.
ก. พดู ดว้ ยไมตรีจิต, พดู แสดงอชั ฌาสยั ระหวา่ งผใู้ หญ่ต่อผนู้ อ้ ย หรือผทู้ ่ีเสมอกนั ; ปรารภ.
คาว่า “ปฺรศฺรย” (ปฺระ-สฺ-ระ-ยะ) นอกจากจะแปลว่า “พดู ดว้ ยไมตรีจิต, พดู แสดงอชั ฌาสัย
ระหว่างผใู้ หญ่ต่อผนู้ ้อยหรือผเู้ สมอกนั , ปรารภ” แลว้ ยงั หมายถึง “ความรัก, ความเสน่หา, ความ
เคารพ, ความมกี ิริยามารยาทเรียบร้อย” กไ็ ด้
คาว่า “ปราศรัย” น้ัน เขมรก็เกบ็ ไวเ้ หมือนกนั แต่ใช้ ส เสือ คือเขาเขียนเป็ น “ปรฺ าสฺรัย” (ปฺ
รอซฺรัย) แปลว่า “ความรัก ความเคารพนับถือ” แสดงว่าคาน้ี เขมรก็ได้ไปจากภาษาสันสกฤต
เช่นเดียวกนั
แต่คาวา่ “ปราศรัย” ในความหมายวา่ “ความรัก, ความเคารพนบั ถือ” ที่ใชโ้ ดด ๆ ตามลาพงั
น้นั เราไม่ใชก้ นั ถา้ จะใชใ้ นความหมายน้ี กจ็ ะตอ้ งใชค้ ู่กบั “ปรานี” เสมอ และมกั ใชใ้ นความหมาย
ปฏเิ สธดว้ ย ถา้ ใชต้ ามลาพงั ก็หมายถงึ “พูดด้วยไมตรีจติ ” เสียเป็นส่วนใหญ่๑๖
คาปราศรัย มีลกั ษณะคลา้ ยการแสดงสุนทรพจน์ในดา้ นเน้ือหา ภาษา และทศั นคติของผู้
กลา่ ว ซ่ึงสามารนาไปปฏบิ ตั ิได้ คาปราศรัยเป็นการพดู ที่เป็ นพิธีการจึงตอ้ งมกี ารตระเตรียมมาก่อน
เป็นอยา่ งดี
๑) ลกั ษณะของคาํ ปราศรัย
(๑) พดู ถงึ ความสาคญั ของโอกาสน้นั
(๒) เนน้ ความสาคญั ของสิ่งน้นั ๆ
(๓) ช้ีแจงความสาเร็จ หรือผลงานที่ผา่ นมา
๑๕ ราชบัณ ฑิ ตยสถาน. พ จนานุ กรม ฉบั บราชบั ณ ฑิ ตยสถาน พ .ศ. ๒ ๕๔ ๒ ,พิมพ์คร้ั งท่ี ๑
(กรุงเทพมหานคร: นามมบี ค็ ส์พบั ลเิ คชนั ส์, ๒๕๔๖) หนา้ ๖๗๐.
๑๖ จานงค์ ทองประเสริฐ, ภาษาไทยไขขาน. (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์แพร่พิทยา. ๒๕๒๘),
หนา้ ๑๙๔-๑๙๖.
๑๙๕
(๔) กล่าวถึงอดีต ปัจจุบนั และความหวงั ในอนาคต และอวยพรใหเ้ กิดความหวงั
ใหม่ ๆ
๖.๘ สุนทรพจน์
คาวา่ “สุนทรพจน์” ตามพจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕๑๗ ไดใ้ หค้ าอา่ น
ไวว้ า่ “สุน-ทอ-ระ-พด” หรือ “สุน-ทอน-ระ-พด” และใหค้ วามหมายว่า “คาํ พูดทปี่ ระธานหรือบุคคล
สําคญั เป็ นต้น กล่าวในพิธีการ หรือโอกาสสําคัญต่าง ๆ เช่น นายกรัฐมนตรีกล่าวสุนทรพจน์ในท่ี
ประชุมใหญ่สหประชาชาต”ิ
ถา้ แปลตามตวั อกั ษร “สุนทร” แปลว่า งาม ดี ไพเราะ ส่วน “พจน์” ก็แปลว่า “คําพูด
ถ้อยคาํ ” ดงั น้นั คาว่า “สุนทรพจน์” จึงแปลตรงตวั วา่ “คาํ พูดทีไ่ พเราะ งดงาม คาํ พดู ท่ีดี”
การกล่าวสุนทรพจน์ในโอกาสสาคัญจึงเป็ นการพูดในสิ่งที่ดีงาม ให้คนฟังฟังแลว้ เกิด
ความรู้สึกท่ีดี เวน้ แต่นักการเมืองบางคน ไม่ว่าระดบั ไหน ท้งั ในประเทศหรือระดบั โลก มกั ถือ
โอกาสโจมตีผูอ้ ่ืนหรือฝ่ ายอ่ืน แมก้ ารกล่าวในการประชุมสหประชาชาติก็เถอะ บางทีก็ดูไม่
“สุนทร” นกั
ดงั น้ัน สุนทรพจน์ หมายถึง คาํ พูดท่ีดีงาม ไพเราะจบั ใจ การพูดสุนทรพจน์มกั มีในพิธี
สาคัญ เช่น พิธีต้อนรับแขกเมืองคนสาคัญ พิธีได้รับตาแหน่งสาคัญ เช่น นายกรัฐมนตรี
ประธานาธิบดีหรือกล่าวในงานฉลองระลึกถึงบุคคลสาคญั วนั สาคญั ระดบั ชาติ หรือเป็ นการกลา่ ว
ในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง เพ่ือสร้างสรรคจ์ รรโลงใจ เป็นคาพูดท่ีแสดงความปรารถนาดีในทางการเมือง
การกลา่ วสุนทรพจนเ์ ป็นเรื่องสาคญั ยงิ่ มกั ไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นการพดู ช้นั ยอด
๖.๘.๑ โครงสร้างสุนทรพจน์
การสร้างโครงเรื่อง หรื อโครงสร้างสุนทรพจน์ ประกอบด้วย ๓ ข้ันตอนใหญ่ ๆ
ดว้ ยกนั คือ ๑) คาํ นาํ หรือการเร่ิมต้น
หลกั ในการข้ึนตน้ สุนทรพจน์ท่ีดี ๕ ประการคือ
(๑) ข้ึนตน้ แบบพาดหวั ข่าว
(๒) ข้ึนตน้ ดว้ ยคาถาม
๑๗ราชบณั ฑติ ยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, หนา้ ๑๒๐๕.
๑๙๖
(๓) ข้ึนตน้ ดว้ ยการทาใหผ้ ฟู้ ังสงสยั
(๔) ข้ึนตน้ ดว้ ยการอา้ งบทกวหี รือวาทะของผมู้ ชี ื่อเสียง
(๕) ข้ึนตน้ ใหส้ นุกสนาน
๒) ข้อพงึ หลกี เลย่ี งในการขึ้นต้น
(๑) อยา่ ออกตวั
(๒) อยา่ ขออภยั
(๓) อยา่ ถ่อมตน
(๔) อยา่ ออ้ มคอ้ ม
๓) หลกั ในการขึน้ ต้นมอี ยู่ว่า
(๑) ข้ึนตน้ แบบพาดหวั ข่าว (Headline)
(๒) ข้ึนตน้ ดว้ ยคาถาม (Asking Question)
(๓) ข้ึนตน้ ดว้ ยการทาใหผ้ ฟู้ ังสงสยั (Interest Arousing)
(๔) ข้ึนตน้ ดว้ ยการอา้ งบทกวี หรือวาทะของผมู้ ชี ื่อเสียง
(Quousing)
(๕) ข้ึนตน้ ใหส้ นุกสนาน (Entertainment)
๔) เนือ้ เร่ือง หรือสาระสาคญั ของเรื่อง มหี ลกั การและข้นั ตอน ดงั น้ี
(๑) พดู ตามลาดบั เหตุการณ์ วนั เวลา และสถานที่
(๒) เนน้ จุดมุง่ หมายเดียว จุดเดียว ประเด็นเดียว
(๓) อยา่ ใหเ้ น้ือหาขดั กนั หรือคา้ นกนั เอง
(๔) อยา่ ออกนอกประเด็น
(๕) พร้อมตดั ทอนหรือขยายความได้
(๖) ใชถ้ อ้ ยคา ภาษา น้าเสียง สายตา ท่าทาง ใหส้ อดคลอ้ งกบั เน้ือเรื่อง
๑๙๗
(๖) ยกตัวอย่างรูปธรรมประกอบเสมอเพราะจะทาให้ผฟู้ ังเห็นภาพพจนและเขา้ ใจ
ง่ายข้ึน
๕) สรุปจบหรือการลงท้าย
การสรุปจบท่ีดีน้นั จะตอ้ งประกอบดว้ ยหลกั การ ดงั น้ี
(๑) มคี วามหมายชดั เจน
(๒) ไม่เล่ือนลอย
(๓) สมั พนั ธก์ บั เน้ือเรื่องและหวั ขอ้ เรื่อง
(๔) กะทดั รัด ไมเ่ ยนิ่ เยอ้
(๕) พุ่งข้ึนสู่จุดยอดของสุนทรพจน์
๖) ข้อพงึ หลกี เลย่ี งในการสรุปจบ
(๑) ขอจบ ขอยตุ ิ
(๒) ไมม่ ากก็นอ้ ย
(๓) ขออภยั ขอโทษ
(๔) ขอบคุณ
หลกั ในการสรุปจบมีอยู่ว่า มีความหมายชัดเจน ไม่เลื่อนลอยสัมพนั ธ์กบั เน้ือเรื่อง และ
หวั ขอ้ เร่ือง กระทดั รัดไมเ่ ยน่ิ เยอ้ พุ่งข้ึนสู่จุดสุดยอดของสุนทรพจน์
ดงั น้นั จึงมวี ธิ ีสรุปจบที่ไดผ้ ลมแี นวทางใหย้ ดึ ถือเป็นบรรทดั ฐาน ๕ ประการ คือ
(๑) จบแบบสรุปความ
(๒) จบแบบฝากใหไ้ ปคิด
(๓) จบแบบเปิ ดเผยตอนสาคญั
(๔) จบแบบชกั ชวนและเรียกร้อง
(๕) จบดว้ ยคาคม คาพงั เพย สุภาษิต
๑๙๘
ในวงการพดู น้ีถึงกบั ใหท้ ่องเป็ นสูตรกนั ไวเ้ ลยว่า “ข้ึนตน้ ใหต้ ่ืนเตน้ ตอนกลางใหก้ ลมกลืน
สรุปจบใหจ้ บั ใจ หรือวา่ ตน้ ตื่นเตน้ กลางกลมกลืน จบจบั ใจ๑๘
๗) การใช้ภาษาในการกล่าวสุนทรพจน์
ผเู้ ขียนเคยไปเป็ นกรรมการตดั สินการประกวดการกล่าวสุนทรพจน์มาบ้าง ท้ังในระดบั
นักเรียนนักศึกษา และระดบั ประชาชน ไดเ้ ห็นการกล่าวสุนทรพจน์ของผทู้ ี่มากล่าว เข้าใจผิด
วตั ถุประสงค์และเขา้ ใจผิดว่า การกล่าวสุนทรพจน์เป็ นการปลุกระดม หรือเป็ นการบอกกล่าว
เหมือนผปู้ ระกาศข่าวทางโทรทศั น์ หรือเขา้ ใจว่าเป็ นการแสดงเสมือนละครพดู จึงมีทาเสียงเน้น
อารมณ์ก็มี พดู โจมตีผอู้ ื่นก็มี จึงใคร่ขอนาจุดบกพร่องเท่าท่ีพอจะจาไดม้ าเล่าสู่กนั ฟัง (อ่าน) บาง
ประการดงั น้ี
ประการที่ ๑ ตีกระทู้ไม่แตก เหมือนการเขียนเรียงความ เมื่อตีกระทูผ้ ิด เน้ือหาก็พลอย
บกพร่องเพราะไมถ่ กู เร่ืองท่ีกรรมการตอ้ งการ ทาใหไ้ ดค้ ะแนนนอ้ ยหรือตกรอบไปไดเ้ ลย
ประการท่ี ๒ เข้าใจเรื่องการกล่าวสุนทรพจน์ผิด ดงั ที่ว่ามาแลว้ คือเขา้ ใจวา่ เป็ นการปลุก
ระดมบา้ ง หาเสียงบา้ ง โจมตีผอู้ ่ืนบา้ ง หรือเขา้ ใจผิดว่าเหมือนการอ่านข่าวหรือรายงานข่าว จึงใช้
วธิ ีการอยา่ งนกั การเมืองอยา่ งนกั ปลุกระดมอยา่ งผอู้ ่านข่าวหรือรายงานข่าว จึงกลา่ วไดไ้ ม่ “สุนทร”
ท้งั เน้ือหาของเรื่องและลีลาการพดู หรือทาเสียงเนน้ อารมณ์อยา่ งละครวิทยโุ ทรทศั น์ ซ่ึงไม่ใช่วธิ ีการ
กล่าวสุนทรพจน์ที่ถกู ตอ้ งแทจ้ ริงแลว้ ตอ้ งกล่าวอยา่ งเรียบง่าย ชดั เจน มุ่งเน้ือหาที่ส่ือให้ผฟู้ ังได้
เน้ือหาสาระท่ีดี เกิดความรู้สึกและความคิดอา่ นในทางท่ีดี
ประการท่ี ๓ การใช้ภาษา อาจมีท่วงทานองบรรยายโวหาร อาจมีสาธกโวหารบา้ งในเม่ือ
ตอ้ งการยกตวั อยา่ งหรือยกคาประพนั ธห์ รือสุภาษิตประกอบ แต่การยกมาประกอบ ตอ้ งใหผ้ ฟู้ ังไดร้ ู้
ดว้ ยวา่ ยกมาจากไหน โดยเฉพาะคาประพนั ธ์ ถา้ ยกของผอู้ ืน่ มาหรือแต่งเอง กต็ อ้ งบอกที่มาใหช้ ดั
ประการท่ี ๔ ภาษาท่ีใช้ควรถูกต้องตามหลักภาษาหรือไวยากรณ์ ไม่วกวนไปมาไม่เป็ น
ลาํ ดับ ใชภ้ าษาที่เป็นทางการ หากเป็นภาษาถน่ิ หรือภาษาต่างประเทศหรือเป็นศพั ทเ์ ฉพาะ ตอ้ งมวี ิธี
ใหผ้ ฟู้ ังทราบความหมายดว้ ย อาจอธิบายโดยตรงหรือโดยออ้ มอย่างมศี ิลปะ เพราะคนฟังย่อมคิดไม่
ทนั ผพู้ ดู ไดท้ ุกเร่ือง
๘) ข้อผดิ พลาดทีพ่ บในการกล่าวสุนทรพจน์
เพอ่ื ใหท้ ่านผอู้ ่านเห็นชดั เจนในขอ้ ผดิ พลาดท่ีเคยพบมากลา่ ว โดยไมล่ าดบั ความสาคญั ดงั น้ี
๑๘ วสันต์ พงศส์ ุประดษิ ฐ์. พลงั เพิม่ พลังพูด. (กรุงเทพมหานคร : ก.พลพิมพ,์ ๒๕๔๐), ๘๕ – ๑๐๘.
๑๙๙
๑. ใช้ คําผิด เช่น “ให้กับ” แทนที่จะใช้ “ให้ แก่” หรือใช้ “ภาพพจน์ ” แทนท่ีจะใช้ว่า
“ภาพลักษณ์” หรือ “จนิ ตภาพ” เหมือนที่คนทวั่ ไปสมยั น้ีชอบใช้ บางทีครูบาอาจารยท์ ี่สอนกส็ อน
ผดิ ๆ เช่นกนั
๒. ใช้ราชาศัพท์ผดิ ๆ เช่น ใช้ “ทรง” นาหนา้ คาท่ีเป็ นคากริยาราชาศพั ทอ์ ย่แู ลว้ เช่น ตรัส
โปรด เสดจ็ ประชวร ประพาส เสวย บรรทม ประทบั ฯลฯ หรือใช้ “พระบิดา” หรือ “พระมารดา”
ของส่ิงของธรรมดา เช่น การแพทย์ รถไฟ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ท่ีน่ากลวั มากที่สุดคือ “พระองค์ทรง
เป็ นพระบิดาของปวงชนชาวไทย” ท้งั ๆ ท่ี “ปวงชนชาวไทย” ไม่ไดเ้ ป็ น “พระบรมราชวงศ”์ สัก
หน่อย แทนที่จะใชว้ ่า “พระองค์ทรงเป็ นเสมือน (หรือ ย่ิงกว่า) พ่อของปวงชนชาวไทย” หรือ
“พระองคท์ รงเป็นเสมอื นพอ่ (แม)่ แห่งแผน่ ดิน” อาจพอฟังได้ ที่น่ากลวั เหาหรือกลากจะกินหวั มาก
ที่สุด คือเลียนแบบเพลงที่ว่า “พ่อของเรา” หรือ “แม่ของเรา” (“พ่อไดป้ ลูกต้นไมไ้ วใ้ หเ้ รา” หรือ
“ปลกู ตน้ ไมใ้ หแ้ ม่” แทนท่ีจะใชว้ า่ “ปลกู ตน้ ไมถ้ วายแมแ่ ห่งแผน่ ดิน”)
๓. การเอ่ยพระนามพระบรมวงศานุวงศ์เฉย ๆ โดยไม่มคี าํ นําหน้าพระนาม (ส่วนมากใน
บทประพนั ธท์ ่ีแต่งแสดงความเคารพในโอกาสสาคญั ) นอกจากเอ่ยพระนามเฉย ๆ แลว้ บางคร้ังยงั
ตดั เอาพระปรมาภิไธยหรือพระนามมาแค่บางส่วน ซ่ึงฟังหรืออา่ นดแู ลว้ เสมือนไม่เคารพ ยงิ่ ในการ
กล่าวสุนทรพจน์ไม่ควรใช้ภาษาพดู ซ่ึงไม่ใช่ภาษาราชการ เช่น พ่อหลวง ในหลวง สมเด็จแม่
สมเด็จยา่ ฯลฯ เพราะการกล่าวสุนทรพจน์น้ันเป็ นการพูดทางการ หรือภาษาราชการ (ถา้ จาเป็ นก็
ตอ้ งแสดงท่ีมาใหช้ ดั เช่น “ชาวเขาจึงเอย่ พระนามดว้ ยความเคารพวา่ “พ่อหลวง” หรือ “แม่ฟ้ าหลวง”
ฯลฯ)
๔. ใช้คาํ ท่ไี ม่ตรงกบั ความเป็ นจริง เช่น
“คนเราทุกคนลว้ นตอ้ งการ...” (เป็นไปไม่ไดว้ ่าทุกคนตอ้ งการ บางคนกอ็ าจไมต่ อ้ งการเป็ น
หรือมอี ยา่ งท่ีพดู )
“คนไทย ๖๐ ลา้ นคนต่างจอ้ งจบั อยหู่ นา้ จอโทรทศั น์” (ผดิ ความจริง เพราะจะรู้ไดอ้ ยา่ งไรว่า
คนไทยไดท้ าอยา่ งน้นั ท้งั ๖๐ ลา้ นคน ถา้ วา่ คนไทยจานวนไมน่ อ้ ย อาจจะฟังดูน่าจะเป็น)
“ธนาคารทุกแห่งตอ้ ง...” (ธนาคารบางแห่งกไ็ มเ่ ป็นอยา่ งที่กล่าวถงึ กไ็ ด)้
“ไม่มนี ้าจะกิน” (ภาษาพดู บางแห่งกใ็ ช้ กินน้า แต่ภาษาทางการคือ ด่ืม)
“พระเสโทจรดพ้ืน” เขา้ ใจว่าอาจจะต้งั ใจใหห้ มายถงึ พระเสโทไหลลงรดพ้นื (แต่กพ็ ูดเกิน
ความจริง ท่ีภาษาสมยั ใหม่ว่า “เวอร์” เพราะใคร ๆ ก็เห็นแต่พระเสโทเต็มพระพกั ตร์ หรือเกาะอยบู่ น
พระนาสิก)
๒๐๐
“ภยั ธรรมชาติที่เกิดจากน้ามือมนุษย”์ (อะไรท่ีเป็นธรรมชาติ น่าจะเกิดเอง ท่ีเกิดจากน้ามือ
มนุษยแ์ ลว้ ยงั จะเรียกภยั ธรรมชาติอกี หรือ)
“ประเทศไทยมีเอกราชเป็นเอกลกั ษณ์” (ไม่เขา้ ใจคาวา่ เอกลกั ษณ์ ซ่ึงหมายถงึ “ส่ิงท่ีมีหรือ
เป็ นลกั ษณะเฉพาะ” เอกราชเป็ นกนั หลายประเทศ ประเทศอ่ืนก็เป็ น ไม่ใช่ลกั ษณะเฉพาะของ
ประเทศไทยประเทศเดียว ตวั เลขไทยสิเป็นเอกลกั ษณ์อยา่ งหน่ึงของภาษาไทย)
๕. ใช้ภาษาพูดและภาษาแสลง เช่น เจอ แหง ๆ มนั เป็ นอะไรท่ี...ประมาณน้ัน ไม่สน นะ
ครับ นะคะ (สองคาน้ีแทรกเขา้ มาในประโยค บางคร้ังแทรกเขา้ มาในพระนามพระบรมวงศานุวงศ์
น่าราคาญและไมเ่ หมาะเป็นท่ีสุด) จงั หวดั โคราช (ไม่มีในแผนท่ีและไมใ่ ช่ชื่อที่เป็นทางการ)
๖. ใช้คาํ ฟ่ ุมเฟื อยโดยไม่จําเป็ น เช่น เร่ืองของ (เร่ืองอะไรก็เอ่ยช่ือไปเลย ไม่ตอ้ งมี “ของ”)
ในส่วนของ (“ส่วน” คาเดียวก็พอ) ดงั น้นั เอง (ไม่ตอ้ งมี “เอง”) นน่ั เอง (ตอ้ งเอ่ยถงึ ช่ือน้ีมาก่อน แลว้
ค่อยมาบอกว่า สิ่งน้ันก็คือสิ่งน้ี แลว้ จึงใช้ “นนั่ เอง” ย้าใหร้ ู้ว่าเป็ นสิ่งเดียวกนั ทุกวนั น้ีพวกเขียนคา
บรรยาย พอบรรยายเร่ืองต่าง ๆ ไม่รู้จะลงอยา่ งไร ก็ใส่ “นนั่ เอง” ลงไป ซ่ึงเป็นการใชภ้ าษาฟ่ ุมเฟื อย
น่าราคาญมาก) เหล่าน้ีเอง (ไม่จาเป็นตอ้ งมี “เอง” เช่นเดียวที่มคี นชอบพดู วา่ “หา้ บาทเอง” แทนที่จะ
พดู ว่า “ห้าบาทเท่าน้นั ” “เม่ือวานน้ีเอง” (ไม่ควรมี “เอง”) ถา้ บอกว่า “ของส่ิงน้ี ผมทาดว้ ยตนเอง”
พอสมเหตุสมผล) เรื่องน้ีน้นั (ไม่จาเป็นตอ้ งมี “น้นั ”) ทาการ มกี าร (สองคาน้ี นานทีมีสักแห่งกไ็ ด้
ไม่จาเป็นตอ้ งมกี ็ไดค้ วามกระชบั ดีอยแู่ ลว้ ) องคส์ มเด็จพระเจา้ อยหู่ วั (ไม่ตอ้ งมี “องค”์ ) ทรงเป็นองค์
พระประมขุ แห่งชาติ (ทรงเป็นประมขุ กพ็ อ)
๗. ขึ้นต้นประโยคโดยไม่มีป่ี มีขลุ่ย ว่า “ครับ” หรือ “ค่ะ” เหมือนพวกพิธีกรรายการ
โทรทศั น์ ซ่ึงน่าราคาญ ไม่ใช่แบบการพดู ท่ีดี
๘. ใช้ลกั ษณนามแบบฝรั่ง เช่น สองนกั กีฬา สามประเภท (ชนิด) กีฬา หา้ โจรร้าย แทนที่จะ
ใชแ้ บบไทยวา่ นกั กีฬาสองคน กีฬาสามประเภทหรือกีฬาสามชนิด
๙. ใช้คําไม่ถูกต้อง กํากวม เช่น พระเบ้ืองยุคลบาท (แทบเบ้ืองพระยุคลบาท) ทรงไม่
ตอ้ งการ (ไมต่ อ้ งพระประสงค)์ ตามแนวพระราชดารัส (น่าจะเป็ น “แนวพระราชดาริ” ซ่ึงหมายถึง
“แนวคิด”) พระราชดารัสคือ ถอ้ ยคาท่ีตรัสออกมาเป็ นคากลาง ๆ ไม่ใช่คาส่ังหรือช้ีแนะ) พระบรม
ราโชวาท (คือ โอวาท คาสง่ั สอนหรือคาช้ีแนะ เช่น พระบรมราโชวาทในการพระราชทานปริญญา)
รับสงั่ (พดู ) พระบรมราชโองการ (ประกาศเรื่องสาคญั เช่นโปรดเกลา้ ฯแต่งต้งั ตาแหน่งสาคญั )
๒๐๑
๑๐. การใช้บุพบท “กบั -แก่-แต่-ต่อ-สาหรับ-แห่ง-ของ ฯลฯ” มว่ั ไปหมด ท่ีสาคญั อะไร ๆ ก็
ใช้ “กบั ” ท้งั น้นั โดยเฉพาะ “ใหก้ บั ” ท่ีกลา่ วไวใ้ นขอ้ แรก บ่นมาต้งั มากมาย แต่ยงั ไม่หมดแค่น้ี หวงั
วา่ ผอู้ า่ นคงไดข้ อ้ คิดอะไรบา้ ง๑๙
ตวั อย่างสุนทรพจน์
ของ ฯพณฯ จอมพลถนอม กติ ตขิ จร นายกรัฐมนตรี
ในโอกาสเลยี้ งอาหารคา่ํ เพอื่ เป็ นเกยี รตแิ ก่ ฯพณฯ รองประธานาธบิ ดแี ห่งสมาพนั ธ์สวสิ และภริยา
กบั คณะ ณ ทาํ เนยี บรัฐบาล
วนั ท่ี ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๑๓
----------------------------------
ฯพณฯ รองประธานาธิบดี ฯพณฯ ท่านสุภาพสตรี และสุภาพบุรุษ
ข้าพเจ้ารู้สึ กยินดีและเป็ นเกียรติอย่างย่ิงท่ีได้มีโอกาสกล่าวต้อนรับ ฯพณฯ รอง
ประธานาธิบดีแห่งสมาพนั ธส์ วสิ และมาดามคเนกิ ในคืนวนั น้ี
ประเทศสวสิ เซอร์แลนดแ์ ละประเทศไทยมีความสมั พนั ธอ์ ยา่ งผาสุกและอบอุ่นมาเป็ นเวลา
ชา้ นาน และการมาเยอื นของ ฯพณฯ กเ็ ป็นสิ่งแสดงอกี ประการหน่ึงถงึ ความปรารถนา ในอนั จะใหม้ ี
การกระชบั มิตรภาพและความร่วมมือท่ีมีอย่มู านานระหว่างประเทศของเราท้งั สอง ขา้ พเจา้ หวงั ว่า
ฯพณฯ มาดามคเนกิ และคณะของท่าน คงจะไดร้ ับความสะดวกสบายระหว่างพานกั อยใู่ นประเทศ
น้ี
เรามีความชื่นชมยินดีกบั กาลงั ใจอนั แน่วแน่ และความชานาญการอย่างมีระเบียบของ
ประชาชนชาวสวิสผทู้ ่ีไม่รู้จกั ทอ้ ถอยงานฝีมอื อนั ละเอยี ดประณีตของชาวสวสิ เป็ นส่ิงมหัศจรรยใ์ น
ทางการผลิตในโลกทุกวนั น้ี และนาฬิกา ตลอดจนเครื่องกาหนดเวลา อนั เป็นท่ีนิยมชมชอบรู้จกั ใช้
กนั อยา่ งแพร่หลายในโลก
อน่ึง นโยบายเป็ นกลางอยา่ งแทจ้ ริง และการทาหน้าท่ีอยา่ งสร้างสรรคใ์ นกิจการระหว่าง
ประเทศของรัฐบาล ของ ฯพณฯ ท่ามกลางความฝันแปรของโลกท่ีกาลงั ประสบความยงุ่ ยากน้ีทาให้
๑๙ สุดสงวน. ภาษาที่ใช้ในการประกวดสุนทรพจน์ ฉบบั ที่ ๒๖๖๑ ปี ท่ี ๕๑ ประจาวนั อังคารที่ ๑๘
ตลุ าคม ๒๕๔๘. mailto:Nuttapongo @ thaicentral.com.
๒๐๒
ประชาชาติสวิสไดร้ ับความนิยมนับถอื อยา่ งจริงใจจากประชาชาติอื่น ๆ รวมท้งั ประเทศไทยซ่ึงได้
พยายามทาให้ประชาชาติต่าง ๆ มคี วามรู้สึกในอนั ที่จะเป็ นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ในส่วนภูมิภาคและ
นามาซ่ึงสนั ติและความสงบสุขต่อภาคพ้นื เอเชียตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ละแปซิฟิ ก
พวกเราในประเทศไทย ยงั มีเหตุผลสาคญั อกี ประการหน่ึงท่ีจะช่ืนชมยินดีต่อความผกู พนั
อยา่ งใกลช้ ิด และฉนั มติ ร กบั รัฐบาลของ ฯพณฯ และชนชาติสวิส เนื่องมาจากความจริงที่วา่
พระมหากษตั ริย์ ผทู้ รงเป็ นท่ีเทิดทูนของเรา ไดป้ ระทบั อย่ปู ระเทศสวิตเซอร์แลนด์อยู่
ตลอดเวลา
ส่วนใหญ่ ขณะท่ียงั ทรงพระเยาว์มีคนไทยผูม้ ีเกียรติ หลายคนได้รับการศึกษาต่อใน
สถาบนั การศกึ ษาช้นั สูง ณ ที่น้นั ยงิ่ กว่าน้นั สวิตเซอร์แลนดย์ งั เป็ นที่รู้จกั กนั ในดา้ นการมีส่วนช่วย
ส่งเสริมอยา่ งจริงจงั ต่อกิจการระหว่างประเทศอนั มปี ระโยชน์ ดงั เช่น สภากาชาดสากล ซ่ึงไดร้ ับ
การก่อต้งั และมีสานกั งานใหญ่อยทู่ ี่เจนิวา ดงั ที่ ฯพณฯ ไดท้ ราบอย่แู ลว้ ว่าสภากาชาดไดม้ ีบทบาท
อย่างสาคญั อย่ใู นประเทศไทย โดยมีสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็ นองค์สภา
นายกิ า
ท่านรองประธานาธิบดี ไทยเป็ นอีกประเทศหน่ึงซ่ึงกาลงั พฒั นา ความสบั สนคึกคกั ของ
กรุงเทพ ฯ ทางหลวงสายใหม่หลายสายและเขื่อนต่าง ๆ เป็ นพยานแสดงใหเ้ ห็นถึงความจริงน้ี
ความก้าวหน้าดังกล่าว มีผลมาจากการวางแผนเศรษฐกิจระยะยาวและจริ งจัง ซ่ึง
ความสาเร็จในการน้ี ข้ึนอยู่กบั ปัจจยั หลายประการ ส่ิงหน่ึงไดแ้ ก่ การลงทุนอย่างเพียงพอ และ
ดาเนินการไปอยา่ งเรียบร้อยสวิตเซอร์แลนดม์ ีชื่อเสียงมานานแลว้ ว่า เป็นศนู ยก์ ารเงินแห่งหน่ึงของ
โลก และในการน้ีอาจจะมีวิถที างท่ีจะร่วมมือเพ่ือประโยชน์ต่อกนั ระหว่างประเทศของเราท้งั สอง
ซ่ึงจะยงั มสี ่วนใหเ้ กิดความมีเสถียรภาพ และกา้ วหนา้ แก่ภมู ภิ าคสาคญั แห่งน้ีของโลก
บดั น้ี ขา้ พเจา้ ใคร่ขอเชิญชวนท่านท้งั หลายไดด้ ื่มอวยพรใหแ้ ก่ ฯพณฯ รองประธานาธิบดี
แห่งสมาพนั ธส์ วิสและมาดามคเนกิ และเพื่อความยงั่ ยืนในสัมพนั ธ์ฉนั มิตร และใกลช้ ิดระหว่าง
ประเทศสวิตเซอร์แลนดแ์ ละประเทศไทยสืบต่อไป
สรุปรวมความแลว้ การพูด การเทศน์ที่ดีน้นั จะตอ้ ง มีความรู้พอเพียง มีเสียงกงั วาล
มีปฎิภาณว่องไว มใี จใสสะอาด มมี ารยาทเรียบร้อย
๖.๙ สัมโมทนียกถา
สัมโมทนียกถา แปลว่า ถอ้ ยคาอันเป็ นที่บันเทิงใจ คาพูดท่ีทาให้ประทับใจ เรี ยกว่า
อนุโมทนากถา ก็ได้ สัมโมทนียกถา ใช้เรียกการท่ีภิกษุพูดแสดงความขอบคุณหรือกล่าวถึง
๒๐๓
ประโยชนแ์ ละอานิสงส์ของความดีหรือบุญกุศลท่ีทายกทายกิ าไดท้ า เช่นถวายอาหาร สร้างกฏุ ิ สร้าง
หอระฆงั ไวใ้ นพระพุทธศาสนาวา่ สมั โมทนียกถาเป็ นเหตุใหผ้ ทู้ าบุญน้นั เกิดความแช่มช่ืนเบิกบาน
เกิดความอ่ิมใจในผลบุญท่ีตนทาและปรารถนาจะทาบุญเพมิ่ พนู อีก๒๐
๑) ปาฏิหาริย์
ปาฏิหาริย์ แปลว่า สิ่งอศั จรรย์ ซ่ึงหมายความว่า มีความสาเร็จอย่างน่าอศั จรรย์ เพราะ
สามารถทาให้คนเกิดความรู้ถึงช้นั ปัญญา และมีการเปล่ียนแปลงไปไดถ้ ึงช้ันเป็ นพระอริยบุคคล
การสอนแบบปาฏหิ าริยน์ ้นั ในสมยั พุทธกาลพระพุทธเจา้ ทรงใชอ้ ยู่ ๓ วิธี คือ
(๑) วธิ ีอทิ ธิปาฏิหาริย์
การสอนวิธีอิทธิปาฏิหาริย์ คือ การใชค้ วามสามารถพิเศษของพระองค์ในการสอนวิธีน้ี
พระพุทธองคท์ รงใชก้ บั บุคคลประเภท บางโอกาส และทรงใชใ้ นกรณีท่ีจาเป็นเท่าน้นั การสอนวิธีน้ี
เห็นไดจ้ ากสอนชฏิล ๓ พนี่ อ้ ง ที่ปรากฏในมหาขนั ธกะ พระวินยั ปิ ฎก ความวา่
เม่ือพระองคส์ ่งสาวกท้งั ๖๐ รูป ออกไปประกาศพระศาสนา ส่วนพระองค์เองไดเ้ สด็จไป
ยงั อุรุเวลาเสนิคม ในระหว่างทางไดโ้ ปรดภทั ทวคั คียจ์ านวน ๓๐ รูป คร้ันถึงตาบลอุรุเวลาแลว้ ได้
เสด็จไปยงั อาศรมของอุรุเวลกสั สป ซ่ึงเป็นหวั หนา้ ชฏลิ ผบู้ ูชาไฟจานวน ๕๐๐ คน ไดข้ อพกั อาศยั อยู่
ณ ท่ีน้นั ในระหว่างน้นั ไดท้ รงเทศน์โปรด อุรุเวลกสั สปชฏิล ผถู้ อื ตนวา่ เป็นพระอรหนั ต์ และเขา้ ใจ
พระองค์ว่าไม่ได้เป็ นพระอรหันต์ โดยทรงแสดงปาฏิหาริยต์ ่าง ๆ เป็ นอนั มาก จนในที่สุดอุรุ
เวลกสั สปชฏิลคลายทิฏฐิมานะ ยอมถวายตัวเป็ นสาวก ละทิ้งการบูชาไฟของตน ขอบรรพชา
อุปสมบทพร้อมดว้ ยชฏิลผนู้ อ้ งชื่อนทีกสั สป มีบริวาร ๓๐๐ คน และคยากสั สปมีบริวาร ๒๐๐ คน
ไดท้ ูลขออุปสมบท หลงั จากน้ันไดท้ รงนาไปยงั ตาบลคยาสีสะ ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรว่า
“ภิกษุท้งั หลายส่ิงท้งั หลายลุกเป็ นไฟไปหมดแลว้ ลุกไปเป็ นไฟเพราะอะไร เพราะไฟราคะ โทสะ
โมหะ เพราะชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทสนัส อุปายาส ผลของการแสดงพระธรรม
เทศนากณั ฑน์ ้ี พระภิกษุเหลา่ น้นั ไดบ้ รรลุพระอรหตั ตผล๒๑
(๒) ใช้วธิ ีอาเทสนาปาฏหิ าริย์
อาเทสนา แปลว่า การดกั ใจ หมายถึง การรู้สภาพจิตใจของผเู้ รียนหรือผฟู้ ังแลว้ สอนเขาตาม
สภาพจิตใจน้นั พระพุทธเจา้ ทรงใชว้ ธิ ีน้ีกบั บุคคลประเภทอุคฆฎิตญั ญู คือ ผทู้ ี่มีปัญญาสูงสามารถ
๒๐ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช), พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ คําวัด,พิมพ์คร้ังท่ี ๓.
กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๕๑), หนา้ ๑๑๐๓.
๒๑ วิ.มหา. (ไทย) ๔/๓๗–๕๔/๔๗–๕๖.
๒๐๔
เกิดความรู้อยา่ งต่าถึงข้นั ทิฏฐิไดพ้ ียงแต่ไดฟ้ ังหวั ขอ้ ธรรมที่ยกข้ึนแสดงเท่าน้นั นอาเทสนามี ๒ วิธี
คือ
๑. การสอนดว้ ยคาพดู ส้ัน ๆ แต่ทาให้เกิดความซาบซ้ึงใจน้นั ดงั จะเห็นไดจ้ ากการท่ีพระ
พุทธองคต์ รัสกบั ปัญจวคั คียห์ ลงั จากพระพุทธองค์ตรัสรู้อริยสจั ก็ไดเ้ สด็จไปโปรดปัญจวคั คียถ์ ึง
เมืองพาราณสี พอเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล ปัญจวคั คียก์ ็ไม่ทาปฏิสันถารเพราะต่างคิดว่า
พระองค์ลม้ เลิกความเพียรคือการทรมานกายหันไปฉนั อาหาร จึงไม่เป็ นไปเพื่อการบรรลุโมกษะ
แมพ้ ระพุทธเจา้ จะตรัสบอกวา่ ไดต้ รัสรู้แลว้ ก็ไม่เชื่อ ยงั คงกล่าวออกนามและใชถ้ อ้ ยคาเรียกอยา่ ง
ยโสโอหัง แต่ในท่ีสุดพระพุทธองคก์ ็สามารถปราบความหวั ด้ือของปัญจวคั คียไ์ ดด้ ว้ ยการใชพ้ ระ
ดารัสส้นั ๆ ว่า “เราไดต้ รัสรู้อมฤตธรรมโดยชอบเองแลว้ เธอท้งั หลายจงคอยฟังเถิดเมอื่ เธอท้งั หลาย
ปฏิบตั ิตามที่เราสอน มชิ า้ ก็จะไดบ้ รรลอุ มฤตธรรมน้นั ” ปัญจวคั คียค์ ดั คา้ นถึง ๓ คร้ัง พระองคก์ ต็ รัส
ใหร้ ะลึกยอ้ นหลงั ว่า “คาน้ีพระองค์เคยตรัสหรือว่า ปัญจวคั คียพ์ ากนั ทบทวนดูก็เป็ นดังที่คิด จึง
ยอมรับฟัง๒๒ การตรัสดว้ ยคาพดู ส้นั ๆ อีกตอนหน่ึง คือ ตอนท่ีพระพุทธองคต์ รัสกบั องคุลิมาล เม่ือ
องคุลิมาลว่ิงไล่พระพุทธองค์จนเหน่ือยอ่อน แต่ไล่ไม่ทนั องคุลิมาลพูดว่า “หยุดก่อน สมณะ หยดุ
ก่อน” พระพทุ ธองคไ์ ดต้ รัสตอบไปวา่ “เราหยดุ แลว้ แต่ท่านสิยงั ไมห่ ยดุ ” พระดารัสน้ีตอ้ งการจะให้
องคุลมิ าลไดเ้ กิดความคิด ซ่ึงจะเป็นเหตุใหเ้ กิดความสานึกผดิ “ท่านสมณะพูดมุสา ท่านเดินอยไู่ ฉน
จึงกลา่ วว่า “เราหยดุ แลว้ ” พระพทุ ธองคต์ รัสดว้ ยประโยคต่อไปว่า “เราหยดุ ทาบาปแลว้ แต่ท่านยงั
ไมห่ ยดุ ” เท่าน้นั เอง แสงสว่างก็เกิดข้ึนในดวงใจขององคุลิมาล๒๓
๒. การสอนแบบไม่พดู แต่ให้ลงมือทา ในบางกรณี พระพุทธองค์ไม่ทรงสอนอะไรดว้ ย
วาจาเลย แต่ทรงมอบหมายงานบางอยา่ งใหค้ นกระทา จนกระทง่ั เกิดความรู้ข้ึนมา พบความจริงดว้ ย
ตนเองเท่าที่ไดส้ งั เกตจากหลกั ฐาน ปรากฏว่า วิธีน้ีพระพุทธองค์ทรงใชก้ บั คนที่มีจิตอย่ใู นภาวะไม่
ปรกติอย่างมากจนไม่พร้อมท่ีจะฟังส่ิงใด การสอนแบบน้ีจะให้ความรู้ดา้ นทฤษฎีก่อน แลว้ จึงให้
ผรู้ ับคาสอนไปศึกษาดว้ ยตนเอง มีหลกั การตรงกนั กบั การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงถือเอาการ
ทดลองเป็นหวั ใจสาคญั การท่ีจะเขา้ ใจเรื่องน้ีไดด้ ีดงั ตวั อยา่ งการสอนพระจฬู ปันถก ดงั น้ี
สมยั หน่ึง ยงั มีพระเถระรูปหน่ึง ชื่อ มหาปันถก ต่อมาพระมหาปันถกได้นาเอา
นอ้ งชายชื่อ จูฬปันถก มาบวชดว้ ย คร้ันบวชแลว้ พี่ชายก็มอบหมายหน้าที่ให้ท่องจาคาถา
หรือคาฉนั ทบ์ ทหน่ึง ซ่ึงมีความยาวเพยี ง ๔ บาทเท่าน้นั แต่พระจฬู ปันถกกท็ ่องจาไม่ไดแ้ ม้
เวลาจะล่วงไปต้งั ๔ เดือนก็ตาม พระมหาปันถกผพู้ ่เี ห็นวา่ พระนอ้ งชายท่องคาถาไมไ่ ด้ จึง
ขบั ไล่จุลปันถกใหล้ าสิกขาออกไปเป็ นคฤหสั ถเ์ สีย แต่พระจฬู ปันถกยงั มคี วามเล่ือมใสไม่
๒๒ วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๒/๑๓.
๒๓ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๔๘–๓๔๙ / ๔๒๒–๔๒๔.
๒๐๕
อยากสึก จึงจาใจตอ้ งไป พลางเดินร้องไห้ไปดว้ ยความน้อยอกน้อยใจ พระพุทธเจา้ ทรง
ทราบเสด็จมาเพ่ือปลอบใจ ทรงถามทราบเรื่องราวแลว้ จึงพาพระจูฬปันถกไปยงั พระคนั ธ
กุฏิให้นง่ั ลงแลว้ ประทานผา้ ขาวใหผ้ นื หน่ึง พลางตรัสสัง่ ใหน้ ง่ั เอามือลบู ผา้ ขาวน้นั ไปมา
พร้อมกบั ท่องคาว่า รโชหรณ รช หรติ โดยทาใจมนสิการอยใู่ นอารมณ์เดียว
เมื่อพระจูฬปันถกท่องสาธยายไปดว้ ย ลูบคลาไปดว้ ย จิตมีอารมณ์เป็ นหน่ึง เห็น
ความเป็ นอนิจจงั ทุกขงั อนัตตา เป็ นลกั ษณะ ไดเ้ กิดดวงตาเห็นธรรม คือ สภาพท่ีเกิดข้ึน
จากผา้ ท่ีสีขาวบริสุทธ์ิกลายเป็ นผา้ ที่สกปรกเป้ื อนธุลี สงั ขารร่างกายเราก็เหมือนกนั พระ
พุทธองค์นั่งอย่ทู ่ีพระคันธกุฎีส่งพระญาณมาตรัสบอกว่า ถูกแลว้ เธอจงพิจารณาสังขาร
เหมอื นอยา่ งท่ีเธอเห็นน้นั แหละ พระจูฬปันถกก็ไดบ้ รรลพุ ระอรหนั ต๒์ ๔
เรื่องน้ีแสดงให้เห็นว่า การบรรลุมรรคผลน้ันไม่เก่ียวกับสติปัญญา หรือความสามารถ
ทว่ั ไปของจิตแต่อยา่ งใดแต่เก่ียวกบั อุปนิสยั ของบุคคลคนมีสติปัญญาต่า อาจบรรลุไดเ้ ร็วกไ็ ด้ เช่น
กรณีของพระจูฬปันถกน้ี ความสามารถในการจดจาต่า แต่ก็สามารถบรรลธุ รรมไดเ้ ร็ว
(๓) วธิ อี นุสาสนีปาฏหิ าริย์
การใชว้ ิธีอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ การส่ังสอนใหเ้ วน้ ส่ิงท่ีควรเวน้ ใหท้ าสิ่งท่ีควรทา ท้งั ทาง
กาย วาจา ใจ วา่ เป็นส่ิงประณีตและมปี ระโยชน์ การสอนแบบน้ีเป็นการบรรยายหรือการแสดงธรรม
แบบธรรมดา โดยไมต่ อ้ งใชฤ้ ทธ์ิเดชหรือการดกั ใจเขา้ ช่วยแต่อยา่ งใดในการสอน พระพุทธเจา้ ใชว้ ิธี
อนุสาสนีมากที่สุด และได้ผลดีท่ีสุด เพราะวิธีท้งั สองอย่างท่ีไดก้ ล่าวมาในเบ้ืองตน้ น้ัน ต้องใช้
วิธีการหลายอยา่ งแทรกแซง แต่วิธีน้ีพระองค์ทรงใชเ้ น้ือหาธรรมะลว้ น ๆ สอนอยา่ งเช่น เทศนา
ธรรมโปรดพทุ ธบิดา ความว่า “บุคคลใดไม่ประมาทบิณฑบาตพึงลุกข้ึนยนื รับ มีอตุ สาหะ ประพฤติ
สุจริตธรรม บุคคลพึงอยเู่ ป็นสุขท้งั ในโลกน้ี ท้งั ในโลกหน้า๕๓ ทรงแสดงพระธรรมเทศนากณั ฑ์น้ี
ถึงสองคร้ังจนพระพุทธบิดาบรรลุพระอนาคามี อนุสาสนีของพระพุทธองค์ มีผลดีอย่างน่า
ประหลาด ทุกคร้ังท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจบลงผฟู้ ังจานวนมากจะเกิดความรู้ต้ังแต่
ระดบั ทิฏฐิข้ึนไปจนถึงระดบั โพธิญาณ คนธรรมดากลายเป็ นกลั ยาณปุถุชนและอริยบุคคลเป็นจาน
วนมาก อนุสาสนีของพระพุทธเจา้ ประสบผลสาเร็จดว้ ยดี เพราะเหตุท่ีพระองคท์ รงพจิ ารณาจนรู้จกั
จริต ภูมปิ ัญญาและภูมหิ ลงั คือ มีทศพลญาณ ๑๐ จึงรู้จิตของผฟู้ ังแลว้ ก็ทรงปรับปรุงเน้ือหาของเร่ือง
ที่จะสอนและวิธีสอนใหเ้ หมาะสมกบั ผรู้ ับสารหรือคนฟัง
******************
๒๔ ดูรายละเอียดใน ข.ุ เถร. (ไทย) ๒๖/ ๕๕๗-๕๖๖/๔๓๖-๔๓๗.
๒๐๖
กิจกรรมท้ายบท
๑. เทศนา คืออะไร ตอ้ งเตรียมการอยา่ งไรบา้ ง
๒. องคป์ ระกอบท่ีสาคญั และเน้ือหาของการเทศนม์ ีก่ีอยา่ ง อะไรบา้ ง
๓. พระพุทธเจา้ ตรัสสอนหลกั เทสกธรรมสาหรับพระนกั เทศน์หรือพระธรรมกถึกไวก้ ่ี
อยา่ ง อะไรบา้ ง
๔. ธมั มเทศนาปฏสิ งั ยตุ คืออะไร มีก่ีขอ้ อะไรบา้ ง
๕. คาวา่ โอวาท คืออะไร การใหโ้ อวาทควรยดึ แนวปฏิบตั ิอยา่ งไรบา้ ง
๖. ธรรมสากัจฉาหรื อสนทนาคืออะไร พระธรรมปิ ฎก(ประยุทธ ปยุตฺโต) ได้อธิบาย
เกี่ยวกบั ธรรมสากจั ฉาอยา่ งไร
๗. การบรรยาย คืออะไร การบรรยายตอ้ งใชห้ ลกั การอยา่ งไร
๘. ปาฐกถา หมายถงึ อะไร มกี ี่ประเภท อะไรบา้ ง
๙. การอภิปรายคืออะไร มปี ระโยชน์อยา่ งไรบา้ ง
๑๐. คาว่า “ปราศรัย” มคี วามหมายอยา่ งไร อธิบาย
๑๑. สุนทรพจน์ คืออะไร มีสาระสาคญั อยา่ งไรบา้ ง
๑๒. สมั โมทนียกถา หมายถึงอะไร
๑๓.ปาฏหิ าริย์ คืออะไร พระพุทธเจา้ ทรงใชเ้ พ่ือเผยแผพ่ ทุ ธธรรมกี่วธิ ี อะไรบา้ ง
บทที่ ๗
พทุ ธจริยธรรมกบั จรรยาบรรณในการส่ือสาร
๗.๑ หลักพุทธวธิ ีการสื่อสาระธรรม
ในบทน้ีจะพูดถึงพุทธจริ ยธรรมกับจรรยาบรรณในการส่ือสาร การส่ือสารน้ันเป็ น
กระบวนการที่ควบคู่ไปกบั การดาเนินชีวติ ของสตั วโ์ ลก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ก็คือมนุษย์ ซ่ึงสามารถมี
พฒั นาการทางสติปัญญาสูงกว่าสตั วช์ นิดใด ๆ บนโลกใบน้ี การส่ือสารเป็นเครื่องมือพ้นื ฐานสาคญั
เพ่ือการอยรู่ อดของมนุษย์นอกเหนือจากการไดม้ าซ่ึงปัจจยั ส่ีอนั เป็นส่ิงจาเป็น ในการดารงชีวติ แลว้
น้นั มนุษยย์ งั ตอ้ งการคาอธิบายอีกมากมายเก่ียวกบั ชีวิตและโลกที่ตนเองอาศยั อยู่ ดว้ ยเหตุดงั กลา่ วน้ี
บรรดาศาสนาหรือลทั ธิต่าง ๆ จึงไดก้ ่อกาเนิดข้ึนเพอื่ สนองตอบความตอ้ งการ ในลกั ษณะเช่นน้ีของ
มนุษย์ มนุษยต์ ้องเผชิญกบั ธรรมชาติหรือสิ่งต่าง ๆ รอบตวั ท่ีตนเองไม่รู้จกั อีกท้งั สิ่งเหล่าน้ันก็มี
ความผนั แปรเปล่ยี นแปลงอนั มผี ลกระทบต่อความสุขหรือทุกขท์ ี่มนุษยไ์ ดร้ ับ ความพยายามในการ
สร้างสมั พนั ธภาพระหวา่ งมนุษยแ์ ละธรรมจึงไดเ้ กิดข้ึน อยา่ งนอ้ ยกช็ ่วยประคบั ประคองให้มนุษยม์ ี
กาลงั ใจท่ีจะดาเนินชีวิตต่อไปอย่างปกติ๑ มนุษยจ์ ึงพยายามเช่ือมโยงตนเองให้เข้ากบั ธรรมชาติ
ปรากฏการณ์ หรือสภาพแวดลอ้ มน้นั อยตู่ ลอดเวลา แรกเร่ิมอาจปรากฏในรูปของตานานหรือเร่ือง
เลา่ แลว้ ค่อย ๆ เปล่ียนรูปไปเป็ นคาอธิบาย ในมุมมองของพระคมั ภีร์และศาสตร์ต่าง ๆ ท้งั น้ีโดยมี
จุดม่งุ หมายอนั เป็ นหน่ึงเดียว นน่ั คือเพ่อื เรียนรู้เขา้ ใจความเป็ นไปของชีวิตและโลกอยา่ งเก่ียวเน่ือง
สมั พนั ธ์ ทุกศาสนาต่างก็มงุ่ เนน้ ท่ีจะอธิบายวา่ มนุษยเ์ กิดมาเพอื่ บรรลุสิ่งที่สูงสุดอนั เป็ นอุดมคติน้นั
คือ “ชีวติ อนั ดีงาม” การสื่อสารซ่ึงเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกบั ชีวติ จึงมีจุดมุ่งหมายสูงสุดท่ีการสร้าง
เหตุและปัจจยั ท่ีสามารถเอ้ือใหม้ นุษยด์ าเนินชีวติ ของตนในวิถีทางอนั ดีงามได๒้
ในทางพระพุทธศาสนา นอกจากพระปรีชาญาณของพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ที่ไดต้ รัสรู้ธรรม
ดว้ ยพระองค์เองแลว้ ยงั ทรงสามารถถ่ายทอดสาระธรรมใหเ้ ป็นที่เขา้ ใจแก่ผฟู้ ังท้งั หลาย เพื่อที่จะได้
นอ้ มนาสาระธรรมน้นั มาประพฤติปฏิบตั ิกบั ชีวิตประจาวนั ใหป้ รากฏเป็นชีวิตท่ีดีงามตามสมควร
แก่สติปัญญาของแต่ละบุคคล หลกั พทุ ธวิธีที่จะไดน้ ามาแสดงน้ีเป็นส่ิงที่พระบรมศาสดาทรงใชใ้ น
การสอนธรรม ในบางกรณีน้นั เป็นคุณลกั ษณะเฉพาะส่วนพระองค์ เหลือวิสัยสาหรับปุถชุ นคน
ธรรมดาจะยงั ใหเ้ กิดมีข้ึนได้ เช่น บุคลกิ ภาพที่มีเฉพาะพระพุทธองค์ เป็ นตน้ ถึงกระน้นั ก็ตาม แม้
๑ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , “การส่ือสารอันเนื่องดว้ ย
ชีวิต”, หนังสือชุดความรู้ โลกของสื่อ, หนา้ ๕๗
๒ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๕๙.
๒๐๘
เฉพาะส่ิงท่ีอยใู่ นวสิ ยั ท่ีเขา้ ใจไดก้ ็มีปรากฏไวอ้ ยา่ งเหลือคณานบั เพยี งพอแก่การยดึ ถอื เป็นแบบอยา่ ง
ของการศึกษาเพ่ือความเข้าใจ ในสารัตถะ สามารถประพฤติปฏิบัติตามธรรมในฐานะ
พทุ ธศาสนิกชนตามสมควร เพื่อใหภ้ าวะแห่งชีวติ ท่ีดีงามน้นั แผข่ ยายจากตนเองไปสู่ผอู้ นื่ และสงั คม
สืบต่อไป
๗.๒ ความหมายของจริยธรรม
จริยธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็ นขอ้ ประพฤติ ปฏิบตั ิ, ศีลธรรม, กฎศีลธรรม๓ จริยธรรม
หมายถึง ธรรมคือความประพฤติ ธรรมคือการดาเนินชีวิต หลกั การประพฤติ,หลกั การดาเนินชีวิต
แบ่งออกเป็ น ๒ ประการ คือ (๑) ธรรมที่เป็นขอ้ ประพฤติปฏบิ ตั ิ ศีลธรรม หรือกฎศีลธรรม (๒) จริ
ยะ (หรือ จริยธรรม) อนั ประเสริฐเรียกว่า พรหมจริยะ (พรหมจริยธรรม หรือ พรหมจรรย)์ แปลว่า
ความประพฤติอนั ประเสริฐ หรือ การดาเนินชีวิตอยา่ งประเสริฐ หมายถึง มรรคมีองค์ ๘ หรือ ศีล
สมาธิ ปัญญา๔ จริยธรรมคือ ธรรมท่ีเป็ นข้อประพฤติปฏิบตั ิ,ระเบียบท่ีควรประพฤติปฏิบัติ,แบบ
แผนที่ดีงาม สาหรับจดั ระเบียบสงั คมให้เรียบร้อยดีงามจริยธรรม หมายถึง ศีลธรรม กฎศีลธรรม
และธรรมเนียม ประเพณีท่ีเก่ียวกบั ความประพฤติ อนั ดีงามของสังคม เป็ นขอ้ ท่ีกาหนดกนั ไวเ้ ป็ น
แนวหรือเป็นกรอบ ปฏบิ ตั ิสาหรับคนในสงั คม เพ่ือให้เกิดความเรียบร้อยดีงาม เกิดความร่มเยน็ เป็ น
สุข และเกิดความอบอุ่นความสบายใจไม่หวาดกลวั จริยธรรม ไดแ้ ก่ เบญจศีล เช่น ไม่ฆ่ากนั ไม่
เบียดเบียนกนั เบญจธรรม เช่น มีเมตตากรุณาต่อกนั ประกอบอาชีพในทางสุจริต ตลอดถึง สุจริต
ธรรม มารยาทสังคม และระเบียบสงั คมท่ีกาหนดกนั ไวเ้ ป็ นขอ้ ปฏิบตั ิเพ่ือใหเ้ กิดความสงบสุขใน
สงั คม๕ จริยธรรม แปลว่า ธรรมท่ีควรประพฤติ ตามคาแปลน้ี เลง็ ไปทางฝ่ ายดีคือบุญหรือกุศลธรรม
จริ ยธรรมตรงกับคาอังกฤษว่า Ethically คล้าย Ethics ท่ีหมายถึง จริยศาสตร์น่ันเอง มงคลใน
พระพทุ ธศาสนามขี อ้ หน่ึงเรียกวา่ ธรรมจริยา แปลวา่ การประพฤติธรรม หรือประพฤติถกู ตอ้ ง ในท่ี
น้ันท่านกล่าวถงึ การประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ว่าเป็ นธรรมจริยา คือ เวน้ จากการฆ่าสตั ว์ การลกั
การประพฤติผดิ ในกาม เวน้ จากการพดู เท็จ พดู ส่อเสียด พดู คาหยาบ พดู เพอ้ เจอ้ เวน้ จากโลภอยากได้
ของผอู้ ื่น การปองร้ายผอู้ ื่น และความเห็นผดิ ธรรมจริยาน้ี ถา้ กลบั คาจริยามาไวข้ า้ งหนา้ เสียกจ็ ะเป็ น
๓ ราชบณั ฑติ ยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, (กรุงเทพมหานคร : นานมบี ๊คุ
พบั ลิเคชน่ั ส์ จากดั ,๒๕๔๖), หนา้ ๒๙๑.
๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), พจนานุกรมศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์คร้ังที่ ๑๑,
(กรุงเทพมหานคร: บริษทั เอส.อาร์. พริ้นติง้ แมส โปรดกั ส์ จากดั ,๒๕๕๑), หนา้ ๕๗.
๕ พระธรรมกิตตวิ งศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙ ราชบณั ฑติ ), พจนานุกรมเพอ่ื การศึกษาพทุ ธศาสน์ ชุด คา
วดั , (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพเ์ ลีย่ งเชยี ง, ๒๕๔๘), หนา้ ๑๔๙.
๒๐๙
จริยธรรมจริยธรรมหรือศีลธรรมน้ันจะมีความหมายคลา้ ยคลึงกันหรือเก่ียวกันจะเรียกว่าเป็ น
อนั หน่ึงอนั เดียวกนั ก็ได้ โดยทว่ั ไป ศีลหมายถงึ การเวน้ สิ่งที่ควรเวน้ ธรรม หมายถึง การประพฤติ
สิ่งท่ีควรประพฤติ การท่ีคนเรารู้แลว้ เวน้ ส่ิงท่ีควรเวน้ และทาส่ิงที่ควรทาไดน้ ้นั นบั วา่ เป็นประโยชน์
ต่อตนเองและต่อสงั คมอยา่ งใหญ่หลวง๖
จริยธรรม (Morality) หมายถึง ธรรมที่เป็ นขอ้ ประพฤติปฏิบตั ิ หรือหลกั ธรรมคาสอนอนั
เป็ นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติของมวลมนุษย์ คาว่า จริยธรรม มาจากคา ๒ คา คือ จริย +
ธรรมแปลตามศพั ท์ คือ จริย แปลว่า คุณความดี คาสง่ั สอนในศาสนา หลกั ปฏิบตั ิในทางศาสนา
ความจริง ความยุติธรรม ความถูกตอ้ ง กฎเกณฑ์ เม่ือนาเอาคาว่า จริย มาต่อกบั คาว่า ธรรม เป็ น
จริยธรรม แปลเอาความหมายว่า กฎเกณฑแ์ ห่งความประพฤติ หรือ หลกั ความจริงที่เป็ นแนวทาง
แห่งความประพฤติปฏบิ ตั ิ๗ จริยธรรม มาจากคาว่า จริยธรรม โดยเอาตวั พยญั ชนะเป็นหลกั ก็แปลวา่
ธรรมที่ควรประพฤติ จร แปลว่า ประพฤติ, อิย ปัจจัย มีความหมายว่า ควร จริย แปลว่า ควร
ประพฤติจริยธรรม ก็แปลวา่ ส่ิงที่ควรประพฤติ หรือ ธรรมท่ีควรประพฤติโดยสามารถแยกธรรมะ
หรือจริยธรรมน้ีออกเป็น ๒ ประเภท โดยหลกั ใหญ่ ๆ คือ ธรรมท่ีเป็ นตวั ผลท่ีเรามุ่งหมายอยา่ งหน่ึง
; และธรรมอีกตวั หน่ึงก็คือ เหตุหรือตวั เครื่องมือท่ีจะทาให้ไดผ้ ลอนั น้ันมา ฉะน้นั ธรรมะหรือส่ิงท่ี
เป็นตวั เหตุ ตวั เคร่ืองมอื น้ีเอง ท่ีเราเรียกว่า จริยธรรมในที่น้ี๘ จริยธรรม มาจากคาวา่ จริยธรรม โดย
เอาตวั พยญั ชนะเป็ นหลกั ก็แปลว่า ธรรมชาติท่ีควรประพฤติ คาว่า จริยะ ตลอดจน จริยธรรม
หมายถงึ การดาเนินชีวติ ความเป็ นอยู่ การยงั ชีวติ ใหเ้ ป็นไป การครองชีวิต การเคล่ือนไหวของชีวิต
ทุกแง่ ทุกดา้ น ทุกระดับ ท้งั ทางกาย ทางวาจา ทางใจท้ังทางดา้ นส่วนตวั ด้านสงั คม ดา้ นอารมณ์
ดา้ นจิต ดา้ นปัญญา๙
จริยธรรม หมายถึง ธรรมชาติหรือหลกั ธรรมท่ีบุคคลควรประพฤติ จดั ว่าเป็ นคุณธรรมท่ี
แสดงออกทางร่างกาย ในลกั ษณะที่ดีงามถูกตอ้ ง อนั เป็นสิ่งที่ประสงคข์ องสงั คม และจริยธรรม จะ
มไี ดจ้ าตอ้ งอาศยั หลกั คาสอนทางศาสนา อนั ไดแ้ ก่ศีล(Precept) อนั หมายถงึ หลกั หรือกฎเกณฑ์การ
ประพฤติปฏิบตั ิเพื่อดดั หรือฝึ กหัดกาย และวาจาใหเ้ รียบร้อย ให้เป็ นปกติ อยา่ ใหผ้ ดิ ปกติ (ผดิ ศีล)
๖ วศนิ อินทสระ, พทุ ธจริยศาสตร์, พมิ พค์ ร้ังที่ ๒ (กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพธ์ รรมดา ๒๕๔๙), หนา้
๒๒.
๗ ไสว มาลาทอง คู่มือการศึกษาจริยธรรม , (กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพก์ ารศาสนา ๒๕๔๒ ),หนา้ ๖-
๗.
๘ พุทธทาส, พจนานุกรม, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา ๒๕๔๙), หนา้ ๕๐.
๙ พระราชวรมุนี(ประยรู ธมฺมจิตฺโต), จริยธรรมสาหรับคนรุ่นใหม่ , (กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพเ์ รือน
แกว้ การพิมพ์ ๒๕๓๐), หนา้ ๑๐.
๒๑๐
เช่นพดู ใหถ้ กู ตอ้ ง ใหเ้ ป็นธรรม กระทาให้ถกู ตอ้ ง ใหเ้ ป็นธรรม เมื่อพดู หรือกระทาถกู ตอ้ งเป็นธรรม
ยอ่ มมีความสุข ความสบาย เยอื กเยน็ ไม่เดือดร้อนอนั เป็ นผล การมีความสุข ความสบาย เยือกเยน็
ไมเ่ ดือดร้อนดงั กลา่ ว จึงเป็นผลของการมีศีล หรือเป็นผลแห่งการมีคุณธรรมในจิตใจ เมอื่ มคี ุณธรรม
ในจิตใจแลว้ ก็เป็ นเหตุใหป้ ระพฤติจริยธรรมไดถ้ กู ตอ้ ง ดงั น้นั คุณธรรมและศีลจึงเป็ นโครงสร้าง
ของจริยธรรม๑๐ จริยธรรม คือ การดาเนินชีวติ ดว้ ยกุศลจิตที่ประกอบดว้ ยอริยมรรคมอี งค์ ๘ รวมท้งั
การปฏิบตั ิของจิตดว้ ย คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แสดงออกทางการ วาจา และใจอยา่ งสุจริต เป็ นเหตุให้
ไดร้ ับประโยชน์ปัจจุบนั คือการไดร้ ับอารมณ์ที่ดีมีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ฝืดเคือง ควบค่กู บั ไดร้ ับ
ประโยชน์ภายหนา้ ท้งั ในชาติน้ีและชาติต่อไป คือการมีสุขภาพจิตดีและรับประโยชน์สูงสุดที่จะ
ไดร้ ับในชาติน้ีหรือชาติต่อไป คือการพน้ จากความทุกขโ์ ดยสิ้นเชิง เม่ือไดป้ ฏิบตั ิดีปฏิบตั ิชอบดว้ ย
จิตท่ีมีศีล สมาธิ ปัญญา เต็มบริบรู ณ์๑๑
จากความหมายที่นกั วิชาการไดก้ ล่าวไวข้ า้ งตน้ สามารถสรุปไดว้ ่า จริยธรรมหมายถึง กฎ
หรือศีลธรรมท่ีเป็ นขอ้ ประพฤติปฏิบตั ิตน เพ่ือใหเ้ กิดความเรียบร้อยดีงาม ท้ังต่อตนเองต่อบุคคล
รอบขา้ ง และต่อสงั คมส่ิงแวดลอ้ มในทุก ๆ ดา้ น โดยการใช้ ศีล ๕ ประการ เป็นกรอบขอ้ หา้ มและมี
เบญจธรรม ซ่ึงเป็ นคุณธรรมที่เพ่ิมข้ึนจาก ศีล ไดแ้ ก่ เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวรสัจจะ
สติสัมปชัญญะเป็ นกรอบข้อปฏิบตั ิ นอกจากน้ีผูว้ ิจัยมองว่า จริยธรรม ไดแ้ ก่ กุศลกรรมบถ ๑๐
ประการ คือ งดเวน้ จากการฆ่าสตั ว์ งดเวน้ จากการลกั ทรัพย์ งดเวน้ จากการประพฤติผดิ ในกามงด
เวน้ จากการพดู เทจ็ งดเวน้ จากการพดู ส่อเสียด งดเวน้ จากการพดู คาหยาบ งดเวน้ จากการพูดเพอ้ เจอ้
ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา ไม่พยาบาทปองร้ายใคร และ มีความเห็นชอบตามทานองคลองธรรม
ท้งั หมดน่ีคือความหมายของ จริยธรรม
๗.๓ ความหมายของการส่ือสาระธรรม
สาระธรรม หมายถึง ‘พุทธธรรม’ หรื อหลักคาสอนในพระพุทธศาสนาท่ีมีเน้ือหา
กวา้ งขวางครอบคลุมสรรพสิ่งท่ีเก่ียวขอ้ งกบั โลกและชีวิต เพ่ือการรู้แจง้ ความจริงในท่ีสุด และ
สาคญั อยา่ งยง่ิ ต่อการดาเนินชีวติ ของผคู้ นในสงั คมทุกระดบั ท้งั ในเพศของบรรพชิตและคฤหสั ถ์ คา
ว่า “พุทธะ”๑๒ หมายถงึ ท่านผตู้ รัสรู้แลว้ , ผรู้ ู้อริยสจั จ์ ๔ อยา่ งถอ่ งแท้ ส่วนคาวา่ “ธรรม”๑๓ หมายถึง
๑๐ บญุ มี แทน่ แกว้ , จริยธรรมกับชีวิต , (กรุงเทพมหานคร : หจก.ธนะการพิมพ์ ๒๕๓๗),หนา้ ๑.
๑๑ สมถวิล ธนวิทยาพน, เอกสารประกอบการสอนรายวิชา จริยธรรมกับชีวิต ,(ภาควิชาปรัชญาและ
ศาสนาคณะวิชามนุษยศ์ าสตรและสงั คมศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั จนั ทรเกษม พ.ศ. ๒๕๓๗), หนา้ ๕๙.
๑๒ คาว่า ‘พุทธะ’ ตามอรรถกถาท่านแบง่ เป็ น ๓ คือ ๑) พระพทุ ธเจา้ ท่านผตู้ รัสรู้เองและสอนผูอ้ ่ืนให้รู้
ตาม (บางทีเรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธะ) ๒) พระปัจเจกพุทธะ ท่านผูต้ รัสรู้เองจาเพาะผูเ้ ดียว ๓) พระอนุพุทธะ
๒๑๑
สภาพท่ีทรงไว,้ สจั จธรรม, ความจริง, คาสง่ั สอนของพระพุทธเจา้ ซ่ึงแสดงธรรมใหเ้ ปิ ดเผยปรากฏ
ข้ึน “พุทธธรรม” จึงหมายถึง คาสั่งสอนที่ว่าดว้ ยสภาพที่ทรงไว้ อนั เป็ นสัจธรรมความจริงโดย
พระพุทธเจา้ ผตู้ รัสรู้ในอริยสจั จ์ ๔ อยา่ งถ่องแท้ แลว้ แสดงธรรมให้เปิ ดเผยปรากฏข้ึน พระธรรม
ปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต)๑๔ ไดส้ รุปลกั ษณะทว่ั ไป ของพทุ ธธรรมไว้ ๒ ประการ ดงั น้ี คือ
๑) แสดงหลกั ความจริงสายกลาง ที่เรียกว่า “มชั เฌนธรรม” หรือ มชั เฌนธรรมเทศนาวา่ ดว้ ย
ความจริงตามแนวของเหตุผลบริสุทธ์ิตามกระบวนการของธรรมชาติ ซ่ึงนามาแสดงเพ่อื ประโยชน์
ในทางปฏบิ ตั ิในชีวิตจริงเท่าน้นั
๒) แสดงขอ้ ปฏิบตั ิสายกลาง ท่ีเรียกว่า “มชั ฌิมาปฏปิ ทา”๑๕ อนั เป็นหลกั การครองชีวิตของ
ผฝู้ ึ กอบรมตน ผรู้ ู้เท่าทนั ชีวติ ไม่หลงงมงาย มุ่งผลสาเร็จคือ ความสุข สะอาด สว่าง สงบเป็นอสิ ระ
ที่สามารถมองเห็นไดใ้ นชีวติ น้ี
การที่สาวกของพระผมู้ ีพระภาคสามารถไดร้ ับอรรถประโยชน์จากการประพฤติธรรมตาม
สมควรของแต่ละบุคคลน้ัน ก็ดว้ ยพระมหากรุณาคุณในการโปรดเวไนยสัตว์ การสอนธรรมการ
แสดงธรรม การเผยแผ่ธรรม หรือการประกาศธรรม ไม่ว่าจะเรียกช่ืออย่างไรก็ตาม ในทางนิเทศ
ศาสตร์น้นั ถือว่าเหลา่ น้ีเป็นการส่ือสารท้งั ส้ิน หากแต่สารแห่งธรรมที่ส่ือไปน้ันมคี ุณลกั ษณะเฉพาะ
ในดา้ นคุณธรรมและจริยธรรม จึงแตกต่างจากการสื่อสารท่ีพบเห็นกนั โดยทวั่ ไป
ทา่ นผตู้ รัสรู้ตามพระพทุ ธเจา้ (เรียกอกี อยา่ งวา่ สาวกพทุ ธะ) ; บางแห่งจดั เป็น ๔ คือ สัพพญั ญูพทุ ธะ, ปัจเจกพทุ ธะ
, จตุสัจจพุทธะ (= พระอรหันต)์ และสุตพุทธะ (= ผเู้ ป็ นพหูสูต)(พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพุทธ
ศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ หนา้ ๑๘๙)
๑๓ คาวา่ ‘ธรรม’ หมายถึง สภาพท่ที รงไว,้ ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง ; เหตุ,
ตน้ เหตุ ; สิ่ง,ปรากฏการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด ; คุณธรรม, ความดี, ความถูกตอ้ ง, ความประพฤติชอบ ;
หลกั การ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หนา้ ท่ี ;ความชอบ, ความยตุ ิธรรม ; พระธรรม, คาส่ังสอนของพระพุทธเจา้ ซ่ึง
แสดงธรรมใหเ้ ปิ ดเผยปรากฏข้ึน. (พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์,
หนา้ ๑๐๕)
๑๔ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ,
๒๕๓๘), หนา้ ๖.
๑๕ มชั ฌิมาปฏปิ ทา หมายถึง ทางสายกลาง เพราะเป็ นขอ้ ปฏบิ ตั ิอนั พอดีที่จะนาไปสู่จุดหมายแห่งความ
หลดุ พน้ เป็นอิสระดบั ทุกข์ ปลอดปัญหา ไม่ติดขอ้ งในที่สุดท้งั สอง คือ กามสุขลั ลิกานุโยค และอตั ตกิลมถานุโยค
(พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต),พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, หนา้ ๒๑๕)
๒๑๒
๗.๔ วตั ถุประสงค์ของการส่ือสาระธรรม
ความประสงคข์ องบรรดาศาสนาต่าง ๆ น้นั ก็เพอื่ ช้ีนาทางแก่ผคู้ นใหก้ า้ วไปสู่จุดหมายของ
การมีชีวิตที่ดีงาม ดว้ ยการเขา้ ถึงความจริงในอุดมคติตามความเช่ือซ่ึงต่างกนั ไปตามแต่ละศาสนา
การท่ีจะนาพาชีวิตของแต่ละคนใหไ้ ปสู่ความดีงามน้นั โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ทางดา้ นจิตใจซ่ึงหาก
อาศยั ศรัทธาความเช่ือเพียงอยา่ งเดียว อาจไม่ใช่หนทางเขา้ ถึงความจริงดงั กล่าวอยา่ งท่ีควรจะเป็ น
แต่จาตอ้ งอาศยั การเรียนรู้อยา่ งถูกวธิ ีเป็ นเคร่ืองนาทาง โดยผ่านกระบวนการคิดพิจารณาส่ิงต่าง ๆ
เพอื่ ตระหนกั รู้ถึงคุณโทษ ประโยชน์ หรือมใิ ช่ประโยชน์ เช่นน้ีพฒั นาการของปัญญา ความรอบรู้จึง
เกิดมขี ้ึนได้ เป็นแนวทางการดาเนินชีวติ ท่ีดีใหแ้ ก่ตนเองไดต้ ่อไป
ศรัทธากบั ปัญญาจึงต่างก็มีความสาคญั ที่ตอ้ งเก้ือหนุนซ่ึงกันและกัน สาหรับการเขา้ ถึง
ความจริงที่เรียกว่า ‘สจั ธรรม’ ซ่ึงถอื เป็นสาระสาคญั ของหลกั พุทธธรรม เพราะเป็นคาสอนจากพระ
บรมศาสดาสมั มาสมั พุทธเจา้ ผทู้ ี่มปี ัญญาซ่ึงไดร้ ับการพฒั นาอยา่ งถงึ ที่สุด จนปรากฏเป็ นการตรัสรู้
ในความจริง ของโลกและชีวติ ดว้ ยพระองคเ์ อง
พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรัสรู้ความจริงของสรรพสิ่งต่าง ๆ ท้งั นามธรรมและรูปธรรมท่ีลว้ นแต่
มภี าวะของการเกิดข้ึน ต้งั อยู่ และดบั ไปตามเหตุปัจจยั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ สภาวะแห่ง ‘ทุกข์’ ที่ทน
ไดย้ าก คอยบีบค้นั ชีวติ มนุษยแ์ ละสตั วท์ ้งั หลายใหต้ อ้ งด้ินรนอยา่ งเร้าร้อน ไม่ว่าจะโดยรู้ตวั หรือไม่ก็
ตาม สจั ธรรมความจริงท่ีทรงคน้ พบแลว้ นามาแจกแจงใหส้ ตั วโ์ ลกผมู้ โี อกาสรับฟังและเขา้ ใจ จึง
เป็ นคาอธิบายที่แจ่มแจ้งสาหรับผปู้ ระจกั ษ์ในทุกขภาวะและปรารถนาที่จะพน้ ไปเสียจากภาวะ
ดงั กล่าว ไม่ว่าจะเป็ นการพน้ อย่างชวั่ คราวหรือถาวรก็ตามอรรถประโยชน์ท่ีไดก้ ม็ ีผลดีต่อเจา้ ของ
ชีวิตน้นั ๆ ตามสมควร การสงั่ สอนธรรมของพระพุทธเจา้ ทรงมุ่งผลในทางปฏิบตั ิ ใหท้ ุกคนจดั การ
กบั ชีวิตที่เป็ นอยจู่ ริง ๆ ในโลกน้ี และเริ่มแต่บดั น้ี๑๖ ตามแนวทางของพุทธศาสนาซ่ึงมีลกั ษณะเป็ น
กรรมวาทกิริ ยวาท และวิริ ยวาท๑๗ โดยมุ่งให้กระทาการด้วยความเพียรพยายามของตนเอง
อรรถประโยชน์ท่ีสาวกพึงไดร้ ับจึงไม่จาเป็ นที่จะต้องใหใ้ ครหรือส่ิงใดมากาหนดฤกษง์ ามยามดี
สาหรับกระทากิจการงาน ดงั ที่พระพุทธองคต์ รัสว่า “สตั วท์ ้งั หลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลาน้นั
ชื่อว่าเป็ นฤกษ์ดี มงคลดี”๑๘ ขอเพียงผรู้ ับสารมีโอกาสไดฟ้ ังแลว้ นามาคิดพิจารณาดว้ ยปัญญาของ
ตนเองก็สามารถน้อมนาไปประพฤติปฏิบตั ิในการดาเนินชีวติ ประจาวนั ของตนเองต่อไป ซ่ึงมิได้
จากดั เฉพาะผคู้ รองเพศบรรพชิตเท่าน้นั
๑๖ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา้ ๖.
๑๗ องฺ. ตกิ . (ไทย) ๒๐/๑๓๘/๓๘๖
๑๘ องฺ. ตกิ . (ไทย) ๒๐/๑๕๖/๔๐๐.
๒๑๓
ปัจจุบนั ดว้ ยทศั นคติที่แบ่งแยกทางอยา่ งค่อนขา้ งชดั เจนใหเ้ ป็ น ‘ทางโลก’ ของคฤหสั ถก์ บั
‘ทางธรรม’ ของพระภิกษุสงฆ์ โดยผคู้ นท้ังสองทางน้ันก็ปราศจากเข้าใจอย่างแท้จริ ง หรือมี
แนวโนม้ ใหค้ วามเขา้ ใจคลาดเคล่อื นไปจากความจริงยง่ิ ข้ึน ลกั ษณะเช่นน้ีส่งผลใหธ้ รรมถกู แยกขาด
จากชีวิตประจาวนั ของผคู้ น ทาให้เขา้ ใจว่าการประกอบอาชีพเพ่ือหาเล้ียงตนและครอบครัวน้ัน
ไม่ไดม้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งสัมพนั ธก์ บั ธรรม หรือหากเกี่ยวขอ้ งบา้ งก็เป็ นไปอยา่ งผิดพลาดคลาดเคล่ือน
ดงั ตวั อยา่ งเช่น ศาสนวตั ถุอยา่ งพระเคร่ือง ไดก้ ลายเป็ นของขลงั ที่มีราคา หรือศาสนสถานอย่างวดั
ไดก้ ลายเป็นแหล่งแสวงบุญเพอ่ื ใหพ้ น้ จากทุกขภ์ ยั ต่าง ๆ ท่ีเผชิญอยเู่ ท่าน้นั
โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในฝ่ ายของคฤหัสถ์ ธรรมได้ถกู กันให้เข้าใจว่าเป็ นการกระทาอะไร
บางอยา่ งในช่วงส่วนเส้ียวเวลาของชีวิตไปโดยปริยาย เช่น เวลาของการเขา้ วดั เพื่อจะปฏิบตั ิธรรม
เวลาของการไหวพ้ ระสวดมนต์ เป็ นตน้ เมือ่ การณ์เป็ นไปในลกั ษณะเช่นน้ี ประโยชน์ที่ผคู้ นจะพึง
ไดจ้ ากธรรม เพ่ือหลอมรวมธรรมน้นั เขา้ กบั การดาเนินชีวติ ใหก้ ่อเกิดเป็นความดีงามยงิ่ ข้ึน ผลเช่นน้ี
ก็อาจเป็ นส่ิงเลือนรางเข้าไปทุกที จนไม่สามารถนาสาระธรรมมาเยียวยาโรคภัยแห่งทุกข์ได้
เท่าที่ควร อาศยั ท่ีพระพุทธองคไ์ ดต้ รัสรู้อริยสจั ธรรม ทรงถงึ พร้อมดว้ ยวชิ ชาและจรณะในพระองค์
เองก่อน แลว้ จึงทรงมีพระมหากรุณาคุณต่อสรรพสัตว์ ซ่ึงเปรียบดงั คนไขป้ ระเภทที่มีโอกาสหาย
จากอาพาธได้ หากไดร้ ับยา อาหาร และการพยาบาลที่เหมาะสม ฉนั ใด บุคคลบางคนที่ไดเ้ ห็นหรือ
ไดฟ้ ังธรรมจากพระพุทธองคเ์ ท่าน้ันจึงจะสามารถยงั กุศลธรรมให้เกิดข้ึนได้ หาไม่แลว้ ก็ไม่อาจ
เจริญในกุศลธรรมไดเ้ ลย ฉนั น้นั ๑๙ ประกอบกบั เมื่อความถึงพร้อมแห่งพระรัตนตรัยไดอ้ ุบตั ิข้ึนการ
ประกาศพระศาสนา หรือการส่ือสาระธรรมอยา่ งเป็นทางการ เพ่อื การบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ่ีวางไวจ้ ึง
ไดป้ รากฏเม่ือกวา่ ๒,๕๐๐ ปี ท่ีผา่ นมา ดงั พทุ ธวจั นะที่ว่า “ภิกษุท้งั หลาย เราพน้ แลว้ จากบ่วงท้งั ปวง
ท้งั ท่ีเป็ นทิพย์ ท้งั ท่ีเป็ นของมนุษย์ แมพ้ วกเธอกพ็ น้ แลว้ จากบ่วงท้งั ปวง ท้งั ที่เป็นของทิพย์ ท้งั ท่ีเป็ น
ของมนุษย์ พวกเธอจงจาริกไป เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนจานวนมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพ่ือ
ประโยชนเ์ ก้ือกลู และความสุขแก่เทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย ฯ”๒๐
จากพทุ ธประสงคใ์ นการส่ือสาระธรรมดงั กล่าวน้ี สาระธรรมคาสอนของพระองคจ์ ึงควรค่า
แก่การประพฤติปฏิบตั ิตาม และทาใหเ้ หล่าสาวกเกิดความมนั่ ใจ เคารพเล่ือมใสในพระองคอ์ ย่าง
แทจ้ ริง๒๑
๑๙ องฺ. ติก. (ไทย) ๒๐/๒๒/๑๖๙-๑๗๐.
๒๐ วิ. มหา. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐.
๒๑ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร:
บริษทั ส่ือตะวนั จากดั ,๒๕๔๕), หนา้ ๑๑๑
๒๑๔
๗.๕ หลกั ของการสื่อสาระธรรม
การที่มหาบุรุ ษผูใ้ ดจะได้ตรัสรู้ความจริ งอันประเสริ ฐ จนถึงกับจัดต้ังและประกาศ
พระพทุ ธศาสนาเพ่อื เอ้ืออานวยประโยชนส์ ุขแก่มหาชนได้ มหาบุรุษผนู้ ้นั ยอ่ มตอ้ งอาศยั การบาเพญ็
พระบารมีมาอยา่ งยาวนานยง่ิ นัก จนถึงความพร้อมบริบูรณ์ของการฝึกอบรมตนท้งั ดา้ นจิตใจและ
ปัญญา สามารถรู้แจง้ กระบวนการความเป็ นไปของสรรพส่ิงตามเหตุปัจจยั พร้อมท้งั วางหลกั การ
และแบบแผนอนั พึงกระทาใหแ้ ก่ศาสนิกดาเนินรอยตาม เพ่ือความดีงามแห่งชีวิตแมว้ ่ากาลเวลาจะ
ผนั เปล่ียนไปกี่ยคุ สมยั ก็ตาม หลกั สจั ธรรมความจริงตามเหตุปัจจยั ก็ยงั คงเป็ นเช่นเดิม รอแต่ว่ามหา
บุรุษผเู้ ต็มเปี่ ยมดว้ ยพระบารมีท่ีไดท้ รงส่ังสมมาแสนเนิ่นนานจะมาคน้ พบ วาระน้ันจะมาถึงไดก้ ็
ต่อเมื่อมกี ารอบุ ตั ิข้ึนของพระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ผตู้ รัสรู้อริยสจั ธรรมเพ่ือยงั ประโยชน์สุขแก่
สัตวโ์ ลกท้งั หลาย โดยท่ีพระองค์ไดท้ รงวางหลกั สาคัญแห่งการส่ือสาระธรรมของพระองค์ ที่
เรียกวา่ ‘โอวาทปาติโมกข’์ ดงั มใี จความโดยสมบรู ณ์ ดงั น้ี
ความอดทนคือความอดกล้นั เป็ นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจา้ ท้งั หลายตรัสว่านิพพานเป็ น
บรมธรรม ผทู้ าร้ายผอู้ น่ื ไมช่ ่ือวา่ เป็นบรรพชิต ผเู้ บียดเบียนผอู้ ื่น ไม่ช่ือวา่ เป็ นสมณะ การไมท่ าบาป
ท้ังปวง การทากุศลให้ถึงพร้อม การทาจิตของตนให้ผ่องแผว้ น้ีคือคาส่ังสอนของพระพุทธเจา้
ท้งั หลาย การไม่กล่าวร้ายผอู้ ื่น การไม่เบียดเบียนผอู้ ่ืน ความสารวมในปาติโมกข์ ความเป็ นผรู้ ู้จกั
ประมาณในอาหาร การอยใู่ นเสนาสนะที่สงดั การประกอบความเพียรในอธิจิต น้ีคือคา สงั่ สอนของ
พระพุทธเจ้าท้ังหลาย๒๒ หลักโอวาทปาติโมกข์ถือเป็ นหัวใจของธรรมท่ีแสดงให้เห็นว่า
พระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาแห่งการกระทา เป็ นศาสนาแห่งความเพียรพยายาม ไม่ใช่ศาสนาแห่ง
การออ้ นวอนปรารถนาหรือศาสนาแห่งความห่วงหวงั กงั วล๒๓ หรือเห็นผดิ ไปว่าทุกส่ิงทุกอยา่ งไม่มี
เหตุปัจจยั จนปล่อยปละละเลยในการกระทา ในเร่ืองดงั กล่าวน้ี พระพุทธองค์ไดท้ รงแสดงไวอ้ ยา่ ง
ชดั เจนในเกสกมั พลสูตร โดยตรัสวา่ “แมอ้ ดีต ปัจจุบนั หรืออนาคต พระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ก็
ตรัสเร่ืองกรรม ตรัสเรื่องกิริยา และตรัสเรื่องความเพียร”๒๔ อนั เป็ นไปตามกฎธรรมชาติท่ีเรียกว่า
กรรมนิยาม ท้งั น้ี เพราะวิบากกรรมท่ีส่งผลใหม้ นุษยต์ อ้ งไดร้ ับทุกขแ์ ละสุขปะปนกนั ไปน้นั ลว้ นมา
จากเหตุที่ตนเองไดเ้ คยกระทาดว้ ยเจตนา ท้งั ทางกาย ทางวาจา และทางใจ
๒๒ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐ : ขุ. ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๓-๑๘๕/๙๐-๙๑.
๒๓ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา้ ๖.
๒๔ องฺ. ตกิ ฺก. (ไทย) ๒๐/๑๓๘/๓๘๖.
๒๑๕
๗.๖ ธรรมะท่ีเหมาะสมกับยุคข้อมูลข่าวสาร
๑) ธรรมะทีเ่ หมาะสมกบั ยุคข้อมูลข่าวสาร
ธรรมะท่ีจาเป็ นอย่างย่ิงในยุคน้ี ซ่ึงเป็ นยุคท่ีตอ้ งใชค้ วามเฉลียวฉลาดในการส่งหรือรับ
ขอ้ มลู ข่าวสาร และสาหรับธรรมะที่เหมาะสมกบั ยคุ ขอ้ มลู ข่าวสาร ก็คือ
(๑) อตั ถปฏสิ ัมภิทา ปรีชาแตกฉานในอรรถในเน้ือความ
(๒) ธมั มปฏิสัมภิทา ปรีชาแตกฉานในตวั หลกั
(๓) นริ ุตตปิ ฏสิ ัมภทิ า ปรีชาแตกฉานในนิรุตติการหรือภาษาการสื่อสาร
(๔) ปฏิภาณปฏสิ ัมภิทา ปัญญาแตกฉานในความคิดทนั การ๒๕
(๑) อตั ถปฏิสัมภิทา หมายถงึ ปรีชาแตกฉานในอรรถในเน้ือความ เช่น เขา้ ใจเน้ือหาถกู ตอ้ ง
ถ่องแทเ้ ขา้ ถงึ ความจริงของมนั มคี วามชดั เจนในการรับข่าวสารท้งั หลาย ทุกสิ่งท่ีรับข่าวสารขอ้ มลู ท่ี
ไดส้ ดบั รับฟัง
(๒) ธัมมปฏิสัมภิทา หมายถึง ปรีชาแตกฉานในตวั หลกั เม่อื ฟังอะไร พิจารณาอะไร ไดร้ ู้
ไดเ้ ห็นอะไร มขี ่าวสารขอ้ มลู เขา้ มา จบั จุดหลกั ได้ จบั ประเด็นของเรื่องราวและปัญหาต่าง ๆ ได้
(๓) นิรุตตปิ ฏิสัมภิทา หมายถึง ปรีชาแตกฉานในนิรุตติ การใชภ้ าษาสื่อสาร สามารถนา
ความรู้ ความคิด ความตอ้ งการของตนมาสื่อสารดว้ ยภาษาท่ีชดั เจน และชกั จูงใหค้ นอื่นเห็นคลอ้ ย
ตามไปได้
(๔) ปฏภิ าณปฏิสัมภทิ า หมายถงึ ปัญญาแตกฉานในความคิดทนั การ ก็คือความคิด ความรู้
ความเขา้ ใจที่มีอย่ทู ้งั หมด สามารถเช่ือมโยงขอ้ มลู ความรู้ มาสร้างความหยง่ั รู้หยง่ั เห็นใหม่ เพื่อใช้
ประโยชน์ในการแกป้ ัญหาและสร้างสรรคต์ ่าง ๆ
๗.๗ หลกั การพดู ตามแนวพทุ ธศาสนา
๗.๗.๑ การพดู ทดี่ แี ละไม่ดี
หลกั การพูดน้ี พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงไวใ้ นพาลบณั ฑิตสูตร ทรงช้ีใหเ้ ห็นคุณสมบตั ิสาคญั
ประการหน่ึงของบณั ฑิตคือ การพดู ถอ้ ยคาท่ีดีท่ีตนเคยพดู มาเป็นปกติ ซ่ึงวจีกรรมหรือการพดู ของ
บณั ฑิตจะเป็นวจีกรรมที่สุภาพดีงาม ซ่ึงมีลกั ษณะ ๔ ประการ๒๖ คือ
๒๕ องฺ.จตกุ กฺ . (บาลี) ๒๑/๑๗๒/๑๘๓, องฺ.จตกุ ฺก. (ไทย) ๒๑/๑๗๒/๒๔๓.
๒๖ ชยั วฒั น์ อตั พฒั น์. หลักพุทธศาสนา. (กรุงเทพมหานคร: คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง,
๒๕๒๓), หนา้ ๑๖๕-๑๖๖.
๒๑๖
๑) พดู คาจริง คือ คาพดู แน่นอนและคงท่ี รักษาคาพดู ไม่เปล่ยี นแปลงไปมา
๒) พดู คาสมานไมตรี คือ พดู คาผกู ไมตรีและพดู คาประสานสามคั คี พูดแนะนาคนที่ยงั ไม่
รู้จกั ใหร้ ู้จกั กนั และพดู ชกั นาคนท่ีรู้จกั กนั ใหช้ อบพอกนั พดู ชกั จูงคนที่ชอบพอกนั ใหส้ นิทสนมกนั
๓) พูดคาไพเราะ คือ คาพดู ท่ีดูดดื่มและคาพดู อ่อนหวาน ถอ้ ยคาที่พดู ออกมาจากน้าใจใส
สะอาดของผพู้ ดู พดู เร้าใจผฟู้ ังใหเ้ ห็นควรถือเอาเป็ นเยย่ี งอยา่ ง ซ่ึงจดั เป็นคาพดู ดูดด่ืม พดู ใหก้ าลงั ใจ
ทาใหผ้ ฟู้ ังช่ืนบาน
๔) พูดคาพดู ที่มีประโยชน์ ซ่ึงพระพุทธองคท์ รงสอนว่าคาพูดมีประโยชน์ คือ คาพูดท่ีมี
เหตุผล มหี ลกั ฐานยนื ยนั ผอู้ ่นื คดั คา้ นไมไ่ ด้
พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงแสดงลกั ษณะการพดู ท่ีไม่ดีของคนพาล ในจตุกนิบาต องั คุตตรนิกาย
ว่า มลี กั ษณะ๒๗ ดงั น้ี
๑) คนพาลชอบเผยโทษของคนอ่ืน
๒) คนพาลไมช่ อบเผยคุณงามความดีของคนอ่ืน
๓) คนพาลไม่ชอบเผยโทษของตน
๔) คนพาลชอบอวดคุณงามความดีของตน
พระพุทธองค์ยงั ไดส้ อนเร่ืองการพดู ไวใ้ นหลกั สมั มาวาจาหรือวาจาชอบหรือเจรจาชอบ
(Right Speech) ซ่ึงเป็นศีลพ้นื ฐานสาหรับบุคคลทว่ั ไป ซ่ึงใหป้ ฏิบตั ิ๒๘ ดงั น้ี
๑) ละมสุ า เวน้ การพดู เทจ็ รวมถึงสจั จวาจา พดู คาจริง
๒) ละปิ สุณาวาจา เวน้ การพูดส่อเสียด รวมถึงสมคั ค กรณีวาจา พูดคาสมาน
สามคั คี
๓) ละผรุสวาจา เวน้ การพดู คาหยาบ รวมถงึ สณั ห-วาจา พดู คาออ่ นหวานสุภาพ
๔) ละสัมผปั ปลาปะ เวน้ การพูดเพ้อเจอ้ รวมถึง อตั ถ-สัณหิตาวาจา พูดคามี
ประโยชน์
หลกั ธรรมน้ีกลา่ วง่ายๆ ก็คือ บุคคลไม่พดู คาเทจ็ ทาให้คนอ่นื เสียหาย ไม่พูดส่อเสียดใหค้ น
อ่ืนเขา้ ใจผิดทะเลาะเบาะแวง้ กนั ไม่พูดคาหยาบให้เกิดความเสียหายกบั ผอู้ ่ืนฃและไม่พดู เพอ้ เจ้อ
ไร้สาระประโยชน์ การสื่อสารดว้ ยสมั มาวาจา ยอ่ มก่อให้เกิดความเขา้ ใจกนั (ซ่ึงเป็ นเป้ าหมายหลกั
๒๗ ชยั วฒั น์ อตั พฒั น์. หลักพทุ ธศาสนา, หนา้ ๑๖๒-๑๖๓.
๒๘ พระธรรมปิ ฎก. พุทธธรรม. (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๒๕๓๘), หนา้ ๗๖๙.
๒๑๗
ของการสื่อสารและเป็ นเคร่ืองช้ีวดั ประสิทธิภาพและความสาเร็จของการส่ือสาร) ไวว้ างใจ มจี ิตใจ
สงบ๒๙
๗.๗.๒ บุคคลไม่ควรพูดปดหรือพูดเทจ็
หลกั การส่ือสารท่ีสาคญั เด่นชดั ท่ีสุดตามแนวพระพุทธศาสนาก็คือ การหา้ มพูดเท็จ พระ
พทุ ธองคท์ รงกล่าวถงึ คุณค่าของการเวน้ จากการพดู ปดว่า บุคคลผปู้ ระกอบดว้ ยธรรมเวน้ จากการพดู
ปดยอ่ มข้ึนสวรรค์ คาว่า มสุ า แปลว่า ความเท็จ ไดแ้ ก่ การโกหก ซ่ึงแสดงออกได้ ๒ วิธีคือ ทางวาจา
ไดแ้ ก่ พดู โกหกชดั ๆ และทางกาย คือ การแสดงออกให้คนอื่นเขา้ ใจผดิ เช่น เขียนจดหมายโกหก
รายงานเท็จ ทา หลกั ฐานปลอมทาเคร่ืองหมายใหค้ นอืน่ หลงเช่ือ สนั่ ศีรษะในเร่ืองควรรับ พยกั หนา้
รับในเร่ืองที่ควรปฏิเสธ ลว้ นถอื ว่าผดิ ศีลขอ้ น้ี ผดิ ท้งั ทางกายและวาจา ซ่ึงการมุสาหรือเทจ็ น้นั มี ๗
แนวทาง ๓๐ คือ
๑) ปด ไดแ้ ก่ โกหกชดั ๆ ไมร่ ู้ไม่เห็น
๒) ทนสาบาน ทาผดิ จริง แต่กลา้ สาบานว่าไม่ไดท้ าไม่ไดพ้ ดู
๓) ทาเล่หก์ ระเท่ เช่น ทาเป็นคนพกิ ารเพ่ือใหค้ นเขา้ ใจผดิ แลว้ ใหท้ าน
๔) มายา แสดงอาการลวงคนอนื่ เช่น เจบ็ นอ้ ย แต่แกลง้ ทาเป็นเจ็บหนกั มาก
๕) ทาเลศนยั พดู เล่นสานวนใหค้ นฟังเขา้ ใจผดิ
๖) เสริมความ เรื่องมีมลู นอ้ ยแต่พดู ใหม้ ากมายข้ึนกวา่ ขอ้ เทจ็ จริง
๗) อาความ เร่ืองมีมลู มาก แต่พดู ใหน้ อ้ ย เช่น รายงานเหตุการณข์ อ้ เท็จจริงเพียง
บางส่วน เพอื่ ปกปิ ดขอ้ บกพร่อง
ส่วนองคป์ ระกอบของมุสาวาทาน้นั ประกอบดว้ ย
๑) เร่ืองน้นั ไม่จริง
๒) มีจิตคิดจะพดู
๓) มีความพยายามในการพดู
๔) มเี จตนาที่จะพดู ใหค้ นอน่ื เขา้ ใจผดิ ๓๑
จะเห็นไดว้ า่ ศีลขอ้ ๓ น้ีสาคญั อยทู่ ่ีเจตนา คือ มีความจงใจที่จะพูดใหค้ นอืน่ เขา้ ใจผดิ ส่วน
คนอน่ื เช่ือหรือไม่ ไมส่ าคญั สาหรับโทษของการละเมิดศลี ขอ้ น้ี ไดแ้ ก่
๒๙ ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์. ศาสนา. กรุงเทพมหานคร: คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
๒๕๑๘), หนา้ ๓๑.
๓๐ ชยั วฒั น์ อตั พฒั น์. หลกั พุทธศาสนา, หนา้ ๕๘-๕๙.
๓๑ ชยั วฒั น์ อตั พฒั น์. หลกั พทุ ธศาสนา, หนา้ ๕๙.
๒๑๘
๑) การพดู เทจ็ เป็นการทาลายตนเอง
๒) การพดู เทจ็ เป็นการทาลายประโยชน์ของคนอน่ื
๓) การพดู เท็จยอ่ มอาจทาลายชาติบา้ นเมืองได้
๔) คนพดู เทจ็ ยอ่ มไมม่ ใี ครเช่ือ๓๒
ดา้ นเหตุผลในการหา้ มไม่ใหพ้ ดู เทจ็ ก็เพ่อื ประโยชนด์ งั ต่อไปน้ี
๑) เพ่ือป้ องกนั การทาลายประโยชนข์ องคนอนื่
๒) เพ่ือใหค้ นอยรู่ ่วมกนั ดว้ ยความซื่อสตั ยต์ ่อกนั
๓) เพ่อื ความสามคั คีในหมคู่ ณะ
๔) คนไมพ่ ดู เท็จยอ่ มไดร้ ับการเชื่อถอื อยา่ งสูง๓๓
พระพทุ ธองคไ์ ดแ้ สดงอานิสงคแ์ ห่งการรักษาศลี มุสาวาทาไว้ ๑๐ ประการ ดงั น้ี
๑) มอี ินทรียท์ ้งั 5 ผอ่ งใส
๒) มวี าจาไพเราะ สละสลวย
๓) มีไรฟันเสมอชิดและขาวสะอาด
๔) ไมอ่ ว้ นจนเกินไป
๕) ไมผ่ อมจนเกินไป
๖) ไม่สูงจนเกินไป
๗) ไมเ่ ต้ียจนเกินไป
๘) ปากหอมเหมอื นดอกบวั
๙) ไดแ้ ต่สมั ผสั อนั เป็นสุข
๑๐)มบี ริวารชนลว้ นแลว้ แตข่ ยนั ขนั แขง็ ๓๔
๗.๘ หลกั ธรรมของนักสื่อสารมวลชน (Moral principle for communicator)
สื่อสารมวลชน ไดม้ ีบทบาทอิทธิพลต่อวิถีชีวิตความเป็ นอยู่ ของผคู้ นในสงั คมโดยตรง
โดยเฉพาะการนาเสนอข่าวสารที่เก่ียวกับพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ อนั เป็ นเร่ืองที่มีความ
ละเอียดอ่อน และส่งผลกระทบต่อความรู้สึกทางจิตใจ นักสื่อสารมวลชนเองจึงจาเป็ นจะตอ้ งมี
คุณธรรมและมีหลกั ธรรมไวป้ ระจาใจ เพ่อื เป็นแนวทางในการปฏิบตั ิงานเพอ่ื ความมน่ั คงของอาชีพ
๓๒ ชยั วฒั น์ อตั พฒั น์. หลกั พทุ ธศาสนา, หนา้ ๖๐.
๓๓ ชยั วฒั น์ อตั พฒั น์. หลักพุทธศาสนา, หนา้ ๖๐.
๓๔ ชยั วฒั น์ อตั พฒั น์. หลกั พทุ ธศาสนา, หนา้ ๖๐.
๒๑๙
ทางสื่อสารมวลชนเอง เพ่ือให้เกิดความสงบสุข และช่วยผดุงความยตุ ิธรรม ใหม้ ีข้ึนภายในสงั คม
ซ่ึงผวู้ ิจยั ก็ไดห้ ยบิ ยกเอาหลกั ธรรมในทางพระพทุ ธศาสนามาแสดงไวเ้ พ่อื นามาใชเ้ ป็ นแนวทาง ใน
การทาบทบาทหนา้ ที่ของนกั ส่ือสารมวลชนที่ดีต่อไป
สาหรับ หลกั ธรรมในทางพระพุทธศาสนา ท่ีส่ือมวลชน ควรยดึ เอาเป็ นแนวทางในการทา
บทบาทหน้าท่ีของส่ือที่ดี เป็ นหลกั ธรรมที่สาคญั เหมาะสมสมเป็ นแนวทางสาหรับปฏิบตั ิให้เกิด
เป็นประโยชน์ต่ออาชีพของนกั ส่ือสารมวลชนโดยตรง ดงั ต่อไปน้ี
(ก) หลกั แห่งโยนิโสมนสิการ : การทาไวใ้ นใจโดยการพจิ ารณาอยา่ งแยบคาย
“ โยนิโสมนสิการ แปลว่า การทาไวใ้ นใจโดยแยบคาย พิจารณาโดยแยบคายโยนิโส
มนสิการ หมายถึง ความเป็นผฉู้ ลาดในการคิด คิดอยา่ งถกู วิธีถูกระบบ การพิจารณาไตร่ตรองสาว
ไปจนถงึ สาเหตุหรือตน้ ตอของเร่ืองทากาลงั คิด คือ คิดอย่างรอบคอบนนั่ เองแลว้ ประมวลความคิด
รอบดา้ นจนกระทงั่ สรุปออกมาไดว้ ่า สิ่งน้นั ควรหรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี ฯลฯ ฉะน้นั หลกั โยนิโส
มนสิการ เป็ นวถิ ีทางแห่งปัญญา เป็ นเครื่องสาหรับกลนั่ กรองแยกแยะขอ้ มลู หรือแหล่งข่าวอื่น ๆ
(ปรโตโฆสะ) อีกช้นั หน่ึง กเ็ ป็นบ่อเกิดแห่งสมั มาทิฐิทาใหม้ เี หตุผล ประกอบดว้ ยปัญญา Wisdom or
Insight และการไมห่ ลงงมงาย”๓๕ “ โยนิโสมนสิการ ” กลา่ วอีกนยั หน่ึง หมายถงึ การใชค้ วามคิดให้
ถกู วิธี คือการมองสิ่งท้งั หลายดว้ ยความคิดพจิ ารณาสืบคน้ ถึงตน้ เคา้ สาวหาเหตุผลไปจนตลอดสาย
แยกแยะออก วิเคราะห์ดูดว้ ยปัญญา ท่ีคิดเป็ นระเบียบ และโดยอุบายวธิ ีใหเ้ ห็นส่ิงน้นั ๆหรือปัญหา
น้นั ๆ ตามสภาวะและตามความสมั พนั ธก์ นั ของเหตุและปัจจยั ๓๖
หลกั ของโยนิโสมนสิการ จึงมีประโยชน์มากในการกาจดั อกศุ ลและยงั กศุ ลใหเ้ กิดข้ึนได้ทา
ให้เกิดปัญญาความรู้ ความเฉลียวฉลาด สามารถขจดั ความสงสัยลงเสียได้และย่อมเป็ นไปเพื่อ
ประโยชนเ์ ก้ือกลู เพ่ือความดารงมนั่ คงแห่งพระพทุ ธศาสนาสืบต่อไป
(ข) หลกั แห่งกลั ยาณธรรม : ธรรมอนั ดีงาม ( Ennobling Virtue )
“ กลั ยาณธรรม ” แปลว่า ธรรมอนั ดี หมายถึง คุณธรรมที่ดีงาม ธรรมท่ีเป็นหลกั ปฏบิ ตั ิของ
กลั ยาณชน หรือธรรมท่ีทาใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิเป็นคนดี ผทู้ ่ีประพฤติในกลั ยาณธรรมเป็นปกติ นอกจากจะได้
ชื่อว่าเป็น กลั ยาณชนคนดีแลว้ ชีวติ ของเขา ยอ่ มสงบสุข ไม่มเี วรภยั และไม่มศี ตั รูกบั ใคร
๓๕ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙ ราชบณั ฑิต), คาวัด , ( กรุงเทพ มหานคร:
โรงพิมพเ์ ลีย่ งเชยี ง, พ. ศ ๒๕๔๘ ), หนา้ ๘๑๔.
๓๖ พระธรรมปิ ฎก, พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, ( กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬา
ลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘ ), หนา้ ๑๓๖.
๒๒๐
กลั ยาณธรรม ว่าโดยตรง คือ เวน้ จากฆ่าสตั ว์ เวน้ จากลกั ทรัพย์ เวน้ จากพดู เท็จเวน้ จากดื่ม
สุราเมรัย และประพฤติผดิ ในกาม คือ โดยการเวน้ จากเมถุนธรรม ว่าโดยออ้ มไดแ้ ก่ หลกั เบญจศีล
เบญจธรรมนนั่ เอง ซ่ึงเป็นธรรมปฏิบตั ิข้นั พ้ืนฐานของมนุษยท์ ุก ๆ คนกลั ยาณธรรม เป็นหลกั ปฏิบตั ิ
เบ้ืองตน้ ของมนุษย์ ท่ีทาให้เป็ นมนุษยโ์ ดยสมบูรณ์และทาให้มนุษยต์ ่างจากสัตว์ประเภทอ่ืน ๆ
หลกั ธรรมขอ้ น้ี บางคร้ังเรียกว่า “ มนุษยธรรม”๓๗
(ค) ทาน ๒ : การให้ (Giving )
การให้วตั ถุส่ิงของต่าง ๆ และการให้ธรรมขอ้ ปฏิบตั ิ คือใหค้ วามรู้แนะนาสงั่ สอนสามารถ
นามาประยกุ ตใ์ ช้ เพื่อเป็นคุณเคร่ืองของนกั สื่อสารมวลชนเป็นอย่างดี เพราะว่าส่ือมวลชนน้นั ก็เป็ น
กลุ่มที่มีกาลงั ความสามารถในการให้ธรรมทานสูงกว่าปัจเจกชนอื่น ๆ และการให้ธรรมทาน
(ความรู้) ของส่ือมวลชนน้นั ยอ่ มแผไ่ ปในวงกวา้ งไดไ้ มย่ าก เพราะว่ามเี คร่ืองมือในการสื่อสาร หรือ
ส่ือท่ีทนั สมยั มาเอ้ือประโยชน์ในการปฏิบตั ิงานเป็นอย่างดีในทางพระพทุ ธศาสนา ท่านไดจ้ าแนก
เกี่ยวกบั ทาน ( การให้ ) ออกเป็น ๒ อยา่ งคือ
๑. อามิสทาน การใหว้ ตั ถสุ ่ิงของ เป็นทาน
๒. ธรรมทาน การให้ธรรมเป็ นทาน หมายถึง การให้ความรู้ ใหก้ ารแนะนาสงั่ สอน “ การ
ใหอ้ ามสิ ทานและการใหธ้ รรมทาน ทานในประเภทที่ ๒ ซ่ึงน่าจะประยกุ ต์นามาใชก้ บั สถานะของ
สื่อมวลชนไดเ้ ป็ นอยา่ งดี เพราะกลุ่มส่ือมวลชน เป็ นกลุ่มบุคคลที่มีกาลงั ความสามารถในการให้
ธรรมทานสูงกว่าปัจเจกชน การใหค้ วามรู้ของส่ือมวลชน มีผลต่อสงั คม อนั นาไปสู่ผลประโยชน์
มหาศาลของการธารงไวเ้ พ่ือพฒั นาสังคม หลักธรรมข้อน้ี แสดงให้เห็นได้โดยทางอ้อมว่า
สื่อมวลชนท่ีดี น่าจะปฏิบตั ิตนเป็ นกลั ยาณมิตรของผรู้ ับสารดว้ ยการให้ความรู้ ใหป้ ัญญาและให้
การศกึ ษา ที่จะทาใหผ้ อู้ ืน่ พ่ึงตนเองได”้ ๓๘
(ง) ปฏิสัมภิทา ๔ : ปัญญาอนั แตกฉาน ๓๙ ๘ ( Analytical Knowledge )
๑. อตั ถปฏิสัมภิทา คือ ปัญญาแตกฉานในเน้ือหา เขา้ ใจเร่ืองราวความเป็ นไปไดถ้ กู ตอ้ ง
ชดั เจน
๓๗ พระธรรมกิตติวงศ,์ คาวดั , ( กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พเ์ ลีย่ งเชียง, พ. ศ ๒๕๔๘ ), หนา้ ๔๓.
๓๘ ส มค วร กรี ยะ, การสื่ อ สารมวลชน : บ ท บ าท ห น้ าที่ /สิ ท ธิ/เสรีภ าพ /ความรับ ผิ ดชอบ ,(
กรุงเทพมหานคร: สานกั พมิ พโ์ กสินทร์, พ. ศ. ๒๕๔๗ ), หนา้ ๑๗๙.
๓๙ องฺ. จตุกฺก. ( บาลี) ๒๑ / ๑๗๒ / ๒๑๖ ; ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑ / ๒๖๘ / ๑๗๕; อภิ.วิ. (บาลี) ๓๕/๗๘๔/
๔๐๐. องฺ. จตุกฺก. ( บาลี) ๒๑ / ๑๗๒ / ๒๑๖ ; ข.ุ ปฏิ. (ไทย) ๓๑ / ๒๖๘ / ๑๗๕; อภ.ิ วิ (บาลี) ๓๕/ ๗๘๔ / ๔๐๐.
๒๒๑
๒. ธมั มปฏิสมั ภิทา คือ ปัญญาแตกฉานในตวั หลกั หมายถงึ จบั ประเด็นได้ รู้จุดของปัญหา
รู้จกั สาเหตุของปัญหา
๓. นิรุตติปฏสิ มั ภิทา คือ ปัญญาแตกฉานในเร่ืองภาษา ความสามารถในการใชภ้ าษาสื่อสาร
ใหเ้ หมาะสม และไดผ้ ลตามตอ้ งการ
๔. ปฏภิ าณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในความคิดทนั การณ์ รู้จกั การเช่ือมโยงความรู้ที่มี
อยเู่ ดิม มาสร้างสรรคค์ วามรู้ ความคิดใหม่ๆ ที่จะใชแ้ กป้ ัญหาและทาสิ่งใหม่ ๆให้เจริญกา้ วหนา้ ไป
ได้ เป็นการพฒั นาไปสู่ปัญญาท่ีสมบูรณ์ข้ึนเป็นลาดบั ๆ ต่อไป
นักสื่อสารมวลชน ในฐานะผทู้ าบทบาทหน้าที่การนาเสนอเน้ือหาขอ้ มูลข่าวสารต่าง ๆ
แก่ประชาชน ฉะน้ัน นกั สื่อสารมวลชนที่ดีน้นั จะตอ้ งมีความรู้สามารถเขา้ ใจในเน้ือหาข่าวสารที่
นาเสนอไป ทาตามหลกั การ ชานาญในเร่ืองใช้ภาษาในการส่ือสารให้เหมาะสม บรรลุผลตามที่
ตอ้ งการและนาเสนอในส่ิงท่ีสร้างสรรค์ ทาส่ิงใหมใ่ หเ้ จริญกา้ วหนา้ สืบไป
(จ) อคติ ๔ : ความลาเอียง ๔ อยา่ ง๔๐ ( Prejudice )
การนาเสนอข่าวสารที่เกี่ยวกบั พระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ ของสื่อมวลชนน้นั จะตอ้ ง
นาเสนอข่าวโดยความเป็นกลาง มคี วามเป็นกลางในการเสนอขอ้ คิดเห็น ซ่ึงในความเป็นกลางท้งั ๒
ประการน้นั มีความสาคญั อยา่ งย่ิง นกั หนงั สือพมิ พจ์ ะพงึ เวน้ จากอคติ คือความลาเอียง ๔ ประการ๔๑
คือ
๑. ฉนั ทาคติ ความลาเอียงเพราะชอบใคร่กนั
๒. โทสาคติ ลาเอียงเพราะชงั
๓. โมหาคติ ลาเอียงเพราะหลง หรือเพราะโง่เขลา ไร้ปัญญาพจิ ารณา
๔. ภยาคติ ลาเอยี งเพราะความขยาดกลวั ไมเ่ ป็นตวั ของตวั เอง
(ฉ) หลกั แห่งพรหมวหิ าร ๔ : หลกั ธรรมสาหรับผใู้ หญ่ ๔๒
พรหมวิหาร เป็นคุณธรรมประจาใจ หรือธรรมเป็นเคร่ืองอยขู่ องผใู้ หญ่ ที่จะตอ้ งมีอธั ยาศยั
น้าใจที่โอบออ้ มอารีและกวา้ งขวาง เป็ นคุณธรรมที่ทาให้จิตใจหนักแน่นมนั่ คงเป็ นคุณธรรมท่ี
เหมาะสมกบั ผใู้ หญ่ในบา้ นเมือง ผมู้ ีหนา้ ท่ีในการบริหาร นกั ปกครองผนู้ า ผชู้ ้ีแนะใหแ้ ก่สงั คม เช่น
พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และ ส่ือมวลชน ฯลฯ มีอยู่ ๔ ประการ คือ
๔๐ องฺ.ฺฺ จตุกกฺ . (บาลี ) ๒๑ / ๑๗ / ๒๓
๔๑ ท.ี ปา. ( บาลี) ๑๑ / ๑๗๖ / ๑๙๖ ; ๒๔๖ / ๒๔๐
๔๒ ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑ / ๓๐๘ / ๒๐๐, ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑ / ๓๐๘ / ๒๘๐.
๒๒๒
๑. เมตตา ความรักใคร่ ไดแ้ ก่ ความหวงั ดี ความปรารถนาดี ท่ีประกอบไปดว้ ยไมตรีจิตที่ดี
ใหผ้ อู้ น่ื ไดร้ ับประโยชนแ์ ละความสุขในการรับขอ้ มลู ข่าวสารต่าง ๆ
๒. กรุณา สงสาร ไดแ้ ก่ ใคร่อยากช่วยเหลอื ใหผ้ อู้ ื่นพน้ จากความทุกข์ ช่วยในการโฆษณา
ประชาสมั พนั ธ์ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่กาลงั เดือดร้อนดว้ ยเหตุต่าง ๆ
๓. มุทิตา พลอยยินดีกบั เขา ไดแ้ ก่ แสดงความยนิ ดีเมื่อผอู้ ื่นไดด้ ีและประสบแต่ความสุข
ความเจริญ ไมไ่ ปซ้าเติม ในเมอ่ื เขาทาผดิ พลาดไป
๔. อเุ บกขา ไดแ้ ก่ ความมใี จเป็ นกลาง หรือความวางเฉย เป็นกลางท้งั ในการเสนอข่าว และ
เป็นกลางต่อการเสนอขอ้ คิดเห็นเก่ียวกบั ข่าวสารต่าง ๆ มองเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนดว้ ยดวงจิต ที่เรียบ
สม่าเสมอมน่ั คง เที่ยงธรรม ปราศจากความลาเอยี งไปเขา้ ขา้ งใดขา้ งหน่ึง
(ช) ราชสังคหวตั ถุ ๔ : หลกั ธรรมของนกั ส่ือสารมวลชน ไวใ้ ชส้ าหรับการสงเคราะห์
ประชาชน๔๓
หลกั ธรรมท้งั ๔ ขอ้ น้ี แมจ้ ะเป็ นหลกั ธรรมของพระราชาผคู้ รองแผน่ ดินเพ่ือใชส้ งเคราะห์
ประชาชน ว่าโดยเน้ือความแลว้ เห็นวา่ เป็นหลกั ธรรมท่ีสอดคลอ้ งกบั คุณสมบตั ิของนกั หนงั สือพิมพ์
ไวเ้ ป็ นหลกั ปฏิบัติเพื่อเป็ นเคร่ืองยึดเหนี่ยวสังคม และสงเคราะห์ประชาชนผรู้ ับขอ้ มูลข่าวสาร
โดยตรง ซ่ึงมีอยู่ ๔ ประการดว้ ยกนั กลา่ ว คือ
๑. สสั สาเมธะ คือ ทรงมคี วามฉลาดในการบารุงพชื พนั ธุธ์ ญั ญาหาร ส่งเสริมการเกษตร
๒. ปุริสเมธะ คือ ความฉลาดในการบารุงขา้ ราชการ รู้จกั ส่งเสริมคนดี ท่ีมีความสามารถ
และเป็ นพึงพาได้
๓. สมั มาปาสะ คือ ความรู้จกั ผกู น้าใจกบั ประชาชน ดว้ ยการส่งเสริมอาชีพ
๔. วาชเปยยะ หรือวาจาเปยยะ คือ ความมวี าจาอนั ดดู ด่ืม มีน้าใจ น้าควรด่ืมคือรู้จกั พดู รู้จกั
ปราศรัย ไพเราะ สุภาพ นุ่มนวล ประกอบดว้ ยเหตุผล และมปี ระโยชน์เป็นผลแห่งความสามคั คีที่จะ
เกิดมีข้ึน
(ฌ) สัปปุริสธรรม ๗ : ( ธรรมของสัตบุรุษ ) คุณสมบตั ขิ องคนดี๔๔
สื่อมวลชนทุกแขนง จะตอ้ งมีคุณสมบตั ินกั สื่อสารมวลชนที่ดี เพอ่ื ใชเ้ ป็นหลกั ปฏบิ ตั ิตราบ
เท่าท่ียงั เป็นนกั ส่ือสารมวลชนอยู่ โดยเฉพาะการเสนอข่าวที่เก่ียวกบั พระสงฆต์ อ้ งมีความระมดั ระวงั
๔๓ ส. ส. ( บาลี) ๑๕ /๓๕๑ /๑๑๐ ; องฺ. จตุกฺก. (ไทย ) ๒๑ /๓๙ /๕๔.
๔๔ ท.ี ปา. ( บาลี) ๑๑ /๓๓๐ / ๒๒๒.; ท.ี ปา. (ไทย ) ๑๑ /๓๓๐ /๓๓๓.
๒๒๓
เพราะมนั เป็นเร่ืองที่ละเอียดอ่อนในดา้ นจิตใจ ไมค่ วรท่ีจะรีบด่วนวินิจฉยั มิฉะน้นั ก็อาจจะเป็นการ
บ่อนทาลายพระพุทธศาสนาโดยไมร่ ู้สึกตวั ได้ นกั ส่ือมวลชนท่ีดีน้นั จะตอ้ งมีคุณธรรมอนั เป็ นหลกั
ปฏบิ ตั ิ คือจะตอ้ งต้งั อยใู่ นหลกั ของ สปั ปุริสธรรม ๗ ประการ อนั ไดแ้ ก่
๑. ธัมมญั ญุตา ความเป็ นผรู้ ู้จกั ธรรม คือ รู้จกั เหตุ รู้หลกั แห่งความจริงเช่น การเป็ นนัก
ส่ือสารมวลชน จะตอ้ งรู้ว่าหลกั ของการเสนอข่าว หรือขอ้ คิดเห็นน้นั ตอ้ งทาอย่างไร มหี ลกั อยา่ งไร
หรือกระทาตามหลกั อะไร จึงจะใหผ้ ลตามจุดประสงคท์ ่ีต้งั ไว้
๒. อตั ถญั ญูตา ความเป็ นผรู้ ู้จกั อรรถ คือรู้จกั ผล รู้ความหมาย รู้ประโยชน์ท่ีพึงประสงค์
รู้จกั ผลท่ีจะเกิดข้ึน สืบเน่ืองมาจากการกระทา เช่น รู้ว่าการทาอยา่ งน้ี หรือการเสนอข่าว ขอ้ คิดเห็น
อยา่ งน้ี จะมีผลกระทบอยา่ งไรบา้ ง ผลสะทอ้ นกลบั มาอยา่ งไรบา้ ง
๓. อตั ตญั ญุตา ความเป็ นผรู้ ู้จกั ตน รู้ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กาลงั ความรู้ความสามารถ
ความถนดั คุณธรรม ของตนน้นั เป็นอยา่ งไร คือรู้จกั ตนเอง เช่น การเสนอข่าวพระสงฆน์ ้นั ควรที่จะ
ทาอยา่ งไร หรือการใชถ้ อ้ ยคาสานวนอยา่ งไร จึงจะเหมาะสมกบั ภาวะสถานภาพของพระสงฆ์ และ
ตนเองในฐานะเป็น นกั ข่าว นกั สื่อสารมวลชน เป็นตน้
๔. มตั ตญั ญุตา ความเป็ นผรู้ ู้จกั ประมาณ คือ รู้ประมาณการที่เหมาะสมกบั การเสนอข่าว
รู้ความพอดี เช่นการเสนอข่าวเกี่ยวกบั พระสงฆ์ ถา้ คานึงถึงเพียงว่าแต่การที่ข่าวขายได้ ประชาชนให้
สนใจเท่าน้นั โดยไมค่ านึงถึงผลกระทบอยา่ งอ่ืน อาจจะเป็นการบ่อนทาลายพระพุทธศาสนา โดยไม่
รู้ตวั
๕. กาลญั ญุตา ความเป็นผรู้ ู้จกั กาลเทศะ คือ รู้จกั กาลเวลาที่เหมาะสมและระยะเวลาท่ีเสนอ
ข่าวเม่อื เห็นว่าการเสนอข่าวน้นั จะกระทบต่อพระพทุ ธศาสนาซ่ึงเป็นสถาบนั หลกั ของชาติ ควรรู้จกั
กาลเวลา ในการเสนอข่าวใหเ้ หมาะสมพอสมควรท่ีจะหยดุ ไดห้ รือยงั
๖. ปริสญั ญุตา ความเป็นผรู้ ู้จกั บริษทั คือรู้จกั ประชุมชน โดยเฉพาะพระสงฆร์ ู้จกั กิริยาที่จะ
ประพฤติต่อท่าน ตอ้ งแสดงว่าท่านเป็นผถู้ กู กล่าวหาใหถ้ ือวา่ ท่านยงั เป็นผบู้ ริสุทธ์ิ ไมค่ วรด่วนท่ีจะ
ไปตดั สินว่าท่านมคี วามผดิ ไปเรียบร้อยแลว้ พึงคานึงอยเู่ สมอวา่ ประชาชนชาวไทย ๙๕ % เป็นผนู้ ับ
ถือศาสนาพุทธ ถา้ เสนอข่าวที่ไปกระทบความรู้สึกอนั เป็นการกระตุน้ ใหเ้ กิดความโกรธเคือง ชิงชงั
ก็อาจเป็นการบน่ั ทอนกาลงั ใจ และความศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์
ได้
๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็ นผรู้ ู้จกั บุคคล คือ ตอ้ งรู้ความแตกต่างของบุคคลว่า โดย
อธั ยาศยั ความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม ที่มีไม่เหมือนกัน เช่นในหมู่ของพระสงฆเ์ อง มีผู้
ประพฤติผดิ เพียงเลก็ นอ้ ย ก็อยา่ เสนอข่าวเป็นเชิงด่วนสรูปลงไปวา่ ถงึ พระสงฆร์ ูปอน่ื ๆ กเ็ ป็นเช่นน้ี
เหมอื นกนั การสรุปแบบอุปนยั อยา่ งน้ี เป็นการไมถ่ กู ตอ้ งเป็นอยา่ งยงิ่ หรือจะสรุปแบบนิรนยั กเ็ ป็ น
๒๒๔
การไม่ถกู ตอ้ ง เพราะวา่ ในการที่จะสรุปอะไรน้นั ตอ้ งต้งั อยใู่ นเหตุและผล บนฐานขอ้ มลู ที่น่าเชื่อถือ
ไดด้ ว้ ย
นักสื่อสารมวลชน จาเป็ นต้องมีคุณธรรมประจาใจอยู่เสมอ เพราะว่าการเสนอข่าว
เหตุการณ์ต่าง ๆ หรือแสดงความคิดเห็นอะไรๆ ออกไปน้ัน หากว่า สื่อไม่มีคุณธรรมแลว้ ก็จะ
นาเสนอขอ้ มูลข่าวสารขอ้ มูลที่ผิดพลาด ทาให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและประเทศชาติอย่าง
หลกี เลย่ี งไม่ได้
๗.๙ หลกั ธรรมกับหลกั การประชาสัมพนั ธ์
หลกั การประชาสัมพนั ธ์ในปัจจุบนั สามารถใชห้ ลกั การเดียวกับหลกั การสอนขององค์
สมเด็จสมั มาสมั พุทธเจา้ ได้ เพราะท้งั หลกั การประชาสัมพนั ธแ์ ละพุทธวิธีในการสอนน้ันตากกัน
เพียงแต่คาจากดั ความหรือนิยามแตกต่างกันออกไป บา้ งก็ใชค้ าว่า นิเทศศาสตร์ตามหลกั พุทธ
ศาสตร์ วาทศิลป์ ศิลปะในการพดู ศิลปะในการส่ือสาร หรือศิลปะการประชาสมั พนั ธ์ แต่ปรากฏว่า
เป็ นการใชภ้ าษาที่แตกต่างกันเท่าน้ัน๔๕ ซ่ึงสามารถสรุปถึงพุทธวิธีในการสอน การสอนของ
พระพุทธเจา้ ไดร้ ับการสรรเสริญอยเู่ สมอว่า “พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงแสดงธรรมท่ีมีความงามใน
เบ้ืองตน้ งามในท่ามกลาง และงามในท่ีสุด สมบูรณ์ดว้ ยอรรถ และพยญั ชนะ๔๖ เม่ือผฟู้ ังนาไป
พิจารณาไตร่ตรองและปฏิบตั ิตามก็จะเห็นผลไดต้ ามกาลงั ความเพยี รและสติปัญญาของผนู้ ้ัน ถือว่า
เป็นความสาเร็จในการสอนอยา่ งน่าอศั จรรย์ พระองค์ทรงเนน้ การสอนแบบปาฏิหาริย์ คือ การสอน
ให้รู้แจง้ เห็นจริง นาไปปฏิบตั ิไดผ้ ลจริง ทรงรังเกียจอิทธิปาฏิหาริย์ คือ การสอนที่ตอ้ งใชอ้ ิทธิฤทธ์ิ
และอาเทสนาปาฏิหาริย์ คือ การสอนท่ีอาศยั การทายจิตดกั ใจผฟู้ ัง อยา่ งไรก็ตามเร่ืองอทิ ธิปาฏิหาริย์
และอาเทสนาปาฏิหาริย์ พระองคท์ รงใชใ้ นเวลาจาเป็นเพื่อการาบปราบพยศเท่าน้นั ๔๗
๗.๑๐ พทุ ธจริยธรรมสาหรับนักเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระภิกษุผทู้ าหนา้ ท่ีเผยแผ่พระพุทธศาสนาน้นั พระพุทธองคต์ รัสสงั่ สอน หลกั การปฏิบตั ิ
ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาไว้ ดงั ต่อไปน้ี
๔๕ พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐิตญาโณ). พุทธวิธีในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา. (กรุงเทพมหานคร: บริษทั
แปดสิบเจ็ด (๒๕๔๕) จากดั , ๒๕๔๙), หนา้ ๓.
๔๖ ม.ม.(ไทย) ๑๓/๑๐/๑๑..
๔๗ ที.สี.(ไมย) ๙/๔๘๓-๔๘๖/๒๑๔-๒๑๖, ขุ.ป.(ไทย) ๓๑/๓๐-๓๒/๕๘๗-๕๙๐.
๒๒๕
ก. ประกอบด้วยหลกั อปริหานยิ ธรรม ๗ ประการ๔๘
เป็ นหลกั ธรรมท่ีสร้างความเจริญให้เกิดข้ึนและยงั สกัดก้นั ความเสื่อมไม่ให้เกิดข้ึนแก่
พระภิกษุผเู้ ผยแผธ่ รรมดงั น้ีคือ
๑. หมน่ั ประชุมกนั เนืองนิตย์
๒. พร้อมเพรียงกนั ประชุม พร้อมเพรียงกนั เลิกประชุม พร้อมเพรียงกนั ทากิจที่สงฆจ์ ะตอ้ ง
ทา
๓. ไม่บัญญัติในส่ิงท่ีพระพุทธเจา้ ไม่ทรงบัญญตั ิ ไม่ลม้ ลา้ งสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้
สมาทานศกึ ษาอยใู่ นสิกขาบทท้งั หลายตามที่พระองคท์ รงบญั ญตั ิไว้
๔. ภิกษุเหล่าใดเป็นผใู้ หญ่ เป็นสงั ฆบิดร เป็นสงั ฆปริณายก เคารพนบั ถอื ภิกษุเหลา่ น้นั เห็น
ถอ้ ยคาของท่านว่าเป็นส่ิงที่ควรรับฟัง
๕. ไมล่ อุ านาจตณั หาคือความอยากท่ีเกิดข้ึน
๖. ยนิ ดีในเสนาสนะปุา
๗. ต้งั สติระลึกไวใ้ นใจว่า เพื่อนพรหมจารีท้งั หลายผมู้ ีศีลงาม ซ่ึงยงั ไม่มา ขอให้มา ที่มา
แลว้ ขอใหอ้ ยผู่ าสุก
ข. ประกอบด้วยหลกั สาราณยี ธรรม : ธรรมเป็ นเหตใุ ห้ระลกึ ถึงกนั ๔๙
หลกั ธรรมน้ีเป็ นธรรมเพ่ือใหร้ ะลึกถึงกนั รักกนั เคารพกนั มคี วามสงเคราะห์ ไม่ววิ าทกนั
มีความพร้อมเพรียงเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ของภิกษุผเู้ ผยแผธ่ รรมคือ
๑. ต้งั มนั่ เมตตากายกรรม ในเพื่อนพรหมจารีท้งั หลาย
๒. ต้งั มนั่ ในเมตตาวจีกรรม ในเพ่ือนพรหมจารีท้งั หลาย
๓. ต้งั มนั่ ในเมตตามโนกรรม ในเพือ่ นพรหมจารีท้งั หลาย
๔. สาธารณโภคี แบ่งปันลาภผลท่ีไดม้ าโดยชอบ
๕. สีลสามญั ญตา มศี ีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไมด่ ่าง ไม่พร้อย
๖. ทิฏฐิสามญั ญตา มีความเห็นเพ่อื ความส้ินทุกขโ์ ดยชอบอนั เดียวกนั
บุคคลผอู้ ย่ใู นฐานะนกั เผยแผเ่ ม่ือปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมน้ีย่อมทาใหเ้ ป็ นที่รัก เป็ นท่ีเคารพ
เป็นไปเพื่อความสงเคราะหก์ นั เพอ่ื ความสามคั คี เพ่อื ความเป็นอนั เดียวกนั
๔๘ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๖/๘๒-๘๓, องฺ.สตตฺ ก. (ไทย) ๒๓/๒๓/๓๗-๓๘
๔๙ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๓๔/๓๒๑-๓๒๒, องฺ.ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/๑๒/๔๒๗-๔๒๘.
๒๒๖
ค. ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม ๗ ประการ๕๐
ภิกษุผเู้ ผยแผต่ อ้ งมหี ลกั สปั ปุริสธรรม ดงั ท่ีมาในสตั ตกนิบาต องั คุตตรนิกาย วา่
๑. มีธมั มญั ญุตา เป็นผรู้ ู้ธรรมะคือหลกั การ หลกั ความจริง เน้ือหาสาระของเร่ืองที่จะสื่อสาร
รู้แจง้ แทงตลอดในทฤษฏแี ละปฏิบตั ิในศาสตร์และศิลป์ ของตน
๒. มอี ตั ถญั ญุตา รู้จกั เน้ือหาสาระ ความหมาย ความมงุ่ หมาย วตั ถุประสงคข์ องการส่ือสาร
ท่ีแน่นอน
๓. มีอตั ตญั ญุตา รู้จกั ตนเอง รู้ว่าตนคือใคร มีความพร้อมหรือไม่อย่างไร การรู้จกั ตนเอง
เป็นส่ิงท่ีสาคญั ยงิ่ สามารถรับรู้ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และมีวิจารณญาณที่สุขมุ รอบคอบ มีเหตุมีผล
ทาใหก้ ารส่ือสารมีประสิทธิภาพยง่ิ ข้ึน
๔. มีมตั ตญั ญุตา รู้จกั ประมาณ รู้จกั ความพอดี การส่ือสารบางอยา่ งหากมากเกินไป ผรู้ ับ
สารก็รับไม่ได้ หากนอ้ ยเกินไปกไ็ ม่เพยี งพอ การรู้ประมาณในการสื่อสาร คือไมส่ ่งสารซ้าซากมาก
จนเกินไปหรือนอ้ ยเกินไป
๕. มกี าลญั ญุตา รู้จกั เวลา ผสู้ ่งสารตอ้ งรู้จกั เวลาในการสื่อสารว่าเวลาไหนควร เวลาไหนไม่
ควร รู้จกั เลอื กเน้ือหาใหเ้ ขา้ กบั สถานการณ์และเวลาในขณะน้นั ๆ ไดด้ ี
๖. มีปริสัญญุตา รู้จกั ชุมชน รู้จักสังคม ยิ่งรู้จกั มากเท่าไร ประสิทธิภาพในการเผยแผ่
พระพทุ ธศาสนายง่ิ มีมากข้ึนเท่าน้นั
๗. มีปุคคลปโรปรัญญุตา รู้จกั ความแตกต่างระหว่างบุคคล ว่าผฟู้ ังแต่ละคนแต่ละกลุม่ มี
ลกั ษณะ มจี ริตอธั ยาศยั มศี กั ยภาพในการรับฟังธรรมมากนอ้ ยเพยี งไร
ง. ประกอบด้วยองค์แห่งธรรมกถึก ๕ ประการ๕๑
ภิกษุผเู้ ผยแผธ่ รรมตอ้ งประกอบดว้ ยองคแ์ ห่งธรรมกถกึ พึงต้งั ธรรม ๕ อยา่ ง ไวใ้ นใจ คือ
๑. เราจกั กลา่ วช้ีแจงไปตามลาดบั (อนุปุพฺพิกถ )
๒. เราจกั กล่าวช้ีแจงยกเหตุผลมาแสดงใหเ้ ขา้ ใจ (ปริยายทสฺสาวี)
๓. เราจกั แสดงดว้ ยอาศยั เมตตา (อนุทยต ปฏิจฺจ)
๔. เราจกั ไมแ่ สดงดว้ ยเห็นแก่อามิส (น อามิสนฺตาโร)
๕. เราจกั แสดงไปโดยไม่กระทบตนและผอู้ ืน่ (อตฺตานญฺจ ปรญฺจ อนุปหจฺจ)
๕๐ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๐/๓๓๓, องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๖๘/๑๔๓-๑๔๕.
๕๑ องฺ. ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๕๙/๒๖๓.
๒๒๗
เหล่าน้ีเป็ นหลกั ธรรมะที่สาคญั ท่ีพระพุทธเจา้ ทรงตรัสสอนพระสาวกผทู้ าหน้าท่ีเผยแผ่
ธรรมใหป้ ฏิบตั ิตาม ยอ่ มทาใหส้ ามารถถา่ ยทอดความรู้ใหแ้ ก่ผฟู้ ังไดอ้ ยา่ งเต็มท่ีสมตามวตั ถุประสงค์
ของการ เผยแผธ่ รรมไดโ้ ดยง่าย
ดงั ตวั อยา่ งธรรมท่ีพระองคต์ รัสไว้ เน้นไปท่ีบุคคลผรู้ ับฟังคือว่าภิกษุผเู้ ผยแผต่ อ้ งคาดหวงั
ใหผ้ ฟู้ ังไดร้ ับผล ๕ ประการ๕๒ จากการรับฟัง คือ
๑. ผฟู้ ังยอ่ มไดฟ้ ังส่ิงท่ีไม่เคยฟัง
๒. ส่ิงใดไดเ้ คยฟังแลว้ แต่ไม่เขา้ ใจชดั ยอ่ มเขา้ ใจสิ่งน้นั ชดั
๓. บรรเทาความสงสยั ที่มเี สียได้
๔. ทาความเห็นใหถ้ กู ตอ้ งได้
๕. จิตของผฟู้ ังยอ่ มผอ่ งใส
สรุปท้ายบท
สรุปได้ว่า พระพุทธองคท์ รงตรัสสอนหลกั การที่ภิกษุผทู้ าหนา้ ท่ีเผยแผ่พระพุทธศาสนา
จะตอ้ งมีหลกั ธรรมประจาใจท่ีพึงปฏิบตั ิ คือ ตอ้ งมีหลกั อปริหานิยธรรม ๗ ประการ หลกั สาราณิย
ธรรม ๖ ประการ หลกั สปั ปุริสธรรม ๗ ประการ และจะตอ้ งมอี งคแ์ ห่งพระธรรมกถึก ๕ ประการ
ท้งั น้ีเพ่ือให้ผทู้ าหนา้ ท่ีเผยแผส่ ามารถถ่ายทอดความรู้ไดอ้ ยา่ งเต็มท่ีทาให้การเผยแผ่เกิดประโยชน์
สูงสุด
๕๒ องฺ. ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๒๐๒/๓๔๔.
๒๒๘
กิจกรรมท้ายบท
๑. พระพุทธเจา้ ทรงวางหลกั เกณฑ์การศึกษาเรียนรู้เก่ียวกบั ศาสนธรรมไวอ้ ย่างไรบ้าง
ศาสนธรรมท้งั ในส่วนของพระธรรมและพระวินยั มคี วามสาคญั ต่อพระพทุ ธศาสนาอยา่ งไรบา้ ง
๒. การศึกษาความหมายของธรรมนิเทศ ผศู้ ึกษาควรพิจารณาจากหลกั การใดบา้ ง แต่ละ
หลกั การมรี ายละเอยี ดอยา่ งไร และไดข้ อ้ สรุปเกี่ยวกบั ความหมายของธรรมนิเทศวา่ อยา่ งไร
๓. คาว่า “เผยแผ่” และ “เผยแพร่” มีความแตกต่างหรือเหมอื นกนั อยา่ งไร เพราะเหตุใดจึง
ใชค้ าวา่ “เผยแผ”่ กบั พระพทุ ธศาสนา
๔. ความสาคญั ของธรรมนิเทศว่าดว้ ยการประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจา้ มีจุดเร่ิม
ตามลาดบั อยา่ งไรบา้ ง อธิบายพอสงั เขป
๕. การเลือกประดิษฐานพระศาสนาท่ีแควน้ มคธ มีแนวทางในการคิดวิเคราะห์เพื่อให้
ทราบถงึ พระประสงคข์ องพระพทุ ธเจา้ เกี่ยวกบั เร่ืองน้ีอยา่ งไรบา้ ง
๖. ปฐมเทศนา เรื่อง ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร มใี จความสาคญั กลา่ วถงึ เร่ืองใดบา้ ง เพราะเหตุ
ใดพระพทุ ธเจา้ จึงทรงแสดงปฐมเทศนาเร่ืองน้ีโปรดเบญจวคั คีย์
๗. พระธรรมเทศนาเรื่อง อาทิตตปริยายสูตร มีใจความสาคญั กล่าวถึงเรื่องใดบา้ ง เพราะ
เหตุใดพระพทุ ธเจา้ จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาเร่ืองน้ีโปรดชฎิลสามพ่นี อ้ ง
๘. การพฒั นาศรัทธาและปัญญาที่ถกู ตอ้ งตามหลกั พระพุทธศาสนา มีแนวทางและวิธีการ
ปฏบิ ตั ิอยา่ งไรบา้ ง
๙. การฝึ กอบรมตนและและการพ่ึงพาตนเองตามหลกั พระพุทธศาสนา มีแนวทางและ
วธิ ีการปฏิบตั ิอยา่ งไรบา้ ง
๑๐. การประยกุ ต์หลกั นิเทศสมยั ใหม่ เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ควรใชแ้ นวทางใน
การพจิ ารณาอยา่ งไรบา้ ง และไดห้ ลกั ปฏบิ ตั ิเกี่ยวกบั เร่ืองน้ีอยา่ งไรบา้ ง
บทท่ี ๘
การพฒั นาบุคลกิ ภาพเกี่ยวกับการส่ือสาร
๘.๑ ความหมายของบุคลกิ ภาพ
ในบทน้ีจะพดู ถึงการพฒั นาบุคลิกภาพ คาว่า บุคลิกภาพ” เดิมทีใชค้ าว่า บุคลิกลกั ษณะ ๆ
น้นั หมายถึงลกั ษณะของบุคคลที่เป็ นส่วนรูปร่างหน้าตา กิริยาท่าทาง อนั เป็ นพฤติกรรมภายนอก
ต่อมานิยมใชค้ าว่า บุคลิกภาพ เพราะมีความหมายกวา้ ง กล่าวคือหมายถึงส่วนรวมของพฤติกรรม
ของบุคคลในทุก ๆ ดา้ น ไม่ว่าจะเป็ นชีวิต ในดา้ นส่วนตวั ดา้ นกิจกรรม หรือดา้ นสังคมทวั่ ไป๑
ส่วนในภาษาองั กฤษตรงกับคาว่า “Personality” ซ่ึงมีรากศพั ท์มาจากภาษาละตินว่า persona มี
ความหมายวา่ “Mask” แปลว่า “หนา้ กาก” “สาหรับตวั ละครท่ีใชส้ วมหนา้ เวลาออกแสดง เวลาออก
โรง เพ่ือแสดงบทบาทท่ีกาหนดใหใ้ นการเล่นละครของกรีกและโรมนั โบราณ”๒ ตวั โขนตวั ละคร
สวมหน้ากากใดก็พูดเต้น แสดงพฤติกรรม กระทาบทบาทไปตามสถานภาพน้ัน ๆ เช่น ผสู้ วม
หน้ากากหัวลิงกต็ อ้ งร้องและทากิริยาท่าทางเหมือนลิง ผสู้ วมหน้ากากของผรู้ ้ายกต็ อ้ งแสดงให้สม
กับผูร้ ้าย และคาว่า persona น้ีมาจากคาว่า per กบั คาว่า sonar หมายถึงหน้ากากท่ีได้รับการ
ดดั แปลงมาอยา่ งดีเพื่อใหผ้ เู้ ลน่ ละครพดู กบั คนดไู ดส้ ะดวก ดงั น้นั personality จึงคิดกนั วา่ มีความ
เกี่ยวขอ้ งกนั ของบุคคลในขอบเขตผแู้ สดง ผชู้ ม ผดู้ ู ผเู้ ห็น ผฟู้ ัง๓ บุคลิกภาพ หมายถึงสภาพนิสัย
จาเพาะคน๔ บุคลกิ ภาพ หมายถึง ผลรวมของกรรมท้งั สามลกั ษณะแห่งบุคคลโดยเฉพาะกายกรรม
วจีกรรมมโนกรรม คือผลสะท้อนฉายลักษณะเด่นของแต่ละบุคคล ๕ บุคลิกภาพ หมายถึง
คุณลกั ษณะทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมอย่ใู นตวั ของแต่ละบุคคล ซ่ึงมีผลทาให้มีความแตกต่างระหว่าง
๑ กนั ยา สุวรรณแสง, การพฒั นาบุคลกิ ภาพ, (กรุงเทพมหานคร : เจริญรัตนก์ ารพิมพ,์ ๒๕๓๓), หนา้ ๒-
๓.
๒ Barbara, Engler, Personality : Theories, (Boston : Houghton Mifflin Company, ๑๙๘๕), p. ๒.
๓ กวี วงศพ์ ุฒ, การพัฒนาบุคลิกภาพ, (กรุงเทพมหานคร: บริษทั เอเซียแปซิฟิ คพร้ินต้ิง, ๒๕๓๗), หน้า
๒-๓.
๔ ราชบณั ฑติ ยสถาหน้า, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, (กรุงเทพมหานคร :บริษทั
นามบี ุ๊คพบั ลิเคชนั่ จากดั , ๒๕๔๒), หนา้ ๔๘๑.
๕ เดโช สวนานนท,์ จิตวทิ ยาสังคม, (กรุงเทพมหานคร : โพธ์ิสามตน้ การพิมพ,์ ๒๕๑๘), หนา้ ๑๒๘.
๒๓๐
บุคคลท้งั ภายนอกและภายในร่างกายโดยส่วนรวม ลกั ษณะท่าทางที่แสดงออกของแต่ละบุคคล เช่น
การพดู จา การแต่งกายและอารมณ์ที่แสดงออกมา๖
บุคลิกภาพ หมายถึงผลรวมขององคป์ ระกอบเชิงจิตวิทยาสงั คมภายในตวั ปัจเจกบุคคล
ซ่ึงสะทอ้ นใหเ้ ห็นแบบแผนความคิด อารมณ์ ความรู้สึกและภาพพจน์เกี่ยวกบั ตนเองของแต่ละ
บุคคล และเป็ นผลของการปรุงแต่งของปัจจัยท้ังทางด้านชีววิทยา จิตวิทยา สังคมวิทยาและ
วฒั นธรรมบุคลิกภาพ หมายถึงผลรวมขององคป์ ระกอบเชิงจิตวิทยาสงั คมภายในตวั ปัจเจกบุคคล
ซ่ึงสะท้อนใหเ้ ห็นแบบแผนความคิด อารมณ์ ความรู้สึกและภาพพจน์เก่ียวกบั ตนเองของแต่ละ
บุคคล และเป็ นผลของการปรุงแต่งของปัจจัยท้ังทางด้านชีววิทยา จิตวิทยา สังคมวิทยาและ
วฒั นธรรม๗ บุคลิกภาพ คือ ลกั ษณะหรือเอกลกั ษณ์ประจาตวั ของแต่ละบุคคล ซ่ึงมผี ลต่อบุคคลน้นั
ในดา้ นการเกี่ยวขอ้ งสัมพนั ธ์กบั บุคคลอื่นและต่อการแสดงพฤติกรรม๘ บุคลิกภาพ คือลกั ษณะ
เฉพาะตวั ของแต่ละบุคคลในดา้ นต่าง ๆ ท้งั ส่วนภายในและส่วนภายนอก ส่วนภายนอกคือส่วนท่ี
มองเห็นชดั เจน เช่น รูปร่างหน้าตา กิริยามารยาท การแต่งตวั วิธีพูดจา การน่งั การยนื เป็นตน้
ส่วนภายในคือส่วนที่มองเห็นไดย้ าก แต่อาจทราบไดโ้ ดยการอนุมาน เช่น สติปัญญา ความถนัด
ลกั ษณะประจาตวั ความใฝ่ ฝันปรารถนา ปรัชญาชีวติ ค่านิยม ความสนใจ๙ บุคลกิ ภาพท่ีสมบูรณ์
คือแนวทางที่บุคคลประพฤติซ่ึงตอ้ งอาศยั สติปัญญา ความเช่ือถือและศรัทธาต่อชีวิต ซ่ึงจะทาให้
ความตอ้ งการต่าง ๆ ของบุคคลไดร้ ับการตอบสนอง ทาใหเ้ ขาสามารถพฒั นาตนเองใหม้ สี ติรู้ตวั อยู่
เสมอ มีความรักตนเอง รักธรรมชาติ และรักผอู้ นื่ ๑๐ บุคลิกภาพ คือวิถีแห่งการคิดและการกระทาซ่ึง
๖ ยงยทุ ธ เกษสาคร, ภาวะผู้นาและการจูงใจ, (กรุงเทพมหานคร : ศนู ยเ์ อกสารและตาราสถาบนั ราชภฎั
สวนดุสิต, ๒๕๔๑), หนา้ ๑๘๔.
๗ วรพล พรหมิกบุตร, สังคมวิทยาจุลภาค, (กรุงเทพมหานคร : วิทยาลัยเกษมบณั ฑิต, ๒๕๓๑), หน้า
๓๘.
๘ กวี วงศพ์ ุฒ, การพัฒนาบุคลกิ ภาพ, อา้ งแลว้ , หนา้ ๑๘.
๙ ศรีเรือน แก้วกังวาหน้า, ทฤษฎีการพัฒนาบุคลิกภาพ, (กรุงเทพมหานคร : เรือนแกว้ การพิมพ์,
๒๕๓๙), หนา้ ๕.
๑๐ มกุ ดา ศรียงค,์ บุคลิกภาพสมบูรณ์, (กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พม์ หาวิทยาลยั รามคาแหง, ๒๕๓๔),
หนา้ ๑๘.
๒๓๑
เป็ นตวั สร้างอตั ลกั ษณ์ของแต่ละบุคคลในฐานะเป็ นปัจเจกบุคคล๑๑ บุคลิกภาพ หมายถึงลกั ษณะ
ส่วนรวมของบุคคลแต่ละคนอนั เป็ นแนวทางในการปรับปรุงตวั ให้เขา้ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ซ่ึงแต่ละคน
จะมรี ูปแบบของการแสดงออกทางพฤติกรรมต่าง ๆ กนั ๑๒
พระพรหมคณุ าภรณ์(ป.อ.ปยตุ ฺโต) ไดก้ ลา่ วใหร้ ายละเอยี ดของ การพฒั นามนุษยไ์ วว้ ่า
“เราเอาความจริงของธรรมดา นี่แหละมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนามนุษย์ ก็เรียกว่า
การศกึ ษาเป็นระบบท่ีการพฒั นาตอ้ งพฒั นาไปดว้ ยกนั ๓ ดา้ น คือ
๑) การพฒั นาในดา้ นความสมั พนั ธก์ บั ส่ิงแวดลอ้ มเรียกว่า “ศลี ”
๒) การพฒั นาดา้ นเจตจานง ลงไปถึงคุณสมบตั ิในจิตใจกเ็ ป็น “สมาธิ” ซ่ึงรวมถึงเรื่องของ
คุณธรรมความดี เร่ืองของสมรรถภาพ และประสิทธิภาพของจิตใจเป็ นความเขม้ แข็ง หนกั แน่น
เพียรพยายาม สติ สมาธิ แลว้ ก็เร่ืองความสุขความร่าเริง เบิกบาน ผ่องใส ฯลฯ ที่เป็ นคุณสมบตั ิ
สาคญั ของจิตใจ
๓) การพฒั นาด้านปัญญา ความรู้ความเขา้ ใจ การรู้จกั มองส่ิงท้งั หลายตามที่มนั เป็ น และ
ความสามารถแยกแยะวิเคราะห์สืบสาวหาเจตปัจจยั อะไรต่าง ๆ
ท้งั สามดา้ นน้ีจะตอ้ งพฒั นาไปดว้ ยกัน เป็ นระบบท่ีเราเรียกว่าบูรณาการก็มาในระบบท่ี
เรียกวา่ ไตรสิกขา น้ีแหละและเมอ่ื ไตรสิกขาพฒั นาคนไปอยา่ งน้ีแลว้ กว็ ดั ผลดว้ ยภาวนา ๔ คือ
๑. กายภาวนา การพฒั นาดว้ ยความสมั พนั ธก์ บั สิ่งแวดลอ้ มที่เป็นกายภาพหรือทางวตั ถุ
๒. ศีลภาวนา การพฒั นาความสมั พนั ธก์ บั สิ่งแวดลอ้ มทางสังคมดา้ นเพ่ือนมนุษย์ รวมท้งั
สตั วท์ ้งั หลายอน่ื ดว้ ย
อนั น้ีแยกไดช้ ดั กายภาวนาสมั พนั ธ์กบั สิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพ เช่น พวกธรรมชาติ พวก
วตั ถุ พวกสิ่งเสพบริโภค ส่ิงที่ตาดู หูฟัง อะไรต่าง ๆ ส่วนศีลภาวนา เป็นการสมั พนั ธก์ บั เพอ่ื นมนุษย์
คือ ทางสงั คม
๓. จิตตภาวนา การพฒั นาด้านจิตใจ ที่อาศยั สมาธิเป็ นตัวแกนในการเบิกและมีบทบาท
ออกมาทางเจตจานง
๔. ปัญญาภาวนา การพฒั นา ดา้ นปัญญา ความรู้ความเขา้ ใจ คิดได้ หยงั่ เห็น
๑๑ Encyclopaedia Britannica, (London : Encyclopaedia Britannica, Ltd. London, vols 17, 1959), p.
605.
๑๒ Ernest, R. Hilgard, Introduction to Psychology, (New York : Harcourt Brace and World Inc.,
1965), p. 109.
๒๓๒
ตอนน้ีใชใ้ นการวดั ผลจึงเป็ นภาวนา ๔ แต่ในเวลาศึกษาคือ ขณะปฏิบัติในชีวิตจริงเป็ น
ไตรสิกขา การท่ีแยกเป็นภาวนา ๔ กเ็ พื่อใชใ้ นการท่ีจะดูใหช้ ดั แยกดูได๔้ ดา้ น แต่ในเวลาปฏบิ ตั ิจริง
กายภาวนาและศีลภาวนาเป็ นข้อเดียวกัน คือ ในเร่ืองหน่ึงหรื อในขณะหน่ึงน้ีเราสัมพนั ธ์กับ
สิ่งแวดลอ้ มอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง คือ ทางกายภาพหรือทางสงั คม ตอ้ งเอาอยา่ งเดียว
ฉะน้ัน ๒ ขอ้ แรกในภาวนา ๔ น้ี เวลาเป็นไตรสิกขาจึงรวมกนั เป็นขอ้ เดียวเพราะเอาตามท่ี
เป็ นจริงในชีวิต ซ่ึงเป็ นองค์รวมอนั น้ี ก็คือ เร่ืองของระบบง่าย ๆ ท่ีว่าน้ีเป็ นการพดู ในแง่ให้เห็นว่า
อนั น้ี คือ ความเป็นจริง ตามธรรมดาของธรรมชาติการศึกษาก็มาจากธรรมดาน่ีแหละเพราะมนุษยม์ ี
ชีวิตท่ีแบ่งไดเ้ ป็ นสามแดน ท่ีไปดว้ ยกนั อย่างน้ีฉะน้นั การจดั การศึกษาก็จึงเป็ น ศีล สมาธิ ปัญญา
ข้ึนมาตามธรรมดา ก็เท่าน้นั เอง”๑๓
พทุ ธทาสภกิ ขุ ไดใ้ หค้ วามหมายของคาว่า ชีวิตพฒั นา ไวว้ า่
“จิตตภาวนา กค็ ือ ชีวติ พฒั นา จิตตภาวนาคือการทาจิตใหเ้ จริญ กค็ ือ ชีวติ พฒั นานน่ั คือ การ
พฒั นาชีวติ หมายความว่า ทาใหม้ ากข้ึน ใหด้ ีข้ึน จึงจะเรียกว่า พฒั นา ถา้ มากข้ึนแต่ไม่ดีข้ึนหรือเลว
ลง อยา่ งน้ีไมเ่ รียกว่า พฒั นา”๑๔
UNESCO กา หนดองคป์ ระกอบของคุณภาพชีวติ ไว้ ๗ ดา้ น ดงั น้ี
๑) อาหาร ๒) สุขภาพ ๓) การศึกษา ๔) สิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากร ๕) ที่อยอู่ าศยั และการ
ต้งั ถ่นิ ฐาน ๖) การมีงานทา ๗) ค่านิยมและศาสนา จริยธรรม กฎหมาย และปัจจยั ดา้ นจิตวิทยา๑๕
นิพนธ์ คนั ธเสวี ไดใ้ ห้ความหมายคุณภาพชีวติ ไวว้ า่ คุณภาพชีวิตคือ สภาพความเป็ นอยู่
ของบุคคลในดา้ นร่างกาย อารมณ์ สงั คม ความคิดและจิตใจ หากสภาพความเป็นอยขู่ องบุคคลไม่ดี
ไมน่ ่าพอใจ กแ็ สดงวา่ คุณภาพชีวิตของบุคคลน้ีต่ากว่าความคาดหมาย๑๖ นิพนธ์ คนั ธเสวี ยงั สรุปอีก
วา่ มิติต่าง ๆ ของคุณภาพชีวิตมี ๖ ดา้ น คือมิติดา้ นร่างกาย มิติดา้ นอารมณ์ มิติดา้ นสภาพแวดลอ้ ม
ทางกายภาพ มิติดา้ นสภาพแวดลอ้ มทางวฒั นธรรม มิติดา้ นความคิด และมิติทางดา้ นจิตใจ มิติท่ีถือ
วา่ จาเป็ นและสาคัญท่ีคนเราในปัจจุบนั ขาดหายไปและพยายามแสวงหามากท่ีสุดคือ มิติทางดา้ น
๑๓ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), รู้หลักก่อนแล้วศึกษาและสอนให้ได้ผล, (กรุงเทพมหานคร : บริษทั
พมิ พส์ วยจากดั , ๒๕๔๗), หนา้ ๑๓๖.
๑๔ พุทธทาสภิกข,ุ ธรรมทศั น์ของพทุ ธทาส อย่อู ย่างพทุ ธ, (กรุงเทพมหานคร : สุขภาพใจ,๒๕๔๔), หน้า
๔๔.
๑๕ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑ – ๕.
๑๖ นิ พ น ธ์ คัน ธ เส วี,คุ ณ ภ าพ ชี วิต ใน “ก ารศึ ก ษ าแล ะวัฒ น ธรรม ป ระมว ลบ ท ความ ท าง
วิชาการ”(สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ), (กรุงเทพมหานคร : บริษทั ประชาชนจากดั , ๒๕๒๖) หน้า ๙๓ –
๙๔.
๒๓๓
จิตใจ คือ การมีคุณธรรมในส่วนตัวและสังคม การมีจิตใจเรื่องสามารถเผชิญกบั อุปสรรคปัญหา
ต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนดว้ ยหลกั พุทธธรรม๑๗
พระพทุ ธศาสนา ไดว้ างแนวทางการพฒั นาบุคคลซ่ึงเปรียบไดก้ บั การพฒั นาคุณภาพชีวิต
เพ่ือไปสู่จุดหมายสูงสุดของชีวิต คือ ความพน้ ทุกข์ ไดแ้ ก่ ๑. กายภาวนา การพฒั นากาย ๒. ศีล
ภาวนา การพฒั นาความประพฤติ๓. จิตตภาวนา การพฒั นาจิต ๔. ปัญญาภาวนาการพฒั นาปัญญา๑๘
ในพระพุทธศาสนายงั สอนให้บุคคลพฒั นาคุณภาพชีวิตด้านวตั ถุและจิตใจให้มีความสมดุล
นอกจากน้ียงั ได้สอนเน้นด้านจิตใจเป็ นพิเศษกว่าในบรรดาทรัพยส์ มบัติท้ังหลายในโลกน้ี
อริยทรัพย๗์ ประการ เหล่าน้ีสูงส่งกว่าและประเสริฐท่ีสุด คือ ๑. ความเช่ือท่ีมีเหตุผล ๒. การรักษา
กายวาจาใจให้เรียบร้อย ๓. การรู้สึกละอายต่อการทาความชั่ว ๔. การเกรงกลวั ต่อการทาชวั่ ๕.
ความเป็ นผไู้ ดศ้ ึกษาเล่าเรียนมามาก ๖. การรู้จกั เอ้อื เฟ้ื อเสียสละ ๗. การมปี ัญญาเขา้ ใจ อยา่ งถ่องแท้
ในเหตุผลดีชว่ั ถกู ผดิ คุณโทษ ประโยชน์แต่มีใชป้ ระโยชน์ อริยทรัพยท์ ้งั ๗ ประการน้ี เห็นทรัพย์
อนั ประเสริฐอย่ภู ายในจิตใจ มีคุณค่าสูงกว่าทรัพยภ์ ายนอก ผใู้ ดแยง่ ชิงไม่ไดไ้ ม่สูญหายไปดว้ ยภยั
อนั ตราบใด ๆ ทาใหไ้ มย่ ากจนและเป็นทุนสร้างทรัพยส์ มบตั ิภายนอก๑๙
สรุปว่า บุคลิกภาพเป็ นผลรวมท้งั หมดของท่าทาง รูปร่างลกั ษณะทางกาย พฤติกรรมท่ี
แสดงออก แนวโนม้ ทางการกระทา ขอบเขตความสามารถท้งั ที่เร้นอยภู่ ายในและท่ีแสดงออกมาให้
เห็นเป็ นกระบวนการรวมกนั ระหว่างลกั ษณะต่าง ๆ ของบุคคล (รวมท้ังลกั ษณะทางร่างกายและ
จิตใจ) อย่างเป็ นแบบฉบับเดียว ซ่ึงแต่ละลักษณะต่างก็มีความสัมพันธ์กันและรวมกันเป็ น
ลกั ษณะเฉพาะประจาของแต่ละบุคคลหมายถงึ กระบวนการสร้างหรือการจดั ส่วนประกอบของแต่
ละบุคคลท้งั ภาพในและภาพนอกซ่ึงบุคลิกภาพน้ีจะทาหนา้ ท่ีเป็ นเคร่ืองกาหนด ตดั สิน พิจารณา
ลกั ษณะพฤติกรรมและความนึกคิดของบุคคลน้นั คุณสมบตั ิหรือคุณลกั ษณะเด่นของบุคคล รวมท้งั
การปรับตวั ของบุคคลต่อสิ่งแวดลอ้ มต่าง ๆ” ซ่ึงเป็นทศั นะของนกั วิชาการไทย คือลกั ษณะเฉพาะ
ของบุคคลท่ีแสดงออกมาทางกาย วาจา และใจ ซ่ึงมลี กั ษณะเด่นแตกต่างกนั และมผี ลต่อการปรับตวั
ของบุคคลในเชิงจิตวิทยาสังคม กระบวนการสร้าง วิถีแห่งการคิดและการกระทา ตลอดถึง
คุณลกั ษณะเด่นของแต่ละบุคคลท่ีแสดงออกมาใหเ้ ห็นภาพลกั ษณ์ภายนอกและภายใน และเป็นตวั
ตดั สิน หรือกาหนดพฤติกรรมของเขาดว้ ย “บุคลกิ ภาพ” ในทศั นะของนักวชิ าการท้งั ชาวไทยและ
๑๗ เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๑ – ๕.
๑๘ องฺ ปญฺจก.(ไทย) ๒๒/๗๙/๑๔๔.
๑๙ ท.ี ปา (ไทย) ๑๑/๓๒๖/๒๖๔.
๒๓๔
ชาวตะวนั ตกน้ัน ทาใหเ้ ห็นทศั นะท่ีมีความคลา้ ยกนั คือ “บุคลิกภาพ” คือผลรวมแห่งคุณลกั ษณะ
ทางกาย วาจาใจ พฤติกรรมท่ีแสดงออกมาท้งั หมด มีลกั ษณะเด่นเฉพาะตนและมีลกั ษณะเป็ นคา
กลางๆ ยงั ไม่ระบุว่าดีหรือไมด่ ี ส่วนความแตกต่างกนั คือ ทศั นะของชาวตะวนั ตกมองวา่ บุคลกิ ภาพ
คือระบบ หรือกระบวนการคิดและการกระทาทุกอยา่ งของแต่ละบุคคลโดยสัมพนั ธก์ บั สิ่งแวดลอ้ ม
อยา่ งเป็นรูปธรรม คือ เป็นกระบวนการที่สามารถวดั ผลประเมินผลไดด้ ว้ ยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ครอบคลุมท้ังในเชิงจิตวิทยาและสังคมวิทยา ส่วนทัศนะของนักวิชาการชาวไทยมองว่า
“บุคลิกภาพ” คือ พฤติกรรมท่ีเช่ือมโยงกบั การกระทาทางไตรทวารในลกั ษณะโน้มเอียงไปทาง
นามธรรมมากกว่า กล่าว คือ เป็ นพฤติกรรมหรือการแสดงออกที่เน้นความสัมพนั ธใ์ นเชิงสงั คม
วทิ ยา
๘.๒ ประเภทของบุคลกิ ภาพ
เมื่อทราบความหมายของบุคลกิ ภาพโดยรวมแลว้ ส่ิงที่จาเป็นตอ้ งทาความเขา้ ใจและทราบ
อีกอยา่ งหน่ึงก็คือ ประเภทของบุคลิกภาพ เพราะเป็ นการจาแนกให้เห็นลกั ษณะพฤติกรรมของ
มนุษยอ์ ยา่ งกวา้ ง ๆ โดยไม่จาเพาะเจาะจงบุคคลใด เป็นการจาแนกใหม้ องเห็นภาพลกั ษณ์อนั เป็ น
สากลที่มีอยู่ ในบุคคลทวั่ ไปท้งั ภายในและภายนอก หรือท้งั ทางร่างกายและจิตใจ บุคลิกภาพ มี
ดงั น้ี
๘.๒.๑ บุคลกิ ภาพของมนุษย์โดยทวั่ ไป
บุคลกิ ภาพโดยทวั่ ไป แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ๒๐คือ
๑. บุคลิกภาพภายนอก เป็ นลกั ษณะท่ีสามารถมองเห็นหรือสังเกตได้ สัมผสั ได้ดว้ ย
ประสาทสัมผสั ท้งั ๕ ไดแ้ ก่ รูปร่างหนา้ ตา กิริยามารยาท ลกั ษณะการเดิน ยนื นงั่ สีหนา้ แววตา
การปรากฏตวั ในสงั คม การแต่งกาย น้าเสียงท่ีพดู ลกั ษณะการพดู สานวนการพดู เป็นตน้
๒. บุคลิกภาพภายใน เป็ นลกั ษณะที่มองไม่เห็น สังเกตได้ยาก เป็ นภาวะท่ีอย่ภู ายใน
ต่อเมื่อคบคา้ สมาคมกนั นาน ๆ จึงรู้จกั ได้ ไดแ้ ก่ สติปัญญา อารมณ์ ความรอบรู้ ความคิดริเริ่ม
๒๐ ยงยทุ ธ เกษสาคร, ภาวะผู้นาและการจงู ใจ,(กรุงเทพมหานคร: ศนู ยเ์ อกสารและตาราสถาบนั ราชภัฃ
สวนดุสิต, ๒๕๔๑),น. ๑๙๐.
๒๓๕
สร้างสรรค์ ปฏิภาณไหวพริบ ความจา ค่านิยม ความเช่ือมน่ั ในตนเอง ความมน่ั คงทางอารมณ์
ความมอี ารมณ์ขนั ความกระตือรือร้น ความซื่อสตั ย์ ความรับผดิ ชอบ ความเสียสละ เป็นตน้
๘.๒.๒ บุคลกิ ภาพตามแนวของพระพุทธศาสนา
บุคลิกภาพตามแนวของพระพุทธศาสนา ในพระพุทธศาสนาน้นั แบ่งบุคลิกภาพออกเป็ น
๒ ประเภท๒๑ คือ
๑. บุคลิกภาพทางปัญญา หมายถงึ บุคลิกภาพของบุคคลที่แบ่งตามความรู้ความสามารถใน
การบรรลุธรรม หรือแบ่งตามศกั ยภาพในการบรรลุธรรม ไดแ้ ก่บุคคล ๔ ประเภท คือ อุคฆ
ติตัญญู ผรู้ ู้ได้เร็ว วิปจิตัญญู ผรู้ ู้ได้ต่อเมื่ออธิบาย เนยยะ ผทู้ ี่ตอ้ งยกตวั อยา่ งประกอบจึงรู้ได้
และปทปรมะ ผทู้ ่ีไมส่ ามารถสอนใหบ้ รรลธุ รรมได้
๒. บุคลิกภาพทางพฤติกรรม หมายถึงบุคลิกภาพที่จาแนกตามพฤติกรรมที่แสดงออก
หรือจริต ๖ อยา่ ง คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต วติ กจริต สทั ธาจริต และพุทธิจริต
๘.๒.๓ ลกั ษณะของบุคลกิ ภาพ
พดู ถงึ เร่ืองลกั ษณะของบุคลกิ ภาพ บุคลกิ ภาพแบ่งออกเป็น ๗ ลกั ษณะ๒๒ คือ
๑) บุคลกิ ภาพทางกาย ไดแ้ ก่ รูปร่าง หนา้ ตา สีผวิ ความสูง เป็นตน้
๒) บุคลิกภาพทางจิตใจ ไดแ้ ก่ ความจา ความลืม ความสนใจ เป็นตน้
๓) บุคลิกภาพทางความสามารถ เช่น ความสามารถในการทางาน การแกไ้ ขปัญหา
เฉพาะหนา้ เป็นตน้
๔) บุคลิกภาพทางอปุ นิสยั หมายถึงความประพฤติ ความสุภาพอ่อนโยน ความซื่อสตั ย์
เป็ นตน้
๒๑ มนั่ เกียรติ โกศลนิรัตวิ งษ์, พุทธธรรม: เทคนิคในการให้คาปรึกษา (กรุงเทพมหานคร: สุวีริยาสาส์น,
๒๕๔๑), น. ๑๑๒-๑๑๘.
๒๒ ริเรืองรอง รัตนวิไลสกุล, มนุษยสัมพันธ์ (กรุงเทพมหานคร: โครงการส่งเสริมการสร้างตารา
งานเอกสารและการพมิ พ์ สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบรุ ี, ๒๕๔๐), น. ๕๕-๕๖.
๒๓๖
๕) บุคลิกภาพทางสงั คม หมายถึงพฤติกรรมท่ีแสดงออกต่อผอู้ ่ืน เช่น การคบคา้ สมาคม
ชอบเกบ็ ตวั ชอบออกตวั เป็นตน้
๖) บุคลิกภาพทางอารมณ์ หมายถึงความรู้สึกทางจิตใจ ท่ีทาให้เกิดการแสดงออกใน
ลกั ษณะต่าง ๆ เช่น ตื่นเตน้ ตกใจ กลา้ หาญ
๗) บุคลิกภาพทางกาลงั ใจ หมายถึงความสามารถที่จะควบคุมหรือบงั คบั พฤติกรรม
ต่าง ๆ เช่น ความมนั่ คงทางอารมณ์ ความหนกั แน่น เป็นตน้
๘.๒.๔ บุคลกิ ภาพของมนุษย์แบ่งตามความสัมพนั ธ์กบั โครงสร้างทางร่างกาย
บุคลิกภาพของมนุษยแ์ บ่งตามความสัมพนั ธก์ บั โครงสร้างทางร่างกาย แบ่งออกเป็ น ๓
ประเภท๒๓ คือ
๑) ประเภทผอมสูง (Ectomorphy) บุคคลประเภทน้ีมีลกั ษณะเคร่งขรึม เงียบเก็บตวั
๒) ประเภทกายาล่าสัน (Mesomorphy) เป็ นบุคคลกลา้ หาญ กล้าเส่ียงกล้าผจญภัย
เขม้ แขง็ เปิ ดเผย
๓) ประเภทอว้ นเต้ีย (Endomorphy) บุคคลประเภทน้ีชอบเขา้ สังคมมีอารมณ์ร่าเริงแจ่มใส
ใจดี
เมอ่ื กล่าวโดยสรุป บุคลิกภาพมี ๒ ประเภท คือบุคลิกภาพภายนอกและบุคลิกภาพภายใน
อนั เป็ นภาพรวมพฤติกรรมของมนุษยท์ ี่แสดงออกทางร่างกายและจิตใจ กล่าวคือบุคลิกภาพ
ภายนอก(External Personality) เช่นรูปร่างหนา้ ตา กิริยาท่าทาง การพดู การนง่ั การยนื มารยาท การ
แต่งตวั เป็นตน้ บุคลิกภาพภายใน(Internal Personality)คือส่วนท่ีไม่สามารถมองเห็น แต่อาจทราบ
ไดโ้ ดยการอนุมาน หรือการคบคา้ สมาคมกนั เช่น สติปัญญา ความถนัด ลกั ษณะอารมณ์ประจาตวั
ความใฝ่ ฝัน ความปรารถนา ปรัชญาชีวิต ค่านิยม ทศั นคติ ความสนใจ เป็นตน้ บุคลิกภาพท้งั สอง
ส่วนน้ีเป็ นเอกลกั ษณ์ประจาตวั ของแต่ละบุคคลซ่ึงมีผลต่อบุคคลน้ันในดา้ นการเก่ียวขอ้ งสมั พนั ธ์
๒๓ เชลดอน (William Sheldon), อา้ งถึงใน ม.ร.ว. สมพร สุทศั นีย์, มนุษยสัมพนั ธ์ (กรุงเทพมหานคร:
สานกั พิมพจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๗), น. ๗๗-๗๘.
๒๓๗
กบั ผอู้ ื่นและต่อการแสดงพฤติกรรม๒๔ ซ่ึงการแสดงออกทางพฤติกรรมดงั กล่าวอาจจะแสดงออก
ในทางที่ดีหรือไมด่ ีกไ็ ด้ ท้งั น้ีข้ึนอย่กู บั พนั ธุกรรม(genetics) การฝึ กฝนอบรม และสภาพแวดลอ้ ม
ทางสังคม(social environment)ไม่ว่าจะเป็ นครอบครัวท่ีอบอุ่น สังคมที่ประกอบดว้ ยวฒั นธรรม
ประเพณีอนั ดีงาม และหลกั ศีลธรรม(morality)สาหรับขดั เกลาที่แวดลอ้ มบุคคลน้นั อยู่ จะเขา้ มามี
บทบาทต่อบุคคลน้นั มากนอ้ ยเพยี งใด
๘.๓ องค์ประกอบของบุคลกิ ภาพ๒๕
ลกั ษณะบุคลิกภาพของมนุษยม์ ีองค์ประกอบที่สาคญั หลายประการท้งั ท่ีสามารถมองเห็น
ไดแ้ ละไม่สามารถมองเห็นได้ ซ่ึงประกอบดว้ ยโครงสร้างทางร่างกาย บุคลิกภาพทางสติปัญญา
บุคลกิ ภาพทางอารมณ์ บุคลกิ ภาพทางความสามารถ บุคลิกภาพทางสงั คม อธิบายโดยสงั เขปดงั น้ี
(๑) โครงสร้างทางร่างกาย (Physical personality) โครงสร้างทางร่างกาย ไดแ้ ก่ โครงสร้าง
ของร่างกาย รูปร่างหน้าตา ความสูง น้าหนักและสุขภาพ สิ่งเหล่าน้ีแสดงถึงประสิทธิภาพและ
ความเขม้ แขง็ ในตวั บุคคล
(๒) บุคลิกภาพทางสติปัญญา (Intelligence personality) บุคลิกภาพทางสติปัญญา
หมายถึง การปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สถานการณ์ ซ่ึงมีความเก่ียวพนั กบั สมองและความรู้สึกนึกคิด เช่น
การตดั สินใจ การสังเกตความสนใจ การวางแผนการทางาน อุปนิสัย ค่านิยมและเจตคติที่มีต่อคน
อ่ืน เป็นตน้
(๓) บุคลิกภาพทางอารมณ์ (Emotion personality) บุคลิกภาพทางอารมณ์ หมายถึง
ความรู้สึกทางจิตใจที่ทาใหเ้ กิดการแสดงออกและการกระทาในลกั ษณะต่าง ๆ เช่น ใจเยน็ ต่ืนเตน้
หรือตกใจง่าย เป็นตน้
๒๔ ดร.โสภา ชปี ลมนั น์, บุคลิกภาพและพัฒนาการ : แนวโน้มสู่พฤติกรรมปกติและการมีพฤติกรรม
เบี่ยงเบนของเดก็ และเยาวชน (กรุงเทพมหานคร: โอ. เอส. พร้ินตง้ิ เฮา้ ส์, ๒๕๒๖), น. ๖.
๒๕ พระชชั วาล ศรีสุข, “ศาสนากับการพัฒนาบุคลิกภาพ : ศึกษาเปรียบเทียบหลักคาสอนเกี่ยวกับ
การพัฒนาบุคลิกภาพในพุทธศาสนาและศาสนาคริสต์.” (วิทยานิพนธ์มหาบณั ฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ
บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหิดล, ๒๕๔๑), หนา้ ๒๕-๒๖.
๒๓๘
(๔) บุคลิกภาพทางความสามารถ (Ability personality) บุคลิกภาพทางความสามารถ
หมายถึงความสามารถในการทางานท่ีจะเรียนรู้และรับรู้ ซ่ึงเป็ นลกั ษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลท่ี
พร้อมจะแสดงออกเม่ือมีโอกาส ได้แก่ การแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า ปฏิภาณไหวพริ บ
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และการแสดงออกทางทกั ษะ เป็นตน้
(๕) บุคลิกภาพทางสงั คม (Social personality) หมายถึงพฤติกรรมที่แสดงออกต่อสังคม
และสิ่งแวดลอ้ ม บางคนชอบแต่งตวั (extrovert) อยา่ งเปิ ดเผย ในขณะที่บางคนชอบเกบ็ ตวั (introvert)
อาจกล่าวได้ว่าบุคคลท่ีชอบแสดงออกมกั จะมีความตอ้ งการเอาชนะสูงและเป็ นที่รู้จกั ในสังคม
มากกวา่ คนที่ชอบเก็บตวั
๘.๔ ปัจจยั ทีม่ อี ทิ ธิพลต่อบุคลกิ ภาพ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพของมนุษยม์ ี ๒ ประการ คือพนั ธุกรรมและส่ิงแวดลอ้ ม
รอบตวั ซ่ึงประกอบดว้ ยวฒั นธรรมประเพณี สภาพสงั คม สถาบนั ครอบครัว กลา่ วโดยสงั เขปดงั น้ี
๘.๔.๑ ปัจจยั ทางพนั ธุกรรม
ปัจจยั ทางพนั ธุกรรมนบั ว่ามีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพในฐานะที่เป็ นตวั ถ่ายทอดคุณลกั ษณะ
ทางกายภาพ ไดแ้ ก่ โครงสร้างทางร่างกาย ซ่ึงมีส่วนประกอบทางเคมี-ชีวะ เซลส์ กลุ่มของเซลส์
เสน้ ประสาท กระดูก กลา้ มเน้ือ ต่อม อวยั วะยอ่ ยอาหาร ความสูง ลกั ษณะผวิ พรรณ เชาวป์ ัญญา
เป็นตน้ โครงสร้างทางร่างกายของบุคคลเป็ นผลมาจากวิวฒั นาการของสิ่งมีชีวิตจากเซลส์ๆ เดียว
ก่อน จากน้นั ก็ค่อยๆ สลบั ซบั ซอ้ นมากข้ึนท้งั ในทางร่างกายและจิตใจ วิวฒั นาการทางพนั ธุกรรม
เป็นขบวนการท่ีเกิดต่อเนื่อง ซ่ึงเกิดข้ึนต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั ท้งั น้ีเพื่อการดารงอยขู่ องสิ่งมีชีวิต
ตามทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วิน(Charles Darwin) ที่ว่า กฎการคัดเลือกของธรรมชาติ๒๖ ขบวน
ววิ ฒั นาการน้ีข้ึนอย่กู บั ปัจจยั ๒ ประการคือ (๑) ความแตกต่างทางพนั ธุกรรมของส่ิงมีชีวติ จาพวก
เดียวกนั ซ่ึงมลี กั ษณะบางอยา่ งถกู ถ่ายทอดไปยงั รุ่นลกู หลาน (๒) ลกั ษณะท่ีถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม
น้ีจะเกี่ยวพนั และสอดคลอ้ งกับหน่วยท่ีจะดารงอยู่ต่อไป เพ่ือการปรับตัวตามสภาพแวดลอ้ ม
๒๖ รศ.มกุ ดา ศรียงค,์ บุคลิกภาพท่ีสมบรู ณ์, น. ๔๕.
๒๓๙
อทิ ธิพลของพนั ธุกรรมที่บุคคลไดร้ ับอยา่ งหน่ึงคือ เชาวป์ ัญญา โดยนกั พนั ธุกรรมศาสตร์ชื่อฟราน
ซิส กลั ติน (Franscis Gallatin) ไดก้ ล่าวว่า ความเฉลียวฉลาดไม่ใช่เรื่องบงั เอญิ ๒๗ และผลงานการ
วิจยั เก่ียวกบั การถ่ายทอดทางพนั ธุกรรมของเมนเดลท่ีทาการทดลองปลูกถวั่ หลายๆ รุ่น จนต้งั เป็ น
ทฤษฎีข้ึนมาเรียกว่า กฎพนั ธุศาสตร์ของเมนเดล (Mendel’s laws of genetics)
ปัจจยั ทางพนั ธุกรรมมีผลกระทบต่อพฤติกรรมและบุคลิกภาพท้ังทางตรงและทางออ้ ม
ทางตรง เช่น พฤติกรรมบางอยา่ งอาจเปลี่ยนไปอนั เนื่องมาจากระบบในร่างกายทางานไม่ปกติ
ส่วนทางออ้ ม เช่นเกิดมพี ฤติกรรมท่ีชอบเกบ็ ตวั ไมก่ ลา้ เขา้ สงั คมอนั เนื่องมาจากลกั ษณะทางร่างกาย
ไมป่ กติ มีปมดอ้ ยเป็ นตน้ นอกจากพนั ธุกรรมจะมีอทิ ธิพลต่อบุคลกิ ภาพแลว้ ปัจจยั อกี อยา่ งหน่ึงท่ี
มีอทิ ธิพลไม่แพก้ นั คือส่ิงแวดลอ้ ม ซ่ึงจะไดก้ ลา่ วต่อไป
๘.๔.๒ ปัจจยั ทางด้านส่ิงแวดล้อม ประกอบดว้ ย
๑) ปัจจยั ทางด้านวฒั นธรรม วฒั นธรรมมีอิทธิพลต่อความเช่ือหรือค่านิยมของบุคคลใน
สงั คม วฒั นธรรมเป็นผลผลิตจากสงั คมที่มีท้งั รูปธรรมและนามธรรมที่สามารถเรียนรู้ไดถ้ ่ายทอด
ไดต้ อบสนองความตอ้ งการของมนุษยไ์ ด้ ที่เป็นรูปธรรมไดแ้ ก่ สิ่งก่อสร้าง เครื่องมือ เครื่องแต่ง
กาย ศิลปวัตถุต่าง ๆ ทรัพย์สินสมบัติต่าง ๆ ฯลฯ ที่เป็ นนามธรรม เช่น ความเชื่อ ค่านิยม
ขนบธรรมเนียมประเพณี ปทสั ถานของสังคม ภาษา ฯลฯ วฒั นธรรมอาจเปลี่ยนแปลงไปตาม
กาลเวลาและสิ่งแวดลอ้ มท่ีแปรผนั ไป หรือเกิดข้ึนใหม่และถา่ ยทอดกนั ต่อ ๆ ไป หรืออาจไดร้ ับการ
ปรับปรุงใหเ้ หมาะกบั สภาพสงั คมในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึงได๒้ ๘ ซ่ึงวฒั นธรรมมรี ะดบั ๓ ระดบั คือ
(๑) ระดบั ชาติ (Total Cultural Patterns) ไดแ้ ก่ รูปแบบของวฒั นธรรมที่คนส่วนใหญ่ท้ัง
ชาติยดึ ถือร่วมกนั จนกลายเป็นนิสยั ประจาชาติ(Natoinal Character) ซ่ึงหมายถึงลกั ษณะนิสยั ใจคอ
ความนึกคิด เจตคติ
(๒) ระดบั กลุ่มย่อยท่ีมีลกั ษณะใกลเ้ คียงกนั (Subcultural Patterns) หรือระดบั สังคม เป็ น
ลกั ษณะของความรู้สึกนึกคิด เจตคติ นิสัยการตอบสนองของกลุ่มย่อย เช่น กลุ่มผชู้ าย กลุ่มสตรี
๒๗ เร่ืองเดียวกนั , น. ๔๖.
๒๘ ผศ. ดร. กนั ยา สุวรรณแสง, การพฒั นาบุคลิกภาพ, น. ๔๐.
๒๔๐
กลุ่มผสู้ ูงอายุ กลุ่มวยั รุ่น และกลุ่มบุคคลตามฐานะทางเศรษฐกิจ และกลุ่มลทั ธิศาสนา กลุ่มสังคม
ยอ่ ยเหลา่ น้ีต่างกม็ นี ิสยั ใจคอแตกต่างกนั ไปตามท่ีไดถ้ กู อบรมมา
(๓) ระดบั บทบาทของบุคคล (Role Patterns) เป็ นเจตคติการตอบสนองของบุคคลที่ถูก
คาดหวงั ไปตามตาแหน่ง (Position) และสถานภาพ (Status) ๒๙ เช่น ครูท่ีทาหน้าท่ีสอนนกั เรียนก็
ตอ้ งแสดงบทบาทและทาหน้าที่ใหเ้ ป็ นที่น่าเคารพนบั ถือแก่มวลศิษย์ ในขณะเดียวกนั ถา้ ครูคนน้นั
อยทู่ ่ามกลางกลุม่ เพอ่ื นหรือญาติมติ รก็ตอ้ งแสดงความเป็นกนั เองอยา่ งสนิทชิดเช้ือ
ดงั น้ัน บุคลิกภาพของบุคคลจึงได้มาจากธรรมชาติ(สิ่งแวดลอ้ ม) และวฒั นธรรม แอ่ง
วฒั นธรรมสร้างบุคลกิ ภาพของบุคคล ในขณะเดียวกนั บุคลกิ ภาพของบุคคลกไ็ ปสร้างวฒั นธรรมอีก
ต่อหน่ึงหมุนเวียนกันไป๓๐ ดงั น้ัน วฒั นธรรมท่ีมีองค์ประกอบเป็ นระเบียบประเพณี กฎเกณฑ์
ค่านิยม ความเชื่อ โลกทศั น์ อุดมการณ์ ฯลฯ จะเป็นตวั สร้างบุคลิกภาพของคนในสงั คมน้นั ๓๑
๒) ปัจจยั ทางด้านสังคม อิทธิพลของสงั คมทาให้มนุษยม์ ีบุคลิกภาพแตกต่าง กนั ไป ซ่ึง
ตรงกบั แนวคิดของแอริก ฟรอมม์(Erich Fromm) ท่ีกล่าวว่า สังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและ
บุคลกิ ภาพของมนุษยอ์ ยา่ งสูง เช่น คนท่ีอย่ใู นสงั คมแห่งการเอาเปรียบซ่ึงเป็ นสงั คมของลทั ธิเจา้ ขุน
มลู นายหรือลกั ษณะนายกบั ทาส ผอู้ ยใู่ นสังคมแบบน้ียอ่ มเป็ นผอู้ าศยั คนอ่ืนอยตู่ ลอดเวลา ไม่กลา้
แสดงออก ตอ้ งอ่อนน้อมยอมตนอยใู่ ตอ้ านาจ ส่วนคนท่ีอยใู่ นสังคมแห่งการผลิตผลยอ่ มเป็ นผมู้ ี
บุคลิกภาพท่ีชอบช่วยเหลือคนอื่น รักตนและรักผอู้ ่ืน มีชีวิตอย่อู ย่างเป็ นประโยชน์ อย่โู ดยมีการ
ผลติ ผลใหแ้ ก่เพอ่ื นร่วมโลกและส่ิงที่มอี ทิ ธิพลในระดบั สงั คมคือ
(๑) กระบวนการเรี ยนรู้ในระดับสังคม(Socialization) ซ่ึงพ่อแม่มีบทบาทสาคัญต่อ
พัฒนาการทางบุ คลิกภาพ เพราะเป็ นผู้ที่มีการติดต่อกับเด็กโดยตรงต่อจากพ่อแม่ก็เป็ น
สถาบนั การศกึ ษา
๒๙ เรื่องเดียวกนั , น. ๔๓.
๓๐ ดร.นิยพรรณ(ผลวฒั นะ) วรรณศิริ, มนุษยวิทยาสังคมและวฒั นธรรม (กรุงเทพมหานคร: พ.ี เอ.ลิฟ
ลิฟว่ิง., ๒๕๔๐), น. ๑๒๑.
๓๑ เร่ืองเดยี วกนั , น. ๑๒๐.