The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chokoooon, 2021-06-07 23:13:47

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

คำนำ

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมำยอำญำ (๔๐๑ ๔๑๘) เล่มนี้ จัดทาข้ึนเพื่อ
เผยแพร่ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายอาญาและลักษณะของกฎหมายอาญา บทนิยาม
ขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายอาญา สาระสาคัญของความรับผิดทางอาญา สาระสาคัญทาง
จิตใจ การพยายามกระทาความผิด เหตุยกเว้นความผิด เหตุยกเว้นโทษ เหตุลดหย่อนผ่อน
โทษ ผมู้ สี ว่ นเก่ยี วข้องในการกระทาความผิด การกระทาความผิดหลายบทหรือหลายกระทง
และการกระทาความผิดอีก โทษในทางอาญา และวิธีการเพื่อความปลอดภัย ตลอดจนเพื่อ
เปน็ การพฒั นาองคค์ วามร้สู าหรบั นิสิตและพัฒนาผลงานทางวิชาการสาหรับบคุ คลท่ัวไป

เอกสารประกอบการสอนเล่มน้ี เป็นรายวิชาหน่ึงของหมวดวิชาเฉพาะด้านทาง
รัฐประศาสนศาสตร์ ท่ีผู้ศึกษาตามหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต จะต้องมีความรู้
ความเข้าใจเป็นพื้นฐานสาคัญในการศึกษารายวิชากฎหมายอาญา ในทรรศนะของผู้เขียน
“กฎหมายอาญา” เป็นเรอ่ื งราวที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้เนื่องจากวิชา
กฎหมายอาญา เป็นกฎหมายท่ีมีวัตถุประสงค์ในการป้องกันสังคมให้เกิดความสงบเรียบร้อย
โดยกาหนดว่าการกระทาใดเป็นความผิดอาญาและกาหนดโทษของผู้ฝ่าฝืนไว้ ผู้ศึกษาจึง
จาเป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของรายวิชาอย่างกระจ่างชัด อีกท้ังน่าจะเป็น
ประโยชน์ต่อการนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวันและในสังคมได้
เป็นอย่างดี

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารประกอบการสอนเล่มน้ีจะยังประโยชน์ต่างๆ ให้
เกิดข้ึนกับคณาจารย์ นิสิต ตลอดจนผู้ท่ีสนใจศึกษาเกี่ยวกับองค์ความรู้ด้านกฎหมายอาญา
ไม่มากก็น้อย คุณความดีท่ีเกิดจากประโยชน์ของเอกสารประกอบการสอนเล่มน้ี ขอมอบ
ให้กับบิดาและมารดาของผู้เขียน อน่ึง หากมีข้อบกพร่องผิดพลาดประการใดเกิดข้ึนในส่วน
ต่างๆ ของเอกสารประกอบการสอนเล่มน้ี ผู้เขียนขอน้อมรับไว้เพ่ือจะได้นาไปปรับปรุงแก้ไข
ในโอกาสตอ่ ไป

ดร.สุกำนดำ จันทวำรยี ์

สารบัญ ข

คานา หน้า
สารบญั ก
บทท่ี 1 ความรูท้ ่ัวไปเกย่ี วกบั กฎหมายอาญาและลักษณะของกฎหมายอาญา ข
1
ความหมายของกฎหมายอาญา
วัตถปุ ระสงค์ของกฎหมายอาญา 2
ทฤษฎกี ฎหมายอาญา 6
คาถามทา้ ยบท 10
อ้างองิ ประจาบท 16
17
บทที่ 2 บทนยิ าม
18
ความหมายของ “บทนิยาม” ตามกฎหมาย
บทนิยามทบี่ ญั ญัติไวใ้ นประมวลกฎหมายอาญา 19
คาถามท้ายบท 19
อ้างอิงประจาบท 39
40
บทที่ 3 ขอบเขตการบงั คบั ใชก้ ฎหมายอาญา
41
เวลาท่กี ฎหมายอาญาใช้บังคับ
สถานทที่ ก่ี ฎหมายอาญาใชบ้ ังคับ 42
คาถามทา้ ยบท 49
อา้ งอิงประจาบท 59
60
บทที่ 4 สาระสาคัญของความรับผิดทางอาญา
61
สาระสาคัญของความผิด
สาระสาคญั ทางการกระทา 63
การกระทาโดยงดเวน้ 64
การกระทาโดยละเวน้ 68
คาถามท้ายบท 70
อ้างองิ ประจาบท 74
75

สารบญั (ตอ่ ) ค

บทท่ี 5 สาระสาคัญทางจติ ใจ หนา้
76
กระทาโดยเจตนา
ความสาคญั ผิด 77
การกระทาโดยพลาด 82
คาถามท้ายบท 91
อ้างอิงประจาบท 104
105
บทที่ 6 การพยายามกระทาความผิด
106
พยายามกระทาความผดิ ธรรมดา
พยายามกระทาความผดิ ซึ่งการกระทานัน้ ไม่สามารถบรรลุผลได้อยา่ งแนแ่ ท้ 111
คาถามทา้ ยบท 114
อ้างองิ ประจาบท 120
121
บทท่ี 7 เหตยุ กเวน้ ความผดิ
122
ผู้กระทามอี านาจตามกฎหมาย
การปอ้ งกันโดยชอบดว้ ยกฎหมาย 123
ภยันตรายท่ีใกล้จะถงึ 123
ผลของการกระทาโดยป้องกัน 127
ความยินยอมของผู้เสยี หาย 132
คาถามทา้ ยบท 135
อา้ งอิงประจาบท 136
137
บทท่ี 8 เหตุยกเว้นโทษ
138
เหตทุ กี่ ฎหมายยกเวน้ โทษสาหรบั การกระทา
กระทาความผดิ ดว้ ยความจาเป็น 139
กระทาตามคาสง่ั ของเจา้ พนกั งาน 139
เหตทุ เี่ กีย่ วกับความไม่สามารถรู้ผิดรู้ชอบหรอื ไม่สามารถบังคบั ตนเองได้ 146
การกระทาความผดิ ของคนวิกลจริต 151
การกระทาความผดิ ขณะมึนเมา 151
153

สารบญั (ตอ่ ) ง

บทท่ี 8 เหตุยกเว้นโทษ (ตอ่ ) หนา้

เหตเุ พราะอ่อนดว้ ยอายุ 155
เหตเุ พราะความสมั พันธท์ างสมรส 158
คาถามท้ายบท 160
อา้ งองิ ประจาบท 161

บทที่ 9 เหตลุ ดโทษ 162

ความสัมพนั ธ์ทางสมรสหรอื ญาติ 163
บนั ดาลโทสะ 164
กรณที ่เี ป็นเหตุบรรเทาโทษ 176
คาถามท้ายบท 179
อา้ งอิงประจาบท 180

บทท่ี 10 ผู้มสี ่วนเกี่ยวขอ้ งในการกระทาความผิด 181

ตัวการ 182
ผ้ใู ช้ 192
ผู้โฆษณาหรอื ประกาศ 196
ผู้สนับสนนุ 197
ขอบเขตความรบั ผิดของผู้ใช้ ผโู้ ฆษณาหรือผูป้ ระกาศ และผูส้ นับสนนุ 206
เหตุเกยี่ วกับตวั บคุ คลและกระทาความผดิ 208
คาถามทา้ ยบท 211
อา้ งองิ ประจาบท 212

บทที่ 11 การกระทาความผดิ หลายบทหรือหลายกระทงและการกระทาผดิ อีก 213

การกระทาความผดิ หลายบท 214
การกระทาความผิดหลายกระทง 219
โทษของการกระทาผิดหลายกระทง 222
การกระทาความผดิ อีก 223
คาถามทา้ ยบท 226
อ้างอิงประจาบท 227

สารบญั (ตอ่ ) จ

บทที่ 12 โทษในทางอาญา หนา้
228
ชนิดของโทษและหลกั เกณฑ์ของโทษอาญา
วิธีเพ่มิ โทษและลดโทษ 230
การรอการกาหนดโทษและการรอการลงโทษ 244
การระงับของโทษหรือความผิด 247
อายุความ 251
คาถามท้ายบท 252
อา้ งองิ ประจาบท 254
257
บทท่ี 13 วธิ ีการเพอ่ื ความปลอดภัย
258
การใชบ้ ังคบั วิธกี ารเพื่อความปลอดภยั
ชนดิ ของวธิ ีการเพ่อื ความปลอดภยั 259
คาถามท้ายบท 260
อา้ งอิงประจาบท 264
265
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก 266
268
รายละเอยี ดมาตรฐานคุณวฒุ ิอุดมศึกษา (มคอ.๓) 269

บทที่ 1
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกบั กฎหมายอาญาและลกั ษณะของกฎหมายอาญา

วตั ถปุ ระสงค์การเรยี นประจาบท

1. อธบิ ายความหมายและระบบของกฎหมายอาญาได้
2. อธบิ ายวตั ถุประสงคห์ รือความมุง่ หมายของกฎหมายอาญาได้
3. อธบิ ายทฤษฎกี ฎหมายอาญาได้

ขอบข่ายเนื้อหา

1. ความหมายของกฎหมายอาญา
2. วตั ถุประสงค์ของกฎหมายอาญา
3. ทฤษฎกี ฎหมายอาญา

วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท
1. การบรรยาย
2. การศึกษาเอกสารประกอบการสอน
3. ทาแบบฝึกหัดท้ายบท

สือ่ การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. ประมวลกฎหมายอาญา

2 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

1.1 ความหมายของกฎหมายอาญา

อาจพิจารณาความหมายของกฎหมายอาญาได้ 2 นัยคือ นัยอย่างแคบและนัยอย่างกว้าง ปกติ
นักกฎหมายและนักศึกษากฎหมายมักจะมองกฎหมายอาญาในขอบเขตท่ีแคบกว่าคนท่ัวไปเข้าใจกัน
ท้ังน้ีเน่ืองจากการจากัดเน้ือหาของวิชากฎหมายอาญาท่ีสอนในคณะนิติศาสตร์ต่างๆซ่ึงจากัดเฉพาะแต่
กฎหมายอาญาสารบัญญัติ (substantive criminal law) เท่าน้ัน กฎหมายอาญาสารบัญญัติเป็น
กฎหมายทวี่ ่าดว้ ยคาจากดั ความของความผิดอาญาทั่วไป กล่าวคือบัญญัติว่าด้วยการกระทาใดในภาวะ
ของจิตประการใด ประกอบด้วยพฤติการณ์หรือผลเช่นใด จึงจะถือเป็นความผิดอาญาแต่ละความผิด
อีกนัยหนึ่ง กฎหมายอาญาสารบัญญัติก็คือ กฎหมายท่ีกาหนดว่าการกระทาใดเป็นความผิดอาญาและ
จะลงโทษอย่างใด พิจารณาโดยนัยนี้ กฎหมายอาญาและกฎหมายอาญาสารบัญญัติก็มีความหมาย
เดยี วกันคอื เปน็ กฎหมายทีเ่ กีย่ วกบั การกระทาความผดิ และกาหนดโทษท่ีจะลงแกผ่ ้กู ระทาความผดิ นั้น

อยา่ งไรกต็ าม นิสิตก็ควรทราบถงึ ความหมายอย่างกว้างของกฎหมายอาญาไว้ด้วย โดยนัยอย่าง
กวา้ งกฎหมายอาญามีความหมายรวมทั้งกฎหมายอาญาสารบัญญัติ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซ่ึง
เก่ียวด้วยขั้นตอนในการดาเนินคดีอาญา เริ่มแต่การสอบสวนไปจนกระทั่งการส้ินสุดแห่งโทษ และยัง
ครอบคลุมถึงความสัมพันธ์ทางกฎหมายท่ีเก่ียวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (administration
criminal justices) ด้วย กระบวนการยุติธรรมทางอาญาน้ันมีจุดมุ่งหมายที่จะดาเนินคดีบุคคลซ่ึงถูก
กล่าวหาว่ากระทาความผิดอาญา ขั้นต้นตารวจเป็นผู้รับผิดชอบในการรวบรวมพยานหลักฐาน จับกุม
และสอบสวนผู้ต้องหาว่าได้กระทาความผิด ลาดับต่อมาพนักงานอัยการจะพิจารณาพยานหลักฐานท่ี
ตารวจรวบรวมมานั้น และวินิจฉัยว่าควรฟูองผู้ต้องหาหรือไม่ ขณะเดียวกันผู้ต้องหาก็อาจมีทนาย
รับผิดชอบในการเตรียมต่อสู้คดี ในข้ันพิจารณาคดีศาลหรือผู้พิพากษาจะทาหน้าที่เป็นคนกลางรักษา
กติกา เพื่อให้พนักงานอัยการและทนายปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายที่เกี่ยวกับการเสนอพยาน
สืบพยาน และถามค้านพยาน ในระหว่างพิจารณาคดีนี้พนักงานคุมประพฤติก็อาจจะสอบสวนและทา
รายงานข้อเท็จจริง เก่ียวกับสภาพแวดล้อมของจาเลยเสนอต่อศาลเพื่อประกอบดุลพินิจในการ
พิพากษาคดี ถ้าศาลพิพากษาว่าจาเลยกระทาผิดแต่ให้คุมประพฤติไว้ พนักงานคุมประพฤติจะเป็นผู้
สอดส่องดูแลความประพฤติของจาเลย แต่ถ้าศาลพิพากษาลงโทษจาคุกจาเลย ฝุายราชทัณฑ์ก็จะ
รับผิดชอบในการจาคุกจาเลยไว้ จนกว่าคณะกรรมการพักการลงโทษเห็นสมควรให้พักการลงโทษแก่
จาเลยหรือจนกว่าจาเลยได้รับโทษจาคุกครบกาหนดแล้ว จาเลยก็จะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ
ออกไปดาเนินชีวิตในชุมชนตามปกติอีก ที่กล่าวมานี้เป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาท่ีสมบูรณ์ทุก
ขั้นตอน

Justin Miller Criminal Lsw. St. Paul, Minn. : West Publishing Co., 1984 ,p.2.
Wayne R. LaFave & Austin W. Scott. Jr. Criminal Law. St. Paul, Minn. : West Publishing Co., 1972 ,p.1.
H.A. Palmer. Harris’s Criminal Law. 20th ed. London: Swett & Maxwell Ltd., 1960 ,p.3.
Justin Miller Criminal Law. ,p.2.
LaFave & Scott. Criminal Law. ,p.5.

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 3

นอกจากกระบวนการข้ันตอนดังกล่าว ปวอ.มาตรา 28 บัญญัติให้ผู้เสียหายมีอานาจฟูอง
คดีอาญาได้เองด้วย ฉะน้ัน ถ้าผู้เสียหายฟูองคดีเอง ตารวจและพนักงานอัยการจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องใน
กระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญา

สาหรับวิชากฎหมายอาญาท่ีจะศึกษากันต่อไปนั้น เป็นการศึกษากฎหมายอาญาในความหมาย
อย่างแคบคือ ศึกษาเฉพาะกฎหมายอาญาสารบัญญัติและแคบลงไปอีกคือ จากัดแต่บทบัญญัติใน
ประมวลกฎหมายอาญาเท่าน้ัน ซ่ึงประมวลกฎหมายอาญานี้เป็นเพียงกฎหมายฉบับหนึ่งในบรรดา
กฎหมายอาญาสารบัญญัติทม่ี ีอยูม่ ากมายในประเทศไทย ท้งั นี้ดว้ ยเหตุผลว่าประมวลกฎหมายอาญาเป็น
แม่บทของกฎหมายอาญาทั้งปวง และหลักเกณฑ์ในประมวลกฎหมายอาญานี้จะต้องนาไปใช้บังคับใน
กฎหมายอื่นๆด้วย ฉะนั้น หากนักศึกษามีความรู้กฎเกณฑ์ต่างๆในประมวลกฎหมายอาญาดีแล้ว ก็
สามารถตีความกฎหมายอ่ืนได้

เมอื่ เขา้ ใจเชน่ น้ีแล้วจะกล่าวถึงความหมายของประมวลกฎหมายอาญาโดยละเอียดอกี ครั้งหนง่ึ
อาจกลา่ วไดว้ ่า กฎหมายอาญาคือ กฎหมายซ่ึงมีความมุ่งหมายในอันท่ีจะปูองกันความเสียหาย
ต่อสังคมโดยบัญญัติว่าการกระทาใดเป็นความผิดและกาหนดโทษที่จะลงแก่การกระทานั้น ความผิด
บางความผิดอาจมีกระทาหลายอันมิใช่การกระทาเดียว เช่น ความผิดฐานชิงทรัพย์จะต้องมีการลัก
ทรัพย์และการใชก้ าลังประทษุ ร้าย
คาว่า “การกระทา” ในท่ีนี้มีความหมายครอบคลุมสาระสาคัญ 2 ประการ คือ (1) การกระทา
โดยตรงหรือการละเวน้ กระทาในกรณีที่มีหน้าที่จะต้องกระทาและ (2) ภาวะของจิตท่ีมีอยู่ในการกระทา
นั้น ฉะนั้นบทบัญญัติ (คาจากัดความ) ความผิดฐานใดฐานหน่ึงจะบอกให้ทราบว่า การกระทาใด (หรือ
การละเว้น) ในภาวะของจิตเช่นใดจึงจะถือว่าเป็นการกระทาผิดฐานนั้น อย่างไรก็ตามในบางฐาน
ความผิดนอกจากจะต้องมีการกระทาหรือละเว้นการกระทาและภาวะของจิตแล้ว ยังต้องมีพฤติการณ์
อ่นื ประกอบดว้ ย นอกจากน้ีความผดิ บางฐานยงั ต้องมีผลอยา่ งใดอย่างหน่ึงของการกระทาหรือละเว้นน้ัน
เกดิ ขึน้ ด้วย
จากความหมายท่ีกล่าวมาข้างต้นน้ีแสดงให้เห็นว่าการกระทาจะเป็นความผิดอาญาต่อเมื่อมี
บทลงโทษการกระทานั้นด้วย ฉะนั้น ความผิดอาญาจึงประกอบด้วย 2 ส่วน คือการกระทาท่ีกฎหมาย
ห้ามและโทษท่ีจะลงลาพัง แต่การกระทาโดยไม่มีโทษไม่เป็นความผิดอาญา โทษในความผิดอาญามี 5
ประการ คือ ประหารชีวิต จาคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ฉะน้ันกฎหมายหรือพระราชบัญญัติใดๆ
ที่บัญญัติใหล้ งโทษเชน่ นีแ้ ก่การกระทาความผดิ ตามกฎหมายนั้นๆ เรียกว่าเปน็ กฎหมายอาญาท้ังส้ิน เช่น
พรบ.ยาเสพติด พรบ.ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พรบ.ศุลกากร พรบ.ลิขสิทธ์ิ ฯลฯ หรือแม้แต่
ประกาศคณะปฏวิ ตั ิบางฉบับ
โดยปกติมาตราทบ่ี ัญญัตคิ วามผิดแต่ละความผิดมักจะลงท้ายด้วยข้อความที่กาหนดการลงโทษ
เช่น มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือท่ีผู้อ่ืนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้น้ันกระทา
ความผิดฐานลักทรัพย์ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกพันบาท” หรือบางทีมาตรา

เรอ่ื งเดยี วกัน หน้า 5.

4 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

หน่ึงเพียงแต่บัญญัติการกระทาท่ีถือว่าเป็นความผิด แต่บทลงโทษอ้างมาตราอื่น เช่น ความผิดตาม
มาตรา 268 เป็นต้น

การทกี่ ฎหมายอาญาบญั ญัตลิ งโทษแก่ผู้กระทาความผิดนนั้ มีวัตถุประสงค์ประการหนึ่งคือ เพื่อ
ปอู งกันความเสยี หายตอ่ สงั คม กลา่ วให้ชัดลงไปอีกก็เพื่อปูองกันอันตรายต่ออนามัย ความปลอดภัยและ
ศลี ธรรมของส่วนรวม วัตถุประสงค์นี้บรรลุผลได้ก็ด้วยการลงโทษผู้ท่ีก่อความเสียหายข้ึน และโดยการขู่
จะลงโทษผู้ท่ีคิดจะก่อความเสียหายแก่บุคคลอ่ืน บางกรณีความเสียหายที่กฎหมายอาญาประสงค์จะ
ปกปูองจะเป็นเร่ืองทางรูปธรรม เช่น การฆ่าคนหรือทาร้ายคนในความผิดฐานฆ่าหรือทาร้ายร่างกาย
การเผาบ้านในความผิดฐานวางเพลิง การสูญเสียทรัพย์สินในความผิดฐานลักทรัพย์ บางกรณีความ
เสียหายนั้นอาจเป็นเรื่องทางนามธรรม เช่น ความเสียหายต่อเกียรติยศช่ือเสียงในความผิดฐานหม่ิน
ประมาท บางกรณีความเสียหายที่จะปูองกันก็อาจเป็นเพียงสถานการณ์อย่างใดอย่างหน่ึงอันน่า
หวาดเสียว หรือจะก่ออันตรายขึ้น เช่น ความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กาหนด หรือความผิดฐานเป็น
ซ่องโจร ซ่ึงเม่ือการกระทาของผู้กระทาความผิดยุติลง สังคมมิได้รับความเสียหายแท้จริงอย่างใด ไม่ว่า
ในทางรา่ งกาย ทรัพยส์ ิน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม

กฎหมายอาญาน้ันเป็นเพียงสาขาหนึ่งของอาชญากรรมศาสตร์ (criminal science) หรือ
ศาสตรอ์ นั ว่าดว้ ยการกระทาความผิดอาญาซงึ่ มงุ่ ศกึ ษาเพื่อค้นหาสาเหตุของอาชญากรรม และหาวิธีการ
ท่ีมีประสิทธิภาพในการปูองกันอาชญากรรม รวมทั้งเพ่ือปรับปรุงกลไกทางสังคมสาหรับจัดการกับ
ผู้กระทาความผิดให้สมบูรณ์ข้ึน อาชญากรรมศาสตร์แบ่งเป็น 3 สาขา คือ อาชญาวิทยา นโยบายทาง
อาญา และกฎหมายอาญา อาชญาวิทยาจะเน้นในเรื่องสาเหตุของการกระทาความผิดท้ังในแง่สภาพ
ทางกายและจิตใจของผู้กระทาความผิดตลอดท้ังสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆ ส่วนนโยบายทางอาญา (criminal
policy) เปน็ สาขาทศี่ กึ ษาถึงมาตรการอันเหมาะสมท่ีจะนามาใช้ในการปูองกันการกระทาความผิด และ
การปฏิบตั ติ อ่ ผกู้ ระทาความผดิ ส่วนกฎหมายอาญานน้ั เป็นเรอ่ื งการตดั สินใจของสงั คมว่าการกระทาใดท่ี
ควรถอื เป็นการประทุษร้ายกัน ส่วนทางแพ่งเป็นเรื่องผู้เสียหายฟูองร้องเรียกว่าเสียหายกันเอง และการ
กระทาใดอันควรต้องใช้สภาพบังคับทางอาญาเข้าจัดการรวมทั้งการใช้สภาพบังคับที่เหมาะสมในแต่ละ
คดี ซึ่งมีตั้งแต่โทษประหารชีวิตหรือริดรอนเสรีภาพในระดับต่างๆจนถึงการคุมประพฤติหรือเพียงว่า
กลา่ วตกั เตอื น

ในทุกสังคมศีลธรรมย่อมมอี ิทธพิ ลอย่มู ากในการบญั ญัตกิ ฎหมายอาญา ดังเช่น ข้อกาหนดในศีล
ห้าอันเปน็ หลักจรยิ ธรรมของสงั คมไทยมาแตโ่ บราณ บางข้อถกู นามาบญั ญตั ไิ วใ้ นกฎหมายอาญา อย่างไร
ก็ตามแม้ว่าความประพฤติท่ีผิดศีลธรรมและความผิดอาญาจะเกี่ยวข้องกันแต่มิได้เป็นสิ่งเดียวกัน การ
กระทาหรือความประพฤติต่างๆมากมายที่สังคมถือว่าผิดศีลธรรม แต่หาเป็นความผิดอาญาไม่ เช่น การ
ดื่มสุรา การพูดเท็จ การมีภรรยาหลายคนในขณะเดียวกัน แม้จะเป็นเร่ืองผิดศีลธรรมก็ไม่ถือว่าเป็น
ความผดิ อาญา

J.W.G. Turner. Kenny’s Outline of Criminal Law. 18th ed. London : Sweet & Marwell, 1962, p.5.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 5

ตรงกันขา้ ม การกระทาท่ีถือว่าไม่ผิดศีลธรรม แต่เป็นความผิดอาญาก็มีเหมือนกัน เช่น ในกรณี
กระทาโดยประมาท หรือในกรณีความรับผิดทางอาญาโดยเคร่งครัดหรือความรับผิดในการกระทาของ
ผู้อน่ื เปน็ ต้น

ความผิดทางกฎหมายอาญาของแตล่ ะประเทศยอ่ มแตกต่างกนั ไป การกระทาอย่างเดียวกันอาจ
เปน็ ความผิดตามกฎหมายอาญาในประเทศหน่ึง แต่ไม่เป็นความผิดในอีกประเทศหน่ึง เช่น การมีภริยา
2 คน ในขณะเดยี วกันเป็นความผดิ ฐาน bigamy ในประเทศอังกฤษ หรือสหรัฐอเมริกา แต่การกระทาน้ี
ในประเทศไทยไม่ถือเป็นความผดิ อาญา

กฎหมายอาญาของประเทศต่างๆอาจแบ่งได้เปน็ 2 ระบบ ดังนี้
1. ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) ซ่งึ เปน็ ระบบท่ีกฎหมายอาญามิได้บัญญัติใน
รปู ท่เี ป็นประมวลกฎหมาย
2. ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ (Civil Law) ซึ่งเป็นระบบที่บัญญัติกฎหมายอาญาในรูปประมวล
กฎหมาย หรอื เรยี กวา่ ระบบประมวลกฎหมาย
สาหรับระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ซึ่งกฎหมายอาญาท่ีมิได้จัดทาในรูปประมวลกฎหมายนั้น
ได้แก่ กฎหมายอาญาของประเทศอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น ในประเทศเหล่าน้ี
การกระทาจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ซึ่งมิได้เป็นกฎหมายลายลักษณ์
อักษร ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์เป็นกฎหมายท่ีเกิดข้ึนโดยคาพิพากษาของศาล แต่ในประเทศ
ดังกล่าวก็มีกฎหมายอาญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรเหมือนกันเรียกว่าพระราชบัญญัติ (statute) เพื่อ
บัญญัติความผิดไว้ให้ชัดเจน ฉะนั้นตามระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ การที่จะทราบว่าการกระทา
อย่างไรจึงจะเป็นความผิดอาญา จึงต้องอาศัยการศึกษาคาพิพากษาของศาลที่ได้ตัดสินไว้เป็นแบบแผน
โดยเหตุนี้ในประเทศที่มิได้จัดทากฎหมายอาญาในรูปประมวลกฎหมาย ความผิดในทางกฎหมายอาญา
จึงต้องอาศัยแบบแผนคาพิพากษาของศาลนามาเปรยี บเทยี บกบั คดีท่ีเกดิ ขึ้น
ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ซ่ึงมีกฎหมายอาญาท่ีจัดทาในรูปประมวลกฎหมายนั้น ได้แก่กฎหมาย
อาญาของประเทศฝร่ังเศส เยอรมัน ออสเตรเลีย สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี สเปน ญ่ีปุน ฟิลิปปินส์ ไทย
เป็นต้น ในประเทศเหล่านปี้ ญั หาว่าการกระทาใดจะเปน็ ความผิดอาญาหรือไม่ ย่อมแล้วแต่ว่ามีกฎหมาย
ลายลักษณ์อกั ษรบัญญัติความผิดไว้หรือไม่ ถ้าไม่บัญญัติไว้ก็ไม่เป็นความผิด (nulla crimen sine lege)
ในระบบกฎหมายซีวลิ ลอว์ (ระบบประมวลกฎหมาย) คาพพิ ากษาของศาลหรือจารีตประเพณีจึงไม่มีทาง
ที่จะสรา้ งความผิดอาญาขึ้นได้ ความผิดในทางกฎหมายอาญาของประเทศท่ีใช้ประมวลกฎหมายจึงต้อง
อาศัยกฎหมายลายลักษณ์อักษรท่ีออกโดยฝุายนิติบัญญัติเป็นหลัก ฉะน้ันเพียงแต่ศึกษาจากกฎหมายที่
บญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ ก็สามารถรู้ได้ว่าการกระทาใดเป็นความผิดหรือไม่ และจะต้องรับโทษอย่างไร แค่ไหนเมื่อ
เป็นเช่นนี้ความสาคัญจึงอยู่ท่ีตัวบทมาตรา การตีความวางหลักเกณฑ์ของความผิดจะต้องมาจากตัวบท
มาตราเท่าน้ัน กล่าวคือ ต้องอธิบายให้เห็นได้ว่ามาจากถ้อยคาใดบทมาตราใด และจะสร้างหลักเกณฑ์
ข้นึ นอกเหนอื ตวั บทย่อมไมไ่ ด้

6 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

1.2 วัตถุประสงคข์ องกฎหมายอาญา
กล่าวโดยกว้างๆกฎหมายอาญามีความมุ่งหมายในอันที่จะบังคับให้บุคคลประพฤติในสิ่งที่สังคม

ปรารถนาและปูองกันมิให้มีการประพฤติในสิ่งท่ีไม่พึงปรารถนาของสังคม และเนื่องจากบทบัญญัติใน
กฎหมายอาญามีลักษณะในทางลงโทษกรรมชั่วมิใช่บาเหน็จต่อกรรมดี ฉะน้ันกฎหมายอาญาจึงเน้นใน
เร่ืองการปูองกนั กรรมชว่ั ยงิ่ กว่าสนบั สนนุ กรรมดี

ในการบัญญัติลงโทษการกระทาหรือความประพฤติอย่างใดอย่างหน่ึง กฎหมายอาญามุ่งเพียง
มาตรฐานความประพฤติในระดับเพียงพอดี มิใช่หวังต่อความประพฤติอันสูงส่งอย่างของผู้ทรงศีล หรือ
ถึงขนาดเปน็ วรี กรรมการเสี่ยงชวี ิตฝาุ เปลวไฟเขา้ ไปชว่ ยเด็กทตี่ ิดอย่ใู นอาคารซ่ึงกาลังถูกไฟไหม้ ย่อมเป็น
การกระทาที่ควรแก่การสดุดีแต่ใช่ว่ากฎหมายอาญาจะลงโทษการกระทาที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่นนั้น อีก
ประการหน่ึงในสังคมของเราการมีภริยาคนเดียวถือว่าเป็นส่ิงที่ถูกต้องตามหลักจริยธรรม กระน้ัน
กฎหมายอาญาหาได้เอาผดิ กบั ผูท้ ไี่ มส่ ามารถประพฤติไดต้ ามฐานน้ไี ม่

ปรัชญาของกฎหมายอาญาที่มุ่งจะคุ้มครองปูองกันส่วนได้เสียต่างๆของสังคมให้พ้นจากการ
ประทษุ รา้ ยโดยถอื เกณฑ์ความประพฤติในระดับหน่ึง จึงเป็นมูลฐานของความผิดในกฎหมายอาญา เช่น
การคุ้มครองความม่ันคงของรัฐ การคุ้มครองกระบวนการยุติธรรม การคุ้มครองความสงบเรียบร้อย
แห่งสังคม การคุ้มครองมิให้ถูกกระทาย่ายีทางเพศ การคุ้มครองเกียรติยศชื่อเสียง การคุ้มครอง
สวัสดิภาพของตัวบุคคล และการคุ้มครองทรัพย์สินของบุคคล ตลอดจนการคุ้มครองอนามัยของ
สว่ นรวม และการคุ้มครองส่วนได้เสียอ่ืนๆ แต่ในการปูองกันความประพฤติอันกระทบกระเทือนต่อ
สว่ นได้เสียของสว่ นรวมนั้น สังคมมิได้ใช้ลาพังแต่กฎหมายอาญา การศึกษาอบรมทั้งท่ีบ้านและโรงเรียน
ให้รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรประพฤติ เป็นสิ่งสาคัญย่ิงนอกจากนี้มีปัจจัยอื่นๆอีก เช่น ศาสนาซ่ึงมุ่งที่จะ
แยกแยะระหว่างความดีและความช่ัว ความปรารถนาของตัวเองที่จะได้รับความรัก ความเคารพนับถือ
จากครอบครัวมิตรสหาย และเพื่อนร่วมงาน ก็มีอิทธิพลไม่น้อยต่อการยับย้ังมิให้บุคคลประพฤติในสิ่งท่ี
สงั คมไม่ยอมรับ ในด้านกฎหมายแพ่ง ซ่ึงบังคับให้ผู้ที่ก่อความเสียหายแก่บุคคลอ่ืนต้องชดใช้ค่าเสียหาย
ทก่ี อ่ ขน้ึ เป็นอีกปจั จยั หนึ่งท่ีบังคับให้บคุ คลประพฤตไิ ปตามครรลองที่สังคมปรารถนา

อย่างไรก็ตาม นับแต่โบราณกาลมาแล้วท่ีสังคมมนุษย์โดยทั่วไปตระหนักว่ากฎหมายอาญาเป็น
สิ่งจาเปน็ ยง่ิ ต่อความสงบเรียบรอ้ ยของสงั คม มาตรการที่กฎหมายอาญานามาใช้เพ่ือคุ้มครองส่วนได้เสีย
ของสังคม และชกั นาให้สมาชกิ ของสังคมหนั มาประพฤติในแนวทางที่ถกู ท่ีควรคอื การลงโทษซ่ึงหมายถึง
การท่ีรัฐทาให้ผู้กระทาความผิดต้องได้รับผลร้าย เพราะเหตุที่ผู้น้ันฝุาฝืนกฎหมายท้ังน้ีโดยเจตนาให้ผู้ที่

เช่น ความผดิ ฐานเป็นกบฏ ความผดิ ตอ่ ตาแหน่งหน้าทรี่ าชการ
เช่น ความผดิ ฐานให้การเทจ็ ใหส้ นิ บน
เช่น ความผดิ ฐานกอ่ ความวุ่นวายในทสี่ าธารณะ
เช่น ความผิดฐานขม่ ขนื พระทาชาเรา
เชน่ ความผิดฐานหมน่ิ ประมาท
เช่น ความผิดฐานทารา้ ยร่างกาย ฐานฆา่ ผอู้ ื่น
เชน่ ความผิดฐานลักทรัพย์ วง่ิ ราว ชิงทรพั ย์ ปล้นทรัพย์
เชน่ ความผิดฐานจาหนา่ ยเสพติดให้โทษ
เชน่ ความผดิ ตาม พ.ร.บ. การพนัน พ.ร.บ. ปรามการค้าประเวณี

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 7

ได้รับรู้ถึงว่าส่ิงน้ันเป็นผลเสีย โทษจึงเป็นลักษณะสาคัญประการหนึ่งของกฎหมายอาญาและทฤษฎี
กฎหมายอาญา ในเร่อื งโทษแบง่ ได้เป็นทฤษฎีใหญๆ่ 2 ทฤษฎี คอื

(1) ทฤษฎีเดด็ ขาด (absolute theory)
(2) ทฤษฎีเง่ือนไข (relative theory)

(1) ทฤษฎีเด็ดขาด ถือว่าการลงโทษเป็นส่ิงที่มีอยู่โดยธรรมชาติในความผิดทุกความผิด คือ
เป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของความผิดนั่นเอง ฉะน้ันผู้ใดกระทาความผิดจะต้องถูกลงโทษ หรือจะพูดว่า
การกระทาความผิดเป็นกรรมช่ัว ผู้ใดกระทาความผิดต้องชดใช้กรรมของตนโดยต้องยอมรับการลงโทษ
ตามทฤษฎีน้ี แม้จะไม่มีรัฐก็สามารถลงโทษผู้กระทาความผิดได้ เพียงแต่รัฐรับดาเนินการลงโทษเสียเอง
เพอ่ื บรรลุถงึ ความมุ่งหมายบางประการ

ทฤษฎนี ีไ้ ด้รบั การสนับสนุนมาแต่โบราณ คานท์(Kant) นักปรัชญาเมธีชาวเยอรมันได้ให้เหตุผล
ว่า การลงโทษเป็นของคู่กับการกระทาความผิด ฉะนั้นเพื่อความยุติธรรมผู้ท่ีกระทาความผิดจะต้องถูก
ลงโทษตามสัดส่วนหนักเบาตามความผิดที่กระทานั้น ถ้าสังคมไม่ลงโทษผู้กระทาความผิดก็เท่ากับว่า
สังคมยอมรับการกระทาของผู้น้ัน ซ่ึงจะมีผลเหมือนว่าสังคมเป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระทาความผิด
คานท์ถือเหตุผลน้ีอย่างเคร่งครัด และไม่ยอมรับฟังเหตุผลอ่ืนในการลงโทษ ในหนังสือปรัชญาแห่ง
กฎหมาย(Philosophy of Law) คานท์กลา่ ววา่ จะใช้การลงโทษเป็นเครอื่ งมือเพอ่ื ให้เกิดประโยชน์อย่าง
อนื่ ไม่ได้ไมว่ า่ จะเพอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ ก่ผู้ถูกลงโทษเองหรือแก่สังคมก็ตาม การลงโทษในทุกกรณีจะต้อง
เนื่องมาจากเหตวุ า่ บุคคลทถ่ี ูกลงโทษไดก้ ระทาความผดิ เท่าน้นั ทัง้ น้เี พราะไมส่ มควรท่ีจะปฏิบัติต่อบุคคล
หนึ่งเพียงเพื่อจะให้เป็นเครื่องมือให้บังเกิดผลแก่บุคคลอื่น ทุกคนท่ีเกิดมาเป็นมนุษย์มีสิทธิที่จะไม่ถูก
ปฏิบัติเช่นนั้น คานท์ยกตัวอย่างว่าแม้ในขณะท่ีสังคมจะสลายตัวไป เช่น ประชาชนที่อาศัยอยู่บนเกาะ
แห่งหนึ่งตกลงจะอพยพจากเกาะนั้นแยกย้ายกันไปหาท่ีอยู่ใหม่ที่อ่ืน ถ้ามีนักโทษท่ีจะต้องถูกประหาร
ชีวิตอยู่บนเกาะนนั้ ก่อนท่ีจะแยกยา้ ยกนั ไปจะตอ้ งประหารชีวิตนักโทษคนนั้นเสียก่อน ทั้งน้ีเพื่อให้แต่ละ
คนได้รับผลแห่งกรรมของตน คานท์ย่อมให้มีข้อยกเว้น 2 ประการ จากหลักท่ีว่าจะต้องลงโทษผู้กระทา
ความผิดให้ได้สัดส่วนกับความผิดคือประการแรกอาจมีการผ่อนเบาโทษให้ลดลงหากปรากฎว่าการ
ลงโทษน้ันจะเป็นการกระทบกระเทือนความรู้สึกของประชาชน ประการที่สองถ้าหากการปฏิบัติ
เคร่งครัดตามหลักดังกล่าวจะเป็นการลดจานวนพลเมืองของรัฐจนเกินควร เฮเกล (Hegel) ปรัชญาเมธี
ชาวเยอรมันอีกคนหน่ึงท่ีสนับสนุนทฤษฎีเด็ดขาด เฮเกลมีความเห็นก้าวหน้าไปกว่าคานท์ ในความเห็น
ของเฮเกลคอื ว่า การลงโทษเปน็ การปฏเิ สธกฎหมาย จึงจาเป็นต้องลงโทษการปฏิเสธกฎหมายนั้น แม้เฮ
เกลจะเหน็ วา่ การลงโทษเปน็ การยุตธิ รรมกต็ าม แตก่ ค็ วรจะนาส่ิงอ่ืนนอกจากตัวความผิดที่กระทาลง มา
ประกอบการพิจารณาลงโทษดว้ ย

อทุ ทิศ แสนโกศิก, หลักกฎหมายอาญา : การลงโทษ, (หนังสืออุททศิ นุสรรณ์ กรุงเทพมหานคร : กรมสรรพสามติ 2515) หนา้ 2.
Carl Ludwig von Bar and others. A History of Continental Criminal Law. Vol 6. New York : Augustus M. Kelly, 1968,
p.379. fn.3.
Carl L. von Bar. A History of Continental Criminal Law. p.379.
เรือ่ งเดยี วกัน หนา้ 9 -11

8 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ทฤษฎีเด็ดขาดได้รับการคัดค้านโดยท่ัวไปในปัจจุบันด้วยเหตุผลหลายประการ ลักษณะของ
ทฤษฎีนเี้ ป็นเร่ืองพ้นสมยั เพราะมองแต่อดีต คือถือเอาการลงโทษเป็นการตอบแทนแก้แค้นความผิดที่ได้
กระทาไปแล้ว ไม่ได้มุ่งถึงประโยชน์ในอนาคตเลย คือ ไม่ได้คานึงถึงว่าการลงโทษนั้น จะมีผลในทาง
ปูองกันมิให้มีการกระทาความผิดเกิดขึ้นอีกหรือไม่ การลงโทษเกิดข้ึนมาโดยกฎหมาย และกฎหมายก็
เป็นเคร่อื งมือของรัฐ จดุ มงุ่ หมายมูลฐานของรัฐย่อมได้แก่สวัสดิภาพของบรรดาสมาชิกในรัฐ ดังน้ัน การ
ลงโทษตามกฎหมายก็ควรกระทาไปเพอ่ื จดุ มุ่งหมายดงั กลา่ วทงั้ กฎหมายและการลงโทษตามกฎหมายจะ
เป็นสิ่งยุติธรรมก็ต่อเมื่อใช้ไปเพ่ือจุดมุ่งหมายเช่นน้ัน การลงโทษจะเป็นสิ่งถูกต้องยุติธรรมต่อเมื่อเกิด
ประโยชน์ตอ่ ผ้ถู กู ลงโทษเองหรอื ต่อประชาชนส่วนรวม มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งเลวร้ายอีกประการหน่ึง
ในทางปฏิบัติไม่สามารถจะนาทฤษฎีเด็ดขาดมาใช้ได้เพราะทฤษฎีเด็ดขาดถือว่าจะต้องลงโทษให้ได้
สัดส่วนกับความผิดท่ีได้กระทา แต่ในทางปฏิบัตินั้นเราไม่สามารถจะวัดขนาดความผิดแต่ละเร่ืองและ
จัดการกบั ความผดิ น้ันได้อย่างแทจ้ ริง การลงโทษจงึ ไมม่ ที างทจ่ี ะไดส้ ดั ส่วนกับความผิดตามแนวความคิด
ของทฤษฎีเด็ดขาดนี้นอกจากนี้ถ้าถือตามหลักปรัชญาที่ว่า การกระทาของมนุษย์เราถูกกาหนดโดยเหตุ
นอกอานาจแล้ว ทฤษฎีเด็ดขาดก็เป็นเร่ืองไร้เหตุผล เพราะทฤษฎีเด็ดขาดถือเอาความผิดทางศีลธรรม
เปน็ สาคญั แต่ปัจจุบันมีความผิดจานวนมากท่ีมิใช่เป็นเรื่องผิดศีลธรรม แต่เป็นความผิดเพราะกฎหมาย
หา้ ม ถ้าจะลงโทษเพอ่ื แก้แค้นตอบแทนไปหมดกเ็ ปน็ เร่ืองที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง

เหตุผ ล เหล่ าน้ีนอกจากจะหักล้ างทฤษฎีเด็ดขาดแล้ ว ยังทา ให้เกิดแนว คว ามคิดใหม่ขึ้นว่า
กฎหมายอาญาก็เช่นเดียวกับกฎหมายอ่ืนๆ คือ มีวัตถุประสงค์ท่ีจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม จึง
ควรใช้กฎหมายอาญาเพ่อื ปอู งกันและควบคุมการกระทาท่ีสังคมไม่ปรารถนา วิธีการแห่งกฎหมายอาญา
ทีจ่ ะนามาใช้เพอื่ การปูองกันดังกลา่ วมีอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีมีผลทางปูองกันในแนวต่างๆกัน คืออาจเป็น
การข่มขู่ไว้ให้กลัวไม่กล้ากระทาความผิด หรืออาจเป็นการปรับปรุงแก้ไขไม่ให้กระทาความผิดข้ึนอีก
หรืออาจเป็นการตัดโอกาสที่จะกระทาความผิดอีก แนวความคิดน้ีจึงทาให้เกิดทฤษฎีกฎหมายอาญา
ทฤษฎีท่สี องข้นึ

(2) ทฤษฎเี ง่อื นไข ทฤษฎีน้ีไม่ได้พิจารณาในแง่การกระทาความผิด แต่พิจารณาในแง่ที่ควรจะ
ลงโทษอยา่ งไรจงึ จะเกดิ ประโยชนท์ ้ังแก่ตวั ผกู้ ระทาความผิดเองและแกส่ ังคมส่วนรวม การลงโทษจะต้อง
คานงึ ถึงตวั ผูก้ ระทาความผิดและสภาพแวดล้อมอ่ืนด้วย และโทษนั้นควรจะมีผลทาให้ผู้กระทาความผิด
เกิดความหวาดกลัว ทาให้ผู้กระทาความผิดกลับตนเป็นคนดี หรือทาให้สังคมปลอดภัยจากการกระทา
ความผิด ทฤษฎีเง่ือนไขจึงมีลักษณะมองไปในอนาคต เพื่อปูองกันมิให้มีการกระทาความผิดเกิดข้ึนอีก
อาจจะโดยการข่มขู่ไม่ให้คนท่ัวไปกระทาความผิดหรือแก้ไขผู้กระทาความผิดให้เป็นคนดี พลาโต
(Plato) เคยกล่าวว่าผู้ที่ลงโทษโดยมีเหตุผลย่อมไม่ลงโทษเพราะได้มีการกระทาความผิดข้ึนเท่านั้น
เพราะสง่ิ ทเี่ กดิ ข้นึ แล้วย่อมไม่อาจแก้ไขให้เป็นดังเดิมได้ แต่ย่อมจะลงโทษโดยคานึงถึงอนาคต เพื่อให้ทั้ง
ผู้กระทาความผิดเอง และผู้ท่ีรู้เห็นการลงโทษน้ันไม่กระทาความผิดข้ึนอีก ด้วยเหตุน้ีการลงโทษจึงต้อง

เร่อื งเดียวกัน หน้า 17 -35

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 9

คานึงถึงผลทั้งต่อตัวผู้กระทาความผิดเองและต่อประชาชนทั่วไปด้วย นักนิติศาสตร์เยอรมันเห็นว่า
กฎหมายอาญาจะต้องมีผลบังคับทางจิตใจ เป็นการปูองกันประชาชนไม่ให้กระทาผิดกฎหมาย และ
จะต้องกาหนดอัตราโทษไว้ในใจของผู้กระทาความผิดน้ันให้ตระหนักได้ว่าการเสี่ยงต่อการถูกลงโทษ
หนักกว่าประโยชน์ท่ีจะได้จากการกระทาความผิด โดยนัยน้ีโทษจึงมีลักษณะเป็นการข่มขู่ แต่ทฤษฎี
เง่ือนไขถือว่าลาพังแต่การข่มขู่ด้วยโทษอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอต่อการปูองกันการกระทาความผิดใน
อนาคต ฉะน้ันการลงโทษจึงต้องมีลักษณะเป็นการแก้ไขตัวผู้กระทาความผิดด้วย เพ่ือปูองกันมิให้
ผู้กระทาความผิดไปกระทาความผิดซา้ อีก

แม้ว่าทฤษฎีเด็ดขาดซ่ึงถือการลงโทษเป็นการทดแทนและเสื่อมความนิยมไป และทฤษฎี
เง่ือนไขซ่ึงถือว่าควรลงโทษเพื่อเป็นการปูองกันเกิดขึ้นมา อย่างไรก็ตามลักษณะของการทดแทนยังคงมี
ร่องรอยเหลืออยู่ในกฎหมายอาญาความต้องการทางสัญชาตญาณในอันจะแก้แค้นทดแทนยังมีอิทธิพล
ต่อการปฏิบัติต่อผู้กระทาความผิด และยังต้องคานึงอยู่ทั้งในการบัญญัติกฎหมายอาญาและการใช้
กฎหมายอาญา จึงกล่าวได้ว่าทฤษฎีกฎหมายอาญาเกี่ยวกับโทษยังมีลักษณะรวมๆระหว่างการมอง
ย้อนหลังไปในอดีตอันเป็นการทดแทนต่อความผิดที่ได้เกิดขึ้นแล้วและการมุ่งถึงผลในอนาคตเป็นการ
ปอู งกนั การกระทาความผิด แต่ไมว่ า่ ทฤษฎเี ง่อื นไขจะมงุ่ ผลในอนาคตหนักแน่นเพียงใด แต่การปฏิบัติต่อ
ผู้กระทาความผิดซ่ึงเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบัน ก็มีลักษณะเป็นการทาให้ได้รับความยากลาบาก
อนั เปน็ การทดแทนน่นั เอง

ดังได้กลา่ วแลว้ ว่า สิทธิในการลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระทาความผิดเป็นสิทธิของรัฐเพียงผู้เดียว
เอกชนไม่มีอานาจลงโทษผู้กระทาความอาญาได้ ความชอบธรรมในการท่ีรัฐแทรกแซงเข้ามาลงโทษน้ี
นักทฤษฎใี ห้ความเห็นไวต้ า่ งๆกนั คือ

(1) หลักความยุติธรรม หลักน้ีถือว่า เม่ือมีการกระทาความผิดขึ้น ก็เป็นส่ิงยุติธรรมท่ีผู้กระทา
ความผิดจะต้องถูกลงโทษเพื่อเป็นการตอบแทน ฉะน้ันโทษจึงควรต้องได้สัดส่วนพอเหมาะกับความผิด
และให้สมกับการท่ีได้กระทาไปนั้น หลักนี้กว้างเกินไปเพราะให้อานาจรัฐในการลงโทษการกระทา
ความผิดทุกอย่างโดยไม่คานึงถึงจิตใจหรือพฤติการณ์ในการกระทาความผิด ความผิดบางอย่างบุคคล
อาจกระทาไปด้วยความประมาท ถา้ คานงึ แต่ผลร้ายของความผิดประการเดียว และลงโทษให้ได้สัดส่วน
กับความผดิ ก็อาจไม่ยุตธิ รรม

(2) หลกั ป้องกนั สงั คม แนวความคิดของหลักนถี้ อื วา่ สังคมหรือบา้ นเมอื งถา้ หากมีใครมาก่อภัย
ข้ึนย่อมต้องปูองกันตัว โดยเอาผู้ที่เป็นภัยมากท่ีสุดไปไว้ในที่ซ่ึงจะทาอันตรายต่อสังคมอีกไม่ได้ และ
ลงโทษผู้ที่กระทาความผดิ ในลกั ษณะที่ทาให้เกดิ ความกลัว ไม่กล้ากระทาความผิดข้ึนอีกและมิให้ใครเอา
เยี่ยงอย่าง ความเห็นในทางปูองกันสังคมเพื่อความปลอดภัยของประชาชนน้ี ทาให้มีผู้สนใจศึกษาถึง
มูลเหตุแห่งการกระทาความผิด และวางวิธีการตอบแทนของสังคมไว้หลายอย่างคือ (ก) กาหนดวิธีการ
ลงโทษชนิดให้เป็นที่หวาดกลัวไม่กล้ากระทาความผิด (ข) มีวิธีการลงโทษหรือนัยหน่ึงวิธีการปูองกันสา

เสรมิ วินจิ ฉยั กุล, คาอธบิ ายกฎหมายลกั ษณะอาญา ภาค 1, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยพาณิชยการ, 2482). หนา้ 7 – 9.

10 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

หรับผู้ร้ายท่ีไม่เกรงกลัวต่อโทษ หรือบุคคลซ่ึงถือว่าเป็นภัยต่อสังคม (ค) มีวิธีการแก้ไขผู้กระทาความผิด
ให้กลับตนเป็นคนดี แต่หลักปูองกันสังคมน้ีก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน คือไม่ยอมรับรู้ในเรื่องความยุติธรรม
ซึ่งถือว่า การลงโทษบคุ คลนน้ั ต้องลงโทษความผดิ ทไี่ ด้กระทาลงไป มใิ ช่ลงโทษโดยพิจารณาถึงความผิดที่
อาจกระทาในอนาคต แต่เมื่อถือหลักปูองกันสังคมแล้ว การลงโทษก็ย่อมจะต้องแรงอยู่เป็นธรรมดา
เพราะมุ่งหมายไมใ่ หเ้ กิดการกระทาความผิดข้นึ อกี

(3) หลักผสม หลักนี้เอาแนวความคิดในหลักความยุติธรรมและหลักปูองกันสังคมมาผสมกัน
กล่าวคือ ตามแนวความคิดของหลักสองประการดังกล่าว กฎหมายลงโทษการกระทาบางอย่าง เพราะ
ความจาเป็นเพื่อปูองกันสังคมแต่รัฐจะลงโทษต่อเม่ือเป็นส่ิงท่ียุติธรรมและอยู่ในขอบข่ายแห่งความ
ยตุ ิธรรม อกี นัยหนง่ึ คือ ลงโทษเพยี งไมเ่ กินกวา่ ความจาเปน็ และไมเ่ กินแกค่ วามยุติธรรม เพราะถ้าถือแต่
หลักใดหลกั หน่งึ ก็อาจมขี ้อบกพร่องเช่นทีก่ ลา่ วมาแลว้ ในปัจจบุ ันหลักผสมนีเ้ ป็นท่ยี อมรบั กันโดยทว่ั ไป

แม้ว่ารัฐจะมีอานาจในการลงโทษผู้กระทาความผิดได้ก็ตาม แต่อานาจในการลงโทษของรัฐมี
ข้อจากัดอยู่บางประการ รัฐไม่อาจลงโทษผู้กระทาความผิดตามอาเภอใจการลงโทษจะต้องเป็นไปตาม
หลักเกณฑ์ท่ีกฎหมายบัญญัติไว้ กล่าวคือ กฎหมายกาหนดประเภทของโทษสาหรับความผิดน้ันๆ ไว้
อย่างไรจะต้องลงโทษด้วยประเภทน้ัน จะลงโทษอย่างอื่นนอกจากที่กฎหมายกาหนดไว้ไม่ได้ เช่น
กฎหมายกาหนดให้ลงโทษปรับ รัฐจะลงโทษกักขังหรือจาคุกไม่ได้ เป็นต้น เว้นแต่จะมีบทบัญญัติใน
กฎหมายนั้นยอมใหเ้ ปลย่ี นเปน็ โทษได้ เช่น ปอ. มาตรา ใหเ้ ปลยี่ นโทษจาคุกเปน็ โทษกักขังได้เม่ือเข้า
ตามเงื่อนไขมาตราน้ัน อีกประการหน่ึงการลงโทษจะลงหนักกว่าโทษขั้นสูงให้จาคุกไม่เกินสามปี รัฐจะ
ลงโทษจาคุกเกินกว่านี้ไม่ได้ ท้ังนี้เว้นแต่จะมีเหตุเพ่ิมโทษตามกฎหมาย ทานองเดียวกันถ้ากฎหมาย
กาหนดโทษขนั้ ต่าในกฎหมายไม่ได้เช่นกนั เช่น ความผิดฐานชิงทรัพย์ ปอ. กาหนดโทษขั้นต่าไว้ห้าปี จะ
ลงโทษต่ากว่านี้ไม่ได้ เว้นแต่มีเหตุลดโทษตามกฎหมาย แต่ในระหว่างโทษขั้นต่าและข้ันสูงท่ีกฎหมาย
กาหนดไว้ รฐั ยอ่ มลงโทษไดต้ ามทเ่ี หน็ สมควร เชน่ ความผิดฐานชิงทรัพย์ กฎหมายบัญญัติให้จาคุกตั้งแต่
หา้ ปถี งึ สิบปี รฐั อาจลงโทษจาคุกมากน้อยเทา่ ไรก็ได้ในระหว่างอตั ราโทษนนั้

1.3 ทฤษฎีกฎหมายอาญา
กล่าวกว้างๆ คาว่า “ทฤษฎี” หมายถึง ความเห็นลักษณะท่ีคาดคิดเอาตามหลักวิชาเพื่อเสริม

เหตุผลและรากฐานให้แก่ปรากฎการณ์หรือข้อมูลภาคปฏิบัติ ซ่ึงเกิดข้ึนมาอย่างมีระเบียบ หรือ
สมมุติฐานท่ีตั้งขึ้นลอยๆเพ่ืออธิบายส่ิงใดส่ิงหนึ่ง แต่ถ้าจะพูดให้จากัดลงไปอีกคาๆน้ีหมายถึง ความรู้
ในวิชาหน่ึงอันได้มาโดยไม่มีจุดมุ่งหมายในทางปฏิบัติ แต่จะเน้นที่ความคิดหลักอันเป็นรากฐานของวิชา
นั้นๆ หรือหมายถึงแนวความคิดเก่ียวกับเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงซ่ึงเป็นท่ียอมรับกันและอาจพิสูจน์ได้

พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, (พิมพค์ รง้ั ท่ี 1 กรงุ เทพมหานคร : อักษรเจรญิ ทัศน์, 2525), หน้า 376.
Shorter Oxford English Dictionary. 3rd ed. Oxford : Oxford University Press, 1962, p. 2167.
Jerome Hall. General Principles of Criminal Law. 2nd ed. Indiana Polis : Bob – Merrill, 1960, p.1
Random House Dictionary. New York : Random House,12968, p.1362

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 11

การศึกษาวชิ าตา่ งๆ ยอ่ มจะตอ้ งมีการศึกษาถงึ ทฤษฎีของแต่ละวิชาไปด้วย เพราะทฤษฎีจะเป็นส่ิงท่ีช่วย
อธิบายความคิดพ้ืนฐานบางประการและเป็นแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงวิชาน้ันๆ ให้สมบูรณ์ย่ิงข้ึน
แต่ในขณะท่ีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์อาจพิสูจน์ได้ด้วยการทดลองหรือข้อเท็จจริงหรือ
หลักเกณฑ์ต่างๆ ทฤษฎีกฎหมายอาญาอาจหาเอาไปพิสูจน์เช่นนั้นได้ไม่ เพราะทฤษฎีกฎหมายอาญา
เป็นเพียงทฤษฎีทางความคิด (descriptive theory) คือประกอบด้วยกลุ่มแนวความคิดหรือหลักการท่ี
ถือวา่ เปน็ พนื้ ฐานของกฎหมายอาญาทั้งมวล

โดยที่แมบ่ ทของกฎหมายอาญาของเรา ทั้งกฎหมายลักษณะอาญาและประมวลกฎหมายอาญา
ฉบับปัจจบุ นั ไดอ้ าศยั ประมวลกฎหมายของประเทศทางตะวนั ตกเป็นหลกั ในการร่าง ฉะน้ันแนวความคิด
พืน้ ฐานของกฎหมายอาญาหรอื นัยหนึ่ง ทฤษฎีกฎหมายอาญาจึงมีที่มาจากแหล่งเดียวกันซึ่งมี 2 กระแส
ความคิดด้วยกัน คือ ทรรศนะของนักทฤษฎีในระบบกฎหมายซีวิลลอว์ และทรรศนะนักทฤษฎีในระบบ
กฎหมายคอมมอนลอว์

1.3.1 ทฤษฎกี ฎหมายอาญาตามทรรศนะในระบบกฎหมายซีวลิ ลอว์
การศึกษาทฤษฎีกฎหมายอาญาตามทรรศนะน้ีเน้นในเรื่องการกระทาความผิดและการลงโทษ
คือ มุ่งไปในทางปฏิบัติยิ่งกว่าการวางหลักเกณฑ์ เนื่องจากหลักเกณฑ์ต่างๆ มีปรากฎชัดแจ้งอยู่ในตัว
ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ปัญหาเร่ืองโทษและความชอบธรรมในการลงโทษมีมาต้ังแต่สมัยกรีก
โบราณแรกเริ่มการลงโทษก็เพ่ือตอบแทนแก้แค้นแก่ผู้กระทาความผิด แต่ต่อมาโซเครติส พลาโต และ
อริสโตเติล เห็นว่าการลงโทษต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในทางปูองกันสังคม การแก้ไขผู้กระทาความผิด
และการยับยั้งมิให้ผู้อ่ืนกระทาความผิด จึงเป็นจุดมุ่งหมายแห่งการลงโทษ ตามทรรศนะของพลาโต รัฐ
ไม่มีสิทธิที่จะแก้แค้น แต่มีเพียงสิทธ์ิที่จะกระทาเพื่อประโยชน์แห่งอนาคตเพราะความผิดท่ีเกิดขึ้นแล้ว
เป็นเร่ืองท่ีไม่อาจปูองกันได้ แต่จะต้องหาทางปูองกันมิให้เกิดการกระทาความผิดนั้นข้ึนอีก ทฤษฎี
ลงโทษเพ่ือตอบแทนแก้แค้นกลับมาโด่งดังอีกครั้งในสมัยของโกรตอุสและคานท์ คานท์ถือว่า การแก้
แค้นเป็นเรื่องของความยุติธรรม ไม่อาจคิดเป็นอื่นหรือผ่อนคลายเพ่ือประโยชน์อ่ืนใดได้ แต่ทฤษฎี
ปูองกันสังคมยังเป็นที่ยอมรับกันอยู่ ทฤษฎีกฎหมายอาญาได้รับความสนใจศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง
ในประเทศเยอรมนั นับแตค่ านทเ์ ปน็ ต้นมา หลังจากคานท์แล้วนักทฤษฎีคนสาคัญของเยอรมันคือ เฮเกล
และลสิ ท์ เฮเกลนั้นมีความคดิ เห็นอันเดยี วกับคานท์ แต่ผอ่ นคลายความเขม้ งวดในทฤษฎีของคานท์ลงไป
บา้ ง ส่วนลิสท์จัดว่าเปน็ นักคดิ ท่มี หี ัวก้าวหนา้ ลสิ ท์ปฏิเสธทฤษฎีการลงโทษของคานท์และเฮเกล และ
เห็นวา่ จะต้องพิจารณากฎหมายอาญาในทางค้นคว้าหาเหตุผล การพิจารณาในทางค้นคว้าหาเหตุผล
ในประการแรกไม่ควรจะมองในด้านศีลธรรม แต่ต้องพยายามอธิบายการกระทาความผิดในฐานะที่เป็น
สิ่งทีป่ รากฏอยู่ในทางธรรมชาตวิ ิทยา การทม่ี นุษยแ์ ต่ละคนกระทาความผิดน้ัน ย่อมเนื่องมาจากอุปนิสัย
ของผู้กระทาความผิดและพฤติการณ์ภายนอกหรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การกระทาความผิดอาญา

Carl Ludwig von Bar. A History of Continental Criminal Law. pp. 376 - 415
Ibid., pp. 492 - 493
หยุด แสงอุทยั , กฎหมายอาญาภาคท่ัวไป, (พมิ พ์คร้ังท่ี 14, กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2520), หนา้ 393 – 396.

12 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

เป็นผลเน่ืองจากลักษณะของผู้กระทาความผิดเป็นคนๆไป ประกอบกับความสัมพันธ์ในทางสังคม
ภายนอก การลงโทษผู้กระทาความผิดอาญาจึงไม่ควรเป็นการตอบแทนแก้แค้น แต่ควรจะเป็นวิถีทางท่ี
จะปูองกนั มใิ ห้มีการกระทาความผิดเกิดข้ึนอีก โดยเหตุน้ีแนวความคิดนี้จึงพิจารณาว่าจะลงโทษอย่างไร
จึงจะเกิดผลมากที่สุด และชอบด้วยเหตุผลท่ีสุด และเห็นว่าไม่ควรจะพิจารณาในแง่ที่ว่าผู้กระทา
ความผิดช่ัวมากหรือช่ัวน้อยเป็นหลักในการลงโทษ แต่ควรจะพิจารณาว่าผู้กระทาความผิดเป็น
ภยันตรายตอ่ สงั คมมากนอ้ ยเพยี งใด แล้วจึงลงโทษตามความเหมาะสมคือ

(1) ถ้าเปน็ ชนดิ ทส่ี ามารถกลับตนได้กต็ อ้ งลงโทษในทางที่จะให้กลบั ตนเปน็ คนดี
(2) ถ้าเปน็ ชนดิ ที่ไม่สามารถกลับตนได้ การลงโทษควรจะเปน็ วิธีที่แยกผู้กระทาความผิดให้ห่าง
จากสงั คมเพราะถ้าบคุ คลเช่นวา่ นี้กลับเข้าสสู่ ังคมเม่ือใด จะตอ้ งกระทาความผดิ ข้ึนอีกเมื่อน้นั

ลิสท์ได้ให้ข้อเสนอแนะเพ่ือเปน็ แนวทางในการปรับปรุงกฎหมายอาญา ดังนี้
(1) ควรเลกิ การลงโทษจาคกุ ในระยะอนั สน้ั ดว้ ยเหตผุ ล 2 ประการ
ประการแรก การลงโทษจาคุกในระยะเวลาอันส้ัน ไม่ทาให้บรรลุจุดประสงค์ในการลงโทษได้
เพราะสาหรบั ผทู้ จี่ ะต้องทาให้หวาดกลวั การจาคกุ ในระยะเวลาอนั สัน้ ไมท่ าใหบ้ คุ คลเช่นว่าน้ันหวาดกลัว
เพราะการลงโทษจาคุกสองวันย่อมไม่ทาให้ผู้ถูกลงโทษรู้สึกเจ็บเพราะจากบ้านครอบครัว มิตรสหาย
และความสะดวกสบายไม่ทนั ไรก็พ้นโทษเสยี แล้ว ส่วนสาหรับผู้กระทาความผดิ ชนดิ ท่ีจะให้กลับตนเป็นดี
นนั้ การลงโทษจาคกุ ในระยะเวลาอนั สั้น ยอ่ มไมท่ าใหเ้ ขากลบั ตนเป็นคนดีได้ เพราะเวลาส่ังสอนอบรมมี
นอ้ ย สว่ นสาหรับผูก้ ระทาความผิดทไี่ ม่สามารถกลบั ตนเป็นคนดีได้ การลงโทษจาคุกช่ัวระยะเวลาอันสั้น
ยอ่ มไมท่ าใหส้ ังคมปลอดภัยได้
ประการที่สอง การลงโทษจาคุกในระยะสั้นกลับจะทาให้ผู้ถูกลงโทษกลายเป็นผู้ร้ายเพราะได้
ชื่อว่าต้องจาคุกมาเสียแล้ว คือเป็นคนขี้คุกข้ีตะราง เขาไม่กล้าคบหาสมาคมกับคนดี เขาจะไปท่ีไหนก็มี
คนต้ังขอ้ รงั เกยี จ บุคคลเช่นว่านี้จึงต้องคบคา้ สมาคมกับผรู้ า้ ยดว้ ยกันและชกั ชวนกันกระทาความผิดอีก
วิธีหลีกเล่ียงมาจาคุกในระยะเวลาอันสั้นก็คือให้ศาลยกโทษจาคุกได้ ให้ศาลลงโทษอย่างอื่น
แทนโทษจาคุกได้ เช่น กักขัง ใหศ้ าลรอการลงโทษหรือรอการกาหนดโทษได้

(2) ควรกาหนดโทษตามบคุ ลิกภาพของผู้กระทาความผดิ
ลงโทษให้เหมาะสมกับผู้กระทาความผิด กล่าวคือ ผู้กระทาความผิดโดยบังเอิญต้องลงโทษให้
หวาดกลัว ผู้กระทาความผิดโดยนิสัยต้องลงโทษให้เหมาะสม โดยแยกพิจารณาว่าผู้กระทาความผิดคน
ใดสามารถกลับตนได้ ต้องลงโทษในทางท่ีจะแยกตัวผู้กระทาความผิดให้ห่างจากสังคมให้นานท่ีสุด เพ่ือ
ผู้ กร ะทา คว า มผิ ด น้ั น จ ะไม่มา ร บ กว น สั ง คมด้ ว ย กา ร กร ะทา คว า ม ผิ ด อา ญ า ใน เ ว ล า ภ า ย ห น้ า ต ล อ ด
ระยะเวลานัน้
เพ่ือที่จะให้การลงโทษเป็นไปตามบุคลิกภาพ (personality) ของผู้กระทาความผิดจะต้อง
ดาเนินการดงั ต่อไปน้ี

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 13

(2.1) ให้ผู้พิพากษามอี านาจใช้ดุลพินจิ ในการกาหนดโทษให้มากข้ึน กล่าวคือ นอกจาก
กรณีท่รี า้ ยแรงจรงิ ๆกฎหมายไมค่ วรกาหนดโทษขั้นต่าไว้ เพราะการท่ีกฎหมายกาหนดโทษข้ันต่าน้ันเป็น
การจากดั อานาจผพู้ พิ ากษามิให้ลงโทษตา่ กว่าโทษขน้ั ตา่ ทีก่ ฎหมายกาหนดไว้

(2.2) ให้ศาลพิพากษาลงโทษไว้ไม่ตายตัวได้ กล่าวคือ ศาลไม่ต้องกาหนดโทษไว้ใน
คาพพิ ากษาให้ตายตวั เช่น จาคุกสามปี ศาลเป็นแตเ่ พียงกาหนดลงไว้ในคาพิพากษาให้ลงโทษจาคุก ส่วน
จะจาคุกนานเท่าใดน้ันให้ศาลกาหนดภายหลัง เช่น ในเม่ือได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานราชทัณฑ์
เก่ียวกบั ตวั ผู้ท่ีถกู ลงโทษแลว้ ท้งั นีเ้ พราะการลงโทษยอ่ มมจี ดุ ประสงคท์ จ่ี ะทาให้ผู้ต้องโทษหวาดกลัวหรือ
ทาให้กลับตน หรือทาให้สังคมปลอดภัย ซ่ึงในขณะพิพากษาย่อมไม่สามารถจะกาหนดให้ตายตัวไว้
ล่วงหน้าได้ว่าจะจาคุกก่ีปีกี่เดือน บุคคลท่ีต้องโทษจึงจะหวาดกลัวหรือกลับตนได้หรือทาให้สังคม
ปลอดภยั ได้

(2.3) ควรใหม้ กี ารรอการลงโทษ
(2.4) ควรกาหนดให้มีวธิ กี ารเพ่ือความปลอดภัยและวธิ ีการท่ีจะทาให้ผู้กระทาความผิด
กลับตนเปน็ คนดีได้
(2.5) ควรแก้ไขวิธีการราชทัณฑ์ให้มีข้ึน คือจะต้องมีวิถีทางท่ีจะทาให้ผู้ต้องโทษกลับ
ตนเป็นคนดี โดยจัดให้มีการอบรมทางจิตใจ การสอนอาชีพ การให้ผู้ต้องคุมขังทางานพอสมควรเพื่อจะ
ได้ไมเ่ กยี จคร้าน
ทฤษฎีกฎหมายอาญาของลิสท์ มีอิทธิพลต่อการปรับปรุงกฎหมายอาญาของประเทศ
ต่างๆรวมท้ังประเทศไทยด้วย ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาของเราก็ได้รับเอาแนวความคิดเหล่านี้มา
บญั ญัตไิ ว้ในหลายเร่ือง เชน่ การรอการลงโทษ และวิธีการเพือ่ ความปลอดภยั เปน็ ตน้

1.3.2 ทฤษฎีกฎหมายอาญาตามทรรศนะในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์
ทรรศนะในระบบน้ีตรงข้ามกับทรรศนะในระบบประมวลกฎหมาย กล่าวคือ การศึกษาทฤษฎี
กฎหมายอาญามุ่งที่จะหาหลักเกณฑ์แทนที่จะเน้นในเร่ืองการกระทาความผิดและการลงโทษ ทั้งน้ี
เพราะในคอมมอนลอว์กฎหมายอาญาเกิดข้ึนโดยผลของคาพิพากษาของศาล มิได้มีการจัดทาไว้เป็น
หมวดหมู่ เป็นระเบียบ จึงจาเป็นท่ีจะต้องศึกษาคาพิพากษาเหล่าน้ันเพื่อวางหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
อาญาน้ัน นักคิดที่ศึกษาทฤษฎีกฎหมายอาญาในแนวทางนี้คือ ฮอลล์ (Hall) ลาเฟฟ (Lafave) และ
สก็อตต์ (Scott) ทั้งสามท่านน้ีมีความเห็นสอดคล้องกันว่า กฎหมายอาญาแบ่งได้ ส่วนคือ ส่วนท่ี
เปน็ ภาคความผดิ ส่วนทเี่ ป็นหลกั ทั่วไป และสว่ นท่เี ปน็ หลักพน้ื ฐาน
(1) ส่วนที่เป็นภาคความผิด บทบัญญัติในส่วนนี้จะมีความหมายแคบที่สุด แต่มีจานวนมาก
ที่สุด และเป็นส่วนพิเศษของกฎหมายอาญา ซ่ึงเม่ือเอาส่วนท่ีเป็นหลักทั่วไปพิจารณาประกอบร่วมด้วย
แล้ว ก็จะเป็นการให้คาจากัดความของความผิดแต่ละฐานและจะกาหนดโทษสาหรับความผิดนั้นด้วย

Jarome Hall. General Principles of Criminal Law. pp. 17 – 26
Lafave & Scott. Criminal Law. pp. 6 - 7

14 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

กล่าวคอื ส่วนน้ีของกฎหมายอาญาจะบัญญัติการกระทาใด ในภาวะของจิตเช่นใดจึงจะถือเป็นความผิด
ฐานฆ่าผอู้ ื่น ฐานขม่ ขืนกระทาชาเรา หรือฐานลักทรพั ย์ เป็นต้น

(2) ส่วนที่เป็นหลักท่ัวไป บทบัญญัติในส่วนน้ีมีความหมายกว้างกว่าบทบัญญัติในส่วนที่เป็น
ความผิดแตย่ ังไม่กวา้ งเทา่ กบั ส่วนท่ีเป็นหลักฐาน หลักทั่วไปในกฎหมายอาญานี้จะนาไปใช้บังคับแก่วาม
ผิดอาญาตา่ งๆ เช่น หลักในเร่ืองวิกลจริต เด็กกระทาความผิด ความมึนเมา ความสาคัญผิด การกระทา
ด้วยความจาเป็น การปอู งกันตัว การพยายามกระทาความผิด ตวั การ ผใู้ ช้และผู้สนับสนุน ความยินยอม
ของผู้เสียหาย เปน็ ต้น

หลักท่ัวไปน้ี บางหลักสามารถใช้กับความผิดทุกฐานความผิด เช่น การวิกลจริต เด็กกระทา
ความผิด แต่บางหลักสามารถใช้บังคับได้เพียงบางความผิด เช่น ความความยินยอมแต่อย่างไรก็ตาม
หลักท่ัวไปเหล่านี้จะใช้บังคับแก่ความผิดมากกว่าหน่ึงความผิดเสมอ มิฉะน้ันเราก็ไม่เรียกว่าหลักทั่วไป
ในขณะทบี่ ทบญั ญัตคิ วามผดิ แต่ละฐานบอกให้ทราบถึงความแตกต่างของแต่ละความผิด หลักท่ัวไปของ
กฎหมายอาญาจะบอกถึงสาระสาคัญท่ีร่วมกันของความผิดแต่ละฐาน ยกตัวอย่าง ถ้าต้องการทราบ
ความแตกต่างของความผดิ ฐานลกั ทรัพย์กบั วางเพลิงหรือขม่ ขนื บทบัญญัตภิ าคความผิดจะบอกให้ทราบ
ได้แต่บทบัญญัติภาคความผิดนั้นมิได้ให้คาจากัดความท่ีสมบูรณ์ของความผิด เช่น ถ้าจาเลยวิกลจริต
ในขณะกระทาความผิดก็ไม่ต้องรับโทษ ฉะน้ันหลักทั่วไปจึงเสริมให้บทบัญญัติภาคความผิดสมบูรณ์ข้ึน
แต่บทบัญญัติภาคความผิดนั้นจะไม่ปรากฏข้อความอันเป็นหลักทั่วไปอยู่ด้วย เช่น ความผิดฐานทาร้าย
รา่ งกายตามมาตรา บัญญัติเพียงว่า “ผู้ใดทาร้ายผู้อ่ืนจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ของผอู้ น่ื นัน้ ผู้น้นั กระทาความผิดฐานทาร้ายร่างกายต้องระวางโทษ” กฎหมายมิได้บัญญัติว่า “ผู้ใด ซึ่ง
ไม่วิกลจริต ไม่เป็นเด็ก ไม่กระทาด้วยความจาเป็น ไม่กระทาเพ่ือปกปูองตัวเอง ไม่ได้รับความยินยอม
จากผเู้ สยี หาย ทารา้ ยผู้อนื่ จนเปน็ เหตุใหเ้ กดิ อันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อ่ืนนั้น ผู้น้ันกระทาความผิด
ฐานทารา้ ยร่างกายตอ้ งระวางโทษ”

นอกจากหลักทั่วไปเก่ียวกับความวิกลจริต ความเป็นเด็ก ความจาเป็นการปูองกันตัว ความ
ยินยอม เหล่านี้แล้ว ซึ่งเป็นหลักท่ีใช้สาหรับปฏิเสธความผิดหรือความรับผิดยังมีหลักท่ัวไปอีกพวกหน่ึง
ซ่ึงเป็นหลักท่ีใช้สาหรับบังคับให้รับผิด เช่น หลักในเรื่องการพยายามกระทาความผิดตัวการผู้ใช้และ
ผู้สนับสนุน ถ้าเกี่ยวกับการพยายามกระทาความผิด ก็อาจเป็นพยายามข่มขืน พยายามฆ่า พยายามลัก
ทรพั ย์ เปน็ ต้น ส่วนหลกั ในเร่ืองตวั การ ผ้ใู ชแ้ ละผูส้ นับสนุน เช่น ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น บุคคลท่ีจะต้อง
รับผิดทางอาญามิได้จากัดเฉพาะผู้ท่ีลงมือยิงด้วยตัวเอง แต่ผู้ท่ีจ้างหรือใช้ให้ยิงหรือผู้ท่ีให้อาวุธปืนไปยิง
ต้องรบั ผิดด้วย

(3) ส่วนที่เป็นหลักพ้ืนฐาน บทบัญญัติในส่วนนี้ถือเป็นหัวใจของกฎหมายอาญา หลักพ้ืนฐาน
ประกอบด้วยหลักสาคัญ 7 ประการ คือ (1) ความยุติธรรม (2) ความผิดของจิตใจ ได้แก่ (เจตนา หรือ
ประมาท) (3) การกระทา (4) เจตนาหรอื ประมาท และการกระทาต้องเกิดร่วมกัน (5) อันตรายต่อสังคม
(6) ความสัมพันธร์ ะหวา่ งเหตุกบั ผล และ (7) โทษ หลักพื้นท้งั 7 ประการน้ี อาจนามากลา่ วสรปุ ได้ดงั นี้

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 15

หลักพื้นฐานประการแรกนั้นสืบเนื่องมาจากความคิดในเร่ืองความยุติธรรม กล่าวคือจะต้องมี
การบอกกล่าวกนั ใหร้ ้ลู ่วงหนา้ ก่อนว่า การกระทาใดจะถือเป็นความผิดและจะลงโทษอย่างไร ดังสุภาษิต
กฎหมายที่ว่า nullum crimen sine lege , nulla poena sine lege (เมื่อไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด
หรอื โทษ)

ลาพังแต่เจตนาหรือความคิดชั่วอย่างเดียวย่อมไม่เป็นความผิด จะต้องมีการกระทาอย่างใด
อย่างหนึ่ง (หรือละเว้นกระทาในเม่ือมีหน้าท่ีต้องกระทา) จึงจะถือเป็นความผิดอาญา กลับกัน ลาพังแต่
การกระทา (หรือละเว้นกระทา) โดยปราศจากเจตนาไม่ถือเป็นความผิดอาญาจึงต้องมีเจตนาด้วย และ
เจตนากับการกระทาจะต้องเกิดร่วมกัน โดยท่ีกฎหมายอาญานั้นมีความมุ่งหมายในอันที่จะปกปูอง
อนั ตรายต่อส่วนรวมจงึ มีหลกั พืน้ ฐานวา่ ถา้ ไม่เกดิ อนั ตรายต่อส่วนรวมแลว้ ยอ่ มไม่เป็นความผดิ

นอกจากนก้ี ็จะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล ในกรณีที่ความผิดน้ันจะต้องมีผลอย่างใด
อยา่ งหน่ึงเกดิ ข้นึ จากการกระทา เช่น ความผิดฐานฆา่ ผู้อ่ืน การกระทาของจาเลยจะต้องเป็นเหตุให้ผู้อื่น
ตาย ในความผิดฐานวางเพลิง การกระทาจะต้องเป็นเหตุให้บ้านถูกไฟไหม้ หรือในความผิดฐานฉ้อโกง
การกระทาของจาเลยจะต้องเป็นเหตุให้ผู้เสียหายให้ทรัพย์สินแก่จาเลย เป็นต้น คือจะต้องพิสูจน์ให้เห็น
วา่ การกระทานัน้ กอ่ ใหเ้ กิดผลน้นั ขึน้

อย่างไรก็ตาม ในภาคบทบัญญัติทั่วไปของประมวลกฎหมายอาญาในปัจจุบัน นอกจากจะ
ประกอบด้วยบทบัญญัติส่วนที่เป็นหลักพ้ืนฐานและหลักท่ัวไปแล้ว ก็ยังมีบทบัญญัติพิเศษซึ่งใช้บังคับได้
ทั่วไป เช่นเดียวกัน เช่น บทบัญญัติเก่ียวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย อายุความ เป็นต้น ซ่ึงแม้จะใช้
บงั คบั ไดท้ ัว่ ไปกจ็ รงิ แตม่ ิไดม้ มี ลู ฐานมาจากการกระทาความผิดอาญา

หลักพื้นฐานของกฎหมายอาญานั้น ยกเว้นหลักความยุติธรรมและโทษแล้วถือว่าเป็น
สาระสาคัญของความผิดอาญาทงั้ ปวง หลกั พ้นื ฐานเป็นหลกั ในระดบั สูงกว่าและกว้างกว่าหลักทั่วไป เช่น
ถ้าเปรียบเทียบหลักเจตนากับหลักความจาเป็น หลักเจตนาจะใช้ได้กว้างกว่าเพราะโดยทั่วไปแล้วการ
กระทาความผดิ อาญาจะตอ้ งประกอบด้วยเจตนาเสมอ

บทบัญญัติภาคความผิด หลักทั่วไป และหลักพ้ืนฐานย่อมจะต้องมีความสัมพันธ์กันกล่าวคือ
บทบัญญัติภาคความผิดน้ันมิได้ให้คาจากัดความอันสมบูรณ์ของความผิดจะต้องพิจารณาประกอบกับ
หลกั ทว่ั ไปจงึ จะใหค้ วามหมายของความผิดชัดเจนข้ึน และเม่ือเอาหลักพ้ืนฐานเข้ามาประกอบอีกก็จะได้
ความหมายของความผิดน้ันโดยสมบูรณ์ ฉะนั้นถ้าจะเข้าใจความผิดฐานใดฐานหน่ึงโดยชัดเจนแล้ว
จาเป็นจะต้องรู้ถึงหลักพื้นฐานและหลักทั่วไปของกฎหมายอาญา กล่าวอีกนัยหนึ่ง บทบัญญัติภาค
ความผิดนั้นจะต้องพิจารณาประกอบหลักพื้นฐานและหลักท่ัวไปเสมอจึงจะเข้าใจความผิดน้ันๆได้แจ่ม
แจง้

16 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

คาถามทา้ ยบท

1. กฎหมายอาญามีความหมายอย่างไร มีกี่ระบบ และแต่ละระบบมีความคิดในทางกฎหมาย
อยา่ งไร

2. กฎหมายอาญามีความม่งุ หมายอย่างไร และวธิ กี ารใดใหบ้ รรลถุ งึ ความม่งุ หมายน้ัน
3. รัฐมเี หตผุ ลประการใดในการใช้อานาจลงโทษผู้กระทาความผิด
4. ขอ้ จากัดอานาจในการลงโทษของรฐั มอี ยา่ งไร
5. ทฤษฎกี ฎหมายอาญาในทรรศนะตามระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ เป็นประการใด

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 17

อา้ งอิงประจาบท

พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, พมิ พ์คร้งั ท่ี 1, (กรงุ เทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์).
เสรมิ วนิ ิจฉัยกลุ , (2482), คาอธบิ ายลกั ษณะอาญาภาค 1, (กรุงเทพมหานคร : ไทยพาณชิ ยการ).
หยุด แสงอุทัย, (2520), กฎหมายอาญาภาคท่ัวไป, พิมพ์ครั้งท่ี 14, (กรุงเทพมหานคร :

มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์).
Carl Ludwig von Bar and others. (1968). A History of Continental Criminal Law. Vol. 6

New York : Augustus M. Kelly.
H. A. Palmer. (1960). Harris’s Criminal Law. 20th ed. London :Sweet & Maxwell Ltd.
Jerone Hall. (1960). General Peinciple of Criminal Law. 2 th ed. Indiana Polis: Bob-

Merrill.
J.W.G. Turner. (1962). Kenny’s Othline of Criminal Law. 18th ed. London : Sweet &

Maxwell.
Justin Miller. (1984). Criminal Law. St. Paul, Min : West Publishing Co.
Random House Dictionary. New York : Random House, 12968.
Shorter Oxford English Dictionary. (1962), 3rd ed. Oxford : Oxford University Press.
Wavne R. LaFave & Austin W. Scott. Jr., (1972), Criminal Law. St. Paul , Min : West

Publishing Co.

18 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

บทที่ 2
บทนิยาม

วตั ถุประสงค์การเรียนประจาบท

1. เพ่ือให้นสิ ติ ศึกษาความหมายของคํานิยามตามกฎหมาย
2. อธบิ ายวัตถปุ ระสงคห์ รือความมงุ่ หมายของคาํ นิยามที่บัญญัตไิ ว้ในประมวลกฎหมายอาญาได้

ขอบขา่ ยเนอ้ื หา

1. ความหมายของคาํ วา่ “บทนยิ าม” ของกฎหมาย
2. บทนิยามทบี่ ัญญัติไวใ้ นประมวลกฎหมายอาญา ๑๕ คาํ

วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท
1. การบรรยาย
2. การศกึ ษาเอกสารประกอบการสอน
3. ทําแบบฝึกหัดทา้ ยบท

สื่อการเรยี นการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. ประมวลกฎหมายอาญา

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 19

2.1 ความหมายของ “บทนิยาม” ตามกฎหมาย
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 “นิยาม” แปลว่า “กําหนด ทาง อย่าง วิธี

กําหนดหรือจํากัดความหมายท่ีแน่นอน” ฉะน้ัน “บทนิยาม” จึงหมายถึง บท กําหนดหรือ จํากัด
ความหมายที่แน่นอนของคําต่างๆ ท่ีใช้อยู่ในบทบัญญัติของกฎหมาย น้ันๆ ว่ามีความหมายแน่นอน
ตามท่บี ญั ญัตไิ วใ้ นบทนิยามของกฎหมายน้นั

โดยปกติกฎหมายไม่จําต้องมีบทนิยามไว้ ถ้าคําต่างๆ ท่ีใช้อยู่ในบทบัญญัติของ กฎหมายนั้นมี
ความหมายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ถ้าคําต่าง ๆ น้ันจะต้องกําหนดหรือ จํากัดความหมายท่ีแน่นอนจึง
บัญญัตบิ ทนิยามไวเ้ พื่อผูใ้ ช้กฎหมายจะไดอ้ ่านและตคี วาม ไปในแนวเดียวกัน

สําหรับบทนิยามท่ีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญานั้น ใช้เฉพาะเป็นบทกําหนดหรือจํากัด
ความหมายที่แน่นอนของคําต่างๆ ที่ใช้อยู่ในบทบัญญัติของประมวล กฎหมายอาญา หรือกฎหมาย
อาญาอน่ื เท่าน้ัน จะนาํ ไปใช้กบั กฎหมายอน่ื ซ่งึ ไม่เกย่ี วกบั กฎหมายอาญาไมไ่ ด้

2.2 บทนิยามที่บญั ญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา
บทนิยามทีบ่ ญั ญตั ไิ ว้ในประมวลกฎหมายอาญามีอยู่ 15 คําด้วยกันซึ่งจะได้อธิบาย ความหมาย

ของแต่ละคาํ ดงั ตอ่ ไปนี้

2.2.1 “โดยทุจริต” หมายความว่า เพ่ือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วย กฎหมาย
สําหรับตนเองหรอื ผอู้ ่ืน

ฉะนัน้ จะถือว่าเป็นการกระทาํ โดยทุจริต จะต้องประกอบดว้ ยหลกั เกณฑ์ ดังต่อไปนี้
1) เพื่อแสวงหาประโยชน์ คําว่า “แสวงหา” หมายถึง การกระทําใด ๆ อัน เพ่ือให้ได้มาแห่ง
ตนหรือผู้อื่น และจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นน้ันหรือไม่ไม่ต้อง คํานึงถึง คําว่า “ประโยชน์”
หมายถงึ ส่งิ ทบี่ ุคคลต้องการ ประโยชน์ในทน่ี แ้ี ยกได้ 2 ประการ คือ

“ประโยชน์” ท่ไี มเ่ กยี่ วกบั ทรัพย์สิน หมายความว่า การกระทําใด ๆ อัน เพื่อให้ได้มา
ในส่งิ ท่ีบุคคลตอ้ งการนน้ั ไม่เก่ียวกับประโยชนใ์ นลักษณะที่เปน็ ทรพั ย์สินหรอื เกย่ี วกบั ทรพั ยส์ นิ เช่น

(1) จาํ เลยแย่งหนังสือหมายนดั พยานของอาํ เภอจากผู้รับมอบหมายจาก อําเภอเพื่อไป
ส่งแก่ผู้มีช่ือในหมายน้ันไป โดยจําเลยประสงค์จะดูวันนัดในหมายนั้นแล้วจะ คืนให้ แต่ทําลายเสียก่อน
ส่งคืน วินิจฉัยว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์อย่างหนึ่ง การที่ ต้ังใจคืนภายหลังไม่สําคัญ เพราะเป็น
ความผดิ สําเร็จแล้ว (คําพิพากษาฎีกาท่ี 353/2478)

(2) ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าจําเลยท้ังสองได้ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ โดยจําเลย ท่ี 2 หลอก
โจทก์ว่าจําเลยที่ 2 คือ นายเชวง แซ่ภู่ ความจริงไม่ใช่เจ้าของที่ดินตาม น.ส.3 ที่มาแสดงต่อโจทก์จน
โจทก์หลงเช่ือ โจทก์จึงได้ทําหนังสือรับรองหลักทรัพย์ย่ืนขอประกัน นายกุหลาบต่อศาลน้ันจนศาลสั่ง
อนุญาตให้นายกุหลาบมีประกันตัวไป มีปัญหาว่าการ กระทําของจําเลยจะถือได้ว่าเป็นการแสวงหา
ประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายจากโจทก์ หรือไม่ คําพิพากษาฎีกาท่ี 863/2513 วินิจฉัยคําว่า “โดย
ทุจริต” หมายความว่าเพ่ือ แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเองหรือผู้อ่ืน

20 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

การท่ีจําเลยทั้ง สองสมคบกันหลอกลวงโจทก์ โดยจําเลยท่ีสองแสดงตนต่อโจทก์ว่าเป็นนายเชวง แซ่ภู่
เจา้ ของท่ดี นิ ตาม น.ส.3 จนโจทก์หลงเชื่อทําหนังสือรับรองหลักทรัพย์ขอประกันตัวนาย กุหลาบต่อศาล
นน้ั แมจ้ ะปรากฏวา่ จาํ เลยไม่ได้รบั ประโยชนเ์ ปน็ ทรัพย์สินแต่ประการใดก็ ตาม ก็ทําให้นายกุหลาบได้รับ
ประโยชน์จากการใช้หนังสือรับรองทรัพย์สินนั้นอ้างต่อศาล จนได้ประกันตัวไป ซึ่งย่อมถือว่าเป็นการ
แสวงหาผลประโยชนส์ าํ หรบั ผู้อ่ืนอนั เปน็ การ กระทาํ โดยทจุ ริตแล้ว

“ประโยชน์” ทเ่ี กย่ี วกับทรัพย์สิน หมายความว่า การกระทําใด ๆ อัน เพ่ือให้ได้มาใน
สงิ่ ที่บุคคลต้องการน้นั เป็นทรัพย์สิน หรือเกย่ี วกับทรัพยส์ นิ เช่น แดงหยิบเอานาฬิกาข้อมือของดําไปโดย
ไม่ไดร้ ับอนญุ าต นาฬกิ านั้นเปน็ ประโยชนใ์ นลักษณะทเ่ี ปน็ ทรพั ย์สนิ

จงึ สรปุ ได้ว่า “ประโยชน์” ในมาตรา 1(1) นีม้ ี 2 อยา่ ง คือ ประโยชน์ในลักษณะ ท่ีเป็น
ทรัพย์สิน หรือเก่ียวกับทรัพย์สิน กับประโยชน์ท่ีไม่มีลักษณะเป็นทรัพย์สิน หรือ เก่ียวกับทรัพย์สิน ใน
การพิจารณาน้ันให้ดูว่าที่ใดที่กฎหมายประสงค์ให้หมายความถึง ประโยชน์ในลักษณะท่ีเป็นทรัพย์สินก็
จะบัญญัติไว้ให้ชัดเช่นน้ัน ที่ใดท่ีไม่บัญญัติเฉพาะ ประโยชน์ในลักษณะท่ีเป็นทรัพย์สิน ย่อมหมายความ
ถงึ ประโยชน์โดยท่ัวไป

2) เป็นประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย หมายความว่า ประโยชน์ที่แสวงหามาน้ัน
จะต้องเป็นประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย คือไม่มี สิทธิหรืออํานาจตามกฎหมายที่จะเอา
ประโยชน์นั้นได้ แต่การที่ได้ประโยชน์มาโดยถือ วิสาสะไม่ถือเป็นการได้ประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบ
ด้วยกฎหมาย เช่น คําพิพากษาฎีกาท่ี 107/2474 จําเลยเอาทรัพย์ไปโดยถือวิสาสะน้ัน ตัดสินว่าไม่มี
เจตนาลักทรพั ย์ (เพราะมิได้ทาํ โดยทุจริต)

คําพิพากษาฎีกาที่ 288/2485 เจ้าทรัพย์กับจําเลยคุ้นเคยชอบพอกัน เจ้าทรัพย์เป็นหน้ีจําเลย
อยู่ จําเลยมาท่ีบ้านเจ้าทรัพย์และหยิบเอาปืนไปโดยบอกกล่าวแก่ คนในบ้านเจ้าทรัพย์ว่าจะเอาปืนไป
ปากน้ํา ต่อมาเจ้าทรัพย์ไปทวงถาม จําเลยก็รับว่าเอา ปืนมาจริง แต่ต้องใช้หน้ีก่อนจึงจะคืนปืนให้ ดังน้ี
ถึงแม้จําเลยจะปฏิเสธช้ันศาลว่าไม่ได้เอาปืนไป รูปคดีก็ไม่ผิดฐานลักทรัพย์ เพราะไม่มีเจตนาลักปืน
จาํ เลยประสงค์เพยี งจะยดึ ปืนประกันหนเ้ี ท่านน้ั

ตามคําพิพากษาฎีกาน้ีเป็นการเอาไปโดยไม่มีอํานาจและเจ้าทรัพย์มิได้ อนุญาตแต่โดยเหตุที่
ชอบพอคนุ้ เคยกัน จาํ เลยอาจทาํ โดยถอื วสิ าสะ

3) ประโยชน์น้นั สาหรบั ตนเองหรือผอู้ น่ื หมายความว่า ประโยชน์ที่ได้มาโดยมิชอบนั้นสําหรับ
ตนเองหรือผอู้ ืน่ เช่น

จาํ เลยเป็นผใู้ หญ่บ้าน รู้แล้วว่านายหวันราษฎรลูกบ้านซื้อโคมาแล้ว โคถูกยึดไว้ นายหวันขอให้
จาํ เลยจดบญั ชีโคลกู คอกเพือ่ นาํ ไปอ้างต่อตาํ รวจผยู้ ึดโคไว้ จาํ เลยกท็ ําให้โดยยอมจดทะเบียนลงวัน เดือน
ปี ท่ขี ้ึนทะเบยี นย้อนหลังให้อันเป็นความ เท็จ ดังน้ีถือได้ว่าจําเลยปฏิบัติหน้าท่ีโดยทุจริต และไม่ปรากฏ
ว่าจําเลยได้รับจ้างรางวัลแต่อย่างใด ก็เป็นการทําให้นายหวันได้รับประโยชน์โดยการเอาเอกสารไปอ้าง
ในการทถ่ี กู ยึดโค แสวงหาประโยชนส์ าํ หรับผูอ้ นื่ (คาํ พิพากษาฎีกาท่ี 1051/2505)

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 21

ฉุดหญิงไปข่มขืนแล้วถอดสายสร้อยคอพาหนีไปเป็นลักทรัพย์ (คําพิพากษาฎีกาที่ 612,
613/2477) ถอื ว่าสรอ้ ยน้ันเป็นประโยชน์สําหรับตนเองแล้ว

เมื่อการกระทําครบหลักเกณฑ์ท้ังสามประการดังกล่าวข้างต้นแล้วจึงเป็น “โดยทุจริต” คําว่า
“ทุจริต"”ในทางอาญาแตกต่างกับคําว่า “ไม่สุจริต” ในทางแพ่ง เพราะ “ทุจริต” ในทาง อาญานั้น
หมายความว่าเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับ ตนเองหรือผู้อื่นแต่
“สจุ รติ หรือไม่สุจริต” ในทางแพ่งหมายความว่ารู้หรือไม่รู้ถึงการที่ไม่มี สิทธิหรือความบกพร่องแห่งสิทธิ
เท่าน้ัน

คําว่า “โดยทุจริต” นี้มีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143, 147, 151, 154 ถึง
มาตรา 157, มาตรา 242, 269, 318, 319 และความผิดเกี่ยวกับ ทรัพย์ตามหมวด 1 ถึงหมวด 6 เป็น
องค์ประกอบของความผดิ นัน้ ๆ และจาํ ต้องแปล ความหมายของคาํ ว่า “โดยทุจริต” ตามที่บัญญัติไว้ใน
มาตรา 1(1) เหมือนกันทกุ ความผิดทีไ่ ดบ้ ัญญตั คิ าํ ว่า “โดยทุจรติ ” ไว้ ตวั อย่างเรอ่ื งทุจรติ เชน่

1) โจทก์จําเลยเป็นพี่น้องตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกัน แล้วจําเลยขน เอาทรัพย์ส่วนของจําเลยไป
ต่อหน้าโจทก์ โจทก์นิ่ง ภายหลังปรากฏว่าจําเลยขนเกินไป บ้างก็ไม่มี เจตนาทุจริต (คําพิพากษาฎีกาที่
269/2468)

2) ชา้ งของจาํ เลยไปกนิ ขา้ วโพดจึงจบั สง่ อําเภอ อําเภอมอบใหน้ ายแดง รักษาไว้ จําเลยไปขอรับ
คนื จากนายแดง นายแดงนัดให้ไปเอาท่ีอําเภอ จําเลยไม่ไปแล้ว กลับเอาช้างไปเสีย ดังน้ีตัดสินว่าไม่เป็น
ลักทรพั ย์ เพราะไม่มีเถยยะจติ เป็นโจร (ไม่มเี จตนาทุจริต) (คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 704/2474)

3) จําเลยรับฝากโคเขาไว้ เม่ือเขาไปขอคืนคร้ังแรกว่าบุตรเอาไป ครั้นไปขออีกครั้งกลับว่าไม่ได้
รบั ฝาก การปฏิเสธของจาํ เลยวา่ ไมไ่ ดร้ ับฝากยังชีไ้ มไ่ ดว้ ่า จาํ เลยมเี จตนาทุจริตยักยอกโค เว้นแต่โจทก์จะ
มพี ยานแสดงว่าจําเลยรู้เห็นเป็นใจให้ บุตรจําเลยเอาโคไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย (คําพิพากษาฎีกาท่ี
994/2498)

4) จําเลยบังคับให้เขาขับรถยนต์และขับรถยนต์ของคนอ่ืนไป เพื่อมิให้ถูกทําร้ายและถูกจับน้ัน
ไป แลว้ จอดรถท้ิงไว้ข้างถนน ไม่มีเจตนาเอารถคันน้ัน ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ (คําพิพากษาฎีกาท่ี
1683/2500)

5) จําเลยถกู สลากกนิ รวบ แลว้ ไปเอาเงนิ รางวลั จากผู้ท่ีเขา้ ใจว่าเป็น เจ้ามือ แม้จะใช้อาวุธขู่เข็ญ
เอา ถ้าจําเลยเข้าใจว่าเป็นเงินท่ีจําเลยควรได้ไม่มีเจตนาทุจริต จะลักทรัพย์ ก็ไม่ผิดฐานชิงทรัพย์หรือ
ปลน้ ทรพั ย์ (คาํ พิพากษาฎีกาที่ 1977/2497)

2.2.2 “ทางสาธารณะ” หมายความว่า ทางบกหรือทางน้ําสําหรับประชาชนใช้ใน การจราจร
และให้หมายความรวมถงึ ทางรถไฟและรถรางทีม่ รี ถเดนิ สาํ หรับประชาชนโดยสารดว้ ย

ทางสาธารณะตามความหมายนม้ี ี 2 ประเภท คือ

22 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ก. ทางสาธารณะประเภทท่ีหน่ึง มีหลักเกณฑ์ดังนี้
1) ทางบกหรือทางนํา้ “ทางบก” หมายถึง ทางที่เดินด้วยเท้าหรือเดิน ด้วยพาหนะบน

บก เชน่ ถนน ตรอก ซอย “ทางน้าํ ” หมายถงึ แม่นา้ํ ลาํ คลอง ทะเลสาบ ทะเล เปน็ ตน้
2) สําหรับประชาชนใช้ในการจราจร ต้องเป็นทางท่ีประชาชนใช้ใน การจราจร

โดยท่ัวไป ไม่ใชท่ างสงวนสทิ ธิ์หรอื สว่ นบคุ คล
คําว่า “ประชาชน” หมายถึงประชาชนทั่ว ๆ ไป ไม่เฉพาะเจาะจงถึงคน ใดคนหนึ่ง

และมิได้หมายความว่าได้ใช้อย่างสิทธิหรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิ กรรมสิทธ์ิ หรือสิทธิจะเป็นของใครไม่
สําคัญ แมจ้ ะไดใ้ ช้โดยฐานอนุญาตก็เปน็ ทางสาธารณะได้

คําว่า “ประชาชนใช้ในการจราจร” หมายถึงการที่ประชาชนคนใดคน หน่ึงท่ัวไปมี
อํานาจหรือความชอบธรรมใช้เป็นทางสัญจรได้ ไม่ใช่ทางสําหรับบุคคลบางหมู่ บางคณะ เช่น ทางใน
สถานที่ราชการ สถานท่ีของเอกชน แม้จะกว้างใหญ่ บุคคลเข้าไป ติดต่อได้ ก็เป็นทางของสถานที่
เหล่าน้ันโดยเฉพาะ หาใชท่ างสาธารณะไม่

ข. ทางสาธารณะประเภทท่สี อง
1) ทางรถไฟ ทางรถราง สําหรับทางรถรางปัจจุบันได้เลิกใช้รถรางแล้ว แต่บริเวณทาง

รถรางน้นั อาจทําเป็นถนน สว่ นทางรถไฟที่จะถือว่าเปน็ ทางสาธารณะ จะต้องมีรถเดิน
2) ท่ีมีรถเดินสําหรับประชาชนโดยสารด้วย หมายความว่า นอกจากทางรถไฟที่มีรถ

เดินด้วยแล้ว จะต้องสําหรับประชาชนโดยสารด้วยจึงจะเป็นทางสาธารณะ เพราะบางทีทางรถไฟที่ใช้
สาํ หรับสับเปลีย่ นหัวจกั รรถไฟเปลย่ี นตูร้ ถไฟอย่างนมี้ ใิ ช่สาํ หรับประชาชนโดยสาร

ทางสาธารณะน้นั แม้ประชาชนท่วั ไปจะเขา้ ไปไดเ้ ปน็ สาธารณสถานก็ ไมเ่ ป็นทางสาธารณะเสมอ
ไป เชน่ ในทางสวนสาธารณะสาํ หรบั ประชาชนเขา้ ไปเท่ียวทาง ในบริเวณศูนย์การค้าเอกชน ทางเดินใน
ตลาดเอกชน เหล่านีไ้ มเ่ ปน็ ทางสาธารณะเพราะ มิได้ใชใ้ นการจราจร แตเ่ ปน็ ทางสําหรับเข้าไปใช้สถานท่ี
เท่านั้น ส่วนทางในท่ีเอกชนถ้า เป็นทางที่อนุญาตให้ประชาชนใช้เป็นทางจราจร แม้จะสงวนกรรมสิทธ์ิ
ปิดเสียเมื่อใดก็ได้ ก็เป็นทางสาธารณะได้ ทางเดินระหว่างสวนซ่ึงมหาชนใช้สัญจรทั่วไปเป็นทางหลวง
(ทางสาธารณะ)

ท่ีต้องให้คํานิยามคําว่า “ทางสาธารณะ” เพราะจําเป็นต้องรู้ว่าทางชนิด ใดเป็นทางสาธารณะ
เนื่องจาก “ทางสาธารณะ” ท่ีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา เป็นความผิดเก่ียวกับทางสาธารณะ
หลายมาตราดว้ ยกัน เช่น ในมาตรา 229, 371, 372, 378, 385, 386, 387 และมาตรา 396 เปน็ ตน้

ตัวอย่างคาพิพากษาฎีกาเกยี่ วกบั ทางสาธารณะ
คาํ พพิ ากษาฎีกาที่ 27/2466 ทีช่ ายตลิง่ ซึง่ ติดต่อกับถนนหลวง หาใช่ถนนหลวงไม่
คําพิพากษาฎีกาท่ี 41/2458 ทางเดินระหว่างสวนสําหรับมหาชนใช้เป็นทางสัญจร ไปมาได้
ท่ัวไป ถือเป็นทางสาธารณะ

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 23

คําพิพากษาฎีกาที่ 585/2469 ทางใดที่เป็นทางหลวงอยู่คร้ังหน่ึงแล้วย่อมเป็นทาง หลวงเสมอ
ไป นอกจากจะมีกฎหมายบงั คบั ใหเ้ ปน็ อย่างอน่ื

คําพิพากษาฎีกาที่ 706/2470 ที่ชายเลนริมทะเลซ่ึงนํ้าทะเลข้ึนท่วมถึงแต่มีต้นไม้ งอกข้ึนจน
เป็นปาุ ราษฎรใชเ้ ดินเรือไมไ่ ด้ ไมเ่ ป็นทางหลวง

คาํ พิพากษาฎกี าท่ี 956/2475 ทางเกวยี นซ่ึงอยู่ในระหว่างที่นาของราษฎรและ ราษฎรใช้ทางน้ี
เปน็ ทางสําหรับขนข้าว และปีนไปลงทา่ น้าํ ประมาณ 20 ปีแลว้ เปน็ ทางหลวง

คําพิพากษาฎีกาที่ 926/2474 ทางอยู่ในท่ีของจําเลย แต่ได้ปล่อยให้ทางนี้เป็นทาง สาธารณะ
ประชาชนทั่วไปสัญจรไปมาไดห้ ลายสบิ ปีแลว้ จาํ เลยไม่เคยห้าม เป็นทางหลวง

คําพิพากษาฎีกาที่ 332/2475 จําเลยได้ยอมยกท่ีดินให้เป็นทางแต่ไม่ได้รับโอน โฉนด ได้สร้าง
ทางเปิดให้ประชาชนใช้เดินไปมาแล้ว ตัดสินว่าการอุทิศที่เพ่ือประโยชน์ สาธารณะและรัฐได้สร้างเป็น
ทางจนประชาชนใชเ้ ปน็ ทางไปมาแล้ว เชน่ น้นี บั เป็นทาง หลวงแล้ว หาจาํ ตอ้ งโอนไม่

คําพิพากษาฎีกาที่ 200/2476 ที่ซ่ึงเจ้าของปล่อยให้สาธารณะชนใช้เดินไปมาเป็น เวลา 20 ปี
แลว้ นบั เป็นทางหลวง แม้ท่นี ั้นจะอยใู่ นเขตโฉนดเจ้าของทดี่ ิน

คําพิพากษาฎีกาท่ี 506/2490 ยกที่ดินให้แก่เทศบาลเพ่ือเป็นทางสาธารณะน้ันไม่ ต้องจด
ทะเบียน เพียงทาํ หนงั สอื มอบทางสาธารณะให้แก่เทศบาลก็พอ

คําพิพากษาฎีกาที่ 276-277/2495 แม่นํ้าลําคลองน้ันโดยสภาพย่อมถือว่าเป็นทาง ซึ่ง
สาธารณชนใช้สญั จรไปมาอนั ถือไดว้ า่ เปน็ ทางสาธารณะหรือทางหลวง เว้นแต่จะตื้นเขิน จนสาธารณชน
ไมอ่ าจใชเ้ ป็นทางสัญจรไปมาตอ่ ไปได้

คําพิพากษาฎีกาท่ี 765/2498 การอุทิศท่ีดินให้เป็นทางสาธารณะน้ันแม้จะยังมิได้ แก้โฉนด
ท่ดี ินและใช้มายงั ไม่ถงึ 10 ปี กไ็ มส่ ําคญั ตอ้ งถอื ว่าเป็นทางสาธารณะ

คําพพิ ากษาฎีกาที่ 240/2499 ที่ชายตลง่ิ นาํ้ ทะเลข้ึนถึงอย่างเดียวน้ัน หาใช่ทางสาธารณะเสมอ
ไปไม่ การท่ีได้ความจากพยานโจทก์ว่าเคยใช้เรือผ่านท่ีจําเลยเข้าออกมา ประมาณ 20 ปี จะฟังได้ว่ามี
การอุทศิ ทดี่ นิ ตอนนน้ั เปน็ ทางสาธารณะโดยปริยายไมไ่ ด้ (เพราะไม่ใชป่ ระชาชนใช้ในการจราจร)

2.2.3 “สาธารณสถาน” หมายความวา่ สถานทีใ่ ด ๆ ซ่ึงประชาชนมีความชอบธรรมท่ีจะเข้าไป
ได้

การท่ีจะเปน็ สาธารณสถานจะต้องประกอบด้วยหลกั เกณฑ์ดังตอ่ ไปน้ี
1) ต้องเป็นสถานท่ี
คาํ วา่ “สถานท”่ี หมายถงึ สถานท่ีทั่ว ๆ ไป จะเปน็ อสงั หารมิ ทรัพยห์ รือ สังหาริมทรัพย์
ก็ได้ อาจเป็นสถานที่ที่มีสิ่งปลูกสร้างหรือว่างเปล่าท่ีมีขอบเขตจํากัดไว้ก็ได้ และอยู่บนบกหรือในน้ําก็ได้
เช่นเดียวกบั เคหสถาน รถประจาํ ทาง สถานท่ีบนขบวนรถไฟ โดยสารซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะ
เขา้ ไปได้ เปน็ สาธารณสถานเรือโดยสารหรือ เคร่ืองบินน่าจะอย่ใู นความหมายน้ีด้วย

24 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

2) สถานที่นัน้ ประชาชนมีความชอบธรรมทจ่ี ะเข้าไปได้
คําว่า “ประชาชน” หมายถึงบุคคลโดยท่ัวๆ ไป แต่อาจมีข้อจํากัด เช่น เด็กห้ามเข้า
หรือเขา้ ไดเ้ ฉพาะบุคคลบางจาํ พวก เช่น เข้าได้เฉพาะบรุ ุษ สตรี หรือพระ ก็ยัง ถอื วา่ ประชาชนเข้าไดอ้ ยู่
แต่ท่ีท่ีเข้าได้เฉพาะบุคคลบางจําพวกโดยจํากัด เช่น สมาชิกของสมาคม แม้ใครจะ
สมคั รเปน็ สมาชิกได้ แต่ถา้ ไม่ไดส้ มคั รก็ไม่ใชส่ มาชิกจึงเขา้ ไปไม่ได้ สมาชิกที่เข้าไปได้แม้จํานวนมากมายก็
ไม่ใชป่ ระชาชน แต่ถ้าบางเวลาเปิดโอกาสให้สมาชิกพาใครๆ เข้าไปได้ไม่จํากัดคุณสมบัติหรือจํานวน
แม้จะต้องรับอนุญาตก่อนในโอกาสเช่นนั้นกถ็ อื เป็นประชาชนเข้าได้๑
คําว่า “ความชอบธรรม” ท่ีจะเข้าไป หมายความว่า ประชาชนโดยทั่วไป ย่อมใช้
สถานท่ีนั้นโดยไม่จําต้องรับอนุญาตจากเอกชนคนใดคนหนึ่ง และไม่จําต้องถึงกับเป็นสิทธิตามกฎหมาย
เพยี งแต่การอาศัยใชห้ รือโดยวสิ าสะเปน็ เพยี งบางครัง้ บางคราวไม่ถอื เป็นความชอบธรรมของประชาชาน
ท่ัวไป แต่ถ้าการอาศัยใช้หรือวิสาสะถึงขนาดท่ีเป็นการอนุญาตอันยอมให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปแล้ว ก็
เป็นชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ และถือเป็นสาธารณสถาน เช่น ร้านค้าซ่ึงประชาชนมีความชอบธรรมที่จะ
เขา้ ไปได้ การอนุญาตใหป้ ระชาชนมคี วามชอบธรรมเข้าไปได้
ความชอบธรรมท่ีประชาชนจะเข้าได้อาจมีขอบเขตจํากัดเฉพาะบางส่วน บางเวลา
หรือบางตอน เช่น ศาลาวัด โบสถ์ ในขณะท่ีเปิดให้มีการทําบุญบนศาลา หรือมี เทศน์ในอุโบสถ หรือ
บวชนาคในอุโบสถ ถือเป็นเวลาท่ีประชาชนมีความชอบธรรมเข้าไป ได้ แต่ศาลาหรือโบสถ์ได้ปิดไม่เปิด
ให้ประชาชนเข้าไปบางเวลา ไม่ถือว่าประชาชนมี ความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ สถานเริงรมย์ต่าง ๆ
บริเวณที่จัดให้แขกเข้าไปนั่งพัก เช่น สถานอาบ อบ นวด หรือโรงแรม บริเวณที่จัดให้แขกนั่งพักเพื่อ
เลือกหญิงบริการ หรือบริเวณท่ีจัดให้แขกน่ังพักผ่อนในโรงแรม ถือเป็นสถานท่ีประชาชนท่ีมีความชอบ
ธรรมท่ีจะเข้าไปได้ แต่ห้องท่ีหญิงบริการใช้สําหรับอาบ อบ นวด ให้แขก หรือห้องที่จัดสําหรับแขก เข้า
อยู่อาศัยในโรงแรม ไมถ่ ือวา่ เป็นสถานท่ีประชาชนมีความชอบธรรมเข้าไปได้
สาํ หรบั หอ้ งเรียน หอ้ งประชมุ ซงึ่ อนุญาตให้เข้าไปได้เฉพาะบุคคลที่เป็น นักเรียน นิสิต
นักศึกษาของสถานท่ีนั้น หรือสมาชิกของท่ีประชุมไม่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ ไม่เป็น
สาธารณสถาน
เหตุผลที่ต้องให้นิยามคําว่า “สาธารณสถาน” เพราะประมวลกฎหมาย อาญาได้บัญญัติคําว่า
สาธารณสถานไว้หลายมาตราด้วยกัน เช่น ในมาตรา 335(9), 372 และ 378 เพื่อให้ความหมายเป็นอัน
เดียวกนั จึงต้องใหน้ ยิ ามไว้

ตัวอยา่ งคาพพิ ากษาฎีกาท่ีเกี่ยวกบั “สาธารณสถาน”
คาํ พิพากษาฎีกาท่ี 1908/2518 ถนนซอยในท่ีดินเอกชนซึ่งแบ่งให้เช่าปลูก บ้านประชาชนชอบ
ทีจ่ ะเขา้ ออกติดต่อกันได้ เปน็ สาธารณสถาน

๑ จิตติ ตงิ ศภทั ิย์, ศาสตราจารย์, คาอธบิ ายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์,
2513), หน้า 2068.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 25

คําพิพากษาฎีกาท่ี 883/2520 ห้องโถงในสถานการค้าประเวณีผิด กฎหมายเวลารับแขกมา
เที่ยวเป็นสาธารณสถานซ่ึงประชาชนมีความชอบธรรมท่ีจะเข้าไปได้ พลตํารวจมีอํานาจค้นโดยไม่ต้องมี
หมายตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 93 จําเลยขัดขวาง เป็นความผิดตามมาตรา
140 ตํารวจจบั ไดต้ ามมาตรา 78(3)

2.2.4 “เคหสถาน” หมายความว่า ที่ซ่ึงใช้เป็นที่อยู่อาศัย เช่น เรือน โรงเรือ หรือ แพซ่ึงคนอยู่
อาศัย และใหห้ มายความรวมถึงบรเิ วณท่ีซง่ึ ใชเ้ ป็นท่ีอยูอ่ าศยั นั้นดว้ ย จะมีรวั้ ล้อมหรอื ไมก่ ต็ าม

จากความหมายนี้แบ่ง “เคหสถาน” ออกเป็น 2 ประเภท คอื
ก. เคหสถานประเภทที่หน่งึ ประกอบดว้ ยหลักเกณฑด์ ังนี้

1) ต้องเป็นทซ่ี ึ่งใชเ้ ปน็ ทอ่ี ย่อู าศัย ทซี่ ึง่ ใชเ้ ปน็ ท่ีอยอู่ าศัยน้ันได้แก่ เรือน โรงเรือน หรือ
แพ นอกจากท่ีระบุแล้ว อาจมีสิ่งอื่น ๆ อีก ข้อสําคัญอยู่ท่ีว่าที่ซึ่งใช้อยู่อาศัย นั้นต้องเป็นท่ีคนอยู่อาศัย
จริง ๆ ฉะนั้นคําว่า “ที่” จึงหมายความถึง เรือนแพ ด้วย จึงมิใช่ เพียงท่ีดินหรือสิ่งซึ่งติดอยู่กับท่ี แม้จะ
เปน็ ส่ิงท่ีเคล่ือนทไี่ ด้ ถา้ ใช้เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศัยก็เปน็ เคหสถานได้

2) ซงึ่ คนอยู่อาศัย หมายถึง ใช้เป็นท่ีหลับนอน ไม่จําต้องกินในที่นั้น การนอนคือนอน
หลับเป็นปกติ ไม่ใช่พักนอนกลางวันช่ัวงีบระหว่างเวรยาม แต่ก็มิได้หมายความว่าต้องอยู่ประจําตลอด
วนั ถา้ ใช้อยู่เปน็ ปกตแิ ล้วก็ถอื ว่าเป็นเคหสถาน เชน่ บา้ นพกั ชว่ั คราวเวลาตากอากาศเปน็ เคหสถานแม้จะ
ปิดกญุ แจตลอดเวลาท้ังท่ไี ม่มคี นพกั หลับนอนดว้ ย

สาํ หรบั ห้องเชา่ ในโรงแรม บงั กะโล แฟลต ที่ให้คนเช่าเป็นปกติ คงถือเป็นเคหสถานได้
แม้ผู้อาศัยจะเปล่ียนแปลงหน้ากันอยู่ตลอดไป ส่วนห้องนอนในขบวนรถไฟหรือในเรือซ่ึงคนโดยสารใช้
นอนชว่ั คราวในระหวา่ งเดินทางไมเ่ ป็นเคหสถาน แต่ห้องนอนของต้นเรอื ทอ่ี ยปู่ ระจําเป็นเคหสถาน

กางเตน็ ทป์ ลูกเพงิ ขัดห้างนอนระหวา่ งเดนิ ทางเป็นระยะๆ ไม่เป็นที่ หลับนอนตามปกติ
ถึงแม้จะเป็นเต็นท์ชนิดพิเศษมีเคร่ืองปรับอากาศก็ไม่เป็นเคหสถาน ทั้งน้ีไม่รวมถึงเต็นท์ท่ีใช้หลับนอน
ระหว่างทําการสํารวจ ณ ที่ใดเป็นคราวๆ แม้เสร็จแล้วจะย้ายไปที่อ่ืนก็ถือเป็นเคหสถานได้
เช่นเดียวกบั ท่ีพกั คนงานกนิ อยหู่ ลบั นอนชัว่ คราว ระหวา่ งกอ่ สร้างอาคารก็เปน็ เคหสถาน

ตัวอยา่ งทถี่ ือเปน็ เคหสถานมดี งั น้ี
1. ปลูกเพิงอยู่เผ้าตากอวนของผู้อพยพมาจับปลาท่ีสุโขทัยเมื่อถึงฤดูกาล แม้พ้นฤดูจับปลาแล้ว
จะทิ้งไปกเ็ ป็นเคหสถาน
2. ห้างร้านที่มีคนเฝูามีทห่ี ลับนอนเปน็ ปกตเิ ปน็ เคหสถาน
3. โรงรถยนตท์ มี่ ีคนอยูป่ ระจาํ เพอื่ เฝาู รกั ษาเปน็ เคหสถาน
4. แพซงุ ท่ลี ่องมาจากต้นนาํ้ มเี พงิ คนงานพักนอนเป็นประจําตลอดทางเป็นเคหสถาน

เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ 2056.

26 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

5. เกวียนทใี่ ชเ้ ปน็ ท่อี ย่ปู ระจําท้งั กลางวนั และกลางคืนตลอดเวลา เดินทางไปสถานท่ีต่าง ๆ เป็น
เคหสถาน (เจา้ ทรัพย์จะตอ้ งเป็นผใู้ ช้เกวียนเดินทางอยเู่ ปน็ ปกติ มใิ ชจ่ ้างเกวยี นไปกิจธรุ ะเปน็ ชัว่ คราว)

6. รถหรือเรือซึ่งใช้เป็นท่ีพักระหว่างเดินทางและทํางานหรือท่องเที่ยว เป็นท่ีหลับนอนเป็น
ประจําระหวา่ งทางเปน็ เคหสถาน

ตัวอยา่ งที่ไม่ถือเป็นเคหสถานมีดังนี้
1. ปลกู เพงิ นอนเฝูาขา้ วหรือจบั ปลาเปน็ ครง้ั คราวไม่เป็นเคหสถาน
2. บางวันเจ้าของร้านกลับบ้านไม่ทันก็นอนที่ร้านขายของ วันไหนสงสัยว่าจะมีขโมยก็มานอน
เฝาู ไมเ่ ปน็ เคหสถาน
3. ศาลาวัด ศาลาริมทาง ใต้ถุนสะพานท่ีมีผู้ไปอาศัยนอนหรือแอบอาศัยนอนเป็นคร้ังคราว
ระหว่างท่ีเจ้าของยังไม่ขับไล่ หรือห้องขังที่ผู้ถูกคุมขังถูกบังคับให้ อยู่จนกว่าจะปล่อยตัว แม้อาจจะเป็น
เวลาหลายปีกม็ ิไดใ้ ชเ้ ปน็ ท่ีอยู่อาศยั ไม่เป็นเคหสถาน
4. ห้องนอนในรถไฟหรือเรือโดยสารซ่ึงใช้พักหลับนอนระหว่างเดินทางโดยเฉพาะ ไม่เป็น
เคหสถาน
5. สิ่งปลูกสร้างท่ียังไม่มีคนเข้าอยู่เป็นปกติ หรือเลิกใช้โดยออกไปไม่คิดจะกลับ เช่น บ้านเช่า
ระหวา่ งไมม่ คี นเชา่ ไมเ่ ป็นเคหสถาน

ข. เคหสถานประเภทที่สอง คือ บริเวณของท่ีซึ่งใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยจะมีร้ัวล้อมหรือไม่ก็ตาม คํา
ว่า “บริเวณ” จะอยู่ติดกับสถานท่ีอันเป็นเคหสถานโดยตรงหรือห่างออกไปก็ได้ เช่น ระเบียงบ้าน นอก
ชาน ในครัว หอ้ งรับแขก อยา่ งไรกต็ ามการทีจ่ ะ พจิ ารณาวา่ บรเิ วณของทอ่ี ย่อู าศยั มีขอบเขตเพียงใดย่อม
แล้วแต่สภาพของที่อยู่อาศัยและที่ท่ีต่อเนื่องว่าเป็นส่วนประกอบของกันและกันหรือแยกออกได้เป็นคน
ละสว่ นคนละตอน ท้ังนีไ้ ม่ถอื การตดิ ต่อหรอื หลงั คาเดียวกันเปน็ เกณฑ์

เหตุที่ต้องให้นิยามคําว่า “เคหสถาน” เพราะมีบางมาตราในประมวลกฎหมาย อาญาที่บัญญัติ
คาํ วา่ เคหสถานไว้ เชน่ มาตรา 218, 335 และมาตรา 364 เพือ่ ความหมายอันเดยี วกนั จึงได้ให้นิยามไว้

ตวั อย่างทถ่ี ือวา่ เปน็ บริเวณของท่ีซ่งึ ใชเ้ ป็นท่อี ยู่อาศัย มดี งั ต่อไปนี้
1. นอกชานเรือนซงึ่ ต่อเนอ่ื งกบั เรือนไม่ว่าจะมีลูกกรงหรือไม่ เปน็ เคหสถาน
2. ครัวเรอื นทไ่ี มม่ คี นอยอู่ าศยั แต่ติดกบั ตวั เรือนท่มี คี นอยอู่ าศัย เป็นเคหสถาน
3. ใต้ถนุ เรือนมฝี าขดั แตะก้นั หอ้ ง พื้นเป็นดิน กลางวันใช้เป็นท่ีขายของ กลางคืนขนของขึ้นเก็บ
บนเรือน ไม่มีคนนอนใต้ถุนนี้ ลักษณะเช่นนี้ต้องถือว่าเป็นบริเวณต่อเน่ืองกับตัวเรือน นับว่าเป็น
เคหสถาน
4. เล้าไก่แม้จะไม่ใช่ท่ีคนอยู่อาศัย แต่อยู่ห่างจากตัวเรือนประมาณ 1 เมตร แม้จะแยกออก
ต่างหากจากตัวเรือน ก็ยังอยู่ในที่ดินอันเป็นบริเวณของโรงเรียนซึ่งมีร้ัวอยู่ด้วย ไม่ใช่อยู่บริเวณต่างหาก
จากตัวเรอื นซง่ึ ใช้เปน็ ท่อี ย่อู าศยั ของคน กถ็ อื ว่าเปน็ เคหสถาน จําเลยลักไก่ในเล้าซึ่งอยู่ในบริเวณท่ีคนอยู่
อาศัย จงึ เป็นการลักทรัพย์ใน เคหสถาน (คําพพิ ากษาฎีกาที่ 393/2509 ประชมุ ใหญ่)

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 27

5. สนาม ลานบา้ น ก็เป็นบรเิ วณตอ่ เนื่องรวมถงึ ทีท่ เี่ ปน็ สวนครวั

ตัวอย่างทไ่ี ม่ถือเป็นบรเิ วณของที่ซึ่งใชเ้ ป็นท่อี ยู่อาศัย มดี งั ตอ่ ไปน้ี
1. กระท่อมนาต้ังอยู่ในที่ดินแปลงเดียวกับนา 100 ไร่ บริเวณท่ีอยู่อาศัยย่อมจํากัดเฉพาะพื้นที่
ทีเ่ ป็นสว่ นของกระท่อมนา ไม่ใช่พ้ืนนาทัง้ 100 ไร่
2. โรงกลงึ แมอ้ ยใู่ นรั้วบ้านแต่ห่างตัวเรือน 1 เส้น ไม่ใช้อยู่อาศัย ไม่เป็นเคหสถาน (คําพิพากษา
ฎีกาท่ี 515/2486)
3. รว้ั บา้ นเปน็ ขอบเขตเคหสถาน ไม่ใชเ่ ป็นเคหสถาน (คาํ พพิ ากษาฎกี าที่ 52/2475)
4. ท่ีดินมีร้ัวสังกะสีล้อมรอบ มีคอกสุกร 80 ตัวอยู่ด้านตะวันตก มีห้องพักคนงานอยู่ด้านเหนือ
มหี อ้ งแถวอยดู่ า้ นใต้สําหรับคนงานอยู่อาศัยสําหรับดูแลสุกรโดยเฉพาะ เป็นที่พักอาศัยชั่วคราวเพ่ือดูแล
สุกรเป็นอันดับรอง คอกสุกรจึงไม่ใช่บริเวณของที่อยู่อาศัยไม่เป็นเคหสถาน (คําพิพากษาฎีกาท่ี
1250/2520)

2.2.5 “อาวุธ” หมายความรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ แต่ซ่ึงได้ใช้ หรือเจตนาจะใช้
ประทุษรา้ ยรา่ งกายถึงอันตรายสาหสั อย่างอาวุธ

บทนิยามน้ีมิได้กล่าว “อาวุธ” หมายความว่าอะไรเหมือนบทนิยามคําอ่ืน ๆ ก็เพราะส่ิงซ่ึงเป็น
อาวุธโดยสภาพมีอยแู่ ล้ว ฉะน้ันความหมายของคําว่า “อาวุธ” ตามบทนิยามนจ้ี ึงมี 2 ชนิด คอื

ก. ส่ิงซ่ึงเป็นอาวุธโดยสภาพ หมายถึง ส่ิงซ่ึงโดยสภาพแล้วใช้ทํา ให้เป็นอันตรายแก่ร่างกาย
บาดเจบ็ สาหสั หรอื ถงึ ตายได้โดยตรงในกฎหมายลักษณะอาญา เดิม มาตรา 6(5) เรียกว่า “ศาสตราวุธ”
และให้ตัวอย่างว่า ปืน ดาบ หอก แหลน หลาว มีด และกระบอง เป็นต้น กรณีอาวุธก็มีความหมาย
เช่นเดียวกับศาสตราวุธ ฉะนน้ั อาวุธโดย สภาพมีหลกั เกณฑ์ให้พิจารณาไดด้ งั นี้

1. รูปรา่ ง ขนาด รูปร่างท่เี ห็นเปน็ อาวธุ ได้โดยสภาพตามความรู้สึก ของสามัญชนท่ัวไป
เช่น ปืน ระเบิดมอื ดาบ มีดขนาดใหญ่ ไมซ้ างกับลูกดอกอาบยาพษิ

2. ความร้ายแรง หมายถึง ส่ิงที่เรียกว่าอาวุธโดยสภาพน้ีเมื่อใช้ ทําอันตรายแก่กายถึง
สาหสั ไดโ้ ดยไมจ่ าํ ตอ้ งเลือกวา่ เปน็ ส่วนไหนของรา่ งกาย

ข. สงิ่ ซ่ึงไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ กรณีส่ิงซ่ึงไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ จะถือว่าเป็นอาวุธได้จะต้อง
ประกอบด้วยหลกั เกณฑ์ข้อใดหรือข้อหนึง่ ดงั ต่อไปน้ี

1. สิ่งซ่ึงไมเ่ ป็นอาวธุ โดยสภาพแต่ได้ใช้ประทษุ รา้ ยรา่ งกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ
หรือ

2. สิ่งซ่ึงไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่เจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัส
อยา่ งอาวุธ

พระวรภักด์ิพบิ ูลย์, ศาสตราจารย์, คาํ อธบิ ายประมวลกฎหมายอาญา 1.

28 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

กรณีตามข้อ ข. น้ี ตามสภาพแล้วไม่เป็นอาวุธถึงแม้จะใช้ทํา อันตรายสาหัสแก่กายได้ แต่ถ้าได้
ใช้หรือเจตนาจะใช้ทําอันตรายสาหัสก็ถือเป็นอาวุธ โดยจะต้องใช้อย่างอาวุธ และการใช้ที่จะเป็นอาวุธ
ต้องเปน็ การใช้ประทุษร้ายแก่รา่ งกาย ถ้าใช้ทําอนั ตรายแก่ทรพั ยห์ รอื ใชข้ วา้ งปาบ้านเรือนมิได้ตั้งใจให้ถูก
คนหรือใหเ้ ข้าใจวา่ จะทําอนั ตรายแกร่ า่ งกายบุคคล ไมเ่ ปน็ ใชห้ รือเจตนาจะใช้เปน็ อาวธุ

อย่างไรเรียกว่า “อันตรายสาหัส” ต้องถือตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 297 มี 7
ประการ คือ

1. ตาบอด หูหนวก ลิน้ ขาด หรอื เสยี มานประสาท
2. เสยี อวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสบื พนั ธ์ุ
3. เสยี แขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอน่ื ๆ
4. หนา้ เสยี โฉมอยา่ งตดิ ตัว
5. แท้งลกู
6. จติ พิการอย่างตดิ ตวั
7. ทุพพลภาพ หรือปุวยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่าย่ีสิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจ
ตามปกติไมไ่ ดเ้ กินกว่าย่ีสิบวนั
ส่วนที่ว่าใช้อย่างอาวุธนั้น หมายความว่า แม้วัตถุบางอย่างจะ ใช้ทําอันตรายบุคคลถึงสาหัส
หากลักษณะวิธีการที่ใช้เทียบไม่ได้กับอาวุธโดยสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่ถือเป็นอาวุธ เช่น
เข็มเย็บผ้า ไม้จิ้มฟัน ใช้แทงลูกตาให้บอด เทียบไม่ได้กับอาวุธที่ใช้เฉาพะการทําให้ตาบอด จึงไม่เป็ น
อาวุธ หรือต้องการฆ่าคนโดยใช้รถยนต์ไล่ชน รถยนต์ไม่เป็นอาวุธ เพราะเทียบไม่ได้กับอาวุธโดยสภาพ
แตถ่ ้าใชป้ ิน่ ปักผมยาวๆ ใช้กรรไกรขาเดียว หรือเหล็กแหลมเจาะกระสอบข้าวสารทําร้ายร่างกายเหล่าน้ี
เทียบได้กบั มีดจงึ เป็นอาวุธ
ที่ต้องทราบว่าเป็นอาวุธหรือไม่น้ี มีความสําคัญแก่การกระทํา ความผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก
ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ บุกรุก และความผิดลหุโทษด้วย (ป.อ.มาตรา 335, 337, 339, 340, 365, 371
และ 379) โดยเฉพาะความผดิ ตอ่ รา่ งกาย อาวุธท่ีใชท้ ําร้ายเป็นเหตหุ นง่ึ ทจ่ี ะชเี้ จตนาของผกู้ ระทาํ ผดิ

ตวั อยา่ งทเ่ี ป็นอาวธุ โดยสภาพหรอื ถอื เปน็ อาวธุ
1. ถ่อตามสภาพเป็นเคร่ืองใช้ชนิดหนึ่งสําหรับเรือ เมื่อเอามา ใช้เป็นเครื่องประการในการชิง
ทรัพย์จงึ เปน็ อาวธุ
2. ไมพ้ ายตามสภาพเปน็ เคร่อื งมอื ใช้พายเรือ แต่เมื่อผู้ใดใช้ไม้พาย ทําร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส
กถ็ อื ได้วา่ เป็นอาวุธ
3. ไม้ยาว 5 ฟุต โคนโต 10 นิ้ว ตอนกลางและปลายโต 8 นิ้วคร่ึงนั้นเป็นอาวุธ อาจใช้ทําร้ายถึง
ตายได้
4. ปืนที่ไม่อาจใช้ยิงทําอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุได้ก็เป็นอาวุธ ปืนตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ และ
เป็นอาวุธโดยสภาพ พาไปในเมอื งเป็นความผดิ ตามมาตรา 371 (คําพิพากษาฎกี าท่ี 1903/2520)

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 29

5. จําเลยชักสว่ิ ออกมาขจู่ ะทําร้ายในการปล้น เป็นการปล้นโดยมีอาวธุ ตดิ ตัวไปตาม ป.อ.มาตรา
340 วรรค 2 (คาํ พพิ ากษาฎีกาที่ 2009/2522)

ตวั อย่างที่ไม่ถอื วา่ เปน็ อาวุธ
1. หนังสะต๊ิกนั้นตามธรรมดาเป็นของสําหรับเด็กยิงอะไรเล่น เมื่อไม่ปรากฏว่าอาจใช้ทําร้าย
รา่ งกายได้ถึงสาหสั ผิดแปลกไปจากธรรมดาแล้ว ไม่ใชอ่ าวุธ (คําพพิ ากษาฎีกาที่ 886/2492)
2. จอบเสียมที่จําเลยใช้เป็นเครื่องมือขุดนาของคนอื่น เรียก ไม่ได้ว่ามีอาวุธเข้าไปบุกรุก (คํา
พพิ ากษาฎีกาที่ 335/2493)
3. ไฟฉายที่ใช้ในการปล้นทรัพย์ เม่ือไม่ปรากฏว่าใหญ่และ ยาวเท่าใด จะอนุมานเอาว่าเป็น
เคร่ืองประหารอันสามารถจะใช้กระทําแก่ร่างกายให้ถึง สาหัส เป็นอาวุธไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกาที่
1311/2493)
4. ยารมทําใหม้ ึนเมาหรอื ยาอยา่ งอื่น ไมใ่ ช่อาวธุ

ข้อสังเกต คําว่า “ได้ใช้” หมายความว่า ใช้ทําร้ายร่างกาย แล้ว ส่วนคําว่า “เจตนาจะใช้”
หมายความว่ายังไม่ไดใ้ ช้เลย แตต่ ง้ั ใจจะใช้เท่านัน้ กถ็ ือวา่ ทําความผิดโดยใช้อาวุธ

2.2.6 “ใช้กาลังประทุษร้าย” หมายความว่าทําการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจ ของบุคคล
ไมว่ ่าจะทําด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอ่ืนใด และให้หมายความรวมถึงการ กระทําใด ๆ ซึ่งเป็นเหตุ
ให้บุคคลหน่ึงบุคคลใดอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถขัดขืนได้ไม่ว่าจะ โดยใช้ยาทําให้มึนเมา สะกดจิต หรือใช้
วธิ ีอ่นื ใดอนั คลา้ ยคลงึ กนั

ตามนยิ ามที่ 6 น้ี พงึ แยกการใช้กําลงั ประทุษรา้ ยออกได้เปน็ ประการคือ
1. การประทษุ รา้ ยโดยตรง ได้แก่ การประทษุ รา้ ยแก่รา่ งกายหรือจติ ใจของบุคคลด้วย
ก. แรงกายภาพ หรอื
ข. ด้วยวิธีอน่ื ใด

คําว่า “ประทุษร้าย” หมายถึง การทําร้ายแก่กายหรือจิตใจของบุคคล เช่น ชก ต่อย
ตบตี ใช้อาวุธปืนยิง ใช้มีดแทง เป็นต้น แต่การกระทําต่อชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือเสรีภาพมิได้ถือว่าเป็น
ประทุษรา้ ยตามบทนยิ ามน้ี

คําว่า “ใช้แรงกายภาพ” หมายความถึงการประทุษร้ายด้วยการใช้ อํานาจทางกาย
หรอื กําลังกายของบคุ คลผู้กระทําต่อบคุ คลอกี คนหน่ึงซ่ึงถูกกระทํา เช่น การชก ต่อย ตบตี ถีบ เตะ หรือ
ผลกั ใหล้ ้ม เป็นต้น โดยไม่หมายรวมถงึ พลังธรรมชาติ หรือพลังทางจิตใจ

คาํ วา่ “วธิ อี ่นื ใด” จะตอ้ งมีความหมายทํานองเดียวกับใช้แรงกายภาพ เช่น ก. ผลัก ข.
ใหต้ กบันได เปน็ การใช้แรงกายภาพ แต่ถา้ ก.หลอกให้ ข. เดินตรงไปโดย

การเอาผงซักฟอกโรยให้ถนนลน่ื รถวง่ิ มาคว่าํ คนในรถเปน็ อันตราย หรือใช้ไฟฟูาจ้ีหรือใช้เหล็ก
เผาไฟจี้ เหลา่ นถี้ ือเป็นใชว้ ธิ อี น่ื ใดทาํ นองเดียวกับใช้แรงกายภาพ

30 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

การประทุษร้ายแก่ “ร่างกาย” หมายถึง ทําให้ร่างกายเจ็บปุวย เปรอะ เปื้อน เปียก ร้อน เย็น
กว่าปกติจนเป็นภยั ต่อกาย เช่น เทอจุ จาระรด ถ่ายปัสสาวะรดตวั คน

การประทุษร้ายแก่ “จิตใจ” หมายถึง กระทําต่อจิตใจ ได้แก่ ทําให้ตกใจ ทําให้หมดสติ ท้ังน้ีไม่
รวมถึงการทําให้เกิดความรู้สึกกลัว โกรธ หรือเสียใจ น้อยใจ เจ็บใจ แค้นใจ เพราะเป็นแต่เพียงอารมณ์
เท่านั้น ไม่ถึงกับทาํ ร้ายจติ ใจ๕

2. การกระทาํ ใด ๆ ซงึ่ ทาํ ใหบ้ คุ คลใดอยูใ่ นภาวะทไี่ ม่สามารถขดั ขืนได้ โดย
ก. ใช้ยาทาํ ให้มึนเมา สะกดจติ หรือ
ข. ใชว้ ธิ อี ่ืนใดอันคลา้ ยคลึงกนั

คําว่า “ใช้ยาทําให้มึนเมา” หมายถึง ให้กินยาประเภทต่าง ๆ ทําให้เกิด อาการมึนเมา
จนไม่สามารถจะขดั ขนื ได้

คําว่า “สะกดจิต” หมายถึง ใช้อํานาจทางกระแสจิตท่ีเหนือกว่าบังคับ ให้บุคคลหน่ึง
บุคคลใดกระทาํ อย่างใดอย่างหนงึ่

คําว่า “ใช้วิธีอ่ืนใดอันคล้ายคลึงกัน” หมายความว่า ใช้วิธีการอ่ืนใดก็ ตาม ให้ทํานอง
เดียวกับการทําให้มึนเมาหรือสะกดจิต เช่น ใช้ยาเบื่อเมาให้กินจนหมดสติ หรือมอมเหล้าจนหมดสติ
หรือใชค้ วันรม เปน็ ตน้

สําหรับการกระทําใดๆ ซ่ึงเป็นเหตุให้บุคคลหน่ึงบุคคลใดอยู่ในภาวะท่ี ไม่สามารถขัด
ขนื ได้นัน้ มขี ้อสาํ คญั อยู่ทีว่ ่าการกระทาํ น้นั ๆ เป็นเหตุให้บุคคลผู้ถูกกระทํา อยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืน
ได้ ถ้าปราศจากข้อนี้เสียก็ไม่เรียกว่าถูกประทุษร้าย การ กระทําในเร่ืองนี้ได้แก่ การใช้ยารม ยาเบื่อเมา
สะกดจิต ฉดี ยาให้สลบ หรอื วธิ ีอนื่ ใดอัน คลา้ ยคลงึ กัน เชน่ จําเลยใช้ยาทาํ ให้ผู้เสียหายมึนเมาเป็นเหตุให้
ตกอยู่ในภาวะท่ีไม่สามารถจะขัดขืนได้ ดังน้ีถือว่าเป็นการใช้กําลังประทาร้ายแล้ว (คําพิพากษาฎีกาท่ี
529/2509)

ตัวอย่างการใช้กาลังประทุษรา้ ย
1. คําพพิ ากษาฎีกาที่ 428/2512 การท่ีจาํ เลยทัง้ สองมไี ม้ตะพดเป็นอาวุธร่วมกันลักทรัพย์ โดย
ใช้ไม้ ตะพดตหี รือมือตบตี เป็นการใชก้ ําลังประทุษร้ายแล้ว
2. คําพิพากษาฎีกาที่ 361/2520 จําเลยปัดไฟฉายท่ีผู้เสียหายถืออยู่จนหลุดจากมือ ผู้เสียหาย
ก้มลง เก็บไฟฉาย จําเลยกระชากเอาสร้อยคอพาหนีไป การปัดไฟฉายเป็นการกระทําแก่เน้ือตัวหรือกาย
เปน็ การใชก้ าํ ลงั ประทุษรา้ ย

จติ ติ ติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์,
2513), หน้า 2098.

๕ เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า 2098.

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 31

3. คําพิพากษาฎีกาท่ี 2103/2521 จําเลยรวบคอผู้เสียหายเพื่อให้รู้ว่าสวมสร้อยคออยู่ แล้ว
กระตุก สร้อยคอทองคําหนัก 2 สลึง สร้อยบาดคอเป็นแผลไม่ถึงแก่อันตรายแก่กาย ไม่เป็นชิง ทรัพย์
เป็นการฉกฉวยเอาซ่ึงหนา้ มีความผิดฐานว่งิ ราวทรัพย์

4. คําพิพากษาฎีกาที่ 52/2523 การที่จําเลยที่ 1 กอดเอว และจําเลยที่ 2 ดึงเสื้อเจ้าพนักงาน
ตํารวจไว้ เพื่อมิให้จับกุมญาติของตนท่ีกําลังถูกติดตามจับกุม เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้า พนักงานโดยใช้
กาํ ลงั ประทุษร้าย

5. คาํ พิพากษาฎกี าท่ี 867/2502 แกะเชือกท่ีผูกกระบือจากมือเด็กเลี้ยงกระบือ แล้วพากระบือ
วง่ิ หนี ไป เป็นการใช้กําลังประทษุ ร้าย

6. คําพพิ ากษาฎีกาท่ี 1609/2506 คนร้ายจับข้อมือพวกเจ้าทรัพย์ให้เข้าไปในบ้านไม่ให้ส่งเสียง
ดงั เป็นการใชก้ าํ ลงั ประทุษรา้ ย

7. คําพิพากษาฎีกาท่ี 1176/2519 ขี่จักรยานยนต์เคียงคู่รถท่ีผู้เสียหายกําลังขี่อยู่บนถนน แล้ว
จบั แขน ดงึ คอเส้ือจนรถผ้เู สียหายเซ และกระชากสร้อยคอไป ถือได้วา่ เปน็ การใชก้ ําลังประทษุ รา้ ย

2.2.7 “เอกสาร” หมายความว่า กระดาษหรือวัตถุอื่นใดซึ่งได้ทําให้ปรากฏความหมาย ด้วย
ตัวอักษร ตัวเลข ผัง หรือแผนแบบอย่างอ่ืน จะเป็นโดยวิธีพิมพ์ ถ่ายภาพ หรือวิธีอ่ืน อันเป็นหลักฐาน
แห่งความหมายนัน้

ความหมายตามบทนิยามนปี้ ระกอบดว้ ยหลกั เกณฑด์ งั ตอ่ ไปน้ี
1. ตอ้ งเป็นกระดาษหรือวตั ถอุ ่นื ใด
2. ทําให้ปรากฏความหมายด้วยตวั อักษร ผัง หรือแผนแบบอยา่ งอ่ืน
3. ด้วยวธิ พี มิ พ์ หรอื ถา่ ยภาพ หรือวธิ อี นื่
4. เป็นหลักฐานแหง่ ความหมายนนั้

1. ตอ้ งเปน็ กระดาษหรือวัตถอุ ื่นใด หมายความถึงสิ่งท่ีใช้สําหรับทําให้ ความหมายของถ้อยคํา
ปรากฏขึ้น เอกสารน้ันมิใช่ตัวถ้อยคําที่แสดงความหมาย แต่เป็น วัตถุที่ทําให้ปรากฏความหมายขึ้น ซ่ึง
อาจทําขึ้นบนกระดาษหรือวัตถุอ่ืน เช่น บนแผ่น ทองแดง แผ่นศิลา แผ่นไม้ บนกําแพง บนพ้ืนทราย
เป็นต้น

2. ทาให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ผัง หรือแผนแบบอย่างอ่ืน หมายความว่าต้องมี
การกระทําของบุคคลให้ปรากฏความหมายขึ้นบนกระดาษหรือวัตถุ อื่นโดยจะปรากฏอยู่ช่ัวคราวหรือ
ถาวรกไ็ ด้ ขอ้ สําคญั บคุ คลจะต้องเป็นผู้ทําให้ปรากฏ มิใช่ ปรากฏขึ้นเอง เช่น เคร่ืองคอมพิวเตอร์ ปรอท
แสดงอุณหภูมิ เคร่ืองช่ังตวงวัดนาฬิกาบอก เวลา เคร่ืองคํานวณ เป็นต้น แต่ถ้าเคร่ืองทําให้ปรากฏ
ความหมายแล้วบุคคลไปดัดแปลงข้อความน้ัน ข้อความท่ีดัดแปลงเป็นการกระทําของบุคคล
“ความหมาย” หมายความว่าส่ิง ที่ทําให้ปรากฏข้ึนน้ันต้องแสดงความคิดของผู้ทําเอกสาร จะเป็นท่ี
เข้าใจได้หรือไม่ก็ตาม กล่าวคือ ส่ิงท่ีทําให้ปรากฏจะต้องเป็นส่ือแสดงข้อความของบุคคล ต้องแสดง

32 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

เหตุการณ์และแสดงความคิดของบุคคลผู้น้ันทําขึ้นนั้น การทําให้ปรากฏความหมายจะแสดง ออกเป็น
ตัวอักษร ตัวเลข ผัง หรือแผนแบบอย่างอ่ืนก็ได้ ขอให้อ่านหรือเห็นความหมายได้โดยการสัมผัสทางตา
เช่น อักษรและเลขบนท่อนซุง อักษรและเลขท่ีพานท้ายปืน แผนท่ี แบบแปลน รูปภาพ ขวัญกระบือที่
ขีดเส้นโยงไว้กับภาพสัตว์ในตั๋วพิมพ์รูปพรรณสัตว์ พาหนะ แผนที่หลังโฉนดที่ดิน เหล่านี้แสดง
ความหมายได้จงึ เป็นเอกสาร

3. วธิ ีพมิ พ์ หรือถา่ ยภาพ หรอื วิธอี ื่น หมายความว่า การทําใหป้ รากฏ ความหมายบนกระดาษ
หรือวัตถุอื่นใดน้ีจะใช้วิธีพิมพ์ หรือถ่ายภาพ หรือวิธีอื่นก็ได้ เช่น เขียน ตีตราข้อความ แกะสลัก พ่นสี
พ่นควัน ทาํ ให้เคร่ืองจับเวลาหยุด เปน็ ต้น

4. เป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้น หมายความว่าการทําให้ปรากฏ ความหมายบนกระดาษ
หรือวัตถุอ่ืนใดนั้นจะเป็นโดยพิมพ์ ถ่ายภาพ หรือวิธีอ่ืนนี้จะต้อง ปรากฏคงทนอยู่ช่ัวขณะหน่ึงเพ่ือได้
ทราบความหมายน้ัน เช่น กองทัพอากาศส่งเครื่องบิน ไปปล่อยควันเป็นตัวอักษรหรือเขียนข้อความบน
พ้นื ทรายชายทะเล หรือเขียนขอ้ ความบน หมิ ะ เปน็ ตน้

ตวั อย่างเกยี่ วกับเอกสาร
1. เจา้ ทรัพยแ์ สดงกลออกต๋วั ให้คนดู แล้วนาํ ตว๋ั นน้ั ไปขนึ้ เอาของได้ ในตั๋วน้ัน มีแต่ตัวเลข จําเลย
นําตั๋วไปส่งแก่เจา้ ทรัพยเ์ พ่อื รบั ของ ปรากฏเป็นต๋ัวปลอม และจําเลย นําไปใช้โดยรู้ว่าเป็นต๋ัวปลอม ดังนี้
ตัดสินว่าตั๋วน้ันเป็นจดหมาย จํานวนตัวเลขที่ปรากฏใน ต๋ัวเป็นถ้อยคําที่อ้างเป็นพยานได้ (คําพิพากษา
ฎกี าที่ 1007/2468)
2. เครื่องหมายอักษรโรมัน และตัวเลขซ่ึงเขียนไว้บนซุงไม้ขอนสัก เพื่อแสดงว่าเป็นไม้ของ
บรษิ ทั ใด และมีความใหญย่ าวเทา่ ใดนัน้ เป็นหนังสอื ตามกฎหมาย (คําพพิ ากษาฎกี าที่ 701/2470)
3. หนังสือมอบอํานาจให้จัดการอย่างใดอย่างหน่ึงแทนเจ้าของที่ดินน้ันเป็นเอกสารที่บุคคล
ธรรมดาทาํ ข้ึน จึงมิใชเ่ อกสารราชการหรือเอกสารสทิ ธิ (คําพพิ ากษาฎีกาท่ี 668/2502, 1764/2506)
4. อกั ษรและเลขหมายท่ีพานท้ายปืนอันเป็นเครื่องหมายทะเบียนอาวุธปืนของเจ้าพนักงานนั้น
ไม่ใชร่ อยตราของเจ้าพนกั งาน แตเ่ ปน็ เอกสารตามมาตรา 1(7) (คําพิพากษาฎกี าที่ 1269/2503)
5. ภาพถ่ายห้อง เคร่ืองใช้ ตู้เสื้อผ้า และของอื่น ๆ ในบ้านไม่ได้แสดง ความหมายอย่างใด ไม่
เปน็ เอกสารตามมาตรา 1(7) (คําพพิ ากษาฎกี าที่ 1209/2522)
6. ภาพถ่ายสําเนารายการประวัติอาชญากรที่เจ้าหน้าท่ีรับรอง แต่เจ้าหน้าท่ีมิได้รับรอง
ถ่ายภาพ ภาพถ่ายน้ีไม่ใช่เอกสารราชการ เป็นแต่เอกสารตามมาตรา 1(7) (คําพิพากษาฎีกาท่ี
1375/2522)
7. จําเลยเอาภาพถ่ายผู้อื่นรับปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตและสวมครุย วิทยฐานะมาปิด
ภาพถา่ ยเฉพาะใบหน้าของจําเลยลงไปแทน แก้เลข พ.ศ. 2508 เป็น 2504 แล้วถ่ายเป็นภาพใหม่ดูแล้ว

เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ 1418, 1419.

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 33

เปน็ ภาพจําเลยรับปริญญามีตัวอักษรว่ามหาวิทยาลัย แพทยศาสตร์ พ.ศ. 2504 เป็นภาพถ่ายท่ีไม่ทําให้
ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษรฯ ตาม มาตรา 1(7) เลข พ.ศ. ก็ไม่ปรากฏความหมายในตัวเอง ไม่เป็น
ปลอมเอกสาร (คําพิพากษาฎกี าที่ 1530/2522)

2.2.8 “เอกสารราชการ” หมายความวา่ เอกสารซงึ่ เจ้าพนักงานได้ทําขึ้นหรือรับรอง ในหน้าที่
และให้หมายความรวมถึงสําเนาเอกสารน้ัน ๆ ที่เจ้าพนักงานไดร้ ับรองในหน้าที่ดว้ ย

ตามความหมายในบทนิยามน้ี แบ่งเอกสารราชการออกเปน็ 4 ประเภทด้วยกนั คือ
1. เอกสารซ่ึงเจ้าพนักงานได้ทําข้ึนในหน้าท่ี เช่น สํานวนการสอบสวน ใบ ตรวจโรคที่เจ้า
พนักงานแพทย์ออกให้ ใบอนุญาตอาวุธปืน ใบอนุญาตร่อนหาแร่ ใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์
ใบอนุญาตขับข่ีรถยนต์ ใบบอกธนาณัติที่เจ้าหน้าท่ีไปรษณีย์ ทําให้ไปรับเงินธนาณัติ แบบ ส.ด.9 ท่ีจด
ทะเบียนทหารกองเกนิ ประกาศนยี บัตรของ กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารที่ผู้กํากับการตํารวจอนุมัติให้
นายสิบและพลตาํ รวจไป ราชการ ใบสุทธิทเี่ รอื นจาํ ออกให้ผู้พ้นโทษ เป็นต้น
2. เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานไม่ได้ทําข้ึน แต่ได้รับรองในหน้าที่ หมายความว่า เอกสารนั้นโดย
หน้าที่ตามกฎหมายแล้วเจ้าพนักงานไม่มีหน้าที่ต้องทํา แต่เป็นเอกสารซึ่ง บุคคลอื่นทําข้ึนและเจ้า
พนักงานได้รับรองตามอํานาจหน้าท่ีของตนที่มีอยู่ การรับรอง หมายความว่ารับรองว่าได้มีการทํา
เอกสารข้ึนโดยแท้จริง แต่มิใช่รับรองข้อเท็จจริงแห่ง เอกสารนั้น 1 เช่น จ่าศาลรับรองคําพิพากษาซ่ึง
คู่ความขอให้รับรอง ใบมอบอํานาจซึ่งทํา ข้ึนแล้วนําไปให้นายอําเภอรับรอง เจ้าพนักงานหอทะเบียน
หุ้นส่วนบริษัทรับรองสาํ เนาคํา ขอจดทะเบียนการค้า เป็นตน้
3. วิธีพิมพ์ หรือถ่ายภาพ หรือวิธีอื่น หมายความว่า การทําให้ปรากฏ ความหมายบนกระดาษ
หรือวัตถุอ่ืนใดนี้จะใช้วิธีพิมพ์ หรือถ่ายภาพ หรือวิธีอ่ืนก็ได้ เช่น เขียน ตีตราข้อความ แกะสลัก พ่นสี
พน่ ควัน ทาํ ใหเ้ ครื่องจบั เวลาหยดุ เปน็ ต้น
4. เป็นหลักฐานแห่งความหมายน้ัน หมายความว่าการทําให้ปรากฏ ความหมายบนกระดาษ
หรือวัตถุอ่ืนใดนั้นจะเป็นโดยพิมพ์ ถ่ายภาพ หรือวิธีอ่ืนนี้จะต้อง ปรากฏคงทนอยู่ชั่วขณะหนึ่งเพื่อได้
ทราบความหมายนั้น เช่น กองทัพอากาศส่งเครื่องบิน ไปปล่อยควันเป็นตัวอักษรหรือเขียนข้อความบน
พ้ืนทรายชายทะเล หรอื เขยี นข้อความบน หมิ ะ เปน็ ตน้

ข้อสงั เกต
1. การท่ีจะถือเป็น “เอกสารราชการ” ได้น้ัน จะต้องเป็น “เอกสาร” ตามบทนิยามท่ี 7
เสียกอ่ น
2. ผู้กระทําหรือรบั รองเอกสารตอ้ งเป็นเจ้าพนักงาน คํา ว่า “เจา้ พนกั งาน” หมายความรวมถงึ

ก. บคุ คลที่กฎหมายระบุไว้ชัดว่าเปน็ เจา้ พนักงาน

พระวรศักด์ิพบิ ลู ย,์ ศาสตราจารย,์ คาอธบิ ายกฎหมายอาญา 1, อา้ งแลว้ , หนา้ 38.

34 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ข. บุคคลซ่ึงได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติราชการไม่ว่าจะเป็นประจําหรือช่ัวคราวและ ไม่ว่าจะ
ไดร้ ับประโยชนต์ อบแทนเพื่อการนนั้ หรือไม่

ตวั อยา่ งเกยี่ วกับเอกสารราชการ
1. ใบสําคญั ประจําตวั คนต่างดา้ วเป็นเอกสารราชการ (คาํ พิพากษาฎีกาที่ 925/2503)
2. ใบทะเบียนรถยนตเ์ ป็นเอกสารราชการ (คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 1702/2506)
3. ใบอนญุ าตมปี ืนเปน็ เอกสารราชการ (คาํ พิพากษาฎีกาท่ี 356/2465)
4. หมายแจ้งโทษของศาลถึงเรอื นจาํ เป็นเอกสารราชการ (คําพพิ ากษาฎีกาที่ 266/2474)
5. หนังสอื ขอยมื เงินทดรองราชการมีลายเซ็นผู้บังคับบัญชาอนุมัติให้จ่ายได้ (คําพิพากษาฎีกาที่
731/2509)
6. ใบทะเบยี นสมรสเปน็ เอกสารราชการ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1112/2499)
7. บัตรประจําตัวข้าราชการเป็นเอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทําข้ึนในหน้าที่เป็น เอกสารราชการ
(คาํ พิพากษาฎีกาที่ 2979/2522)

2.2.9 “เอกสารสิทธิ” หมายความว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน
สงวน หรอื ระงบั ซง่ึ สิทธิ

ตามความหมายในบทนยิ ามน้ี แยกเอกสารสทิ ธิออกได้ 5 ประเภทดว้ ยกัน ดงั นค้ี อื
1. เอกสารท่ีเปน็ หลักฐานแห่งการกอ่ ใหเ้ กดิ สิทธิ คาํ ว่า “สิทธิ” ได้แก่ ประโยชน์อันบุคคลมีอยู่
แต่ประโยชน์เป็นสิทธิหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ว่าบุคคลอื่นมีหน้าที่ ต้องเคารพหรือไม่ ถ้าบุคคลอื่นมีหน้าที่
ตอ้ งเคารพ ประโยชนก์ เ็ ป็นสิทธิ กลา่ วคอื ไดร้ ับ การรับรองและคุ้มครองของกฎหมาย (คําพิพากษาฎีกา
ที่ 124/2487) ฉะน้ันการก่อให้เกิด สิทธิจึงหมายถึงเอกสารน้ันจะเกิดผลบังคับได้ตามกฎหมาย เช่น
สญั ญากู้ยืมเงินซึง่ กอ่ ใหเ้ กิดสทิ ธแิ ก่ผ้ใู ห้กยู้ มื ท่ีจะเรยี กรอ้ งเอาเงนิ คืนจากผู้กู้ได้
2. เอกสารท่ีเป็นหลักฐานแห่งการเปล่ียนแปลงสิทธิ หมายถึง การ เปล่ียนแปลงวัตถุในการ
ชาํ ระหน้ี หรือเปลีย่ นตัวลกู หน้ใี หม่ เชน่ ก.กเู้ งินจาก ข. ไป 1,000 บาท ต่อมา ก. และ ข. ได้มาตกลงทํา
หนงั สอื กนั ว่าเมอื่ หน้ถี ึงกาํ หนดชําระ ก.ไมต่ อ้ งนาํ เงิน 1,000 บาทมาชําระ ให้เปล่ียนเอาน้ําตาลมาชําระ
แทนเงนิ 1,000 บาท
3. เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการโอนสิทธิ หมายความว่า การโอนสิทธิ เรียกร้องกู้ยืมนั้น
ให้แกบ่ ุคคลอื่นไป และแจ้งการโอนสิทธใิ ห้ผูก้ ยู้ ืมทราบแล้ว สิทธิเรียกร้อง ของผู้กู้ยืมเดิมจึงโอนไปอยู่กับ
บุคคลอื่นท่ีรบั โอนนั้น ทาํ ใหผ้ ้รู ับโอนมสี ทิ ธเิ รยี กร้องเงินกยู้ มื จากผกู้ ไู้ ด้โดยตรง
4. เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการสงวนสิทธิ หมายความว่า สิทธินั้นบุคคลได้ มีอยู่แล้ว แต่ที่
ทาํ นติ ิกรรมกเ็ พอ่ื สงวนไว้ซ่ึงสิทธอิ นั จะเสียไป เชน่ การกยู้ ืมเงนิ ที่จะ หมดอายุความ 10 ปี ผู้ให้กู้จึงให้ผู้กู้
ทาํ หนังสือรับสภาพหนี้ไว้ ทําให้อายุความสะดุดหยุด ลง เป็นการสงวนสิทธิเรียกร้อง หรือในกรณีที่ให้ผู้
ค้าํ ประกันทาํ สัญญาประกันเพือ่ การ ชําระหนี้ หรือนาํ ทรพั ย์สนิ มาจํานองเปน็ ประกัน เปน็ ตน้

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 35

5. เอกสารท่ีเป็นหลักฐานแห่งการระงับสิทธิ เช่น การชําระหนี้ เจ้าหนี้ออกใบ รับเงินแก่
ลกู หนี้ หนงั สือปลดหน้จี ึงเป็นหลักฐานแหง่ การระงับสทิ ธิ

ตัวอยา่ งเกีย่ วกบั เอกสารสิทธิ
1. หนังสือมอบอํานาจ “ให้จัดการแทนเจ้าของท่ีดินอย่างใดอย่างหน่ึงแทน เจ้าของท่ีดิน” นั้น
เป็นเอกสารที่บุคคลธรรมดาทําขึ้น จึงมิใช่หนังสือราชการและมิใช่ เอกสารสิทธิเพราะมิใช่เป็นหนังสือ
สําคญั แก่การตง้ั กรรมสิทธ์ิ หรอื เปน็ หลกั ฐานแหง่ การ เปล่ียนแปลงหรอื เลกิ ล้างโอนกรรมสิทธ์ิแต่อย่างใด
(คําพิพากษาฎกี าท่ี 668/2502)
2. คําร้องทุกข์ของผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่เอกสารสิทธิ ตามมาตรา 1(9)
ฉะน้ันแม้จะได้ความว่าจําเลยเจตนาทุจริตหลอกลวงให้ผู้เสียหายถอนคํา ร้องทุกข์ก็ดี ก็ลงโทษจําเลย
ฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ไมไ่ ด้ (คําพพิ ากษาฎกี าท่ี 928/2506)
3. แบบแจง้ การครอบครองทีด่ ิน (ส.ด.1) เปน็ เอกสารสทิ ธิ (คําพิพากษาฎีกา ท่ี 456/2506)
4. ในการซ้ือเชื่อสินค้าต่าง ๆ เม่ือผู้ขายนําส่งสิ่งของท่ีผู้ซ้ือสั่งซ้ือนั้น ผู้นําส่ง ได้เขียนกรอก
รายการสงิ่ ของท่นี ําส่งและราคาลงในบลิ ด้วย เม่ือฝุายผู้ซ้ือตรวจสอบส่ิงของ และราคาถูกต้องกับจํานวน
ท่ีฝุายผู้ขายนําส่งแล้ว ก็ลงลายมือช่ือผู้รับในบิลน้ันมอบให้แก่ ผู้นําส่งส่ิงของไป บิลซ้ือเช่ือสิ้นค้าต่าง ๆ
รายนี้จึงเป็นหลักฐานแห่งการก่อหนี้สินและสิทธิ เรียกร้อง ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิตามกฎหมาย (คํา
พิพากษาฎีกาท่ี 584/2508)
5. สลากกินแบ่งเป็นเอกสารสิทธิเท่านั้น ไม่ใช่เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสาร ราชการ (คํา
พพิ ากษาฎีกาที่ 557/2509)
6. ข้าราชการทํารายงานการเดินทางพร้อมกับใบสําคัญเพื่อหักใช้เงินยืม ทดรองโดยมีลายเซ็น
ปลอมของผู้บังคับบัญชาว่าตรวจแล้ว เป็นการปลอมเอกสารสิทธิอัน เป็นเอกสารราชการ (คําพิพากษา
ฎกี าที่ 731/2509)
7. คําว่า “เอกสารสิทธิ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) น้ัน มุ่งหมายถึงเอกสารท่ี
เปน็ หลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซ่ึงสิทธิ หรือหนี้สินทุกอย่าง หนังสือรับรอง
ทรัพย์ที่ย่ืนขอประกันตัวจําเลยต่อศาล ซึ่งผู้ยื่นดังกล่าวรับรองต่อศาลว่าหลักทรัพย์ตามบัญชีคําร้องขอ
ประกันเป็นของผู้เอาประกันหากบังคับแก่ทรัพย์ตามสัญญาประกันไม่ได้หรือได้ไม่ครบ ผู้ทําหนังสือ
รับรองทรัพย์ยอมรับผิดใช้เงินจนครบ ซ่ึงเท่ากับเป็นหนังสือสัญญาค้ําประกันผู้ขอประกันต่อศาลอีก
ชน้ั หน่งึ เป็นเอกสารสิทธิตามความหมายของบทบัญญัตดิ งั กล่าว (คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 263/2513)
8. แบบสํารวจท่ีบริษัทการค้ามอบให้แก่ลูกจ้างของบริษัทเพ่ือไปสํารวจและ กรอกรายการ
สินค้าจําหน่ายตามร้านซ่ึงเป็นลูกค้าของบริษัท กับกรอกรายการสินค้าที่ได้ จ่ายชดเชยให้ร้านค้า
เหล่าน้ันตามกฎเกณฑ์ของบริษัท เป็นหลักฐานแสดงการจ่ายสินค้า ชดเชยให้แก่ร้านค้าเหล่าน้ัน หาใช่
หลกั ฐานแห่งการกอ่ เปล่ยี นแปลง โอน สงวน หรอื ระงับซ่ึงสิทธิแต่ประการใดไม่ ไม่ใช่เอกสารสิทธิ (คํา
พพิ ากษาฎกี าท่ี 554/2514)

36 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

9. สําเนาบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมที่พิมพ์ลงในแบบพิมพ์ ท.ด.70 ของสํานักงานท่ีดิน
ซ่ึงให้เจ้าพนักงานรับรองสําเนาว่าถูกต้อง และมิได้มีอะไรแสดงให้เห็น ว่าเป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้
ทําข้ึนหรือรบั รองในหน้าท่ี ยอ่ มไมเ่ ป็นเอกสารราชการ แต่ เป็นเอกสารท่ีแสดงถึงการมีกรรมสิทธิ์รวมใน
ที่ดนิ จงึ เปน็ เอกสารสทิ ธิ (คาํ พพิ ากษาฎีกาที่ 1731/2514)

10. เอกสารท่ีมีข้อความว่าจาํ เลยที่ 1 ซอ้ื ทีด่ ินโดยลงชอื่ โจทก์เป็นผู้ซื้อแทน จําเลยท่ี 1 ต้องการ
ท่ีดินเมื่อใด โจทก์จะโอนโฉนดคืนให้น้ัน เป็นหลักฐานแห่งการ เปลี่ยนแปลงสิทธิของโจทก์ในที่ดิน จึง
เปน็ เอกสารสทิ ธิ (คําพิพากษาฎกี าท่ี 709/2516)

11. ใบเสรจ็ รบั เงินค่าภาษีรถยนต์ท่ีทางราชการออกให้ ย่อมเป็นหลักฐาน แสดงว่าทางราชการ
ได้รับชําระค่าภาษีรถยนต์ไว้แล้ว มีผลทําให้การเก็บภาษีรถยนต์ของ รัฐเป็นอันเสร็จส้ินไป จึงเป็น
เอกสารสทิ ธิอนั เปน็ เอกสารราชการ (คําพพิ ากษาฎีกาที่ 2266-2278/2519)

12. จําเลยเป็นพนักงานประจําเขียนใบเสร็จรับเงินท่อนแรกให้ผู้ชําระเงิน 35 บาท แต่เขียน
สําเนาทอ่ นสองสง่ คลังและทอ่ นสามติดอยู่ในเลม่ รายละ 25 บาทบ้าง 10 บาทบ้าง ลงวันคนละวันส่งเงิน
ตามสาํ เนา ยักยอกเงินทีเ่ หลอื ดังนี้เป็นการปลอมเอกสาร สําเนาใบเสร็จรับเงินอันเป็นเอกสารสิทธิ (คํา
พิพากษาฎีกาที่ 1653/2520)

13. ใบมอบอํานาจให้จดทะเบียนแก้โฉนดที่ดินมอบให้ทํานิติกรรมแทน ไม่เป็นหลักฐานแห่ง
การกอ่ ตัง้ สทิ ธิ ไมใ่ ชเ่ อกสารสทิ ธิ (คําพิพากษาฎกี าที่ 2417/2520)

14. ใบมอบอาํ นาจใหไ้ ถถ่ อนจํานองและจํานองใหม่ เป็นแต่มอบอํานาจให้ จัดการอย่างใดอย่าง
หนึ่งแทน ไม่ใชเ่ อกสารสทิ ธิ (คําพพิ ากษาฎีกาที่ 534/2522)

2.2.10 “ลายมือชื่อ” หมายความรวมถึงลายพิมพ์นิ้วมือ และเครื่องหมายท่ีบุคคล ลงไว้แทน
ลายมอื ชือ่ ของตน

ตามความหมายของบทนยิ ามนี้ แยกออกได้ 3 ประเภท คือ
1. ลายมอื ชือ่ (ลายเซ็นชอื่ ) เปน็ ตัวอักษรของเจ้าของชอื่ เชน่ นาย ก. ซอ่ื สตั ย์
2. ลายพมิ พน์ วิ้ มือ ได้แก่ ลายพมิ พ์น้ิวมือของบุคคลผู้ลงลายมือชื่อตัวเอง เป็นตัวอักษรไม่ได้ จึง
เป็นพมิ พ์ลายน้ิวมือแทน
3. เคร่ืองหมายอ่ืนซึ่งบุคคลลงไว้แทนลายมือช่ือ เช่น การใช้ตราย่ีห้อ ประทับแทนการลง
ลายมือช่ือเป็นปกติ ถือว่าเสมอกับลงลายมือช่ือ หรืออาจจะใช้แกงได หรือเคร่ืองหมายอื่นทํานอง
เดียวกนั ก็ได้

2.2.11 “กลางคืน” หมายความว่า เวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ข้ึน ตาม
ความหมายของบทนิยามน้ี กลางคืนถือเอาการขึ้นและตกของพระอาทิตย์เป็นเกณฑ์ ซึ่งจะเปล่ียนไป
ตามฤดูกาล อันทําให้มืดหรือสว่างนี้กําหนดเป็นเวลาไม่ได้ มิได้ถือเวลา ตามนาฬิกาซ่ึงคงท่ีอยู่ตลอดปี
ท่ีว่าพระอาทิตย์ข้ึนหรือตกนั้นหมายความถึงดวงอาทิตย์ ขึ้นหรือตกจากขอบฟูา มิได้ดูเอาจากแสงของ

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 37

พระอาทิตย์ ซึ่งแสงนี้ตามปกติจะมีมาก่อน ดวงอาทิตย์ข้ึนหรือยังมีแสงอยู่หลังจากพระอาทิตย์ตกแล้ว
ดังนั้นกรณีที่จะถือว่าเป็นเวลา กลางคืนจึงหมายถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกพ้นขอบฟูาไปแล้ว แต่ใน
ระหว่างท่ีดวงอาทิตย์ กําลังตกยังถือว่าเป็นเวลากลางวัน ถ้าตกพ้นท้ังดวงแล้วจึงจะเป็นเวลากลางคืน
ส่วนเวลา กลางวันคือเมื่อพระอาทิตย์ได้โผล่ข้ึนมาพ้นดวงจากขอบฟูาแล้วถ้ากําลังจะขึ้นก็ถือว่าเป็น
เวลากลางคืน “เส้นขอบฟูา” หมายถึงเส้นที่ฟูาจดกับพ้ืนโลกซึ่งพ้ืนโลกมีท้ังน้ํา ภูเขา ตลอดจนปุา และ
สิง่ ปลูกสรา้ งตา่ ง ๆ

2.2.12 “คมุ ขัง” หมายความวา่ คมุ ตวั ควบคมุ ขบั กกั ขัง หรอื จําคกุ
ตามบทนิยามนีไ้ ดใ้ ห้ความหมายของคาํ วา่ “คุมขงั ” ไว้ 5 ประเภท คือ
1. คมุ ตวั คือคมุ ตัวไว้ในสถานพยาบาลตามมาตรา 39, 48, 49
2. ควบคุม หมายถึงการคุมหรือกักขังผู้ถูกจับโดยพนักงานฝุายปกครอง หรือตํารวจในระหว่าง
สืบสวนและสอบสวนตามมาตรา 2(21) แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ ี พิจารณาความอาญา
3. ขัง หมายถงึ การกกั ขังจําเลยหรือผู้ต้องหาโดยศาล ตามมาตรา 2(22) แห่งประมวลกฎหมาย
วธิ พี จิ ารณาความอาญา
4. กักขงั คอื โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18(3)
5. จาํ คุก คอื โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18(2)

2.2.13 “ค่าไถ่” หมายความว่า ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอาหรือให้ เพ่ือแลกเปลี่ยน
เสรภี าพของผู้ถกู เอาตัวไป ผู้ถกู หน่วงเหนย่ี ว หรือผู้ถกู กกั ขงั

ตามความหมายของบทนิยามน้ี กรณีจะถือว่าเป็น “ค่าไถ่” จะต้อง ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3
ประการคอื

1. ต้องเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์ คําว่า “ทรัพย์สิน” ประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์
มาตรา 138 บัญญัติว่า “ทรัพย์สินนั้นหมายความรวมท้ังทรัพย์และวัตถุ ไม่มีรูปร่าง ซ่ึงอาจมีราคาได้
และถือเอาได้” เช่น ที่ดิน บ้านเรือน ตึก ทองคํา เพชรนิล จินดา รถยนต์ หรือวัตถุอ่ืนใดท่ีมีราคาและ
ถือเอาได้ คําว่า “ประโยชน์” น้นั รวมทั้ง ประโยชนท์ ี่ไมเ่ กย่ี วกับทรัพย์สินด้วย เช่น ยกลูกสาวให้ ให้ถอน
ฟูองคดีท่ีถูกฟอู งอย่ใู นศาล

2. ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชน์น้ัน ต้องเป็นส่ิงที่ผู้กระทําเรียกเอาหรือฝุายผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วง
เหนี่ยวหรือกักขังให้เองก็ได้ ประโยชน์ที่เรียกเอาน้ีไม่มีข้อจํากัดว่า ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ซ่ึงต่างกับทุจริตในมาตรา 1(1) ฉะนั้นถึงแม้จะเป็น ประโยชน์ที่ควรได้ แต่ถ้าเรียกเอาโดยวิธีการเพื่อ
แลกเปลย่ี นเสรภี าพของผถู้ ูกเอาตวั ไป ก็ ถือวา่ เป็นค่าไถแ่ ล้ว

3. ในการเรยี กทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้น ตอ้ งเปน็ การเรียกเอาหรือใหเ้ พ่อื แลกเปลี่ยนเสรีภาพ
ของผถู้ ูกเอาตวั ไป ผูถ้ กู หน่วงเหนี่ยวหรือกกั ขัง

เมอื่ ประกอบด้วยหลกั เกณฑ์ท้ัง 3 ประการแลว้ จงึ เปน็ “ค่าไถ”่

38 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

2.2.14 “บัตรอิเลก็ ทรอนกิ ส์” หมายความว่า
(ก) เอกสารหรือวัตถุอื่นใดไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใดท่ีผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มี สิทธิใช้ซ่ึงจะระบุช่ือ
หรือไม่ก็ตาม โดยบันทึกข้อมูลหรือรหัสไว้ด้วยการประยุกต์ใช้วิธีการ ทางอิเล็กตรอน ไฟฟูา คลื่น
แม่เหล็กไฟฟูา หรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน ซ่ึงรวมถึง การประยุกต์ใช้วิธีทางแสงหรือวิธีการทาง
แม่เหล็กให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข รหัสหมายเลขบัตร หรือสัญลักษณ์อ่ืนใด ทั้งท่ี
สามารถมองเหน็ และมองไม่เห็นดว้ ย ตาเปลา่
(ข) ขอ้ มลู รหัส หมายเลขบญั ชี หมายเลขชุดทางอเิ ล็กทรอนิกสห์ รอื เครื่องมือทางตัวเลขใดๆ ที่
ผอู้ อกได้ออกให้แกผ่ ูม้ ีสทิ ธิใช้ โดยมไิ ดม้ กี ารออกเอกสารหรอื วตั ถุอ่ืนใดให้ แต่มีวิธีการใช้ทํานองเดียวกับ
(ก) หรือ
(ค) สิ่งอื่นใดที่ใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพ่ือแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลกับ
ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพ่ือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์
เพ่ือระบตุ ัวบคุ คลผ้เู ป็นเจา้ ของ

2.2.15 “หนังสือเดนิ ทาง” หมายความว่า เอกสารสําคัญประจําตัวไม่ว่าจะมีรูปร่างลักษณะใด
ท่รี ัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศหรอื องค์การระหว่างประเทศออกให้แก่บุคคลใดเพื่อใช้แสดงตนในการ
เดินทางระหว่างประเทศและให้หมายความรวมถึงเอกสารใช้ แทนหนังสือเดินทางและแนบหนังสือ
เดนิ ทางทย่ี ังไมไ่ ดก้ รอกขอ้ ความเกยี่ วกบั ผถู้ ือหนังสอื เดินทางด้วย

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 39

คาถามทา้ ยบท

๑. การกระทาํ “โดยทจุ รติ ” จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์อยา่ งไร จงอธบิ าย
. ให้นิสิตอธิบายความหมาย “เคหสถาน” พร้อมยกตัวอย่าง เคหสถานประเภทท่ีหนึ่งและเคหสถาน
ประเภททีส่ อง มาโดยละเอยี ด
. ใหน้ สิ ติ อธบิ ายลักษณะของเอกสารสิทธแิ ตกต่างจากเอกสารราชการอย่างไร
. การคุมขงั แบง่ ออกเป็นกปี่ ระเภท อะไรบา้ ง จงอธิบาย
๕. การสะกดจติ ถอื เปน็ การประทุษรา้ ยหรอื ไม่ อยา่ งไรจงอธิบาย

40 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

อา้ งอิงประจาบท

จิตติ ติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรง
พมิ พแ์ สงทองการพมิ พ์, 2513), หนา้ 2068.

พระวรภักดพ์ิ ิบลู ย์, ศาสตราจารย์, คาํ อธิบายประมวลกฎหมายอาญา 1.

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 41

บทที่ 3
ขอบเขตการบงั คบั ใช้กฎหมายอาญา

วตั ถปุ ระสงค์การเรยี นประจาบท

1. เพอ่ื ให้นสิ ติ ทราบถึงการกระทําความผิดในราชอาณาจกั รและภายนอกราชอาณาจักร
2. เพื่อให้นสิ ติ อธบิ ายถงึ ขอบเขตการบงั คบั ใช้กฎหมายอาญาได้

ขอบข่ายเนือ้ หา

1. เวลาท่ีกฎหมายอาญาใชบ้ ังคับ
2. สถานท่ีทก่ี ฎหมายอาญาใชบ้ ังคบั

2.1 ความหมายคาํ ว่า “ราชอาณาจกั ร”
2.2 ความผดิ เกดิ ในราชอาณาจักรโดยตรง
2.3 ความผดิ ถอื วา่ เกดิ ในราชอาณาจักร
2.4 ความผิดเกิดนอกราชอาณาจักร
2.5 อาํ นาจศาลในการลงโทษผ้กู ระทาํ ความผดิ โดยคาํ นึงถึงคาํ พิพากษาในศาล
ตา่ งประเทศ
3. บุคคลที่กฎหมายอาญาใชบ้ ังคับ

วิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาบท
1. การบรรยาย
2. การศึกษาเอกสารประกอบการสอน
3. ทาํ แบบฝกึ หัดท้ายบท

สื่อการเรยี นการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. ประมวลกฎหมายอาญา

42 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

3.1 เวลาที่กฎหมายอาญาใช้บงั คับ
มีหลักท่ัวไปของกฎหมายอาญาว่า กฎหมายไม่มีผลหลัง คําว่า “กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง”

หมายความว่ากฎหมายจะไม่ย้อนหลังไปใช้บังคับแก่ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ซ่ึงเกิดข้ึนก่อนวันท่ี
กฎหมายใช้บังคับ สําหรับกฎหมายอาญา การที่กฎหมายอาญาจะไม่มีผลย้อนหลังจึงหมายความว่า
กฎหมายอาญาจะไม่มีผลย้อนหลังไปลงโทษบุคคลหรือเพิ่มโทษบุคคลให้หนักยิ่งขึ้น1 เพราะฉะนั้นการ
กระทําที่บุคคลจักต้องรับโทษอาญามักจะต้องเป็นการกระทําผิดต่อกฎหมายท่ีใช้อยู่ “ในขณะกระทํา
นน้ั ” ถ้าในขณะกระทํานั้นไม่มกี ฎหมายบญั ญัตเิ ปน็ ความผิดและกําหนดโทษไว้ แต่มาบัญญัติในภายหลัง
ว่าการกระทําเชน่ นั้นเป็นความผดิ กจ็ ะยอ้ นไปลงโทษผกู้ ระทาํ ไมไ่ ด้ เพ่ือให้เป็นไปตามหลักที่ว่ากฎหมาย
อาญาไม่มีผลย้อนหลัง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 จึงบัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทาง
อาญาต่อเม่ือได้กระทําการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทําน้ันบัญญัติเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้
และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทําความผิดน้ัน ต้องเป็นโทษท่ีบัญญัติไว้ในกฎหมาย” และรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 บัญญัติว่า “บุคคลจะไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่จะ
ได้กระทาํ การอนั กฎหมายซงึ่ ใช้อยู่ในเวลาทีก่ ระทํานัน้ บัญญตั เิ ป็นความผิดและกําหนดโทษไว้ และโทษที่
จะลงแก่บคุ คลนนั้ จะหนักกวา่ โทษที่กาํ หนดไวใ้ นกฎหมายซงึ่ ใช้เวลาท่ีกระทําความผดิ มิได้”

ท่วี ่า “ไดก้ ระทําการอันกฎหมายทีใ่ ช้ในขณะกระทาํ นน้ั บญั ญตั ิเป็นความผิด ฯลฯ หมายความว่า
การกระทําอันท่ีเป็นองค์ความผิดต้องได้กระทําในระหว่างท่ีกฎหมายซ่ึงบัญญัติความผิดขึ้นนั้นกําลังใช้
บังคบั อยู่ ถ้าหากการกระทาํ บางอันกระทําเมอ่ื กฎหมายบัญญตั คิ วามผิดขึ้นแล้ว แต่บางอันกระทําเม่ือยัง
ไม่มีกฎหมายบัญญัติเช่นน้ัน ทําให้การกระทําเม่ือกฎหมายบัญญัติความผิดข้ึนแล้วไม่ครบองค์ความผิด
นอกจากจะนําเอาการกระทําเมื่อยังไม่มีกฎหมายบัญญัติความผิดประกอบเข้าด้วย ดังนี้จะถือว่าได้
กระทําการที่กฎหมายในขณะกระทําน้ันบัญญัติเป็นความผิดหาได้ไม่ เว้นแต่การกระทําน้ันจะต่อเน่ือง
หรือยงั คงกระทาํ อย่จู นครบองค์ความผิดตามกฎหมายท่ีบัญญตั ขิ น้ึ ใหม่ (คาํ พิพากษาฎกี าที่ 347/2497)

จงึ สรุปได้ว่า บุคคลจะรบั โทษอาญาต่อเมื่อ
1) กระทําการท่กี ฎหมายบัญญัตวิ า่ เปน็ ความผิด
2) กฎหมายนนั้ กําหนดไว้ (โทษทจี่ ะลงแกผ่ ู้กระทาํ ผิดจะต้องเปน็ โทษที่บญั ญตั ิไว้ในบทกฎหมาย
นั้น)
จากหลกั 2 ประการน้ี จึงแยกอธิบายได้ 3 ประการคอื
1. มีกฎหมายแล้ว หมายความว่า ขณะกระทําน้ันต้องมีกฎหมายบัญญัติว่า การกระทํานั้นเป็น
ความผิด หากในขณะกระทําไม่มีกฎหมาย ภายหลังจะออกกฎหมายย้อนหลัง โดยถือว่าการกระทําน้ัน
เป็นความผิดมิได้ กล่าวคือ จะลงโทษทางอาญาแก่บุคคลใดได้ก็ต่อเมื่อเขาได้กระทําการท่ีกฎหมายซ่ึงใช้
อยู่ขณะที่เขากระทํานั้น บัญญัติว่าการกระทํานั้นเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้ ท้ังน้ีเป็นไปตาม

1หยุด แสงอุทยั , ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, 2515), หน้า
35.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 43

สุภาษิตกฎหมายท่ีว่า NULLUM SINE LEGE NULLA POENNA SINE LEGE2 (แปลตามตัวได้ว่า ไม่มี
ความผดิ โดยไมม่ กี ฎหมาย ไม่มโี ทษโดยไมม่ กี ฎหมาย)

คํา ว่า “กฎหมาย” หมายความว่า กฎหมายลายลักษณ์อักษร ได้แก่บทกฎหมายท่ีตราขึ้นโดย
อํานาจนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ เช่น ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกําหนดที่มี
พระราชบญั ญัตอิ นุมัตใิ นภายหลงั กฎกระทรวง ประกาศหรือคาํ ส่ังทอี่ อกตามพระราชบัญญัติ
คําว่า “ขณะกระทําความผดิ ” คอื ขณะใด3

1. ขณะลงมือ
2. ขณะผลเกดิ ขน้ึ
3. ถือเอาทั้งขณะลงมือและขณะผลเกิดขึน้ เปน็ ขณะกระทาํ ความผดิ

โดยทั่วไปแล้วต้องถือว่ากฎหมายท่ีใช้อยู่ในขณะกระทําความผิด คือ กฎหมายที่ใช้
ในขณะลงมือกระทําความผิด ไม่ใช่กฎหมายท่ีใช้อยู่ในขณะที่ผลแห่งการกระทําความผิดเกิดขึ้น เช่น
แดงเขียนจดหมายมขี ้อความหมิน่ ประมาทดําส่งไปจังหวัดเชียงใหม่ ขณะที่เขียนกฎหมายกําหนดโทษไว้
เล็กน้อย สมมติว่าเมื่อจดหมายไปถึงผู้รับที่เชียงใหม่มีกฎหมายเพิ่มโทษสูงขึ้น ถ้าจะถือว่าขณะท่ีกระทํา
ความผิดคือขณะที่ผลของการกระทําเกิดข้ึนก็ต้องถือว่าความผิดเกิดขึ้นเมื่อจดหมายถึงผู้รับที่เชียงใหม่
และเห็นได้ชัดว่าการท่ีจะเอากฎหมายท่ีเพ่ิมโทษสูงมาลงโทษแดงท่ีลงมือเขียนจดหมายมาก่อน
ประกาศใช้กฎหมายที่เพ่ิมโทษให้สูงขึ้นนั้น ย่อมไม่เป็นความยุติธรรมแก่แดง ซ่ึงถ้าใช้กฎหมายในขณะท่ี
แดงลงมอื เขียนจดหมายหมิ่นประมาท แดงกจ็ ะได้รบั โทษเบา

จากหลักดังกล่าวข้างต้น กฎหมายอาญาเม่ือบัญญัติข้ึนประกาศใช้และมีผลบังคับแล้ว
ต้ังแต่น้ันไปผู้ใดกระทําการอย่างที่กฎหมายอาญาฉบับน้ันบัญญัติห้ามไว้ ก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ
กฎหมายอาญาจึงบัญญตั ขิ น้ึ มาใหม้ ผี ลบังคับในปจั จุบันและอนาคตเท่าน้ัน

ดงั นน้ั การกระทําท่เี ปน็ ความผิดน้ไี มว่ า่ ความผดิ ทหี่ ้ามมใิ ห้บุคคลกระทําหรือความผิด
ทีบ่ ังคับใหบ้ ุคคลกระทํา นีจ้ ะตอ้ งมีองค์ประกอบของการกระทํา และองคป์ ระกอบของจิตใจจึงจะเป็น
ความผดิ เชน่ เร่ืองลกั ทรัพย์ องคป์ ระกอบของการกระทาํ คือเอาทรัพย์ของผู้อน่ื ไป องค์ประกอบของ
จติ ใจก็คือมเี จตนาทุจรติ

2. โทษที่จะลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ได้กําหนดโทษที่จะลงแก่ผู้กระทํา
ความผิดไว้ 5 สถานคือ ประหารชีวิต จําคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ซ่ึงโทษเหล่าน้ีจะลงแก่
ผู้กระทําความผิดได้ต่อเม่ือได้กระทําการท่ีกฎหมายซึ่งใช้อยู่ขณะที่กระทํานั้นเป็นความผิดและกําหนด
โทษไว้ในกฎหมายทีใ่ ช้ในขณะกระทําความผิดน้ัน

หลกั เกณฑส์ าํ คัญตามมาตรา 2 วรรคแรกแหง่ ประมวลกฎหมายอาญามีดงั น้ี

2 ดร.อุทศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ กรมอัยการ, 2525),
หนา้ 301.

3 หยุด แสงอุทยั , ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2520), หน้า
36.

44 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

2.1 กฎหมายอาญาจะย้อนหลังให้เป็นโทษมิได้ หมายความว่า กฎหมายอาญาจะใช้
บังคับได้ในขณะกระทาํ เท่านนั้ หากในขณะกระทําไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ต่อมาจะมีการออก
กฎหมายย้อนหลังให้การกระทํานั้นเป็นความผิดไม่ได้ หรือในขณะกระทําน้ันได้มีกฎหมายบัญญัติเป็น
ความผิดและกําหนดโทษไว้ ตอ่ มาจะออกกฎหมายย้อนหลังเพมิ่ โทษการกระทําดงั กล่าวให้หนกั ข้นึ มไิ ด้

2.2 กฎหมายอาญาจะต้องบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรให้แน่นอนและชัดเจน
เนือ่ งจากในมาตรา 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญาใชค้ าํ ว่า “บญั ญตั ิเป็นความผิด” ฉะน้ันกฎหมายอาญา
ท่ีบัญญัติมาใช้บังคับจึงต้องบัญญัติให้แน่นอนและชัดเจนไม่คลุมเครือ เพื่อผู้ปฏิบัติตามกฎหมายจะได้รู้
ล่วงหน้าว่าการกระทําหรืองดเว้นกระทําใดเป็นความผิดหรือไม่ สําหรับด้านผู้ใช้กฎหมายจะเป็นการ
สะดวกในทางปฏบิ ตั แิ ละการใช้ดลุ พนิ จิ ตามใจตนเองไมไ่ ด้ ต้องเป็นไปตามทีก่ ฎหมายบัญญัติไว้

3. กฎหมายอาญาจะต้องตีความโดยเคร่งครัด เมื่อกฎหมายอาญาได้บัญญัติโดยแน่นอนและ
ชดั เจนแลว้ เวลาจะใชก้ ฎหมายอาญาบังคับจะต้องตคี วามโดยเคร่งครัดตามตัวอกั ษร

หลักการตีความโดยเครง่ ครัดน้ี หมายความวา่ 4
ก. จะนําบทกฎหมายใกล้เคยี ง (Analogy) มาใชใ้ ห้เป็นผลร้ายมไิ ด้
ข. จะนําจารตี ประเพณีมาใช้ให้เปน็ ผลร้ายมิได้
หลักที่ว่ากฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังน้ัน เคยกล่าวมาแล้วว่ามิให้มีผลย้อนหลังไป
เป็นผลร้ายแก่ผู้กระทําความผิด แต่ถ้าบัญญัติไว้ให้ย้อนหลังไปในทางท่ีเป็นผลดีก็ไม่อยู่ในข้อห้าม โดย
เหตุน้ีประมวลกฎหมายอาญาจึงได้มีบทบัญญัติยกเว้นหลักเรื่องกฎหมายมีผลย้อนหลังอยู่ 2 กรณี
ดงั ตอ่ ไปน้ี คือ
3.1 กรณีท่ีตามบทบัญญัติของกฎหมายในภายหลัง การกระทาน้ันไม่เป็นความผิด
ต่อไป ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 วรรค 2 ว่า “ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่
บัญญัติในภายหลัง การกระทําเช่นน้ันไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ท่ีได้กระทําการนั้นพ้นจากการเป็น
ผู้กระทาํ ความผิด และถ้าได้มีคาํ พพิ ากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้น้ันไม่เคยต้องคําพิพากษาว่า
ได้กระทาํ ความผดิ นั้น ถ้ารบั โทษอยกู่ ็ให้การลงโทษนัน้ สิ้นสุดลง”
ตามความในมาตรา 2 วรรค 2 น้ี เป็นเรื่องบทบัญญัติของกฎหมายในภายหลังได้
ยกเลิกกฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทําความผิด ซึ่งการยกเลิกนี้อาจยกเลิกโดยตรงโดยระบุข้อความให้
ยกเลิกกฎหมายเก่าไว้ในกฎหมายใหม่ก็ได้ หรืออาจเป็นแต่เพียงกฎหมายใหม่มีข้อความทับหรือขัดแย้ง
กบั กฎหมายเก่ากไ็ ด้
ปัญหาว่าถ้ามีการยกเลิกพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศ หรือคําส่ังเทศ
บัญญัติ หรือข้อบังคับท่ีออกตามพระราชบัญญัติ แต่ตัวพระราชบัญญัติน้ันเองยังคงอยู่ตามเดิมไม่มีการ

4 เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติทั่วไป (กรุงเทพมหานคร: คณะนิติศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2524), หน้า 20-25.


Click to View FlipBook Version