The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chokoooon, 2021-06-07 23:13:47

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 195

2. กรณีผ้ถู กู ใชม้ ไิ ด้กระทาลง ซ่ึงต๎องประกอบด๎วยหลกั เกณฑ์ดงั ตํอไปนี้
2.1 ต๎องมกี ารกระทาอนั กํอใหผ๎ อู๎ น่ื กระทาความผดิ
2.2 ตอ๎ งมเี จตนากํอให๎ผ๎ูอืน่ กระทาความผดิ
2.3 ความผิดมิไดก๎ ระทาลงเพราะ
ก. ผู๎ถูกใช๎ไมยํ อมกระทา
ข. ผ๎ูถกู ใช๎ยงั ไมํไดก๎ ระทา
ค. เหตอุ ื่นใด
หลกั เกณฑต์ ามขอ๎ 2.1 และ 2.2 เหมือนกับกรณผี ๎ถู กู ใช๎ได๎กระทาความผิดซึ่งได๎อธิบาย

ไปแล๎ว ในที่น้จี ะไมํอธิบายซ้าอกี จะขออธิบายเฉพาะหลกั เกณฑข์ ๎อ 2.3

ความผิดมิได๎กระทาลง หมายความวําการกระทาความผิดยังมิได๎เริ่มต๎น กลําวคือยัง
มิได๎ลงมือหรือพยายามกระทาตามมาตรา 80 ถ๎าได๎ลงมือกระทาแม๎เพียงแตํพยายามกระทา ก็ถือวํา
ความผิดไดก๎ ระทาลงแลว๎ ผูถ๎ กู ใช๎มิได๎กระทาความผิดมี 3 กรณี คอื

ความผิดมิได๎กระทาลง หมายความวําการกระทาความผิดยังมิได๎เร่ิมต๎น กลําวคือยัง
มิได๎ลงมือหรือพยายามกระทาตามมาตรา 80 ถ๎าได๎ลงมือกระทาแม๎เพียงแตํพยายามกระทา ก็ถือวํา
ความผิดได๎กระทาลงแล๎ว ผถู๎ กู ใชม๎ ิได๎กระทาความผิดมี 3 กรณี คอื

1. ความผิดมิได๎กระทาลงเพราะผ๎ูถูกใช๎ไมํยอมกระทา คือ ผู๎ถูกใช๎ไมํยอมรับวํา
กระทาตามทใี่ ช๎ หรือผู๎ถกู ใชย๎ อมรับวําจะกระทาตามท่ีใช๎แล๎วแตํภายหลังกลับใจไมํยอมกระทาตามท่ีใช๎
ตามท่ใี ช๎ หรอื ผู๎ถูกใชม๎ ไิ ดก๎ ระทาความผิดมี 3 กรณี

2. ความผิดไมํได๎กระทาลงเพราะผู๎ถูกใช๎ยังไมํได๎กระทา ซึ่งหมายความวําผ๎ูถูกใช๎
ยอมรับวาํ จะกระทาแตํยงั ไมํไดก๎ ระทา

3. ความผิดมิได๎กระทาลงเพราะเหตุอื่น เชํน ผู๎ถูกใช๎ตายเสียกํอนที่จะได๎กระทา
ความผดิ ตามทใี่ ช๎ ผใู๎ ชบ๎ อกเลกิ ใช๎

ผลของการใช๎ในกรณีผ๎ูถูกใช๎มิได๎กระทาลง ตามมาตรา 84 วรรคสองบัญญัติวํา
“……..ผ๎ูใช๎ต๎องระวางโทษเพียงหน่ึงในสามของโทษท่ีกาหนดไว๎สาหรับความผิดน้ัน” หมายความวําผ๎ูถูก
ใชม๎ ไิ ดก๎ ระทาความผดิ เพราะเหตุใดเหตุหน่งึ ตามข๎อ 1-3 แล๎ว ผู๎ใช๎มีความผิดและต๎องรับโทษด๎วยแตํโทษ
ท่ีจะรบั นน้ั กฎหมายกาหนดไว๎เพียงหน่ึงในสามของโทษที่กาหนดไว๎สาหรบั ความผิดน้ัน

การท่ีผ๎ูใชไ๎ ดบ๎ อกเลกิ หรอื เพกิ ถอนการใช๎ เชํน บอกเลิกจ๎างหรือบอกให๎งดการกระทา
ความผิดเสียกํอนได๎มีการลงมือกระทา จะมีผลให๎ผู๎ใช๎พ๎นความรับผิดหรือไมํ ถ๎าผ๎ูถูกใช๎ไมํกระทา
ความผดิ เพราะผ๎ูใชไ๎ ดบ๎ อกใหง๎ ดเสีย ผ๎ูใช๎ต๎องรับโทษตามมาตรา 84 วรรคสองตอนท๎ายคือหน่ึงในสาม
สาหรับความผิดที่ใช๎ให๎กระทาแตํผ๎ูถูกใช๎ยังขืนกระทาความผิดแตํกระทาไปไมํตลอด หรือกระทาไป
ตลอดแลว๎ แตํไมบํ รรลุผล ผใ๎ู ชต๎ ๎องรบั โทษหนง่ึ ในสามของโทษสาหรับความผิดท่ใี ชใ๎ ห๎กระทา

196 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ในเร่ืองพยายามกระทาความผิดนี้ถ๎าผ๎ูถูกใช๎ไมํต๎องรับโทษใดอันเป็นเหตุลักษณะผู๎ใช๎ก็
ได๎รับการยกเว๎นโทษด๎วยเชํนกัน เชํน พยายามกระทาความผิดฐานลหุโทษไมํต๎องรับโทษตามมาตรา
105 พยายามทาใหห๎ ญิงแท๎งลูกตามมาตรา 302 ไมตํ อ๎ งรบั โทษตามมาตรา 304 เป็นต๎น

ท่กี ลาํ วมาแล๎วเปน็ การกํอให๎ผ๎ูอื่นกระทาความผิดโดยวิธีการทั่วๆไปตามาตรา 84 แตํ
ยังมกี ารกอํ ให๎บุคคลทวั่ ไปกระทาความผิดโดยการโฆษณาหรอื ประกาศดังทีไ่ ดบ๎ ัญญตั ไิ วใ๎ นมาตรา 85

สว่ นที่ 3
“ผูโ้ ฆษณาหรอื ประกาศ”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 85 บัญญัติวํา “ผ๎ูใดโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลท่ัวไปให๎
กระทาความผิด และความผิดนั้นมีกาหนดโทษไมํต่ากวํา 6 เดือนผู๎น้ันต๎องระวางโทษก่ึงหน่ึงของโทษ
ที่กาหนดไว๎สาหรับความผิดนนั้

ถ๎าได๎มีการกระทาความผิดเพราะเหตุท่ีได๎มีการโฆษณาหรือประกาศตามความในวรรคแรก
ผู๎โฆษณาหรอื ประกาศต๎องรับโทษเสมอื นเป็นตวั การ”

บทบัญญตั ใิ นมาตรา 85 น้ีเป็นการใช๎ให๎ผ๎ูอ่ืนกระทาความผิดอยํางหน่ึงเชํนเดียวกันกับมาตรา
84 ทกี่ ลําวมาแลว๎ เปน็ วธิ ีการใชใ๎ ห๎กระทาความผดิ นนั้ แตกตาํ งกัน กลําวคอื 2

การใช๎ให๎กระทาความผิดตามมาตรา 84 ไมํได๎กาหนดอัตราโทษของความผิดที่ใช๎ให๎กระทา
สวํ นการใช๎ตามมาตรา 85 ไดก๎ าหนดโทษของความผดิ ทใ่ี ช๎ใหก๎ ระทานั้น กาหนดโทษไมํต่ากวํา 6 เดือน
ถา๎ ความผิดท่ใี ช๎มีโทษกาหนดไวต๎ ่ากวาํ 6 เดอื นยอํ มไมมํ ีความผดิ และกาหนดโทษไมํต่ากวํา 6 เดือน
นนั้ หมายถึงโทษข้ันสงู ของความผดิ ท่ีใช๎ตามกฎหมายบญั ญตั ไิ ว๎สาหรบั ความผดิ น้ัน ไมํใชวํ าํ โทษขัน้ ต่า

การโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระทาความผิดตามมาตรา 85 นี้มิได๎จากัดวิธีการ
ประกาศหรือโฆษณาไว๎

โทษของการโฆษณาหรือประกาศให๎กระทาความผิด ผ๎ูโฆษณาหรือผู๎ประกาศความผิดต๎องรับ
โทษดงั น้คี อื

1. เมื่อได๎มีการโฆษณาประกาศแกํบุคคลท่ัวไปให๎กระทาความผิดน้ันยังมิได๎มีการกระทา
เน่อื งจากการโฆษณาหรอื ประกาศนั้น ผู๎โฆษณาหรือประกาศจะต๎องรับโทษก่ึงหน่ึงของโทษที่กาหนดไว๎
สาหรบั ความผิดน้นั

อยํางไรก็ตามเม่อื ได๎โฆษณาหรือประกาศแกบํ คุ คลท่วั ไปให๎กระทาความผิดและความผิได๎กระทา
ลงแตํมิใชํเน่ืองจากการโฆษณาหรือประกาศ ผู๎โฆษณาหรือประกาศคงต๎องรับโทษกึ่งหน่ึงของโทษท่ี
กาหนดไว๎สาหรบั ความผดิ น้ัน

2 จติ ติ ติงศภทั ิย์, ศาสตราจารย,์ คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพมิ พ,์
2513). หนา๎ 153

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 197

2. ถ๎าได๎มีการกระทาความผิดเนื่องจากการโฆษณาหรือประกาศผ๎ูโฆษณาหรือประกาศจะต๎อง
รบั โทษเสมอื นหนงึ่ วาํ ตนได๎ลงมอื ทาความผดิ นนั้ เอง

สว่ นท่ี 4
ผชู้ ่วยเหลอื หรือใหค้ วามสะดวกในกรณที ผ่ี ูอ้ นื่ กระทาความผดิ

เรียกวา่ “ผสู้ นบั สนุน”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 บัญญัติวํา “ผู๎ใดกระทาความผิดด๎วยประการใด ๆ อัน
เป็นการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการที่ผู๎อื่นกระทาความผิดกํอนหรือขณะกระทาความผิด แม๎
ผ๎ูกระทาความผิดมิได๎รู๎ถึงการชํวยเหลือให๎ความสะดวกน้ันก็ตาม ผู๎สนับสนุนการกระทาความผิด ต๎อง
ระวางโทษสองในสามของโทษท่กี าหนดไว๎สาหรบั น้นั ”

อยํางไรเรียกวาํ สนบั สนุน
ทํานศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ได๎อธิบายไว๎วํา3 ความผิดฐานเป็นผ๎ูสนับสนุนจะต๎อง
พร๎อมด๎วยองค์ประกอบ 4 ประการ คอื
1. กระทาด๎วยประการใด อันเป็นการชํวยเหลอื ใหค๎ วามสะดวกในการทีผ่ ๎อู ื่นกระทาความผดิ
2. การชํวยเหลอื หรือให๎ความสะอาดในการทผี่ ๎ูอ่ืนกระทาความผิดนั้นต๎องกระทากํอนหรือขณะ
การทาความผิด
3. ผ๎ูสนับสนนุ ตอ๎ งไดม๎ ีเจตนาท่ชี วํ ยเหลือหรือใหค๎ วามสะดวกนนั้ กไ็ มเํ ป็นข๎อสาคญั
4. ผ๎ูสนับสนุนต๎องได๎มีเจตนาท่ีจะชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการกระทากํอนหรือขณะ
กระทาความผดิ

ทาํ นศาสตราจารย์จิตติ ติงศภทั ิย์ กไ็ ด๎อธิบายวาํ 4 ความผดิ ฐานเปน็ ผูส๎ นับสนุนมีหลกั ดังน้ี
1. หลักประการแรก คือต๎องมีการกระทาผิดเกิดขึ้น จะเป็นในช้ันพยายามหรือความผิด
สาเร็จกไ็ ด๎ รวมทง้ั การตระเตรยี มทีมโี ทษดจุ ความผิดพยายามหรือความผิดสาเร็จและการสมคบอันเป็น
ความผิด ถา๎ ความผิดนนั้ ยังไมมํ กี ารกระทาถึงข้นั ท่กี ลาํ วนี้ การสนบั สนุนกย็ งั ไมมํ โี ทษ
2. หลักประการท่ีสอง คือต๎องมีการกระทาท่ีเป็นการกระทาที่ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวก
ในการท่ีผ๎ูอื่นกระทาความผิด ความหมายของการชํวยเหลือในที่น้ีก็คือ ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวก
ให๎มีการกระทาความผิด ความหมายของการชํวยเหลือในที่น้ีก็คือ ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกให๎มี
การกระทาความผิดขึ้นตามหลกั ประการที่ 1 และไมํจากดั วาํ จะตอ๎ งทาโดยวธิ ใี ด

3 หยุด แสงอุทยั , ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคท่ัวไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515). หน๎า
89.

4 จติ ติ ตงิ ศภทั ยิ ์, ศาสตราจารย์, คาอธบิ ายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์,
2513). หน๎า 176.

198 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

3. หลักประการที่สาม คือการสนับสนุนต๎องกระทากํอนหรือขณะกระทาความผิด ถ๎าได๎
กระทาภายหลังการกระทาความผดิ ไมเํ ป็นผส๎ู นบั สนุน แตอํ าจเป็นความผิดตํางหาก เชํน ตํอสู๎ขัดขวาง
เจ๎าพนกั งาน แจ๎งความเท็จ ชํวยผก๎ู ระทาความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189,214 รับ
ตวั บุคคลตามมาตรา 284,317,318,319 รับคําไถตํ ามมาตรา315 หรือรับของโจรก็ตาม มาตรา 357
ฯลฯ

4. หลกั ประการท่ีสี่ คือกาสนบั สนุนต๎องกระทาโดยเจตนากลําวคือต๎องกระทาโดยประสงค์ตํอ
ผลหรือยํอมเลง็ เห็นผลในการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการที่ผ๎ูอื่นจะกระทาความผิดตามหลัก 3
ข๎อท่ีได๎กลําวมาแล๎ว ถ๎าผู๎กระทาการสนับสนุนไมํประสงค์ตํอผลหรือเล็งเห็นผลเชํนน้ันแล๎ว ก็ไมํเป็น
ความผิดฐานเป็นผส๎ู นบั สนุน

ดังนี้เราจึงตอ๎ งกลําวได๎วํา ความผิดฐานสนับสนุนจะต๎องประกอบด๎วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ
คอื

1. ต๎องมกี ารกระทาความผดิ เกิดขึน้ และมเี จตนาสนับสนุนความผิดทผ่ี ๎อู นื่ จะกอํ ขนึ้
2. ต๎องกระทาใด ๆ อนั เป็นการชวํ ยเหลอื หรอื ให๎ความสะดวกในการท่ีผู๎อ่ืนกระทาความผิดโดย
ผ๎กู ระทาความผดิ จะได๎หรือมไิ ด๎รูถ๎ งึ การชํวยเหลอื หรือใหค๎ วามสะดวกนน้ั ก็ไมเํ ปน็ ขอ๎ สาคัญ
3. การชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการท่ีผ๎ูอื่นกระทาผิดนั้นต๎องกระทากํอนหรือขณะ
กระทาความผดิ

1. ต้องมีการกระทาความผิดเกิดข้ึนและมีเจตนาสนับสนุนความผิดที่ผู้อื่นจะก่อขึ้น แบํง
ออกเปน็ 2 กรณีคือ

ก. ต๎องมีการกระทาความผิดเกิดขึ้น จะเป็นขั้นพยายามหรือความผิดสาเร็จก็ได๎
ความผิดน้ันไมํเข๎าขั้นลงมือกระทาการสนับสนุนก็ยังไมํมีโทษ เว๎นแตํความผิดลหุโทษตามมาตรา 102
แมจ๎ ะได๎ลงมือกระทาความผิดแลว๎ ผสู๎ นับสนุนก็ไมตํ อ๎ งรบั โทษตามตามมาตรา 105

ข. มีเจตนาสนับสนุนความผิดที่ผ๎ูอื่นจะกํอขึ้น การสนับสนุนก็เชํนเดียวกับการใช๎ให๎
กระทาความผดิ ผู๎กระทาโดยรู๎สานึกในการที่กระทาและในขณะเดียวกัน เจตนาในท่ีน้ีหมายถึงเจตนา
ตามมาตรา 59 วรรคสอง คือการกระทาโดยร๎ูสานึกในการท่ีกระทาในขณะเดียวกันผ๎ูกระทาประสงค์
ตํอผลหรือยํอมเล็งเห็นผลในการกระทาน้ันด๎วย สํวนการประสงค์ตํอผลหรือยํอมเล็งเห็นผลในการ
กระทาก็จากัดพียงประสงค์ตํอผลหรือยํอมเล็งเห็นผลในการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการผู๎อ่ืน
กระทาความผิดเทํานั้น เจตนาของผู๎สนับสนุนนี้อาจกระทาโดยผู๎สนับสนุนเจตนาฝุายเดียว ผู๎กระทา
ความผิดที่ได๎รับการสนับสนุนไมํจาต๎องรู๎ถึงการสนับสนุนด๎วย เชํน คนใช๎ในบ๎านแกล๎งเปิดประตู
หนา๎ ตาํ งที่เปิดไว๎น้ันได๎มีผูเ๎ ปดิ ท้งิ ไว๎โดยเจตนาใหค๎ นร๎ายเข๎าไปลักทรพั ย์

“ถ๎าในกรณีท่ีผู๎กระทาความผิดไปเกินกวําเจตนาท่ีสนับสนุน ผู๎สนับสนุนก็คงได๎รับผิด
ทางอาญาเพียงสาหรับความรับผิดชอบท่ีอยูํในขอบเขตที่สนับสนุนเทําน้ัน” (ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 87 วรรคแรก) กลําวคือ ผู๎สนับสนุนต๎องรับผิดเพียงสาหรับความรับผิดเทําที่ผู๎สนับสนุนได๎

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 199

เจตนาสนับสนุนโดยประสงค์ตํอผลให๎กระทาความผิดนั้นข้ึนโดยตรง แม๎จะผิดแผกแตกตํางไปจากที่
สนบั สนุนยงั ต๎องรบั ผิด เชํน สนบั สนนุ ยงั ตอ๎ งรับผดิ อยํู “แตํถ๎าโดยพฤตการณอ์ าจเล็งเห็นได๎วําอาจเกิด
การกระทาความผิด เชํน ท่ีเกิดขึ้นน้ันได๎จากการสนับสนุน ผู๎สนับสนุนต๎องรับผิดทางอาญาตาม
ความผิดท่ีเกิดข้ึนน้ัน” (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 วรรคแรก) หมายความผู๎สนับสนุนมี
เจตนาเล็งเห็นผลได๎วําผ๎ูกระทาอาจจะทาไปเกินขอบเขตที่สนับสนุนแล๎วก็ต๎องถือวําผ๎ูสนับสนุนมีเจตนา
สนับสนุนให๎เกิดการกระทาความผิดข้ึนเกินขอบเขตท่ีสนับสนุนด๎วย จึงต๎องรับผิดในการกระทาท่ีเป็น
ผลจาการกระทาความผิด ผ๎ูสนับสนุนการกระทาความผิดต๎องรับผิดทางอาญาตามความผิดทีมีกาหนด
โทษสูงขึ้นด๎วย” กรณีน้ีได๎แกํกรณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 63 ซ่ึงต๎องเป็นผลท่ีตาม
ธรรมดายํอมเกิดข้ึนได๎ กรณีเชํนนี้ผู๎กระทาต๎องรบผิดแม๎มิได๎ประสงค์หรือเล็งเห็นผลนั้น ผ๎ูสนับสนุนก็
ต๎องรับผิดด๎วยเชํนเดียวกัน เชํน สนับสนุนให๎ ก. ทาร๎ายรํางกายผู๎อื่นโดยพา ก. ไปชี้ตัวผ๎ูนั้นให๎รูจัก
เพราะ ก. ไมํรู๎จกั ผูน๎ ัน้ แล๎วกก็ ลบั ไป ผ๎นู น้ั ถูกตอํ ยจนตาขวาปดิ ซา้ ตอํ มา 5-6 วนั ตาขวาพกิ ารบอดมอง
ไมํเห็นเพราะถูก ก. ตํอย ก.มีความผิดตามาตรา 297 (1) ดังนี้ ผู๎สนับสนุนต๎องรับผิดเชํนเดียวกับ ก.
ด๎วย

2. ต้องกระทาอันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการท่ีผู้อื่นกระทาความผิด
โดยกระทาความผิดจะได้รหู้ รือมิได้รู้ถงึ การช่วยเหลอื หรือให้ความสะดวกนั้นก็ไม่เป็นข้อสาคัญ แยก
ออกเปน็ 2 กรณี คอื

ก. ต๎องกระทาใดๆ อันเป็นการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกซึ่งเป็นการจากัดการ
กระทาของผส๎ู นับสนุนวําจะทาได๎เฉพาะแตํการกระทาอนั เป็นการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการที่
ผู๎อื่นจะทาความผิด สาหรับการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกนั้นจะด๎วยประการใด ๆ ก็ได๎ กฎหมาย
ไมไํ ดจ๎ ากัดไว๎ อาจจะทาโดยการหาชํองทาง เชนํ ชวํ ยเปิดประตหู น๎าตาํ งไวใ๎ ห๎ ชํวยบอกเวลาปลอดคน
หรือหลอกคนในบ๎านให๎หนีไป หรือยืมเคร่ืองมีใช๎อาวุธ โดยบอกความรู๎อันเป็นอุปการพในการกระทา
ความผิด เชํน บอกชํองทางออกทางเข๎า ทางหนีทีไลํ บอกที่เก็บทรัพย์ ให๎สถานที่ประชุมวาง
แผนการหรือเป็นท่ีพัก ฉะน้ันถ๎าเห็นการกระทาความผิดแล๎วน่ิงเสียหรือไมํขัดขวาง หรือเพียงห๎ามคน
อื่นไมํให๎ชํวยเหลือการกระทาความผิดน้ันเพราะชอบดู เพียงเทําน้ีไมํถือวําเป็นการสนับสนุนโดยการ
ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกแตํอยํางใด เชํน คาพิพากษาฎีกาที่ 1599/2494 ตัดสินแตํละเว๎นไมํ
ขดั ขวางหรอื ยอมให๎กระทาความผิดเกิดขึ้นแล๎วพิพากษาเฉยไมํขัดขวาง หรือไมํชํวยเหลือเม่ือผ๎ูเสียหาย
ร๎องขอ ไมสํ นบั สนุน แทแ๎ ตํแนะนาผอู๎ น่ื มใิ หข๎ ดั ขวางทจี่ ะมผี ๎ูกระทาความผิดก็ไมํเป็นผู๎สนับสนุนกนั

ข. โดยผ๎ูกระทาความผิดจะได๎ร๎ูหรือมิได๎รู๎ถึงการการชํวยเหลือให๎ความสะดวกน้ีก็ไมํ
เป็นข๎อสาคัญ กลําวคือ การสนับสนุนน้ีอาจเป็นการเจตนาฝุายเดียว ผู๎กระทาจะร๎ูหรือไมํก็ตาม เชํน
คนรับใช๎เปิดประตูหน๎าตํางบ๎านนายจ๎างท้ิงไว๎ให๎คนร๎ายเข๎ามาลักทรัพย์ คนร๎ายเข๎าทางประตูโดยไมํรู๎วํา
มีคนเปิดประตูท้ิงไว๎ให๎แล๎วเข๎าไปลักทรัพย์ในบ๎านนั้น ดังนี้คนรับใช๎มีความผิดฐานเป็นผู๎สนับสนุนหรือ
ก. ง. ทาร๎าย จ. ข. ค. ไมํได๎รํวมด๎วย แตํล๎วงปืนห๎ามไมํให๎คนอ่ืนชํวย โดย ก. ง. ทาร๎าย จ. ข. ค.

200 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ไมํได๎รํวมมือ แตํล๎วงปืนห๎ามไมํให๎คนอื่นชํวย โดย ก. ง. ไมํร๎ูเป็นในการกระทาของ ข. ค. ข. ค.เป็น
ผ๎ูสนบั สนนุ (คาพิพากษาฎกี าท่ี 1478/2410)

3. การช่วยเหลือหรือหารให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทาความผิดน้ันจะต้องกระทา
กอ่ นหรือขณะการะทาความผดิ 5 การกระทาความผิดเร่มิ ตนั ต้ังแตํลงมือหรือ พยายามกระทาความผิด
และส้นิ สดุ ลงเมื่อการกระทาความผิดเสร็จสน้ิ ดังนก้ี ารสนบั สนนุ จะต๎องกระทากํอนท่ีมีการลงมือกระทา
ความผิด หรือขณะท่ีกระทาความผิดหากกระทาภายหลังไมํเป็นความผิดฐานสนับสนุน แตํอาจเป็น
ความผิดฐานอื่น เชํน ความผิดฐานรับของโจร อยํางไรก็ตามถ๎าไมํมีการกระทาความผิดเกิดข้ึนตามท่ี
สนบั สนนุ จนถึงขนึ้ ทกี่ ฎหมายบญั ญตั เิ ป็นความผิดก็ไมผํ ดิ ฐานสนับสนนุ

การสนับสนุนกํอนหรือขณะกระทาความผิดน้ันจะต๎องแยกจากากรรํวมมือกระทาความผิดอัน
เป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ทั้งน้ีเพราะการชํวยเหลือ หรือให๎ความสะดวก
ในขณะกระทาความผิดซึ่งเป็นการสนับสนุน อาจเป็นการชํวยเหลือซึ่งไมํเข๎าข้ันการรํวมมือเป็นตัวการ
กลําวคือไมํถึงกบั เปน็ การกระทาสวํ นหนงึ่ แหํงความผดิ เชํน การคอยอยํใู นท่ี เกิดเหตุ ถ๎าเป็นเพียงอยูํ
ในที่เกิดเหตุเพื่อให๎ความสะดวกแกํการกระทาผิดเทํานั้นมิใชํคอยอยํูในลักษณะที่จะกระทาความผิดน้ัน
ให๎สาเร็จดว๎ ยตนเอง

กรณีการรํวมมือกระทาผิด ผ๎ูรํวมกระทาขาดคุณสมบัติที่จะกระทาความผิดเทํานั้นคอยอยูํ
เชํนคนธรรมกาหรือเจ๎าพนักงานไมํมีหน๎าท่ีกระทาความผิดตํอตาแหนํงหน๎าท่ี คนธรรมดาหรือเจ๎า
พนักงานท่ีไมํมีหน๎าทียํอมเป็น “ตัวการไมํได๎” เพราไมํใช๎พนักงานที่มีหน๎าที่กระทะน้ัน จึงไมํเข๎า
องค์ประกอบความผิดตามมาตรา น้ัน ๆ ได๎” แตํอาจจะเป็นผ๎ูใช๎ให๎กระทาความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 84 หรอื เป็นผูส๎ นับสนนุ ตามมาตรา 86 เทาํ นนั้

โทษทผ่ี ้สู นบั สนุนจะได้รับ
1. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ผส๎ู นับสนุนการกระทาความผิดต๎องระวะวางโทษ
2 ใน 3 สํวนของโทษท่กี าหนดไวส๎ าหรบั ความผดิ ที่สนบั สนนุ นั้น
2. บางกรณีผ๎ูสนับสนุนต๎องรับผิดเทํากับโทษฐานเป็นตัวการกระทาความผิด เชํนความผิดตํอ
องค์พระมหากษตั รยิ ์ พระราชินี รัชทายาท และผ๎ูสาเร็จราชการแทนพระองค์ ตามมาตรา 107 ถึง
มาตรา 110 ความตอํ ความมัน่ คงของรฐั ภายนอกราชอาณาจกั รตามมาตรา 119 ถึง 128 เปน็ ตน๎
3. บางกรณผี ส๎ู นับสนุนตอ๎ งรับผิดเกนิ กวําเจนตาทตี่ นสนบั สนุนก็ได๎ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 87
4. บางกรณีผู๎สนับสนุนการกระทาความผิดไมํต๎องรับโทษกรณีท่ีความผิดที่สนับสนุนนั้นเป็น
ความผิดลหโุ ทษหรือความผดิ ฐานทาให๎แทงลกู ตามมาตรา 304

5 ดร.อุทิศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ กรมอัยการ, 2525).
หนา๎ 143.

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 201

คาพพิ ากษาฎีกาเกี่ยวกับผสู้ นับสนนุ
คาพิพากษาฎีกาท่ี 592/2461 นาทางผู๎ร๎ายไปปล๎นเกวียน แตํกลับเสียกํอนถึงเกวียน เพื่อมิ
ใหพ๎ วกเกรียนจาหน๎าได๎ มีผิดฐานเปน็ ผ๎ูสนบั สนุนการปล๎น

คาพพิ ากษาฎกี าท่ี 571/2461 จาเลยกับผ๎ทู ่ีฟนั ผตู๎ าย สาเหตทุ ่ีจะฟันเพราะผู๎ฟันถามถุงทางท่ี
จะไป แตํผต๎ู ายนิง่ เพราะไมํพอฟังวาํ จาเลยเป็นผส๎ู นบั สนุนการปลน๎

คาพิพากษาฎีกาที่ 985/2462 ก. ข.จาเลยเมาสุราเข๎าไปหาผ๎ูเสียหายผ๎ูเสียหายทักทายและ
ลอ๎ เลํนเดนิ หํางไปประมาณ 5 วา ก.สํงเสียงให๎ ข.และรับเอาปืนให๎ ข. และรับเอาปืนของ ข. มาถือ
ไว๎แล๎ว ข.ใช๎ปืนของ ก. ยิงผ๎ูเสียหายทั้งๆ ที่ไมํมีสาเหตุกัน ดังนี้การสํงปืนของ ก. เป็นเพียงให๎ความ
สะดวกแกํ ข. ในการกระทาความผิด จึงเปน็ ผ๎สู นบั สนุนเทํานน้ั

คาพพิ ากษาฎกี าที่ 164/2463 การขนึ้ บ๎านเจ๎าทรัพย์ใหแ๎ กพํ วกปล๎นเปน็ ผ๎สู นับสนนุ การปลน๎

คาพิพากษาฎีกาที่ 848/2459 ฉุดหญิงมาให๎ผู๎อื่นขํมขืน แตํเวลาขํมขืนไมํได๎รํวมมือด๎วย มี
ความผดิ ฐานสนับสนุนการขํมขนื

คาพิพากษาฎีกาท่ี 249/2463 จาเลยรับยาเบ่ือมาจากคนร๎ายแล๎วไปติดตํอกับคนใช๎ในบ๎าน
เอายาเบื่อวางเจา๎ ทรัพย์ จาเลยจึงมอบยาเบ่ือให๎และนัดตอนดึกจะเข๎าลัก แตํคนใช๎กลับบอกเจ๎าทรัพย์
เจ๎าทรัพย์ไปแจ๎งตารวจดักจับ คร้ันตอนดึกคนร๎ายก็เข๎ามาบ๎านเจ๎าทรัพย์แตํถูกเจ๎าพนักงานยิงเสียกํอน
จาเลยมคี วามผดิ ฐานพยายามลกั ทรพั ย์

คาพิพากษาฎกี าที่ 590/2463 ก.ทาร๎าย ข. เข๎าไป แล๎วจาเลยร๎องบอก ก. วํา ตีให๎ตายปาก
มนั กล๎านกั ก. จึงเขา๎ ทาร๎าย ข. อกี ดงั นีว้ ินจิ ฉัยวาํ จาเลยกลําวในขณะ ก. ทาร๎าย ข.อยแูํ ลว๎ การกลําว
เพยี งให๎ ก. ใจปล้าขึน้ จงึ ผดิ เพียงเป็นผสู๎ นบั สนนุ

คาพิพากษาฎีกาท่ี 237/2463 บ. ส.สามีภริยากัน ป. ค. ด. ไปปิดทานบจับปลา บ. ส. เคย
ทะเลาะดําวาํ กนั แตยํ ังอยกูํ ินดว๎ ยกนั ป. ค. ด. ตี ส. ด๎วยสันขวาน บ. ภริยา ส. ยืนอยํูหําง บ.ไมํได๎ลงมือ
ทารา๎ ย ส. แตํโยนไม๎ใหต๎ ี ป. ค. ด. เพ่ือทาร๎าย ส. แล๎ว ชํวยปกปิดโดยบอกกลําว ส. ไปลํองแพ บ. เป็น
ผ๎ูสนบั สนนุ

คาพิพากษาฎกี าท่ี 566-568/2546 ก. ถูกทาร๎ายขํูบังคับให๎นาไปบ๎านเจ๎าทรัพย์ ก.พูดกับเจ๎า
ทรพั ย์ดว๎ ยวําพวกน้ีเป็นเสือ แตํพูดโดยความจริง ไมํพอฟังวําเป็นการอุปการะการกระทาความผิด ไมํ
มคี วามผดิ ด๎วย

คาพิพากษาฎีกาที่ 774/2465 กํอนผ๎ูร๎ายจะไปทาการลักทรัพย์ได๎มาประชุมเล้ียงอาหารและ
สบู ฝน่ิ ทบ่ี า๎ นจาเลย แล๎วพดู กันถึงเร่ืองจะไปลักทรัพย์ จาเลยพูดขณะน้ันวํามีหีบหลายใบแล๎วให๎เส้ือกัน
หนาวผู๎รา๎ ยใสํไป ดังนเ้ี ปน็ การสนับสนนุ

202 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 213/2477 จาเลยไปรับพวกปล๎นและพวกปล๎นไปสูบฝิ่นเวลาปรึกษาหารือ
กันเรือ่ งปล๎นก็อยดูํ ว๎ ย จึงเป็นผ๎ูสนับสนนุ

คาพิพากษาฎกี าท่ี 740/2477 เจ๎าพนกั งานเขา๎ จับกมุ ผู๎มีฝ่ินเถ่ือน ผู๎ที่ชํวยหยิบกระป๋องฝ่ินไป
เสยี ให๎พ๎น ไมํเป็นผสู๎ นบั สนนุ การมฝี นิ่ (และดคู าพิพากษาฎีกาที่ 417/2781 ด๎วย)

คาพิพากษาฎีกาท่ี 696/2478 ชํวยหารือให๎ผู๎ฉุดครําหญิงไปแล๎ว และหาเส้ือผ๎าอาหารสํงให๎
ณ ท่ีซํอน และบอกขําววําการติดตามของพวกผู๎เสียหาย ตลอดจนแจ๎งความเท็จแกํเจ๎าพนักงาน เป็น
การกระทาหลังจาฉุดครํา แตํเป็นผู๎สนับสนุนความผิดฐานชํวยผู๎ร๎ายให๎พ๎นจากการจับกุมตรงกับมาตรา
189

คาพิพากษาฎีกาที่ 528/2480 ก. ได๎รับอนุญาตให๎มีอาวุธปืนโดยชอบด๎วยกฎหมายแล๎วได๎
นาปืนของตนออกไปเฝูาสวนกับ ข. คอยดักยิงสุกรปุา ก.เข๎าบ๎านจึงมอบปืนไว๎กับ ข. โดยต้ังใจจะกลีบ
ออกไปอกี ก. ไมไํ ด๎กลับออกไปอีก แตํ ก. ไมํได๎กลับออกไป ข. ได๎ใช๎ปืนน้ันยิงสุกรปุาแล๎ว ข.ถูกจับกุม
มาฟูองฐานมีปืนและใช๎ปืนโดยไมํได๎รับอนุญาต ดังนี้วินิจฉัยวํา ข. มีความผิดฐานมีปืนและใช๎ปืนโดย
ไมไํ ดร๎ บั อนุญาต สํวน ก. ไมํมีความผิดฐานสนบั สนุน ข.ใหก๎ ระทาความผดิ เพราะที่ ก. ให๎ปืน ข. ไว๎นั้นก็
ไดย๎ ินยอมให๎ ข. ใช๎ปืนนน้ั ด๎วย การกระทาเป็นความผดิ เฉพาะ ข. สวํ น ก. แม๎จะมีหรือครอบครองไว๎เอง
ก็ยํอมไมํมีความผิด ทั่งถือไมํได๎วําเป็นผู๎ใช๎ให๎กระทาความผิด (และดูคาพิพากษาฎีกาท่ี
803/2481,1301/2480,1578/2495,1824/2499)

คาพิพากษาฎีกาท่ี 19/2482 ซ้ือจักรยาย 3 ล๎อจากผ๎ูที่เชํารถนั้น ผ๎ูเชํารถมีความผิดฐาน
ยกั ยอก แตผํ ูซ๎ ือ้ รถนัน้ มคี วามผดิ ฐานรบั ของโจร ไมใํ ชํสนบั สนุนการยักยอก เพราะความผิดฐานยักยอก
สาเรจ็ เม่อื แสดงกิริยาเอารถเป็นประโยชนส์ ํวนตวั การขายรถเป็นแตํข๎อเท็จจริงแสดงเจตนาทจุ รติ เทํานั้น

คาพิพากษาฎีกาที่ 399/2482 เจ๎าพนักงาจะเข๎าจับกุมผ๎ูที่กาลังเลํนการพนัน โดยมิได๎รับ
อนุญาต จาเลยดับไฟเสียเพื่อมิให๎เจ๎าพนักงานจับกุมผู๎เลํนการพนัน หรือเพื่อจาเลยจะได๎หลบหนีการ
จับกมุ ดงั น้ีมิใชํการชวํ ยเหลอหรือให๎ความสะดวกให๎การเลํนการพนันอันผิดกฎหมายเพราะหลังจากดับ
ไฟแล๎วไมํมีการเลํนการพนันอีก แตํกระทาเพื่อไมํให๎มีการจับกุม (และดูคาพิพากษาฎีกาที่
2506,225/2515)

คาพิพากษาฎีกาที่ 459/2488 แจวเรือให๎ผู๎ซ้ือสุราเถื่อนบรรทุกสุราเถื่อนไป ผ๎ูแจวเรือไมํมี
ความผดิ ฐานสนบั สนุนการซือ้ หรือมสี รุ าเถ่อื นซึ่งเป็นความผดิ สมบูรณอ์ ยูแํ ลว๎

คาพิพากษาฎีกาท่ี 358/2486 หลอกลวงพาหญิงไปเพื่อการอานาจารความผิดสาเร็จต้ังแตํ
แรกพาไป ในระหวํางทางมีผ๎ูสนับสนุนคากลําวของผ๎ูพาไป ดังน้ี ไมํมีผลเป็นการสนับสนุนการกระทา
ผิด

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 203

คาพพิ ากษาฎกี าท่ี 458/2489 ซอื้ ของทีมีผ๎ูนาภาษาศุลกากรเข๎ามาในราชอาณาจักรแล๎วไมํใชํ
อปุ การะใหห๎ ลเี ล่ยี งภาษี เปน็ การกระทาภายหลังความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 (และดูคา
พิพากษาฎกี าท่ี 172/2490)

คาพิพากษาฎีกาที่ 433/2491 ก. ข. คบคิดกันไปฆําคน แตํใจฟูองวํา ก. ข. ใช๎ ข. ไปฆําคน
จะลงโทษ ก. ในฐานะรํวมมือด๎วยไมํได๎เพราะข๎อเท็จจริงตํางกับฟูอง แตํก็ลงโทษ ก.ในฐานะสนับสนุน
การฆาํ ได๎ เพราะการรํวมมือหรือใชก๎ เ็ ปน็ การสนบั สนุนอยาํ งหน่งึ

คาพิพากษาฎกี าท่ี 587/2496 ผูท๎ ร่ี วํ มในการปล๎นแตํไมํได๎ไปปล๎นด๎วยโดยนั่งอยูํในรถที่ใช๎เป็น
พาหะไปล๎น แล๎วกลับมาในรถพรอ๎ มกัน เปน็ ผูส๎ นับสนุนเทาํ นนั้

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 109/2496 จาเลยไมํได๎เตรียมการหรือคอยท่ีอยูํแตํได๎ขี่จักรยานสามล๎อตัด
หนจ๎าพนักทรัพย์ ในทันใดน้ันผู๎ร๎ายอีกคนหน่ึงฉกฉวยสร๎อยคอเจ๎าทรัพย์กระโดดขึ้นสามล๎อของจาเลย
พาหนไี ปตํอหน๎า ดังน้จี ะเรียกวําสมคบไมํถนดั จึงมคี วามผดิ เพยี งสนับสนุนวงิ่ ราวทรัพย์

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1425/2496 ผู๎ที่แจวเรือรับคนร๎ายมาสํงและจอดคอยอยํูหํางที่เกิดเหตุ ๖
วา ระหวํางทขี่ ึ้นไปปล๎น แลว๎ แจวเรอื รับคนรา๎ ยกลบั มา เป็นผูส๎ นบั สนุนการปลน๎

คาพิพากษาฎีกาท่ี 814/2498 ทหารซอ๎ มยิงระเบดิ ก. รับเงนิ จาก ข. มา จํายให๎ทหารท่ีงดยิง
ระเบดิ เพ่อื ให๎มลี ูกระเบดิ ทไี่ มไํ ดย๎ ิงเหลือไวใ๎ ห๎ ข. ยกั ยอก ก. เป็นผ๎ูสนบั สนนุ ในการยักยอก

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1322/2498 รํวมกับผ๎ูว่ิงราวทรัพย์และจอดรถสามล๎อเคร่ืองอยํูหํางท่ีเกิด
1 เสน๎ เพือ่ ใหผ๎ ูว๎ ่ิงราวไดแ๎ ล๎วมาขน้ึ รถท่จี อดรออยูํนน้ั เป็นเพียงผส๎ู นบั สนนุ ไมใํ ชํตัวการ

คาพิพากษาฎกี าที่ 394/2502 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา การที่บุคคลอ่ืนนาเครื่องมือสาหรับปลอม
เหรียญกษาปณ์ไปทอลองทาเงินตราปลอมที่บ๎านจาเลยเพื่อให๎จาเลยดู ดังน้ีจาเลยไมํใชํตัวการทา
เงนิ ตราปลอมเพราะมิได๎รํวมในการทดลองด๎วย แตํการที่จาเลยให๎ใช๎สถานที่ ภาชนะเตาไฟของตนนั้น
เปน็ การใช๎ความสะดวกในการทาปลอมเงนิ ตราจึงตอ๎ งมีความผิดฐานเปน็ ผส๎ู นบั สนนุ

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1113-1114/2508 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา จาเลยเห็นผู๎ตายกาลังถูกทาร๎าย
ไมํไดเ๎ ข๎าขดั ขวางแตํอยํางใด และไลํลูก ๆ ไห๎ออกไป ทั้งส่ังห๎ามไมํให๎ไปบอกใครด๎วย เมื่อมีหญิงอีกคน
หนึง่ มายงั ทเ่ี กิดเหตุ จาเลยวงิ่ ไปรับหา๎ มมใิ หเ๎ ขา๎ ไปโดยกลําวเท็จวําผัวเมียกันไมํใชํธุระ เป็นการแสดงวํา
ให๎จาเลยกระทาไปโดยต้ังใจเพือ่ อานวยความสะดวกให๎ผ๎ูตายถูกฆําโดยไมํต๎องถูกผู๎ใดขัดขวาง จาเลยจึง
มีความผิดฐานเป็นผ๎สู นับสนุนการกระทาความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1279/2508 บ.รับจานาปืนจาก พ. มีความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ
พ.ศ. 2490 มาตรา 7 เป็นความผิดเฉพาะตัว บ.ซึ่งมีปืนไว๎โดยไมํได๎รับอนุญาตแตํปืนน้ัน พ.ได๎รับ
อนุญาตให๎มี พ.จงึ ไมมํ ีความผิดฐานสนับสนนุ บ.

204 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

คาพพิ ากษาฎกี าที่ 407/2509 ศาลฎีกาวนิ ิจฉยั วํา แมจ๎ าเลยท่ี 3 จะไมํได๎เป็นเจ๎าพนักงานผู๎
ทีมีหน๎าที่ในการนี้ก็ตาม เมื่อได๎รํวมกับเจ๎าพนักงานในการกระทาความผิดก็ยํอมมีความผิดฐาน
สนับสนนุ ในการกระทาความผดิ ดว๎ ย

คาพิพากษาฎีกาท่ี 342/2509 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา การท่ีจาเลยพาพวกมาปล๎นมาร๎ูจักบ๎าน
ผ๎ูเสียหายแล๎วแยกทางไปโดยไมํได๎รํวมปล๎นด๎วย จาเลยมีความผิดเพียงเป็นผ๎ูสนับสนุนตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 86

คาพิพากษาฎีกาที่ คาพิพากษาฎีกาที่ 1235/2509 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา ขณะท่ีจาเลยที่ 1
ลงไปฉดุ ผู๎เสียหายขน้ึ รถ จาเลยที่ 2 จอดรถตดิ เครือ่ งรอคอยอยํูใกล๎ ๆ คร้ันจาเลยท่ี 1 ฉุดผ๎ูเสียหายขึ้น
รถแล๎ว จาเลยท่ี 2 ได๎ออกรถขับไปทันที เชํนนี้กากระทาต้ังแตํแรกจนพาผ๎ูเสียหายไป หลังจาก
ผู๎เสียหายขึ้นรถแล๎วถือวําเป็นการกระทาผิดฐานพาหญิงไปเพ่ือการอนาจารอยํูตลอดเวลา กากระทา
ของจาเลยที่ 2 ที่ขับพาผู๎เสียหายกับจาเลยที่ 1 ไปจึงเป็นการกระทาสํวนหนึ่งของการพาผู๎เสียหายไป
เป็นการรํวมกันกระทาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ไมํใชํผู๎สนับสนุนการกระทา
ความผดิ มาตรา 86

คาพิพากษาฎีกาท่ี 50/2511 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา การที่จาเลยจอดเรือคอยรับทรัพย์ท่ีคนร๎าย
ลักจากสถานที่ซึ่งอยํูหํางจากท่ีจอดรถเรือไป 30 วา อันเป็นการชํวยเหลือให๎ความสะดวกในการ
กระทาผดิ ฐานลักทรัพย์ ยอํ มมีความผดิ ฐานเปน็ ผ๎ูสนับสนุน

คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2173/2514 รับจา๎ งเหมาขับเรือสงํ ผู๎คา๎ บรรทกุ ปืนเถ่อื น เปน็ ผู๎สนับสนุน

คาพิพากษาฎีกาที่ 225/2515 หลังจากการชิงทรัพย์ได๎หยุดลงแล๎ว ผ๎ูเสียหายถามจาเลยวํา
ร๎ูจักคนร๎ายหรือไมํ แมํจาเลยจะร๎ูจักคนร๎ายดีแตํได๎บอกวําไมํรู๎จักก็ตาม มาใชํเป็นเรื่องที่จาเลยได๎
ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการท่ีผู๎อื่นกระทาความผิด คาให๎การขั้นสอบสวนของคนร๎ายอ่ืนที่ซัด
ทอดวําจาเลยได๎วางแผนใหท๎ าการชงิ ทรัพย์จะฟังวาํ จาเลยได๎สนับสนนุ ใหก๎ ระทาผิดหาได๎ไมํ

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1050/2515 ว. ขับรถไปสํงคนร๎ายและจอดรถหํางท่ีเกิดเหตุประมาณ 1
เส๎น เม่ือคนร๎ายยิงผู๎เสียหายแล๎วขับรถพาคนร๎ายหนีไป ยังไมํชัดวําเป็นการคบคิดการกระทาความผิด
โดยแบํงหนา๎ ท่ีกันกระทา ว. มคี วามผดิ เพียงเปน็ ผ๎ูสนับสนุน

คาพิพากษาฎีกาที่ 237/2516 โจทก์ฟูองวําจาเลยท่ี 1 รํวมกับจาเลยอ่ืนทาการปล๎นทรัพย์
ขอ๎ เทจ็ จรงิ ได๎ความวาํ จาเลยท่ี 1 เพียงแตํเป็นผ๎ูวางแผนออกเงินให๎จาเลยอ่ืนไปเชําทรัพย์ของเจ๎าของ
ทรัพย์อันเป็นสํวนหนึ่งของแผนการปล๎นทรัพย์และไปชี้บ๎านเจ๎าทรัพย์ให๎เชํนน้ี แม๎จะถือวําการงวาง
แผนการปล๎นทรัพย์ของจาเลยท่ี 1 เป็นการกํอให๎ผู๎อ่ืนกระทาผิด แตํเม่ือโจทก์มิได๎บรรยายฟูองมา
เชนํ นี้ ยํอมลงโทษจาเลยที่ 1 ฐานเปน็ ผใู๎ ช๎ผอ๎ู ื่นกระทาผิดไมไํ ด๎ คงลงโทษไดแ๎ ตเํ พยี งเปน็ ผ๎ูสนับสนนุ

คาพิพากษาฎกี าที่ 2154/2516 จาเลยที่ 1 ท่ี 2 รํวมปรึกษาหารือกับจาเลยที่ 3 เพ่ือจะ
ไปลกั กระบือ แล๎ววางแผนใหจ๎ าเลยท่ี 1 ท่ี 2 และ ส. ไปซํุมรอรบั กระบือท่ีหัวทํุง จาเลยท่ี 3 กับ

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 205

พวกไปต๎อนกระบอื ของผูเ๎ สียหายมาสงํ ใหจ๎ าเลยท่ี 1 ท่ี 2 และ ส. สถานที่จาเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.
รอรับกระบือกับสถานท่ีท่ีจาเลยท่ี 3 และพวกไปต๎อนกระบือน้ันอยํูไกลกันมากจาเลยที่ 1 ที่ 2 จึง
ไมํอยูํในฐานะที่จะรํวมมือกับจาเลยที่ 3 ขณะท่ี 3 กับ ส. ทาการลักกระบืออันจะถือวําจาเลยท่ี 1
ที่ 2 เปน็ ตัวการ แตพํ ฤติการณ์ดังกลําวถือได๎วําจาเลยที่ 1 ท่ี 2 จึงเป็นผู๎สนับสนุนกํอนการกระทา
ผดิ

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1904/2517 จาเลยใช๎ให๎ผ๎ูอ่ืนนาช๎างไปชักลากไม๎หวงห๎ามโดยจาเลยไมํได๎
ไปรํวมทาการชักลากไม๎ด๎วย ถือไมํได๎วําจาเลยเป็นผู๎มีไม๎ดังกลําวไว๎ในครอบครองอันจะต๎องได๎รับ
อนญุ าต จาเลยไมมํ ีความผิดฐานมีไม๎หวงห๎ามไว๎ในครอบครอบตาม พ.ร.บ. ปุาไม๎ ฯ แตํจาเลยรู๎วําไม๎
ดงั กลาํ วเปน็ ไมห๎ วงห๎ามจาเลยจึงเปน็ ผูใ๎ ช๎ใหช๎ กั ลากไม๎ (ทาไม๎) หวงห๎ามโดยไมํได๎รับอนุญาต เมื่อโจทก์
ฟูองวําจาเลยรํวมทาการชักลากไม๎ จึงลงโทษจาเลยฐานเป็นผู๎ใช๎ให๎กระทาความผิดไมํได๎ คงลงโทษ
เพยี งฐานเป็นผส๎ู นบั สนนุ การกระทาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

คาพิพากษาฎีกาที่ 1556/2518 จาเลยท่ี 3 ลักไม๎กระดานจากใต๎ถุนบ๎านมากองไว๎จาเลยที่
1 , 2 จอดรถยนต์รอบรรทุกไม๎อยํูตรงที่กองไม๎ระหวํางที่จาเลยที่ 3 เขําไปขนไม๎อีกจาเลยท่ี 1 เป็น
ผูส๎ นบั สนุนตามมาตรา 335 , 86

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1804/ 2519 คนร๎ายเข๎าขํูบังคับเอาทรัพย์ในร๎านขายของใสํกระสอบและ
คมุ ตวั ผูเ๎ สยี หายไป จาเลยคอยอยขํู ๎างรา๎ น 3 เสน๎ รบั ของแบกตอํ ไป จาเลยเปน็ ผส๎ู นับสนุนการปลน๎

คาพิพากษาฎีกาที่ 435/2519 ราษฎรให๎สินบนเจ๎าพนักงานเพื่อทาการอันมิชอบด๎วยหน๎าที่
เจา๎ หนกั งาน ราษฎรมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 เจ๎าพนักงานผิดมาตรา 144
ราษฎรไมมํ ีความผิดฐานสนับสนนุ เจา๎ พนักงานอีก

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2196/2521 ราษฎรรํวมกับเจ๎าพนักงานยักยอกเป็นความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 147 ราษฎรเป็นผ๎ูสนับสนุน เจ๎าพนักงานที่เป็นตัวการตายราษฎรก็ยังถูกฟูอง
และลงโทษได๎

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1090/2522 จาเลยที่ 1 เข๎าไปยิงผู๎เสียหาย สํวนจาเลยที่ 2 ขี่
จักรยานยนต์ติดเครื่องรออยํูบนถนนหํางจากท่ีเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร แล๎วข่ีจักรยานยนต์พา
จาเลยท่ี 1 น่ังซ๎อนท๎ายหนีไปทันที ดังน้ีการกระทาของจาเลยท่ี 2 เป็นแตํเพียงชํวยเหลือให๎ความ
สะดวกแกํจาเลยที่ 1 ในการกระทาความผิดเทาํ น้นั จึงมีความผิดฐานสนับสนุนตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 86

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1735/2522 จาเลยรบั เอาแผนการปล๎นโดยนารถบรรทุกสินค๎าไปหยุด ณ
ทีก่ าหนด ใหพ๎ วกปล๎นเอารถและสนคา๎ ไป ไมมํ ีพฤติการณ์อื่นวําจาเลยรํวมกระทาในขณะปล๎น จึงเป็น
ผ๎ูสนบั สนุนเทําน้ัน

206 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

สว่ นที่ 5
ขอบเขตความรับผิดของผใู้ ช้ ผโู้ ฆษณา หรือผูป้ ระกาศ และผสู้ นบั สนนุ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 บัญญัติวํา “ในกรณีที่มีการกระทาความผิดเพราะมีผู๎ใช๎
กระทาตามมาตรา 84 เพราะมผี โู๎ ฆษณาหรือประกาศแกํบคุ คลท่วั ไปใหก๎ ระทาความผิดตามมาตรา 85
หรือโดยมีผ๎ูสนับสนุนตามมาตรา 86 ถ๎าความผิดที่เกิดข้ึนนั้นผ๎ูกระทาไปเกินขอบเขตที่ใช๎หรือโฆษณา
หรือประกาศ หรอื เกินไปจากเจตนาของผ๎ูสนับสนุน ผู๎ใช๎ให๎กระทาความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํ
บุคคลท่ัวไปให๎กระทาความผิด หรือผ๎ูสนับสนุนการกระทาความผิดแล๎วแตํกรณี ต๎องรับผิดทางอาญา
เดียวสาหรับความผิดเทําที่อยูํในขอบเขตท่ีใช๎หรือท่ีโฆษณา หรือประกาศ หรืออยํูในขอบเขตแหํง
เจตนาของผู๎สนับสนุนการกระทาความผิดเทํานั้น แตํถ๎าโดยพฤติการณ์อาจเล็งเห็นได๎วําอาจเกิดจาก
การกระทาความผิดเชํนที่เกิดข้ึนนั้นได๎จากการใช๎ การโฆษณาหรือประกาศ หรือการสนับสนุนผู๎ใช๎ให๎
กระทาความผิด ผ๎ูโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระทาความผิด หรือผ๎ูสนับสนุนการกระทา
ความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลท่ัวไปให๎กระทาความผิด หรือสนับสนุนการกระทาความผิด
แลว๎ แตํกรณี ต๎องรับผดิ ทางอาญาตามความผดิ ทเี กิดข้ึนน้ัน

ในกรณีที่ผู๎ถูกใช๎ ผ๎ูกระทาตามโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลท่ัวไปกระทาความผิดหรือตัวการ
ในความผิดจะต๎องรับผิดทางอาญามีกาหนดโทษสูงข้ึนเพราะอาศัยผลที่เกิดจากการกระทาความผิด
ผ๎ูใช๎ให๎กระทาความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลท่ัวไปให๎กระทาความผิดหรือสนับสนุนการ
กระทาความผิดแล๎วแตํกรณี ต๎องรับผิดทางอาญาตามความผิดท่ีกาหนดโทษสูงขึ้นนั้นด๎วย แตํถ๎าโดย
ลักษณะของความผิดผู๎กระทาจะต๎องรับผิดทางอาญามีกาหนดโทษสูงขึ้นเฉพาะเมื่อผู๎กระทาต๎องร๎ูหรือ
อาจเล็งเห็นได๎วําจะเกิดผลเชํนน้ันขึ้น ผ๎ูใช๎กระทาความผิด ผ๎ูโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลท่ัวไป
กระทาความผิด หรือผู๎สนับสนุนการกระทาความผิดจะต๎องรับผิดทางอาญาตามความผิดท่ีมีกาหนด
โทษสูงขึน้ กเ็ ฉพาะเม่อื ตนไดร๎ หู๎ รืออาจเลง็ เห็นไดว๎ าํ จะเกดิ ผลเชนํ ทเ่ี กดขนึ้ น้นั

มาตรา 88 บัญญัติวํา “ถ๎าความผิดท่ีได๎ใช๎ ท่ีได๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎
กระทา หรือได๎สนบั สนุนให๎กระทา ไดก๎ ระทาถงึ ขน้ั ลงมือกระทาความผิด แตํเนื่องจากการเข๎าขัดขวาง
ของผ๎ูใช๎ ผ๎ูโฆษณาหรือประกาศ หรือสนับสนุน ผู๎กระทาได๎การะทาไปไมํตลอด หรือกระทาไปตลอด
แล๎วแตํการกระทานั้นไมํบรรลุผล ผ๎ูใช๎หรือโฆษณาหรือประกาศคงรับผิดเพียงบัญญัติไว๎ในมาตรา 84
วรรคสอง หรือมาตรา 85 วรรคแรก แลว๎ แตกํ รณี สวํ นผส๎ู นับสนุนไมตํ อ๎ งรบั โทษ”

ตามบญั ญัติมาตรา 87 , 88 นีแ้ ยกพิจารณาได๎ 2 ประการด๎วย คอื
1.กรณที ่ีมกี ารกระทาความผิดเกนิ ขอบเขตทีใ่ ชห๎ รอื โฆษณาหรอื ท่ีสนับสนนุ
2.กรณที ่ีใช๎ ผ๎โู ฆษณา หรือผู๎สนับสนุนขดั ขวางไมํให๎กระทาความผิดเป็นผลสาเรจ็

1. กรณีที่มีการกระทาความผิดเกินขอบเขตที่ใช้หรือโฆษณาหรือที่สนับสนุน ในกรณีท่ีมี
การกระทาความผิดเพราะมีผู๎ใชใ๎ หก๎ ระทาความผิดและผ๎ูถูกใช๎ได๎กระทาความผิดเกินกวําขอบเขตที่ได๎ใช๎

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 207

ก็ดี หรือได๎มีการโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปกระทาความผิดแตํผ๎ูกระทาความผิดตามโฆษณา
หรือประกาศได๎กระทาความผิดเกินกวําท่ีได๎โฆษณาหรือประกาศก็ดีที่การสนับสนุนให๎กระทาความผิด
แตํตวั การผ๎กู ระทาความผิดเกินไปกวําทผี่ ๎สู นบั สนนุ เจตนากด็ ี มาตรา 87 วรรคแรกได๎บัญญัติให๎ผ๎ูใช๎ให๎
กระทาความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลท่ัวไปให๎กระทาความผิดหรือประกาศ หรืออยํูใน
ขอบเขตแหํงเจตนาของผ๎ูสนับสนุนการกระทาความผิดเทําน้ัน เชํน จํานายสิบตารวจ ส. ส่ังให๎พล
ตารวจ ย.ข้นึ ไปจับ ป. บนเรอื น พลตารวจ ย.ขึน้ ไปบนเรือนยงิ ป. ตาย ดังน้ีพลตารวจ ย. กระทา
เกินคาส่ังของจํานายสิตารวจ ส. จํานายสิบตารวจ ส. จํานายสิบตารวจ ส. จึงไมํต๎องรับผิดในความ
ตายของ ป. (คาพพิ ากษาฎีกาที่ 820/2515)

หลักดงั กล่าวขา้ งต้นนี้มขี ้อเวน้ อยู่ 2 ประการ คอื
ก. ถึงแม๎จะได๎มีการกระทาความผิดเกินไปกวําขอบเขตที่ได๎ใช๎โฆษณาหรือประกาศ

หรือเกินกวําเจตนาท่ีสนับสนุนก็ตาม ถ๎าโดนพฤติการณ์อาจเล็งเห็นได๎วําอาจเกิดการกระทาความผิด
เชํนที่เกิดข้ึนน้ันได๎จากการใช๎ การโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลท่ัวไปให๎กระทาความผิด หรือการ
สนับสนุน ผู๎ใช๎กระทาความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลท่ัวไปให๎กระทาความผิดหรือสนับสนุน
การกระทาความผิดแล๎วแตํกรณี ต๎องรับผิดทางอาญา ตามความผิดท่ีเกดขึ้น เชํน ก. ใช๎ให๎ ข. ไป
ลักทรัพย์ของ ค. ข. ได๎เข๎าไปในบ๎านของ ค. ขณะหยิบวิทยุของ ค. ค.มาพบพอดีจึงเกิดการตํอสู๎
ข. ทาร๎าย ค. แลว๎ นาเอาวิทยุ ค. ไป ซ่ึงการลักทรัพย์โดยการใช๎กาลังประทุษร๎ายนี้เป็นความผิดฐานชิง
ทรัพย์มีอัตราโทษสูงกวําลักทรัพย์ ถ๎าพิจารณาตาหลักข๎างต๎น ก. ควรจะมีความผิดฐานลักทรัพย์น้ัน
เพราะ ก. ใชใ๎ ห๎ ข. ไปปลน๎ ทรัพย์ แตํ ข. ไปลักทรัพย์แตํ ข. ได๎ไปทาร๎ายเจ๎าของทรัพย์ด๎วยจึงเป็น
ชิงทรัพย์ เจ๎าของทรัพย์มาพบยํอมขัดขวางแนํ การใช๎กาลังประทุษร๎ายเพ่ือเอาทรัพย์ไปจึงมีได๎แนํ
ฉะน้ัน ก.จงึ ต๎องรับผดิ ฐานเป็นเหตุใช๎ใหช๎ งิ ทรพั ย์

ข. ในกรณีทผ่ี ๎ูถูกใช๎ ผ๎ูกระทาตามโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปกระทาความผิด
หรือตัวการในความผิด จะต๎องรับผิดทางอาญามีกาหนดโทษสูงข้ึนเพราะทางอาศัยผลท่ีเกิดกาหนด
สูงขึน้ นั้นด๎วย เชํน ก. ใชใ๎ ห๎ ข. ไปตอํ ย ค. ล๎มลงไปศีรษะฟาดพ้ืนเส๎นโลหิตในสมองแตกถึงแกํความ
ตาย ข.มีความผิดฐานฆํา ค. ตายโดยไมํเจตนา ก. มีความผิดฐานเป็นผ๎ูใช๎ให๎ ข. ฆํา ค.ตายโดยเจตนา
ดว๎ ย ซง่ึ มโี ทษสูงกวําทาร๎ายรํางกาย

แตํถ๎าโดยลักษณะของความผิด ผ๎ูกระทาความผิดทางอาญามีกาหนดโทษสูงขึ้น
เฉพาะ เม่ือผ๎ูกระทาต๎องรู๎หรืออาจเล็งเห็นได๎วําจะเกิดผลเชํนนั้นขึ้นผ๎ูใช๎ให๎กระทาความผิดจะต๎องรับ
โทษหรือประกาศแกํบุคคลที่กาหนดให๎กระทาความผิด หรือผ๎ูสนับสนุนการกระทาความผิดจะต๎องรับ
ผิดทางอาญาตามความผิดที่กาหนดโทษสูงขึ้นก็เฉพาะเม่ือตนได๎รู๎หรืออาจเล็งเห็นได๎วําจะเกิดผลเชํ นท่ี
เกดิ ขน้ึ นนั้ เชํน ก. ใช๎ให๎ ข. ไปฆํา ค. ซึง่ เปน็ เจา๎ พนกั งานโดยท่ี ก. ไมํร๎วู ํา ค. เป็นเจ๎าพนักงานผู๎ซึ่ง
กระทาตามหนา๎ ที่

208 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

2. กรณที ่ีผใู้ ช้ ผู้โฆษณาหรอื ผู้ประกาศ หรือผู้สนับสนุนขัดขวางไม่ให้กระทาเป็นผลสาเร็จ
ได๎กลําวมาแล๎วในเร่ืองพยายามกระทาความผิดวํา เมื่อได๎มีการลงมือกระทาความผิดแตํยังไมํเป็น
ผลสาเร็จ ถือวําอยูํในข้ันพยายามกระทาความผิด ผู๎กระทาต๎องรับโทษสองในสามสํวนของโทษท่ี
กฎหมายกาหนดไว๎สาหรับความผิดน้ัน กรณีผู๎ใช๎ ผู๎โฆษณาหรือประกาศ เม่ือผู๎ถูกใช๎หรือบุคคลที่
กระทาความผิดตามโฆษณาหรือประกาศทาความผิดข้ันพยายามรับโทษสองในสามผู๎ใช๎ ผู๎โฆษณาหรือ
ประกาศจะตอ๎ งรับโทษ 2 ใน 3 ของโทษ สาหรบั ความผิดน้ันเชํนเดียวกับผ๎ูลงมือกระทาความผิดน้ัน
และผู๎ท่ีสนับสนุนก็จะต๎องรับโทษ 2 ใน 3 ของ 2 ใน 3 ของความผิดที่ได๎สนับสนุนให๎กระทา
ความผิด หากในระหวํางที่ลงมือกระทาความผิดกันยังไมํถึงข้ันเป็นผลสาเร็จ ผ๎ูใช๎ ผ๎ูโฆษณา หรือ
ผส๎ู นบั สนนุ ไดเ๎ ข๎าขัดขวางผก๎ู ระทาได๎กระทาไปไมํตลอดหรือกระทาไปโดยตลอดแล๎วแตํการกระทาน้ันไมํ
บรรลผุ ล ผูใ๎ ช๎ ผ๎ูโฆษณา หรือผูส๎ นับสนุนจะต๎องรบั โทษอยาํ งไร คงเป็นไปตามทไี่ ดบ๎ ญั ญัติไว๎ในมาตรา
88 ซงึ่ ประกอบดว๎ ยหลักเกณฑ์ดังตอํ ไปนี้

ก. ความผิดทใ่ี ช๎ โฆษณา หรอื สนบั สนุนให๎กระทา ไดล๎ งมือกระทาแตํยังไมํเป็นผลสาเรจ็
ข. ผใ๎ู ช๎ ผู๎โฆษณาหรือประกาศ หรืแอผ๎ูสนบั สนุนขดั ขวาง
ค. การขัดขวางเป็นเหตุให๎ผ๎ูการะทาได๎กระทาไปไมํตลอดหรือกระทาไปตลอดแล๎วแตํการ
กระทานนั้ ไมบํ รรลุผล

เม่ือเข้าหลกั เกณฑ์ท้ัง 3 ประการแล้ว โทษของผู้ขดั ขวางมีดังนี้
1. ผ๎ขู ัดขวางเปน็ ผใ๎ู ช๎ ผโ๎ู ฆษณาหรือประกาศ จะต๎องรบั โทษสาหรับความผิดท่ีผ๎ูถูกใช๎ผ๎ูกระทา
ผิดตามโฆษณาหรือประกาศได๎กระทาถึงข้ันลงมือกระทาความผิดเพียงหน่ึงในสามของโ ทษท่ีกาหนดไว๎
สารบั ความผดิ ทใ่ี ช๎ และก่ึงของโทษทกี่ าหนดไว๎สาหรบั ความผิดทโี่ ฆษณาหรอื ประกาศ
2. ผ๎ูขัดขวางเปน็ ผู๎สนบั สนนุ ผู๎สนับสนนุ ไมตํ อ๎ งรบั โทษ

สว่ นที่ 6
เหตุเกยี่ วกบั ตัวบคุ คลและกระทาความผิด
เหตุเกี่ยวกับตัวบุคคลและกระทาความผิดมีบัญญัติอยํูในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 89
วาํ “ถา๎ มเี หตสุ วํ นตวั อนั สมควรยกเวน๎ โทษ ลดโทษ หรือเพ่มิ โทษแกํผก๎ู ระทาความผิดคนใด จะนาเหตุ
นั้นไปใช๎แกํผ๎ูกระทาความผิดคนอื่นในการกระทาความผิดนั้นด๎วยไมํได๎ แตํถ๎าเหตุอันควรยกเว๎นโทษ
ลดโทษ หรอื เพิม่ โทษเป็นเหตใุ นลักษณะคดี จึงใหใ๎ ช๎แกผํ ๎ูกระทาความผดิ ในการกระทาความผิดน้ันด๎วย
ทุกคน”

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 209

การใช๎มาตรา 89 น้ี6 จะต๎องมาภายหลังหลักทั่วไปในเร่ืองความรับผิดชอบของตัวการหรือ
ผู๎สนับสนุน กลําวคือต๎องเป็นการกระทา หรือใช๎ หรือสนับสนุนท่ีต๎องรับผิดตามหลักทั่วไปในมาตรา
83 ถงึ มาตรา 88 กอํ นแลว๎ สาหรบั เหตเุ กีย่ วกบั บุคคลผกู๎ ระทาความผดิ นนั้ มี 2 ประการ คอื

ก. เหตุสํวนตวั
ข. เหตลุ กั ษณะคดี

ก. เหตสุ ว่ นตวั หมายความวาํ ถึงเหตุข๎อเท็จจริงที่เกี่ยวข๎องเฉพาะตัวของผู๎กระทาความผิดแตํ
ละคน อันมีผลท่ีเป็นการยกเว๎นโทษ ลดโทษ หรือเพ่ิมโทษ แกํผ๎ูกระทาความผิดของแตํละคนนั้น
และคาวําผ๎ูกระทาความผิดแตํละคนนั้นยํอมหมายความวําถึงตัวการผู๎รํวมกระทา ผ๎ูใช๎ให๎กระทา
ความผดิ หรอื ผู๎สนับสนุน เชนํ ความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์ ภริยารํวมกับคนอ่ืนหรือคนอื่นรํวมกับภริยาลัก
ทรัพย์ของสามี คนอื่นมีความผิดและต๎องรับโทษ แตํภรรยาได๎รับยกเว๎นโทษเพราะการท่ีสามีภริยาได๎
ลักทรพั ยก์ ันเอง มาตรา 71 ถือวํามีความผิดแตํได๎รับยกเว๎นโทษเนื่องจากเป็นความสัมพันธ์เฉพาะตัว
ของผ๎กู ระทาความผิดแตํละคน คาวําผ๎ูกระทาความผิดแตํละคนให๎หมายถึงผ๎ูกระทาด๎วย ตามตัวอยําง
คนอื่นน้ันไมํไดร๎ ับประโยชน์จากมาตรา 71 ดว๎ ยเพราะเปน็ เหตสุ ํวนตวั

เหตสุ ว่ นตวั นีม้ ผี ลเปน็ ดงั นี้
1. ยกเว้นโทษ คือเหตุที่ทาให๎ไมํต๎องรับโทษ เชํน สามีภริยาลักทรัพย์ซึ่งกันและกันตาม
มาตรา 71 สามภี รยิ าไมตํ ๎องรบั โทษ ถ๎ามีผรู๎ วํ มกระทาหรอื สนบั สนุน บุคคลเหลํานยี้ อํ มมีความผิดและ
รับโทษ เพราะบุคคลเหลํานี้มิได๎มีความสัมพันธ์เฉพาะตัวกับผ๎ูกระทาความผิด ในเรื่องความสัมพันธ์
เฉพาะตวั ของถือเปน็ เหตุสํวนตวั สามภี รยิ าจึงได๎รบั การยกเว๎นโทษ

2. เหตุอันควรลดโทษ หมายความวําผ๎ูกระทาความผิดน้ันต๎องบรับโทษแตํได๎รับการลดโทษ
เพราะเหตุแหํงขอ๎ เทจ็ จรงิ ของผ๎ูกระทาความผดิ แตลํ ะคน เชํน การลดมาตราสํวนโทษตามมาตรา 75 ,
76 เหตุบันดาลโทสะตามมาตรา 72 เหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 รวมทั้งการสาคัญผิดใน
ขอ๎ เท็จจริงของผก๎ู ระทาความผิดบางคนกถ็ ือเป็นเหตสุ วํ นตวั ของบุคคลนนั้

3. เหตุอันควรเพ่ิมโทษ ให๎หมายถึงความสัมพันธ์ระหวํางบุคคลท่ีจะต๎องรับโทษหนัก เชํน
การฆําบุบพการีของตนตามมาตรา 289(1) สํวนคนอ่ืนท่ีรํวมกระทาความผิดหรือสนับสนุนนั้นมี
ความผิดตามมาตรา 288 เหตอุ นั ควรเพ่มิ โทษโดยตรงกค็ อื การกระทาความผิดอีกซึ่งเป็นเหตุเพ่ิมโทษ
ตามมาตรา 92 , 93

ข. เหตุลักษณะคดีความ ถึงข๎อเทจ็ จริงอืน่ ๆ ในคดไี มํใชํข๎อเท็จจริงหรือความสัมพันธ์เฉพาะตัว
ของผ๎ูกระทาความผิดแตํละคนซ่ึงเรียกวําเหตุสํวนตัวดังน้ันเหตุข๎อเท็จจริงใดๆ ในคดีถือวําเป็นเหตุใน

6 หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคท่ัวไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515). หน๎า
101.

210 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ลักษณะคดี เชํน การกระทาของจาเลยไมํเป็นความผิด หรือฟูองโจทก์ถูกต๎องตามกฎหมาย หรือ
พยานหลกั ฐานไมํพอฟงั ลงโทษได๎

นอกจากน้ีก็มีเหตุในลักษณะคดีที่กฎหมายบัญญัติไว๎อีก เชํน การกระทาเป็นเพียงพยายาม
กระทาความผิดมาตรา 80 , 81 การยบั ยงั้ เสียงเองตามมาตรา 82 การทาแท๎งลูกตามมาตรา 304

กรณีเหตุในลักษณะคดีน้ีเป็นผลให๎ผู๎กระทาผิด หรือผู๎รํวมกระทาหรือผู๎สนับสนุนยํอมได๎รับ
ยกเวน๎ โทษ ลดโทษ หรอื เพิ่มโทษดว๎ ยกนั ทุกคน

ตังอยา่ งคาพพิ ากษาเกยี่ วกับมาตรา 89
คาพิพากษาฎีกาที่ 163/2519 ปล๎นทรัพย์โดยมีหรือใช๎อาวุธปืนตาม ป.อ.มาตรา 340 ตรี
ลงโทษหนักข้ึนเฉพาะตงั ผู๎มีหรือใช๎อาวุธปืนเทําน้ัน ผู๎อ่ืนที่รํวมปล๎นไมํต๎องรับโทษด๎วย ศาลลงโทษตาม
มาตรา 340 วรรค 2

คาพิพากษาฎีกาที่ 350/2519 จาเลยกับพวกอีก 1 คนชิงทรัพย์พวกของจาเลยถือปืนยิง
จาเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 339 วรรค 2 ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันท่ี 21
พฤศจิกายน 2514 ไมํผิดมาตรา 340 ประกาศคณะปฏิวัติฉบับท่ี 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน
2514 ขอ๎ 15 ไมผํ ดิ มาตรา 340 ประกาศคณะปฏวิ ัติ ขอ๎ 15

คาพิพากษาฎีกาท่ี1824/2520 ผู๎ท่ีมีอาวุธเป็นตัวรับโทษหนักข้ึนตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 340 ตรี ตอ๎ งแปลความโดยเครงครดั เฉพาะตัวผู๎กระทาทมี่ ีปนื เทาํ นั้น

คาพพิ ากษาฎกี าที่ 2652/2520 มาตรา 340 ตรี ลงโทษผู๎กระทาผิดตามมาตรา 339, 339
ทวี 340 , 340ทวิ หนักขึ้นต๎องตีความโดยเครํงคัด จึงหมายความเฉพาะตังผ๎ูกระทา ไมํเป็นเหตุใน
ลกั ษณะคดี

คาพิพากษาฎีกาท่ี 2277/2521 คนร๎ายปลํอยตัวผู๎ถูกเอาตัวไปเรียกคําไถํตามมาตรา 316
แม๎คนร๎ายพวกของจาเลยเปน็ ผู๎จดั ให๎ไดเ๎ สรภี าพ ไมใํ ชจํ าเลยเป็นผจู๎ ดั เหตลุ ดโทษเปน็ ลกั ษณะคดี จาเลย
ได๎รบั การลดโทษด๎วย

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 211

คาถามท้ายบท

1. จงอธบิ ายหลักเกณฑ์ของการเป็นตวั การ ผใ๎ู ชแ๎ ละผู๎สนบั สนนุ เปน็ ประการใด
2. นาย ก. และนาย ข. ชิงทรัพย์นาย ค. ได๎แล๎ว จึงขึ้นรถสามล๎อเคร่ืองของนาย ง. ซึ่งติดเครื่องรออยูํ
หนีไป ดังนี้ตามกรณีข๎อเท็จจริงดังกลําวนาย ก. นาย ข. และนาย ง. ถือเป็นตัวการตามมาตรา 83
หรอื ไมํ อยาํ งไร
3. จงอธิบายวิธีการกํอให๎ผอู๎ นื่ กระทาความผิด พร๎อมยกตัวอยํางมา 1 ตัวอยําง
4. นางพะนอแง๎มหน๎าตํางเพื่อให๎คนเข๎ามาลักทรัพย์ นายโทนดึงบานหน๎าตํางเปิดออกเพื่อลักทรัพย์ แม๎
นายโทนจะไมํร๎ูถงึ การใหค๎ วามสะดวกของนางพะนอก็ตาม การกระทาของนางพนอถือเป็นการสนับสนุน
การกระทาความผดิ ฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 86 หรอื ไมํอยาํ งไร จงอธิบาย
5. นายชมวําจ๎างนายชิดให๎ไปฆํานายใส นายชิตตกลงทาตาม แตํกํอนที่จะไปฆํา นายชิตเกิดปุวย
กะทนั หนั นายชิตจงึ ไปวําจา๎ งนายช่ืนใหไ๎ ปฆาํ นายใสแทนตน เม่ือนายชืน่ จ๎องเล็งปืนจะยิงนายใส นายชม
เกิดสานึกผิดจึงว่ิงเข๎ามายังที่เกิดเหตุและปัดปืนออก ทาให๎ปืนตกลงไปในน้า ตามกรณีข๎อเท็จจริง
ดังกลาํ วจงวนิ จิ ฉยั วาํ นายชิตและนายชมตอ๎ งรบั ผดิ ฐานใดหรอื ไมํ อยํางไร

212 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

อ้างองิ ประจาบท

จิตติ ติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรง
พมิ พ์แสงทองการพิมพ์, 2513). หนา๎ 153

ดร.อุทิศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ
กรมอยั การ, 2525). หนา๎ 143.

สุปัน พูลพัฒน์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แสวงสุทธิการพิมพ์,
2515), หนา๎ 443.

หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคท่ัวไป, (กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2515). หนา๎ 89.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 213

บทท่ี ๑๑
การกระทาความผดิ หลายบทหรอื หลายกระทงและการกระทาผดิ อีก

วัตถปุ ระสงค์การเรยี นประจาบท

1. เพื่อให๎นิสิตได๎ศึกษาและวิเคราะห์ถึงลักษณะของการกระทําความผิดหลายบทหรือหลาย
กระทงได๎

2. เพื่อให๎นิสิตได๎ศึกษาและวิเคราะห์ถึงโทษของการกระทําความผิดหลายบทหรือหลาย
กระทงได๎

3. เพือ่ ใหน๎ ิสิตได๎ศกึ ษาและวเิ คราะห์ถึงลกั ษณะของการกระทําความผดิ อกี ได๎
4. เพอื่ ให๎นิสิตได๎ศกึ ษาและวเิ คราะห์ถึงโทษของการกระทาํ ความผิดอีกได๎

ขอบข่ายเน้ือหา

1. การกระทาํ ความผิดหลายบทหรอื หลายกระทงความผิด
2. โทษของการกระทาํ ความผดิ หลายบทหรือหลายกระทง
3. การกระทําความผดิ อีก
4. โทษของการกระทาํ ความผิดอกี

วิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาบท
1. การบรรยาย
2. การศึกษาเอกสารประกอบการสอน
3. ทําแบบฝกึ หัดท๎ายบท

สอื่ การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. ประมวลกฎหมายอาญา

214 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

การกระทําความผิดหลายบทหรือหลายกระทง มีบัญญัติอยํูหลายประมวลกฎหมาย มาตรา
90 และมาตรา 91 รวม 2 มาตราดว๎ ยกนั

มาตรา 90 บัญญัติวํา “เมื่อกระทําใดอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดตํอกฎหมายหลายบท ให๎
ใชก๎ ฎหมายบททม่ี โี ทษหนักสุดลงโทษแกผํ ๎ูกระทําความผิด”

มาตรา 91 บัญญัติวํา “เมื่อปรากฏวําผ๎ูใดได๎กระทําการอันเป็นความผิดหลายกรรมตํางกัน ให๎
ศาลลงโทษผู๎นั้นเป็นกรรมเป็นกระทงความผิดไป แตํไมํวําจะมีการเพ่ิมโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราสํวน
โทษดว๎ ยหรอื ไมกํ ็ตาม เมอ่ื รวมโทษทกุ กระทงแล๎วโทษจาํ คุกทัง้ สิ้นตอ๎ งไมเํ กนิ กําหนดดงั ตํอไปนี้

(1) สิบปี สําหรับกรณคี วามผิดกระทงท่ีหนกั ท่ีสุดมอี ตั ราโทษจําคกุ อยํางสงู ไมํเกนิ สามปี
(2) ยี่สิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจําคุกอยํางสูงเกินสามปี แตํไมํ

เกนิ สิบปี
(3) ห๎าสบิ ปี สําหรบั กรณคี วามผิดกระทงหนักทีส่ ดุ มอี ตั ราโทษจําคกุ อยํางสูงเกินสิบปีข้ึนไป เว๎น

แตกํ รณที ศ่ี าลลงโทษจําคุกตลอดชวี ติ
จากบทบญั ญัตทิ ัง้ 2 มาตรานี้ แยกพิจารณาได๎ 2 ประการ คอื
1. การกระทําความผดิ หลายบท
2. การกระทาํ ความผิดหลายกระทง

ส่วนท่ี 1
การกระทาความผดิ หลายบท

การกระทาความผิดหลายบท หมายถึง กรณีท่ีผู๎กระทําความผิดได๎กระทําลงเพียงครั้งเดียว
หรือหลายคร้ังอันตํอเน่ืองเป็นชุดเดียวกัน แตํการกระทํานั้นเป็นความผิดหลายบท ซ่ึงเรียกวําเป็นการ
กระทํากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

การกระทาอันเป็นกรรมเดียวน้นั อาจเกิดขน้ึ ในลกั ษณะตอ่ ไปนี้
ก. การกระทาความผดิ กรรมเดยี วซ่ึงผิดกฎหมายบทเดียว ได้แก่

1. การกระทําในทางธรรมชาติอันเดียวซ่ึงเกิดผลอยํางเดียวและเข๎าข๎อห๎ามของ
กฎหมายบทเดียว เชํน สวงใช๎ปืนยิงแสวงถึงแกํความตาย สวงมีความผิดฐานฆําแสวงตายตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 288 การกระทําของสวงเป็นการกระทําครั้งเดยี วและผิดกฎหมายบทเดียว

2. การกระทําในธรรมชาติหลายการกระทํา แตํกฎหมายถือวําเป็นกรรมเดียวและเข๎า
ขอ๎ ห๎ามของกฎหมายบทเดยี ว ได๎แกํ

การกระทาํ หลายครง้ั แตํตํอเนอื่ งเป็นชดุ เดยี วกนั เชํน
2.1 เดอ๋ และดอนนง่ั จักรยานยนตซ์ ๎อนท๎ายกัน เดํนใช๎ปืนยิง 2-3 นัด ติดๆกัน กํอน

เด๋อและดอน หรือใช๎ปืนยิงหลายนัดถูกหลายคนในคราวเดยี วกนั
2.2 ก. วางยาพิษให๎ ข. กนิ วนั ละเล็กละนอ๎ ยจนครบ 15 วัน ข. จงึ ตาย

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 215

2.3 หลํอขํมขนื กระทาํ ชาํ เรา น.ส.สวยหลายคร้งั
2.4 คนรา๎ ยเข๎าไปในหอ๎ งและกระทาํ การลกั ทรพั ย์คราวเดียวกันซ่ึงเป็นทรัพย์หลาย

ช้นิ ของหลายเจา๎ ของ
2.5 คนร๎าย 7 คน เขาปล๎นทรัพย์ 5 ราย ซึ่งอยูํบ๎านใกล๎เคียงกันโดยแยกย๎ายกัน

เข๎าปล๎นในเวลาเดียวกัน แม๎คนร๎ายจะแยกทําการแตํละบ๎านไมํถึง 3 คน ก็ถือ
วาํ เปน็ ความผดิ ฐานปล๎นทรพั ย์
2.6 รับของโจรทรัพย์ของบุคคลหลายคนซ่ึงถูกลักมาหลายคราวตํางกันแตํรับไว๎
คราวเดยี วกัน
2.7 เบิกความเท็จหลายตอนในคดีเดียวกันการกระทําความผิดตามข๎อ 2.1-2.7
เป็นการกระทําหลายคร้ังแตํตํอเน่ืองเป็นชุดเดียวกัน จึงถือเป็นกรรมเดียวผิด
กฎหมายบทเดยี ว

ข. การกระทาสองอนั ซึ่งถือวา่ เปน็ กรรมเดยี วกนั และผดิ กฎหมายหลายบท
1. การกระทําสองอนั ซึ่งถือเปน็ กรรมเดียว เพราะกระทาํ อนั หนึง่ เปูนความผิดสําเร็จตัวเอง

อยแํู ลว๎ แตํไดก๎ ระทาํ ไปโดยมํุงหมายทจ่ี ะกระทาํ ความผิดอีกฐานหนึ่ง เชํน ก.ใช๎มีดกรีดกระเป๋าถือของ ข.
ซึ่งสะพายอยูํเพ่ือลักเอากระเป๋าในธนบัตร ซึ่งอยูํในกระเป๋าถือนั้นอีกทีหน่ึง การท่ี ก. ใช๎มีดกรีดกระเป๋า
ถอื เปน็ ความผดิ ฐานทําให๎เสียทรพั ย์สําเรจ็ ในตัวเองอยูแํ ลว๎ แตํความมํงุ หมายทีแ่ ทจ๎ รงิ ของ ก. ในการกรีด
กระเป๋าถอื ของ ข. ก็เพื่อลักกระเปา๋ ใสํธนบัตรซึ่งอยํูในกระเป๋าถือน้นั จึงถอื เปน็ กรรมเดยี ว

- บกุ รกุ เข๎าไปลกั ทรัพย์ในบา๎ นเขา
- บกุ รกุ เข๎าไปขํมขืนกระทําชาํ เราหญิงในบ๎านนั้น
- บุกรกุ เข๎าไปทํารา๎ ยเขาในบา๎ น
- บกุ รกุ เข๎าไปทําลายทรัพยข์ องเขาในบ๎าน
การบุกรกุ เป็นความผิดสําเร็จในตวั เองอยํูแล๎ว แตํความมํุงหมายของผ๎ูบุกรุกที่แท๎จริงก็เพื่อ
เข๎าไปลักทรัพย์ ขํมขืนกระทําชําเราหญิง ทําร๎าย หรือทําให๎เสียทรัพย์ จึงถือวําเป็นการบุกรุกและ
ความผดิ ตามทมี่ งุํ หมายเป็นกรรมเดียวกนั

มเี ฮโรอนี ไวใ๎ นครอบครองเพอ่ื จําหนํายและพยายามสํงเฮโรอีนจํานวนเดียวกันนั้นออกนอก
ราชอาณาจกั ร การมีเฮโรอีนไว๎ในครอบครองเพ่ือจําหนํายเป็นความผิดสําเร็จในตัวเองอยํูแล๎ว แตํความ
มงํุ หมายท่แี ท๎จริงก็เพ่ือสํงเฮโรอนี จํานวนเดียวกันน้ันออกนอกราชอาณาจักรซ่ึงเป็นความผิดอีกฐานหน่ึง
จึงถือวําการมีเฮโรอีนไว๎ในครอบครองเพ่ือจําหนํายและพยายามสงเฮโรอีนจํานวนเดียวกันนั้นออกไป
นอกราชอาณาจกั รเปน็ กรรมเดียวกนั

216 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

2. การกระทําสองอันซ่ึงถือเป็นกรรมเดียวกัน เพราะกฎหมายบัญญัติรวมเป็นความผิด
ฐานเดียวกันและผิดกฎหมายบทเดียว เชํน ความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
339 ต๎องประกอบด๎วยการกระทํา 2 อยําง คือ

1) การลกั ทรัพย์
2) ใช๎กําลังประทุษร๎ายหรือขํูเข็ญวําในทันใดน้ันจะใช๎กําลังประทุษร๎าย เชํน ดําลัก
ทรพั ยข์ องขาว ขาวมาพบจงึ เขา๎ ขดั ขวาง ดําจงึ ใช๎มีดแทงขาวถึงแกํความตาย และดําได๎นําทรัพย์ของขาว
ไป เชนํ น้ีการกระทาํ ของดําอันแรกคือการลักทรัพย์นั้นเป็นความผิดในตัวเองอยูํแล๎ว สํวนการกระทําอัน
ที่สองคือใช๎มีดแทงขาวเป็นการใช๎กําลังประทุษร๎าย ก็เป็นความผิดอีกฐานหนึ่งแตํกฎหมายบัญญัติรวม
เป็นความผิดฐานเดียวกันคือชิงทรัพย์เป็นเหตุในความตาย ซึ่งถือวําเป็นการลักทรัพย์และใช๎กําลัง
ประทษุ รา๎ ยเป็นกรรมเดยี วกัน

ค. การกระทาครั้งเดียวซึ่งการกระทาน้ันผิดกฎหมายหลายบท1 หมายถึง การกระทําอัน
เปน็ กรรมเดียวผดิ กฎหมายหลายบท ไดแ๎ กํการกระทําอันมลี กั ษณะดงั นี้

1. แดงใช๎ปืนยิงไปท่ีดํา ลูกปืนถูกดําตายแล๎วเลยไปถูกเขียวบาดเจ็บด๎วย การกระทําของ
แดงกระทําคร้ังเดียวถือเป็นกรรมเดียวแตํผิดกฎหมายหลายบท คือ มีความผิดฐานฆําดําตาย ป.อ.
มาตรา 288 บทหนงึ่ และพยายามฆาํ เขยี วตามมาตรา 288, 80, 60 อีกบทหนึง่

2. แดงเห็นดํายืนอยูํหลังประตูกระจก แดงใช๎ปืนยิงไปท่ีประตูกระจก ลูกปืนถูกกระจก
กระจกแตกและทะลุไปถึงดําถึงแกํความตาย การกระทําของแดงกระทําครั้งเดียวถือเป็นกรรมเดียวแตํ
ผิดกฎหมายหลายบท คือทําให๎เสียทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 358 บทหน่ึง และฆําดําตายตาม ป.อ.
มาตรา 288 อกี บทหนึ่ง

3. จําเลยตํอส๎ูพนักงานโดยใช๎กําลังทําร๎ายเจ๎าพนักงาน เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลาย
บท คือตํอส๎ูขัดขวางเจ๎าพนักงานตามมาตรา 138 บทหน่ึง และทําร๎ายเจ๎าพนักงานซึ่งกระทําการตาม
หน๎าท่ตี ามมาตรา 296 อีกบทหนง่ึ

4. จําเลยแยํงของกลางจากตํารวจไปทําลาย เพ่ือชํวยพักพวกท่ีถูกตํารวจจับเป็นกรรม
เดียวผดิ กฎหมายหลายบท คือฐานตํอสู๎ขัดขวางเจ๎าพนักงานตาม ป.อ. มาตรา 138 บทหน่ึง ฐานเอาไป
ซ่ึงทรพั ยท์ เ่ี จ๎าพนกั งานยดึ ไว๎ตาม ป.อ. มาตรา 184 อีกบทหนง่ึ

5. จําเลยประมาทขับรถเร็วผิดทางชนคนตายและบาดเจ็บสาหัส เป็นกรรมเดียวผิด
กฎหมายหลายบท คือผิดพระราชบัญญตั ิจราจรทางบกบทหน่ึง ฐานทําให๎คนตายโดยประมาทตาม ป.อ.
อาญา มาตรา 291 บทหนง่ึ และฐานทาํ ใหผ๎ ๎อู ่ืนรับอันตรายสาหัสโดยประมาทตาม ป.อ.มาตรา 300 อีก
บทหน่งึ

1 ดร.อทุ ิศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศนู ย์บริการเอกสารและวชิ าการ กองวิชาการ กรมอัยการ, 2525),
หน๎า 221.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 217

6. ย่ืนต๋ัวแลกเงินเพื่อเดินทาง ขอรับเงินแล๎วลงช่ือปลอมเป็นช่ือคนในต๋ัวจนได๎รับเงินไป
เป็นการใช๎เอกสารปลอมทําการฉ๎อโกง ถือเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท คือ ฐานปลอมตั๋วเงิน
ตามมาตรา 266 (4) บทหน่ึง ใช๎ตั๋วเงินปลอมตามมาตรา 268, 266 บทหน่ึง และฐาน
ฉ๎อโกงตามมาตรา 342 (1) อีกบทหนึ่ง

ง. ความผิดซึ่งกระทาต่อเน่ืองกันเร่ือยไป ถือเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เชํน
ความผิดฐานมีปืนไมํจดทะเบียนไว๎ในครอบครองโดยไมํได๎รับอนุญาต แม๎จะมีไว๎ในครอบครองโดยไม๎
ไดร๎ บั อนุญาตทกุ วันตลอดมาก็ถอื เป็นกรรมเดียว

จ. ความผิดเก่ียวกับทรัพย์นั้น เม่ือได๎กระทําความผิดกรรมหนึ่งแกํทรัพย์น้ันแม๎จะมีการ
กระทาํ เก่ียวแกทํ รพั ย์น้ันอีก กฎหมายก็ถอื วําเปน็ กรรมเดียว เชนํ

1. ลักทรัพย์ไปแลว๎ ทําลายทรพั ย์น้นั ภายหลงั ยอ๎ มไมํเปน็ ความผดิ ฐานทาํ ใหเ๎ สียทรพั ย์อีก
2. ยงิ กระบือตายแลว๎ ชําแหละเอาเนอ้ื ไป เปน็ ลกั ทรพั ยก์ ระทงเดียวไมํผิดฐานยักยอกออกอีก
3. ได๎ทรัพย์ไปโดยการระทําผิดฐานลักทรัพย์แล๎ว แม๎จะกระทํากับทรัพย์น้ันตํอไปอีกก็ไมํเป็น
รับของโจร

ฉ. การกระทาบางอย่างแม้จะมีลักษณะแตกต่างกัน แต่กฎหมายจัดไว้เป็นความผิดในบท
มาตราเดียวกัน ถอื เปน็ กรรมเดียวกนั คอื

1. ตดั ไมห๎ วงห๎ามแล๎วทําการชักลาก แม๎การตัดไม๎กับการชักลากจะเป็นการกระทําตํางลักษณะ
กัน ถอื เปน็ กรรมเดียวเพราะผิด พ.ร.บ.ปุาไม๎ พ.ศ.2484 มาตรา 11 บทเดียวกัน

2. มีน้ําหมักสําและแปูงเช้ือ ถือเป็นความผิดกรรมเดียวกันเพราะเป็นความผิดอยูํในบท
เดียวกนั

3. มีสุราแชํละสุรากลั่นถูกจับได๎คราวเดียวกัน ถือเป็นกรรมเดียวเพราะผิดกฎหมายบท
เดียวกัน

4. มีปืนและลูกระเบดิ ในคราวเดยี วกนั ถอื เป็นกรรมเดียวกันเพราะผิดกฎหมายบทเดียวกัน

ช. การกระทากรรมเดียวซ่ึงเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่กฎหมายถือว่าเกลื่อน
กลนื เปน็ บทเดยี ว ได๎แกํ

1) ความผิดสําเร็จเกลื่อนกลืนการพยายามและการตระเตรียม การเร่ิมต๎นของ
ความผิดอาญาน้ัน เร่ิมแตํลงมือกระทําความผิด กลําวคือ ผํานขั้นตระเตรียมไปแล๎ว โดยปกติขั้น
ตระเตรียมการยังไมํเป็นความผิด เว๎นแตํบางกรณีท่ีกฎหมายบัญญัติในข้ันตระเตรียมการเป็นความผิด
เชํน ตระเตรียมวางเพลิงเผาทรพั ยต์ าม ป.อ.มาตรา 219

218 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ตัวอย่าง ก. ตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ของ ข. เป็นความผิดฐานตระเตรียมตาม
มาตรา 219

ก. ลงมอื เผาทรัพยข์ อง ข. แตไํ มํไหม๎ เป็นพยายามวางเพลงิ ตามมาตรา 217 , 80
ก. เผาทรพั ย์ของ ข. จนมอดไหม๎ เปน็ ความผิดฐานวางเพลิงสาํ เร็จตามมาตรา 217
เมื่อ ก. วางเพลิงเผาทรัพย์ของ ข. สําเร็จ เป็นความผิดตามมาตรา 217 จึงเกล่ือน
กลืนการตระเตรียมและพยายามตาม ป.อ.มาตรา 219 และ 217, 80 คงรับผิดตามมาตรา 217 บท
เดียว

2) ความผดิ ฐานเปน็ ตวั การตามมาตรา 83 เกลือ่ นกลืนการใช๎ตามมาตรา 84 และการ
สนับสนนุ ตามมาตรา 86 เชํน ก. ใช๎ให๎ ข. ไปฆํา ค. ขณะท่ี ข. กําลังใช๎ค๎อนทุบศีรษะ ค. ก. เข๎ารํวมโดย
ชวํ ยจับ ค. ไว๎ไมํให๎ด้ินเพื่อ ข. ทุบศีรษะ ค. ไมํสะดวก ก. เป็นตัวการในการฆํา ค. ตาม ป.อ.มาตรา 83
ก. ไมผํ ิดฐานเป็นผ๎ูใช๎ตามมาตรา 84 อีก เพราะความผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83 เกล่ือนกลืนการ
ใช๎ตามมาตรา 84 ไปแลว๎

3) ความผิดบทฉกรรจ์เกลื่อนกลืนความผิดบทธรรมดา เม่ือการกระทําเป็นความผิด
ตามบทฉกรรจ์แล๎ว จะไมํผิดตามบทธรรมดาอีก เชํน ก. ใช๎ปืนยิง ข. บิดาของตนถึงแกํความตาย ก. มี
ความผดิ ฐานฆาํ บุพการีตามมาตรา 289 (1) บทเดียว ก. ไมํมีความผิดฐานฆําคนธรรมดาตายตามมาตรา
288 อกี

นาย ก. เข๎าไปลักทรัพย์ในบ๎านนาย ข. นาย ก. มีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน
ตามมาตรา 339 (8) บทเดียว ก. ไมมํ ีความผดิ ฐานลักทรพั ยบ์ คุ คลธรรมดาตามมาตรา 3434 อกี

4) ความผิดบทเฉพาะเกล่ือนกลืนความผิดบททั่วไป เม่ือการกระทําเป็นความผิดบท
เฉพาะแล๎วจะไมํผดิ ตามบททั่วไปอีก เชํน ก. เป็นเจ๎าพนักงานมีหน๎าท่ีจัดซื้อพัสดุ ก. ได๎เบียดบังเอาพัสดุ
ที่ตนจัดซื้อเป็นประโยชน์ของตน ก. มีความผิดตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล๎ว ก. ไมํมีความผิด
ฐานเจ๎าพนักงานทุจรติ ตํอหน๎าทต่ี ามมาตรา 157 อีก

5) ความผิดใหมํเกลื่อนกลืนความผิดฐานเดิมซึ่งผสมกับการกระทําอีกบางอยําง การ
กระทําหลายอันแตํละอันมีความผดิ ไดใ๎ นตัวเอง แตํกฎหมายบัญญัติรวมเป็นความผิดฐานเดียวกัน ถือวํา
เป็นความผิดบทเดียว เชํน ความผิดฐานเชิงทรัพย์ซึ่งประกอบด๎วยการกระทํา 2 ประการ คือ การลัก
ทรัพย์ประการหน่ึง และการใช๎กําลังประทุษร๎ายอีกประการหนึ่ง แตํกฎหมายบัญญัติรวมเป็นความผิด
ฐานชิงทรัพย์ฐานเดียว จึงไมํมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือทําร๎ายรํางกายอีก เพราะความผิดฐานใหมํคือ
ชิงทรัพย์เกลอื่ นกลนื ความผิดเดิมคอื ลกั ทรพั ยแ์ ละทาํ รา๎ ยรํางกายไปแลว๎

ผลของการกระทาความผิดหลายบท
ในกรณกี ารกระทาํ ความผดิ กฎหมายหลายบท ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 บัญญัติให๎ใช๎
กฎหมายที่มีโทษหนักท่ีสุดบทเดียวลงโทษผ๎ูกระทําความผิดซ่ึงหมายความวํา ผ๎ูกระทํายังมีความผิดทุก

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 219

บทท่ีตนกระทําลง เพียงแตํการลงโทษให๎ใช๎บทหนักที่สุดลงโทษ ในการพิจารณาวํากฎหมายบทใดเป็น
บทหนกั ทีส่ ดุ พอสรปุ เปน็ หลกั ไดด๎ งั น้ี

1. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ได๎กําหนดโทษไว๎ 5 สถานตามลําดับ คือ ประหาร
ชวี ิต จาํ คกุ กกั ขงั ปรับ ริบสนิ ทรพั ย์ โทษลาํ ดับแรกยํอมหนักกวาํ โทษลําดบั หลงั

2. ถ๎ากฎหมายกําหนดโทษไว๎ลําดับเดียวกัน ต๎องถืออัตราโทษที่สูงกวําเป็นเกณฑ์ เชํน ถ๎าเป็น
โทษจาํ คุกเหมอื นกนั กพ็ จิ ารณาวําโทษจําคกุ บทไหนสงู กวาํ

3. ถ๎ากฎหมายกาํ หนดโทษไว๎ลําดับเดียวและอัตราโทษข้ันสูงเทํากันต๎องพิจารณาอัตราโทษข้ัน
สูงของโทษลําดบั ถดั ไป เชนํ อัตราโทษจําคุกขน้ั สูงเทาํ กันตอ๎ งพิจารณาวําโทษปรับของบทไหนสูงกวํา

4. ถ๎าอัตราโทษขั้นสูงเทํากัน ต๎องพิจารณาวําโทษข้ันตํ่าของบทไหนสูงกวํา เชํน กระทํา
ความผิดกฎหมาย 2 บท บทแรกมีอัตราโทษจําคุก 6 เดือน ถึง 5 ปี สํวนอีกบทหนึ่งมีอัตราโทษจําคุกไมํ
เกิน 5 ปี โดยมีกําหนดอัตราโทษข้ันตํ่าไว๎ เชํนนี้ฐานต๎องลงโทษผ๎ูกระทําความผิดตามกฎหมายบทแรก
เพราะมีอตั ราโทษขนั้ ตา่ํ ไว๎

5. ในกรณีท่ีการกระทํากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ทุกบทมีโทษเทํากัน ศาลยํอมลงโทษ
ตามบทใดบทหนง่ึ แตํบทเดียว

อนึ่ง ในการนาํ บัญญัตมิ าตรา 90 มาใชบ๎ ังคบั น้ี ให๎ใช๎บังคบั เฉพาะการกระทําความผิดที่ต๎องด๎วย
กฎหมายหลายบทเทาํ กัน

ส่วนท่ี 2
การกระทาความผดิ หลายกระทง
การกระทาความผิดหลายกระทง หมายถึง การกระทําความผิดหลายอัน การกระทําแตํละ
อันแยกจากกันได๎ โดยการกระทําหลายอันน้ันอาจจะกระทําตํางเวลาหรือในเวลาเดียวกันก็ได๎ และจะ
เป็นความผดิ ฐานเดียวกนั หรอื ตํางฐานกันก็ได๎

กรณีการกระทําหลายอันกระทําตํางเวลากัน เชํน ก. ทําร๎าย ข. ในบ๎านแล๎วว่ิงไปทําร๎าย ข.
นอกบ๎านอกี เชนํ น้ีเปน็ การกระทาํ ตาํ งเวลากนั ในความผดิ ฐานเดยี วกัน

กรณีการกระทําหลายอันกระทําในเวลาเดียวกัน เชํน ก. มีฝิ่นกับมีมูลฝ่ินไว๎ในครอบครองใน
เวลาเดียวกัน กฎหมายแยกเป็นคนละความผิดกัน วัตถุของกลางก็เป็นคนละอยํางตํางกัน ถือเป็น
ความผิด 2 กระทง

การกระทาํ ความผดิ หลายกระทงตอ๎ งประกอบดว๎ ยหลักเกณฑ์ดังน้ี คือ
1. เปน็ การกระทาํ หลายอัน
2. แตํละการกระทาํ แยกจากกนั ได๎ทงั้ ในสวํ นเจตนาและสภาพการกระทาํ

220 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

1. เป็นการกระทาหลายอัน ความผิดหลายกระทงนี้จะต๎องเป็นความผิดท่ีมีการกระทําเป็น
สองกรรมหรือมากกวาํ นั้น เชนํ จาํ เลยใชป๎ นื ซ่งึ ไมไํ ดร๎ ับอนญุ าตจากนายทะเบยี นยิงผู๎เสียหาย จําเลยยํอม
มีความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยมิได๎รับอนุญาตและฐานพยายามฆํา 2 กระทง ตํางกัน (คําพิพากษาฎีกาท่ี
711/2513) การกระทําหลายอันน้ีจะกระทําตํางเวลากัน เชํน ก. ลักทรัพย์ ข. ตองเช๎า และตีศีรษะ ค.
ตอนบําย หรือกระทําในเวลาเดียวกัน เชํน ฟูองมีไม๎หวงห๎ามยังมิได๎แปรรูปโดยมิได๎รับอนุญาต เป็นการ
กระทําหลายอันในเวลาเดียวกัน ถือวําเป็นความผิดสองกระทง (คําพิพากษาฎีกาท่ี 1176/2511)จําเลย
หลอกลวงผู๎เยาว์อายุ 16 ปี วําคํูรักมาคอยพบ ผู๎เยาว์หลงเช่ือตามจําเลยไปแล๎วถูกจําเลยขํมขืนกระทํา
ชําเราและหนํวงเหน่ียวกักขัง ดังนี้เป็นการกระทําหลายอันกระทําในขณะเดียวกัน เป็นความผิดหลาย
กระทง (คําพิพากษาฎกี าที่ 200/2508)

2. แต่ละการกระทาแยกจากกันได้ทั้งในส่วนเจตนาและสภาพการกระทา การกระทําผิด
หลายกระทงนี้ เจตนาเป็นเรื่องสําคัญท่ีจะต๎องพิจารณาวําผู๎ทํามีเจตนาให๎การกระทําเหลํานั้นแยกจาก
กันหรือไมํ ซ่ึงผู๎กระทํามีเจตนาให๎แยกจากกันจะกํอให๎เกิดผลเป็นหลายกรรม เพราะผู๎กระทํามีเจตนา
อยํางใดอยาํ งหนึ่งยํอมมงุํ ไปถึงอยํางน้ัน ซ่งึ กวําจะไปถงึ จดุ หมายอาจต๎องผํานการกระทําอันเป็นความผิด
อ่ืนอีกมากมาย ถ๎าการกระทําอันเป็นความผิดอื่นเกิดจากเจตนาเดิมแล๎วยํอมเป็นการกระทํากรรมเดียว
ผดิ กฎหมายหลายบท เชํน บกุ รุกเขา๎ ไปลักทรัพย์ในบ๎านเขา ผ๎ูกระทํามีเจตนามํุงอยํูในการลักทรัพย์ แตํ
การลักทรัพย์ต๎องเข๎าไปในบ๎านของผ๎ูอ่ืน การเข๎าไปในบ๎านของผ๎ูอื่นโดยมิได๎รับอนุญาตยํอมมีความผิด
ฐานบุกรุก แตํการบุกรุกนี้มิได๎เกิดจากผู๎กระทํามีเจตนาข้ึนใหมํ คงเป็นเจตนาเดิมที่จะลักทรัพย์อยํู
นั้นเอง แตํถ๎าการกระทําอันเป็นความผิดอ่ืนเกิดจากผ๎ูกระทํามีเจตนาขึ้นใหมํซ่ึงแสดงถึงเจตนาของ
ผู๎กระทําประสงค์ให๎การกระทําแตํละอันแยกจากกัน จึงถือวําเป็นกรรมใหมํขึ้นอีกกรรมหนึ่งตํางหาก
จึงเป็นความผิดหลายกระทง เชํน นายกวางทองเมาสุราได๎เข๎าไปในชุมชนโดยมีลูกระเบิดไปด๎วย
พ.ร.บ.อาวุธปนื กระทงหนง่ึ พาลกู ระเบิดไปในเมืองผิด ป.อ.มาตรา 371 กระทงหน่ึง เมาสุราผิด ป.อ.
มาตรา 378 และโยนลูกระเบิดพยายามฆํา ป.อ.มาตรา 288, 80 อีกกระทงหน่ึง รวม 4 กระทง
ซง่ึ แตลํ ะการกระทาํ มเี จตนาแยกจากกนั

ฉะนั้น จะเป็นความผิดหลายกระทงได๎จะต๎องประกอบด๎วยหลักเกณฑ์ทั้งสองประการ จึงสรุป
การกระทําทเี่ ปน็ ความผิดหลายกระทงมีได๎ดังนี้2

1. การกระทําหลายกรรมนั้นเป็นการกระทําความผิดตํางฐานกัน และมีเจตนาคนละอันด๎วย
เชนํ ก. ตศี ีรษะ ข. วันน้ี แล๎วลักทรัพย์ ค. ในวันรุํงขึ้น หรืออาจใกล๎ชิดติดตํอกันไป เชํน ก. ทําร๎าย
ข. สลบไป หรือฆํา ข. ตายแล๎วเกิดความผิดข้ึนใหมํคือเห็น ข. มีสร๎อยคอทองคําได๎ลักสร๎อยคอทองคํา
ข. ไปดว๎ ยขณะนัน้ ทั้งการกระทําและเจตนาตาํ งกันทงั้ สองประการเป็นความผดิ 2 กระทง

2 จติ ติ ติงศภัทย์, คาอธบิ ายประมวลกฎหมายอาญา ภาค 1 ตอน 2, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ แสงทองการพิมพ์, 2518),
หน๎า 446.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 221

2. การกระทําหลายกรรมนั้นเป็นการกระทําความผิดตํางฐานกัน แตํความหมายในกากระทํา
อันเดยี วกัน กถ็ อื วําเปน็ เจตนาตํางกนั เชนํ จําเลยปบี คอฉุดหญงิ อายุ 17 ปีจากทางเดินเข๎าไปปุาหําง
1 วา แล๎วขมํ ขืนกระทาํ ชาํ เรา เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 ฐานพาหญิงไป
เพือ่ การอนาจารกระทงหนงึ่ และมาตรา 276 ฐานขมํ ขนื กราํ ทําชาํ เราอีกกระทงหน่ึง (คําพิพากษาฎีกา
ท่ี 1111/2519)

นอกจากนี้ยังรวมถึงเร่ืองที่ผ๎ูกระทําความผิดประสงค์การะทําความผิดอยํางหน่ึงแตํได๎กระทํา
ความผิดอีกอันหน่ึงด๎วยเพื่อบรรลุผลที่เจตนากระทํา เชํน มีปืนเถื่อนเพื่อฆําคนหรือพนักงานเทศบาล
ลักใบเสรจ็ แล๎วลอบไปเกบ็ เงินเปน็ ประโยชน์สวํ นตวั มคี วามผดิ ตามมาตรา 335(11) กระทงหนึ่ง และ
มาตรา 157 อีกกระทงหนงึ่ เปน็ 2 กระทง

3. การกระทําหลายกรรมนั้นเป็นความผิดฐานเดียวกัน แตํผ๎ูกระทํามีเจตนาเป็นคนละอัน
ตํางกัน ดังนี้ถือวําเป็นการกระทําหลายกรรมและหลายเจตนาเป็นการกระทําหลายกรรมตํางกันด๎วย
เชนํ ก. ทําร๎าย ข. นอกบา๎ นแลว๎ วิ่งเขา๎ ไปทาํ รา๎ ย ค. ในบา๎ น หรือขณะท่ี ก. ทําร๎าย ข. ข.เรียกให๎ ง.
ชํวย ก. ได๎ทําร๎าย ง. ที่มาชํวย ข. อีก เป็นการกระทําหลายกรรมแตํเป็นความผิดฐานเดียวกัน โดย
ผ๎ูกระทํามีเจตนาแยกการกระทํานั้นเป็นคนละอัน จึงเป็นความผิดหลายกระทง หรือแดงผ๎ูใหญํบ๎าน
เหลอื งตาํ รวจกับดําราษฎรไปสืบสวนจบั กุมเขียวผรู๎ า๎ ย ขณะท่ีแดงสอบถามเขียวอยํู ขาวตีแดงแล๎วสีดํา
และตีเหลืองด๎วยถือได๎สําการกระทําของขาวเป็นการกระทําหลายอันตํางวาระกันโดยผ๎ูกระทํามีเจตนา
แยกการกระทําแตลํ ะอนั ออกจากกัน จึงเปน็ ความผดิ หลายทาง (คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 1520/1506)

ข้อสังเกต การกระทําคร้ังเดียวคราวเดียว หากผู๎กระทํามีเจตนาหลายเจตนาที่จะให๎เกิด
ผลตํางกรรมกันก็เป็นความผิดหลายทาง และแม๎จะมีเจตนาหลายอยําง แตํประสงค์ให๎เกิดผลเป็น
ความผดิ หลายฐานตํางกันกเ็ ป็นความผิดหลายกระทง (คําพพิ ากษาฎกี าท่ี 398/2502)

ตัวอยา่ งความผดิ หลายกระทง
1. จําเลยหลอกลวงผู๎เยาว์อายุ 16 ปีวําคํูรักมาคอยพบ ผู๎เยาว์เชื่อตามจําเลยไปแล๎วขํมขืน
กระทําชําเราและหนํวงเหนี่ยวกักขงั ดงั นี้เปน็ ความผิดหลายกระทง (คําพพิ ากษาฎกี าที่ 200/2508)
2. จําเลยฉุดครําหญิงไปขํมขืนกระทําชําเรา เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 284 และ 310 กระทงหนง่ึ กบั เป็นความผดิ ตามมาตรา 276 อีกกระทงหนึ่ง (คําพิพากษา
ฎีกาที่ 51/82517)
3. การกระทําคร้ังเดียวคราวเดียว หากผ๎ูกระทํามีเจตนาหลายเจตนาท่ีจะให๎เกดผลตํางกรรม
กัน ก็เป็นความผดิ หลายกระทง และแม๎จะมีเจตนาอยํางเดียวแตํประสงค์ให๎เกิดผลเป็นความผิดหลาย
ฐานตํางกัน ก็เป็นความผิดหลายกระทง จําเลยพรากเด็กหญิงไปจากบิดามารดาเพ่ืออนาจาร เป็น
ความผิดหลายกรรมตํางกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284 กับมาตรา 317 (คําพิพากษา
ฎีกาท่ี 398/2520)

222 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

4. พาหญิงอายุ 16 ปีไปจากบิดามารดาเพ่ืออนาจารให๎สําเร็จความใครํของผู๎อ่ืนเป็นเจตนา
อยํางเดียวแตํประสงค์ให๎เกิดผลเป็นความผิดหลายฐาน เป็นหลายกรรมตํางกันตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 319 กระทงหนงึ่ ตามมาตรา 284 อกี ระทงหนง่ึ

5. ปลอมเอกสารก๎ู ฉบับวําโจทก์ 4 คนก๎ูแตํละฉบับในวันเวลาเดียวกันเป็นการกระทํา
แยกกันได๎แตํละฉบับ จําเลยนําเอกสารปลอมท้ัง 4 ฉบับไปแสดงตํอกรรมการสอบสวนเป็นความผิด
ตามมาตรา 265, 268 กระทงหน่ึง จําเลยนําเอกสารปลอมไปฟูองโจทก์แตํละคนเป็น 4 สํานวน
เป็นความผิดอีก 4 กระทง ศาลเรียงกระทงลงโทษ 5 กระทงตามมาตรา 365,368 (คําพิพากษา
ฎกี าท่ี 2192/2522)

6. เจา๎ พนกั งานยกั ยอกเงนิ เปน็ ความผดิ สําเร็จแตํละวันที่ไมํนําเงินสํงตามหน๎าท่ีเป็นรายกระทง
ไมใํ ชํรวมกันทุกวันเป็นความผิดกรรมเดยี ว (คําพิพากษาฎีกาท่ี 256/2523)

7. การทจ่ี าํ เลยและผู๎เสียหายซ่งึ อายุไมํเกนิ 13 ปี พากันไปรวํ มประเวณีทก่ี ระทํอมด๎วยความ
สมัครใจ แล๎วแยกกันกลับบ๎าน แม๎ทางกลับบ๎านของผู๎เสียหายกับกระทํอมหํางกันเพียง 90 เมตร
และผ๎เู สยี หายอยูกํ ับจาํ เลยเพียง 5 ชว่ั โมง ก็ถอื วาํ เลยรบกวนสิทธหิ รือแยกสิทธิของผ๎ูปกครองเสียหาย
ในการควบคมุ ดูแลผ๎ูเสียหายโดยปราศจากเหตอุ นั สมควรแลว๎ เปน็ ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 277 กบั ผิดมาตรา 317 อกี กระทงหน่งึ (คาํ พพิ ากษาฎกี าที่ 1605/2523)

สว่ นท่ี 3
โทษของการกระทาความผิดหลายกระทง

การกระทําความผิดหลายกระทง ตามบทบัญญัติในมาตรา 91 เดิม “.....ให๎ศาลลงโทษผู๎น้ัน
ทุกกรรมเป็นกระทงผิดไป” ซ่ึงเป็นบทบัญญัติท่ีบังคับให๎ศาลลงโทษเรียงกระทงความผิดไป ศาลจะใช๎
ดุลพินจิ ไมไํ ด๎ จงึ มีผ๎ูกระทาํ ความผดิ บางคนถูกลงโทษจําคุก 200ปี หรือมากวาํ น้นั คงเป็นไปไมํได๎เพราะ
อายุคนที่มีอายุ 100 ปีก็หายากเต็มทีแล๎ว จึงเห็นวําไมํเป็นประโยชน์เลยสําหรับการท่ีจะเรียงกระทง
ความผิดแล๎วให๎ผ๎ูกระทําความผิดแล๎วรับโทษโดยไมํจํากัด อยํางไรก็ตามบทบัญญัติมาตรา 91 น้ีได๎
แก๎ไขเก่ียวกับการลงโทษใหมํตาม พ.ร.บ. แก๎ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.
2526 มาตรา 3 ตามมาตรา 91 ซ่ึงได๎แก๎ไขบัญญัติวํา “...ให๎ศาลลงโทษผ๎ูน้ันทุกกรรมเป็นกระทง
ความผิดไป แตํไมํวําจะมีการเพ่ิมโทษลดโทษหรือลดมาตราสํวนโทษด๎วยหรือไมํก็ตาม เมื่อรวมโทษทุก
กระทงแล๎วโทษจาํ คุก

(1) สิบปี สาํ หรับความผดิ กระทงที่หนักท่สี ุด มอี ัตราโทษจาํ คุกอยาํ งสงู ไมเํ กินสามปี
(2) ยส่ี ิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงท่ีหนักที่สุดมีอัตราโทษจําคุกอยํางสูงเกินสามปีแตํไมํเกิน
สบิ ปี
(3) ห๎าสิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงท่ีหนักท่ีสุดมีอัตราโทษจําคุกอยํางสูงเกิน สิบปีข้ึนไป
เว๎นแตกํ รณีทีศ่ าลลงโทษคกุ ตลอดชีวติ ”

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 223

การแก๎ไขมาตรา 91 ใหมํดังกลําวนี้ ทําให๎ความผิดหลายกระทงที่เคยลงโทษจําคุก 200 ปี
หรือมากกวาํ นัน้ ไมํมีอีกตอํ ไป แตถํ า๎ เป็นโทษปรบั คงเรียงกระทงความผิดเหมอื นกอํ นท่ีเคยแก๎ไข

ส่วนที่ 4
การกระทาความผิดอกี
บุคคลที่เคยกระทําความผิดและถูกศาลพิพากษาให๎ลงโทษจําคุกมาแล๎วในระหวํางท่ีกําลังรับ
โทษอยํูก็ดี หรือพ๎นโทษแล๎วแตํยังอยํูในเวลาท่ีกําหนดไว๎ ผู๎น้ันได๎กระทําความผิดอีก แสดงวําผ๎ูน้ันไมํ
เข็ดหลาบ ทํานวําจะต๎องเพ่ิมโทษในความผิดครั้งหลังตามที่บัญญัติไว๎ในภาค 1 ลักษณะ 1 หมวด 8
มาตรา 92 ถงึ มาตรา 94 มาตรา คอื

1. เพ่ิมโทษหน่ึงในสาม การเพ่ิมโทษหน่ึงในสามน้ีมีบัญญัติอยํูในประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 92 วํา “ผู๎ใดตอ๎ งคําพพิ ากษาถึงที่สุดให๎ลงโทษจําคุกและได๎กระทําความผิดใดๆ อีกในระหวําง
ทีย่ ังจะต๎องรับโทษอยกูํ ็ดี ภายในเวลาห๎าปีนบั แตวํ นั พน๎ โทษก็ดี หากศาลจะพิพากษาลงโทษครั้งหลังถึง
จําคุก ก็ให๎เพิ่มโทษที่จะลงแกํผนู๎ ้นั หนึ่งในสามของโทษท่ศี าลกาํ หนดสําหรบั ความผดิ ครัง้ หลงั ”

องค์ประกอบสาหรับการเพ่มิ โทษตามมาตรา 92 ดงั น้ี3
1. ต๎องคาํ พิพากษาถงึ ทสี่ ดุ ใหล๎ งโทษจาํ คกุ
2. การกระทําความผดิ ใดๆ อีก
ก. ในระหวํางทีย่ ังจะตอ๎ งรบั โทษอยูํ หรอื
ข. ภายในเวลาห๎าปีนับแตวํ นั พน๎ โทษ
3. ศาลจะพพิ ากษาลงโทษครั้งหลงั ถงึ จําคกุ

1) ตอ้ งคาพพิ ากษาถงึ ท่ีสุดให้ลงโทษจาคุก คําพิพากษาในท่ีน้ียํอมหมายความถึงคํา
ชี้ขาดของศาล จะเป็นศาลธรรมดาหรือศาลอื่นใดท่ีใช๎อํานาจตุลาการ เชํน ศาลทหาร ก็ถือเป็นคํา
พพิ ากษาเชนํ เดยี วกนั แตตํ ๎องเป็นศาลไทย และคาํ พพิ ากษาน้ันต๎องเป็นคําพิพากษาถึงที่สุดหมายความ
วําไมมํ อี ุทธรณ์หรือฎกี าตอํ ไปอีก

2) การกระทาความผดิ ใดๆ อกี
ก. ในระหว่างท่ียังจะต้องรับโทษอยู่ เชํน ทําความผิดอีกระหวํางพักการ

ลงโทษจําคกุ ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา มาตรา 246 หรือระหวํางท่ียังหลบหนีการ
ลงโทษกอํ นลวํ งเลยการลงโทษตามาตรา 98 หรือกระทาํ ความผดิ ในระหวํางรับโทษจําคุกอยํูในเรือนจํา
(คําพิพากษาฎีกาท่ี 308/2506) ถา๎ กระทําความผิดเม่ือลํวงเลนการลงโทษไปตามมาตรา 98 แล๎ว ก็

3 จติ ติ ติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์,
2513), หน๎า 1068.

224 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ถือวําเป็นเวลาท่ีผู๎นั้นจะต๎องรับโทษและจะถือวําพ๎นก็ไมํได๎ เพราะยังไมํได๎รับโทษครบกําหนดก็ยํอมจะ
ไมํมกี ารพ๎นโทษ

ข. ภายในเวลาห้าปีนับแตว่ นั พน้ โทษ กรณีพน๎ โทษไปแลว๎ นับแตํวนั พ๎นโทษ
ไปจนถึงวันกระทําความผิดอีกภายในเวลา 5 ปี โดยไมํเกิน 5 ปี จะพ๎นโทษเพราะได๎รับโทษ
ครบถว๎ นหรอื โดยการอภยั โทษกม็ ผี ลเพิม่ โทษได๎เชนํ กนั

อัตราการเพิ่มโทษตามอัตรา 92 ให๎เพิ่มโทษจําคุกท่ีจะลงแกํผู๎ที่กระทํา
ความผิดอีกน้ันหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกําหนดสําหรับความผิดคร้ังหลัง หมายความวํา ให๎ศาล
กําหนดโทษจําคุกตามความผิดทีจะลงแกํผู๎กระทําความผิดน้ันกํอน แล๎วจึงคํานวณเพิ่มขึ้นจากกําหนด
นั้นไมํใชํเพมิ่ อัตราโทษที่กําหนดไว๎ในกฎหมายสาํ หรบั ความผดิ นั้น

2. อัตราการเพ่ิมโทษในความผิดเฉพาะอย่าง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93บัญญัติ
วํา “ผใ๎ู ดต๎องคําพิพากษาสูงท่ีสุดให๎ลงโทษจําคุก ถ๎าและได๎กระทําความผิดอยํางหนึ่งอยํางใดท่ีจําแนก
ไว๎ในอนุมาตราตํอไปนี้ในอนุมาตราเดียวกันอีกในระหวํางที่ยังจะต๎องรับโทษอยํูก็ดี ภายในเวลาสามปี
นับแตํวันพ๎นโทษก็ดี ถ๎าความผิดคร้ังแรกเป็นความผิดซ่ึงศาลพิพากษาลงโทษจําคุกไมํน๎อยกวําหกเดือน
หากศาลจะพิพากษาลงโทษครั้งหลังถึงจําคุก ก็ให๎เพิ่มโทษท่ีจะลงแกํผ๎ูนั้นกึ่งหน่ึงของโทษที่ศาลกําหนด
สาํ หรับความผิดครง้ั หลัง”

(1) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแหํงราชอาณาจักร ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 107 ถึง
มาตรา 135

(2) ความผดิ ตอํ เจ๎าพนักงาน ตามทีบ่ ัญญตั ิไว๎ในมาตรา 136 ถึงมาตรา 146
(3) ความผดิ ตอํ ตาํ แหนํงหน๎าที่ราชการ ตามทบี่ ญั ญัตไิ วใ๎ นมาตรา 147 ถึงมาตรา 166
(4) ความผิดตํอเจ๎าพนักงานในการยุตธรรม ตามท่ีบัญญัติไว๎ในมาตรา 167 ถึงมาตรา 192
และมาตรา 194
(5) ความผิดตํอตาํ แหนํงหนา๎ ทใ่ี นการยตุ ิธรรม ตามท่ีบญั ญัตใิ นมาตรา 200 ถงึ มาตรา 204
(6) ความผดิ เกย่ี วกบั ความสงบสขุ ของประชาชน ตามท่บี ญั ญัติไว๎ในมาตรา 209 ถึง 216
(7) ความผิดตํอตําแหนํงหน๎าท่ีในการยุติธรรม ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 217 ถึง มาตรา
224 มาตรา 226 ถงึ มาตรา 234 และมาตรา 236 ถงึ มาตรา 238
(8) ความผิดเก่ียวกับเงินตรา ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 204 ถึงมาตรา 249 ความผิด
เก่ียวกับดวงตราแสตมป์ และต๋ัว ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 250 ถึงมาตรา 261 และความผิด
เกย่ี วกบั เอกสาร ตามที่บญั ญัติไวใ๎ นมาตรา 264 ถงึ มาตรา 269
(9) ความผดิ เกี่ยวกับการคา๎ ตามท่ีบัญญัติไวใ๎ นมาตรา 270 ถึงมาตรา 275
(10) ความผดิ เก่ียวกบั เพศ ตามทบ่ี ัญญตั ไิ ว๎ในมาตรา 276 ถึงมาตรา 285
(11) ความผิดตํอชีวิต ตามท่ีบัญญัติไว๎ในมาตรา 288 ถึงมาตรา 290 และมาตรา294
ความผดิ ตํอรํางกายตามทีบ่ ญั ญตั ไิ ว๎ในมาตรา 295 ถึงมาตรา 299 ความผิดฐานทําให๎แท๎งลูก ตามท่ี

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 225

บัญญตั ิไว๎ในมาตรา 301 ถึงมาตรฐานทอดท้ิงเด็ก คนปุวยเจ็บหรือคนชรา ตามท่ีบัญญัติไว๎ในมาตรา
306 ถงึ มาตรา 308

(12) ความผิดตํอเสรีภาพ ตามท่บี ัญญัติไวใ๎ นมาตรา และมาตรา 310 และมาตรา 312 ถึง
มาตรา 320

(13) ความผิดเกีย่ วกบั ทรพั ย์ ตามท่บี ญั ญตั ไิ วใ๎ นมาตรา 334 ถงึ มาตรา 365
สําหรับการเพม่ิ โทษตามมาตรา 93 นี้4 ตอ๎ งปรากฏวํา
1. การกระทําความผิดคร้ังแรกต๎องคําพิพากษาให๎จําคุกแล๎วไมํน๎อยกวํา 6 เดือนในความผิด
อยาํ งใดอยํางหนึ่งที่จําแนกไวใ๎ นอนุมาตราตํางๆ 13 อนุมาตราดว๎ ยกัน
2. การกระทําความผดิ ครั้งหลงั กระทําความผิดซ้ําในอนุมาตราเดียวกันอีก ในขณะต๎องโทษคดี
หรอื พ๎นโทษไปแล๎วเปน็ เวลา 3 ปี
3. เพ่ิมโทษ โทษตามคําพิพากษาในคดีกํอนต๎องโทษจําคุกไมํน๎อยกวํา 6 เดือนขึ้นไปแตํไมํมี
กําหนดสําหรับโทษจําคุกคร้ังหลัง อัตราเพิ่มโทษสําหรับความรับผิดคร้ังหลังจะต๎องเพิ่มอีกก่ึงหนึ่งของ
โทษทจี่ ะลงสําหรับความผดิ ครั้งหลัง

3. ความผิดที่ไม่ถือเป็นเหตุเพิ่มโทษ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 94 บัญญัติวํา
“ความผิดอันได๎กระทําโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดซึ่งผู๎กระทําได๎กระทําในขณะท่ีมี
อายไุ มเํ กินสบิ เจ็ดปีนี้ ไมํวําจะได๎กระทาํ ในครั้งกอํ นหรือคร้ังหลัง ไมํถือวําเป็นความผิดเพ่ือการเพิ่มโทษ
ตามความในหมวดนี้” สําหรับโทษที่ลงเพราะความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ หรือซ่ึงได๎กระทําใน
ขณะที่อายไุ มเํ กินสบิ เจ็ดปี ไมํวาํ ครงั้ กํอนหรอื คร้ังหลงั ไมํถอื เปน็ ความผดิ เพื่อการเพิ่มโทษ

นอกจากความผิด 3 ประเภทน้ีแล๎วจะเป็นความผิดตามกฎหมายใด ๆ ก็ตาม ยํอมอยํูใน
เกณฑ์ของการทจ่ี ะนาํ ไปพจิ ารณาเพม่ิ โทษไดท๎ ้งั ส้นิ

4 เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติท่ัวไป, (กรุงเทพมหานคร: คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, 2524), หน๎า 20-25.

226 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

คาถามท้ายบท

1. จงอธิบายสาระสําคัญตามกฎหมายของการกระทําความผิดหลายบท พร๎อมยกตัวอยํางกรณีศึกษา
มา 1 ตัวอยาํ ง
2. จงอธิบายสาระสาํ คัญตามกฎหมายของการกระทําความผิดหลายกระทง พร๎อมยกตัวอยํางกรณีศึกษา
มา 1 ตวั อยาํ ง
3. หลกั เกณฑ์ในการรับโทษของการกระทําความผิดหลายกระทง มหี ลักเกณฑ์อยํางไร
4. จงอธิบายองคป์ ระกอบสาํ คญั ในการเพมิ่ โทษสําหรบั การกระทําความผิดอกี เป็นอยํางไร
5. นายแดงใช๎ปืนยงิ ไปทีน่ ายดาํ ลกู ปนื ถูกนายดําตาย แล๎วเลยไปถูกนายเขียวได๎รับบาดเจ็บอีกด๎วย การ
กระทาํ ของนายแดง เปน็ การกระทาํ ความผดิ ในลักษณะใด และนายแดงตอ๎ งรับผดิ ฐานใด

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 227

อ้างองิ ประจาบท

เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติท่ัวไป, (กรุงเทพมหานคร: คณะ
นิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2524), หน๎า 20-25.

จิตติ ติงศภัทย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญา ภาค 1 ตอน 2, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ แสง
ทองการพิมพ,์ 2518), หนา๎ 446.

จิตติ ติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรง
พิมพ์แสงทองการพมิ พ์, 2513), หน๎า 1068.

ดร.อุทิศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ
กรมอยั การ, 2525), หนา๎ 221.

228 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

บทที่ ๑๒
โทษในทางอาญา

วตั ถปุ ระสงค์การเรียนประจาบท

1. เพ่ือให้นิสิตได้ศึกษาและวิเคราะห์ถึงสภาพบังคับทางอาญาว่าเม่ือการกระทาเป็นความผิด
ผู้กระทาตอ้ งถูกลงโทษอยา่ งไร

2. เพอื่ ใหน้ ิสติ ไดศ้ ึกษาและวเิ คราะห์ถึงลกั ษณะของโทษในทางอาญา
3. เพื่อให้นิสิตได้ทราบว่าการลงโทษต้องเป็นโทษท่ีบัญญัติไว้ในกฎหมาย และจะลงโทษเกิน

กว่ากฎหมายท่ีกาหนดไม่ได้เว้นแต่จะมีเหตุเพิ่มโทษ ขณะเดียวกันย่อมลงโทษน้อยกว่าที่
กฎหมายบญั ญตั ไิ วไ้ ด้ หรือรอการลงโทษก็ได้
4. เพื่อให้นิสิตได้ทราบว่าเมื่อมีการกระทาความผิด จะลงโทษผู้กระทาความผิดในการ
ดาเนินคดตี อ้ งกระทาภายในเวลาทก่ี าหนดไว้

ขอบขา่ ยเนือ้ หา

1. วตั ถุประสงคข์ องการลงโทษ
2. ชนิดของโทษและหลกั เกณฑข์ องโทษทางอาญา
3. วธิ ีเพิ่มโทษและลดโทษ
4. การรอการกาหนดโทษ และรอการลงโทษ
5. อายุความ

วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท

1. การบรรยาย
2. การศกึ ษาเอกสารประกอบการสอน
3. ทาแบบฝกึ หัดท้ายบท

สื่อการเรียนการสอน

1. เอกสารประกอบการสอน
2. ประมวลกฎหมายอาญา

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 229

ในทางอาญาเมื่อมีการกระทาผิดเกิดขึ้น ปฏิกิริยาท่ีสังคมมีต่อการกระทาความผิดทั้งในด้าน
การปราบปรามและในด้านการปูองกัน สาหรับปฏิกิริยาในด้านปราบปรามก็คือการลงโทษผู้กระทาผิด
ส่วนในด้านการปอู งกนั ก็ไดแ้ กก่ ารบังคบั ใช้วธิ ีเพอ่ื ความปลอดภยั

โทษ
โทษเป็นวิธีการบังคับ (Sanction) ท่ีรัฐใช้ปฏิบัติต่อผู้กระทาผิดอาญาวิธีการเพิ่มโทษและลด
โทษ การยกโทษจาคุก การรอลงโทษและรอการกาหนดโทษ 18 ถึง มาตรา 38 มาตรา 51 ถึง
มาตรา 58 มาตรา 79 และมาตรา 95 ถึงมาตรา 101 ส่วนท่ีวิธีการเพ่ือความปลอดภัยไม่ใช่โทษ
อาญา1 เป็นวิธีการหรือมาตรการของกฎหมายที่ศาลใช้แก่ผู้กระทาความผิดซึ่งแม้จะไม่ต้องรับโทษ
ตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ ซึง่ ศาลจะยกฟูองของโจทกท์ ี่ขอให้ลงโทษและปล่อยตัวจาเลยไป ถ้าศาลเห็นว่า
การปลอ่ ยตัวบุคคลนัน้ ไปจะไม่ปลอดภัยแกป่ ระชาชนศาลอาจใชว้ ิธีการเพ่ือความปลอดภัยแก่ผู้น้ันตามท่ี
กฎหมายบญั ญตั ิไว้ อันเปน็ การปอู งกันมิใชก่ ารปราบปรามเหมอื นโทษ

เปรยี บเทียบโทษกับวธิ ีการเพ่ือความปลอดภัย
1. โทษจะใช้ลงได้เฉพาะผู้กระทาความผิดเท่าน้ัน (ป.อ.มาตรา 2) ส่วนวิธีการเพื่อความ
ปลอดภยั จะใชแ้ ก่ผู้ท่ียงั มิได้กระทาความผิดก็ได้ (ป.อ.มาตรา 46) หรือแก่ผู้ท่ีศาลไม่ลงโทษก็ได้ (ป.อ.
มาตรา 46, มาตรา 48 และมาตรา 49)
2. กฎหมายท่ใี ชล้ งโทษต้องใช้กฎหมายในขณะกระทาความผิด (ป.อ.มาตรา 72) ส่วนวิธีการ
เพื่อความปลอดภยั ตอ้ งใช้กฎหมายในขณะทศี่ าลพพิ ากษา (ป.อ.มาตรา 12)
3. เม่ือศาลพิพากษาลงโทษแก่ผู้กระทาผิดห้าม (ป.วิ.อ.มาตรา 190) เว้นแต่โทษกักขังอย่าง
เดียวเท่าน้ันที่ศาลซึ่งพิพากษาคดีน้ันเองอาจแก้ไขให้เปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจาคุกได้ในระหว่างที่รับ
โทษกักขังอยู่ ไม่ว่าคาพิพากษาที่ลงโทษกักขังน้ันจะถึงท่ีสุดแล้วหรือไม่ก็ตามในระหว่างท่ีรับโทษกักขัง
น้ันอยู่ ไม่ว่าคาพิพากษาท่ีลงโทษกักขังน้ันจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ก็ตาม (ป.อ.มาตรา 27) ส่วนวิธีการ
เพื่อความปลอดภัยศาลน้ันเองอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงคาพิพากษาฎีกาคาสั่งที่ใช้การน้ันได้เสมอ (ป.อ.
มาตรา 16)
4. โทษจะใชล้ งแกเ่ ดก็ ทม่ี ีอายุตา่ กว่า 17 ปี และไม่เกนิ 17 ปกี ไ็ ด้ (ป,อ.มาตรา 75) ส่วน
วิธีการเพื่อความปลอดภัย 2 ชนิด กักกัน และเรียกประกันทัณฑ์บนจะใช้แก่เด็กท่ีมีอายุไม่เกิน 17
ปีไมไ่ ด้ (ป.อ.มาตรา 41, 46)
5. การลงโทษต้องมีคาขอของโจทก์ให้ลงโทษ มิฉะน้ันศาลลงโทษไม่ได้ (ป.อ.มาตรา 158
และมาตรา192) ส่วนวิธีการเพ่ือความปลอดภัย โจทก์ไม่ต้องมีคาขอ ศาลก็มีอานาจส่ังหรือใช้วิธีแก่
จาเลยผู้น้ันได้ (ป.อ.มาตรา 45 ถึงมาตรา 50) เว้นแต่การกักกันอย่างเดียวเท่านั้นที่พนักงานอัยการ
โจทกม์ ีคาขอให้กักกนั ศาลจึงกกั กันได้ (ป.อ.มาตรา 43)

1 เสรมิ วนิ จิ ฉัยกลุ , (2482), คาอธิบายลกั ษณะอาญาภาค 1, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยพาณชิ ยการ). หน้า 78.

230 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

6. ผู้มีอานาจฟูองคดีอาญาขอให้ลงโทษผู้กระทาความผิดได้แก่ พนักงานอัยการและราษฎร
ผู้เสียหายจากการกระทาความผิดน้ัน (ป,อ.มาตรา 28 ส่วนวิธีการเพื่อความปลอดภัยในข้อกักกัน
พนักงานเท่านนั้ มอี านาจฟูอง ผู้เสยี หายจะฟอู งให้กักกนั ไม่ได้ (ป,อ,มารตา 43)

การศกึ ษาวา่ ดว้ ยโทษ จะแบ่งออกเปน็ 4 เรอ่ื งด้วยกนั คือ
1. ชนิดของโทษ และหลกั เกณฑ์ของโทษอาญา
2. วธิ ีเพมิ่ โทษและลดโทษ
3. การยกโทษจาคุก การรอการลงโทษและการรอการกาหนดโทษจาคกุ
4. การระงับของโทษและความผิด

สว่ นท่ี 1
ชนิดของโทษและหลักเกณฑ์ของโทษอาญา
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 บัญญัตวิ ่า “โทษสาหรบั ลงแก่ผกู้ ระทาความผิดมดี ังนี้
(1) ประหารชีวิต
(2) จาคุก”
(3) กักขัง
(4) ปรบั
(5) ริบทรัพย์สนิ
โทษประหารชวี ติ และจาคุกตลอดชวี ิตมิให้นามาบังคับแก่ผู้ซึ่งกระทาความผิดในขณะที่มีอายุต่า
กว่าสิบแปดปี
ในกรณีผู้ซึ่งกระทาความผิดในขณะที่อายุต่ากว่าสิบแปดปีได้กระทาความผิดท่ีมีระวางโทษ
ประหารชีวติ หรอื จาคุกตลอดชีวิตใหถ้ ือว่าระวางโทษดงั กล่าวไดเ้ ปลี่ยนเปน็ ระวางโทษจาคุกห้าสิบปี”

จากบัญญัติ มาตรา 18 วรรคหน่ึง โทษตามประมวลกฎหมายอาญามีอยู่ 5 ชนิดด้วยกัน
คือ2

1. โทษประหารชวี ติ
ประมวลกฎหมายอาญา มาตร 19 “ผู้ใดต้องโทษประหารชีวิตให้ดาเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือ
สารพษิ ให้ตาย
หลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตให้เป็นไปตามระเบียบท่ีกระทรวงยุติธรรมกาหนดโดย
ประกาศในราชกิจานุเบกษา” เม่ือมีคาพิพากษาถึงท่ีสุดให้ประหารชีวิตแล้ว ศาลจะต้องหมายส่งตัว
จาเลยผู้ต้องโทษประหารชีวิตไกรมราชทัณฑ์ จึงเป็นเรื่องของเจ้าหน้าท่ีราชทัณฑ์ท่ีจะดาเนินการ
ประหารชีวิต โดยจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา

2 หยุด แสงอุทัย, (2520), กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, พิมพ์ครั้งท่ี 14, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์). หน้า
98.

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 231

247, 248, 261 และมาตรา 262 กล่าวคือจะดาเนินการประหารชีวิตทันทีไม่ได้จะต้องรอไว้ให้พ้น
กาหนด 60 วันนับแต่วันฟังคาพิพากษาเสียก่อน ท้ังนี้แม้จะมีคาพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษประหาร
ชีวิตแลว้ ผ้ตู ้องคาพิพากษายังมสี ทิ ธทิ ลู เกลา้ ฯถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัย
โทษได้ และเป็นหน้าท่ีของรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทยที่จะถวายเรื่องราวน้ันต่อพระมหากษัตริย์
พร้อมท้ังถวายความเห็นว่าควรพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงยกเร่ืองราวที่
ทูลเกล้าฯ นั้นให้ดาเนินการประหารชีวิต ซ่ึงการประหารชีวิตตามมาตรา 19 แก้ไขโดยมาตรา 4
แหง่ พระราชบัญญตั แิ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2546 ให้ดาเนินการวิธี
ฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย ส่วนหลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวง
ยตุ ธิ รรมกาหนโดยประกาศในราชกิจานเุ บกษา

โทษประหารชีวิตน้ีจะไม่นามาใช้บังคับแก่ผู้กระทาผิดท่ีมีอายุต่ากว่าสิบแปดปี และในกรณีท่ี
ผู้กระทาผิดมีอายุตา่ กวา่ สบิ แปดปี ไดก้ ระทาความผิดท่ีมาระวางโทษประหารชีวติ เปลี่ยนเป็นระวางโทษ
จาคกุ ห้าสิบปี

(มาตรา 18 วรรคสองและวรรคสาม เพ่ิมเติมโดนมาตรา 3 แห่ง พระราชบัญญัติแก้ไข
เพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ท่ี 16) พ.ศ. 2546)

ในการเพิ่มโทษมิให้เพิ่มมิให้เพิ่มขึ้นถึงประหารชีวิต (ป.อ.มาตรา 51 และในการลดโทษ
ประหารชวี ิตไม่วา่ จะเป็นการลดโทษมาตราสว่ นโทษหรือลดโทษทจ่ี ะลงให้ตลอดดังน้ี (1) ถ้าจะลดหนึ่ง
ในสามให้ลดเป็นโทษจาคุกตลอดชีวิต (2) ถ้าจะลดกึ่งหนึ่งให้ลดลงเป็นโทษจาคุกตลอดชีวิตหรือโทษ
จาคุกตง้ั แต่ยสี่ บิ ปีถงึ หา้ สิบปี (ป.อ.มาตรา 52)

2. โทษจาคุก
โทษจาคกุ อาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 3
ก. โทษจาคุกตลอดชีวติ
ข. โทษจาคุกโดยมกี ารกาหนดเวลา

การลงโทษจาคุก
ในกฎหมายท่ีบัญญัติความผิดอันมีโทษจาคุกน้ัน จะกาหนดโทษจาคุกไว้สถานเดียว เช่น
จาคกุ ตลอดชวี ติ หรือกาหนดไว้ 2 สถาน คือ จาคกุ และปรับหรือ 3 สถาน คือ จาคุกหรือปรับหรือ
ทั้งจาท้ังปรับ แล้วแต่กรณีการกระทาความเหมาะสมของโทษน้ัน ๆ แต่ความผิดบางชนิดที่ค่อนข้าง
ร้ายแรงจะกาหนดและระวางโทษข้ันต่า และขั้นสูงไว้ท้ังโทษจาคุกและปรับโทษฉะน้ันการท่ีศาลจะ
ลงโทษจาเลยจึงต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติโทษไว้ จะต่ากว่าหรือเกินกว่าอัตราโทษท่ีกฎหมาย
กาหนดไว้ไม่ได้ และถ้ากฎหมายกาหนดโทษไว้ว่าให้ศาลลงโทษน้อยกว่าอัตราที่กฎหมายกาหนดไว้
เพียงใดกไ็ ด้

3 จติ ติ ตงิ ศภทั ยิ ์, ศาสตราจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์,
2513), หนา้ 168.

232 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ในกรณีท่ีกฎหมายกาหนดให้ลงโทษจาคุกและโทษปรับด้วยเป็น 2 สถาน เช่นความผิดฐาน
กรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 กาหนดให้ลงโทษจาคุกและปรับถ้าศาล
เหน็ สมควรจะลงโทษจาคกุ อยา่ งเดียวโดยไม่ลงโทษปรับด้วยก็ได้ (ป.อ.มาตรา 20) แต่ถ้าโทษจาคุกท่ีผู้
ทก่ี ระทาความผดิ จะตอ้ งรับมีกาหนดเวลาเพียงสามเดือนหรือน้อยกว่า ศาลกาหนดโทษจาคุกให้น้อยลง
อกี กไ็ ด้ หรือถา้ โทษทีผ่ ้กู ระทาความผดิ จะตอ้ งรบั มกี าหนดเวลาเพียงสามเดือนหรือน้อยกว่าและมีโทษ
ปรับด้วย ศาลกาหนดโทษจาคุกให้น้อยหรือกาหนดเวลาโทษจาคุกเสีย คงให้ปรับแต่อย่างเดียวก็ได้
(ป.อ. มาตรา 55)

ส่วนในกรณที ่กี ฎหมายกาหนดโทษไว้ 3 สถาน คือ ให้จาคุกหรอื ปรบั หรือทั้งจาท้ังปรับศาลมี
อานาจใช้ดุลพินิจให้ลงโทษจาคุกหรือโทษปรับอย่างเดียว หรือลงโทษท้ังจาคุกและปรับก็ตามที่ศาล
เห็นสมควร

การคานวณระยะเวลาจาคุก
1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 ให้นับวันเริ่มจาคุกรวมคานวณเข้าด้วยเป็นหนึ่งวัน
เต็มโดยคานึงถึงจานวนชั่วโมงของวันเมจาคุกนั้น เช่น ศาลอ่านคาพิพากษาให้ลงโทษจาคุกจาเลย
15.00น. ศาลออกมาจาคุกส่งตัวจาเลยไปถึงเรือนจาเวลา 18.00 ก็ต้องนับวันเป็นวันเริ่มจาคุกหน่ึงวัน
เต็ม
2. ถ้าระยะเวลาจาคุกกาหนดเป็นเดือน เช่น ศาลพิพากษาให้จาคุกจาเลย 3 เดือน นับ
สามสิบวนั เป็นหน่งึ เดือน
3. ถ้าระยะเวลาจาคกุ เป็นปี ใหค้ านานตามปฏิทนิ ราชการ
4. เม่ือผู้ต้องโทษจาคุกถูกจาคุกครบกาหนดแล้ว ให้ปล่อยตัวไปในวันถัดจากวันครบกาหนด
โทษ ครบกาหนดโทษจาคุกวนั ที่ 9 กันยายน 2548 ต้องปล่อยตวั ไปในวนั ท่ี 10 กนั ยายน 2548

การนับวันจาคุกและหกั วันถูกคมุ ขงั
1. การนับวันจาคุกตั้งแต่วันท่ีศาลมีคาพิพากษา (ป.อ. มาตรา 22 ซ่ึงหมายถึงวันที่ศาลอ่าน
คาพิพากษาใหจ้ าเลยฟัง (ป.อ. มาตรา 182)
2. ในกรณที ศี่ าลพิพากษาจาคุกจาเลย ถ้าจาเลยถูกคุมขังมาก่อนศาลพิพากษาคดีน้ันศาลต้อง
หกั วันคุมขังออกจากตามคาพพิ ากษาใหแ้ กจ่ าเลย เว้นแต่คาพิพากษาน้ันจะกล่าวไว้เป็นอย่างอ่ืน (ป.อ.
มาตรา 22) กลา่ วคือศาลจะไมห่ ักวนั คุมขงั ให้ โดยจะให้นับวนั จาคกุ ตัง้ แตว่ ันที่ศาลพิพากษาก็ได้ หรือ
จะนับโทษจาคุกคดีนี้ต่อจากโทษจาคุกในคดีอ่ืนก็ได้ ซึ่งศาลจะต้องระบุไว้ในคาพิพากษานั้น เช่น 1)
ก. กระทาความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลพิพากษาให้ลงโทษจาคุก 6 เดือน ถูกคุมขังมาก่อนศาล
พิพากษา 2 เดือน ดงั นีถ้ ้าศาลระบุในคาพิพากษาให้นบั วนั จาคกุ ต้งั แตว่ นั มคี าพิพากษาศาลจะไม่ให้หัก
วันคุมขัง 2 เดือนออกจากโทษจาคุกท่ีศาลจะลง 6 เดือนนั้น แต่ถ้าศาลไม่ระบุคาพิพากษาให้นับวัน
ตั้งแต่วันมีคาพิพากษา ศาลก็ต้องหักวันคุมขังให้จาเลยตามทีมาตรา 22 บัญญัติไว้ อย่างไรก็ตามถ้า
ศาลระบใุ นคาพิพากษาไห้นบั วนั จาคุกตั้งแต่วันมีคาพพิ ากษา โทษจาคุกตามคาพิพากษาเม่ือรวมจานวน

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 233

ทถ่ี ูกคมุ ขงั ก่อนศาลพิพากษาในคดีเรือ่ งนั้นเข้าดว้ ยแล้วต้องไม่เกินอัตราโทษข้ันสูงของกฎหมายท่ีกาหนด
ไว้สาหรับความผิดท่ีได้กระทาลงน้ัน เช่น ก. ทาร้ายร่างกาย ข. ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
295 กาหนดโทษข้นั สูงไว้ไม่เกิน 2 ปี ถ้าศาลพิพากษาให้ลงโทษจาคุก ก. 1 ปี 6 เดือน และระบุใน
คาพิพากษาใหน้ ับวันจาคกุ ต้ังแต่วันมีคาพิพากษา หากปรากฏว่า ก. ได้ถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาแล้ว
8 เดอื น เม่อื ศาลไมใ่ ห้หกั วันทีถ่ ูกคมุ ขงั ออกจากระยะเวลาจาคุกตมคาพิพากษา เม่ือรวมวันที่ถูกขังกับ
ระยะเวลาจาคุกตามคาพิพากษาเข้าดว้ ยกนั จะเปน็ เวลา 2 ปี 2 เดือน ซึ่งเกอัตราโทษข้ันสูงตามมาตรา
295 อยู่ 2 เดือน ประมวลกฎหมายอาญา 22 วรรคสองได้บัญญัติห้ามไว้ เช่นศาลจะต้องหัก
ระยะเวลาจาคุกให้ 2 เดือน เหลือระยะเวลาที่ ก. จาคุก 1 ปี 4 เดือนเท่าน้ัน ท้ังนี้เป็นการ
กระทบกระเทือนบทบัญญัติในมาตรา 91 เช่น ก. ทาร้ายร่างกาย ข. เป็นความผิดตาม ป. อ.มาตรา
295 (โทษขั้นสงู 2 ป)ี ต่อมา ก. ลักทรัพย์ ค. เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 334 (โทษขั้นสูง 3 ปี ก.
กระทาความผิดหลายกรรมต่างกัน (ป.อ.มาตรา 91) ถ้า ก. ถูกฟูองเป็นคดีเดียวกันและศาลพิพากษา
ในคาพพิ ากษาอนั เดียวกันให้โทษ ก. ทั้ง 2 กระทงโดยลงโทษกระทงแรก 1 ปี 6 เดือน กระทงหลัง 2
ปี ถ้าปรากฏว่า ก. ถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา 1 ปี ศาลให้ดุลพินิจส่ังไม่ให้วันท่ีถูกคุมขังออกจาก
ระยะเวลาจาคุกตามคาพิพากษา เมื่อรวมวันที่ถูกคุมขังเข้าด้วยกันกับระยะเวลาจาคุกตามคาพิพากษา
3 ปี 6 เดือน เดือนแล้วไม่เกินกว่าอัตราโทษจาคุกข้ันสูงของกฎหมายคือ 5 ปีใน 2 กระทง 2) ก.
กระทาความผดิ ฐานทาร้ายรา่ งกาย ถกู ศาลพิพากษาใหล้ งโทษจาคุก 1 ปี เช่นน้ีศาลมีอานาจใช้ดุลพินิจ
ส่ังไว้ในคาพิพากษาให้นับโทษคดีหลังต่อจากคดีก่อนได้ คือเมื่อ ก. รับโทษจาคุกคดีแรกแล้วจึงเริ่ม
ระยะเวลาจาคกุ ในคดหี ลงั

3. การหักวนั คุมขังออกจากโทษจาคกุ นจ้ี ะตอ้ งเปน็ วันถูกคุมขังอยู่ใน “คดีเร่ืองนั้น” กล่าวคือ
เปน็ วนั ท่ีจาเลยถูกคุมขังอยใู่ นคดเี รื่องเดยี วกนั กบั ทีโ่ จทกฟ์ อู งขอใหล้ งโทษน้ันเอง

การเพ่มิ และลดโทษจาคุก
การเพิ่มโทษและลดโทษจาคุก มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา 51, 53, 54 และ
มาตรา 55 ซง่ึ จะได้กลา่ วโดยละเอียดในหวั ข้อถัดไปเร่ืองวิธกี ารเพ่มิ โทษและลดโทษ

3. กักขงั
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทาความผิดซ่ึงมีโทษจาคุกและใน
คดีน้ันศาลจะลงโทษจาคุกไม่เกินสามเดือน ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจาคุกมาก่อนหรือปรากฏว่า
ได้รับโทษจาคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสาหรับความผิดท่ีได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ศาล
จะพิพากษาให้ลงโทษกักขงั ไมเ่ กินสามเดอื นแทนโทษจาคุกน้ันก็ได้”

234 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

หลักเกณฑ์ในการลงโทษกักขังแทนโทษจาคุกมดี ังน้ี4
1) ต้องเป็นกากระทาความผิดทีมีโทษจาคุกึึ่งมีระยะเวลาให้จาคุก โดยจะมีโทษปรับหรือ
โทษริบทรพั ย์สนิ รวมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นถ้าเป็นความผิดท่ีมีโทษประหารชีวิต หรือจาคุกตลอด
ชวี ิต หรือมแี ต่ปรับอย่างเดียว และโทษริบทรัพย์สินโดยไม่มีโทษจาคุกท่ีมีกาหนดเวลา ศาลจะใช้โทษ
แทนไมไ่ ด้

2) ความผดิ ทม่ี โี ทษจาคุกดงั กล่าว ศาลจะลงโทษจาคุกไดไ้ ม่เกิน 3 เดือน คาว่า “ศาลจะ
ลงโทษจาคกุ ไม่เกินสามเดือน” ตามมาตราน้ันหมายความถึงโทษสุทธิท่ีศาลลงโทษจริงๆ ดังนั้นถ้าศาล
ลงโทษจาเลยมากกว่า 3 เดือน แต่มีเหตุที่ศาลลดมาตราส่วนโทษให้ หรือลดโทษให้ฐานรับสารภาพ
คงจาคุกจาเลยไม่เกนิ 3 เดือน ศาลจะลงโทษกกั ขงั แทนกไ็ ด้

3) ต้องไมป่ รากฏวา่ จาเลยไดร้ บั โทษจาคกุ มากอ่ น เว้นแต่เป็นโทษจาคุกสาหรับความผิดที่
กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ คาว่า “ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้น้ันได้รับโทษจาคุกมาก่อน”
หมายความว่าจาเลยในคดีทีกาลังพิจารณาอยู่นี้ไม่ได้รับโทษจาคุกมาก่อนเวลาท่ีศาลพิพากษาคดีน้ี แต่
ปรากฏว่าจาเลยได้รับโทษจาคุกหรือกาลังรับโทษจาคุกอยู่ในคดีอื่น ไม่ว่าคดีอื่นน้ันศาลจะพิพากษาถึง
ที่สุดแล้วหรือไม่ก็ดี ก็เรียกว่าจาเลยได้รับโทษจาคุกมาก่อน คือถือเอาข้อเท็จจริงในการรับโทษจาคุก
คดีอื่นของจาเลยเป็นสาคัญในขณะจะพิพากษาคดีนี้ว่าจาเลยได้รับโทษจาคุกในคดีอื่นหรือไม่ ถ้าได้รับ
หรือกาลังรับโทษจาคุกอยู่แล้วและมิใช่โทษในความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึง
ทีส่ ุด ศาลจะลงโทษกกั ขังในคดีไมไ่ ด้

4) โทษกักขังต้องมีขอ้ กาหนดเวลาเท่ากับโทษจาคุกท่ศี าลจะลงโทษ ไมเ่ กิน 3 เดือนน้ันดว้ ย
เช่น ศาลพิพากษาใหจ้ าคกุ 2 เดือนอนั เปน็ โทษสุทธิ กต็ อ้ งลงโทษกกั ขงั 2 เดนแทนโทษจาคกุ นัน้

การบังคับโทษกกั ขงั แทนโทษจาคกุ
เมื่อศาลพิพากษาใหล้ งโทษกกั ขงั แทนโทษจาคุกตาม มาตรา 23 แล้วจะกักขังไว้ที่ไหนได้บ้าง
มีบัญญัติอยู่ในมาตรา 24 ดังนี้ “ผู้ใดต้องโทษกักขัง ให้กักขังไว้ในสถานที่กักขังซ่ึงกาหนดไว้ อันมิใช่
เรือนจา สถานตี ารวจ หรอื สถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน
ถ้าศาลเห็นเป็นการสมควร จะส่ังในคาพิพากษาให้กักขังผู้กระทาความผิดไว้ในที่อาศัยของผู้
น้ันเอง หรือผูอ้ นื่ ที่ยนิ ยอมรบั ผนู้ ัน้ ไว้ หรือสถานทอ่ี ันทอ่ี าจกักขงั ได้ เพอื่ ให้เหมาะสมกับประเภท หรือ
สภาพของผูก้ ักขังก็ได้
ถ้าปรากฏแก่ศาลว่า การกักขังผู้ต้องโทษกักขังไว้ในสถานท่ีกักขังตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง
อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้น้ัน หรือทาให้ผู้อ่ืนต้องพึงพาผู้ต้องโทษกักขังในการดารงชีพได้รับความ
เดือดร้อนเกินพอสมควร หรือมีพฤติการณ์พิเศษประการอื่นท่ีแสดงให้เห็นว่าไม่ควรกักขังผู้ต้องโทษ

4 หยดุ แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515), หน้า
76.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 235

กักขังโทษกักขังในสถานท่ีดังกล่าว ศาลจะมีคาส่ังให้กักขังผู้ต้องขังในสถานที่อ่ืนมิใช่ท่ีอยู่อาศัยของผู้
น้ันเอง โดยได้รับความยินยอม โดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ได้ กรณี
เช่นน้ใี ห้ศาลมีอานาจกาหนดเงอื่ นไขอยา่ งหน่ึงอย่างใดให้ผู้ต้องโทษกักขังปฏิบัติ และหากเจ้าของหรือผู้
ครอบครองสถานที่ดงั กลา่ วยนิ ยอม ศาลอาจมีคาสัง่ แต่งตั้งเปน็ เจ้าพนกั งานตามประมวลกฎหมายนี้”

สถานท่ีกกั ขังแทนโทษจาคกุ มี 2 ประเภท คอื
1. สถานที่กักขังซ่ึงกาหนดไว้มิใช่เรือนจา สถานีตารวจ หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของ
พนกั งานสอบสวน
2. ที่อาศยั ของผตู้ อ้ งโทษกักขงั น้นั เอง หรอื ท่ีอาศัยของผู้อื่นที่ยินยอมรับตัวไว้ หรือสถานที่อื่น
ทอ่ี าจกักขงั ได้

ขอ้ สงั เกต
1. สถานที่กักขังตามข้อ 2 ศาลต้องระบุไว้ในตาพิพากษา แต่สถานท่ีกักขังตามข้อ 1 ศาล
ไม่ต้องสั่งคาพิพากษา เพียงแต่พิพากษาลงโทษกักขังแล้วศาลก็ออกหมายกักขังส่งตัวจาเลยไปยัง
สถานทีน่ น้ั เลย
2. ถ้าการกักขังตามข้อ 1 หรือข้อ 2 อาจก่อให้เกดอันตรายต่อผู้ต้องโทษกักขัง หรือบุคคลผู้
ซึ่งพึ่งพาผู้ต้องโทษกักขังในการดารงชีพได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร หรือมีพฤติการณ์พิเศษ
ประการอนื่ ท่ีแสดงให้เหน็ ว่าไม่สมควรกกั ขังผูต้ อ้ งโทษกักขังในสถานที่ดังกล่าว ศาลจะมีคาส่ังให้กักขังผู้
ตอ้ งโทษกักขังในสถานท่อี ื่นโดยศาลมีอานาจกาหนดเงอื่ นไขใหผ้ ตู้ ้องโทษกักขังปฏิบัติ

สิทธิและหนา้ ทข่ี องผูต้ ้องโทษกกั ขงั
1. ผู้ต้องโทษกักขังในสถานท่ีซ่ึงกาหนดไว้อันมิใช่เรือนจา สถานีตารวจหรือสถานท่ีควบคุม
ผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน (ป.อ.มาตรา 24 วรรคหนึ่ง) ผู้ต้องโทษกักขังมีสิทธิและหน้าที่
ดังตอ่ ไปนี้5

ก. สิทธิรบั การเลีย้ งดจู ากสถานทน่ี ัน้ แตภ่ ายใต้บังคับของสถานท่ีนนั้
ข. สิทธิท่ีจะรบั อาหารจากภายนอกโดยค่าใช้จ่ายของตนเอง
ค. สิทธทิ ี่จะใช้เสือ้ ผ้าของตนเอง
ง. สทิ ธิทจ่ี ะได้รับการเยยี่ มอยา่ งน้อยวันละหน่งึ ชั่วโมง
จ. สิทธิทจ่ี ะรบั สง่ จดหมายได้

5 เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติท่ัวไป, (กรุงเทพมหานคร: คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, 2524), หนา้ 65.

236 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ช. มีหน้าที่ท่ีต้องทางานตามระเบียบ ข้อบังคับ และวินัย ถ้าผู้ต้องโทษกักขัง
ประสงค์จะทางานอย่างอ่ืน ก็อนุญาตให้เลือกทาได้ตามประเภทงานท่ีตนสมควรแต่ต้องไม่ขัดระเบียบ
ขอ้ บังคับ วินยั หรือความปลอดภัยของสถานที่นน้ั (ป.อ.มาตรา 25)

2. ผู้ต้องโทษกักขังในสถานที่อาศัยของผู้นั้นเอง ของผู้ท่ียอมรับผู้ต้องโทษ กักขัง หรือ
สถานทอ่ี ื่นอาจกกั ขังได้ มีสทิ ธดิ งั นี้

สิทธิทีจะดาเนินการในวิชาชีพหรืออาชีพตนในสถานที่ดังกล่าว และในการนี้ศาลจะกาหนด
เง่ือนไขให้ผู้ต้องโทษกักขังปฏิบัติอย่างหน่ึงอย่างใดหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร (ป.อ.มาตรา
26)

การเปลยี่ นโทษกกั ขังเป็นโทษจาคกุ
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 27 บัญญัติว่า “ถ้าในระหว่างท่ีผู้ต้องโทษกักขัง ตาม
มาตรา 23 ได้รับโทษกักขังอยู่ ความปรากฏแก่ศาลเองหรือปรากฏแก่ศาลตามคาแถลงของพนักงาน
อัยการ หรือผู้ควบคมุ สถานทีก่ ักขงั วา่
(1) ผตู้ ้องโทษฝาุ ฝืนระเบยี บ ข้อบงั คับ หรอื วินัยของสถานทกี่ กั ขัง
(2) ผตู้ อ้ งโทษกักขังไม่ปฏิบัตติ ามเง่ือนไขท่ศี าลกาหนด หรอื
(3) ผตู้ อ้ งโทษกกั ขังต้องคาพพิ ากษาใหล้ งโทษจาคุก
ศาลอาจเปล่ยี นโทษกกั ขังจาคุกมีกาหนดเวลาตามท่ีศาลเห็นสมควร แต่ต้องไม่เกินกาหนดเวลา
โทษกกั ขังทีผ่ ตู้ ้องโทษกกั ขังจะต้องได้รับต่อไป” การเปล่ียนโทษกักขังเป็นโทษจาคุกมาตรา 27 น้ีเป็น
ดุลพนิ ิจของศาลท่จี ะเปลย่ี นโทษกกั ขงั เปน็ โทษจาคุกหรือไมก่ ไ็ ด้ ถ้าศาลเปลี่ยนเป็นโทษจาคุก กฎหมาย
บังคบั ไวว้ ่าจาจาคุกเกนิ กว่ากาหนดเวลาโทษกักขังที่จะได้รับไปไม่ได้ แต่อนุญาตให้ศาลจาคุกเท่าใดก็ได้
ภายในกาหนดเวลาโทษกักขังที่จะได้รบั ตอ่ ไปนนั้

4. โทษปรบั
โทษปรับเป็นโทษทางทรัพย์สินที่ศาลกาหนดโดยพิพากษาภายในขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติไว้
โทษปรบั ตมกฎหมายไดบ้ ัญญตั จิ านวนเงนิ คา่ ปรับไว้ตามลกั ษณะความผิดนน้ั ๆ เป็นอัตราโทษปรับ การ
ลงทาปรับจึงต้องเป็นไปตามอัตราโทษในกฎหมาย ซึ่งศาลจะใช้ดุลพินิจว่าจะลงโทษปรับเท่าใดภายใน
อัตราโทษปรับน้ันๆ เป็นอัตราโทษปรับ การลงโทษปรับจึงต้องเป็นไปตามอัตราโทษในกฎหมาย ซึ่ง
ศาลจะใช้ดลุ พนิ จิ ว่าจะลงทาปรับเท่าใดภายในอัตราโทษปรบั น้นั ๆ เวน้ แต่มีอัตราโทษปรับข้ันต่าและข้ัน
สูงไวก้ ่อนเป็นไปตามน้ัน กรณีโทษปรับทก่ี ฎหมายกาหนดไว้พร้อมกับทาจาคุก ศาลจะจาคุกอย่างเดียว
โดยไมป่ รับด้วยกไ็ ดเ้ ม่อื เหน็ สมควร (ป.อ.มาตรา 20)) เว้นแต่ความผิดนั้นร้ายแรงหรือมีเหตุอื่นอันควร
ลงโทษท้ังจาคุกและปรับ หรือมีกรณีที่จะบกโทษจาคุกคงปรับสถานเดียวตามมาตรา 55 หรือศาลจะ
รอลงโทษจาคกุ แต่ควรให้ผู้กระทาความผิดได้รบั โทษในปัจจุบนั บา้ งโดยการปรับได้

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 237

การบงั คบั โทษปรับ
1. ผู้ต้องโทษปรับจะต้องขาระค่าปรับตามจานวนที่กาหนดไว้ในคาพิพากษาต่อศาล (ป.อ.
มาตรา 28)
2. ระยะเวลาชาระค่าปรับ เนื่องจากตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 28 มิได้กาหนด
ระยะเวลาชาระคา่ ปรบั ไว้ ได้แต่บญั ญตั ไิ ว้ในมาตรา 29 วรรคหนึ่งว่า “ผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ชาระ
ค่าปรบั ภายในสามสบิ งนั นับแต่วันท่ีศาลพิพากษา ผู้น้ันจะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับหรือมิฉะน้ันจะ
ถูกขังแทนค่าปรับแต่ศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้น้ันจะหลีกเล่ียงไม่ชาระค่าปรับ ศาลจะส่ังเรียก
ประกนั หรอื จะส่ังใหก้ กั ขังผู้น้นั แทนค่าปรบั ไปพลางกอ่ นก็ได้” ตามมาตรา 29 วรรคหนึ่งน้ีหมายความ
ว่า เม่ือศาลมีคาพิพากษาผู้ต้องโทษชาระค่าปรับ ผู้นั้นต้องชาระค่าปรับให้ครบถ้วนในวันน้ัน หากไม่
ชาระหรือชาระไม่ครบ ศาลจะส่ังเรียกประกันการชาระค่าปรับ ถ้าผู้ต้องโทษปรับขอประกันชาระ
ค่าปรับและศาลอนุญาตแล้ว จะต้องทาสัญญาประกันกับศาลด้วย ถ้าผิดสัญญาประกันผู้นั้นจะต้องใช้
เงินตามท่ีระบุไวใ้ นสญั ญาประกันหรือตามท่ีศาลเห็นสมควร ซึ่งเรียกว่าศาลปรับนายประกัน ซึ่งกรณีนี้
มิใชค่ ่าปรบั หรือผู้ต้องโทษปรบั
ดังน้ีเม่ือพ้น 30 วัน นับแต่วันมีคาพิพากษา หากผู้ต้องโทษปรับไม่ชาระค่าปรับ ศาลจะส่ัง
(1) ยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ (2) กักขังแทนค่าปรับ เว้นแต่ผู้ต้องโทษปรับจะได้ขอประกันการชาระ
ค่าปรบั ศาลอนญุ าตแลว้

กรณยี ดึ ทรัพย์สนิ ใช้ค่าปรบั
ตามมาตรากฎหมายอาญา มาตรา 26 วรรคหนึ่ง เม่ือศาลพิพากษาลงโทษปรับจาเลยวันใด
ศาลจะส่ังให้ยึดทรัพย์จาเลยมาใช้ค่าปรับก่อนครบ 30 วันนับแต่วันมีคาพิพากษาไม่ได้และแม้ศาลจะ
สงสัยว่าจาเลยหลีกเลี่ยงชาระค่าปรับโดยจาเลยไม่ขอประกันชาระค่าปรับศา ลก็ได้กักขังแทนค่าปรับไป
พลางก่อนเทา่ นน้ั จะยดึ ทรพั ย์ของจาเลยไปพลางกอ่ นเพ่อื ใชค้ า่ ปรบั ก่อนครบกาหนด 30 วันไม่ได้ ศาล
จะสัง่ ยดึ ทรพั ย์สินใชค้ า่ ปรับต่อเม่ือจาเลยไม่ชาระค่าปรับภายใน 30 วันนับแต่วันมีคาพิพากษาให้ปรับ
เวน้ แตจ่ าเลยจะมปี ระกันการชาระคา่ ปรับระหว่างนัน้
กรณีศาลให้กักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อน ถ้ากักขังนั้นได้ทาไปจนครบ 30 วันนับแต่วันมี
พิพากษาและยงั ไมค่ รบกาหนดวนั กกั ขงั เมอื่ ปรากฏว่าผตู้ ้องโทษปรับมที รพั ย์สนิ พอจะยึดมาใช้ค่าปรับที่
ยังเหลอื อยู่จากการกักขังได้ ศาลจะส่ังยึดทรพั ยข์ องผู้ต้องโทษปรับมาใช้ค่าปรับที่ยังเหลืออยู่ได้ โดยงด
หรือไมก่ ักขงั ต่อไป

การกักขงั แทนค่าปรบั
1. การกักขังแทนค่าปรับจะกระทาได้ต่อเมื่อผู้ต้องโทษปรับไม่ชาระค่าปรับภายใน 30 วัน
นับแต่วันที่ศาลพิพากษา เว้นแต่ศาลสงสัยว่าผู้น้ันจะหลีกเล่ียงไม่ชาระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกัน
ถ้าผู้นั้นไม่มีประกันในวันท่ีศาลมีคาพิพากษาศาลจะออกหมายกักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อนในวันท่ี

238 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ศาลมีคาพิพากษานนั้ เอง (ป.อ.มาตรา 29 วรรคหนึ่ง) กรณีผู้ต้องโทษปรับได้ชาระค่าปรับในวันท่ีศาลมี
คาพพิ ากษาแตช่ าระไมค่ รบจานวนค่าปรับตาม ป.อ.มาตรา 28 ถ้าผู้น้ันไม่มีประกันค่าปรับในส่วนท่ียัง
ขาดอยู่ ศาลจะสั่งกกั ขงั แทนค่าปรบั ในสว่ นท่ยี งั ชาระไมค่ รบได้

2. การกกั ขังแทนค่าปรับ ให้ถืออัตราสองร้อยบาทต่อหน่ึงวัน และไม่ว่ากรณีความผิดกระทง
เดียวหรือหลายกระทง ห้ามกักขังเกินกาหนดหน่ึงปี เว้นแต่ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ปรับตั้งแต่แปด
หมื่นบาทข้ึนไป ศาลจะสั่งให้กักขังแทนคาปรับเป็นระยะเวลาเกินกว่าหน่ึงปีแต่ไม่เกินสองปีก็ได้ (ป.อ.
มาตรา 30 วรรคหนึง่ )

การคิดวันกักขังแทนค่าปรับ ไม่ว่าศาลจะปรับกระทงเดียวหรือหลายกระทงให้ถืออัตราสอง
ร้อยบาทตอ่ หน่ึงวัน เมอื่ คานวณวันกักขังแลว้ หากวนั กักขังเกิน 1 ปี ให้กักขังได้เพียง 1 ปี เว้นแต่ผู้น้ัน
ถูกศาลปรบั ตัง้ แต่แปดหมนื่ บาทข้ึนไปจงึ จะกกั ขังเกนิ 1 ปี ได้ แต่ต้องไมเ่ กนิ 2 ปี

3. การคานวณระยะเวลานั้น ให้นับวันเร่ิมกักขังแทนค่าปรับรวมเข้าด้วยและให้นับเป็นหนึ่ง
วันเตม็ โดยไม่ตอ้ งคานึงถึงจานวนช่วั โมง (ป.อ. มาตรา 30 วรรคสอง)

4. การคดิ วันกกั ขังแทนค่าปรับ ถ้าผู้ต้องโทษปรับถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา ศาลต้องหักวัน
คุมขังน้ันออกจากวันค่าปรับด้วย โดยอัตราสองร้อยบาทต่อหน่ึงวันเหมือนกัน เช่น ศาลพิพากษาให้
ลงโทษปรับ ก. เป็นจานวนเงิน 20,000 บาท แต่ ก. ได้ถูกคุมขัง (ในคดีเร่ืองน้ัน) ก่อนศาลพิพากษา
(คดนี นั้ ) มาแล้ว 60 วนั คดิ เปน็ เงนิ ได้ 12,000 บาท นาไปหกั ออกจากจานวนเงินค่าปรับเหลือท่ีต้อง
ชาระค่าปรับ 8,000 บาท ก. จึงถูกกักขังแทนค่าปรับเพียง 40 วัน แต่ถ้า ก. ถูกศาลส่ังลงโทษทั้ง
จาคุกและปรับ ซ่ึงถ้าจะต้องหักวันคุมขังออกจากวันจาคุกตามมาตรา 22 ก็ให้หักออกจากจาคุกก่อน
ถ้ายังเหลือวันคุมขังอยู่อีกจึงให้หักออกจากเงินค่าปรับตามตัวอย่าง ถ้า ก. ถูกศาลพิพากษาลงโทษ
จาคุก 30 วัน ละปรบั 20,000 บาท ถ้า ก. ถูกศาลคุมขังก่อนศาลพิพากษามาแล้ว 60 วัน ต้องนา
ระยะเวลาคุมขังไปหักออกจากวนั จาคุก เหลือวันคุมขังอีก 30 วัน จึงนาไปหักออกจากเงินค่าปรับ จึง
เหลือทีต่ อ้ งชาระคา่ ปรับ 14,000 บาท

5. เมือ่ ผู้ตอ้ งโทษปรับถกู กักขงั แทนค่าปรบั ครบกาหนดแล้ว ใหป้ ล่อยตัวในวันถัดจากวันท่ีครบ
กาหนด ถา้ นาเงนิ คา่ ปรบั มาชาระครบแล้วให้ปลอ่ ยตวั ไปทันที

6. สถานกักขัง ตาม ป.อ.มาตรา 29 วรรคสองบัญญัติว่า “ความในวรรคสองของมาตรา 24
มิให้นามาใช้บังคับแก่การกักขังแทนค่าปรับ “หมายความว่าจะกักขังไว้ในสถานท่ีอาศัยของผู้ต้องโทษ
ปรับนั้นเองหรือของผู้อ่ืนไม่ได้ กล่าวคือให้กักขังไว้ในสถานที่กักขังซึ่งกาหนดไว้อันมิใช่เรือนจา สถานี
ตารวจ หรอื สถานที่ควบคมุ ผูต้ อ้ งหาของพนักงานสอบสวน

7. การกักขงั แทนคา่ ปรับ จะใชห้ รือกระทาได้เฉพาะบุคคลธรรมดาเท่าน้ัน จะใช้แก่นิติบุคคล
ไม่ได้

การทางานบรกิ ารสังคมหรอื ทางานสาธารณะประโยชนแ์ ทนคา่ ปรบั
เน่ืองจากผู้ต้องโทษปรับที่ยากจนไม่มีเงินค่าปรับ ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ เพ่ือไม่ให้ผู้ท่ี
ยากจนและต้องโทษปรับไม่ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับได้ทางานบริการสังคมหรือทางานสาธารณะ

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 239

ประโยชน์แทนค่าปรบั ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญตั เิ พิ่มเติม มาตรา 30/1, 30/2 และ 30/3 โดย
พระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ที่ 15) พ.ศ. 2545

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30/1 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลพิพากษาปรับไม่เกินแปด
หมื่นบาท ผู้ต้องโทษปรับซึ่งไม่ใช่นิติบุคคล และไม่มีเงินชาระค่าปรับ อาจยื่นคาร้องต่อศาลข้ันต้นท่ี
พพิ ากษาคดเี พอื่ ขอทางานบริการสังคมหรอื ทางานสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับ

การพิจารณาคาร้องตามวรรคแรก เม่ือศาลพิจารณาถึงฐานะการเงินประวัติ และสภาพ
ความผิดของผู้ต้องโทษปรับแล้วเห็นเป็นการสมควร ศาลจะมีคาสั่งให้ผู้นั้นทางานบริการสังคมหรือ
ทางานสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับก็ได้ ทั้งนี้ภายใต้การดูแลของพนักงานคุมประพฤติ เจ้าหน้าที่
ของรัฐ หน่วยงานรัฐ หรือองค์การซึ่งมีวัตถุประสงค์เพ่ือการบริการสังคมการกุศลสาธารณะหรือ
สาธารณะประโยชน์ทย่ี ินยอมรบั ดูแล

กรณีศาลมีคาส่ังให้ผู้ต้องโทษปรับงานบริการสังคม หรือทางานสาธารณะประโยชน์แทน
ค่าปรับ ให้ศาลกาหนดลักษณะหรือประเภทของงาน ผู้ดูแลการทางานเริ่มทางาน ระยะเวลาการ
ทางาน และจานวนช่ัวโมงท่ีถือเป็นการทางานหน่ึงวัน ทั้งน้ีโดยคานึงถึง เพศ อายุ ประวัติ การนับ
ถือศาสนา ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ
สิ่งแวดล้อม หรือสภาพความผิดของผู้ต้องโทษปรับประกอบด้วย เพราะศาลกาหนดเง่ือนไขอย่างหนึ่ง
อยา่ งใดใหผ้ ตู้ อ้ งโทษปรับบญั ญตั เิ พื่อใหแ้ กไ้ ขฟนื้ ฟู หรือปูอองกันมิใหผ้ ้นู ั้นกระทาความผิดข้ึนอีกได้

ถ้าภายหลังความปรากฏแก่ศาลว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับการทางานบริการสังคมหรือทางาน
สาธารณะประโยชน์ของผู้ต้องโทษได้เปล่ียนแปลงไป ศาลอาจแก้ไขเปล่ียนแปลงคาส่ังที่กาหนดไว้นั้นก็
ได้ตามท่สี มควร

ในการกาหนดระยะเวลาทางาน แทนค่าปรับตามวรรคสามให้นาบทบัญญัติ มาตรา 30 มาใช้
บังคับโดยอนุโลม และในกรณีท่ีศาลมิได้กาหนดให้ผู้ต้องโทษปรับทางานติดต่อกันไป การทางาน
ดงั กล่าวต้องอยู่ภายในกาหนดระยะเวลาสองปีนบั แต่วันเรม่ิ ทางานตามที่ศาลกาหนด

เพ่ือประโยชน์ในการกาหนดจานวนชั่วโมงทางานตามวรรคสาม ให้ประธานศาลฎีกามีอานาจ
ออกระเบยี บราชการฝาุ ยตลุ าการศาลยุติธรรมกาหนดจานวนช่ัวโมงทถี่ อื เป็นการทางานหน่ึงวัน สาหรับ
งานบรกิ ารสังคม หรืองานสาธารณะประโยชนแ์ ต่ละประเภทได้ตามสมควร”

มาตรา 30/2 บัญญัติว่า “ถ้าภายหลังศาลมีคาสั่งอนุญาตตามมาตรา 30/1 แล้วปรากฏแก่
ศาลเองหรือความปรากฏตามคาแถลงของโจทก์ หรือเจ้าพนักงานว่าผู้ต้องโทษปรับมีเงินพอชาระ
คา่ ปรบั ได้ ในเวลาท่ียนื่ คาร้องตามมาตรา 30/1 หรือฝุาฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคาส่ังหรือเง่ือนไขที่ศาล
กาหนด ศาลจะเพิกถอนคาสั่งอนุญาตดังกล่าว และปรับหรือกักขังแทนค่าปรับโดยให้หักจานวนวันท่ี
ทางานมาแลว้ หกั ออกจากจานวนเงินคา่ ปรบั ก็ได้

ในระหว่างการทางานบริการสงั คม หรอื ทางานสาธารณะประโยชนแ์ ทนคา่ ปรับ หากผู้ต้องโทษ
ปรบั ไมป่ ระสงคจ์ ะทางานดังกลา่ วตอ่ ไป อาจขอเปล่ียนเป็นรับโทษปรับ หรือกักขังแทนค่าปรับก็ได้ ใน
กรณีนีใ้ ห้ศาลมคี าส่ังอนญุ าตตามคารอ้ งโดยใหห้ ักจานวนวันท่ที างานมาแลว้ ออกจากจานวนเงินค่าปรบั

240 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

5. ริบทรพั ยส์ นิ
เรื่องการริบทรัพย์สินในการกระทาความผิดอาญา คือ เป็นโทษชนิดหน่ึงในห้าชนิดตามท่ี
บญั ญัตไิ วใ้ นมาตรา 18 โทษรบิ ทรัพย์สินเป็นโทษท่ีลงแก่ทรัพยส์ นิ เป็นสาคัญว่าเข้าหลักเกณฑ์ท่ีจะริบได้
หรือไม่โดยไม่คานึงถึงตัวบุคคลว่าได้กระทาความผิดหรือไม่ เช่น ทรัพย์สินที่ต้องริบโดยเด็ดขาดตาม
มาตรา 32 หรือทรัพย์สินที่ศาลใชด้ ลุ พนิ ิจว่าจะรบิ หรือไมร่ บิ ตามมาตรา 33 ก็มุ่งถึงทรัพย์สนเป็นสาคัญ
เช่น ทรัพย์สินที่บุคคลมีไว้เพ่ือใช้ในการกระทาผิดตามมาตรา 33(1) จะเห็นได้ชัดว่าบุคคลนั้นยังมิได้
กระทาความผิดศาลก็อาจริบได้ เช่นเดียวกับทรัพย์สินท่ีบุคคลได้ใช้ในการกระทาความผิด แต่ปรากฏ
ว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทาความผิดคดีนั้น ศาลก็ริบได้ เว้นแต่ปรากฏว่าเป็นทรัพย์สินของ
ผ้อู ื่นทไี่ มร่ ้เู ห็นเปน็ ใจด้วยในการกระทาความผดิ ศาลริบไมไ่ ด้ตามข้อยกเว้นในวรรคสองมาตรา 33 และ
34
สรปุ หลกั ในการรบิ ทรพั ยส์ ินที่มุ่งถงึ ตวั ทรัพยส์ ินเป็นสาคัญโดยไม่คานึงถึงว่าจาเลยผู้ถูกฟูองจะ
เปน็ ผู้กระทาความผิดในคดีนนั้ หรือไม่ (คาพิพากษาฎกี าท่ี 246/2516, 48/2518)
การริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญามีบัญญัติอยู่ในมาตรา 32,33 และ 34 แยกออก
พจิ ารณาดังน้ี
1. ทรพั ยส์ นิ ที่กฎหมายบงั คบั ให้รบิ โดยไมม่ ขี ้อยกเว้น (ป.อ.มาตรา 32)
2. ทรพั ย์สนิ ทก่ี ฎหมายบังคับให้ริบโดยมีข้อยกเวน้ (ป.อ.มาตรา 34)
3. ทรัพย์สนิ ทก่ี ฎหมายใหศ้ าลใชด้ ุลพนิ จิ ไดโ้ ดยมขี ้อยกเวน้ (ป.อ.มาตรา 33)

1. ทรัพย์สินท่กี ฎหมายบงั คบั ใหร้ บิ โดยไมม่ ขี ้อยกเวน้
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32 บัญญัติว่า “ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทา
หรือมไี วเ้ ปน็ ความผิดให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าเป็นของผู้กระทาความผิด และมีผู้ถูกลงโทษตามคาพิพากษา
หรือไม่” ตามมาตรา 32 มุ่งที่ตัวทรัพย์สินเป็นสาคัญ กล่าวคือ ทรัพย์สินเหล่าน้ีมีกฎหมายบัญญัติ
เป็นความผดิ เป็นความผิดในตัวเองหรอื ตัวทรัพยส์ นิ นนั้ เป็นวัตถใุ นการทาหรือมีไว้เป็นความผิดเด็ดขาด
เช่น ปืนทาเองหรือปืนท่ีไม่มีทะเบียนของเจ้าพนักงานท่ีเรียกว่า ปืนเถ่ือนน้ันเอง สุราเถื่อน หรือเงิน
ปลอม เฮโรอนี กญั ชา ยาบา้ ยาอี เปน็ ตน้

ตัวอย่าง
1) จาเลยยิงขณะผู้เสียหายยกมีดจะฟันจาเลย มีดนั้นขนาดใหญ่ถ้าฟันได้อาจเป็นอันตรายถึง
ชีวิต จาเลยยิงนัดเดียว ดังนี้เป็นการปูองกันชีวิตพอสมควรแก่เหตุไม่เป็นความผิด ส่วนปืนที่ใช้ยิงเป็น
ปืนแก๊ปไม่มที ะเบียนผใู้ ดมีไวเ้ ปน็ ความผิดจงึ เป็นของทตี่ ้องริบตาม ป.อ. มาตรา 32
2) อาวุธปนื ของกลางเป็นของผู้ตาย การที่จาเลยหยิบอาวุธปืนของผู้ตายท่ีวางอยู่บริเวณที่เกิด
เหตุขึ้นมายิงผู้ตายนั้น อาวุธปืนดังกล่าวยังอยู่ในครอบครองของผู้ตาย จาเลยไม่มีความผิดฐานมีอาวุธ
ปืนไวใ้ นครอบครองโดยไมไ่ ด้รับอนุญาตแต่เม่ืออาวธุ ปืนของกลางเป็นอาวุธปืนทไ่ี ม่มีทะเบียนผู้ใดมีไว้เป็น
ความผดิ จึงต้องริบตาม ปอ.มาตรา 32

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 241

2. ทรัพย์สนิ ทก่ี ฎหมายบังคบั ให้ริบโดยมีขอ้ ยกเวน้
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 34 บัญญัตวิ า่ “บรรดาทรัพย์สนิ
(1) ซึ่งได้ให้ตามความในมาตรา 143, มาตรา 144, มาตรา 149, มาตรา 150, มาตรา

167, มาตรา 201 หรือ มาตรา 202 หรอื
(2) ซ่ึงไดใ้ ห้เพอื่ จงู ใจบคุ คลใหก้ ระทาความผิด หรอื เพอื่ เป็นรางวลั ในการที่บุคคลได้กระทา

ความผิดให้ริบทรัพย์ท้ังสิ้น เว้นแต่ทรัพย์สินน้ันเป็นของผู้อ่ืนซ่ึงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทา
ความผิด

ให้ริบเสียทั้งส้ิน เว้นแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้อ่ืน ซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทา
ความผิด”

ตามมาตรา 34 มที รพั ย์สนิ ทจี่ ะรบิ ได้อยู่ 2 ประเภท คือ6
1 ) ท รั พ ย์ สิ น ซึ่ ง ไ ด้ ใ ห้ ต า ม ค ว า ม ใ น ป ร ะ ม ว ล ก ฎ ห ม า ย อ า ญ า ม า ต ร า
143,144,150,167,201,202 ซึ่งความผิดดังกล่าวน้ันเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน และเจ้าพนักงานใน
การยุติธรรม เป็นเรื่องให้ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพ่ือจูงใจให้กระทาการหรือไม่
กระทาการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือเป็นเร่ืองท่ีเจ้าพนักงานเรียกริบ หรือยอมจะริบทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใด เพ่ือกระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดในตาแหน่งไม่ว่าการน้ันจะชอบหรือมิชอบ
ด้วยหน้าที่ ทรัพย์สิที่ให้ตามความผิดดังกล่าวศาลจึงส่ังริบได้ เว้นแต่ทรัพย์สินจะเป็นของผู้อ่ืนท่ีมิได้รู้
เห็นเป็นใจดว้ นในการกระทาความผดิ
2) ทรัพย์สินซ่ึงได้ให้เพ่ือจูงใจบุคคลให้กระทาความผิด หรือเพ่ือเป็นรางวัลในการที
บุคคลไดก้ ระทาความผดิ เช่น ให้ทรัพย์ใดๆ ไปเพ่ือล่อหรือจูงใจให้เขากระทาความผิดใดๆก็ตาม หรือ
เม่อื เขาไปกระทาความผิดมาแล้วจึงให้ทรพั ยส์ นิ แกเ่ ขาเปน็ รางวลั ในการกระทาความผิด

ทรัพยส์ ินทั้ง 2 ประเภทนี้ เปน็ มูลฐานสาคัญที่ทาให้เสี่ยมเสียความยุติธรรม และย่ัวยุ
ให้เกิดอาชญากรรมเป็นอันตรายต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือของ
บ้านเมืองมาตรา 34 จึงบังคับให้ริบทรัพย์สินน้ันท้ังสิ้น เว้นแต่ปรากฏว่าทรัพย์สินที่ให้นั้นเป็นของ
บุคคลอื่นซึ่งไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทาความผิดนั้นๆ จึงริบไม่ได้ซึ่งเป็นไปตามหลักท่ีว่า การริบ
ทรพั ย์สนิ เป็นโทษยอ่ มจะไม่ลงโทษริบแก่เจา้ ของทรพั ย์สนิ ซึง่ ไมร่ ู้เหน็ เป็นใจด้วยในการกระทาความผดิ

3. ทรพั ย์สนิ ทศี่ าลใชด้ ุลพินิจได้โดยมขี ้อยกเวน้
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 บัญญัติว่า “ในการริบทรัพย์สินนอกจากศาลจะมีอานาจ
ริบตามกฎหมายท่บี ัญญตั ิไว้โดยเฉพาะแลว้ ให้ศาลมอี านาจสั่งริบทรัพยส์ ินดงั ต่อไปน้ีอกี ด้วยคอื

(1) ทรพั ย์สินซง่ึ บคุ คลไดใ้ ชห้ รอื มไี วเ้ พ่ือใชใ้ นการกระทาความผดิ หรอื
(2) ทรพั ยส์ ินซงึ่ บคุ คลได้มาโดยไดก้ ระทาความผิด

6 จติ ติ ตงิ ศภทั ิย์, ศาสตราจารย์, คาอธบิ ายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์,
2513), หน้า 214.

242 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

เว้นแต่ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทาความผิด ”
ตามมาตรา 33 น้ี มีทรพั ย์สนิ 3 ประเภท ท่จี ะถกู ริบคือ

(1) ทรัพย์ที่บุคคลได้ใช้ในการกระทาความผิด หมายความว่า ความผิด
น้ันได้กระทาด้วยการใช้ทรัพยน์ ั้นเองโดยตรง เช่น ใช้มีดหรือไม้ทารายร่างกายเขา การทาร้ายร่างการ
เป็นความผิด มีดหรือไม้ท่ีใช้ในการทาร้ายร่างกายจึงเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทาความผิดที่ศาลจะริบ
มีดหรือไม้น้ันได้ แต่ถ้าความผิดเกิดขึ้นเพราะเหตุอย่างอ่ืนไม่ได้อยู่ในการใช้ทรัพย์น้ัน ทรัพย์สินท่ีใช้
เกย่ี วขอ้ งกบั ความผดิ น้ันไมเ่ รียกว่าเปน็ ทรัพยท์ ใ่ี ชใ้ นการกระทาความผดิ

(2) ทรัพย์สินที่มีไว้เพ่ือใช้ในการกระทาความผิด หมายความถึงทรัพย์สิน
ท่ีมีไว้โดยเจตนาเพื่อจะใช้ในการกระทาความผิดอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น ใบมีดโกน มีดทาครัว ขวาน
เคียวเก่ียวข้าว ไม้หลักแจว ไม้ไผ่ถ่อเรือ รถยนต์ เงิน กุญแจผี เหล่าน้ีถ้ามีไว้เพื่อใช้ในการกระทา
ความผิด ศาลรบิ ได้ แมค้ วามผดิ ยงั ไม่ได้กระทาลงกต็ าม

(3) ทรัพย์สินที่ได้มาโดยกระทาความผิด หมายความถึงทรัพย์สินท่ีได้มา
จากการกระทาความผิดทุกอยา่ ง เว้นแตท่ รพั ยส์ ินทไ่ี ด้มาตามมาตรา 34 เช่น ได้รับสินบท หรือค่าจ้าง
หรือรางวัลในการกระทาความผิดซ่ึงต้องริบ ไม่อยู่ในดุลพินิจของศาลอย่างมาตรา 33 น้ี อีกประการ
หนงึ่ ทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทาความผดิ บางอยา่ งตามกฎหมายอน่ื

ตัวอยา่ งทรพั ย์ทใ่ี ช้ในการกระทาความผิด
1. จาเลยขายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ออกรางวัลให้แก่ผู้มีชื่อคร่ึงฉบับในราคา 5 บาท
50 สตางค์ เช่นนี้เงินทั้งจานวน 5 บาท 50 สตางค์ ย่อมมีส่วนก่อให้เกิดความผิดไม่ใช่ส่วนเฉพาะท่ี
เกนิ 50 สตางค์ ศาลมอี านาจรบิ เงนิ 5 บาท 50 สตางค์ เป็นทรพั ย์ท่ีได้มาโดยการกระทาความผิด
2. รถยนต์ท่ีคนร้ายใช้เป็นพาหนะไปกระทาความผิด และกลับหลังจากกระทาความผิดไม่ใช่
ทรัพยท์ ีใ่ ช้ในการกระทาความผิดริบไมไ่ ด้
3. รถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ที่คนร้ายขับข่ีปาดหน้ารถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ผู้เสียหาย
หรอื ใชค้ ุม้ กันชว่ ยเหลือนาตวั ผเู้ สียหายไปทาร้าย เปน็ ทรัพย์ท่ีใช้ในการกระทาความผดิ รบิ ได้

ผลของการรบิ ทรพั ย์สิน
การริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญาก็ดี ตามกฎหมายอื่นก็ดี เม่ือศาลพิพากษาให้ริบ
มผี ล 3 ประการ ตามที่บญั ญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 35 และมาตรา 37 กลา่ วคือ
1. ทรพั ย์สินนน้ั ตกเปน็ ของแผ่นดิน
2. ศาลพิพากษาให้ทาลายหรือทาให้ทรัพย์สินน้ันใช้ไม่ได้ต่อไปก็ได้ เช่น ให้ขีดฆ่าธนบัตร
ปลอม หรือเผาทาลายภาพลามกอนาจาร หรือฟิลม์ ภาพยนตรล์ ามก เปน็ ต้น

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 243

3. ศาลมีอานาจให้ผู้ครอบครองทรัพย์ท่ีศาลริบ (ซึ่งอาจเป็นจาเลยหรือบุคคลภายนอกที่
พนักงานสอบสวนมอบให้รักษาทรัพย์สินของกลางน้ันไว้ก็ได้) ส่งทรัพย์สินนั้นต่อศาลภายในเวลาที่
กาหนด ถา้ ผนู้ นั้ ไมป่ ฏบิ ัติตามคาสัง่ ศาล ศาลมอี านาจส่งั ต่อไปน้ี

(1) ให้ยดึ ทรัพยส์ ินนนั้
(2) ใหช้ าระราคา หรือสงั่ ยึดทรพั ยส์ นิ อ่นื ของผ้นู นั้ ชดใชร้ าคาเตม็ หรอื
(3) ถ้าศาลเห็นว่าผู้นั้นจะส่งทรัพย์สินได้แต่ไม่ส่งหรือชระราคาได้ แต่ไม่ชาระให้ศาล
กกั ขงั ผ้นู ้นั ไดจ้ นกว่าจะปฏิบัติตามคาสั่ง แต่ต้องไม่เกิน 1 ปี และในระหว่างกักขังนั้นถ้าปรากฏแก่ศาล
เองหรอื โดยคาเสนอของผู้นน้ั วา่ ผนู้ น้ั ไม่สามารถส่งทรพั ยส์ นิ หรอื ไม่สามารถชาระราคาได้ ศาลจะปล่อย
ตัวไปก่อนครบกาหนดกักขังก็ได้ เช่นทรัพย์สินที่ริบนั้นสูญหายหรือถูกทาลายไปโดยอุบัติเหตุหรือเหตุ
สุดวิสัย หรือผู้นน้ั เปน็ คนยากจนไมส่ ามารถชาระราคาไดเ้ ปน็ ตน้

ทรพั ยส์ ินทร่ี บิ ตอ้ งมีตัวทรัพยส์ นิ อยู่
เมื่อศาลพิพากษาให้ริบมีผลให้ทรัพย์น้ันตกเป็นของแผ่นดินและศาลยังมีอานาจพิพากษาให้
ทาลายหรือทาให้ทรัพย์สินน้ันใช้ไม่ได้ต่อไปตาม ปอ.มาตรา 35 ทั้งมีอานาจสั่งให้ผู้ครอบครอง
ทรัพย์สนิ ทีถ่ ูกริบส่งมอบแกศ่ าล หรอื ใหย้ ึดทรพั ยส์ ินน้ันตาม ปอ.มาตรา 37 แสดงอยู่ในตัวว่าทรัพย์สิน
ทีศ่ าลจะพพิ ากษาใหร้ ิบต้องมตี ัวทรัพยส์ ินนั้นอยู่ในขณะท่ีศาลพิพากษาคดีน้ันไม่ว่าจะจับได้ทรัพย์สินนั้น
มาเปน็ ของกลางในคดีแล้วหรืออยู่ที่ใคร แต่ถ้าปรากฏว่าทรัพย์สินท่ีจะริบไม่มีอยู่ เช่น ถูกทาลายหรือ
สญู หายไปแลว้ ไม่ว่าดว้ ยเหตใุ ดศาลจะไมร่ ิบเพราะไมม่ ีตวั ทรพั ยส์ ินทจ่ี ะตกเป็นของแผ่นดนิ ได้

การขอคนื ทรพั ย์สินทศี่ าลริบ
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36 บัญญัตวิ า่ “ในกรณที ศ่ี าลส่งั ใหร้ ิบทรพั ย์สินตามมาตรา 33
หรอื 34 ไปแล้วหากปรากฏในภายหลงั โดยคาเสนอของเจา้ ของแทจ้ รงิ วา่ ผูเ้ ปน็ เจา้ ของแทจ้ ริงมิได้รู้เห็น
เป็นใจด้วยในการกระทาความผิดก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ในความ
ครอบครองของเจ้าพนักงาน แต่คาเสนอของเจ้าของแท้จริงน้ันจะต้องกระทาต่อศาลภายในหนึ่งปีนับ
แต่วันคาพิพากษาถึงที่สุด” ตามมาตรา 36 นี้ ในการขอคืนทรัพย์สินท่ีศาลริบต้องประกอบด้วย
หลกั เกณฑ์ดงั ตอ่ ไปนคี้ ือ
1. ต้องเป็นทรัพยส์ นิ ทีศ่ าลริบตามมาตรา 33 และ 34
2. ผู้ขอคืนต้องเป็น “เจ้าของตัวจริง” ในทรัพย์สินน้ันและต้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทา
ความผดิ นนั้ ด้วย
3. เจา้ ของแทจ้ ริงต้องมีคาเสนอขอคืนต่อศาลภายใน 1 ปี นับแต่วันท่ีศาลพิพากษาถึงที่สุดให้
ริบ และ
4. ศาลจะสัง่ ให้คนื ได้ต่อเม่อื ทรพั ยส์ นิ ยังคงอยูใ่ นความครอบครองของเจ้าพนักงาน

244 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ข้อสังเกต
1. ในการร้องขอคืนนีจ้ ะมีการฟอู งคดตี ่อศาลหากมกี ารรบิ โดยไม่มีการฟูองคดีต่อศาลจะมาร้อง
ขอให้ศาลส่ังคนื ของกลางตามมาตรา 36 น้ไี มไ่ ด้
2. การร้องขอต่อศาลให้สั่งคืนทรัพย์สินท่ีถูกริบตาม ปอ.มาตรา 36 น้ันจะต้องเป็นกรณีที่
ทรัพย์สินน้ันเป็นทรัพย์สินที่ศาลสั่งริบ และผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทา
ความผดิ เทา่ นน้ั
3. ผูท้ ่จี ะร้องขอคนื ตาม ปอ.มาตรา 36 ได้ ตอ้ งเปน็ บคุ คลภายนอก
4. เจ้าของทแี่ ทจ้ ริงน้ัน หมายรวมถงึ เจา้ ของรวมด้วยส่วนผู้เช่าซ้ือนั้นถ้าในขณะร้องขอคืนยัง
ชาระค่าเช่าซอื้ ไม่ครบถ้วนยงั ไม่ถอื วา่ เป็นเจ้าของท่แี ท้จรงิ
5. ผูท้ ่รี ับโอนของกลางโดยสจุ รติ ภายหลังจาเลยกระทาผดิ แล้วก็ถือว่าเปน็ เจา้ ของท่ีแท้จริง แต่
ต้องรับโอนกอ่ นศาลมีคาพพิ ากษาถงึ ทส่ี ุดใหร้ ิบ
6. คาว่า “รู้เห็นเป็นใจ” หมายความว่า รู้เหตุการณ์และร่วมใจด้วย ส่วนคาว่า “ร่วมใจ”
หมายความวา่ นึกคิดอย่างเดยี วกนั การรเู้ ห็นเป็นใจดว้ ยในการกระทาความผิดจึงหมายความว่า รู้แล้ว
วา่ จะมีการนาทรัพยข์ องกลางไปใช้กระทาความผดิ และมีความนกึ คดิ กระทาความผดิ ด้วย
7. การขอคืนของกลางตอ้ งกระทาภายใน 1 ปี นับแตว่ ันคาพิพากษาถึงทีส่ ุด

ส่วนที่ 2
วธิ เี พิม่ โทษและลดโทษ

1. การเพิม่ โทษ
การเพ่ิมโทษมีคาศัพท์อยู่ 2 คา คือ การเพ่ิมมาตราส่วนโทษกับการเพิ่มโทษที่จะลงประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 51 บัญญตั วิ ่า “ในการเพ่ิมโทษมใิ ห้เพ่ิมข้ึนถึงประหารชีวติ จาคุกตลอดชีวิต หรือ
จาคุกเกินหา้ สบิ ปี” ตามมาตรา 51 หมายความว่า7 การเพ่มิ โทษจาคุกทุกกรณี ศาลจะเพ่ิมโทษข้ึนเป็น
ให้ประหารชีวิตไม่ได้และจะเพ่ิมโทษจาคุกตลอดชีวิตหรือจาคุก 50 ปี ไม่ได้เช่นกัน การเพ่ิมโทษมี
คาศพั ท์อยู่ 2 คา คือ การเพ่ิมมาตราส่วนโทษ เช่น กฎหมายกาหนดให้ระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติ
ไวก้ ง่ึ หนึง่ หรอื หนกั ขนึ้ 2 เท่า เปน็ เรอื่ งการเพ่ิมมาตราส่วนโทษ กลา่ วคือเป็นการระวางโทษท่ีกฎหมาย
กาหนดไว้สาหรับความผิดน้นั กรณีหนง่ึ และการเพ่มิ โทษท่จี ะลงอกี กรณี การเพิ่มโทษท่ีจะลง หมายถึง
โทษที่กาหนดไว้ในคาพิพากษา เช่น จาเลยกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลพิพากษาลงโทษจาคุก
2 ปี ปรากฏว่าจาเลยเคยรบั โทษจาคกุ ในคดีทาร้ายร่างกายและพ้นโทษมาแล้ว ศาลจึงเพ่ิมโทษสาหรับ
คดลี กั ทรัพยอ์ ีกก่งึ หนึง่ อยา่ งน้จี าเลยตอ้ งรบั โทษจาคกุ 3 ปี ซึง่ เป็นการเพมิ่ โทษทจ่ี ะลง
หลักการเพ่ิมโทษจาคุกทุกกรณี ศาลจะเพ่ิมข้ึนเป็นให้ประหารชีวิต จาคุกตลอดชีวิต หรือ
จาคุกเกินกว่า 50 ปี ไม่ได้น้ัน กรณีผู้กระทาความผิดต้องโทษจาคุกตลอดชีวิต หากมีการเพ่ิมโทษจะ

7 หยุด แสงอทุ ัย, ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515), หน้า
96.


Click to View FlipBook Version