The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chokoooon, 2021-06-07 23:13:47

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 45

เปลย่ี นแปลงเชน่ น้ี จะมีผลตามมาตรา 2 วรรค 2 น้ีด้วยหรือไม่ ปัญหาน้ีเข้าใจว่าคงไม่ถือเคร่งครัดว่าสิ่ง
ที่ยกเลิกนั้นจะต้องเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายเท่าน้ัน แม้จะยกเลิกแต่สิ่งท่ีบัญญัติข้ึนตามอํานาจ
พระราชบัญญัติก็ใช้บังคับตามมาตรา 2 วรรค 2 ได้ เช่น ทําความผิดต่อพระราชกฤษฎีกาควบคุมการ
จําหน่ายรํา พ.ศ. 2486 ออกตามความในพระราชบัญญัติมอบอํานาจให้รัฐบาลในภาวะคับขัน พ.ศ.
2485 ถา้ ตอ่ มาพระราชกฤษฎีกานน้ั ยกเลกิ ไป สทิ ธิฟูองร้องคดีน้ันกร็ ะงับไป การตีความคาํ วา่ กฎหมาย

กรณีตามมาตรา 2 วรรค 2 มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายในภายหลังยกเลิกความผิดแห่ง
กฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทํานั้น ผลคอื

(1) ผู้ที่ได้กระทําการนั้นพ้นจากความผิดโดยอัตโนมัติ เช่น ผู้ท่ีกระทําความผิดชําเรา
ผิดธรรมดามนุษย์ อันเป็นความผิดตามมาตรา 242 แห่งกฎหมายลักษณะอาญา แต่ตามประมวล
กฎหมายอาญา การกระทําชําเราผิดธรรมดามนุษย์น้ีหาเป็นความผิดต่อกฎหมายไม่ เมื่อเป็นเช่นน้ีถ้า
บุคคลใดกระทําความผิดฐานกระทําชําเราผิดธรรมดามนุษย์ในขณะใช้กฎหมายลักษณะอาญา เมื่อถึง
วันที่ประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับ (วันท่ี 1 มกราคม 2500) ผู้นั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทําความผิด
ถ้าสั่งจับหรือตามจับตัวอยู่ ให้เป็นอันระงับไม่จับตัวต่อไปหรือถ้ากําลังสอบสวนให้ปล่อยตัวไป ถ้ากําลัง
พจิ ารณาในศาลกใ็ หป้ ลอ่ ยตัวไปเชน่ กนั หรือถ้าถูกคมุ ขงั อยใู่ นอํานาจศาลศาลก็ตอ้ งปล่อยตัวผู้น้ันไป

(2) ในกรณที ี่มคี ําพิพากษาถึงทสี่ ดุ ให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้น้ันไม่เคยต้องคําพิพากษา
ว่าได้กระทําความผิด หมายความว่า ถ้าบุคคลใดเคยต้องคําพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ ก็ถือว่าผู้น้ันไม่
เคยต้องคําพิพากษาว่ากระทําความผิด ทั้งน้ีเพ่ือให้บุคคลน้ันกลับเป็นผู้บริสุทธิ์อีกคร้ัง และถ้าหากกําลัง
รบั โทษอยู่ ก็ให้การลงโทษนัน้ ส้ินสดุ ลงโดยปล่อยตวั ผูน้ น้ั ไป ตวั อยา่ งเชน่ โจทกฟ์ ูองจําเลยข้อหาพยายาม
ฆ่าและมีอาวุธปืนผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง ศาลช้ันต้นพิพากษาว่าจําเลยผิดท้ังสองฐาน แต่ลงโทษ
ฐานพยายามฆ่าอนั เป็นกระทงหนัก จําเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาพยายามฆา่ แต่ระหว่างพิจารณาของศาล
อุทธรณ์ มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 ออกมาให้ผู้มีอาวุธปืนไปขออนุญาตภายใน
90 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ เม่ือศาลอุทธรณ์ยกฟูองท้ังสองข้อหาและโจทก์ฎีกาคัดค้านข้ึนมา ดังน้ีแม้
ความผิดฐานมอี าวุธปนื จะถงึ ที่สดุ แล้ว แต่โดยเหตทุ ีศ่ าลฎีกายกฟูองฐานพยายามฆ่า เมื่อจะลงโทษฐานมี
อาวธุ ปนื ซึ่งศาลชัน้ ต้นมิไดก้ ําหนดโทษฐานนไี้ ว้ คดีกต็ ้องบงั คับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่ง
บญั ญัติวา่ แม้คดีถึงทส่ี ุดแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคําพิพากษาว่าได้กระทําผิด จึงเป็นอันว่าศาลฎีกา
จะกําหนดโทษใหล้ งแกจ่ าํ เลยในความผดิ ฐานน้ีอกี ไม่ได้ (คาํ พิพากษาฎีกาที่289/2512)

ข้อสังเกต มาตรา 2 วรรค 2 น้ี ใช้บังคับต้ังแต่ก่อนฟูอง ก่อนมีคําพิพากษาและ
ตลอดไปจนถึงกรณีท่ีได้มีคําพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษแล้วด้วย กล่าวคือ การสอบสวนฟูอง หรือ
พิจารณาพิพากษาคดีต้องยุติลงเมื่อยกเลิกความผิดตามกฎหมายเก่า แม้มีคําพิพากษาถึงท่ีสุด แล้วการ
บงั คบั คดเี ฉพาะในเรอ่ื งลงโทษตามคาํ พิพากษาก็ยตุ ลิ งเพยี งน้นั

3.2 กรณีที่กฎหมายใชใ้ นขณะกระทาความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลัง
กระทาความผิด หมายความว่า ทั้งกฎหมายเก่าและใหม่ยังเป็นความผิดอยู่ ประมวลกฎหมายอาญาจึง
บญั ญัติใหใ้ ช้กฎหมายในสว่ นทเ่ี ป็นคุณมาบังคับ ดงั ท่ีได้บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ความว่า “ถ้ากฎหมายท่ีใช้

46 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ในขณะกระทําความผิดแตกต่างกับกฎหมายท่ีใช้ภายหลังการกระทําความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่
เป็นคณุ แก่ผูก้ ระทําความผิดไม่วา่ ในทางใด เว้นแต่คดถี ึงทส่ี ุดแล้ว แต่ในกรณคี ดถี ึงทส่ี ดุ แลว้ ดังตอ่ ไปนี้

(1) ถา้ ผกู้ ระทําความผดิ ยงั ไม่ได้รบั โทษ หรือกําลังรับโทษอยู่ และโทษที่กําหนดตามคํา
พพิ ากษาหนกั กว่าโทษท่ีกาํ หนดตามกฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลัง เมื่อสํานวนความปรากฏแก่ศาล หรือ
เม่ือผู้กระทําความผิด ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้น้ันผู้อนุบาลของผู้น้ัน หรือพนักงานอัยการร้องขอให้
ศาลกําหนดโทษเสียใหม่นี้ ถ้าปรากฏว่าผู้กระทําความผิดได้รับโทษมาบ้างแล้ว เมื่อได้คํานึงถึงโทษตาม
กฎหมายท่บี ัญญตั ใิ นภายหลังหากเห็นเป็นการสมควร ศาลจะกําหนดโทษน้อยกวา่ โทษข้นั ตํา่ ทก่ี ฎหมาย
บญั ญัตใิ นภายหลงั กําหนดไวถ้ ้าหากมกี ็ได้ หรือถ้าเหน็ ว่าโทษที่ผู้กระทาํ ความผดิ ได้รบั มาแล้วเป็นการ
เพียงพอ ศาลจะปล่อยผู้กระทําความผิดไปกไ็ ด้

(2) ถ้าศาลพิพากษาให้ประหารชีวิตผู้กระทําความผิด และตามกฎหมายท่ีบัญญัติใน
ภายหลัง โทษที่จะลงแก่ผู้กระทําความผิด และตามกฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลัง โทษที่จะลงแก่
ผู้กระทําความผิดไม่ถึงประหารชีวิต ให้งดการประหารชีวิตผู้กระทําความผิด และให้ถือว่าโทษประหาร
ชวี ิตตามคําพิพากษาได้เปลย่ี นเปน็ โทษสูงสุดทีจ่ ะพงึ ลงไดต้ ามกฎหมายท่บี ัญญตั ภิ ายหลัง”

ตามความในมาตรา 3 น้ี ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทําความผิดกับกฎหมายท่ีใช้
ภายหลังกระทาํ ความผดิ แตกต่างกัน ให้ใช้กฎหมายส่วนท่ีเป็นคุณบังคับสําหรับกรณีท่ีกฎหมายแตกต่าง
และเป็นคุณกว่า เช่น

1. ประเภทของโทษยอ่ มหนักเบากว่ากันตามลําดับในมาตรา 18 กล่าวคือ ต้องถือโทษ
ประหารชีวิตหนักกว่าโทษจําคุก โทษจําคุกหนักกว่าโทษกักขัง โทษกักขังหนักกว่าโทษปรับ และโทษ
ปรับหนักกว่าโทษริบทรัพย์สิน เช่น ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 339(2) โทษจําคุกไม่เกิน 10
วัน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือท้ังจําท้ังปรับ ตามกฎหมายใหม่มีโทษปรับอย่างเดียวคือไม่เกิน 500
บาท กฎหมายใหมม่ าตรา 393 เปน็ คณุ กวา่

2. อัตราโทษ
ก. อตั ราโทษประเภทเดยี วกนั ตอ้ งถือตามอตั ราโทษช้ันสูงที่กําหนดไว้ในกฎหมาย มิใช่
ดูแตก่ ําหนดโทษที่จะลงแก่ผู้กระทําความผิด ซ่งึ ใช้กฎหมายทอี่ ัตราโทษช้ันสูงเบากวา่ ลงโทษ
ข. อัตราโทษชั้นสูงในประเภทเดียวกันเท่ากัน เช่นโทษจําคุกอย่างสูงเท่ากัน แต่
กฎหมายเก่าลงโทษท้ังจําท้ังปรับ กฎหมายใหม่เป็นโทษจําคุกหรือปรับหรือท้ังจําทั้งปรับได้สามสถาน
วนิ จิ ฉยั วา่ กฎหมายใหม่เปน็ คุณแกผ่ กู้ ระทําความผดิ มากกว่า (คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 313/2500)
ค. อัตราโทษอย่างสูงจําคุกไม่เกิน 10 ปีเท่ากัน แต่กฎหมายเก่ามีโทษข้ันตํ่า 5 ปี
กฎหมายใหม่ไม่มีโทษขั้นตํ่า วินิจฉัยว่ากฎหมายใหม่เป็นคุณแก่ผู้กระทําความผิดมากกว่า ต้องใช้
กฎหมายใหม่ เมือ่ จําเลยรบั สารภาพ โจทก์ไม่ต้องสืบพยานประกอบศาลก็พิจารณาลงโทษจําเลยได้ (คํา
พพิ ากษาฎีกาที่ 1303/2503)

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 47

3. กฎหมายที่กําหนดให้บุคคลรับผิดในทางอาญาน้อยกว่า เช่น กฎหมายในขณะ
กระทําความผิดเพียงแต่กระทําโดยประมาทก็เป็นความผิด แต่กฎหมายในภายหลังต้องกระทําโดย
เจตนาจงึ เปน็ ความผิด กฎหมายใหม่เป็นคุณกวา่

4. เหตเุ พิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ ถ้าไม่ตอ้ งดว้ ยกฎหมายทัง้ เก่าและใหม่ท่ีจะเพิ่มโทษ ก็
เพ่ิมโทษไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกาท่ี 309/2500) ถ้าอัตราการเพิ่มโทษต่างกัน ก็ต้องเพิ่มตามกฎหมายท่ี
เบากวา่

5. เหตุยกเว้นหรือลดโทษ ถ้ามีในกฎหมายขณะกระทําความผิดหรือก่อนพิพากษาคดี
ยอ่ มนํากฎหมายที่เปน็ คณุ แกผ่ กู้ ระทาํ ความผิดมากทีส่ ุดมาใช้ได้ (คําพิพากษาฎีกาท่ี 1336/2494)

6. กฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่บญั ญัติวา่ การกระทําความผิดใดเป็นความผิดอันยอม
ความได้ กฎหมายที่บัญญัติเช่นน้ันย่อมเป็นคุณแก่ผู้กระทําความผิดมากกว่ากฎหมายท่ีมิได้บัญญัติ
เชน่ นน้ั

7. อายุความ กฎหมายท่ีกําหนดอายุความส้ันกว่าย่อมเป็นคุณกว่าการใช้กฎหมายใน
ส่วนที่เป็นคุณนี้ จะใช้เฉพาะก่อนคดีถึงท่ีสุดเท่าน้ัน แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรค 2 ก็ได้
บญั ญัตยิ กเวน้ ใหใ้ ชก้ ฎหมายในสว่ นที่เป็นคณุ แม้คดจี ะถึงทีส่ ดุ แล้วไว้ 2 กรณี คือ

ก. กรณีที่ผู้กระทําความผิดต้องคําพิพากษาให้รับโทษอย่างอ่ืนนอกจากโทษประหาร
ชวี ติ

1) ผู้กระทําความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกําลังรับโทษตามคําพิพากษาอยู่ ถ้า
ผูก้ ระทาํ ความผดิ รับโทษไปแลว้ ก็ไม่มีการเปลีย่ นแปลง เช่น ชําระค่าปรับไปแลว้ เทา่ ใดไม่มีการร้ือฟ้ืนคืน
คา่ ปรับ จะมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะโทษทย่ี งั ไม่ได้รบั เท่านัน้

2) โทษที่กําหนดตามคําพิพากษาสูงกว่าโทษท่ีกําหนดตามกฎหมายใหม่ ต้อง
ถือตามโทษทก่ี าํ หนดใหล้ งแก่จาํ เลยในผลสดุ ท้ายหลงั จากลดโทษแล้ว อันไหนเป็นคุณกว่า ให้ใช้อันนั้น

ท้งั ข้อ 1 และ ขอ้ 2 นี้ ถา้ สาํ นวนความนัน้
2.1) ศาลเห็นเอง
2.2) ผู้กระทําผิดรอ้ งขอ
2.3) ผแู้ ทนโดยชอบธรรมของผกู้ ระทาํ ความผดิ ร้องขอ
2.4) ผู้อนบุ าลของผกู้ ระทําความผิดรอ้ งขอ
2.5) พนักงานอยั การร้องขอ
ให้ศาลกําหนดโทษท่ีจะลงแก่ผู้น้ันต่อไปเสียใหม่ตามอัตราโทษที่บัญญัติ
ภายหลังโดยคํานึงถึงโทษท่ีผู้น้ันได้รับมาแล้วประกอบด้วย ซึ่งศาลอาจกําหนดโทษน้อยกว่าโทษขั้นต่ําก็
ได้ หรอื ถ้ารบั โทษมาพอแลว้ จะปลอ่ ยตวั ไปเลยกไ็ ด้
ข. กรณีผู้กระทําความผิดต้องคําพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต หมายความว่า
ผู้กระทําความผิดต้องคําพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษประหารชีวิตตามกฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทํา
ความผดิ หากในระหว่างท่ียงั ไมไ่ ด้ลงโทษไดม้ ีกฎหมายใหม่

48 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ข้อสังเกต มาตรา 2 วรรค 2 กับมาตรา 3 ต่างกันที่ว่า มาตรา 2 วรรค 2 เป็นเร่ืองกฎหมาย
ใหม่บัญญัติยกเลิกหรือมีข้อความทับหรือแย้งกับกฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทําความผิดเสียทีเดียว แต่
มาตรา 3 เป็นเรื่องบทบัญญัติแห่งกฎหมายภายหลังกระทําความผิดและกฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทํา
ความผิดน้ันต่างก็ยังมีความผิดอยู่ เพียงแต่กฎหมายที่บัญญัติในภายหลังได้แก้ไขหรือเปล่ียนแปลงอัน
เป็นคุณ ก็ใช้กฎหมายใหม่บังคับ หากกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทําความผิดเป็นคุณกว่า ก็ใช้กฎหมาย
ในขณะกระทาํ ผดิ บังคับ

ตัวอยา่ งคาพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับมาตรา 2
คําพิพากษาฎีกาท่ี 1294/2510 ศาลพิพากษาถึงท่ีสุดจําคุกจําเลย ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ 2 ปี
ระหว่างรับโทษมี พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ (ฉบับท่ี 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 5 ให้นําปืนไปมอบแก่นายทะเบียน
ภายใน 90 วัน แล้วไม่ต้องรับโทษ ดังนี้ไม่ได้บัญญัติว่าไม่เป็นความผิดต่อไป จึงปล่อยตัวตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 2 ไมไ่ ด้
คําพิพากษาฎีกาที่ 883/2520 จําเลยมีอาวุธปืนระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.อาวุธ
ปืนฯ (ฉบับท่ี 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3, 4 ให้นําปืนมาขอจดทะเบียนได้ใน 90 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ
ศาลฎกี าพิพากษาเม่ือพน้ 90 วนั แล้วใหจ้ ําเลยไดย้ กเว้นโทษ
คําพิพากษาฎีกาที่ 1869/2521 ประกาศของคณะปฏิรูปฯ ฉบับท่ี 12 วันท่ี 7 ตุลาคม 2519
ยกเว้นโทษแก่ผู้นํา อาวุธปืนที่ใช้เฉพาะสงครามไปมอบเจ้าหน้าท่ีไม่คุ้มครองถึงกรณีท่ีมีอาวุธปืนเพ่ือ
การคา้
คําพิพากษาฎีกาท่ี 2433/2522 ประกาศรัฐมนตรีกําหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ไม่ใช่
กฎหมาย เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ต้องนําสืบว่าประกาศเป็นเขตควบคุมแล้ว โจทก์ไม่นําสืบ ศาลลงโทษ
และริบไม้ของกลางไมไ่ ด้
คําพิพากษาฎีกาท่ี 1525/2535 การออกเช็คแลกเงินสดไม่เป็นการออกเช็คเพ่ือชําระหนี้ท่ีมีอยู่
จรงิ และบงั คบั ได้ตามกฎหมายอันจะเป็นความผิดตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจาก
การใชเ้ ชค็ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซ่ึงเปน็ บทบญั ญตั ิของ

คาพพิ ากษาฎีกาเกย่ี วกับมาตรา 3
คําพิพากษาฎีกาที่ 2039/2519 มีวัตถุระเบิดไว้ และถูกจับต้ังแต่ก่อนใช้ พ.ร.บ.อาวุธปืน (ฉบับ
ที่ 6) พ.ศ. 2517 ซึ่งออกใช้เม่ือคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกเว้นโทษให้ตามกฎหมาย
ใหมน่ น้ั ได้
คําพิพากษาฎีกาที่ 2021/2520 ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกามีกฎหมายยกเว้นโทษโดย
พ.ร.บ.อาวธุ ปืนฯ (ฉบบั ท่ี 6) จําเลยได้รบั ผลตามกฎหมายนี้

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 49

คําพิพากษาฎีกาท่ี 921/2521 จําเลยมีปืนท่ีใช้เฉพาะในการสงคราม ต่อมามีคําส่ังคณะปฏิรูป
การปกครองแผ่นดิน ฉบับท่ี 12 ลงวันท่ี 7 ตุลาคม 2519 ให้นํามามอบนายทะเบียน แล้วไม่ต้องรับโทษ
มผี ลถึงผู้ถกู จบั ดาํ เนนิ คดีอยูก่ อ่ นประกาศไมต่ ้องรบั โทษตามมาตรากฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก

คําพิพากษาฎีกาที่ 472/2522 จําเลยมีอาวุธปืนและเคร่ืองกระสุนที่ใช้เฉพาะแต่ในสงคราม
และถูกจับก่อนคําส่ังของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 12 ลงวันท่ี 7 ตุลาคม 2517 ท่ีให้มี
อาวธุ และเคร่ืองกระสุนปนื สําหรบั ใชแ้ ต่เฉพาะในการสงครามไว้ในครอบครองนํามามอบให้นายทะเบียน
ทอ้ งทต่ี ามกฎหมายภายในวันที่ 14 ตุลาคม 2519 จําเลยกไ็ ม่ตอ้ งรับโทษ ศาลยกฟูอง

คําพิพากษาฎีกาท่ี 894/2539 ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.
2534 มาตรา 4 นั้น ข้อเท็จจริงต้องได้ความว่าขณะท่ีผู้ออกเช็คนั้นเพ่ือเป็นการชําระหน้ีท่ีมีอยู่จริงและ
บังคับไดต้ ามกฎหมาย เม่อื ชั้นไต่สวนมูลฟูองและช้ันพิจารณาโจทก์ไม่นําสืบว่าจําเลยออกเช็คพิพาทเพื่อ
ชําระหนี้ท่ีมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายให้แก่ ศ. ผู้สลักหลังเช็คดังกล่าว จึงไม่เป็นเป็นความผิด
ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับ
ภายหลัง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 จําเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทํา
ความผดิ ตาม ป.อ.มาตรา 2 วรรคสอง

3.2 สถานทท่ี ่กี ฎหมายอาญาใช้บงั คับ
อธปิ ไตยของรฐั ย่อมมีเหนอื อาณาเขตของรัฐ ฉะน้ันการกระทําความผิดซึ่งเกิดขึ้น ในอาณาเขต

ไม่ว่าผู้กระทําผิดจะเป็นคนสัญชาติใด ย่อมตกอยู่ภายใต้อํานาจของรัฐท่ี ความผิดเกิดขึ้นนั้น นอกจากนี้
อํานาจรฐั ยงั ครอบคลุมไปถึงความผดิ บางประเภท หรือ บคุ คลผกู้ ระทําผิดได้ทํานอกอาณาเขตของรัฐนั้น
ด้วย ในเรื่องอํานาจของรัฐนี้ประมวล กฎหมายอาญาได้วางหลักเกณฑ์ไว้ โดยให้ใช้ “หลักดินแดน”
หมายความว่า กฎหมาย ของรัฐใดย่อมใช้บังคับแก่การกระทําความผิดท่ีเกิดข้ึนภายในเขตของรัฐน้ัน
ทั้งน้ีจะเห็นได้ จากมาตรา 4 วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทําความผิดในราชอาณาจักร ต้องรับโทษ
ตาม กฎหมาย” คําว่า “ราชอาณาจักร” น้ัน ประมวลกฎหมายอาญามิได้ให้ความหมายไว้ จึงไป ศึกษา
จากกฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื งวา่ ราชอาณาจกั รน้ันไดแ้ ก่

(1) พืน้ ดนิ และพน้ื นาํ้ เชน่ แม่น้าํ ลาํ คลอง ซึ่งอยูใ่ นอาณาเขตของประเทศ
(2) ทะเลอันเป็นอา่ วไทย ตามพระราชบญั ญัตกิ ําหนดเขตจงั หวดั ในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502
(3) ทะเลอนั หา่ งจากฝ่ังทเี่ ป็นดนิ แดนของประเทศไม่เกนิ 12 ไมล์
(4) พนื้ อากาศเหนอื (1), (2), (3)
คําว่า “กระทําความผิดในราชอาณาจักร” จึงหมายความว่า ความผิดน้ันได้กระทํา ลงใน
ราชอาณาจกั ร และผลของการกระทําความผิดนั้นก็เกดิ ในราชอาณาจักรด้วย

กรณีกระทาความผดิ ในราชอาณาจักรน้ี แยกออกเป็น 2 ประการคือ
1. กระทําความผดิ ในราชอาณาจักรโดยตรง
2. กรณกี ฎหมายให้ถือว่ากระทําความผิดในราชอาณาจักร

50 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

1. กระทาความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 4 วรรคแรก
บัญญตั ิว่า “ผ้ใู ดกระทาํ ความผิดในราชอาณาจกั ร ตอ้ งรับโทษตามกฎหมาย”

ตามบทบัญญัติมาตรา 4 วรรคแรก หลักการพิจารณาว่าเป็นการกระทํา ความผิดใน
ราชอาณาจกั รโดยตรง คือ

1.1 การกระทาํ และผลของการกระทาํ เกิดในราชอาณาจักร
1.2 ผู้กระทาํ หรอื ผู้ทีไ่ ดร้ บั ผลแหง่ การกระทําจะเปน็ คนสัญชาติไทยหรือไมก่ ต็ าม

1.1 การกระทาและผลของการกระทาเกิดในราชอาณาจักร หมายความว่า ทั้งการ
กระทําและผลของการกระทําจะต้องเกิดในราชอาณาจักรเท่านั้น เพียงแต่การ กระทําหรือผลของการ
กระทําอย่างใดอยา่ งหน่งึ เกิดในราชอาณาจกั รยังไมถ่ ือว่าเปน็ การ กระทําความผิดที่เกิดในราชอาณาจักร
โดยตรง เช่น ก. ยิง ข. ที่กรุงเทพมหานคร และ ข. ก็ถูกปืนตายที่กรุงเทพมหานคร เป็นการกระทํา
ความผิดท่ีเกิดในราชอาณาจักรโดยตรง ก. จึงต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญาซ่ึงใช้บังคับอยู่ใน
ประเทศไทย ก. ยืนอยู่ฝ่ังลาว ใช้ปืนยิง ข. ซ่ึงยืนอยู่ฝ่ังไทยถึงแก่ความตาย เช่นน้ีการกระทําเกิดนอก
ราชอาณาจักร แต่ ผลเกิดในราชอาณาจักร จึงมิใช้การกระทําความผิดที่เกิดในราชอาณาจักรโดยตรง
แต่เป็น กรณที ี่กฎหมายให้ถือว่ากระทําความผิดท่ีเกิดในราชอาณาจักรโดยตรง แต่เป็นกรณีที่ กฎหมาย
ให้ถอื ว่ากระทําความผิดในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรคแรก

1.2 ผู้กระทาหรือผู้ท่ีได้รับผลแห่งการกระทาจะเป็นคนสัญชาติไทย หรือไม่ก็ตาม
การกระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรงนี้ สําหรับผู้กระทําหรือผู้ท่ี ได้รับผลแห่งการกระทํานี้มิได้
จํากัดว่าจะต้องเป็นคนสัญชาติใด หากได้กระทําและผลของ การกระทําเกิดในราชอาณาจักรแล้ว เป็น
การกระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญาซ่ึงใช้บังคับอยู่ใน
ราชอาณาจักรไทย เช่น จอห์น คนอังกฤษใช้ปืนยิงดําคนไทยท่ีเชียงใหม่ถึงแก่ความตาย ดังนี้เป็นการ
กระทําความผดิ ที่ เกดิ ในราชอาณาจักรโดยตรงแล้ว จอห์นคนอังกฤษต้องรับโทษตามประมวลกฎหมาย
อาญาซงึ่ ใช้บังคับอย่ใู นประเทศไทย

2. กรณีกฎหมายให้ถือว่ากระทาความผิดในราชอาณาจักร ซึ่งบัญญัติอยู่ใน ประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 4 วรรค 2, มาตรา 5 และมาตรา 6 แยกพจิ ารณาไดด้ งั นี้

2.1 การกระทําความผดิ ในเรือไทย หรืออากาศยานไทย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ทใี่ ด
2.2 ส่วนใดส่วนหน่งึ ของการกระทาํ ผดิ เกิดในราชอาณาจกั ร
2.3 ผลของการกระทาํ ความผดิ เกิดในราชอาณาจกั ร
2.4 ตระเตรยี มหรือพยายามกระทําความผดิ ซงึ่ ผลจะเกดิ ข้ึนในราชอาณาจกั ร
2.5 ตัวการ ผู้สนับสนุน และผู้ใช้ให้กระทําความผิดในราชอาณาจักรหรือท่ีให้ ถือว่ากระทําใน
ราชอาณาจักร

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 51

2.1 การกระทาความผดิ ในเรือไทย หรอื อากาศยานไทย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ทใ่ี ด
คําว่า “เรือไทยหรืออากาศยานไทย” นี้ กฎหมายมิได้จํากัดถึงชนิดไว้ จึง ต้องหมายความว่า
ต้องรวมถึงเรือและอากาศยาน ซ่ึงใช้ในการรบของกองทัพไทยและเรือ หรืออากาศยานพาณิชย์ ซึ่งข้ึน
ทะเบยี นและชกั ธงไทยด้วย
คําว่า “ไม่ว่าจะอยู่ ณ ท่ีใด” หมายความว่า เรือหรืออากาศยานไทยน้ีได้ แล่นออกไปพ้น
ราชอาณาจักรแลว้ กํา ลังเกินทางอย่หู รอื ไปจอดอยู่ ณ ทีใ่ ด นอก ราชอาณาจกั ร
การกระทําความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยนี้ หมายถึง ทั้งการ กระทําและผลของการ
กระทําความผิดได้เกิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย หรือเพียง ส่วนหน่ึงส่วนใดของความผิดได้เกิดขึ้น
ในเรือนไทยหรืออากาศยานไทย และผู้กระทํา ความผิดหรือผู้ได้รับผลแห่งการกระทําความผิดน้ันจะ
เป็นคนสัญชาติใดก็ตาม ข้อสําคัญ อีกอันหนึ่งก็คือเรือไทยหรืออากาศยานไทยขณะเกิดเหตุจะต้องอยู่
นอกราชอาณาจักร ถา้ ขณะเกดิ เหตุหรอื เรอื อากาศยานไทยน้นั อยูใ่ นราชอาณาจกั รไทย ก็เป็นการกระทํา
ความผดิ ในราชอาณาจักรโดยตรงตามมาตรา 4 วรรคแรก หรือกรณีกระทําความผิดในเรือ หรือ อากาศ
ยานต่างประเทศขณะจอดเรือหรือผ่านราชอาณาจักรไทย ก็เป็นการกระทํา ความผิดในราชอาณาจักร
ไทยโดยตรงตามมาตรา 4 วรรคแรกเช่นกนั
ตัวอย่างที่ 1 ขณะที่เรือสินค้าไทยลําหน่ึงจอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือ ฮ่องกง นายเซียชาวจีนได้
ลอบขึ้นมาลักทรัพย์บนเรือสินค้าไทย ดังนี้ถือว่านายเซียกระทํา ความผิดในราชอาณาจักร ศาลไทยมี
อํานาจพจิ ารณาพิพากษาลงโทษนายเซยี ไดต้ าม มาตรา 4 วรรค 2
ตัวอยา่ งที่ 2 ในระหว่างท่เี ครอื่ งบินของบริษัทเดินอากาศไทยกาํ ลงั บิน โฉมหน้าจะไปฮ่องกง ใน
ระหว่างทบี่ นิ อยู่เหนือประเทศกมั พชู าพน้ อาณาเขตไทยแลว้
ตัวอย่างที่ 3 ขณะท่ีเคร่ืองบินของบริษัทสิงคโปร์แอร์ไลน์จอดรับ ผู้โดยสารอยู่ที่ท่าอากาศยาน
กรุงเทพมหานคร นายฮิมชาวลังกาไดช้ ิงทรพั ย์นายชโิ ดชาว ญ่ีปุนบนเครื่องบนิ น้นั ดงั นี้เป็นการกระทําใน
ราชอาณาจักรโดยตรง ศาลไทยมอี าํ นาจ พิจารณาและพิพากษาลงโทษนายฮิมชาวลังกาได้ตามมาตรา 4
วรรคแรก
ข้อสังเกต การกระทําความผิดในสถานทูตต่างประเทศท่ีต้ังอยู่ใน ประเทศไทยเป็นการกระทํา
ความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง ส่วนการกระทําความผิดใน สถานทูตไทยท่ีตั้งอยู่ในต่างประเทศไม่ใช่
เป็นการกระทําความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง หรือที่กฎหมายให้ถือว่ากระทําความผิดใน
ราชอาณาจักร

2.2 สว่ นใดส่วนหน่งึ ของการกระทาผดิ เกดิ ในราชอาณาจักร
การกระทําแม้แต่ส่วนใดได้กระทําในราชอาณาจักร ในข้อน้ีถือเอาการ กระทําเป็นหลักว่า แม้
การกระทําผิดน้ันมิได้เกิดข้ึนภายในราชอาณาจักรท้ังหมด กล่าวคือ บางส่วนทําในราชอาณาจักร แต่
บางส่วนทํานอกราชอาณาจักร กฎหมายให้ถือว่ายังเป็น การกระทําภายในราชอาณาจักร เช่น ขบวน
รถไฟแล่นระหว่างกรุงเทพมหานครกับปีนัง คนร้ายได้ซื้อต๋ัวติดตามผู้โดยสารคนหนึ่งไปจากกรุงเทพฯ
พอรถไฟแลน่ ถึงท่หี าดใหญ่ คนรา้ ยกแ็ อบใชย้ าเบอ่ื เคล้าใส่อาหารให้คนโดยสารรับประทาน เป็นเหตุให้ผู้

52 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

นั้นหลบั ไมไ่ ด้สตจิ นรถไฟไปถึงปีนัง พอรถไฟจอดท่ีสถานีปีนังคนร้ายก็ลักทรัพย์ต่างๆ ซ่ึงติดตัวผู้โดยสาร
น้ันไป การลักทรัพย์นั้นไปเกิดนอกราชอาณาจักร แต่กฎหมายให้ถือว่าได้กระทําความผิดใน
ราชอาณาจักร เพราะการกระทําส่วนหน่ึงคือ การใส่ยาเบื่อลงในอาหารให้คนโดยสารรับประทาน ได้
กระทําในราชอาณาจกั ร ศาลไทยจึงมีอาํ นาจลงโทษได้

ที่ว่าการกระทําส่วนหนึ่งส่วนใดเกิดในราชอาณาจักรนี้ ไม่ได้หมายความ เฉพาะแต่ผู้กระทํา
ความผิดจะต้องกระทําการนั้นด้วยมือตนเองเสมอไป ยังหมายความ รวมถึงการใช้สิ่งใดเป็นเครื่องมือ
และการให้คนซึ่งมิได้ร่วมกระทําความผิดด้วยเป็น เครื่องมือ เช่น ใช้จดหมายท่ีส่งไปรษณีย์หลอกลวง
ฉ้อโกง การกระทําที่เป็นการหลอกลวง ด้วยแสดงข้อความอันเป็นเท็จ มิใช่จะเกิด ณ ท่ีท่ีผู้กระทํา
ความผดิ เขียนจดหมายเทา่ นน้ั

การกระทําความผิดประเภทต่อเน่ืองหรือเป็นปกติธุระ หรือการกระทํา ความผิดท่ียืดออกไป
ตลอดเวลาและทุกแหง่ ที่มีการกระทํา ถือว่าเป็นการกระทําสว่ นหน่ึง แห่งความผิดอยู่ทุกขณะทุกแห่งท่ีมี
การกระทํานน้ั 5

2.3 ผลของการกระทาความผดิ เกดิ ในราชอาณาจักร ได้เกิดใน
กรณีที่การกระทําได้เกิดข้ึนนอกราชอาณาจักร แต่ผลของการกระทําน้ัน
ราชอาณาจกั ร มีดังนี้ คือ
ก. โดยผกู้ ระทาํ ประสงคใ์ ห้ผลนัน้ เกิดข้นึ ในราชอาณาจักร
ข. โดยลักษณะแหง่ การกระทาํ ผลทเี่ กิดขน้ึ น้ันควรเกิดในราชอาณาจักร
ค. โดยลักษณะแห่งการกระทํา ยอ่ มจะเล็งเหน็ ไดว้ ่าผลนัน้ จะเกิดใน ราชอาณาจกั ร

ก. โดยผู้กระทา ประสงค์ให้ผลน้ันเกิดขึ้นในราชอาณาจักร หมายความว่า แม้การกระทําจะ
ไดเ้ กดิ ขนึ้ ภายนอกราชอาณาจกั รก็ดี แต่ถ้าผลน้ันได้เกดิ ในราชอาณาจกั รโดยผู้กระทําประสงค์แล้ว ก็ถือ
ว่ากระทําในราชอาณาจักร เช่น ก. ยืนอยู่ ฝั่งประเทศลาว มีเจตนาจะฆ่า ข. ซึ่งยืนอยู่เขตฝ่ังไทย จึงใช้
ปืนยิงมาถูก ข. ตาย จะเหน็ วา่ การกระทํานนั้ ได้ลงมือกระทาํ นอกราชอาณาจักร แต่ผลคือความตายของ
ข. เกดิ ขึ้นใน ราชอาณาจกั ร โดย ก. ประสงคใ์ หผ้ ลนั้นเกดิ ขนึ้ ก. จึงต้องรบั โทษตามกฎหมายไทย

ข. โดยลักษณะแห่งการกระทา ผลท่ีเกิดข้ึนน้ันควรเกิดใน ราชอาณาจักร ในข้อน้ีต่างกับใน
ข้อท่ีแล้ว ในข้อท่ีแล้วถือเอาเจตนาของผู้กระทําเป็น สําคัญ ส่วนในข้อน้ีถือเอาลักษณะแห่งการกระทํา
เป็นสําคัญ กล่าวคือ โดยลักษณะแห่ง การกระทําเช่นนั้น แม้กระทํานอกราชอาณาจักร แต่ผลควรจะ
เกิดในราชอาณาจักร ซึ่ง ส่วนมากจะเป็นการกระทําโดยประมาท เช่น นายเข็มชนชาติเขมรอยู่ท่ี
ชายแดนตดิ ต่อ

5 จิตติ ติงศภัทยิ ์, ศาสตราจารย,์ คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ตอน 3 และตอน 3. (โรงพิมพแ์ สงทองการพมิ พ์,
2513), หน้า 2098

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 53

ค. โดยลักษณะแห่งการกระทา ย่อมจะเล็งเห็นได้ว่าผลน้ันจะเกิด ในราชอาณาจักร ผลแห่ง
การกระทาํ ไดเ้ กดิ ขึ้นในราชอาณาจกั รโดยผู้กระทําย่อมเล็งเห็น ได้ว่าผลนั้นเกิดขึ้นในราชอาณาจักร เช่น
แดงอย่ทู เี่ สน้ เขตแดนทางประเทศกัมพูชา ยนื คุย อยู่กับดําซ่ึงอย่ทู างเสน้ เขตแดนในประเทศไทย เขียวซ่ึง
อยู่ในประเทศกัมพูชาใช้ปืนยิงแดง ซ่ึงอยู่ในกัมพูชาท้ังที่รู้ว่าดํายืนอยู่ในวิถีกระสุนด้วย กระสุนปืนถูกดํา
คนไทยตาย ตอ้ งถือ ว่าเขยี วกระทําผิดในราชอาณาจักร \

2.4 การตระเตรียมการหรือพยายามกระทาความผิดซึ่งกฎหมายบัญญัติ เป็นความผิด และ
ไดก้ ระทานอกราชอาณาจักร ซึ่งถา้ ความผดิ นน้ั ได้ทาตอ่ ไปถึงขั้น สาเรจ็ ผลจะเกดิ ในราชอาณาจักร

มีความผิดหลายชนิดท่ีกฎหมายบัญญัติว่า แม้แต่เพียงการตระเตรียม การหรือพยายามท่ีจะ
กระทาํ ผดิ กม็ ีความผดิ แลว้ ได้แก่

1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 107 การตระเตรียมการหรือพยายาม ปลงประชนม์
พระมหากษัตรยิ ์

2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 108 การตระเตรียมการหรือพยายาม ประทุษร้ายต่อ
พระองคห์ รอื เสรีภาพของพระมหากษัตรยิ ์

3) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 109 การตระเตรียมการหรือพยายาม ปลงพระชนม์พระ
ราชนิ ี รชั ทายาท ฆ่าผู้สาํ เร็จราชการแทนพระองค์

4) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 การตระเตรียมการหรือพยายาม ประทุษร้ายต่อพระ
ราชนิ ี รชั ทายาท ผู้สาํ เรจ็ ราชการแทนพระองค์

5) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 114 การตระเตรียมการอื่นใดเพ่อื เป็นกบฏ
6) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 128 การตระเตรียมการหรือพยายาม กระทําความผิดต่อ
ความม่นั คงของรัฐภายนอกราชอาณาจกั ร
7) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 219 การตระเตรียมการหรือพยายาม วางเพลิงเผาทรัพย์
ฉะนั้น การตระเตรียมการหรอื พยายามกระทําความผิดน้ี แมจ้ ะได้กระทํา นอกราชอาณาจักร หากมีการ
กระทําต่อไปเป็นผลสําเร็จ ผลแห่งการกระทําเช่นนั้นจะ เกิดขึ้นในราชอาณาจักร เช่น นาย ก. อยู่ใน
ประเทศกัมพูชาตระเตรียมจะเผาบ้านนาย ข. อยู่ท่ีอรัญประเทศ ขนนํ้ามันเช้ือเพลิงมารออยู่ชายแดน
เตรียมจะเข้ามาเผาบ้านในประเทศไทย แต่ถูกจับเสียก่อน เช่นน้ีถือว่ามีความผิดฐานตระเตรียมการ
วางเพลงิ ในราชอาณาจกั ร ศาลไทยลงโทษได้

2.5 ในกรณีที่ผู้กระทาผิดมีหลายคน คือมีตัวการด้วย ผู้สนับสนุนหรือ ผู้ใช้ให้กระทาผิด
และคนเหล่าน้ันทาผิดนอกราชอาณาจักร หมายความว่า ความผิด ท่ีเกิดข้ึนในราชอาณาจักรโดยตรง
หรือที่กฎหมายบัญญัติให้ถือว่ากระทําความผิดในราชอาณาจักรนี้ หากมีตัวการผู้สนับสนุนหรือผู้ใช้
บุคคลเหลา่ น้ใี หก้ ระทาํ ความผดิ น้ันนอกราชอาณาจักร กฎหมายก็ให้ลงโทษตัวการผสู้ นับสนนุ หรือผู้ใช้ใน
ราชอาณาจกั รได้ เช่น แดงอยู่ทฮ่ี ่องกงจ้างให้ดํามายิงนายเขียวที่กรุงเทพฯ ดังนี้ต้องถือว่านายแดงทําผิด
ในประเทศ จงึ ต้องรับโทษตามกฎหมายไทย

54 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

1) ความผิดนอกราชอาณาจักรท่ีถือเอาลักษณะแห่งความผิดเป็นสาคัญ โดยประมวล
กฎหมายอาญาได้บัญญัติไว้ในมาตรา 7 ความว่า “ผู้ใดกระทําความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้นอก
ราชอาณาจกั ร จะต้องรบั โทษในราชอาณาจักร คือ

(1/1) ความผดิ เกีย่ วกับการก่อการรา้ ยตามท่บี ัญญตั ิไว้ในมาตรา 135/1 มาตรา 135/2
มาตรา 135/2 และมาตรา 135/4

(1) ความผดิ เกี่ยวกับความม่ันคงแห่งราชอาณาจกั ร ตามที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 107 ถึง
มาตรา 129

(2) ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง ตามท่ีบัญญัติไว้ใน มาตรา 240 ถึง
มาตรา 249 มาตรา 254 มาตรา 256 มาตรา 257 และมาตรา 266(3) และ (4)

(2 ทวิ) ความผิดเกย่ี วกบั เพศตามท่บี ัญญตั ไิ วใ้ นมาตรา 282 และ มาตรา 283
(3) ความผดิ ฐานชงิ ทรพั ยต์ ามท่บี ญั ญัติไว้ในมาตรา 339 และความผิด ฐานปล้นทรัพย์
ตามท่บี ัญญัติไวใ้ นมาตรา 340 ซ่งึ ได้กระทําในทะเลหลวง”
เม่ือได้พิจารณาบทบัญญัติของมาตรา 7 น้ี จะเห็นได้ว่า ประมวล กฎหมายอาญาถือ
หลักว่าบคุ คลจะถูกลงโทษโดยศาลไทยตามมาตราน้ีตอ่ เมื่อเขา้ หลกั เกณฑ์ 3 ประการคอื
(1) มีการกระทาํ ผิดนอกราชอาณาจักร
(2) การกระทําผิดนนั้ เป็นความผิดอย่างใดอยา่ งหน่งึ ท่ีกฎหมายระบุ มาตราต่าง ๆ ไว้
(3) บุคคลน้ันอยู่ในอํานาจศาลไทย กล่าวคือ จับตัวได้ในประเทศไทย หรือรัฐบาลไทย
ได้มีคําขอให้รัฐบาลต่างประเทศส่งตัวมาให้ตามหลักเกณฑ์ในกฎหมาย ระหว่างประเทศเร่ืองการขอให้
สง่ ผรู้ ้ายขา้ มแดน
เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ทั้ง 3 ประการแล้ว ศาลไทยมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีโดย
ไมต่ ้องคาํ นงึ ว่าจาํ เลยนั้นจะมีสญั ชาตใิ ด

(1) มีการกระทาผิดนอกราชอาณาจักร หมายความว่า ความผิดท่ีได้กระทํานั้น
จะต้องกระทาํ นอกราชอาณาจักร หากเป็นการกระทําผิดในราชอาณาจักรก็ ต้องบังคับตามมาตรา 4, 5
และ 6 ดังไดก้ ล่าวมาแลว้

(2) การกระทาความผดิ น้นั เปน็ ความผดิ อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ดงั ตอ่ ไปนี้
ก. ความผิดเกย่ี วกบั การกอ่ การรา้ ย โดยแยกออกดงั น้ี

ก) การใช้กําลังประทุษร้ายหรือกระทําการใดอันก่อให้เกิด อันตรายต่อชีวิต
รา่ งกาย หรือเสรีภาพ การกระทําอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่าง ร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ
ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพ้ืนฐานอันเป็น ประโยชน์สาธารณะ หรือการกระทําอันก่อให้เกิด
ความเสียหายแก่ทรพั ยส์ นิ ของรฐั หรอื บุคคล หรอื ต่อส่ิงแวดล้อมซ่ึงการกระทําดังกล่าวมีความมุ่งหมาย
เพ่ือขู่เข็ญหรือบังคับ รัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศให้กระทําหรือไม่
กระทําการ ใดอนั ก่อใหเ้ กิดความเสยี หายอย่างรา้ ยแรง (ปอ. มาตรา 135/1)

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 55

ข) ขู่เข็ญว่าจะกระทําการก่อการร้าย สะสมกําลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือ
รวบรวมทรพั ยส์ นิ ให้หรอื รับการฝึกการกอ่ การร้าย (ปอ. มาตรา 135/2)

ค) สนับสนุนในการกระทําความผิดตามข้อ 1 และข้อ 2 ปอ. มาตรา 135/3
ง) เป็นสมาชิกของคณะบุคคลท่ีมีการกระทําอันเป็นการก่อ การร้าย (ปอ.
มาตรา 135/4)

ข. ความผดิ เกี่ยวกบั ความมน่ั คงแห่งราชอาณาจักร โดยแยกออก ดังนี้
ก) มาตรา 107 ถึงมาตรา 112 เปน็ ความผิดทก่ี ระทําตอ่ องค์ พระมหากษัตริย์

พระราชินีและผู้สําเรจ็ ราชการแทนพระองค์
ข) มาตรา 113 ถึงมาตรา 118 เป็นความผิดต่อความม่ันคง ของรัฐภายใน

ราชอาณาจักร
ค) มาตรา 119 ถึงมาตรา 129 ว่าด้วยความผิดต่อความมั่นคง ของรัฐ

ภายนอกราชอาณาจกั ร
กรณีตามข้อ ก. และข้อ ข. นเ้ี ป็นหลักปูองกันตนเอง เพราะ การกระทําผิดเช่นน้ันเป็น

การประทุษร้ายต่อประเทศไทยโดยตรง

ค. ความผดิ เกยี่ วกับการปลอมและการแปลง โดยแยกออกได้ดังน้ี
ก) มาตรา 240 ถงึ มาตรา 249 เป็นเรอื่ งเก่ียวกับการมี ทาํ ใช้ หรือนําเข้ามาใน

ราชอาณาจักร ซ่ึงเงินเหรียญ ธนบัตร หรือพันธบัตร ซ่ึงเป็นของปลอม แปลง รวมทั้งของรัฐบาล
ตา่ งประเทศดว้ ย

ข) มาตรา 254 ถงึ มาตรา 256 และมาตรา 257 เป็นเร่ือง เกี่ยวกับการปลอม
แปลงซ่ึงแสตมป์ของรัฐบาลใชใ้ นการไปรษณีย์ การภาษอี ากร หรือเก็บ คา่ ธรรมเนยี ม
ค) มาตรา 266 วรรคแรก 3 และ 4 เป็นเร่ืองปลอมใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือใบสําคัญของใบหุ้น หรือใบหุ้นกู้
และต๋วั เงิน

กรณีตามข้อ ค. นี้เป็นหลักปูองกันเศรษฐกิจ เพราะการกระทํา เช่นน้ีเป็นการเสียหาย
ตอ่ เศรษฐกิจของประเทศ

ง. ความผิดเก่ียวกับเพศดังท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา 282 และมาตรา 283 และมาตรา
283 ทวิ เป็นการล่วงละเมิดทางเพศด้วยการเป็นธุระจัดหาล่อไป หรือ พาไป เพ่ือการอนาจาร ซึ่งชาย
หรอื หญงิ เพ่ือสนองความใคร่ของผู้อื่น โดยผู้น้ันจะยินยอม หรือไม่ก็ตาม หรือใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ
ใชก้ ําลงั ประทษุ รา้ ย ใช้อํานาจครอบงาํ

กรณีตามขอ้ ง. เปน็ หลกั ปูองกันการล่วงละเมิดทางเพศ

จ. ความผดิ ฐานโจรสลัด ซ่งึ กลา่ วถึงความผิดฐานชิงทรัพย์ ตาม มาตรา 339 และปล้น
ทรัพย์ ตามมาตรา 340 เฉพาะที่ทําในทะเลหลวง การที่ให้ศาลไทย มีอํานาจลงโทษในเร่ืองน้ีได้ เพราะ

56 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

เป็นหลักสากล คือผู้ท่ีกระทําการชิงทรัพย์หรือปล้น ทรัพย์ในทะเลหลวง ประเทศใดจับคนร้ายได้
ประเทศนนั้ กม็ อี ํานาจลงโทษได้

(3) บุคคลน้ันอยู่ในอานาจศาลไทย โดยจับได้ในประเทศไทย หรือ ได้มีคําขอให้
รัฐบาลต่างประเทศส่งตัวมาให้ก็ตาม เพราะตามหลักในประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา
มาตรา 172 ได้บัญญัติไว้ว่า การพิจารณาต้องทําโดยเปิดเผยต่อ หน้าศาล กล่าวคือจะต้องได้ตัวจําเลย
มาพจิ ารณาตอ่ ศาล ดงั นั้นถา้ ผ้กู ระทาํ ความผดิ อย่ใู น อาํ นาจศาลไทยแล้ว ศาลไทยกพ็ จิ ารณาไปได้เลย

2) ความผิดนอกราชอาณาจกั รทถี่ ือเอาตัวบุคคลเปน็ สาคัญ
ความผิดนอกราชอาณาจักรท่ีถือเอาตัวบุคคลเป็นสําคัญ ซึ่งศาลไทยมี อํานาจลงโทษได้น้ี มีอยู่
ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8 และมาตรา 9 ได้ถือหลักว่า นอกจากพิจารณาถึงตัวบุคคลแล้ว
จะต้องปรากฏว่าความผิดน้ันๆ อยู่ในประเภทที่ กฎหมายระบุไว้โดยชัดแจ้ง บทบัญญัติในเรื่องน้ีมี
ดังตอ่ ไปน้ี
มาตรา 8 บญั ญตั ิว่า “ผู้ใดกระทาํ ความผดิ นอกราชอาณาจกั ร และ
(ก) ผู้กระทําความผิดน้ันเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศท่ีมี ความผิดได้เกิดขึ้น หรือ
ผเู้ สียหายได้รอ้ งขอใหล้ งโทษ หรอื
(ข) ผู้กระทําความผิดน้ันเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทย เป็นผู้เสียหาย และ
ผเู้ สียหายได้รอ้ งขอให้ลงโทษ

ถา้ ความผดิ นัน้ เปน็ ความผิดดงั ระบุไว้ต่อไปน้ี จะตอ้ งรบั โทษ ภายในราชอาณาจกั ร คือ
(1) ความผิดเก่ียวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนตามท่ี บัญญัติไว้ในมาตรา 217
มาตรา 218 มาตรา 221 ถึงมาตรา 223 ทั้งน้ีเว้นแต่กรณี เก่ียวกับมาตรา 220 วรรคแรก และมาตรา
224 มาตรา 226 มาตรา 228 กับมาตรา 232
(2) ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ตามท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266(1)
และ (2) มาตรา 268 ท้ังน้ีเว้นแตก่ รณีเกี่ยวกับมาตรา 267 มาตรา 269
(2/1) ความผดิ เกีย่ วกบั บตั รอเิ ล็กทรอนิกสต์ ามทบี่ ญั ญตั ิไว้ใน มาตรา 269/1 ถงึ 269/7
(2/2) ความผดิ เกี่ยวกับหนงั สือเดินทางตามท่ีบญั ญัติไว้ในมาตรา 269/8 ถงึ มาตรา 269/15
(3) ความผิดเก่ียวกับเพศ ตามท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา 276 มาตรา 280 และมาตรา 285
ทง้ั นเ้ี ฉพาะทเ่ี กีย่ วกับมาตรา 276
(4) ความผิดตอ่ ชีวติ ตามทีบ่ ัญญัตไิ วใ้ นมาตรา 288 ถึงมาตรา 290
(5) ความผดิ ต่อรา่ งกาย ตามทบ่ี ัญญตั ิไว้ในมาตรา 295 ถึงมาตรา 298
(6) ความผิดฐานทอดท้ิงเด็ก คนปุวยเจ็บหรือคนชรา ตามที่ บัญญัติไว้ในมาตรา 306 ถึง
มาตรา 308
(7) ความผิดตอ่ เสรภี าพ ตามทบ่ี ญั ญัติไวใ้ นมาตรา 309 มาตรา 310 มาตรา 312 ถึงมาตรา
315 และมาตรา 317 ถงึ มาตรา 320

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 57

(8) ความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์และวงิ่ ราวทรัพย์ ตามที่บญั ญตั ไิ ว้ใน มาตรา 334 ถึงมาตรา 336
(9) ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์ ตามท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา
337 ถึงมาตรา 340
(10) ความผิดฐานฉ้อโกง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 341 ถึง มาตรา 344 มาตรา 346 และ
มาตรา 347
(11) ความผิดฐานยักยอก ตามท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 352 ถึง มาตรา 354
(12) ความผดิ ฐานรบั ของโจร ตามท่บี ญั ญัตไิ ว้ในมาตรา 257
(13) ความผิดฐานทาํ ใหเ้ สียทรพั ย์ ตามทบ่ี ัญญตั ไิ วใ้ นมาตรา 258 ถึงมาตรา 360”

ตามข้อความในมาตรา 8 น้ี แยกพจิ ารณาออกไดด้ งั น้ี
1. บคุ คลที่เกยี่ วขอ้ งในคดี บุคคลทเี่ ก่ียวขอ้ งในคดีตามมาตรา 8 นี้ มี 2 กรณี คือ

ก) ผู้ต้องหาเป็นคนไทย หมายความว่า ผู้ทํา ผิดนอก ราชอาณาจักรเป็นคน
ไทย และคนไทยท่ีกระทําผิดน้ีได้หนีกลับเข้ามาในประเทศไทย เมื่อ รัฐบาลแห่งประเทศท่ีความผิดได้
เกิดข้ึนหรือผู้เสียหายร้องขอ ให้ศาลไทยมีอํานาจลงโทษผู้กระทําผิดได้ เหตุที่ต้องให้ประเทศที่ความผิด
เกิดขึ้นหรือผู้เสียหายร้องขอมาให้ประเทศไทยจัดการ แทนที่จะขอให้ประเทศไทยส่งคนไทยผู้กระทํา
ความผิดออกไปให้ประเทศนั้นพิจารณา ท่ีเป็นเช่นนี้เพราะหลักในกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องการส่ง
ผู้ร้ายข้ามแดนน้ัน รัฐต่างๆ จะไม่ยอมส่งคนของตัวเองไปให้ศาลแห่งรัฐต่างประเทศเป็นผู้พิจารณา
พพิ ากษา เพราะถือว่าเปน็ การผิดหลกั มนุษยธรรมที่จะหยิบยื่นคนของตนเองไปให้ผู้อื่นพิจารณา ลงโทษ
ดังนนั้ ถา้ รัฐบาลตา่ งประเทศซึ่งเปน็ เจา้ ของที่เกิดเหตุขอตัวมา เราก็จะส่งให้ไม่ได้ จะทําได้ก็โดยพิจารณา
ลงโทษเสียเองหากรัฐบาลของประเทศเจ้าของท่ีเกิดเหตุร้องขอมา เช่น แดง ดํา และเขียว ร่วมกันปล้น
ทรัพย์เหลอื งชาวมาเลเซียที่ประเทศมาเลเซียแล้วหนี กลับเข้ามาในประเทศไทย ดังน้ีศาลไทยจะลงโทษ
ดาํ แดง และเขยี ว ได้กต็ ่อเม่อื รัฐบาล มาเลเซียหรอื เหลืองรอ้ งขอมา

ข) ผู้ต้องหาเป็นคนต่างด้าว หมายความว่า ผู้กระทําผิดเป็นคนต่างด้าว ได้
กระทําความผดิ นอกราชอาณาจกั ร และผู้เสียหายเป็นรัฐบาลไทยหรือคนไทยเท่าน้ัน หากผู้เสียหายเป็น
รัฐบาลต่างประเทศหรือคนต่างด้าว ศาลไทยก็ไม่จําต้องเป็นธุระที่จะเอาตัวผู้กระทําความผิดมาลงโทษ
กรณีตามข้อ ข) น้ี ผู้เสียหายต้องร้องขอ เช่นเดียวกัน ศาลไทยจึงจะลงโทษได้ กล่าวคือ คนต่างด้าว
ผู้กระทําผิดได้หนีเข้ามาในประเทศไทย ถ้าคนต่างด้าวผู้กระทําผิดมิได้เข้ามาในประเทศไทย ก็ต้องเป็น
เรื่องของ กฎหมายระหว่างประเทศท่ีผู้เสียหายจะต้องร้องขอให้รัฐบาลเจ้าของที่เกิดเหตุทําการ
พจิ ารณาลงโทษ เช่น แดงคนเขมรยิงดําคนไทยท่ีประเทศพม่า ดังนี้ถ้าแดงหนีเข้ามาใน ประเทศไทย ดํา
ร้องขอให้ศาลไทยลงโทษแดงได้หรือถ้าแดงมิได้เข้ามาในประเทศไทย ดําก็ต้องร้องขอให้รัฐบาลประเทศ
พม่าพิจารณาลงโทษแดง

2. ลักษณะแห่งความผิด แม้จะได้ทราบบุคคลผู้กระทําความผิด และผู้เสียหายแล้ว
จะตอ้ งประกอบดว้ ยลกั ษณะแห่งความผิดดังตอ่ ไปน้ี ศาลไทยจึงจะ ลงโทษได้คือ

58 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

(1) ความผดิ เกยี่ วกบั การก่อใหเ้ กดิ ภยนั ตรายตอ่ ประชาชน
(2) ความผิดเกย่ี วกบั เอกสาร
(2/1) ความผดิ เกย่ี วกบั การบัตรอิเลก็ ทรอนกิ ส์
(2/2) ความผิดเกี่ยวกับหนงั สอื เดนิ ทาง
(3) ความผดิ เก่ียวกบั เพศ
(4) ความผดิ ตอ่ ชวี ิต
(5) ความผดิ ต่อรา่ งกาย
(6) ความผิดฐานทอดทิ้งเดก็ คนเจ็บปวุ ย คนชรา
(7) ความผดิ ตอ่ เสรภี าพ
(8) ความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์ และวง่ิ ราวทรพั ย์
(9) ความผดิ ฐานกรรโชก รดี เอาทรัพย์ ชงิ ทรพั ย์ ปล้นทรัพย์
(10) ความผดิ ฐานฉ้อโกง
(11) ความผิดฐานยักยอก
(12) ความผิดฐานรบั ของโจร
(13) ความผิดฐานทําใหเ้ สยี ทรัพย์

มาตรา 9 บญั ญัติว่า “เจา้ พนักงานของรัฐบาลไทย กระทําความผิด ตามท่ีบัญญัติไว้ใน
มาตรา 147 ถึงมาตรา 166 และมาตรา 200 ถึงมาตรา 205 นอก ราชอาณาจักร จะต้องรับโทษใน
ราชอาณาจักร”

ตามข้อความในมาตรา 9 น้ี แยกพจิ ารณาออกเป็น 2 กรณีคือ
ก. ผู้กระทําความผิดเป็นเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทย ได้กระทําความผิดนอก
ราชอาณาจักร โดยปกติเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยที่อาจไปทําความผิดนอกประเทศไทยได้มีอยู่ 2
ประการ

ก) เจ้าพนักงานท่ีรัฐบาลส่งออกไปประจําตามสถานทูต สถาน กงสุล หรือ
องคก์ ารตา่ ง ๆ ในตา่ งประเทศ

ข) เจ้าพนักงานท่ีรัฐบาลส่งไปปฏิบัติราชการในต่างประเทศ เก่ียวกับกิจการ
อยา่ งหน่งึ อย่างใดช่ัวคราว เชน่ สง่ ไปทาํ สัญญาซ้ือส่งิ ของมาใช้ในราชการ เปน็ ต้น

ข. ลักษณะแห่งความผิด เจ้าพนักงานไทยที่กระทําความผิดนอกราชอาณาจักรนั้น
ศาลไทยจะลงโทษไดก้ ็ต้องประกอบด้วยลกั ษณะแหง่ ความผดิ ดังตอ่ ไปน้ี

ก) ความผดิ ตอ่ ตาํ แหนง่ หนา้ ท่ี (มาตรา 147 ถงึ มาตรา 166)
ข) ความผดิ ตอ่ ตําแหนง่ หนา้ ท่ีในการยุติธรรม (มาตรา 200 ถงึ มาตรา 205)

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 59

คาถามท้ายบท

1. การกระทําความผิดในราชอาณาจกั ร แบ่งเปน็ ก่ปี ระเภท อะไรบ้าง
2. กระทาํ ความผิดในราชอาณาจักรโดยตรง ประกอบดว้ ยหลักเกณฑ์อยา่ งไรบ้าง จงอธิบาย
3. กรณีกฎหมายให้ถือว่ากระทําความผิดในราชอาณาจักร ประกอบด้วยหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง
จงอธิบาย
4. กรณีท่ีการกระทําได้เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แต่ผลของการกระทําน้ัน ได้เกิดในราชอาณาจักร
มกี ีก่ รณี อยา่ งไรบ้าง
5. ขณะท่ีเครื่องบินของบริษัทสิงคโปร์แอร์ไลน์จอดรับผู้โดยสารอยู่ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพมหานคร
นายฮิมชาวลังกาได้ชิงทรัพย์นายชิโดชาวญ่ีปุนบนเครื่องบินนั้น กรณีดังกล่าวศาลไทยมีอํานาจในการ
พจิ ารณาพิพากษาคดีหรอื ไม่ อยา่ งไร

60 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

อ้างอิงประจาบท

เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติท่ัวไป, (กรุงเทพมหานคร: คณะ
นติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, 2524), หน้า 20-25.

จิตติ ติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรง
พิมพแ์ สงทองการพมิ พ์, 2513), หน้า 2068.

ดร.อุทศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ
กรมอัยการ, 2525), หนา้ 301.

หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์, 2515), หน้า 35.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 61

บทท่ี 4
สาระสาคัญของความรบั ผิดทางอาญา

วตั ถุประสงค์การเรยี นประจาบท

1. เพ่อื ให้นสิ ติ ทราบถงึ สาระสาคญั ความรับผิดทางอาญา
2. เพ่ือใหน้ สิ ิตทราบถงึ โครงสรา้ งความรบั ผดิ ทางอาญา
3. เพ่ือให้นสิ ติ ทราบถึงองคป์ ระกอบความรบั ผิดทางอาญา
4. เพอ่ื ให้นสิ ิตศึกษาถึงความผิดทางอาญาจะเกดิ ขนึ้ ได้ต้องมีการกระทา
5. เพื่อใหน้ สิ ติ ศึกษาถึงการไม่เคลอ่ื นไหวโดยรสู้ านกึ ก็ถือเป็นการกระทา

ขอบข่ายเน้ือหา

1. สาระสาคญั ของความรับผิดทางอาญา
1.1 สาระสาคญั ของความผิด
1.2 สาระสาคัญทางการกระทา

2. โครงสรา้ งความรบั ผิดทางอาญา
2.1 ผู้กระทา
2.2 การกระทา
2.3 วตั ถุท่ีถูกกระทา
2.4 สภาพภายในจิตใจ

3. องคป์ ระกอบความรบั ผดิ ทางอาญา
3.1 องค์ประกอบภายนอก
3.2 องค์ประกอบภายใน

4. ความหมายของการกระทา
5. ประเภทของการกระทา

5.1 การกระทาโดยเคลื่อนไหว
5.2 การกระทาโดยไม่เคล่อื นไหว
6. วธิ กี ารกระทา
6.1 กระทาโดยตรง
6.2 กระทาโดยออ้ ม

62 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท
1. การบรรยาย
2. การศกึ ษาเอกสารประกอบการสอน
3. ทาแบบฝกึ หัดทา้ ยบท

สอื่ การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. ประมวลกฎหมายอาญา

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 63

4.1 สาระสาคญั ของความผิด ต้อง
การกระทาอย่างใดอันจะมีผลให้ผู้กระทามีความผิดและรับโทษทางอาญาได้น้ัน

ประกอบดว้ ยสาระสาคัญ 3 ประการคอื
1. ตอ้ งมีกฎหมายบญั ญตั ิวา่ การกระทาอย่างใดเปน็ ความผิด
2. ตอ้ งมกี ารกระทาตามทกี่ ฎหมายบัญญตั นิ ้นั และ
3. การกระทาน้นั ต้องประกอบดว้ ยสภาพทางจติ ใจ

1. ต้องมีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทาอย่างใดเป็นความผิด หมายความว่า การกาหนด
ความผิดอาญาน้ันตอ้ งมกี ฎหมายบัญญตั ิไว้โดยชัดแจ้ง ทัง้ การกระทาที่กฎหมายถือเป็นความผิดและโทษ
ท่จี ะพงึ มสี าหรบั การกระทาตอ่ กฎหมายน้นั

2. ต้องมีการกระทาตามท่ีกฎหมายบัญญัติ หมายความว่า การกระทาที่จะเป็น ความผิด ต้อง
เป็นการกระทาตามทีก่ ฎหมายบัญญัตไิ ว้ เช่น ความผิดฐานลักทรัพย์จะมี บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 334 ว่า “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อ่ืนหรือท่ีผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้น้ัน
กระทาความผิดฐานลักทรัพย์...” ฉะน้ัน “การกระทา” คือการเอาไป ซ่ึงเป็นการกระทาตามท่ีกฎหมาย
บัญญตั ิ

3. การกระทาน้ันต้องประกอบด้วยสภาพทางจิตใจ นอกจากจะเป็นการกระทาตามที่
กฎหมายบญั ญตั ิ (ดงั ที่ไดก้ ล่าวไวใ้ นข้อ 2.) จะตอ้ งประกอบดว้ ยสภาพทางจิตใจด้วย กล่าวคือ การเอาไป
(การกระทา) ตอ้ งมเี จตนาทุจริต (เจตนาทจุ ริตเปน็ สภาพ ทางจติ ใจ)

ฉะนั้น ในการวินิจฉัยการกระทาผิดอาญาจึงต้องพิจารณาประกอบด้วยสาระสาคัญทั้ง 3
ประการดังกล่าวมาแล้ว เช่น นายแดงหยิบทรัพย์ของนายดาไปโดยมิได้รับอนุญาต จะวินิจฉัยว่าการ
กระทาของนายแดงเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ต้องพิจารณาว่ามีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทาของนาย
แดงเป็นความผิดหรือไม่ ถ้าในขณะกระทาน้ันมีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดก็พิจารณาต่อไปว่าการ
กระทาของนายแดง (การเอาไป)

ท่ีกลา่ วมาขา้ งตน้ เปน็ เพียงโครงสรา้ งของสาระสาคญั ของความผิดอาญา เพ่ือผู้ศึกษาได้ทาความ
เข้าใจเสียก่อนที่จะศึกษารายละเอียดเรื่องนี้ต่อไป ในการอธิบายถึงรายละเอียดเรื่องสาระสาคัญ

ความผดิ อาญานี้ ผูเ้ ขียนขอแยกอธบิ ายเป็น 2 สว่ น คือ
สว่ นท่ี 1 สาระสาคญั ของความผิด
สว่ นท่ี 2 สาระสาคัญทางการกระทา

64 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

4.2 สาระสาคัญทางการกระทา
ความผดิ อาญาโดยทั่วไปแยกองคป์ ระกอบความผดิ ไดเ้ ปน็ 2 สว่ น คือ
1. องค์ประกอบภายนอก ซึ่งได้แก่ การกระทาและส่ิงที่เก่ียวเน่ืองจากการกระทาอันบุคคล

สามารถมองเห็นได้ และสมั ผสั ได้
2. องค์ประกอบภายใน ซ่ึงได้แก่ สภาพทางจิตใจของผู้กระทาในขณะกระทาการในข้อ 1. อัน

กฎหมายบญั ญัตเิ ป็นความผดิ และไมส่ ามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้

ตัวอย่าง ความผิดฐานลักทรัพย์ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 บัญญัติว่า “ผู้ใดเอา
ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทาความผิดฐานลักทรัพย์.....”
องคป์ ระกอบของความผดิ ลกั ทรพั ย์ คอื

องค์ประกอบภายนอก ได้แก่
1) ผู้ใดเอาไป
2) ทรัพยข์ องผู้อ่ืนหรือท่ีผ้อู ื่นเป็นเจ้าของรวมอยดู่ ้วย

องคป์ ระกอบภายใน ไดแ้ ก่
1) เจตนา
2) เจตนาทุจรติ
สาหรับองค์ประกอบนี้ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบภายนอกหรือภายในก็ตาม จะขาดอันหนึ่งอัน
ใดมิได้ เพราะจะเป็นความผิดอาญาได้ต่อเม่ือครบองค์ประกอบความผิด และเม่ือได้พิจารณา
องค์ประกอบภายนอกแล้วจะเห็นว่า “การกระทา” เป็นสาระสาคัญของความผิดอาญา ถ้าไม่มีการ
กระทาเท่ากับว่าขาดองค์ประกอบความผิดไป ความผิดอาญาก็มีไม่ได้เม่ือ “การกระทา” มีความสาคัญ
สาหรับความผิดอาญา เชน่ น้ี จึงตอ้ งศึกษาว่าการกระทาตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญาน้ัน
เป็นอย่างไร
ในประมวลกฎหมายอาญามิได้ให้นิยามคาว่า “การกระทา” ไว้ หากแต่มีบัญญัติไว้ในประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคแรกว่า “บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเม่ือ” ได้กระทา.....ฯลฯ
วรรคสอง บญั ญัติว่า เจตนา ได้แก่ การกระทาโดยรู้สานึกและวรรคห้า บัญญัติว่า “การกระทาให้หมาย
รวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทาเพ่ือปูองกันผลนั้นด้วย” ตามที่
กฎหมายบัญญัติถึงการกระทาไว้เพียงเท่านี้ จึงยังมิอาจสรุปความหมายได้ ตามข้อความในประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคแรกมีคาว่า “ได้กระทา” คาว่าได้กระทานี้เป็นองค์ประกอบความผิด
อันหนึ่งที่จะวินิจฉัยว่าบุคคลนั้นมีความผิดทางอาญาหรือไม่ เพราะความผิดทั้งหลายท่ีกฎหมายบัญญัติ
ไว้นั้นเกิดข้ึนได้ก็แต่โดยบุคคลกระทา การกระทาซึ่งเป็นความผิดต้องแสดงออกมาภายนอกจึงจะมี
ผลกระทบกระเทือนความสงบเรียบร้อยของชุมชน ฉะน้ันเพียงแต่คิดอยู่ในใจจะช่ัวร้ายเพียงใดก็ไม่อาจ
เป็นความผดิ ได้จนกว่าจะมกี ารกระทาเกดิ ข้ึนตามทคี่ ดิ นน้ั

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 65

ดังน้ันจึงสรุปได้ว่าการกระทาตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา หมายถึงการ
เคลื่อนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายโดยรู้สานึก กล่าวคือ การแสดงออกโดยการเคล่ือนไหว
หรอื ไมเ่ คล่อื นไหวจะตอ้ งอยูภ่ ายใตจ้ ิตใจบงั คบั

การเคล่ือนไหวหรือไม่เคล่ือนไหวส่วนหน่ึงส่วนใดของร่างกายโดยรู้สานึกน้ี หมายความว่ารู้ถึง
การแสดงออก หรืออีกนยั หนึ่งจติ ใจบังคับให้แสดงออกเชน่ น้นั

ขน้ั ตอนของการกระทาโดยรู้สานกึ กค็ อื
1. ผกู้ ระทาตอ้ งคดิ ทีจ่ ะกระทา
2. ผกู้ ระทาตอ้ งตกลงใจท่จี ะกระทาตามท่ีคิดไว้
3. ผูก้ ระทาต้องตระเตรยี มการทจ่ี ะกระทา
4. ผกู้ ระทาไดก้ ระทาไป (โดยการเคลือ่ นไหวหรอื ไมเ่ คลื่อนไหวรา่ งกาย)
ฉะน้ัน การคิดและตกลงใจจึงเรียกว่า “โดยรู้สานึก” เมื่อได้กระทาไปตามท่ีตกลงใจอันสืบ
เนื่องมาจากความคิด จงึ เป็นการแสดงออกที่อยภู่ ายใต้บังคับของจติ ใจ

ตัวอย่างท่ี 1 โดดโกรธแค้นเดี่ยวที่มาแย่งคนรักของตน โดดต้องการฆ่าเด่ียวจึงไปจัดซ้ือหาปืน
มา พอตกกลางคืนโดดไปที่บ้านเด่ียวและใช้ปืนยิงเด่ียวซ่ึงนอนอยู่บนบ้านถึงแก่ความตาย เช่นน้ีโดดมี
การกระทาโดยรูส้ านึกเพราะ

1. โดดคิดที่จะฆ่าเกยี่ วโดยใช้ปนื ยงิ
2. โดดตกลงใจทจ่ี ะฆ่าเดยี่ วโดยใช้ปนื ยิง
3. โดดจึงจดั หาซื้อปืนมาเพือ่ ฆ่าเดีย่ ว
4. โดดได้ใช้ปืนยงิ เด่ียวถึงแกค่ วามตาย

ตัวอย่างท่ี 2 นางบัวมีบุตรอายุสามปีอยู่คนหนึ่ง นางบัวไม่มีอาชีพแน่นอน เที่ยวเก็บ
ถุงพลาสติกตามกองขยะไปขายเพ่ือนาเงินมาซ้ือข้าวรับประทานระหว่างตนเองกับบุตร บางวันก็ได้เงิน
มาซ้ือข้าว บางวันก็ไมไ่ ด้ นางบวั คดิ วา่ บตุ รนีเ้ ปน็ ภาระอยา่ งยง่ิ จึงอยากให้บุตรตายเสียจะได้ไม่เป็นภาระ
นางบัวได้แกล้งไม่ให้ข้าวให้น้าแก่บุตร บุตรอดน้าอดข้าวในที่สุดถึงแก่ความตาย เช่นนี้นางบัวมีการ
กระทาโดยรสู้ านกึ เพราะ

1. นางบัวคิดท่ีจะฆ่าบตุ รด้วยการแกล้งไมใ่ หข้ ้าวใหน้ ้าแกบ่ ุตร
2. นางบัวตกลงใจท่ีจะฆ่าบตุ รด้วยการแกลง้ ไมใ่ ห้ข้าวไมใ่ ห้น้าแก่บตุ ร
3. นางบัวจงึ น่งิ เฉยเสียไม่นาข้าวนาน้าไปให้บตุ รรับประทาน ปลอ่ ยใหบ้ ุตรอดขา้ วและน้าตาย

ตามตัวอย่างที่ 1 เป็นการกระทาโดยเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สานึก ส่วนตัวอย่างท่ี 2 เป็นการ
กระทาโดยไมเ่ คลอื่ นไหวรา่ งกายโดยรู้สานกึ

ดังน้ันการกระทาตามประมวลกฎหมายอาญาจึงต้องเป็นการกระทาโดยรู้สานึก หากมีการ
เคล่ือนไหวหรือไม่เคล่ือนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายโดยไม่รู้สานึก กล่าวคือมิได้อยู่ภายใต้บังคับ
ของจิตใจแล้วก็ไม่เรียกว่าเป็นการกระทา เช่น การเคลื่อนไหวหรือไม่เคล่ือนไหวขณะละเมอ การ

66 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

หาวนอน การเคลื่อนไหวอริ ยิ าบถของคนมีโรคประจาตวั เปน็ ลมบา้ หมู ตกจากท่ีสูงโดยอุบัติเหตุ ถูกผลัก
ถูกชน ถูกสะกดจิต ถูกจับมือให้กระทา (เช่น ก. มีกาลังเหนือกว่า ข. จึงจับมือ ข. ให้ลงลายมือชื่อใน
สญั ญาก)ู้ เปน็ ทารกไรเ้ ดียงสา หรอื วิกลจริตถงึ ขนาดไมร่ สู้ ภาพและสาระสาคญั ของการกระทา เปน็ ตน้
เหลา่ น้ีถือว่ามใิ ชก่ ารกระทาตามมาตรา 59 แหง่ ประมวลกฎหมายอาญา

การกระทาอันถือเป็นสาระสาคัญของความผิดอาญาจึงต้องเป็นการกระทาโดยรู้สานึก และ
ข้ันตอนของการกระทาอันจะเป็นสาระสาคัญของความผิดอาญาต้องเป็นขั้นตอนท่ีได้กระทาไป (การ
เคลื่อนไหวหรือไม่เคล่ือนไหวตามที่ตกลงใจอันสืบเน่ืองมาจากความคิด) สาหรับขั้นตอนของความคิด
และตกลงใจยงั มอิ าจถือเป็นสาระสาคัญของความผิดได้ เพราะยังอยู่ภายในใจยังไม่ได้แสดงออกมาจึงไม่
อาจย้ัง ทราบได้ว่าคิดอย่างไรหรือตกลงใจอย่างไร อันเป็นการช่ัวร้ายส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไร ส่วน
ข้ันตระเตรยี ม

ก. กจิ การท่ีผู้กระทานั้นกระทาลงไปยังสงสยั ไมแ่ น่ว่าผกู้ ระทามีความมงุ่ หมายอย่างไร
ข. บุคคลผูต้ ระเตรียมมีโอกาสทจี่ ะงดหรอื กลบั ใจไมล่ งมอื กระทาความผดิ เสียได้
ค. ถา้ จะลงโทษผู้ตระเตรียมเพื่อจะกระทาความผดิ ด้วยแล้วเท่ากับส่งเสริมให้ผู้ตระเตรียมรีบลง
มอื กระทาความผดิ ให้สาเร็จตามความมงุ่ หมาย
ด้วยลักษณะ 3 ประการนี้ กฎหมายจึงไม่ลงโทษแก่บุคคลผู้ตระเตรียมท่ีจะกระทาแต่มิใช่ว่าจะ
เป็นเช่นนี้เสมอไปไม่ ถ้าการตระเตรียมการนั้นเป็นการละเมิด กฎหมายบทมาตราใดแล้ว (กรณีที่มี
กฎหมายบัญญัติว่าการตระเตรียมการท่ีจะกระทาเป็นความผิด) ตระเตรียมต้องมีความผิดฐานละเมิด
กฎหมายนน้ั ๆ เชน่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 107 ถึงมาตรา 110 และมาตรา 114 เป็นเร่ือง
ความผิดต่อความมั่นคงภายในรัฐและมาตรา 122 ถึงมาตรา 128 เป็นเรื่องความผิดต่อความม่ันคง
ภายนอกราชอาณาจักรมาตรา 135/2 ความผิดเก่ียวกับการก่อการร้าย นอกจากน้ียังมีบัญญัติอยู่ใน
มาตรา 217-219 ซึง่ การตระเตรยี มการท่จี ะกระทาเชน่ น้มี โี ทษเทา่ พยายามกระทาความผดิ
ท่กี ลา่ วมาแล้ว การกระทาอนั เป็นสาระสาคญั ของความผดิ อาญา ต้องเป็นขั้นได้กระทาไปตามท่ี
ตกลงใจอันสืบเน่อื งมาจากความคิด กลา่ วคอื ตอ้ งผ่านข้ันตระเตรียมการท่ีจะกระทาไปแล้ว จึงจะเรียกได้
ว่า “ได้กระทาไป” หรือ “ลงมือกระทา” กรณีใดจะถือว่า “ได้กระทาไป” หรือ “ลงมือกระทา” ต้อง
พิจารณาว่าความผิดน้ันการกระทาตอ้ งประกอบด้วยสภาพทางจิตใจ คือ “เจตนา” หรือความผิดน้ันการ
กระทาตอ้ งประกอบดว้ ยสภาพทางจิตใจ ไม่ใช่เจตนา แตเ่ ป็นประมาท
สาหรับความผิดจาพวกท่ีการกระทาต้องประกอบด้วยสภาพทางจิตใจ คือเจตนาจะถือว่าได้
กระทาไปหรือลงมือกระทา เมื่อได้กระทาลงเพื่อให้สาเร็จตามท่ีประสงค์ขณะใดขณะหน่ึง และศาลฎีกา
ใช้หลักที่ว่า “ได้กระทาไป” หรือ “ลงมือกระทา” ว่าถ้าการกระทาอันนั้นอยู่ใกล้ชิดกับความผิดสาเร็จ
จึงถือว่าถึงขั้นลงมือแล้ว แต่ถ้ายังห่างไกลก็เป็นเพียงข้ันตระเตรียมการเท่านั้น เช่น ก. เจตนาฆ่า ข. วัน
หน่ึง ก. ซ้ืออาวุธปืนตระเตรียมไว้ รุ่งขึ้น ก. ถือปืนเดินทางไปถึงร้ัวบ้าน ข. ปีนรั้วเข้าไปในบ้านของ ข.
เหน็ ข. นั่งอย่บู นบา้ น ก. ยกปืนข้ึนยงิ ข. 1 นดั แลว้ ปนี ร้ัวหนก้ี ลบั ไป ตามตวั อย่างมีขัน้ ตอนดงั น้ี
1. ก. คดิ ทีจ่ ะฆา่ ข.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 67

2. ก. ตกลงใจทีจ่ ะฆา่ ข.
3. ก. ซอื้ อาวุธปนื แลว้ เดินทางไปบา้ น ข. และปนี รวั้ เข้าไปในบา้ น ข.
4. ก. ยกปนื ขนึ้ ยิง ข. 1 นดั

ตามตวั อยา่ งขั้นตอนท่ี 1, 2 และ 3 ยงั ไม่เรียกว่า “ลงมือกระทา” แม้ ก. จะกระทาสาเร็จลงทั้ง
3 ข้ันตอนแล้วก็ยังไม่เป็นผลตามท่ีประสงค์ไว้คือเจตนาฆ่า ข. ท้ัง 3 ขั้นตอนนั้นยังไม่เกินกว่าขั้น
ตระเตรียมการ เพราะยังมีข้ันตอนท่ีต้องการกระทาต่อไปอีกคือ การยกปืนข้ึนยิง เร่ิมแต่ยกปืนข้ึนนี่
แหละเรียกว่า ก. ได้กระทาไปหรอื ลงมอื กระทาความผดิ การยกปืนข้ึนจอ้ งไปหรือเลง็ ไปยังเปูาหมายแล้ว
สบั นกหรือลน่ั ไกอยูใ่ กล้ชิดกับความผิดสาเร็จแลว้

ตัวอยา่ งคาพพิ ากษาฎีกา
คาพิพากษาฎีกาท่ี 168/2474 จาเลยเกิดทะเลาะกับบิดา จึงไปหยิบปืนในห้องออกมา แล้วพูด
ว่า “ยงิ เสียเถอะ” แลว้ ก็มผี แู้ ย่งปืนไปจากจาเลย เพียงแค่นี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทาของจาเลยไม่
ถึงขั้นลงมอื ยงั ไม่เปน็ การพยายามฆ่าบดิ า
คาพิพากษาฎีกาที่ 396/2486 จาเลยชักมีดออกมาทั้งฝัก คือยังไม่ได้ชักมีดออกจากฝัก ศาล
ฎกี าวนิ ิจฉัยว่ายงั ไม่ถงึ ขั้นพยายามจะแทง
คาพิพากษาฎีกาท่ี 232/2470 จาเลยมีมีดกับข้องไปกู้ปลาในไซของจาเลยเองแต่ไม่ได้ปลา จึง
คดิ ไปลกั ปลาในไซของผู้เสียหาย พอเดินไปถงึ หน้าไซของผูเ้ สียหาย ผูเ้ สียหายก็จับตัวจาเลยไว้ เพียงแค่น้ี
ศาลฎีกาตัดสินว่าจาเลยยังไม่ได้เริ่มลงมือลัก คงอยู่ในข้ันตระเตรียมการเท่านั้น จาเลยยังไม่มีความผิด
ฐานพยายามลกั ทรัพย์
คาพิพากษาฎีกาที่ 391/2504 จาเลยเขียนสลากกินรวบไว้เพ่ือขาย แต่ยังไม่ได้บอกขาย เป็น
เพียงขน้ั ตระเตรยี ม ยังไมถ่ งึ ลงมือกระทา ยังไม่เป็นความผิดฐานพยายาม
คาพิพากษาฎีกาที่ 147/2504 เจ้าพนักงานเข้าค้นปืนที่พรรคพวกของจาเลยพรรคพวกของ
จาเลยไม่ยอมให้ค้น จึงเกิดการแย่งปืนและต่อสู้กัน จาเลยยกปืนจ้องไปทางเจ้าพนักงานซึ่งกาลังกอด
ปล้าพรรคพวกของตน ปืนน้ันบรรจุกระสุนพร้อมแล้ว แต่ยังไม่ทันข้ึนนก ได้มีผู้มาปัดปืน และปัดจาเลย
ล้มลง ศาลฎกี าโดยมติทปี่ ระชุมใหญ่วินจิ ฉยั ว่าการลงมือยิงได้เริ่มแล้ว แม้จาเลยจะยังมิทันขึ้นนกเพื่อล่ัน
ไกก็ตาม จาเลยมีความผดิ ฐานพยายามฆ่าเจา้ พนักงานผกู้ ระทาการตามหน้าท่ีแล้ว

สาหรับความผดิ จาพวกที่การกระทาประกอบดว้ ยสภาพภายในจติ ใจไม่มีเจตนา แต่ได้กระทาไป
โดยประมาท ถือหลักว่าได้กระทาไปหรือลงมือกระทาจนเกิดผลท่ีผิดกฎหมายข้ึนขณะใด ขณะน้ัน
เรยี กวา่ “ได้กระทาไป” หรือ “ลงมือกระทา” เช่น ก. ต้ังใจหยอกล้อภรรยาของตน จึงเอากรรไกรตัดผ้า
ขว้างไป ไม่ต้องการให้ถูกภรรยา กรรไกรไปกระทบประตูเรือนแล้วสะท้อนไปถูกภรรยาที่เท้า เผอิญ
กรรไกรตัดเส้นโลหิตใหญ่ขาดโลหิตไหลไม่หยุด ภรรยาถึงแก่ความตาย ก. มีความผิดฐานทาให้คนตาย
โดยประมาท ตามมาตรา 291 ท่ีเรียกว่า “ได้กระทาไป” หรือ “ลงมือกระทา” ความผิดตามมาตรานี้มี
ขึน้ เมื่อเกดิ ผลทผ่ี ดิ กฎหมาย คือ ความตายเกิดข้นึ

68 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ตามความหมายของการกระทาที่ว่าการกระทาหมายความว่าการเคล่ือนไหวหรือไม่เคล่ือนไห ว
ส่วนหนงึ่ สว่ นใดของรา่ งกายโดยรู้สานึกน้ี ทาใหเ้ หน็ ไดว้ า่ การกระทามี 2 ประเภท คือ

1. การเคลื่อนไหวส่วนหนึง่ สว่ นใดของร่างกายโดยรสู้ านกึ
2. การไม่เคล่ือนไหวสว่ นหนึง่ สว่ นใดของรา่ งกายโดยรสู้ านกึ

1. การเคลอื่ นไหวสว่ นหนง่ึ ส่วนใดของรา่ งกายโดยรูส้ านึก ถอื เปน็ การกระทาโดยทัว่ ไป
2. การไม่เคลื่อนไหวสว่ นหนึ่งส่วนใดของรา่ งกายโดยรู้สานึกมี 2 กรณี คอื

ก. การกระทาโดยงดเว้น
ข. การกระทาโดยละเว้น

ก. การกระทาโดยงดเวน้
การกระทาโดยงดเว้นน้เี ปน็ การกระทาท่ีไม่เคลื่อนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายโดย
รสู้ านกึ โดยเฉพาะการกระทาโดยงดเวน้ นีไ้ ด้มบี ญั ญตั ิไวใ้ นประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคท้าย
ว่า “การกระทาให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการท่ีจักต้องกระทาเพ่ือ
ปอู งกนั ผลนัน้ ด้วย”
กรณีจะถือว่าเป็นการกระทาโดยงดเว้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ
คือ
1. ไม่เคล่ือนไหวสว่ นหนึง่ ส่วนใดของรา่ งกายโดยรสู้ านึก
2. มหี นา้ ทต่ี อ้ งกระทา
3. เพอื่ ปอู งกันผลนนั้ ด้วย

1. ไม่เคลื่อนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายโดยรู้สานึก หมายความว่า การไม่
เคลื่อนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายต้องอยู่ภายใต้บังคับของจิตใจ เช่น มารดาต้องการให้บุตรทารก
ตาย จงึ แกล้งไม่ให้นมบตุ ร บตุ รหวิ จนถึงแก่ความตาย หรอื บิดาเห็นบุตรกาลังตกอยู่ในอันตราย เฉยเสีย
ไมเ่ ข้าไปช่วยเหลือทง้ั ทีช่ ่วยได้ เปน็ ตน้

2. มีหน้าที่ต้องกระทา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคท้าย บัญญัติว่า
“.....โดยงดเว้นการท่ีจักต้องกระทา....” คาว่า “การท่ีจักต้องกระทา” จึงหมายถึง หน้าท่ีต้องกระทา
น้ันเอง หน้าที่ในที่นี้อาจจะเป็นหน้าที่ตามกฎหมายหรือหน้าที่ตามสัญญา หน้าท่ีที่เกิดจากการกระทา
ของผู้นั้นเองเปน็ ผ้รู เิ ร่มิ กอ่ ขน้ึ กไ็ ด้ จงึ พอสรุปหนา้ ท่ีได้ดงั น้ี

1) หน้าท่ีตามกฎหมาย หมายความว่า มีกฎหมายบัญญัติหน้าท่ีของผู้กระทาไว้โดย
เฉพาะเจาะจง เช่น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1563 บัญญัติว่า “บุตรจาต้องอุปการะ
เลยี้ งดบู ิดามารดา”

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 69

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 บัญญัติว่า “บิดามารดาจาต้อง
อุปการะเลี้ยงดูบตุ รและให้การศกึ ษาตามสมควรแกบ่ ตุ รในระหวา่ งที่เปน็ ผู้เยาว์”

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1461 บัญญัติว่า “สามีภริยาต้องช่วยเหลือ
อปุ การะเลย้ี งดูกันตามความสามารถและฐานะของตน”

ตัวอย่าง มารดาปุวยเป็นอัมพาตนอนอยู่ลุกนั่งและเดินไม่ได้บุตรต้องปูอนข้าวปูอนน้า
บุตรปล่อยให้มารดาอดข้าวอดน้าจนถึงแก่ความตาย บุตรงดเว้นกระทาการเพราะบุตรมีหน้าท่ีเลี้ยงดู
มารดาตาม ป.พ.พ.มาตรา 1563

2) หน้าที่ท่ีเกิดจากการยอมรับโดยเจาะจง ซ่ึงอาจเป็นการยอมรับปฏิบัติหน้าท่ีโดยมี
สัญญา หรือโดยไมม่ สี ญั ญากไ็ ด้ หน้าที่อันเกิดจากสัญญา เช่น พยาบาลรับจ้างดูแลคนชราซึ่งนอนอยู่บน
เตียงลุกไม่ได้ พยาบาลไม่เอาน้าให้คนชราดื่มคนชรากระหายน้าจึงพยายามลุกข้ึนจนหล่นเตียงตาย
พยาบาลไดง้ ดเวน้ กระทาการแลว้ จงึ ต้องรบั ผิดในความตายของคนชราน้ัน

3) หน้าท่ีท่ีเกิดจากการกระทาก่อน ๆ ของตน ซึ่งหมายถึงกรณีที่บุคคลกระทาการลง
ไป อันเปน็ การกระทาทนี่ ามาซงึ่ อันตราย บุคคลน้ันย่อมมีหน้าท่ีท่ีจะปูองกันภยันตรายนั้น เช่น แดงเห็น
ดาเมาสุราเดินไม่ไหวนอนอยู่ท่ีโรงจาหน่ายสุราก็อาสาพยุงคนนั้นมาส่งบ้าน ถ้าแดงพาดาเดินมากลาง
ทางมีบ่อน้าแล้วปล่อยดาให้เดินคนเดียว ดาเดินเปะปะไปตกบ่อน้าตาย ต้องถือว่าแดงกระทาความผิด
โดยการงดเวน้ 1

4) หนา้ ท่ีท่ีเกิดจากความสมั พันธ์เป็นพิเศษเฉพาะเรอ่ื ง เช่น บดิ าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แต่อุปการะเลี้ยงดูบุตรอยู่ ก็มีหน้าท่ีจักต้องอุปการะเลี้ยงดูต่อไป ถ้าวันหน่ึงบิดาน้ันงดเว้นไม่ให้อาหาร
บุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น และบุตรน้ันถึงแก่ความตายโดยเหตุน้ัน บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อม
กระทาใหบ้ ุตรตายโดยการงดเว้น2

3. เพ่ือป้องกันผลน้ันด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคท้ายบัญญัติ
ว่า “.....โดยงดเวน้ การที่จักตอ้ งกระทาเพื่อปูองกันผลน้ันด้วย” คาว่าเพื่อปูองกันผลน้ันด้วย หมายความ
ว่า มีกฎหมายบัญญัติหน้าที่ของผู้กระทา ไว้โดยเฉพาะเจาะจงให้กระทาเพื่อปูองกันผลที่จะเกิดขึ้น
หากแต่ผู้กระทาไม่กระทาโดยรู้สานึกผลจึงเกิดข้ึน ฉะน้ันหน้าท่ีจักต้องกระทาจึงต้องเป็นหน้าท่ีเพื่อ
ปูองกันผล เมื่องดเว้นกระทา ผลเกิดขึ้น ผู้กระทาจึงต้องรับผิดในผลนั้น ความผิดในทางกระทาโดยงด
เวน้ น้ันจะ
เกิดข้ึนได้ก็ต่อเม่ือความผิดน้ันเป็นความผิดท่ีต้องการผล เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตายต้องการผลคือ
ความตาย ความผิดฐานทาร้ายร่างกายสาหัสต้องการผลคืออันตรายสาหัส 8 ประการ ตาม ป.อ.มาตรา
297 เป็นต้น ส่วนความผิดท่ีไม่ต้องการผลย่อมจะมีการกระทาโดยงดเว้นไม่ได้ เช่น ความผิดฐานแจ้ง

1 เกียรติขจร วันจนะสวัสดิ์, ผศ. ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์), หน้า 66-67.

2 เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ 78.

70 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ความเท็จตามมาตรา 137 ความผิดฐานเบิกความเท็จตามมาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ยอ่ มเป็นความผดิ สาเรจ็ ทนั ทีเมื่อมี

ตัวอย่าง มารดาต้องการให้บุตรทารกตายจึงไม่ให้นมแก่บุตรทารกน้ัน บุตรทารกอด
รับประทานอาหารถึงแก่ความตาย เช่นน้ีมีกฎหมายบัญญัติหน้าที่ของมารดาให้เลี้ยงดูบุตรในระหว่าง
เป็นผู้เยาว์ไว้โดยเฉพาะเจาะจง เม่ือมารดาไม่กระทาผลจึงเกิดคือบุตรถึงแก่ความตาย ซ่ึงหน้าท่ีของ
มารดาน้ีเป็นหน้าท่ีเพ่ือปูองกันมิให้ผลเกิดขึ้นคือ ความตายของบุตร มารดาไม่ทาตามหน้าท่ีผลจึงเกิด
มารดาต้องรบั ผิดในผลทเ่ี กิดขึ้นน้ัน เพราะการกระทาโดยงดเว้น

ข. การกระทาโดยละเว้น
การกระทาโดยละเว้นเป็นการไม่เคลื่อนไหวส่วนหน่ึงส่วนใดของร่างกายโดยรู้สานึก
เช่นกัน เป็นแต่กระทาการโดยละเว้นน้ีกฎหมายบัญญัติหน้าที่ของผู้กระทาไว้โดยท่ัวไป มิใช่หน้าท่ีเพ่ือ
ปูองกันผลอนั จะเกดิ ข้นึ หน้าทที่ ก่ี ฎหมายบัญญัตไิ วด้ ังกล่าวมี ดงั น้ี
1. การทีเ่ จ้าพนักงานละเว้นไม่เรยี กเก็บภาษอี ากร ตามมาตรา 154
2. การทเ่ี จา้ พนักงานละเว้นไมล่ งรายการในบญั ชี ตามมาตรา 156
3. การทเี่ จ้าพนักงานละเว้นการปฏิบตั หิ น้าทโี่ ดยมิชอบ ตามมาตรา 157
4. การทเี่ จา้ พนกั งานละเว้นไมจ่ ดข้อความซ่ึงตนมหี น้าท่ีต้องจดตามมาตรา 162(3)
5. ผู้ไดร้ บั มอบหมายจากรัฐบาล ไมป่ ฏิบัติการตามทร่ี ัฐบาลมอบหมาย
6. สถาปนิกหรือวศิ วกรไมป่ ฏบิ ัตติ ามหลกั เกณฑ์หรือวธิ กี ารตามมาตรา 227
7. ไมย่ อมบอกช่อื แก่เจ้าพนกั งาน ตามมาตรา 367
8. ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามคาสง่ั ของเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 368
9. ไม่ช่วยคนท่ตี กอยูใ่ นภยนั ตรายแหง่ ชวี ิต ตามมาตรา 374
10. ไม่ช่วยระงับเพลิงไหม้หรือสาธารณภัยตามท่ีเจ้าพนักงานเรียกให้ช่วยตามมาตรา
383
11. ปล่อยปละละเลยให้สัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายในความควบคุมเท่ียวไปโดยลาพังตาม
มาตรา 377
12. ปล่อยปละละเลยคนวกิ ลจริตในควบคุมให้ออกเทีย่ วไปโดยลาพงั ตามมาตรา 373
ตามบทบัญญัติมาตราต่าง ๆ ท่ีกล่าวมาน้ี เป็นบทบัญญัติท่ีบัญญัติหน้าที่ของผู้กระทา
ไว้โดยทั่วไป ซ่ึงหากผู้กระทาละเว้นหน้าที่อันน้ีคงรับผิดเฉพาะการละเว้นหน้าท่ีเท่าน้ัน ไม่ต้องไปรับผิด
ในผลที่เกิดข้ึน เพราะหน้าที่อันนี้มิใช่หน้าท่ีเพ่ือปูองกันผลที่เกิดขึ้น การกระทาโดยละเว้นนี้จึงเป็น
ความผิดสาเรจ็ ทนั ทีโดยไม่ต้องคานึงว่าผลท่ีเกิดจากการละเว้นนั้นจะมีอย่างไร หรือไม่เพียงแต่ละเว้นไม่
กระทาการตามทีก่ ฎหมายบญั ญัตไิ วก้ เ็ ป็นความผิดแลว้
การกระทาอันหมายถึงการเคล่ือนไหวหรือไม่เคล่ือนไหวส่วนหน่ึงส่วนใดของร่างกาย
โดยรู้สานึกน้ี การเคล่ือนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวคงเกิดขึ้นแต่เฉพาะของบุคคลเท่านั้น ฉะนั้นการกระทา
จึงต้องเป็นการกระทาของบุคคล ส่วนสัตว์ ส่ิงของ จะแสดงออกเช่นไรก็ไม่อยู่ในความหมายของคาว่า

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 71

“การกระทา” ดงั ได้กล่าวมาแตข่ ้างตน้ เมอื่ บุคคลเป็นผกู้ ระทาจึงมีวิธีกระทาอันเป็นความผิดอาญาอยู่ 4
ประเภท คือ

1) ผกู้ ระทาความผดิ เองโดยตรง
2) ผกู้ ระทาความผิดเองโดยออ้ ม
3) ผู้กระทาความผิดข้างเคียง
4) ผู้ร่วมในการกระทาความผิดซ่ึงอาจเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้โฆษณา หรือประกาศ หรือ
ผสู้ นบั สนุน ตามมาตรา 83, 84, 85 และ 86

1) ผ้กู ระทาความผิดเองโดยตรง หมายความวา่ ผ้กู ระทาได้กระทาการด้วยตนเองโดย
ใช้อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของผู้กระทานั้นเองกระทา หรือใช้สัตว์ทรัพย์สิ่งของเป็นเคร่ืองมือในการ
กระทา หรือใชบ้ คุ คลซง่ึ ไม่มกี ารกระทาเป็นเคร่อื งมือในการกระทา เปน็ ตน้

ตัวอย่าง 1 ก. ต้องการทาร้าย ข. จึงชกหน้า ข. แตก เช่นนี้ ก. กระทาโดยใช้อวัยวะ
ส่วนหนึง่ ของตนกระทาต่อ ข.

ตัวอย่าง 2 ก. ต้องการฆ่า ข. จึงเอางูเห่าโยนไปที่ ข. กาลังนอนอยู่งูเห่ากัด ข. ตาย
เชน่ น้ี ก. ใช้งเู ห่าเปน็ เครือ่ งมอื กระทาความผดิ

ตัวอย่าง 3 ก.ต้องการฆ่า ข. ก. สะกดจิตให้ ค. เอาปืนไปยิง ข. ตาย ถือว่าเป็นการ
กระทาของ ก. โดยตรง เพราะ ก. ได้ใชใ้ หบ้ ุคคลท่ไี ม่มีการกระทาเปน็ เครอ่ื งมอื กระทาความผิด

ตัวอย่าง 4 ก.หลอก ข.ว่าส่ิงที่ ก.ให้ ข.กนิ เป็นยาบารุงกาลัง แต่ความจริงเป็นยาพิษซึ่ง
กนิ แลว้ ตาย เชน่ นี้ ก.กระทาความผดิ เองโดยตรง

ตัวอย่าง 5 ก.เอาปืนขู่บังคับ ข.ให้ ข.กินยาฆ่าตัวตาย ข.กลัวจึงกินยาน้ันถึงแก่ความ
ตาย เช่นนี้ ก.กระทาความผดิ เองโดยตรง

2) ผู้กระทาความผิดเองโดยอ้อม หมายความว่า ผู้กระทาความผิดได้ใช้ผู้อ่ืนหรือตัว
ผู้เสยี หายเองเป็นเครื่องมอื ในการกระทาความผิด ซึ่งมีไดห้ ลายกรณีคือ

(1) การใช้บุคคลที่มีการกระทาตามมาตรา 59 แต่การกระทาของผู้อ่ืนนั้นไม่เป็น
ความผดิ เปน็ เครื่องมือในการกระทาความผดิ เชน่

ก. สุพนิ ไปไหวพ้ ระทว่ี ัดพระแก้ว แล้วถอดรองเท้าฝากไว้กับผู้รับฝากตรงประตูทางเข้า
ไปไหว้พระ พอสุพินไหว้พระเสร็จได้เดินออกมาเอารองเท้า สุพินเห็นรองเท้าของกรองทองสวยดีจึง
หลอกคนรบั ฝากวา่ รองเท้าคขู่ องกรองทองน้นั เปน็ ของตน คนรับฝากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของสุพินจริง จึง
ส่งรองเทา้ คูน่ น้ั ใหส้ พุ ินไป ดงั นีค้ นรับฝากรองเทา้ ไม่มคี วามผิดฐานลักทรพั ย์ เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น
องคป์ ระกอบแห่งความผิด จึงถอื ว่ามีเจตนาไม่ได้ สว่ นสพุ นิ น้ันมีความผดิ ฐานลักทรพั ยโ์ ดยใชค้ นรับฝาก
รองเทา้ เปน็ เครื่องมือในการกระทาความผิด

ข. จาเลยรดู้ ีอยกู่ อ่ นแลว้ วา่ ท่ีพิพาทเป็นของผู้เสียหาย จาเลยจึงจ้างคนให้ไปขุดดินในที่
พิพาทของผู้เสียหายจนเกิดเป็นบ่อ ทาให้ที่พิพาทเสียหาย เช่นน้ีจาเลยย่อมมีความผิดฐานทาให้เสีย

72 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ทรัพย์และฐานบุกรุก ส่วนคนท่ีขุดดินไม่มีความผิดเพราะขาดเจตนา (ป.อ.มาตรา 59 วรรค 3) (คา
พิพากษาฎีกาที่ 1013/2504)

การกระทาของจาเลยนนั้ เปน็ การกระทาความผดิ ทางอ้อม โดยใช้คนขดุ ดินเปน็ เครื่องมอื ใน
การกระทาความผิด

(2) การหลอกใหผ้ ู้อนื่ เข้าใจผิดในข้อเท็จจริง ซึ่งทาให้ผู้อ่ืนน้ันเข้าใจผิดว่ามีอานาจ
กระทาการนนั้ ๆ ได้ เชน่ ก. ต้องการฆ่า ค. ก. จึงหลอก ข. ว่า ค. กาลังจะยิง ข. ซ่ึงไม่เป็นความจริง ข.
หลงเช่ือ จึงยิงไปท่ี ค. ค. ถูก ข. ยิงตาย เช่นนี้ ข. อ้างปูองกันโดยสาคัญผิดตามมาตรา 62 ได้ ข. จึงไม่
ต้องรับผิดฐานฆ่า ค. ตาย ส่วน ก. เป็นผู้กระทาความผิดฐานฆ่า ค. โดยทางอ้อม ก. จะต้องรับผิดใน
ความตายของ ค.1

(3) ให้บุคคลผู้ได้รับยกเว้นโทษในทางอาญากระทาความผิดถือว่าเป็นการกระทา
ทางอ้อมเช่นกนั โดยใช้บคุ คลท่ีได้รับยกเวน้ โทษนัน้ เปน็ เคร่อื งมอื

เช่น ก. ใช้เด็กอายุยังไม่เกิน 10 ปี กระทาความผิด เช่น แดงใช้เด็กชายดาอายุไม่เกิน
10 ปีใหฆ้ ่าเขยี ว เด็กชายดาฆา่ เขียวตาย เด็กชายดามีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ ส่วนนายแดงมีความผิด
และตอ้ งรับโทษด้วย เพราะเป็นผกู้ ระทาความผิดฐานฆ่าคนตายโดยทางอ้อม

ข. เป็นเจ้าพนักงานและใช้ให้บุคคลกระทาตามคาส่ังของตนท่ีมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้
ถกู ใชม้ ีหน้าท่ีหรือเชื่อโดยสุจริตว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม เป็นเครื่องมือในการกระทาความผิด กรณีนี้ผู้
ปฏบิ ตั ิตามคาสั่งไมต่ ้องรบั โทษ แตเ่ จา้ พนักงานผู้ออกคาส่งั เป็นผู้กระทาความผิดโดยอ้อม

(4) การใช้บุคคลท่ีไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้กระทาความผิดได้ให้กระทาความผิด
เชน่ บรรจงเปน็ เจา้ พนกั งานมีหน้าท่ีรักษาไม้กระดานของทางราชการได้ใช้ให้เดชซึ่งเป็นราษฎรธรรมดา
นาไม้กระดานท่ีบรรจงมีหน้าท่ีรักษานั้นไปสร้างบ้านให้คนรักของบรรจง บรรจงมีความผิดตามมาตรา
147 ในฐานะผู้กระทาความผดิ โดยอ้อม

(5) การใช้ให้ผู้ที่การกระทาไม่เป็นความผิดเพราะขาดองค์ประกอบท่ีกฎหมาย
กาหนดไว้ให้กระทาความผิด เช่น สมชายจานาสร้อยคอทองคาไว้กับสมปองเพื่อประกันเงินกู้ที่สมชาย
กมู้ าจากสมปอง ต่อมาสมชายได้ใช้สมศกั ดใ์ิ ห้ไปลักสร้อยคอทองคาจากสมปอง เช่นนี้ สมชายมีความผิด
ฐานโกงเจ้าหน้ีตามมาตรา 349 โดยการกระทาโดยอ้อม ส่วนสมศักด์ิไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม
มาตรา 349 เพราะมิใชผ่ ู้จานา

3) ผูก้ ระทาความผดิ ขา้ งเคยี ง หมายความว่า ผู้กระทาความผิดหลายคน ในแตล่ ะคนได้กระทา
ความผิดโดยอาศัยโอกาสจากการท่ีผู้อื่นกระทาความผิด เช่นแดงพบดาศัตรู แดงใช้ปืนยิงไปที่ดาถูกดา
ล้มลง เหลืองยืนอยู่ถนนฝ่ังตรงข้ามได้ยินเสียงปืนว่ิงข้ามถนนมาดู เห็นดาจาได้ว่าดาเคยทาร้ายตนจึงใช้
มดี แทงไปทีด่ า ดาถึงแก่ความตาย ความตายของดาเกิดจากการกระทาของแดงและเหลืองโดยท่ีแดงกับ
เหลืองมไิ ด้สมคบกนั แดงกับเหลืองจึงมีความผิดเฉพาะทตี่ นได้ลงมอื กระทาเทา่ นน้ั

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 73

4) ผู้ร่วมในการกระทาความผิด ซ่ึงอาจเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้โฆษณา หรือประกาศ หรือ
ผู้สนับสนุน ตามมาตรา 83, 84, 85 และ 86 การร่วมในการกระทาความผิดน้ีเป็นคนละกรณีกับวิธี
กระทาโดยอ้อม

74 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

คาถามทา้ ยบท

1. จงอธิบายสาระสาคัญของการกระทาความผิดทางอาญา มาพอสงั เขป
2. การกระทาครบ “องคป์ ระกอบ” ที่กฎหมายบญั ญตั มิ ีอะไรบ้าง จงอธบิ าย
3. จงอธบิ ายคาวา่ “เจตนา” หมายความว่าอย่างไร มหี ลักประการใดบ้าง
4. จงอธิบายคาวา่ “ประมาท” หมายความว่าอย่างไร มีหลักเกณฑป์ ระการใดบ้าง
5. การกระทาโดยงดเว้นและการกระทาโดยละเว้น แตกตา่ งกันอยา่ งไร จงอธิบายมาพอสังเขป

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 75

อ้างองิ ประจาบท

เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติท่ัวไป, (กรุงเทพมหานคร: คณะ
นิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2524).

จิตติ ติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรง
พมิ พ์แสงทองการพมิ พ์, 2513).

ดร.อุทศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ
กรมอยั การ, 2525).

หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคท่ัวไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์, 2515).

76 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

บทที่ 5
สาระสาคัญทางจติ ใจ

วัตถุประสงค์การเรียนประจาบท

เพ่ือให้นิสิตได้ศึกษาเรื่องการกระทา และการกระทาจะเป็นความผิดได้จะต้องประกอบด้วย
สภาพภายในจิตใจ และบคุ คลจกั ต้องรบั ผดิ ทางอาญาต่อเมือ่ ได้กระทาโดยเจตนา

ขอบขา่ ยเนอื้ หา

1. เจตนาโดยประสงคต์ อ่ ผล (เจตนาโดยตรง)
2. เจตนายอ่ มเลง็ เหน็ ผล (เจตนาโดยอ้อม)
3. ไมร่ ู้ขอ้ เท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผดิ ไม่ถอื ว่าผู้กระทามเี จตนา
4. สาระสาคญั ของการกระทาโดยเจตนา

4.1 รูข้ อ้ เท็จจรงิ อันเปน็ องคป์ ระกอบของความผดิ
4.2 ขณะเดยี วกันผู้กระทาประสงคต์ ่อผลหรอื ย่อมเลง็ เหน็ ผล
5. เจตนาโดยผลของกฎหมาย (การกระทาโดยพลาด)

วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอนประจาบท

1. การบรรยาย
2. การศกึ ษาเอกสารประกอบการสอน
3. ทาแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท

สอ่ื การเรียนการสอน

1. เอกสารประกอบการสอน
2. ประมวลกฎหมายอาญา

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 77

4.1 เจตนา
การกระทาความผิดอาญานอกจากต้องมีการกระทาตามท่ีกฎหมายบัญญัติ การกระทาน้ันต้อง

ประกอบด้วยสภาพทางจิตใจซึ่งตามปกติก็ได้แก่เจตนากระทา เว้นแต่บางกรณีท่ียกเว้นไปเป็นอย่างอ่ืน
โดยเฉพาะ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคแรก บัญญตั วิ า่ “บคุ คลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็
ต่อเม่ือได้กระทาโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทาโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเม่ือ
ได้กระทาโดยประมาท หรอื เว้นแตใ่ นกรณีทกี่ ฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงชัดแจ้งให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทา
โดยไมม่ ีเจตนา” ฯลฯ

เจตนาเป็นสาระสาคัญที่จะต้องมีในความผิดอาญาท่ัวไป ทั้งนี้เพราะถ้าบุคคลไม่มีเจตนาท่ีจะ
กระทาความผิดแล้ว จะให้เขาต้องรับผิดในทางอาญาก็ไม่เป็นธรรม ดังนั้น บุคคลจะรับผิดในทางอาญา
ได้ต่อเมื่อได้กระทาโดยเจตนา เว้นแต่บางกรณีท่ียกเว้นไปเป็น อย่างอ่ืนโดยเฉพาะ ซึ่งได้แก่การกระทา
โดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับ ผิดเม่ือได้กระทาโดยประมาท หรือในกรณีที่กฎหมาย
บญั ญัตไิ ว้โดยชดั แจ้งใหต้ อ้ งรับผดิ แม้ไดก้ ระทาโดยไมม่ ีเจตนา

อย่างไรก็ตาม ทั้งการกระทาโดยเจตนาหรือกระทาโดยไม่เจตนา ต่างก็เป็นสภาพ ทางจิตใจ
ทั้งสิน้ และถือว่าเปน็ ส่วนหน่ึงขององคป์ ระกอบ (ภายใน) ของความผิดด้วย

การกระทาโดยเจตนานอกจากจะศึกษาในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 แล้ว ยังต้อง
ศึกษามาตรา 60,61 และ 62 ประกอบด้วย เพราะเก่ียวเนื่องกัน ฉะนั้นเพื่อสะดวก ในการทาความ
เข้าใจ จงึ ขอแยกอธิบายออกเป็น 4 หวั ข้อ คือ

1. กระทาโดยเจตนา (มาตรา 59 วรรค 1, 2)
2. ความสาคญั ผดิ (มาตรา 59 วรรค 3, มาตรา 62, มาตรา 64 และมาตรา 61)
3. การกระทาโดยพลาด (มาตรา 60)
4. ขอ้ ยกเว้นของการกระทาโดยเจตนา (มาตรา 59 วรรค 1 และ วรรค 4)

4.1.1 กระทาโดยเจตนา
เจตนาคืออะไร ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง บัญญัติว่า “กระทาโดยเจตนา
ไดแ้ ก่กระทาโดยรู้สานกึ ในการท่ีกระทา และในขณะเดียวกันผู้กระทาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผล
ของการกระทานน้ั ” จากขอ้ ความน้ี แยกการกระทาโดยเจตนาเป็น 2 ชนิด คอื
1) กระทาโดยเจตนาโดยประสงค์ตอ่ ผล
2) กระทาโดยเจตนาโดยย่อมเล็งเห็นผล

1) กระทาโดยเจตนาประสงค์ต่อผล หมายถึงการกระทาโดยสานึกในการท่ีกระทาและใน
ขณะเดยี วกันผู้กระทาประสงค์ต่อผลการกระทาโดยเจตนาชนิดนี้มี องค์ประกอบ 2 ประการ คือ

78 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ก. ผู้กระทาได้กระทาโดยรู้สานึกในการท่ีกระทา หมายความว่า รู้ถึงการเคลื่อนไหว
หรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น แดงต้องการทาร้ายดา จึงต่อยไปท่ีหน้าดา การที่แดงต่อยไปท่ีหน้าดา
เป็นการเคล่ือนไหวร่างกายโดยรู้สานึก

ข. ผกู้ ระทาจะตอ้ งประสงค์ต่อผลอีกด้วย หมายความว่า เมื่อได้กระทาโดยรู้สานึกแล้ว
จะตอ้ งประสงค์ต่อผลของการกระทาน้ัน ๆ ตามที่ผู้กระทามุ่งหมายให้เกิดข้ึน เช่น แดงต้องการฆ่าดาจึง
ใช้ปนื ยิงไปถกู ดาตาย ความตายของดาน้นั เปน็ ผลทแี่ ดงประสงคใ์ ห้เกดิ ขนึ้

2) กระทาโดยเจตนาโดยย่อมเล็งเห็นผล หมายถึง การกระทาโดยรู้สานึกในการท่ีกระทาและ
ในขณะเดียวกันผู้กระทาย่อมเล็งเห็นผลน้ันด้วย การกระทาโดยเจตนาชนิดนี้มีองค์ประกอบ 2 ประการ
คอื

ก. ผ้กู ระทา ได้กระทา โดยรสู้ า นกึ ในการท่กี ระทา (มีความหมาย เชน่ เดียวกับข้อ 1)
ข. ในขณะเดียวกันผู้กระทาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทาน้ันด้วยเจตนา โดยเล็งเห็น
ผลน้ี นักนิติศาสตร์บางท่านเรียกว่า “เจตนาโดยปริยาย” หรือ “เจตนาโดย อ้อม” ซึ่งขยายหลักเจตนา
ใหก้ ว้างขวางข้ึน กลา่ วคือ แมผ้ กู้ ระทาจะมไิ ดป้ ระสงค์ต่อผล หากเขาย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทาแล้ว
ก็ต้องถือว่าเป็นการกระทาโดยเจตนาด้วย การกระทาโดยเล็งเห็นผลนี้ไม่เหมือนกับการกระทาโดย
ประสงคต์ ่อผล เพราะการประสงค์ต่อผลต้องวินิจฉัยจิตใจผู้กระทาในขณะกระทา ถ้าข้อเท็จจริงปรากฎ
ว่าขณะกระทาผู้กระทาประสงคต์ ่อผล แมผ้ ลจะไมม่ ีทางบรรลุได้กย็ ังถอื วา่ ผู้กระทาประสงคต์ อ่ ผล เช่น
แดงต้องการฆา่ เขยี ว จงึ ใชป้ นื ยงิ ไปท่ีเขียว เขียวหลบทัน ลูกปืนไม่ถูกเขียว ดังนี้แดงได้ประสงค์ต่อผลคือ
ความตายของเขียว แม้ผลจะไม่บรรลุคือ เขียวไม่ตาย ก็ถือว่าแดงประสงค์ต่อผล ส่วนการกระทาโดย
เล็งเห็นผลตอ้ งวินจิ ฉัยการกระทาของผู้กระทาที่แสดงออกมาและผู้กระทาต้องคาดคะเนได้ว่าผลจะต้อง
เกิดข้ึนอย่างแน่นอนหรือแน่แท้ กล่าวคือ พิจารณาว่าบุคคลในฐานเช่นเดียวกับผู้กระทาโดยปกติแล้ว
ย่อมเล็งเหน็ ผลนัน้ ๆ ได้หรือไม่ เช่น
แดงเชื่อมน่ั วา่ ดาเป็นคนยงิ ไมเ่ ขา้ จงึ ทดลองยงิ แดงมคี วามประสงค์ทดลองความอยู่ปืน
ไม่มีความประสงค์ถึงความตายของดา ดาถูกกระสุนปืนตาย ดังน้ี แม้แดงมิได้ประสงค์ต่อผลคือความ
ตายของดาโดยตรงก็ดี แต่แดงย่อมเล็งเห็นว่า กระสุนปืนเมื่อถูกใครแล้วใครก็ต้องตาย จึงถือว่าแดงมี
เจตนาฆา่ ดาโดยเล็งเห็นผล
เขียวโกรธขาว ประสงค์จะทาลายรถยนต์ของขาว จึงโยนระเบิดเข้าไป ที่รถของขาว
แตข่ ณะนนั้ เขียวเห็นวา่ มีคนนั่งในรถด้วย เม่ือระเบดิ นนั้ ระเบิดขึ้น คนน่ังในรถตายเพราะแรงระเบิด ดังนี้
แม้เขียวไม่ได้ประสงค์โดยตรงให้คนในรถตาย แต่เขียวย่อมเล็งเห็นผลว่าการโยนระเบิดไปน้ันทาให้คน
ตายได้ จงึ ตอ้ งถอื วา่ เขยี วมเี จตนา ฆา่ คนด้วย
เกี่ยวกับเจตนาโดยเล็งเห็นผลน้ี ท่านศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ได้กล่าวว่า
หมายความถึงพิจารณาจากแงผ่ กู้ ระทาเอง ท้งั นีเ้ พราะบคุ คลแต่ละคนมคี วาม จดั เจนแห่งชีวิต การศึกษา
อบรม สติปัญญา ไม่ทัดเทียมกัน ด้วยเหตุน้ีในการวินิจฉัยว่า ผู้กระทาย่อมเล็งเห็นผลหรือไม่จึงต้อง
พิจารณาว่าตามข้อเท็จจริงผู้กระทาน้ันเองได้เล็งเห็น ผลล่วงหน้าหรือเปล่า โดยผู้กระทาไม่ใยดีในผลท่ี

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 79

เกิดขึ้น หมายความว่าผู้กระทาได้เล็งเห็น ผลล่วงหน้าแล้วจะเกิดข้ึน ถ้าผู้กระทาไม่ถึงกับยอมรับเอาผล
น้ันเลยทีเดียว แต่ผู้กระทาคิด ว่าผลน้ันจะเกิดข้ึนหรือไม่ เกิดข้ึนก็ช่างปะไร จะขอทาให้ได้ เช่น แดงยิง
นกที่ใกล้ตัวเด็ก แดงได้ทาใจว่า ถ้าถูกนกก็จะเอานกมากิน ถ้าถูกเด็กก็จะวิ่งหนีไป อย่างไร ๆ ก็ขอให้ยิง
นกให้ได้ เช่นน้ีถือว่าย่อมเล็งเห็นผลแล้ว ฉะน้ันถ้าลูกกระสุนปืนถูกเด็กตาย ก็มีความผิด ฐานฆ่าคนตาย
โดยเจตนา

ตวั อย่างคาพพิ ากษาฎีกาเกีย่ วกบั กระทาโดยเล็งเห็นผล
คาพิพากษาฎีกาที่ 241-252/2504 (ท่ีประชุมใหญ่) การใช้ปืนซึ่งเป็น อาวุธร้ายแรงยิงคนใน
ร้านสุรา แม้ผู้ยิงจะเมาสุราก็ตาม ก็อาจแลเห็นผลได้ว่าผู้ถูกยิงอาจ ถึงตายได้ เมื่อกระสุนปืนที่ยิงพลาด
ไปถกู คนอื่นบาดเจ็บสาหัส กต็ ้องมีความผิดฐาน พยายามฆา่ คน
คาพิพากษาฎีกาที่ 1059/2504 จาเลยใช้มีดพกปลายแหลมแทงท้อง ผู้ตายแผลลึกถึง 12 ซ.ม.
แสดงว่าจาเลยแทงโดยแรงและตาแหน่งบาดแผลคือที่ท้องนั้น เป็นท่ีเห็นได้ว่าจาเลยเลือกแทงท่ีสาคัญ
ยอ่ มเลง็ เห็นผลของการกระทาแล้ววา่ จะต้องถึง ตาย เช่นนจ้ี าเลยมีความผดิ ฐานฆา่ คนตายโดยเจตนา
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1240/2504 (ท่ีประชุมใหญ่) ประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 228 บัญญัติ
วา่ “ผู้ใดกระทาด้วยประการใด ๆ เพอื่ ใหเ้ กดิ อทุ กภัย ถา้ การ กระทานั้นนา่ จะเปน็ อนั ตรายแก่.....” คาว่า
“เพอ่ื ให้เกิดอุทกภยั ” ตามมาตราน้ี จาเลยต้องมี เจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะยกเอาการเล็งเห็นผล
ของการกระทาตามมาตรา 59 วรรค สองมาใช้ ไมไ่ ด้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 23/2503 ใช้ปืนยาวยิงไปที่เรือซ่ึงอยู่ห่างไป 1 เส้น 6-7 นัด โดยทราบดีว่ามี
คนอยู่ในเรือน้ัน กระสุนปืนถูกแขนคนไทยในเรือได้รับอันตรายแก่ กาย ดังนี้จาเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่ง
การกระทาของจาเลย ถือไดว้ า่ จาเลยกระทาโดย เจตนา เป็นความผดิ ฐานพยายามฆา่
คาพิพากษาฎีกาที่ 2804/2519 ยิงด้วยปืนสั้นเข้าไปยังกลุ่มคนโดยสาร ในเรือเพลายาว ถูกหัว
เรอื ห่างคนท่หี ัวเรอื 2 ศอก ย่อมเลง็ เห็นผลว่าอาจถกู คนในเรือตาย เป็นพยายามฆา่ คนโดยเจตนา
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1155/2520 จ. ปลูกข้าวในหนองสาธารณะ จ. อ้าง สิทธิครอบครองใน
หนองไมไ่ ด้ จาเลยมสี ิทธใิ ชห้ นองไดเ้ ทา่ เทียมกับ จ. แต่จาเลยนาเรือ เข้าไปตัดใบบัวซึ่งอยู่กับต้นข้าว ทา
ให้ต้นข้าวเสียหาย เป็นการกระทาโดยเล็งเห็นผลตาม มาตรา 59 จาเลยมีความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา 359
พึงสังเกตว่า การกระทาที่ประสงค์ต่อผลคือเจตนาโดยตรง หรือย่อม เล็งเห็นผลอันเป็นเจตนา
โดยปริยาย หรือเจตนาโดยอ้อม จะถือว่าผู้กระทามีเจตนาได้ ต่อเมื่อในขณะที่กระทาน้ันเอง ผู้กระทา
ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลการ กระทานั้น ถ้าผู้กระทาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลการ
กระทาในภายหลัง ย่อมไม่ถือว่าเจตนา เช่น แสบต่อยซ่าเบา ๆ เพ่ือให้รู้สึกตัว เผอิญซ่าล้มลง ศีรษะชน
กาแพงแตกถกู ส่งโรงพยาบาล ต่อมาแสบนึกไดว้ า่ เคยเป็นคู่อริกันมาก่อน อยากให้ฆ่าตาย เสีย ซ่าทนพิษ
บาดแผลไม่ไหวตายไป ดังนี้ ถือว่าแสบมีเจตนาทาร้าย กล่าวคือ เจตนาทา ร้ายขณะกระทา หากมี
เจตนาฆ่าก็เป็นเจตนาภายหลังเม่ือการกระทาคือต่อยเกิดไปแล้ว กฎหมายจึงบัญญัติว่าการกระทาโดย

80 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

เจตนา ได้แก่ การกระทาโดยรูส้ านกึ ในการที่กระทา และขณะเดียวกันผู้กระทาประสงค์ต่อผล หรือย่อม
เล็งเห็นผลขณะทก่ี ระทาน้ันดว้ ย

ในความผิดบางอย่างกฎหมายต้องการเจตนาพิเศษหรือมูลเหตุจูงใจ (Motive) นอกเหนือจาก
เจตนาธรรมดา จึงต้องระวังอย่าเอามูลเหตุจูงใจไปปนกับเจตนา เจตนาประสงค์ต่อผลและย่อมเล็งเห็น
ผลตามมาตรา 59 นั้นเป็นเจตนาทั่วไป ส่วนมูลเหตุจูงใจ (Motive) เป็นเหตุซ่ึงจักนาหรือจูงใจให้บุคคล
กระทาการอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดโดยเจตนา

มูลเหตุจูงใจกับเจตนาจึงต่างกันตรงที่ว่า มูลเหตุจูงใจเป็นเร่ืองความมุ่งหมายในการกระทา
เช่นนั้น ส่วนเจตนาเป็นเร่ืองความมุ่งหมายท่ีจะกระทาการอย่างใดอย่างหน่ึง มูลเหตุจูงใจเป็นคาตอบ
ของคาถามท่ีว่ากระทาทาไมหรือกระทาเพราะเหตุใด ส่วนเจตนาเป็นคาตอบของคาถามที่ว่ากระทา
อย่างไร เช่น ก.ลักเงินของ ข.ไปเพราะต้องการ พาคนรัก ไปเท่ียว เม่ือถาม ก.ว่าลักเงิน ข.ทาไม ก.ตอบ
ว่าต้องการพาคนรักไปเที่ยว ฉะน้ันการพาคนรักไปเท่ียวเป็นมูลเหตุจูงใจ และเม่ือถาม ก.ว่าลักเงิน ข.
อยา่ งไรกต็ อบไดว้ า่ ลักโดยเจตนา

ในเร่ืองความผดิ เกีย่ วกับชวี ิตรา่ งกาย การกระทาโดยเจตนามี 2 ประการ คือ
ก. เจตนาฆ่า
ข. เจตนาทารา้ ย

ก. เจตนาฆ่า
ก) ถ้าการกระทาสาเร็จ ผลจะผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา (ตาม ประมวลกฎหมาย

อาญา มาตรา 288 หรอื 289)
ข) ถ้าการกระทาไม่บรรลุผลหรือกระทาไปไม่ตลอด ผู้กระทามี ความผิดฐานพยายาม

ฆ่าคนตาย (มาตรา 80 หรอื มาตรา 81 ประกอบกบั มาตรา 288 หรอื 289)

ข. เจตนาทารา้ ย
ก) ถ้าผู้ถูกทาร้ายถึงตาย ผู้กระทามีความผิดฐานฆ่าคนตายโดย ไม่เจตนา (ประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา 290)
ข) ถ้าผถู้ กู ทาร้ายไม่ถงึ ตาย ผู้กระทาจะต้องรับโทษดงั ตอ่ ไปน้ี
(ก) ฐานทารา้ ยร่างกายธรรมดา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
(ข) ฐานทารา้ ยอนั ตรายสาหสั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
(ค) ฐานทาร้ายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือ จิตใจ ตาม

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391
การวนิ จิ ฉัยวา่ จะเปน็ เจตนาทาร้ายหรอื เจตนาฆ่าจะตอ้ ง คานงึ ถึงหลกั เกณฑ์ดังต่อไปน้ี
1. เจตนาของผกู้ ระทา
2. อาวธุ ท่ีใช้ในการกระทา
3. ผลทีเ่ กิดจากการกระทา

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 81

4. พฤตกิ ารณ์แวดลอ้ ม

1) เจตนาของผู้กระทา เจตนาของผู้กระทา หมายความว่า การแสดงออกท่ีอยู่ภายใต้
อานาจจิตใจของผู้กระทาว่าต้องการฆ่าหรือเพียงแต่ทาร้าย กล่าวคือ ต้องมีลักษณะการกระทาของ
ผู้กระทา เช่น

ก. มีโอกาสเลือกทาหรือไม่ หมายความว่า หาก ผู้กระทาความผิดมีโอกาสเลือกทาใน
ส่วนสาคัญได้แต่ไม่ทา ดังนี้เป็นเจตนาทาร้าย เช่น ก. ใช้มีดดาบยาวฟันไปท่ีแขนของ ข. จะเห็นว่า ก.มี
โอกาสที่จะเลือกฟันส่วนสาคัญในร่างกาย ของ ข.ได้ แต่กลับไม่ทา หรือ ก.ยืนห่างจาก ข. 1 เมตร ก.ใช้
ปืนยิงไปที่น้ิวเท้าของ ข. บาดเจ็บ การกระทาของ ก.นั้น ก.มีโอกาสเลือกยิงอวัยวะสาคัญของ ข.ได้
เพราะยืนห่าง เพียง 1 เมตรเท่านั้น แต่ ก.กลับยิงไปที่นิ้วเท้า ก.จึงเจตนาทาร้ายเท่านั้น ในกรณีท่ี
ผู้กระทาไม่มีโอกาสจะเลือกได้แม้จะทาต่ออวัยวะส่วนสาคัญจนถึงตาย ก็ถือว่าผู้กระทามี เจตนาทาร้าย
เชน่ กนั เชน่ การกระทาในขณะชลุ มนุ ต่อสกู้ ันตอ่ ๆ ไป (ดคู าพิพากษาฎกี าที่ 1777/2513)

ตัวอยา่ งคาพิพากษาฎีกา
คาพพิ ากษาฎกี าที่ 1215/2501 ใช้มดี ยาวเกือบ คืบแทงตรงหน้าอกอันเป็นอวัยวะส่วน
สาคัญ มีแผลเดียวทะลุหัวใจ โดยมีโอกาสเลือกแทง ได้ แม้ผู้ตายต่อยจาเลยก่อน ก็เป็นความผิดฐานฆ่า
คนตายโดยเจตนา
คาพิพากษาฎีกาที่ 659/2503 จาเลยมีโอกาสจะ แทงผู้ตายแถวบริเวณอวัยวะท่ีทาให้
ถึงแก่ความตายได้ง่าย แต่กลับเลือกแทงที่ขาซึ่งเป็น อวัยวะส่วนที่ไม่น่าจะทาให้ถึงตาย และจาเลยแทง
เพยี งทเี ดียว จึงส่อให้เหน็ เจตนาวา่ จาเลยไมม่ ีเจตนาทารา้ ยใหถ้ ึงตาย เมอื่ ผ้ตู ายถงึ ตาย จาเลยมีความผิด
เพียงฆ่าคนตายโดยไมเ่ จตนา
ข. กระทาอยา่ งรนุ แรงหรือกระทาซ้าหรือไม่ หมายความว่า ถ้าลักษณะของการกระทา
น้ันได้กระทาอย่างรุนแรงหรือกระทาซา้ ถือว่ามเี จตนาฆ่า แต่ในทางตรงกันข้าม หากลักษณะการกระทา
ไม่รุนแรงหรือมีโอกาสกระทาซ้าได้แต่ไม่ทา แม้ผลจะถึงแก่ความตายก็ถือว่าผู้กระทามีเจตนาทาร้าย
เท่านั้น เช่น จาเลยใช้ปืนซ่ึงเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหาย แม้ยิงเพียงทีเดียวแล้วหนีไป แต่ยิงบริเวณ
ลาตวั ซ่งึ เปน็ สว่ นสาคญั ของรา่ งกาย เปน็ การเพียงพอที่จะเห็นได้แล้วว่าจาเลยมีเจตนาฆ่า การไม่ซ้าเติม
อีกอาจเป็นเพราะกระสุนหมดหรอื ตอ้ งการหนีโดยรีบดว่ นก็ได้

2) อาวุธที่ใช้ในการกระทา หมายความว่า ต้องดู อาวุธที่ใช้กระทาว่ามีความร้ายแรง
ขนาดไหน ตามแนวคาพิพากษาฎีกาแต่เดิมๆ มา จนกระทั่งบัดน้ีมีหลักว่า ถ้าใช้ปืนยิงต้องสันนิษฐานไว้
ก่อนว่ามีเจตนาฆ่า เว้นแต่จะปรากฏว่าข้อเท็จจริงเด่นชัดว่าไม่มีเจตนาฆ่า เช่น ยิงขู่ หรือยิงต่าลง จึงฟัง
วา่ ไม่มีเจตนาฆา่ อนึ่ง การยิงโดยเจตนาฆ่านั้นไม่จาต้องเจาะจงว่ายิงใครหรือจะฆ่าใคร ลงได้ยิงไปหาคน
หรอื หมคู่ นกเ็ ปน็ เจตนาฆา่ แล้ว อย่างเช่นคาพพิ ากษาฎีกาที่ 241-242/2504 วินิจฉัยว่า การใช้ปืน ยิงคน
ในร้ายขายสุรา แม้ผู้ยิงจะเมาสุราก็จริง ก็อาจแลเห็นผลได้ว่าผู้ถูกยิงจะถึงตายได้ เม่ือกระสุนปืนที่ยิง
พลาดไปถกู คนอื่นมบี าดเจบ็ สาหัส กต็ ้องมีความผดิ ฐานพยายามฆา่

82 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ตวั อย่างคาพพิ ากษาฎีกา
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1368/2503 การท่ีจาเลยใช้ปืน สั้นซึ่งเป็นอาวุธทาให้ถึงตายได้ยิง
ถกู คนท่หี น้าท้อง ย่อมต้องถือวา่ มีเจตนาฆา่
คาพิพากษาฎีกาท่ี 42/2504 (ท่ีประชุมใหญ่) จาเลย ใช้มีด ตัวมีดยาว 4 น้ิวฟุต กว้าง
2 ซม. ด้ามยาว 8 นิ้วฟุต แทงไปแถวหน้าอกผู้ตายใน ขณะที่ผู้ตายเดินมาหาโดยมิได้ระวังตัว แผลทะลุ
ช่องปอด เช่นนี้จาเลยมีความผดิ ฐานฆ่า คนโดยเจตนา
คาพิพากษาฎีกาท่ี 777/2505 (ทีป่ ระชมุ ใหญ่) การที่ จาเลยใช้มีดยาว 1 แขน กระโดด
ลงจากเรือไปตอ่ สู้กบั ผตู้ าย และฟันผตู้ ายถงึ 3 แหง่ แผล ที่สาคัญถูกคอเกือบขาด แสดงให้เห็นว่าจาเลย
มเี จตนาฆ่าผตู้ าย จาเลยจงึ มคี วามผดิ ฐาน ฆา่ คนโดยเจตนา
คาพิพากษาฎีกาที่ 117/2515 จาเลยยิงปืนเข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยจาเลยทราบดี
ว่ามคี นอยใู่ นบ้านนน้ั กระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายและพวกซ่ึงอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ และกระสุนปืน
ท่ีจาเลยใช้ยิงได้ทะลุบ้านผู้เสียหายไปถูกผู้อาศัยในบ้านอีกหลังหน่ึงได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นน้ีจาเลยมี
ความผดิ ฐานพยายามฆ่าผอู้ ื่น

3) ผลท่ีเกิดจากการกระทา หมายความว่า ผลที่ได้รับ จากการกระทานั้นร้ายแรงแค่
ไหน โดยดูจากบาดแผลของผู้ท่ีได้รับความเสยี หาย เช่น บริเวณท่ีถูกทาร้ายเป็นอวัยวะสาคัญอาจถึงตาย
ได้ ก็ถือเป็นเจตนาฆ่า เป็นต้น อย่างไรก็ ตามต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์อย่างอ่ืนด้วย เช่น คาพิพากษา
ฎกี าท่ี 15/2509 จาเลยแทง ผู้ตายท่ีบริเวณหน้าอกเหนือหัวใจจนทะลุ ครั้นผู้ตายล้มลง จาเลยคร่อมจะ
แทงซ้าอีก แสดงให้เห็นว่าจาเลยมีเจตนาฆ่า ส่วนสาคัญของร่างกาย เช่น ศีรษะ คอ หน้า อก ท้อง
เป็นตน้

4) พฤติการณ์แวดลอ้ ม เช่น เป็นทีม่ ดื ไม่มีแสงสว่าง ไม่อาจเรียกได้ว่ากระทาส่วนไหน
เป็นสว่ นสาคญั

4.1.2 ความสาคญั ผิด (Mistake)
ความสาคัญผดิ มี 2 อย่าง คือ
1) สาคัญผดิ ในข้อเทจ็ จริง (Ignorance of Fact)
2) สาคญั ผิดในข้อกฎหมาย (Ignorance of Law)

1) สาคญั ผดิ ในข้อเท็จจรงิ หรือการไม่รูข้ ้อเทจ็ จริง (Ignorance of Fact)
บางกรณีแก้ตัวได้ บางกรณีแก้ตัวไม่ได้ โดยพิจารณาจากบทบัญญัติมาตรา 59 วรรค 3 กับ
มาตรา 61-62 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเปน็ หลกั ซ่ึงจะได้แยกพจิ ารณา ดังน้ี

(1) การไม่ร้ขู ้อเท็จจริง อนั เปน็ องค์ประกอบของความผิดตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 59 วรรคสาม บัญญัติว่า “ถ้าผู้กระทามิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 83

จะถือวา่ ผู้กระทาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทาน้ันมิได้” ที่ได้กล่าวไว้ในเร่ืองกระทา
โดยเจตนานั้นกระทาโดยเจตนาได้แก่ การกระทาโดยรู้สานึกในการท่ีกระทาและขณะเดียวกันผู้กระทา
ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทาน้ัน ฉะน้ันถ้าผู้กระทาไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น
องค์ประกอบของความผิดจะถือว่าผู้กระทากระทาโดยเจตนามิได้ โดยหลักแล้วความรู้ข้อเท็จจริงหรือ
พฤติการณแ์ หง่ การกระทานี้เป็นหลักอันหนึ่งของเจตนาถ้าผู้กระทาไม่รู้ข้อเท็จจริงก็ได้ช่ือ ว่ากระทาโดย
ไม่มีเจตนา การไม่รู้ข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติมาตรา 59 วรรคสามจึง หมายถึงไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น
องค์ประกอบของความผิด คาว่า “องค์ประกอบของ ความผิด” หมายถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกาหนดไว้
สาหรบั ความผิดแตล่ ะความผิด เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 บัญญัติว่า “ผู้ใดเอาทรัพย์ของ
ผู้อื่นหรือที่ผู้อน่ื เปน็ เจา้ ของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้น้ันกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ
จาคุก ไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท” องค์ประกอบความผิดแห่งบทบัญญัติมาตรา 334
ได้แก่

ก. ผใู้ ดเอาไป
ข. ทรัพย์ของผูอ้ ่นื หรอื ที่ผอู้ ื่นเป็นเจา้ ของรวมอยู่ดว้ ย
ค. เจตนา
ง. โดยทุจรติ

องค์ประกอบของความผิดมีอยู่ 2 อย่าง คอื
ก. องค์ประกอบภายนอก ซ่ึงได้แก่การกระทาและส่ิงที่เกี่ยวเน่ืองจาก การกระทา อันบุคคล
สามารถเห็นได้ ได้ยิน ได้รู้ ลิ้มรส หรือสัมผัสได้จากภายนอก11 เช่น ตามตัวอย่างเร่ืองลักทรัพย์
องค์ประกอบภายนอก ไดแ้ ก่ (1) ผ้ใู ดเอาไป “ผู้ใด” คือ ผู้กระทาจะต้องมีสภาพบุคคล “เอาไป” คือการ
กระทา และ (2) ทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อ่ืน เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย อันเป็นส่ิงท่ีเกี่ยวเนื่องกับการกระทา
คือการเอาไป
ข. องค์ประกอบภายใน ซึง่ เปน็ เร่ืองของจติ ใจ ได้แก่ เจตนาธรรมดา เจตนาพิเศษ (มูลเหตุชักจูง
ใจ) หรือประมาท เช่น เรื่องลักทรัพย์ องค์ประกอบภายใน ได้แก่ "โดยทุจริต” อันเป็นเจตนาพิเศษ
(มูลเหตุจูงใจ) และเจตนาธรรมดา หรือ ประสงค์ ตอ่ ตัวทรัพย์นัน้
ความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ความหมายท่ีใช้อยู่ในมาตรา 59
วรรค 3 หมายถึงความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น องค์ประกอบภายนอกของความผิดเท่าน้ัน ไม่เกี่ยวกับ
องคป์ ระกอบภายในของความผดิ

ตัวอย่าง สุโขซ้อมมือในการยิงปืน โดยใช้หุ่นไล่กาเป็นเปูาอย่าง เคย บังเอิญก่อนยิงมีคนไปยืน
เป็นหุ่นไล่กาแทน สุโขเข้าใจว่าคนท่ียืนอยู่นั้นคือหุ่นไล่กา เมื่อยิงไปกระสุนถูกคนที่ยืนอยู่ตาย ความผิด

1 หยุด แสงอทุ ัย, ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515), หน้า
114-115.

84 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ฐานฆ่าคนตายต้องมีองค์ประกอบของ ความผิดคือ (1) ฆ่า และ (2) ผู้อ่ืน โดยที่ความผิดฐานฆ่าคนตาย
โดยเจตนาต้องมีบุคคลมา รองรับการกระทา แต่สุโขไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าส่ิงที่ตนยิงไปเป็นบุคคล จึงถือว่า
สุโขประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผล คือ ความตายของคนท่ีถูกยิงไม่ได้ เท่ากับว่าสุโขไม่มีเจตนา
น่นั เอง

ตวั อย่าง ก.สวมหมวกไปเท่ยี วทบี่ าร์ชายทะเล แขวนหมวกไว้ที่ ราวแขวนหมวก เวลากลับหยิบ
หมวกของคนอนื่ สวมมาโดยเขา้ ใจผดิ คิดว่าเปน็ หมวกของ ตน ก. ไม่มคี วามผิดฐานลกั ทรัพย์หรือพยายาม
ลักทรัพย์ เพราะมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น องค์ประกอบของความผิด โดยเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงว่าเป็น
หมวกของตน คอื ขาด “เจตนาทุจรติ ” ด้วย องค์ประกอบความผดิ ฐานลักทรัพย์ตอ้ งมี “เจตนาทจุ รติ ”

ตัวอย่าง แดงเห็นพุ่มไม้ไหว ๆ นึกว่าเป็นอีเก้ง จึงยิงไปที่พุ่มไม้ น้ัน แต่ความจริงไม่ใช่อีเก้ง แต่
เป็น ข.ซ่ึงนั่งเล่นอยู่หลังพุ่มไม้ และ ข.ถูกลูกกระสุนปืนที่ ก.ยิงถึงแก่ความตาย ตามตัวอย่างน้ี ก.ไม่รู้
ข้อเท็จจรงิ อันเปน็ องค์ประกอบของความผดิ คือความผิดฐานฆ่าคนตายน้ัน ต้องมี (1) การฆ่า (2) บุคคล
อนื่ แต่เมอ่ื ก.ไม่รวู้ า่ สิ่งท่ีตน ยิงเป็นบคุ คล ก.กไ็ ม่รขู้ ้อเท็จจริงอนั เป็นองค์ประกอบความผิดข้อ (2) ฉะนั้น
มาตรา 59 วรรค 3 จึงบัญญัติว่า จะถือว่า ก.ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทานั้นมิได้
ซึง่ หมายความว่า จะถือว่า ก.มเี จตนาฆา่ คนตายไม่ได้

ตัวอย่าง อารยากับปาริชาติเป็นพ่ีน้องฝาแฝด อารยาแต่งงานกับวินัย คืนหนึ่งปาริชาติได้มา
แอบค้างบ้านอารยา โดยนอนรวมกันทั้งสามคนในห้องเดียวกัน ตกดึกอารยาลุกเข้าห้องน้า วินัยรู้สึกตัว
เขา้ ใจว่าคนที่นอนอยูข่ ้าง ๆ คืออารยาผเู้ ป็นภริยา จึงร่วมประเวณีด้วย ซึ่งความจริงเป็นปาริชาติ โดยปา
ริชาติหลับ ดังน้ีวินัยไม่มีความผิด ฐานข่มขืนกระทาชาเรา เพราะวินัยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น
องค์ประกอบแห่งความผิดคือ หญิงน้ันมิใช่ภริยาของตน แต่วินัยเข้าใจว่าเป็นอารยาภริยาของตน
จงึ ไม่ผิด

ตัวอย่าง ก.ต้องการฆ่า ข.คนธรรมดา เห็น ค.ซ่ึงเป็นบิดาเดินมา สาคัญผิดว่าเป็น ข. ก.ยิง ค.
ตาย ดงั นี้ ก.มคี วามผดิ ฐานฆา่ คนธรรมดาตายโดยเจตนา ไม่ มีความผดิ ฐานฆ่าบพุ การีซง่ึ ต้องรับโทษหนัก
กว่าฆ่าคนธรรมดา เพราะ ก.ไม่รู้ว่า ค. เพราะ ก.ไม่รู้ว่า ค.เป็นบิดา เข้าใจว่า ค. คือ ข.บุคคลที่ตน
ตอ้ งการฆา่

การไม่รู้ข้อเท็จจริงตามมาตรา 59 วรรค 3 ที่กล่าวมาแล้ว หมายถึงข้อเท็จจริงอันเป็น
องค์ประกอบของความผิด ถ้าในทางตรงกันข้ามคือไม่รู้ ข้อเท็จจริงที่ไม่ใช่องค์ประกอบของความผิด
เช่น ต้ังใจจะยิงคนแต่ยิงไปที่หมูปุาโดย เข้าใจว่าหมูปุาเป็นคน ดังนี้ไม่มีเจตนายิงคนไม่ได้ เพราะมิใช่
เร่ืองการไม่รู้ข้อเท็จจริงอัน เป็นองค์ประกอบของความผิด ส่ิง (หมูปุา) ที่ยิงไปน้ันมิใช่องค์ประกอบของ
ความผิดแต่ อย่างใด ตามตัวอย่างนี้ ถ้าคนที่ตั้งใจจะยิงได้ตายไปก่อนนานแล้ว ก็เป็นเรื่องขาด
องคป์ ระกอบของความผิดไปทีเดียว ไม่เป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา จึงไม่ต้อง ไปพิจารณาอีก
ว่าการกระทาถงึ ขน้ั ลงมือกระทาความผิดอันเป็นการพยายามกระทา ความผิดหรือไม่แต่อย่างใด เพราะ
เป็นกรณขี าดองคป์ ระกอบความผดิ ไปแล้ว แตถ่ า้ คนท่ี ตงั้ ใจยงิ ยงั มชี ีวิตอยู่ องค์ประกอบความผิดฐานฆ่า

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 85

คนตายโดยเจตนาก็มีอยู่ครบถ้วน แม้ผู้ ยิงจะยิงไปท่ีหมูปุาโดยเข้าใจว่าหมูปุาเป็นคนก็ตาม ผู้ยิงย่อมมี
ความผดิ ฐานพยายามฆ่า คนตายตามมาตรา 80 หรือ 81

การไม่รู้ขอ้ เท็จจริงอนั เป็นองค์ประกอบแห่งความผดิ นี้ถือว่าไม่มเี จตนานี้ใช่ว่าจะไม่เป็นความผิด
เสียเลย หากการกระทาดังกล่าวได้ทาด้วยความประมาท ผู้กระทาจะต้องรับโทษฐานกระทาโดย
ประมาทด้วยในกรณีท่ีกฎหมายบัญญัติโดยเฉพาะ ว่าการกระทาน้ันผู้กระทาต้องรับโทษแม้กระทาโดย
ประมาท (มาตรา 62 วรรค 2)

ตัวอย่าง เช่น ก.เหน็ ต้นไมไ้ หวๆ เขา้ ใจว่าเป็นเกง้ จึงยิงปืนไปท่ี พุ่มไมล้ กู ปืนถูก ข.ซึ่งกาลังตัดไม้
อยู่ตาย ดังน้ี ก.ไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของ ความผิด ก.ไม่มีความผิดฐานฆ่า ข.ตายโดย
เจตนา แต่ถ้า ก.ได้ยินเสียงคนตัดไม้อยู่ บริเวณนั้น และ ก.ได้กระทาไปโดยปราศจากจากความ
ระมัดระวังตามวสิ ยั และพฤตกิ ารณ์ และ ก.อาจใช้ความระมัดระวังเชน่ วา่ น้นั ได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
ก.จึงมคี วามผิดฐาน ฆา่ คนตายโดยประมาท

(2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 บัญญัติว่า “ข้อเท็จจริงใด ถ้ามีอยู่จริงจะทาให้การ
กระทาไม่เป็นความผิด หรอื ทาให้ผ้กู ระทาไม่ต้องรับโทษหรือได้รับโทษ น้อยลง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มี
อยู่จรงิ แต่ผกู้ ระทาสาคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผู้กระทาย่อมไม่มีความผิด หรือได้รับยกเว้นโทษหรือได้รับโทษ
น้อยลง แลว้ แตก่ รณี

ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรค 3 แห่งมาตรา 59 หรือ ความสาคัญผิดว่ามีอยู่จริง
ตามความในวรรคแรกได้เกิดข้ึนด้วยความประมาทของผู้กระทา ความผิดให้ผู้กระทารับผิดฐานกระทา
โดยประมาทในกรณีท่ีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ว่าการกระทานั้นผู้กระทาจะต้องรับโทษแม้กระทา
โดยประมาท ฯลฯ”

ตามมาตรา 62 น้ีดาเนินตามหลักเจตนาอย่างเดียวกัน คือต้อง พิจารณาตามความเข้าใจของ
บุคคลผู้กระทา แมค้ วามจริงการกระทาจะประกอบดว้ ย องค์ประกอบครบถ้วนและไม่มีเหตุยกเว้นความ
รับผิดเลยก็ตาม ถ้าผู้กระทาได้กระทาโดย เข้าใจเอาข้อเท็จจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็ต้องวินิจฉัยความผิด
หรือความรับผดิ ของผกู้ ระทา โดยสมมติเอาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างท่ีผู้กระทาเข้าใจ ถ้าตามข้อเท็จจริงท่ี
สมมุติข้นึ ตามที่ ผกู้ ระทาเขา้ ใจ การกระทานน้ั ยังเป็นความผิดอยู่เพียงใดก็ถือว่าผู้กระทามีความผิดเพียง
นั้น ถา้ ตามข้อเท็จจรงิ ที่สมมตขิ นึ้ เช่นน้นั ผกู้ ระทาไม่มีความผิด หรือไม่ต้องรับโทษ หรือรับ โทษน้อยลงก็
ต้องเปน็ ไปตามน้นั

กรณีตามมาตรา 62 วรรคแรกน้ี ผู้กระทา รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น องค์ประกอบความผิดว่ามีอยู่
ครบถว้ น แต่สาคญั ผิดในขอ้ เท็จจรงิ ทเี่ ป็นเหตุยกเวน้ ความผดิ ยกเวน้ โทษหรอื ลดโทษ

ผลของการสาคญั ผิดตามวรรคแรก มาตรา 62 มีอยู่ 3 อยา่ ง คอื
ก. ไมม่ ีความผดิ
ข. มคี วามผดิ แต่ไดร้ ับยกเว้นโทษ
ค. มีความผดิ แตไ่ ด้รับโทษน้อยลง

86 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ก. ไม่มีความผิด ต้องต้ังข้อเท็จจริงเป็นข้อสมมติข้ึนอย่างที่ ผู้กระทาสาคัญผิด ถ้าตาม
ข้อเทจ็ จริงทีส่ มมติขนึ้ นัน้ การกระทาไมเ่ ปน็ ความผดิ เช่น การ ปูองกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้กระทา ก็
จะไดร้ ับผลจากกฎหมายอย่างเดยี วกับ ข้อเท็จจรงิ อย่างท่ีสาคัญผิด กล่าวคือ ถ้าเป็นการปูองกันโดยชอบ
ดว้ ยกฎหมายแลว้ ผกู้ ระทาจะไม่มีความผดิ เลย

ตัวอย่าง จาเลยเป็นลูกเลี้ยงผู้ตาย อยู่เรือนเดียวกับผู้ตาย คืน เกิดเหตุจาเลยนอนเฝูาเรือนอยู่
คนเดียวท่ีระเบียง ส่วนผู้ตายไปเที่ยวประมาณ 4 นาฬิกา มีคนจะข้ึนมาบนเรือน จาเลยได้ร้องถามไป
คนนั้นไม่ตอบ จาเลยสาคัญว่าเป็นคนร้ายจะ ข้ึนมาลักทรัพย์บนเรือน จึงตีไป 2-3 ที คนนั้นตกบันไดไป
เอาตะเกียงมาส่องดูจึงรู้ว่าเป็น นายทองบิดาเล้ียงซึ่งเป็นที่รักของจาเลย จาเลยว่าถ้ารู้ว่าเป็นนายทองก็
จะไม่ตี ดังนี้เป็น การสาคัญผิดในข้อเท็จจริง และเป็นการปูองกันตัวและปูองกันทรัพย์สมควรแก่เหตุ
ศาล ตดั สินยกฟอู ง (คาพพิ ากษาฎกี าท่ี 710/2500)

จาเลยเปน็ สามีนอนอยู่ช้ันบน ภริยานอนอยู่ช้ันล่าง ต่างหลับกัน แล้ว มีเสียงสุนัขเห่า ภริยาตื่น
ไปแอบฝาลาแพนดูคนร้ายท่ีห้องนอนของจาเลยซ่ึงมืด จาเลยตื่นไปเห็นคนยืนอยู่ที่ฝาลาแพน เข้าใจว่า
เป็นคนร้ายจึงหยิบมีดท่ีวางอยู่ใกล้ ๆ ฟัน ไป 1 ที ภริยาถึงแก่ความตาย ดังน้ีถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่
ใกล้จะถึง ตามมาตรา 68 แล้ว จงึ มีสทิ ธปิ อู งกนั ได้ (คาพิพากษาฎกี าที่ 51/2512)

จากตวั อย่างท่ี 2 นี้ จะเห็นว่าผู้กระทาสาคัญผิดว่าข้อเท็จจริงคือ คนร้ายนั้นมีอยู่จริง จึงทาการ
ปูองกนั ไป เวลาวินจิ ฉยั ความผิดจึงต้องตั้งข้อเท็จจริงสมมติ ข้ึนอย่างที่ผู้กระทาสาคัญผิด เมื่อข้อเท็จจริง
ทีส่ มมติขึน้ ตามท่ผี กู้ ระทาเขา้ ใจ การกระทาไม่ เปน็ ความผิด ผู้กระทาจงึ ไมม่ คี วามผิด

ข. มีความผิดแตไ่ ด้รับยกเว้นโทษ หมายความว่า การกระทาของ ผู้กระทาน้ันเป็นความผิดแต่
ได้รับยกเว้นโทษ กรณีที่ผู้กระทาไม่ต้องรับโทษ เช่น กรณี กระทาความผิดโดยความจาเป็น ตามมาตรา
67 ฉะนั้นข้อเท็จจริงที่สมมติขึ้นตามท่ี ผู้กระทาเข้าใจว่าตนต้องกระทาโดยความจาเป็น ตามมาตรา 67
แล้ว ผกู้ ระทาก็จะไดร้ บั ยกเว้นโทษ

ค. มีความผิดแต่ได้รับโทษน้อยลง หมายความว่า การกระทา ของผู้กระทาน้ันเป็นความผิด
และมีโทษแต่ได้รับโทษน้อยลง ข้อเท็จจริงท่ีทาให้ผู้กระทารับ โทษน้อยลงนี้รวมถึงกรณีท่ีกฎหมายให้
อานาจศาลท่ีจะลงโทษผู้กระทาน้อยกว่าท่ีกฎหมาย กาหนดไว้สาหรับความผิดน้ันด้วย เช่น บันดาล
โทสะ ตามมาตรา 72 หรือ มาตรา 69 เช่น ก.สาคัญผิดว่าตนถูก ข.ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่
เป็นธรรมจงึ บนั ดาลโทสะและทาร้ายร่างกาย ข. ในขณะนั้นแม้ความจริงจะปรากฏว่า ข.เป็นแต่เพียงล้อ
ก.เลน่ และคดิ วา่ ก.คงจะไดท้ ราบความจริง แต่เมอื่ ก.สาคัญผดิ ดังกล่าว ก.ก็ย่อมได้รับโทษน้อยลง โดย
ศาลอาจลงโทษ ก.น้อยลงกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้เพียงใดก็ได้ โดยถือเสมือนว่าได้กระทาความผิดโดย
บนั ดาลโทสะตามมาตรา 72

ท่ีได้กล่าวมาแล้วเป็นเรื่องข้อแก้ตัวให้ไม่เป็นความผิด หรือมีความผิดแต่ได้รับยกเว้นโทษหรือ
มีโทษแต่ได้รับโทษน้อยลงซึ่งเป็นเจตนาท้ังสิ้น เพราะฉะนั้นการวินิจฉัยเจตนาต้องถือตามพฤติการณ์ท่ี
ผู้กระทาเขา้ ใจ สงิ่ ใดทอ่ี ยูน่ อกเหนือความรู้ของผู้กระทาจะว่าเขากระทาโดยเจตนาไม่ได้ แต่ถ้าความไม่รู้

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 87

น้ันเกิดจากความประมาทและการกระทาน้ันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดฐานกระทาโดยประมาท ก็
ต้องลงโทษผู้กระทาฐานกระทาโดยประมาท (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรค สอง) เช่น สุร
ศกั ดิแ์ ทงอาภสั สร์ในที่มืดโดยเข้าใจผิดว่าส่ิงที่สุรศักด์ิแทงเป็นสุนัข อาภัสสร์ถึงแก่ความตาย สุรศักด์ิไม่มี
ความผิดฐานฆ่าอาภัสสร์โดยเจตนาหรือไม่เจตนาฆ่าเพราะไม่มีเจตนาทาร้ายคน แต่ถ้าสุรศักด์ิไม่
ระมัดระวัง พิจารณาดใู ห้ดจี งึ เขา้ ใจผิด สรุ ศักด์มิ คี วามผดิ ฐานฆ่าคนตายโดยประมาท (คาพิพากษาฎีกาที่
504/2483)

แต่ในกรณีท่ีตามข้อเท็จจริงท่ีเป็นอยู่จริง การกระทาไม่เป็นความผิดหรือไม่มีโทษ หรือมีโทษ
นอ้ ยลง แต่ผู้กระทาสาคัญผิดว่าตนกาลังกระทาตาม ข้อเท็จจริงท่ีเป็นความผิด หรือไม่มีเหตุยกเว้นหรือ
บรรเทาโทษ ความสาคัญผิดเช่นน้ีไม่ทาให้ผู้กระทาต้องรับผิดตามท่ีเข้าใจ ผู้กระทาอาจไม่มีความผิดเลย
เชน่ ยิงศพโดยคิดวา่ เปน็ คนมชี ีวิตหรืออาจมีความผิดเพียงฐานพยายาม เช่น เข้าใจผิดว่ายิงคน แต่ความ
จรงิ เปน็ ต้นไม้ หรอื อาจไมม่ โี ทษเลย

การไม่รู้ข้อเท็จจริงตามมาตรา 59 วรรค 3 กับการสาคัญผิดใน ข้อเท็จจริง ตามมาตรา 62
วรรคแรก แตกต่างกันที่การไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบ ของความผิดนั้นหมายความว่า
องค์ประกอบของความผิดมอี ยคู่ รบถว้ น แตผ่ กู้ ระทาไม่รู้ว่า มี เช่น ก.ออกปุาเพ่ือยิงเก้ง เห็นพุ่มไม้ไหว ๆ
เข้าใจว่าเป็นเก้งจึงยิงไปถูก ข.ตาย ดังนี้ ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้นมีอยู่จริงคือ ข.
ผู้ตาย แต่ ก.ไม่รู้ว่าเป็น ข. เข้าใจว่าเป็นเก้ง ก.จึงไม่มีความผิดฐานฆ่า ข.ตายโดยเจตนา ส่วนการสาคัญ
ผดิ ใน ขอ้ เท็จจรงิ วา่ มีอยูจ่ รงิ แมข้ อ้ เทจ็ จริงนั้นจะไม่มีอย่จู รงิ ตามมาตรา 62 วรรคแรกน้ัน หมายความว่า
ข้อเท็จจริงที่จะทาให้ผู้กระทาไม่มีความผิดน้ัน หรือไม่ต้องรับโทษหรือรับ โทษน้อยลงน้ีไม่มีอยู่จริง แต่
ผู้กระทาสาคัญผดิ วา่ มีอยจู่ ริง ผู้กระทาจงึ รบั ผลแห่งการ กระทาตามที่เข้าใจน้ัน เช่น คืนเกิดเหตุจาเลยผู้
เดียวนอนเฝูากระบือและเครื่องสูบน้าที่ ท้องนาซึ่งสูงจากพื้นดินเพียง 2 ศอกเศษ ในท้องท่ีท่ีมีการปล้น
การลักกันเสมอ จาเลย ตกใจต่ืนโดยได้ยินเสียงก๊อกแก๊กทางปลายเท้า เห็นเงาคนดา ๆ ห่างวาเศษ
เข้าใจว่าเป็น คนร้ายจะมาทาการปล้น จึงใช้ปืนยิงไป 1 นัด ถูกผู้น้ันตาย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวการที่
จาเลยยิงผู้ตายซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้ายลงไปในขณะน้ันย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทาท่ี พอสมควรแก่
เหตุ จาเลยไม่มีความผิด (คาพิพากษาฎีกาที่ 1708/2512) จากแนวคา พิพากษาฎีกาน้ีจะเห็นว่า
ข้อเท็จจรงิ ท่ีว่าเป็นคนร้ายอันเป็นเหตุให้ปูองกันได้นี้ไม่มี แต่ ผู้กระทาสาคัญผิดว่ามีคนร้ายอยู่จึงทาการ
ปอู งกันไปโดยชอบดว้ ยกฎหมาย ผู้กระทาจงึ รบั ผลแหง่ การกระทาตามทเ่ี ขา้ ใจคือไมม่ คี วามผดิ

(3) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 61 บัญญัติว่า “ผู้ใดเจตนากระทาต่อ บุคคลหนึ่ง แต่ได้
กระทาต่ออีกบุคคลหน่ึงโดยสาคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสาคัญผิดเป็น ข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทาโดย
เจตนาหาไดไ้ ม”่

ความสาคัญผิดตามมาตรา 61 น้ีเป็นเร่ืองความสาคัญผิดในตัวบุคคล ซึ่งแม้จะกระทาต่อบุคคล
ใดก็เปน็ ผิดทง้ั นน้ั จะแก้ตวั ไมไ่ ด้ การกระทาโดยสาคญั ผดิ ตาม มาตรานี้ ประกอบดว้ ยหลกั เกณฑ์ดังนี้

ก. ความสาคัญผดิ ในตวั บุคคลผ้ถู ูกทาร้าย

88 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ข. จะตอ้ งเป็นการกระทาบคุ คลต่อบุคคล หรอื ทรพั ย์ต่อทรพั ย์
ค. จะต้องประกอบดว้ ยบคุ คล 2 ฝาุ ย คอื ฝุายท่กี ระทากับฝุายท่ีไดร้ บั ผลร้ายจากการกระทา
ง. ต้องถอื เจตนาเดิมของผ้กู ระทามาวินจิ ฉัยผลของการกระทาท่ี เกิดขึน้

ก. ความสาคัญผิดในตัวบุคคลผู้ถูกทาร้าย หมายความว่า เข้าใจ ผิดเป็นคนละคนไปทีเดียว
กล่าวคือ กระทาต่อบุคคลหน่ึงโดยคิดว่าเป็นบุคคลอีกคนหน่ึง เช่น ก.เจตนาทาร้าย ข. เห็น ค.เดินมา
เขา้ ใจว่า ค. เป็น ข. จึงทารา้ ย ค. แต่ไม่หมายความ ถึงเข้าใจผิดในคุณสมบัติหรือฐานะบุคคล เช่น ตั้งใจ
ทาร้าย ก. และได้ทารา้ ย ก.ตามท่ตี ัง้ ใจ แต่เขา้ ใจผิดวา่ ก.เป็นเจ้าพนักงานผู้กระทาการตามหน้าท่ี ความ
จริง ก.ไมไ่ ด้เปน็ เจา้ พนกั งานเลย เช่นนไ้ี ม่ใช่กระทาต่อบุคคลอีกคนหนงึ่ โดยสาคัญผิด เป็นการทาร้าย ก.
โดยเจตนาตรง ๆ

ข. จะต้องเปน็ การกระทาบคุ คลตอ่ บุคคล หรอื ทรัพย์ต่อทรัพย์ หมายความว่า การกระทาโดย
สาคัญผิดน้ีจะต้องสาคัญผิดในตัวบุคคลต่อบุคคล เช่น ก. เจตนาทาร้าย ข. เห็น ค. เดินมาเข้าใจว่า ค.
เป็น ข. จงึ ทารา้ ยเอา แตถ่ า้ ก.เจตนาทารา้ ย ข.เหน็ สนุ ัขเดินมาเข้าใจว่าเป็น ข.จึงทาร้ายเอา อย่างน้ีมิใช่
เป็นการกระทาบุคคลต่อบุคคล เป็นการกระทาต่อทรัพย์ หากจะผิดก็ผิดฐานพยายามทาร้าย ข.เท่านั้น
ถ้า ข.ยังมีตัวตน อยู่ ในกรณีทรัพย์ก็เช่นเดียวกันจะต้องเป็นการกระทาต่อทรัพย์เหมือนกัน เช่น ก.
ต้องการ ทุบกระจกรถยนต์ของ ข.เห็นรถยนต์ของ ค.จอดอยู่เข้าใจว่าเป็นรถยนต์ของ ข.จึงทุบ กระจก
รถยนต์น้ันแตก

ค. จะต้องประกอบด้วยบุคคล 2 ฝ่าย คือฝุายท่ีกระทากับฝุายท่ี ได้รับผลร้ายจากการกระทา
หมายความวา่ การกระทาโดยสาคญั ผดิ นม้ี บี ุคคลเพียง 2 ฝุายเทา่ นน้ั คอื ฝุายท่ีเจตนากระทากับผู้ท่ีได้รับ
ผลรา้ ยจากการกระทาอีกฝุายหนึ่ง ส่วน บุคคลท่ีผู้กระทามีเจตนาจะกระทานั้นไม่มีตัวอยู่ เช่น ก.เจตนา
ฆา่ ข.เห็น ค.เดินมาเขา้ ใจ วา่ เปน็ ข.จงึ ยงิ ค.ตาย จะเหน็ ว่าฝุายหน่ึงคือ ก.ผู้กระทา อีกฝุายหน่ึงคือ ค. ผู้
ไดร้ ับผลร้าย จากการกระทา ส่วน ข.นน้ั ไม่มีตัวตน ในขณะนนั้ จึงถือวา่ ก.นนั้ มเี จตนาโดยตรงต่อ ค.

ง. ต้องถือเจตนาเดิมของผู้กระทามาวินิจฉัยผลของการกระทาท่ีเกิดขึ้น หมายความว่า เมื่อ
ผูก้ ระทาตกลงใจวา่ จะกระทาจะต้องมีเจตนาเดิมอย่กู อ่ นน้นั แล้ว

การกระทาโดยสาคัญผิดตามมาตรา 61 นี้ไม่เป็นพยายามกระทา ความผิดในฐานที่เจตนา
กระทาอีกฐานหนึ่ง เพราะการกระทาสาเร็จผลแล้ว หากสาคัญผิด ในข้อเท็จจริงในตัวบุคคลผู้กระทา
เท่านั้น เช่น ก.เจตนาฆ่า ข.เห็น ค.เดินมาเข้าใจว่าเป็น ข.จึงยิง ค.ตาย ก็มีความผิดฐานฆ่า ค.ตายโดย
เจตนา แตไ่ มม่ ีความผิดฐานพยายามฆา่ ข. เพราะการกระทาของ ค.ไดส้ าเรจ็ ผลแล้ว หากสาคัญผิดว่า ค.
เป็น ข.เทา่ นั้น และถอื วา่ ก. ไดม้ ีเจตนากระทาโดยตรงต่อ ค.แล้วความรับผิดในการกระทาโดยสาคัญผิด
ในตวั บคุ คลมี ดงั ตอ่ ไปน้ี

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 89

ก) เขียวเจตนาฆ่าขาว เห็นเหลืองเดินมา เขียวสาคัญผิดว่าเหลือง เป็นขาว จึงฆ่าเหลือง ดังน้ี
เขียวแก้ตัวไม่ได้ว่าไม่มีเจตนาฆ่า ถ้าบังเอิญเหลืองเป็นบิดา ของเขียว เขียวควรมีความผิดรับโทษตาม
มาตรา 288 หรือ 289

มาตรา 62 วรรคท้าย บัญญัติว่า “บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดย อาศัยข้อเท็จจริงใด บุคคล
นั้นจะตอ้ งรูข้ อ้ เทจ็ จรงิ นัน้ ”

แมว้ ่าเหลอื งเปน็ บุพการี ซ่งึ มาตรา 289 บัญญัติวา่ ผูฆ้ ่าบุพการี ต้องระวางโทษหนักกว่าผู้ฆ่าคน
ธรรมดาตามมาตรา 288 แต่เน่ืองจากเขียวไม่รู้ข้อเท็จจริง ที่ว่าเหลืองเป็นบิดาของตน เขียวคงต้องรับ
โทษฐานฆ่าคนธรรมดาตายตามมาตรา 288

ข) ดาเจตนาฆ่ามารดา เห็นหญิงคนหน่ึงเดินมา สาคัญผิดว่าหญิง คนน้ันคือมารดา จึงฆ่าหญิง
น้ัน ความจริงหญงิ นน้ั หาใชม่ ารดาของดาไม่ ดาคงมีความผิด ฐานฆ่าคนธรรมดาตายตามมาตรา 288 ไม่
ผิดฐานฆา่ บุพการขี องดา เพราะขาด องค์ประกอบท่ีจะเป็นความผิดตามมาตรา 289 กล่าวคือหญิงท่ีถูก
ฆา่ ตายไมใ่ ชบ่ พุ การี

ค) ดาเจตนาฆ่าพ่อ เห็นปุูเดินมาสาคัญผิดว่าเป็นพ่อ จึงฆ่าปูุ ดามีความผิดฐานฆ่าคนธรรมดา
ตายตามมาตรา 288 ไม่ผิดฐานฆ่าบพุ การี แม้ปูุจะเปน็ บพุ การกี ต็ าม เพราะดาไม่รูว้ า่ ผู้ท่ีตนฆ่านั้นเปน็ ปุู

ง) ในกรณีผกู้ ระทาได้กระทาโดยไตร่ตรองไวก้ อ่ น โดยทรมาน หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นตาม
มาตรา 289 ขอ้ 4 ถึงข้อ 7 ผกู้ ระทาจะต้องรบั โทษหนกั ขน้ึ แมจ้ ะกระทาโดยสาคญั ผิดกต็ าม

ความสาคัญผิดในมาตรา 61 น้ีแตกต่างกับความสาคัญผิดใน มาตรา 62 วรรคแรก กล่าวคือ
ความสาคญั ผิดในมาตรา 61 นีเ้ ปน็ เร่ืองสาคัญผิดในตวั บุคคลซงึ่ แม้จะกระทาต่อบุคคลใดก็เป็นผิดท้ังนั้น
ส่วนความสาคัญตามมาตรา 62 วรรค แรกเป็นความสาคัญผิดซึ่งทาให้การกระทาไม่เป็นความผิด หรือ
ใหผ้ ้กู ระทาไมต่ อ้ งรับโทษ หรือไดร้ บั โทษนอ้ ยลง ความสาคัญผดิ ตามมาตรา 62 จึงเปน็ ขอ้ แกต้ ัวได้

นอกจากนี้ยังมีคา พิพากษาฎีกาท่ี 872/2510 วินิจฉัยความ แตกต่างระหว่างมาตรา 61 และ
62 ไว้โดยชัดแจ้งว่า ความสาคัญผิดมีภยันตรายอันต้อง ปูองกันนั้นเป็นความสาคัญผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 62 ไม่ใช่มาตรา 61 เพราะความสาคัญผิดตามมาตรา 61 เป็นเรื่องสาคัญผิดใน
ตัวบุคคลซึ่งแม้กระทาต่อบุคคล ใดก็เป็นผิดทั้งนั้น ส่วนความสาคัญผิดตามมาตรา 62 น้ันเป็น
ความสาคัญผิดซ่ึงทาให้การ กระทาไม่เป็นความผิดหรือทาให้ผู้กระทาไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับโทษ
น้อยลง

จาเลยยิงคนตายโดยสาคัญผิดว่าเป็นคนร้าย เป็นการกระทาโดย เจตนาแต่เป็นการปูองกันเกิน
กว่ากรณีแห่งการจาต้องกระทาเพ่ือปูองกัน จึงผิดตาม มาตรา 288, 69 และความสาคัญผิดก็เกิดโดย
ความประมาทของจาเลย จาเลยย่อมผิดฐาน ทาให้คนตายโดยประมาทโดยผลของมาตรา 62 วรรคสอง
ด้วย กรณีเช่นน้ีเป็นเร่ืองกรรม เดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงต้องลงโทษในเร่ืองฆ่าโดยปูองกันเกินกว่า
กรณีอนั เป็นบท หนกั ตามมาตรา 90 แต่ถ้าการกระทาของจาเลยเป็นการปูองกันพอสมควรแก่เหตุซึ่งไม่

90 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

เปน็ ความผิดกค็ งเหลือเพยี งความผิดในสว่ นทส่ี าคัญผิดโดยประมาทตามมาตรา 62 วรรค 2 คือความผิด
ตามมาตรา 291 ฐานเดยี ว

2) สาคัญผิดในข้อกฎหมาย (Ignorance of Law) ความสาคัญผิดในข้อกฎหมาย หมายถึง
กรณีท่ีบุคคลไม่ทราบว่าการกระทาของตนเป็นความผิดต่อกฎหมาย มีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 64 ว่า “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้ว่ากฎหมาย เพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้
แต่ถ้าศาลเห็นว่าตามสภาพและพฤติการณ์ ผู้กระทาความผิดอาจจะไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการ
กระทานั้นเป็นความผิด ศาลอาจอนุญาตให้แสดงพยานหลักฐานต่อศาล และถ้าศาลเช่ือว่าผู้กระทาไม่รู้
วา่ กฎหมายบญั ญัติไว้เช่นนน้ั ศาลอาจลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดน้ันเพียงใดก็
ได้

ตามบทบัญญัติดังกล่าวน้ี เห็นได้ว่ากฎหมายยอมรับตามความเป็นจริงว่า มีบุคคลไม่รู้กฎหมาย
อยู่ แต่โดยนโยบายของกฎหมายย่อมไม่ยอมให้ใครอ้างความไม่รู้ กฎหมายเป็นข้อแก้ตัวไม่รับผิดในทาง
อาญา มิฉะนั้นการบังคับตามกฎหมายอาญาย่อมจะ ไม่เสมอทั่วหน้ากัน ในมาตรา 64 จึงบัญญัติเป็น
หลกั เด็ดขาดว่า เม่อื ทาผิดกฎหมายแล้ว จะแกต้ ัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญา
ไม่ได้ น่ีเป็นหลักตายตัว เพราะถ้ายอมให้บุคคลแก้ตัวว่า “ไม่รู้กฎหมาย” ได้แล้ว ก็ยิ่งทาให้บุคคลไม่
สนใจท่ีจะรู้ กฎหมายย่ิงขึ้น กฎหมายจึงยอมให้แก้ตัวไม่ได้ แต่กฎหมายอาญาในปัจจุบันนี้อาจแยกได้
สองพวก คอื

(1) ความผิดโดยตัวของมันเอง เช่น ลักทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคน ฯลฯ ใคร ๆ ก็ทราบ แม้ผู้ท่ี
ไมไ่ ดศ้ ึกษากฎหมายเลยกท็ ราบ จึงเอามาอ้างว่าไม่รูว้ ่ามีกฎหมาย ห้ามนัน้ ไม่ไดเ้ ด็ดขาด

(2) ความผิดเพราะกฎหมายห้าม เช่น ห้ามค้ากาไรเกินควร หรือจัดต้ัง กองงานบางอย่างต้อง
ขออนญุ าต เปน็ ตน้

อย่างไรก็ตาม แม้ตามหลักจะไม่ยอมให้บุคคลแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมาย เพ่ือให้พ้นจากความรับผิด
ในทางอาญา คือเม่ือกระทาความผิดทางอาญาแล้วรับโทษไป บ้างก็ดี แต่มาตรา 64 ก็ได้ผ่อนผันให้ศาล
มีอานาจลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้ สาหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ ทั้งน้ีในเมื่อเข้า
องค์ประกอบดงั ตอ่ ไปนี้

ก. ศาลเห็นว่าตามสภาพและพฤติการณ์ผู้กระทาความผิดอาจจะไม่รู้ ว่ากฎหมาย
บัญญัติว่าการกระทาน้ันเป็นความผิด เช่น ปรากฏว่าผู้กระทาอยู่ในชนบทไม่ ทราบว่าทางราชการ
ควบคุมราคาสูงสุดของราคาขายของไข่เป็ด จึงขายไข่เป็ดเกินราคาท่ี ทางราชการกาหนด หรือผู้กระทา
เพ่ิงกลับจากต่างประเทศตามพฤติการณ์เขาอาจไม่ ทราบว่ามีกฎหมายห้ามการกระทา และพิจารณา
จากสภาพของการกระทา กลา่ วคอื ความผิดท่ีกระทานน้ั ก็เป็นความผดิ ทม่ี ิใช่เป็นความผิดโดยตัวของมัน
เอง แต่เป็นความผิด เพราะกฎหมายห้าม

ข. ศาลอาจอนุญาตให้ผู้กระทาความผิดแสดงพยานหลักฐานต่อศาล เกี่ยวด้วยเหตุผล
ทีว่ ่าไม่รกู้ ฎหมายก็ได้ หรอื ไม่อนุญาตใหแ้ สดงพยานหลักฐานกไ็ ด้

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 91

ค. ศาลเช่ือว่าผู้กระทาไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้น หมายความ ว่า ศาลได้
พิจารณาพยานหลักฐานที่อนุญาตให้จาเลยแสดงต่อศาลแล้ว เชื่อว่าจาเลยมิได้รู้ ว่าการกระทาน้ัน ๆ
เป็นความผิด

เมื่อเข้าองค์ประกอบท้ัง 3 ข้อท่ีกล่าวมาแล้วนี้ ศาลจะลงโทษน้อย เพียงใดก็ได้ โดยไม่ต้อง
คานงึ ถงึ โทษข้นั ต่า แต่จะไมล่ งโทษเลยไม่ได้

4.1.3 การกระทาโดยพลาด
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 บัญญัติว่า “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทาต่อ บุคคลคนหน่ึง แต่
ผลของการกระทาเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้น กระทาโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับ
ผลร้ายจากการกระทานั้น แต่ในกรณีท่ีกฎหมาย บัญญัติให้ลงโทษหนักข้ึนเพราะฐานะของบุคคลหรือ
เพราะความสัมพันธร์ ะหวา่ งผกู้ ระทา กับบุคคลที่ได้รับผลร้ายมิให้นากฎหมายน้ันมาใช้บังคับเพ่ือลงโทษ
ผ้กู ระทาใหห้ นักขึน้ ”

1) ความหมายของคาว่า “พลาด” ตามประมวลกฎหมายอาญามิได้บัญญัติ ความหมายของ
คาว่า “พลาด” จึงต้องอาศัยความหมายจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตย สถาน พ.ศ. 2525 ซึ่งให้
ความหมายของคาวา่ “พลาด” วา่ พลั้ง ผิด คลาด ไถลไป ไมถ่ กู ที่

ตวั อย่าง เช่น ก.เจตนาฆ่า ข. จึงใชป้ ืนยงิ ไปท่ี ข. แต่ลกู ปนื ไม่ถูก ข. ได้เลย ไปถูก ค.ตาย
ปัญหาว่า ถ้า ก.ยิง ข.ตายแล้ว ลูกปืนทะลุไปถูก ค.บาดเจ็บสาหัส จะถือว่า เป็นการกระทาโดยพลาด
หรือไม่

ตามปัญหาน้ี2 ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย เห็นว่าไม่เป็นการกระทา โดยพลาด เพราะ ก.
เจตนาจะฆ่า ข. และ ข.ก็ตายสมเจตนาของ ก. ส่วนท่ีลูกกระสุนปืน ทะลุไปถูก ค. ด้วยนั้นอาจเป็น
ความผิดฐานทาให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 ซ่ึงเป็นความผิดหลายบท หรือ ก.จะฆ่า ข.
ก.จึงใช้ปืนยิงถูก ข. แขนหัก และเลยไปถูก ค. ตาย ถือเป็นกรณีการกระทาโดยพลาดตามมาตรา 60
(เพราะ ข.ไม่ตายสมเจตนาของ ก. ที่ต้ังใจไว้) เพราะ ก. เจตนาจะฆ่า ข. แต่ผลแห่งการกระทาของ ก.
เกดิ แก่ ค. โดยพลาด ถือเทา่ กับ ก. มีเจตนาฆ่า ค. ส่วนท่ีลูกกระสุนปืนไปถูก ข. แขนหักน้ัน ควรถือเป็น
พยายามฆ่าคนตาย ซ่ึงเปน็ ความผิดหลายบทต้องลงโทษ ก. ฐานฆ่าคนตายซง่ึ เป็นบทหนัก

และเม่ือพิจารณาความหมายของคาว่า “พลาด” ตามพจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถานแล้ว
คาว่า “พลาด” น้ีจะต้องเป็นการกระทาท่ีผู้ที่เจตนากระทาต่อมิได้ รับผลร้ายจากการกระทา หากแต่
ผลร้ายได้เกิดแก่บุคคลอีกคนหน่ึง ถ้าผลร้ายเกิดแก่ บุคคลท่ีมีเจตนากระทาต่อแล้วก็เป็นการสมเจตนา
ของผู้กระทา จึงไม่ต้องพิจารณาเรื่อง พลาดอีก เพราะฉะน้ันถ้าตามความหมายนี้การท่ีลูกปืนทะลุไปจึง
ไม่เปน็ การกระทาโดยพลาด

2 หยดุ แสงอทุ ยั , ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515), หน้า
127.

92 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ตามความเห็นของท่านศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย น้ีตรงกับ ความหมายของคาว่าพลาด
ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525

แต่ก็มีผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านที่เห็นว่า การกระทาโดยพลาดหมายความว่า ผลของการกระทา
พลาดไปถกู บุคคลอนื่ ซ่งึ ผูก้ ระทาผดิ ไม่มเี จตนากระทาตอ่ ทัง้ นไี้ ม่ว่าจะ เกิดขึ้นแก่บุคคลท่ีมีเจตนากระทา
ตอ่ หรอื ไม่ (ดคู าพพิ ากษาฎกี าท่ี 222/2513)

สาหรับผู้เขียนเองเห็นว่า การกระทาโดยพลาดมิใช่การกระทาโดยเล็งเห็นผลหรือสาคัญผิด แต่
เป็นเร่ืองกฎหมายให้ถือว่าผู้กระทามีเจตนาต่อผู้ได้รับผลร้ายจากการ กระทา โดยแท้จริงแล้วผู้กระทา
มิได้ประสงคต์ ่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลเช่นน้ันเลย เพื่อเป็น การลงโทษผู้กระทาความผิด กฎหมายจึงได้
บัญญตั ใิ ห้ถือว่าผูก้ ระทามีเจตนาต่อผู้ได้รับ ผลร้ายจากการกระทา เช่น ก. เจตนาฆ่า ข. จึงใช้ปืนยิงไปที่
ข. ลูกปืนไม่ถกู ข. แตเ่ ลยไป ถูก ค. ตาย กรณนี ีถ้ า้ ก. มไิ ดเ้ ลง็ เหน็ ผลมากอ่ นวา่ ถา้ ยิงไปท่ี ข. แล้วย่อมถูก
ค. ด้วย ก็ต้องถือว่า ก. มีเจตนากระทาต่อ ข. มิได้มีเจตนาเลยไปท่ี ค. เลย แต่เม่ือลูกกระสุนปืนไป ถูก
ค. เข้า กฎหมายให้ถือว่า ก. มเี จตนากระทาต่อ ค. ดว้ ยโดยโอนเจตนาที่ ก. มีต่อ ข. ไปเป็นมีต่อ ค. ด้วย
ทีนม้ี าถึงปญั หาว่า ถ้า ก. ยิง ข. ตายแล้วลูกปืนทะลไุ ปถกู ค. บาดเจบ็ สาหัส จะเป็นพลาดหรือไม่ ผู้เขียน
เห็นว่าเป็นการกระทาโดยพลาดเช่นกัน ถ้าไม่ ถือว่าเป็นการกระทาโดยพลาดก็ไม่ทราบว่าจะเป็น
ความผิดใด เพราะ ก. มิได้เล็งเห็นผล มาก่อนหรือจะเป็นประมาทก็ไม่ได้ ถ้า ก. ได้ใช้ความระมัดระวังดี
แล้ว ซ่ึงปัญหานี้ได้มีคา พิพากษาฎีกาวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานแล้ว เช่น คาพิพากษาฎีกาที่ 205/2516
ผู้ตาย ผู้เสียหาย และจาเลย ร่วมดื่มสุรากันจนเมา แล้วผู้ตายกับจาเลยทะเลาะกัน ผู้เสียหายจึง ชวน
จาเลยกลับบ้าน ผู้ตายตามมาต่อยและเตะจาเลยล้ม ลุกข้ึนก็ยังถูกเตะอีก เม่ือผู้ตาย เตะ จาเลยก็ใช้มีด
ปลายแหลมแทงสวนไปสองสามคร้ังถูกผู้ตาย ระหว่างน้ันผู้เสียหายเข้าขวางเพ่ือห้ามจึงถูกมีดได้รับ
บาดเจบ็ ส่วนผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทาของจาเลยต่อผู้ตายเป็นการปูองกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
แมพ้ ลาดไปถกู ผ้เู สยี หายเข้าดว้ ย ซง่ึ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 จะถือว่าจาเลยมีเจตนาแทง
ผู้เสียก็ดี แต่การกระทาของจาเลยก็เป็นผลสืบเน่ืองจากจาเลยแทงผู้ตายเพ่ือปูองกันสิทธิพอสมควรแก่
เหตุอนั ไม่เปน็ ความผดิ จาเลยจึงไม่มีความผดิ ฐานทารา้ ยรา่ งกายผเู้ สยี หาย

การกระทาโดยพลาดน้ถี ือวา่ มีเจตนากระทาแก่
1. บคุ คล (ชีวิต ร่างกาย เกียรตยิ ศชื่อเสยี ง)
2. ทรัพย์ของบุคคล
มีผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านได้กล่าวว่า การกระทาโดยพลาดน้ีย่อมมีได้แต่ เฉพาะบุคคลเท่าน้ัน ไม่
หมายรวมถึงทรัพย์สิ่งของแต่อย่างใด เพราะในตัวบทมาตรา 60 ใช้คาว่า “กระทาต่อบุคคลหนึ่ง ย่อม
หมายถงึ บคุ คลเท่าน้นั ” แตก่ ไ็ ด้มนี ักกฎหมายหลายท่าน รวมทั้งผู้เขียนด้วย เห็นว่าการกระทาโดยพลาด
นี้มิได้หมายความแต่เฉพาะบุคคล เท่าน้ัน ยังหมายความรวมถึงเกียรติยศช่ือเสียงและทรัพย์สินของ
บคุ คลด้วย มฉิ ะนนั้ จะเป็นช่องว่างของกฎหมายหากเกิดปัญหาว่าเจตนากระทาต่อทรัพย์ของบุคคลหนึ่ง
แต่ผลเกิดขึ้นแก่ทรัพย์ของอีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ก็ไม่อาจนาบทบัญญัติใดในประมวล กฎหมาย

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 93

อาญามาใช้บังคับได้ เพราะผู้กระทามิได้เล็งเห็นผลหรือประมาทแต่อย่างใดและการที่ให้การกระทาโดย
พลาดรวมไปถึงการกระทาต่อทรัพย์ด้วยน้ี ย่อมไม่ขัดกับหลักท่ีว่า การตีความในกฎหมายอาญาจะต้อง
ตีความโดยเคร่งครัด

2) หลักเกณฑ์ในการกระทาโดยพลาด จากข้อความในมาตรา 60 พอจะแยกหลักเกณฑ์การ
กระทาโดยพลาดออกเปน็ 3 ประการคือ

(1) ต้องประกอบด้วยบคุ คล 3 ฝุาย
(2) ผลรา้ ยท่เี กดิ โดยพลาดนตี้ ้องเปน็ ผลประเภทเดียวกับทีเ่ จตนากระทา
(3) ต้องถือเจตนาเดิมของผู้กระทาเป็นหลักในการวินิจฉัยว่าผลร้ายที่เกิดจากการ
กระทาโดยพลาด

(1) ตอ้ งประกอบด้วยบุคคล 3 ฝ่าย การกระทาโดยพลาดจะต้องประกอบด้วยบุคคล
3 ฝุายคือ

ก. ฝาุ ยซ่งึ เป็นผ้กู ระทา
ข. ฝาุ ยซ่งึ เป็นผู้ถกู กระทาคนแรก โดยผกู้ ระทามเี จตนากระทาตอ่
ค. ฝุายซ่ึงไดร้ บั ผลรา้ ยจากการกระทาโดยพลาดและกฎหมายใหถ้ ือว่าผู้กระทามีเจตนา
กระทาต่อผู้ได้รับผลร้ายน้ี เช่น ทาต้องการฆ่าทน จึงยิงปืนไปที่ทน กระสุนปืนไม่ถูกทน เลยไปถูกแทน
ตาย ดังนี้ทาเป็นฝุายท่ี 1 คือผู้กระทา ทนเป็นฝุายที่ สอง คือผู้ถูกกระทาคนแรก ซ่ึงทามีเจตนากระทา
แทนเปน็ ฝาุ ยท่ีสาม คอื ผทู้ ีไ่ ด้รับผลรา้ ย จากการกระทาโดยพลาด

(2) ผลร้ายท่ีเกิดโดยพลาดนี้ต้องเป็นผลประเภทเดียวกับที่เจตนา กระทา
หมายความว่า ถ้าเจตนากระทาต่อบุคคล ผลร้ายที่เกิดขึ้นจะต้องเกิดข้ึนกับบุคคล ด้วย หรือถ้าเจตนา
กระทาต่อทรพั ย์ ผลร้ายทเี่ กิดขึน้ จะต้องเกิดข้ึนกับทรัพย์เช่นเดียวกัน ถ้าได้มีเจตนากระทาต่อบุคคล แต่
ผลร้ายเกิดจากการกระทานั้นเป็นทรัพย์ ก็ไม่อยู่ใน ความหมายของคาว่า “พลาด” เพราะผลร้ายท่ี
เกิดข้ึนเป็นคนละประเภทกับท่ีเจตนากระทา เช่น ก. เจตนาฆ่า ข. ได้ยิงปืนไปท่ี ข. แต่ไม่ถูก ข. ลูกปืน
เลยไปถูก ค. ตาย อย่างนี้ ผลร้ายที่เกิดขึ้นโดยพลาดเป็นผลประเภทเดียวกับท่ีเจตนากระทา แต่ถ้า ก.
เจตนาฆ่า ข. ได้ยิงปืนไปที่ ข. ไม่ถูก ข. ลูกปืนเลยไปถูกกระจกบ้าน ค. แตก ดังนี้ ไม่ถือเป็นการกระทา
โดยพลาด เพราะผลรา้ ยทีเ่ กดิ ขน้ึ เปน็ คนละประเภทกบั ท่เี จตนากระทา

ได้เคยกล่าวไว้แต่ข้างต้นแล้วว่าการกระทาโดยพลาดนี้นอกจากจะเป็น การใช้บังคับ
ระหว่างบคุ คลตอ่ บคุ คลแลว้ ยงั ใชบ้ ังคับถงึ กรณีที่กระทาต่อทรัพย์ของบุคคล หนึ่ง และผลร้ายเกิดข้ึนกับ
ทรัพย์ของอีกบุคคลหนึ่งด้วย เพราะคาว่า “ผู้ใดเจตนากระทา” ตามมาตรา 60 น้ัน ควรหมายถึงผู้ใด
เจตนากระทา (ความผิด) ต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของ การกระทา (ความผิด) น้ันไปเกิดแก่อีกบุคคลหน่ึง
โดยพลาดไป การกระทาความผิดนั้น อาจเป็นความผิดเก่ียวกับชีวิตและร่างกายหรือความผิดเก่ียวกับ
ทรพั ย์ก็ได้ แตก่ รณี ความผดิ เก่ยี วกับทรพั ย์จะต้องเป็นการกระทากับทรัพย์ต่อทรัพย์เช่นเดียวกับกระทา

94 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

กับ บุคคลต่อบุคคล เช่น ก.เจตนาขว้างรถยนต์ของ ข. แต่ก้อนหินเลยไปถูกรถยนต์ของ ค. ท่ี จอดอยู่
ใกลๆ้ เสียหายด้วย

(3) ต้องถือเจตนาเดิมของผู้กระทาเป็นหลักในการวินิจฉัยผลร้ายท่ี เกิดจากการ
กระทาโดยพลาด ตามหลักการกระทาโดยพลาดจะต้องเป็นการกระทาโดย เจตนา มิใช่อุบัติเหตุที่
เกิดข้ึนโดยมิใช่การกระทาของผู้น้ัน เพราะฉะนั้นจึงต้องดูเจตนาเดิม ของผู้กระทาว่ามีเจตนาฆ่าหรือ
เจตนาทาร้าย กรณที ่ีเกดิ ผลร้ายจากการกระทาโดยพลาด กฎหมายให้ถือว่าผู้กระทามีเจตนาต่อผู้ที่ได้รับ
ผลร้ายน้ัน “เจตนา” ที่ผู้กระทามีต่อผู้ที่ ได้รับผลร้ายจากการกระทาโดยพลาดนี้จึงเป็นเจตนาเดิมของ
ผู้กระทามีเจตนากระทาต่อ บุคคลท่ีตนต้องการกระทา เช่น ก.เจตนาทาร้าย ข.จึงใช้มีดฟันแขน ข.ขาด
และปลายมีด ไปถูกคอของ ค.ขาด และเป็นเหตุให้ ค.ถึงแก่ความตาย ดังน้ีเจตนาเดิมของ ก.ท่ีมีเจตนา
กระทาต่อ ข.นั้นเป็นเจตนาทาร้าย ส่วนผลร้ายท่ี ค.ได้รับอันเกิดจากการกระทาโดยพลาด ของ ก.นั้น
กฎหมายให้ถือว่า ก.มีเจตนากระทาต่อ ค. “เจตนา” ก็คือเจตนาทาร้ายน่ันเอง เม่ือ ค.ตาย ก.ก็มี
ความผดิ ฐานฆา่ ค.ตายโดยไมเ่ จตนา และมคี วามผดิ ฐานทาร้าย ข.ได้รับ อนั ตรายสาหสั

กรณีท่ีถือว่าเป็นการกระทาโดยพลาดจึงต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ทั้ง 3 ประการ
ดังทีก่ ลา่ วมาแลว้

กรณไี ม่ถือวา่ เป็นการกระทาโดยพลาด มดี งั ตอ่ ไปน้ี
ก. ผลร้ายที่เกิดข้ึนเพราะอุบัติเหตุ มิใช่การกระทาโดยพลาด เช่น ก.แบกปืนลูกซอง
ยาวไว้บนบ่า ปืนเกิดล่ัน (มิใช่เกิดจากความประมาท) โดยอุบัติเหตุ ลูกปืนถูก ข.บาดเจ็บและเลยไปถูก
ค.ตาย ดังนี้มิใช่การกระทาโดยพลาด เพราะการ กระทาโดยพลาดต้องเป็นการท่ีผู้กระทาได้กระทาโดย
เจตนา เช่น แดงชักปืนออกจะยิงดา เขียวปัดกระบอกปืน กระสุนปืนล่ันออกไม่ถูกดา แต่ถูกเหลืองตาย
ดงั นี้เปน็ การกระทาอัน เกดิ จากการยิงของแดงโดยเจตนาแต่พลาดไป ไม่ใช่อุบัติเหตุ (คาพิพากษาฎีกาที่
651/2513)

ข. ผลร้ายที่เกิดมิได้เป็นผลประเภทเดียวกับท่ีเจตนากระทา จึง มิใช่การกระทาโดย
พลาด เช่น ก.เจตนาฆา่ ข. จึงยิงปืนไปท่ี ข. ข.หลบทัน ลูกปืนเลยไป ถูกกระจกบ้าน ค.แตก ดังน้ีผลร้าย
ท่ีเกิดข้ึนเป็นทรัพย์ จึงเป็นคนละประเภทกับผลที่เจตนา กระทาต่อคือบุคคล จะนาเรื่องการกระทาโดย
พลาดมาบงั คบั ไมไ่ ด้

ค. ถ้าผลที่เกิดข้ึนนั้นผู้กระทาย่อมเล็งเห็น ถือว่าเป็นผลท่ีเจตนา กระทา ตาม
มาตรา 59 ไมใ่ ช่การกระทาโดยพลาด เช่น ก.ยงิ มา้ พลาดไปถูกคนขม่ี า้ โดยเล็งเห็นอยู่ เป็นเจตนาฆ่าคน
ขม่ี า้ ไม่เปน็ การกระทาโดยพลาด

ง. ประมาท การกระทาโดยพลาดย่อมเกิดเฉพาะการกระทาท่ีมี เจตนาเท่าน้ัน หาก
ผ้กู ระทาได้กระทาโดยประมาทตอ่ บคุ คลหน่ึง แต่ผลของการกระทาท่ี เกิดข้ึนแก่อีกบุคคลหน่ึงโดยพลาด


Click to View FlipBook Version