The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chokoooon, 2021-06-07 23:13:47

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

ไฟล์รวม กฎหมายอาญา

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 145

ข. การถกู บงั คบั ตามมาตรา 67(1) ยอ่ มเป็นการบงั คับตัวผู้กระทาความผิดเป็นธรรมดา
จะเป็นการบังคับโดยจะก่อภัยแก่ผู้ถูกบังคับเอง หรือโดยจะก่อภัยแก่ผู้อ่ืนก็ตาม ส่วนการบังคับตาม
มาตรา 67(2) นั้น บุคคลอ่ืนนั้นจะก่อภัยขึ้นเองหรือผู้อื่นก่อขึ้น โดยผู้ท่ีจะกระทาความผิดด้วยความ
จาเป็นมิได้ถูกบังคับแต่มีความคิดข้ึนเองที่จะกระทาความผิดเพ่ือหลีกเล่ียงภัยนั้น เช่น นักโทษอด
อาหารประท้วงเจ้าหน้าท่ีเรือนจา อาจให้อาหารโดยวิธีบังคับให้กินอาหารได้ ตามตัวอย่างนี้ภัยได้เกิด
ขึ้นกับนักโทษเป็นผู้ก่อขึ้นเอง ส่วนเจ้าหน้าที่เรือนจาได้กระทาด้วยความจาเป็นท้ังท่ีภัยมิได้เกิดแก่ตน
แตม่ คี วามผิดคิดทกี่ ระทาความผิด (บังคบั นกั โทษ) เพอื่ หลีกเล่ียงภยั นัน้

ผลของการกระทาโดยจาเป็น เน่ืองจากการกระทาความผิดด้วยความจาเป็นตาม
มาตรา 67(1) หรือ (2) กฎหมายไม่ถือว่าเป็นสิทธิ จึงเป็นความผิด เพียงแต่ถ้ากระทาไปไม่เกินสมควร
แก่เหตกุ ย็ กเวน้ โทษให้ แตถ่ ้ากระทาเกนิ กวา่ กรณีแห่งความจาเป็น มาตรา 69 บัญญัติว่าผู้กระทาต้อง
รับโทษ แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ ด้วยไม่ต้อง
คานงึ ถงึ โทษขน้ั ตา่

ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งการกระทาโดยจาเปน็ กบั การการะทาโดยปอ้ งกนั มดี ังน้ี คือ
1. การกระทาโดยความจาเป็นน้ัน โดยปกติประกอบด้วยบุคคล 3 ฝาุ ย คอื

ก. ฝาุ ยทเี่ ป็นตน้ เหตุแห่งภยนั ตราย
ข. ฝาุ ยทีเ่ ป็นผกู้ ระทาโดยจาเป็น
ค. ฝุายท่ีรับผลร้ายจากการกระทาโดยจาเป็นเว้นแต่ภัยที่เกิดจากสัตว์หรือส่ิงของจะ
ประกอบด้วย 2 ฝาุ ยเทา่ นั้น คือ

1) ฝุายท่ีเป็นต้นเหตุแห่งภยันตรายและรับผลร้ายจากการกระทาโดยจาเป็น
ซ่งึ เป็นสิง่ เดียวกัน

2) ฝาุ ยที่เป็นผ้กู ระทาโดยจาเป็นส่วนการกระทาโดยปอู งกนั ปกติประกอบด้วย
บคุ คล 2 ฝุาย คอื

2.1) ฝุายทเ่ี ป็นต้นเหตุแห่งภยันตราย และรับเคราะห์จาการกระทา
โดยปอู งกันซงึ่ เป็นคนเดยี วหรือสิง่ เดียวกนั

2.2) ฝาุ ยที่กระทาโดยปูองกนั

2. การกระทาโดยจาเป็นไม่ใช่สิทธิ ดังน้ันภยันตรายที่เกิดขึ้นไม่จาต้องเป็นภยันตรายที่ละเมิด
ต่อกฎหมายส่วนการกระทาโดยปูองกันนั้นเป็นสิทธ์ิ ดังน้ันภยันตรายที่เกิดข้ึนจึงต้องเป็นภยันตรายซึ่ง
เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ฉะน้ันภยันตรายที่เกิดข้ึนจึงต้องเป็นการกระทาของ
บุคคลน้ัน ส่วนสิ่งของหรือสัตว์ทาละเมิดไม่ได้ จึงไม่ถือว่าภยันตรายท่ีเกิดจากการกระทาของสิ่งของ
หรอื สตั ว์เป็นภยันตรายอันละเมดิ ต่อกฎหมาย

146 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

3. คาวา่ ไม่สามารถหลีกเล่ียงให้ตนเองหรือผู้อ่ืนพ้นจากภยันตรายจึงต้องกระทาโดยจาเป็นนั้น
หมายความว่า หนทางท่ีจะหลีกเลี่ยงให้พ้นภยันตรายน้ันมีอยู่ทางเดียวคือการกระทาความผิด แต่
หนทางทจ่ี ะหลกี เลยี่ งใหภ้ ยันตรายมีหลายวธิ ี ก็ต้องเลอื กทางท่ีถูกกฎหมาย

สว่ นทภี่ ยนั ตรายท่เี กิดขนึ้ จนเป็นเหตุให้ต้องปูองกันนั้น ผู้ประสบภัยไม่จาเป็นต้องหลีกเลี่ยงแต่
อยา่ งใด แม่จะมที างหลีกเลย่ี งใหพ้ ้นจากภยนั ตรายในวิธีทถ่ี กู กฎหมายก็ตาม

4. ความผิดและโทษ การกระทาโดยจาเป็นกฎหมายถือว่ายังเป็นความผิดอยู่ เพียงแต่ยกโทษ
ให้เท่าน้ันส่วนการกระทาโดยปูองกันนั้น ถ้าเป็นการปูองกันโดยชอบด้วยกฎหมายและสมควรแก่เหตุ
แล้วผู้กระทาการปูองกนั ไม่มีความผิดเลย เมอื่ ไม่มีความผิดย่อมไม่มโี ทษ

สว่ นท2่ี
กระทาตามคาส่งั ของเจา้ พนักงาน
ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติเก่ียวกับคาสั่งของเจ้าพนักงานไว้ในภาคลหุโทษ 368 ว่า
“ผู้ใดทราบคาส่ังของเจ้าพนักงานซึ่งส่ังการตามอานาจท่ีกฎหมายให้ไว้ไม่ปฏิบัติตามคาส่ังน้ันโดยไม่มี
เหตหุ รอื ข้อแก้ตวั อนั สมควร แต่ระวางโทษจาคุกไมเ่ กิน 10 วัน หรือปรบั ไม่เกิน 500 บาทหรือทั้งจา
ทง้ั ปรบั

ถ้าการสั่งเช่นว่าน้ัน เป็นคาส่ังที่ช่วยทากิจกรรมในหน้าท่ีของเจ้าพนักงาน ซึ่งกฎหมาย
กาหนดให้สั่งให้ช่วยได้ ระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจาทั้ง
ปรบั ” เมอ่ื มาตรา 368 บญั ญตั ิให้ต้องปฏิบัติตามคาสั่งของเจ้าพนักงานผู้ท่ีไม่ปฏิบัติตามคาส่ังของเจ้า
พนักงานยอ่ มเป็นความผดิ สว่ นคาสั่งของเจ้าพนักงานนั้นอาจเป็นคาส่ังที่ขอบหรือไม่ก็ได้ ถ้าเป็นคาส่ัง
จะชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในบางกรณีผู้รับปฏิบัติย่อมไม่มีทางทราบได้กฎหมายจึงให้โอกาสแก้ตัว
ไดโ้ ดยมีเกณฑ์ไวใ้ นมาตรา 70 ความวา่ “ผใู้ ดกระทาตามคาสงั่ ของเจ้าพนักงาน แม่คาสั่งน้ันจะมิชอบ
ดว้ ยกฎหมาย ถ้าผกู้ ระทามีหน้าทีห่ รอื เชอ่ื โดยสจุ รติ ว่ามีหน้าทต่ี ้องปฏบิ ัติตาม ผ้นู ้ันไม่ต้องรับโทษ เว้น
แตจ่ ะรวู้ ่าคาสั่งนน้ั เปน็ คาสัง่ ซึ่งมชิ อบด้วยกฎหมาย”

ตามมาตรา 70 น้ี แบง่ ออกเปน็ 2 กรณี คอื
ก. กรณที ไี่ ดร้ บั ยกเว้นโทษ
ข. กรณีที่ต้องโทษ

ก. กรณที ี่ได้รบั ยกเว้นโทษ มอี งค์ประกอบดังนี้
1. ผูใ้ ดกระทาตามคาสง่ั เจ้าพนักงาน
2. คาส่ังน้ันมชิ อบดว้ ยกฎหมาย
3. ผ้กู ระทามีหนา้ ท่ี หรือชอบโดยสจุ รติ ว่าดว้ ยมหี น้าทป่ี ฏิบตั ิตาม
4. ผู้กระทาไมร่ วู้ ่าคาสั่งนัน้ เป็นคาสง่ั ที่มชิ อบดว้ ยกฎหมาย

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 147

1. ผใู้ ดกระทาตามคาสั่งของพนักงาน
คาว่า “คาสัง่ ” หมายความว่า คาบงการให้กระทาหรือไม่กระทาอย่างใดอย่างหน่ึง ซึ่งถ้าไม่
กระทาตามย่อมได้ชื่อว่าขัดขืน มิใช่แนะนาแสดงความเห็นซ่ึงจะกระทาตามหรือไม่แล้วแต่ความพอใจ
ของผู้กระทา ไม่ถือเป็นการขัดขืน เช่น อ. นายตรวจสรรพสามิตไปแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้านว่า บ. ด่า
และขว้างบา้ น อ. ผู้ใหญบ่ า้ นพดู วา่ “นาย บ. มนั บ้าๆ บอๆ ให้ อ. ไปเอาตวั มาดีกวา่ เป็นเจา้ พนักงานมัน
จะไดก้ ลัว” ดงั นีเ้ ปน็ คาแนะนาไมใ่ ช่คาสัง่

คาว่า “เจ้าพนักงาน” คือบุคคลท่ีได้รับการแต่งต้ังให้ปฏิบัติราชการโดยได้รับเงินใน
งบประมาณของแผน่ ดนิ ไมว่ า่ จะได้รับแต่งต้ังชั่วคราวหรือประจาและร่วมตลอดถึงพระราชบัญญัติระบุ
ให้เป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา เช่น พนักงานรถไฟแห่งประเทศไทย
พนักงานท่าเรือแห่งประเทศไทย พนักงานองค์การโทรศัพท์ พนักงานเทศบาล พนักงานสุขาภิบาล
ฯลฯ

คาว่า “คาสั่งของเจ้าพนักงาน” เจ้าพนักงานท่ีออกคาส่ังจะต้องมีอานาจออกคาสั่งได้ โดยมี
กฎหมายให้อานาจออกคาส่ังได้ และการออกคาส่ังน้ันต้องออกแก่ผู้ท่ีกฎหมายให้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ
ตามคาสั่งน้ันด้วย มิได้หมายไปถึงคาส่ังอ่ืน ๆ ท่ังไป เช่น คาส่ังของสามีภรรยา บิดามารดา
ผู้ปกครอง หรือเจ้านาย เพราะคาสั่งเหล่าน้ีมิใช่คาสั่งท่ีถูกต้องตามกฎหมาย ผู้รับคาสั่งจะปฏิบัติ
หรอื ไมก่ ็ได้ไมถ่ อื เป็นการขดั ขนื

ดังนั้นผู้ที่ทาตามคาสั่งของเจ้าพนักงานท่ีจะยกเป็นข้อแก้ตัวได้นั้นจะต้องทาตามคา ส่ังของผู้ที่
เป็นเจ่าพนักงานและกฎหมายให้อานาจออกคาส่ังนั้นต้องเป็นคาบงการ มิใช่คาแนะนาหรือแสดงความ
คิดเหน็

2. คาส่ังนั้นมิชอบด้วยกฎหมาย คาสั่งที่จะถือว่าชอบด้วยกฎหมายน้ันจะต้องมีกฎหมายให้
อานาจออกคาสง่ั นนั้ ได้ และต้องเปน็ คาสัง่ ท่แี กแก่ผูท้ กี่ ฎหมายไม่ได้ใหอ้ านาจในการออกคาส่ังน้นั

3. ผูก้ ระทามีหน้าท่หี รือเชือ่ โดยสจุ รติ วา่ ตอ้ งมหี นา้ ท่ปี ฏบิ ัตติ าม ซึง่ แยกออกได้ 2 กรณี คือ
ก. คาส่ังมิชอบด้วยกฎหมาย แต่ผู้กระทามีหน้าท่ีปฏิบัติตาม ในข้อนี้มักเกิดกับผู้อยู่ใต้บังคับ
บัญชากับผู้บังคับบัญชา ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมคิดว่าคาส่ังของผู้บังคับบัญชานั้นชอบด้วยกฎหมาย
เสมอ

ข. คาสั่งมิชอบด้วยกฎหมาย แต่ผู้กระทาเช่ือโดยสุจริตว่าตนมีหน้าท่ีปฏิบัติตาม เช่น
ราษฎรถูกเกณฑ์ให้มาช่วยราชการทหารตามกฎอัยการศึก ราษฎรจึงเช่ือโดยสุจริตว่าตนอยู่ใต้บังคั บ

148 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

บัญชาของนายทหาร ฉะน้ันราษฎรยิงบุคคลอื่นตามคาส่ังของนายทหารตาย ก็เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับ
ยกเวน้ โทษ2

1. ผู้กระทาไม่รู้ว่าคาส่ังน้ันเป็นคาส่ังมิชอบด้วยกฎหมาย หมายความว่า คาส่ังมิชอบด้วย
กฎหมายน้ัน ถ้ากระทามีหน้าที่หรือเชื่อโดยสุจริตว่าต้องมีหน้าท่ีปฏิบัติตามนั้น ผู้กระทาจะต้องไม่รู้ว่า
คาสัง่ มิชอบดว้ ยกฎหมายด้วย

เม่ือหลกั เกณฑ์ท้งั 4 ประการนี้ ผ้กู ระทายอ่ มยกเปน็ ข้อแก้ตวั เพอื่ ยกเว้นโทษได้

ข. กรณีตอ้ งรับโทษ กรณนี ้หี มายความว่าผู้กระทาได้รู้อยู่แล้วว่าคาส่ังนั้นมิชอบด้วยกฎหมาย
แตย่ ังปฏิบัตติ ามคาสง่ั นนั้ จึงไม่มเี หตุท่ีจะยกเวน้ โทษได้

ผลของคาสั่งเจ้าพนักงาน การกระทาตามคาสั่งของเจ้าพนักงานตามาตรา 70 น้ี ไม่มีผลลบ
ลา้ งการกระทาทเี่ ปน็ ความผดิ แต่มเี พยี งใหผ้ กู้ ระทาต้องรบั โทษเทา่ นั้น กล่าวคือ ถ้าคาส่ังน้ันเป็นคาสั่ง
ที่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทาของผู้ปฏิบัติตามคาส่ังก็ไม่เป็นความผิด แต่ถ้าคาส่ังน้ันมิชอบด้วย
กฎหมายโดยผกู้ ระทาไมร่ ู้วา่ ไมช่ อบด้วยกฎหมาย การกระทาก็เป็นความผดิ แตก่ ฎหมายยกเวน้ โทษได้

ตวั อย่างเกยี่ วกบั คาสัง่ พนักงาน
1.กานันถือไม้ตะพดวิ่งตามคนหน่ึงไป และร้องเรียกลุกบ้านให้ช่วยจับผู้ร้ายให้เอาอาวุธไปด้วย
และร้องสั่งว่าจับเป็นไม่ได้ให้จับตาย ลุกบ้านได้ถืออาวุธวิ่งตามไป กานันเข้าทาร้ายก่อน ลูกบ้านจึง
ช่วยรุมตีบ้าง รุ้งข้ึนก็ตาย ดังนี้วินิจฉัยว่าพวกลูกบ้านทาตามคาส่ังโดยซื่อเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นผู้ร้ายจริง
แมเ้ ป็นคาสง่ั ทีผ่ ิดด้วยกฎหมาย แต่ลูกบ้านกระทาโดยมีเหตสุ มควรเชือ่ วา่ ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่ต้องรับ
โทษ (คาพพิ ากษาฎีกาที่ 34-35/2462) แตต่ อ่ มาศาลฎกี าวนิ ิจฉยั ว่า เม่อื ผู้ร้ายไม่ต่อสู้จะอ้างเป็นข้อแก้
ตัวไม้ได้ ตามคาพิพากษาฎีกาท่ี 671-650/2470 และ 738/2491 โดยถือว่าคาสั่งให้ทาร้ายหรือหย่ิง
คนนนั้ ควรจะผิดต่อกฎหมาย เป็นคาสงั่ ที่ไม่ชอบ

2. จาเลยไปจับผรู้ ้ายกบั ปลัดอาเภอและตารวจ จับไดแ้ ลว้ จาเลยไปเรียกเอาเงินจากพี่ชายผู้ถูก
ฆ่า ดังน้ีจะอ้างว่าทาตามคาสั่งโดยชอบไม่ได้ เพราะคาสั่งให้ไปเอาเงินเป็นคาสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จาเลยทางานอยู่อาเภอไม่น่าจะหลงเช่ือคาสั่ง เมื่อไปถึงบ้านเจ้าทรัพย์คนมากก็ไม่กล้าเข้าไป แสดงว่า
ไม่ไดเ้ ชือ่ ว่าเป็นคาสง่ั ทช่ี อบดว้ ยกฎหมายอา้ งแก้ตวั ไมไ่ ด้ (คาพิพากษาฎีกาท่ี 779/2462)

3. โจทย์ปลูกร้ัวรุกล้าถนน ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงส่ังให้จาเลยซ่ึงอยู่ใต้บังคับบัญชารื้อร่ัวออก
จาเลยร้ือรั้วออก จาเลยรื้อร้ัวนั้นโดยเชื่อว่าคาส่ังน้ันชอบด้วยกฎหมาย ดังน้ี วินิจฉัยว่ากิริยาท่ีจาเลย
กระทาไปมีเหตุสมควรท่ีจะเช่ือว่าคาส่ังนั้นชอบด้วยกฎหมายจึงได้กระทาไป จึงไม่ต้องรับโทษ (คา
พพิ ากษาฎีกาที่ 578/246)

2หยุด แสงอุทยั , ศาสตราจารย์, ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. 2515), หนา้
248.

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 149

4. โจทย์กับพวกถูกจับไปแต่สอบสวนไม่ทัน จาเลยจึงได้ขออนุญาตต่อผู้ว่าราชการจังหวัดขอ
ขังต่อไป จังหวัดไดม้ คี าสัง่ ตอ่ ไปได้ การที่จาเลยขังโจทย์เพราะเชื่อตามคาสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือจาเลย
ว่าชอบด้วยกฎหมาย จงั ไม่ตอ้ งรับโทษ (คาพพิ ากษาฎีกาที่ 578/246)

5. เจาพนักงานตารวจพากันจับผู้เสียหายบานเล่นการพนัน จับได้แล้วผู้เสียหายว่ิงหนี นาย
สิบตารวจคนหน่ึงร้องว่า “พวกเรายิง จับเป็นไม่ได้ให้จับตาย” ตารวจคนหนึ่งจึงยิงไปถูกผู้เสียหาย
สาหัส ดังนี้คาสั่งนายสิบตารวจท่ีสั่งให้ยิงน้ันไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้เสียหายมิได้ต่อสู้อย่างไรที่
จะตอ้ งใช้ปืนยงิ จงึ มีคาส่ังใหย้ ิงน้ันไม่ใชช่ อบดว้ ยกฎหมาย เพราะผเู้ สยี หายมิได้ต่อสู้อย่างไรท่ีจะต้องใช้
ปืนยิง จึงมีความผิดฐานพยายามฆา่ (คาพิพากษาท่ี 679-608/2471 และท่ี 547/2474)

6. จาเลยปลัดอาเภอ ได้จับโจทก์มาขังตามคาสั่งของนายอาเภอซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา โดย
เชือ่ ว่าเป็นคาสั่งท่ีชอบด้วยกฎหมาย ยอ่ มไดร้ บั ยกเว้นไมต่ อ้ งรบั โทษ (คาพิพากษาฎกี าที่ 747/2471

7. จาเลยเป็นนายทหารช้ันประทวน มีหน้าที่จดทะเบียนบัญชี จาเลยได้จดรายการเท็จลงใน
ใบสาคัญ ก่อนจดได้ไปปรึกษาผบู้ งั คบั บัญชาแล้วสั่งใหท้ าตามทเ่ี คยทามาจาเลยจึงจดลงไป และปรากฏ
ว่าเคยปฏิบัติกันมาเช่นน้ันโดยมีความเช่ือถือกัน ดังน้ีจาเลยจดข้อความลงโดยสุจริตและเช่ือโดยมี
เหตุผลสมควรทจี่ ะปฏบิ ัติตามคาสั่ง จึงไม่ต้องรับโทษ (คาพิพากษาฎีกาท่ี 393/2473) ดูคาพิพากษา
ฎกี าที่ 1728/2493 ประกอบ

8. จาเลยพบศพจึงแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านไปดูแล้วส่ังให้พวกจาเลยเอาไปไว้ท่ีปุาช้า
ดังนี้จาเลยปฏิบตั ิตามคาสง่ั ผูใ้ หญบ่ ้านซ่ึงเป็นเจ้าพนักงานโดยเช่ือว่าชอบด้วยกฎหมาย การเอาศพไปไว้
ทป่ี าุ ชา้ กไ็ มผ่ ิดธรรมดาแต่อยา่ งใด เมื่อพบศพก็ไปแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้านแล้วจึงไม่ต้องรับโทษ (คาพิพากษา
ฎกี าที่ 422/2476)

9. จาเลยเป็นผู้คุมพิเศษสาหรับคุมนักโทษไปทางานท่ีพักนายอาเภอ เม่ือนักโทษทางานแล้ว
จาเลยก็ไปทางานบ้านนายอาเภอ ท้ังนี้ตามคาส่ังนายอาเภอนักโทษหลบหนีไป ดังนี้จาเลยไม่ต้องรับ
โทษเพราะจาเลยกระทาตามคาสัง่ นายอาเภอซ่ึงเปน็ ผู้บงั คับบัญชา (คาพิพากษาฎกี าท่ี 422/2476)

10. จาเลยท้งั สองเป็นพนักงานรถไฟ ไดผ้ ลักตารวจไม่ให้ขนึ้ ตรวจฝิน่ เถ่อื นบนรถจักร เพราะมี
ข้อบังคับของรถไฟห้ามมิให้ค้นนอกจากได้รับอนุญาตจากสารวัตรรถจักรเสียก่อน เมื่อตารวจไปตาม
สารวัตรรถจักรมา จาเลยก็ให้คน้ ปรากฏว่าขอ้ บังคับรถไฟมจี รงิ แม้จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม
เม่ือจาเลยเชื่อว่าชอบดว้ ยกฎหมาย ยอ่ มได้รับยกเว้น (คาพพิ ากษาฎกี าท่ี 96/2478)

11. จาเลยรับฝากปืนไว้จากปลัดอาเภอซ่ึงไปตรวจท้องที่ ย่อมมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้
ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใช่การกระทาตามคาส่ังของเจ้าพนักงานที่จะได้รับยกเว้นโทษ (คา
พิพากษาฎีกาที่ 369/2480) แต่ในกรณีที่นายอาเภอเอาปืนของกลางไปให้สารวัตรตารวจกานันใช้

150 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ปราบปรามโจรผู้ร้ายโดยเซ็นหนังสืออนุญาตให้ไว้ สารวัตรทาตามหนังสือนั้นย่อมแก้ตัวว่ากระทาตาม
คาส่งั ได้ ไมผ่ ดิ ฐานมปี นื ไม่รบั อนุญาต (คาพพิ ากษาฎกี าที่ 29/2481)

12. จาเลยเป็นกานันจบั โจทก์ไปกกั ขงั โดยไมม่ ีหมายจับ แมพ้ นกั งานสอบสวนส่งั ให้จาเลยจับก็
ไมม่ หี มายจบั จงึ เป็นคาส่งั ท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีความผิด (คาพิพากษาฎีกาท่ี 75/2493) ซึ่ง
ศาลฎีกาให้เหตุผลไว้ว่าไม่มีเหตุผลใดท่ีจะสาเนียกได้ว่าจาเลยไปทาโดยเช่ือว่ าเป็นคาส่ังที่ชอบด้วย
กฎหมาย สรุปแล้วกค็ ือศาลฎีกาไม่เช่ือว่าจาเลยกระทาไปโดยเชือ่ วา่ เป็นคาสั่งท่ีชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมี
(คาพิพากษาฎีกาที่ 1135/2508) วินิจฉัยไว้ใกล้เคียงกัน แต่คาพิพากษาฎีกาหลังน้ีศาลฎีกาเชื่อว่า
จาเลยกระทาไปโดยเชอื่ ว่าดว้ ยกฎหมาย จงึ ไม่ต้องรับโทษ

13. แม้สรรพกรจังหวัดส่ังให้เสมียนสรรพกรบัญชีและหนังสือราชการเท็จเม่ือเสมียนสรรพกร
ทราบดีอยู่แล้วว่าข้อความที่ให้จดเป็นเท็จและเป็นคาสั่งท่ีผิดกฎหมาย เม่ือเสมียนผู้นั้นทาไปตามคาส่ัง
แล้ว เสมียนผู้น้ันทาไปตามคาสั่งแล้ว เสมียนผู้นั้นจะยกขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวไห้พ้นผิดหาได้ไม่ (คา
พิพากษาฎีกาท่ี 1728/2493) คาพิพากษาฎีกาฉบับนี้น่าจะยกเลิกหลักท่ีวินิจฉัยไว้ใน (คาพิพากษา
ฎีกาท่ี 393/2478) คาพิพากษาฎีกาท่ี 393/2478) ในอันดับที่ 8 นั้นแล้ว เพราะการทาเป็นไปใน
ลกั ษณะเดยี วกนั

14. กานันไม่มีหน้าทีใ่ ห้ผ้ใู หญ่บ้านจับคนไปสง่ อาเภอในข้อหากระทาผิดอาญาโดยไม่มีหมายจับ
เมื่อผู้ใหญ่บ้านจับตามคาสั่งของกานันย่อมมีความผิด จะอ่างว่าทาตามคาสั่งไม่ได้ เพราะเป็นคาส่ังไม่
ชอบ (คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1089/2502)

15. จาเลยท้งั สองเป็นเจ้าพนักงานงานตารวจ ผู้บังคับกองได้สั่งให้ไปจับนายเร่ิมฐานลักไก่ที่มี
ผู้แจ้งความไว้โดยวาจา แล้วจาเลยทั้งสองได้ไปจับนายเร่ิมมาจาเลยจะมีความผิดตามมาตรา 310
หรอื ไม่ ศาลฎกี าวนิ จิ ฉัยทจี่ าเลยไปจับตามคาส่ังของเจ้าพนักงานถึงแม้เป็นคาส่ังด้วยวาจาไม่มีหมายจับ
จาเลยก็เป็นผูป้ ฏบิ ัตหิ นา้ ทีตามคาส่ังผู้บังคบั บญั ชา ซงึ่ ไดถ้ ือเปน็ หลกั ปฏบิ ัตติ ลอดมาวา่ ไปจับได้ ท้ังตาม
พฤติการณ์ก็น่าเชื่อว่าจาเลยทั้งสองน่าจะเข้าใจว่าตามท่ีผู้บังคับกองส่ังให้ไปจับด้วยวาจาโดยไม่มี
หมายจับนนั้ เป็นคาสง่ั ทช่ี อบดว้ ยกฎหมาย เพราะไดถ้ อื ปฏิบัติกันเช่นน้ันตลอดมา ฉะนั้นแม้การกระทา
ของจาเลยท้งั สองเป็นการมชิ อบก็ไม่ต้องรบั โทษตามาตรา 70 (คาพิพากษาฎีกาที่ 1135/2508) และ
มีคาพิพากษาฎีกาที่ 1601/2509 วินิจฉัยอย่างเดียวกัน นอกจากนี้ในกรณีจาเลยเป็นเจ้าพนักงาน
ตารวจติดตามจับกุมคนร้ายสาคัญตามคาส่ังผู้บังคับบัญชา แม้จะปฏิบัติตามเรื่องหมายค้นถ้าบุคคลนั้น
จะเปน็ ผ้ถู ูกจับ ก็เพียงไม่มคี วามผิดฐานตอ่ สู้ขดั ขวางแต่ไม่มีสิทธิหรืออานาจอันชอบธรรมท่ีบุคคลน้ันจะ
ใช้อาวุธทาร้ายจาเลย การที่ผู้ถูกจับใช้มีดแทงจาเลย 2 ครั้ง แล้วยังโสดคร่อมจะใช้มีดจ้วงแทงอีก
จาเลยจึงใช้ปืนยิงผู้นั้นถึงแก่ความตาย เช่นน้ีเรียกว่าเป็นการปูองกันชีวิตตนพอสมควรแก่เหตุ ไม่มี
ความผิด (คาพิพากษาฎีกาท่ี 387/2512)

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 151

2. เหตทุ เ่ี กย่ี วกบั ความไม่สามารถร้ผู ดิ รู้ชอบหรือไมส่ ามรถบงั คับเองได้
แยกอธิบายเป็น 2 สว่ นคือ

สว่ นที่ 1 การกระทาความผดิ ของคนวกิ ลจริต
สว่ นท่ี 2 การกระทาความผดิ ขณะมนึ เมา

สว่ นท่ี 1
การกระทาความผดิ ของคนวิกลจรติ

คนวิกลจริตมีความรู้สึกผิดชอบอย่างคนธรรมดา การกระทาของคนวิกลจริตย่อมถือเป็นการ
กระทาด้วยจิตใจช่ัวร้ายอันควรแก่การลงโทษอย่างการกระทาของผู้มีจิตใจเป็นปกติไม่ได้ อีกประการ
หนึ่งความประสงค์ในการลงโทษน้ันรวมถึงการปราบปรามไม่ให้ผู้ท่ีถูกลงโทษคิดกระทาผิดขึ้นอีก และ
ดัดนิสัยให้ผู้น้ันกลับตัวเป็นพลเมืองดี ฉะนั้นจึงเป็นที่เห็นได้ว่าการลงโทษคนวิกลจริตท่ีไม่มีความรู้สึก
พอทจ่ี ะสานกึ ถึงผลแห่งการลงโทษนัน้ ได้ย่อมไม่เกิดประโยชน์ดังกล่าวนี้แต่อย่างใดเหตุน้ีในทางอาญาจึง
มีหลักว่าการกระทาของคนวิกลจริตย่อมไม่เป็นเหตุให้มีการลงโทษผู้กระทาอย่างคนธรรมดากระทา
เก่ียวกับการยกเว้นโทษสาหรับการวิกลจิตรน้ีมีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 ว่า
“ผู้ใดกระทาความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง
โรคจิต หรือจติ ฟั่นเฟอื น ผูน้ ้ันไมต่ ้องรบั โทษสาหรับความผดิ น้ัน”

แต่ถ้าผู้กระทาความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้น้ัน
ต้องรับโทษสาหรับความผิดน้ัน แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดน้ัน
เพยี งใดกไ็ ด้

จากขอ้ ความในมาตรา 65 น้ี แยกออกพจิ ารณาได้ 3 กรณี คอื
1. กรณถี ือว่าวิกลจรติ
2. ขนาดของความวกิ ลจรติ
3. ผลของความวกิ ลจรติ

1. กรณีถือว่าวิกลจริต ในมาตรา 65 น้ีมิได้ใช้คาว่า “วิกลจริต” แต่ใช้คาว่า จิตบกพร่อง
โรคจิต จติ ฟน่ั เฟอื น ซงึ่ ท้งั สามคาน้มี คี วามหมายแตกต่างกนั อย่างไรก็ตามก็เปน็ วกิ ลจริตเช่นเดยี วกนั

“จิตบกพรอ่ ง” (Mental retardation) หมายถึง คุณสมบัติของมันสมองบกพร่อง จึงทา
ให้ไม่สามรถรู้ผิดชอบหรือไม่สมารถบังคับตนเองได้ ได้แก่ ผู้ท่ีสมองไม่เจริญเติบโตตามวัย หรือ
บกพร่องมาต้ังแต่กาเนิดหรือเสื่อมลงเพราะความชรา “โรคจิต” (Psychosis) หมายถึง ความ
บกพร่องแห่งจิตที่เกิดจากโรค เช่นคลอดบุตรแล้วมีอาการโรค “บ้าเลือด” คุ้มดีคุ้มร้าย รวมท้ังผู้มี
อาการคมุ้ คลั่ง จติ เภทหรือผ้มู ีความคิดดแี ต่สติทราม

152 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

“จิตฟั่นเฟือน” (Mental disorder) หมายถึง มีจิตพิการที่เรียกว่าบ้าๆ บอๆ ซึ่งไม่ใช่เป็น
โรคจติ ไดแ้ ก่ผู้ท่มี คี วามหลงผิด ประสาทหลอน และแปรผดิ

ส่วนความไม่รู้ผิดชอบเพราะเหตุอ่ืนนอกจากน้ี แม้จะทาให้เกิดการกระทาความผิดข้ึน เช่น
ความโกรธ ความหลง ความใคร่ ความต่ืนเต้น ความตกใจ ความกลัว หรือเพราะความไม่ปกติของ
อารมณ์ ซึ่งไม่ใช่เพราะจิตปกพร่อง โรคจิตฟ่ันเฟือนไม่อยู่ในความหมายของมาตรา 65 น้ี เช่น กา
ระทาผดิ เพราะบันดาลโทสะ ความโฉดเขลาเบาปัญญา หรือเหตุอ่ืนทานองเดียวกันเป็นแต่เหตุบรรเทา
โทษตามารตา 78 เท่านนั้

นอกจากน้ีความเจ็บปุวย เป็นใบ้ หูหนวก พูดไม่ได้ ฤทธิ์ยา อดนอน อาจทาให้ไม่รู้สภาพ
แพ่งการกระทาถือว่าไม่มีเจตนา เพราะไม่มีการกระทาโดยรู้สานึกได้ แต่ถ้ารู้สึกหากไม่รู้ผิดชอบหรือ
ยับยั้งไม่ได้ ดังนี้เป็นการกระทาโดยเจตนา ความไม่รู้ผิดชอบหรือยับยั้งได้ด้วยเหตุนี้มิใช่เพราะโรคจิต
จติ บกพร่อง หรอื จติ ฟ่นั เฟอื น ไม่เปน็ ขอ้ แกต้ ัวให้พน้ โทษได้

2. ขนาดของความวกิ ลจรติ
ขนาดของความวิกลจรติ น้แี บง่ เปน็ 3 ขน้ั คอื

ก. ผกู้ ระทาไมร่ ู้สภาพและสาระสาคญั ของการกระทา
ข. ผกู้ ระทารู้สภาพและสาระสาคญั ของการการะทา แต่ไมร่ ู้ผดิ ชอบ
ค. ผู้กระทารู้สภาพและสาระสาคัญของการกระทา และรู้ผิดชอบด้วยแต่ไม่สามารถ
บังคบั ตนเองได้

ก. ผู้กระทาไม่รู้สภาพและสาระสาคัญของการกระทา สภาพสาระสาคัญของการ
กระทาต้องเข้าใจรวมกันไป “สภาพ” หมายถึงการเคลื่อนไหวอิริยาบถ เช่น การตีต่อย ตัดหัวคน
เป็นต้น สาระสาคัญของการกระทาหมายถึงผลของการกระทาน่ันเอง เช่น การตัดหัวคนเป็นสภาพ
เมื่อคนที่ถูกตัดหัวขาด ความตายของบุคคลน้ันเป็นสาระสาคัญของการกระทา และการกระทาในที่นี้
หมายความตลอดพฤติการณ์และผลของการเคล่ือนไหวอิริยาบถด้วย การกระทาโดยไม่รู้สภาพและ
สาระสาคัญน้ีก็คือผู้กระทาโดยไม่รู้ว่าตนกาลังทาอะไรอยู่ หรือกล่าวอีกในหนึ่งก็คือ ไม่ใช่การกระทา
โดยรู้สึกนึก ซึ่งสาหรับคนธรรมดาซ่ึงมีจิตใจปกติได้แก่การเคลื่อนไหวอิริยาบถโดยไม่มีการบังคบของ
จติ ใจ เช่นละเมอ แต่สาหรับคนวิกลจริตก็คือไม่รู้สภาพและสาระสาคัญของการกระทา ในทางทฤษฎี
ต้องถือวา่ ไมม่ กี ารกระทาโดยรู้สานึกตามความหมายของมาตรา 59 วรรค 2 จึงไม่เป็นความผิดเลยท่ี
เดยี ว มใิ ชเ่ ปนู ความผิด แตย่ กเวน้ โทษเท่านัน้ ซง่ึ อย่นู อกเหนอื มาตรา 65

ข. ผู้กระทารูส้ ภาพและสาระสาคญั ของการกระทา แตไ่ ม่รู้ผิดชอบ หมายความวา่
ผกู้ ระทาได้ร้สู ึกในการกระทากล่าวคอื การเคลื่อนไหวอิริยาบถนั้นอยู่ภายใต้บังคับของจิตใจตลอดจนรู้ถึง
พฤติการณ์ประกอบอิริยาบถน้ันด้วย ส่วนที่ว่าไม่รู้ผิดชอบหมายความว่า ไม่รู้ว่าเป็นตลอดจนรู้ถึง

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 153

พฤติการณ์ประกอบอิริยาบถนั้นด้วย ส่วนท่ีว่าไม่รู้ผิดชอบหมายความว่า ไม่รู้ว่าเป็นการกระทาที่ควร
ทาหรือไม่ ไม่ได้หมายความถึงกับจะต้องรู้ว่าการกระทาของตนเป็นความผิดต่อกฎหมาย เช่น เพราะ
เป็นโรคจิตจึงมาสามารถรู้ว่าการเอามีดฟันคอคนจะทาให้คนตายได้ ตามตัวอย่างนี้ผู้กระทารู้สานึกใน
การกระทาคือการเอามีดฟันคอน้ันอยู่ภายใต้บังคับของจิตใจ และรู้ผู้ถูกฟันตาย แต่เขาไม่สามารถรู้ได้
ว่าทีผ่ ู้ตายเพราะเขาเอามดี ฟันคอ

ค. ผู้กระทารู้สภาพและสาระสาคัญของการกระทาและรู้ผิดชอบด้วย แต่ไม่
สามารถบังคบั ตนเองได้ หมายความว่า ผู้กระทาน้ีแม้จะเป็นโรคจิต จิตบกพร่อง หรือจิตฟ่ันเฟือนก็
ตาม ได้กระทาไปโดยรู้สึกในการกระทา และสามารถรู้ผิดชอบด้วย แต่ไม่สามารถจะห้ามจิตใจมิให้
บังคับร่างกายให้กระทาการนั้น ได้ เช่น ก. เป็นโรคจิตไม่สามารถบังคับตนเองได้จึงเอามีดฟันคอ ข.
ตาย ตามตวั อยา่ งนี้ ก. ไดร้ ู้สกึ ในการกระทาและร้ผู ดิ ชอบด้วยว่าถ้าเอามีดฟันคอ ข แล้ว ข. จะต้อง
ตาย แต่ ก. ไม่สามารถบงั คบั จติ ใจมิให้บงั คบั การเคล่ือนไหวของอริ ิยาบถใหก้ ระทาการน้ันได้

3. ผลของการวิกลจรติ
ก. ถา้ บคุ คลใดเป็นโรคจติ จติ บกพรอ่ ง หรือจิตฟัน่ เฟอื น ได้กระทาการใดไปโดยไมร่ ู้

สานึกในการกระทา แต่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้แล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
สาหรบั ความผดิ นั้น

ข. ถ้าความมีจิตบกพร่อง โรคจิต และจิตฟ่ันเฟือน ยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือ
ยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้กระทาความผิดจะต้องรับโทษบ้าง แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่
กฎหมายกาหนดไว้สาหรบั ความผดิ นน้ั เพียงใดก็ได้

ส่วนท่ี 2
การกระทาความผิดขณะมึนเมา
ผู้ที่เสพสุราจนมึนเมาครองสติไม่อยู่ได้กระทาความผิดขณะมึนเมาน้ีจะอ้างว่ากระทาไปโดยไม่
สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพ่ือยกเว้นโทษนั้นไม่ได้ ดังที่ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 66 บญั ญตั ิ “ความมึนเมาเพราะเสพสุราหรือสิ่งเมาอย่างอ่ืนจะยกข้ึนเป็นข้อแก้ตัวตามมาตรา
65 ไม่ได้ เวน้ แตค่ วามมึนเมานั้นจะได้เกิดโดยผู้เสพไม่รู้สิ่งน้ันจะทาให้มึนเมา หรือได้เสพโดยถูกขืนใจ
ให้เสพและได้กระทาความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ หรือยัง
สามารถบังคับตนเองได้บ้าง ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดน้ันเพียงใดก็
ได้” กฎหมายอาญามาตรา 66 บัญญัติว่า “ความมึนเมาเพราะเสพสุราหรือส่ิงเมาอย่างอ่ืนจะยกขึ้น
เปน็ ข้อแก้ตัวตามมาตรา 65 ไม่ได้ เว้นแต่ความมึนเมานั้นจะได้เกิดโดยผู้เสพไม่รู้ว่าส่ิงนั้นจะทาให้มึน
เมา หรือได้เสพโดยถูกขืนใจให้เสพและได้กระทาความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถรู้

154 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ผิดชอบอย่บู า้ ง หรอื ยงั สามารถบงั คบั ตนเองไดบ้ า้ ง ศาลจะลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกาหนดไว้สาหรับ
ความผิดนนั้ เพียงใด”

จากข้อความในมาตรา 66 นี้ โดยหลักแล้วแม้ผู้กระทาจะได้เสพสุราหรือสิ่งเมาอย่าอ่ืนจนมึน
เมา และได้กระทาความผิดไปโดยไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ ก็ไม่เป็นเหตุให้
ผกู้ ระทาได้ยกเวน้ โทษหรือได้รับโทษน้อยลงอย่างเช่น มาตรา 65 แต่อย่างใด เว้นแต่ผู้น้ันจะพิสูจน์ให้ได้
ความดังต่อไปน้ี

1. มึนเมาถึงกับให้เกิดวิกลจริตข้ึน คือทาให้จิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟ่ันเฟือนไม่สามารถ
รสู้ กึ ผดิ ชอบหรือไม่สามารถบังคบั ตนเองได้ และการกระทาความผิดลงในขณะที่ไม่สามารถรู้สึกผิดชอบ
หรือไมส่ ามารถบังคบั ตนเองได้ หรอื

2. ความมนึ เมาน้ันไดเ้ กดิ ข้นึ โดยผูเ้ สพไม่รวู้ า่ สง่ิ นั้นทาให้มนึ เมา และผู้เสพไดก้ ระทาความผิดใน
ขณะทไ่ี ม่สามารถรผู้ ดิ ชอบหรือไมส่ ามารถบงั คบั ตนเองได้เพราะเหตุน้ันหรอื

3. ถา้ ความมึนเมานั้นไดเ้ กิดข้นึ โดยผ้เู สพโดยถูกขม่ ขนื ใจให้เสพและผเู้ สพไดก้ ระทาความผดิ ใน
ขณะท่ีไม่สามารถร้ผู ิดชอบหรอื ไม่สามารถบังคับตนเองไดเ้ พราะเหตุนนั้

ซึง่ ถ้าผูก้ ระทาพิสจู นไ์ ด้ตามข้อใดขอ้ หนึ่งใน 3 ขอ้ ที่กล่าวมานี้ ผู้กระทาไดร้ ับยกเวน้ โทษ

1. มึนเมาถึงกบั ให้เกดิ วกิ ลจริต คอื ทาให้จิตบกพรอ่ งหรอื โรคจิตหรอื จติ ฟน่ั เฟอื น
หมายความว่า ถ้าเสพอยู่เป็นเวลานานจนทาให้ผู้เสพจิตไม่ปกติกลายเป็นจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิต
ฟ่ันเฟือน แล้วไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ และได้กระทาความผิดขณะไม่รู้ผิด
ชอบหรือไมส่ ามารถบงั คับตนเองได้แล้ว ผกู้ ระทายอ่ มได้ยกเว้นโทษตามมาตรา 65

2. ความมึนเมานั้นได้เกิดข้ึนโดยผู้เสพไม่รู้ว่าส่ิงน้ันทาให้มึนเมาและผู้เสพได้กระทา
ความผดิ ในขณะที่ไมส่ ามารถรู้ผดิ ชอบหรอื ไมส่ ามารถบังคับตนเองได้ เพราะเหตุน้ัน หมายความว่า
ผทู้ ่เี สพสุราหรือสง่ิ เมาอยา่ งอืน่ จนมึนเมาน้ี ผู้เสพไม่รู้สิ่งนั้นจะทาให้มึนเมา อาจเป็นเพราะความสาคัญ
ผิดในสภาพและคณุ ลกั ษณะของวัตถทุ เ่ี สพ ไม่รู้ว่าสิ่งน้นั จะทาใหเ้ กดิ ผลแกร่ ่างกายอย่างใด ไม่ว่าจะเกิด
ความสาคัญผิดเพราะคนอ่ืนทาให้หลงหรือเกิดข้ึนโดยผู้เสพสาคัญผิดไปเอง หรือเป็นยาที่แพทย์
กาหนดให้แรงเกินขนาดไป เป็นต้น “การเสพ” คือการนาเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีใดก็ได้ ไม่ว่าจะนาเข้า
ทางปาก จมูก หรืออวัยวะอื่นใด เช่น การฉีดเข้าไปในร่างกาย เป็นต้น เม่ือผู้เสพได้เสพโดยไม่รู้ว่า
ส่ิงน้ันทาให้มึนเมา และได้กระทาความผิดในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้
ผเู้ สพได้ยกเว้นโทษสาหรับความผิดนน้ั

3. ถ้าความมึนเมาน้ันเกิดขึ้นโดยผู้เสพได้เสพโดยถูกข่มขืนใจให้เสพ และ ผู้เสพได้
กระทาความผิดในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเอง ได้ หมายความว่า ผู้เสพ
สรุ าหรอื สงิ่ เมาอยา่ งอนื่ เขา้ ไปในรา่ งกายโดยถูกข่มขืนใจใหเ้ สพ โดยท่ผี ้เู สพไมไ่ ด้สมัครใจเสพเข้าไป คาว่า
“ถกู ขืนใจใหเ้ สพ” มีความหมายสองประการ กล่าวคือ ก. ถูกบังคับใจประการหนึ่ง เช่น แดงเอาปืนขู่ดา

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 155

บงั คบั ให้ดาเสพสรุ าอยา่ ง มากมาย ดากลัวตายจงึ เสพสรุ าและมนึ เมาถงึ ขนาดไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่
สามารถ บังคับตนเองได้ และตีศีรษะเหลืองในขณะน้ัน ดาไม่ต้องรับโทษ ข. ถูกบังคับร่างกาย กล่าวคือ
รา่ งกายอยู่ภายใต้อานาจของบคุ คลอื่นโดยสิน้ เชิง เช่น ก. กับ ข. ร่วมกันจับเอา สุรากรอกปาก ค. ถ้า ค.
ไมด่ ื่มจะสาลกั สรุ าตาย เม่ือ ค. ด่ืมจนมนึ เมาจนไมส่ ามารถรผู้ ดิ ชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ และ
ค. ทาร้ายร่างกาย อ. ในขณะนนั้ ค. ไม่ตอ้ งรบั โทษ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้เสพจะเสพโดยไม่รู้ว่าส่ิงนั้นทาให้มึนเมาหรือถูกขืนใจให้ เสพก็
ตาม ถา้ ไดก้ ระทาความผดิ ขณะยงั สามารถรู้ผดิ ชอบอยูบ่ ้าง หรอื ยังสามารถบังคบั ตนเองได้บ้าง ผู้กระทา
จะตอ้ งรบั โทษบา้ ง แต่ศาลจะลงโทษผ้นู ั้นนอ้ ยกวา่ ท่ีกฎหมาย กาหนดไว้สาหรับความผดิ นัน้ เพยี งใดก็ได้

3. เหตุเพราะออ่ นดว้ ยอายุ
ผู้ที่อายุยังน้อยน้ันย่อมมีความรู้สึกผิดชอบและความย้ังคิดน้อยกว่าผู้ใหญ่ เม่ือเด็กกระทา
ความผิดจึงอาจแก้ไขให้กลับตัวเป็นคนดีได้โดยวิธีอ่ืนนอกจากการลงโทษ ประมวลกฎหมายอาญาจึงมี
บทบญั ญัตพิ เิ ศษไว้สาหรับผกู้ ระทาความผดิ ท่ียังอ่อนดว้ ยอายุ โดยแยกออก ดังน้ี
1) เดก็ อายยุ งั ไมเ่ กิน 7 ปี (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 73)
2) เด็กอายุเกินกวา่ 7 ปี แต่ยังไมเ่ กิน 14 ปี (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74)

1) เดก็ อายุยงั ไม่เกิน 7 ปี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 73 บัญญัติว่า “เด็กอายุไม่เกิน
เจ็ดปี กระทาการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กน้ันไม่ต้องรับโทษ” เด็กอายุไม่เกินเจ็ดปีน้ี
หมายความว่าอายุเจ็ดปีบริบูรณ์ โดยนับถึงวันที่เด็กนั้นกระทาความผิด ไม่ใช่นับถึงวันท่ีจับกุมเด็กได้
หรือวันยน่ื ฟอู งต่อศาล และความผิดที่เดก็ กระทาน้ีจะต้องทาครอบองค์ประกอบความผิด กล่าวคือเด็ก
นั้นมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ เหตุที่กฎหมายไม่ลงโทษเด็กอายุไม่เกินเจ็ดปีนี้เพราะว่าเด็กยังมา
สามารถรู้สึกผิดชอบ จึงไม่ได้กาหนดให้ใช้วิธีการสาหรับเด็ก และศาลจะใช้ดุลพินิจอย่างใด เพราะ
บทบัญญตั ิในมาตรา 73 น้ีเป็นบทบญั ญตั ยิ กเวน้ ของกฎหมายโดยเด็ดขาดในขอ้ ท่ีไม่ตอ้ งรับโทษ

2) เดก็ อายกุ วา่ สิบปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 ว่า
เดก็ อายุกว่าสบิ ปแี ต่ยังไมเ่ กนิ สบิ หา้ ปี กระทาการอนั กฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ
แตใ่ หศ้ าลมอี านาจทีจ่ ะดาเนินการดังตอ่ ไปน้ี

(1) ว่ากล่าวตักเตือนเด็กน้ันแล้วปล่อยตัวไป และศาลเห็นสมควรจะเรียกบิดา มารดา
หรอื ผู้ปกครองหรือบคุ คลทเ่ี ดก็ น้ันอาศัยอยู่มาตกั เตือนด้วยกไ็ ด้

(2) ถ้าศาลเห็นว่าบิดามารดาหรือผู้ปกครองสามารถดูแลเด็กน้ันได้ศาลจะมีคาส่ังให้
มอบตัวเด็กน้ันให้แก่บิดามารดหรือผู้ปกครองไป โดยวางข้อกาหนดให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองระวัง
เด็กนั้นไม่ให้ก่อเหตุร้ายตลอดเวลาที่ศาลกาหนด แต่ต้องไม่เกิน 3 ปี และกาหนดจานวนเงินตามท่ี
เห็นสมควร ซ่ึงบิดามารดาหรือผู้ปกครองจะต้องชาระต่อศาลไม่เกินคร้ังละ 1,000 บาท ในเมื่อเด็ก
นน้ั ก่อเหตรุ า้ ยขนึ้

156 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ถ้าเด็กนั้นอาศัยอยู่กับบุคคลอื่นนอกจากมารดาหรือผู้ปกครอง และศาลเห็นว่าไม่
สมควรจะเรียกบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาวางข้อกาหนดดังกล่าวข้างต้น ศาลจะเรียกตัวบุคคลที่เด็ก
น้ันอาศัยอยู่มาสอบถามว่าจะยอมรับข้อกาหนดทานองที่บัญญัติไว้สาหรับบิดามารดาหรือผู้ปกครอง
ดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ก็ได้ ถ้าบุคคลท่ีเด็กนั้นอาศัยอยู่ยอมรับข้อกาหนดเช่นว่านั้น ก็ให้ศาลมีคาส่ัง
มอบตวั เดก็ ใหแ้ ก่บคุ คลนั้นไปไดว้ างขอ้ กาหนดดงั กลา่ ว

(3) ในกรณีที่ศาลมอบตัวเด็กให้แก่บิดามารดาหรือผู้ปกครอง หรือบุคคลท่ีเด็กน้ัน
อาศัยอยู่ตาม (2) ศาลจะกาหนดเง่ือนไขเพ่ือคุมความประพฤติเด็กน้ันเช่นเดียวกับท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา
56 ด้วยก็ได้ ในกรณีเช่นวา่ นี้ให้ศาลแตง่ ต้ังพนักงานคุมความประพฤตเิ ดก็ นั้น

(4) ถ้าเด็กนั้นไม่มีบิดามารดาหรือผู้ปกครอง หรือมีแต่ศาลเห็นว่าไม่สามารถดูแลเด็ก
นั้นได้ หรือถ้าเด็กอาศัยอยู่กับบุคคลอ่ืนนอกจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง และบุคคลนั้นไม่ยอมรับ
ข้อกาหนดดังกล่าวใน (2) ศาลจะมีคาสั่งให้มอบตัวเด็กน้ันให้อยู่กับบุคคลหรือองค์กรท่ีศาลเห็นสมควร
เพอื่ ดแู ลอบรมและสั่งสอนตามระยะเวลาที่ศาลกาหนดก็ได้ ในเม่ือบุคคลหรือองค์กรนั้นยินยอมในกรณี
เช่นว่านี้ให้บุคคลหรือองค์กรนั้นอานาจเช่นผู้แกครองเฉพาะเพื่อดูแลอบรมและส่ังสอน รวมตลอดถึง
การกาหนดที่อยูแ่ ละการตดั ให้เดก็ มงี านทาตามสมควร หรอื

(5) ส่งตัวเด็กน้ันไปยังโรงเรียนหรือสถานฝึกและอบรม หรือสถานท่ีซ่ึงเพ่ือฝึกและ
อบรมเดก็ ตลอดระยะเวลาท่ศี าลกาหนด แต่อย่าให้เกินกว่าทีเ่ ดก็ นั้นจะมีอายุครบสิบแปดปี

คาส่งั ศาลดงั กล่าวใน (2) (3) (4) และ (5) น้นั ถา้ ในขณะในระยะเวลาท่ีศาลกาหนด
ไว้ ความปรากฏแกศ่ าลโดยศาลรู้เอง หรือตามคาเสนอของผูม้ ีสว่ นไดเ้ สยี พนกั งานอัยการ หรือบุคคล
หรือองคก์ รท่ศี าลมอบตัวเด็กเพื่อดูแลอบรมและสั่งสอนหรือเจ้าพนักงานว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับคาส่ังน้ัน
เปลี่ยนแปลงไป กใ็ หศ้ าลมอี านาจเปล่ียนแปลงแก้ไขคาสงั่ นัน้ หรือคาสั่งใหมต่ ามอานาจในมาตรานี้

สาหรับเดก็ อายไุ มเ่ กิน 14 ปีน้ีกระทาความผิดอาญา เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ศาล
จะไม่ปล่อยตัวไปทีเดียว เช่น เด็กอายุเกิน 7 ปี กระทาความผิดมาตรา 74 ได้บัญญัติเง่ือนไขให้
ศาลดาเนินการอย่างไรอย่างหน่ึงเสียก่อน ที่เป็นเช่นน้ีเพราะว่าเด็กอายุเกิน 7 ปี แต่ไม่เกิน 14 ปี
ควรจะรผู้ ดิ ชอบรบั คาแนะนาส่ังสอนได้บ้างแล้ว บัญญัติในมาตรา 74 จึงได้บัญญัติให้ศาลมีอานาจส่ัง
อยา่ งใดอย่างหน่งึ ได้ใน 5 ประการตามที่เหน็ สมควร

ประการแรก ว่ากล่าวตักเตือนเด็กน้ันแล้วปล่อยตัวไป และถ้าศาลเห็นสมควรจะ
เรียกบดิ ามารกา ผปู้ กครอง หรอื บคุ คลทเี่ ดก็ นั้นอาศยั อยู่มาตกั เตอื นด้วยกันกไ็ ด้

ประการที่สอง มอบตัวเด็กให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองไปดูแล ท่ีศาลมอบตัวเด็กให้
บิดามารดาหรือผู้ปกครองไปดูแลน้ี ศาลจะต้องเห็นบุคคลเช่นว่านี้สามารถดูแลเด็กน้ันได้ คืออยู่ใน
ฐานะท่ีจะว่ากล่าวอบรมและควบคุมเด็กไม่ให้ก่อเหตุร้ายได้โดยแท้จริง ซึ่งวิธีการในข้อนี้ถือว่าศาล
ปล่อยตัวเดก็ ไปลอย ๆ แต่ได้มอบตัวเด็กใหบ้ คุ คลที่ศาลเรียกมาน้ันไป โดยศาลวางข้อกาหนดแก่บุคคล
นั้นทีจ่ ะตอ้ งปฏบิ ตั ิ คือ (1) ให้ระวังเด็กนน้ั ไม่ใหก้ อ่ เหตรุ ้าย (2) กาหนดเวลาที่บุคคลนั้นต้องปฏิบัติลง

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 157

ไว้ซึ่งแล้วแต่ศาลจะพิจารณาเห็นสมควรไม่เกิน 3 ปี (3) กาหนดจานวนเงินท่ีศาลเห็นสมควรไม่เกิน
คร้งั ละ 1,000 บาท ซ่ึงจะต้องชาระเมือ่ เด็กนน้ั ก่อเหตุรา้ ยขน้ึ

กรณีเด็กอาศัยอยู่กับบุคคลอ่ืนนอกจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง อาจจะเป็น
เพราะว่าเดก็ นน้ั ไมม่ ีบิดามารดาหรอื ผปู้ กครอง ศาลก็จะเรียกบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่นั้นมาสอบถามว่า
จะยอมรับข้อกาหนดท่ีศาลวางไว้หรือไม่ แต่ถ้าเด็กยังมีบิดามารดาหรือผู้ปกครองอยู่ ศาลจะเรียก
บุคคลอ่ืนท่ีเด็กน้ันอาศัยอยู่ก็ต่อเมื่อศาลเห็นว่าไม่สมควรจะเรียกบิดามารดาหรือผู้ปกครองมา เท่าน้ัน
ถ้าบคุ คลอื่นทเ่ี ดก็ อาศยั อยูย่ อมรบั ขอ้ กาหนดท่ศี าลวางไว้ ศาลจะมีคาสงั่ มอบตวั เด็กให้แกบคุ คลผนู้ น้ั

สาหรับเง่ือนไขที่ศาลจะส่ังบงั คับผรู้ ับข้อกาหนดของศาลใหช้ าระเงนิ เมื่อเด็กก่อเหตุร้าย
ขึ้นภายในเวลาท่ีกาหนดนั้น ศาลไม่จาต้องพิสูจน์ว่าผู้รับข้อกาหนดได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร
แลว้ แต่หรอื ไม่ แตจ่ านวนเงนิ ทีศ่ าลจะมคี าสงั่ บังคับให้ผ้รู บั ข้อกาหนดชาระในเม่ือเด็กก่อเหตุร้ายข้ึนแล้ว
หรอื ไม่ แตจ่ านวนเงนิ ที่ศาลจะมคี าสั่งให้ผรู้ ับข้อกาหนดชาระในเม่ือเด็กก่อเหตุร้ายข้ึนแต่ละคราวนี้ศาล
อาจกาหนดลงจากจานวนที่ศาลกาหนดไว้แต่แรกในการวางข้อกาหนดแก่ผู้รับข้อกาหนดน้ันก็ได้ หรือ
จะไม่ส่ังให้ชาระเลยก็ได้ เป็นอานาจของศาลท่ีจะพิจารณาตามท่ีเห็นสมควร (คาพิพากษาฎีกาท่ี
1510/2515) การขอให้ศาลส่ังให้ผู้รับข้อกาหนดชาระเงินเม่ือเด็กก่อเหตุร้ายขึ้นน้ีต้องขอต่อศาลในคดี
เดิม ไม่ใช่ไปขอให้ศาลที่พิจารณาคดีท่ีเด็กทาผิดข้ึนใหม่ท่ีคาสั่งปรับผู้ท่ีรับข้อกาหนดไปน้ัน (คา
พิพากษาฎีกาท่ี 1872/2492) สาหรับคาสั่งให้ชาระเงินนี้ต้องระบุเวลาให้ชาระในเวลาอันสมควร ถ้า
ไม่ชาระ ศาลบังคับในนคดีที่เดียว โดยสั่งให้ยึดทรัพย์สินทานองบังคับตามสัญญาประกันในประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 คาส่ังให้ชาระเงินเมื่อเด็กก่อเหตุร้ายข้ึนไม่ทาให้คาสั่ง
เดิมน้ันแล้วก็ตาม ข้อกาหนดนั้นยังคงมีผลอยู่จนกว่าจะครบกาหนดเวลาท่ีศาลกาหนดไว้ในคาส่ังหรือ
จนกวา่ ศาลจะสงั่ เปลยี่ นแปลงหรอื มคี าส่ังใหมต่ ามมาตรา 74 วรรคทา้ ย

ประการทีส่ าม เป็นการวางข้อกาหนดเพิ่มเติมจากประการที่สอง โดยให้อานาจศาล
คุมความประพฤติเด็กอีกด้วย โดยศาลต้องแต่งตั้งพนักงานคุมความประพฤติ หรือพนักงานอื่นใดเพื่อ
คมุ ประพฤติเดก็ น้นั ส่วนวธิ ีบงั คับเทือ่ เดก็ กระทาผิดเงือ่ นไขท่กี าหนดเพื่อคุมประพฤติน้ันคงมีแต่เพียงว่า
ศาลอาจถือเปน็ ข้อทีแ่ สดงวา่ พฤตกิ ารณ์เกยี่ วกับคาส่ังทีม่ ใิ ห้ มอบตัวนน้ั เปล่ียนแปลงไป ซึ่งศาลมีอานาจ
เปล่ียนแปลงแก้ไขคาส่ังเดิมหรือคาสั่งใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ตามมาตรา 74 วรรคท้าย
ข้อกาหนดเพ่ือคุมความประพฤติเด็กนั้นเป็นข้อกาหนดบังคับเด็ก มิใช่ข้อกาหนดแก่บิดามารดา
ผู้ปกครอง หรือผู้ท่ีเด็กอาศัยอยู่ จึงไม่มีผลบังคับบุคคลเหล่านี้นอกเหนือไปกว่าท่ีบุคคลเหล่าน้ีจะต้อง
ระวงั ไมใ่ ห้เด็กนั้นก่อเหตุรา้ ยขน้ึ เทา่ นน้ั

ประการที่ส่ี ถ้าศาลไม่เห็นสมควรปล่อยเด็กไปตามข้อ 1 และไม่มีบุคคลที่ศาลจะมี
คาส่ังมอบตัวเด็กให้ไปตามข้อ 2. เพราะไม่มีบิดามารดาหรือผู้ปกครองหรือมีแต่ไม่สามารถดูแลเด็กได้
หรือผู้ท่ีเด็กอาศัยอยู่ไม่ยอมรับข้อกาหนด รวมท้ังเด็กไม่ได้อาศัยอยู่ใดที่จะยอมรับข้อกาหนดดังกล่าว

158 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

แลว้ ได้ ผทู้ ่ีศาลจะมอบตวั เด็กไปใหค้ ือบุคคลหรือองค์กรการอื่นใดที่ยินยอมรับเด็ก และศาลเห็นว่าเป็น
ผู้ที่สมควรดูแลและส่ังสอนเด็กได้โดยกาหนดระยะเวลาให้ตามสมควร การมอบตัวเด็กไปตามนี้ไม่มี
ข้อกาหนดหรือผกู พันอันใดเหมือนดังการมอบตัวเด็กน้ันไปมีอานาจเป็นผู้ปกครองเฉพาะเพ่ือดูแลอบรม
และส่งั สอน รวมตลอกถึงการกาหนดทีอ่ ยู่และการจดั ใหเ้ ด็กมีงานทาตามสามควร

ประการที่ห้า ไมว่ า่ จะเปน็ กรณีตามขอ้ 1,2,3, หรอื 4. แม้เด็กจะมีบิดามารดาหรือ
ผู้ปกครอง หรือผู้ที่เด็กอาศัยอยู่หรือไม่ก็ตาม ถ้าศาลไม่เห็นสมควรดาเนินการตามข้อเหล่าน้ีศาลมี
อานาจใช้วิธีปฏิบัติต่อเด็ก 5 นี้ได้เสมอ คือส่งตัวเด็กน้ันไปยังโรงเรียนหรือสถานฝึกและอบรมตาม
ระยะเวลาทีศ่ าลกาหนดแตไ่ ม่เกินเวลาทีศ่ าลกาหนดแตไ่ ม่เกินเวลาที่เด็กน้นั อายุครบ 18 ปีบรบิ รู ณ์

คาสงั่ ศาลในขอ้ 1. คอื การวา่ กลา่ วตักเตือนแลว้ ปลอ่ ยตัวไป เป็นคาสั่งเด็ดขาด ศาล
ไม่อาจรื้อฟ้ืนเปลี่ยนแปลงแก้ไขคาสั่งนั้นได้ หรือมีคาส่ังใหม่โดยศาลส่ังเอง หรือส่วนได้เสีย พนักงาน
อัยการ บคุ คลหรือองค์การท่ศี าลมอบตวั เดก็ ไปรอ้ งขอขนึ้ มาก็ได้

4. เหตุความสัมพนั ธ์ทางสมรส
คู่สมรสหรือญาติน้ีถือว่ามีความผูกพันกันเป็นพิเศษ เม่ือคู่สมรสหรือญาติกระทาผิดต่อกัน
เกี่ยวกับทรัพย์ กฎหมายได้บัญญัติเหตุหย่อนผ่อยโทษไว้ให้ดังที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 71
บญั ญัติวา่ “ความผิดตามทบี่ ัญญตั ิไว้ในมาตรา 334 ถึงมาตรา 336 วรรคแรกและมาตรา 341 ถึง
มาตรา 364 น้นั ถ้าเปน็ การกระทาตอ่ ภรยิ า หรือภรยิ ากระทาต่อสามี ผ้กู ระทาไมต่ อ้ งรับโทษ”
ความผิดดงั ระบุมานี้ ถ้าเปน็ การกระทาทบ่ี ุพการกระทาต่อผู้สืบสันดานผู้สืบสันดานกระทาต่อ
บุพการี หรือพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทาต่อกัน3 แม้กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอัน
ยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และนอกจากนั้นศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมาย
กาหนดไว้ สาหรบั ความผิดนน้ั เพยี งใดก็ได้

จากบัญญัตใิ นมาตรา 71 พิจารณาไดด้ งั นี้
สาหรับสามีภริยากระทาความผิด ดังท่ีระบุไว้ในมาตราตางๆ นั้น มาตรา 71 วรรคแรก
บญั ญัติวา่ ผูก้ ระทาไม่ตอ้ งรบั โทษ ซึ่งพิจารณาไดด้ ังนี้

ก. สามภี ริยา
ข. ประเภทความผดิ
ค. ผลของการกระทาระหว่างสามีภรยิ า

3 จิตติ ตงิ ศภัทิย,์ ศาสตราจารย,์ คาอธิบายกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพมิ พแ์ สงทองการพิมพ,์ 2513),
หน้า 151.

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 159

ก. สามีภริยา4 สาหรับความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 นี้ต้อง
เป็นสามีภริยาตามความเป็นจริง สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายน้ีจะต้องทาการจดทะเบียนสมรสกัน
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1457 และสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายเก่ากล่าวคือ
ทาการสมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัว ซึ่งมิได้บัญญัติ
ใหจ้ ดทะเบยี นสมรสอย่างเชน่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ข. ประเภทความผิด สาหรับความผิดที่กาหนดไว้ในมาตรา 71 วรรคแรกน้ันเป็น
ความผิดที่เกี่ยวกับทรัพย์ดังท่ีระบุไว้ในมาตรา 334-336 (ความผิดฐานลักทรัพย์ ว่ิงราวทรัพย์)
มาตรา341-348 (ความผิดฐานฉ้อโกง) มาตรา 349/351 (ความผิดฐานลักทรัพย์ ว่ิงราวทรัพย์)
มาตรา 352-356 (ความผิดฐานยกั ยอก) มาตรา 357 (ความผิดฐานรบั ของโจร) มาตรา 358-3612
(ความผิดฐานทาให้เสียทรัพย์) มาตรา 362-364 (ความผิดฐานบุกรุก) ถ้าเป็นความผิดนอกจากที่ได้
ระบุไว้ในมาตราดังกล่าวแล้ว ถ้าสามีภริยากระทาต่อกันมีความและรับโทษด้วย ในเรื่องความผิด
เก่ียวกบั ทรัพยน์ ี้ต้องคานึงถงึ ทรพั ย์น้ันจะตอ้ งเป็นของสามหี รือภริยา หากทรัพย์น้ันเป็นของผู้อื่นแล้วมา
ฝากสามีหรือภริยา และสามีหรือภริยาได้กระทาความผิดเก่ียวกับทรัพย์นั้นจะไม่ได้รับยกเว้นทาตา
มาตรา 71 วรรคแรกแต่อย่างใด และทรัพย์นัน้ ถ้าเป็นของสามหี รือภรยิ าแล้วไม่ว่าจะอยู่ในครอบครอง
ของสามีหรือภริยาหรือไม่ก็ตาม ถ้าสามีหรือภริยากระทาผิดเก่ียวกับทรัพย์ย่อมได้รับยกเว้นโทษตาม
มาตรา 71 วรรคแรกเสมอ เช่น

1. ก. สามีลักสรอ้ ยคอของ ข.ผู้ภริยา ก. มคี วามผิดฐานลักทรัพย์แตไ่ ม่ตอ้ งรับโทษ
2. ข. ภริยานาสร้อยคอของตนไปฝากมารดา ต่อมา ก.ได้ลักสร้อยคอน้ันเป็นของ
ข.ภริยา ก.แมจ้ ะอยูใ่ นครอบครองของผู้อื่นก็ตาม
3. แดงมารดา ข.ได้นาสรอ้ ยคอของตนมาฝาก ข.ไว้ ก.สามี ข.ได้ลักสร้อยคอนั้นไป
ก.แต่ถ้า ก.เขใจว่าสร้อยคอน้ันเป็นของตนมาฝาก ข.ไว้ ก.สามี ข.ได้ลักสร้อยคอนั้นไป ก.แต่ถ้า ก.
เข้าใจว่าสร้อยคอนั้นเป็นของภริยาจึงลักไป ก.อาจได้รับยกเว้นโทษ เพราะสาคัญผิดในข้อเท็จจริงว่า
ทรัพย์เปน็ ของ ข. แตค่ วามจรงิ เปน็ ของผอู้ นื่ มาฝากไว้ (ตามมาตรา 71 วรรคแรกประกอบมาตรา 62
วรรคแรก)
ค. ผลของการกระทาระหว่างสามีภริยา ถ้าสามีหรือภริยาได้กระทาความผิดดังระบุ
ไว้ในมาตราต่างๆ ตามข้อ 8. แล้วสามีหรือภริยานั้นยังมีความผิดอยู่เพียงแต่กฎหมายไม่เอาโทษ
เทา่ น้นั และกรณไี ดร้ ับยกเวน้ โทษจะต้องเป็นความผดิ ดังระบไุ ว้ในมาตรา 71 วรรคแรก

4 พิพฒั น์ จกั รางกูร, อาจารย,์ คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 1, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์กรงุ สยาม การพมิ พ์,
2525), หน้า 124.

160 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

คาถามทา้ ยบท

1. ชายและหญิง อยู่กินเปน็ สามีภริยากัน 10 ปี จนมีบุตร 2 คน วันหนึ่งสามีแอบขโมยทองคาของภริยา
ไปขาย ไดเ้ งนิ เล่นการพนนั จนหมด ชายอา้ งความเปน็ สามภี รยิ าเปน็ เหตุยกเว้นโทษได้หรือไม่อยา่ งไร
2. นายแดงใช้ปืนจ้ีบังคับให้นายดาทาร้ายนายขาว นายดากลัวตายจึงใช้ไม้ตีนายขาวบาดเจ็บ นายดา
อ้างกระทาดว้ ยความจาเป็น เพือ่ ใหต้ นพนั ภยนั ตราย ได้หรอื ไม่
3. การเสพสุรายาเมาจนขาดสติ จะอา้ งเปน็ เหตยุ กเว้นโทษ ได้หรอื ไม่
4. ความอ่อนอายขุ องผ้กู ระทาความผิดเป็นเหตุยกเวน้ โทษอย่างไร
5. สามีภรยิ ากระทาความผิดตอ่ กนั ในฐานความผิดใดบ้างที่ไม่ต้องรับโทษ

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 161

อ้างองิ ประจาบท

จิตติ ติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, คาอธิบายกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสง
ทองการพิมพ,์ 2513), หนา้ 151.

พิพัฒน์ จักรางกูร, อาจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 1, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
กรุงสยาม การพมิ พ์, 2525), หนา้ 124.

หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์, ดร., กฎหมายอาญาภาคท่ัวไป, (กรุงเทพมหานคร :
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2515), หน้า 248.

อุทิศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญา ภาค 1, (พระนคร : ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ
กรมอยั การ, 2525), หน้า 113.

162 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

บทที่ ๙
เหตุลดโทษ

วัตถุประสงค์การเรียนประจาบท

1. อธิบายและวิเคราะห์สาระสําคญั ทางกฎหมายเกยี่ วกบั เหตลุ ดโทษได้
2. อธิบายและวเิ คราะห์เก่ยี วกบั การกระทําโดยบนั ดาลโทสะได้
3. อธิบายและวิเคราะหเ์ กย่ี วกบั เหตุลดโทษอน่ื ได้

ขอบขา่ ยเนื้อหา

1. เหตลุ ดหย่อนโทษเพราะความสมั พันธ์ฉันญาติ
2. เหตลุ ดหยอ่ นโทษเพราะบนั ดาลโทสะ
3. เหตุลดหยอ่ นผ่อนโทษเพราะเหตุบรรเทาโทษ

วธิ ีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจาบท
๑. การบรรยาย
๒. การศึกษาเอกสารประกอบการสอน
๓. ทําแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท

ส่อื การเรยี นการสอน
๑. เอกสารประกอบการสอน
๒. ประมวลกฎหมายอาญา

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 163

การกระทําของผู้กระทําความผิดได้กระทําครบทั้งองค์ประกอบภายนอกและภายใน การ
กระทําน้นั เป็นความผดิ และต้องรับโทษ แตร่ ับโทษน้อยลง เพราะมีเหตุตามกฎหมายลดหย่อนผ่อนโทษ
ซง่ึ มีดังต่อไปนี้

1. ผู้กระทาํ สมารถรู้ผดิ ชอบหรือบังคบั ตนเองไดบ้ ้าง
2. การกระทาํ ท่ีเกนิ สมควรแกเ่ หตุ
3. ผกู้ ระทําความผิดกบั ผู้เสยี หายมีความสมั พนั ธฉ์ นั ญาติ
4. ผ้กู ระทาํ บนั ดาลโทสะ
5. ผูก้ ระทาํ ความผิดอายุเกนิ 14 ปี แตไ่ ม่เกิน 20 ปี
6. มีเหตุบรรเทาโทษ

เหตุลดโทษ และเหตุบรรเทาโทษอ่ืน ๆ แยกพิจารณาไดเ้ ป็น 3 ส่วน คอื
สว่ นท่ี 1 ความสมั พันธ์ทางสมรสหรือญาติ
สว่ นท่ี 2 บันดาลโทสะ
ส่วนที่ 3 กรณีเหตุบรรเทาโทษ

ส่วนท่ี 1
ความสัมพนั ธท์ างสมรสหรือญาติ

ญาติ กรณญี าติแบ่งออกเปน็ 2 กรณี คอื
ก. ผบู้ ุพการกี บั ผสู้ ืบสนั ดาน
ข. พ่กี ับนอ้ งรว่ มบดิ ามารดาเดียว

ก. บุพการีกับผู้สืบสันดาน กรณีบุพการีกับผู้สืบสันดานน้ีควรจะถือความความกล่าวมาแล้ว
ในข้อท่ี 1. “บุพการี”1 หมายถึงญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไป ได้แก่ บิดามารดา ปุูย่าตายาย
ทวด สว่ น “ผ้สู ืบสันดาน” หมายถงึ ผสู้ ืบสายโลหติ โดยตรงลงมา เช่น ลกู หลาน เหลน ลอื้ เป็นตน้
ในกรณีบุตรบุญธรรมน้ันไม่ใช่ผู้สืบสายดลหิตโดยตรงลงมา แม้ว่าประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์
มาตรา 1627 ใหถ้ ือวา่ เป็นผสู้ ืบสนั ดานเหมือกบั บตุ าชอบด้วยกฎหมายก็ตาม บุตรบุญธรรมจึงไม่ได้รับ
ผลตามมาตรา 71 วรรคสอง เช่น ก.บุตรบุญธรรมลักทรัพย์ผู้บุตรบุญธรรม ก.มีความผิดและไม่ได้
ลดหย่อนโทษ เพราะไมต่ อ้ งด้วยบัญญตั ิมาตรา 71 วรรคสอง

ป๎ญหาว่าบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองโดยพฤติการณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา 1627 ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน จะได้รับผลตามมาตรา 71 วรรคสองด้วย หรือไม่
(บุตรนอกกฎหมาย หมายถึงบุตรที่บิดามารดาได้สมรสกันหรือไม่ได้จดทะเบียนรับรองหรือไม่ (บุตร

1 พพิ ฒั น์ จักรางกูร, อาจารย,์ คาอธบิ ายประมวลกฎหมายอาญาภาค 1, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ กรุงสยาม การพิมพ,์
2525), หน้า 87.

164 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

นอกกฎหมาย หมายถึงบุตรท่ีบิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดามิได้จดทะเบียนรับรองบุตร หรือศาลยัง
มไิ ดพ้ ิพากษาใหเ้ ปน็ บตุ ร) สาํ หรบั ป๎ญหาน้ีได้มีคําพิพากษาฎีกาท่ี 303/2497,1526/2497) วินิจฉัยว่า
คําว่าผู้สืบสันดานตามกฎหมายมิได้มีคําพิพากษาจํากัดไว้เป็นประการใดเช่นกัน 1526/2497 วินิจฉัย
ว่า คําว่าสืบสันดาตามมาตรา 71 วรรคสองนี้2 บัญญัติไว้เป็นคุณแก่การกระทําความผิด จึงน่าจะถือ
ว่าบุพการรีหรือ ผสู้ ืบสันดานตามความเปน็ จรงิ ดังน้นั ป๎ญหาดังกล่าวอันยุติว่าบุตรนอกกฎหมายท่ีบิดา
มารดารบั รองโดยพฤติการณแ์ ล้วยอ่ มได้รับผลตามมาตรา 71 วรรคสองดว้ ย

ข. พ่ีกับน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทาต่อกัน ข้อนี้จํากัดเฉพาะพ่ีกับน้องร่วมบิดา
มารดาเดียวกันเท่าน้ัน พ่ีน้องร่วมแต่บิดามารดาเดียวกันไม่อยู่ในความหมายน้ี และพ่ีน้องร่วมบิดา
มารดาเดียวกันถือตามความเปน็ จริงเชน่ เดยี วกับบุพการีหรอื ผู้สืบสันดาน

ผลของการกระทาํ ระหวา่ งญาติ แยกออกพิจารณาได้ 2 กรณี ดังน้ี
1. เปน็ ความผิดอนั ยอมความได้ หมายความว่า ความผิดทบ่ี ุพการีหรือผู้สืบสันดานกระทําต่อ
กัน หรือพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระต่อกันจะเป็นความผิดอาญาแผ่นดินก็ตาม ให้ถือว่าเป็น
ความผิดอันยอมความได้โดยตรงทีเดียว เช่น บุตรลักทรัพย์บิดา ตามหลักแล้วความผิดฐานลักทรัพย์
เปน็ ความผดิ ทางอาญาแผ่นดินซ่ึงยอมความกันไม่ได้ แต่บุตรกระทําต่อบิดามารดา มาตรา 71 วรรค
สองจงึ บญั ญตั ิใหเ้ ป็นความผิดอนั ยอมความกันได้
2. ในกรณีท่ยี อมความกันหรือถอนคําร้องทุกข์ มาตรา 71 วรรคสองก็ให้อํานาจศาลใช้ดุลพ
นิจในการลงโทษ โดยจะลงโทษผู้กระทําความผิดน้อยกว่าท่ีกฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดน้ัน
เพียงใดกไ็ ด้ ทั้งนี้โดยไม่ต้องคํานึงถึงโทษของความผิดน้ันจะมีข้ันต่ําไว้หรือไม่แม้จะมีโทษขั้นตํ่าไว้ศาลก็
ลงโทษตํ่ากว่าของโทษน้นั ได้ แลว้ แต่ศาลจะเหน็ สมควร

ส่วนที่ 2
บนั ดาลโทสะ
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 บัญญัติว่า “ผู้บันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง
ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้น้ันน้อยกว่าที่
กฎหมายกําหนด ไวส้ ําหรบั ความผดิ น้นั เพยี งใดก็ได้”
จากบทบัญญตั มิ าตรา 72 นี้ แยกออกพจิ ารณาได้ 3 ประการ คอื
1. บนั ดาลโทสะ
2. หลักเกณฑ์การกระทาํ ความผดิ เพราะบนั ดาลโทสะ
3. ผลของการกระทําความผิดเพราะบันดาลโทสะ

2 จติ ติ ตงิ ศภัทยิ ์, ศาสตราจารย์, คาอธบิ ายประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์,
2513), หน้า 225.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 165

1. บันดาลโทสะ โทสะเป็นกิเลสอย่างหน่ึงท่ีเกิดขึ้นกับทุกตัวคน เม่ือถูกย่ัวยุจากภายนอก
ยอ่ มจะกระทาํ ใหเ้ กิดโทสะข้ึนมาได้ ซึ่งบางคนก็มากบางคนก็น้อย สุดแท้แต่ว่าบุคคลใดจะมีความอดทน
อดกลั้นแค่ไหน หากบุคคลใดอดกลั้นไม่ไหวย่อมกระทําตอบต่อบุคคลผู้เป็นต้นเหตุยั่วยุให้เกิดโทสะข้ึน
จงึ เหน็ ไดว้ ่าผู้ทถ่ี กู ย่ัวโทสะขนึ้ และกระทําต่อผู้ยั่วยุน้ันไม่ได้มีเจตนาที่จะกระทําต่อผู้นั้นแต่แรกเลย หาก
กระทาํ ตอบเพราะการยั่วยุท่ีมีเหตุภายนอกมาบันดาลให้ควบคุมสติน้อยลงจึงได้กระทําความผิด นับว่า
เป็นภัยแก่ชุมชนน้อยกว่าผู้กระทําอย่างอ่ืน และเหตุที่ต้องกระทําความผิดต่อผู้ย่ัวยุน้ันย่อมถือว่าผู้ยั่วยุ
เป็นผู้มีส่วนในการก่อให้มีการกระทําความผิดข้ึนด้วย ฉะน้ันมาตรา 72 จึงบัญญัติให้อํานาจศาล
ลงโทษแก่ผกู้ ระทาํ เพราะบันดาลโทสะน้อยลงสําหรบั ความผดิ น้นั

2. หลักเกณฑ์การกระทาความผิดเพราะบันดาลโทสะ จากบทบัญญัติมาตรา 72 พอจะ
แยกหลกั เกณฑข์ องการกระทําเพราะบันดาลโทสะได้ 4 ประการ คือ3

ก. ตอ้ งบนั ดาลโทสะ
ข. การบนั ดาลโทสะตอ้ งเกิดขึ้นโดยถกู ข่มเหง
ค. เปน็ การข่มเหงด้วยเหตุอนั ไม่เปน็ ธรรมและรา้ ยแรง
ง. ผนู้ นั้ ไดก้ ระทําความผดิ ตอ่ ผูข้ ม่ เหงในขณะนน้ั

ก. ต้องบันดาลโทสะ หมายถึงผู้กระทําผิดจะต้องถูกยั่วยุจากเหตุภายนอก ทําให้ควบคุมสติ
ไมอ่ ยู่ จงึ ตอ้ งกระทําความผิดตอบไป

ข. การบันดาลโทสะต้องเกิดขึ้นโดยถูกข่มเหง หมายความว่าการข่มเหงน้ันต้องเป็นเหตุ
นํามาซ่ึงความผิด กล่าวคือเป็นมูลเหตุจูงใจให้เกิดการกระทําความผิดขึ้นโดยขาดความควบคุมสติไป
เพราะการข่มเหงนั้น “การข่มเหง” หมายความว่ามีการกระทําของบุคคลผู้ถูกกระทําร้ายต่อผู้กระทํา
ความผดิ ขนึ้ ก่อนอันเปน็ การไมเ่ ห็นธรรมและร้ายแรง

เหตุย่ัวยุทําให้คุมสติไม่ได้อันเป็นบันดาลโทสะนี้ อาจเกิดเพราะคําบอกเล่าก็ได้ ไม่จําเป็นท่ี
ผ้กู ระทําความผดิ จะต้องประสบเหตุการณ์ข่มเหงด้วยตนเอง ถ้าคําบอกเล่าเป็นเหตุให้บันดาลโทสะโดย
แท้จริง และเป็นพฤติการณ์ร้ายแรงพอท่ีคนธรรมดาในลักษณะเช่นน้ันจะเชื่อและบันดาลโทสะข้ึนเป็น
เหตลุ ดโทษได้ เช่น พ่อกินเหล้าอย่กู บั พ. พ.กลับบา้ นไปแล้ว บุตรสาวบอกพ่อว่า พ. หักต้นทุเรียน
แล้วทําอนาจาร กบั เอาสายสร้อยไป พอ่ ไปดเู หน็ ตน้ ทเุ รียนหกั จริง จึงเอาปืนตามไป 10 เส้นก็พบและ
ยิง พ. ตาย เป็นการฆ่าคนโดยเจตนาโดยบันดาลโทสะ (คําพิพากษาฎีกาที่ 41/2478) ภริยาบอก
สามีว่าคนข่มเหงเพ่ิงลงจากเรือน สามีติดตาม 6-7 เส้นก็ทันจึงตีและฟ๎นผู้ตาย เป็นการกระทําโดย
บันดาลโทสะ (คําพิพากษาฎีกาท่ี 863/2502) ถึงแม้คําบอกเล่าไม่ตรงกับความจริงก็ด้วยมาตรา 62
ทย่ี อมให้แกต้ วั ได้

3 หยุด แสงอทุ ัย, ศาสตราจารย์, ดร., กฎหมายอาญาภาคทวั่ ไป (กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515), หน้า 132-
133.

166 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ค. เปน็ การข่มเหงด้วยเหตอุ นั ไมเ่ ป็นธรรมและร้ายแรง ที่ได้กลา่ วไวใ้ นข้อ ข. ว่าการบันดาล
โทสะต้องเกดิ ขึ้นโดยถูกข่มเหงน้นั การข่มเหงจะต้องไม่เป็นธรรมและร้ายแรงเหตุการณ์ท่ีจะถือเป็นการ
ขม่ เหงอันไมเ่ ปน็ ธรรมได้นั้นจะต้องเป็นการกระทําของบุคคลหรือเป็นพฤติการณ์ท่ีบุคคลต้องรับผิดชอบ
และเหตไุ ม่เป็นธรรมน้ี ไม่จาํ เป็นต้องถึงกับเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย เป็นเพียงเหตุการณ์ที่ถูกข่มเหง
ไม่มีสิทธิกระทําได้ ถ้าเป็นอันถือได้ว่าไม่เป็นธรรมแล้วก็เป็นเหตุลดโทษ เพราะบันดา,โทสะได้ เช่น
ภริยาแทงหญิงอ่ืนท่ีกําลังร่วมประเวณีกับสามีตายโดยไม่เจตนา เป็นบันดาลโทสะ แม้หญิงอ่ืนนั้นจะ
ไม่ได้กระทําละเมิดกฎหมายก็ตาม แต่ถือได้ว่าไม่เป็นธรรม (คําพิพากษาฎีกาท่ี 376/2462) การข่ม
เหงโดยไมเ่ ป็นธรรมนั้นจะต้องร้ายแรงเพียงแต่ไม่เป็นธรรมแต่ไม่ร้ายแรงถึงขนาดท่ีจะเกิดโทสะ จะอ้าง
เหตุบันดาลโทสะไม่ได้ การพิจารณาว่าร้ายแรงหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงซ่ึงจะได้มาจากพยานหลักฐาน
และพฤติการณ์ท่ีปรากฏในสํานวน นอกจากน้ีจะต้องเอาความรู้ของบุคคลในฐานะเดียวกันนั้นมา
เปรียบเทียบว่าถ้าถูกข่มเหงนั้นบคุ คลธรรมดาจะรู้สึกร้ายแรงหรือไม่ และต้องพิจารณาตามข้อเท็จจรอง
หรือพฤติการณ์ที่ถูกข่มเหงเปรียบเทียบกับความผิดที่อ้างว่ากระทําบันดาลโทสะกระทําลงนั้นว่าด้วย
ข้อเท็จจริงหรอื พฤตกิ ารณเ์ ช่นเปน็ การเพียงพอหรอื ไม่ท่จี ะเช่ือถือว่าเป็นการถูกข่มเหงร้ายแรงถึงขนาดที่
การกระทําความผิดเช่นนั้นลงไป ถ้าฟ๎งว่าร้ายแรงถึงขนาดน้ันอ้างบันดาลโทสะได้ ถ้าไม่ร้ายแรงเพียง
พอทีจ่ ะกระทําลงไปถึงขนาดนน้ั ก็ถอื วา่ ไม่เป็นบนั ดาลโทสะ

ตัวอย่างคาพพิ ากษาฎีกาทถี่ อื วา่ เป็นการขม่ เหงอยา่ งรา้ ยแรงด้วยเหตอุ ันไม่เป็นธรรม
คําพิพากษาฎีกาที่ 5/2500 ตั้งใจจับชู้ของภริยาซ่ึงได้จดทะเบียนสมรสกัน พอไปถึงบ้าน
ภริยาพบชูออกมาจากห้อง จึงใช้ปืนยิงชู้ตาย ดังน้ันไม่เป็นการปูองกันแต่เป็นการกระทําโดยบันดาล
โทสะ
คําพพิ ากษาฎกี าท่ี 249/2515 จาํ เลยเหน็ ผ้ตู ายกาํ ลงั ชําเราภริยาจําเลยในห้องนอน แม้ภริยา
จําเลยจะมิใช่ภริยาโดยทช่ี อบดว้ ยกฎหมายแตก่ ็อยู่กนิ กนั มา 13 ปี และเกิดบตุ รด้วยกัน 6 คนจําเลย
ย่อมมีความรักและหวงแหน การทีจ่ ําเลยใช้มีดพบั เล็กท่หี ามาไดใ้ นทนั ทที นั ใดแทงผตู้ าย 2 ที และแทง
ภรยิ า 1 ที ถือว่าจาํ เลยกระทาํ ความผดิ โดยบนั ดาลโทสะ

ตัวอย่างคาพิพากษาฎกี าทไ่ี มถ่ ือว่าเปน็ การขม่ เหงอยา่ งร้ายแรงดว้ ยเหตไุ ม่เป็นธรรม
คําพิพากษาฎีกาท่ี 1603/2512 เมื่อพฤติการณ์เกิดขึ้นเป็นกรณีวิวาทสมัครใจต่อสู้ทําร้ายซ่ึง
กันและกัน จําเลยจะยกข้อต่อสู้ว่าที่จําเลยกระทําไปนั้นมีลักษณะเป็นการปูองกันได้ไม่และจําเลย
จะตอ้ งอ้างว่าการกระทําไปด้วยบนั ดาลโทสะกไ็ ม่ได้เพราะจําเลยสมัครใจต่อสู้มาตั้งแต่แรกจําเลยมิได้ถูก
ขม่ เหงอยา่ งรา้ ยแรงดว้ ยเหตอุ ันไมเ่ ป็นธรรมกอ่ นแลว้ จําเลยจงึ ไดท้ าํ รา้ ยผ้ตู าย
คําพิพากษาฎีกาท่ี 317/2520 โจทก์ต่อว่าจําเลยมองหน้าทําไม เป็นตํารวจหรือไม่ไม่สําคัญ
จาํ เลยกช็ กั ปืนยงิ โจทก์ คาํ พูดเชน่ นร้ี ะคายเคืองอยู่บา้ ง แต่ไมถ่ งึ ข่มเหงอย่างรา้ ยแรงและไม่เปน็ ธรรม

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 167

ง. ผนู้ ้ันได้กระทาความผดิ ต่อผ้ขู ่มเหงในขณะนั้น
1. ไดก้ ระทําผดิ ตอ่ ผขู้ ่มเหง การอ้างว่าได้กระทําโดยบันดาลโทสะน้ันผู้กระทําจะต้อง

กระทาํ ความผิดต่อผู้ทม่ี าขม่ เหงโดยตรง เชน่ แดงใชไ้ มต้ ศี ีรษะดาํ ดาํ จึงใช้มดี แทงแดงตาย ดังน้ีอ้างว่า
กระทําความผิดเพราะบันดาลโทสะได้ แต่ถ้าแทนท่ีดําจะใช้มีดแทงไปที่แดง กลับแทงไปที่เขียวบุตร
ของแดง ดาํ จะอ้างว่าบนั ดาลโทสะไมไ่ ด้ เพราะว่าดาํ มไิ ด้กระทําตอ่ ผูข้ ่มเหงโดยตรง ในทางตรงกันข้าม
ถา้ เป็นการข่มเหงแลว้ จะได้ขม่ เหงต่อผู้กระทําความผิดโดยตรงหรือผู้ท่ีมีความสัมพันธ์บางประการกับตัว
ผู้กระทําความผิด ก็พอจะถือได้ว่าการข่มเหงถึงผู้กระทาํ ความผิดด้วย เชน่

1) ข่มเหงบดิ า บุตรอ้างบนั ดาลโทสะได้
2) ข่มเหงบุตร บดิ าอา้ งบันดาลโทสะได้
3) ข่มเหงพี่ น้องอา้ งบันดาลโทสะได้
4) ข่มเหงนา้ หลานอ้างบันดาลโทสะได้
5) ขม่ เหงพอ่ ตา ลกู เขยอา้ งบนั ดาลโทสะได้
6) ขม่ เหงภรรยิ า สามีอ้างบันดาลโทสะได้
สรุป การกระทําความผิดน้ันจะต้องกระทําต่อผู้ข่มเหง จะไปกระทําต่อบุคคลอื่น แม้บุคคล
อน่ื นน้ั จะมีความสมั พนั ธ์ใกล้ชิดกับผถู้ ูกขม่ เหงมากแค่ไหนก็ตามนั้นไม่ได้ ซ่ึงต่างกับการข่มเหงจะข่มเหง
แก่ตวั ผกู้ ระทาํ ผดิ เอง หรอื อาจข่มเหงผู้ใกลช้ ดิ กับผู้กระทําความผดิ กไ็ ด้

2. ได้กระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะน้ัน คําว่า “ในขณะน้ัน” ความหมายว่า
ในขณะทผี่ ู้กระทาํ ความผิดบันดาลโทสะ มิใช่ขณะท่ีถูกข่มเหง เพราะในขณะท่ีถูกข่มเหงถ้าภัยท่ีข่มเหง
ยังไม่สิ้นสุดลงผู้น้ันกระทําตอบต่อผู้ท่ีข่มเหงการกระทําก็อาจเป็นการปูองกันสิทธิเ พื่อให้พ้นภัยน้ันตาม
มาตรา 68 แต่ถ้าภัยน้ันผ่านไปในระยะพอสมควรซ่ึงมีเวลาตรึกตรองว่าจะกระทําตอบหรือไม่ ก็อาจ
เป็นการกระทําโดยไตร่ตรองเป็นเหตุให้ได้รับโทษหนักขึ้นมาตรา 289(4) กล่าวคือ คําว่า “ในขณะ
น้ัน” จะต้องกระทําติดต่อเก่ียวเนื่องใกล้ชิดกับบันดาลโทสะไม่ขาดระยะ (ดูคําพิพากษาฎีกาที่
12603/2513) ถา้ ไมเ่ กี่ยวเนอ่ื งตดิ ตอ่ กันและได้กระทําความผิด จะอ้างบันดาลโทสะไม่ได้ เช่น ก. ใช้
มดี แทง ข. กลับไปบ้านต่อมา ก. จึงเรียก ข. เพ่ือปรับความเข้าใจโดยไม่มีการท้าทายแต่อย่างใด ข้ัน
แรก ข. ไม่ลงเรือนไป แต่ครั้นมาส่องกระจกดูบาดแผลแล้วเห็นปากแหว่งจึงพูดว่าปากกูแหว่ง
หมดแลว้ และฉวยมดี ลงไลฟ่ ๎น ก. ตาย ดังนี้วินิจฉยั ว่ากรณีไม่เข้าหลักบันดาลโทสะเพราะไม่ใช่กระทํา
ความผิดในขณะนั้น การทาํ รา้ ยกนั คร้งั แรกไดย้ ตุ ิขาดตอนไปแลว้ เหตุทีม่ าร้าย ก. ก็เพราะส่องกระจก
เห็นปากแหว่งจึงโกรธ ซึ่งการกระทําตอนนี้เป็นการกระทําโดยความผิดของตนเอง ไม่มีใครข่มเหงแล้ว
(คําพิพากษาฎีกาท่ี 147/2483)

ตัวอย่างคาพิพากษาฎีกาเก่ียวกับการกระทาของจาเลยอันเป็นการเก่ียวเน่ืองติดต่อใกล้ชิด
กันกับการกระทาเพราะบนั ดาลโทสะ ยงั ไม่ขาดระยะขาดตอนกัน

168 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

1. คาํ พพิ ากษาฎีกาท่ี 35/2470 ผู้ตายเป็นคนพาลเกกมะเหลกสะพายดาบข้ึนกอดปล้ําภริยา
บนเรือน จําเลยมาพบแต่ไม่กล้าขัดขวาง จึงไปยืมปืนเพื่อนบ้านมาเพ่ือต่อสู้ เมื่อกลับมาผู้ตายไปแล้ว
ภรยิ าจาํ เลยบอกวา่ ผตู้ ายกอดปลา้ํ และกระทําอานาจาร และเพิ่งลงไปเม่ือตะก้ีนี้เอง จําเลยโกรธถือปืน
ตามไปยิงผู้ตายทันที ดังนี้วินิจฉัยว่าการกระทําของจําเลยใกล้ชิดติดต่อกันเลยถูกผู้ตายกดข่ีข่มเหง
ร้ายแรงดว้ ยเหตอุ ันไมเ่ ป็นธรรม เปน็ การย่ัวโทสะไมใ่ ช่พยาบาท

2. คําพิพากษาฎีกาที่ 80/2503 ผู้ตายให้เด็กไปเรียกจําเลยมาแล้วทวงเงินจําเลย จําเลย
เถียงว่าใช้ให้แล้ว จึงเกิดเถียงกัน ผู้ตายกระชากคอเสื้อจําเลย จําเลยสะบัดหลุดวิ่งหนีข้ึนสะพานไป
แลว้ ผตู้ ายยังถอื ไมโ้ ยกสบู นา้ํ ไล่ตามจาํ เลยขน้ึ ไปบนสะพานอีก จําเลยฮึดสู้จึงชักมีดออกมา ผู้ตายถอย
พลาดตกนํ้า จําเลยก็กระโดดตามลงไปทันที แทงผู้ตาย 1 ที ถูกชายโครงแล้วเลิกรากันไป ดังนี้ถือ
ว่าจําเลยกระทําไปเพราะถูกผู้ตายกดข่ีข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมและจําเลยได้แทง
ผ้ตู ายโดยเหตุบันดาลโทสะในเวลากระช้ันชิดติดต่อกันไป เรียกว่าเป็นการกระทํา โดยบันดาลโทสะใน
ขณะน้ัน

3. คาํ พพิ ากษาฎีกาที่ 1083/2508 จําเลยเป็นลูกเขยได้เอาปืนของผู้ตาย ซ่ึงเป็นพ่อตามายิง
เล่น ผู้ตายต่อว่า จําเลยโต้เถียง แล้วผู้ตายยิงปืนมาจากในเรือน 2 นัด นัดหลังไปโดนเสาไม้ซึ่ง
จําเลยแอบอยู่ สะเก็ดไปถูกคิ้วจาํ เลยแตก จาํ เลยไปหยิบปืนในครัวมายิงผู้ตายขณะผู้ตายหันหลังลงบัน
ใดเรือน ดังน่ีนับได้ว่าจําเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นเหตุให้จําเลยบันดาลโทสะ
และการกระทาํ ของจาํ เลยเปน็ การกระทาํ ต่อเนอ่ื งมาจากท่จี าํ เลยถูกยั่วยุโทสะ

3. ผลของการกระทาความผิดเพราะบันดาลโทสะ การกระทําความผิดเพราะบันดาลโทสะ
ตามมาตรา 72 กฎหมายบัญญัติว่า4 ศาลจะลงโทษผู้กระทําน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับ
ความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ เหตุนี้ศาลจึงว่างกําหนดโทษท่ีจะลงแก่ผู้กระทําได้โดยไม่ต้องคํานึงถึงโทษขั้น
ตํ่าท่ีระบุไว้ในมาตราท่ีบัญญัติไว้ในมาตราท่ีบัญญัติความผิด ศาลอาจจําคุกเพียง 2 ปี ในกรณีฆ่าคน
ตายโดยเจตนาเพราะบันดาลโทสะก็ได้ (คาํ พพิ ากษาฎกี าที่ 1083/2508)

ตวั อยา่ งเก่ยี วกบั การกระทาความผิดเป็นเหตุบันดาลโทสะหรอื ไม่ ดงั ตอ่ ไปนี้
คําพิพากษาฎีกาที่ 285/2460 จําเลยปลูกฝิน่ สบู เจ้าของร้ายไม่ขายเพราะโกรธจําเลย จึงต่อ
วา่ กนั เจ้าของร้านฝิ่นถอื ดาบทา้ ใหจ้ าํ เลยฟ๎น มีผู้ห้ามและแย่งดาบไป แต่ไม่ฟ๎นกลับเอาสามง่ามมาถือ
และทา้ ทายจาํ เลยอีก จาํ เลยป๎ดสามงา่ มแลว้ ฟ๎น ได้รบั อันตรายสาหัสตัดสินว่า จําเลยกระทําลงเพราะ
ถูกย่ัวยโุ ทสะ

คําพิพากษาฎีกาที่ 301-302/2460 ก. ล้อมรั้วลุกลํ้าทางสาธารณะจนถูกฟูองและแพ้ความ
และเจ้าพนักงานศาลได้ไปป๎กหลักเขตเพ่ือมิให้รุกอีก ก. ไม่เชื่อฟ๎งกลับไปป๎กอีก 3 คร้ัง จําเลยกับ
พวกก็ไปถอนอีก จึงเกิดโต้เถียงทะเลาะด่าว่ากัน ก. เอาหลักป๎กลงอีก จําเลยกับพวกบันดาลโทสะ

4 พพิ ัฒน์ จกั รางกรู , อาจารย,์ คาอธบิ ายประมวลกฎหมายอาญาภาค 1, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์กรงุ สยาม การพมิ พ์,
2525), หน้า 35.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 169

ขึ้นมาจึงทําร้าย ก. กับพวก ดังวินิจฉัยว่า ก. กับพวกก่อความเดือดร้อนแก่พวกจําเลยไม่หยุดหย่อน
เป็นที่เดือดร้อนแก่จาํ เลยและพวกท่อี ยู่ทางนน้ั พอถือได้วา่ จําเลยกระทําลงไปเพราะบนั ดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 818/2461 ผู้ตายจะไปพังคันนาที่จําเลยเช่าอยู่ จําเลยห้ามปราม ผู้ตาย
พูดเชิงวิวาทแล้วได้เกิดต่อว่ากัน ผู้ตายพูดว่า “สูสร้างมากับเรา จงตายกับเรา” ขณะพูดได้ยกจอบ
จากบ่า จําเลยจึงเอามีดฟ๎นถูกเส้นโลหิตท่ีคอขาดใจตายทันที วินิจฉัยว่าจําเลยการทําผิดเพราะถูกย่ัว
ขณะยกจอบจากบา่ ทําใหจ้ ําเลยเขา้ ใจจะทําร้ายเอากเ็ ป็นได้ การกระทําของจําเลยจึงมีความผิดเพียงฆ่า
คนตายโดยไม่เจตนาเพราะบันดาลโทสะ

คาํ พพิ ากษาฎีกาท่ี 305/2462 ก. เมาสรุ าไปท้าจาํ เลย จําเลยออกไปรับคําแต่ยังไม่ได้ทําร้าย
ข. จําเลยจึงออกไปถามว่าอะไรกัน ทันใดนั้น ก. ก็เอาไม้ตี ข. ต่อจากน้ันก็ชุลมุนทําร้ายกัน ก. มีด
บาดแผลสาหัส ตดั สินว่าจําเลยกระทําเพราะถกู ยัว่ โทสะ

คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 441/2462 จําเลยผู้ใหญ่บ้าน ผูเ้ สียหายยว่ั ว่า “เตะหน้าผใู้ หญ่บ้านจะเสีย
คา่ ปรับเท่าไหร่” แล้วจําเลยจะเตะผู้เสียหายมีคนห้ามก็หนีไป ต่อมาราวอีกคร่ึงชั่วโมงจากถูกยั่ว จําเลย
ไล่ตามยิงผเู้ สียหาย ดังน้ี กรณกี ารกระทาํ ไม่ใชบ่ นั ดาลโทสะ

คาํ พพิ ากษาฎีกาที่ 74/2467 ผ้ตู ายกลับจาํ เลยทา้ ทายวิวาทตอ่ ยกัน ผตู้ ายตอ่ ยจาํ เลย จําเลย
ต่อยตอบ ผู้ตายล้มลง มีผู้เข้ากลั้นกลางห้ามไว้ แต่จําเลยยังเตะผู้ตายหน่ึงที่ ถูกลูกอัณฑะถึงตาย
ดงั น้วี ินิจฉัยวา่ การกระทําเกดิ จากการววิ าท ไม่ใชก่ รณีปูองกัน แตจ่ าํ เลยทําเพราะถูกย่ัวยโุ ทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 212/2467 ผู้ตายลอบทําชู้กับภริยา จําเลยกลับจากธุระมาพบขณะน้ัน
กําลังเปิดมุ้งหนีออกมาจากมุ้งภริยา จําเลยเอาขวานไล่ฟ๎นถึงตาย ดังน้ีเป็นการกระทําเพราะบันดาล
โทสะ

คําพิพากษาฎีกาที่ 274/2567 ผู้ตายจุดกองฟาง จําเลยกับพวกเห็นเข้าพากันว่ิงไล่ตามทันที
แล้วช่วยกันฟ๎นล้มลงแล้วช่วยกันฟ๎นซ้ําอีกคนละหลายทีจนผู้ตายถึงตาย ดังนี้วินิจฉัยว่า ในตอนแรก
จําเลยกับพวกกระทําเป็นการปูองกันตัวและทรัพย์ แต่เม่ือตายล้มลงแล้วยังฟ๎นซ้ําอีกจึงไม่ใช่ปูองกัน
จาํ เลยย่อมมคี วามผดิ ฐานฆา่ คนตายโดยเจตนา แต่กระทําเพราะบนั ดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 271/2468 จําเลยขอเงินผู้ตายที่ร้านกาแฟ ผู้ตายว่ามีก็ไม่ให้แล้วตบหน้า
จําเลย 1 ที จําเลยว่าตบหน้าก็ไม่โกรธถือว่าเป็นพี่ แล้วจําเลยกับผู้ตายก็เดินออกจากร้านกาแฟไป
ประมาณ 2 เส้น จําเลยก็แทงผู้ตายถึงตาย ดังน้ีจําเลยไม่ได้ทําร้ายผู้ตายเพราะถูกย่ัวโทสะเพราะ
ผตู้ ายตบหน้าจาํ เลยขาดตอนไปแลว้ ไมไ่ ดเ้ ป็นเหตุต่อเองกัน จึงอ้างบันดาลโทสะไมไ่ ด้

คําพิพากษาฎีกาท่ี 35/2470 ก. ไปแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้านว่า จําเลยกับ ข. วางเพลิงเผา
เรือน ค. ผู้ใหญ่บ้านตีเกราะประชุม จําเลยกับ ข. ไปประชุมด้วย ผู้ใหญ่จึงแจ้งให้ทราบว่า ก. หา

170 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ว่าวางเพลิง จาํ เลยจึงตรงเข้าทําร้าย ก. ดังนี้จะอ้างเหตุบันดาลโทสะไม่ได้เพราะดารท่ี ก. ไปแจ้งน้ัน
เป็นการกระทําท่ีชอบด้วยกฎหมาย จะถือว่าเป็นการถูกกดข่ีข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
ไม่ได้

คําพิพากษาฎีกาท่ี 686/2470 ผู้ตายเอาอิฐหรือหินขว้างจําเลย 2 ครั้ง ถูกจําเลยก้อนหน่ึง
จําเลยจึงใช้ปืนยิงผู้ตายทางข้างหลังซ่ึงแสดงว่ายิงผู้ตายขณะกําลังหนี การกระทําจึงไม่เป็นการปูองกัน
แต่เป็นการฆา่ เพราะบันดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 770/2470 จําเลยยืนดูคนวิวาทกัน ผู้ตายเอามีดแทงจําเลยถูกหน้าอก
และพวกผู้ตายชกปากจําเลยล้มลง จําเลยเอามีดเสือกไปถูกผู้ตาย 1 ที ผู้ตายหันหลังจะวิ่งหนี
จาํ เลยเอามดี แทงถกู ที่หลังอีก 1 ท่ี แล้ววิ่งไล่ผู้ตายไปอีก การกระทําของจําเลยจึงไม่เป็นการปูองกัน
เพราะแทงครง้ั ที่ 2 เมอื่ ผตู้ ายผละหนีแลว้ แตก่ ารกระทาํ เพราะย่ัวโทสะและเปน็ เหตุควรรอการลงโทษ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 705/2471 จําเลยวิวาทกับผู้ตาย มีผู้ห้ามและจับแยกจนเลิกกันไปแล้ว
จําเลยสะบดั หลุดวิ่งมาแทงผู้ตาย ไมเ่ รยี กว่าบนั ดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 818/2474 ผู้ตายด่าจําเลยว่าอ้ายห่าเน่ืองจากการโต้เถียง แล้วจําเลยใช้
ขวานของผู้ตายตีผู้ตายล้มลงขาดใจตาย ดังนี้ผู้ตายด่าดังกล่าวยังไม่พอฟ๎งว่าจําเลยถูกกดขี่ข่มเหงอย่าง
รา้ ยแรงดว้ ยเหตไุ ม่เป็นธรราอนั ถือว่าเปน็ การบันดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาที่ 130/2475 ผู้ตายเป็นนักเลงพาลเกเรชอบกดขี่ข่มเหง จําเลยมีความ
ประพฤติดี ถูกผู้ตายกดข่ีข่มเหงมาแล้ว 2 ครั้ง คร้ังแรกผู้ตายให้ซื้อสุราเล้ียง จําเลยบอกไม่มีเงิน
ผู้ตายตบหนา้ จําเลยก็ว่ิงหนี อีกคร้ังหนึง่ ผตู้ ายใหซ้ ่ือสุราเลย้ี ง จําเลยซอ้ื เลย้ี ง 1 บาท ผู้ตายจะเอาเงิน
ซื้อฝ่ินอีก จําเลยไม่มีให้ ผู้ตายก็ตีและแทงสลบ ในวันเกิดเหตุพบกันที่ร้านฝ่ิน ผู้ตายให้จําเลยซื้อฝิ่น
จําเลยตอบว่าไม่มีเงนิ ผตู้ ายพดู ว่าเดี๋ยวฟ๎นหวั แลว้ หยิบมีดตดั หัวอย่ทู ี่ข้างตวั จําเลยแย่งได้แลว้ ฟน๎ ศีรษะ 1
ที วิ่งหนีไปการกระทําของจําเลยไม่เป็นการปูองกันเพราะขณะหยิบมีดจําเลยมีโอกาสหนีได้ และ
ภายหลงั แย่งมีดได้แล้วก็ปรากฏว่าผู้ตายแสดงกิริยาท่ีจะทําร้ายต่อไป การกระทําของจําเลยจึงเป็นการ
บนั ดาลโทสะ

คาํ พิพากษาฎกี าที่ 165/2475 ผูต้ ายพดู กบั จาํ เลยวา่ ภริยาจะมคี รรภก์ บั ผู้ตาย ลูกในท้องก็เป็น
ลูกของผู้ตาย จําเลยหุนหันขึ้นมาอดโทสะไว้ไม่ได้จึงเอามีดฟ๎นถูกศีรษะ 1 ที ผู้ตายถึงแก่ความตาย
เปน็ การฆา่ โดยบนั ดาลโทสะ

คําพิพากษาฎกี าที่ 529/2475 ผูต้ ายเป็นผู้ใหญ่บา้ น จําเลยเป็นลกู บา้ น บ้านเกิดเหตุทะเลาะ
ห้มุ เถยี งกันเร่อื งผ้ตู ายว่าจําเลยลักทรัพย์ วนั เกิดเหตุผู้ตายน่ังอยู่ในร้านขายของ จําเลยไปซื้อน้ํามันโดย
ถือขวดไปผู้ตายผลุนผลันไล่ดึงแขนให้จําเลยออกไปโดยไม่พูดจาว่าอย่างไร จําเลยแทงผู้ตาย 2 ที
แลว้ ว่ิงหนไี ป ดงั น้จี าํ เลยฆา่ ผูต้ ายเพราะย่ัวโทสะ

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 171

คําพิพากษาฎีกาที่ 201/2476 จําเลยกับผู้ตายไปซ้ือไก่ที่บ้าน ข. แล้วนอนลง ผู้ตายว่าเสีย
กิริยาแล้วตบหน้าจําเลย จําเลยกลับท่ีพัก ผู้ตายกลับมาและร้องด่ามาด้วยแล้วก็ขึ้นไปนอนขณะน้ัน
จาํ เลยหยิบขวานข้ึนไปฟน๎ ผตู้ าย จําเลยฆา่ ผตู้ ายโดยโทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 260/2476 คืนเกิดเหตุผู้ตายเมาสุราเข้าไปในโรงขายของจําเลย แสดง
กิริยาเอะอะและทําลายขวดนํ้าหวานแตกเสียงโครมคราม ภริยาจําเลยเข้าไปจับไม้ที่ผู้ตายถือ ผู้ตาย
กระซากหลุด ภริยาจําเลยล้มลง จําเลยถือมีดออกมาจากร้านข้างในโรงจึงฟ๎นผู้ตายท่ีนอนโรง 1 ที
อีก 4 วันก็ตาย วินิจฉัยว่าผู้ตายเข้าไปในโรงเวลาค่ําคืน จําเลยตกใจเห็นแย่งจับไม้กัน จําเลยฟ๎น
ผู้ตายหน่ึงที ในเวลากะทันหัน ยากท่จี ะยบั ย้ังใจได้การกระทาํ ของจําเลยจึงเปน็ การบันดาลโทสะเพราะ
ถกู ข่มเหงอย่างรา้ ยแรงด้วยเหตุอันไมเ่ ป็นธรรม แตก่ ารกระทําไมเ่ ป็นการปอู งกันเพราะฟ๎นนอกโรง

คําพิพากษาฎีกาท่ี 681/2476 ผู้ตายเป็นจําเลยและโกรธจําเลยที่ยืมข้าวไม่ให้ ได้เมาสุรามา
ต่อว่าจําเลย เอาขวานและก้อนอิฐขว้างจําเลยแต่ไม่ถูก แล้วหยับไม้หลาวว่ิงตามจําเลยไปทําร้ายเลย
แล้วเอาไม้นั้นตีจําเลย 2 ที จําเลยแย่งไม้ได้เอามีดพกแทงไป 1 ทีผู้ตายตาย จําเลยผิดฆ่าคนตายโดย
ไม่เจตนาและโดยบนั ดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาที่ 819/2476 ผู้ตายกับพวกมากินเลี้ยงสุราท่ีบ้านบิดาจําเลย บิดาจําเลยได้
ตอ้ นรบั เปน็ อยา่ งดี พอกินไปไดพ้ กั หน่งึ พวกผู้ตายคนหนงึ่ ไดแ้ ทงบิดาจําเลยถูกท่ีแก้ม จําเลยพูดข้ึนว่า
คนแทงพอ่ เอาให้ตาย พวกผูต้ ายวงิ่ หนี จาํ เลยทั้ง 3 ว่ิงไล่ เม่ือทันก็ใช้ไม้ตีฟ๎นแทงผู้ตายถึงตาย ดังน้ี
การกระทําของจําเลยเปน็ การฆา่ แตก่ ารกระทําเพราะบนั ดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 249/2477 ผู้ตายเป็นชู้กับภริยาจําเลยมานานแล้ว วันเกิดเหตุจําเลยไม่
อยู่ ผู้ตายไปร่วมประเวณีกับภริยาจําเลย แล้วออกมานั่งคุยกันอยู่หน้าห้อง จําเลยกลับมาพบ ผู้ตาย
เดินเข้าไปเอาผ้าเช็ดหน้าที่ลืมไว้ในห้องออกมาแล้วรีบลงเรือนไป จําเลยหยิบมีดได้ไล่ตามทันห่างเรื่อง
1 เส้น ผตู้ ายหันมาชก จําเลยโดเขา้ ปลํ้า ผตู้ ายถกู แทงที่ซอกคอถงึ ตาย เปน็ การฆา่ โดยบันดาลโทสะ

คาํ พิพากษาฎกี าที่ 241/2478 จําเลย ผู้ตาย และพวก เลี้ยงสุรากันที่บ้านจําเลย ผู้ตายลง
เรอื นไปกอ่ นบตุ รสาวจําเลยมาบอกว่าผู้ตายเอาสร้อยคอจับนมและยังหักต้นทุเรียนด้วย จําเลยโกรธถือ
ปืนลูกซองตามไปประมาณ 10 เส้น พบผู้ตายเดินมา จําเลยยิงผู้ตายล้มลงแล้วยิงซ้ําอีก ดังนี้จําเลย
ไม่ผิดฐานฆ่าคนตายด้วยความพยาบาท แต่จําเลยกระทําไปเพราะบันดาลโทสะเพราะถูกกดข่ีข่มเหง
อย่างร้ายแรงดว้ ยเหตุไม่เปน็ ธรรม และจําเลยกระทาํ ไปในเวลาต่อเน่อื งกับที่จําเลยโกรธ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 799/2481 จําเลยแกว่งมีดไล่คนท่ีทําร้ายตนเข้าไปในที่ชุมชน มีดไปถูก
คนน้นั เข้าบาดเจบ็ สาหัส ได้ช่ือว่าจําเลยกระทําโดยเจตนา มีความผิดฐานทําร้ายร่างกาย จะยกข้อยั่ว
โทสะขึ้นอา้ งไมไ่ ด้

172 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

คําพิพากษาฎีกาท่ี 985/2482 ผู้เสียหายด่าจําเลยผู้เป็นสามีถึงบิดามารดา ด่าแล้วด่าอีก
จําเลยอดโทสะไม่ได้จึงทําร้ายผู้เสียหาย ดังนี้ถือได้ว่าจําเลยถูกผู้เสียหายข่มเหงโดยไม่เป็นธรรม เป็น
การบันดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาที่ 276/2482, 101/2423 จําเลยแอบซุ่มดูเห็นผู้ตายกําลังทําชู้กับภริยา
จําเลยจึงไล่ทําร้ายภริยาและผู้ตาย และได้ฆ่าผู้ตายตาย ดังนี้ไม่เป็นการปูองกัน แต่การกระทําของ
จาํ เลยเปน็ การบนั ดาลโทสะ

คาํ พิพากษาฎีกาท่ี 193/2485 และท่ี 295/2495 ผู้ตายได้ด่าจําเลยว่าเป็นสัตว์เห็นหมา ซึ่ง
เป็นการหม่นิ ประมาทซง่ึ หนา้ ทปี่ ระตูหน้าบา้ นจําเลย จําเลยบันดาลโทสะข้ึนมาจึงทําร้ายร่างกายเอาใน
ทันใดน้ัน ผู้ตายถึงตาย ดังน้ีเป็นการย่ัวโทสะเพราะเหตุการณ์ด่าซ่ึงหน้าเป็นการร้ายแรงแก่จําเลย
และผูต้ ายมาด่าจาํ เลยโดยไม่เป็นธรรม

คาํ พพิ ากษาฎกี าท่ี 689/2487 ผู้เสียหายไล่เตะคนอ่ืน แต่เตะไปโดนจําเลย จําเลยจึงฟ๎นเอา
สาหสั ดงั นีจ้ ําเลยกระทาํ เพราะถูกยั่วโทสะ

คําพิพากษาฎีกาที่ 22/2492 จําเลยติดตามไปพบภริยาอยู่กับผู้ตาย ภริยายอมกลับไปกับ
จําเลยแลว้ ผตู้ ายถอื อาวุธตามไปและพูดว่าจะฟ๎นจําเลย จําเลยเล่ียงเข้าบ้านผู้อ่ืน ผู้ตายตามเข้าไปทวง
หน้ี จําเลยใช้ให้แล้วผู้ตายยังไม่กลับ ทําให้ภริยาจําเลยหลบไป การท่ีผู้ตายตามไปน้ันติดตามเป็นนัย
จาํ เลยไปตามภริยาไมพบจงึ กลับมาทาํ รา้ ยผู้ตาย ดงั นีถ้ อื วา่ ทาํ โดยถกู โทสะ

คาํ พพิ ากษาฎกี าที่ 1091/2492 ผู้ตายหาว่าจําเลยลักเสื้อ จําเลยว่าไม่ได้ลัก ผู้ตายยัง
กล่าวหาวา่ จําเลยลัก และกลา่ วซ้ําดว้ ยเสียงดงั มีผู้ไดย้ ินได้ฟ๎งหลายคน จําเลยโกรธจึงใช้มีดท่ีถืออยู่แทง
ผตู้ าย เปน็ การกระทาํ โดยบนั ดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 794/2493 ผู้ตายด่าหรือทําร้ายจําเลยในที่แห่งหน่ึงก่อน ต่อมาอีกเป็น
เวลานานจาํ เลยจึงใช้มดี ฟน๎ ผตู้ าย ไม่ใช่กระทําเพราะถกู ย่วั โทสะ

คําพพิ ากษาฎีกาที่ 190/2493 และ 551/2509 พบภรยิ ากําลังทําชู้กับชายอ่ืนอยู่ในห้อง จึง
พงั ประตเู ข้าไป ชู้ว่งิ หนีลงเรือนไปได้ จําเลยใช้ปืนยิงชู้จนหมดกระสุน 5 นัด แล้วยังเอามีดฟ๎นภริยา
ของตนอยา่ งไม่ไว้ชีวิต 9 แผลถึงแก่ความตายทันที ดังน้ีการกระทําของจําเลยไม่เป็นการปูองกัน แต่
เรียกวา่ ทําเพราะบนั ดาลโทสะ

คาํ พิพากษาฎีกาท่ี 1062/2495 ผู้ตายใช้ปืนจะยิงจําเลยก่อน จําเลยจึงฟ๎นเอา 1 ที ผู้ตาย
ว่ิงหนีโดยปืนหลุด แล้วจําเลยเอาปืนไล่ยิงผู้ตาย ดังนั้นการกระทําของจําเลยตอนแรกเป็นการปูองกัน
ชีวิตพอสมควรแก่เหตุไม่มีความผิด แต่การที่จําเลยไล่ตามไปยิงผู้ตายเมื่อว่ิงหนีไปแล้วถือได้ว่าเป็นการ

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 173

กระทําต่อเน่ืองมาจากท่ีจําเลยถูกย่ัวโทสะโดยถูกกดขี่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไมเป็นธรรมยังหา
ขาดตอนไม่ การกระทาํ ของจาํ เลยจึงถอื ว่าเป็นการบันดาลโทสะ

คาํ พิพากษาฎีกาท่ี 699/2496,837/2495 กรณีที่สมัครใจวิวาททําร้ายซึ่งกันและกันน้ัน ฝุาย
ใดอา้ งว่าปอู งกนั หรือกระทาํ เพราะถกู ยว่ั โทสะไม่ได้

คําพพิ ากษาฎกี าที่ 1062/2496 เมาสุราพูดโต้ตอบกัน แล้วผู้ตายใช้มีดแทงจําเลย จําเลยจึง
เขา้ แยง่ มีดได้แล้วแทงผูต้ ายเรยี กว่ากระทาํ โดยบันดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 1292/2496 จําเลยพบผู้ตายกําลังทําชู้กับภริยา ผู้ตายว่ิงหนี จําเลยไล่
ฟ๎นผตู้ ายไม่ถึงตาย ไม่เป็นการปอู งกนั แต่เป็นบันดาลโทสะ

คําพิพากษาฎกี าท่ี 1481/2496 ผตู้ ายอยู่กินกบั จาํ เลยอยา่ งสามภี รยิ าแลว้ ท้ิงจาํ เลยไป จําเลย
ตามให้กลับผู้ตายก็ด่าจําเลยคําหยาบช้า และถีบเตะเอาศีรษะชนอกจําเลย จําเลยแทงผู้ตายไปใ น
ขณะน้ัน เป็นการกระทําโดยบันดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 1277/2497 จําเลยก่อเหตุยิงสัตว์ใกล้บ้านผู้ตายในเวลาคํ่าคืน ผู้ตายว่า
กล่าวห้ามปรามและด่าจําเลยจําเลยจึงยิงผู้ตาย ดังน้ีการกระทําของจําเลยยังไม่พอที่จะถือว่ากระทํา
โดยบนั ดาลโทสะ

คําพิพากษาฎีกาที่ 1771/2497 จําเลยฉุดหญิงซ่ึงเป็นภริยาจําเลยโดยไม่จดทะเบียนตาม
กฎหมายให้กลับไปกินอยู่ด้วยกันลุงของหญิงห้าม จําเลยไม่ฟ๎ง จึงตบหน้าจําเลย 1 ที ชก 1 ที
จําเลยจึงแทงด้วยตะไบที่ท้องตายในวันน้ันเอง การกระทําไม่เป็นการยั่วโทสะซึ่งจําเลยจะได้รับการลด
โทษ

คาํ พพิ ากษาฎีกาท่ี 1222/2498 ผู้ตายแทงจําเลยก่อน จําเลยจึงทําร้ายตอบ ถ้ากรณีต่างท้า
ทายสมคั รใจเข้าทําร้ายกัน กไ็ มเ่ ปน็ การปูองกนั หรอื ยัว่ โทสะ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 1446/2498 ผู้ตายถีบจําเลยหาว่าจําเลยแกล้งว่าผู้ตายปล้นโค จําเลยจึง
เข้าไปในเรือนห่าง 1 วา หยิบหอกมาแทงผู้ตาย บุตรเขยจําเลยก็หยิบมีดมาฟ๎นผู้ตาย เป็นการ
บนั ดาลโทสะและยงั ไมข่ าดตอนทั้งสอง

คําพิพากษาฎีกาท่ี 435/2500 ในกรณีสามีพบชายกอดภริยาของตนอยู่ ได้เกิดต่อสู้กันสามี
บันดาลโทสะยิงชายนั้น เปน็ การกระทําโดยบันดาลโทสะและควรรอการลงโทษ

คําพิพากษาฎีกาท่ี 518/2500 ผู้ตายกล่าวเสียสีไล่จําเลยออกจากวัดต่อหน้าชุมชน และยิง
บิดาจําเลยโดยจําเลยมิได้วิวาทด้วย จําเลยได้ยิงผู้ตาย จําเลยได้ยิงผู้ตายตาย ดังน้ีถือว่าการกระทํา
ของจําเลยเป็นการกระทาํ โดยบันดาลโทสะ

174 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

คําพิพากษาฎกี าท่ี 80/2503 ผตู้ ายให้เด็กไปเรียกจําเลยมาแล้วผู้ตายพูดทวงเงิน จําเลยเถียง
ว่าใช้ให้แล้ว จึงเกิดโต้กันขึ้น ผู้ตายกระชากคอเส้ือจําเลย จําเลยสะบัดหลุดวิ่งหนีสะพานไปแล้ว
ผู้ตายยังถือไม้ไล่ตามจําเลยข้ึนไปบนสะพานอีก จําเลยจึงฮึดสู้โดยชักมีดออกมา ผู้ตายถอยหลังพลาด
ตกน้ํา จําเลยกระโดดลงตามไปทันที แล้วแทงผู้ตายไปที่เดียวถูกชายโครงก็เลิกรากันไปต่อมาผู้ตายถึง
แก่ความตาย ดังนี้พอถือได้ว่าจําเลยกระทําไปเพราะถูกผู้ตายกดข่ีข่มเหงร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็น
ธรรม และจาํ เลยไดแ้ ทงผตู้ ายโดยเหตบุ ันดาลโทสะในขณะนั้น

คําพิพากษาฎีกาที่ 1135/2504 ผู้ตายรู้อยู่ว่าหญิงเป็นภริยาของจําเลยก็ยังติดต่อเอาไปเป็น
ภริยาจนได้ จําเลยยังมีเยื่อใยติดตามไปพบภริยาและผู้ตายเดินมาด้วยกัน จําเลยจึงวิงวอนให้ภริยา
กลับไปอยู่กับตน ผู้ตายกลับสบประมาทว่าเป็นนา่ ตัวเมีย ผู้หญิงเขาไม่รักจะตามมาทําไม ดังน้ีถือได้ว่า
รุนแรงสําหรับในกรณีเช่นน้ี เป็นเหตุให้บันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมตามมาตรา
72 จําเลยยิงผูต้ ายตายจงึ ไดร้ บั ผลตามมาตรา 72 และเปน็ เหตุให้รอการลงโทษ

คําพิพากษาฎีกาที่ 429-430/2505 พระภิกษุบังคับจะเอามีดจากจําเลยซึ่งเป็นศิษย์
เนื่องจากจําเลยเป็นโมโหร้ายมีมีดไว้กลัวจะมีเร่ือง จําเลยแสดงกิริยาขัดขืนจะต่อสู้ พระภิกษุจึงใช้ไม้
ฟาดไปทีหน่งึ จําเลยยกแขนรบั ป๎ดไม้กระเดน็ ไปแลว้ จาํ เลยโถมเข้าหาพระภกิ ษกุ อดปลํ้าล้มกล้ิงกันไปมา
จําเลยใชม้ ีดทถ่ี อื อยูแ่ ทงพระภกิ ษุ ดงั น้ไี มเ่ ปน็ การปอู งกันหรอื บนั ดาลโทสะ

คาํ พพิ ากษาฎกี าที่ 689/2508 และท่ี 927/2510 ผู้ตายเมาสุรามาชวนจําเลยถึงบ้านเพื่อจะ
ไปดืม่ สุรากนั ครัน้ จําเลยไม่ไปและหลบขึน้ มาเสยี บนเรอื น ผู้ตายยังตามขนึ้ มารังควานโดยกระชากแขน
อีก เม่ือจําเลยขัดขืน ผู้ตายก็เข้าปลุกปล้ํา จําเลยทนไม่ไหวจึงฟ๎นเอาเช่นน้ัน จําเลยกระทําโดย
บนั ดาลโทสะเพราะถูกขม่ เหงอยา่ งร้ายแรงดว้ ยเหตุอนั ไม่เปน็ ธรรมตามมาตรา 72

คําพิพากษาฎีกาท่ี 1083/2508 จําเลยเป็นลูกเขยได้เอาปืนของผู้ตายซ่ึงเป็นพ่อตามายิงเล่น
ผู้ตายว่าจําเลยโต้เถียงแล้วผู้ตายยิงปืนมาจากในเรือน 2 นัด นัดหลังไปโดยเสาไม้ซึ่งจําเลยแอบอยู่
สะเก็ดไมก้ ระเด็นไปถกู คว้ิ จาํ เลยแตก จาํ เลยไปหยิบปืนในครัวมายิงผู้ตายในขณะผู้ตายหันหลังลงบันได
เรือน นับได้ว่าจําเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้จําเลยบันดาลโทสะ
และการกระทําของจําเลยต่อเน่อื งมาจากทจี่ าํ เลยถูกยั่วโทสะ

คําพิพากษาฎีกาที่ 1281/2508 ผู้เสียหายได้เคยซื้อของกินจากหญิงซึ่งเคยได้เสียกับจําเลย
โดยผเู้ สยี หายไม่เคยรู้มาก่อนและเคยพูดจาเก้ียวพาราสีหญิงนั้น คอเกิดเหตุจําเลยได้รู้เร่ืองจากตําบอก
เล่าของหญิงน้ันว่าผู้เสียหายยังพูดจาเก้ียวพาราสีเพื่อจะติดพันหญิงนั้นอีก จําเลยจึงต่อว่าผู้เสียหาย
ผู้เสียหายปฏิเสธ จําเลยก็ใช้มีดฟ๎นผู้เสียหายโดยผู้เสียหายมิได้กอดปลํ้าหญิงน้ัน ดังน้ันการกระทํา
จําเลยไม่เป็นเร่ืองปูองกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่นตามมาตรา 68 และจําเลยอ้างว่ากระทําเพราะ
บนั ดาลโทสะตามมาตรา 72 ก็ไมไ่ ด้

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 175

คําพิพากษาฎีกาที่ 1586/2529 อ้างฎีกาท่ี 295/2495 คืนเกิดเหตุ ก. พาผู้ตายมาบ้าน
จาํ เลยเพื่อเอาตวั ข. ภริยา ก. ซึ่งเปน็ บตุ รของจําเลยไปได้พากันขึ้นเรือนจําเลยซ่ึงจําเลยกับพวกนอน
กนั แลว้ ก. เรียก ข. ให้เปิดประตู ข.ให้ได้ ดันประตูเรือจนไม้ขัดกลอนประตูหัก นับว่า ก. และผู้ตาย
กระทําการมิชอบด้วยความอุกอาจปราศจากความยําเกรงซ่ึงเป็นพ่อตาและเจ้าของบ้านเป็นการข่มเหง
จําเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จําเลยบันดาลโทสะข้ึนขณะน้ันเพราะบันดาลโทสะ ศาลลด
โทษไดต้ ามมาตรา 72

คําพิพากษาฎีกาท่ี 268/2509 ผู้ตายกับ ป. ทะเลาะกัน ภรรยาผู้ตายพูดว่า ป. จําเลยจึง
ร้องห้ามไม่ให้เข้าข้างสามีแล้วผู้ตายใช้มีดแทงจําเลย จําเลยวิ่งหนีกลับบ้านซ่ึงอยู่ห่างจากบ้านผู้ตาย
ประมาณ 1 เส้นเศษเอาปืนมายิงผู้ตาย ดังนี้ถือได้ว่าจําเลยยิงตายทันทีทันใดในขณะน้ันโดยบันดาล
โทสะเพราะถูกขม่ เหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตอุ นั ไมเ่ ปน็ ธรรม

คําพิพากษาฎีกาที่ 927/2510 ผู้ตายเป็นทหาร จําเลยอายุกว่าสิบเจ็ดปีมีอายุน้อยกว่าคน
อ่ืนๆ ในหมู่น้ันก่อนเกิดเหตุผู้ตายขอยืมปืนจําเลยไปเท่ียว จําเลยไม่ให้ ผู้ตายกับจําเลยเถียงกันมีคน
บอกให้ผู้ตายกลับไปเสียผู้ตายก็กลับไป แต่แล้วกลับย้อนตามจําเลยมาอีกพร้อมกับพูดว่าพวกมึงแน่สัก
แค่ไหน กูรู้ไต๋อยู่แล้ว ผู้ตายวิ่งเข้ามาใกล้จําเลย จําเลยจึงยิงปืนข้ึนฟูา 1 นัด และว่ิงหนีผู้ตาย
ผู้ตายได้วิ่งไล่กับได้ร้องด่าด้วย ดังนี้พฤติการณ์ถือได้ว่าจําเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอัน
ไม่เปน็ ธรรมฉะน้นั การที่จาํ เลยใช้ปนื ยิงผตู้ าย จงึ เป็นการกระทาํ โดยบันดาลโทสะตามมารตา 72

คําพิพากษาฎีกาที่ 1082/2511 จําเลยถือมีดพร้าบ้องจะฟ๎นจําเลยไม่มีอาวุธอะไร พอผู้ตาย
พดู วา่ จะฟน๎ หัวจาํ เลยได้เงื้อมดี ขึ้น จําเลยแยง่ บ้องได้มาถือไว้ ผู้ตายชักมีดปลายแหลมจะแทงจําเลยอีก
จําเลยจงึ ใชม้ ีดฟน๎ ผูต้ ายล้มลงแล้วฟ๎นซํา้ อกี ดังน้ีเป็นการปูองกันสมควรแก่เหตุ ไม่ใช่บันดาลโทสะตาม
มาตรา 72

คําพิพากษาฎกี าท่ี 1556/2519 ส. ไมร่ จู้ กั กับจําเลยมาซ้ือสุราท่ีร้านจําเลยดื่มแล้วแย่งตะไกร
ที่ภรยิ าจาํ เลยกาํ ลังตัดผมจาํ เลยอยู่ จะมาตดั ใหเ้ อง และขอเงินจาํ เลย กบั อา้ งวา่ จาํ เลยไมจ่ ่ายเงินท่ี ส.
ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลรวบท่ีซ้ือจากจําเลย ส. จับแขนภริยาเลยล้วงกระเป๋าเส้ือขอเงินภริยา
จําเลย จาํ เลยยงิ ตาย เป็นการกระทาํ โดยบนั ดาลโทสะ ศาลไมร่ ิบปนื เปน็ ของกลาง

คําพิพากษาฎีกาที่ 617/2520 โจทย์ต่อวา่ จาํ เลยวา่ มองหน้าทําไม เปน็ ตาํ รวจหรือ ตํารวจไม่
สาํ คญั จาํ เลยกช็ ักปืนยิงโจทย์ คําพดู เช่นนี้ระคายเคอื งอยบู่ ้าง ตาไม่ถึงข่มเหงอย่างร้ายแรง และไม่เป็น
ธรรมที่จะลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72

คําพิพากษาฎีกาที่ 3315/2522 ผู้ตายเมาสุราเอาเท้าพาดหัวจําเลยลูบเล่น จําเลยจึงทําร้าย
ผตู้ าย เป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และบันดาลโทสะ

176 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ส่วนท่ี 3
กรณีทเี่ ป็นเหตุบรรเทาโทษ
เร่ืองเหตุบรรเทาโทษนี้มีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ว่า “เมื่อปรากฏ
ว่ามเี หตุบรรเทาโทษ ไม่ว่าจะมกี ารเพ่มิ หรือลดโทษตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายน้ีหรือกฎหมาย
อื่นแลว้ หรือไม่ ถา้ ศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินก่ึงหนึง่ ของโทษทจี่ ะลงแกผ่ กู้ ระทาํ ผิดน้ันก็ได้”
เหตุบรรเทาโทษน้นั ไดแ้ ก่5 ผกู้ ระทาํ ความผดิ เป็นผู้โฉดเขลาเบาป๎ญญาตกอยู่ในความทุกข์อย่าง
สาหสั มีคณุ ความดีแตก่ อ่ น รู้สกึ ความผดิ และพยายามบรรเทาผลรา้ ยแห่งความผิดน้ัน ลุแก่โทษต่อเจ้า
พนักงาน หรือให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา หรือเหตุอ่ืนที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะ
ทํานองเดยี วกัน
ตามบทมาตรานี้แยกพิจารณาได้ 3 ประการคือ
1. ความหมายของเหตบุ รรเทาโทษ
2. เหตุบรรเทาโทษ
3. การลดโทษเพราะเหตุบรรเทาโทษ

1. ความหมายของเหตุบรรเทาโทษ “เหตุบรรเทาโทษ” หมายความถึงเหตุบางประการอัน
เปน็ มูลใหศ้ าลลดโทษแกผ่ ู้กระทาํ ความผิด

2. เหตุบรรเทาโทษ กรณีทีถ่ ือเป็นเหตบุ รรเทาโทษมีดว้ ยกัน 7 ประการ คอื
1. ผู้กระทาํ ความผิดโฉดเขลาเบาปญ๎ ญา
2. ผกู้ ระทาํ ความผดิ ตกอยูใ่ นความทกุ ขอ์ ยา่ งสาหัส
3. ผูก้ าระทําความผิดมคี ณุ ความดมี าก่อน
4. ผกู้ ระทาํ ความผดิ พยายามบรรเทาผลร้าย
5. ผกู้ ระทาํ ความผดิ ลแุ ก่โทษ
6. ผู้กระทําความผดิ ให้วามรู้แกศ่ าล
7. เหตอุ ืน่ ๆ ทาํ นองเดยี วกัน

1) ผู้การะทาความผิดโฉดเขลาเบาปัญญา หมายความว่า ผู้กระทําความผิดมี
สติป๎ญญาอยู่ในระดับต่ํากวาบุคคลธรรมดา เช่น พวกจิตทราม ป๎ญญาอ่อน หรือไร้การศึกษาและ
ประสบการณ์ ไม่มีความนึกคิดวิญํูชนท่ัว ๆ ไป เช่น นาย ด. และนาย ก. และ ข. มิได้เป็นต้นเหตุ
ทาํ รา้ ยผูอ้ ื่นถึงตายดว้ ย แตเ่ ขา้ ชว่ ยรุมทําร้ายโดยมิได้สอบถามให้แน่นอนเสียก่อนว่าผู้ตายเป็นผู้ร้ายจริง
หรือไม่ น่าจะเป็นโดยโง่เขลาเบาป๎ญญา คนทั้งสามนี้หากินโดยสุจริตไม่เคนทําความผิดมาก่อน ศาล
ลดโทษฐานปราณีให้กึ่งหนึ่ง (คําพิพากษาฎีกาท่ี 748/2748) หรือยิง จ. ยิง ร.ส.ตาย ล.ก.ม.บ.

5 หยดุ แสงอุทยั , ศาสตราจารย์, ดร., กฎหมายอาญาภาคท่วั ไป (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515), หน้า 132-
133.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 177

บาดเจบ็ โดยมีสาเหตุ ผดิ วสิ ัยคนจิตใจปกติทาํ แมฟ้ ง๎ ไม่ไดว้ า่ จิตวปิ ลาสไปชั่วครูเพราะเคยเป็นไข้ขึ้นสมอง
กเ็ ปน็ การกระทาํ โฉดเขลาเบาป๎ญญา ศาลลดโทษให้ 1 ใน 3 (คําพพิ ากษาฎกี าท่ี 1433/2515)

2) ตกอยใู่ นความทกุ ขอ์ ยา่ งสาหสั ในข้อน้ีกฎหมายคํานึงถึงการเห็นใจจําเลยเพราะ
ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส คําว่า “ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส” นี้ไม่มีบัญญัติว่าอย่างไรจึงจะ
เปน็ ทุกขอ์ ย่างสาหสั ซงึ่ ศาลจะต้องพิจารณาเป็นเร่ือง ๆ ไปโดยเปรียบเทียบได้กับมาตรา 335 วรรค
ท้ายเรอื่ งลกั ทรพั ยน์ นั้ มีหน้าท่เี ลี้ยงครอบครัวหลายคน บ้านถูกไฟไหม้สิ้นเนื้อประดาตัว อาหารจะเล้ียง
ครอบครัวก็ไม่มี จําเลยจึงลักอาหารน้ันมาเพ่ือประทังชีวิตบุตรและคนชราซ่ึงกําลังหิวอยู่ หรือความ
ทุกขอ์ าจเกิดจากการกระทาํ ความผิดก็ได้ เช่น จําเลยขับรถยนต์โดยประมาทให้รถคว่ําและคนโดยสาร
ตายหมด เหลอื แตจ่ าํ เลยคนเดยี ว คนทีต่ ายนนั้ เป็นบตุ รและภรยิ าของจาํ เลยเอง ดังนี้อนุมานได้ว่าเป็น
ความทุกขส์ าหัสอย่างหนง่ึ

3) ผกู้ ระทาความผิดมีคุณความดีก่อน ในข้อนี้พิจารณาถึงประวัติผู้กระทําความผิด
ท่ีเคยมีมาก่อนในทางดีก่อนกระทําผิด เช่น รับราชโดยเรียบร้อยไม่เคยมัวหมองในหน้าท่ีการงานเป็น
เวลา 30 ปี หรอื บาํ เพ็ญประโยชน์แกส่ าธารณะ เป็นต้น

4) ผู้กระทาความผิดรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้าย ในข้อน้ีผู้กระทํา
ความผิดได้ลงมือกระทําความผิดไปแล้ว ภายหลังได้กระทําการใดลงไปโดยรู้สึกว่าตนกระทําความผิด
จึงกระทําการเพื่อบรรเทาผลร้ายแห่งการกระทําความผิดนั้นให้ลดลงน้อยลง เช่น ยักยอกเงินหลวง
แล้วกลับแก้ไขบอกให้ผู้บังคับบัญชารู้จึงเรียกให้ผู้ท่ีเอาเงินไปคืนมาได้ หรือลักทรัพย์ไปแล้วเจ้าของขอ
คนื กค็ ืนให้โดยดี

5) ผูก้ ระทาความผิดลแุ ก่โทษ ในข้อนี้กฎหมายมุ่งไปในทางที่จําเลยให้ความสะดวก
แก่เจ้าพนักวานข้ันสอบสวนเพ่ือให้สอบสวนง่ายเข้า แต่พึงสังเกตว่ากฎหมายใช้คําว่าลุแก่โทษต่อเจ้า
พนักงาน จึงต้องถือว่ามีการสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ถ้าเห็นว่าคํารับนั้นไม่จําเป็นแก่การพิจารณา
ศาลอาจใช้ดุลพินิจไปในทางไม่บรรเทาโทษก็ได้ นัยคําพิพากษาฎีกาที่ 367/2498 วินิจฉัยว่าในการท่ี
จําเลยขอให้ลดโทษเพราะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนนั้น ถ้าศาลเห็นว่าพยานโจทก์แน่นหนา
มัน่ คงฟง๎ ไดว้ า่ จาํ เลยกระทําความผดิ แมจ้ ะไม่รับก็ไม่มีทางจะพ้นผิด ดงั นี้ศาลก็มีอํานาจไมล่ ดโทษให้ได้

6) ผู้กระทาความผิดให้ความรู้แก่ศาล ในข้อน้ีย่อมหมายความรวมท้ังการรับ
สารภาพในชั้นศาล และการให้ความรู้แก่ศาลด้วยประการอื่น ๆ อันเป็นเหตุช่วยให้ศาลวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงได้ง่ายเข้า ข้อสําคัญคํากล่าวของจําเลยที่ให้ความรู้แก่ศาลน้ันต้องเป็นประโยชน์แก่การ
พิจารณา กล่าวคือ ศาลชี้ขาดข้อเท็จจริงได้ทั้งหมดหรือบางข้อโดยอาศัยคํากล่าวของจําเลยน้ันอย่าง
นอ้ ยกบ็ างสว่ น

178 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

7) เหตุอื่น ๆ ทานองเดียวกัน ในข้อนี้หมายความว่าเหตุอื่นท่ีศาลเห็นว่าลักษณะ
ทํานองเดียวกัน จะยกข้ึนเป็นเหตุบรรเทาโทษแก่จําเลยน้ีจะต้องได้ความว่ามีเหตุทํานองเดียวกับเหตุ
อย่างใดอย่างหน่ึงซ่ึงกล่าวมาแล้วใน 6 ประการข้างต้น กล่าวคือกฎหมายไม่ยอมให้ศาลอ้างเหตุอ่ืน
ขึ้นมาลดโทษตามอําเภอใจ เหตุจะลดโทษต้องอยาภายในกรอบ 6 ประการนั้นหรือทํานองเดียวกัน
อย่างหน่งึ อยา่ งใดใน 6 ประการนน้ั เช่น ฆา่ เขาตายแลว้ จาํ เลยช่วยจัดการเร่ืองศพให้ หรือช่วยเหลือ
อุปการะเลี้ยงดบู ตุ รภรยิ าของผู้ตาย

3. การลดโทษเพราะเหตุบรรเทาโทษ เม่ือจําเลยกระทําความผิดและมีเหตุบรรเทาโทษข้อ
หน่ึงใน 7 ข้อท่ีกล่าวมาแล้ว ถ้าศาลเห็นว่าไม่สมควรลดโทษให้จะไม่ลดโทษก็ได้ ในกรณีท่ีศาล
เห็นสมควรจะลดโทษแล้ว ศาลก็ลดโทษเพราะบรรเทาโทษนี้ไม่เกินก่ึงหน่ึงของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทํา
ความผิดเทา่ นั้น จะลดมากกวา่ ก่งึ หนึ่งไมไ่ ด้ แต่ถ้าลดน้อยกวา่ ก่ึงหนงึ่ ได้

การลดโทษตามาตรานี้ ถ้าศาลจําต้องเพิ่มหรือลดโทษโดยเหตุอื่นศาลก็เพ่ิมหรือลดโทษด้วย
เหตุอ่ืนเสียก่อน เหลือสุทธิเท้าใดจึงจะมาลดโทษเพราะเหตุบรรเทาโทษกรณีที่ผู้กระทําความผิดมีเหตุ
บรรเทาโทษหลายอยา่ งด้วยกัน ศาลก็จะรวมเหตุเหลานั้นมาลดโทษเพราะเหตุบรรเทาโทษได้เพียงคร้ัง
เดียว จะแยกลดเปน็ เหตุ ๆ ไปไม่ได้

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 179

คาถามทา้ ยบท

1. คนร้ายทําร้ายบิดาแล้วว่ิงหนีไป พอลูกทราบเกิดความโกรธ จึงไปกระทําต่อผู้ข่มเหง โดยอ้างเหตุ
บันดาลโทสะได้หรือไม่
2. ความไมร่ ู้กฎหมาย อา้ งเปน็ เหตลุ ดโทษได้ในกรณใี ด
3. เงอ่ื นไขในการรอการลงโทษกําหนดว่าอยา่ งไรบา้ ง
4. จงอธบิ ายหลักเกณฑข์ องการกระทําความผิดเพราะเหตบุ นั ดาลโทสะมาพอสงั เขป
5. บุคคลประเภทใดซึ่งกระทําความผิดเก่ียวกับทรัพย์ตามมาตรา 71 วรรคแรก สามารถนํามาอ้างเป็น
เหตลุ ดโทษได้

180 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

อ้างองิ ประจาบท

จิตติ ติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรง
พมิ พ์แสงทองการพิมพ์, 2513), หนา้ 332.

พิพัฒน์ จักรางกูร, อาจารย์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 1, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์
กรงุ สยาม การพมิ พ์, 2525), หน้า 35.

หนังสือนิติศาสตร์ปริทัศน์ บทความเรื่อง “พยายามกระทาความผิดซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้” โดย
ดร.สมศกั ด์ิ สิงหพันธุ์ จดั พมิ พ์โดยชมรมนติ ิศาสตร์ ปี 2516.

หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์, ดร., กฎหมายอาญาภาคท่ัวไป (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์, 2515), หน้า 132-133.

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 181

บทที่ ๑๐
ผ้มู สี ว่ นเก่ียวข้องในการกระทาความผดิ

วตั ถุประสงค์การเรียนประจาบท

1. เพ่ือให๎นิสิตได๎ศึกษาและวิเคราะห์ถึงการกระทาของบุคคลหลายคนท่ีมีสํวนเก่ียวข๎องกับ
ความผิดเดียวกนั ได๎

2. เพ่ือให๎นิสติ ได๎ศึกษาและวิเคราะห์ถงึ ลักษณะของตัวการ ผ๎ูใช๎ และผส๎ู นับสนุนได๎
3. เพอื่ ใหน๎ ิสติ ไดศ๎ กึ ษาและวิเคราะห์ถึงขอบเขตความรับผิดของตัวการ ผ๎ูใช๎ ผ๎ูสนับสนุน และ
ผ๎โู ฆษณาหรอื ประกาศได๎
4. เพอื่ ใหน๎ ิสิตไดศ๎ ึกษาและวเิ คราะห์ถึงเหตุสวํ นตัวและเหตใุ นลักษณะคดีได๎

ขอบขา่ ยเนอื้ หา

1. บคุ คลหลายคนเก่ียวขอ๎ งกบั ความผดิ เดยี วกนั
2. หลักเกณฑ์ของตวั การ
3. หลกั เกณฑ์ของผใ๎ู ช๎
4. หลกั เกณฑข์ องผสู๎ นับสนนุ
5. ขอบเขตความรับผดิ ของตัวการ ผ๎ูใช๎ ผ๎สู นบั สนุน และผโู๎ ฆษณาหรือประกาศ
6. เหตสุ วํ นตัวและเหตใุ นลักษณะคดี

วิธีสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอนประจาบท
1. การบรรยาย
2. การศกึ ษาเอกสารประกอบการสอน
3. ทาแบบฝกึ หัดท๎ายบท

สอื่ การเรยี นการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. ประมวลกฎหมายอาญา

182 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

ในการกระทาความผิดอาญา ความผิดอันหน่ึงอาจมีผ๎ูกระทาคนเดียวหรือหลายคนก็ได๎ ถ๎า
ผู๎กระทาความผิดกระทาคนเดียวโดยไมํมีผู๎อ่ืนรํวมกระทา ใช๎ให๎กระทา หรือสนับสนุนในการกระทา
ความผิดแล๎ว ปัญหาที่ต๎องพิจารณาก็มีแตํเพียงวําบุคคลผ๎ูกระทานั้นกระทาความผิดฐานใดและจะต๎อง
รับโทษเพียงใด แตํถ๎าการกระทาความผิดอาญาน้ันมีผู๎กระทาหลายคนโดยมีผู๎อ่ืนรํวมกระทา ใช๎ให๎
กระทาความผิดหรือใหค๎ วามสะดวก หรอื ชํวยเหลอื ผอ๎ู ื่นกระทาความผิดเชํนนี้ นอกจากจะต๎องพิจารณา
วําผ๎ูกระทาความผดิ ฐานใดและจะตอ๎ งรับโทษเพียงใด ยังต๎องพิจารณาอีกวําผ๎ูท่ีรํวมกระทาความผิดจะมี
ความผดิ และรบั โทษเพียงใดด๎วย

สารบั การพิจารณาวาํ ผทู๎ ร่ี วํ มกระทาความผดิ ผ๎ใู ชใ๎ ห๎ผอู๎ ่ืนกระทาความผิดหรือผู๎ให๎ความสะดวก
หรือใหก๎ ารชํวยเหลือผ๎ูอืน่ ในการกระทาความผดิ จะมีความผิดและรับโทษเพียงใดนั้น ยํอมพิจารณาได๎
ตามกฎหมายอาญาซ่ึงไดบ๎ ญั ญตั ิเกย่ี วกบั เร่อื งน้ไี ว๎ในมาตรา 83-89 อาจแยกพิจารณาไดด๎ งั น้ี

1. ผ๎ูที่ได๎รํวมมือกระทาความผิดดว๎ ยกัน เรียกวาํ ตัวการ (มาตรา 83)
2. ผ๎ูที่กํอให๎ผ๎อู ่ืนกระทาความผดิ เรียกวาํ ผ๎ใู ช๎ (มาตรา 84-85)
3. ผท๎ู ชี่ ํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการท่ีผ๎ูอ่ืนกระทาความผิด เรียกวําผ๎ูสนับสนุน (มาตรา
86)
4. ขอบเขตความรับผิดชอบของผู๎ใช๎ ผ๎ูโฆษณาหรือประกาศ และผ๎ูสนับสุนน (มาตรา 87 และ
มาตรา 88)
5. เหตุเกยี่ วกับตัวบคุ คลกระทาความผดิ

ส่วนที่ 1
ผทู้ ไ่ี ด้ร่วมกระทาความผิดดว้ ยกนั เรียกว่า ตัวการ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 บัญญัติวํา “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทา
ของบุคคลต้ังแตํสองคนขึ้นไป ผ๎ูที่ได๎รํวมการะทาความผิดด๎วยกันนั้นเป็นตัวการต๎องระวางโทษท่ี
กฎหมายกาหนดไวส๎ าหรับความผดิ นั้น”

ตามบทบัญญัติมาตรา 83 นี้ จะเห็นวําที่จะเป็นตัวการได๎จะต๎องเข๎าองค์ประกอบ 3 ประการ
คอื

ก. ต๎องมีบคุ คลตงั้ แตสํ องคนขึ้นไป
ข. ต๎องไดร๎ ํวมกระทาความผดิ ด๎วยกัน
ค. ต๎องไดม๎ เี จตนาท่รี ํวมกระทาความผดิ ดว๎ ยกัน

ก. ต้องมีบุคคลต้ังแต่สองคนขึ้นไป การกระทาความผิดท่ีจะเป็นตัวการตามมาตรา 83 นี้
จะต๎องมบี คุ คลตัง้ แตสํ องคนขน้ึ ไปรวํ มกันกระทา ถา๎ หากความผิดใดบุคคลกระทาคนเดียวบุคคลนั้นต๎อง

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 183

รับโทษตามบัญญัติของกฎหมายน้ันอยูํแล๎ว ไมํเป็นกรณีที่จะนามาตรา 83 มาอ๎างแตํอยํางใด ตํอเมื่อ
บคุ คลต้ังแตสํ องคนข้นึ ไปไดร๎ ํวมกระทาความผิดอยาํ งเดียวกนั จงึ ถอื เปน็ ตัวการดว๎ ยกนั

ในกรณีบุคคลหลายคนกระทาความผิดอยํางเดียวกันน้ี หากตํางคนตํางทาแม๎จะเป็นวัน
เดียวกัน สถานที่เดียวกันก็ตาม ก็ไมํอยํูในบังคับของมาตรา 83 ผ๎ูกระทาความผิดก็ต๎องรับผิดชอบใน
ความผดิ ของตนทีท่ าแยกกนั ไป

ตัวอย่างท่ี 1 แดงต๎องการฆําเหลือง แดงได๎ใช๎ปืนยิงเหลืองถึงแกํความตาย เชํนน้ีแดงได๎
กระทาคนเดยี ว แดงตอ๎ งรบั โทษฐานฆาํ เหลอื งตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ไมํเรียกวํา
แดงเปน็ ตัวการฆาํ เหลอื ง

ตัวอย่างที่ 2 ตี๋กาลังตํอยกับต๎อยน๎องภริยาต๎อง แดนได๎ยินยิงปืนไปกํอน 1 นัดถูกตี๋ แล๎ว
ตํอมาต๎องจึงได๎ยิงไปอีก 1 นัด ตรมพฤติการณ์ดังกลําวท่ีแดนและต๎องยิงปืนไปน้ันเป็นการกระทา
ความผิดที่เกิดขึ้นทันทีทันใดโดยตํางคนตํางกระทาลงไป มิได๎สมคบรํวมรู๎กันมากํอน แม๎จะทาในเวลา
เดียวกัน สถานท่ีเดียวกัน แดนและต๎องมิได๎เป็นตัวการอันอยูํในบังคับมาตรา 83 แดนและต๎องต๎อง
รบั ผิดในความผดิ ของตนท่ที าแยกกันไป

ตัวอยา่ งท่ี 3 ก.ข.ค. และ ง. ตกลงกันท่ีจะไปทาร๎ายแดง โดยคนท้ังสี่วิ่งเข๎าไปที่แดงพร๎อม
กัน แล๎วชูปืนพร๎อมกันร๎องห๎ามไมํให๎ผู๎อ่ืนเข๎าไปชํวย และในขณะเดียวกันก็เข๎ากลํุมรุมทาร๎ายแดง
เชํนนี้ถือวาํ คนทง้ั ส่ี รํวมกันกระทาความผิดเปน็ ตัวการตามาตรา 83

ข. ต้องได้รว่ มกระทาความผดิ ด้วยกนั การท่ีรํวมกระทาความผิดน้ีการกระทานั้นจะต๎องเป็น
ความผิด หากกระทานัน้ ไมเํ ปน็ ความผดิ ผทู๎ ร่ี ํวมกระทาก็ไมํเป็นการรํวมกระทาความผิดด๎วยกันจึงต๎อง
ประกอบดว๎ ยสาระสาคัญสองประการ คือ

1. การกระทานัน้ ต๎องเป็นความผิด
2. ความผิดนน้ั ตอ๎ งไดร๎ วํ มกนั กระทา

1. การกระทานั้นต้องเป็นความผิด หมายความวํา ต๎องมีการกระทาโดยผํานขั้น
ตระเตรียมการถึงข้ันลงมือกระทา และการกระทาต๎องเป็นความผิด กลําวคือ มีกฎหมายบัญญัติวําการ
กระทาน้ันเป็นความผิด มีการกระทาตามที่กฎหมายบัญญัติไว๎ และการกระทานั้นประกอบด๎วยสภาพ
ทางจติ ใจ

ตัวอยา่ งท่ี 1 บุญชวํ ยตอ๎ งการฆาํ ตวั ตาย จงึ บอกให๎บุญสํงไปหยิบปืน ในบ๎านมา บุญสํง
หยิบมาแล๎วสํงให๎บุญชวย บุญชํวยให๎บุญสํงชํวยจับปืนแล๎วหันกระบอก ปืนมาทางบุญชํวยโดยบุญชํวย
เปน็ คนเหนีย่ วไกปืนเอง ดงั นี้บญุ ชํวยไดล๎ งมอื กระทา แล๎วแตํการกระทาของบญุ ชวํ ยไมํมีกฎหมายบัญญัติ
เป็นความผิด เม่ือการกระทาของบุญ ชํวยไมํเป็นความผิด จะถือวําบุญสํงเป็นผ๎ูรํวมกระทาความผิดอัน
เปน็ ตัวการ ตามมาตรา 83 ไมไํ ด๎

ตัวอยา่ งท่ี 2 โชคและโสสมคบกนั ไปฆําสด โดยตกลงกันวําโชคจะทา หน๎าที่ยิง สํวนโส
จะคอยดูต๎นทางให๎ ขณะทโ่ี ชคเห็นสดเดินมากบั ลูก ๆ โชคเกิดความ สงสารจงึ กลับใจไมํหยิบปืนออกจาก

184 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา

กระเป๋า เชํนน้ีโชคยังไมํได๎ลงมือกระทาจึงยังไมํถือวํา เป็นการกระทาอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
เมื่อโชคซึ่งไมํได๎ลงมือกระทา โสเองก็ยัง ไมํถือเป็นตัวการ ตามมาตรา 83 ในความผิดฐานฆําคนตาย
เพราะยงั ไมํมกี ารกระทา ตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิเป็นความผดิ

ตัวอย่างท่ี 3 สวงใช๎ปืนไมํมีลูกกระสุนจ๎องเล็งไปท่ีแสวง เพ่ือล๎อแสวง เลํน โดยมีสวิง
คอยดูต๎นทาง เชํนน้ี การกระทาของสวงไมํได๎ประกอบด๎วยสภาพทางจิตใจ คือเจตนา การกระทาของส
วงจึงไมํเป็นความผิด เม่ือการกระทาของสวงไมํเป็นความผิด จะถือวําสวิงเป็นตัวการตามมาตรา 83
ไมไํ ด๎

ตัวอย่างที่ 4 อรณุ เป็นสามีของราตรี ราตรไี มยํ อมให๎อรุณรํวมประเวณี ด๎วย อรุณจึงใช๎
กาลังบังคับให๎ราตรีรํวมประเวณีด๎วย ตะวันเพื่อนของอรุณชํวยอรุณโดย การดูแลต๎นทางอยูํหน๎าห๎อง
เชํนนี้ถือวําอรุณและตะวันเป็นตัวการตามมาตรา 83 เพราะ การกระทาของอรุณเป็นความผิดตาม
มาตรา 276

ตัวอย่างท่ี 5 ก. และ ข. ชิงทรัพย์ ค. ได๎แล๎ว จึงข้ึนรถสามล๎อเครื่อง ของ ง. ซ่ึงติด
เครือ่ งรออยูหํ นีไป ดังน้ี ก. ข. และ ง. เปน็ ตวั การตามมาตรา 83 แล๎ว เพราะ การกระทาของ ก. และ ข.
เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ง. จึงเป็นตัวการ การคอยรับ ก. และ ข. แล๎วพาหนีไปเป็นสํวนหน่ึงของการ
ชงิ ทรพั ย์

2. ความผดิ น้ันต้องไดร้ ว่ มกันกระทา หมายความวาํ ผูก๎ ระทาแตํละคนได๎รํวมกระทา
การอันเปน็ สํวนสาคญั หรือสาระสาคัญของความผิดนนั้

กรณที ี่จะถือวําเปน็ การรํวมกระทาดงั นี้
(1) กรณกี ารกระทาท่เี ป็นความผดิ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว๎ตรง ๆ ได๎แกํ รํวมกระทา
ความผิดกันตรงตามมาตรา 83 เชํน บุคคลหลายคนทาร๎ายผู๎ใดด๎วยกันใครทามากทาน๎อยหนักเบา
เพยี งใด ทุกคนรํวมกันรับผิในผลท่ีเกดิ ขน้ึ โดยการรํวมมอื กันน้นั เสมอื นทาดว๎ ยตัวเอง
(2) การกระทาที่เปน็ สํวนหน่งึ ของการกระทาท้งั หมดที่รวมเป็นความผิดข้ึน ใครจะได๎
การกระทามากน๎อยหนักเบาเพียงใดก็ตาม ทุกคนต๎องรํวมกันรับผิดในผลท่ีเกิดขึ้นโดยมีเจตนารํวมกัน
กระทา เชํน
ตัวอย่างท่ี 1 ก. และ ข. ทะเลาะกับ ค. แล๎วแยกกัน ค. เดินไปได๎หน่ึงเส๎น ก.
และ ข. ว่ิงตาม ค.ไป พอทันกัน ก. จับแขน ค. ข.ใช๎มีดแทงถูกแขนซ๎ายและหน๎าอก ค. อยูํได๎ 2 คืนก็
ตาย เชํนนี้การที่ ก. จับแขน ค. ก็เป็นสํวนหน่ึงของการกระทาความผิดทาร๎ายผ๎ูอ่ืนเป็นเหตุให๎ถึงแกํ
ความตาย ก. และ ข. มีความผดิ ฐานเป็นตวั การฆาํ คนโดยเจตนา
ตัวอย่างท่ี 2 ขณะที่จาเลนท่ี 1 ลงไปฉุดผู๎เสียหายขึ้นรถ จาเลยท่ี 2 จอดรถติด
เคร่ืองรอคอยอยูํในระยะใกล๎ๆ จาเลยที่ 1 ฉุดผ๎ูเสียหายมาข้ึนรถตลอดจนพาผ๎ูเสียหายไปหลังจาก
ผเ๎ู สียหายข้ึนรถแลว๎ ยงั คงวาํ เปน็ การกระทาฐานหาหญงิ ไปเพอื่ การอานาจารอยูํตลอดเวลา การกระทา
ของจาเลยที่ 2 ที่ขับรถพาผ๎ูเสียหายกับจาเลยท่ี 1 ไปจึงเป็นการกระทาสํวนหนึ่งของการพาผ๎ูเสียหาย
ไป เปน็ การรวํ มกระทาความผดิ ดว๎ ยกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 185

ตัวอย่างที่ 3 เม่ือจาเลยที่ 1 และจาเลยท่ี 2 ชิงทรัพย์ได๎แล๎ว จึงขึ้นรถสามล๎อ
เครอ่ื งของจาเลยที่ 3 ซง่ึ ตดิ เครอ่ื งรออยหํู นไี ป ดังน้เี ห็นได๎วําจาเลยทั้งสามได๎รํวมคบคิดวางแผนกันทา
ความผดิ โดยจาเลยท่ี 3 มหี นา๎ ท่ตี ิดเครอื่ งรถไวบ๎ ริเวณทเี่ กดิ เหตุคอยรับจาเลยท่ี 1 และท่ี 2 พาหรี
ไปเป็นสวํ นหน่งึ ของการชิงทรัพย์ การกระทาของจาเลยท้ังสามจึงเป็นความผดิ ฐานปลน๎ ทรัพย์

(3) การแบงํ หน๎าท่กี นั กระทาเพ่ือให๎การกระทาความผิดเป็นผลสาเร็จ หมายความถึง
การแบํงหน๎าท่ีกันทาความผิดอันหนึ่ง บุคคลที่การทาตามหน๎าที่แบํงสรรกันนั้นแตํละตนยํอมกระทา
สํวนหนึ่งในการกระทาท้ังหมดที่รํวมกันเป็นความผิดขึ้น เชํน ในการลักทรัพย์ คนร๎ายแบํงหน๎าท่ีกัน
โดยคนหน่ึงเข๎าไปลักทรัพย์ อีกคนหนึ่งดูต๎นทาง หรือคนหน่ึงยึดจักรยานท่ีเจ๎าทรัพย์ขี่ล๎มลงแล๎วข่ี
จกั รยานไปอีกสองคนเข๎าจีเ้ จทรัพย์ท่ยี ังอยูํ เป็นการแบงํ หน๎าที่กันทา เป็นปลน๎ ทรพั ยส์ ามคน เปน็ ต๎น

ตวั อยา่ งที่ 1 จาเลยท่ี 2 ขับรถจักรยานยนต์ให๎จาเลยท่ี 1 ซ๎อนท๎ายท่ีร๎านผ๎ูเสียหาย
จาเลยท่ี 1 เข๎าไปในร๎าย จาเลยท่ี 2 นารถไปจอดรอหํางร๎าน 4 วา จาเลยที่ 1 วิ่งราวสร๎อยคอ
ออกมาจากร๎านแล๎ววางตรงมาที่รถซึ่งจาเลยที่ 2 ขับรถไปจอดรอหํางร๎าน 4 วา จาเลยที่ 1 เพ่ือ
การหลบหนี แสดงวําจาเลยท้ังสองได๎รํวมคบคิดกันกระทาความผิดมาแตํแรก โดยจาเลยท่ี 2 หน๎าที่
พาหลบหนี เป็นการแบํงหน๎าที่ในการกระทาความผิดรํวมกัน จาเลยท่ี 2 จึงเป็นตัวการกระทา
ความผดิ ด๎วย (คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1235/2539 และ 2020/2519)

ตัวอย่างที่ 2 จาเลยที่ 1, ท่ี 3 เข๎าปล๎นทรัพย์ในร๎านขายของ จาเลยท่ี 2 เดิน
วนเวียนอยํูบริเวณหน๎าร๎าน ทาหน้าที่คอยดูต้นทาง เป็นการแบํงหน๎าที่กันทาให๎การปล๎นสาเร็จ
จาเลยท่ี 2 เป็นตวั การปลน๎ ทรพั ย์ (คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 321/2521)

ตวั อยา่ งท่ี 3 จาเลยที่ 1 บุกรุกเข๎าไปพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานของทูตการค๎า
ซึ่งอยํูชั้นบนของสถานทูต สํวนจาเลยที่ 2 คอยดูต๎นทางอยํูชั้นลํางนั้นเป็นการแบํงหน๎าที่อันเป็นการ
กระทาสวํ นหนึง่ เพือ่ ใหก๎ ารลักทรพั ย์บรรลุผลสาเรจ็ เรียกไดว๎ ําจาเลยท่ี 2 เป็นตัวการในการลักทรัพย์การ
นด้ี ๎วย (คาพิพากษาฎกี าท่ี 854/2507 , 718/2522)

ตัวอย่างที่ 4 จาเลยกับพวกรวม 4 คนปล๎นทรัพย์โดย แบ่งหน้าที่กันทา จาเลย
กบั พวกอกี สองคนข้ึนไปเอาทรัพย์บนเรือน พวกจาเลยคนที่หนึ่งถือปืนเฝูาอยํูใต๎ถุนเพ่ือคอยขัดขวางผู๎ท่ี
จะมาชํวยผ๎ูเสียหายโดยใช๎ปนื ยิง เม่อื คนร๎ายน้ันใช๎ปืนยงิ ผท๎ู ่จี ะมาชํวยบาดเจ็บสาหัส จึงถือได๎วําคนร๎าย
ท้ังหมดดังกลําวได๎รํวมกันกระทาความผิดโดยตลอด ดังน้ันจาเลยจึงต๎องรับผิดในการท่ีพรรคพวกของ
จาเลยใชป๎ นื ยงิ ด๎วย (คาพิพากษาฎกี าท่ี 593/2510)

ตัวอยา่ งที่ 5 คนร๎ายมาดว๎ ยกัน 3 คน รวํ มกนั นกระตุกท๎ายรถจักรยานที่ผ๎ูเสียหาย
กาลังข่ีล๎มลง แล๎วคนร๎ายคนหน่ึงท่ีข่ีจักรยานคันนั้นไป อีกสองคนใช๎มีดจี้และขํูไมํให๎ผ๎ูเสียหายร๎อง
กัลป์ให๎สร๎อยคอ ให้ถือว่าแบ่งแยกหน้าที่กันกระทาความผิด ครบองค์ความผิดฐานปล๎นทรัพย์ (คา
พิพากษาฎีกาที่ 456/2513,1453/2522,464/2523)

186 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ตัวอย่างท่ี 6 จาเลยท่ี 1 กระชากสร๎อยคอผู๎เสียหายได๎แล๎ววิ่งข้ึนไปน่ังซ๎อนท๎าย
รถจักรยานยนต์ ซึ่งจาเลยท่ี 2 ติดเคร่ืองรออยู่ในระยะห่าง 10 วาเศษแล้วจาเลยที่ 2 ก็ขับรถ
พาหนไี ป พฤตกิ ารณด์ งั นี้เขา้ ลกั ษณะแบง่ หน้าทก่ี นั ทา ถือวาํ จาเลยที่ 2 เป็นตัวการในความผิดฐาน
วิ่งราวทรพั ยด์ ๎วย (คาพพิ ากษาฎกี าที่ 1315/2513,3237/2525)

(4) การกระทาสํวนหนึ่งแหํงการกระทาความผิดอาจรวมถึงการที่อยํูในท่ีเกิดเหตุใน
ลกั ษณะทส่ี ามารถชวํ ยเหลอื ใหก๎ ารกระทาความผิดสาเร็จลลุ วงไปโดยที่ผู๎นั้นไมํจาเป็นต๎องได๎กระทาอะไร
ดว๎ ยมอื ตนเอง เพยี งแตอํ ยํูในทีใ่ กลพ๎ อที่จะชํวยกันได๎ทนั ทวํ งทกี พ็ อแลว๎ เชํน

ก. การร่วมในท่ีเกิดเหตุในลักษณะที่พร้อมจะช่วยเหลือกันได้ทันที เชํน จาเลย 1
เป็นคนใช๎ปืนยิงผ๎ูตาย แม๎จาเลยที่ 2 ที่ 3 จะไมํใชํเป็นผ๎ูยิงหรือใช๎อาวุธทาร๎ายผ๎ูตายด๎วย แตํกรณี
จาเลยท้ังสามโดดลงจากเรือนไปพร๎อมกัน แสดงวําจาเลยท่ี 2 ท่ี 3 ได๎ร๎ูเห็นมีเจตนารํวมกันกระทา
ความผดิ กับจาเลยท่ี 1 แลว๎ อนึ่งนอกจากจาเลยที่ 1 ถือปืนยาวลงไปด๎วยแล๎ว จาเลยท่ี 2 ที่ 3 ก็
มีอาวุธมีด และขวานติดตัวไปด๎วยอยํูแล๎ววําจาเลยที่ 2 ท่ี 3 พร๎อมท่ีจะชํวยเหลือจาเลยท่ี 1 ได๎
ทันที และเม่ือจาเลยท่ี 1 ยังผู๎ตายแล๎ว ตอนหนีกลับจาเลยท้ังสามยังหนีกลับมาทางเดียวกันอีก จึง
นับวําจาเลยที่ 2 ที่ 3 ได๎รํวมกระทาความผิดด๎วยกันกับจาเลยท่ี 1 คือเป็นตัวการฆําผู๎ตายด๎วยกัน
(คาพิพากษาฎีกาท่ี 1369-1370/2508)

ข. การอยู่ในท่ีเกิดเหตุในขณะกระทาความผิดและหลบหนีไปด้วยกัน เชํน
จาเลยรวมกบั พวกตั้งแตกํ ํอนจนเกิดเหตุ เวลาเกิดเหตุจาเลยอยํูในรถซ่ึงคนในรถยิงเข๎าไปในร๎านอาหาร
แล๎วหลบหนไี ปดว๎ ยกัน แสดงวาํ จาเลยรํวมกระทาตาม ป.อ. มาตรา 288,80 ด๎วย (คาพิพากษาฎีกา
ที่ 167/2523)

ค. การอยรู่ ่วมกนั ในทีเ่ กิดเหตุและก่อให้ผู้อื่นกระทาความผิด เชํน พี่ชายจาเลยได๎
เถยี งกบั เจา๎ ของท่ีนาขา๎ งเคยี งเรอื่ งเขตท่นี า ผู๎ตายซึ่งเปน็ กานนั เข๎ามาพดู ไกลเํ กล่ยี พี่ชายจาเลยไมํเช่ือฟัง
จึงถูกผ๎ูตายวํากลําว สักพักหน่ึงตํอมาพ่ีชายจาเลยเดินเข๎าไปหาผ๎ูตาย จาเลยเดินตามไปด๎วยพร๎อมกับ
พูดใหพ๎ ่ชี ายจาเลยยงิ ผต๎ู ายให๎ตาย พช่ี ายจาเลยจึงใชป๎ นื สน้ั ยิงผต๎ู าย 2 นัด แล๎วพ่ีชายจาเลยกับจาเลย
วงิ่ หนไี ปดว๎ ยกัน ผ๎ตู ายถงึ แกํความตาย ดังนั้นถือได๎วําจาเลยรํวมกับพี่ชายฆําผู๎ตาย (คาพิพากษาฎีกาท่ี
141/2514)

ตัวอย่างท่ี 1 ชี้บอกให้ยิงคนไหน จาเลยทั้งสองพกปืนติดตัวมาด๎วยกัน เม่ือถึง
ผ๎ูเสียหายนัง่ อยํู จาเลยที่ 2 ควกั ปนื ออกมาชปี้ ากกระบอกปืนไปที่ผ๎ูเสียหาย และถามจาเลยที่ 1 วํา
คนนี้ใชํไหม แล๎วจาเลยที่ 1 ใช๎ปืนยิงผ๎ูเสียหาย 3 นัดจาเลยท่ี 2 ยิงปืนขูํ 1 นัด และพูดขํูไมํให๎
พวกผู๎เสียหายติดตาม แล๎วจาเลยท้ังสองพากันวิ่งหนีไป ดังนี้ถือวําจาเลยท่ี 2 ได๎รํวมกับจาเลยที่ 1
กระทาผิดฐานพยายามฆาํ ผู๎เสยี หาย (คาพิพากษาฎกี าที่ 132/2515)

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 187

ตัวอย่างท่ี 2 ส่ังให้พวกใช้ปืนยิง จาเลยกับพวกรํวมกันฉุดดําผ๎ูเสียหายเพื่อ
ประโยชนข์ องจาเลยทจี่ ะทาอนาจารและขํมขนื กระทาชาเรา ขณะท่ีการกระทาผิดฐานฉุดคํายังไมํสาเร็จ
บิดาของผ๎ูเสียหนวิ่งตามไปเพื่อขัดขวาง จาเลยสั่งให๎พวกของจาเลยใช๎อาวุธปืนยิงบิดาของผ๎ูเสียหายถึง
แกํความตาย ดังนั้นเลยผิดฐานเป็นตัวการฆํา เพ่ือให๎เป็นความสะดวกในการท่ีจาเลยกับพวกจะทาฉุด
คําผ๎ูเสียหาย (คาพพิ ากษาฎีกาที่ 935/2508)

ตวั อย่างที่ 3 พดู ว่ายิงเลย จาเลยเมาสุราถือมดี มายืนท๎าทายจะทาร๎ายผู๎เสียหายอยูํ
คลละฟากรั้ว ข. พวกของจาเลยถือปนื ยืนข๎างจาเลยและบอกให๎ผ๎ูเสียหายกลับไปนอนพอผ๎ูเสียหายหัน
ตัวจะกลับบ๎าน จาเลยก็พูดวํายิงมันเลย ข. ก็ยิงผู๎เสียหาย แล๎วจาเลยยังพูดอีกวําตายแล๎วยังมาส๎ูกัน
อีก เป็นการสาทับให๎เห็นเจตนาของจาเลยวําจะทาร๎ายผ๎ูเสียหาย ถือได๎วําจาเลยได๎รํวมในการยิง
ผูเ๎ สยี หายดว๎ ย (คาพิพากษาฎีกาที่ 1306/2513)

การรํวมลงมือกันกระทาความผิดนี้จะต๎องรํวมในระหวําลการกระทาความผิดโดยรํวม
กระทาสํวนหน่ึงของการกระทาความผิดตั้งแตํขณะใดขณะหนึ่งนับแตํเริ่มต๎นลงมือกระทา คือผํานข้ัน
ตระเตรียมการมาการมาแล๎วจนเข๎าข้ันลงมือกระทา การรํวมกระทาเมื่อกํอนเร่ิมลงมือหรือรํวมกระทา
หลังสาเร็จแล๎วไมํถือเป็นตัวการตามมาตรา 83 แคํอาจเป็นผ๎ูสนับสนุนตามมาตรา 86 เชํน คา
พพิ ากษาฎีกาท่ี 3323/2522 จาเลยจอดรถปดิ ก้ันทางหลวงแล๎วใสํกุญแจพวงมาลัยและประตูรถ แล๎ว
หลบหนไี ป ซ่ึงเป็นความผดิ ฐานปิดกนั้ ทางหลวงในลักษณะทอี่ าจเกดิ อันตรายหรือเสียหายแกํยานพาหะ
นะหรือบุคคลตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 พ.ศ. 2515 ข๎อ 35, 84 น้ันเป็นความผิดสาเร็จ
ตัง้ แตจํ อดรถ ผ๎ูทมี่ านั่งทา๎ ยรถที่จอดปิดกั้นในภายหลังไมํถือวําเป็นการกระทาผดิ ดว๎ ย

ค. ต้องได้มีเจตนาท่ีจะร่วมกระทาความผิดด้วยกัน หมายความวํา ผู๎ท่ีกระทาการรํวมกัน
นั้นจะตอ๎ งรู๎ถงึ การกระทาของกันและกนั และตํางทาการถือเอาการกระทาของแตํละคนเป็นการกระทา
ของกันและกัน และตํางต๎องถือเอาการกระทาของแตํละคนเป็นการกระทาของตนด๎วยการกระทาโดย
เจตนารํวมกระทาต๎องประกอบดว๎ ยหลกั เกณฑ์ดังน้ี

(1) ต้องรู้ถึงการกระทาของกันและกัน หมายความวํา ผ๎ูกระทาทุกคนจะต๎องรู๎ถึง
การกระทาของกันและกัน และตํางต๎องประสงค์ถือเอาการกระทาของแตํละคนเป็นการกระทาของตน
ดว๎ ย

ตัวอย่างท่ี 1 สอนทาร๎าย แสงถูกทาร๎ายล๎มลงสลบลงไป โสมซ่ึงจะลักทรัพย์ของ
แสงอยํูต้ังแตํกํอนที่สอนจะทาร๎ายแสง แล๎วเห็นโอกาสเหมาะจึงลักทรัพย์แสงไปในท่ีแสงสลบ เชํนนี้
สอนและโสมเป็นตัวการชิงทรัพย์ สอนมีความผิดทาร๎ายรํางกายเทําน้ัน โสมก็ผิดฐานลักทรัพย์เทําน้ัน
กรณีเชํนนถี้ ือวาํ สอนและโสมเป็นผกู๎ ระทาผิดขา๎ งเคียง

188 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ตัวอย่างที่ 2 เจ๎าทุกข์ถูกคนร๎ายกล๎ุมรุมทาร๎ายมากํอนและกาลังถูกว่ิงไลํมา จาเลย
วิ่งข๎ามถนนไปตีเจ๎าทุกข์ โดยไมํปรากฏวํามีการสมคบกับคนร๎ายหรือคนร๎ายเรียกร๎องให๎ชํวยทาร๎าย
ดงั นน้ั จาเลยคงมคี วามผดิ เฉพาะกรรมทีจ่ าเลยลงมือกระทา

ตวั อยํางที่ 1 และ 2 นั้นผ๎ูกระทาไมํร๎ูถงึ การกระทาของกนั และกนั จึงไมเํ ป็นตัวการ

ตัวอย่างท่ี 3 ก. กับ ข. สมคบกันไปฆําแดง ก. เป็นคนคอยดูต๎นทางให๎ สํวน ข.
เป็นคนลงมือฆํา เชํนนี้ ก. และ ข. ร๎ูสึกถึงการกระทาของกันและกันจึงเป็นตัวการ เพราะมีเจตนา
รวํ มกระทาความผิดดว๎ ยกัน

(2) ต้องมีเจตนาร่วมกันในการกระทาทั้งหมด หมายความวํา การกระทามีเจตนา
รํวมกันนั้นจะต๎องมีเจตนารํวมกันในการกระทาทั้งหมด ถ๎ามีเจตนารํวมกันเพียงสํวนใดสํวนหนึ่ง การ
กระทาความผิดท่ีมเี จตนารวํ มกันกม็ เี พยี งสวํ นหน่ึงสํวนใดนั้น

ตัวอย่างที่ 1 คนร๎าย 7 คนรํวมกันปล๎นทรัพย์โดยแยกเข๎าทาการปล๎น 5 รายซึ่ง
อยบํู ๎านใกล๎เคียงกันในเวลาเดียวกัน แม๎คนร๎ายจะแยกกันเข๎าทาการแตํละบ๎านมีจานวนไมํถึง 3 คนก็
ต๎องถือวําคนร๎ายทุกคนมีความผิดฐานรํวมกันปล๎นทรัพย์เพราะคนร๎ายทุกคนได๎มีเจตนารํวมกันในกา ร
กระทาทั้งหมด คนรา๎ ยทงั้ 7 คนจึงเป็นการรํวมกนั ปลน๎ ทรัพย์

ตัวอย่างที่ 2 คนร๎าย 7 คนรํวมกันปล๎นทรัพย์ แตํคนร๎ายคนหน่ึงได๎กระทาการ
ขํมขืนกระทาชาเราเจ๎าทรัพย์คนหนึ่งด๎วย เฉพาะคนร๎ายท่ีจํมขืนเจ๎าทรัพย์เทําน้ันที่ต๎องมีความผิดฐาน
ปล๎นทรัพย์แล๎วขํมขืนกระทาชาเราซึ่งเป็นความผิด 2 กระทง ตามตัวอยําง 2 คนร๎ายท้ัง 7 คนท่ี
เจตนารวํ มกันเฉพาะความผิดฐานลกั ทรัพย์ สวํ นความผดิ ฐานขมํ ขืนเฉพาะคนร๎ายที่ทาการขํมขืนเทํานั้น

ตัวอย่างที่ 3 จาเลยสองคนกับพวกอีกคนหน่ึงรํวมกันไปลักทรัพย์จาเลยทั้งสองคอย
อยทูํ ่ปี ระตรู ว้ั พวกจาเลยไปในบา๎ นและไดใ๎ ช๎ปนื ยิงเจา๎ ของทรัพย์เม่ือข๎อเท็จจริงฟังไมํได๎วําจาเลยท้ังสอง
ร๎ูวําพวกจาเลยผ๎ูน้ันมีอาวุธปืน การกระทาของพวกจาเลยจึงอยํูนอกความมุํงหมายหรือเจตนาของ
จาเลย จาเลยทั้งสองไมํผิดฐานพยายามปลน๎ และพยายามฆาํ คงผดิ เพียงพยายามลกั ทรพั ยเ์ ทํานั้น

(3) เจตนาร่วมกันนั้นต้องมีอยู่ไปตลอด หมายความวํา การกระทาความผิดที่มี
เจตนารํวมกันนั้นจะต๎องกระทาโดยเจตนารํวมกันอยํูตลอดไปจนกวําการกระทาจะเกิดเป็นความผิด
สาเรจ็ หากเจตนารํวมกนั น้นั สุดสิน้ ลงกอํ นถงึ ขนั้ นน้ั การํวมกนั กระทาความผดิ ก็มมิ ไี ด๎เพยี งน้นั

ตัวอย่างที่ 1 จาเลยท่ี 1 ทะเลาะกับผู๎ตายอยํูริมรั้ว จาเลยที่ 2 ถือมีดพร๎าวิ่งลง
จากบ๎านพร๎อม ฟันให๎ตายๆ การแสดงออกด๎วยกริยาและคาพูดของจาเลยท่ี 2 สํอแสดงให๎เห็นวํา
จาเลยที่ 2 มีเจตนาจะฆําผู๎ตาย ฉะนั้นจาเลยที่ 1 คว๎ามีดพร๎าจากจาเลยที่ 2 เม่ือจาเลยท่ี 1 ฟัน
ผ๎ูตายแล๎วได๎โยนมีดข๎ามร้ัวมาให๎จาเลยท่ี 2 จาเลยท่ี 2 ก็เป็นผู๎พามีดพร๎าวิ่งหนีไป การกระทาของ

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 189

จาเลยท่ี 2 ดังกลําวถือวําเป็นการรํวมกับจาเลยที่ 1 ฆําผ๎ูตาย จาเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็น
ตัวการกบั จาเลยท่ี 1 ตาม ป.อ. มาตรา 83 (คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 382/2512)

เมื่อครบองค์ประกอบทง้ั สามประการนแ้ี ล๎ว จงึ ถือวําเป็นตัวการในการกระทาความผิด
แตํมีบางกรณีแม๎จะทาครบองค์ประกอบทั้งสามประการแล๎วก็ตามไมํถือวําเป็นตัวการ ได๎แกํ กรณี
ความผดิ ทีก่ ฎหมายบญั ญัตวิ าํ ผกู๎ ระทาจะตอ๎ งมคี ุณสมบัตพิ ิเศษ ซง่ึ ความผิดชนิดน้ีผู๎ที่จะกระทาความผิด
ได๎ต๎องเป็นเจ๎าพนักงานเทํานั้น บุคคลธรรมดาไมํมีคุณสมบัติท่ีจะกระทาความผิดชนิดน้ีได๎ ด๎วยเหตุน้ี
บุคคลธรรมดาที่รวํ มกระทาผิดดว๎ ยจึงเป็นได๎แคํผ๎สู นบั สนุนเทํานนั้

ตัวอย่างท่ี 1 คาพพิ ากษาฎีกาที่ 407/2509 รํวมกับเจ๎าพนักงานออกใบสุทธิปลอม
จาเลยที่ 1 เป็นเจ๎าพนักงานออกใบสุทธิในหน๎าท่ีโดยจดเปลี่ยนแปลงข๎อความไมํตรงตํอความเป็นจริง
และผิดระเบียบ เพื่อให๎จาเลยท่ี 3 นาไปแสดงตํอผู๎บังคับบัญชาในการขอบาเหน็จความชอบน้ัน
จาเลยที่ 1 ได๎ชื่อวําปฏิบัติหน๎าที่โดยมิชอบเพื่อให๎เกิดความเสียหายอันเป็นความผิดตามมาตรา 157
แตํจาเลยท่ี 3 ไมํได๎เป็นเจ๎าพนักงานผ๎ูมีหน๎าทีในการนี้เมื่อได๎รํวมกับเจ๎าพนักงานกระทาความผิด
จาเลยท่ี 3 ยํอมมโี ทษผิดฐานเปน็ ผ๎สู นับสนุนตามาตรา 86

ตัวอย่างที่ 2 คาพิพากษาฎีกาที่ 657/2513 รํวมกับเจ๎าพนักงานเรียกสินบน
จาเลยท่ี 1 เปน็ ผูใ๎ หญบํ า๎ นซ่ึงทางอาเภอแตํงตง้ั ให๎เป็นกรรมการสารวจท่ีดินได๎เรียกประชุมลูกบ๎านให๎มา
แจงความสารวจ จาเลยท่ี 1 เรียกให๎จาเลยอ่ืนมาอีก 4 คนซ่ึงเป็นผู๎ชํวยผ๎ุใหญํบ๎านและราษฎรมา
ชวํ ยกนั ในการน้ี และจาเลยท้งั 5 คน ได๎รํวมกนั เรียกรอ๎ งเอาเงินจากราษฎร อ๎างวําเป็นคําธรรมเนียม
ถ๎าไม๎ให๎ก็จะไมํรับแจ๎ง ดังน้ันจาเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นเจ๎าพนักงานใช๎อานาจในตาแหนํงโดยมิ
ชอบตามมาตรา 148 สวํ นจาเลยนอกนั้นมคี วามผดิ เพยี งฐานเปน็ ผ๎ูสนบั สนนุ

ในความผิดบางอยํางอาจกระทาผิดโดยบุคคลทั่วไปได๎ มียกเว๎นเฉพาะบุคคลบาง
ประเภทท่กี ฎหมายบญั ญตั ิไว๎เทาํ น้ัน เชํน ความผิดฐานขํมขนื กระทาชาเราตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 276 กฎหมายใช๎คาวํา “ผู๎ใด” แตํข๎อความในตัวบทมีความหมายยกเว๎นสาหรับบุคคล
2 ประเภท คอื

(1) สามีของหญิงนัน้
(2) หญิงด๎วยกนั
หมายความวําบุคคลสองประเภทนี้ หากกระทาด๎วยตนเองแล๎วจะไมํมีความผิดฐาน
ขมํ ขืนกระทาชาเรา แตํรวํ มกบั ผ๎อู ่ืนกระทามีความผิดฐานเปน็ ตวั การตามมาตรา 83 ได๎

ตัวอย่างท่ี 1 สมานขํมขืนกระทาชาเราสมรภริยาของตน สมานไมํมีความผิดตาม
มาตรา 276 แม๎วาํ สมัครเพ่ือนของสมานจะรบั อาสาดูต๎นทางให๎ก็ตาม สมัครก็ไมํเป็นตัวการตามมาตรา
83 เพราะการกระทาของสมานไมํเปน็ ความผิด สมคั รจงึ ไมเํ ปน็ ตวั การ

190 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

ตัวอย่างท่ี 2 สนิทโกรธภริยาตนเอง จึงบอกให๎สนั่นเพ่ือนของตนมาขํมขืนกระทา
ชาเราภริยาของสนิท โดยสนิทรับอาสาดูต๎นทางให๎ในขณะท่ีสน่ันกระทาการขํมขืน ดังน้ันถือวําสนิท
และสนั่นเปน็ ตัวการกระทาความผดิ รํวมกันตามาตรา 276, 83 กรณีตามตัวอยํางนี้ สนิทมิได๎ขํมขืนเอง
แตไํ ด๎รํวมกับผอู๎ ืน่ กระทาจึงมีความผดิ ฐานเปน็ ตวั การ

จากตวั อยํางท่ี 2 น้ีจะเห็นได๎วํา สามีของหญิงก็อาจเป็นตัวการรํวมในการกระทาผิด
ของคนอ่ืนได๎

สาหรับหญิงด๎วยกันเองนั้น มีคาพิพากษาฎีกาที่ 250/2510 วินิจฉัยวําหญิงก็อาจ
เป็นตัวการรํวมกันในความผิดฐานขํมขืนกระทาชาเราได๎ ถ๎าหญิงรํวมกระทาในขณะชายกระทาการ
ขํมขืนหญิงอื่น แม๎โดยสภาพหญิงจะขํมขืนหญิงด๎วยกันไมํได๎ เพราะความผิดฐานขํมขืนกระทาชาเรา
เป็นความผิดท่ีรํวมกันกระทาได๎ โดยผ๎ูรํวมกระทาความผิดต๎องเป็นผู๎ลงมือชาเราเองเพียงแตํคนใดคน
หนง่ึ กระทาชาเรา หญงิ ชํวยจบั แขนขาไมํให๎ด้ินเป็นตัวการตามาตรา 83 ได๎ และมาตรา 276 หาได๎
บัญญัติเป็นความผิดเฉพาะเทํานั้น กฎหมายใช๎คาวําผ๎ูใด (คาพิพากษาฎีกาท่ี 59/2524 วินิจฉัยไว๎
ทานองเดยี วกัน)

ความรับผิดชอบของตัวการด๎วยกัน ตามมาตรา 83 ได๎กาหนดให๎ตัวการรับโทษ
สาหรับความผิดนน้ั ๆ แล๎วแตํวาํ ได๎รํวมกระทาความผิดอยํางใด สาหรับการลงโทษศาลจะลงโทษเทําๆ
กันทกุ คน หรอื ย่งิ หยํอนกวาํ กันได๎ความเหมาะสมกบั ลกั ษณะของผูก๎ ระทาความผดิ แตํละคน

ตัวอย่างกบั คาพิพากษาฎีกาเกยี่ วกับตัวการ
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1628/2530 กํอนเกิดเหตุทาร๎ายผู๎เสียหาย จาเลยที่ 1 ถามจาเลยท่ี 2
วําออกจากบ๎านผู๎เสียหายแล๎วรู๎จักทางไหม จาเลยท่ี 2 ตอบวํารู๎จัก และจาเลยที่ 2 เข๎าห๎องน้า
พร๎อมกับจาเลยที่ 3 แล๎วออกจากห๎องน้าพร๎อมกัน ท้ังเม่ือผ๎ูเสียหายถูกจาเลยที่ 1 ทาร๎ายแล๎วร๎อง
ขอใหจ๎ าเลยท่ี 2 ชวํ ยจาเลยที่ 2 ตอบวําชํวยไมํได๎นั้น พฤติการณ์ดังกลําวยังไมํเพียงพอที่จะฟังได๎วํา
จาเลยที่ 2 เป็นตวั การในการพยายามฆําผูเ๎ สยี หายด๎วย

คาพิพากษาฎีกาที่ 2355/2530 จาเลยที่ 2 และที่ 3 รุกชกตํอยผ๎ูตายในขณะเกิดเหตุ
ชุลมุนระหวํางพวกจาเลยที่ 1 กับพวกผู๎ตาย แล๎วจาเลยที่ 1 หยิบมีดตกอยูํบนพื้นแทงผู๎ตายถึงแกํ
ความตายโดยจาเลยที่ 2 และที่ 3 ไมํอาจคาดคะเนได๎ลํวงหน๎าวําจาเลยท่ี 1 จะใช๎มีดแทงผู๎ตายท้ัง
ไมอํ าจเลง็ เห็นได๎วําผ๎ูตายจะถูกทารา๎ ยจนถึงแกํความตาย และการท่ีจาเลยท่ี 2 และที่ 3 ไมํขัดขวาง
ห๎ามปรามจาเลยที่ 1 ก็มิใชํเป็นข๎อบํงช้ีวําจาเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาฆําผ๎ูตาย ดังนี้จาเลยท่ี 2
และที่ 3 จึงไมํมีความผิดฐานเป็นตัวการฆําผู๎ตาย คงรับผิดชอบเฉพาะเป็นตัวการทาร๎ายผู๎ตายตาม
มาตรา 390

คาพิพากษาฎีกาท่ี 227/2529 จาเลยกับพวกรํวมกันจับผู๎เสียหายให๎ล๎มลง แล๎วชํวยกันจับ
แขนขาผ๎ูเสียหายให๎พวกของจาเลย 2 คนผลัดกันกระทาชาเราผ๎ูเสียหายจนสาเร็จความใครํคนละคร้ัง

เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 191

อันเปน็ การกระทาความผดิ ฐานโทรมหญงิ การกระทาของจาเลยเป็นการกระทาความผิดอันเป็นตัวการ
ตาม ป.อ. มาตรา 83 แม๎จาเลยมไิ ด๎กระทาชาเราผ๎ูเสยี หายก็ถือวาํ เป็นตวั การขํมขืนกระทาชาเราอันมี
ลักษณะเปน็ การโทรมหญงิ ดว๎ ย

คาพพิ ากษาฎกี าที่ 980/2529 จาเลยรํวมรเ๎ู หน็ มากํอน ข. จะไปยิงผู๎เสียหาย จาเลยรํวมไป
กับ ช.เป็นการใหก๎ าลังใจ เม่ือ ช. ยงั ผู๎เสียหายแลว๎ จาเลยแสดงตวั เปน็ พวก ช. ทันทีโดยร๎องห๎ามมิให๎
เข๎าไปชํวยผ๎ูเสียหาย เป็นการแสดงให๎ผู๎อื่นเห็นวํา ช. ไมํได๎มาตนเดียวแล๎วจาเลยกับ ช. หลบหนีไป
พร๎อมกัน ดังน้ีถือวําจาเลยรํวมกับ ช. ใช๎อาวุธปืนยิงผ๎ูเสียหาย จาเลยเป็นตัวการตาม ป.อ. มาตรา
83

คาพิพากษาฎีกาที่ 3249/2528 จาเลยซึ่งเป็นเจ๎าของบ๎านสถานที่จาหนํายน้ามันเช้ือเพลิง
ยอมให๎คนขับรถยนตบ์ รรทกุ นา้ มันเข๎าไปสบู ถํายน้ามันโดยใชส๎ ถานท่ีและเคร่ืองใช๎ของตนดังนี้จาเลยรํวม
เปน็ ตวั การลักนา้ มนั และปลอบปนนา้ มันด๎วย

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1464/2526 จาเลยรํวมปล๎นทรัพย์โดยขับรถไปสํงและรอรับพาคนร๎าย
หลบหนีไป การท่ีคนร๎ายคนหน่ึงใช๎มีดแทงภริยาผู๎เสียหายถึงแกํความตาย แม๎จาเลยจะน่ังรออยูํในรถ
มิได๎รู๎เห็นด๎วยในการแทง ก็มีความผิดฐานปล๎นทรัพย์เป็นเหตุให๎ผู๎อื่นถึงแกํความตาย ป.อ. มาตรา
340 วรรคหา๎

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1307/2526 ส. บอกจาเลยวํามีเรื่องกับคนอ่ืนให๎ไปชํวย ระหวําง ส.
มอบปืนใหเ๎ มอื่ ถงึ ที่เกิดเหตุจาเลยเดินตาม ส. ไปไกล ๆ คอยมองดูรอบ ๆ บริเวณทานองเป็นการค๎ุม
กัน เม่ือ ส. ยงิ ผต๎ู ายแลว๎ จาเลยกห็ นีไปด๎วยกนั แมจํ าเลยมไิ ด๎ยงิ ผต๎ู าย แตํพฤติการณ์แสดงวําจาเลย
มเี จตนารํวมกบั ส. ยิงผ๎ูตาย เปน็ การแบงํ หน๎าทก่ี ันทา จาเลยจึงเป็นตวั การฆาํ

คาพิพากษาฎีกาท่ี 464/2523 จาเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปจอดคอยอยูํที่ปากซอยผู๎เสียหาย
จาเลยที่ 2 และพวก 2 คนเขา๎ ไปปล๎นทรัพย์ผ๎ูเสยี หายแล๎วหนีขึ้นรถยนต์ของจาเลยท่ี 1 จาเลยที่ 1
ขับรถยนต์พาจาเลยที่ 2 และพวกหนีออกไปในลักษณะรีบร๎อน เชํนนี้ถือได๎วําจาเลยท่ี 1 รํวมกับ
จาเลยที่ 2 ปลน๎ ทรัพยโ์ ดยแบํงหน๎าที่กนั ทา จึงเปน็ ตัวการในความผดิ ฐานปล๎นทรพั ย์

คาพิพากษาฎีกาท่ี 2020/2519 คนร๎ายสองคนออกจากปุามาแก๎กระบือท่ีผ๎ูเสียหายผูกไว๎ท่ี
หน๎ากระทํอม ขํูผ๎ูเสียหายแล๎วจูงกระบือไปสมทบกับพวกอีกคนหน่ึงที่ยืนอยํูชายปุาหําง 1 เส๎น ไลํ
ตอ๎ นกระบอื ไปด๎วย เปน็ การวางแผนแบํงหน๎าทก่ี นั ทา ทง้ั 3 คนเปน็ ตัวการปลน๎ ทรพั ย์

คาพิพากษาฎีกาท่ี 237/2561 จาเลยท่ี 1 วางแผนให๎จาเลยอื่นไปทาการปล๎นทรัพย์
จาเลยอน่ื ไปปลน๎ ทรพั ย์ตามแผนดังกลาํ ว จาเลยที่ 1 ไมํได๎ไปดว๎ ย ถือไมํได๎วําจาเลยที่ 1 เป็นตัวการ
ในการกระทาผดิ ฐานปล๎นทรพั ย์

192 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

คาพิพากษาฎกี าท่ี 1352/2508 จาเลยกับพวกรํวมกันชิงทรัพย์เขามา พวกของจาเลยมีมีด
เมือ่ ชงิ ทรัพยไ์ ด๎แลว๎ ก็พากันหนี มีตารวจไลํติดตาม จาเลยกับพวกแยกกันว่ิงหนีไปคนละทางกันแล๎วไมํ
นานพวกจาเลยแทงตารวจผูไ๎ ลตํ ดิ ตาม วินิจฉัยวําการแทงเกิดเมื่อแยกทางกันหนีไปคนละทิศแล๎ว เป็น
การขาดตอนจากกนั เพียงแตํจาเลยทราบวําพวกของจาเลยมีมีด ยังไมํพอท่ีจะถือวําจาเลยเป็นตัวการ
มีความผดิ ฐานชิงทรัพย์เทาํ นั้น

สว่ นที่ 2
ผ้ทู ่กี ่อใหผ้ ู้อนื่ กระทาผิดเรยี กว่า ผู้ใช้

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 บัญญัติวํา “ผ๎ูใดกํอให๎ผู๎อื่นกระทาผิดไมํวําด๎วยการใช๎
บงั คับ ขูํเขญ็ จ๎าง วาน หรือยุยงสงํ เสรมิ หรอื ดว๎ ยวิธีอื่นใด ผ๎นู น้ั เปน็ ผูใ๎ ช๎ใหก๎ ระทาความผิด”

ถ๎าผ๎ูถูกใช๎ได๎กระทาความผิดน้ัน ผ๎ูใช๎ต๎องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ๎าความผิดมิได๎กระทาลง
ไมวํ าํ จะเป็นเพราะผถ๎ู กู ใช๎ไมํยอมกระทา ยังไมํได๎กระทา หรือเหตุอ่ืนใดผู๎ใช๎ต๎องระวางโทษเพียงหน่ึงใน
สามของโทษทกี่ าหนดไวส๎ าหรับความผดิ นั้น

ตามบทบัญญัติในมาตรา 84 นี้ แยกพิจารณาได๎ 2 กรณคี ือ
1. กรณีผู๎ถกู ใชไ๎ ดก๎ ระทาความผิด
2. กรณผี ู๎ถกู ใช๎มิได๎กระทาลง

1. กรณีผู้ถูกใช้ได้กระทาความผดิ ซงึ่ ตอ๎ งประกอบดว๎ ยหลกั เกณฑด์ งั ตํอไปนี้
1.1 ตอ๎ งมกี ารกระทาอันกอํ ให๎ผ๎อู ื่นกระทาความผดิ
1.2 ต๎องมเี จตนากํอใหผ๎ ูอ๎ ื่นกระทาความผดิ
1.3 ตอ๎ งมผี ล คือมคี วามกระทาลงตามที่กอํ นน้ั

1.1 ต้องการกระทาอันก่อให้ผู้อื่นกระทาความผิด หมายความวําเป็นการกระทาท่ี
ผู๎อื่นยอมตกลงที่จะไปกระทาความผิด หากผ๎ูอ่ืนนั้นมีเจตนาท่ีจะกระทาความผิดอยํูแล๎ว ได๎ไปกระทา
ใหผ๎ ๎อู น่ื กระทาความผิดอันเดียวกันนน้ั อยาํ งนมี้ ิใชํเป็นการกอํ ให๎ผอ๎ู ื่นกระทาความผิด เชํน ก. มีเจตนา
จะฆาํ ข. อยูแํ ล๎ว ขณะทก่ี าลงั เดินทางไปฆาํ ข. ค. ได๎มาจ๎าง ก. ให๎ไปฆํา ข. และ ก. ก็ ยอมรับจ๎าง
ก. ไปฆาํ ข. ตาย เชํนนมี้ ิใชํการกํอให๎ผูอ๎ ่ืนกระทาความผดิ เพราะการที่ ก. ไปฆาํ ข. นั้น ก. ได๎มีเจตนา
อยํูกํอนที่ ค. จะไปจ๎างเมื่อ ค. ไปจ๎าง ก. ก. อาจเห็นวําตนเองก็ต้ังใจท่ีจะฆําอยูํแล๎ว เมื่อมีคนมาจ๎างก็
เปน็ การดี จะได๎คําจา๎ งดว๎ ย ฉะนน้ั การกอํ นี้เป็นกากระทาให๎ผู๎อื่นยอมตกลงท่ีจะกระทาความผิด คาวํา
ผู๎อ่นื นหี้ มายถึงผ๎ูท่ียอมตกลงกระทาความผิดซึ่งตํางกับผ๎ูกํออาจมีหลายคนเป็นทอด ๆ ไป เชํน ก. ใช๎ ข.
ไปจ๎างมอื ปืนฆํา ค. ข. ไดไ๎ ปจา๎ งแดงมอื ปนื ใหไ๎ ปฆํา ค. แดงตกลงที่จะกระทาความผิดตามท่ี ข. วําจ๎าง
แดงเป็นผอู๎ ื่นทถ่ี ูกกระทาความผดิ สํวน ก. และ ข. เป็นผูก๎ ํอใหแ๎ ดงกระทาความผิด

เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา 193

วิธีการกํอใหผ๎ อ๎ู ่ืนกระทาความผดิ แยกออกเปน็ 2 ประการ คอื
ก. การกํอให๎กระทาความผิดโดยตรง ซ่ึงได๎แกํ การใช๎ บังคับ ขูํเข็ญ จ๎าง วาน
หรือยยุ งสํงเสริม
ข. การกอํ ใหผ๎ ูอ๎ ่ืนกระทาความผดิ โดยทางอ๎อมด๎วยวิธีอยํางใดอยํางหน่ึงหมายถึง การ
กํอด๎วยวิธีการกํอให๎กระทาความผิดนั้นผ๎ูน้ันกระทาความผิดเพราะบุคคลน้ันกํอข้ึนหรือไมํ หรือผ๎ูน้ันตก
ลงใจวําการกํอให๎ผ๎ูนั้นตกลงใจกระทาเชํนน้ัน เชํน ยุแหยํให๎บุคคลนั้นโกรธคนอ่ืน ชักจูงใจให๎กระทา
ความผิด หรือพูดเป็นเชิงย่ัวยุ หรือท๎าทายวําไมํกล๎าทา หรือมีการสั่งให๎กระทา แตํทั้งนี้จะต๎องไมํใชํ
เพียงแตกํ ลาํ วเป็นเชิงแนะนา หรือไมํได๎ขัดขวางการท่ีบุคคลอ่ืนกระทาความผิดอยํูแล๎วกลับยืนดุเฉยอยํู
เพราะเป็นคนชอบดู กรณดี ังกลาํ วไมํเรยี กวําเป็นการกอํ ให๎ผอู๎ ่ืนกระทาความผดิ 1
การกอํ ให๎ผู๎อ่ืนหรอื ใชใ๎ ห๎ผู๎อนื่ กระทาความผดิ น้ี เป็นการใช๎ระหวํางบุคคลตํอบุคคลเป็น
คนๆไป แม๎จะมีการใช๎หลายตํอ ๆ กันไป ก็ต๎องเป็นระหวํางบุคคลเหมือนกัน ไมํใชํใช๎บุคคลท่ัวไปโดย
ประกาศโฆษณาตามความในมาตรา 85 สาหรับบุคคลท่ีถูกใช๎นั้นไมํจาเป็นท่ีจะต๎องรู๎จักตัวการผ๎ูใช๎ให๎
กระทาความผิด เพราะอาจมีการใช๎กันตํอๆ ไปหลายทอด เชํน ก. ใช๎ให๎ ข. ไปจ๎าง คนยิง ค.ให๎ตาย
ข. จงึ ไปจ๎าง ง.ให๎ยิง ค. ถ๎า ง. ไปรับทาตามที่จ๎าง หรืรับทาแล๎วแตํไมํทาตํอไป ก็เรียกวํา ก. และ ข.
เปน็ ผ๎ูใช๎ให๎ ง. กระทาความผดิ ตามาตรา 84 หรือรับทาแลว๎ แตไํ มทํ าตอํ ไป กเ็ รยี กวาํ ก. และ ข. ก็เป็น
ตัวการผู๎ใช๎ให๎ฆํา ค. สาระสาคัญจึงอยํูที่วํา ข. ได๎ไปจ๎าง ง.หรือยัง ข. รับใช๎แล๎วแตํยังไมํได๎ไปจ๎าง ง.
หรือไมํยอมรับใช๎ ก. ไปจ๎าง ง. ดังนี้ ก. ก็ยังไมํมีความผิดฐานเป็นผู๎ใช๎ให๎กระทาความผิด (คาพิพากษา
ฎกี าท่ี 392/2496)

การกอํ ใหผ๎ ูอ๎ น่ื กระทาความผิดจะต๎องเป็นความผิดตามกฎหมาย ถ๎าการกระทาที่ผ๎ูถูก
ใช๎กระทาลงไปน้ันไมํเป็นความผิดหรือไมํต๎องรับโทษสาหรับความผิดน้ัน ผ๎ูใช๎ให๎กระทาความผิดก็ไมํมี
ความผิดหรอื ไมตํ ๎องรับโทษสาหรบั ความผิดนั้นด๎วยเพราะ เปน็ เหตุในลกั ษณะคดี แตํถ๎าการใช๎ให๎กระทา
นั้นเป็นความผิดตามกฎหมายแลว๎ ผใ๎ู ชใ๎ หก๎ ระทาความผิดก็ตอ๎ งรับโทษเสมอื นตงั การในความผิดน้ัน แมํผู๎
ถูกใช๎จะมีข๎อแก๎ตัวไมํต๎องรับโทษ เชํนใช๎เด็กอายุไมํเกน 7 ปี กระทาความผิดหรือใช๎คนวอกลจริต
กระทาความผิด ซึ่งบุคคลท้ังสองประเภทนั้นไมํต๎องรับโทษ แตํผู๎ใช๎ให๎กระทาความผิดยังต๎องรับโทษ
เสมอื นตัวการในความผิดนั้นเพราะเหตุสํวนตวั

1.2 ต๎องมีเจตนากํอให๎ผู๎อ่ืนกระทาความผิด หมายความวําผ๎ูกํอน้ันจะต๎องมีเจตนา
จะเปน็ เจตนาโดยประสงค์ตอํ ผลหรอื ยอํ มเล็งเห็นผลก็ตาม ให๎ผู๎อื่นกระทาความผิดหากผ๎ูกํอมิได๎มีเจตนา
ก็ไมํถอื เป็นการกอํ ตามมาตรา 84

1 สปุ ัน พลู พัฒน์, คาอธิบายประมวลกฎหมายอาญา, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พแ์ สวงสุทธิการพิมพ,์ 2515), หน๎า 443.

194 เอกสารประกอบการสอน วชิ า กฎหมายอาญา

1.3 ต๎องมีผล คือมีความผิดกระทาลงตามที่กํอนั้น หมายความวําการกํอให๎เกิดการ
กระทาผิดตํอมผี ล กลาํ วคอื มกี ารกระทาความผดิ เกิดขึน้ เป็นผลจากการกระทาของผู๎กํอเป็นเหตุ และมี
การกระทาความผดิ เกิดข้นึ เป็นผลจากการกระทาของผ๎กู อํ

แตํถ๎าการกระทาของผ๎ูถูกใช๎ท่ีเป็นผลของการการทาของผ๎ูกํอไมํเป็นความผิด ตาม
กฎหมาย ผ๎ูกํอให๎เกิดการกระทาน้ันก็ไมํเป็นผ๎ูกํอให๎เกิดความผิดเชํนเดียวกัน เชํน ยุให๎ฆําตัวตายไมํ
เป็นตัวการผ๎ูใช๎มนความผิดฐานฆําคน ในข๎อน้ีต๎องพิจารณาวําการกระทาของผ๎ูถูกใช๎เป็นความผิดตาม
กฎหมายหรอื ไมํ ถ๎าการกระทาของผูถ๎ ูกใชเ๎ ป็นความผดิ แมผ๎ ถู๎ ูกใช๎จะมขี ๎อแกต๎ ัวไมํต๎องรับโทษ ถ๎าไมํใชํ
ลกั ษณะคดตี ามมาตรา 89 แลว๎ ผใู๎ ช๎ก็ยงั ต๎องรบั โทษเสมือนเปน็ ตัวการ เชํน ก. ใช๎ ข. ให๎ยิง ค. ข. ยิง
ค. ตามท่ใี ชแ๎ ตํกระสนุ ปืนพลาดไปถูก ง. ตาย ก็มีความผิดฐานตัวการผ๎ูใช๎ให๎ฆําคนเพราะการกระทาของ
ข. ผถู๎ ูกใชท๎ ี่ยงิ ค. พลาดไปถูก งง ยงั เป็นความผดิ ตามมาตรา 60 หรือ ข. สาคัญผิดวํา ง. เป็น ค. ก็ดี
สาคญั ผิดวํา ก. ใช๎ให๎คงยิง ง. ก็ดี ก็มีผลอยํางเดียวกัน แตํถ๎า ข. ต้ังใจยิง ง. โดฝุาฝืนคาส่ังของ ก. ก.
ไมใํ ชํตัวการเพราะใช๎เพราะการกระทาเป็นผลจากเจตนาของ ข. เอง มใิ ชผํ ลของการที่ ก. ใช๎ให๎ ข. ทา

ผลของการใช๎ในกรณีผู๎ถกู ใช๎ได๎กระทาความผิดท่ีใช๎ มาตรา 84 วรรคสอง บัญญัติวํา
“ผ๎ูใช๎ต๎องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ” หมายความวําผ๎ูใช๎ต๎องรับโทษเสมือนเป็นผู๎รํวมกระทาความผิด
ตามมาตรา 83 น่ันเอง

เกีย่ วกบั การใชใ๎ ห๎กระทาความผิดนี้ ศาลฎีกาได๎วินิจฉัยแยกแยะออกไปอีกวําความผิด
ทผ่ี ๎ูถูกใช๎ไดก๎ ระทาข้ึนน้ันเป็นความผิดในตัวเองหรือเป็นความผิดโดยตรงหรือเป็นความผิดเพราะเหตุอื่น
เชํน เพราะไมไํ ดร๎ ับอนญุ าต หรือเพราะคุณสมบตั เิ ฉพาะตัว บคุ คลผ๎ูกระทา ศาลฎีกาวินิจฉัยวําการใช๎
ให๎กระทาความผิดซ่ึงผ๎ูกระทาจะต๎องระวางโทษฐานเป็นตัวการนั้น การที่ใช๎ให๎ทาจะต๎องเป็นความผิด
ตํอกฎหมายโดยตรง ถา๎ เปน็ ความผดิ เพราะไมํไดร๎ บั อนุญาต หรือเพราะเป็นคุณสมบัติเฉพาะตังผู๎กระทา
แล๎ว ผู๎ใช๎เป็นตัวการในการกระทาความผิดนั้นด๎วย เชํน ใช๎เจ๎าพนักงานผู๎ที่กระทาผิด ผู๎ใช๎ยํอมไมํ
สามารถรับโทษเป็นตวั การกระทาความผิดนนั้ ด๎วย เชํน ใช๎เจ๎าพนักงานผท๎ู ่ีกระทาความผิด ผู๎ใช๎ยํอมไมํ
สามารถรับโทษเสมือนเป็นตัวการด๎วยนั้น เชํน ใช๎เจ๎าพนักงานผ๎ูที่กระทาผิด ผู๎ใช๎ยํอมไมํสามารถรับ
โทษเสมือนเป็นตัวการกด๎วย เชํน ใช๎เจ๎าพนักงานผู๎ที่กระทาความผิด ผ๎ูใช๎ยํอมไมํสามารถรับโทษ
เสมอื นเป็นตัวการด๎วยโดย เชํน จะเป็นได๎ก็แตํผสู๎ นบั สนนุ

กรณีไมํใชํความผิดเฉพาะตัว ผ๎ูมีคุณสมบัติเฉพาะตามท่ีกฎหมายบัญญัติเป็น
องค์ประกอบความผิดไว๎ ยํอมเป็นความผิดที่ไมํวําผู๎ใดกระทาก็ยํอมมีความผิดได๎ทั้งสิ้น ฉะนั้นถึง
ประกอบความผิดไว๎ ยํอมเป็นความผิดที่ไมํวําผ๎ูใดกระทาก็ยํอมมีความผิดได๎ท้ังส้ิน ฉะนั้นถึงแม๎
ความผิดบางอยํางโดยสภาพจะกระทาได๎เฉพาะบุคคลบางคนหรือบางพวก เชํน แม๎สามีจะเป็น
ผู๎กระทาความผิดฐานขํมขืนกระทาชาเราภริยาไมํได๎ ก็เป็นเหตุยกเว๎น ก็เป็นเหตุยกเว๎นเฉพาะสามี
กระทาด๎วยตนเองเทําน้ัน ถ๎าใช๎ผู๎อื่นกระทาก็เป็นตัวการได๎เชํนเดียวกับตนรํวมการะทากับผ๎ูที่เป็นผ๎ูลง
มือกระทาเหมอื นกัน หญงิ กอ็ าจเปน็ ตวั การใช๎ชายอ่นื กระทาความผดิ ฐานขํมขืนการทาชาเราได๎


Click to View FlipBook Version