ได้แก่ ภารกิจของหน่วยงาน (Function - Based) ความต้องการของประชาชนในพ้ืนที่ (People -
Centered/Area - Based) และเปน็ การพัฒนาองคก์ ร/งาน (Organizational Development)
อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้เป็นการกำหนดแผนพัฒนาในระยะ 5 ปี ซึ่งเป็นแผนระยะกลาง
ดังนั้นจึงได้ใช้ “เป้าหมายการพัฒนา” แทน “วิสัยทัศน์” ใช้ “ประเด็นการพัฒนา” แทน “ยุทธศาสตร์”
และ ใช้ “แนวทางการพฒั นา” แทน “กลยุทธ”์
2. กรอบแนวคิดในการจดั ทำยทุ ธศาสตร์
การจดั ทำยทุ ธศาสตรเ์ ปน็ แนวคดิ เชิงระบบมีกระบวนการหลัก 4 ประการ (ดำรงค์ วัฒนา, 2553)
ไดแ้ ก่
1) การตรวจสอบสภาพแวดลอ้ ม (environmental scanning)
2) การกำหนดยทุ ธศาสตร์ (strategy formulation)
3) การนำยุทธศาสตรไ์ ปปฏิบัติ (strategy implementation)
4) การประเมินผลและควบคมุ (evaluation and control)
3. วงจรแผนยุทธศาสตร์
ยุทธศาสตร์เป็นการดำเนนิ ระยะยาว ไมส่ ามารถคดิ ครัง้ เดียวแลว้ หยดุ ได้ จำเปน็ ต้องมกี ารปรับปรงุ
อย่างต่อเน่ือง ดังนั้นการดำเนินการจึงมีลักษณะของการพัฒนาและหมุนหนุนขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยวงจร
ของแผนยุทธศาสตร์มดี ังนี้ (สำนกั งานปลัดกระทรวงมหาดไทย, 2560)
๑) การวางแผน (Plan) ประกอบด้วยกจิ กรรมหลัก ดังนี้
(1) แต่งต้ังคณะกรรมการ/คณะทำงานจดั ทำแผนยทุ ธศาสตร์
(2) ศึกษา วเิ คราะห์นโยบาย ยุทธศาสตร์ภารกจิ /พนั ธกจิ ของหนว่ ยงาน
(3) จัดทำแผนยุทธศาสตร์ (ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ พันธกิจ ประเด็นยุทธศาสตร์
เป้าประสงคต์ ัวชว้ี ดั ค่าเป้าหมาย กลยุทธ์แผนงาน โครงการ กิจกรรม งบประมาณ)
๒) การปฏิบัติตามแผน (Do)
(1) การแปลงเป็นแผนปฏิบัติการ แผนปฏบิ ัติประจำปี (Action Plan) ไปสกู่ ารปฏิบัติ
(2) การถ่ายทอดแผนยทุ ธศาสตร์/แผนปฏบิ ตั ิการเพื่อให้หนว่ ยงานใชเ้ ปน็ แนวทาง
ในการดำเนนิ งาน
(3) การเผยแพร่และประชาสมั พนั ธ์ให้บคุ ลากรในหน่วยงานทราบ
(4) การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์/แผนปฏิบัติการของหน่วยงานตาม
วิธกี าร/ขนั้ ตอนระยะเวลาท่ีกำหนดไว้
๓) การตรวจสอบการปฏิบัติตามแผน (Check)
(1) วดั ผลสำเรจ็ จากร้อยละเฉล่ียถว่ งน้ำหนักของงานหรือโครงการที่หน่วยงานทำได้
ในปีงบประมาณตามที่กำหนดไว้
(2) สรุปผลการติดตามและประเมินผล รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุง
การดำเนินงาน พร้อมท้ังจัดทำรายงานแจกจ่ายและเผยแพร่ในรูปของเอกสารและนำลงเว็บไซต์ของ
หนว่ ยงาน
สำนกั งานการทอ่ งเทีย่ วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 30 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
๔) การปรับปรงุ แก้ไข (Act)
(1) ทบทวนผลการดำเนินงาน ตามแผนยทุ ธศาสตร์/แผนปฏิบตั ิการในปีท่ีผ่านมา
เพื่อศึกษาปญั หา อุปสรรคในการดำเนนิ งาน สำหรับกำหนดกรอบ แนวทางการดำเนินงานในปีต่อไป
(2) ทบทวนตวั ช้ีวดั ค่าเป้าหมาย เพ่ือใหเ้ กิดความท้าทายในเชงิ ยุทธศาสตร์
(3 ทบทวนและปรับปรุง แผนยุทธศาสตร์/แผนปฏิบัติการ ให้สอดคล้องกับ
สภาพการณ์ทเี่ ปลย่ี นแปลงไป
จากคำนิยามขา้ งต้น สำนักงาน ก.พ.ร. ไดส้ รุปนยิ ามศัพท์และคำจำกัดความของแต่ละคำไว้
ดังน้ี
คำสำคัญ คำจำกดั ความ
วสิ ยั ทัศน์ (Vision) สิ่งที่อยากจะใหห้ นว่ ยงานเปน็ ในวนั ข้างหนา้
พนั ธกิจ (Mission) กรอบ ขอบเขตการดำเนินงาน
ประเดน็ ยุทธศาสตร์ (Strategic Issues) ประเด็นหลกั ท่ีตอ้ งคำนึงถึง มุ่งเน้น
เปา้ ประสงค์ (Goal) สง่ิ ท่ตี ้องการบรรลุ
ตวั ชี้วัด (Key Performance Indicators : KPI) สงิ่ ทจ่ี ะเปน็ ตัวบอกวา่ สามารถบรรลุเปา้ ประสงค์
ค่าเปา้ หมาย (Target) ตัวเลขหรือคา่ ของตัวชีว้ ดั ท่ีจะตอ้ งไปใหถ้ งึ
กลยุทธ์ (Strategy) สิง่ ท่ีจะตอ้ งทำเพือ่ ให้บรรลุเป้าประสงค์
โครงการ (Project) กจิ กรรมดำเนนิ การ/ปฏบิ ตั ิ
4. ขน้ั ตอนการจดั ทำแผนยุทธศาสตร์
ในการวางแผนยุทธศาสตร์ มขี นั้ ตอน ดงั น้ี (ดำรงค์ วัฒนา, 2559)
1) ขน้ั ตอนการเตรยี มจดั ทำแผน
PD
Plan Do
AC
Act Check
ภาพที่ 3 วงจร PDCA
สำนักงานการท่องเท่ียวและกีฬาจงั หวัดสงขลา 31 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
การจัดทำยุทธศาสตร์เป็นกระบวนการที่อาศัยการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
(Stakeholder) ทุกภาคสว่ น การพฒั นาแผนยุทธศาสตรท์ ไี่ ด้ผลสัมฤทธิ์ มขี น้ั ตอนย่อยดังน้ี
(1) แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำแผนยุทธศาสตร์ประกอบด้วย บุคลากรระดับ
รองหัวหน้าหน่วยงานเป็นหัวหน้าคณะทำงานมีผู้นำภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน และสมควรมีท่ี
ปรึกษาท่มี ีความเชี่ยวชาญด้านการวางแผนยุทธศาสตร์รว่ มด้วย เพื่อพจิ ารณายกร่างยุทธศาสตร์ที่สามารถ
นำไปปฏบิ ตั ไิ ด้ โดยการเชื่อมโยงไปสู่แผนปฏิบตั ิการ และนำเสนอต่อท่ีประชุมเชิงปฏบิ ัติการ (Workshop)
ของหนว่ ยงาน เพ่ือพิจารณาใหค้ วามเห็นชอบ
(2) การรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูล เพื่อประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์
ประกอบด้วย ข้อมูลพน้ื ฐานที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมลู ดา้ นสงั คม การเมอื ง การบรหิ ารและการปกครอง เศรษฐกิจ
ทรพั ยากรธรรมชาติ ฯลฯ และขอ้ มลู ขององค์กร
2) ขนั้ ตอนการวเิ คราะหศ์ กั ยภาพเพอื่ ประเมนิ สถานภาพในปจั จุบันขององค์กร
เม่ือดำเนินการตามแนวทางข้างต้นแล้ว สามารถเริ่มกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์
ตามตัวแบบการจัดทำแผนยุทธศาสตรท์ ่ีกำหนดไว้ โดยดำเนนิ การดังนี้
(1) ประเมินสถานการณ์ (Assessing the Situation) ทำโดยอาศัยการศึกษา
ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ได้แก่ ศึกษาข้อจากแหล่งข้อมูลทุตยิ ภูมิ เช่น รายงานผลการดำเนินงานขององค์กร
รายงานผลการตรวจประเมินผลองค์กร เป็นต้น เพื่อวิเคราะห์หาประเด็นเชิงยุทธศาสตร์สี่ด้าน คือ จุดแข็ง
จุดออ่ น โอกาส และภัยอุปสรรค หรือ SWOT นอกจากนี้ ควรมกี ารจดั เกบ็ ข้อมูลปฐมภูมิ เช่น การสัมภาษณ์
เพื่อหาประเด็น SWOT การสำรวจด้วยแบบสอบถามเพื่อหาน้ำหนักประเด็น SWOT หากมีข้อมูลเพียงพอ
ผจู้ ดั ทำควรจดั เตรียมข้อมลู จำเปน็ และยกรา่ ง SWOT ตลอดจนโครงรา่ งของยทุ ธศาสตร์ไว้เป็นการเบ้ืองต้น
(2) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) หรือระดับความคิดเห็น เพื่อการมีส่วนร่วม
จากทุกภาคส่วนทเ่ี กี่ยวข้อง ทง้ั ภาครัฐเอกชน และประชาชน ในกรณีของแผนยุทธศาสตร์จังหวดั ควรประกอบดว้ ย
ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงาน-รัฐวิสาหกิจ ผู้บริหาร
สถาบันการศึกษา องค์กรปกครอง ส่วนทอ้ งถิ่น ผ้แู ทนองค์กรภาคเอกชนและประชาชน เพอ่ื ระดมความคิดเห็น
และวเิ คราะหข์ อ้ มลู จากฐานข้อมูลปัญหา ความตอ้ งการ ปจั จัยสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก ท่ีแสดง
ถึงโอกาส ข้อจำกัด จุดอ่อน จุดแข็ง ในการพัฒนาจังหวัด โดยใช้หลักการ SWOT สำหรับกรณีของ
หน่วยงานทั่วไป ควรจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ โดยมีผู้เกี่ยวข้องที่สำคัญเข้าร่วมประชุม และครั้งสุดท้าย
ควรเชญิ ผู้แทนภาคประชาสงั คมและเอกชนเข้าร่วมประชุม
3) ขน้ั ตอนการจัดทำยุทธศาสตรฉ์ บบั สมบรู ณ์
คณะทำงานจัดทำแผนยุทธศาสตร์ร่วมกับผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ
(Workshop) นำผลจากการวิเคราะห์ SWOT ปรับปรุงวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์และกำหนดกลยุทธ์
หลักของยุทธศาสตร์ เพื่อให้คณะทำงานจัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์ และนำเสนอร่างแผนยุทธศาสตร์ ซ่ึง
ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ ประเด็นยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ และแผนปฏิบัติ ให้คณะผู้บริหาร
หรือกรรมการบริหารงานให้ความเห็นชอบ และแจ้งให้ที่ประชุมระดับบริหารทราบและให้ความเห็น และ
ปรบั แกค้ รงั้ สุดทา้ ย
คณะทำงานจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฉบับสมบูรณ์ ร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และ
ผู้รับผดิ ชอบหลกั เพ่ือรว่ มกันจัดทำแผนปฏิบัติราชการ (Action Plan) 4 ปี ปี xxxx- xxxx และแผนปฏิบัติราชการ
(Action Plan) ประจำปี เพอื่ ให้สอดคล้องตามยุทธศาสตร์ เป้าประสงค์ และกลยทุ ธห์ ลัก
สำนักงานการทอ่ งเทีย่ วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 32 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
5. ลักษณะของแผนยุทธศาสตร์
แผนยทุ ธศาสตร์มลี ักษณะ ดังต่อไปนี้
1) แผนยุทธศาสตร์ช่วยให้ได้แนวทางและทิศทางที่พัฒนามาจากสิ่งที่วิเคราะห์
สังเคราะห์ และเล็งเห็น อนาคต ไมใ่ ชก่ ารตดั สินอนาคต เพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้และทำนายอนาคตได้
2) แผนยุทธศาสตร์เป็นกระบวนการพลวัตรที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่พิมพ์เขียว
สำหรับอนาคต เนื่องจากในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายและรุนแรง ซึ่งจะมีโอกาส อุปสรรค
และ ปญั หาต่างๆ ใหม่ๆ เกดิ ขึ้นในอนาคต
3) แผนยุทธศาสตร์เป็นการตอบโจทย์ระยะยาวเป็นหลักสำคัญ การแก้ปัญหาวิกฤติ
เฉพาะหน้าควรมีแผน จัดการความเสี่ยง หรือ แผนการบริหารกิจการต่อเนื่อง (Business Continuity
Management) ไวร้ องรบั
4) แผนยทุ ธศาสตรท์ ่ีดีควรมีความยดื หยุน่ และไม่ปดิ กนั้ ความคิดสรา้ งสรรค์ของสมาชิก
องคก์ ร
5) แผนยุทธศาสตร์อาศัยประเด็นสำคัญที่มีผลกระทบสูงต่อองค์กร ไม่จำเป็นต้อง
วิเคราะหป์ จั จัยตา่ งๆ ทั้งหมด
6. ตัวแบบการจดั ทำแผนยทุ ธศาสตร์ภาครฐั
การจัดทำแผนและโครงการที่สนองตอบต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับพื้นที่และ
ระดบั ประเทศ อาศยั แนวทางการบรหิ ารเชงิ ยุทธศาสตร์ ทม่ี ีกระบวนการทเี่ ป็นขั้นตอนทเ่ี ป็น แสดงตามตัว
แบบ ABCDE ไดด้ ังนี้ (ดำรงค์ วัฒนา, 2559)
1) A (Assessment): ศึกษาข้อมลู อย่างเปน็ ระบบ
ผู้จัดทำต้องมีการวิเคราะห์ตรวจสอบเป็นการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็น
ระบบเพื่อพิจารณาว่าองค์กรได้รับผลกระทบจากปัจจัยสำคัญใดบ้าง ขั้นตอนนี้ ผู้วางแผนรวบรวม
ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่างๆ ทำการแยกแยะตามตัวแบบต่างๆ ได้แก่ การวิเคราะห์ปัจจัย
ภายนอกองค์กร อาศัยตัวแบบ PEST, STEPI, TEMPLES หรือ Five-Force Model เป็นต้น และการวิเคราะห์
ปัจจัยภายในองค์กร อาศัยตัวแบบ 7-S Model ของ McKinsey หรือ 10-S Model ของดำรงค์ วัฒนา
รวมทั้งตัวแบบห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น จากนั้นให้แยกแยะปัจจัยต่างๆ ออกเป็นหมวดต่างๆ 4 หมวดตาม
ตัวแบบ SWOT (Strengths-Weaknesses-Opportunities Threats) ได้แก่ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส
และภัยคุกคาม
2) B (Baseline): ระเบิดจากข้างใน
การวางตำแหน่งทางยุทธศาสตร์เป็นการประเมินค่าคะแนนน้ำหนักความสำคญั ของ
ประเด็นทางยุทธศาสตร์ในกรอบของตัวแบบ SWOT และพิจารณาว่า ในปัจจุบันองค์กรตกอยู่ใน
สถานการณ์ใดใน 4 สถานการณ์ได้แก่ SO (จุดแข็ง-โอกาส) ST (จุดแข็ง-ภัยอุปสรรค) WO (จุดอ่อน-
โอกาส) หรอื WT (จุดอ่อน-ภยั อุปสรรค) ซ่ึงก็คือ ตำแหน่งเส้นฐานสถานภาพเดิม (Status-quo Baseline
Position) หรือ SBP จากนั้นให้ท้าทายประเด็น SWOT ที่มีความสำคัญสูง เพื่อปรับปรุงสถานการณ์ของ
องค์กรตามเสน้ ฐานปัจจุบนั สูต่ ำแหน่งเสน้ ฐานท้าทาย (Challenge Baseline Position) หรือ CBP ซึ่งเป็น
การ “ระเบิดจากข้างใน” ได้แก่ การกำหนดประเด็นท้าทายที่ออกมาจากสมาชิกขององค์กร ผ่าน
กระบวนการการมสี ว่ นร่วม และอาศยั การท้าทายประเดน็ SWOT ทมี่ ีความสำคญั สูงสุดไลต่ ามความสำคัญ
ลงไปจนกว่า จะสามารถเปลีย่ นตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ขององค์กรจาก SBP ไปอยทู่ ี่ CBP และให้คะแนน
สำนักงานการท่องเที่ยวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 33 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
น้ำหนักความสำคัญของผลคูณของ S และ O มากกว่าผลคูณของ W และ T ในอัตราที่สูงกว่า 3: 1 แล้ว
นำประเด็นท้าทายมาจัดหมวดหมู่ใหม่ โดยให้แต่ละหมวดหมู่เป็นประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategic
Issues/Themes) ที่ประกอบไปด้วยประเด็นท้าทายที่เป็นเรื่องเดียวกันหรือใกล้เคียงที่สามารถรวมอยู่ใน
หมวดเดียวกันได้ ในขั้นตอนนี้ ผู้วางแผนสามารถกำหนดยุทธศาสตร์โดยใช้เมทริกซ์ SO, ST, WO และ
WT ซ่งึ เรยี กวา่ TOWS Matrix เพ่ือนำไปใชต้ อบสนองเปา้ ประสงค์ของประเด็นยทุ ธศาสตรต์ อ่ ไป
3) C (Component): ทำตามลำดับขน้ั
การบริหารกิจการบา้ นเมอื งท่ีดจี ะต้องเร่ิมตน้ จากการกำหนดทิศทางใหเ้ ห็นภาพใหญ่
แลว้ จัดทำองค์ประกอบทางยุทธศาสตรโ์ ดยการกำหนดองค์ประกอบของแผนท่ีอยู่บนพื้นฐานของการปรับ
องคก์ รจากตำแหน่งยทุ ธศาสตร์ SBP ไปอย่ทู ี่ CBP ในหัวข้อสำคัญต่างๆ ดังนี้
(1) วิสยั ทศั น์ ไดแ้ ก่ การระบุอนาคตองค์กรวา่ จะเป็นอะไรท่มี คี วามใฝ่สงู สู่ความท้าทาย
ความสำเร็จขององค์กร วิสัยทัศน์ท่ีดีจะต้องเป็นความต้องการที่แท้จริงและตอบสนองกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
(Stakeholder) เชน่ ผูเ้ สียภาษี รัฐบาล องคก์ ร/สถาบนั ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง และประชาชนทว่ั ไป เป็นต้น
(2) พันธกิจ ได้แก่ การระบุว่าองคก์ รจะทำอะไรในการสนองตอบวิสัยทศั น์
(3) ประเด็นยุทธศาสตร์ ได้แก่ การระบุวิธีการไปสู่วิสัยทัศน์ จากตำแหน่ง
สถานภาพเดมิ ขององค์กรส่สู ภาพใหมใ่ นอนาคตท่ีมคี วามทา้ ทาย
(4) เป้าประสงค์ ได้แก่ การกำหนดความสำเร็จ โดยการกำหนดปัจจัยความสำเร็จ
ทม่ี คี วามสำคัญ (Critical Success Factor) หรือ CSF และอาศัยเครื่องมือการแปลงยุทธศาสตรส์ ู่การปฏิบัติ
ตามตัวแบบบัตรคะแนนสมดุล (Balanced Scorecard) หรือ BSC จากนั้น ให้เชื่อมความสัมพันธร์ ะหว่าง
เป้าประสงค์ หรอื CSF เรมิ่ จากมติ ิพัฒนาองค์กร (Learning and Growth) สูม่ ิตปิ ระสทิ ธภิ าพในการปฏิบัติงาน
(Internal Process) สู่มิติคุณภาพการบริการ (Customer) สู่มิติประสิทธิผลตามยุทธศาสตร์ (Financial)
เพื่อตอบสนองประเด็นยุทธศาสตร์ และวิสัยทัศน์ การเชื่อมโยงดังกล่าว เรียกผลการเชื่อมโยงนี้ว่า แผนที่ยุทธศาสตร์
(Strategy Map)
(5) ดัชนีชี้วัดผลงานหลัก ได้แก่ การระบุวิธีการวัดความสำเร็จของเป้าประสงค์
ทง้ั ในเชิงปริมาณและเชงิ คุณภาพ
(6) เปา้ หมาย ไดแ้ ก่ การระบุระดบั ความสำเร็จในแตล่ ะดัชนีชว้ี ดั ผลงานหลกั
(7) กลยุทธ์/ความคิดริเริ่ม ได้แก่ การระบุกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายตาม
ดัชนีชี้วดั โดยอาศัยความคิดริเร่ิมและการนำกลยุทธท์ ี่ได้จัดทำใน TOWS Matrix มาใช้ในการระบุกลยุทธ์
และความคดิ รเิ ร่ิมทตี่ อบสนองเปา้ หมายตามดัชนีชีว้ ัดผลงานหลัก เพือ่ ให้มัน่ ใจได้ว่า มวี ธิ ีการที่เหมาะสมที่
สามารถผลักดันใหเ้ กิดความสำเร็จในระดับเปา้ หมายของดัชนีช้ีวัดผลงานหลัก
4) D (Drive): แก้ปัญหาท่ีจดุ เล็ก
การขับเคลือ่ นยทุ ธศาสตร์เป็นการมองภาพใหญ่แลว้ ถ่ายทอดทิศทางด้วยการกำหนด
รายละเอียดของผลงานและกิจกรรมการขับเคลื่อนองค์กรสู่ผลงานตามเป้าหมาย กล่าวคือ การใช้ผลผลิต
(เทียบได้กับดัชนีชี้วัดความสำเร็จ) เป็นตัวตั้งแล้วระบุกิจกรรมในรายละเอียด ตามกรอบยุทธศาสตร์ที่
ตอบสนองดัชนีชี้วัดให้เกิดผลสำเร็จที่เรียกว่า “ผลผลิต” ซึ่งผลผลิตจะนำไปสู่ผลลัพธ์ (เทียบได้กับ
เป้าประสงค์) และผลกระทบ (เทียบได้กับประเด็นยุทธศาสตร์) ในขั้นตอนน้ี ผู้วางแผนจะเขียนแผนงาน
และโครงการที่แสดงรายละเอียดของผลงาน กิจกรรม และงบประมาณ ระยะเวลา ตลอดจนปัจจัยนำเขา้
อื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ และสามารถกำหนดต้นทุนในแต่ละกิจกรรมได้ด้วย ที่เรียกว่า
“ต้นทุนฐานกิจกรรม” (Activity-Based Costing) หรือ ABC กลุ่มของกิจกรรมท่ีตอบสนองผลผลิตโดยใช้
สำนักงานการทอ่ งเที่ยวและกีฬาจงั หวัดสงขลา 34 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ปัจจัยนำเขา้ ที่จำกดั ภายในเวลาทีก่ ำหนด จะเรียกว่า “โครงการ” (Project) และกลุม่ โครงการที่มีกลุ่มกิจกรรมอยู่
ภายใต้กลยทุ ธ์เรียกว่า “แผนงาน” (Program) สำหรบั การเขียนโครงการให้อาศัยเครื่องมือการเขียนโครงการ
แบบเหตุผลสัมพันธ์ (Logical Framework) หรือ LogFrame เป็นแนวทางสำคัญใช้ประกอบในการเขียน
โครงการแบบประเพณีนยิ ม (Conventional)
5) E (Evaluation): องคร์ วมและภมู สิ ังคม
การประเมินผลเป็นการติดตาม วัดผล และประเมินผล โดยมองอย่างครบวงจรท่ี
เชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆ ของแผนยุทธศาสตร์ การติดตามการดำเนินงานของแผนยุทธศาสตร์มี
ความสำคัญอย่างยิ่งในการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติให้ได้ผล ให้พินิจพิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เทยี บกบั เกณฑ์วดั ผลตามตวั ชีว้ ดั และแนวเสนอแนะทางแก้ไขอย่างเช่ือมโยงซึง่ มักอาศัยเคร่ืองมือวัดตามที่
ระบไุ วใ้ นดัชนชี วี้ ัดผลงานหลัก เพอ่ื ให้เกดิ การเรยี นรู้และพฒั นาต่อไป
จากขนั้ ตอนข้างตน้ สรุปเป็นแผนภาพได้ดังภาพ
• การตรวจสอบสภาพภูมสิ งั คม (ปจั จัยส่งิ แวดล้อม ข้อมลู ภมู หิ ลัง)
A: • การวิเคราะห์สถานการณ์ (จดุ แข็ง จุดออ่ น โอกาส อปุ สรรค)
Assessment
• การประเมินสถานการณ์ปจั จุบนั
B: • การกาหนดความทา้ ทายและประเดน็ ยทุ ธศาสตร์
Baseline
• องค์ประกอบด้านทิศทาง (วสิ ยั ทัศน์ และพนั ธกิจ)
C: • องค์ประกอบด้านแนวทาง (ยุทธศาสตร์ เปา้ ประสงค์ ดชั นีชวี้ ดั เปา้ หมาย และกลยุทธ์)
Component
• การกาหนดผลงานตามตัวชว้ี ัด (ผลผลิต ผลลัพธ์ ผลกระทบ)
D: • การกาหนดวิธกี ารตามกลยทุ ธ์ (กจิ กรรม งาน และการสนับสนุน เชน่ คน และงบประมาณ)
Drive
• การบรหิ ารผลงาน (การสอบทานตามดชั นีชีวัด และการแกไ้ ขปรับปรงุ )
E: • การเรยี นรู้ (ขอ้ มลู ปอ้ นกลบั และการปรบั แผน)
Evaluation
ภาพที่ 4 ตวั แบบการทำแผนกลยุทธ์แบบ ABEDE
ท่มี า: ดำรงค์ วฒั นา, 2559.
7. เคร่ืองมือจดั ทำยทุ ธศาสตร์
7.1 PEST+El Analysis
การวิเคราะห์ PEST + El Analysis เป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์สภาพโดยรวม
ของประเทศหรือพื้นที่ และคาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยพิจารณาจากปัจจัยภายนอกที่
ควบคุมไม่ได้และส่งผลกระทบในวงกว้างต่อพื้นที่ แต่ในการศึกษาครั้งนี้คณะที่ปรึกษาจะใช้ PEST+El
เพือ่ ใหก้ ารประเมินภาพรวมของพ้นื ที่มีความครอบคลุมประเดน็ ตา่ งๆ มากย่งิ ข้ึน
สำนักงานการท่องเทย่ี วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 35 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ผลที่ได้จากการใช้เครื่องมือ PEST + El Analysis ทำให้ผู้จัดทำแผนเห็นภาพรวม
ของเศรษฐกิจ สังคม และแนวทางการพัฒนาศักยภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถวิเคราะห์เป็น
แนวทางหรือเป้าหมายการพัฒนาของพื้นที่นั้นๆ ได้ การวิเคราะห์ภาพรวมจะสามารถบอกได้ถึงแนวโน้ม
การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางสังคมและเศรษฐกิจภายนอก เครื่องมือดังกล่าวยังสามารถ
วิเคราะห์ถึงปัจจัยนอกที่ส่งผลกระทบต่อแนวทางพัฒนาพื้นที่ด้วยไม่ว่ าจะเป็นโอกาสในการพัฒนาพื้นที่
หรืออุปสรรค ซึ่งจะสามารถทำให้ผู้จัดทำแผนสามารถหลีกเลี่ยงนโยบายท่ีมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวได้
ส่วนข้อจำกัดของ PEST + El Analysis คือเครื่องมือดังกล่าวแสดงได้เพียงภาพรวมและการคาดการณ์
แนวโน้มของพื้นที่เท่านั้น ไม่สามารถครอบคลุมไปยังภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับ
กจิ กรรมพฒั นา รวมถึงผูท้ ำแผนจะไม่เหน็ รายละเอียดวา่ จะดำเนนิ การอย่างไร
7.2 Diamond model
เป็นเครือ่ งมอื ทีใ่ ช้เปน็ กรอบในการจัดทำแผนที่ทำให้ทราบถงึ ปจั จัยและบทบาทของ
ภาคส่วนต่างๆ ที่จะมีผลต่อการพัฒนาสาขาเศรษฐกิจเป้าหมายทั้งทางบวกหรือผลทางลบ การวิเคราะห์
โดยใช้เครื่องมือ Diamond Model จะทำให้เห็นภาพของความสัมพันธ์ของภาคส่วนต่างๆ ในระบบ
เศรษฐกจิ และยังได้ปจั จัยดา้ นอุปสงคแ์ ละอุปทานภายในท่สี ามารถควบคมุ ได้ของกจิ กรรมเปา้ หมายน้ันๆ
ผลที่ได้จากการใช้เครื่องมือ Diamond Model จะทำให้ทราบปัจจัยและบทบาท
ของภาคส่วนต่างๆ ที่จะมีผลต่อการพัฒนาสาขาเศรษฐกิจเป้าหมายท้ังผลทางบวกและผลทางลบ และทำ
ให้ผู้จัดทำแผนทราบถึงปัจจัยภายในที่สามารถควบคุมได้ของกิจกรรม แต่ข้อจำกัดคือเครื่องมือบอกเพียง
ปจั จยั และกจิ กรรมสนบั สนนุ หลักท่ีเกย่ี วขอ้ ง แต่ไม่สามารถวเิ คราะห์ไดต้ ลอดหว่ งโซการผลิต
• S: • •
•
• S:
• S: (AH2) 2 (
ญญ ( )
• S: /
• S:
• W: )
• W:
(Firm Strategy, Structure and
Rivalry)
(Factor Conditions) Diamond Model (Demand Conditions)
(Government)
• (Related and supporting Industries)
• MICE GEO Park
•
• MICE GEO Park
• OTOP
•
ภาพท่ี 5 แบบจำลองเพชร
สำนกั งานการท่องเทีย่ วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 36 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
7.3 SWOT Analysis
เป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์เพ่ือให้ทราบถึงศักยภาพโดยภาพรวมพื้นที่ โดย
พิจารณาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคในการพัฒนา และนำมากำหนดแนวทางการพัฒนาให้
สอดคลอ้ งกับศักยภาพความเป็นจริงของพืน้ ทน่ี นั้ ๆ โดยแนวทางการวิเคราะหด์ ว้ ยการใช้ SWOT Analysis
เปน็ กรอบการวเิ คราะหพ์ ื้นทท่ี ่ที ำการศึกษาเพือ่ ให้ทราบถึงจดุ แข็ง จดุ ออ่ น โอกาส และอปุ สรรคของพ้ืนที่
ผลที่ได้จากการใช้เครื่องมือ SWOT Analysis คือสามารถวิเคราะห์ภาพรวมของ
ศกั ยภาพเพอื่ คน้ หาสาขาเศรษฐกจิ และจุดเด่นของแต่ละพ้ืนท่ี ส่วนขอ้ จำกดั SWOT ไมส่ ามารถให้ข้อมูลท่ี
จะนำไปใช้ออกแบบแผนยุทธศาสตร์ได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการในการนำไปใช้
ออกแบบพัฒนาในระดับยุทธศาสตร์ที่ต้องมีความเชื่อมโยงไปสู่การกำหนดแผนปฏิบัติการ SWOT
Analysis จะขาดการพจิ ารณาปจั จยั ที่มผี ลต่อความสำเร็จอยา่ งรอบดา้ น
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ SWOT Analysis จำเป็นต้องวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
(Stakeholders Analysis) รว่ มดว้ ยเพื่อใหไ้ ด้ผลการวเิ คราะห์ศักยภาพของพื้นที่ทแี่ ทจ้ ริง เนือ่ งจากดำเนิน
โครงการหลายโครงการของภาครัฐต้องใช้หลักการบูรณาการเพื่อให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
ในการดำเนนิ งานและเปน็ เคร่อื งมือท่ชี ่วยระบุผู้มีสว่ นได้สว่ นเสยี
7.4 TOWS Matrix Analysis
เปน็ แนวทางในการวิเคราะหศ์ ักยภาพของพื้นที่โดยการประยุกตใ์ ช้ SWOT Analysis
แล้วนำปัจจัยส่งิ แวดล้อมภายในและภายนอกมาร่วมวิเคราะหด์ ้วย ทำให้สามารถใชส้ ร้างตัวเลือกเชิงกลยุทธ์
การพัฒนาที่ดีกว่า นอกจากนี้ ยังสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์ต่างๆ ได้หลากหลายมากขึ้น รวมไปถึงลำดับ
ความสำคัญของกลยทุ ธ์ทีม่ ตี อ่ เปา้ หมายการพัฒนา แบ่งไดเ้ ปน็
กลยุทธ์เชิงรุก (SO Strategy) คอื การวิเคราะห์เพ่ือกำหนดกลยุทธ์โดยนำประเด็นจุด
แข็ง (S) และโอกาส (O) มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ ซึ่งจะทำให้ได้กลยุทธ์ที่มีลักษณะเชิงรุกหรือ
กลยุทธเ์ พื่อพฒั นาจุดแขง็ ให้โดดเดน่ โดยใช้ประโยชน์จากโอกาสเพื่อเสรมิ ข้อไดเ้ ปรยี บ
กลยุทธ์เชิงป้องกัน (ST Strategy) คือ การวิเคราะห์เพื่อกำหนดกลยุทธ์โดยนำ
ประเด็นจุดแข็ง (S) และอุปสรรค (T) มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ ซึ่งจะทำให้ได้กลยุทธ์เชิงป้องกันหรือ
กลยุทธ์ที่สามารถพัฒนาจุดแข็งของกิจกรรมเป้าหมายให้โดนเด่น เพื่อป้องกันปัจจัยภายนอกที่เป็น
อุปสรรคต่อการพัฒนา
กลยุทธ์เชิงแกไ้ ข (WO Strategy) คอื การวิเคราะห์เพื่อกำหนดกลยุทธ์โดยใช้จุดอ่อน
(W) และโอกาส (O) มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ เพื่อให้ได้กลยุทธ์ที่สามารถแก้ไขจุดอ่อนของกิจกรรม
เปา้ หมาย โดยการใชป้ ระโยชน์จากโอกาสของสภาพแวดลอ้ ม
กลยุทธ์เชิงรับ (WT Strategy) คือการวิเคราะห์เพื่อกำหนดกลยุทธ์โดยใช้จุดอ่อน
(W) และอุปสรรค (T) มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ ซึ่งจะได้กลยุทธ์ที่สามารถลดจุดอ่อนของกิจกรรม
เป้าหมายด้วยการหลีกเลย่ี งอปุ สรรคจากสภาพแวดลอ้ ม
7.5 Supply Chain Analysis
Supply chain analysis หรือการวิเคราะห์กลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจรายสาขา
ตามโซ่อุปทานเป็นการวิเคราะห์ในกระบวนและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องของสาขาเศรษฐกิจเป้าหมายตลอด
โซ่อุปทาน (supply chain) ตั้งแต่ขั้นแรกจนถึงขั้นสุดท้าย (ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ) เพื่อดูว่าในแต่
ละขั้นของโซ่อุปทานในกิจกรรมการผลิตของสาขาเศรษฐกิจเป้าหมายมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มได้
อยา่ งไร นอกจากน้ียังต้องวิเคราะห์ถึงโซ่มูลคา่ (value chain) เพือ่ ให้ทราบถึงความเช่ือมโยงของกิจกรรม
สำนกั งานการท่องเที่ยวและกฬี าจงั หวดั สงขลา 37 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
ต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและประสิทธิภาพในสาขาเศรษฐกิจเป้าหมาย และภาครัฐสามารถดำเนิน
กิจกรรม/โครงการใดทจ่ี ะชว่ ยสนับสนนุ ได้
การประยุกต์ใช้แนวทางโซ่อุปทานจะช่วยให้ผู้วางแผนสามารถเช่ือมโยงรูปแบบของ
การดำเนินธุรกิจหรือการพัฒนาพื้นที่เข้ากับการวางแผนธุรกิจตาม Business Canvas ได้ครบวงจรมาก
ยิ่งขึ้นและเมื่อประกอบกับการใช้โซ่อุปทานกับข้อมูลภูมิสารสนเทศ จะทำให้การต่อเชื่อมหรือการยึดโยง
ระหว่างแผนธุรกจิ ของตนเอง แผนธุรกจิ ของอุตสาหกรรม และแผนการใช้พื้นทเี่ ป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงสามารถใช้เป็นกรอบเพื่อกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดโซ่อุปทานของ
เปา้ หมายการพัฒนา
7.6 Fishbone diagram
Fishbone diagram หรือ Cause-Effect Diagram หรือแผนผังก้างปลาเป็น
เครอื่ งมือในการวิเคราะห์เพื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของโครงการ/กิจกรรม กลยุทธ์ และเป้าหมายการพัฒนา
และทำให้มั่นใจว่ากิจกรรมหรือโครงการต่างๆ สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ของแต่ละภาคหรือพื้นที่ท่ี
กำหนด โดยแตล่ ะสายของก้างปลาท่ีกำหนดขึ้นคือปจั จยั เกื้อหนุน (Enabling Factors) ทเ่ี ป็นปัจจัยที่ต้อง
พัฒนาหรือแก้ไขเพื่อให้การพัฒนากิจกรรมเป้าหมายที่เป็นต้นแบบของแต่ละพื้นที่บรรลุเป้าหมายของ
การพัฒนาท่ีกำหนดไว้
แผนผังก้างปลาที่วิเคราะห์เพื่อแสดงลำดับชั้นความเชื่อมโยงของการขับเคลื่อน
ความสำเรจ็ จากแผนยทุ ธศาสตร์สู่การปฏิบัติ โดยประกอบดว้ ย
1) ปัจจัยเก้ือหนุน (Enabling Factor) หรือตัวแผนงานโครงการ/กิจกรรมคือ
ส่วนของก้างปลาอันเล็กที่แยกออกจากก้างปลา ส่วนกลุ่มกิจกรรม ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการขับเคลื่อน
กลยุทธ์เพอ่ื ให้บรรลเุ ป้าหมาย
2) กลมุ่ กจิ กรรมหรือกลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมาย คอื สว่ นของก้างปลากลุ่มกลยุทธ์
ซ่ึงเป็นกลยุทธ์ที่ได้มาจากการวิเคราะห์ กลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายนี้จะเป็นส่วนที่ผลักดันให้ไปถึง
เป้าหมายได้ จงึ ตอ้ งมีความสอดคลอ้ งท้งั จากแผนงานโครงการ/กจิ กรรม และเป้าหมายการพฒั นา
3) เป้าหมาย กลุ่มกิจกรรมที่มีรายละเอียดของการดำเนินโครงการ คอื ส่วนของหัวปลา
ซึ่งเป็นส่วนท่ีใส่เป้าหมายหรือตัวชี้วัดในการพัฒนาที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ลักษณะของเป้าหมาย
ควรเป็นรูปธรรมมากที่สุด เพื่อให้ง่ายต่อการประเมินว่าแผนงานโครงการส่งผลต่อเป้าหมายการพัฒนา
มากน้อยเพียงใด
4) ปัจจัยส่งเสริมหรอื สนับสนนุ ใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย คือส่วนของก้างปลาหลักที่อยู่ตรงกลาง
สื่อถึงปัจจยั พน้ื ฐานของการพัฒนากจิ กรรมเป้าหมาย ซ่งึ หากขาดปจั จยั สว่ นนไี้ ป ก้างปลา กลมุ่ กลยุทธ์ก็จะ
ไมส่ ามารถขับเคลอื่ นการพฒั นาใหบ้ รรลุเป้าหมายได้
5) ตัวกำหนดทิศทางให้เป็นไปตามเป้าหมาย เป็นส่วนของหางปลา ซึ่งเอาไว้ใส่
ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดทิศทางของการพัฒนา โดยส่วนใหญ่เป็นระเบียบ นโยบายระดับชาติ และ
งบประมาณท่ที างพ้นื ทไี่ ด้รบั เพ่ือดำเนินแผนงานโครงการ
สำนกั งานการทอ่ งเทยี่ วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 38 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพที่ 6 แผนภมู ิก้างปลา
7.7 Business Canvas Model (BCM)
เป็นเครื่องมือสำหรับใช้แสดงภาพรวมการดำเนินงานที่ชัดเจนและมีความต่อเนื่อง
อย่างเป็นเหตุเป็นผล และทำให้เข้าใจมุมมองด้านการสร้างคุณค่าของสินค้าและการบริการ ด้านการส่งมอบ
การบริการ ด้านทรัพยากรที่มี และด้านการเงิน สำหรับใช้กำหนดรูปแบบธุรกิจ ยุทธศาสตร์และ
กระบวนการทำงาน นอกจากนี้การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ด้วย BCM จะเป็นบูรณาการแผนยุทธศาสตร์
ด้านต่างๆ ให้อยู่บน Canvas เดียวกันเพื่อเชื่อมโยงเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ กลยุทธ์เข้าด้วยกัน
สง่ ผลใหม้ กี ารพฒั นาเศรษฐกิจระดบั พ้ืนท่ีท่เี ปน็ ไปในทิศทางเดียวกัน
ฟงั กช์ ันการประเมนิ ธุรกิจของ Business Canvas Model มีอยู่ 9 อย่างคอื
1) Customer Segment กล่มุ เป้าหมาย คอื กลุ่มลูกคา้ หรือผู้ที่ไดร้ บั ผลจากนโยบาย
โดยอาจเป็นกลมุ่ ประชาชนหรือกลุม่ เปา้ หมายเฉพาะก็ได้ และกลุ่มเปา้ หมายอาจมไี ด้หลายกลุ่ม
2) Value Propositions มูลค่าของสินค้าและบริการ คือสิ่งที่เพิ่มเข้าไปในสินค้า
หรือบริการแล้วทำให้สินค้าหรือบริการมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เช่น การเพ่ิมความสะดวกสบาย เพิ่มการเข้าถึง
สินคา้ และบริการ การขยายการให้บริการ หรอื การออกแบบสนิ คา้ ให้เหมาะสมกับกล่มุ เป้าหมายใหม่ เปน็ ตน้
3) Channels ช่องทางการเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการทางตรง การนำเสนอ
บริการผา่ น application ผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ หรือผ่านหนว่ ยงานทจ่ี ดั ต้ังข้นึ
4) Customer Relationships สายสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย คือการสร้างสัมพันธ์
กับลกู คา้ เพ่ือใหส้ ามารถรักษาลกู คา้ เก่าและหาลูกค้าใหม่ได้
สำนักงานการทอ่ งเทีย่ วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 39 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
5) Revenue Streams กระแสรายได้ เช่น ค่าธรรมเนียม ภาษี ระบบ สมาชิก การ
ใหเ้ ช่า และค่าลิขสทิ ธ์ิ เปน็ ต้น
6) Key Resource ทรัพยากรหลักหรือปัจจัยการทำให้โครงการ เช่นเงินทุน
ทรัพยากรมนุษย์หรือแรงงาน ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่เรื่องเล่า แบรนด์ วัฒนธรรม
ประเพณี และประวตั ิศาสตร์ทีเ่ ป็นเอกลักษณเ์ ฉพาะองค์กร ซง่ึ สามารถนำมาเพมิ่ มลู ค่าโครงการได้
7) Key Activities กิจกรรมหลัก เพื่อให้เกิดการพัฒนา เช่น การผลิตสินค้า การให้บริการ
การแกป้ ัญหาการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการบรหิ ารโครงการ เป็นตน้
8) Key Partners พันธมิตรหลัก เป็นผู้ร่วมทำโครงการหรือเป็นผู้สนับสนุนในการทำ
โครงการ
9) Cost Structure โครงสร้างต้นทุน ค่าใช้จ่ายหลักของธุรกิจ ทั้งต้นทุนประจำ
และตน้ ทนุ ไมป่ ระจำ
8. ประโยชน์ของการจดั ทำแผนยทุ ธศาสตร์
ประโยชนข์ องการจดั ทำแผนยทุ ธศาสตรม์ ีดังตอ่ ไปนี้
1) กำหนดอนาคตท่มี ุ่งหวงั เปน็ อนาคตขององคก์ รรว่ มกนั
2) ส่ือสารเป้าประสงค์ถงึ ผู้มสี ว่ นไดส้ ่วนเสยี
3) สร้างความผูกพนั ต่อทิศทางองค์กร
4) ใช้ทรพั ยากรอยา่ งมีประสิทธภิ าพทจ่ี ดั ตามลำดับความสำคัญ
5) การตดิ ตามความก้าวหน้า
6) สร้างฉนั ทามตขิ องทิศทางองค์กร
7) มจี ดุ มุ่ง (Focus) ชดั สคู่ วามสมั ฤทธิ์ของประสิทธผิ ล
8) เชื่อมประสานผู้บริหารและผู้ปฏิบตั ิ
9) สร้างทีมท่เี ข็มแขง็ ในการขจัดปัญหา
10) สรา้ งการยึดโยงองค์กรเข้าดว้ ยกัน
9. สรุปกรอบการดำเนินงาน
ในการจัดทำยุทธศาสตร์ครั้งนี้ที่ปรึกษาได้ยึดหลักตามตัวแบบ ABCDE ของดำรงค์ วัฒนา
(2559) โดยดำเนินการเพียง 4 ขั้น ประกอบด้วย ABCD เนื่องจากขั้นตอน E จะมีการดำเนินการเม่ือมี
ดำเนนิ การตามแผนไปแล้วระยะหน่งึ สรุปกรอบการดำเนนิ งาน ดังนี้
สำนักงานการทอ่ งเทย่ี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 40 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
• การตรวจสอบสภาพภูมิสงั คม (ปัจจยั สิง่ แวดล้อม ข้อมูลภูมิหลงั )
A: • การวเิ คราะหส์ ถานการณ์ (จุดแขง็ จดุ อ่อน โอกาส อุปสรรค)
Assessment
B: • การประเมินสถานการณป์ ัจจบุ ัน
Baseline • การกาหนดความทา้ ทายและประเดน็ ยทุ ธศาสตร์
• องค์ประกอบด้านทิศทาง (วิสัยทศั น์ และพนั ธกจิ )
C: • องคป์ ระกอบด้านแนวทาง (ยุทธศาสตร์ เปา้ ประสงค์ ดชั นชี ้วี ัด เป้าหมาย และกลยุทธ์)
Component
• การกาหนดผลงานตามตัวช้ีวัด (ผลผลิต ผลลัพธ์ ผลกระทบ)
D: • การกาหนดวิธีการตามกลยุทธ์ (กิจกรรม งาน และการสนับสนนุ เช่น คน และงบประมาณ
Drive
ภาพที่ 7 กรอบการดำเนินงาน
การวิเคราะห์ SWOT
1. ความหมาย
แนวคิดการวิเคราะห์สถานภาพหน่วยงานหรือ “SWOT Analysis” แต่ละ ตัวอักษรมี
ความหมาย ดงั นี้
+ Strength (จุดแข็ง) เป็นผลมาจากปัจจัยภายใน หมายถึงความสามารถ และ
สถานการณ์ภายในหน่วยงานที่ส่งผลด้านบวก ซึ่งช่วยผลักดันการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์และ
สามารถ นำมาพฒั นาให้เกิดประโยชนส์ งู สดุ หรอื เป็นสง่ิ ท่หี น่วยงานทำไดด้ ี
- Weakness (จุดอ่อน) เป็นผลมาจากปัจจัยภายใน หมายถึง จุดอ่อน ข้อจำกัด หรือ
ความสามารถและสถานการณ์ภายในหนว่ ยงานทีส่ ่งผลดา้ นลบ
+ Opportunity (โอกาส) ปจั จยั หรือสถานการณภ์ ายนอกท่ีเอื้อต่อ การดำเนินการที่เป็น
ประโยชนข์ องหนว่ ยงานหรือสามารถนำมาพัฒนาใหเ้ ป็นผลดตี อ่ หนว่ ยงานในอนาคต
- Threat (ภัยคกุ คาม) ปัจจยั หรือสถานการณภ์ ายนอกท่เี ปน็ อุปสรรคต่อการดำเนินการที่
เปน็ ประโยชน์ของหน่วยงาน หรือทำให้เกดิ ผลเสียหาย ผลกระทบในทางลบต่อหน่วยงาน
2. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
การดำเนินงานทั้งภาครัฐ เอกชน พื้นที่ หรือชุมชน ในปัจจุบันได้รับผลกระทบจาก
สภาพแวดล้อมที่เปล่ียนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางสังคม
เศรษฐกิจ เทคโนโลยี การเมือง และการต่างประเทศ รวมทั้งคู่แข่งขัน ผู้มีส่วนไดส้ ่วนเสีย ทำให้เกิดสภาพ
ความเส่ยี งที่เกิดจากความไมแ่ นน่ อนของอนาคต ซึง่ ความเส่ียงน้ีสามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 สว่ นคือ ความเส่ียง
สำนักงานการท่องเทยี่ วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 41 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
ที่คาดการณ์และจัดการได้ กับความเสี่ยงที่ไม่สามารถจัดการได้ ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องคาดการณ์
อนาคตและวางแผนเพือ่ ลดความเสี่ยง และปรบั ตวั ให้กา้ วทัน และกา้ วลำ้ ไปในตำแหนง่ ท่ตี ้องการ
จากภาวการณ์เปลี่ยนแปลงที่ประกอบด้วยเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้กับสามารถ
ควบคุมได้ข้างต้น ทำให้การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมแบ่งได้เป็น 2 ส่วน เช่นเดียวกัน คือ สภาพแวดล้อม
ทัว่ ไปและสภาพแวดลอ้ มเฉพาะ (ดำรงค์ วัฒนา, 2553) โดยทก่ี ารวเิ คราะหส์ ภาพแวดลอ้ มภายนอกทั่วไป
(General External Environment) เป็นวิเคราะห์ถึงบริบทการเปลี่ยนแปลงในภาพกวา้ ง ที่ส่งผลกระทบ
ต่อหน่วยวิเคราะห์ ซึ่งครอบคลุมในด้านต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมีตัวแบบที่นิยมประกอบด้วยตัวแบบ
PEST TEMPLES หรือ ISTEP ในส่วนของการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเฉพาะเป็นการวิเคราะห์มุ่งเน้น
ระดับธุรกิจหรือระดับอุตสาหกรรม โดยใช้ตัวแบบ 5 พลัง (Five-Force Model) ซ่ึงประกอบด้วย
พลังของคู่แข่ง (Competitor) อำนาจต่อรองของลูกค้า (Customer) อำนาจการต่อรองของผู้จัดจำหน่าย
(Supplier) สินค้าทดแทน (Substitution) และความยากง่ายของการเข้าสู่ตลาดของผู้แข่งขันรายใหม่
(New Entrance)
จะเห็นว่าการเหตุการณ์ทั้ง 2 ส่วนข้างต้นเป็นเหตุการณ์ท่ีไม่สามารถควบคุมได้ หรือเป็น
สภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลต่อหน่วยวิเคราะห์ได้ทั้งทางด้านบวกหรือด้านลบ
ในทางบวกก็จะกลายเป็นโอกาส (Opportunities) ในขณะที่หากส่งผลในด้านลบก็จะเป็นภัยคุกคาม
(Threats)
ในส่วนของผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยภายใน เหตุการณ์ที่หน่วยวิเคราะห์สามารถควบคุม
ได้เรยี กว่า การวเิ คราะห์สภาพแวดล้อมภายใน ซึ่งจะนำไปสกู่ ารกำหนด จดุ แข็ง (Strengths) และ จดุ ออ่ น
(Weaknesses) ของหน่วยวิเคราะห์ โดยมีวิธีการวิเคราะห์หลายวิธี ได้แก่ การวิเคราะห์ตามหน้าที่งาน
(Functional Analysis) หว่ งโซ่อปุ ทาน (Supply Chain) ปจั จยั การผลติ (4M)
นอกจากการแบ่งรูปแบบออกเป็นปัจจัยภายในภายนอกที่ชัดเจนข้างต้นแล้ว ยังมีแนวคิด
และตวั แบบทไ่ี มไ่ ด้แยกประเดน็ ชัดเจนดังขา้ งต้น แตม่ ีลักษณะผสมผสานกันมากวา่ ดงั เช่น ตวั แบบ SIPOC
Model ซึ่งย่อมาจาก S : Supplier (ผู้สนับสนุน ปัจจัยนำเข้า) , I : Input (ปัจจัยนำเข้า) , P : Process
(กระบวนการ) , O : Output (ปจั จยั นำออกหรือผลผลิต) และ C : Customer (ผูร้ บั บรกิ าร) ตวั แบบ IPO
(Input Process Output Outcome) ตวั แบบ Demand-Supply เป็นต้น
เน่ืองจากในการวิเคราะหส์ ถานการณค์ รั้งน้ี หน่วยวเิ คราะห์คอื การท่องเทีย่ วในเขตพ้ืนที่ลุ่ม
น้ำทะเลสาบสงขลา ซึ่งมีองค์ประกอบทัง้ ส่วนของบริบทกิจกรรมทางเศรษฐกิจและบริบทของพื้นที่ ดังนนั้
ในการวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอก ผู้ศึกษาจะทำการเลือกใช้ตัวแบบ TEMPLES ในขณะที่ในส่วนของ
การวิเคราะห์ภายใน เนื่องจากเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ในโอกาสต่อไปมุ่งพัฒนาตลอดตามห่วงโซ่อุปทาน
และยึดหลักความต้องการเป็นสำคัญ จึงใช้ตัวแบบ ห่วงโซ่อุปทาน ร่วมกับ ตัวแบบอุปสงค์อุปทาน
ในการวิเคราะห์
3. แนวทางการวเิ คราะห์ SWOT
การวิเคราะห์ SWOT อาจเรียกอีกอย่างว่าการทำ Situation Analysis เพื่อนำไปสู่การ
กำหนดทิศทางของหนว่ ยงาน โดยมีแนวทางการปฏบิ ัติในการวเิ คราะหป์ จั จัยทางยุทธศาสตรด์ ังนี้
สำนักงานการท่องเท่ยี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 42 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
๑) การศกึ ษาและเกบ็ รวบรวมข้อมลู ที่เกย่ี วข้อง ไดแ้ ก่
(๑) ความต้องการ ความคาดหวังของผู้รับบริการ ผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย (Stakeholders)
ส่วนราชการหรือองค์กรอื่นที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกัน โดยศึกษาจากเอกสาร สำรวจ ความคิดเห็น หรือ
จดั สัมมนาระดมความคิดเหน็
(๒) สภาพการแข่งขัน ทั้งภายในและภายนอกโดยการศึกษาจาก เอกสาร วารสาร
รายงานประจำปีเวบ็ ไซต์ของส่วนราชการอนื่ ทมี่ ลี ักษณะงานใกลเ้ คยี งกันและงานวิจัยทเ่ี ก่ียวข้อง
(๓) นวตั กรรมและการเปลี่ยนแปลงท่ีสำคัญ โดยศึกษาจากเอกสาร และงานวจิ ัยทเ่ี กยี่ วข้อง
(๔) จุดแข็งและจุดอ่อน รวมถึงทรัพยากรบุคคลและทรัพยากรอื่นๆ โดยจัดสัมมนา
ระดมความคดิ เหน็
(๕) โอกาสในการปรับเปล่ียนทรัพยากรและความเสี่ยงในด้านต่างๆ โดยการศึกษา
เอกสารและงานวิจยั ท่เี กยี่ วข้อง รวมถึงการจดั สมั มนาระดมความคิดเหน็
๒) รวบรวมข้อมูลในแต่ละรายการตามข้อ ๑) ไปใช้ในกระบวนการ วิเคราะห์ SWOT
โดยจัดประชุมกลุ่มย่อยหรือประชุมเชิงปฏิบัติการ ทั้งในกลุ่มผู้บริหาร เจ้าหน้าท่ีระดับผู้ปฏิบัติ รวมทั้ง
ผ้รู บั บรกิ ารและผู้มสี ่วนได้สว่ นเสีย โดยมีขนั้ ตอนการดำเนนิ การดงั น้ี
(๑) วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนจากสภาพแวดล้อมภายใน โดยพิจารณาให้
ครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น นโยบายและยุทธศาสตร์ของหน่วยงาน โครงสร้างการบริหาร วัฒนธรรม
องค์กร บุคลากร งบประมาณ เทคโนโลยี เปน็ ตน้
(๒) วิเคราะห์โอกาสและภัยคุกคามจากสภาพแวดล้อมภายนอก โดยพิจารณาจาก
ปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น นโยบาย ระดับชาติ
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครองทั้งภายในและภายนอกประเทศ กฎหมาย และ
ระเบียบทเี่ ก่ยี วข้อง เปน็ ตน้
(๓) ให้นำ้ หนกั โดยพจิ ารณาจากจุดแขง็ /จดุ อ่อนและโอกาส/ภยั คุกคาม
๓) นำผลการวเิ คราะห์ตามข้อ ๒) ไปใชใ้ นการจดั ทำยุทธศาสตร์ ในส่วนของการกำหนด
ทิศทางองค์กร และการกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสภาพองค์กร โดยแนวทางในการจัดทำยุทธศาสตร์
ใหพ้ ิจารณาจาก TOWS metric ซง่ึ จะทำใหเ้ กดิ ยุทธศาสตร์ใน 4 ลกั ษณะ ดังนี้
ตารางท่ี 4 TOWS metric
โอกาส ภัยคุกคาม
จดุ แขง็ ยทุ ธศาสตร์เชงิ รุก (Aggressive) ยทุ ธศาสตรเ์ ชงิ รับ (Defensive)
ควรสง่ เสรมิ ขยายผล ควรนำจุดแข็งไปสู้กับภัยคุกคาม หรือไปหา
คำท่ีนิยมใช้คำว่า ขยาย... ส่งเสริม... โอกาสอ่ืน
พฒั นา... สร้าง... คำทีน่ ิยมใช้คำว่า ชะลอ... ปรบั ปรุง... ลดตน้ ทุน
... ลดเวลา...
จดุ อ่อน ยุทธศาสตร์เชงิ ปรับ (Turnaround) ยทุ ธศาสตรเ์ ชงิ ถอย (Retrenchment)
ควรแก้ไขจุดออ่ นเพื่อไปคว้าโอกาส ควรเน้นการป้องกัน เฝ้าระวัง และมองหา
คำที่นิยมใช้คำว่า ปรับปรุง... เร่งรัด... ชอ่ งทางอ่ืน
แก้ไข... ประสานความร่วมมือ... คำที่นิยมใช้คำว่า ยุบเลิก... ถ่ายโอน...
ขอการสนบั สนนุ ... ควบกจิ การ... ปรับเปล่ียน... หลอมรวม...
สำนกั งานการท่องเท่ยี วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 43 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้สว่ นเสีย
ในการเลือกกลมุ่ ผมู้ สี ว่ นได้ส่วนเสยี เข้ารว่ มเสวนา มีขัน้ ตอนในการวเิ คราะห์ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การจัดตั้งทีม การเลือกทีมในการทำงานกลุ่ม 4-6 คน โดยสมาชิกกลุ่มอาจจะมี
ประสบการณ์ที่เหมือน หรือมีประสบการณ์หลากหลายผสมผสานกัน ทีมนี้จะร่วมกันระดมสมองใน
การวเิ คราะห์ผ้มู สี ่วนไดส้ ่วนเสยี
ขั้นตอนที่ 2 การแจ้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการวิเคราะห์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้มีส่วนร่วมจำเป็นต้อง
เข้าใจบทบาทและวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์ ผู้รับผิดชอบในการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องชี้บง่
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้ง 3 กลุ่ม คือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก (Key) ข้ันพื้นฐาน (Primary) และขั้นรอง
(Secondary) โดยหลักการสำคัญ คือ การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียท่ีสามารถมีผลต่อกิจกรรมท้ัง
ด้านบวกและลบ ขั้นตอนต่อมา คือ การอธิบายเหตุผลของวัตถุประสงค์การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
เช่น การจัดการระบบชลประทานเพื่อการเกษตร การป้องกันน้ำท่วมนั้นเป็นประโยชน์ต่อชาวนาและ
เกษตรกร แต่เป็นผลลบต่อชาวประมง เนื่องจากระบบนิเวศน์มีการเปลี่ยนแปลง ชาวประมงอาจจะ
ไมพ่ งึ พอใจได้ และข้ันตอนของการวเิ คราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสยี คือ
1. การชีบ้ ง่ ผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสยี ในตารางผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย
2. การชบี้ ง่ ผู้มีสว่ นไดส้ ว่ นเสีย และความสำคัญ
3. การช้บี ่งความเส่ียงที่อาจจะมีผลต่อกจิ กรรมและวิธีการในการจัดการผลกระทบท่ีเกิดขึ้น
โดยวิธีการจัดการกับปัญหาต่างๆ และความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นมีวิธีการจัดการได้หลากหลาย
วิธี เช่น การกำหนดกรอบการทำงานเพื่อการลดความขัดแย้ง การสร้างพันธมิตร การเจรจาต่อรอง
การวิเคราะห์รายละเอียดข้อได้เปรียบ ข้อจำกัด และการสร้างรายละเอียดการตรวจสอบ (Checklist)
การระดมสมองในการตั้งสมมติฐานต่างๆ เช่นการตั้งคำถามอะไร ถ้า (What-if) เพื่อหาแนวทางใน
การจัดการภาครัฐจัดทำโครงการประกันสินค้าทางการเกษตรต่อเกษตรกรน้ัน เมื่อพิจารณาผู้มีส่วนได้ส่วนเสยี
แล้วจะพบว่ามีทง้ั ได้ประโยชนแ์ ละเสียประโยชน์
ตัวอย่างการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย:โครงการนโยบายการประกันราคาสินค้าทางการเกษตร
ของภาครัฐ
ตารางที่ 5 การวเิ คราะหผ์ มู้ ีส่วนได้ส่วนเสีย
ผู้มสี ว่ นได้ส่วนเสีย ความสนใจต่อโครงการ ผลประโยชน์
เกษตรกรรายย่อย รายได้เพ่ิมขึน้ +
+
พอ่ คา้ คนกลาง การขายผลติ ภัณฑ์ไดม้ ากขึ้น -
+
กลไกตลาดถกู เบ่ียงเบน -
+
ผใู้ ชแ้ รงงาน มีการจา้ งงานมากข้ึน +
-
ธนาคาร ผ้ใู ห้กูย้ มื มกี ารกยู้ ืมลดลง
องค์กรภาครฐั ความสำเรจ็ ของนโยบาย
ความนิยมในภาครัฐสงู ข้นึ
อำนาจการต่อรองเกษตรกร
เพม่ิ ขน้ึ
สำนักงานการท่องเท่ียวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 44 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
ผมู้ ีสว่ นได้ส่วนเสีย ความสนใจต่อโครงการ ผลประโยชน์
นกั การเมอื ง คะแนนเสยี ง ความนิยมจาก +
ประชาชน
สอ่ื มวลชน การเฝ้าตดิ ตามการทจุ รติ -
โครงการ
ขั้นตอนท่ี 3 การบันทึกตารางผู้มีส่วนไดส้ ่วนเสียให้ครบถ้วน ทีมงานวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
จะบนั ทกึ ลงตารางผู้มสี ่วนไดส้ ่วนเสยี ท่ีมีสว่ นเก่ยี วข้องท้งั หมด และวิธีการดำเนินการ คอื
1. การเขยี นโครงสร้างตารางในกระดาษแผ่นใหญ่ (flipchart)
2. การชี้บ่งผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสีย โดยการระดมสมอง (โดยข้อแนะนำ คือ การเขียนใน Post-it
1 ใบต่อ 1 ผูม้ ีส่วนไดส้ ว่ นเสีย)
3. การวางตำแหนง่ ผู้มสี ่วนไดส้ ว่ นเสยี ในคอลัมน์แรกของตาราง
4. การลำดับความสำคัญของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 10 ลำดับ และบันทึกข้อมูลในตาราง
การวิเคราะหใ์ หค้ รบถว้ น
5. การตดั ผู้มสี ว่ นได้ส่วนเสยี ท่ีไม่สำคญั ออก (ถ้ามี) และบนั ทกึ ข้อมูลในตารางให้สมบรู ณ์
ขน้ั ตอนท่ี 4 การมอี ทิ ธิพลและความสำคญั
การมีอิทธิพล หมายถึง พลังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่จะช่วยสนับสนุน หรือการขัดขวาง
การบรรลผุ ลของวตั ถปุ ระสงคแ์ ละกิจกรรมขององค์กร
ความสำคัญ หมายถึง ลำดับความสำคัญต่อการให้ความพึงพอใจในความจำเป็นและความสนใจ
ของแตล่ ะผ้มู ีส่วนได้สว่ นเสีย
ตารางท่ี 6 ตวั อย่างการวเิ คราะหผ์ มู้ ีสว่ นได้ส่วนเสยี
ผ้มู ีส่วนได้ส่วนเสีย ความสำคญั การมอี ิทธิพล
เกษตรกรรายย่อย 5 2
3
พอ่ ค้าคนกลาง 1 1
4
ผู้ใช้แรงงาน 4 5
3
ธนาคาร ผู้ใหก้ ู้ยืม 1 4
องคก์ รภาครฐั 4
นกั การเมอื ง 3
สอ่ื มวลชน 1
Matrix ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความสำคญั และการมีอิทธิพล B
สำคญั มาก
A มีอิทธิพลมาก
สำคญั มาก
มีอิทธิพลน้อย D
สำคัญนอ้ ย
C มีอิทธิพลมาก
สำคญั น้อย
มีอทิ ธิพลน้อย
สำนกั งานการท่องเที่ยวและกีฬาจงั หวัดสงขลา 45 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
นำข้อมลู ผู้มีส่วนไดส้ ่วนเสยี มาลงในแปลงลงใน Matrix ตามลำดบั คะแนน
A B
เกษตรกรรายย่อย องค์กรภาครฐั
นักการเมือง
ผู้ใชแ้ รงงาน
D
C ธนาคาร ผู้ให้กู้ยมื
พ่อค้าคนกลาง
ส่อื มวลชน
การแปลงแผนสูก่ ารปฏิบัติ
การแปลงยุทธศาสตรส์ ู่การปฏิบตั ใิ นระดบั พื้นท่ี ในระยะท่ผี า่ นมาสามารถสรปุ ปญั หาและอุปสรรค
ไดด้ งั นี้
1) การแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ ไม่สอดรับและประสานเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์และ
ความตอ้ งการของประชาชน และวสิ ัยทศั นก์ บั แผนปฏิบัตกิ าร (Action Plan) ไมส่ อดคลอ้ ง
2) การแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ ขาดความเป็นรูปธรรม แต่ละฝ่ายมีความเข้าใจ
ไม่ตรงกัน ขาดการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน เทคนิควิธีการในการแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติและการ
จัดทำแผนปฏิบตั กิ าร (Action Plan) ไม่มปี ระสิทธิภาพ
3) ขาดการนิยามความหมายของยุทธศาสตร์ฯ และการกำหนดปัจจัยแห่งความสำเร็จ
(Critical Success Factor: CSF) ส่วนใหญ่มักใช้ความคิดว่าน่าจะเป็นกับประสบการณ์ในการบรหิ ารงาน
แบบดัง้ เดมิ มากำหนดรายละเอียดของแผนยุทธศาสตร์ฯ ทำใหป้ ระเด็นยุทธศาสตร์เป้าประสงค์ ตวั ช้วี ัด กลยุทธ์
และโครงการต่างๆ ขาดความเช่อื มโยงสัมพันธก์ นั
4) ส่วนราชการต่างๆ ในจังหวัด ไม่สามารถจำแนกได้ว่าภารกิจใดเป็นภารกิจหลักของ
หนว่ ยงาน และภารกิจใดเปน็ ภารกจิ ของจังหวัด/กลุ่มจงั หวัด
5) การกำหนดกลยทุ ธ์ขาดความชดั เจนในการดำเนนิ งาน
6) การเสนอโครงการต่างๆ ส่วนใหญเ่ ปน็ งานประจำทีไ่ มส่ อดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ฯ
7) การทำแผนยุทธศาสตร์ฯ เป็นการทำให้เสร็จตามเวลา และตั้งเป้าหมายไว้ต่ำกว่าที่ควรจะ
เป็น และเปน็ การตง้ั เพียงเพื่อใหผ้ ่านการประเมิน
8) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของสำนักงานทั้งระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีภาระงานของ
ต้นสังกัด (ระดับกรมหรือFunction) และในพื้นที่ (Area) ที่ต้องปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน โดยส่วนใหญ่จะมี
แนวคิดบนพื้นฐานของ Function มากกว่า Area และขาดความเข้าใจในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และ
การพิจารณาแบบบูรณาการเพื่อจัดทำแผนงาน/โครงการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัดท่ี เป็น
ยุทธศาสตร์ ผลที่ตามมาคือจะทำให้เกิดการนำโครงการเป็นตัวตั้งและเลือกประเภทโครงการซึ่งเป็น
โครงการเดิมที่เคยจัดทำไว้แล้วแต่ไม่ได้รับงบประมาณในปีก่อนๆ และนำมาบรรจุให้สอดคล้องกับ
ยทุ ธศาสตร์ของแผนพฒั นาจังหวัด
9) กระบวนการจัดทำแผนขาดบูรณาการระหว่างจังหวัด/กลุ่มจังหวัดกับส่วนกลาง และ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการเชื่อมโยงและการประสานแผนพัฒนาจังหวัดแผนพัฒนาท้องถิ่น
สำนักงานการทอ่ งเทีย่ วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 46 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
และองคก์ รภาคชุมชนหรือประชาสังคม ยงั ไมเ่ ปน็ ระบบและไม่มีกลไกที่ชดั เจน ทำใหก้ ารจัดทำแผนพัฒนา
จงั หวดั ไมส่ อดคล้องกนั รวมทง้ั มรี ะยะเวลาในการจดั ทำแผนท่ไี ม่สอดคลอ้ งกัน
10) กระบวนการแปลงแผนพัฒนาจังหวัดไปสู่การปฏิบัติ (แผนปฏิบตั ิราชการประจำปี) จะต้อง
พิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์เป็นหลักมากกว่ามิติเชิงพื้นที่ ทั้งนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งไม่มี
การจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนา (มีเพียงบางแห่ง) ดังนั้น การจัดทำแผนปฏิบัติการที่สอดคล้องกันใน
เชงิ ยทุ ธศาสตรจ์ งึ ไม่สามารถทำได้ แต่จะทำไดใ้ นลักษณะเชิงพื้นท่ีเทา่ น้ัน
สำนกั งานการทอ่ งเท่ียวและกฬี าจงั หวดั สงขลา 47 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
สำนกั งานการทอ่ งเท่ยี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 48 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
บทที่ 3 สถานการณแ์ ละทศิ ทางการท่องเที่ยว
“นักท่องเท่ียว” ตามพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ หมายความว่า
บุคคลท่เี ดินทางจากท้องท่ีอันเป็นถิ่นท่ีอยู่โดยปกติของตนไปยังท้องที่อื่นเป็นการชัว่ คราวด้วยความสมัครใจ
และด้วยวัตถุประสงค์อันมิใช่เพื่อไปประกอบ อาชีพหรือหารายได้ (พระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่ง
ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒, 2552) ซึง่ หากพิจารณาจากการเดินทางจากท้องท่ีอันเป็นถิ่นท่ีอยู่โดยปกติไปยัง
ท้องที่อื่น ทำให้สามารถแบ่งลักษณะการท่องเที่ยวได้เป็น 2 ลักษณะคือ การท่องเที่ยวภายในประเทศ
และการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ซงึ่ การทอ่ งเทยี่ วทงั้ 2 ลักษณะยอ่ มมเี หตุจูงใจและให้ผลลัพธ์ท่ีแตกต่าง
กนั ดงั น้ันเพ่อื ให้สามารถกำหนดทิศทางการพฒั นาการท่องเท่ยี วได้สอดคล้องกับสถานการณ์การท่องเท่ียว
ในบทนี้จึงเป็นศึกษาและทำการวิเคราะห์ถึงสถานการณ์และทิศทางของการท่องเที่ยวในทุกระดับ ตั้งแต่
ระดับโลกจนถึงระดับพนื้ ท่เี ป้าหมาย เพ่อื เป็นขอ้ มลู ในการกำหนดทศิ ทางการพัฒนาพื้นทีเ่ ป้าหมายตอ่ ไป
สถานการณ์และทศิ ทางการทอ่ งเที่ยวโลก
การท่องเที่ยวโลกในท่ีนี้หมายถึงการที่บุคคลเดินทางไปยังท้องที่อื่นที่ไม่ใช่ประเทศของตนเอง
หรือเป็นการเดินทางข้ามเขตแดนประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของทั้ง 2
ประเทศ หลายประเทศจึงต้องการให้มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามาเท่ียวในประเทศของตนเอง
ดงั น้นั ที่ผ่านมาหลายประเทศได้มีนโยบายกระตนุ้ ให้เกิดการท่องเท่ยี วในลักษณะนี้
1. สถานการณ์การทอ่ งเทย่ี วโลก
สถานการณ์การท่องเที่ยวโลกหมายถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของนักท่องเที่ยว
เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยว รายได้รายจ่ายที่เกิดขึ้น พฤติกรรมของนักท่องเที่ยว หรือแม้แต่
พฤติกรรมของเจ้าของบ้าน โดยส่วนนี้จะแสดงใหเ้ ห็นถึง จำนวนของนักทอ่ งเที่ยวท้ังในสว่ นของประเทศที่
เป็นภมู ิลำเนาและประเทศเป้าหมายของนักท่องเท่ียว เพือ่ เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ทิศทางการท่องเที่ยว
ต่อไป
จากข้อมลู ในปี พ.ศ. 2562 พบวา่ มีนักทอ่ งเท่ยี วระหว่างประเทศจำนวน 1,389.19 ล้าน
คน จากประชากรโลกทั้งหมด 7,708.84 ล้านคน (Worldometers, 2562) คิดเป็นร้อยละ 18.02
นักท่องเที่ยวส่วนมากเป็นประชากรของประเทศท่ีพัฒนาแล้ว โดยนักท่องเท่ียวชาวสหรฐั อเมริกามจี ำนวน
มากที่สุด จำนวน 115.17 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 8.29 ของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั้งหมด
รองลงมาเป็นประเทศเยอรมัน และจีน ที่มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 7.96 และ 7.02 ตามลำดับ โดยใน 10
ประเทศแรกของโลกรวมกันมีนักท่องเที่ยวในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 46.48 อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน
แม้ประเทศจีนจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศเป็นอันดับที่ 3 แต่ด้วยที่มีอัตราการขยายตัว
คอ่ นข้างสงู คาดวา่ ในอนาคตอันใกลน้ ี้จะสามารถแซงข้นึ มาเป็นอนั ดบั 1 ได้โดยไมย่ าก
สำนกั งานการท่องเท่ยี วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 49 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 8 จำนวนนกั ทอ่ งเทยี่ วระหว่างประเทศแบง่ ตามสัญชาติปี พ.ศ. 2561
ทมี่ า: ศูนยว์ จิ ัยด้านการตลาดการทอ่ งเทยี่ ว, 2562.
ภาพท่ี 9 จำนวนนักท่องเท่ียวระหว่างประเทศ 10 อนั ดับแรก ปี พ.ศ. 2561
ท่ีมา: ศูนยว์ ิจยั ด้านการตลาดการทอ่ งเทีย่ ว, 2562.
ในส่วนของพื้นที่เป้าหมายที่มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมาก 10 อันดับแรกของโลกในปี
พ.ศ. 2561 พบว่า ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวไปมากที่สุดถึง 91.40 ล้านคน คิดเป็น
ร้อยละ 6.58 ของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั้งหมด รองลงมาเป็นประเทศสเปน และสหรัฐอเมริกา
ร้อยละ 6.09 และ 5.38 ตามลำดับ โดยประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมาเยือนเป็นอันดับ
10 ของโลก จำนวน 37.41 ล้านคน คดิ เป็นรอ้ ยละ 2.69 ของนกั ทอ่ งเทย่ี วระหว่างประเทศ
สำนักงานการท่องเท่ียวและกีฬาจงั หวัดสงขลา 50 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
2. ทิศทางการทอ่ งเท่ียวโลก
ดว้ ยสถานการณ์ด้านส่วนบุคคล ด้านเศรษฐกิจ ดา้ นสงั คม และด้านกายภาพ ลว้ นเป็นเหตุจูงใจ
ให้มีการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูล 6 ปีย้อนหลังพบว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่าง
ประเทศเพิ่มข้ึนจาก 1,091 ล้านคนในปี พ.ศ. 2556 เป็น 1,388 ล้านคน เฉลี่ยร้อยละ 4.7 ต่อปี ซ่ึง
เป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกในภาพรวม และคาดว่าจะมีการขยายตัวใน
อตั ราเดมิ อย่างตอ่ เนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2565 คาดว่าจะนกั ทอ่ งเทย่ี วระหว่างประเทศจำนวน 1,644 ล้าน
คน (ศูนย์วิจัยด้านการตลาดการท่องเที่ยว, 2562) ทั้งนี้อาจเปน็ เพราะการขยายตัวของนักท่องเที่ยวของ
ประเทศจีนและอนิ เดีย ตลอดจนพัฒนาการของเทคโนโลยีส่ือสารทีส่ ่งผลให้นักท่องเที่ยวเข้าถงึ แหล่งข้อมูล
ไดส้ ะดวกและรวดเร็วขนึ้ น่ันเอง
ภาพท่ี 10 จำนวนนกั ทอ่ งเท่ียวท่เี ดินทางระหว่างประเทศ
ท่มี า: ศนู ยว์ จิ ยั ด้านการตลาดการทอ่ งเที่ยว, 2562.
ผลกระทบ จากข้อมูลจำนวนนักท่องเทีย่ วโลกท่ีเพ่ิมข้ึนมากถึงร้อยละ 4.54 และแนวโน้ม
การเพ่ิมที่รวดเร็วของนักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดีย ทำให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้น มีรายได้จาก
การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ดังน้ันประเทศเป้าหมายการท่องเที่ยวอย่างประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ควรมี
แนวทางในการพัฒนาและรับมือ
แนวทางการพัฒนา เขตพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาควรมีมาตรการเชิงรุกในการดึง
นักท่องเทย่ี วในขณะเดียวกันก็ควรมีมาตรการเชงิ รับในการเพ่ิมขึ้นของนักท่องเทีย่ วทจ่ี ะเข้าในพื้นที่ด้วย
สำนกั งานการท่องเท่ยี วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 51 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
สถานการณ์และทศิ ทางการท่องเทย่ี วภูมภิ าคเอเชีย
1. สถานการณก์ ารท่องเที่ยวภูมภิ าคเอเชยี
ประเทศเป้าหมายของนักท่องเทยี่ วในเอเชียในปี พ.ศ. 2561 พบว่า มนี ักท่องเทย่ี วจำนวน
322.93 ลา้ นคน คิดเปน็ ร้อยละ 23.26 ของนกั ท่องเท่ียวระหว่างประเทศทั้งหมด เพม่ิ ข้นึ ร้อยละ 8.39
ซึ่งสูงกว่าอตั ราการเพิ่มในภาพรวมของโลก โดยประเทศจีนมนี ักท่องเที่ยวไปเย่ยี มเยือนมากที่สุด มีจำนวน
นักท่องเที่ยว 67.33 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20.85 เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 5.96 อย่างไรก็ตาม
หากเทียบกับจำนวนประชากรและขนาดพื้นที่แล้วถือได้ว่าเป็นจำนวนที่ไม่สูงมากนัก ในขณะที่ประเทศ
ไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มประเทศอาเซียน โดยมี
จำนวนนกั ทอ่ งเทย่ี ว 37.41 ลา้ นคนหรือประมาณครึ่งหนงึ่ ของประชากรทั้งหมด และมีอตั ราการขยายตัว
จากปีที่ผ่านมาสูงถึงร้อยละ 6.68 อย่างไรก็ตามประเทศท่ีมอี ัตราการขยายตัวของนักท่องเทีย่ วสูงที่สดุ ใน
เอเชยี และในอาเซียนคือประเทศเวียดนามโดยในปี พ.ศ. 2561 มอี ัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 30.89
ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมการท่องเท่ียวของรัฐบาลและลักษณะทางกายภาพที่งดงามนั่นเอง
ในขณะท่ีประเทศอินโดนีเซียและประเทศญ่ีปุ่นก็เปน็ อีก 2 ประเทศที่มีอตั ราการขยายตวั ของนักท่องเท่ียว
ทค่ี ่อนข้างสูงเชน่ กนั (ศูนยว์ จิ ยั ดา้ นการตลาดการทอ่ งเท่ยี ว, 2562)
ภาพที่ 11 จำนวนนักทอ่ งเท่ียวต่างประเทศในภูมิภาคเอเชยี
ทีม่ า: ศนู ย์วิจัยด้านการตลาดการท่องเทยี่ ว, 2562.
สำนกั งานการท่องเทีย่ วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 52 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 12 จำนวนนกั ทอ่ งเท่ียวต่างประเทศในภมู ิภาคเอเชียและอาเซยี น
ทีม่ า: ศูนย์วจิ ยั ด้านการตลาดการทอ่ งเทย่ี ว, 2562.
2. ทิศทางการท่องเที่ยวภมู ิภาคเอเชีย
ทิศทางของนักท่องเท่ยี วที่มาเทย่ี วในภูมภิ าคเอเชียพบว่า มอี ตั ราการขยายตัวที่ค่อนข้างสูง
มาอย่างต่อเนื่องโดยในปี พ.ศ. 2559 มีอัตราการขยายตัวสงู ถึงร้อยละ 9.63 ในปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2561
มีจำนวนนักท่องเที่ยว 322.93 ล้านคน แต่คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือปี พ.ศ. 2565 จะมี
นักท่องเที่ยวมาเที่ยวในภูมิภาคนี้สูงถึง 420.44 ล้านคน โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ
6.5 ทกุ ปี ในขณะท่ีภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ หรอื กลุ่มอาเซยี น พบว่า มีอตั ราการขยายตัวทสี่ ูงกว่า
ในภาพรวมของภูมิภาคเอเชีย อย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2562 มีอัตราการขยายตัวของ
นักท่องเที่ยวสูงถึงร้อยละ 9.59 ซึ่งประเทศที่มีอัตราการขยายตัวได้ดีคือ เวียดนาม ไทย สิงคโปร์
อนิ โดนีเซยี กมั พชู า ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ผลกระทบ จากข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย และอาเซียนที่เพิ่มขึ้นมากถึง
ร้อยละ 6.5 และ 9.6 ตามลำดับ และแนวโน้มการเพิ่มที่รวดเร็วของนักท่องเที่ยวชาวจีนและเวียดนาม
ทำให้เกิดการบรโิ ภคเพ่ิมขน้ึ มีรายได้จากการท่องเที่ยวเพ่ิมขึ้น ดังนั้นประเทศเปา้ หมายการท่องเท่ียวอย่าง
ประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ควรมแี นวทางในการพฒั นาและรับมือ
แนวทางการพัฒนา เขตพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาควรมีมาตรการเชิงรุกในการดึง
นักทอ่ งเทย่ี วในขณะเดียวกนั ก็ควรมีมาตรการเชงิ รบั ในการเพิ่มข้นึ ของนกั ท่องเทยี่ วทจี่ ะเข้าในพืน้ ที่ด้วย
สำนักงานการทอ่ งเทย่ี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 53 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
สถานการณแ์ ละทศิ ทางการท่องเทยี่ วของประเทศไทย
ประเทศไทยเป็นประเทศเป้าหมายของของนักท่องเที่ยวหลายประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2561
ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมากเป็นอันดับ 10 ของโลก อันดับ 2 ของเอเชีย และอันดับ 1
ของอาเซียน นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของคนไทยเอง โดยมีสถานการณ์และทิศทาง
การทอ่ งเที่ยวดังนี้
1. สถานการณก์ ารท่องเท่ียวของประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยมีผู้เยี่ยมเยือนสูงถึง 289,823,283 คน โดยแบ่งเป็น
ผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 217,996,565 คน และชาวต่างชาติ 71,826,718 คน ในจำนวนนี้แบ่งเป็น
นกั ทอ่ งเทยี่ ว 184,094,768 คน (ชาวไทย 125,471,265 คน ชาวต่างชาติ 58,623,503 คน) และ
นักทัศนาจร 105,728,515 คน (ชาวไทย 92,525,300 คน ชาวต่างชาติ 13,203,215 คน)
(กระทรวงการทอ่ งเที่ยวและกีฬา, 2562) โดยมีรายละเอียดรายพ้นื ท่ีดงั นี้
1.1 ผู้เยย่ี มเยอื น
แบ่งเป็นชาวไทยและชาวต่างชาติ พบว่า กรุงเทพฯ มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยมากที่สุด
จำนวน 41.1 ล้านคน รองลงมาเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 38.9 ล้านคน ส่วนภาคใต้กับ
ภาคตะวนั ออกมีจำนวนน้อยท่สี ดุ ประมาณ 25.0 ล้านคน ในขณะทีภ่ าคใต้กลับมีผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติ
มากที่สุด จำนวน 25.5 ล้านคน รองลงมาเป็นกรุงเทพฯ ในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ส่วนภาคตะวันเฉียงเหนือ
กลับมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติน้อยที่สุด ในภาพรวมของผู้เยี่ยมเยือน พบว่า กรุงเทพฯ มีผู้เยี่ยมเยือน
มากที่สุด รองมาเป็นภาคใต้ และภาคตะวันเฉียงเหนือ โดยมีผู้เยี่ยมเยือนเป็น 63.6 50.5 และ 40.6
ลา้ นคน ตามลำดับ
1.2 รายได้
รายได้จากผู้เยี่ยมเยือน พบว่ากรุงเทพฯ มีรายได้มากที่สุด 947.3 ล้านบาท
รองลงมาเป็นภาคใต้ 781.1 ล้านบาท ส่วนภูมิภาคอื่นๆ มีรายได้ที่น้อยกว่าค่อนข้างมาก โดยรายได้หลกั
ของทัง้ ภาคใต้และกรงุ เทพฯ มาจากผู้เยีย่ มเยอื นชาวตา่ งชาติ เปน็ 597.1 ล้านบาทและ 596.3 ล้านบาท
ตามลำดบั
1.3 เวลาพำนักเฉล่ยี
เวลาพำนักเฉลี่ยในภาพรวมชาวต่างชาติมรี ะยะเวลาพำนักเฉล่ยี ท่ีมากกว่าชาวไทยใน
ทุกภูมิภาค โดยกรุงเทพฯ ผู้เย่ียมเยือนชาวตา่ งชาติใช้เวลาพำนักเฉลี่ยสูงสุด เป็น 4.77 วัน รองลงมาเป็น
ภาคใต้ 4.62 วัน ภาคตะวันออก 4.06 วัน ในขณะที่ผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยใชเ้ วลาพำนักไม่สงู มากนักและ
ใกลเ้ คยี งกันในทุกภมู ิภาค
1.4 คา่ ใช้จา่ ยเฉล่ยี ตอ่ คนต่อวัน
ภาคใต้มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อวันสูงท่ีสุดเป็น 5,021 บาท โดยผู้เยี่ยมเยือน
ชาวต่างชาติมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 6,133 บาทต่อคนต่อวัน ในขณะที่ชาวไทยมีค่าใช้จ่ายคนละ 3,162 บาท
ต่อวัน ในขณะที่กรุงเทพฯ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อวันรองลงมา เป็น 4,808 บาท โดยผู้เยี่ยมเยือน
ชาวต่างชาติมีค่าใช้จ่าย 5,949 บาทต่อคนต่อวัน ในขณะที่ชาวไทยมีค่าใช้จา่ ยคนละ 3,692 บาทต่อวัน
รองลงมาเป็นภาคตะวันออกและภาคเหนือตามลำดบั
สำนักงานการท่องเที่ยวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 54 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 13 จำนวนผู้เยย่ี มเยือนรายภมู ิภาค ปี พ.ศ. 2560
ทมี่ า: กระทรวงการทอ่ งเท่ียวและกีฬา, 2562.
ภาพที่ 14 รายได้จากผูเ้ ยยี่ มเยอื นรายภมู ภิ าค ปี พ.ศ. 2560
ท่ีมา: กระทรวงการทอ่ งเท่ยี วและกีฬา, 2562.
สำนักงานการทอ่ งเท่ยี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 55 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ภาพที่ 15 ระยะเวลาพำนกั เฉลย่ี ของผ้เู ย่ยี มเยอื นรายภูมิภาค ปี พ.ศ. 2560
ทมี่ า: กระทรวงการทอ่ งเทย่ี วและกีฬา, 2562.
ภาพท่ี 16 ค่าใชจ้ า่ ยต่อคนต่อวนั ของผูเ้ ยี่ยมเยอื นรายภมู ภิ าค ปี พ.ศ. 2560
ที่มา: กระทรวงการท่องเทย่ี วและกฬี า, 2562.
สำนกั งานการทอ่ งเทย่ี วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 56 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
1. ทิศทางการทอ่ งเที่ยวของประเทศไทย
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยด้านการตลาดการท่องเที่ยว (2562) ในปี พ.ศ. 2557 ประเทศไทยมี
จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติลดลงเล็กน้อย แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมามีจำนวนนักท่องเทีย่ ว
ชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 5 ต่อปี และคาดว่าจะมี
การขยายตัวในอัตราเดิมจนถึงปี พ.ศ. 2565 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสูงถึงเกือบ 50
ลา้ นคน
ภาพท่ี 17 จำนวนและทศิ ทางนกั ท่องเท่ยี วชาวตา่ งประเทศของประเทศไทย
ทมี่ า: ศูนย์วจิ ัยด้านการตลาดการท่องเท่ยี ว, 2562.
ผลกระทบ จากข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศของประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาก
มากกว่าร้อยละ 5 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้น มีรายได้จาก
การท่องเที่ยวเพ่ิมขึน้ ดังน้นั ภาคส่วนท่ีเกยี่ วขอ้ งควรมแี นวทางในการพัฒนาและรบั มือ
แนวทางการพัฒนา เขตพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาควรมีมาตรการเชิงรุกในการดึง
นักท่องเท่ียวในขณะเดยี วกนั กค็ วรมมี าตรการเชิงรับในการเพิม่ ขึ้นของนักท่องเทย่ี วทีจ่ ะเข้าในพ้ืนทดี่ ้วย
สถานการณ์และทศิ ทางการท่องเท่ยี วในพื้นทภี่ าคใต้
ภาคใต้เป็นพ้ืนที่ที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยว จากข้อมูลสถานการณ์ระดับประเทศข้างต้น
พบว่า ภาคใต้มีจำนวนผูเ้ ยี่ยมเยือนและรายได้จากการท่องเท่ียวมากเป็นอันดบั 2 รองจากกรุงเทพฯ และ
เป็นภูมิภาคที่มีรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ อีกทั้งผู้เยี่ยมเยือน
มีค่าใชจ้ ่ายต่อคนตอ่ วนั สูงที่สดุ ประมาณ 5,000 บาทต่อคนตอ่ วัน
เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จาก 37.6 ล้านคนในปี พ.ศ. 2556 เป็น 50.5 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2560 โดยจำนวนของผู้เย่ียมเยือน
สำนักงานการท่องเท่ียวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 57 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
ชาวต่างชาตกิ ับชาวไทยมีสัดส่วนที่ไม่แตกตา่ งกันมากนัก ระยะเวลาในการพำนกั เฉล่ียประมาณ 3 วันครึ่ง
โดยผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติมีระยะเวลาพำนักเฉล่ียมากกว่าชาวไทยเกือบ 2 วัน ในด้านเศรษฐกจิ พบว่า
ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 3,878 บาท ในปี พ.ศ. 2556 เป็น 5,021 บาท ในปี
พ.ศ. 2560 โดยผู้เยี่ยมเยือนชาวตา่ งชาติมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อวนั มากกว่าชาวไทยประมาณเท่าตัว รายได้
จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูงเฉลี่ยร้อยละ 13.96 ต่อปี โดยรายได้ส่วนมากมาจากผู้เยี่ยมเยือน
ชาวตา่ งชาติ และมมี ูลคา่ รวมสูงถงึ 781,078 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2560
ภาพที่ 18 จำนวนผเู้ ยี่ยมเยือนภาคใต้ ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกฬี า, 2562.
ภาพที่ 19 ระยะเวลาพำนักเฉลี่ยของผู้เยี่ยมเยือนภาคใต้ ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ที่มา: กระทรวงการทอ่ งเท่ียวและกฬี า, 2562.
สำนกั งานการทอ่ งเท่ยี วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 58 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 20 ค่าใช้จา่ ยเฉลย่ี ต่อคนต่อวนั ของผูเ้ ย่ยี มเยือนภาคใต้ ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ทมี่ า: กระทรวงการท่องเทย่ี วและกฬี า, 2562.
ภาพที่ 21 รายไดจ้ ากผเู้ ยย่ี มเยอื นของภาคใต้ ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ท่ีมา: กระทรวงการทอ่ งเทย่ี วและกีฬา, 2562.
ผลกระทบ จากขอ้ มลู จำนวนนกั ท่องเทีย่ วท้งั ชาวไทยและชาวต่างประเทศในพ้ืนท่ีภาคใตท้ ่ีเพิ่มข้ึน
อย่างตอ่ เนื่อง ค่าใชจ้ ่ายต่อวนั เพิ่มข้นึ ทำให้รายไดจ้ ากการท่องเที่ยวของภาคใต้เพ่ิมขึ้นอย่างมาก ในขณะที่เวลา
พำนักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือแทบจะไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้นภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ควรมีแนวทางในการพัฒนาและ
รบั มอื
สำนกั งานการท่องเท่ียวและกีฬาจงั หวดั สงขลา 59 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
แนวทางการพัฒนา เขตพื้นที่ลุม่ น้ำทะเลสาบสงขลาควรมีมาตรการเชิงรุกในการดึงนักท่องเท่ยี ว
ในขณะเดียวกนั กค็ วรมมี าตรการเชิงรับในการเพิ่มข้ึนของนักท่องเท่ยี วที่จะเข้าในพน้ื ที่ด้วย โดยเฉพาะควร
มีกลยุทธใ์ นการเพิ่มเวลาในการพำนักของนักท่องเที่ยวใหเ้ พิ่มขนึ้ เพือ่ เปน็ การเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว
ให้มากขนึ้
สถานการณแ์ ละทิศทางการท่องเท่ยี วในจงั หวดั รอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
จงั หวัดรอบลุม่ น้ำทะเลสาบสงขลาในทน่ี ้ีหมายถงึ จังหวดั สงขลา พทั ลุง และนครศรธี รรมราช โดย
สถานการณ์และทิศทางการท่องเที่ยวเป็นข้อมูลเกี่ยวกับผู้เยี่ยมเยือน ระยะเวลาในการพำนัก ค่าใช้จ่าย
เฉลีย่ ต่อคนตอ่ วัน และรายไดจ้ ากการท่องเทย่ี ว ในชว่ งปี พ.ศ. 255 6 - 2560 เป็นดังต่อไปน้ี
1. สถานการณ์และทศิ ทางการท่องเทีย่ วจงั หวดั สงขลา
จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดใน 3 จังหวัดรอบลุ่มน้ำทะเลสาบ
สงขลา และเป็นจังหวัดท่ีมีอาณาครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลามากที่สุด สถานการณ์และ
ทศิ ทางการทอ่ งเทย่ี วจงั หวัดสงขลา แสดงในด้านตา่ งๆ ได้ดงั น้ี
1.1 ผูเ้ ยย่ี มเยือน
ในปี พ.ศ. 2560 จังหวัดสงขลามีผู้เยี่ยมเยือนจำนวน 7.0 ล้านคน แบ่งเป็นผู้เยี่ยมเยือน
ชาวไทย 4.4 ล้านคน ผู้เยี่ยมเยือนต่างชาติ 2.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 5.25 ในช่วง
ระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า จำนวนผู้เยี่ยมเยือนจังหวัดสงขลามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราค่อนข้างสูง
อย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มจาก 5.8 ล้านคนในปี พ.ศ. 2556 เป็น 7.0 ล้านคนในปี พ.ศ. 2560 เพ่ิมขึ้น
เฉลี่ยรอ้ ยละ 10.87 ตอ่ ปี
ภาพท่ี 22 จำนวนผเู้ ยย่ี มเยือนจังหวดั สงขลา ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ทีม่ า: กระทรวงการทอ่ งเที่ยวและกีฬา, 2562.
สำนกั งานการท่องเทีย่ วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 60 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพที่ 23 ระยะเวลาพำนกั เฉล่ยี ของผู้เย่ียมเยอื นจังหวดั สงขลา ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ที่มา: กระทรวงการท่องเท่ยี วและกีฬา, 2562.
ภาพท่ี 24 ค่าใช้จ่ายเฉล่ยี ของผู้เยย่ี มเยอื นจงั หวัดสงขลา ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ที่มา: กระทรวงการทอ่ งเทีย่ วและกีฬา, 2562.
สำนกั งานการท่องเทย่ี วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 61 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ภาพท่ี 25 รายไดจ้ ากท่องเท่ียวจังหวัดสงขลา ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ที่มา: กระทรวงการทอ่ งเที่ยวและกฬี า, 2562.
1.2 เวลาพำนักเฉลี่ย
ในช่วงปี พ.ศ. 2556 ถึง 2558 ระยะเวลาพำนักเฉลี่ยของชาวต่างชาติน้อยกว่า
ชาวไทย แตม่ ีแนวโน้มเพ่ิมขน้ึ จนในชว่ งปี พ.ศ. 2559 ถงึ 2560 เวลาพำนกั ของผเู้ ย่ยี มเยือนชาวตา่ งชาติ
มีระยะเวลาที่มากกว่าชาวไทยซึ่งมีแนวโน้มระยะเวลาในการพำนักลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ.
2560 เวลาพำนักเฉลี่ยเป็น 2.64 วนั ชาวตา่ งชาติพำนักเฉล่ีย 2.73 วัน ในขณะทผี่ ู้เย่ียมเยือนชาวไทยมี
ระยะเวลาพำนักเฉลี่ย 2.57 วนั
1.3 ค่าใช้จา่ ยเฉล่ียต่อคนต่อวัน
ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อวันของผู้เยี่ยมเยือน
จังหวัดสงขลามีแนวโน้มเพิ่มข้ึนในอัตราค่อนข้างสูงอย่างตอ่ เนือ่ ง โดยเพิ่มจาก 2,873.76 บาทต่อคนต่อวัน
ในปี พ.ศ. 2556 เป็น 3,620.24 บาทตอ่ คนต่อวัน ในปี พ.ศ. 2560 เพิม่ ข้ึนเฉล่ียร้อยละ 6.55 ต่อปี โดย
ผเู้ ยีย่ มเยือนชาวตา่ งชาติมีค่าใช้จ่ายตอ่ คนต่อวนั อยู่ที่ 4,229.88 บาท สงู กว่าชาวไทยซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อวัน
เปน็ 3,190.95 บาท
1.4 รายไดจ้ ากการท่องเทย่ี ว
ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า รายได้จากการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลามี
แนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราค่อนข้างสูงอย่างตอ่ เนื่อง โดยเพิ่มจาก 37,275.81 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2556
เป็น 59,831.77 ลา้ นบาท ในปี พ.ศ. 2560 เพิ่มขนึ้ เฉลี่ยร้อยละ 17.59 ต่อปี โดยมีรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน
ชาวไทย 30,945.14 บาท สูงกวา่ รายไดจ้ ากชาวตา่ งชาตซิ ึ่งมมี ลู ค่า 28,886.63 ล้านบาท
2. สถานการณ์และทิศทางการทอ่ งเที่ยวจังหวดั พทั ลุง
จงั หวดั พัทลุงเปน็ จังหวดั ที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กท่สี ุดใน 3 จงั หวัดรอบพื้นทลี่ ุ่มน้ำทะเลสาบ
สงขลา สถานการณแ์ ละทศิ ทางการท่องเที่ยวจังหวัดพัทลงุ แสดงในด้านตา่ งๆ ได้ดงั น้ี
สำนกั งานการท่องเท่ยี วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 62 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
2.1 ผู้เยี่ยมเยอื น
ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า จำนวนผู้เยี่ยมเยือนจังหวัดพัทลุงมีแนวโน้ม
เพิ่มขึ้นในอัตราค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มจาก 1.2 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2556 เป็น 1.6 ล้านคน
ในปี พ.ศ. 2560 เพม่ิ ขึ้นเฉลี่ยรอ้ ยละ 7.59 ต่อปี โดยเกือบท้ังหมดเป็นผูเ้ ยี่ยมเยอื นชาวไทย
2.2 เวลาพำนกั เฉลย่ี
ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า เวลาพำนักของผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติมี
ระยะเวลาที่มากกว่าชาวไทยเล็กน้อย แต่ทั้ง 2 กลุ่มมีแนวโน้มลดลง โดยในปี พ.ศ. 2560 เวลาพำนัก
เฉลี่ยเป็น 1.84 วัน โดยผูเ้ ยยี่ มเยอื นทัง้ 2 กลมุ่ มรี ะยะเวลาพำนกั เฉลีย่ ไมแ่ ตกตา่ งกนั
2.3 คา่ ใช้จา่ ยเฉลี่ยตอ่ คนต่อวัน
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันของผู้เยี่ยมเยือนจังหวัดพัทลุงน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 2
จังหวัด ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ค่าใช้จ่ายเฉล่ียต่อคนต่อวันของผู้เยี่ยมเยือนจังหวัดพทั ลงุ มี
แนวโน้มเพ่ิมข้นึ อยา่ งต่อเน่ืองในอัตราที่ไมส่ ูงมากนกั โดยเพม่ิ จาก 1,158.35 บาทตอ่ คนต่อวันในปี พ.ศ.
2556 เป็น 1,389.98 บาทต่อคนต่อวัน ในปี พ.ศ. 2560 เพิ่มข้ึนเฉลี่ยร้อยละ 5.09 ต่อปี โดย
ผเู้ ย่ยี มเยอื นชาวต่างชาติมคี ่าใช้จ่ายตอ่ คนตอ่ วันสูงกว่าชาวไทยเลก็ นอ้ ย
2.4 รายไดจ้ ากการทอ่ งเท่ยี ว
ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า รายได้จากการท่องเที่ยวจังหวัดพัทลุง
มีแนวโนม้ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเพิ่มในอัตราค่อนข้างสงู โดยเพิ่มจาก 2,145.67 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2556
เป็น 3,155.92 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2560 เพิ่มขึ้นเฉล่ียร้อยละ 12.25 ต่อปี โดยรายได้เกือบทั้งหมด
มาจากผู้เย่ียมเยอื นชาวไทย
ภาพที่ 26 จำนวนผูเ้ ย่ียมเยอื นจงั หวดั พัทลงุ ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ทีม่ า: กระทรวงการทอ่ งเท่ยี วและกฬี า, 2562.
สำนกั งานการทอ่ งเทย่ี วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 63 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ภาพที่ 27 ระยะเวลาพำนกั เฉลย่ี ของผเู้ ย่ยี มเยือนจังหวดั พัทลุง ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ที่มา: กระทรวงการท่องเทยี่ วและกีฬา, 2562.
ภาพท่ี 28 ค่าใช้จ่ายเฉลย่ี ของผู้เยีย่ มเยือนจงั หวดั พัทลงุ ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ที่มา: กระทรวงการทอ่ งเทยี่ วและกฬี า, 2562.
สำนกั งานการท่องเทย่ี วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 64 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ภาพท่ี 29 รายไดจ้ ากการท่องเทีย่ วจงั หวัดพัทลุง ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ท่ีมา: กระทรวงการท่องเทีย่ วและกฬี า, 2562.
3. สถานการณแ์ ละทศิ ทางการทอ่ งเทยี่ วจังหวดั นครศรีธรรมราช
จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากจังหวัด
สงขลา เป็นจังหวัดท่ีมีอาณาครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาน้อยที่สุด สถานการณ์และทิศทาง
การท่องเทยี่ วจงั หวัดนครศรีธรรมราช แสดงในดา้ นต่างๆ ได้ดงั นี้
3.1 ผ้เู ย่ยี มเยอื น
ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า จำนวนผู้เยี่ยมเยือนจังหวัดนครศรีธรรมราชมี
แนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มจาก 2.7 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2556 เป็น 3.7 ล้านคน
ในปี พ.ศ. 2560 เพมิ่ ข้ึนเฉล่ยี รอ้ ยละ 8.95 ตอ่ ปี โดยเกอื บท้ังหมดเปน็ ผเู้ ยย่ี มเยือนชาวไทย
3.2 เวลาพำนักเฉล่ีย
ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า เวลาพำนักของผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติมี
ระยะเวลาที่มากกว่าชาวไทยซึ่งมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย โดยในปี พ.ศ. 2560 เวลาพำนักเฉลี่ยเป็น 2.35 วัน
ชาวต่างชาตพิ ำนกั เฉล่ีย 2.73 วนั ในขณะทผ่ี ูเ้ ย่ยี มเยือนชาวไทยมีระยะเวลาพำนักเฉล่ยี 2.35 วนั
3.3 คา่ ใช้จา่ ยเฉลย่ี ต่อคนตอ่ วัน
ในชว่ งระยะเวลา 5 ปที ผี่ ่านมา พบวา่ คา่ ใชจ้ า่ ยเฉลยี่ ตอ่ คนตอ่ วนั ของผู้เยีย่ มเยือนจังหวัด
นครศรีธรรมราชมีแนวโน้มเพิม่ ขึ้นในอัตราค่อนข้างสูงอย่างต่อเนือ่ ง โดยเพิ่มจาก 1,781.29 บาทต่อคน
ต่อวันในปี พ.ศ. 2556 เป็น 2,116.84 บาทต่อคนต่อวัน ในปี พ.ศ. 2560 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4.18
ตอ่ ปี โดยผู้เยี่ยมเยือนชาวตา่ งชาติมีคา่ ใช้จา่ ยต่อคนตอ่ วนั สูงกวา่ ชาวไทยเล็กนอ้ ย
สำนักงานการทอ่ งเทีย่ วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 65 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
3.4 รายได้จากการทอ่ งเทยี่ ว
ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า รายได้จากการท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช
มแี นวโน้มเพ่ิมข้นึ ในอตั ราคอ่ นข้างสงู อย่างตอ่ เนื่อง โดยเพม่ิ จาก 10,397.62 ลา้ นบาท ในปี พ.ศ. 2556
เป็น 15,609.04 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2560 เพ่มิ ขึ้นเฉล่ียรอ้ ยละ 12.44 ตอ่ ปี โดยรายได้เกือบทั้งหมด
มาจากผู้เย่ียมเยือนชาวไทย
ภาพท่ี 30 จำนวนผู้เย่ยี มเยอื นจังหวัดนครศรีธรรมราช ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ท่ีมา: กระทรวงการท่องเทีย่ วและกีฬา, 2562.
ภาพท่ี 31 ระยะเวลาพำนกั เฉลี่ยของผู้เยี่ยมเยอื นจงั หวดั นครศรธี รรมราช ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ทมี่ า: กระทรวงการท่องเท่ียวและกฬี า, 2562.
สำนกั งานการท่องเที่ยวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 66 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพที่ 32 ค่าใชจ้ า่ ยเฉลี่ยของผู้เย่ียมเยอื นจงั หวัดนครศรธี รรมราช ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ทม่ี า: กระทรวงการท่องเทย่ี วและกฬี า, 2562.
ภาพที่ 33 รายไดจ้ ากการท่องเทย่ี วของจังหวัดนครศรีธรรมราช ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ที่มา: กระทรวงการทอ่ งเทย่ี วและกฬี า, 2562.
4. เปรียบเทียบสถานการณก์ ารทอ่ งเที่ยวของ 3 จังหวัด
เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงขนาดของสถานการณ์การท่องเที่ยวของทั้ง 3 จังหวัด ในส่วนน้ี
จงึ ได้นำข้อมูลดา้ นสถานการณ์การท่องเทยี่ วในปี พ.ศ. 2560 มาทำการเปรยี บเทยี บ ดังต่อไปนี้
สำนกั งานการท่องเท่ยี วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 67 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
4.1 ผเู้ ยยี่ มเยือน
ผู้เยี่ยมเยือนจังหวัดสงขลามีจำนวนมากที่สุดเป็น 7.0 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ
57.12 ซึ่งมากกว่าอีก 2 จังหวัดรวมกนั และเป็นจงั หวดั เดียวทม่ี ีผเู้ ย่ยี มเยือนชาวต่างชาติ ในขณะท่ีอีก 2
จังหวัดแทบจะไมม่ ผี เู้ ยี่ยมเยือนชาวตา่ งชาติ
4.2 เวลาพำนักเฉลย่ี
ระยะเวลาพำนักเฉลีย่ ของผู้เยี่ยมเยือนจงั หวัดสงขลาและจังหวัดนครศรีธรรมราชไม่
ค่อยแตกต่างกันมากนัก โดยเวลาพำนักของผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติมีระยะเวลาที่มากกว่าชาวไทย
เลก็ นอ้ ย ในขณะระยะเวลาพำนักของผู้เยีย่ มเยือนของจังหวัดพัทลุงน้อยกว่าอกี 2 จงั หวดั ค่อนขา้ งสูง
4.3 ค่าใช้จา่ ยเฉลีย่ ต่อคนต่อวัน
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันของผู้เยี่ยมเยือนจังหวัดพัทลุงน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 2
จงั หวัด โดยผูเ้ ยยี่ มเยอื นชาวต่างชาตมิ คี า่ ใช้จา่ ยต่อคนตอ่ วันสูงกวา่ ชาวไทยเล็กน้อย
4.4 รายไดจ้ ากการท่องเที่ยว
รายได้จากการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลามีจำนวนมากที่สุดใน 3 จังหวัด เป็น
59,831 ล้านบาท ส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชกับพัทลุงมีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวน้อยมากเป็น
รายได้เกือบทงั้ หมดมาจากผ้เู ยย่ี มเยือนชาวไทย
ภาพที่ 34 จำนวนผูเ้ ยยี่ มเยอื นรายจังหวัด ปี พ.ศ. 2560
ที่มา: กระทรวงการทอ่ งเทย่ี วและกฬี า, 2562.
สำนกั งานการท่องเทย่ี วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 68 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพที่ 35 ระยะเวลาพำนกั เฉล่ียรายจังหวดั ปี พ.ศ. 2560
ทมี่ า: กระทรวงการทอ่ งเทย่ี วและกีฬา, 2562.
ภาพที่ 36 ค่าใชจ้ า่ ยเฉลย่ี ต่อคนต่อวนั ของผเู้ ยี่ยมเยือนรายจังหวดั ปี พ.ศ. 2560
ที่มา: กระทรวงการทอ่ งเที่ยวและกฬี า, 2562.
สำนักงานการท่องเที่ยวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 69 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
ภาพที่ 37 รายไดจ้ ากการท่องเที่ยวรายจังหวดั ปี พ.ศ. 2560
ที่มา: กระทรวงการท่องเท่ียวและกฬี า, 2562.
5. ทศิ ทางการทอ่ งเทยี่ วของ 3 จงั หวัด
เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงทิศทางการท่องเที่ยวของทั้ง 3 จังหวัด ในส่วนนี้จึงได้นำข้อมูล
ดา้ นการทอ่ งเทยี่ วในชว่ งปี พ.ศ. 255 6 - 2560 ดงั ตอ่ ไปน้ี
51 ผู้เยยี่ มเยอื น
ผู้เยี่ยมเยือนมีทิศทางเพ่ิมข้ึนอย่างต่อเนื่อง โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยมีจำนวนและ
อตั ราการขยายตวั ท่สี ูงกว่าผเู้ ยีย่ มเยอื นชาวต่างประเทศ
5.2 เวลาพำนักเฉลีย่
ระยะเวลาพำนักเฉลี่ยของผู้เย่ียมเยือนมีแนวโน้มลงลด ทั้งนี้เนื่องจากพฤติกรรม
การท่องเทยี่ วในพืน้ ที่ส่วนมากมักเปน็ ท่องเทย่ี วแบบ one day trip และบางสว่ นเปน็ การผา่ นพื้นท่ไี ปเท่ียว
ยงั พื้นทีอ่ นื่ เชน่ จังหวดั สตูล เปน็ ตน้
5.3 คา่ ใช้จ่ายเฉลย่ี ต่อคนต่อวัน
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันของผู้เย่ียมเยือนชาวต่างประเทศสูงกว่านักท่องเที่ยวชาวไทย
ในภาพรวมคา่ ใชจ้ า่ ยเฉล่ยี ตอ่ คนตอ่ วนั มแี นวโน้มเพ่ิมขึ้นอยา่ งต่อเนื่อง
5.4 รายได้จากการท่องเที่ยว
รายได้จากการท่องเที่ยวในพื้นที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
อยา่ งต่อเนือ่ ง ทง้ั ในส่วนรายได้จากของนักท่องเท่ียวชาวต่างประเทศและนกั ท่องเทย่ี วชาวไทย
สำนักงานการทอ่ งเท่ยี วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 70 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 38 ทิศทางจำนวนผู้เยี่ยมเยือนใน 3 จังหวดั ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ที่มา: กระทรวงการทอ่ งเท่ยี วและกฬี า, 2562.
ภาพที่ 39 ทศิ ทางระยะเวลาพำนักเฉล่ยี ของผเู้ ยย่ี มเยือนใน 3 จังหวัด ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ทม่ี า: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, 2562.
สำนักงานการทอ่ งเท่ียวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 71 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 40 ทิศทางค่าใช้จา่ ยเฉล่ียของผู้เยยี่ มเยือนใน 3 จังหวัด ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ทม่ี า: กระทรวงการทอ่ งเท่ยี วและกฬี า, 2562.
ภาพที่ 41 ทิศทางรายไดจ้ ากการท่องเท่ียวใน 3 จงั หวัด ปี พ.ศ. 255 6 - 2560
ทีม่ า: กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา, 2562.
ผลกระทบ จากข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศในพื้นที่ลุ่มน้ำ
ทะเลสาบสงขลาท่ีเพิ่มข้ึนอยา่ งต่อเนือ่ ง ค่าใช้จ่ายต่อวันเพิ่มขึ้น ทำให้รายได้จากการท่องเท่ียวของภาคใต้
เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่เวลาพำนักเฉลี่ยกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ควรมี
แนวทางในการพัฒนาและรบั มอื
สำนกั งานการทอ่ งเท่ียวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 72 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
แนวทางการพัฒนา เขตพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาควรมีมาตรการเชิงรุกในการดึง
นักท่องเที่ยวในขณะเดียวกันก็ควรมีมาตรการเชิงรับในการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวที่จะเข้าในพื้นที่ด้วย
โดยเฉพาะควรมีกลยุทธ์ในการเพิ่มเวลาในการพำนักของนักท่องเท่ียวให้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้
จากการท่องเทย่ี วให้มากขนึ้
สำนักงานการท่องเทย่ี วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 73 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
สำนกั งานการทอ่ งเท่ยี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 74 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
บทท่ี 4 การทบทวนนโยบายและแผนพัฒนาดา้ นการทอ่ งเทีย่ ว
การทบทวนนโยบายและแผนพัฒนาด้านการท่องเที่ยวเพื่อให้เห็น ความสอดคล้องเชื่อมโยงของ
แผนในแต่ละระดับตั้งแต่แผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนระดับกระทรวง
แผนพัฒนาภาคใต้ แผนพฒั นากลุ่มจงั หวดั แผนพัฒนาจงั หวดั ทเี่ กี่ยวขอ้ งดา้ นการท่องเทย่ี ว ดังน้ี
การพัฒนาทย่ี ั่งยืน
1. ความเปน็ มา
องค์การสหประชาชาติ (United Nations; UN) ริเริ่มกระบวนการหารือเพื่อกำหนดวาระ
การพัฒนาภายหลัง พ.ศ. 2558 (post-2015 development agenda) ตามกระบวนทัศน์ “การพัฒนาที่
ย่งั ยนื ” โดยใชก้ รอบความคิด ที่มองการพัฒนาเป็นมิติ (Dimensions) ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ท่ี
มคี วามเช่ือมโยงกนั เรียกว่า เป้าหมายการพัฒนาทย่ี ่ังยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs)
การพัฒนาทีย่ ่งั ยนื (Sustainable Development: SD) เร่ิมตน้ จากการประชมุ สหประชาติ
ครั้งที่ 2 ณ กรุงริโอ เอด จาเนโร ประเทศบราซิล ปี ค.ศ. 1992 ประเทศสมาชิกต่างๆ ประชุมร่วมกันใน
หัวข้อว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (Environment and Development) และได้เห็นชอบให้
ประกาศหลักการแห่งสิ่งแวดล้อม และแผนปฏิบตั ิการ 21 (Agenda 21) สำหรบั ทศวรรษ 1991-1999
และศตวรรษท่ี 21 เพื่อเปน็ แผนแม่บทของโลกสำหรับการดำเนินงานที่จะทำให้เกดิ การพฒั นาอย่างย่ังยืน
ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม และในเวลาต่อมาได้มีการจัดทำเป้าหมายการพัฒนาแห่ง
สหัสวรรษ (Millennium Development Goals: MDGs) จำนวน 8 เป้าหมาย ครอบคลมุ ระยะเวลา 15
ปี (พ.ศ. 2543-2558)
ปัจจุบัน MDGs ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในหลายประเทศ
เช่นเดยี วกับประเทศไทย และเพ่อื ใหเ้ กิดความต่อเน่ืองของการพัฒนา องคก์ ารสหประชาชาติจึงได้กำหนด
เป้าหมายการพัฒนาขึ้นใหม่โดยอาศยั กรอบความคิดที่มองการพัฒนาเปน็ มิติทง้ั ด้านเศรษฐกิจ สังคม และ
ส่ิงแวดล้อม ให้มีความเชื่อมโยงกัน เรียกว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development
Goals: SDGs)
เม่อื เดือนกันยายน 2558 นายกรฐั มนตรีของประเทศไทยและคณะเข้ารว่ มประชุมสมัชชา
สหประชาชาติสมยั สามัญคร้ังที่ 70 พร้อมกับผู้นำประเทศสมาชิก 193 ประเทศ หัวขอ้ การประชุมในครั้ง
นั้นคือ การพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมกันนี้ผู้นำจากประเทศเหล่านี้ได้ร่วมรับรอง ร่างเอกสารเป้าหมายการ
พัฒนาที่ยั่งยืนหลังปี 2015 หรือวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (The 2030 Agenda for
Sustainable Development) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เพื่อให้ประเทศต่างๆ นำไป
ปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จเพื่อเปลี่ยนผ่านโลกไปสู่ความยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ภายในปี ค.ศ. 2030
สำนักงานการท่องเทยี่ วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 75 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
2. เป้าหมายการพฒั นาท่ยี ่ังยืน
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (Sustainable Development Goals; SDGs) ใน
15 ปขี า้ งหน้าท่จี ะใชเ้ ปน็ ทศิ ทางการพัฒนาของประชาคมโลก ตัง้ แตเ่ ดือนกนั ยายน พ.ศ. 2558 - 2573
ประกอบด้วย 17 เป้าหมาย 169 เป้าประสงค์ เพ่ือให้ประเทศต่างๆ นำไปปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จเพื่อ
เปลี่ยนผ่านโลกไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน จำเป็นต้องสร้างความสมดุล
ระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการดำเนินงานส่งเสริมและเชื่อมโยงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ
เปา้ หมายการพฒั นาทยี่ ง่ั ยืนใน 5 กลุ่ม (5Ps) ประกอบด้วย (1) People ด้วยการเติมเตม็ ศักยภาพของคน
ให้มีความเท่าเทียมกัน (2) Planet ด้วยการปกป้องโลกของเราจากการเสื่อมสลาย (3) Prosperity
ด้วยการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีให้มีความกลมกลืน
กับธรรมชาติ (4) Peace ด้วยการส่งเสริมให้เกิดสันติภาพที่ปราศจาก ความกลัวและความรุนแรง และ
(5) Partnership ด้วยการสร้างความเป็นหุ้นส่วนแห่งการพัฒนาให้เข้มแข็งและเป็นปึกแผ่น โดยการ
ส่งเสริมให้ทุกประเทศและประชาชนทกุ คนมสี ่วนร่วมในการพัฒนา ดังนี้
ภาพท่ี 42 From the MDGs to the SDGs
ทีม่ า: ณัชฎา คงศร,ี 2560.
สำนกั งานการท่องเทยี่ วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 76 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
2.1 ด้านทรพั ยากรมนษุ ย์ (People)
สู่ชีวิตที่ดีข้ึนในทุกมิติ โดยเสาหลักของทรัพยากรมนุษย์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่ง
วาระปี ค.ศ. 2030 จะมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ให้ดีขึ้นในทุกมิติ ด้วยเชื่อว่ามนุษย์ทุกคน
สามารถใชศ้ ักยภาพของตนได้อยา่ งเต็มที่ด้วยสขุ ภาพจิตและกายที่ดี โดยมเี ป้าหมายการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง
ในการท่ีจะเสริมสร้างทรพั ยากรมนษุ ย์ไปสูก่ ารมีชวี ติ ท่ีดีข้ึนในทุกมิตจิ ำนวน 5 เปา้ หมาย ดังนี้
(1) เป้าหมาย SDGs ที่ 1 ยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกสถานที่ (End
poverty in all its forms everywhere)
ผู้คนมากกว่า 800 ล้านคนทั่วโลก ต้องใช้ชีวิตและดำรงชีพ ด้วยเงินที่น้อยกว่า
1.25 ดอลลาหส์ หรฐั ต่อวัน หลายคนไม่สามารถเข้าถึงอาหาร น้ำด่มื ที่สะอาดและสขุ อนามัยที่ได้มาตรฐาน
อย่างเพียงพอ แม้ว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ เช่น จีนและอินเดีย ได้
ช่วยยกระดับประชากรออกจากความยากจน แต่ความเติบโตดังกล่าว ยังขาดความสม่ำเสมอและ
การกระจายตวั อย่างทัว่ ถงึ ประชากรเพศหญิงอย่ใู นความยากจนคิดเปน็ สัดส่วนมากกวา่ เพศชาย เนื่องจาก
ความไม่เท่าเทียมกันของค่าแรง การศึกษาและสิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน โดยการยุติความยากจน
ทกุ รูปแบบในทกุ สถานที่ มีเปา้ หมายและแนวทางโดยสงั เขป ดังน้ี
(2) เป้าหมาย SDGs ที่ 2: สรา้ งหลกั ประกนั ใหม้ รี ูปแบบการบรโิ ภคและผลิตที่ยั่งยืน
(Ensure sustainable consumption and production patterns)
การที่จะบรรลุเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับการที่โลก
จะสามารถสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ในระดับที่จะช่วยเกื้อกูลการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิตบน
โลกได้อย่างยั่งยืนและสมดุลกันได้นั้น จำเป็นที่ทุกประเทศและประชากรทุกคนบนโลกจะต้องให้
ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบ/พฤติกรรมการผลิตและการบริโภคให้มุ่งไปสู่ก ารเป็นมิตรต่อ
ส่ิงแวดล้อมใหม้ ากขึน้ อยา่ งเรง่ ดว่ น ทงั้ นี้ การสรา้ งหลกั ประกันให้มรี ปู แบบการบรโิ ภคและผลิตทยี่ ง่ั ยืน
(3) เป้าหมาย SDGs ที่ 3: สร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและ
ส่งเสรมิ สวัสดภิ าพทีด่ ีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัย (Ensure healthy lives
and promote well-being for all at all ages)
นับตั้งแต่การสร้างเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ซึ่งประสบผลสำเร็จ
อย่างมีคุณค่าในหน้าประวัติศาสตร์ โดยสามารถป้องกันและลดการเสียชีวิตของเด็กทั่วโลกได้กว่าร้อยละ 50
และการเสียชีวิตของมารดาสามารถลดลงได้ร้อยละ 45 ตลอดจนภาวะการติดเชื้อเอชไอวีและเอดส์ที่
เกิดขึ้นใหม่ สามารถลดลงได้ร้อยละ 30 ในระหว่าง พ.ศ. 2543 ถึง พ.ศ. 2556 และมากกว่า
6,200,000 ชีวิตได้รับป้องกันจากโรคมาลาเรีย แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การสูญเสียชีวิตด้วย
สาเหตุเหล่านี้ สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการป้องกันและการรักษา การศึกษา แคมเปญการสร้างภูมิคุ้มกัน
ของโรคและการดูแลสุขภาพทางเพศและระบบสืบพันธุ์ โดยการสร้างหลักประกันการมีสุขภาพและ
ความเปน็ อยทู่ ด่ี ีของทุกคน
(4) เป้าหมาย SDGs ที่ 4: สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพ
อยา่ งครอบคลุมและเท่าเทียม และสนบั สนนุ โอกาสในการเรียนร้ตู ลอดชีวิต
(Ensure inclusive and equitable quality education and promote
lifelong learning opportunities for all)
ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 อัตราการลงทะเบียนเรียนรวมในประเทศกำลังพัฒนา
เพ่มิ ข้นึ ถงึ ร้อยละ 91 ใน พ.ศ. 2558 และจำนวนของเด็กทัว่ โลกที่ไม่ไดร้ ับการศึกษาลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง
สำนกั งานการท่องเท่ยี วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 77 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
นอกจากนี้ อัตราผู้ที่มีความสามารถในการ อ่านออกเขียนได้ยังเพิ่มขึ้นเป็นอยา่ งมาก และเด็กผู้หญิงได้ไป
โรงเรียนมากขึ้น ความสำเร็จของ การดำเนินงานยังครอบคลุมถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งตอกย้ำความเชื่อที่
พิสูจนแ์ ลว้ วา่ การศกึ ษาเป็นหนึง่ ในแรงขับเคล่ือนทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพสำหรับการพัฒนาทีย่ ่งั ยืน
(5) เป้าหมาย SDGs ที่ 5: บรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศและให้อำนาจแก่
ผู้หญิงและเดก็ หญิงทุกคน (Achieve gender equality and empower
all women and girls)
ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 UNDP ร่วมกับพันธมิตรขององค์การสหประชาชาติและ
ประชาคมโลกได้ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความเสมอภาคทางเพศในการทำงาน และก่อให้เกิด
ผลสำเร็จอันน่าประทับใจ โดยผู้หญิงสามารถทำงานนอกบ้านและได้รับค่าแรงจากการทำงานนอกภาคเกษตร
เปน็ จำนวนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 41 เมื่อเปรียบเทียบกบั พ.ศ. 2533 ซ่งึ มีเพียงร้อยละ 35 อีกท้งั ความเท่าเทียม
กันทางเพศในการศึกษาระดับประถมศึกษาของภูมิภาคส่วนใหญ่ในโลกยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยผู้หญิง
ไดร้ บั การศกึ ษาในโรงเรียนจำนวนมากขน้ึ เมอ่ื เปรยี บเทยี บกับ 15 ปที ผี่ า่ นมา
2.2 ดา้ นความมัง่ คง่ั ความเจริญรุ่งเรอื ง (Prosperity)
เสาหลักแห่งความเจริญรุ่งเรืองของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกใน ค.ศ. 2030
จะมุ่งเน้นการบูรณาการบนพื้นฐานของ การส่งเสรมิ การผลิตผ่านการกระจายและการปรับปรุงเทคโนโลยี
และนวตั กรรม ตลอดจนการเพ่ิมการจา้ งงานและสง่ เสริมการเป็นผู้ประกอบการ โดยมเี ป้าหมายการพัฒนา
ทเ่ี กยี่ วขอ้ งในการที่จะเสรมิ สรา้ งความเจริญรงุ่ เรือง จำนวน 5 เปา้ หมาย ดังน้ี
(1) เป้าหมาย SDGs ที่ 7: สร้างหลักประกันว่าทุกคนเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่
ในราคาที่สามารถซ้ือหาได้ เชื่อถือได้ และยั่งยืน (Ensure access to
affordable, reliable, sustainable and modern energy for all)
ระหว่าง พ.ศ. 2533 - 2553 ประชากรจำนวน 1,700 ล้านคนท่ัวโลกมี
การเข้าถึงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเศรษฐกิจทั่วโลกล้วนพึ่งพา
เชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้มีกระแสการเรียกร้องพลังงานราคาถูก ขณะที่การเพิ่มขึ้นของการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงต่อระบบ
ภูมิอากาศของทุกทวีปทัว่ โลก
(2) เป้าหมาย SDGs ที่ 8: ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง
ครอบคลุมและยั่งยืน มีการจ้างงานที่เหมาะสมสำหรับทุกคน (Promote
inclusive and sustainable economic growth, employment and
decent work for all)
กว่า 25 ปีที่ผ่านมา ชนชั้นแรงงาน ที่ประสบปัญหาความยากจนได้ลดลง
อย่างมาก และแม้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2551/2552 ในประเทศกำลังพัฒนาจะส่งผลกระทบอย่าง
ยาวนาน แต่การจ้างงานกว่าร้อยละ 30 ของการจ้างงานในโลก เป็นการจ้างแรงงานจากกลุ่มชนชั้นกลาง
ซง่ึ เพิ่มขนึ้ กว่าสามเทา่ ตัวจากปี 2534 ถงึ 2558
สำนักงานการทอ่ งเทย่ี วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 78 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
(3) เป้าหมาย SDGs ที่ 9: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความทนทาน ส่งเสริม
การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรม
(Build resilient infrastructure, promote sustainable industriali-
zation and foster innovation)
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่ครอบคลุมถึงการขนส่ง การชลประทาน
พลงั งานและเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เป็นปัจจยั สำคัญที่จะชว่ ยให้เกิดการพัฒนาท่ียั่งยืนและ
เสริมสร้างศักยภาพของชุมชนในหลายประเทศ ซึ่งเป็นที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่า ผลิตภาพการผลิตและ
การเพิ่มพูนขึ้นของรายได้ การพัฒนาปรับปรุงด้านการสาธารณสุขและการศึกษา ล้วนจำเป็นต้องมี
การลงทนุ ในโครงสร้างพ้นื ฐานทจี่ ะช่วยสนับสนุนการพัฒนาประเทศและโลกไปสู่การพัฒนาทีย่ ั่งยืนได้
(4) เป้าหมาย SDGs ที่ 10: ลดความเหล่ือมล้ำทั้งภายในและระหว่างประเทศ
(Reduce inequality within and among countries)
ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้รวมทั่วโลก มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย
พบว่า ร้อยละ 10 ของประชากรผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก มีรายได้คิดเป็นร้อยละ 40 ของรายได้รวมทั่วโลก
ขณะที่ร้อยละ 10 ของประชากรผู้ที่ยากจนที่สุด สร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนเพียง ร้อยละ 2 – 7 ของ
รายได้รวมทั่วโลกเท่าน้ัน และยังพบว่า ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ในประเทศกำลังพัฒนาได้ขยายตวั
เพมิ่ ขน้ึ ถงึ รอ้ ยละ 11 ตามอัตราการเจรญิ เตบิ โตของจำนวนประชากร
(5) เป้าหมาย SDGs ที่ 11: เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีการพัฒนา
อย่างครอบคลุมทั่วถึง มีความปลอดภัยและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
อย่างยง่ั ยนื (Make cities inclusive, safe, resilient and sustainable)
การเติบโตอย่างรวดเรว็ ของเมืองในประเทศกำลังพฒั นา ควบคู่ไปกับการยา้ ย
ถิ่นฐานจากชนบทสู่เมือง ส่งผลให้การเจริญเติบโตของเมืองขนาดใหญ่ มีความซับซ้อน ในการบริหาร
จดั การมากขนึ้ โดยพบว่า เมืองขนาดใหญ่ได้เพ่ิมจำนวนและขนาดของประชากรเมืองสงู ข้ึนจาก 10 เมือง
ใหญ่ใน พ.ศ. 2553 ที่มีพลเมืองจำนวนกว่า 10 ลา้ นคน เปน็ 28 เมืองขนาดใหญ่ใน พ.ศ. 2557 โดยมี
ขนาดของประชากรอยู่อาศัยรวมกว่า 450 ลา้ นคน การกระจุกตัวของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ในเมือง
นอกจากจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการบรหิ ารจัดการและการจัดระเบียบพื้นที่ให้เมือง มีความปลอดภัย
และขยายตัวในทุกมิติอย่างยั่งยืนแล้ว รัฐบาลระดับชาติและระดับท้องถิ่นยังต้องรับภาระ ในการจัดการ
เรื่องระบบบริการสาธารณะ การวางผังเมืองและการตั้งถิ่นฐานของชุมชนในเมือง การรับมือกับภัยพิบัติ
ทางธรรมชาติในพื้นที่เมือง ตลอดจนการจัดให้มีพื้นท่ีสีเขียว/สวนสาธารณะที่คนทุกเพศ ทุกวัยสามารถ
เขา้ ถึงและใชป้ ระโยชนร์ ว่ มกนั ได้อยา่ งยง่ั ยืน
2.3 การอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มของโลก
การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลก (Planet) ให้คงอยู่และยัง
ประโยชน์แก่คนรุ่นต่อไป ด้วยการใช้ชีวิตและสร้างความมั่งคั่งอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยเสาหลัก
ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโลก ในวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใน ค.ศ. 2030
จะมุ่งเน้นการดำเนินงานครอบคลุม 6 มิติ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ น้ำ พลังงานสะอาด
การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ สรรพชีวิตใต้น้ำและบนบก โดยมี
เปา้ หมายการพัฒนาทเี่ ก่ียวขอ้ งในการทจี่ ะดูแลรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติใน 6 เปา้ หมาย ดังน้ี
สำนกั งานการทอ่ งเท่ยี วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 79 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา