ตำนานนางเลอื ดขาวตามทีป่ รากฏในพงศาวดารเมืองพัทลงุ
"ตำนานนางเลือดขาว" ตามที่ได้ปรากฏในพงศาวดารเมืองพัทลุง ซึ่งหลวงศรีวรวัตร
(พิณ จนั ทโรจวงศ)์ เป็นผู้เรยี บเรียงขึ้นเม่อื ประมาณปี พ.ศ.2460 - 2461 น้นั สรปุ ความได้วา่ เมอื งพทั ลุง
ได้ตั้งมาก่อนปี พ.ศ.1480 เมืองตั้งอยู่ที่สทิงพระ เจ้าเมืองชื่อพระยากรงทอง ครั้งนั้นตาสามโมกับยาย
เพชรสองสามีภรรยา ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลปละท่า ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลา โดยตาสามโม
เป็นหมอสดำ (หมอเฒา่ หรอื นายกองชา้ ง) มีหนา้ ที่เลยี้ งช้างสง่ พระยากรงทองทกุ ปี
ต่อมาสองตายายได้พบกุมารจากป่าไม้ไผ่เสรียง และไดพ้ บกุมารีจากไม้ไผม่ ีพรรณเลือดขาว
จึงได้ชื่อว่า "นางเลือดขาว" ต่อมาทั้งกุมารและกุมารีได้แต่งงานกัน และรับมรดกเป็นนายกองช้าง จนมี
กำลังขึ้นและมีผู้คนนับถือมาก ได้เรียกตำบลบ้านนั้นว่า "พระเกิด" ต่อมาทั้งสองคนได้พาสมัครพรรคพวก
เดนิ ทางไปทางทิศอีสาน จากบ้านพระเกิดไปถึงบางแกว้ เห็นเป็นชัยภมู ดิ ีกต็ ้ังพักอยู่แตน่ ้ันมา ชาวบ้านต่าง
กเ็ รยี กกมุ ารน้นั ว่า "พระยากุมาร" โดยพระยากุมารมีอำนาจทรัพย์สมบตั ิและบริวารมากขึ้น ทง้ั สองคนเป็น
ผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงได้สร้างพระพุทธรูปและอุโบสถขึ้นไว้ที่ "วัดสทิง" อำเภอเขาชัยสน
สร้างถาวรวัตถไุ ว้ที่ "วัดเขยี นบางแกว้ " คอื วิหารและพระพทุ ธรูป พรอ้ มท้ังทำจารกึ ไวใ้ นแผ่นทองคำด้วย
ต้ังแต่ พ.ศ.1500 พระยากุมารกับนางเลือดขาว ยังคงพำนักอยู่ที่บางแก้ว ต่อมาทั้งสองคนได้
เดินทางไปที่เมืองนครศรีธรรมราช และสร้างพระพุทธรูปไว้หลายตำบล นับแต่นั้นมาเกียรติคณุ นางเลือดขาวก็
ร่ำลือไปถึงกรุงสุโขทัย "พระเจ้ากรุงสุโขทัย" โปรดให้พระยาพิษณุโลกกับนางทองจันทร์ พร้อมนางสนม
ออกมารับนางเลือดขาวที่เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อเชิญไปเป็นมเหสี ส่วนพระยากุมารก็กลับไปอยู่ที่บา้ น
พระเกิดตามเดิม พระเจ้ากรุงสุโขทัย เมื่อทรงทราบว่านางมีสามี และมีครรภ์ติดมา จึงไม่คิดยกขึ้นเป็น
มเหสี ครั้นนางคลอดบุตรเป็นกุมาร พระเจ้ากรุงสุโขทัยก็ทรงขอบุตรไว้ชุบเลี้ยง ต่อมานางเลือดขาวได้ทูล
ลากลบั บา้ นเดมิ พระองค์จึงโปรดให้จดั ส่งถึงบ้านพระเกิด อยกู่ นิ กับพระยากุมารตามเดมิ จนถึงแก่กรรมท้ัง
สองคน ภายหลังบุตรนางเลือดขาวได้กลับมาเป็นคหบดี อยู่ที่บ้านพระเกิด เมืองพัทลุง ชาวเมืองเรียกว่า
"เจา้ ฟ้าคอลาย" (คอลาย = ลวดลายสักศิลปะภาคเหนอื ทป่ี รากฏอย่บู นตัวเจ้าฟา้ คอลาย)
ตำนานนางเลือดขาวท่ีเป็นคำบอกเลา่ ของชาวบา้ น
สำหรับเรื่องราวจากชาวบ้านเกี่ยวกับ "ตำนานนางเลือดขาว" ได้กล่าวถึงสงครามใน
ประเทศอินเดีย สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทำให้ชาวอินเดียอพยพหนีภัยมาขึ้นฝั่งทางด้านตะวันตกของ
แหลมมลายู บริเวณเมืองท่าปะเหลียน จังหวัดตรัง แล้วข้ามแหลมมายังอำเภอตะโหมดและอำเภอปากพะยูน
ของจังหวัดพัทลุง ขณะนั้นตาสามโมกับยายเพชรสองผัวเมีย ชาวบ้านพระเกิด เป็นนายกองช้าง ยังไม่มี
บุตร จงึ เดินทางไปขอบตุ รชี าวอินเดียที่ถำ้ ไม้ไผ่ตง บ้านตะโหมด นำมาเลีย้ งไว้ช่ือวา่ "นางเลอื ดขาว" เพราะ
เป็นคนผิวขาวกวา่ ชาวพ้นื เมือง ตอ่ มาไดเ้ ดินทางไปขอบุตรชายชาวอินเดยี ท่ีถำ้ ไม้ไผเ่ สร่ยี ง ใหช้ อื่ ว่า "กุมาร"
หรอื "เจ้าหนอ่ " เมอื่ ทัง้ สองเจริญวัย ตายายจึงให้แต่งงานกนั แลว้ อพยพไปตัง้ บ้านท่ีบางแก้ว เม่ือตายายถึง
แก่กรรม ทั้งสองก็ได้นำอัฐิไปไว้ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ หลังจากนั้นทั้งสองได้สละทรัพย์ สร้างโบสถ์ วิหาร ใน
วัดเขียนบางแก้วและวัดสทิง เมื่อเดินทางถึงที่ใดก็สร้างวัดท่ีนั่น เช่น เดินทางไปลังกากับคณะทูต
เมืองนครศรีธรรมราช ก็ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ที่วัดเขียนบางแก้ว สร้างวัดพระพุทธสิหิงค์
วัดพระงาม วัดถ้ำพระพุทธที่เมืองตรัง สร้างวัดแม่อยู่หัวที่อำเภอเชียรใหญ่ นครศรีธรรมราช สร้างวัดเจ้าแม่
(ชะแม) วัดพระเจดีย์งาม วัดท่าคุระ ปัจจุบันคือ วัดเจ้าแม่ อยู่ตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
เป็นต้น
เมือ่ ข่าวความงามของนางเลือดขาว ทราบไปถึงกษัตริย์กรุงสุโขทัย จึงโปรดให้พระยาพิษณุโลก
มารบั นางเลือดขาว เพอื่ ชุบเล้ยี งเป็นมเหสี แตน่ างมคี รรภ์แลว้ จงึ ไม่ไดย้ กเป็นมเหสี เม่อื นางคลอดบุตรแล้ว
สำนกั งานการทอ่ งเทีย่ วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 180 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
ทรงขอบุตรไว้ แล้วให้พระยาพิษณุโลก นำนางเลือดขาวกลับไปส่งถึงเมืองพัทลุง ตั้งแต่นั้นมาคนทั่วไปก็
เรียกนางว่า "เจ้าแม่อยู่หัวเลือดขาว" หรือ "นางพระยาเลือดขาว" หรือ "พระนางเลือดขาว" นางได้อยู่กิน
กับพระกุมารจนอายุได้ 70 ปี ทั้งสองก็ถึงแก่กรรม "เจ้าฟ้าคอลาย" ผู้เป็นบุตร ได้นำศพไปประกอบพิธี
ฌาปนกจิ ทบี่ ้านพระเกิด เสน้ ทางทน่ี ำศพไปจากบ้านบางแก้วถงึ บา้ นพระเกิด เรยี กวา่ ถนนนางเลอื ดขาว
5. ประเพณบี ุญเดือนสบิ
งานประเพณีทำบุญเดือนสิบ คนในเขตลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและชาวภาคใต้ทั่วไปเรียกว่า
"วันชิงเปรต” หรือ "ประเพณีชงิ เปรต” แต่ทางภาคกลางเรยี กว่า "วนั สารท” หรอื "ประเพณีวันสารทไทย”
เป็นการทำบญุ อุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตชนหรือบดิ ามารดา ปู่ย่า ตายาย ที่ล่วงลับไปแลว้ ตามคติความเชื่อ
ของชาวบ้านทวั่ ไป โดยการทำบุญบริจาคทานถวายพระภิกษุสงฆ์เป็นการอุทิศสว่ นกุศลให้กบั ผู้ตาย สันนิษฐาน
ว่า ประเพณีบุญเดือนสบิ น่าจะเป็นประเพณีท่ีสืบเน่ืองมาจากคติทางศาสนาพราหมณ์ท่ีเรียกว่า"พิธีศราทธะ”
หรือ "เปตพลี” จัดขึ้นเพื่อทำบุญอุทิศแก่ผู้ตาย เป็นพิธีเซ่นให้เปตชนได้กินได้ใช้ คือ นำข้าวปลาอาหารมา
เซ่นให้ผู้ตายไดก้ ิน ประเพณีนี้เกิดมาก่อนพุทธกาล ครั้นถึงสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า
ประเพณีดังกล่าวมีคุณค่าควรแก่การรักษาไว้ จึงทรงอนุญาตให้อุบาสกอุบาสิกาถือปฏิบัติต่อไป
กำหนดเวลาทำบุญเดือนสิบ ไว้ ๒ ครั้ง คือ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน 10 และวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน 10
ชาวบ้านมีความเช่อื กนั วา่ วนั แรม ๑ ค่ำ เป็นวันที่ยมบาลปล่อยให้เปตชนขึ้นมาเย่ียมลกู หลานในเมอื งมนุษย์
บุตรหลานจะเป็นผู้ทำบุญเลี้ยงต้อนรบั ครั้งหนึ่ง เรยี กวา่ "ทำบุญเดือนสิบแรก” เม่ือถงึ วันแรม ๑๕ ค่ำ เป็น
วันที่เปตชนจะต้องกลับยมโลก บุตรหลานจะทำบุญเลี้ยงส่งอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับส่งสิ่งของให้นำติดตัว
กลบั ไปด้วย เชน่ ขนมที่เกบ็ กินไดน้ านๆ หอม กระเทยี ม เป็นต้น
การเตรียมสิ่งของทำบุญเดือนสิบของคนในภาคใต้ ก่อนถึงวันทำบุญเดือนสิบ ประมาณ ๒
– ๓ วนั จะเตรยี มทำขนมที่จะนำไปวดั และแจกจา่ ยแกค่ นเฒา่ คนแก่ ญาตมิ ิตร มีดังนี้
๑) ขนมลา-ขนมพอง ขนมลาใช้แทนเสอ้ื ผา้ ทใี่ ช้อทุ ศิ ให้เปตชน หรอื เชื่อว่าเสน้ ของลาเล็กๆ
ทำให้เปรตกินได้ เพราะเช่ือว่าเปรตมีปากเท่ารูเข็ม ขนมลา มี ๒ ชนิด คือ ลาเช็ดกับลาลอยมัน ขนมพอง
หรอื ข้าวพอง ใชแ้ ทนเปน็ เคร่อื งประดับเนอื่ งจากมีสีสันสวยงาม
๒) ขนมเปซำหรือขนมเจาะหู ใช้แทนเงินทองเพราะมีลักษณะกลมเจาะรูตรงกลางคล้าย
กบั เงนิ สตางค์ที่มีรูตรงกลาง ซึง่ ใชก้ นั ในสมยั กอ่ น
๓) ขนมบ้า ใช้แทนเงนิ เหรยี ญเพราะมีลักษณะเปน็ แผน่ กลมคล้ายเงินเหรยี ญ
๔) ขนมเทียน ใช้แทนหมอนมี ๒ ชนิด คอื ชนดิ ไม่สอดไสแ้ ละชนดิ สอดไส้
นอกจากนี้ยังมีข้าวสาร กะปิ น้ำตาล พริก กระเทียม ปลาเค็ม เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเปน็ ใน
การดำรงชพี โดยการจัดขนมและส่ิงของอื่นๆ ใสส่ ำรบั หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "หมรฺ ับ” ขนาดเล็กใหญ่ตาม
ฐานะของผู้ทำบุญเมื่อจัดเตรียมข้าวของ เมื่อเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ก็จะพาไปรวมที่วัดจัดอาหารถวาย
พระสงฆ์แล้วก็จะนำหมฺรับมารวมกัน นำสายสิญจน์มาวงรอบสิ่งของต่อไปถึงพระสงฆ์ ในบางแห่งอาจ
จัดทำขึ้นเป็นร้านเรียกว่า "ร้านเปรต” สร้างให้สูงพอสมควร เพื่อให้ทุกคนได้นำขนมไปวางได้สะดวก
นอกจากนี้ ผ้มู าทำบุญจะนำเอาอฐั ิของญาติมติ รมารวมเข้ากับพิธี เพ่ือแผ่สว่ นกุศลไปยังเจา้ ของอัฐิที่ล่วงลับ
ไปแล้ว ถ้าไมม่ อี ัฐกิ ็จะเขียนชื่อในกระดาษรวมลงไปในการบงั สุกุล ชาวบ้านจะกรวดน้ำอทุ ิศไปยังบรรพบุรุษท่ี
ลว่ งลับไปแล้วไป
เมื่อเสร็จพิธีเก็บสายสิญจน์ จากนั้นคนหนุ่มคนสาว คนเฒ่าคนแก่ และเด็ก จะเข้าไปแย่ง
ขนมท่ตี ัง้ เปรตเอาไว้เป็นท่ีสนุกสนาน โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ส่วนคนเฒา่ คนแกน่ นั้ เชอ่ื วา่ การกินอาหารและ
สำนกั งานการท่องเทีย่ วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 181 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ขนมที่ใช้ในพิธีบูชาหรือเซ่นไหว้ ปู่ ย่า ตา ยาย เสร็จแล้วนั้นจะได้กุศลมาก เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและ
ครอบครัวอย่างยิ่งและยังเชื่อต่อไปอีกว่า หากขนมเหล่านี้โดยเฉพาะขนมเทียนถ้านำไปติดตามต้นไม้ เช่น
มะม่วง ชมพู่ เป็นต้น จะให้ผลดก เพื่อความสนุกสนาน บางแห่งอาจจะตั้งร้านเปรตให้สูงโดยใช้ไม้หลา
ชะโอน (หลาโอน) หรือไม้หมากทำเป็นเสาเพียงเสาเดยี ว ขูดผิวจนลนื่ ทาด้วยนำ้ มันมะพร้าวหรือใส่ภาชนะ
แขวนไว้ข้างบนให้น้ำมันไหลย้อยลงมา คนที่ปีนขึ้นไปจะแข่งขันกันขึ้นไปแย่งขนมก็จะทำได้ด้วยความ
ยากลำบากอาจจะพลัดตกลงมาเป็นที่สนุกสนาน ในการนี้ชาวบ้านที่มีฐานะดีอาจจะให้ทานแก่คนท่ีร่วม
ทำบุญโดยเฉพาะเด็กๆ ด้วยการโอยทาน หรือที่เรียกว่า "หว่านกัมพฤกษ์” ชาวปักษ์ใต้เรียกว่า "หว่านกำ
พริก” คือเอาสตางค์หรอื เงินเหรยี ญโยนข้ึนไปในอากาศ แล้วให้คนแย่งชงิ กนั
นอกจากจะทำพิธีในวัดแล้ว ชาวบ้านยังมีความเชื่อว่า เปรตบางจำพวกมีบาปหนาเข้าวัด
ไม่ได้ จึงนำขนมและข้าวของอีกส่วนหนึ่ง ไปตั้งเปรตกันนอกวัดอีกครั้งหนึ่ง คนเฒ่าคนแก่ก็กรวดน้ำอุทิศ
ส่วนกศุ ลให้บรรพชนเสร็จแล้วจะมีการแยง่ ชิงขนมกันอีก จงึ เรียกประเพณนี ว้ี ่า "ชงิ เปรต” ประเพณีทำบุญ
เดือนสิบ หรือประเพณีชิงเปรตนี้ ชาวปักษ์ใต้ถือปฏิบัติมาแต่โบราณ เป็นประเพณีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง
ท่ียังคงปฏบิ ตั ิกนั มาจนถงึ ทุกวันนี้
คนใน 3 จังหวัดลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาท่ีไปทำงานอยู่ในจังหวัดอื่นเมื่อถึงกำหนดทำบุญ
เดอื นสบิ สว่ นมากจะกลับมารว่ มทำบุญที่บ้าน เปน็ การส่งเสริมความผูกพันระหว่างครอบครัวและญาติพ่ีน้อง
และยังเป็นการรำลึกถึงบุญคุณของบุพการีแม้จะล่วงลับไปแล้ว เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ซ่ึง
ควรค่าแก่การอนุรกั ษใ์ ห้คงอยใู่ นสงั คมสืบไป
6. ประเพณลี ากพระ
ประเพณีลากพระหรือชักพระเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถ่ิน
ภาคใต้ ท่ีสบื ทอดมายาวนาน โดยจดั ข้ึนหลังวันออกพรรษา ๑ วัน หรือวนั แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เม่ือครั้งท่ี
พระพทุ ธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชัน้ ดาวดึงสเ์ พ่ือโปรดพระมารดา เมื่อครบพรรษาจึงเสด็จกลับมา
ยังโลกมนุษย์ พุทธศาสนิกชนไปรับเสด็จ แล้วอัญเชิญพระพุทธเจ้าประทับบนบุษบกแล้วแห่แหน
ในปัจจุบันจึงได้มีการอัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนบุษบก หรือเรือพระ แล้วช่วยกันลากแห่ไปรอบ
เมืองเพื่อความเป็นสิริมงคล จะจัดข้ึนทั้งบนบกและในน้ำ พระพุทธรูปส่วนใหญ่จะเป็นปางเสด็จจาก
ดาวดึงส์ หรือปางอุ้มบาตร แต่ละวัดก็จะหาช่างฝีมือทีม่ ีความชำนาญช่วยกันตกแต่งใหส้ วยงามเพื่อนำเข้า
ร่วมประกวดแข่งขัน ในขณะท่ีพุทธบริษัทก็ยังช่วยกันทั้งกำลังกายและกำลงั ทรัพย์ โดยบางวัดอาจใช้เวลา
ตกแต่งนานเป็นแรมเดือน และใช้งบประมาณนับแสนบาท แต่ปัจจุบันได้มีการดัดแปลงจากเรือมาเป็นรถ
หรือล้อเลื่อน เพื่อความสะดวกในการชักลากมาตามถนนหนทาง แล้วนิมนต์พระภิกษุในวัด ขึ้นนั่งประจำ
เรอื พระ แลว้ ชกั ไปตามสถานที่ตา่ งๆ เพอื่ ใหช้ าวพุทธไดอ้ อกมารว่ มกนั ทำบุญ โดยจะมคี ณะพทุ ธศาสนิกชน
เดินตามมาด้วย พร้อมกับบรรเลงเครื่องดนตรีประโคมไปตลอดทาง ซึ่งจะมีทั้งทับ โพน กลอง ฆ้อง โหม่ง
ฉ่ิง และฉาบ
การแตง่ พนมพระ พนมพระเป็นพาหนะที่ใช้บรรทกุ พระลาก นยิ มทำ ๒ แบบ คือ ลากพระ
ทางบก เรยี กวา่ “พนมพระ” ลากพระทางนำ้ เรยี กว่า “เรือพระ” พนมพระสร้างเปน็ ร้านม้า มีไมส้ องท่อน
รองรับข้างล่าง ทำเป็นรูปพญานาค มีล้อ ๔ ล้ออยู่ใต้ตัวพญานาค ร้านม้าใช้ไม้ไผ่สานทำฝาผนัง ตกแต่ง
ลวดลายระบายสสี วย รอบๆ ประดับดว้ ยผา้ แพรสี ธงรวิ้ ธงสามชาย ธงราว ธงยนื ห้อยระยาง ประดับต้นกล้วย
ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้สดทำอุบะห้อยระย้า มีต้มห่อด้วยใบพ้อแขวนหน้าพนมพระ ตัวพญานาค
ประดบั กระจกแวววาวสสี วย ข้างๆ พนมพระแขวนโพน กลอง ระฆงั ฆอ้ ง ดา้ นหลงั พนมพระวางเกา้ อ้ี เป็น
สำนักงานการท่องเท่ยี วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 182 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ท่นี ัง่ ของพระสงฆ์ ยอดนมอยู่บนสุดของพนมพระ ได้รับการแตง่ อย่างบรรจงดูแลเป็นพิเศษ เพราะความสง่าได้
สดั สว่ นของพนมพระขึ้นอย่กู ับยอดนม
การอัญเชิญพระลากขึ้นประดิษฐานบนพนมพระ พระลาก คือ พระพุทธรูปยืน แต่ที่นิยม
คือ พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ พุทธบริษัทจะสรงน้ำพระลาก เปลี่ยนจีวร
แล้วอัญเชิญขึน้ ประดิษฐานบนพนมพระ แล้วพระสงฆจ์ ะเทศนาเรื่องการเสด็จไปดาวดึงส์ของพระพุทธเจ้า
ตอนเช้ามืดในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ชาวบ้านจะมาตักบาตรหน้าพนมพระ เรียกว่า ตักบาตรหน้าล้อ
เสร็จแล้วจึงอัญเชิญพระลากขึ้นประดิษฐานบนพนมพระ ในตอนนี้บางวัดจะทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อให้
การลากพระราบร่นื ปลอดภยั
พิธีชักพระทางบก จะมีการจัดทำท่ีประดิษฐานพระพุทธรูปทำด้วยไม้เป็นรูปพญานาค 2
หวั อยู่ข้างหน้า ส่วนขา้ งหลงั ก็ทำเป็นหางนาค โดยบนตวั พญานาคจะปลกู เป็นร้านเพ่ือใชว้ างบุษบก หรือที่
เรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า “พนมพระ” สำหรับใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป แล้วประดับด้วยธง
สามเหลี่ยม ด้านละ 3 คัน รอบนอกกั้นด้วยผ้าผืนยาวประมาณ 2-3 เมตรเพื่อให้สวยงามมีการนิมนต์
พระภิกษุขึ้นประจำบนบุษบกด้วย ขณะที่ชักพระตัวพญานาค 2 หัวด้านหน้าต้องใช้เชือกขนาดใหญ่
เส้นผ่าศนู ยก์ ลางประมาณ 4 - 6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2 เมตรขึ้นไป เพือ่ ใช้ในการชักพระข้างละเส้น
เวลาชักลากจะมกี ารตีกลอง ซง่ึ ตง้ั อยบู่ นขบวนเปน็ การเรง่ จังหวะในการลากดว้ ย การชักลากพระบนบกจะ
ทำการชกั พระไปตามสถานทท่ี ก่ี ำหนดไวบ้ างแหง่ จะมีจดุ นดั พบของการชักลากพระเพื่อใหป้ ระชาชนทำบุญ
ร่วมกันถึง 4 - 5 วัด หรือมากกว่านั้นก็มี เมื่อประชาชนได้ทำบุญประเพณีตามสถานท่ีชุมนุมพระเสร็จ
เรียบร้อยแล้ว ก็ทำพธิ ีชกั พระกลบั วัดเปน็ อนั เสรจ็ พิธี
สำหรับวิธีชกั พระทางเรือโดยมากมักจะเป็นวัดที่ตั้งอยู่ใกลร้ ิมแม่นำ้ โดยจะนำพระพุทธรูป
สำคัญมาประดิษฐานบนเรือที่ตกแต่งประดับประดาไว้ด้วยธงทิวไว้อย่างสวยงาม มีการประโคมเสียงฆ้อง
กลองไปตลอดเวลาที่ลากจูงไปตามลำแม่น้ำเพื่อไปยัง ณ ที่จุดรวมพิธีสมโภช นอกจากเรือที่ประดิษฐาน
พระแล้วกจ็ ะมีเรือของชาวบ้านมารว่ มขบวนแห่ดว้ ย เม่อื เสรจ็ พธิ แี ลว้ กจ็ ะมกี ารสาดนำ้ กนั ระหว่างหนุ่มสาว
และการละเลน่ เล็กๆ น้อยๆ จนพลบคำ่ จงึ ชกั พระกลบั วัดเปน็ อนั เสร็จพธิ ี
ประเพณีลากพระ เป็นการแสดงออกถึงความพร้อมเพรียง สามัคคี พร้อมใจกันใน
การทำบุญทำทาน จึงใหส้ าระและความสำคัญดังนี้
๑. ชาวบา้ นเชอ่ื ว่า อานสิ งส์ในการลากพระ จะทำให้ฝนตกตามฤดูกาล เกดิ คติความเช่ือว่า
“เมื่อพระหลบหลัง ฝนจะตกหนัก” นมพระจึงสร้างสัญลักษณ์พญานาค เพราะเชื่อว่าให้น้ำ การลากพระ
จงึ สัมพันธเ์ กย่ี วข้องกับวิถีชีวติ ของคนในสังคมเกษตร
๒. เป็นประเพณีที่ปฏิบัติตามความเชื่อว่า ใครได้ลากพระทุกปี จะได้บุญมาก ส่งผลให้พบ
ความสำเร็จในชีวิต ดังนั้นเมื่อนมพระลากผ่านหน้าบ้านของใคร คนที่อยู่ในบ้านจะออกมาช่วยลากพระ
และคนบ้านอนื่ จะมารับทอดลากพระต่ออย่างไม่ขาดสาย
๓. เกิดแรงบันดาลใจ แต่งบทร้อยกรองสำหรับขับร้องในขณะที่ช่วยกันลากพระ ซึ่งมักจะ
เป็นบทกลอนส้ันๆ ตลก ขบขัน และโตต้ อบกัน ได้ฝึกทง้ั ปัญญาและปฏิภาณไหวพริบ
สำนักงานการท่องเทยี่ วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 183 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
วถิ ีศลิ ปะการแสดง
1. วถิ ีหนังตะลุง
หนังตะลุง คือ ศิลปะการแสดงประจำท้องถ่ินอย่างหนึ่งของภาคใต้ เป็นการเล่าเรื่องราวท่ี
ผูกรอ้ ยเปน็ นิยาย ดำเนนิ เรื่องด้วยบทร้อยกรองที่ขบั ร้องเป็นสำเนยี งท้องถ่ิน หรอื ทเี่ รยี กกนั วา่ การ "ว่าบท"
มีบทสนทนาแทรกเป็นระยะ และใช้การแสดงเงาบนจอผ้าเป็นสิ่งดึงดูดสายตาของผู้ชม ซึ่งการว่าบท การสนทนา
และการแสดงเงานี้ นายหนงั ตะลุงเปน็ คนแสดงเองทั้งหมด (ครูบ้านนอก, 2551)
1.1 ประวัตคิ วามเปน็ มา
ประวัติความเป็นมาของหนังตะลุง นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่า มหรสพการแสดง
เงาจำพวกหนังตะลุงนี้ เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของมนุษยชาติ เคยปรากฏแพร่หลายมาทั้งในแถบประเทศ
ยุโรป และเอเชีย โดยอ้างว่า มีหลักฐานปรากฏอยู่ว่า เมื่อครั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชมีชัยชนะ
เหนืออียิปต์ ได้จัดให้มีการแสดงหนังเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะและประกาศเกียรติคุณของพระองค์ และเชื่อว่า
มหรสพการแสดงเงาน้ีมแี พร่หลายในประเทศอียิปตม์ าแต่ก่อนพุทธกาล ในประเทศอินเดีย พวกพราหมณ์
แสดงหนังที่เรียกกันว่า ฉายานาฏกะ เรื่องมหากาพย์รามายณะ เพื่อบูชาเทพเจ้าและสดุดีวีรบุรุษ ส่วนใน
ประเทศจีน มีการแสดงหนังสดุดีคุณธรรมความดีของสนมเอกแห่งจักรพรรดิยวนตี่ (พ.ศ. 411 - 495)
เมื่อพระนางวายชนม์ ในสมัยต่อมาการแสดงหนังได้แพร่หลายเข้าสู่ในเอเชียอาคเนย์ เขมร พม่า ชวา
มาเลเซีย และประเทศไทย คาดกันว่าหนังใหญ่คงเกิดขึ้นก่อนหนังตะลุง และประเทศแถบนี้คงจะได้แบบ
มาจากอินเดีย เพราะยังมีอิทธิพลของพราหมณ์หลงเหลืออยู่มาก ในขั้นตอนยังมีการแสดงถึงความเคารพ
นบั ถือฤาษี พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ย่งิ เรื่องรามเกียรต์ิ ย่ิงถือว่าเป็นเรอ่ื งขลังและศักดิ์สิทธิ์
หนังใหญ่จึงแสดงเฉพาะเรื่องรามเกียรติ์ เริ่มแรกคงไม่มีจอ คนเชิดหนังใหญ่จึงแสดงท่าทางประกอบการเชิด
ไปด้วย เชื่อกันว่าหนังใหญ่มีอยู่ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะมีหลักฐานอ้างอิงว่า มี
นักปราชญ์ผู้หนึ่งเป็นชาวเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นผู้เชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์และทางกวี
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเรียกตัวเข้ากรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้ เป็นพระอาจารย์ของ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมหาราชครูหรือพระโหราธิบดี และมีรับสั่งให้
พระมหาราชครฟู ้ืนฟูการเลน่ หนัง (หนังใหญ)่ อนั เปน็ ของเก่าแกข่ ้นึ ใหม่ ดังปรากฏในสมทุ รโฆษคำฉนั ทว์ ่า..
ไหว้เทพยดาอา- รักษ์ทั่วทิศาดร ขอสวัสดิขอพร ลุแก่ใจดั่งใจหวัง ทนายผู้คอยความ เร่งตามไต้ส่อง
เบื้องหลัง จงเรืองจำรัสทั้ง ทิศาภาคทุกพาย จงแจ้งจำหลักภาพ อันยงยิ่งด้วยลวดลาย ให้เห็นแก่ทั้งหลาย
ทวยจะดจู งดูดี...
หนังใหญ่ แต่เดิมเรียกว่า “หนัง” นิยมเล่นกันแพร่หลายในแถบภาคกลาง ส่วนหนังตะลุง
แตเ่ ดิมคนในทอ้ งถิ่นภาคใต้ก็เรียกสน้ั ๆวา่ “หนงั ” เช่นกนั ดงั คำกลา่ วทไ่ี ดย้ นิ กันบ่อยว่า “ไปแลหนังโนรา”
จึงสันนิษฐานว่า คำว่า “หนงั ตะลุง” คงจะเริ่มใช้เมื่อมีการนำหนังจากภาคใต้ไปแสดงให้เป็นท่ีรู้จักในภาคกลาง
จึงได้เกิดคำ “หนังตะลุง” และ "หนังใหญ่" ขึ้นมาเพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน หนังจากภาคใต้เข้าไปเล่นใน
กรุงเทพฯ ครั้งแรกสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระยาพัทลุง (เผือก) นำไปเล่นที่แถว
นางเล้ิง หนังทเี่ ข้าไปครง้ั นนั้ เปน็ นายหนังจากจังหวัดพทั ลุง คนกรงุ เทพฯจงึ เรยี ก “หนงั พทั ลุง” ตอ่ มาเสียงเพ้ียน
เป็น “หนังตะลุง” เช่อื กนั ว่า หนงั ตะลงุ เลียนแบบมาจากหนงั ใหญ่ โดยยอ่ รปู หนงั ใหเ้ ล็กลง ในยุคแรกๆ คง
แสดงเรื่องรามเกียรติ์เหมือนกัน แต่เปลี่ยนบทพากย์มาเป็นภาษาท้องถ่ิน เปลี่ยนเครื่องดนตรีจาก พิณพาทย์
ตะโพน มาเปน็ ทบั กลอง ฉิ่ง โหม่ง ซงึ่ เปน็ เคร่ืองดนตรีท่ีมอี ยเู่ ดมิ ในภาคใต้ หลักฐานที่บอกว่าหนงั ตะลุงคง
เลียนแบบมาจากหนังใหญ่ คือ แม้หนังตะลุงจะไม่ได้ใช้ พิณพาทย์ ตะโพน แต่ในโองการร่ายมนต์พระอิศวร
สำนักงานการท่องเทีย่ วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 184 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
(บทบูชาพระอิศวร) ก็ยังมีบทท่ีว่า ..อดุลโหชันชโนทั้งผอง พิณพาทย์ ตะโพน กลอง ข้าจะเล่นให้ท่าน
ทง้ั หลายดู...
ต่อมา หนังภาคใต้หรือหนังตะลุง รับอิทธิพลของหนังชวาเข้ามาผสมผสาน จึงทำให้เกิด
ววิ ัฒนาการใน “รปู หนัง” ขนึ้ มา รูปหนงั ใหญ่จะเปน็ แผ่นเดยี วกนั ท้ังตัว เคลื่อนไหวอวัยวะไมไ่ ด้ แต่รูปหนัง
ชวาเคลื่อนไหวมือและปากได้ ส่วนใหญ่รูปหนังจะเคลื่อนไหวมือได้เพียงข้างเดียว ยกเว้นรูปกาก หรือตัวตลก
และรูปนางบางตัว ทสี่ ามารถขยบั มือได้ท้ังสองข้าง รูปหนังชวามีใบหน้าท่ีผดิ ไปจากคนจริง และหนังตะลุง
กร็ บั แนวคิดนี้มาปรับใช้กับรูปตวั ตลก เช่น แกะรปู หนูนุ้ยใหห้ นา้ คล้ายวัว เทง่ หนา้ คล้ายนกกระฮัง เป็นต้น
หนังตะลุงเกิดขึ้นเมื่อใดนั้น ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด นักวิชาการสันนิษฐานว่าคงเป็นช่วงต้น
กรุงรัตนโกสินทร์ เพราะกลอนหนังตะลุงนิยมแต่งเป็นกลอนแปด ซึ่งในสมัยอยุธยากลอนแปดไม่ได้เป็นที่
นยิ มแพร่หลาย ย่ิงในภาคใต้ วรรณกรรมพื้นบ้านรุ่นเก่าแก่ลว้ นแต่งเป็นกาพย์ทั้งส้นิ กลอนแปดเพ่ิงมาเป็น
ที่นิยมกันอย่างกว้างขวางก็เมื่อหลังสุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณีออกเผยแพร่แล้ว หนังตะลุงเกิดขึ้นใน
ภาคใตค้ รั้งแรกทจี่ งั หวดั ใด ก็ยงั ไม่มีหลกั ฐานยืนยันแนช่ ัด
1.2 ดนตรหี นงั ตะลุง
ดนตรีหนังตะลุงในอดีต มีความเรียบง่าย ชาวพื้นบ้านในท้องถิ่นประดิษฐ์ข้ึนได้เอง
โดยใช้วัสดุในพื้นบ้าน มีทับ กลอง โหม่ง ฉิ่ง เป็นสำคัญ ปี่ ซอ เกิดขึ้นภายหลังก็คงใช้วัสดุพื้นบ้านอยู่ดี
ต่อมาวัฒนธรรมภายนอกโดยเฉพาะดนตรีไทยสากล หนังตะลุงจึงเพ่ิมดนตรใี หม่ๆ เข้ามาเสริม เช่น กลอง
ชุด กีตาร์ ไวโอลนี ออรแ์ กน ดนตรีหนงั ตะลงุ คณะหนง่ึ ๆ มดี ังนี้
1) ทับ เครื่องกำกับจังหวะและท่วงทำนอง ที่สำคัญที่สุด ผู้บรรเลงดนตรีชิ้นอื่นๆ
ต้องคอยฟังจังหวะยักย้ายตามเพลงทับ ทบั หนังตะลุงมี 2 ใบ ใบหนึ่งเสยี งเล็กแหลม เรยี กว่า “หน่วยฉับ”
อกี ใบหน่ึงเสียงทุ้ม เรียกว่า “หนว่ ยเทิง” ทับหน่วยฉบั เป็นตัวยืน ทบั หน่วยเทิงเปน็ ตัวเสริม หนงั ตะลุงในอดีตมี
มือทับ 2 คน ไม่น้อยกว่า 60 ปีมาแล้วใช้มือทับเพียงคนเดียว ใช้ผ้าผูกไขว้กัน บางคนวางบนขา บางคน
วางขาข้างหนึ่งบนทับ กดไว้ไม่ให้ทับเคลื่อนท่ี โดยทั่วไป ทับนิยมทำด้วยแก่นไม้ขนุน ตบแต่งและกลึงได้
ง่าย ตัดไม้ขนุนออกเป็นท่อนๆ ยาวท่อนละประมาณ 60 เซนติเมตร ฟันโกลนด้วยขวานให้เป็นรูปคล้าย
กลองยาว นำมาเจาะภายใน และกลึงให้ได้รูปทรงตามต้องการลงน้ำมันชักเงาด้านนอก หุ้มด้วยหนังค่าง
ตรงแก้มทับร้อยไขว้ด้วยเชือกดว้ ยหรือไนลอน ร้อยด้วยหวาย ลอดเข้าในปลอกหวายส่วนหลัง ดึงหวายให้
ตงึ เสมอกัน ก่อนใช้ทุกครงั้ ตอ้ งชุบน้ำที่หนังหุ้ม ใช้ผ้าขนาดนิ้วกอ้ ยอัดทแ่ี กม้ ทบั ด้านใน ทำให้หนังตงึ มีเสียง
ไพเราะกงั วาน
2) โหม่ง เป็นเครื่องกำกับการขับบทของนายหนัง โหม่งมี 2 ใบ ร้อยเชือกแขวนไว้
ในรางไม้ หา่ งกนั ประมาณ 2 นวิ้ เรยี กวา่ "รางโหมง่ " ใบทใี่ ช้ตีเป็นเหล็กมีเสียงแหลมเรียกว่า "หน่วยจี้" อีก
ใบหนึ่งเสียงทุ้ม เรียกว่า “หน่วยทุ้ม” ในอดีตใช้โหม่งราง โหม่งลูกฟากก็เรียก ทำด้วยเหล็กหนาประมาณ
0.4 เซนติเมตร ยาว 10 นิ้ว กว้าง 4 นิ้ว อัดส่วนกลางให้เป็นปุ่มสำหรับตี ส่วนโหม่งหล่อใช้กันมา
ประมาณ 60 ปี หล่อด้วยทองสำริดรูปลักษณะเหมือนฆ้องวง การซื้อโหม่งต้องเลือกซื้อที่เข้ากับเสยี งของ
นายหนัง อาจขูดใต้ปุ่มหรือพอกชันอุงด้านใน ให้มีใยเสียงกลมกลืนกับเสียงของนายหนัง ไม้ตีโหม่งใช้อันเดียว
ปลายขา้ งหนง่ึ พนั ดว้ ยผ้าหรอื สวมยาง ทำใหโ้ หมง่ มีเสยี งนมุ่ นวล และสึกหรอนอ้ ยใช้ไดน้ าน
3) ฉิ่ง ใช้ตีเข้าจงั หวะกับโหม่ง คนตีโหม่งทำหน้าที่ตีฉ่ิงไปด้วย กรับเดี๋ยวน้ีไม่ต้องใช้
นำฝาฉง่ิ กระแทรกกับรางโหม่งแทนเสียงกรับได้
4) กลองตกุ มขี นาดเลก็ กว่ากลองมโนห์รา รูปแบบเหมอื นกัน ใช้ไม้ 2 อัน โทนใช้ตี
แทนกลองตกุ ได้
สำนกั งานการทอ่ งเทีย่ วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 185 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
5) ป่ี หนังตะลุงใช้ปี่นอกบรรเลงเพลงต่างๆ ถือเอาเพลงพัดชาเป็นเพลงครู
ประกอบด้วยเพลงไทยเดมิ อน่ื ๆ ได้แก่ เพลงสาวสมเด็จ เขมรป่แี ก้ว เขมรปากทอ่ ชะนีกันแสง พมา่ รำขวาน
พมา่ แทงกบ สุดสงวน เขมรพวง ลาวดวงเดือน เพลงลกู ทุ่งหลายเพลงอาศัยทำนองเพลงไทยเดมิ คนเป่าปี่ก็
เล่นได้ดี แม้เพลงไทยสากลที่กำลังฮิต ปี่ ซอ ก็เล่นได้ โดยไม่รู้ตัวโน๊ตเลย ซออู้ ซอด้วง ประกอบปี่ ทำให้
เสียงปี่มเิ ล็กแหลมเกินไป ชวนฟังยิ่งขึ้น ปี่ ซอ สามารถยักยา้ ยจังหวะให้ช้าลงหรอื เร็วขึน้ ตามจงั หวะทับได้
อย่างกลมกลนื และลงตัว
การบรรเลงดนตรีหนังตะลุง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ (1) บรรเลงดนตรีล้วน
เช่น ยกเคร่ือง ตั้งเครอื่ ง ลงโรง (2) บรรเลงเพลงประกอบการรบั บท ขน้ึ บท ถอนบท เลยบท เชดิ บรรเลง
ประกอบการขับกลอนแปด กลอนคำกลอน กลอนลอดโหม่ง ประกอบการบรรยาย อิริยาบทของตัวละคร
และบรรเลงประกอบบทบาทเฉพาะอย่าง เชน่ บทโศก ลักพา ร่ายมนต์
1.3 รูปหนังตะลุง
รูปหนัง เป็นอุปกรณ์สำคัญในการแสดงหนังตะลุง หนังคณะหนึ่งๆ ใช้รูปหนัง
ประมาณ 150-200 ตัว หนังตะลงุ แกะโดยนายช่างผู้ชำนาญ ในจังหวัดหน่ึงๆ ของภาคใต้ มีเพียง 2 - 3
คนเท่านั้น รูปหนังจะจัดเกบ็ ไว้ในแผงหนัง โดยวางเรียงอย่างเป็นระเบียบและตามศกั ดิ์ของรูป นั่นคือ เอา
รปู เบ็ดเตล็ดและรูปตลกที่ไมส่ ำคญั ซึ่งเรียกรวมกันว่า รูปกาก ไว้ลา่ ง ถัดข้ึนมาเป็นรูปยักษ์ พระ นาง เจ้าเมือง
ตัวตลกสำคัญ รูปปรายหน้าบท พระอิศวร และฤาษี การละเล่นพื้นเมืองที่ได้ชื่อว่า “หนัง” เพราะผู้เล่นใช้
รูปหนังประกอบการเล่านิทานหลังเงา การแกะรูปหนังตัวสำคัญ เช่น ฤาษี พระอิศวร พระอินทร์ นางกินรี
ยงั คงเหมือนเดิม แต่รูปอน่ื ๆ ได้ววิ ฒั นาการไปตามสมยั นิยมของผู้คน เชน่ ทรงผม เส้อื ผ้า รูปหนังรุ่นแรกมี
ขนาดใหญ่รองจากรูปหนังใหญ่ฉลุลวดลายงดงามมาก เป็นรูปขาวดำ แล้วค่อยเปลี่ยนรูปให้มีขนาดเล็กลง
ระบายสีให้ดสู ะดุดตายิ่งขึ้น การแกะรูปหนงั สำหรับเชิดหนัง ใหเ้ ด่นทางรปู ทรงและสสี นั เม่ือทาบกับจอผ้า
แสงไฟช่วยใหเ้ กดิ เงาดูเดน่ และสะดดุ ตา
กรรมวธิ ีแกะรปู หนังแบบพนื้ บ้านนำหนงั ววั หนงั ควายมาฟอก ขูดให้เกลีย้ งเกลา หนัง
สัตว์ชนิดอื่นก็นิยมใช้บ้าง เช่น หนังเสือใช้แกะรูปฤาษีประจำโรงเป็นเจ้าแผง ในปัจจุบัน รูปหนังแกะจาก
หนังววั อยา่ งเดยี ว ซอื้ หนังจากรา้ นค้าท่ีฟอกสำเร็จรปู อยู่แลว้ ทั้งสามารถเลือกหนงั หนา บาง ได้ตามความต้องการ
นายช่างวางหนังลงบนพื้นเขียงที่มีขนาดใหญ่ ใช้เหล็กปลายแหลมวาดโครงร่าง และรายละเอียดของรูป
ตามที่ต้องการลงบนผืนหนัง ใช้แท่งเหล็กกลมปลายเป็นรูคม เรียกว่า “ตุ๊ดตู่” ตอกลายเป็นแนวตามที่ใช้
เหล็กแหลมรา่ งไว้ สว่ นริมนอกหรือส่วนทเ่ี ป็นมมุ เปน็ เหลี่ยมและกนกลวดลายอนั อ่อนชอ้ ย ตอ้ งใช้มีดปลาย
แหลมคมยาวประมาณ 2 น้ิว มีด้ามกลมรี พอจับถนัดมือขดุ แกะ ท้งั ตดุ๊ ต่แู ละมีดขุดแกะมีหลายขนาด เมื่อ
ทำลวดลายตามท่ีร่างไว้เสรจ็ ตัดออกจากแผ่นหนัง เรียกว่ารูปหนัง รูปใดนายช่างเหน็ ว่าได้สัดส่วนสวยงาม
นายช่างจะเก็บไว้เป็นแม่แบบ เพียงแตะระบายสีให้แตกต่างกัน รูปที่นิยมเก็บไว้เป็นแบบ มีรูปเจ้าเมือง
นางเมือง รูปยักษ์ รูปวานร รูปพระเอก รูปนางเอก นำรูปแม่แบบมาทาบหนัง แกะไปตามรูปแม่แบบ
ประหยัดเวลา และไดร้ ูปสวยงาม ผลิตไดร้ วดเร็ว
สีท่ีใช้ระบายรูปหรือลงสี นิยมใช้น้ำหมึก สีย้อมผ้า สีย้อมขนม มีสีแดง เหลือง แสด
ชมพู ม่วง เขียว น้ำเงิน และสีดำ ต้องผสมสีหรือละลายสีให้เข้มข้น ใช้พู่กันขนาดต่างๆ จุ่มสีระบาย ต้อง
ระบายเหมือนกันท้ัง 2 หน้า ระวังไม่ให้สีเปื้อน สีซึมเข้าในเนื้อของหนังเร็ว ลบออกไม่ได้ ช่างแกะรูปต้อง
มีความรู้ประวัติที่มาของรูป ศึกษาแบบของรูป จากรูปจริง จากรูปภาพ การเปลี่ยนอิริยาบทของรูปได้
อย่างถูกต้อง การเบิกตา เบิกปากรูปต้องใช้เวทมนต์ประกอบด้วย ที่สำคัญต้องมีสมาธิอย่างแน่วแน่ เศษหนัง
ทำเป็นมือรปู ริมฝีปากล่าง อาวุธต่างๆ ใช้ร้อยมือให้ตดิ กนั เป็น 3 ท่อน เพื่อให้มือเคลื่อนไหวได้ เมื่อสีแห้ง
สำนกั งานการทอ่ งเทยี่ วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 186 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
สนิทแล้ว ลงน้ำมันยางใส เพื่อให้รูปเกิดเงาวาววับ เดี๋ยวนี้หาน้ำมันยางไม่ได้ ใช้น้ำมันชักเงาแทน จากนั้น
ติดไม้ตับ ติดไม้มือ รูปที่ชักปากได้ ติดคันเบ็ดผูกเชอื กชกั ปาก เป็นอันว่าเป็นรูปหนังที่สมบูรณ์ ช่างแกะรปู
หนัง นอกจากแกะจำหน่ายแกค่ ณะหนังตะลงุ แล้ว ยังแกะจำหน่ายทั่วไป เพื่อนำไปประดับประดา อาคาร
บ้านเรือน ชาวต่างชาตินิยมกันมาก แต่ต้องทำอย่างประณีต บรรจง จึงจะจำหน่ายได้ราคาดี ช่างแกะรูปหนัง
หาความร่ำรวยมิได้ เพยี งแตพ่ อดำรงชีพอยไู่ ดเ้ ท่าน้นั
1.4 ตวั ตลกหนงั ตะลงุ
ตัวตลกหนังตะลงุ เป็นตัวละครท่ีมีความสำคญั อย่างยิ่ง และเป็นตัวละครที่ขาดไมไ่ ด้
สำหรับการแสดงหนังตะลุง บทตลกคือเสน่ห์ หรือสีสัน ที่นายหนังจะสร้างความประทับใจให้กับคนดู เมื่อ
การแสดงจบลง สิ่งท่ีผู้ชมจำได้และยังเก็บไปเล่าต่อคือบทตลก นายหนังตะลุงคนใดที่สามารถสร้างตัวตลก
ไดม้ ีชวี ิตชวี าและนา่ ประทับใจ สามารถทำให้ผชู้ มนำบทตลกนั้นไปเล่าขานต่อได้ไมร่ ูจ้ บ ถือวา่ เป็นนายหนัง
ท่ีประสบความสำเรจ็ ในอาชพี โดยแทจ้ ริง
2. วถิ โี นรา
โนราเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านที่เป็นที่นิยมของคนในภาคใต้ องค์ประกอบหลักใน
การแสดงโนรา คือเครือ่ งแตง่ กาย และเครือ่ งดนตรี (มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม, 2552)
เครื่องแต่งกายประกอบด้วย เทริด เป็นเครื่องประดับศีรษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่หรือ
ตวั ยนื เครื่อง เคร่ืองลูกปัดร้อยดว้ ยลูกปัดสเี ป็นลายมีดอกดวง ใช้สำหรบั สวมลำตวั ท่อนบนแทนเส้ือ ปีกนกแอ่น
หรือปีกเหน่ง ทับทรวงปกี หรือหางหงส์ ผ้านุ่ง สนับเพลา ผ้าห้อยหน้า ผ้าห้อยข้างกำไลต้นแขน-ปลายแขน
และเลบ็ ทั้งหมดนี้เป็นเคร่ืองแตง่ กายของโนราใหญ่หรือโนรายนื เคร่ือง สว่ นเครอ่ื งแต่งกายของตัวนางหรือ
นางรำเรยี กว่า “เครื่องนาง” ไม่มีกำไลต้นแขนทับทรวง และปกี นกแอ่น
เครื่องดนตรีของโนรา ส่วนใหญ่เป็นเครื่องตีให้ จังหวะ ประกอบด้วย ทับ (โทนหรือทับโนรา)
มี ๒ ใบ เสียงต่างกันเล็กน้อย ใช้คนตีเพียงคนเดียว เป็นเครื่องตีท่ีสำคัญที่สุด เพราะทำหน้าที่คุมจังหวะ
และเป็นตัวนำในการเปลี่ยน จังหวะทำนองตามผู้รำ กลองทำหน้าที่เสริมเน้นจังหวะและ ล้อเสียงทับ ปี่
โหม่ง หรือฆ้องคู่ ฉ่งิ และแตระ
โนรามีการแสดง ๒ รูปแบบ คือ โนราประกอบพิธีกรรม (โนราโรงครู) และโนราเพื่อความ
บันเทิง ซงึ่ มคี วามแตกต่างกัน ดังนี้
โนราประกอบพิธีกรรมหรือโนราโรงครู เป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญในวงการโนราเป็น
อย่างย่ิง เพราะเป็นพิธีกรรมเพื่อเชิญครูหรือบรรพบุรุษของโนรามายังโรงพิธีเพื่อไหว้ครูหรือไหว้ตายายโนรา
เพื่อรับของแก้บนและเพื่อครอบเทริดหรือผูกผ้าแก่ผู้แสดงโนรารุ่นใหม่ มี ๒ ชนิด คือ โนราโรงครูใหญ่
หมายถึง การรำโนราโรงครูอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะต้องกระทำต่อเนื่องกัน ๓ วัน ๓ คืน จึงจะจบพิธี โดย
จะเริ่มในวันพุธไปสิ้นสุดในวันศุกร์ และจะต้องกระทำเป็นประจำทุกปี หรือทุกสามปี หรือทุกห้าปี ทั้งนี้
ขนึ้ อยทู่ ก่ี ารถือปฏิบตั ขิ องโนราแต่ละสาย สำหรบั โนราโรงครูเลก็ ใช้เวลา ๑ วนั กับ ๑ คนื โดยปกตินยิ มเร่ิม
ในตอนเย็นวันพธุ แล้วไปสนิ้ สดุ ในวนั พฤหสั บดี
โนราเพ่อื ความบนั เทงิ เป็นการแสดงเพื่อให้ความบันเทงิ โดยตรง มลี ักษณะสำคัญ ดังนี้
1) การรำโนราแต่ละตัวต้องรำอวดความชำนาญ และความสามารถเฉพาะตน โดยการรำ
ผสมท่าต่างๆ เข้าด้วยกันอยา่ งต่อเนื่องกลมกลนื แต่ละทา่ มคี วามถูกต้องตามแบบฉบับ มคี วามคล่องแคล่ว
ชำนาญที่จะเปล่ียนลีลา ให้เข้ากับจังหวะดนตรี และต้องรำให้สวยงามอ่อนช้อยหรือกระฉับกระเฉงเหมาะ
สำนักงานการท่องเทย่ี วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 187 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
แก่กรณี บางคนอาจอวดความสามารถในเชิงรำเฉพาะดา้ น เช่น การเล่นแขน การทำให้ตัวอ่อน การรำท่า
พลิกแพลง เป็นต้น
๒) การร้อง โนราแตล่ ะตวั จะต้องอวดลีลาการร้อง ขบั บทกลอนในลักษณะต่างๆ เช่น เสยี งไพเราะ
ดังชัดเจน จังหวะการร้องขับถูกต้องเร้าใจ มีปฏิภาณในการคิดกลอน รวดเร็ว ได้เนื้อหาดี สัมผัสดี มี
ความสามารถในการรอ้ ง โตต้ อบ แกค้ ำอย่างฉบั พลนั และคมคาย เปน็ ตน้
๓) การทำบท เป็นการอวดความสามารถในการตีความหมายของบทร้องเป็นท่ารำ ให้คำร้อง
และท่ารำสัมพันธ์กัน ต้องตีท่าให้พิสดารหลากหลายและครบถ้วน ตามคำร้องทุกถ้อยคำ ต้องขับบทร้อง
และตีท่ารำใหป้ ระสม กลมกลืนกับจงั หวะและลีลาของดนตรีอย่างเหมาะเหม็ง การทำบทจึงเป็นศลิ ปะสุดยอด
ของโนรา
๔) การรำเฉพาะอย่าง นอกจากโนราแต่ละคน จะต้องมีความสามารถในการรำ การร้อง
และการทำบทดงั กล่าวแล้ว ยังต้องฝึกการรำเฉพาะอยา่ งให้เกิดความชำนาญเป็นพเิ ศษด้วย ซ่ึงการรำเฉพาะอย่าง
นี้ อาจใช้แสดงเฉพาะโอกาส เช่น รำในพิธีไหว้ครู ในพิธีแต่งพอกผูกผ้าใหญ่ บางอย่างใช้รำเฉพาะเม่ือมี
การประชนั โรง บางอย่างใช้ในโอกาสรำลงครูหรือโรงครูหรือในการรำแกบ้ น เป็นต้น ตวั อย่างการรำเฉพาะอย่าง
เช่น รำบทครูสอน รำเพลงทบั เพลงโทน รำเพลงปี่ รำขอเทรดิ รำคล้องหงส์
๕) การเล่นเป็นเรือ่ ง โดยปกติโนราไมเ่ น้นการเล่นเป็นเร่ือง แต่ถ้ามีเวลาแสดงมากพอ อาจ
มีการเลน่ เป็นเรอ่ื งให้ดูเพื่อความสนุกสนาน โดยเลือกเร่ืองทรี่ ู้ดีกันแล้วบางตอนมาแสดง ไมเ่ น้นการแต่งตัว
ตามเร่ืองแต่จะเน้นการตลกและการขับบทกลอนแบบโนราใหไ้ ดเ้ น้ือหาตามทอ้ งเรือ่ ง
การแสดงโนราที่เป็นงานบันเทงิ ทั่วไปแต่ละคร้ัง แต่ละคณะจะมีลำดบั การแสดงที่เป็นขนบ
นยิ ม โดยมีลำดบั ดังน้ี
ปล่อยตัวนางรำออกรำ (อาจมีผู้แสดงจำนวน ๒ - ๕ คน) ซึ่งมีขั้นตอน คือ เกี้ยวม่าน หรือ
ขับหน้าม่าน เป็นการขับร้องบทกลอนอยู่ในม่านกั้นโดยไม่ให้เห็นตัว/ออกร่ายรำ แสดงความชำนาญและ
ความสามารถในเชิงรำเฉพาะตวั น่ังพนกั วา่ บทรา่ ยแตระแล้วทำบท (ร้องบทและตีท่ารำตามบทนั้นๆ) ว่ากลอน
เป็นการแสดงความสามารถเชิงบทกลอน (ไม่เน้นการรำ) ถ้าว่ากลอนที่แต่งไว้ก่อน เรียกว่า “ว่าคำพรัด”
ถา้ เป็นผู้มปี ฏิภาณมกั ว่ากลอนสด เรียกว่า “ว่ามดุ โต” และรำอวดมืออกี คร้ังแล้วเข้าโรง
ออกพราน คือ ออกตัวตลก เป็นผมู้ ีความสำคญั ในการสร้างบรรยากาศให้ครึกคร้ืน
ออกตัวนายโรง หรือโนราใหญ่ นายโรงจะอวดท่ารำและการขับบทกลอนเป็นพิเศษให้สมแก่
ฐานะที่เปน็ นายโรง ในกรณีที่เป็นการแสดงประชันโรง โนราใหญ่ จะทำพิธีเฆ่ียนพราย และเหยียบลูกนาว
เพ่อื เปน็ การตัดไมข้ ม่ นามคู่ตอ่ สู้ และเปน็ กำลังใจแกผ่ ู้รว่ มคณะของตน
ออกพรานอีกครั้ง เพื่อบอกว่าต่อไปจะเล่นเป็นเรื่อง และจะเล่นเรื่องอะไร จากนั้นจึงเล่น
เปน็ เรอื่ ง
ปัจจุบันการแสดงโนรายังคงมีการแสดงทั้ง ๒ รูปแบบ ทั้งเพื่อความบันเทิงและการรำใน
พธิ ีกรรม คุณคา่ ของโนรา นอกจากเคร่ืองแต่งกายและท่ารำทมี่ ีความเปน็ เอกลักษณ์เฉพาะแล้ว โนรายังทำ
หน้าท่เี ป็น “สือ่ ” เผยแพร่ใหข้ ้อมูลข่าวสารตา่ งๆ ใหป้ ระชาชนไดร้ บั ทราบอยา่ งทวั่ ถึงและเขา้ ถึงชาวบ้านได้
ง่าย โนราจงึ เป็นศิลปะการแสดงของชาวภาคใต้ทย่ี ังคงครองความนิยมท่ามกลางกระแส การเปล่ียนแปลง
ในโลกปัจจุบันได้ดีตามสมควร ตัวอย่าง โนราที่โดดเด่น เช่น คณะครื้นน้อย ดาวรุ่ง จังหวัดตรัง และ
คณะโนรานอ้ มโบราณศลิ ป์ จังหวัดพทั ลุง คณะละไม ศรรี ักษา จังหวดั สงขลา
สำนกั งานการทอ่ งเทยี่ วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 188 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
3. วถิ ีเพลงบอก
เพลงบอกเป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคใต้ที่สืบเน่ืองมาแต่โบราณ จัดเป็นปฏิภาณกวีคือ
ผู้ร้องเพลงบอกจะต้องใช้ไหวพริบและปฏิภาณ ซ่ึงการใช้คารมที่ออกมาเป็นบทกลอนเพื่อชมสิ่งหนึ่งสิ่งใด
หรือโต้ตอบกัน เพลงบอกเป็นเพลงพ้ืนเมืองท่ีนิยมเล่นแพร่หลายท่ีสุดในสมัยก่อน เมื่อถึงหน้าสงกรานต์
ยังไม่มีปฏิทินบอกสงกรานต์แพร่หลายอย่างปัจจุบัน จะมีแม่เพลงนำรายละเอียดเกี่ยวกับสงกรานต์ออก
ป่าวประกาศแกช่ าวบา้ น โดยรอ้ งเปน็ เพลงพืน้ บา้ นและมลี ูกคู่รับเป็นทำนองเฉพาะ จึงมีชื่อเรยี กว่า “เพลงบอก”
เพลงบอกคณะหนึ่งมีแม่เพลง 1 คน และลูกคู่อีก 4 - 6 คน มีการร้องเพลงบอกใช้ภาษาถิ่นปักษ์ใต้ โดย
รอ้ งด้นเป็นกลอนสดแท้ๆ ใช้ปฏิภาณรอ้ งไปตามเหตุการณ์ที่พบเห็น หรอื แต่งขึน้ มาเพ่ือบอกเล่าเหตุการณ์
ต่างๆ แม่เพลงต้องมีความรอบรู้ไหวพริบดี และฝึกฝนจนแม่นยำในเชิงกลอน เพลงชนิดน้ีจะร้องแบบกลอนด้น
ครั้งละ 2 วรรค แลว้ ลูกคกู่ จ็ ะรอ้ งรบั (มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม, 2552)
3.1 ลักษณะท่ัวไปของเพลงบอก
เพลงบอก หมายถึง การบอกกล่าวขา่ วสารต่างๆ ใหช้ าวบ้านได้รับรู้ แต่แทนท่ีจะพูด
หรือป่าวประกาศเป็นร้อยแก้ว ผู้ประกาศข่าวหรือแม่เพลง จะกล่าวเป็นทำนองบทร้อยกรอง และมีลูกคู่
คอยรับและส่งตามคำร้องของแมเ่ พลง ส่วนอีกประการหนึ่งเพลงบอกอาจจะมาจากกระบอกไม้ไผ่ ที่ในคร้ัง
อดตี เวลาแม่เพลงนำขา่ วสารไปบอกกบั ชาวบ้าน กจ็ ะเอาสารออกมาจากกระบอกไม้ไผแ่ ลว้ บอกใหช้ าวบ้าน
ทราบ บทกลอนของเพลงบอกจะมีความโดดเด่นทางด้านฉันทลักษณ์มาก ซึ่งนักวิชาการกล่าวกันว่ามี
ความแตกต่างจากเพลงพื้นบ้านภาคใต้อื่นๆ และไม่ตรงกับบทร้อยกรองไทยประเภทใดเลย เพื่อเป็นการป่าว
ประกาศให้ชาวบ้านได้รู้โดยทั่วกันว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่แล้ว หรือใช้เป็นการบอกเรื่องราวข่าวสารต่างๆ
เช่น บอกงานบุญกุศล เพราะในสมัยโบราณคนที่รู้หนังสืออ่านออกเขียนได้มีน้อย เอกสารการพิมพ์ก็ไม่
แพร่หลายมากนัก รายละเอียดเกี่ยวกับการขึ้นปีใหม่หรือเปลี่ยนศักราช หรือการประกาศสงกรานต์
ประจำปี เพลงบอกคือการสื่อสารท่สี ำคญั ยิ่งประการหนึ่ง เพลงบอกจึงเป็นการบอกขา่ วของชาวบ้านไปทุก
ละแวกให้ทราบว่าใกล้ถึงปีใหม่แล้ว หรือเป็นการบอกเล่าเรื่องราวข่าวสารต่างๆ เช่น บอกข่าวเชิญไป
ทำบุญตามเหตุการณ์ตา่ งๆ เรียกได้ว่าเพลงบอกเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมทางจิตใจอยา่ งหนึ่งของชาวใต้
ซ่งึ คกู่ บั ชาวบา้ นมานานตง้ั แตโ่ บราณ และสบื ทอดมาจนถงึ ปัจจุบนั (มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์, 2561)
จังหวัดนครศรีธรรมราชได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีนักเล่นเพลงบอกมากที่สุดทั้งในอดีตและ
ปัจจุบัน จนได้รับสมญานามว่าเมืองเพลงบอก นอกจากมีนักเล่นเพลงบอกเป็นจำนวนมากแล้ว นักเล่น
เพลงบอกทมี่ ีช่ือเสียงโดง่ ดังเป็นทร่ี ู้จัก และได้รับความนิยมชมชอบวา่ มีฝีปากคมคายเปน็ ท่ีดีเยี่ยมส่วนใหญ่
มีภมู ลิ ำเนาอยทู่ ่จี งั หวดั นครศรธี รรมราช
3.2 ประเภทของเพลงบอก
การขบั ร้องเพลงบอกที่นิยมเล่นกันสามารถแบ่งออกเปน็ ประเภทไดด้ งั นี้คือ
1) เพลงบอกบอกสงกรานต์
เพลงบอกบอกสงกรานต์ถือเป็นการละเล่นที่เป็นจุดเริ่มต้นของเพลงบอก จะเล่น
กนั ราวๆ ประมาณปลายเดือน ๔ หรอื ยา่ งเข้าเดือน ๕ ซง่ึ เป็นช่วงทีช่ าวนาทางภาคใตส้ ว่ นใหญ่ทำการเก็บเกี่ยว
ข้าวขึ้นยุ้งฉางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนพลบค่ำตามละแวกบ้านจะได้ยินเสียงเพลงบอกแทบทุกบ้านของ
จังหวัดนครศรีธรรมราช คณะเพลงบอกจะออกตระเวนตามบ้านใกล้เรือนเคียง โดยมีบุคคลซ่ึงเป็นที่รู้จัก
กันดีในหมู่บ้านน้ันๆ เป็นคนนำทางคอยไปปลุกเจ้าของบ้านให้เปิดประตูรับเจ้าของบ้านจะเปิดประตูรับ
ก็ตอ่ เมอ่ื เขาแน่ใจวา่ คนท่ีมาน้นั เป็นผู้ซึ่งเขารจู้ ักดี ท้งั น้เี พราะวา่ บางทีก็มีการสวมรอยของผู้ร้ายมาทำทีเป็น
เพลงบอกแล้วเข้าปล้นบ้านก็มี เมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตูรับแม่เพลงก็จะขับกล่อมเพลงบอกขึ้นในทันที
สำนกั งานการทอ่ งเทยี่ วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 189 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
เนื้อความตอนแรกมักจะเป็นบทไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวขมเชยเจ้าของบ้านตามสมควร ต่อจากนั้น
เจา้ ของบ้านกจ็ ะเชญิ ข้ึนบนเรอื น
2) เพลงบอกบอกข่าวทัว่ ไป
เพลงบอกบอกขา่ วทว่ั ไป ในการวา่ เพลงบอกนอกจากเพลงบอกบอกสงกรานต์
อันถือเป็นสัญลักษณ์เฉพาะแล้วยังบอกข่าวคราวทั่วๆ ไปด้วย เช่น บอกบุญเรี่ยไรในงานบุญงานกุศล
ประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งและเชิญชวนให้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง ตลอดจนโฆษณาสินค้าต่างๆ เป็นต้น
ข่าวที่ใช้เพลงบอกจะเข้าถึงและได้รับความสนใจจากชาวบ้านมากกว่าการส่ือสารธรรมดา เพราะท่วงท่า
ทำนองลีลาจังหวะ ถ้อยคำ และน้ำเสียง ชวนให้เกิดความหรรษาไปด้วย โดยเป็นการว่าเพลงบอกเพื่อ
ประกาศข่าวสาร เช่น งานบุญตามเทศกาลต่างๆ โดยเพ่อื พ่อเพลงและลูกคู่มาถึงชานบ้านก็จะยกเอาหมากพลู
บุหรี่ หรือบางที่ก็นำเหลา้ ยาปลาป้ิงออกมาเลี้ยง หรือหยิบยื่นให้เปน็ เสบียง เป็นยาแก้หนาวในขณะที่ออก
ตระเวนว่าเพลงบอก เจ้าของบ้านบางคนอาจลองภูมิรู้ของเพลงบอกบอกโดยถามถึงเรื่องราวทั่วไป เช่น
หลักธรรมคำสอน ความเป็นมาของวันสงกรานต์ แม่เพลงก็จะขับเป็นเพลงบอกเล่าให้ฟังหากตอบถูก
เจ้าของบ้านก็จะตกรางวัลให้ แต่ถ้าบอกไม่ได้ก็อาจเคราะห์ร้ายถกู เจ้าของบ้านเชิญให้ลงจากบ้านก็เป็นได้
แต่ส่วนใหญ่เจ้าของบ้านก็ไม่ถึงกับไล่คณะเพลงบอก เพราะอยากจ่ายรางวัล จึงมักมีรางวัลติดไม้ติดมือ
กลบั ไปเสมอ กอ่ นจะอำลากลบั ไปบ้านอื่นๆ คณะเพลงบอกจะขับเพลงบอกใหศ้ ีลให้พรตามธรรมเนียมของ
ไทยเรา ต่อจากนน้ั คณะเพลงบอกก็จะตระเวนกันต่อไปจนตลอดรงุ่ จึงจะเลิก แต่สว่ นใหญ่มกั จะไปเมามาย
อยู่ที่ใดที่หน่ึงรายไดจ้ ากการเลน่ เพลงบอกสงกรานต์ นิยมแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งถวายวัด อีกส่วน
หน่งึ แบง่ ปันกนั ในคณะสำหรับเท่ยี วและเล่นการพนันในงานสงกรานต์ซึง่ เรียกว่า “เลน่ วา่ ง”
3) เพลงบอกประชัน
การละเล่นเพลงบอกเพื่อการประชันเป็นการว่าเพลงอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับ
ความนิยม ในสมัยก่อนการประชันเพลงบอกส่วนมากจะจัดขึน้ ภายในวดั โดยมีแม่เพลงบอกนั่งรอ้ งขับบท
กันท่ีศาลากลางวัด แม่เพลงผู้อาวุโสจะเป็นผู้แสดงฝีปากก่อน ซึ่งจะเริ่มร้องด้วยบทไหว้ครู สิ่งศักดิ์สิทธ์ิ
บุคคลสำคัญ และเจ้าบ้านผ่านเมือง เมื่อแม่เพลงร้องจบ ฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มร้องบทไหว้ครูเช่นเดียวกัน
การประชันเพลงบอกจะมีหลักเกณฑห์ รือกติกาในการตดั สินวา่ เพลงบอกคณะน้ีดีหรือด้อยอย่างไร โดยจะ
ดูบทกลอนว่าถูกต้องตามฉันทลักษณ์หรือไม่ และว่าถูกต้องตามแบบของกลอนเพลงบอกหรือไม่
นอกจากนี้ยังสังเกตจากการเลือกสรรคำมาใช้ เช่น ดูคำศัพท์ สำนวนโวหาร ว่ามีความคมคาย กว้างแคบ
หรือใช้ได้เพียงไร พิจารณาดูเชาว์ปัญญาความรอบรู้ และปฏิภาณไหวพริบของแม่เพลง การนำเสนอ
ความคิดเห็นที่แยบคาย แปลกใหม่ ดูท่วงทำนอง ลีลาจังหวะ เสียง และการร้องรับของลูกคู่ ซึ่งจะมี
ค่านิยมทปี่ รากฏในเพลงบอกทเี่ ด่นๆ มีอยู่ ๒ ประการ คือการเคารพยึดมัน่ ในสถาบนั พระมหากษัตริย์ และ
การเคารพยกย่องครูอาจารย์ นอกจากนี้ในบทกลอนเพลงบอกยังสะท้อนถึงชีวิตความเป็นอยู่และ
การละเล่นต่างๆ ของชาวภาคใต้ ตลอดจนการแสดงความคิดเห็นในเรื่องการเมืองการปกครองอีกด้วย
ในการประชันหรอื โตเ้ พลงบอกนยิ มยกพ้นื เวทีสูงขึ้นกว่าพื้นปรกตเิ พื่อใหผ้ ู้ชมเหน็ ได้ชดั เจน คู่โต้พร้อมลูกคู่
น่ังฝ่ายละฟากเวที มีผอู้ าวโุ สนั่งกลางเป็นประธาน แต่เดมิ การโตไ้ มก่ ำหนดหัวข้อหรือญตั ตแิ ละเวลา เร่ืองท่ี
โตแ้ ล้วแต่ใครจะหยิบอะไรข้ึนมา แต่สว่ นใหญ่จะเป็นเชิงเปรียบเทยี บ เช่น ถ้าฝ่ายหนึ่งว่าเรื่องชนไก่หรือวัวชน
อีกฝ่ายก็ต้องว่าเรือ่ งน้ันดว้ ย และต่างพยายามนำเรื่องไก่ชน วัวชน มาเปรียบเทียบกับคน โดยเฉพาะแม่เพลง
ทัง้ ๒ คน จะตอ้ งว่าในทำนองขม่ กนั บางคร้งั อาจว่าเกีย่ วกบั ธรรมะและเหตุการณส์ ำคัญต่างๆ การประชัน
ครั้งสำคัญ ก่อนประชันต่างฝ่ายต้องสืบประวัติ ตลอดจนชั้นเชิงความสามารถของฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด
เพื่อจะได้หาทางกล่าวโจมตีและกล่าวแก้ได้ทันควัน การโต้เพลงบอกต้องอาศัยไหวพริบความฉับไวเข้าแข่งกัน
สำนักงานการทอ่ งเทยี่ วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 190 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
ในการตัดสินแพ้ชนะใช้เสียงของผู้ชมผู้ฟังเป็นหลัก โดยฟังจากเสียงโห่ฝ่ายใดโห่สิ้นเสียงก็เป็นฝ่ายชนะ
หรอื ไม่ก็โต้กันจนจนฝ่ายหน่ึงยอมแพ้ไปเลย การโต้เพลงบอกในปัจจุบันต่างไปจากสมัยโบราณเป็นอันมาก
เพราะมีการกำหนดหัวเรื่องหรือญัตติให้โต้กัน โดยมีฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน มีการกำหนดเวลาและกติกา
กำหนดไว้ชัดเจนในการโต้ ตลอดถึงมีกรรมการตัดสินเช่นเดียวกับการโต้วาทีโดยทั่วๆ ไป ซึ่งจะทำให้เพลงบอก
คณะที่เตรียมตัวมาดีกว่าได้เปรียบ แต่การโต้เพลงบอกจะไม่สนุกและไม่เห็นไหวพริบปฏิภาณของเพลงบอกได้
เด่นชดั ดั่งเช่นในอดตี
4) เพลงบอกรอ้ งชา
เพลงบอกร้องชาเป็นการร้องบูชาหรือชมเชยสิ่งชองหรือบุคคลที่ควรชมเชย
หรอื บชู า เชน่ ชาขวัญข้าว ชาพระธาตุ ชาเจ้านายหรือขา้ ราชการผู้ใหญ่ ชาผ้อู าวุโสและครอู าจารย์ เป็นต้น
การร้องชาแม่เพลงจะสรรหาแต่ส่ิงดีงามสวยงามขึน้ มากล่าว เพื่อให้ส่ิงของหรือผู้ที่ถูกชาเกิดความมีคุณคา่
รสู้ กึ อม่ิ เอมใจ การชาพบได้บ่อยในงานบุญ โดยเพลงบอกจะชาผู้ทำบญุ วา่ เปน็ ผู้สงู ส่งดว้ ยคุณธรรมตา่ งๆ
วถิ ีเขา
1. กิจกรรมล่องแกง่
แก่ง หมายถึง พืดหินหรือโขดหินที่กีดขวางทางน้ำ มักจะมีตามต้นแม่น้ำ (สำนักงานราช-
บัณฑิตยสภา, 2554) ลักษณะของแหล่งน้ำที่มีหินก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ โผล่ขึ้นมากลางแหล่งน้ำนั้น โดยที่
ลกั ษณะฃองหินทโ่ี ผล่ขึ้นมากลางแหล่งน้ำจะมีลักษณะแตกต่างกัน ในบางคร้ังทำใหก้ ีดขวางการจราจรทางน้ำ
หรือบางครัง้ แก่งหินที่เกิดขน้ึ มโี พรงอยู่ด้านใต้ของหิน ทำให้สภาพของน้ำกลายเป็น “น้ำวน” เน่ืองจากหิน
ที่เกิดขึ้นมีลักษณะแตกต่างกัน จึงเป็นแหล่งพักอาศัยที่เหมาะสมของสัตว์น้ำ และนอกจากนี้ยังชะลอการไหล
ของน้ำทำให้น้ำไหลช้าลง นอกจากน้ี สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2547 อ้างถึงใน
กรมการทอ่ งเทย่ี ว, 2557) ใหค้ วามหมายว่า แกง่ หมายถงึ โขดหนิ หมขู่ องโขดหิน หรอื หมเู่ กาะกลางลำน้ำ
ที่ตั้งขวางทางน้ำอยู่ทำให้ลำน้ำช่วงนี้ไหลแรง โดยมากพบตอนต้นๆ ของแม่น้ำ ลำธารโดยบริเวณลำน้ำท่มี ี
พืดหินหรือโขดหินที่อยู่กลางลำน้ำนั้น อาจถูกท่วมได้ในฤดูที่มีปริมาณน้ำมาก การไหลของน้ำในลำน้ำที่มี
สภาพดังกล่าวจะเป็นการไหลที่แรงและเร็ว ความเร็วของกระแสน้ำใต้ผิวน้ำและระดับน้ำจะแตกต่างกัน
โดยช่วงต่ำกว่าผิวน้ำลงไปกระแสน้ำจะค่อยๆ ลดความเร็วลง การล่องแก่ง เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยว
แนวผจญภัยอยา่ งหนง่ึ ซ่งึ นยิ มใชเ้ รอื ยาง หรือ แพไมไ้ ผ่ ล่องตามลำนำ้ ทีม่ แี กง่
แหล่งท่องเที่ยวประเภทแก่ง หมายถึง สถานที่ที่เปิดใช้เพื่อการท่องเที่ยวโดยมีแก่งเป็น
ทรัพยากรธรรมชาติที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาเยือน และมีวัตถุประสงค์เพื่อความเพลิดเพลินและ
นันทนาการในรปู แบบทใ่ี กลช้ ิดกับธรรมชาตโิ ดยมกี จิ กรรมการท่องเที่ยวหลกั ไดแ้ ก่การล่องแกง่ การพายเรือ
การพักแรมและการเดินป่าซึ่งอาจเสริมกิจกรรมเพื่อการศึกษาธรรมชาติเข้าไปด้วย ได้แก่การดูนก
การสำรวจธรรมชาติ การศึกษาพันธพ์ุ ืชต่างๆ เป็นตน้
กจิ กรรมล่องแก่ง หมายถงึ การลอ่ งเรอื ยางในสายน้ำท่ีมีพ้ืนท้องน้ำลาดชันมากมีกระแสน้ำ
ไหลเร็วและแรง ผ่านบริเวณที่มีเกาะแก่งต่างๆ ซ่ึงกิจกรรมการท่องเที่ยวล่องแก่งเป็นการท่องเที่ยวแบบ
ผจญภัยกึ่งอนุรักษ์ธรรมชาติที่อาศัยสายน้ำเป็นการท่องเที่ยวที่สนุกสนาน ตื่นเต้น ท้าทายความสามารถ
ของนักทอ่ งเทีย่ ว
สำนกั งานการท่องเที่ยวและกีฬาจงั หวัดสงขลา 191 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
การท่องเท่ียวแบบผจญภัยกึ่งอนุรักษ์ธรรมชาติ หมายถึง กิจกรรมการท่องเที่ยวใดๆ ก็ตามที่มี
องค์ประกอบของความท้าทายหรือเสี่ยงภัย การใช้พละกำลัง การได้รับความสนุกเพลิดเพลินและการใช้
ประโยชน์จากทรพั ยากรการท่องเทย่ี วอยา่ งย่งั ยืนเข้ามาเกี่ยวข้อง
สถานทลี่ อ่ งแกง่ ในจงั หวดั พทั ลุง
1.1 ล่องแก่งลานขอ่ ย
หลังจากการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งเป็นโครงการ
พฒั นาลมุ่ น้ำปากพนังแล้วเสร็จเมื่อปี 2539 ไดม้ กี ลุ่มแกนนำหลากหลายองค์กร ไมว่ า่ จะเป็นกำนัน ผ้ใู หญบ่ ้าน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดถึงคณะครูของโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ ตำบลลานข่อย อำเภอป่าพะยอม ได้
หารือกันเพื่อต่อยอดการสร้างมูลค่าเพิ่มจากน้ำในอ่างที่ไหลสู่ลุ่มน้ำปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จน
ตกผลึกถงึ เร่ืองการท่องเที่ยวโดยการล่องแก่งในลำคลองบ้านทา่ ส้าน ทอ้ งที่ ม.3 ตำบลลานขอ่ ย อำเภอป่าพะยอม
จงั หวดั พัทลงุ แต่สดุ ทา้ ยเรื่องดังกล่าวก็เงียบหงายไป ต่อมาเมื่อปี 2551 ได้มบี ุคคลสำคัญที่พลิกฟ้ืนพ้ืนที่
สีแดงให้เป็นสีเขียวจนวงการท่องเที่ยว คือ นายโยธิน เขาไข่แก้ว ผู้จัดการล่องแก่งหนานมดแดงนั่นเอง
โดยเริ่มแรกได้นำเรือพายคายัคมาจำนวน 5 ลำ แล้วชวนชาวบ้านในพื้นที่มาร่วมสำรวจเส้นในลำคลอง
บ้านท่าสา้ น แตป่ รากฏวา่ ไมม่ ใี ครเอาดว้ ยเพราะภาพของตำบลลานข่อยในขณะนั้น นักทอ่ งเทย่ี วต่างนึกถึง
กลุม่ ผู้มอี ิทธพิ ลและการเรียกคา่ คุ้มครอง ดว้ ยวิสยั ทศั น์ทก่ี ว้างไกลนายโยธินไม่ละท้ิงความพยายามจนผ่าน
ไป 1 ปีเต็ม ล่องแก่งหนานมดแดงก็ได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ (องค์การ-
บริหารส่วนจังหวดั พัทลงุ , 2560)
ล่องแก่งลานข่อยหรือล่องแก่งป่าพะยอม มีระยะทางล่องแก่งกว่า 6 กิโลเมตร มีทั้งหมด
40 หนาน (แก่ง) หนาน ที่ขึ้นชื่อคือหนานมดแดง ตลอดเส้นทางจะได้ชมพันธุ์ไม้นานาชนิดที่นีม่ ีน้ำตลอด
ท้งั ปี เส้นทางล่องแกง่ น้ันทางลอ่ งแกง่ ลานข่อยได้แบง่ ออกเป็น 3 โปรแกรม ได้แก่
โปรแกรมท่ี 1 สนุก ประทับใจ แต่ไม่เสี่ยง เป็นแก่งระดับ 1 - 2 สำหรับผู้ที่ไม่มี
ประสบการณ์ในการล่องแก่งมาก่อนหรือพายเรือไม่เป็นทั้งเด็กและผู้สูงอายุ เหมาะสำหรบั นำครอบครัวมา
ล่องแก่งมีความปลอดภัยสูง มีผู้ดูแลอย่างดี น้ำใส ธรรมชาติสวยงาม บรรยากาศร่มร่ืน ระยะทาง 5 กม.
ใช้เวลาในการลอ่ งแก่ง 1.30 – 2 ชั่วโมง
โปรแกรมที่ 2 ตื่นเต้น เร้าใจ เป็นแก่งระดับ 3 - 4 เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ใน
การลอ่ งแกง่ ลอ่ งได้เฉพาะผ้ใู หญ่ มีผู้ดูแลอยา่ งดี ระยะทาง 5 กม. ใชเ้ วลา ในการล่อง 1.30 – 2 ช่ัวโมง
โปรแกรมที่ 3 โหด เป็นการล่องแก่งตลอดเส้นทางรวม 10 กม. ใช้เวลาในการล่องแก่ง 3 – 4
ชั่วโมง เหมาะสำหรบั ผู้ท่มี คี วามสามารถในการพายเรือ มีความพร้อมท้งั ทางดา้ นรา่ งกายและจติ ใจ
1.2 ล่องแกง่ โตนสะตอ
ล่องแก่งโตนสะตอ อยู่ในตำบลหนองธง อำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง น้ำตกโตน
สะตอท่เี ป็นแหลง่ ต้นน้ำหล่อเล้ยี งประชาชนท้ังอำเภอปา่ บอน มเี ส้นทางล่องแกง่ ระยะทาง 4 กม. ใช้เวลา
ล่องแก่ง 2.30 ชม. ราคา 150 บาทต่อหัว (สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพัทลุง, 2557) มีหนานหิน
และเกาะแก่งที่นักท่องเทีย่ วสามารถไปพิสูจน์ความสนุกกันได้ประมาณ 8 จุด อาทิ หุบเขาปีศาจ ธารสาย
เมืองแร่ (น้ำอุ่น) ธารบ่อเงิน บ่อทอง (น้ำอุ่น) ธารอเมซอน และวังน้ำเขียวซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดการล่องแก่ง
นอกจากนี้ยงั มที ี่พกั แบบโฮมสเตยจ์ ำนวน 7 หลงั นักทอ่ งเทยี่ วพกั ได้ 1 บัส ประมาณ 50 คน
สำนกั งานการท่องเท่ียวและกฬี าจงั หวดั สงขลา 192 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
2. นำ้ ตก
เนื่องจากพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาฝั่งทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้มีลักษณะเป็น
ภูเขาล้อม 3 ด้าน ดังน้ันในพื้นที่ดังกล่าวจึงมีน้ำตกจำนวนมาก โดยมีน้ำตกอยู่ในจังหวัดสงขลา 12 แห่ง
จังหวัดพัทลุง 19 แห่ง จังหวัดนครศรีธรรมราช 43 แห่ง รวมน้ำตกใน 3 จังหวัดลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
เปน็ 74 แหลง่ (lovethailand, 2555)
3. ผลไม้
เน่อื งจากทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบทีม่ ี 3 น้ำ ไดแ้ ก่ น้ำเค็ม นำ้ กรอ่ ย และนำ้ จืด ให้ดิน
และนำ้ ในบริเวณนี้มีคุณสมบัติพิเศษ สง่ ผลใหผ้ ลไม้ในรอบทะเลสาบสงขลาเป็นผลไม้ที่ได้รับน้ำที่ไม่เหมือนกับ
พื้นที่อื่น จนทำให้มีผลไม้หลายชนิดมีรสชาติดีกว่าพื้นที่อื่น เช่น จำปาดะขนุนเกาะยอ (มีเฉพาะในตำบล
เกาะยอที่เดียว) ละมุดเกาะยอ (หรือ ภาษาใต้เรียกว่า สะหวา) กระท้อนเกาะยอ สะท้อนท่านางหอม
ละมุดบางกลำ่ นอกจากนี้ยงั มพี ชื อ่ืนท่ไี มใ่ ช่ผลไม้ที่มชี ื่อเสยี ง และเปน็ พืชเฉพาะถน่ิ ไดแ้ ก่ สาหร่ายผมนาง
วถิ ีปา่
1. การแข่งขันนกกรงหัวจกุ
1.1 ความเปน็ มา
นกกรงหัวจุก มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า “นกปรอดหัวโขนเคราแดง” เป็นสัตว์คุ้มครอง
ประเภทนกที่เพาะพันธุ์ได้ ตามตำนานเล่ากันมาว่า ย้อนไป พ.ศ. 2410 ชนชาติแรกที่นำนกปรอดหัวจุก
มาเลีย้ ง คอื ชาวจนี นำมาเล้ียงแทนนกโรบิ้น ซึ่งเปน็ นกท่ีตกใจง่ายถึงขั้นช็อคตายคากรง ต่างจากนกกรงหัวจุก
ที่เล้ียงง่าย สีสนั สวยงาม เสียงเพราะ ตอ่ จากน้ันมาความนิยมเลีย้ งนกกรงหวั จุกได้แผข่ ยายไปยงั จนี อนิ เดยี
อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ลาว กัมพูชา จนถึงภาคใต้ของประเทศไทย (ดวงกมล โลหศรีสกุล, 2561) ใน
สมัยก่อนของภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส กระบี่ นครศรีธรรมราช นิยมนำ
นกกรงหัวจุกมาชนกันหรือตีกันเหมือนกับการชนไก่ คือ เอานกมาเทียบขนาดให้ใกล้เคียงกันแล้วจับใส่
กรงกลางที่มีขนาดใหญ่แล้วปล่อยให้นกทั้งสองตัวไล่จิกตีกันภายในกรงจนกว่าจะรู้แพ้รู้ชนะ สาเหตุที่เปน็
เชน่ น้ีก็เพราะวา่ นกปรอดหัวจกุ มนี สิ ัยดุร้ายและชอบไล่จกิ และตกี นั ตามธรรมชาติอยู่แลว้
การแข่งขันนกกรงหัวจุกได้มาเปลี่ยนแปลงไปเมื่อประมาณปี พ.ศ.2515 เพราะว่า
ชาวจังหวัดสงขลา มีแนวความคิดที่จะเปลี่ยนจากการตีกันมาเปน็ แบบแข่งขันประชันเสียง (มูลนิธิอนุรักษ์
ป่ารอยต่อ ๕ จงั หวดั , 2562) โดยเอาแบบมาจากการแข่งขันของนกเขาชวา คือนำนกป่าที่ต่อมาได้นำมา
เลี้ยงและฝกึ ให้เกิดความเชือ่ งกับคนเล้ียง พร้อมกบั ฝกึ ใหน้ กมคี วามสามารถในการร้องในลลี าตา่ งๆ ตามแต่
ที่นกในแต่ละตัวจะทำได้ การแข่งขันประชันเสียงของนกกรงหัวจกุ เริ่มมีผู้นิยมมากขึน้ เรื่อยๆ จึงได้จัดให้มี
การแข่งขันขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ. 2519 ที่สนามบริเวณหลังสถานีรถไฟเมืองหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา ซง่ึ ในการจัดคร้ังนัน้ ถือว่าเปน็ รายการใหญ่ทสี่ ุดในยุคน้ัน และได้ยกเลิกการแข่งขนั นกกรงหัวจุก
ในแบบตีกัน ต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2520 ทางจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้จัดให้มีการรวมกลุ่มผู้เลี้ยง
นกกรงหัวจกุ โดยจดั ตง้ั ข้นึ เป็นชมรม ซงึ่ ทำใหท้ ุกวนั น้ีมีชมรมต่างๆ เกิดข้ึนอยา่ งมากมาย
นกกรงหัวจุก มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า นกปรอดหัวโขนเคราแดง หรือนกพิชหลิว
ช่ือเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus Jocosus เป็นนกที่มีการคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวน
และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 17 ให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ วงศ์สกุล (GENUS) ของ
สำนักงานการท่องเทยี่ วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 193 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
นกปรอดมีมากมายหลายชนิด วงศ์นกปรอด (Family Pycnonotidae) เป็นนกที่มีชนิดมากท่ีสุด ซึ่งในแต่ละ
ชนิดก็มีเป็นจำนวนมาก และท่ีถูกค้นพบมากที่สุดคือประเทศฟิลิปปินส์ ส่วนในประเทศไทยมีรายงาน
การค้นพบนกปรอดทั้งหมดประมาณ 36 ชนิด โดยท่ีนกปรอดทั่วโลกมีประมาณ 109 ชนิด (มูลนิธิ
อนุรักษ์ป่ารอยตอ่ ๕ จังหวัด, 2562)
1.2 การแขง่ ขันประชันเสียง
สำหรับรูปแบบการแข่งขันประชันเสียงร้องของนกกรงหัวจุกมี 2 ลักษณะ (1) แข่ง
แบบสากล นั่นคือ จะเน้นที่ความงดงาม สมส่วน สำนวนการร้อง การแข่งขันจะใช้กรรมการ 3 คน ต่อชุด
รอบแรกจะคัดนกที่ไมร่ ้องออกจนจำนวนน้อยลงไปเรื่องๆ ยกที่ 4 จะเน้นไปทเ่ี สียงร้องเปน็ พิเศษ และ (2)
การแขง่ แบบ 4 ยก หรือ 5 ยก ใหใ้ ช้ยกท่ี 1 - 4 เป็นการคัดเลือกนกออก และยกที่ 5 คอื ยกสุดท้าย จะ
เนน้ ให้คะแนน นกทส่ี ามารถร้อง 3 พยางค์ขน้ึ ไป นกที่ลลี าดี รูปร่างดี จะไม่มีคะแนนให้ เรียกว่าการแข่งขันนก
แบบนี้ ไมเ่ นน้ เร่ืองความสวยงาม แต่จะเนน้ ท่ีน้ำเสยี งเพลงรอ้ ง (ดวงกมล โลหศรีสกุล, 2561)
2. การแขง่ ขันนกเขาชวาเสียง
2.1 ความเป็นมา
นกเขาชวามีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย (ชวา) มาเลเซีย ส่วนในไทยนั้นพบ
มากทางภาคใต้เมื่อ 70 ปีก่อน ซึ่งปัจจุบันถูกนำมาเล้ียงในประเทศและแพร่พันธุ์ได้ดีไปทุกภาคจนกลายเป็น
นกประจำถิ่น พบได้ในทุ่งโล่ง และป่าละเมาะ และมีพบในฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย นกเขาชวาเป็นสัตว์ปีก
ของป่าไม้ในประเทศไทย เป็นนกเขาที่มีขนาดเล็กมีเสียงขันไพเราะเป็นที่ชื่นชอบของคนท่ัวไป นอกจากนี้
ยังเชื่อถือกันว่า นกเขาชวา เป็นนกที่นำโชคลาภมาให้แก่ผู้เลี้ยงอีกด้วย อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ได้ชื่อว่า
เป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกเขาชวาเสียงที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในกลุ่ม ของผู้เลี้ยงนกเขาชวาทั้งในและ
ต่างประเทศ โดยปัจจุบันได้มีการรวมกลุ่มกันตั้งเป็นชมรมนกเขาชวาเสียง อำเภอจะนะข้ึน มีสมาชิก
ทั้งหมด 147 ราย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้เลี้ยงรายย่อยอีกหลายราย และแทบทุกหลังคาเรือนจะมีกรงนกเขา
แขวนไว้หนา้ บ้าน เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2498 ประชาชนชาวอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาและจังหวัดอื่นๆ
ได้ริเริม่ ทดลองการผสมพนั ธ์ุนกเขาเล็กสยามกันขึ้น แต่จากปัญหาการระบาดของโรคไข้หวัดนกเม่ือปี พ.ศ.
2547 ทำใหก้ ารสง่ ออกนกเขาชวาเสียงไปยงั ตลาดในประเทศมาเลเซยี และอนิ โดนเี ซียต้องหยุดชะงกั และ
เป็นในลักษณะการลักลอบส่งออก ปัจจุบันเลี้ยงกันมากในแถบทางภาคใต้ของประเทศไทยแถบจังหวัด
สงขลา สตูล พัทลุง ฯลฯ ความไพเราะของเสียงร้อง สามารถทำชื่อเสียงและราคาให้กับเจ้าของผู้เลี้ยง
มากมาย จนสามารถสร้างฐานะใหก้ บั เจ้าของผเู้ ล้ียงเป็นอยา่ งดแี ละเด๋ยี วนีน้ ยิ มเลน่ แพร่หลายไปหลายพ้ืนท่ี
ในประเทศไทยและตา่ งประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนเี ซยี บรูไน (กรมปศสุ ตั ว์, 2562)
2.2 กติกาการแขง่ ขันนกเขาชวาเสยี ง
สมาคมผู้เลี้ยงนกเขาชวาแห่งประเทศไทย กำหนดกตกิ าการแข่งขนั ดงั น้ี
1) เวลาแข่งขันใช้เวลาแข่งขัน 3 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 08:00 - 11:00 น. โดย
แบ่งการแข่งขนั เปน็ 2 ยกๆ ละ 90 นาทีดงั น้ี
ยกท่ี 1 เวลา 08:00 - 09:30 น.
ยกท่ี 2 เวลา 09:30 - 11:00 น.
2) นกทขี่ ันเขา้ หลักเกณฑ์กติกาการแข่งขันและได้รบั การพิจารณาในการตดั สนิ
(1) ขันจับตบั ยาวหรอื ขันตง่ิ คือขนั ตงั้ แต่ 15 คำขน้ึ ไป
(2) ขันกดหน้าเปิดปลายนยิ ม ไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 50 ของคำทข่ี นั
สำนักงานการท่องเทีย่ วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 194 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
3) ข้อพิจารณาอื่นในการให้คะแนนหรือจัดลำดับนกแต่ละประเภทให้ยึดถือตาม
ระเบยี บการแขง่ ขันของสมาคมดงั นี้
(1) พยางคห์ น้า จำนวน 20 คะแนน
(2) พยางคก์ ลาง จำนวนพยางค์ ความชัดเจนของพยางค์ จำนวน 10 คะแนน
(3) จงั หวะนอก จงั หวะใน จำนวน 10 คะแนน
(4) นำ้ เสียง จำนวน 20 คะแนน
(5) คณุ ภาพคำปลาย (คณุ ภาพและปริมาณปลายนิยม) จำนวน 30 คะแนน
(6) ความขันทน จำนวน 10 คะแนน
4) กรณีที่นกขันน้อยไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามข้อ 2 การตัดสินให้อยู่ในดุลพินิจของ
คณะกรรมการ
5) การพิจารณาตดั สินของกรรมการถอื เปน็ ข้อยุติ
วถิ ีนา
1. ประเพณที ำขวัญข้าว
พิธที ำขวญั ขา้ วเป็นพธิ กี รรมหนึ่งท่ีมีความสัมพนั ธก์ ับวิถีชาวนา แสดงให้เห็นถงึ ความเชื่อที่มี
ต่อ แม่โพสพ ซึ่งเป็นเทวดาประจำพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งปวงที่ชาวไทยเชื่อถือและกราบไหว้บูชามาตั้งแต่
โบราณ การทำขวัญข้าวเป็นการแสดงความนอบน้อมต่อแม่โพสพ เพื่อใหด้ ลบนั ดาลให้พืชพันธ์ุที่เพาะปลูก
มีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการทำนาครั้งต่อไปสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวนา
วา่ ขา้ วในนาจะปราศจากภยั ธรรมชาติและจะไมม่ แี มลงศตั รพู ชื ตา่ งๆ เขา้ มาทำร้ายต้นกลา้ ในนาข้าว
พิธีทำขวัญข้าวเป็นพิธีกรรมดั้งเดิม ที่มีในภูมิภาคที่มีการปลูกข้าวของประเทศไทย โดยใน
แต่ละภาคจะมกี ารทำขวัญข้าวไม่พร้อมกัน แตท่ พ่ี บมลี กั ษณะคล้ายกันคือ การทำขวญั ข้าวตอนข้าวตั้งท้อง
และการทำขวัญข้าวตอนขนข้าวขึ้นยุ้งแล้ว องค์ประกอบสำคัญของพิธีทำขวัญข้าวคือ แม่โพสพ และ
บทร้องทำขวัญข้าว โดยจะทำพิธีบูชาแม่โพสพด้วยอาหารหรอื เครื่องเซ่น ได้แก่ ข้าวปากหม้อ กล้วย อ้อย
เปน็ ตน้ (สถาบันปฏิบัตกิ ารชมุ ชนเพ่ือการศึกษาแบบบูรณาการ, 2557)
การทำขวัญข้าว ถือเป็นกลไกอย่างหน่ึงในการชว่ ยลดหรือบรรเทาความเครยี ดให้กับชาวนา
เนื่องมาจากการทำนาในแต่ละครั้งต้องลงทุนลงแรงจำนวนมาก ชาวนาจึงเกิดความไม่มั่นใจและรู้สึก
ไม่มั่นคงทางจิตใจว่าการทำนาในครั้งนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่จึงต้องอาศัยการทำขวัญข้าวเพื่อ
สร้างขวัญและกำลังใจให้กับตนเอง อย่างไรก็ตามปัจจุบันการทำขวัญข้าวค่อยๆ เลือนหายไปจากสังคม
ชาวนาไทย
หมอทำขวัญข้าว ถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทมากในพิธีกรรมผู้ทำหน้าที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็น
ผู้อาวุโสอยู่ในศีลในธรรมได้รับการยอมรับนับถือและเป็นแบบอย่างที่ดีของชาวบ้าน ด้วยบทบาทหน้าท่ี
อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับเทวดา สามารถพูดคุยเรียกเชิญแมโ่ พสพซึ่งถือเป็นเทวดา
ลงมาได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้และพิธีกรรมแก่คนรุ่นหลังเป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อ
การอนุรักษ์ความเชื่อและพิธีกรรมให้คงอยู่กับท้องถิ่นต่อไป พิธีกรรมนี้เป็นการสร้างความรู้สึกเป็น
กลุ่มพวกเดียวกันเนื่องจากได้ร่วมกันทำพิธี แต่เดิมโบราณทุกบ้านจะทำพิธีของตนเองสอดคล้องไปกับ
วิถีการดำรงชีวิตมีคนเฒา่ คนแก่ของตระกูลที่สามารถทำพธิ ีได้ คนที่มาร่วมคือกลุม่ เครือญาตคิ นรู้จักซึ่งถือ
เปน็ การสมานความสามัคคี ถงึ แม้ปัจจบุ นั มผี ู้สืบทอดพธิ ีกรรมน้อยลง จงึ เร่ิมเปลย่ี นแปลงจากการทำแต่ละบ้าน
สำนกั งานการท่องเที่ยวและกีฬาจงั หวดั สงขลา 195 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
เป็นการทำร่วมกันท้ังหมู่บ้าน ก็ถือว่าพิธีกรรมได้ช่วยหลอมรวมจิตใจของคนในชุมชนให้เป็นหน่ึงเดียว
ทำให้เกดิ ความรักความสามัคคีในหมู่คณะ
2. ประเพณกี วนขา้ วยาคู
2.1 ความสำคญั
เป็นความเชือ่ เกย่ี วเนือ่ งกบั พทุ ธประวตั ิ ตอนนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสยาคู เม่ือ
พระพุทธเจ้าเสวยแล้วก็ทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณ พุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราชมีความเชื่อว่า ข้าวยาคู
เปน็ อาหารทิพย์ ผู้ได้รบั ประทานจะมสี มองดี เกดิ ปัญญา มีอายยุ นื ยาวพลานามัยสมบรู ณ์ ผิวพรรณผ่องใส
และเปน็ ยาขนานเอกท่ีสามารถขจดั โรคร้ายไดท้ กุ ชนิด ท้งั ยงั บันดาลความสำเรจ็ สมความปรารถนาในส่งิ ที่คิดด้วย
(ประเพณไี ทยดอทคอม, 2562)
2.2 พธิ ีกรรม
๑) การเตรยี มบคุ ลากรที่สำคัญ
(๑) สาวพรหมจารี นุ่งขาวห่มขาว ต้องรับสมาทานเบญจศีลก่อนเข้าพิธีกวน
เพ่อื ความบรสิ ุทธ์ิ และความเป็นสิริมงคล
(๒) พระสงฆ์ สำหรับสวดชัยมงคลคาถา เตรียมด้ายสายสิญจน์โยงจาก
พระสงฆผ์ กู ไว้ที่ไม้กวน (ไม้พาย)
๒) พิธีกวน สาวพรหมจารีจับไม้กวน มีการลั่นฆ้องชัยตั้งอีโหย้ (โห่สามลา)
พระสงฆ์จะสวดชยันโตตงั้ แต่เริม่ กวน จนสวดจบถือวา่ เสรจ็ พธิ ี ซง่ึ ต่อไปชาวบ้านใครจะกวนก็ได้
๓) วิธีกวน ข้าวยาคูจะกวนประมาณ ๘-๙ ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ และจะต้องกวน
อยู่ตลอดเวลา เมื่อเร่ิมเหนียวจะใช้น้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวไว้เติมลงในกระทะ ข้าวยาคูจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ
เมอ่ื กวนเสร็จ และมกี ลิ่นหอมเครอ่ื งเทศ
2.3 สาระสำคญั
พิธกี รรมกวนขา้ วยาคใู ห้สาระสำคัญดังนี้
๑) ความสามัคคีของชาวบ้านในการกวนข้าวยาคู ซึ่งข้าวยาคูจะทำสำเร็จได้ด้วย
ความสามัคคี การปรองดองพร้อมเพรียงกัน ในการตระเตรียมเครื่องใช้และเครื่องปรุงซ่ึงมีมากกว่า ๕๐
ชนิด ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๓ วัน แต่ละครั้งจะกวนข้าวยาคูประมาณ ๑๐ กระทะ เตาไฟขุด ๑๐ เตา
และต้องมีคนกวนขา้ วยาคูอยตู่ ลอดเวลาประมาณ ๙ ชัว่ โมง เม่อื ขา้ วยาคเู ร่มิ เหนยี วหนดื จะหนักมากต้องใช้
แรงผชู้ ายกวน ชาวบ้านจึงตอ้ งรว่ มมอื กนั อย่างเข้มแข็ง การกวนข้าวยาคูจึงสำเรจ็
๒) การแบง่ ปนั ขา้ วยาคู โดยตักใสถ่ าดเกลยี่ ใหบ้ างๆ ตัดเปน็ ชิน้ นำไปถวายพระใน
วัดแจกจ่ายญาติมิตรที่มาร่วมในพิธีให้ทั่วทุกคน ที่เหลือจัดส่งไปยังวัดต่างๆ และนำไปฝากญาติมิตร
การแบ่งปันข้าวยาคูน้ีแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีความเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ต่อกัน เกิดความห่วงใยซึ่งกันและกัน
แม้ไมไ่ ด้มาร่วมกวนขา้ วยาคู ก็จะไดร้ บั ข้าวยาคูเปน็ ของฝากใหไ้ ด้รบั ประทานท่วั ถึงทุกคน
3. การแขง่ ขันชนโค
กีฬาชนวัว หรือ กีฬาชนโค เป็นกีฬาพื้นเมืองของภาคใต้ สำหรับในประเทศไทยอาจเป็น
ความนิยมที่เริ่มมาจากการเล้ียงวัวไว้บริโภคของชาวมุสลิม การแข่งขันกระทำโดยการปล่อยวัวหนุ่มท่ี
แข็งแรงให้พ้นจากคอก ให้วัวตัวผู้ทั้งสองฝ่ายตรงรี่เข้าปะทะกัน ใช้พละกำลังและอาวุธคือเขาเข้าต่อสู้
สัตว์ทั้งสองต้องใช้กำลังยืนหยัดต่อสู้ไม่ยอมถอยเพื่อชัยชนะ ส่วนใหญ่ของผู้ชมที่รายรอบรอชมการชนวัว
นั้น ล้อมรอบกันแน่นขนัดก็เพื่อต้องการเห็นชัยชนะและกำลังความแข็งแกร่งของวัวผู้ตัวที่ชนะ บางคนก็
สำนักงานการท่องเท่ียวและกฬี าจงั หวดั สงขลา 196 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
เลอื กทจี่ ะชมร่างกายที่สวยงามของววั ซง่ึ เปน็ สัตวท์ ่ผี ูกพันกับวถิ ีชวี ิตประจำวันของพวกเขา แต่ส่วนใหญ่มัก
เพิ่มการพนันขันต่อ เพ่ือเพิ่มการลุ้นและการเชียร์วัวตัวที่ชอบได้มากยิ่งขึ้น วัวที่นิยมใช้แข่งขันเป็นวัวที่มี
รูปร่างบึกบึนกำยำ เขา ส่วนหัว ลำตัว และขาหน้า ต้องแข็งแรง เมื่อวิ่งเข้าปะทะหัวชนกัน เสียงดังสนั่น
เมื่อตัวใดตัวหนึ่งไม่ยอมถอยหรือวิ่งหนี ก็ต้องชนกันจนฝ่ายใดฝา่ ยหน่ึงหมดแรงหรือได้รับบาดเจ็บจนพ่าย
แพไ้ ป ลานชนโคนิยมใชล้ านดนิ ท่กี วา้ งและทำคอกลอ้ มหรอื ทำให้มีคันดินล้อมรอบไว้เป็นสนาม
วิถเี ล
1. ประมงรมิ ฝ่ัง
การศึกษาสภาวะการทำการประมงและผลการจับสัตว์น้ำในทะเลสาบสงขลาในปี 2554
และ 2555 ของ วารินทร์ ธนาสมหวัง และอรัญญา อัศวอารีย์ (2556) พบว่า ชาวประมงมีบ้านเรือน
กระจายอยู่ตามริมรอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาจำนวน 11,193 ครัวเรือน โดยอาศัยอยู่ใน 54 หมู่บ้าน
34 ตำบล เครื่องมือที่ใช้ในการจับสัตว์น้ำมีทั้งหมด 13 ชนิด โดยเป็นเครื่องมือที่ใช้ในปี 2554 จำนวน
10 ชนิด และในปี 2555 จำนวน 11 ชนิด เครื่องมือประมงที่สำรวจพบ ได้แก่ ข่าย แห ไซนั่ง เบ็ด
โพงพาง ไซนอน ไซปลา ลอบปู โม๊ะระ ไซกุ้งนา ยอ แนด และกระบอกไม้ไผ่ ชนิดที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่
ไซนอน ข่าย และเบ็ด
การประเมินผลการจับสัตว์นำ้ จากการลงแรงทำการประมงในทะเลสาบสงขลา ในปี 2554
พบว่าปริมาณการจับสัตว์น้ำอยู่ที่ 12,564.26 ตัน เครื่องมือที่จับสัตว์น้ำได้มากที่สุด ได้แก่ ข่าย
6,752.40 ตัน รองลงมา ได้แก่ ไซนั่ง 2,706.41 ตัน และไซนอน 2,213.64 ตัน เครื่องมือที่มี
ประสทิ ธภิ าพในการจับสัตว์น้ำมากที่สุดได้แกย่ อและแห ซ่ึงมผี ลการจบั ต่อหน่วยการลงแรง (CPUE) เฉล่ีย
0.850 และ 0.251 กิโลกรัม/ชั่วโมง ตามลำดับ ในปี 2555 ปริมาณการจับสัตว์น้ำอยู่ที่ 14,146.24
ตัน โดยเครื่องมือที่จับสัตว์น้ำได้มากที่สุด ได้แก่ ข่าย 5,936.53 ตัน ตามมาด้วย ไซนั่ง 2,899.80 ตัน
ไซนอน 1,743.01 ตัน ลอบปู 1,961.32 ตัน และโพงพาง 1,055.66 ตัน ส่วนเครื่องมือที่มี
ประสิทธิภาพในการจับมากที่สุด ได้แก่แห ลอบปูและโพงพาง ซึ่งมีผลการจับสัตว์น้ำต่อหน่วยการลงแรง
เฉลี่ย 0.233, 0.153 และ 0.113 กิโลกรมั /ชัว่ โมง ตามลำดับ
การสำรวจชนิดและปริมาณสัตว์น้ำที่ท่าขึ้นสัตว์น้ำทั้ง 50 ท่า รอบทะเลสาบสงขลา
ปรากฏว่า ในปี 2554 สัตว์น้ำที่มีการซื้อขายระหว่างแม่ค้ากับชาวประมงมี 52 ชนิด ปริมาณรวม
1,373.45 ตนั ในปี 2555 สัตว์นำ้ ทม่ี กี ารซอื้ ขายระหว่างแม่ค้ากบั ชาวประมงมี 75 ชนิด ปรมิ าณทั้งส้ิน
1,586.70 ตัน ในปี 2554 และ 2555 ปริมาณสัตว์น้ำขึ้นที่ท่าเป็นผลผลิตจากทะเลสาบสงขลา
ตอนกลางมากทส่ี ดุ โดยมีสดั ส่วนรอ้ ยละ 37 ของปริมาณสัตว์น้ำขน้ึ ท่ีท่าท้ังหมดท้ัง 2 ปีผลผลิตจากทะเล
หลวง (ทะเลสาบตอนบน) มีสัดส่วนร้อยละ 30 และ 19 จากทะเลสาบตอนนอกร้อยละ 23 และ 36
และจากทะเลน้อยมสี ดั สว่ นนอ้ ยท่สี ดุ เพียงร้อยละ 10 และ 8 ในปี 2554 และ 2555 ตามลำดับ
สัตว์น้ำที่มีการซื้อขายที่ท่าขึ้นสัตว์น้ำในปี 2554 และ 2555 เป็นสัตว์น้ำที่มีการ
ปล่อยลูกพันธุ์ลงในทะเลสาบในปี 2553-2555 จำนวน 13 ชนิด จากที่ปล่อยจำนวนทั้งสิ้น 19 ชนิด
โดยเป็นสตั ว์น้ำทม่ี กี ารซ้ือขายในปี 2554 จำนวน 10 ชนิด และในปี 2555 จำนวน 12 ชนดิ แต่ชนิดที่
ผลผลิตเพิ่มขึ้นค่อนข้างชัดเจนจากการปล่อยลูกพันธุ์ในทะเลสาบ ได้แก่ กุ้งก้ามกราม กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย
ปลาดุกอุย ปลาตะเพียนขาว ปลาแขยงนวล และปลานวลจันทร์น้ำจืด ผลผลิตปูทะเลและปูม้าที่ขึ้นที่ท่า
ไมน่ า่ จะเป็นผลจากลูกปูท่ีปล่อยโดยตรง แตล่ ูกปูทป่ี ล่อยอาจเจรญิ เติบโตเป็นพ่อแม่พันธุ์และแพร่ขยายพันธ์ุใน
สำนกั งานการทอ่ งเท่ียวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 197 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
ทะเลสาบ ผลผลิตปลากะพงขาว ปลาหมอไทย ปลาชะโอน และปลาแก้มช้ำมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับ
จำนวนลูกปลาที่ปล่อย ส่วนพันธุ์ปลาที่ปล่อยในทะเลสาบแต่ไม่พบผลผลิตขึ้นที่ท่า ได้แก่ ปลาลำปำ ปลาบ้า
ปลาตะเพยี นทอง ปลาดุกดา้ น ปลาดกุ ลำพัน และปลาแรด
2. เสอ่ื กระจดู
เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ทะเลน้อยมีสภาพเป็นป่าดงดิบ พื้นที่บางแห่งเป็นป่าพรุมีน้ำท่วมขัง
ตลอดปี มีพืชพันธไุ์ มน้ านาชนิดเป็นแหล่งที่อยู่อาศยั ของสัตวป์ ่าและเป็นแหล่งปลาน้ำจืดท่ีสำคัญ ชาวบ้าน
ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการประมงและทำนาเป็นหลัก ในยามว่างมีการจักสานเสื่อที่ทำด้วยกกไว้
สำหรับใช้ในครัวเรือน เล่ากันว่าภูมิปัญญาในการจักสานนี้สืบทอดมาตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย นับ 100 ปี
มาแลว้ แตภ่ มู ิปญั ญาในการจักสานด้วยกระจูดเท่าทสี่ ามารถบันทึกเป็นหลักฐานได้เร่ิมจากครอบครวั 3 พี่น้อง
สกุล รักษ์จุล ประกอบด้วยนายกลับ- นางกลั่น นายจับ – นางคล้าย และนายลาภ -นางเลื่อน อพยพมา
จากบ้านผาสุก ตำบลแหลมตีน อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช มาตั้งรกรากในพื้นที่ตำบลทะเลน้อย
พร้อมทั้งนำภูมิปัญญาในการจักสานด้วยกระจูดทำเป็นของใช้ในครัวเรือน เช่น เสื่อ กระสอบนอน
กระสอบนั่ง โดยนำกระจูดมาจากตำบลเคร็ง อำเภอชะอวด จังหวดั นครศรธี รรมราช เนอ่ื งจากของใช้ที่ทำ
ดว้ ยกระจูดมีความนุ่มและสวยงามกวา่ ของท่ที ำจากกก ชาวบ้านในตำบลจึงหันมาจักสานกระจูดบ้างซ่ึงมัก
จักสานเป็นเสื่อสำหรับปูนั่ง นอน ชาวบ้านเรียกว่า สาด นอกนี้ยังสานเป็นสอบหนาดใช้เป็นภาชนะใส่ถา่ น
และใช้สำหรับทารกแรกเกิดนอน และสานเป็นกระสอบนอนเพื่อใช้สำหรับใส่ข้าวสารและข้าวเปลือก เป็นต้น
(เทศบาลตำบลพนาตงุ , 2562)
ชาวทะเลน้อยจึงเริ่มเก็บเกี่ยวกระจูดมาจักสาน ซึ่งแหล่งที่มีกระจูดมากที่สุดคือ พรุควนเคร็ง
ตำบลเคร็ง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ในแต่ละวันจะเห็นเรือถ่อเรือแจวของชาวทะเลน้อย
มุ่งหน้าไปตัดกระจดู ท่ีพรุควนเคร็ง นับรอ้ ยลำ จนกระทงั่ ชาวตำบลเคร็งไดห้ า้ มตัดกระจดู เพราะทำให้โคน
กระจูดเน่าและทำให้ต้นกระจูดตายแต่อนุญาตให้ถอนได้ กำนันสุก ทองพูลเอียด กำนันตำบลพนางตุง
ในสมัยนั้นไดช้ กั ชวนชาวบ้านไปขดุ หวั กระจูดที่ตำบลเคร็งมาปลูกท่ีทะเลน้อยแต่ชาวบ้านก็ยังคงเดินทางไป
ถอนกระจูดเรื่อยมาเนื่องจากมีปัญหาเรื่องศัตรูพืช ได้แก่ นกพริก ซึ่งเป็นสัตว์สงวนมักเข้าทำลายจิก
ถอนหัวออ่ นของกระจูด และในชว่ งหนา้ นำ้ นำ้ มักท่วมพน้ื ที่ปลกู กระจูดทำให้หัวกระจูดเนา่ เปื่อย และตาย
ในท่สี ุด
ต่อมาในปี พ.ศ. 2502 ผูใ้ หญค่ ง อรุณรตั น์ ผใู้ หญย่ ก นวลแกว้ นายขาว ชทู อง และนายแคล้ว
ทองนวล ผู้นำตำบลทะเลนอ้ ย ได้รว่ มกันปลกู กระจูดอยา่ งจริงจังโดยนำหวั กระจูดจาดควนเคร็ง มาปลูกริม
ทะเลน้อยโดยรอบซึ่งได้ผลค่อนข้างดี ชาวบ้านตำบลทะเลน้อยจึงหันมาจักสานกระจูดเป็นเคร่ืองใช้ใน
ครัวเรือนกันแทบทุกครัวเรือนจนกระท่ังมีการซื้อขายกันทั้งในและนอกหมู่บ้าน ตำบล ทำให้เกิดรายได้
เป็นกอบเปน็ กำ ชาวบ้านจึงยดึ การจกั สานกระจูดเปน็ อาชีพหลักตัง้ แตน่ ้ันมา
ลักษณะที่โดดเด่นของผลิตภัณฑ์กระจูด จะมีความนุ่มและสวยงามคงทนทำจากวัสดุ
ท้องถิ่นซึ่งหาได้ในธรรมชาติ ย้อมสีตามต้องการ เน้นดอกและลวดลายของผลิตภัณฑ์ ตามความต้องการ
ของตลาด ฝมี อื ปราณตี รูปแบบสวยงามทนั สมยั มคี ุณภาพคงทน
ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นความรู้ ความสามารถและทักษะดั้งเดิมของประชาชนในท้องถิ่นท่ี
ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นองค์ความรู้ของปราชญ์ชาวบ้านท่ี
ได้รับการถ่ายทอดต่อกันมาจึงทำให้คนในชุมชนมีความผูกพันเหมือนญาติพี่น้องอย่างเหนียวแน่น ประกอบกับ
การผสมผสานกบั องคค์ วามรู้ใหม่ได้อย่างเหมาะสมกบั สถาพท้องถนิ่ “ภูมปิ ญั ญาท้องถ่ิน” จึงเป็นสิ่งสำคัญ
สำนกั งานการทอ่ งเทยี่ วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 198 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
มีคุณค่าควรได้มีการบันทึกเพื่อการอนุรักษ์และถ่ายทอดต่อชุมชนรุ่นหลังสืบไป นอกจากนี้ยังช่วยสร้าง
สมั พันธข์ องสมาชกิ ภายในครอบครวั และในกลุ่มสมาชิกใหแ้ น่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะทกุ คนต่างช่วยกันถักสาน
กระจูดกนั อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างต่อเน่อื ง
3. รงั นกนางแอ่น
ผลิตผลรังนกเป็นสินค้าที่ทำเงินมาให้กับผู้คนในพื้นที่ภาคใต้และประเทศไทย เป็นจำนวน
ไม่น้อย ผลิตผลรังนกนับเป็นสินค้าทีม่ ูลค่าสงู ในตลาดต่างประเทศ และทำกำไรใหก้ ับผู้ประกอบการลงทนุ
อย่างง่ายดาย โดยอาศยั การลงทุนต่ำ แต่น่าแปลกทย่ี งั ไมม่ ีผู้เข้าไปศึกษาเรื่องราวของผลิตผลรังนกเลยว่ามี
ความสำคัญต่อเศรษฐกิจในภาคใต้อย่างไร ดังนั้นเรื่องของผลิตผลรังนก จึงยังเป็นสินค้าเศรษฐกิจของ
ภาคใตท้ ่มี ีประวัตอิ ันเร้นลบั และมคี วามนา่ สนใจใหเ้ ข้าไปศกึ ษาเปน็ อย่างยิ่ง เร่ืองของผลิตผลรังนกดูเหมือน
จะเริ่มต้นเมื่อชาวจีนได้นำรังนกชนิดหนึ่งมาบริโภค โดยชาวจีนเชื่อว่ารังนกชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยบำรุง
ร่างกาย ทำใหม้ สี ุขภาพแข็งแรง
หลายพื้นท่ีในประเทศไทยท่มี รี ะบบนิเวศวิทยาอดุ มสมบูรณ์ เป็นแหลง่ ทีอ่ ยู่อาศัยชุกชุมของ
นกนางแอ่น เช่น หมู่เกาะสี่ เกาะห้า เป็นหมู่เกาะหินปูนอยู่ในทะเลสาบสงขลา เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มี
ความสำคัญของอำเภอปากพะยูน เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ทำรังนกนางแอ่นกินรัง ซึ่งสามารถทำ
รายได้ใหก้ ับท้องถ่ินเป็นอย่างมาก รงั นกท่นี ีถ่ ือวา่ มีคุณภาพดีทีส่ ุดในโลกเพราะนกทน่ี ี่กินอาหารท่ีอุดมสมบูรณ์
เนอื่ งจากหมู่เกาะแห่งนต้ี ั้งอยกู่ ลางทะเลสาบสามน้ำ คอื น้ำเคม็ น้ำจืด น้ำกร่อย ทำให้รังนกขาวสะอาด มี
ขนาดใหญ่และมีคุณภาพ และเนื่องจากหมู่บ้านเพ็งอาด เกษตรกรส่วนใหญ่มีอาชีพกรีดยางเป็นหลัก
ช่วงเวลากลางวัน และในช่วงฤดูฝนจะมีเวลาว่างมาก อีกทั้งในเขตพื้นที่ของอำเภอปากพะยูนก็มีแหล่งที่มี
รังนกนางแอ่นของเกาะสี่เกาะห้าเป็นจำนวนมาก จึงเกิดการรวมตัวข้ึนเพื่อที่จะใช้ภูมิปัญญาใน
กระบวนการแปรรูปผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มรังนกเพื่อสุขภาพ จึงได้กำเนิดกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้าน
เกษตรกรบ้านเพ็งอาด หมู่ที่ 11 ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูนจังหวัดพัทลุง (ภัทราพร สุวรรณภูมิ
จติ ติมา ดำรงวฒั นะ อดุ มศักด์ิ เดโชชยั และเดโช แขนำ้ แก้ว, 2561)
4. โฮมสเตย์กลางนำ้
นับตั้งแต่มีสะพานติณสูลานนท์เช่ือมต่อระหว่างเกาะยอกับแผ่นดินใหญ่ กระแสการท่องเที่ยว
เชิงอนุรักษ์ก็ได้ข้ามทะเลสาบมาถึง “เกาะยอ” อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา และทำให้เกาะยอไม่ได้โดด
เดี่ยวอีกต่อไป จากเดิมนักท่องเที่ยวท้ังในและต่างถิ่น นิยมข้ามสะพานมารับประทานอาหารทะเลสดๆ
โดยเฉพาะปลากะพง ท่ีเป็นทยี่ อมรบั ของผ้บู ริโภค รอบเกาะยงั มวี ัด โบราณสถานเก่าแก่ ของท่รี ะลกึ ทง้ั ผ้า
ทอเกาะยอ ผลไม้ประจำถิ่น เช่น จำปะดะ ละมุดหรือที่ชาวบ้านเรียกลูกสวา เป็นต้น ติดไม้ติดมือเป็นของ
กินของฝากตอ่ ไป (ผจู้ ัดการออนไลน์, 2561)
ในเวลาต่อมา การท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับที่เกาะยอก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อมีการสร้าง
บ้านพักหรือ “โฮมสเตย์” ที่ยื่นออกไปในทะเลสาบ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อนกันเป็น
ครอบครัว รือหมู่คณะ จนได้สร้างกระแสตอบรับเป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะมีพื้นที่ส่วนตัวในการทำ
กิจกรรมแล้ว ยังได้รับบริการเสริมจากเจ้าของโฮมสเตย์ พานั่งเรือล่องชมธรรมชาติ วิถีชีวิต และการทำ
ประมงพ้นื บา้ นของชาวเกาะยอ
แตเ่ ดมิ ชาวบ้านทีน่ ที่ ำการประมงเป็นอาชีพหลักอยู่แล้ว และตอ่ มามีการเล้ยี งปลาในกระชัง
โดยเฉพาะ “ปลากะพงสองน้ำ” ของที่นี่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จึงเลี้ยงกันรอบเกาะ ยิ่งปัจจุบันมี
การสร้างโฮมสเตย์เข้ามาเสริม ทำให้สามารถสรา้ งงาน สรา้ งรายไดใ้ ห้แก่ชาวเกาะยอเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำ
สำนกั งานการทอ่ งเที่ยวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 199 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
โดยผู้ที่เป็นเจ้าของหรือผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ เมื่อมีโฮมสเตย์ผุดขึ้นมากมายเช่นนี้
แน่นอนปัญหาก็ย่อมตามมาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการบุกรุกที่สาธารณะ ส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดลอ้ ม จึง
ทำให้เกิดคดีความตามมาจนถึงขั้นฟ้องร้องกันขึ้นระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบการ แม้ว่า
ปัจจุบันศาลจังหวัดสงขลา ได้มีคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ผิดกฎหมายออกจากพื้นที่ ตั้งแต่ปี 2555
แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังพบว่า มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การบังคับใช้กฎหมาย
การรื้อถอนโฮมสเตย์บางส่วนที่ยังยืดเยื้อ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ประกอบการขอความเห็นใจจาก
คณะกรรมการจัดระเบียบเกาะยอฯ โดยมีการผ่อนผันการรื้อถอนออกไปประมาณ 2 - 3 ปี เพื่อให้
ผ้ปู ระกอบการได้คนื ทุนจากเงินท่ีลงทนุ ไปประมาณ 8 แสนบาท ตอ่ โฮมสเตย์ 1 หลงั
โฮมสเตย์เกาะยอเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวอีกแบบหนึ่ง ลักษณะเป็นเรือนพักกลางน้ำ มีท่ี
พักเป็นแบบโฮมสเตย์ตากอากาศ ภายในของมีห้องแยกเป็นสัดส่วน มีลานนั่งเล่น สำหรับกิจกรรม
นันทนาการ หรือร้องคาราโอเกะ มีหอ้ งนอน หอ้ งครวั เตาแกส็ อุปกรณท์ ำครัวแบบครบครนั หอ้ งน้ำ สว่ นใหญ่
จะนิยมไปตกปลากัน พร้อมกับทำกับข้าว พูดคุย ทำกิจกรรมร่วมกัน มีเตาปิ้งย่างอาหารทะเล นั่งชม
พระอาทิตยต์ กน้ำในยามเย็น นั่งตากอากาศกลางทะเลในยามคำ่ คืน
กจิ กรรมในการพักในโฮมสเตย์ประกอบด้วย นงั่ ตกปลาบนเรือนแพส่วนตัว บริการนำเที่ยว
รอบเกาะ ชมการทอผ้าพนื้ เมอื งเกาะยอ ชมตลาดเกาะยอ วดั โบราณ สวนผลไม้เกาะยอ รอ้ งคาราโอเกะทั้ง
คืน ทำครัว เตาปิ้งย่างอาหารทะเล ทำกิจกรรมในยามค่ำคืน ประชุม สัมมนา รับน้องใหม่ นั่งเล่นดนตรี
หรือปาร์ตย้ี ามคำ่ คืน (UNSEEN IN THAI, 2557)
โฮมสเตย์เกาะยอ แม้จะเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวท่ีสร้างรายได้ให้กบั ชุมชน และเป็นสถานที่
ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสงขลา แต่รูปแบบการจัดการที่เป็นปัญหาเรื้อรัง ทั้งเรื่องของเสียงดัง รวมถึง
ผลกระทบทางด้านสิง่ แวดล้อม และทส่ี ำคญั คอื ปญั หาการรุกลำ้ น่านน้ำทะเลสาบสงขลา คอื ประเด็นหลักที่
จำเปน็ ตอ้ งไดร้ บั การแก้ไขโดยเรว็ ท่สี ดุ (thaipbs news, 2562)
เพ่อื เป็นการบรรเทาปัญหาขา้ งตน้ ศาลปกครองสงขลา มีคำสัง่ เกี่ยวกบั วธิ กี ารช่ัวคราวก่อน
การพิพากษา ให้ทุเลาการบังคับตามคำส่ังของผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 4 และผู้อำนวยการ
สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสงขลา (ผู้ถูกฟ้อง) ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา กรณีมีคำสั่งให้
ประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมทะเลสาบสงขลาดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างล่วงล้ำลำน้ำให้แล้วเสร็จ
ภายใน 180 วันไว้ก่อนเป็นการช่ัวคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ศาลปกครองสงขลา เห็นว่าการให้
คำสั่งดังกล่าวมีผลใช้บังคับในทันที จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประชาชนกลุ่มที่พิพาท ที่
ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังมากกว่าผลกระทบรุนแรงต่อสงั คม ประกอบกับเมื่อพิจารณาคำชี้แจง
ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ซ่ึงระบุว่าเมื่อพิจารณาจากสภาพสิ่งปลูกสร้างโฮมสเตย์มีที่ตั้งใกล้ริมฝั่งทะเลสาบ
สงขลา โดยเป็นพื้นทนี่ ำ้ ตื้นเขนิ อนั ประชาชนไม่สามารถใช้ในการสญั จรทางน้ำได้
5. ปลา 3 นำ้
สตั ว์น้ำในทะเลสาบสงขลาหลายชนิดเป็นสตั ว์น้ำเฉพาะถ่นิ และมรี สชาติเฉพาะ ทำให้เป็นที่
นิยมของคนทง้ั ในพน้ื ที่และต่างถน่ิ ปลาที่เปน็ ที่รู้จกั และมีช่อื เสียงได้แก่ ปลาหัวโม่ง ปลาหวั อ่อน ปลาแขยง
ปลาแมว ปลากะพง ปลาข้ตี ัง ปลาท่องเทีย่ ว ปลาแป้น ปลาดุกทะเล ปลากดทะเล เป็นต้น
การศกึ ษาของวนิ ัย ปราณสขุ และศักดิ์อนนั ต์ ปลาทอง (2552) พบว่าในทะเลสาบสงขลา
และพืน้ ทใี่ กล้เคียงมีพนั ธุ์ปลา 450 ชนิด ซงึ่ หลายชนดิ เป็นปลาท่ีมีความสำคัญทางเศรษฐกิจและชุกชุมใน
ทะเลสาบสงขลา เช่น ปลากะรัก ปลากระบอก ปลากะพงขาว ปลาเห็ดโคน ปลากดทะเล ปลาตะเพียน
สำนักงานการทอ่ งเทย่ี วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 200 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ปลาบู่ เป็นต้น จากรายงานการสำรวจของไพโรจน์ และคณะ (2537, อ้างถึงใน วินัย ปราณสุข และ
ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง, 2552) พบว่าในทะเลสาบสงขลามีสัตว์น้ำจำพวกปลาถึง 466 ชนิดแบ่งเป็น
ปลากระดูกออ่ น 10 ชนิด และปลากระดูกแข็ง 456 ชนิด
วถิ ีโหนด
วถิ ีชวี ิตพ้ืนบ้านท่ีอยู่รว่ มกับธรรมชาตนิ ้ัน อาจเกิดเป็นภูมิปัญญาสำคัญของชุมชน ท่ีมีส่วนช่วย
ในการพัฒนาอาชีพ ตลอดจนการอนุรักษ์ทรัพยากรในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ดังเช่นพื้นที่ 3 ตำบลคือ
ตำบลท่าหิน ตำบลคขู ุด และตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ จงั หวดั สงขลา ซง่ึ เป็นพ้นื ที่ที่มีต้นตาลโตนดอยู่
เป็นจำนวนมาก ไพฑรู ย์ ศิรริ ักษ์ หวั หน้าสำนกั งานวทิ ยาลยั ภูมิปัญญาชุมชน มหาวิทยาลยั ทักษณิ กล่าวว่า
ตน้ ตาลโตนด เป็นพชื สารพัดประโยชน์อย่างหนึ่งที่อย่เู คยี งคู่กบั วิถชี ีวิตการเกษตรของคนไทยต้ังแต่โบราณ
จนถึงปัจจุบัน ตาลโตนดมีทั้งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมีการขยายพันธุ์โดยการนำมาปลูกในพื้นที่
การเกษตรทุกภาค โดยเฉพาะบนคาบสมุทรสทิงพระ จังหวัดสงขลา ที่มีต้นตาลโตนดมากกว่า 3 ล้านต้น
ซึง่ ถอื ว่ามากที่สุดในประเทศไทย (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2553)
มีการนำสว่ นตา่ งๆ ของตน้ ตาลโตนดมาใช้ประโยชนอ์ ย่างหลากหลายและคมุ้ ค่า โดยขณะน้ี
ไดพ้ ยายามรวบรวมขอ้ มูลการใช้ประโยชนจ์ ากสว่ นตา่ งๆ ของตาลโตนดร่วมกับภมู ิปญั ญาชาวบา้ นในชุมชน
ตา่ งๆ บนคาบสมุทรสทิงพระมานานรวม 10 ปี ทำใหข้ ้อมลู ของงาน “100 ประโยชนต์ าลโตนดไทย” ใน
“วิถีโหนด นา เล ของคาบสมุทรสทิงพระ” มีความก้าวหน้าและหลากหลายมากขึ้น รวมท้ังจะเสริมสร้าง
ความรู้ สรา้ งสำนกึ ใหเ้ ยาวชนเหน็ ถึงคุณคา่ ประโยชนข์ องตาลโตนด และหวงแหนต้นตาลโตนดใหอ้ ยู่เคียงคู่
กบั สังคมและวิถีชีวิตของคนไทยต่อไป
"วิถีโหนด” วิถีชีวิตชาวบ้าน และภูมิปัญญาของคนในพ้ืนที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลานั้น ยึด
อาชีพหลักดว้ ยการผลิตภัณฑ์จากตาลโตนด เป็นวถิ ีชวี ิตทเี่ ป็นเอกลักษณ์เฉพาะถ่ินท่ีไม่เหมือนใคร แต่มากด้วย
เสนห่ ์ทีร่ อให้ผคู้ นไดส้ ัมผัสและเรยี นรวู้ ิถีชีวติ ของชาวตำบลท่าหิน ตำบลคขู ุด และ ตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ
จังหวดั สงขลา ที่ผูกพันกบั ต้นไมช้ นดิ น้ีมาเป็นเวลาหลายชวั่ อายุคน
สำนกั งานการท่องเท่ียวและกฬี าจงั หวดั สงขลา 201 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
สำนกั งานการทอ่ งเท่ยี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 202 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
บทท่ี 7 ศกั ยภาพด้านการทอ่ งเที่ยว
อุปสงคก์ ารท่องเท่ียว
1. จำนวนนักท่องเทยี่ วท่เี ดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างตอ่ เนอ่ื ง
สถานการณ์ ข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเท่ียวในประเทศไทยตั้งปี พ.ศ.
2555-2560 พบว่าปี พ.ศ. 2555 มนี ักทอ่ งเทยี่ ว 26.5 ลา้ นคน ปี พ.ศ. 2556 มจี ำนวนนักท่องเที่ยว
ลดลงเหลือ 24.8 ล้านคน หรือลดลงร้อยละ 16.55 หลังจากนั้นปี พ.ศ. 2557 - 2560 จำนวน
นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอยา่ งต่อเนื่อง จนในปี พ.ศ. 2560 มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 35.6 ล้านคน โดยมี
อัตราขยายตัวจากปีก่อนหน้าร้อยละ 7.10 และเมื่อพิจารณาถึงเส้นทางหรือวิธีการเข้าประเทศไทยของ
นักท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งหมด 3 เส้นทาง ประกอบด้วย ทางอากาศ ทางบก และทางน้ำ พบว่า ในปี พ.ศ.
2560 นักท่องเที่ยว 30.1 ล้านคน หรือร้อยละ 84.61 เดินเข้าประเทศโดยทางอากาศ รองลงมาเป็น
ทางบก และทางน้ำ ตามลำดับ โดยนักท่องเที่ยวที่เข้ามาทางบก ส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศ
เพอื่ นบา้ น และส่วนมากเกอื บ 3.5 ล้านคนจาก 5 ล้านคน เปน็ นกั ท่องเท่ยี วจากประเทศมาเลเซีย
ผลกระทบ นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางโดยทางอากาศแม้จะมีปริมาณที่เพิ่มข้ึน
แตเ่ ป้าหมายการทอ่ งเทย่ี วไมไ่ ดเ้ ป็นจังหวัดลมุ่ น้ำทะเลสาบสงขลา
แนวทางการพัฒนา ประชาสัมพันธก์ ารทอ่ งเท่ียวของจังหวดั ในลุม่ นำ้ ทะเลสาบสงขลา เชน่
ร่วมมือกับสายการบิน ส่อื สารการท่องเท่ยี วหลายภาษาผ่านระบบเครือข่าย
ภาพที่ 86 จำนวนนักทอ่ งเท่ียวตา่ งประเทศทีเ่ ดนิ ทางเข้าประเทศไทย
ทมี่ า: ศูนย์วิจัยด้านการตลาดการท่องเทีย่ ว, 2562.
สำนกั งานการทอ่ งเทย่ี วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 203 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
ภาพท่ี 87 จำนวนนักท่องเท่ียวจำแนกตามเส้นทางการเขา้ ประเทศ
ทีม่ า: ศูนย์วจิ ัยดา้ นการตลาดการท่องเทย่ี ว, 2562.
2. จำนวนนักทอ่ งเท่ียวจำแนกตามประเทศ
เมื่อเปรียบเทียบจำนวนนักทอ่ งเทยี่ วจากประเทศต่างๆ ระหว่างปี พ.ศ. 2559 กับ 2560
พบว่านักท่องเทีย่ วจากประเทศจีนมีจำนวนมากที่สุดถึงเกือบ 10 ล้านคน รองลงมาเป็นประเทศมาเลเซยี
ในขณะที่ประเทศเกาหลีใต้ ลาว ญี่ปุ่น อินเดีย รัสเซีย มีนักเที่ยวรองลงมาตามลำดับ เมื่อพิจารณา
อัตราการขยายตัว พบว่าประเทศรัสเซียมีอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างสูงประมาณร้อยละ 24 รองลงมา
เป็นประเทศลาวอินเดีย และเกาหลีใต้ ตามลำดับ ในกรณีประเทศในกลุ่มอาเซียน พบนักท่องเที่ยวจาก
ประเทศมาเลเซียมาเทีย่ วมากท่ีสุด รองลงมาเป็นประเทศลาว สิงคโปร์ เวียดนาม ตามลำดับ โดยประเทศ
กัมพูชามีอัตราการขยายตัวสูงที่สุด ประมาณร้อยละ 23 รองลงมาเป็นประเทศลาว ฟิลิปปินส์ และ
เวยี ดนาม ตามลำดับ
สำนกั งานการท่องเทย่ี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 204 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ภาพที่ 88 จำนวนนกั ทอ่ งเท่ียวจาก 10 ประเทศแรก
ทีม่ า: ศนู ย์วจิ ัยด้านการตลาดการท่องเท่ยี ว, 2562.
ภาพที่ 89 จำนวนนกั ท่องเท่ียวจากประเทศในกลุ่มอาเซยี น
ท่มี า: ศูนยว์ ิจัยดา้ นการตลาดการท่องเที่ยว, 2562.
3. จำนวนนักท่องเทย่ี วผา่ นด่านในพนื้ ที่ภาคใตต้ อนล่าง
ด่านตรวจคนเข้าเมืองในพื้นท่ีภาคใต้ที่สำคัญประกอบด้วย ด่านท่าอากาศยานนานาชาติ
หาดใหญ่ ด่านสะเดา ด่านปาดังเบซาร์ ด่านสุไหงโก-ลก ด่านตากใบ ด่านเบตง ด่านควนโดน (วังประจัน)
ด่านสตูล (ตำมะลัง) โดยมีนักท่องเที่ยวผ่านด่านต่างๆ ในปี พ.ศ. 2560 จำนวน 2.6 ล้านคน ลดลงจากปีก่อน
สำนกั งานการทอ่ งเทย่ี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 205 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
หน้าเล็กน้อย โดยด่านที่มีนักเท่ียวผ่านมากที่สุดคือ ด่านสะเดา ประมาณ 1.4 ล้านคน รองลงมาเป็นด่าน
ปาดังเบซาร์ และด่านสุไหงโก-ลกตามลำดบั นักท่องเที่ยวที่ผา่ นด่านเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยว
จากประเทศมาเลเซีย รองลงมาเป็นนักท่องเทีย่ วจากประเทศจีน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน
มีอัตราการขยายตัวที่สูงมาก โดยเฉพาะการผ่านด่านท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ ที่มีอัตราการขยายตัว
สูงถึงร้อยละ 319
ภาพท่ี 90 จำนวนนักทอ่ งเที่ยวชาวต่างประเทศผา่ นด่านภาคใต้ตอนลา่ ง
ท่ีมา: ศนู ย์วิจยั ด้านการตลาดการท่องเทยี่ ว, 2562.
ภาพที่ 91 จำนวนนกั ทอ่ งเท่ียวชาวตา่ งประเทศผ่านด่านภาคใตต้ อนล่างแยกตามด่าน
ที่มา: ศนู ยว์ ิจัยดา้ นการตลาดการท่องเท่ยี ว, 2562.
สำนกั งานการท่องเท่ียวและกีฬาจงั หวดั สงขลา 206 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ภาพท่ี 92 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวตา่ งประเทศผ่านด่านท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่
ทมี่ า: ศนู ยว์ ิจยั ดา้ นการตลาดการท่องเทีย่ ว, 2562.
ภาพท่ี 93 จำนวนนักทอ่ งเที่ยวชาวต่างประเทศผ่านดา่ นปาดงั เบซาร์
ทม่ี า: ศูนยว์ จิ ัยดา้ นการตลาดการท่องเที่ยว, 2562.
สำนักงานการทอ่ งเทีย่ วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 207 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
ภาพที่ 94 จำนวนนักทอ่ งเที่ยวชาวต่างประเทศผา่ นด่านสะเดา
ที่มา: ศูนย์วิจัยด้านการตลาดการท่องเทย่ี ว, 2562.
ภาพที่ 95 จำนวนนักทอ่ งเท่ียวชาวตา่ งประเทศผ่านด่านเบตง
ทีม่ า: ศูนย์วิจัยดา้ นการตลาดการท่องเท่ยี ว, 2562.
สำนกั งานการทอ่ งเทีย่ วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 208 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 96 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศผ่านด่านสุไหง โก-ลก
ท่ีมา: ศูนย์วจิ ยั ดา้ นการตลาดการทอ่ งเทย่ี ว, 2562.
ภาพที่ 97 จำนวนนกั ท่องเที่ยวชาวตา่ งประเทศผ่านดา่ นตากใบ
ท่มี า: ศนู ย์วิจัยดา้ นการตลาดการท่องเทยี่ ว, 2562.
สำนกั งานการทอ่ งเท่ียวและกีฬาจงั หวดั สงขลา 209 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพที่ 98 จำนวนนักท่องเท่ียวชาวต่างประเทศผา่ นดา่ นสตูล (ทำมะลัง)
ท่มี า: ศนู ยว์ จิ ยั ดา้ นการตลาดการทอ่ งเท่ยี ว, 2562.
ภาพที่ 99 จำนวนนักทอ่ งเท่ียวชาวต่างประเทศผา่ นด่านควนโดน
ทมี่ า: ศูนย์วิจัยดา้ นการตลาดการท่องเที่ยว, 2562.
ผลกระทบ เป้าหมายของนักท่องเที่ยวที่ผ่านด่านในภาคใต้จากประเทศมาเลเซีย 3 พื้นที่
เป้าหมายแรกคอื จังหวดั สงขลา (รอ้ ยละ 64.89) กรุงเทพฯ (รอ้ ยละ 25.24) ภูเกต็ (รอ้ ยละ 5.36) รอ้ ย
ละ 90 ของนกั ท่องเทีย่ วมาเลเซียเป็นการเดินทางมาเอง (ไมผ่ ่านบริษทั นำเที่ยว)
แนวทางการพัฒนา พฒั นากลยุทธ์ในการประชาสัมพันธร์ ูปแบบการท่องเท่ียวในพื้นที่ลุ่มน้ำ
ทะเลสาบสงขลา เชื่อมโยงเส้นทางการท่องเทย่ี ว จัดกิจกรรมประเพณไี ทย - มาเลเซยี การจัดแรลลี่ระหว่าง
ประเทศ
สำนักงานการท่องเท่ียวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 210 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
4. ทศิ ทางการคน้ หาผา่ นอนิ เตอรเ์ นต็
การสืบค้นข้อมูลผ่านอนิ เตอรเ์ น็ต โดยทาง Google ถือเป็นเร่อื งปกตแิ ละจำเป็นสำหรับผู้ท่ี
ต้องการหาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเป้าหมายหรือส่ิงท่ีต้องการรู้ การท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน
ภาพที่ 100 เทรนดก์ ารค้นหาการท่องเทยี่ วเปรยี บเทียบระหวา่ งจงั หวัด
ที่มา: Google Inc., 2019.
สำนักงานการทอ่ งเทีย่ วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 211 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
นักทอ่ งเทยี่ วมักจะทำการสืบค้นข้อมูลเกยี่ วกับจุดหมายปลายทางก่อน เพ่ือประกอบการวางแผนท่องเที่ยว
จากการศึกษาข้อมูลจาก Google trend โดยใช้คำสำคัญว่า “ท่องเที่ยว” ตามด้วยชื่อจังหวัด เพ่ือ
เปรียบเทียบระหว่าง 3 จังหวัดให้เห็นสัดส่วนของจำนวนการค้นหา ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (24 มิถุนายน
2561 ถงึ 23 มถิ ุนายน 2562 พบวา่ มผี ใู้ ชค้ ำค้นหา “ท่องเที่ยว พัทลงุ ” สูงมากเปน็ อันดับ 1 ตามด้วย
“ท่องเที่ยว นครศรีธรรมราช” และ “ท่องเที่ยว สงขลา” โดยช่วงเวลาที่ค้นมากที่สุดคือช่วงวันหยุดยาว
สงกรานต์ และเมอ่ื พิจารณาถึงพิกัดของผใู้ ช้อนิ เตอรเ์ น็ตในการสืบค้น พบวา่
ผู้ใช้ที่ค้นหาโดยคำว่า “ท่องเที่ยว สงขลา” มากกว่าคร่ึงหนึ่งมีพิกัดอยู่ในจังหวัดสงขลา
ส่วนอกี ไมถ่ ึงครง่ึ มีพิกดั อยู่ท่ีกรุงเทพฯ
ผู้ใชท้ ่คี น้ หาโดยคำว่า “ท่องเทีย่ ว พทั ลงุ ” สว่ นใหญม่ ีพกิ ดั อยู่ในจงั หวดั พัทลงุ รองลงมาเป็น
จังหวดั สุราษฎรธ์ านี สงขลา กรุงเทพฯ นครศรีธรรมราช
ผู้ใช้ที่ค้นหาโดยคำว่า “ท่องเที่ยว นครศรีธรรมราช” มีพิกัดอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
มากท่ีสุด รองลงมาเป็นจงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี กรุงเทพฯ สงขลา และพทั ลุง
ในขณะท่ีหากค้นหาด้วยคำว่า “ทอ่ งเท่ียว&ชื่อจังหวัด” ในเว็บไซต์ท่ีเป็นเคร่ืองมือในการค้นหา
พบว่า ขอ้ มลู ณ วนั ที่ 23 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2562 ผลลพั ธ์การค้นหาของแต่ละจังหวัดมีความแตกตา่ งกันดัง
ตาราง 21 พบว่า จังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดที่มีการสืบค้นเรื่องการท่องเที่ยวมากที่สุดในทุกเว็บไซต์ ส่วน
จังหวัดพัทลุงกับจังหวัดนครศรีธรรมราชมีจำนวนครั้งการค้นหาที่แตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งข้อมูลดังกล่าว
แสดงใหเ้ ห็นถงึ ทิศทางและปริมาณความสนใจของผู้สนใจต่อปลายทางในการตัดสนิ ใจท่องเทย่ี วของพวกเขา
ตารางท่ี 21 จำนวนผลลพั ธ์จากการสบื ค้นจังหวัดปลายทางเพ่อื การท่องเทย่ี ว
จำนวนผลลัพธ์ (ทอ่ งเทีย่ ว&…(ขือ่ จงั หวดั )...
Search engine URL สงขลา พัทลงุ นครศรธี รรมราช
google http+//www.google.com 21,400,000 13,200,000 15,100,000
sanook (ทุกเวบ็ ) http+//search.sanook.com 17,700,000 11,100,000 12,500,000
yahoo http+//th.search.yahoo.com 442,000 284,000 369,000
MThai http+//search.mthai.com/ 57,100 52,800 56,800
baidu http+//www.baidu.com 84,000 81,400 33,400
bing http+//www.bing.com 29,800 28,700 27,400
sanook (เว็บsanook) http+//search.sanook.com 9,370 8,130 9,160
ทีม่ า: Google Inc., 2019.
5. สดั ส่วนผูใ้ ช้โทรศัพท์มือถือ
สถานการณ์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาคนไทยมีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้นอย่างมาก
โดยในปี พ.ศ. 2557 มีประชากรใช้โทรศัพท์มือถือในสัดส่วนร้อยละ 77.2 ของประชากรทั้งหมด ต่อมา
ในปี พ.ศ. 2561 สัดส่วนของประชากรที่ใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นเป็นเกือบร้อยละ 90 ของประชากร
ทั้งหมด กลุ่มที่มีสัดส่วนประชากรที่ใช้โทรศัพท์มือถือมากคือ กลุ่มวัยเรียนและวัยทำงาน ได้แก่ กลุ่มที่มี
อายุอยู่ในช่วง 15 - 24 ปี ช่วง 25 - 34 ปี และช่วง 35-59 ปี ซึ่ง 3 กลุ่มนี้มีสัดส่วนประชากรที่ใช้
โทรศัพท์มือถือมากกว่าร้อยละ 95 แต่มีการเพิ่มเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ประชากรวัยเด็กและผู้สูงอายุ
ได้แก่ ช่วงอายุ 6 - 14 ปี และ 60 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนประชากรที่ใช้โทรศัพท์มือถือน้อยกว่าแต่มีสัดส่วน
การใชเ้ พิม่ ข้นึ อยา่ งรวดเร็ว
สำนักงานการท่องเท่ียวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 212 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ภาพที่ 101 สัดสว่ นผ้ใู ช้โทรศพั ท์มอื ถือ
ท่ีมา: สำนกั งานสภาพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ, 2562.
ภาพที่ 102 สัดส่วนผู้ใช้โทรศัพท์มอื ถือแยกตามช่วงอายุ
ที่มา: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ, 2562.
ผลกระทบ การสื่อสารผ่านระบบสมาร์ทโฟนจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มได้สะดวก
รวดเร็วมากขึ้น การค้นหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการท่องเท่ียวสามารถทำได้โดยง่ายผ่านทางแอปพลิเคชัน
ต่างๆ ในสมาร์ทโฟน การติดต่อสื่อสารสามารถทำได้โดยง่าย การเดินทางไปยังเป้าหมายสามารถทำได้
อยา่ งสะดวกจากแอปพลเิ คชันนำทาง
สำนกั งานการท่องเทยี่ วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 213 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
แนวทางการพัฒนา ออกแบบช่องทางการตลาดท่องเที่ยวผ่านระบบแอปพลิเคชันให้มาก
ขึ้น พัฒนา Start up การท่องเที่ยวชุมชนรอบลุ่มน้ำ หรือร่วมมือกับภาคเอกชนในการทำตลาดท่องเที่ยว
ผา่ นแอปพลเิ คชนั และพฒั นาระบบการสอื่ สารข้อมลู ผ่านแอปพลิเคชัน
6. สดั ส่วนผู้ใช้อนิ เตอรเ์ น็ต
สถานการณ์ ในชว่ ง 5 ปที ีผ่ า่ นมาคนไทยมีการใช้อินเตอร์เนต็ เพ่ิมขน้ึ เปน็ อยา่ งมาก โดยใน
ปี พ.ศ. 2557 มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในสัดส่วนร้อยละ 34.9 ของประชากรทั้งหมด ต่อมาในปี พ.ศ.2561
สัดส่วนของประชากรที่ใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็นเกือบร้อยละ 56.8 ของประชากรทั้งหมด กลุ่มที่มี
สดั ส่วนผู้ใช้อนิ เตอรเ์ นต็ มากคือ กล่มุ วยั เรยี น (ชว่ งอายุ 15 - 24 ป)ี รองลงมาเป็นกลุม่ วัยทำงาน (ชว่ งอายุ
25 - 34 ปี) และกลุ่มวัยเด็ก (ช่วงอายุ 6 - 14 ปี) และเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเพิ่มค่อนข้างสูง ในขณะท่ี
ประชากรผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มีสัดส่วนประชากรที่ใช้อินเตอร์เน็ตค่อนข้างน้อยและมีอัตราการเพิ่ม
ค่อนข้างน้อย
ผลกระทบ นักท่องเทยี่ วนยิ มค้นหาข้อมูลการท่องเท่ียวผา่ นเว็บไซต์ตา่ งๆ เพอื่ วางแผนก่อน
ตดั สินใจท่องเทย่ี ว การเพิ่มขนึ้ ของผใู้ ชอ้ ินเตอรเ์ น็ตยอ่ มทำใหผ้ ูศ้ ึกษาขอ้ มูลท่องเทย่ี วเพ่ิมขนึ้
แนวทางการพัฒนา ออกแบบระบบเครือข่ายให้ผู้สนใจค้นหาข้อมูลได้ถูกต้อง ง่าย และ
รวดเร็ว สอื่ สารผา่ นระบบเครอื ข่ายอยา่ งเป็นระบบ พัฒนาระบบ Big data เพ่อื การให้บรกิ ารและวิเคราะห์
ข้อมูลพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจะทำระบบการสร้างสื่อในรูปแบบที่
หลากหลาย เชน่ หนงั สั้น สารคดี ภาพยนตร์ เปน็ ต้น
ภาพท่ี 103 สัดสว่ นผู้ใช้อนิ เตอร์เนต็
ท่ีมา: สำนักงานสภาพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ, 2562.
สำนักงานการทอ่ งเทย่ี วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 214 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
ภาพที่ 104 สัดส่วนผใู้ ช้อนิ เตอรเ์ น็ตแยกตามชว่ งอายุ
ทม่ี า: สำนกั งานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ, 2562.
7. โครงสร้างประชากร
สถานการณ์ แนวโน้มประชากรในภาพรวม พบว่า ประชากรของประเทศไทยมีแนวโน้ม
เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี พ.ศ. 255-2570 แต่หลังจากนั้นคาดการณ์ว่าประชากรมีแนวโน้มลดลง
ช่วงกลุ่มวัยที่มีแนวโน้มลดลงคือช่วงวัยก่อนเข้าสู่แรงงาน (ช่วงอายุ 0 - 14 ปี) และวัยแรงงาน (ช่วงอายุ
15 - 59 ปี) ในขณะท่ปี ระชากรกลุ่มสูงวัยมแี นวโนม้ สูงขน้ึ
ผลกระทบ คือคนวัยทำงานซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายมีจำนวนลดลง ส่งผลให้
ปริมาณความตอ้ งการท่องเที่ยวและปริมาณเงนิ ในการท่องเที่ยวจากคนกลุ่มนลี้ ดลง ในขณะทีก่ ลุ่มผู้สูงอายุ
มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชากรในกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายเงินเพื่อ
การท่องเทีย่ ว แต่ต้องเป็นการท่องเทีย่ วประเภทเฉพาะกลุ่ม เช่น การท่องเที่ยวสขุ ภาพ บำเพ็ญประโยชน์
หรือทอ่ งเทยี่ วเชงิ นเิ วศ เป็นตน้
แนวทางการพัฒนา ควรพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับคนวัยทำงานที่มี
ศกั ยภาพในการใช้จ่ายที่ต้องการรูปแบบการท่องเท่ียวท่ีมีคุณภาพ คมุ้ ค่าเงิน และตอบสนองกบั ต้องการเฉพาะ
ในขณะท่ีรปู แบบการท่องเท่ียวท่ีเหมาะสมกบั วัยสูงอายุ ควรเป็นการท่องเท่ียวทมี่ ีเชิงคุณภาพ เน้นด้านสุขภาพ
ประวัตศิ าสตร์ เชงิ นิเวศ เป็นต้น
สำนักงานการท่องเทยี่ วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 215 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 105 จำนวนประชากรแต่ละช่วงอายุ
ทม่ี า: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ, 2562.
พฤตกิ รรมนกั ทอ่ งเทีย่ วคนไทย
จากการศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวคนไทยของการท่องเที่ยวแหง่ ประเทศไทยโดย แบรนด์
เมทรกิ ซ์ รเี สิร์ช บจก. (2561) กับตัวอย่างนักท่องเที่ยวไทยจำนวน 22,000 คน ทั่วประเทศ แบ่งเป็น
6 เขตพื้นท่ีเขตละ 8 จังหวัด ภาคใต้เป็น 1 ใน 6 เขต เก็บจากตัวอย่างจำนวน 4,000 ตัวอย่าง จาก
8 จงั หวัด ประกอบดว้ ย จงั หวัดชมุ พร สรุ าษฎรธ์ านี นครศรธี รรมราช สงขลา พัทลงุ ตรัง กระบี่ และพังงา
ผลการศึกษาเปน็ ดงั น้ี (แบรนด์ เมทริกซ์ รเี สริ ช์ บจก., 2561)
1. พน้ื ท่ีเป้าหมายการท่องเท่ยี วในภาคใต้
พื้นที่เป้าหมายของการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวคนไทย หมายถึง จังหวัดเป้าหมาย
ปลายทางของนักท่องเทีย่ ว โดยจำแนกนักท่องเที่ยวตามภูมลิ ำเนาเดิม โดยแบ่งลักษณะการท่องเท่ยี วเป็น
2 ประเภทคือ ทอ่ งเทย่ี วแบบไมพ่ กั คา้ งคนื กบั แบบพักค้างคนื ผลการสำรวจเป็นดังน้ี
1.1 ประเภทการทอ่ งเท่ียวแบบไมพ่ กั ค้างคนื
จากการศึกษาพบว่า นักท่องเที่ยวคนไทยในภาพรวมนิยมเที่ยวจังหวัด
นครศรีธรรมราช ตรัง และพัทลุง มากเป็นที่สุดของภาคใต้ และมากเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ เม่ือ
พิจารณาว่า กลุ่มที่มาท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้เป็นนักท่องเที่ยวจากพื้นที่ใดบ้าง พบว่า โดยส่วนมากเป็น
นักท่องเที่ยวที่เป็นคนในภาคใต้ด้วยกันเอง โดยนักท่องเที่ยวภาคใต้ส่วนมากมีจุดหมายปลายทางของ
การท่องเที่ยวแบบไม่พักค้างคืนเป็น จังหวัดนครศรีธรรมราช ตรัง และพัทลุงมากที่สุดเป็นร้อยละ 37.4,
37.0 และ 34.3 ตามลำดับ จะเห็นว่าจังหวัดในพ้ืนที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาทั้ง 3 จังหวัดเป็นเป้าหมาย
ของนักทอ่ งเทีย่ วประเภทคอ่ นข้างสูง
สำนกั งานการทอ่ งเทย่ี วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 216 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
ตารางที่ 22 ร้อยละของจดุ หมายปลายทางของนักท่องเทีย่ วแบบไม่พักค้างคนื ปี พ.ศ. 2560 จำแนก
ตามท่ีอยู่อาศยั
ภูมลิ ำเนา
กรุงเทพฯ ภาค
และ ตะวนั ออก ภาค
พ้ืนทเ่ี ป้าหมาย รวม ปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคกลาง เฉยี งเหนอื ภาคใต้ ตะวันออก
นครศรธี รรมราช 8.8 0.0 0.0 0.0 0.0 37.4 0.0
ตรงั 8.7 0.4 0.0 0.0 0.0 37.0 0.1
พทั ลุง 8.1 0.2 0.0 0.0 0.0 34.3 0.1
สรุ าษฏร์ธานี 5.8 0.0 0.0 0.0 0.0 24.9 0.1
สงขลา 4.9 0.0 0.0 0.1 0.0 21.0 0.1
สตลู 4.5 0.0 0.0 0.1 0.0 19.0 0.1
กระบี่ 3.5 0.2 0.0 0.1 0.0 14.8 0.1
ระนอง 1.9 0.2 0.0 0.0 0.1 7.9 0.2
พงั งา 1.8 0.2 0.0 0.0 0.0 7.6 0.1
ชุมพร 2.1 0.0 0.1 3.3 0.1 6.1 0.1
ภูเกต็ 1.0 0.1 0.0 0.0 0.1 4.2 0.1
ปตั ตานี 0.2 0.0 0.0 0.0 0.0 0.6 0.0
ยะลา 0.2 0.0 0.0 0.0 0.1 0.5 0.2
นราธวิ าส 0.0 0.0 0.0 0.0 0.1 0.0 0.0
ท่มี า: แบรนด์ เมทริกซ์ รเี สริ ช์ บจก., 2561.
ตารางท่ี 23 ร้อยละของจุดหมายปลายทางของนักท่องเทีย่ วแบบพักคา้ งคืน ปี พ.ศ. 2560 จำแนกตามที่
อยอู่ าศยั
ภูมิลำเนา
กรงุ เทพฯ ภาค
และ ตะวันออก ภาค
พ้นื ท่ีเปา้ หมาย รวม ปรมิ ณฑล ภาคเหนือ ภาคกลาง เฉียงเหนอื ภาคใต้ ตะวนั ออก
ภเู ก็ต 8.7 6.6 5.8 6.1 3.2 24.7 3.6
สตลู 4.8 1.1 1.3 4.4 0.9 17.6 0.5
กระบ่ี 8.7 5.5 7.6 11.6 2.8 17.5 4.7
สรุ าษฏร์ธานี 5.9 5.0 2.7 8.1 1.7 14.5 2.0
สงขลา 3.7 0.9 0.6 3.5 0.9 13.1 0.8
นครศรีธรรมราช 2.5 1.6 0.6 1.6 0.3 9.3 0.6
ชมุ พร 5.1 2.8 2.5 12.0 0.6 9.1 1.5
ตรงั 3.3 3.1 2.9 4.3 1.0 7.5 1.0
ระนอง 2.3 1.5 1.9 3.6 0.5 4.7 1.0
พงั งา 3.4 2.2 3.1 5.5 2.0 3.8 2.9
พทั ลุง 0.8 0.2 0.2 1.0 0.1 2.5 0.3
ยะลา 0.2 0.0 0.0 0.1 0.0 0.6 0.2
ปัตตานี 0.1 0.0 0.0 0.0 0.0 0.2 0.2
นราธวิ าส 0.0 0.0 0.0 0.0 0.0 0.2 0.1
ทมี่ า: แบรนด์ เมทรกิ ซ์ รเี สิรช์ บจก., 2561.
สำนกั งานการทอ่ งเทีย่ วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 217 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
1.2 ประเภทการทอ่ งเทีย่ วแบบพกั ค้างคืน
จากการศึกษาพบว่า นักท่องเที่ยวคนไทยแบบพักค้างคืนในภาพรวมนิยมเที่ยวใน
จังหวัดภูเก็ต สตูล และกระบี่ มากที่สุดของภาคใต้ เมื่อพิจารณากลุ่มนักท่องเที่ยวในภาคใต้ พบว่า
นักท่องเท่ียวในภาคใต้นิยมเที่ยวในจังหวัดภาคใต้เป็นหลัก จังหวัดปลายทางได้แก่ ภูเก็ต สตูล กระบี่
สุราษฎร์ธานี และสงขลา เป็นร้อยละ 24.7, 17.6ม 17.5, 14.5 และ 13.1 ตามลำดับ จะเห็นว่า
จังหวัดในเขตลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ไม่ค่อยเป็นพื้นที่เป้าหมายของนักท่องเที่ยวแบบพักค้างคืนมากนัก
โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราชกับพัทลุง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะนักท่องเที่ยวส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยว
จากพ้ืนที่ใกลเ้ คียงทำใหส้ ามารถท่องเทย่ี วได้ภายในวันเดยี ว
2. พฤติกรรมนักท่องเทีย่ วภาคใต้
จากการสอบถามวัตถุประสงค์ในการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวที่มีภูมิลำเนา
ภาคใต้ ในการท่องเที่ยวปี พ.ศ. 2560, 2561 (1 - 6) และ 2561 (7 - 12) ซึ่งกลุ่มตัวอย่างสามารถ
เลือกตอบได้มากกว่า 1 คำตอบ พบว่านักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดเดินทางเพื่อท่องเทีย่ วหรือพักผอ่ นหย่อนใจ
รองลงมาเป็นการเดินทางเพ่ือเยี่ยมครอบครัว/ญาติ/เพื่อน พาหนะที่ใช้ในการเดินทางท่องเที่ยวส่วนมาก
ประมาณร้อยละ 70 เป็นรถยนต์ส่วนตัว รองลงมาเป็นเช่าเหมารถตู้พร้อมคนขับร้อยละ 17.4 ซ่ึง
สอดคล้องกบั พฤติกรรมของนักทอ่ งเท่ยี วของคนไทยทั้งประเทศ
ภาพท่ี 106 วัตถปุ ระสงค์ของนักท่องเท่ียวภาคใต้
ท่มี า: แบรนด์ เมทรกิ ซ์ รเี สริ ช์ บจก., 2561.
สำนักงานการทอ่ งเทย่ี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 218 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ภาพท่ี 107 พาหนะทใ่ี ช้ในการเดนิ ทางของนักท่องเทีย่ วภาคใต้
ทีม่ า: แบรนด์ เมทรกิ ซ์ รเี สิรช์ บจก., 2561.
3. วตั ถปุ ระสงคแ์ ละปัจจยั ท่มี ีอิทธิพลตอ่ การทอ่ งเท่ียวของนักท่องเท่ียวภาคใต้
3.1 วัตถุประสงค์ของการท่องเที่ยวของนักทอ่ งเทย่ี ว
วัตถุประสงค์ของการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในภาพรวมของประเทศกับ
นักท่องเท่ียวภาคใต้มีความแตกต่างกัน โดยนกั ท่องเที่ยวที่เป็นคนภาคใตม้ วี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือสร้างความทรงจำ
ที่ดใี นชวี ติ มากทสี่ ดุ ร้อยละ 12.7 รองลงมาเพ่ือสร้างความสัมพนั ธ์ที่ดีกับคนที่เดินทางด้วย รอ้ ยละ 11.6
เพื่อเรียนรู้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ ร้อยละ 9.6 และเพื่อรับประทานอาหารใหม่ๆ ร้อยละ 9.0
ตามลำดับ ในขณะที่นักท่องเที่ยวในภาพรวมของประเทศมีวัตถุประสงค์เพื่อผ่อนคลาย คลายเครียดจาก
ชีวิตประจำวันมากที่สุด ร้อยละ 11.2 รองลงมาเป็นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่เดินทางด้วย ร้อย
ละ 10.2 เพ่ือให้รางวัลกับชีวิต ร้อยละ 9.7 และเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเพื่อไหว้พระ ร้อยละ 9.2
ตามลำดบั
3.2 ปจั จยั ทม่ี คี วามสำคัญต่อการเลอื กสถานทท่ี อ่ งเที่ยว
นกั ท่องเทีย่ วท่วั ประเทศและนักท่องเที่ยวภาคใต้ให้ความสำคัญกบั ปจั จยั ในการเลือก
สถานท่ีทอ่ งเที่ยวไม่แตกต่างกันมากนัก ปจั จัยทส่ี ำคัญที่สุดในการเลือกสถานที่ท่องเทย่ี วคือ ความสวยงาม
ของวิวทวิ ทศั น์และธรรมชาติ โดยสัดสว่ นของนักท่องเที่ยวท่วั ประเทศท่ีให้ความสำคัญกับปัจจัยน้ี (ร้อยละ
20.2) สูงกว่าสัดส่วนของนักท่องเที่ยวภาคใต้ (ร้อยละ 18.2) ในขณะที่นักท่องเที่ยวภาคใต้ให้ความสำคัญกับ
เรื่องราว/ประวัตศิ าสตร์ ความเป็นมิตรและอธั ยาศยั ท่ดี ขี องคนในพื้นที่ และความพร้อมของสง่ิ อำนวยความสะดวก
ในพื้นที่สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วประเทศ ส่วนปัจจัยอื่นๆ นักท่องเที่ยวทั้ง 2 กลุ่มให้ความสำคัญไม่มากนัก
และไมแ่ ตกตา่ งกัน
สำนักงานการท่องเทย่ี วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 219 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 108 วัตถุประสงคแ์ ละปจั จยั ที่มีอิทธพิ ลต่อการทอ่ งเท่ยี วของนักท่องเที่ยวภาคใต้
ที่มา: แบรนด์ เมทรกิ ซ์ รีเสริ ์ช บจก., 2561.
ภาพที่ 109 รอ้ ยละของปัจจัยทม่ี คี วามสำคญั ในการเลือกสถานท่ที ่องเทย่ี ว
ที่มา: แบรนด์ เมทรกิ ซ์ รีเสิรช์ บจก., 2561.
สำนักงานการท่องเท่ียวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 220 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
พฤตกิ รรมการเดินทางท่องเท่ียวของนกั ท่องเท่ียวมาเลเซีย
จากข้อมูลก่อนหน้านี้พบว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาเที่ยวในพื้นที่มากที่สุดคือประเทศ
มาเลเซีย ทง้ั นเี้ นอ่ื งจากพ้ืนท่ีเขตลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในส่วนของจังหวดั สงขลามีเขตแดนติดกับประเทศ
มาเลเซีย ดังนั้นในส่วนนี้จึงเป็นวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียในประเดน็ ต่างๆ โดย
ใช้ข้อมูลจากการสำรวจของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยการศึกษาของ อินทัช รีเสิร์ช แอนด์
คอนซัลแทนซี่ บจก. (2561) ในปี พ.ศ. 2561 จากตัวอย่างนักท่องเท่ียวชาวมาเลเซียท้ังหมด 1,013
คน (แบรนด์ เมทรกิ ซ์ รเี สิร์ช บจก., 2561) ดังนี้
ตารางท่ี 24 จงั หวดั เป้าหมายของนักท่องเที่ยวมาเลเซีย
จ ั ง ห วั ด สัดสว่ นการกระจายตัว ระยะเวลาพำนักเฉลีย่ (คืน)
เปา้ หมาย 2561 2560 +/- 2561 2560 +/-
สงขลา 64.89 62.24 +2.65 2.62 2.99 -0.37
กรงุ เทพฯ 25.24 24.48 +0.76 3.85 4.10 -0.25
ภูเก็ต 5.36 7.64 -2.28 3.61 3.02 +0.59
กระบ่ี 4.32 4.88 -0.56 2.79 2.92 -0.13
เชยี งใหม่ 3.06 3.29 -0.23 4.37 7.26 -2.89
ที่มา: แบรนด์ เมทรกิ ซ์ รีเสิร์ช บจก., 2561.
ตารางท่ี 25 ประเภทที่พัก
ประเภทท่ีพกั สดั ส่วนประเภทที่พัก (รอ้ ยละ)
2561 2560 +/-
โรงแรม/รสี อร์ท 95.81 98.05 -2.24
+1.24
เกสตเ์ ฮ้าส/์ โฮสเทล 2.34 1.10 +1.15
-0.27
เซอร์วสิ อพารท์ เมนท์ 1.77 0.62 +0.03
บ้านญาติ/บ้านเพอื่ น 1.20 1.47
บงั กะโล 0.16 0.13
ที่มา: แบรนด์ เมทริกซ์ รีเสิร์ช บจก., 2561.
ตารางที่ 26 สถานทเี่ ป้าหมายในจังหวัดสงขลา สัดสว่ น (ร้อยละ)
สถานที่ 45.24
18.13
อำเภอหาดใหญ่ 1.55
ดา่ นนอก 1.02
เท่ยี วทว่ั ไปในจงั หวัดสงขลา 0.88
วดั 0.79
สปา 0.55
หาดสมิหลา 0.52
ศนู ย์การคา้ ฯ 0.13
สถานท่ีประวัติศาสตร์
สนามกอลฟ์
ทม่ี า: แบรนด์ เมทริกซ์ รเี สิรช์ บจก., 2561.
สำนักงานการทอ่ งเที่ยวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 221 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ตารางที่ 27 กิจกรรมและค่าใชจ้ ่ายเฉลี่ยในแตล่ ะกิจกรรม ปี พ.ศ. 2561
กิจกรรม สัดส่วน ค่าใช้จา่ ย (บาทตอ่ คนต่อทริป)
รับประทานอาหารไทย 92.66 2,076.46
1,191.01
นวดและสปา 56.25 2,004.29
แสงสยี ามคำ่ คืน 42.92 519.56
620.84
ชมสถานทที่ างประวัติศาสตร์ วัด พพิ ธิ ภณั ฑ์ 40.16 518.73
640.91
เรียนร้วู ถิ ชี ีวติ คนทอ้ งถนิ่ 18.70 1,288.25
1,438.82
กิจกรรมชายหาด 15.03
ท่องเทีย่ วเชงิ นเิ วศน์ ชมธรรมชาติ 13.78
สวนสนุก นนั ทนาการ 7.73
กิจกรรมผจญภัย 2.81
ที่มา: แบรนด์ เมทรกิ ซ์ รีเสิรช์ บจก., 2561.
ตารางท่ี 28 สดั ส่วนของนกั ท่องเที่ยวชาวมาเลเซียท่ีซ้ือสนิ ค้าและคา่ ใชจ้ า่ ย ปี พ.ศ. 2561
สินคา้ สัดส่วน ค่าใช้จา่ ย (บาทต่อคนตอ่ ทริป)
ผลติ ภัณฑอ์ าหารไทย 71.99 1,802.37
เส้ือผ้า 65.19 2,482.76
ของทรี่ ะลกึ 39.93 1,064.10
เครอื่ งสำอาง/เครอื่ งหอม 12.21 2,289.61
เครอ่ื งหนัง 8.84 2,278.91
ท่ีมา: แบรนด์ เมทรกิ ซ์ รเี สริ ช์ บจก., 2561.
พื้นที่เป้าหมายของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย การกระจายตัวพื้นที่เป้าหมายของนักท่องเที่ยว
มาเลเซียไม่สูงมากนัก มีลักษณะการกระจุกตัวสูง เนื่องจากมาเที่ยวไม่ไกลจากด่านมากนัก ได้แก่ จังหวัด
สงขลา ซ่ึงมีสดั ส่วนของนกั ท่องเท่ยี วมาเลเซียสูงถึงร้อยละ 64.89 รองลงมาเปน็ กรงุ เทพฯ สดั สว่ นร้อยละ
25.24 นอกเหนือจากนั้นจะกระจายไปยังจงั หวัดท่องเท่ียวหลักของประเทศ เช่น ภูเก็ต กระบ่ี เชียงใหม่
เป็นต้น โดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในจังหวัดสงขลาจะใช้ เวลาในพำนักเฉลี่ย เพียง 2.62 วัน
ในขณะทจ่ี ังหวัดที่ห่างไกลออกไปก็จะใช้เวลาพำนักเฉล่ียเพม่ิ มากข้นึ ตามลำดับ เช่น หากไปเท่ียวเชียงใหม่
จะใช้เวลาพำนักเฉลี่ยสงู ถึง 4.37 วนั อยา่ งไรก็ตามระยะเวลาในการพักเฉลี่ยในปี พ.ศ. 2561 มีแนวโน้ม
ลดลงเลก็ นอ้ ย
พื้นที่เป้าหมายในจังหวัดสงขลาของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย โดยส่วนมากเกือบครึ่ง คือ
อำเภอหาดใหญ่ รองลงมาเปน็ ด่านนอก ร้อยละ 18.13 ซึ่งใน 2 พื้นที่น้ีมกั เปน็ การทอ่ งเท่ียวแบบช่นื ชม
แสงสี กิจกรรมบันเทิงเป็นหลัก ส่วนพื้นที่อื่นมีนักท่องเที่ยวกระจายตัวเพียงเล็กนอ้ ยเท่านั้น นักท่องเที่ยว
เกือบทั้งหมดพักในโรงแรมหรือรีสอร์ท ส่วนกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวมักจะทำตอนมาท่องเที่ยวคือ
รับประทานอาหารไทย นวดและสปา แสงสียามค่ำคืน และเยี่ยมชมสถานที่ประวัติศาสตร์ วัด พิพิธภัณฑ์
ตามลำดบั โดยใน 3 กจิ กรรมแรกจะมีการใชจ้ า่ ยเงินค่อนข้างสูงกวา่ กิจกรรมอน่ื ค่อนขา้ งมาก ส่วนสินค้าท่ี
เปน็ ที่นยิ มของนกั ท่องเทย่ี วมาเลเซยี คือ ผลิตภัณฑเ์ กย่ี วกบั อาหารไทย เสอ้ื ผา้ และของทร่ี ะลกึ ตามลำดบั
สำนกั งานการทอ่ งเที่ยวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 222 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
พฤติกรรมนกั ท่องเท่ยี วชาวตา่ งชาตขิ องประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2561 นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติของประเทศไทยมีจำนวน 38,178,194 คน
(ศนู ย์วจิ ัยด้านการตลาดการทอ่ งเท่ียว, 2562).มสี ดั สว่ นเพศชายหญิงท่ีใกล้เคียงกัน กล่าวคือ มีผ้ชู ายร้อยละ
47 ผู้หญิงร้อยละ 53 ประมาณ 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวมีอายุอยู่ในช่วง 25 - 34 ปี รองลงมาเป็น
35 - 44 ปี 45 - 54 ปี และ 55 - 60 ปี โดยหากรวมทั้ง 4 ช่วงอายุจะมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวร้อยละ
75 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งหมด ซึ่งแสดงว่านักท่องเที่ยวส่วนมากอยู่ในวัยทำงาน และพบว่า
อาชีพของนักท่องเท่ยี วโดยส่วนมากเป็น แรงงานในภาคการผลติ พนักงาน ผู้บริหาร และผู้เช่ียวชาญ และ
ที่สำคัญพบว่าร้อยละ 65 เป็นการมาซ้ำ ซ่ึงสอดคล้องกับรูปแบบการจัดการเดินทาง ซ่ึงพบว่าประมาณ
3 ใน 4 นักท่องเที่ยวจัดการเดินทางด้วยตนเอง มีเพียงร้อยละ 25 เท่านั้นที่เดินทางผ่านบริษัทนำเที่ยว
และเกือบทง้ั หมดหรือรอ้ ยละ 92 มวี ัตถปุ ระสงคเ์ พ่อื พักผอ่ นในวันหยดุ
ในส่วนของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตพิ บว่า โดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจะใช้เวลาในการพกั
ประมาณ 9 วันครึ่ง โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยตนเองจะใช้เวลาพักเฉลี่ยประมาณ 10 วันคร่ึง
มากกวา่ นกั ท่องเทีย่ วทม่ี ากับบริษัทนำเทย่ี วทใ่ี ช้เวลาพักเฉลี่ยประมาณ 7 วัน ในด้านค่าใช้จ่ายต่อคนต่อวัน
พบว่า มีนักท่องเท่ยี วมีค่าใชจ้ ่ายต่อวันสูงขึน้ อย่างต่อเน่ืองจาก 4,616 บาทตอ่ คนตอ่ วนั ในปี พ.ศ. 2556
เป็น 5,404 บาทต่อคนต่อวัน ในปี พ.ศ. 2560 และยังพบว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยตนเองมี
ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อวันต่ำกว่ามากับบริษัทนำเท่ียวเกือบ 1,000 บาทต่อคนต่อวัน แต่เมื่อพิจารณา
ค่าใช้จ่ายต่อทริปกลับพบว่านักท่องเที่ยวที่มาด้วยตนเองมีค่าใช้จ่ายต่อทริปสูงกว่ามากับบริษัทนำเที่ยว
เช่นในปี พ.ศ. 2560 นักท่องเที่ยวที่มาด้วยตนเองมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 53,355 บาทต่อทริป ในขณะที่มา
กับบริษัทนำเที่ยวมีค่าใช้จ่าย 45,944 บาทต่อทริป อย่างไรก็ตามในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาช่องว่างระหว่าง
ค่าใช้จ่ายต่อทริปของทั้ง 2 รูปแบบมีแนวโน้มลดลง ในส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยพบว่า มี
แนวโนม้ ขยายตวั อย่างตอ่ เน่อื ง จาก 1.2 ล้านลา้ นบาทในปี พ.ศ. 2556 เปน็ 1.8 ลา้ นล้านบาทในปี พ.ศ.
2560 เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 13 ต่อปี โดยประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวท่ีเดินทางมาด้วย
ตนเองสูงกว่ามากับบริษทั นำเที่ยวเป็นอยา่ งมาก ทั้งน้ีอาจเน่ืองจากรายจา่ ยส่วนมากของนักทอ่ งเทีย่ วท่มี า
กับบริษัทนำเที่ยวตอ้ งจา่ ยให้กบั บริษัทนำเท่ียวนนั่ เอง
สำนกั งานการท่องเทยี่ วและกีฬาจงั หวดั สงขลา 223 มหาวิทยาลยั ราชภัฏสงขลา
ภาพท่ี 110 พฤติกรรมนกั ทอ่ งเท่ียวชาวต่างชาติของประเทศไทย
ทม่ี า: ศนู ยว์ จิ ยั ดา้ นการตลาดการทอ่ งเที่ยว, 2562.
สำนกั งานการท่องเทย่ี วและกฬี าจงั หวดั สงขลา 224 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ภาพที่ 111 จำนวนวนั พำนักเฉลี่ยของนักท่องเทีย่ วชาวต่างชาติ
ที่มา: ศูนย์วิจัยดา้ นการตลาดการท่องเทย่ี ว, 2562.
ภาพท่ี 112 คา่ ใช้จ่ายเฉลย่ี ต่อคนต่อวันของนักท่องเทย่ี วชาวตา่ งชาติ
ทม่ี า: ศนู ย์วิจัยดา้ นการตลาดการท่องเทยี่ ว, 2562.
สำนกั งานการทอ่ งเท่ียวและกฬี าจงั หวดั สงขลา 225 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 113 คา่ ใช้จ่ายเฉล่ียต่อทรปิ ของนักท่องเทย่ี วชาวตา่ งชาติ
ทม่ี า: ศนู ยว์ จิ ัยดา้ นการตลาดการท่องเทีย่ ว, 2562.
ภาพท่ี 114 รายได้จากการท่องเท่ียวจำแนกตามรปู แบบการเดนิ ทางของนักท่องเที่ยวชาวตา่ งชาติ
ท่ีมา: ศูนยว์ จิ ยั ด้านการตลาดการทอ่ งเทีย่ ว, 2562.
สำนักงานการทอ่ งเที่ยวและกฬี าจงั หวัดสงขลา 226 มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา
อุปทานการท่องเท่ยี ว
1. จำนวนที่พกั และห้องพกั
ในพื้นที่ 3 จังหวัดรอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาพบว่า ในปี พ.ศ. 2562 มีจำนวนที่พัก
ทั้งหมด 866 แห่ง สามารถให้บริการห้องพกั ได้ 36,804 ห้อง จังหวัดสงขลากับจังหวัดนครศรีธรรมราช
มีจำนวนที่พักที่ไม่แตกต่างกัน แต่สงขลามีจำนวนห้องพักมากกว่าจำนวนมาก ในขณะที่จังหวัดพัทลุงมี
จำนวนท่ีพักไม่มากนกั เมอื่ พิจารณาถงึ ประเภททีพ่ กั พบว่า โดยส่วนมากเปน็ โรงแรมและรีสอร์ท รองลงมา
เป็นอพาร์ทเม้นท์/แมนชั่น เกสเฮ้าส์ โมเต็ล และบังกะโล ซึ่งมีจำนวนที่ไม่สูงมากนัก ในส่วนของห้องพัก
พบว่า ท่ีพกั ประเภทโรงแรมมีหอ้ งพกั มากทสี่ ดุ รองลงมาเป็นรสี อร์ท เมื่อแบง่ ทพ่ี ักออกตามจำนวนห้องพัก
โดยหากมจี ำนวนห้องพัก 100 หอ้ งขน้ึ ไป เป็นทพ่ี ักขนาดใหญ่ 30 หอ้ งข้ึนไป เปน็ ท่พี ักขนาดกลาง ไม่ถึง
30 ห้องเป็นที่พักขนาดเล็ก พบว่า ที่พักในเขตพ้ืนที่โดยส่วนมากเป็นที่พักขนาดเล็กหรือมีห้องไม่ถึง 30
ห้อง โดยจังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดที่มีที่พักขนาดใหญ่มากที่สุด รองลงมาเป็นจังหวัดนครศรีธรรมราช
ในขณะที่พัทลุงไม่มีที่พักขนาดใหญ่ และเมื่อแบ่งที่พักออกตามประเภทของการให้บริการ ซึ่งกิจกรรม
การให้บริการ ประกอบด้วย ให้บริการห้องพัก ห้องอาหาร สถานบริการ ห้องประชุมสัมมนา จากข้อมูล
พบวา่ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีกิจกรรมใหบ้ รกิ ารห้องพกั เพียงอย่างเดียวมากทส่ี ดุ รองลงมาเป็นประเภท
ให้บริการที่พักและอาหาร สว่ นการให้บรกิ ารใหป้ ระเภทมีจำนวนท่ีพกั เพียงเล็กน้อย
ในขณะที่ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานจังหวัดนครศรีธรรมราช (2562) พบว่า ในปี
พ.ศ. 2560 จงั หวัดนครศรีธรรมราชมสี ถานท่พี ักโรงแรม รีสอรท์ 305 แหง่ มีหอ้ งพัก 7,565 ห้อง
ภาพที่ 115 จำนวนทีพ่ ักและห้องพักในพ้ืนทล่ี ุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาจำแนกตามจงั หวดั
ที่มา: ศนู ยว์ ิจัยด้านการตลาดการทอ่ งเทยี่ ว, 2562.
สำนกั งานการทอ่ งเที่ยวและกีฬาจงั หวดั สงขลา 227 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพที่ 116 จำนวนที่พักและห้องพักในพนื้ ทีล่ มุ่ นำ้ ทะเลสาบสงขลาจำแนกตามขนาด
ท่มี า: ศนู ยว์ ิจัยด้านการตลาดการท่องเท่ยี ว, 2562.
ภาพที่ 117 จำนวนทพ่ี ักในพ้ืนท่ีลมุ่ น้ำทะเลสาบสงขลาจำแนกตามขนาด
ที่มา: ศนู ยว์ จิ ยั ดา้ นการตลาดการทอ่ งเท่ียว, 2562.
สำนักงานการท่องเทีย่ วและกฬี าจงั หวัดสงขลา 228 มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา
ภาพท่ี 118 จำนวนท่ีพกั ในพื้นท่ีลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาจำแนกตามรปู แบบการให้บริการ
ทม่ี า: ศูนยว์ จิ ัยด้านการตลาดการท่องเทีย่ ว, 2562.
ตารางที่ 29 จำนวนท่พี กั และหอ้ งพักรายอำเภอ จำนวนแหง่ จำนวนห้อง
อำเภอ 78 3,098
43 1,254
เมอื งนครศรธี รรมราช 14 207
ทงุ่ สง 27 471
ปากพนงั 38 929
ทา่ ศาลา 5
ขนอม 7 62
ร่อนพบิ ลู ย์ 2 91
ลานสกา 2 18
นบพติ ำ 6 20
พรหมครี ี 22 99
ฉวาง 3 360
สชิ ล 8 41
เชียรใหญ่ 13 127
ทงุ่ ใหญ่ 3 174
หวั ไทร 3 32
บางขัน 3 57
จฬุ าภรณ์ 14 35
เฉลิมพระเกยี รติ 11 206
ชะอวด 2 236
พระพรหม 1 29
ถ้ำพรรณรา 19
นาบอน 305
7,565
รวม
ท่ีมา: ศนู ยว์ ิจยั ดา้ นการตลาดการท่องเที่ยว, 2562.
สำนกั งานการท่องเท่ยี วและกีฬาจงั หวัดสงขลา 229 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา