The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อัยการนิเทศ เล่มที่ 84 ปี 2562

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-11-13 05:25:44

อัยการนิเทศ เล่มที่ 84 ปี 2562

อัยการนิเทศ เล่มที่ 84 ปี 2562

(หนงั สอื ราชการของสำ� นกั งานอยั การสงู สดุ )
เลอม่ ยั ทกาี่ร๘นเิ ๔ทศ เลพ่มททุ ี่ ๘ธ๔ศพกั .ศร.า๒ช๕๖๒๒ ๕1๖59๒



อยั การนิเทศ

เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒

(หนังสือราชการของสำนกั งานอยั การสงู สุด)

พระพทุ ธอยั การมงคลโลกนาถ พระพุทธรปู ประจำสำนกั งานอยั การสูงสดุ เปน็ พระพุทธรูป
ปางมารวิชัย ศิลปะแบบสุโขทัยร่วมสมัย ขนาดหน้าตัก ๙๙.๙๙ เซนติเมตร สำหรับประดิษฐาน

ณ สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ และพระพุทธรูปจำลอง ขนาดหน้าตัก ๙ น้ิว
สำหรับประดษิ ฐาน ณ อาคารสำนักงานอัยการสงู สุดในส่วนกลางและสว่ นภูมิภาค

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อพระพุทธรูปประจำสำนักงานอัยการสูงสุดว่า

“พระพุทธอัยการมงคลโลกนาถ” อันมีความหมายว่า “พระพุทธรูปทรงเป็นสิริมงคลแก่สำนักงาน
อัยการสูงสุดและเป็นท่ีพึ่งของชาวโลก” และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญอักษร

พระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ประดิษฐานท่ีผ้าทิพย์พระพุทธรูปประจำสำนักงานอัยการสูงสุดและ
พระพทุ ธรปู จำลอง ตง้ั แต่วนั ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘

อัยการนิเทศ


(หนังสือราชการของสำนกั งานอัยการสูงสดุ )

เล่มที่ ๘๔ พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒


สารบัญ


คำชี้ขาดความเหน็ แย้ง

- พนกั งานสอบสวนมไิ ด้มีความเห็นทางคดี เปน็ การไมป่ ฏิบตั ิตาม (ชย.๓๒๑/๒๕๕๗) ๓

ขั้นตอนตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๑

พนักงานอยั การไมม่ อี ำนาจรบั สำนวนไวพ้ จิ ารณา


- การส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำสัง่ ไม่ฟอ้ งผตู้ อ้ งหาไมช่ อบดว้ ย (ชย.๖๖๖/๒๕๕๘) ๑๑

ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕, ๑๔๕/๑
๑๗

- ความเหน็ แยง้ ทอี่ ัยการสูงสดุ ต้องชข้ี าดหรือไม่ (ชย.๑๕๙๐/๒๕๕๘) ๒๐

- กฎหมายซึง่ ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกตา่ งกับกฎหมายทใ่ี ช้ (ชย.๙๓๖/๒๕๕๙) ๒๕

ภายหลงั การกระทำความผิดในสว่ นทเี่ ก่ียวกบั องค์ประกอบความผดิ
๒๙

- การฟอ้ งคดีจะไม่เปน็ ประโยชนแ์ ก่สาธารณชน (ชย.๗๕๕/๒๕๖๐) ๓๓

- ความผิดเกย่ี วกบั บตั รอิเล็กทรอนกิ ส์ (ชย.๙๔/๒๕๖๑) ๓๕

- การทบทวนความเห็นหรือคำสัง่ (ชย.๔๔๓/๒๕๖๑) ๓๙

๔๒

คำพิพากษาศาลฎกี า
๔๔

- การผลติ ยาเสพตดิ ให้โทษในประเภท ๕ (ฎ.๑๖๖๔/๒๕๖๐) ๔๙

- การรบิ รถของกลางในความผดิ ฐานขบั รถโดยไมค่ ำนงึ ถงึ ความปลอดภยั (ฎ.๗๗๔๑/๒๕๖๐) ๕๑

- อำนาจสอบสวน (ฎ.๙๗๗๕/๒๕๖๐) ๕๕

- ผูเ้ สียหายทมี่ ชิ อบด้วยกฎหมาย (ฎ.๙๗๗๖/๒๕๖๐) ๕๙

- ผู้สนบั สนุนการกระทำความผิดเกยี่ วกับยาเสพตดิ (ฎ.๑๐๒/๒๕๖๑) ๖๗

- การขอคนื ของกลางตามพระราชบญั ญตั โิ รคระบาดสตั ว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ (ฎ.๓๓๗/๒๕๖๑)
- สทิ ธนิ ำคดีอาญามาฟอ้ งไม่ระงับ (ฎ.๖๗๒/๒๕๖๑)
- การกู้ยมื เงินทเ่ี ป็นการฉ้อโกงประชาชน (ฎ.๑๑๓๗/๒๕๖๑)
- การนำตัวผู้ตอ้ งหามาศาลพร้อมฟ้อง (ฎ.๑๑๘๙/๒๕๖๑)
- การตงั้ โรงงานโดยไมไ่ ดร้ ับใบอนญุ าต (ฎ.๑๗๗๗/๒๕๖๑)

- การบรรยายฟอ้ งตามพระราชบัญญตั ิลขิ สิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ (ฎ.๑๗๗๙/๒๕๖๑) ๗๐

- ของปา่ (ฎ.๒๖๖๑/๒๕๖๑) ๗๔

- ลักทรพั ยน์ ายจา้ ง (ฎ.๒๖๗๖/๒๕๖๑) ๗๗

- การขออนุญาตฎีกาตอ่ ศาลฎกี าในคดียาเสพตดิ (ฎ.๒๘๖๙/๒๕๖๑) ๘๐

- การบงั คบั โทษปรับ (ฎ.๒๘๘๑/๒๕๖๑) ๘๓

- การบวกโทษท่รี อไว้ (ฎ.๔๓๔๔/๒๕๖๑) ๘๗

- ความผดิ ตา่ งกรรม (ฎ.๔๗๔๙/๒๕๖๑ ) ๙๑

- การบรรยายฟ้องความผิดฐานใช้รถยนตบ์ รรทุกน้ำหนักเกนิ อัตรา (ฎ.๔๘๑๔/๒๕๖๑) ๙๔

- การฟื้นฟสู มรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (ฎ.๕๗๔๗/๒๕๖๑) ๙๗

- การทำงานของคนตา่ งด้าว (ฎ.๖๖๘๑/๒๕๖๑) ๑๐๒

- การกระทำชำเราศิษยซ์ ึง่ อย่ใู นความดูแล (ฎ.๗๓๐๘/๒๕๖๑) ๑๐๗

- การฟื้นฟูสมรรถภาพผตู้ ิดยาเสพติด (ฎ.๘๙๖๑/๒๕๖๑) ๑๑๐

- การบรรยายฟอ้ งความผิดฐานชิงทรพั ย์ (ฎ.๓๒๐/๒๕๖๒) ๑๑๓


คำพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุด
(อ.๑๕๐/๒๕๖๒) ๑๑๙


- ความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าที่

ตอบข้อหารือสำนกั งานอัยการสูงสุด
(ห.๒๕/๒๕๖๑) ๑๒๙

- การดำเนินการภายหลงั ยกเลิกสัญญา (ห.๒๘/๒๕๖๑) ๑๓๒

- แนวทางการดำเนินการทางกฎหมายกรณกี ารรบั อุทิศท่ีดิน (ห.๕๕/๒๕๖๑) ๑๓๔

- การขอชำระคา่ สินไหมทดแทน (ห.๕๖/๒๕๖๑) ๑๓๕

- ข้อกฎหมายกรณจี ดทะเบยี นสมรสซ้อน (ห.๖๒/๒๕๖๑) ๑๓๘

- การเปล่ยี นหนงั สือค้ำประกนั สญั ญา (ห.๗๐/๒๕๖๑) ๑๔๐

- ผลของการบอกเลิกสัญญา (ห.๑๑๙/๒๕๖๑) ๑๔๔

- การบอกเลิกสัญญา

บทความ
๑๔๙


- ระเบยี บสำนกั งานอยั การสงู สดุ วา่ ดว้ ยการสงั่ คดอี าญาทจี่ ะไมเ่ ปน็ ประโยชนแ์ กส่ าธารณชน
หรอื จะมผี ลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมัน่ คงของชาติ หรอื ตอ่ ผลประโยชน

อันสำคญั ของประเทศ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑

อนชุ าติ คงมาลยั

หนงั สือเวยี น

- ซกั ซอ้ มความเขา้ ใจในการเขา้ รว่ มประชมุ จดั ทำแผนแกไ้ ขบำบดั ฟน้ื ฟตู ามพระราชบญั ญตั ิ ๑๕๙

ศาลเยาวชนและครอบครัวและวธิ ีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓

หนงั สอื สำนกั งานอัยการสงู สุด ด่วนที่สุด ที่ อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๑๘๒

ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๑

- ซกั ซอ้ มแนวทางปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั การทำความเหน็ และคำสงั่ คดกี ารกระทำความผดิ ซงึ่ มโี ทษ ๑๖๑

ตามกฎหมายไทยที่ไดก้ ระทำลงนอกราชอาณาจกั รไทย

หนงั สือสำนกั งานอยั การสงู สดุ ที่ อส ๐๐๑๕.๑/ว ๒๑๕

ลงวนั ท่ี ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑

- แนวทางการพิจารณาสง่ั คดีความผดิ ฐานมีและใช้เครอื่ งวิทยุคมนาคม ๑๖๒

และตง้ั สถานวี ทิ ยคุ มนาคมโดยไม่ไดร้ บั ใบอนญุ าต

หนงั สอื สำนกั งานอัยการสงู สุด ท่ี อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๒๒๘

ลงวันท่ี ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑

- ซกั ซอ้ มความเข้าใจแนวทางปฏิบตั ิในการดำเนนิ คดคี า้ มนุษย ์ ๑๖๔

หนังสอื สำนกั งานอยั การสงู สุด ดว่ นท่ีสดุ ที่ อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๓๐๑

ลงวนั ที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๑

- แนวทางปฏบิ ัตใิ นการตรวจสอบทรพั ย์สินเพ่อื ดำเนินการเกย่ี วกบั การบงั คับคด ี ๑๖๗

หนังสือสำนกั งานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ท่ี อส ๐๐๐๗(พก)/ว ๓๑๖

ลงวันท่ี ๙ ตุลาคม ๒๕๖๑

- ซกั ซ้อมความเข้าใจการตรวจสอบสำนวนคดีอาญาที่อยูใ่ นความรับผิดชอบของ ๑๘๐

พนักงานอยั การระหว่างดำเนนิ คดีช้ันศาล

หนงั สอื สำนกั งานอัยการสงู สดุ ด่วนท่สี ดุ ที่ อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๓๔๖

ลงวนั ท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑

- การสอบถามผตู้ อ้ งหากรณมี ที นายความหรอื ไม่ ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา ๑๘๓

มาตรา ๑๓๔/๑

หนังสือสำนักงานอัยการสงู สุด ท่ี อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๓๕๕

ลงวนั ท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

- แนวทางในการดำเนนิ คดแี พ่งทกี่ ระทรวงสาธารณสุขถูกฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน ๑๘๕

ความเสียหายทม่ี มี ูลคดีเกิดจากการปฏบิ ัตหิ น้าทรี่ กั ษาผู้ป่วยของแพทย์หรอื พยาบาล

หนังสือสำนักงานอัยการสงู สดุ ดว่ นที่สดุ ที่ อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๓๖๓

ลงวนั ท่ี ๒๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑

- แนวทางปฏบิ ัตใิ นการพิจารณาทำความเหน็ และคำส่ังคดีความผดิ อาญาแผน่ ดนิ ๑๘๘

หนังสอื สำนักงานอัยการสงู สดุ ดว่ นท่สี ดุ ท่ี อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๓๘๙

ลงวนั ท่ี ๒๑ ธนั วาคม ๒๕๖๑

- แนวทางปฏบิ ัตใิ นการดำเนนิ คดอี าญาชน้ั อุทธรณแ์ ละฎกี า ๑๘๙

หนงั สอื สำนักงานอัยการสูงสุด ที่ อส ๐๐๐๗(สท)/ว ๑๔

ลงวนั ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๒

- ซกั ซอ้ มความเขา้ ใจแนวทางปฏบิ ตั ขิ องพนกั งานอยั การ ในการแจง้ สทิ ธเิ รยี กคา่ สนิ ไหมทดแทน ๑๙๗

ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา มาตรา ๔๔/๑ ใหผ้ ้เู สยี หายทราบ

หนังสือสำนักงานอัยการสูงสดุ ที่ อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๒๕

ลงวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๖๒

- ซกั ซอ้ มความเขา้ ใจเรอ่ื งอำนาจสงั่ คดขี องอยั การชนั้ ๔ ตามระเบยี บสำนกั งานอยั การสงู สดุ ๑๙๙

วา่ ด้วยการดำเนนิ คดอี าญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ขอ้ ๕๒

หนงั สอื สำนกั งานอยั การสูงสดุ ท่ี อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๖๐

ลงวันท่ี ๒๑ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๒

- แนวทางปฏบิ ัติในการดำเนินคดีความผิดตามพระราชบัญญตั ิฟน้ื ฟูสมรรถภาพ ๒๐๑

ผูต้ ิดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕

หนังสือสำนกั งานอยั การสูงสดุ ที่ อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๘๓

ลงวนั ที่ ๑๒ มนี าคม ๒๕๖๒

- แนวทางปฏบิ ตั ใิ นการสอบสวนเพม่ิ เตมิ การบรรยายฟอ้ งและการนำแพทยเ์ ขา้ เบกิ ความ ๒๐๓

ในคดีความผิดฐานพยายามฆา่

หนังสอื สำนกั งานอยั การสูงสุด ที่ อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๘๕

ลงวันที่ ๑๒ มนี าคม ๒๕๖๒

- แนวทางการปฏบิ ัตใิ นการดำเนินคดอี าญาตามกฎหมายเก่ียวกับการเลอื กตง้ั ๒๐๕

และพรรคการเมือง

หนังสอื สำนกั งานอัยการสงู สุด ด่วนท่ีสุด ที่ อส ๐๐๐๗(พก)/ว ๙๙

ลงวันท่ี ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๒

- สารบบคดีปกครองและแบบรายงานคดปี กครอง

หนังสือสำนกั งานอยั การสูงสดุ ที่ อส ๐๐๐๗(สท)/ว ๑๙๐ ๒๐๗

ลงวนั ท่ี ๖ มถิ นุ ายน ๒๕๖๒


รวมหนงั สอื เวียนยุตกิ ารดำเนินคดี

- การสง่ั ยตุ กิ ารดำเนินคดี
หนังสอื สำนักงานอยั การสูงสุด ท่ี อส ๐๐๑๘/ว ๑๑๕
๒๒๙


ลงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๓๕

- หารอื ปญั หาขอ้ กฎหมายเก่ยี วกบั อายคุ วามตามมาตรา ๔๖ ตรี แห่งพระราชบัญญตั ิ ๒๓๑

การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕

หนงั สือสำนกั งานอยั การสงู สุด ที่ อส(สฝปผ.)๐๐๑๘/ว ๒๕
๒๓๕

ลงวันที่ ๒๓ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๑
๒๓๘

๒๔๐

- แนวทางปฏิบัตใิ นการดำเนินคดีฟ้ืนฟูสมรรถภาพผูต้ ดิ ยาเสพติด ๒๔๑

หนังสือสำนกั งานอยั การสูงสดุ ดว่ นท่สี ุด ท่ี อส(สฝปผ.)๐๐๑๘/ว ๔๖
๒๔๒


ลงวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๔๖
๒๔๗

- แนวทางปฏิบัติเกีย่ วกับการเก็บรกั ษาสำนวนคด ี
หนงั สอื สำนกั งานอยั การสูงสดุ ที่ อส(สฝปผ.)๐๐๑๘/ว ๑๙๔
๒๔๘

๒๔๙

ลงวนั ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๘
๒๕๐

- การออกคำสงั่ กรณีสิทธฟิ ้องคดีอาญาระงับตามกฎหมายศลุ กากร
หนังสือสำนกั งานอัยการสงู สดุ ท่ี อส(สฝปผ.)๐๐๑๘/ว ๙๔


ลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๙

- แนวทางปฏบิ ัตใิ นการสง่ั คดีทขี่ าดอุทธรณ์หรือฎกี า
หนงั สือสำนักงานอัยการสูงสุด ท่ี อส ๐๐๐๓(นผ)/ว ๓๗๔

ลงวันที่ ๒๖ ตลุ าคม ๒๕๕๐

- แนวทางปฏบิ ตั ิตามพระราชบัญญัตศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวิธีพจิ ารณา

คดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓

หนังสือสำนักงานอัยการสงู สุด ดว่ นท่สี ดุ ท่ี อส๐๐๒๗(ปผ)/ว ๑๒๗


ลงวันท่ี ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔

- หารือปญั หาข้อขัดข้องอันเกิดจากการปฏิบัตติ ามระเบียบสำนักงานอัยการสงู สุด
วา่ ด้วยการดำเนนิ คดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕๔ วรรคส่

หนังสือสำนกั งานอยั การสงู สุด ท่ี อส ๐๐๐๗(พก)/ว ๓๐๕


ลงวนั ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘

- ซักซอ้ มความเขา้ ใจการออกคำสัง่ กรณีสิทธฟิ ้องคดีอาญาระงบั
หนงั สอื สำนักงานอัยการสูงสดุ ดว่ นมาก ท่ี อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๕๖


ลงวนั ท่ี ๑๐ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๐

- เง่ือนไขระงบั คดี
หนังสือสำนกั งานอัยการสงู สดุ ที่ อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๑๗๗


ลงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐

- การออกคำสงั่ ในคดีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงาน
ของคนตา่ งด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐

หนงั สอื สำนกั งานอัยการสูงสุด ที่ อส ๐๐๔๐(อก)/ว ๓๖๗


ลงวนั ท่ี ๑๑ กนั ยายน ๒๕๖๐

- กำหนดแนวทางในการดำเนนิ การกบั สำนวนการสอบสวนทเี่ ดก็ อายุยังไม่เกนิ สิบป ี ๒๕๑

เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด
๒๕๓

หนังสือสำนักงานอัยการสงู สุด ท่ี อส ๐๐๐๗(พก)/ว ๔๔๓

๒๕๗

ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐

- ซักซ้อมความเข้าใจการสั่งยตุ ิการดำเนนิ คดตี ามระเบยี บ
สำนักงานอัยการสงู สุดว่าดว้ ยการดำเนินคดอี าญาของพนกั งานอัยการ

พ.ศ. ๒๕๔๗ ขอ้ ๕๔ (๘)

หนังสือสำนกั งานอยั การสูงสุด ที่ อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๔๑๔

ลงวนั ที่ ๒๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๒


ดรรชนีอยั การนเิ ทศ


- ดรรชนีอยั การนิเทศเล่มท่ี ๘๐-๘๔ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒)



บทความหรอื ความเหน็ ใด ๆ ทีป่ รากฏในหนังสอื อยั การนเิ ทศ

เป็นความเหน็ ของผเู้ ขยี นโดยเฉพาะ


สำนกั งานอยั การสูงสดุ และคณะผ้จู ัดทำไม่จำต้องเห็นพอ้ งดว้ ย

การส่งบทความเพอ่ื พจิ ารณาลงพมิ พใ์ น “หนงั สืออยั การนิเทศ” โปรดส่งไปท่ี...

สำนักงานอยั การพิเศษฝ่ายสารสนเทศ สำนักงานวิชาการ สำนกั งานอัยการสูงสดุ

ศนู ย์ราชการเฉลมิ พระเกยี รติ ๘๐ พรรษา ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๐ (อาคารราชบรุ ีดิเรกฤทธ)ิ์


ช้ัน ๗ เลขท่ี ๑๒๐ หมูท่ ่ี ๓ ถนนแจง้ วฒั นะ แขวงทุ่งสองหอ้ ง เขตหลกั ส่

กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๑๐

คำ� ชข้ี าดความเหน็ แย้ง

อยั การนิเทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒ 157

158 หนังสอื เวยี น

พนักงานสอบสวนมิได้มีความเห็นทางคดี เป็นการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๑ พนักงานอัยการไม่มีอำนาจ
รับสำนวนไว้พิจารณา

คำช้ขี าดความเห็นแยง้ ท่ี ๓๒๑/๒๕๕๗


ป.อ. เปน็ คนกลางเรยี กรบั สนิ บน, ฉอ้ โกง (มาตรา ๑๔๓, ๓๔๑)

ป.ว.ิ อ. การสอบสวน (มาตรา ๑๔๑)

คดีนี้ ในชั้นแรกพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรส่ังฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานฉ้อโกง

แล้วส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการจังหวัดคดีศาลแขวงนครสวรรค์พิจารณา อัยการจังหวัด

คดีศาลแขวงนครสวรรค์เห็นว่า การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับ
สินบนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ ซึ่งมีอัตราโทษสูงอยู่ในอำนาจพิจารณา

พิพากษาของศาลจังหวัดนครสวรรค์ จึงให้คืนสำนวนการสอบสวนเพ่ือให้พนักงานสอบสวน
ดำเนินการสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนรับสำนวนการสอบสวนไปแล้ว แต่มิได้
ดำเนนิ การสอบสวนดำเนินคดใี นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ แตอ่ ย่างใด
เนื่องจากผู้ต้องหาหลบหนี แต่ได้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายจับผู้ต้องหาในความผิดฐานฉ้อโกง
และขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓

โดยอ้างความเห็นของอัยการจังหวัดคดีศาลแขวงนครสวรรค์ และศาลได้ออกหมายจับผู้ต้องหา
ในความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ แลว้ พนกั งานสอบสวนยังคงนำรายงาน
การสอบสวนคดีอาญาที่ ๔๒/๒๕๕๖ ซึ่งสอบสวนในความผิดฐานฉ้อโกง ส่งให้พนักงานอัยการ
จังหวัดนครสวรรค์พิจารณา โดยพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรส่ังฟ้องผู้ต้องหา ฐานฉ้อโกง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ และมไิ ดม้ คี วามเหน็ ควรสัง่ ฟ้องผตู้ อ้ งหาในความผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ อัยการจังหวัดนครสวรรค์มีคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหา

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ และสำหรับความผิดฐานฉ้อโกง อยู่ในอำนาจ
พิจารณาของสำนักงานอัยการคดีศาลแขวงนครสวรรค์ จึงเห็นควรคืนสำนวนการสอบสวน

ในความผิดฐานฉ้อโกงให้พนักงานสอบสวนเพื่อนำส่งสำนักงานอัยการคดีศาลแขวงที่มีอำนาจ
เพ่ือพิจารณาต่อไป ผูบ้ ญั ชาการตำรวจภูธรภาค ๖ มคี วามเห็นแยง้

เห็นว่า พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการสำนักงานอัยการ
จังหวัดนครสวรรค์พิจารณาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓

โดยไม่ทำความเห็นควรส่ังฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้ันตอนตามประมวล
กฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๑ ใหถ้ กู ต้องครบถว้ น พนกั งานอยั การ สำนกั งาน
อัยการจังหวัดนครสวรรค์จึงไม่มีอำนาจรับสำนวนการสอบสวนไว้พิจารณาและมีคำส่ังฟ้อง

หรอื ไมฟ่ อ้ งในความผดิ ฐานดงั กลา่ ว และผบู้ ญั ชาการตำรวจภธู รภาค ๖ ยงั ไมอ่ าจทำความเหน็ แยง้
โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ ที่แก้ไขใหม่ได้
จึงไม่มีกรณีที่อัยการสูงสุดต้องพิจารณาชี้ขาด ส่งสำนวนคืนอัยการจังหวัดนครสวรรค์

เพ่ือดำเนินการคืนสำนวนสอบสวนและแจ้งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพ่ือดำเนินคดี
กับผู้ต้องหาในความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓


______________________________


อัยการนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒

ข้อเท็จจริงได้ความว่า สามีของผู้กล่าวหาถูกเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธร

เมืองนครสวรรค์จับกุมดำเนินคดีในข้อหาเก่ียวกับยาเสพติด ต่อมาในขณะที่ผู้กล่าวหาอยู่ท่ีบ้าน

ผู้ต้องหาโทรศัพท์ไปหาผู้กล่าวหาและหลอกลวงผู้กล่าวหาโดยอ้างว่าตนช่ือพันตำรวจตรี ม.

ประจำอยู่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ สามารถวิ่งเต้นพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ
ให้ช่วยเหลือสั่งไม่ฟ้องสามีของผู้กล่าวหาได้ โดยต้องเสียเงินให้พนักงานอัยการเป็นเงินจำนวน
๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้จ่ายเงินคร้ังแรก จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หากหลุดคดีแล้วให้จ่ายอีก
๑๐๐,๐๐๐ บาท ผู้กล่าวหาตกลงตามข้อเสนอของผู้ต้องหา และนัดให้ผู้กล่าวหานำเงินจำนวน
๑๐๐,๐๐๐ บาท ไปให้แก่ผู้ต้องหาบริเวณใต้ถุนแฟลตตำรวจ สถานีตำรวจภูธรหนองปลิง

อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาในวันเกิดเหตุ ผู้กล่าวหาและมารดาเดินทางไปพบผู้ต้องหา

ท่ีแฟลตสถานีตำรวจภูธรหนองปลิง โดยผู้กล่าวหาเป็นผู้มอบเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก

ผู้ต้องหาและมีการพูดคุยกันนานประมาณ ๑๕ นาที โดยผู้ต้องหาบอกแก่ผู้กล่าวหาว่าสามารถ

ช่วยเหลือได้จริงและให้ผู้กล่าวหาเตรียมสำเนาบันทึกจับกุมและสำเนาบัตรประชาชนของสาม ี

ผู้กล่าวหาไว้แล้วจะติดต่อกลับภายใน ๕ วัน จากน้ันจึงแยกย้ายไป หลังจากนั้นผู้กล่าวหาพยายาม
โทรศัพท์ติดต่อผู้ต้องหาแต่ผู้ต้องหาไม่รับสาย ผู้กล่าวหาจึงโทรศัพท์สอบถามไปยังสถานีตำรวจภูธร
หนองปลิงเกี่ยวกับผู้ต้องหา ทราบว่าผู้ต้องหาไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จึงแจ้งความร้องทุกข

ตอ่ เจ้าพนักงานตำรวจในขอ้ หาฉอ้ โกงเงนิ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จากผกู้ ล่าวหาไป

พนักงานสอบสวนส่งสำนวนคดีอาญาที่ ๔๒/๒๕๕๖ ของสถานีตำรวจภูธรหนองปลิง

ไปยงั อยั การจังหวดั คดีศาลแขวงนครสวรรค์ พรอ้ มความเห็นควรส่ังฟอ้ งผ้ตู อ้ งหาฐานฉอ้ โกง

อัยการจังหวัดคดีศาลแขวงนครสวรรค์พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของผู้ต้องหา

เป็นความผิดฐานเรียก รับทรัพย์สินสำหรับตนเองหรือผู้อ่ืน เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจ

หรือได้จูงใจเจ้าพนักงานด้วยวิธีการอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย ให้กระทำการ หรือไม่กระทำการ

ในหน้าท่ี อันเป็นคุณหรือโทษแก่บุคคลใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ ด้วย

ซึ่งพนักงานสอบสวนยังไม่ได้ดำเนินการสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหา ท้ังความผิดฐานดังกล่าว

มีอัตราโทษสูงและอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดนครสวรรค์ จึงส่งสำนวน

คดีอาญาดังกล่าวคืนพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหนองปลิงเพ่ือดำเนินการสอบสวน

แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปสำนวนทำความเห็นตามท้องสำนวนการสอบสวน ส่งไปยังสำนักงาน

อัยการจงั หวัดนครสวรรค์พิจารณาตอ่ ไป

พนกั งานสอบสวน ยนื่ คำรอ้ งขอเพกิ ถอนหมายจบั ผตู้ อ้ งหาตอ่ ศาลแขวงนครสวรรค์ ในความผดิ
ฐานฉ้อโกง และยื่นคำร้องขอออกหมายจับผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ในความผิดฐาน

เป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ ศาลจังหวัดนครสวรรค์
อนุญาตตามขอ

พนกั งานสอบสวนสง่ สำนวนคดอี าญาที่ ๔๒/๒๕๕๖ ของสถานีตำรวจภธู รหนองปลงิ ดังกลา่ ว
ไปยังสำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมความเห็นควรส่ังฟ้องผู้ต้องหาฐานฉ้อโกง

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ โดยยังไม่มีการสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาและมีความเห็น
ทางคดีตามท่อี ยั การจงั หวดั คดีศาลแขวงนครสวรรค์มคี ำส่งั


คำชข้ี าดความเห็นแยง้

พนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์รับสำนวนคดีอาญาดังกล่าวเป็นสำนวน ส.๒ เลขรับท่ี
๒๑๐/๒๕๕๖ และมีคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาตามข้อกล่าวหา โดยเห็นว่าไม่มีพฤติการณ์อันใด

ท่ีจะเห็นได้ว่าผู้ต้องหาเป็นคนกลางเรียกเงินเพ่ือไปให้เจ้าพนักงานในการช่วยเหลือทางคดี

แก่สามีผู้กล่าวหาแต่อย่างใด ท้ังนี้ ให้คืนสำนวนคดีนี้ไปยังพนักงานสอบสวนเพ่ือส่งไปยัง

สำนักงานอยั การคดศี าลแขวงที่มีอำนาจพิจารณาความผิดฐานฉ้อโกง

ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๖ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาของพนักงานอัยการ

โดยเห็นว่า ผู้ต้องหาเรียกเงินจากผู้กล่าวหาซ่ึงเป็นผู้เสียหายในคดีนี้จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท

เพอื่ ชว่ ยวง่ิ เตน้ ทางคดใี หพ้ นกั งานอยั การสงั่ ไมฟ่ อ้ งสามผี กู้ ลา่ วหา และไดร้ บั เงนิ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ไปจากผู้กล่าวหาแล้ว ผู้ต้องหาจะมีการติดต่อกับพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ

หรือไม่ก็ตาม กเ็ ปน็ ความผิดสำเรจ็ แลว้

คดีมีปัญหาต้องพิจารณาว่า พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค ์

จะรบั สำนวนคดอี าญาดงั กลา่ วไวพ้ จิ ารณาสง่ั ไดห้ รอื ไม่ และเมอื่ อยั การจงั หวดั นครสวรรคม์ คี ำสงั่ ไมฟ่ อ้ ง
ผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ แล้วผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๖
มีความเห็นแยง้ กรณจี ะเปน็ ความเหน็ แยง้ ทอี่ ัยการสูงสดุ ต้องพจิ ารณาชี้ขาดหรือไม

สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายช้ีขาดคดีอัยการสูงสุด ๓ (เดิม สำนักงานอัยการพิเศษ

ฝ่ายคดีอัยการสูงสุด ๓) เห็นว่า การท่ีพนักงานอัยการคดีศาลแขวงนครสวรรค์ส่งสำนวนคืน

พนักงานสอบสวน โดยเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ ซึ่งอัตราโทษอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษา

ของศาลจังหวัดนครสวรรค์ ทั้งนี้เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา

และมีความเหน็ ทางคดใี นความผดิ ดงั กลา่ วสง่ พนกั งานอยั การจงั หวดั นครสวรรค์ แตพ่ นกั งานสอบสวน
มิได้ดำเนินการตามท่ีพนักงานอัยการจังหวัดคดีศาลแขวงนครสวรรค์มีความเห็น โดยดำเนินการ

แต่เพียงยื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายจับต่อศาลแขวงนครสวรรค์ในความผิดฐานฉ้อโกง และขอยื่น
คำร้องขอออกหมายจับต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ในความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบน และ

สง่ สำนวนคดอี าญาดงั กลา่ ว ซ่ึงเป็นสำนวนเดิมพร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาฐานฉ้อโกงไปยัง
สำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์นั้น เห็นว่า เป็นกรณีที่พนักงานสอบสวนมีความเห็นว่า

การกระทำของผู้ต้องหาเข้าลักษณะเป็นการฉ้อโกง การส่งสำนวนไปยังอัยการจังหวัดนครสวรรค์
เป็นการทำตามความเห็นของอัยการจังหวัดคดีศาลแขวงนครสวรรค์ อัยการจังหวัดนครสวรรค

จึงมีความเห็นและคำสั่งในความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๔๓ ได้ ดังนั้น เม่ือพนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์มีความเห็นส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหา

ในความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบน และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๖ มีความเห็นแย้ง

คำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาของพนักงานอัยการในความผิดฐานดังกล่าว จึงเป็นความเห็นแย้งท ่

อยั การสูงสดุ ต้องช้ีขาด

อธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามประมวลกฎหมาย

วธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๐ บัญญัติวา่ เมอื่ พนักงานสอบสวนผรู้ บั ผิดชอบในการสอบสวน
เห็นว่าการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ให้จัดการตามบทบัญญัติส่ีมาตราต่อไป (มาตรา ๑๔๑ - ๑๔๔)

ซ่ึงมาตรา ๑๔๑ บัญญัติว่า “ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด แต่เรียกหรือจับตัวยังไม่ได้ เมื่อได้ความตาม


อยั การนเิ ทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒

ทางสอบสวนอย่างใด ให้ทำความเห็นว่าควรส่ังฟ้องหรือส่ังไม่ฟ้องส่งไปพร้อมกับสำนวนยัง

พนักงานอยั การ” แต่ปรากฏวา่ คดีนเี้ มื่อพนกั งานอัยการ สำนักงานอยั การคดศี าลแขวงนครสวรรค์
สง่ สำนวนการสอบสวนทพี่ นกั งานสอบสวนมคี วามเหน็ ควรสงั่ ฟอ้ งฐานฉอ้ โกง ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๔๑ คืนไปเพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนและสรุปสำนวนทำความเห็น

ในความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ แลว้ สง่ ใหพ้ นกั งานอัยการจังหวัดนครสวรรค์
พิจารณาตามอำนาจหน้าที่ แต่พนักงานสอบสวนก็เพียงแต่ยื่นคำร้องขอยกเลิกหมายจับผู้ต้องหา

ในความผิดฐานฉ้อโกง และขอให้ศาลจังหวัดนครสวรรค์ออกหมายจับผู้ต้องหาในความผิด

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ โดยมไิ ดม้ คี วามเหน็ ในรายงานการสอบสวนวา่ ควรสง่ั ฟอ้ ง

ผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ หรือไม่แต่ประการใด กลับยังคง

สง่ สำนวนการสอบสวนเดมิ ทม่ี คี วามเหน็ ควรสงั่ ฟอ้ งผตู้ อ้ งหาฐานฉอ้ โกง ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๔๑ สง่ ใหพ้ นักงานอยั การจงั หวัดนครสวรรคพ์ จิ ารณาดำเนินการ ดังนนั้ จงึ ไมอ่ าจถือไดว้ า่
สำนวนคดีนี้ได้มีการสอบสวนดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๑๔๓ และเมื่อพนักงานสอบสวนมิได้ทำความเห็นว่าควรส่ังฟ้องหรือส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหา

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ สง่ ไปใหพ้ นกั งานอยั การพรอ้ มกบั สำนวนและคงมคี วามเหน็
เพียงว่า ควรส่ังฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑

ซ่ึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง สำนวนดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอำนาจ

ของพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ที่จะรับสำนวนการสอบสวนไว้พิจารณา
และมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ ได้ และผู้บัญชาการ

ตำรวจภธู รภาค ๖ จงึ ไมอ่ าจใชอ้ ำนาจตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑
ทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ได้ จึงไม่มีกรณีท่ีอัยการสูงสุด
ต้องพิจารณาช้ขี าด

รองอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวน

ให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ พิจารณาในความผิดตามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ โดยไม่ทำความเห็นควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง เป็นการไม่ปฏิบัติ

ตามข้ันตอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๑ ให้ถูกต้องครบถ้วน

พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ จึงไม่มีอำนาจรับสำนวนการสอบสวน

ไว้พิจารณาได้ และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๖ ยังไม่อาจทำความเห็นแย้งโดยอาศัยอำนาจ

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ ท่ีแก้ไขใหม่ได้ จึงไม่มีกรณ

ทีอ่ ัยการสูงสดุ ต้องพิจารณาชี้ขาด

อัยการสูงสุดเห็นชอบด้วยกับความเห็นของรองอัยการสูงสุดและอธิบดีอัยการ สำนักงาน
ชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด กับให้อัยการจังหวัดนครสวรรค์คืนสำนวนสอบสวนและแจ้งให้

พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในความผิดตามประมวล

กฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓ และมีความเห็นควรสั่งฟ้องหรือส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาในความผิด

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๓, ๓๔๑ เมื่อดำเนินการสอบสวนคดีนี้เสร็จแล้ว

ให้ส่งสำนวนคืนพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ พิจารณาตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๑ ตอ่ ไป


คำชขี้ าดความเห็นแย้ง

การส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมาย
วธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕, ๑๔๕/๑

คำช้ขี าดความเหน็ แยง้ ที่ ๖๖๖/๒๕๕๘


ป.ว.ิ อ. การส่งสำนวนพรอ้ มคำสงั่ ไม่ฟ้องผ้ตู ้องหาของพนกั งานอัยการ (มาตรา ๑๔๕, ๑๔๕/๑)



คดีนี้มีพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสันป่าตองและปลัดอำเภอสันป่าตอง
เป็นพนักงานสอบสวนหลายคน โดยมีนายอำเภอสันป่าตอง พนักงานฝ่ายปกครองเป็น

หัวหน้าพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสรุปสำนวนพร้อมความเห็น
ไปยงั พนกั งานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘ วรรคส,่ี ๑๔๐
กรณีจึงมิใช่การสอบสวนซ่ึงอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจท่ีจะต้องส่งสำนวน
การสอบสวนพร้อมคำสั่งไม่ฟ้องเสนอผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการซ่ึงเป็นผู้บังคับบัญชา

ของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา ๑๔๕/๑ วรรคแรก ดังนั้น เม่ือพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่

มีคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหา จึงต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำส่ังเสนอผู้ว่าราชการจังหวัด
เชียงใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕ การที่พนักงานอัยการ
สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหา

เสนอผูบ้ ัญชาการตำรวจภธู รภาค ๕ และรองผู้บัญชาการตำรวจภธู รภาค ๕ ปฏบิ ตั ิราชการแทน
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ มีความเห็นแย้งคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหา จึงไม่ชอบด้วย

ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา


______________________________




คดีนี้กล่าวหาผู้ต้องหาท่ี ๑ ถึงท่ี ๗ ฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวก

แก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม หรือรับของโจร

ร่วมกันยึดถือครอบครองหรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้เป็นการทำลายหรือทำให้เส่ือมสภาพ

ที่ดิน หิน กรวด หรือทราย ทำส่ิงหน่ึงสิ่งใดอันเป็นอันตรายแก่ทรัพยากรท่ีดินโดยไม่ได้รับอนุญาต
จากพนักงานเจ้าหน้าที่ กับกล่าวหาผู้ต้องหาท่ี ๘ และผู้ต้องหาท่ี ๙ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัต ิ

หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หน่ึงผู้ใดหรือละเว้น

การปฏิบตั หิ นา้ ทโี่ ดยทุจรติ เหตุเกดิ เมอื่ วันท่ี ๒๔ มถิ นุ ายน ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๑๑.๓๐ นาฬิกา
ทต่ี ำบลนำ้ บ่อหลวง อำเภอสนั ป่าตอง จงั หวดั เชียงใหม

ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ต้องหาที่ ๘ ซ่ึงเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำบ่อหลวง
ได้ออกใบอนุญาตรับแจ้งการขุดดินและถมดินให้แก่ผู้ต้องหาท่ี ๙ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านเพ่ือ

ทำการปรับปรุงสระน้ำสาธารณะที่เกิดเหตุซึ่งได้ข้ึนทะเบียนเป็นท่ีหลวง ผู้ต้องหาท่ี ๙ ได้ทำสัญญา
ว่าจ้างผู้ต้องหาท่ี ๑ เป็นผู้ดำเนินการขุดลอกปรับปรุงสระน้ำโดยรับค่าจ้างเป็นดิน กรวด ทราย

ที่ขุดข้ึนจากสระน้ำคิดคำนวณราคาตามลูกบาศก์เมตร และนำรายได้จากการขายดินท่ีขุดลอกไป

อยั การนเิ ทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒

สร้างโบสถ์วดั ทุ่งฟา้ ฮา่ ม สว่ นผตู้ ้องหาที่ ๒ ถึงที่ ๗ เป็นลกู จ้างของผตู้ ้องหาท่ี ๑ ต่อมามีผกู้ ล่าวหา
ร้องเรียนว่าเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พนักงานสอบสวนจึงทำการ
สอบสวนโดยมีพนักงานฝ่ายปกครองเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ นายอำเภอสันป่าตอง

ซ่ึงเป็นพนักงานฝ่ายปกครองเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบได้มีความเห็นทางคดีและส่งสำนวน
มาเสนอพนกั งานอยั การจงั หวดั เชยี งใหม่ อยั การจงั หวดั เชยี งใหมพ่ จิ ารณาแลว้ มคี ำสง่ั ฟอ้ งผตู้ อ้ งหาท่ี ๘
สง่ั ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาที่ ๑ ถงึ ท่ี ๗ และผู้ต้องหาท่ี ๙ ตามข้อกล่าวหา และสง่ สำนวนพรอ้ มคำสั่งไม่ฟ้อง
เสนอผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ ต่อมารองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ ปฏิบัติราชการแทน

ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ มีความเห็นแย้งคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาท่ี ๑ และท่ี ๙ ของ

อยั การจงั หวดั เชียงใหม่ และส่งสำนวนพรอ้ มความเหน็ แยง้ เสนออยั การสงู สดุ พิจารณาชข้ี าด

สำนกั งานอยั การพิเศษฝ่ายชข้ี าดคดอี ัยการสูงสุด ๒ พจิ ารณาแล้ว เหน็ ว่า การท่จี ะสง่ สำนวน
การสอบสวนทมี่ ีคำส่ังไมฟ่ ้องเสนอผูบ้ ญั ชาการตำรวจภูธรภาค หรอื รองผู้บญั ชาการตำรวจภธู รภาค
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ น้ัน ต้องเป็นสำนวนคดี

ที่การสอบสวนอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ โดยให้ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อม
คำสั่งไม่ฟ้องเสนอผู้บัญชาการ หรือรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวน

ผู้รับผิดชอบ แต่สำนวนคดีนี้ปรากฏว่านายอำเภอสันป่าตอง พนักงานฝ่ายปกครองเป็น

พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ การเสนอสำนวนที่มีคำสั่งไม่ฟ้อง จึงต้องปฏิบัติตามประมวล
กฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕ โดยตอ้ งเสนอผู้ว่าราชการจงั หวดั เชยี งใหมพ่ จิ ารณา
การท่ีอัยการจังหวัดเชียงใหม่เสนอสำนวนคดีน้ีไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ ซึ่งไม่ได

เป็นผู้บังคับบัญชาของนายอำเภอสันป่าตองพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีน้ีจึงไม่ถูกต้อง

ความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา

ความอาญา มาตรา ๑๔๕

อธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด เห็นว่า คดีอยู่ในความรับผิดชอบของ

พนกั งานฝา่ ยปกครองโดยนายอำเภอสนั ปา่ ตอง จังหวดั เชียงใหม่ เปน็ พนักงานสอบสวนผ้รู บั ผิดชอบ
การทำความเห็นแย้งคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาของพนักงานอัยการ จึงอยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการ
จังหวัดเชียงใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕ เม่ือคดีไม่อย่

ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ การท่ีผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ หรือ

รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ ทำความเห็นแย้งคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาของพนักงานอัยการ

จงึ ไมช่ อบด้วยประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ ทแ่ี ก้ไขเพ่มิ เตมิ

อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้มีพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสันป่าตอง

และปลัดอำเภอสันป่าตอง เป็นพนักงานสอบสวนหลายคน โดยมีนายอำเภอสันป่าตอง

พนักงานฝ่ายปกครองเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสรุป
สำนวนพร้อมความเห็นไปยังพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา ๑๘ วรรคส,ี่ ๑๔๐ กรณจี งึ มใิ ช่การสอบสวนซงึ่ อยใู่ นความรับผดิ ชอบของเจา้ พนักงานตำรวจ
ท่ีจะต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำส่ังไม่ฟ้องเสนอผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการซ่ึงเป็น

ผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๔๕/๑ วรรคแรก ดังน้ัน เมื่อพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ มีคำสั่ง


คำช้ีขาดความเหน็ แยง้

ไม่ฟ้องผู้ต้องหา จึงต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำสั่งไปเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕ การที่พนักงานอัยการ สำนักงาน
อัยการจังหวัดเชียงใหม่ ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหา เสนอผู้บัญชาการ

ตำรวจภูธรภาค ๕ และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการ

ตำรวจภูธรภาค ๕ มีความเห็นแย้งคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหา จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา ให้ส่งสำนวนคืนสำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ เพ่ือให้ดำเนินการ

ส่งสำนวนพร้อมคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาของพนักงานอัยการ เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม

ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕ และแจง้ ใหผ้ บู้ ญั ชาการตำรวจภธู รภาค ๕
ทราบ กับให้แจ้งพนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องให้พึงใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง
ในโอกาสต่อไป



หมายเหตุ

ประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕ บญั ญตั วิ ่า

“ในกรณที ม่ี คี ำสงั่ ไมฟ่ อ้ ง และคำสงั่ นน้ั ไมใ่ ชข่ องอธบิ ดกี รมอยั การ ถา้ ในนครหลวงกรงุ เทพธนบรุ ี

ให้รีบส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมกับคำสั่งไปเสนออธิบดีกรมตำรวจ รองอธิบดีกรมตำรวจ

หรือผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ถ้าในจังหวัดอื่นให้รีบส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมกับคำส่ังไปเสนอ

ผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ท้ังน้ีมิได้ตัดอำนาจพนักงานอัยการที่จะจัดการอย่างใดแก่ผู้ต้องหา

ดงั บญั ญัติไวใ้ นมาตรา ๑๔๓

ในกรณีท่ีอธิบดีกรมตำรวจ รองอธิบดีกรมตำรวจ หรือผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ในนครหลวง
กรุงเทพธนบุรี หรือผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดอ่ืนแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ ให้ส่งสำนวน
พร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยังอธิบดีกรมอัยการเพ่ือช้ีขาด แต่ถ้าคดีจะขาดอายุความหรือมีเหตุ
อย่างอื่นอันจำเป็นจะต้องรีบฟ้อง ก็ให้ฟ้องคดีนั้นตามความเห็นของอธิบดีกรมตำรวจ รองอธิบด

กรมตำรวจ ผชู้ ่วยอธบิ ดกี รมตำรวจ หรือผ้วู ่าราชการจังหวัดไปก่อน

บทบัญญัติในมาตรานี้ ให้นำมาบังคับในการที่พนักงานอยั การจะอทุ ธรณ์ ฎีกา หรอื ถอนฟ้อง
ถอนอทุ ธรณแ์ ละถอนฎกี าโดยอนโุ ลม”

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ (เพิ่มเติมโดยประกาศคณะ

รักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑๕/๒๕๕๗ เรื่องแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา ลงวนั ที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศกั ราช ๒๕๕๗) บัญญตั วิ ่า

“สำหรบั การสอบสวนซง่ึ อยใู่ นความรบั ผดิ ชอบของเจา้ พนกั งานตำรวจ ในกรณที ม่ี คี ำสง่ั ไมฟ่ อ้ ง
และคำสั่งนั้นไม่ใช่คำสั่งของอัยการสูงสุด ถ้าในกรุงเทพมหานครให้รีบส่งสำนวนการสอบสวน
พร้อมกับคำสั่งเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้ช่วย

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถ้าในจังหวัดอ่ืนให้รีบส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมกับคำสั่งเสนอ

ผู้บัญชาการ หรือรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ แต่ท้ังน้ี
มิไดต้ ดั อำนาจพนักงานอยั การท่ีจะจัดการอยา่ งใดแก่ผู้ตอ้ งหา ดงั บัญญตั ิไว้ในมาตรา ๑๔๓

ในกรณีทผ่ี บู้ ัญชาการตำรวจแหง่ ชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแหง่ ชาติ หรอื ผู้ชว่ ยผูบ้ ัญชาการ
ตำรวจแห่งชาติในกรุงเทพมหานคร หรือผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา


อัยการนเิ ทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒

ของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในจังหวัดอ่ืนแย้งคำส่ังของพนักงานอัยการให้ส่งสำนวน

พร้อมกับความเห็นทแี่ ย้งไปยงั อยั การสงู สดุ เพอื่ ช้ีขาด แตถ่ า้ คดีจะขาดอายุความ หรือมีเหตุอยา่ งอน่ื
อันจำเป็นจะต้องรีบฟ้อง ก็ให้ฟ้องคดีน้ันตามความเห็นของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ชว่ ยผูบ้ ัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผูบ้ ญั ชาการ หรือรองผบู้ ัญชาการ
ดังกลา่ วแล้วแต่กรณไี ปกอ่ น

บทบัญญัติในมาตราน้ี ให้นำมาบงั คับในการทพ่ี นักงานอัยการจะอุทธรณ์ ฎีกา หรอื ถอนฟอ้ ง
ถอนอทุ ธรณ์และถอนฎีกาโดยอนุโลม”

ข้อเท็จจริงในคดีนี้ นายอำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ใช้อำนาจตามข้อบังคับ

กระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๒๓ เข้าควบคุมการสอบสวน
โดยนายอำเภอพนักงานฝ่ายปกครองเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมาย

วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘ วรรคท้าย และเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสรุป
สำนวนพร้อมความเห็นไปยังพนักงานอัยการ กรณีจึงมิใช่การสอบสวนซ่ึงอยู่ในความรับผิดชอบ

ของเจ้าพนักงานตำรวจท่ีจะต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำสั่งไม่ฟ้องเสนอผู้บัญชาการ

หรือรองผู้บัญชาการซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ วรรคแรก

เมื่ออัยการจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา จึงต้องส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำสั่ง
เสนอผู้วา่ ราชการจังหวัดเชียงใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕






10 คำชีข้ าดความเห็นแย้ง

กรณีเป็นความเห็นแย้งท่ีอัยการสูงสุดต้องพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมาย

วธิ พี จิ ารณาความอาญาหรอื ไม่ และอยั การสงู สดุ ตอ้ งพจิ ารณาสงั่ อยา่ งไร เมอ่ื ผมู้ อี ำนาจ
ทำความเหน็ แยง้ เหน็ ดว้ ยวา่ ผตู้ อ้ งหาไมใ่ ชต่ วั การกระทำความผดิ ตามทพี่ นกั งานอยั การ
มีคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
และมีความเห็นแย้งว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

การกระทำผิดฐานดังกล่าว

คำช้ีขาดความเห็นแย้งที่ ๑๕๙๐/๒๕๕๘


ป.อ. ผสู้ นบั สนุน, พยายามฆ่าโดยไตรต่ รองไวก้ อ่ น (มาตรา ๘๐, ๘๖, ๒๘๘, ๒๘๙)

ป.ว.ิ อ. ผ้มู อี ำนาจทำความเหน็ แย้ง (มาตรา ๑๔๕/๑)

พ.ร.บ. องค์กรอัยการและพนกั งานอยั การ พ.ศ. ๒๕๕๓ อำนาจการดำเนนิ คดีของอยั การสงู สุด

(มาตรา ๑๕)



การที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓ ในความผิด

ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ปฏบิ ตั ริ าชการแทนผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ มคี วามเหน็ ดว้ ยวา่ ผตู้ อ้ งหาท่ี ๒ และผตู้ อ้ งหาที่ ๓
ไม่เปน็ ตัวการกระทำผิด แตเ่ หน็ วา่ การกระทำของผูต้ อ้ งหาที่ ๒ และผตู้ ้องหาท่ี ๓ เป็นความผิด
ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้ต้องหาที่ ๑ กระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น

กรณีจึงถือว่าผู้มีอำนาจทำความเห็นแย้งได้เห็นชอบกับคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ ๒ และ

ผู้ต้องหาท่ี ๓ ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และไม่มีกรณี

ทอ่ี ยั การสงู สดุ ตอ้ งพจิ ารณาชข้ี าด ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑
แตเ่ มอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ และพฤตกิ ารณแ์ หง่ คดฟี งั ไดว้ า่ ผตู้ อ้ งหาท่ี ๒ และผตู้ อ้ งหาที่ ๓ กระทำความผดิ
ฐานเป็นผู้สนับสนุนและคดีมีพยานหลักฐานพอฟ้อง จึงใช้อำนาจอัยการสูงสุดตาม

พระราชบญั ญตั อิ งคก์ รอยั การและพนกั งานอยั การ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๕ สงั่ ฟอ้ ง ผตู้ อ้ งหาท่ี ๒
และผตู้ อ้ งหาที่ ๓ ฐานเปน็ ผสู้ นบั สนนุ การกระทำความผดิ ฐานพยายามฆา่ ผอู้ น่ื โดยไตรต่ รองไวก้ อ่ น
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๖, ๒๘๘, ๒๘๙


______________________________




คดีน้ีกล่าวหาผู้ต้องหาท้ังสาม ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกัน
พาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร เหตุเกิด

วนั ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร

ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ กอ่ นเกดิ เหตผุ ตู้ อ้ งหาที่ ๑ ไดข้ ม่ ขจู่ ะฟนั บตุ รของผเู้ สยี หาย ในวนั เกดิ เหตุ
ผู้เสียหายจึงไปดักคอยผู้ต้องหาท่ี ๑ บริเวณท่ีเกิดเหตุพบผู้ต้องหาท่ี ๑ ขับรถยนต์มาจึงเข้าไป
สอบถาม ผู้ต้องหาท่ี ๑ บอกให้ผู้เสียหายรออยู่ตรงท่ีเกิดเหตุก่อน แล้วผู้ต้องหาท่ี ๑ ก็ขับรถยนต ์


อัยการนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
11

ไปทางบ้านของผู้ต้องหาที่ ๑ ต่อมาผู้ต้องหาที่ ๒ ขับขี่รถจักรยานยนต์กลับมาโดยมีผู้ต้องหาท่ี ๑

น่ังซ้อนท้ายโดยถืออาวุธมีดยาวประมาณ ๒ ฟุตติดตัวมาด้วยและมีผู้ต้องหาท่ี ๓ ขับข ี่

รถจักรยานยนต์ตามมาอีกคัน จากน้ันผู้ต้องหาท่ี ๑ ลงจากรถจักรยานยนต์ว่ิงไปที่ผู้เสียหายและ

ใชอ้ าวุธมดี ฟนั ทำรา้ ยผูเ้ สียหายหลายครัง้ มผี เู้ ขา้ มาห้ามผตู้ ้องหาที่ ๑ ผตู้ ้องหาท้งั สามจงึ หลบหนีไป
ต่อมาผู้ต้องหาทัง้ สามเข้าพบพนักงานสอบสวน

พนักงานสอบสวนมีความเหน็ ควรสั่งฟอ้ งผู้ตอ้ งหาทัง้ สามตามขอ้ กล่าวหา

อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ๕ ส่ังฟ้องผู้ต้องหาที่ ๑ ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยเปิดเผยหรือ
โดยไม่มีเหตุอันสมควร ส่ังฟ้องผู้ต้องหาที่ ๒ และที่ ๓ ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน

หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร และส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาท่ี ๒ และท่ี ๓

ฐานรว่ มกนั พยายามฆา่ ผูอ้ ่นื โดยไตรต่ รองไวก้ อ่ น

ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓ ของพนักงานอัยการ โดยเห็นว่า

การกระทำของผตู้ ้องหาท่ี ๒ และผู้ตอ้ งหาที่ ๓ เปน็ ความผิดฐานเป็นผ้สู นบั สนนุ การกระทำความผดิ
ฐานพยายามฆา่ ผอู้ ืน่ โดยไตร่ตรองไว้กอ่ น

สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายช้ีขาดคดีอัยการสูงสุด ๓ มีความเห็นในประเด็นเก่ียวกับอำนาจ

ในการทำความเห็นแย้งของผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการ
ตำรวจแห่งชาติ และเจตนาของผสู้ นบั สนุนแตกต่างกนั ดังน
้ี
อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายช้ีขาดคดีอัยการสูงสุด ๓ เห็นว่า

การทผ่ี ชู้ ว่ ยผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ ปฏบิ ตั ริ าชการแทนผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ มคี วามเหน็ วา่
ผู้ต้องหาที่ ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓ มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้ต้องหาที่ ๑ กระทำผิด

ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยไม่ได้แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการฐานร่วมกัน
พยายามฆ่าผอู้ น่ื โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ย่อมถอื ได้วา่ ความผิดฐานรว่ มกนั พยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรอง
ไว้ก่อน เห็นชอบแล้ว ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นฐานความผิดน้ีอีก ปัญหาที่ต้อง
พจิ ารณามวี า่ การทผ่ี ชู้ ว่ ยผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ ปฏบิ ตั ริ าชการแทนผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ
เห็นแย้งว่าการกระทำของผู้ต้องหาที่ ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓ ผิดฐานสนับสนุนให้ผู้ต้องหาท่ี ๑

กระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยที่พนักงานอัยการไม่ได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง

ผู้ต้องหาที่ ๒ และที่ ๓ ในความผิดฐานดังกล่าวน้ี จะเป็นความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ หรือไม่ เห็นว่า เม่ือพนักงานอัยการไม่ได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง

ผ้ตู อ้ งหาท่ี ๒ และท่ี ๓ ฐานสนับสนุนให้ผูต้ อ้ งหาที่ ๑ กระทำความผิดฐานดงั กล่าว ความเห็นของ

ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในกรณีดังกล่าว
จึงไม่เป็นความเห็นแย้ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ แต่เห็นว่า
ตามพยานหลกั ฐานควรพจิ ารณาความเหน็ ตามทผ่ี ชู้ ว่ ยผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ ปฏบิ ตั ริ าชการแทน
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสนอว่าการกระทำของผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาที่ ๓ เป็นความผิด
ฐานสนับสนุนให้ผู้ต้องหาที่ ๑ กระทำผิดหรือไม่ เห็นว่า การท่ีผู้ต้องหาท่ี ๒ ช่วยขับข ่

รถจักรยานยนต์พาผู้ต้องหาที่ ๑ มาบริเวณที่เกิดเหตุ และผู้ต้องหาท่ี ๓ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์

12 คำชข้ี าดความเห็นแยง้

ตดิ ตามรถจกั รยานยนตค์ นั ทผ่ี ตู้ อ้ งหาที่ ๒ ขบั ขมี่ าดว้ ย โดยทผี่ ตู้ อ้ งหาท่ี ๒ และที่ ๓ เหน็ วา่ ผตู้ อ้ งหาท่ี ๑
มีอาวุธมีดมาด้วย อีกท้ังเมื่อถึงที่เกิดเหตุ ผู้ต้องหาที่ ๑ และผู้เสียหายได้เข้าทำร้ายร่างกาย

ซึ่งกันและกัน และขณะท่ีผู้ต้องหาท่ี ๑ ได้ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหาย ผู้ต้องหาที่ ๒ และที่ ๓

ก็อยู่บริเวณใกล้เคียง อยู่ในฐานะที่จะห้ามได้ แต่กลับมิได้ช่วยห้ามปราม อีกท้ังหลังเกิดเหตุ

ผู้ต้องหาทั้งสามก็ได้ออกจากที่เกิดเหตุไปพร้อมกัน การกระทำของผู้ต้องหาที่ ๒ และที่ ๓

จึงเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่ผู้ต้องหาท่ี ๑ ก่อนและขณะที่ผู้ต้องหาที่ ๑

กระทำความผิด การกระทำของผู้ต้องหาที่ ๒ และที่ ๓ จึงเป็นผู้สนับสนุนผู้ต้องหาท่ี ๑

ในการกระทำความผิด

คดมี ปี ญั หาตอ้ งพจิ ารณาตอ่ ไปวา่ ผตู้ อ้ งหาที่ ๒ และผตู้ อ้ งหาที่ ๓ เปน็ ผสู้ นบั สนนุ ผตู้ อ้ งหาที่ ๑
ในการกระทำความผิดฐานใด เหน็ วา่ การฆา่ ผู้อืน่ โดยไตรต่ รองไวก้ อ่ น หมายความว่า ก่อนทำการฆา่
ผกู้ ระทำผดิ ไดค้ ดิ ไตรต่ รองทบทวนแลว้ จงึ ตกลงใจกระทำความผดิ ไมใ่ ชก่ ระทำไปโดยปจั จบุ นั ทนั ดว่ น
การไตรต่ รองไวก้ อ่ นเปน็ เหตเุ กยี่ วกบั เจตนาสว่ นตวั ของผกู้ ระทำผดิ ผรู้ ว่ มกระทำผดิ ทมี่ ไิ ดไ้ ตรต่ รองไวก้ อ่ น
ไม่มีความผิดด้วย เพราะกฎหมายมุ่งถึงการไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นสภาพจิตใจของแต่ละคน

ดังนั้น การจะเป็นผู้สนับสนุนในฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จึงต้องรู้มาต้ังแต่ต้นว่า

มกี ารวางแผนการคบคดิ มาก่อนทจ่ี ะไปฆา่ ผู้อืน่ แต่คดนี ผี้ ้ตู ้องหาที่ ๒ และผู้ตอ้ งหาที่ ๓ ไม่มสี าเหตุ
โกรธเคืองกับผู้เสียหายมาก่อน และคดีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ต้องหาท่ี ๒ และท่ี ๓

ได้ร่วมรู้มาก่อนว่าผู้ต้องหาท่ี ๑ วางแผนไตร่ตรองจะมาฆ่าผู้เสียหาย การที่ผู้ต้องหาที่ ๒ และที่ ๓
ให้ความช่วยเหลือหรือความสะดวกแก่ผู้ต้องหาท่ี ๑ จึงเป็นการตัดสินใจทันทีทันใด ลักษณะ

ตกกระไดพลอยโจนมากกว่า ดังน้ันผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาที่ ๓ คงมีความผิดฐาน

เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืนเท่านั้น จึงเห็นควรใช้อำนาจอัยการสูงสุด
ตามพระราชบญั ญตั อิ งคก์ รอยั การและพนกั งานอยั การ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๕ สงั่ ฟอ้ ง ผตู้ อ้ งหาที่ ๒
และผู้ต้องหาที่ ๓ ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืน ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๖, ๒๘๘

อัยการพิเศษฝ่ายช้ีขาดคดีอัยการสูงสุด ๓ เห็นว่า จากความเห็นของผู้ช่วยผู้บัญชาการ

ตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นถึงพฤติการณ์ในการ
กระทำของผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาที่ ๓ ว่ามีพฤติการณ์รู้เห็นกับผู้ต้องหาที่ ๑ ท่ีมีวัตถุประสงค์
จะนำอาวุธมีดไปฆ่าผู้เสียหาย แต่เป็นกรณีที่ผู้ต้องหาที่ ๒ และผู้ต้องหาที่ ๓ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ในการเข้าไปทำร้ายผู้เสียหาย เพียงแต่ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้ต้องหาที่ ๑

จึงเป็นความผดิ ฐานสนบั สนนุ กรณีจึงเป็นความเหน็ เกี่ยวกับพฤติการณ์การกระทำของผตู้ ้องหาที่ ๒
และผู้ต้องหาที่ ๓ ว่าร่วมกระทำความผิดกับผู้ต้องหาที่ ๑ แย้งกับความเห็นของอัยการพิเศษฝ่าย

คดีอาญากรุงเทพใต้ ๕ ซึ่งมีความเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาที่ ๓ ไม่เป็น

ความผดิ ฐานรว่ มกนั พยายามฆา่ ผเู้ สยี หาย ดงั นนั้ กรณคี วามเหน็ ของผชู้ ว่ ยผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ
ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงถือว่าเป็นความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมาย

วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑

ส่วนข้อเท็จจริงตามความเห็นแย้งของผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทน

ผบู้ ัญชาการตำรวจแห่งชาตินน้ั เห็นว่า พฤติการณข์ องผ้ตู อ้ งหาท่ี ๒ และท่ี ๓ ที่ขับข่รี ถจักรยานยนต์

อยั การนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
13

มาพรอ้ มกับผตู้ อ้ งหาท่ี ๑ โดยผตู้ ้องหาท่ี ๑ ถอื อาวธุ มีดซึ่งมคี วามยาวถงึ ๒ ฟตุ มาด้วย แล้วจอดรถ
จักรยานยนต์ให้ผู้ต้องหาที่ ๑ เข้าไปใช้มีดไล่ฟันผู้เสียหาย น่าเช่ือว่าผู้ต้องหาท่ี ๒ และท่ี ๓

ทราบวัตถุประสงค์ของผู้ต้องหาท่ี ๑ ที่ต้องการนำอาวุธมีดดังกล่าวมาโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย

แต่ขณะท่ผี ู้ตอ้ งหาที่ ๑ เขา้ ไปทำรา้ ยใช้อาวุธมดี ไล่ฟันผเู้ สียหาย ผูต้ ้องหาที่ ๒ และท่ี ๓ เพียงจอด

รถจักรยานยนต์และน่ังอยู่บนรถจักรยานยนต์โดยไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำร้าย

ผู้เสียหายแต่อย่างใด การกระทำของผู้ต้องหาที่ ๒ และท่ี ๓ จึงเป็นเพียงมีส่วนช่วยเหลือและ

ใหค้ วามสะดวกกบั ผตู้ ้องหาท่ี ๑ เพอื่ จะมาฆา่ ผูเ้ สียหายเท่านั้น ไมไ่ ดม้ พี ฤติการณเ์ ปน็ ตัวการร่วมกับ
ผู้ตอ้ งหาที่ ๑ พยายามฆา่ ผู้เสยี หายแต่อย่างใด คดีมีพยานหลกั ฐานไม่พอฟอ้ ง เห็นควรชข้ี าดไม่ฟอ้ ง
ผู้ต้องหาที่ ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓ ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๓, ๘๐ และเห็นควรใช้อำนาจอัยการสูงสุดตาม

พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๕ ส่ังฟ้องผู้ต้องหาท่ี ๒

ผู้ต้องหาท่ี ๓ ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๖, ๒๘๘, ๒๘๙

รองอธบิ ดอี ยั การ สำนกั งานชขี้ าดคดอี ยั การสงู สดุ พจิ ารณาแลว้ เหน็ พอ้ งดว้ ยกบั อยั การพเิ ศษ
ฝา่ ยชีข้ าดคดีอัยการสงู สุด ๓

อธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด เห็นว่า การท่ีพนักงานอัยการมีคำส่ังไม่ฟ้อง

ผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาที่ ๓ ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๒๘๘, ๒๘๙ โดยเหน็ วา่ ผูต้ ้องหาที่ ๒ และผตู้ ้องหาท่ี ๓
ไม่ใช่ตัวการร่วมกระทำผิด และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นว่า ผู้ต้องหาท่ี ๒ และ

ผตู้ อ้ งหาที่ ๓ ไมเ่ ปน็ ตวั การรว่ มกระทำผดิ แตเ่ ปน็ ผสู้ นบั สนนุ ผตู้ อ้ งหาที่ ๑ กระทำผดิ ฐานพยายามฆา่

ผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นกรณีที่ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเห็นชอบกับคำส่ังไม่ฟ้อง

ผู้ต้องหาที่ ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓ ในความผิดฐานดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีกรณีท่ีอัยการสูงสุด

ต้องพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ และเห็นควร

ใช้อำนาจอัยการสูงสุดตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓

มาตรา ๑๕ สั่งฟ้องผู้ต้องหาท่ี ๒ ผู้ต้องหาที่ ๓ ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐาน

พยายามฆา่ ผ้อู นื่ โดยไตรต่ รองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๖, ๒๘๘, ๒๘๙

รองอัยการสงู สุด พจิ ารณาแล้วเห็นวา่ การท่ีผ้ตู ้องหาที่ ๒ และผู้ต้องหาที่ ๓ ไปยงั ท่เี กิดเหตุ
พร้อมกบั ผูต้ อ้ งหาท่ี ๑ ซ่ึงมีอาวธุ มดี ตดิ ตวั ภายหลังจากที่ผตู้ ้องหาที่ ๑ ได้พูดจาทา้ ทายใหผ้ ู้เสยี หาย
รออยู่บริเวณที่เกิดเหตุ แล้วผู้ต้องหาท่ี ๑ ได้กลับมาพร้อมกับผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓

ผตู้ อ้ งหาท่ี ๑ ใชม้ ดี ฟนั ทำรา้ ยผเู้ สยี หาย โดยผตู้ อ้ งหาที่ ๒ และผตู้ อ้ งหาท่ี ๓ ยนื รอดอู ยบู่ รเิ วณทเี่ กดิ เหตุ
แมผ้ ตู้ อ้ งหาที่ ๒ และผ้ตู ้องหาท่ี ๓ ไมไ่ ดเ้ ขา้ ช่วยเหลอื หรือกระทำการใดทมี่ ีลกั ษณะแบง่ หน้าที่กันทำ
หรือคุมเชิงมิให้ผู้อ่ืนเข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย อันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับผู้ต้องหาท่ี ๑
แต่การที่ผู้ต้องหาที่ ๒ พาผู้ต้องหาท่ี ๑ น่ังซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์และผู้ต้องหาที่ ๓ ขับข
่ี
รถจักรยานยนต์ตามมายังที่เกิดเหตุโดยผู้ต้องหาที่ ๑ มีอาวุธมีดติดตัวและผู้ต้องหาท่ี ๑ ใช้มีดฟัน
ทำร้ายผู้เสียหายหลายครั้ง ซึ่งผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓ สามารถห้ามผู้ต้องหาที่ ๑ ได

แต่กลับไม่ห้ามโดยยืนคอยดูอยู่แล้วพาผู้ต้องหาที่ ๑ หลบหนีไปหลังเกิดเหตุ พฤติการณ์ของ


14 คำช้ีขาดความเห็นแยง้

ผตู้ อ้ งหาท่ี ๒ และผตู้ อ้ งหาท่ี ๓ ดงั กลา่ วจงึ ฟงั ไดว้ า่ เปน็ การใหค้ วามชว่ ยเหลอื และใหค้ วามสะดวกกอ่ น
และขณะทผ่ี ตู้ อ้ งหาท่ี ๑ กระทำผดิ ถอื วา่ เปน็ ผสู้ นบั สนนุ ผตู้ อ้ งหาท่ี ๑ กระทำความผดิ ฐานพยายามฆา่
ผู้อืน่ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน คดีมีพยานหลกั ฐานพอฟอ้ ง

สำหรบั ความผดิ ฐานรว่ มกนั พยายามฆา่ ผอู้ นื่ โดยไตรต่ รองไวก้ อ่ น ผชู้ ว่ ยผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ
ปฏิบัติราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีความเห็นด้วยว่าผู้ต้องหาที่ ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓
ไม่เป็นตัวการกระทำผิด แต่เป็นผู้สนับสนุนผู้ต้องหาที่ ๑ กระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

โดยไตร่ตรองไว้ก่อน จึงถือว่าเห็นชอบกับคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓ ฐานร่วมกัน
พยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และไม่มีกรณีท่ีอัยการสูงสุดต้องพิจารณาช้ีขาด ตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๔๕/๑ เห็นควรใช้อำนาจอัยการสูงสุดตาม

พระราชบัญญตั ิองค์กรอัยการและพนกั งานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๕ สัง่ ฟอ้ ง ผ้ตู ้องหาท่ี ๒
และผู้ต้องหาที่ ๓ ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๖, ๒๘๘, ๒๘๙

อัยการสงู สุด ส่งั ฟอ้ งผตู้ ้องหาท่ี ๒ และผตู้ อ้ งหาที่ ๓ ฐานเป็นผูส้ นบั สนุนการกระทำความผิด
ฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๖, ๒๘๘,
๒๘๙ และให้พนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องแจ้งพนักงานสอบสวนให้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาที่ ๒
และผู้ต้องหาท่ี ๓ ตามฐานความผิดที่ได้มีคำส่ังฟ้องดังกล่าว และปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน

ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญากอ่ นยื่นฟ้อง



หมายเหต

ตามขอ้ เทจ็ จรงิ ขา้ งตน้ มคี วามเหน็ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ในประเดน็ เรอื่ งอำนาจในการทำความเหน็ แยง้
ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ วา่ “เปน็ ความเหน็ แยง้ ทอ่ี ยั การสงู สดุ
จะต้องพิจารณาชี้ขาดหรือไม่” เห็นว่า อัยการสูงสุดได้วางบรรทัดฐานของความเห็นแย้งไว้ใน

สำนวน ชย. ๒๙๓/๒๕๕๓ และ ชย.๖๐๑/๒๕๕๙ ว่า “ความเห็นแย้ง” หมายถึงความเห็นในการ

สั่งคดีของพนักงานอัยการกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่เห็นชอบด้วย
กับคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาของพนักงานอัยการ ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ว่าราชการจังหวัด
จะต้องทำความเห็นแย้งและส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยังอัยการสูงสุดเพ่ือช้ีขาด

ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕, ๑๔๕/๑ น้นั คดนี ี้ ผู้ช่วยผบู้ ัญชาการ
ตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของ
พนกั งานอัยการทีส่ ่งั ไม่ฟ้องผู้ตอ้ งหาท่ี ๒ และผู้ตอ้ งหาท่ี ๓ ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆา่ ผอู้ ่ืน
โดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องหาที่ ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓ เป็นความผิดฐาน
เป็นผสู้ นับสนนุ การกระทำความผดิ ฐานพยายามฆ่าผ้อู ืน่ โดยไตร่ตรองไว้กอ่ น

ฝา่ ยทมี่ เี สยี งขา้ งนอ้ ย เหน็ วา่ ความเหน็ ของผชู้ ว่ ยผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ ปฏบิ ตั ริ าชการแทน
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๔๕/๑ โดยให้เหตุผลว่า จากความเห็นแย้งดังกล่าว เป็นความเห็นแย้งถึงพฤติการณ ์

ในการกระทำของผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาที่ ๓ ที่มีพฤติการณ์รู้เห็นกับผู้ต้องหาท่ี ๑ ท่ีมีเจตนา

จะนำอาวุธมีดไปฆ่าผู้เสียหายในลักษณะช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำความผิด


อยั การนิเทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
15

อนั เปน็ องคป์ ระกอบของความผดิ ฐานเปน็ ผสู้ นบั สนนุ มไิ ดม้ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั การเขา้ ไปทำรา้ ยผเู้ สยี หาย
หรือให้การช่วยเหลือโดยการแบ่งหน้าท่ีกันทำซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานเป็นตัวการร่วม
กระทำความผิด ดังน้ัน ในการทำความเห็นเสนออัยการสูงสุด เมื่อเห็นว่าเป็นความเห็นแย้งแล้ว
และไม่ได้ความว่าผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาที่ ๓ เป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดฐาน
พยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จึงเสนอความเห็นควรช้ีขาดไม่ฟ้องในความผิดฐานดังกล่าว
แ ล ะ เ มื่ อ ฟั ง ไ ด้ ว่ า เ ป็ น ผู้ ส นั บ ส นุ น ใ น ค ว า ม ผิ ด ฐ า น พ ย า ย า ม ฆ่ า ผู้ อ่ื น โ ด ย ไ ต ร่ ต ร อ ง ไ ว้ ก่ อ น

ซึ่งความผิดฐานดังกล่าว เป็นความผิดที่พนักงานอัยการมิได้มีคำส่ังไม่ฟ้อง กรณีจึงเป็นการส่ังคดี

โดยอาศยั อำนาจอยั การสงู สดุ ทสี่ ามารถดำเนนิ คดไี ดใ้ นทกุ ชน้ั ศาล ตามพระราชบญั ญตั อิ งคก์ รอยั การ
และพนกั งานอยั การ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๕ สงั่ ฟอ้ งผตู้ อ้ งหา ฐานเปน็ ผสู้ นบั สนนุ การกระทำความผดิ
ฐานพยายามฆ่าผู้อ่นื โดยไตรต่ รองไว้ก่อน

ฝา่ ยทมี่ เี สยี งขา้ งมาก และเปน็ ความเหน็ ทอี่ ยั การสงู สดุ เหน็ ชอบดว้ ย เหน็ วา่ การทพ่ี นกั งานอยั การ

มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาท่ี ๒ และผู้ต้องหาท่ี ๓ เฉพาะความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืน

โดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยเห็นว่าไม่ใช่ตัวการร่วมกระทำผิดกับผู้ต้องหาท่ี ๑ แต่เป็นผู้สนับสนุน

ผตู้ อ้ งหาท่ี ๑ กระทำผดิ ฐานดงั กลา่ ว จงึ เปน็ กรณที ผ่ี ชู้ ว่ ยผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ ปฏบิ ตั ริ าชการแทน
ผบู้ ญั ชาการตำรวจแหง่ ชาติ เหน็ ชอบกบั คำสงั่ ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาที่ ๒ และผตู้ อ้ งหาที่ ๓ ของพนกั งานอยั การ
และมคี ำสงั่ เดด็ ขาดไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาที่ ๒ และผตู้ อ้ งหาท่ี ๓ ในความผดิ ฐานดงั กลา่ วแลว้ จงึ ไมม่ กี รณที ่ี
อัยการสูงสุดต้องพิจารณาช้ีขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑

แต่ข้อเท็จจริงและพฤติการณแ์ ห่งคดฟี งั ได้วา่ ผู้ต้องหาที่ ๒ และผู้ตอ้ งหาที่ ๓ กระทำความผดิ ฐาน
เป็นผู้สนับสนุน จึงใชอ้ ำนาจอัยการสูงสุดสั่งคดเี ช่นเดียวกันกับความเหน็ ของฝา่ ยที่มเี สียงขา้ งน้อย






16 คำช้ีขาดความเห็นแย้ง

กฎหมายซ่ึงใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายท่ีใช้ภายหลังการกระทำ
ความผิดในสว่ นท่เี กีย่ วกบั องค์ประกอบความผิด

คำชี้ขาดความเหน็ แย้งท่ี ๙๓๖/๒๕๕๙


ป.ว.ิ อ. สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ (มาตรา ๓๙ (๕))

ป.อ. กฎหมายในส่วนทเี่ ป็นคุณ (มาตรา ๓)

พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ยี วกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ (มาตรา ๑๔)

ระเบยี บสำนักงานอยั การสงู สดุ ว่าดว้ ยการดำเนินคดีอาญาของพนกั งานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗

(ขอ้ ๕๔ (๕))



ภายหลังเกิดเหตุ ได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์

(ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๘ บัญญัตใิ ห้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔ แหง่ พระราชบญั ญัติ

ว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และบัญญัติองค์ประกอบใหม

ของความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จว่า จะต้องเป็น

การกระทำโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง และจะต้องมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท
ตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย ซ่ึงเป็นเร่ืองที่กฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่าง
จากกฎหมายที่ใช้ในภายหลัง จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนท่ีเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดซ่ึงก็คือ
บทบัญญัติกฎหมายที่แก้ไขเพ่ิมเติมใหม่มาปรับแก่คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓

ดังนั้น การที่จะพิจารณาว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานดังกล่าวหรือไม่ จึงจำต้อง
วินิจฉัยในเน้ือหาแห่งคดีว่าเข้าองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติกฎหมายท่ีแก้ไขเพิ่มเติม
ใหม่หรือไม่ด้วย กรณีไม่ใช่เรื่องท่ีมีกฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิด

เช่นนั้น ซ่ึงจะทำให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องผู้ต้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธี
พจิ ารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๕) และเขา้ เงอื่ นไขระงบั คดตี ามระเบยี บสำนกั งานอยั การสงู สดุ
ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕๔ (๕) ที่กำหนดให้

พนกั งานอยั การตอ้ งมคี ำสง่ั ยตุ กิ ารดำเนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหาแตอ่ ยา่ งใด สำหรบั คดนี เ้ี มอ่ื พยานหลกั ฐาน
รับฟังได้ว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานหม่ินประมาทผู้อ่ืนโดยการโฆษณา

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘ ประกอบกับผู้ต้องหามิได้มีเจตนาโดยทุจริต
หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการ

ท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย การกระทำของผู้ต้องหาจึงขาดองค์ประกอบความผิด
ฐานดังกล่าว จึงสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร

อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตามพระราชบัญญัติ

วา่ ดว้ ยการกระทำความผดิ เกย่ี วกบั คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ย
การกระทำความผิดเกีย่ วกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๘


______________________________




อัยการนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
17

คดีน้ี (เฉพาะในส่วนที่เป็นประเด็นในการจัดการความรู้) ในช้ันแรกกล่าวหาว่า นาง A

ผตู้ อ้ งหา กระทำความผิดฐานหมิน่ ประมาทผ้อู ืน่ โดยการโฆษณา

ข้อเท็จจริงตามทางสอบสวนได้ความว่า ผู้ต้องหาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กของบริษัท C
จำกัด (มหาชน) ซึ่งผู้เสียหายทำงานเป็นวิศวกรอยู่ท่ีบริษัทดังกล่าวว่า ผู้เสียหายเป็นชู้กับภรรยา

ของผู้อ่ืนทำให้ผู้เสียหายเสียช่ือเสียง ถูกดูหม่ินและถูกเกลียดชัง ผู้เสียหายจึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี
กับผู้ต้องหา ชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ และพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง

ผู้ตอ้ งหา ฐานหมนิ่ ประมาทผ้อู นื่ โดยการโฆษณา

พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหา ฐานหม่ินประมาทผู้อ่ืนโดยการ
โฆษณา และสั่งฟ้องผู้ต้องหา ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ

โดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาต

มีความเหน็ แยง้ คำสั่งไม่ฟ้องผตู้ อ้ งหา ฐานหม่นิ ประมาทผูอ้ ่ืนโดยการโฆษณา

อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

ผูอ้ นื่ โดยการโฆษณา จงึ ชข้ี าดให้ฟอ้ งผู้ตอ้ งหา ฐานหมิน่ ประมาทผูอ้ ืน่ โดยการโฆษณา ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘ ส่วนความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซ่ึงข้อมูล
คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนน้ัน เห็นว่า
ภายหลังเกิดเหตุ ได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี ๒)
พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๘ บญั ญตั ใิ หย้ กเลิกความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบญั ญัติว่าด้วยการกระทำ
ความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และบัญญัติองค์ประกอบใหม่ของความผิดฐาน

นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จว่า จะต้องเป็นการกระทำโดยทุจริต

หรือโดยหลอกลวง และจะต้องมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวล

กฎหมายอาญาด้วย ซึ่งเป็นเร่ืองท่ีกฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างจากกฎหมาย

ท่ีใชใ้ นภายหลัง จงึ ตอ้ งใชก้ ฎหมายในส่วนที่เป็นคณุ แก่ผู้กระทำความผดิ ซึง่ ก็คอื บทบญั ญัตกิ ฎหมาย
ทแี่ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ ใหมม่ าปรบั แกค่ ดตี ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ ดงั นนั้ การทจ่ี ะพจิ ารณาวา่

การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานดังกล่าวหรือไม่ จึงจำต้องวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีว่า

เข้าองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติกฎหมายท่ีแก้ไขเพิ่มเติมใหม่หรือไม่ด้วย กรณีไม่ใช่เร่ืองท่ีมี
กฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดเช่นนั้นซ่ึงจะทำให้สิทธิในการนำคดีอาญา

มาฟ้องผู้ต้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๕) และ

เข้าเงื่อนไขระงับคดีตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของ

พนักงานอยั การ พ.ศ. ๒๕๔๗ ขอ้ ๕๔ (๕) ที่กำหนดใหพ้ นักงานอยั การตอ้ งมีคำสัง่ ยตุ กิ ารดำเนนิ คดี
กับผู้ต้องหาแต่อย่างใด สำหรับคดีน้ีเม่ือพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าการกระทำของผู้ต้องหา

เปน็ ความผดิ ฐานหมนิ่ ประมาทผอู้ น่ื โดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘
ประกอบกับผู้ต้องหามิได้มีเจตนาโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงในการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์

ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย การกระทำ

ของผู้ต้องหาจึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานดังกล่าว จึงสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ฐานนำเข้าสู่ระบบ
คอมพิวเตอร์ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ
ประชาชน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐

18 คำชข้ี าดความเหน็ แย้ง

มาตรา ๑๔ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี ๒)

พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๘



หมายเหตุ

มีข้อพิจารณาเพิม่ เติมดงั น้

๑. ตามปัญหาในคดีน้ีเป็นกรณีที่การกระทำนั้นครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย

ซึ่งใช้ในขณะกระทำความผิด แต่ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายท่ีใช้ภายหลัง

การกระทำความผดิ ซง่ึ ในทางกฎหมายอาญานา่ จะตอ้ งถอื วา่ เปน็ กรณที ตี่ ามบทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย
ท่ีบัญญัติในภายหลังการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๒ วรรคสอง (เทยี บเคยี งตามนยั คำพพิ ากษาฎกี าที่ ๓๘/๒๕๑๐, ๘๖๑/๒๕๒๔, ๑๕๒๔๑/๒๕๕๗
เป็นต้น) แต่โดยท่ีไม่ใช่กรณีท่ีตามบทบัญญัติของกฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลังได้บัญญัติยกเลิก

ฐานความผิดเดิมไปทั้งฐานความผิด แต่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบความผิดนั้นใหม่

จงึ จำเปน็ ทจ่ี ะต้องนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ ทีบ่ ญั ญตั วิ ่า ถ้ากฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทำ
ความผิดแตกต่างกับกฎหมายท่ีใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนท่ีเป็นคุณ

แก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด นั้น มาพิจารณาก่อนเพื่อที่จะนำไปสู่การพิจารณาตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคสอง ต่อไป

๒. ดังน้ัน กรณีน้ีจึงเป็นกรณีที่จำต้องพิจารณาในเนื้อหาแห่งคดีน้ันก่อนว่าเข้าองค์ประกอบ
ความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายท่ีแก้ไขเพ่ิมเติมใหม่ดังกล่าวหรือไม่ จึงไม่ใช่เร่ืองท่ีมีกฎหมาย
ออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดเช่นน้ัน ซึ่งจะทำให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้อง

ผู้ต้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๕) และเข้าเง่ือนไข
ระงับคดีตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ

พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕๔ (๕) ที่กำหนดให้พนักงานอัยการต้องมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาน้ัน

แต่อย่างใด เพราะกรณีท่ีมีกฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดตามความหมาย
ของบทกฎหมายและระเบียบดังกล่าวมุ่งหมายถึงกรณีที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายท่ีบัญญัติ

ในภายหลังได้บัญญัติยกเลิกฐานความผิดเดิมไปทั้งฐานความผิดอันเป็นที่เห็นได้โดยชัดแจ้งว่า

ไม่มีกรณีท่ีจะต้องพิจารณาว่าเข้าองค์ประกอบความผิดหรือไม่น้ันต่อไปอีก ซึ่งสอดรับกันกับ

ตามท่ีระเบียบดังกล่าว ข้อ ๕๔ วรรคหน่ึง กำหนดว่า “ในการพิจารณาสำนวนการสอบสวน

ให้พนักงานอัยการพิจารณาเรื่องเง่ือนไขระงับคดีก่อน....” ดังนั้น กรณีท่ีจำต้องพิจารณาในเน้ือหา
แห่งคดีว่าเข้าองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขเพ่ิมเติมใหม่ดังกล่าว

หรือไมน่ ั้นก่อน จึงเปน็ เรอ่ื งทีต่ ้องออกคำสง่ั ฟอ้ งหรือไม่ฟอ้ ง ไม่ใชส่ ั่งยตุ ิการดำเนินคดี










อยั การนิเทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
19

กรณีไม่ใช่ความเห็นแย้งที่อัยการสูงสุดจะต้องวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมาย

วธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑ และการฟอ้ งคดจี ะไมเ่ ปน็ ประโยชนแ์ กส่ าธารณชน
ตามพระราชบัญญตั อิ งค์กรอัยการและพนกั งานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๒๑

คำชี้ขาดความเห็นแยง้ ที่ ๗๕๕/๒๕๖๐


พ.ร.บ. องคก์ รอยั การและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ (มาตรา ๑๕, ๒๑)

ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือ

จะมีผลกระทบต่อความปลอดภัย หรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญ

ของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ข้อ ๖ (๓) (๔), ๙)


ผู้ต้องหากระทำความผิดฐานเสพและมียาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน)
ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและอยู่ในหลักเกณฑ์

ตามพระราชบัญญตั ิฟนื้ ฟสู มรรถภาพผู้ตดิ ยาเสพตดิ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ ทีผ่ ้ตู ้องหาเปน็ ผ้มู ี
สทิ ธไิ ดร้ ับการฟนื้ ฟูสมรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพติด คณะอนกุ รรมการฟน้ื ฟูสมรรถภาพผู้ตดิ ยาเสพตดิ
จังหวัดสมุทรสงครามมีหน้าท่ีดำเนินการตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดของ

ผตู้ อ้ งหาและมคี ำวนิ จิ ฉยั ตอ่ ไป ตามพระราชบญั ญตั ฟิ น้ื ฟสู มรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพตดิ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๒๑ และ ๒๒ ดังนั้น การท่ีคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด

จังหวัดสมุทรสงคราม มีคำส่ังท่ี ๒๒๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ ให้ยุติการ

ตรวจพิสูจน์ผู้ต้องหาเน่ืองจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที ๕ สมุทรสงคราม

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รายงานการทดสอบว่าไม่พบเมทแอมเฟตามีนในตัวอย่างปัสสาวะ
ของผตู้ อ้ งหา โดยเหน็ วา่ ไมต่ อ้ งดว้ ยพระราชบญั ญตั ฟิ นื้ ฟสู มรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพตดิ พ.ศ. ๒๕๔๕
และแจง้ คำสง่ั ดงั กลา่ วใหพ้ นกั งานสอบสวนดำเนนิ การตอ่ ไปจงึ ไมถ่ กู ตอ้ ง มผี ลใหพ้ นกั งานอยั การ
ยังไม่มีอำนาจดำเนินคดีโดยมีคำสั่งฟ้องและไม่ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดคดีน้ีจนกว่าจะได้รับ

แจ้งผลการตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดของผู้ต้องหาจากคณะอนุกรรมการ

ฟนื้ ฟูสมรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพติดจงั หวดั สมทุ รสงคราม ดังนนั้ การท่ีอัยการจงั หวัดสมทุ รสงคราม
มคี ำสง่ั ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาฐานเสพยาเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี ) โดยฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย
และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗ ปฏิบัติราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗

มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน)

โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงไม่ใช่ความเห็นแย้งท่ีอัยการสูงสุดจะต้องพิจารณาวินิจฉัย

ตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑

เม่ือคดีน้ีผู้ต้องหาเป็นผู้มีสิทธิได้รับการฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด การที

อัยการจังหวัดสมุทรสงครามมีคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑

(เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และแยกฟ้องผู้ต้องหาเฉพาะฐานมียาเสพติด

ให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยฝ่าฝืน

ต่อกฎหมาย จนศาลมีคำพิพากษาจำคุกผู้ต้องหามีกำหนด ๒ ปี โทษที่ผู้ต้องหาได้รับดังกล่าว
ย่อมเป็นผลร้ายแก่ผู้ต้องหาอันสืบเน่ืองมาจากการกระทำความผิดคดีนี้ของผู้ต้องหาแล้ว
ประกอบกับผู้ต้องหาให้การรับสารภาพต่อศาล แสดงให้เห็นถึงความสำนึกผิดของผู้ต้องหา


20 คำช้ีขาดความเหน็ แย้ง

การแยกดำเนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหาในความผดิ ฐานเสพยาเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี )
โดยฝา่ ฝืนตอ่ กฎหมายตอ่ ไปย่อมกอ่ ใหเ้ กิดผลรา้ ยต่อผตู้ ้องหาเกนิ สมควร ประกอบกับพฤติการณ์
แห่งคดีผู้ต้องหาเป็นเพียงผู้เสพยาเสพติดและจำหน่ายยาเสพติดเพียงเล็กน้อย อีกทั้ง

เป็นการดำเนินคดีที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วย
การส่ังคดีอาญาที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัย

หรอื ความมงั่ คงของชาติ หรอื ตอ่ ผลประโยชนอ์ นั สำคญั ของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๔ ขอ้ ๖ (๓) (๔)
และข้อ ๙ อัยการสูงสุดจึงใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ

พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๕ สงั่ ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหา ฐานเสพยาเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี )
โดยฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๕๗, ๙๑
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔ พระราชบัญญัต

ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๓ พระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ (ฉบบั ท่ี ๕)
พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๖ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับท่ี ๑๓๕ (พ.ศ. ๒๕๓๙)

เร่ือง ระบุช่ือและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
ช่ือยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ ลำดับท่ี ๒๐ เนื่องจากการฟ้องคดีจะไม่เป็นประโยชน์

แกส่ าธารณชน ตามพระราชบัญญตั ิองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๒๑
ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการส่ังคดีอาญาท่ีจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน

หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัย หรือความมั่นคงของชาติหรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญ
ของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๖ (๓) (๔), ๙


______________________________




คดกี ลา่ วหานาย อ. ผตู้ อ้ งหา ฐานมยี าเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี ) ไวใ้ นครอบครอง
เพอ่ื จำหนา่ ยและจำหนา่ ยโดยฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย และเสพยาเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี )
โดยฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย เหตเุ กดิ เมอ่ื วนั ท่ี ๒ กนั ยายน ๒๕๕๙ ทต่ี ำบลแมก่ ลอง อำเภอเมอื งสมทุ รสงคราม
จังหวดั สมุทรสงคราม

ข้อเท็จจริงไดค้ วามว่าผูก้ ลา่ วหากับพวกไดใ้ ห้สายลับติดตอ่ ล่อซ้ือยาไอซจ์ ากนาย อ. ผู้ตอ้ งหา
จำนวน ๒ ซอง นำ้ หนกั สทุ ธิ ๐.๐๗ กรมั และไดน้ ำตวั ผตู้ อ้ งหาไปยงั โรงพยาบาล ส. เพอื่ ตรวจปสั สาวะ
เบื้องต้น ปรากฏผลบวก ซ่ึงผู้ต้องหารับว่าได้เสพยาไอซ์จำนวนเล็กน้อยก่อนถูกจับกุมจริง จึงแจ้ง

ข้อกล่าวหาให้ทราบ ทำการจับกุมตวั นำสง่ พนกั งานสอบสวนพรอ้ มดว้ ยของกลาง

เม่ือวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๙ พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบ และ

ในวันเดียวกัน พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลจังหวัดสมุทรสงครามมีคำส่ังส่งตัวผู้ต้องหา
ไปควบคมุ เพอ่ื ตรวจพสิ จู นก์ ารเสพหรอื การตดิ ยาเสพตดิ ซง่ึ ศาลจงั หวดั สมทุ รสงครามมคี ำสงั่ อนญุ าต
จงึ ไดส้ ง่ ตวั ผตู้ อ้ งหาไปควบคมุ เพอ่ื ตรวจพสิ จู นก์ ารเสพหรอื การตดิ ยาเสพตดิ ตอ่ มาวนั ที่ ๕ กนั ยายน ๒๕๕๙
พนกั งานสอบสวนไดส้ ง่ ตวั อยา่ งปสั สาวะของผตู้ อ้ งหาไปยงั ผอู้ ำนวยการศนู ยว์ ทิ ยาศาสตรก์ ารแพทยท์ ่ี ๕
สมุทรสงคราม ซ่ึงผลการทดสอบมีนาย น. เจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ชำนาญงาน

เปน็ ผู้ทำการทดสอบโดยวิธีทดสอบแบบ Thin Layer Chromatography ผลการทดสอบปรากฏวา่
ไม่พบเมทแอมเฟตามีนในตัวอย่างปัสสาวะของผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนจึงแจ้งผลการทดสอบ
สารเสพติดให้โทษในปัสสาวะของผู้ต้องหาจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ท่ี ๕ สมุทรสงคราม


อยั การนเิ ทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
21

ไปยังคณะอนุกรรมการฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดสมุทรสงคราม ว่าไม่พบสารเสพติด

ให้โทษประเภทเมทแอมเฟตามีนแต่อย่างใด คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
จังหวัดสมุทรสงครามได้ประชุมกันเพ่ือมีคำสั่งการตรวจพิสูจน์ที่ ๒๒๑/๒๕๕๙ ว่าเป็นกรณีที

ไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้ยุติการตรวจพิสูจน

ผเู้ ขา้ รบั การตรวจพสิ จู นร์ ายนแ้ี ละไดม้ หี นงั สอื แจง้ ใหผ้ กู้ ำกบั การสถานตี ำรวจภธู รเมอื งสมทุ รสงคราม
ดำเนินการต่อไป พนักงานสอบสวนจึงดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมายต่อไป ช้ันสอบสวน

ผู้ต้องหาใหร้ บั สารภาพ พนกั งานสอบสวนมคี วามเหน็ ควรส่ังฟ้องผ้ตู อ้ งหาตามข้อกลา่ วหา

อัยการจังหวัดสมุทรสงครามส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑

(เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย เนื่องจากผลการตรวจของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ท่ี ๕

ซึ่งเป็นสถานตรวจพิสูจน์ตามคำสั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่ ๓/๒๕๕๓
เรื่อง กำหนดสถานท่ีตรวจพิสูจน์ ลงวันท่ี ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๒.๒.๑๐ ไม่พบ

สารเมทแอมเฟตามีนในปัสสาวะของผู้ต้องหาและสั่งฟ้องฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท ๑

(เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยย่ืนฟ้อง

ผตู้ อ้ งหาเปน็ จำเลยตอ่ ศาลจงั หวดั สมทุ รสงคราม ผตู้ อ้ งหาใหก้ ารรบั สารภาพ ซงึ่ ศาลจงั หวดั สมทุ รสงคราม
ได้มีคำพิพากษาลงโทษผู้ต้องหาตามฟ้อง เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๒๕๕/๒๕๕๙

คดอี าญาหมายเลขแดงท่ี ๑๒๖๑/๒๕๕๙ โจทก์จำเลยไม่อทุ ธรณ์ คดีถึงที่สดุ แลว้

รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗

มีความเห็นแย้งคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาของอัยการจังหวัดสมุทรสงครามโดยมีเหตุผลว่า เนื่องจาก

นาย น. เจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ชำนาญงาน ประจำศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ท่ี ๕
สมุทรสงครามกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผู้ตรวจทดสอบตัวอย่างปัสสาวะของผู้ต้องหาให้การว่า
กรณีผลการตรวจวิเคราะห์โดยวิธี Thin Layer Chromatography ไม่พบสารเมทแอมเฟตามีน

ในตัวอย่างปัสสาวะผู้ต้องหา อาจไม่มีเมทแอมเฟตามีนอยู่ หรือมีปริมาณน้อยมากจนไม่สามารถ
ตรวจพบได้ ผลการตรวจวิเคราะห์ดังกล่าวจึงไม่ได้ยืนยันอย่างม่ันคงว่าไม่มีสารเมทแอมเฟตามีน

ในตวั อยา่ งปสั สาวะผตู้ อ้ งหา ประกอบกบั ผตู้ อ้ งหาใหก้ ารรบั สารภาพวา่ ไดเ้ สพเมทแอมเฟตามนี (ยาไอซ)์
มาก่อนจะถูกจับกุมในปริมาณเล็กน้อยและไม่ได้เสพต่อเน่ืองนาน ๆ จะเสพสักครั้งซึ่งเป็น

ปรมิ าณทนี่ อ้ ยมาก จงึ อาจทำใหต้ รวจไมพ่ บสารเมทแอมเฟตามนี ในตวั อยา่ งปสั สาวะ ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั
คำใหก้ ารของนาย น. ผตู้ รวจทดสอบ นอกจากนผี้ ตู้ อ้ งหายงั ไดร้ บั การตรวจปสั สาวะทโี่ รงพยาบาล ส.
ซึ่งผลการตรวจพบสารเมทแอมเฟตามีนซ่ึงตามประกาศคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ
เร่ือง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจหรือทดสอบว่าบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใด

มยี าเสพตดิ ใหโ้ ทษอยใู่ นรา่ งกายหรอื ไม่ เมอื่ โรงพยาบาล ส. เปน็ โรงพยาบาลของรฐั ผลการตรวจปสั สาวะ

ผู้ต้องหาท่ีโรงพยาบาล ส. ย่อมใช้ยืนยันการกระทำความผิดของผู้ต้องหาได้ตามประกาศดังกล่าว
ขอ้ ๙ วรรคสอง ซงึ่ บญั ญัติวา่ “เมือ่ หน่วยงานตามวรรคหนึง่ ไดด้ ำเนนิ การตรวจยนื ยันแลว้ ใหถ้ ือว่า
บุคคลหรอื กลมุ่ บุคคลน้ันเปน็ ผมู้ ยี าเสพตดิ ให้โทษอยใู่ นรา่ งกาย” พยานหลกั ฐานทางคดีพอฟอ้ ง

อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีน้ีผู้กล่าวหาให้สายลับล่อซ้ือยาไอซ์ของกลางจำนวน

๒ ซอง ได้จากผู้ต้องหา ผลการตรวจปัสสาวะของผู้ต้องหาโดยโรงพยาบาล ส. ปัสสาวะของผ้ตู อ้ งหา
มีผลบวกกับชุดทดสอบเมทแอมเฟตามีน และผลตรวจพิสูจน์ยาไอซ์ของกลาง จำนวน ๒ ซอง

น้ำหนัก ๐.๐๗ กรัม พบยาเสพติดให้โทษชนิดเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเมทแอมเฟตามีนของกลาง


22 คำช้ีขาดความเหน็ แยง้

มีปริมาณไม่เกินห้าหน่วยการใช้ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ และมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน

ห้าร้อยมิลลิกรัม ตามท่ีกำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดลักษณะชนิด ประเภท

และปริมาณของยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๖ ลงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๑ (๑) (ข)

ข้อ ๒ (๑) (ข) ชนั้ สอบสวนผู้ตอ้ งหาให้การรบั สารภาพ คดีมพี ยานหลกั ฐานพอดำเนนิ คดกี ับผตู้ อ้ งหา
ฐานเสพและมียาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

และจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและอยู่ในหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติฟ้ืนฟูสมรรถภาพ

ผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ ที่ผู้ต้องหาเป็นผู้มีสิทธิได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ

ผู้ติดยาเสพติด คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดสมุทรสงครามมีหน้าท
่ี
ดำเนินการตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดของผู้ต้องหาและมีคำวินิจฉัยต่อไป

ตามพระราชบัญญัติฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๑ และ ๒๒ ดังนั้น

การทคี่ ณะอนกุ รรมการฟนื้ ฟสู มรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพตดิ จงั หวดั สมทุ รสงคราม มคี ำสง่ั ที่ ๒๒๑/๒๕๕๙
ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ ให้ยุติการตรวจพิสูจนผ์ ู้ตอ้ งหาเน่ืองจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์

ที่ ๕ สมุทรสงครามกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รายงานผลการทดสอบว่าไม่พบเมทแอมเฟตามีน

ในตวั อยา่ งปสั สาวะของผตู้ อ้ งหา โดยเหน็ วา่ ไมต่ อ้ งดว้ ยพระราชบญั ญตั ฟิ น้ื ฟสู มรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพตดิ
พ.ศ. ๒๕๔๕ และแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไปจึงไม่ถูกต้อง มีผลให ้

พนักงานอัยการยังไม่มีอำนาจดำเนินคดีโดยมีคำส่ังฟ้องและไม่ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดคดีน ้

จนกวา่ จะไดร้ บั แจง้ ผลการตรวจพสิ จู นก์ ารเสพหรอื การตดิ ยาเสพตดิ ของผตู้ อ้ งหาจากคณะอนกุ รรมการ
ฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจังหวัดสมุทรสงคราม ดังนั้น การท่ีอัยการจังหวัดสมุทรสงคราม

มคี ำสงั่ ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาฐานเสพยาเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี ) โดยฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย
และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗ ปฏิบัติราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗

มีความเห็นแย้งคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหา ฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน)

โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงไม่ใช่ความเห็นแย้งที่อัยการสูงสุดจะต้องพิจารณาวินิจฉัยตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑

ความผดิ ฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี ) ไว้ในครอบครองเพอื่ จำหน่าย
และจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย พนักงานอัยการได้ย่ืนฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัด
สมุทรสงคราม และจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ๒ ปี ริบของกลางแล้ว

สิทธินำคดีอาญามาฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานนี้จึงระงับไปเนื่องจากมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด

ในความผิดที่ได้ฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๔) จึงไม่อาจ
ดำเนนิ คดฐี านนกี้ ับผตู้ อ้ งหาซ้ำสองได้อกี ตอ่ ไป

สำหรับความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืน

ตอ่ กฎหมายซ่งึ อยูร่ ะหว่างการดำเนนิ คดกี ับผตู้ ้องหานน้ั เมอื่ คดนี ผ้ี ู้ต้องหาเป็นผมู้ ีสิทธิไดร้ ับการฟ้นื ฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด การที่ผู้ต้องหาถูกแยกฟ้องคดีเฉพาะฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท ๑
(เมทแอมเฟตามนี ) ไวใ้ นครอบครองเพ่อื จำหน่ายและจำหน่ายโดยฝา่ ฝืนต่อกฎหมาย จนกระทง่ั ศาล
มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกผู้ต้องหามีกำหนด ๒ ปี โทษท่ีผู้ต้องหาได้รับดังกล่าวย่อมเป็นผลร้าย

ต่อผู้ต้องหาอันสืบเนื่องมาจากการกระทำความผิดคดีนี้ของผู้ต้องหาแล้ว ประกอบกับผู้ต้องหา
ให้การรับสารภาพต่อศาล แสดงให้เห็นถึงความสำนึกผิดของผู้ต้องหา การแยกดำเนินคด

กับผู้ต้องหาในความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืน


อัยการนิเทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
23

ต่อกฎหมายต่อไปย่อมก่อให้เกิดผลร้ายต่อผู้ต้องหาเกินสมควร ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคด

ผู้ต้องหาเป็นเพียงผู้เสพยาเสพติดและจำหน่ายยาเสพติดเพียงเล็กน้อย อีกท้ังเป็นการดำเนินคด ี

ท่ีไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน จึงมีส่ังไม่ฟ้อง นาย อ. ผู้ต้องหา ฐานเสพยาเสพติดให้โทษ

ประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี ) โดยฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๔, ๗, ๘, ๕๗, ๙๑ พระราชบัญญัตยิ าเสพติดให้โทษ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔
พระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๓ พระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ
(ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๖ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๑๓๕ (พ.ศ. ๒๕๓๙)
เรื่อง ระบุช่ือและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒

ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ข้อ ๒ บัญชที า้ ยประกาศกระทรวงสาธารณสขุ ฉบบั ท่ี ๑๓๕
(พ.ศ. ๒๕๓๙) เร่ือง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ. ๒๕๒๒ ช่อื ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท ๑ ลำดบั ท่ี ๒๐ เน่ืองจากการฟอ้ งคดจี ะไมเ่ ปน็ ประโยชน์
แกส่ าธารณชน ตามพระราชบญั ญตั ิองค์กรอัยการและพนกั งานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๒๑



หมายเหต

เมื่อผู้ต้องหาเป็นผู้มีสิทธิได้รับการฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติฟ้ืนฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ และคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรภาพ

ผู้ติดยาเสพติดจังหวัดสมุทรสงคราม มีคำส่ังให้ยุติการตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด
เนอ่ื งจากตรวจไมพ่ บสารเสพตดิ ในปสั สาวะโดยยงั ไมท่ ำการตรวจพสิ จู นก์ ารเสพหรอื การตดิ ยาเสพตดิ
ของผู้ต้องหา พนักงานอัยการจึงยังไม่มีอำนาจดำเนินคดีโดยมีคำส่ังฟ้องและไม่ฟ้องผู้ต้องหา

ฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายจนกว่าจะได้รับแจ้ง
ผลการตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดของผู้ต้องหาจากคณะอนุกรรมการฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ดังน้ัน การท่ีพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาและผู้บัญชาการ
ตำรวจภูธรภาค ๗ มีความเห็นแย้งคำส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑

(เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงไม่ใช่ความเห็นแย้งที่อัยการสูงสุดจะต้องพิจารณา
วนิ ิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕/๑

การทพี่ นกั งานอยั การมคี ำสงั่ ไมฟ่ อ้ งเฉพาะฐานเสพยาเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี )
โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและได้แยกฟ้องผู้ต้องหาเฉพาะฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท ๑

(เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่ายและจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จนศาล

มีคำพิพากษาจำคุกผู้ต้องหา การแยกดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ
ประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายต่อไปย่อมก่อให้เกิดผลร้ายต่อผู้ต้องหา

เกินสมควร อีกทั้งเป็นการดำเนินคดีที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน อัยการสูงสุดจึงสั่งไม่ฟ้อง

ผู้ต้องหา ฐานเสพยาเสพตดิ ให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามนี ) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เนอ่ื งจาก
การฟ้องคดีไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๒๑ ประกอบระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการส่ังคดีอาญาท่ีจะไม ่

เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัย หรือความมั่นคงของชาติ

หรือตอ่ ผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๔ ขอ้ ๖ (๓) (๔), ๙




24 คำชข้ี าดความเหน็ แยง้

นิติกรรมการกู้ยืมเงินที่ลูกหนี้มอบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตร ATM) ให้เจ้าหน้ีไว้

เพื่อนำออกใช้และใช้เบิกถอนเงินสดชำระหนี้กู้ยืมนั้น จะถือว่าเป็นความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๕, ๒๖๙/๖, ๒๖๙/๗ หรือไม

คำชข้ี าดความเหน็ แยง้ ที่ ๙๔/๒๕๖๑


ป.อ. ความผดิ เก่ียวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (มาตรา ๒๖๙/๕, ๒๖๙/๖, ๒๖๙/๗)

ป.พ.พ. โมฆะกรรม, การชำระหนี้, ห้ามคิดดอกเบย้ี เกนิ อตั รา (มาตรา ๑๗๓, ๓๒๑, ๖๕๔)

พ.ร.บ. หา้ มเรยี กดอกเบ้ยี เกนิ อัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ (มาตรา ๔)



ความผิดฐานมีไว้เพ่ือนำออกใช้และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการ

ท่ีน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชน โดยเป็นการกระทำเกี่ยวกับบัตร
อิเล็กทรอนิกส์ท่ีผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการ

หรือหนี้อย่างอื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสด ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๖๙/๕, ๒๖๙/๖, ๒๖๙/๗ นน้ั ตอ้ งเปน็ การมบี ตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ สข์ องผอู้ นื่ ไวเ้ พอ่ื นำออกใช้
โดยมชิ อบด้วยกฎหมาย หรือไมม่ สี ิทธิอนั จะอ้างกฎหมายได

คดีน้ีข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ต้องหาประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ

โดยไม่ได้รับอนุญาต และเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราท่ีกฎหมายกำหนดไว้ โดยการประกอบธุรกิจ

ดงั กล่าวผตู้ อ้ งหาไดร้ ับมอบสมุดบัญชเี งนิ ฝากพร้อมบัตรอเิ ล็กทรอนกิ ส์ (บัตร ATM) ของลกู หนี้
เพ่ือนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ออกใช้และใช้เบิกถอนเงินสดเพ่ือหักชำระหน้ีเงินกู้ด้วยความสมัครใจ
และยินยอมของลูกหนี้ แม้นิติกรรมการกู้ยืมจะคิดดอกเบี้ยเกินอัตราท่ีกฎหมายกำหนดไว้

อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔

ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ ก็ตาม แต่เฉพาะนิติกรรมการกู้ยืม
ส่วนท่ีเป็นดอกเบี้ยเท่านั้นท่ีตกเป็นโมฆะ ส่วนเงินต้นซึ่งเป็นหน้ีประธานยังคงสมบูรณ์อยู่
สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓ (ตามนัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๓๗๒/๒๕๔๕) และการท่ีผู้ต้องหาในฐานะเจ้าหน้ีได้นำบัตร
อิเล็กทรอนิกส์ (บัตร ATM) ที่ลูกหนี้มอบสิทธิในการถอนเงินออกใช้เบิกถอนเงินสดออกจาก
บัญชีของผู้กู้เพ่ือหักชำระหนี้เม่ือหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว จึงถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอ่ืนซึ่ง

ผู้ต้องหาในฐานะเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑
(ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๖๔๓/๒๕๓๙) ดังนั้น ผู้ต้องหาจึงมีสิทธิมีไว้เพื่อนำออกใช้

และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตร ATM) ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อได้ใช้ประโยชน์

ในการชำระค่าสินค้า ค่าบรกิ าร หรอื หน้อี ่ืนแทนการชำระหนี้ดว้ ยเงินสด หรือใชเ้ บกิ ถอนเงินสด
การกระทำของผู้ต้องหาจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๕,

๒๖๙/๖, ๒๖๙/๗


______________________________




อยั การนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
25

ข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจ บก.ปอศ. ได้รับแจ้งจากสายลับว่า
นาย น. ผู้ต้องหา มีพฤตกิ ารณป์ ระกอบธรุ กจิ ปลอ่ ยเงินกใู้ หก้ บั ชาวบ้านทว่ั ไป โดยคดิ อตั ราดอกเบี้ย
เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงเฝ้าสังเกตการณ์หน้าบ้านของผู้ต้องหามีลักษณะท่าทางพิรุธ
ต้องสงสัยน่าเชื่อว่าภายในบ้านดังกล่าวประกอบธุรกิจปล่อยเงินกู้นอกระบบ จึงรายงาน

ผู้บังคับบัญชาทราบและได้รับคำส่ังให้ดำเนินการสืบสวนเพ่ือนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อมาวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ผู้กล่าวหาพร้อมพวกได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดพระโขนง

เขา้ ตรวจคน้ บา้ นของผตู้ อ้ งหา เมอ่ื ไปถงึ พบผตู้ อ้ งหาและนางสาว น. และขอทำการตรวจคน้ ผลการตรวจ
ค้นพบเอกสารที่เก่ียวกับการปล่อยเงินกู้ พร้อมบัตร ATM และสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ
ของผู้อื่น รวม ๕๑๗ รายการ จึงยึดไว้เป็นของกลาง จึงแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาและนำตัว

ผตู้ ้องหาสง่ พนกั งานสอบสวนดำเนนิ คดี

อัยการพิเศษฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร ๖ มีความเห็นควรส่ังฟ้องผู้ต้องหา

ฐานประกอบธุรกิจสินเช่ือส่วนบุคคลภายใต้การกำกับโดยไม่ได้รับอนุญาต และให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงิน
โดยคดิ อัตราดอกเบ้ียเกนิ กว่าอัตราท่ีกฎหมายกำหนดไว้ มคี วามเหน็ ควรส่งั ไม่ฟอ้ งผ้ตู ้องหา ฐานมีไว้
เพ่ือนำออกใช้ซ่ึงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการท่ีน่าจะก่อความเสียหาย

แก่ผู้อื่นหรือประชาชน เป็นการกระทำผดิ เกี่ยวกับบัตรอเิ ล็กทรอนิกสท์ ีผ่ ู้ออกได้ออกใหแ้ กผ่ มู้ สี ิทธใิ ช้
เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหน้ีอื่นแทนการชำระด้วยเงินสด โดยให

เหตุผลว่า ผู้กระทำความผิดฐานน้ีจะเป็นความผิดได้ก็ต่อเม่ือ ผู้กระทำผิดได้บัตรอิเล็กทรอนิกส ์

ของผู้อื่นโดยมิชอบ เช่น ลักบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนมา หรือได้มาโดยประการอ่ืนโดยท่ี

เจ้าของบัตรมิได้ยินยอมหรือสมัครใจให้ใช้ แต่จากคำให้การของพยานหลายปากต่างให้การว่า

ได้กู้ยืมเงินจากผู้ต้องหาแล้วได้มอบบัตร เอ.ที.เอ็ม พร้อมกับสมุดเงินฝากให้ไว้ เมื่อถึงเวลาชำระ

ดอกเบี้ยก็ให้ผู้ต้องหากดเงินออกจากบัญชีของพยานได้ เห็นได้ว่า ผู้ต้องหาได้ใช้หรือมีไว้เพ่ือใช ้

บัตร เอ.ที.เอ็ม ของผู้กู้ดังกล่าวก็โดยความยินยอมของผู้กู้ ซ่ึงเป็นการใช้บัตรดังกล่าวโดยชอบ

ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้กู้ ดังนั้น พยานหลักฐานจึงยังไม่พอฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานน้ี
และย่อมไมเ่ ป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๗

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ฐานมีไว้เพ่ือนำออกใช ้

ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนโดยมิชอบ ในประการท่ีน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ
ประชาชน เป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อใช้
ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดของพนักงานอัยการ
โดยใหเ้ หตผุ ลว่า ข้อเท็จจรงิ ฟงั เป็นท่ยี ตุ ิวา่ การใหก้ ู้ยืมเงินของผ้ตู อ้ งหามกี ารเรยี กดอกเบี้ยเกนิ อัตรา
ที่กฎหมายกำหนด ซ่ึงเป็นความผิดต่อกฎหมายโดยชัดแจ้ง อีกท้ัง การที่ผู้ต้องหากำหนดเง่ือนไข

ในการให้กู้ยืมเงินท่ีผิดกฎหมายดังกล่าว โดยให้ผู้กู้ยืมมอบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไว้ให้ผู้ต้องหา

เพอ่ื ประกนั การชำระหนแี้ ละเพอื่ ใหผ้ ตู้ อ้ งหานำไปใชเ้ บกิ ถอนเงนิ ไดด้ ว้ ยตนเอง แมฟ้ งั วา่ เงอ่ื นไขดงั กลา่ ว
ผู้กู้ได้ทราบก่อนจะตกลงกู้ยืมเงิน แต่ก็เป็นเงื่อนไขที่ผู้ต้องหาซ่ึงเป็นฝ่ายผู้ให้กู้ได้กำหนดข้ึน

แต่ฝ่ายเดียวในลักษณะบังคับให้ผู้กู้จำยอมต้องกระทำตาม จึงไม่อาจฟังว่าผู้กู้ได้ตกลงยินยอม

ตามเง่ือนไขดังกล่าวด้วยความเต็มใจอย่างแท้จริง ดังนั้น การท่ีผู้กู้มอบบัตรอิเล็กทรอนิกส

ให้ผู้ต้องหาจึงไม่ถือว่าเป็นการมอบให้ด้วยความสมัครใจ ประกอบกับเมื่อเป็นการให้กู้ยืมเงิน


26 คำชขี้ าดความเห็นแย้ง

โดยผิดกฎหมาย เงื่อนไขหรือข้อตกลงที่กำหนดข้ึนให้ผู้กู้ต้องมอบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ต้องหา

จึงเป็นผลสืบเน่ืองมาจากการกระทำท่ีผิดกฎหมายไม่อาจใช้บังคับได้ ผู้ต้องหาจึงไม่อาจอ้าง

ความยินยอมหรือความตกลงของผู้กู้เพ่ือนำบัตรเอทีเอ็มของผู้กู้ไปใช้ได้โดยชอบ ประกอบกับการท ี

ผู้ต้องหานำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้กู้ไปใช้เบิกถอนเงินเพื่อชำระหน้ีเงินกู้ซ่ึงมีดอกเบ้ียเกินกว่า

อัตราท่ีกฎหมายกำหนดรวมอยู่ด้วย พฤติการณ์จึงเป็นการใช้บัตรเอทีเอ็มซึ่งเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์
ของผู้อ่ืนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เมื่อทางคดีเจ้าพนักงานตำรวจยึดบัตรอิเล็กทรอนิกส ์

ภายในบ้านท่ีผู้ต้องหาอาศัยอยู่ และมีพยานซ่ึงเป็นผู้กู้เงินและเป็นเจ้าของบัตรอิเล็กทรอนิกส

มาใหก้ ารยนื ยนั ขอ้ เทจ็ จรงิ และพฤตกิ ารณก์ ารกระทำความผดิ ของผตู้ อ้ งหา พยานหลกั ฐานจงึ พอฟอ้ ง

คดีมีปัญหาให้อัยการสูงสุดต้องพิจารณาช้ีขาดว่า การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิด

ฐานมีไว้เพ่ือนำออกใช้และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อความ

เสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชน โดยเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออก

ให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระ

ดว้ ยเงนิ สด หรอื ไม

อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า ความผิดฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์
ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชน โดยเป็นการ
กระทำเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระสินค้า
ค่าบริการหรือหนี้อย่างอ่ืนแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสดนั้น ต้องเป็นการม ี

บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นไว้เพื่อใช้โดยไม่มีสิทธิจะใช้ เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าก่อนเกิดเหตุ
เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ประกอบธุรกิจปล่อยเงินกู้และ
เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราท่ีกฎหมายกำหนด ต่อมาวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ผู้กล่าวหากับ

พวกได้ร่วมกันนำหมายค้นของศาลเข้าทำการค้นบ้านของผู้ต้องหา โดยมีผู้ต้องหาเป็นผู้นำตรวจค้น
ซ่ึงผลการตรวจค้นนอกจากจะพบสมุดบัญชีธนาคารต่าง ๆ ของบุคคลอื่นรวมท้ังเอกสารต่าง ๆ

ที่เกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้แล้ว ผู้กล่าวหากับพวกยังพบบัตรเอทีเอ็มซึ่งเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์

ท่ีผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพ่ือประโยชน์ในการใช้เบิกถอนเงินสดซ่ึงเป็นของลูกหน้ีเงินก้

จำนวนมาก แต่เมื่อได้ความจากพยานซึ่งเป็นลูกหนี้ของผู้ต้องหาท่ีพนักงานสอบสวนเรียกมาสอบ

คำให้การในฐานะพยานที่ยืนยันสอดคล้องกันว่า พยานท้ังส่ีได้กู้ยืมเงินจากผู้ต้องหาโดยผู้ต้องหา

คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๐ ถึงร้อยละ ๑๕ ต่อเดือน และพยานทั้งสี่ได้มอบบัตรเอทีเอ็ม

พร้อมสมุดเงินฝากไว้กับผู้ตอ้ งหา เมื่อถงึ กำหนดชำระตน้ เงินและดอกเบ้ยี ผูต้ อ้ งหาจะนำบตั รเอทีเอ็ม
ของพยานไปใช้เบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของพยานเพ่ือหักชำระหนี้ ส่วนบัตรเอทีเอ็มท่ีเหลือ

ทีไ่ ม่ได้ตวั ลกู หน้ีเจ้าของบัตรมาใหก้ ารเปน็ พยานกไ็ มป่ รากฏหลักฐานว่าผู้ต้องหาได้บัตรดังกล่าวมาไว้
ในครอบครองโดยเจา้ ของบตั รไมย่ ินยอมแตอ่ ย่างใด ดังน้นั แม้วา่ ผตู้ ้องหาจะกระทำผิดฐานประกอบ
ธุรกิจสินเช่ือส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรียกดอกเบ้ียเกินกว่าอัตราท่ีกฎหมายกำหนด

ตามที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงท่ีสุดลงโทษ แต่การท่ีผู้ต้องหามีไว้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของกลาง
เนื่องจากลูกหน้ีของผู้ต้องหามอบให้แก่ผู้ต้องหาเพื่อนำไปใช้เบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีเพ่ือ

หักชำระหนี้เมื่อถึงกำหนดชำระในแต่ละงวด ย่อมฟังได้ว่าลูกหน้ีของผู้ต้องหายินยอมมอบสิทธิใน
การถอนเงินโดยมอบบัตรเอทีเอ็มซ่ึงเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการชำระหนี้ และการที่ผู้ต้องหา


อยั การนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
27

ซึ่งเป็นเจ้าหน้ีนำบัตรดังกล่าวไปใช้เบิกถอนเงินสดเพื่อหักชำระหน้ีจึงเป็นการกระทำโดย

ความยินยอมของลูกหน้ี ประกอบกับการให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราท่ีกฎหมายกำหนด
นิติกรรมการกู้ยืมเฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบ้ียเท่านั้นท่ีเป็นโมฆะ ส่วนนิติกรรมการกู้ยืมในส่วนท
่ี
เป็นเงินต้นซึ่งเป็นหนี้ประธานยังคงสมบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓
และการที่ลูกหน้ีของผู้ต้องหามอบบัตรเอทีเอ็มให้แก่เจ้าหนี้เพ่ือนำไปใช้เบิกถอนเงินสดออกจาก
บัญชีเพื่อหักชำระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระในแต่ละงวด แล้วเจ้าหนี้ได้นำบัตรเอทีเอ็มดังกล่าว

ไปใช้เบิกถอนเงินสดเพ่ือหักชำระหนี้ ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๖๔๓/๒๕๓๙

ว่าเป็นการชำระหน้ีอย่างอ่ืนและเจ้าหนี้ยอมรับแล้ว ดังน้ัน ผู้ต้องหามีบัตรเอทีเอ็มของลูกหน
้ี
ไว้ในครอบครองและนำไปเบิกถอนเงินสดเพื่อหักชำระหน้ีโดยความยินยอมของลูกหน้ีเม่ือหนี้ถึง
กำหนดชำระในแต่ละงวด พยานหลักฐานจึงไม่พอฟังว่า ผู้ต้องหามีไว้เพ่ือนำออกใช้และ

ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการ
หรือหนี้อย่างอื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสดของผู้อื่นโดยมิชอบ คดีมี

พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงช้ีขาดไม่ฟ้อง นาย น. ผู้ต้องหา ฐานมีไว้เพ่ือนำออกใช้และ

ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือ
ประชาชน โดยเป็นการกระทำเก่ียวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช

เพ่ือประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหน้ีอื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอน
เงนิ สด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๕, ๒๖๙/๖, ๒๖๙/๗ พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ
ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ พระราชบญั ญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวล
กฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๕



ความรูท้ ่ีไดจ้ ากการปฏิบัติงานเรื่องน้

๑. นติ กิ รรมการกยู้ มื เงนิ ซง่ึ รวมดอกเบยี้ เกนิ อตั ราทก่ี ฎหมายกำหนดอยดู่ ว้ ยนนั้ เฉพาะนติ กิ รรม
ส่วนท่ีเป็นดอกเบ้ียเท่านั้นท่ีตกเป็นโมฆะ ส่วนเงินต้นซึ่งเป็นหนี้ประธานยังคงสมบูรณ์อยู่ สามารถ
บังคับได้ตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓ (ตามนัยคำพิพากษา
ศาลฎีกาที่ ๔๓๗๒/๒๕๔๕)

๒. การท่ีผู้ต้องหาในฐานะเจ้าหน้ีนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตร ATM) ท่ีลูกหนี้มอบสิทธิ

ในการถอนเงินออกใช้เบิกถอนเงินสดเพื่อหักชำระหนี้ ถือเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นและเจ้าหนี้
ยอมรับแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ (ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่
๔๖๔๓/๒๕๓๙)

๓. การที่ผู้ต้องหามีไว้เพ่ือนำออกใช้และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตร ATM) ท่ีผู้ออกได้ออก

ใหแ้ กผ่ มู้ สี ทิ ธใิ ชเ้ พอื่ ใชป้ ระโยชนใ์ นการชำระคา่ สนิ คา้ คา่ บรกิ ารหรอื หนอ้ี น่ื แทนการชำระหนดี้ ว้ ยเงนิ สด
หรือใช้เบิกถอนเงินสด โดยความสมัครใจและยินยอมของลูกหน้ี จึงเป็นการนำออกใช้และ

ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์โดยมีสิทธิอันจะอ้างกฎหมายได้ ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๖๙/๕, ๒๖๙/๖, ๒๖๙/๗


28 คำช้ขี าดความเหน็ แยง้

เมื่อพนักงานอยั การหรืออยั การสงู สดุ มคี ำสั่งฟ้องผตู้ ้องหาแลว้ แตย่ งั มิไดย้ ่ืนฟ้อง หาก
กรณีมีข้อเท็จจริงใหม่หรือมีพยานหลักฐานใหม่แสดงว่าผู้ต้องหาที่สั่งฟ้องไว้แล้วมิได้
กระทำผดิ พนกั งานอยั การหรอื อยั การสูงสดุ สามารถสงั่ ไมฟ่ ้องผู้ตอ้ งหานน้ั ได้

คำชี้ขาดความเห็นแยง้ ท่ี ๔๔๓/๒๕๖๑


ป.วิ.อ. เหตุในลกั ษณะคดี (มาตรา ๒๑๓)

พ.ร.บ. องคก์ รอยั การและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ (มาตรา ๑๕)

ระเบยี บสำนกั งานอยั การสงู สดุ วา่ ดว้ ยการดำเนนิ คดอี าญาของพนกั งานอยั การ พ.ศ. ๒๕๔๗ ขอ้ ๖, ๕๘



เม่ือพนักงานอัยการหรืออัยการสูงสุดมีคำส่ังฟ้องผู้ต้องหาแล้ว แต่ยังมิได้ยื่นฟ้อง

หากกรณีมีข้อเท็จจริงใหม่หรือมีพยานหลักฐานใหม่แสดงว่าผู้ต้องหาที่สั่งฟ้องไว้แล้ว

มิได้กระทำผิด พนักงานอัยการหรืออัยการสูงสุดสามารถสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาน้ันได้ เพราะแม้จะ
ย่ืนฟ้องไปแล้ว พนักงานอัยการยังดำเนินการขอถอนฟ้องได้ และหากจะต้องยื่นฟ้องคนท่ีม

ข้อเท็จจริงประจักษ์ชัดแล้วว่ามิได้เป็นผู้กระทำความผิดก็จะเป็นการขัดต่อหลักนิติธรรมและ

ขัดต่อบทบญั ญัติแห่งรัฐธรรมนญู มาตรา ๓ เพราะเท่ากับเป็นการฟ้องคนบรสิ ทุ ธิ์


______________________________



ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีนี้ อัยการสูงสุดได้ชี้ขาดให้ฟ้อง นาย ก. ผู้ต้องหาท่ี ๑ นาย บ.

ผู้ต้องหาที่ ๒ และนาย ท. ผู้ต้องหาที่ ๓ ฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตราย

สิ่งกีดก้ันสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์และเข้าช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่จำนงให้เป็นทางคนเข้า
และร่วมกันทำใหเ้ สยี ทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) (๓) (๔) (๗), ๓๕๘, ๘๓
พนกั งานอัยการจึงแจ้งใหพ้ นักงานสอบสวนสง่ ตัวผตู้ อ้ งหาท้งั สามมาดำเนนิ คดภี ายในอายุความ

วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนาย ท. ผู้ต้องหาที่ ๓ ได้ นำตัวส่ง
พนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนนำตัวส่งพนักงานอัยการ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการ
พเิ ศษฝา่ ยคดอี าญา ๔ ยน่ื ฟอ้ งนาย ท. ผตู้ อ้ งหาที่ ๓ เปน็ จำเลยตอ่ ศาลอาญาเปน็ คดอี าญาหมายเลขดำที่
อ.๓๖๙๔/๒๕๕๗ ซ่ึงศาลอาญาพิพากษายกฟ้องเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.๓๒๓๖/๒๕๕๘
โดยวินิจฉัยว่า “ภายหลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนไม่ได้ทำการตรวจสอบลายพิมพ์น้ิวมือบ้าน

ที่เกิดเหตุหรือรอยเท้าซึ่งคาดว่าเป็นรอยเท้าของคนร้ายท่ีเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุว่าเป็นรอยเท้า

ของพวกจำเลยหรอื ไม่ และสายไฟทองแดงทป่ี อกเปลอื กของกลาง มคี วามยาว ๒.๕ เมตร แตน่ าย อ.
เบกิ ความวา่ ความยาวของหมอ้ แปลงไฟเพยี ง ๘๐ เซนตเิ มตร อกี ทง้ั ลกั ษณะสายไฟทองแดงของกลาง

มีลักษณะเป็นสายไฟทองแดงขนาดเล็กพันกันหลายเส้น แต่ตามภาพถ่ายแผงไฟมีสายไฟตัดออก
แตล่ ะเสน้ มขี นาดเลก็ กวา่ สายไฟของกลางมาก จงึ ไมน่ า่ เชอื่ วา่ เปน็ สายไฟทถ่ี กู ตดั ภายในบา้ นทเ่ี กดิ เหต”ุ
พนกั งานอยั การ ยนื่ อทุ ธรณ์ ศาลอทุ ธรณพ์ พิ ากษายนื ตามคำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ คำพพิ ากษาถงึ ทสี่ ดุ
ให้ยกฟ้องผู้ต้องหาที่ ๓ ต่อมาวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม นาย ก.


อัยการนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
29

ผ้ตู ้องหาท่ี ๑ ได้ นำส่งพนกั งานสอบสวน และสง่ สำนวนใหพ้ นกั งานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ
ฝา่ ยคดอี าญา ๔ ในวนั ที่ ๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๑

พนกั งานอยั การเจา้ ของสำนวนพจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ ประเดน็ ทศ่ี าลวนิ จิ ฉยั ยกฟอ้ งผตู้ อ้ งหาท่ี ๓
เป็นประเด็นในลักษณะคดี มีผลต่อการฟ้องและสืบพยานของผู้ต้องหาท่ี ๑ ที่จับตัวมาได ้

และผตู้ ้องหาที่ ๒ ท่จี บั ตัวมาไมไ่ ด้ ซงึ่ เป็นขอ้ เท็จจรงิ ใหม่ ตอ้ งด้วยระเบียบสำนกั งานอยั การสูงสุดว่า
ด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕๘ ดังน้ัน หากฟ้องผู้ต้องหาท่ี ๑
และ ๒ ก็ไม่สามารถสืบเปลย่ี นแปลงข้อเท็จจรงิ ในคดีเดมิ เพ่ือให้ศาลลงโทษผูต้ อ้ งหาที่ ๑ และ ๒ ได้
จึงเห็นควรทบทวนความเหน็ หรอื คำส่งั เป็นสั่งไม่ฟอ้ งผู้ตอ้ งหาที่ ๑ และ ๒

อธบิ ดอี ยั การ สำนกั งานคดอี าญา มคี วามเหน็ วา่ การทศ่ี าลอทุ ธรณพ์ พิ ากษายกฟอ้ งผตู้ อ้ งหาที่ ๓
เปน็ เหตุในลักษณะคดีและคดีเสร็จเด็ดขาดในความผดิ ทไ่ี ดฟ้ ้องแลว้ เห็นควรไม่ฟ้องผู้ตอ้ งหาที่ ๑, ๒
ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗

ขอ้ ๖, ๕๘

คดมี ปี ญั หาใหอ้ ยั การสงู สดุ ชขี้ าดวา่ อยั การสงู สดุ จะมคี ำสงั่ ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาท่ี ๑ และผตู้ อ้ งหาที่ ๒
กลับคำสง่ั ฟ้องเดมิ ท่ีอัยการสูงสดุ สัง่ ไว้ได้หรือไม

อยั การสงู สดุ พจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ เมอ่ื พนกั งานอยั การหรอื อยั การสงู สดุ มคี ำสงั่ ฟอ้ งผตู้ อ้ งหาแลว้
แตย่ งั มไิ ดย้ น่ื ฟอ้ ง หากกรณมี ขี อ้ เทจ็ จรงิ ใหมห่ รอื มพี ยานหลกั ฐานใหมแ่ สดงวา่ ผตู้ อ้ งหาทสี่ งั่ ฟอ้ งไวแ้ ลว้
มิได้กระทำผิด พนักงานอัยการหรืออัยการสูงสุดสามารถส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาน้ันได้ เพราะแม

จะยื่นฟ้องไปแล้ว พนักงานอัยการยังดำเนินการขอถอนฟ้องได้ และหากจะต้องยื่นฟ้องคนที่ม

ข้อเท็จจริงประจักษ์ชัดแล้วว่ามิได้เป็นผู้กระทำความผิด ก็จะเป็นการขัดต่อหลักนิติธรรมและขัดต่อ
บทบัญญตั แิ หง่ รัฐธรรมนญู มาตรา ๓ เพราะเท่ากบั เป็นการฟอ้ งคนบรสิ ทุ ธ ์ิ

ในคดีนี้การที่มีผลของคำพิพากษาศาลถึงท่ีสุดภายหลังจากที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง

ให้ยกฟ้องโดยรับฟังว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่เพียงพอจะพิสูจน์ว่าจำเลยทำความผิด ถือได้ว่า
พยานหลักฐานในคดีได้มีการช่ังน้ำหนักโดยกระบวนการทางศาล ซ่ึงน่าจะถูกต้องเที่ยงธรรมกว่า

การพิจารณาสำนวนการสอบสวนและส่ังฟ้องในชั้นพนักงานอัยการซ่ึงเป็นการฟังความข้างเดียว
กรณีถือได้ว่ามีข้อเท็จจริงอันเกิดจากการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในศาลเปลี่ยนแปลง

การรับฟังพยานหลักฐานเดิม เม่ือปรากฏว่าพยานหลักฐานในส่วนคดีของผู้ต้องหาท่ี ๑

และผตู้ อ้ งหาท่ี ๒ ซง่ึ ยงั ไมไ่ ดฟ้ อ้ งคดตี อ่ ศาลเปน็ พยานหลกั ฐานชดุ เดยี วกนั กบั สว่ นคดขี องผตู้ อ้ งหาท่ี ๓
ที่มีการนำสืบพยานต่อศาลแล้วซึ่งคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องตามศาลช้ันต้น
โดยไมป่ รากฏพยานหลกั ฐานเพม่ิ เตมิ ทจี่ ะยนื ยนั การกระทำความผดิ ของผตู้ อ้ งหาที่ ๑ กบั ผตู้ อ้ งหาที่ ๒ ได้
อันเป็นเหตุในลักษณะคดี ซึ่งมีผลไปถึงผู้ต้องหาท่ี ๑ และ ๒ ท่ียังไม่ฟ้องคดีต่อศาล อัยการสูงสุด

จึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๕

มคี ำสงั่ ไมฟ่ อ้ ง นาย ก. ผตู้ อ้ งหาท่ี ๑ และนาย บ. ผตู้ อ้ งหาท่ี ๒ ฐานรว่ มกนั ลกั ทรพั ยใ์ นเวลากลางคนื
โดยทำอันตรายส่ิงกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์และโดยเข้าทางช่องทางซ่ึงได้ทำขึ้นโดย

ไม่ได้จำนงใหเ้ ปน็ ทางคนเข้า และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕
(๑) (๓) (๔) (๗), ๓๕๘, ๘๓




30 คำชข้ี าดความเห็นแยง้

ค�ำพิพากษาศาลฎกี า

158 หนังสอื เวียน

158 หนังสอื เวยี น

คำพิพากษาศาลฎกี าท่ี ๑๖๖๔/๒๕๖๐


พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ (มาตรา ๔, ๗, ๘, ๒๖, ๗๕, ๗๖, ๑๐๒)


ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ นิยามคำว่า “ผลิต”
หมายความว่า เพาะ ปลูก ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ เปลี่ยนรูป สังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์
และให้หมายความรวมถึงการแบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุด้วย การผลิตตามความมุ่งหมาย

ในการออกกฎหมายดังกล่าวจึงไม่ได้มีความหมายเพียงแค่การผลิตตามท่ีเข้าใจกันโดยทั่วไป

แต่มีความหมายครอบคลุมกว้างขวางถึงการผสมและการปรุงด้วย ดังน้ัน การที่จำเลยท้ังสอง
ร่วมกันต้มน้ำพืชกระท่อมแล้วนำมาผสมกับยาแก้ไอเพ่ือให้เกิดการมึนเมา จึงเข้าลักษณะ


ของการผสมและการปรงุ อนั เปน็ การผลติ ตามกฎหมายดงั กลา่ วแลว้ การกระทำของจำเลยทงั้ สอง
จงึ เปน็ ความผดิ ฐานรว่ มกนั ผลติ ซง่ึ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท ๕ ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ
ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒


______________________________


{
พนกั งานอยั การจังหวดั ภูเกต็ โจทก

ระหวา่ ง
นาย ท. ท่ี ๑
จำเลย

นาย ก. ท่ี ๒



โจทกฟ์ ้องว่า เม่อื วนั ท่ี ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เวลากลางคืนหลงั เท่ยี ง จำเลยท้ังสองร่วมกัน
ผลิตพืชกระท่อม อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ โดยร่วมกันต้มน้ำพืชกระท่อม แล้วนำมา
ผสมกับยาแก้ไอ ปริมาตร ๓,๐๐๐ มิลลิลิตร อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลย

ท้ังสองได้พร้อมยึดน้ำต้มพืชกระท่อมดังกล่าวและหม้ออะลูมิเนียมสำหรับต้มน้ำพืชกระท่อม ๑ ใบ
กับยาแก้ไอ ๑ ขวด ที่ใช้ในการผลิตน้ำพืชกระท่อมเป็นของกลาง น้ำต้มพืชกระท่อมและยาแก้ไอ
ของกลางหมดไปในการตรวจพิสจู น์ ขอให้ลงโทษตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๔, ๗, ๘, ๒๖, ๗๕, ๗๖, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๓

ริบหม้ออะลมู ิเนียมของกลาง

จำเลยทงั้ สองใหก้ ารรบั สารภาพ

ศาลชนั้ ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ จำเลยทง้ั สองมคี วามผดิ ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ
พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๖ วรรคหนึง่ , ๗๖ วรรคสอง, ๑๐๒ จำคุกคนละ ๒ เดือน และปรบั คนละ
๔,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ

ลดโทษกึ่งหน่ึง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๑ เดือน และปรับคนละ
๒,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ริบของกลาง
ข้อหาอน่ื นอกจากน้ีให้ยก


อยั การนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
33

โจทกอ์ ุทธรณ

ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายนื

โจทกฎ์ ีกา โดยไดร้ ับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎกี าตรวจสำนวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ มปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามฎกี าของโจทกว์ า่ การกระทำ
ของจำเลยท้ังสองเป็นความผิดฐานร่วมกันผลิตพืชกระท่อมหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติ

ยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ นยิ ามคำว่า “ผลิต” หมายความว่า เพาะ ปลูก ทำ ผสม
ปรุง แปรสภาพ เปล่ียนรูป สังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ และให้หมายความรวมถึงการแบ่งบรรจุ
หรือรวมบรรจุด้วย การผลิตตามความมุ่งหมายในการออกกฎหมายดังกล่าวจึงไม่ได้มีความหมาย
เพียงแค่การผลิตตามท่ีเข้าใจกันโดยทั่วไป แต่มีความหมายครอบคลุมกว้างขวางถึงการผสมและ

การปรุงด้วย ดังน้ัน การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันต้มน้ำพืชกระท่อมแล้วนำมาผสมกับยาแก้ไอ

เพอื่ ใหเ้ กดิ การมนึ เมา จงึ เขา้ ลกั ษณะของการผสมและการปรงุ อนั เปน็ การผลติ ตามกฎหมายดงั กลา่ วแลว้
การกระทำของจำเลยท้ังสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันผลิตซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕

ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ท่ีศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกา

ไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่พืชกระท่อมท่ีต้มเสร็จและนำมาผสมกับยาแก้ไอแล้วน้ัน

มีปริมาตรเพียง ๓,๐๐๐ มลิ ลิลิตร ซงึ่ เทา่ กบั ๓ ลติ ร โดยไมป่ รากฏวา่ ปริมาตร ๓,๐๐๐ มิลลิลติ รนัน้
มพี ชื กระทอ่ มผสมอยเู่ ทา่ ไร เมอื่ ไมป่ รากฏวา่ จำเลยทง้ั สองเคยกระทำความผดิ มากอ่ น กรณมี เี หตสุ มควร
รอการกำหนดโทษให้จำเลยท้ังสอง

พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จำเลยทง้ั สองมคี วามผดิ ตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๒๖ วรรคหนึ่ง, ๗๕ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ แต่ให ้

รอการกำหนดโทษไว้ ๒ ปี และใหค้ มุ ความประพฤตขิ องจำเลยทง้ั สองไวภ้ ายในกำหนด ๒ ปี ดงั กลา่ ว
โดยให้จำเลยทั้งสองไปรายงานตัวต่อพนกั งานคมุ ประพฤติ ๒ คร้ัง และกระทำกจิ กรรมบรกิ ารสงั คม

หรือสาธารณประโยชน์ ๑ ครั้ง ตามท่ีจำเลยท้ังสองและพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ นอกจากทแี่ กใ้ หเ้ ป็นไปตามคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์.


สำนักงานอัยการพิเศษฝา่ ยสารสนเทศ

สำนักงานวชิ าการ





หมายเหต

เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๐๕๔/๒๕๕๘ วินิจฉัยเก่ียวกับวิธีการต้มใบพืชกระท่อม

จนได้น้ำพืชใบกระท่อม ปริมาตร ๑,๒๐๐ มิลลิเมตร (มิลลิเมตรเป็นถ้อยคำท่ีปรากฏใน

คำพิพากษาศาลฎีกา) ไว้เพื่อด่ืมเอง โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีการนำน้ำต้มพืชกระท่อมไปผสมกับ

ยาแก้ไอเพื่อให้เกิดการมึนเมาซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ว่า วิธีการดังกล่าวไม่อยู่ในความหมายของ

คำว่า “ผลิต” ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ดูอัยการนิเทศ เล่มท่ี ๘๑

พ.ศ. ๒๕๕๙ หนา้ ๗๐ - ๗๑




34 คำพิพากษาศาลฎกี า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๔๑/๒๕๖๐


ป.อ. รบิ ทรพั ยส์ นิ (มาตรา ๓๓ (๑))

พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ (มาตรา ๔๓, ๑๕๗, ๑๖๐)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ (๑) เป็นกฎหมายท่ีให้อำนาจแก่ศาลในการลงโทษ
ริบทรัพย์สินซ่ึงบุคคลได้ใช้หรือมีไว้ใช้ในการกระทำความผิด อันเป็นเร่ืองท่ีอยู่ในดุลพินิจของ
ศาล ทั้งน้ีกฎหมายมีความมุ่งหมายถึงให้ริบตัวทรัพย์สินที่ผู้กระทำความผิดได้ใช้ในการกระทำ
ความผิดนั้น ๆ โดยตรง เป็นทรัพย์สินท่ีต้องเกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิด


การท่ีจำเลยขับรถตู้หมายเลขทะเบียน ฮล ๑๔๙๐ กรุงเทพมหานคร ของกลาง ไปตามถนน
สาธารณะ เมื่อถึงบริเวณท่ีเกิดเหตุ จำเลยขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวในลักษณะ


กีดขวางการจราจรและไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ด้วยการขับรถ
แซงรถอื่นทางด้านซ้ายและประกบรถอื่นท่ีแล่นอยู่บนถนนดังกล่าวทางด้านซ้ายในลักษณะ


เบียดประชิด เมื่อผ่านพ้นไปได้จำเลยห้ามล้อรถทันทีในลักษณะประมาทหรือน่าหวาดเสียว

อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน จากนั้นจำเลยเปล่ียนช่องเดินรถเข้าไปในช่องทาง
เดินรถของรถอื่นซึ่งขับอยู่ในระยะกระช้ันชิด และห้ามล้อในทันทีในลักษณะกีดขวางการจราจร
จนรถยนตข์ องนาย ภ. ผเู้ สยี หาย ทแี่ ลน่ อยใู่ นชอ่ งเดนิ รถเดยี วกนั ทางดา้ นหลงั ของรถทจี่ ำเลยขบั
ไมส่ ามารถแลน่ ตรงไปขา้ งหนา้ ตามปกตไิ ด้ จำเลยกระทำการดงั กลา่ วโดยไมค่ ำนงึ ถงึ ความปลอดภยั
หรอื ความเดอื ดรอ้ นของผอู้ น่ื จากนน้ั จำเลยใชส้ งิ่ เทยี มอาวธุ ปนื ทจี่ ำเลยมแี ละถอื ในมอื โดยเปดิ เผย
เดินตรงมายังรถยนต์ของผู้เสียหายซึ่งไม่สามารถแล่นต่อไปได้จากการท่ีจำเลยขับรถกีดขวาง
และต้องจอดอยู่บนทางสาธารณะช่องเดินรถ แล้วจำเลยพูดขู่เข็ญผู้เสียหายว่า “เดี๋ยวโป้ง”

ซ่ึงหมายความว่า จะใช้วัตถุท่ีถือมาในมือยิงประทุษร้ายผู้เสียหายให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกาย
หรือชีวิต จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและความตกใจ เม่ือพิจารณาถึงพฤติการณ์


ของจำเลยโดยตลอดแล้ว นอกจากสิ่งเทียมอาวุธปืนซึ่งเป็นทรัพย์ท่ีจำเลยใช้ในการกระทำ


ความผิดโดยตรงแล้ว การที่จำเลยขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร โดยประมาทหรือ

น่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือ

ความเดอื ดรอ้ นของผเู้ สยี หายหรอื ผอู้ น่ื เปน็ การกระทำทส่ี รา้ งความวนุ่ วายและตระหนกตกใจขน้ึ
ในที่สาธารณะและอาจทำให้สุจริตชนได้รับอันตรายจากการกระทำของจำเลยได้ รถตู้ของกลาง
ที่จำเลยใช้เป็นยานพาหนะจึงเป็นทรัพย์ท่ีใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงเช่นกัน ประกอบกับ
การกระทำของจำเลยนับว่าเป็นการกระทำที่ไม่นำพาต่อกฎหมายบ้านเมือง และก่อให้เกิด


ผลกระทบต่อความสงบเรียบรอ้ ยของสังคม พฤติการณแ์ ห่งคดมี ีเหตุสมควรใหร้ บิ รถตูข้ องกลาง


_____________________________




อยั การนเิ ทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
35

{
พนกั งานอัยการคดศี าลแขวงนนทบุรี โจทก์

ระหว่าง
นาย ส. จำเลย




โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันท่ี ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน
กล่าวคอื จำเลยขบั รถต้หู มายเลขทะเบียน ฮล ๑๔๙๐ กรงุ เทพมหานคร ไปตามถนนกาญจนาภเิ ษก
ซงึ่ เปน็ ทางสาธารณะ ในชอ่ งทางคขู่ นาน ทศิ ทางมงุ่ หนา้ ไปทางกรงุ เทพมหานคร ซง่ึ ถนนในชอ่ งทางคขู่ นาน
แบง่ เป็น ๓ ช่องเดนิ รถ แลน่ ไปในทิศทางเดียวกัน เมือ่ ถงึ บรเิ วณโรงซอ่ มรถไฟฟา้ สายสีม่วงทเ่ี กิดเหตุ
จำเลยขบั รถโดยประมาทหรอื นา่ หวาดเสยี วในลกั ษณะกดี ขวางการจราจร และไมค่ ำนงึ ถงึ ความปลอดภยั
หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ด้วยการขับแซงรถอื่นทางด้านซ้ายแล้วประกบรถอื่นที่แล่น

อยู่บนถนนดังกล่าวทางด้านซ้ายในลักษณะเบียดประชิด เม่ือผ่านพ้นไปได้จำเลยห้ามล้อรถทันที

ในลักษณะประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน จากนั้นจำเลย
เปลี่ยนช่องเดินรถเข้าไปในช่องทางเดินรถของรถอื่นซึ่งขับอยู่ในระยะกระชั้นชิด และห้ามล้อ

ในทันทีในลักษณะกีดขวางการจราจร จนรถอื่นที่แล่นอยู่ในช่องเดินรถเดียวกันทางด้านหลังของรถ

ที่จำเลยขับไม่สามารถแล่นตรงไปข้างหน้าตามปกติได้ ท้ังน้ีโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือ

ความเดือดร้อนของผู้อื่น ภายหลังจำเลยกระทำความผิดแล้ว จำเลยทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวและ
ความตกใจ โดยการขู่เข็ญ กล่าวคือ จำเลยใช้วัตถุคล้ายอาวุธปืน (ส่ิงเทียมอาวุธปืน ปืนบีบีกัน)

ท่ีจำเลยมแี ละถอื ในมือโดยเปิดเผยเดินตรงมายังรถยนตข์ องนาย ภ. ผ้เู สยี หาย ซึ่งขบั รถยนตอ์ นื่ แลน่
ในช่องเดินรถเดียวกันกับจำเลยทางด้านหลังซึ่งไม่สามารถแล่นต่อไปได้จากการท่ีจำเลยขับกีดขวาง
และต้องจอดอยู่บนทางสาธารณะช่องเดินรถแล้วจำเลยพูดขู่เข็ญผู้เสียหายว่า “เดี๋ยวโป้ง”

ซงึ่ หมายความวา่ จะใชว้ ตั ถทุ ถ่ี อื มาในมอื ยงิ ประทษุ รา้ ยผเู้ สยี หายใหไ้ ดร้ บั อนั ตรายแกร่ า่ งกายหรอื ชวี ติ
จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและความตกใจ ต่อมาวันท่ี ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ จำเลยเข้าพบ
พนักงานสอบสวนพร้อมมอบรถตู้ หมายเลขทะเบียน ฮล ๑๔๙๐ กรุงเทพมหานคร และ

สงิ่ เทยี มอาวธุ ปนื ซง่ึ เปน็ ทรพั ยท์ จ่ี ำเลยใชก้ ระทำผดิ เปน็ ของกลาง ของกลางเจา้ พนกั งานเกบ็ รกั ษาไว้
ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓, ๑๕๗, ๑๖๐

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๙๑, ๓๙๒ ริบรถตู้ หมายเลขทะเบียน ฮล ๑๔๙๐
กรุงเทพมหานคร และสงิ่ เทยี มอาวุธปนื ของกลาง

จำเลยใหก้ ารรับสารภาพ

ศาลช้ันต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก
พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๓) (๔) (๘), ๑๖๐ วรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๒

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด

ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร โดยประมาท
หรือน่าหวาดเสียว อันเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือ

ความเดือดร้อนของผู้อื่น จำคุก ๒ เดือนและปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท ฐานทำให้ผู้อ่ืนเกิดความกลัว


36 คำพพิ ากษาศาลฎกี า

หรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ ปรับ ๘,๐๐๐ บาท รวมจำคุก ๒ เดือน และปรับ ๑๘,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ก่ึงหน่ึง

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ เดือน และปรับ ๙,๐๐๐ บาท โทษจำคุก

ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี แต่ให้คุมความประพฤติ โดยให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงาน

คุมประพฤติ ๔ เดือนต่อคร้ัง ภายในกำหนด ๑ ปี ให้ทำงานบริการสังคมตามที่จำเลยและ

พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา ๒๔ ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖

(ทแ่ี กไ้ ขใหม่) ไม่ชำระคา่ ปรับให้จดั การตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ (ทแี่ กไ้ ขใหม่)
ส่วนรถตู้หมายเลขทะเบียน ฮล ๑๔๙๐ กรุงเทพมหานคร และสิ่งเทียมอาวุธปืนของกลาง

เปน็ ทรพั ย์สินทใ่ี ชใ้ นการกระทำความผิด จงึ ใหร้ บิ

จำเลยอทุ ธรณ

ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก
พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๓) (๔) (๘), ๑๕๗, ๑๖๐ วรรคสาม ความผิดฐานขับรถในลักษณะ
กีดขวางการจราจร โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน

กับความผิดฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อ่ืน เป็นการกระทำ
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย
หรือความเดือนร้อนของผู้อ่ืน ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๘),
๑๖๐ วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทท่ีมีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐
นอกจากทแ่ี กใ้ หเ้ ปน็ ไปตามคำพิพากษาศาลชนั้ ตน้

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงซื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อนุญาต
ใหฎ้ ีกาในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า

มีเหตุสมควรให้ริบรถตู้ของกลางหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ (๑)

เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ศาลในการลงโทษริบทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้ใช้ในการ

กระทำความผิด อันเป็นเรื่องท่ีอยู่ในดุลพินิจของศาล ทั้งนี้กฎหมายมีความมุ่งหมายถึงให้ริบ

ตัวทรัพย์สินที่ผู้กระทำความผิดได้ใช้ในการกระทำความผิดนั้น ๆ โดยตรง เป็นทรัพย์สิน

ที่ต้องเกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิด การท่ีจำเลยขับรถตู้หมายเลขทะเบียน

ฮล ๑๔๙๐ กรุงเทพมหานคร ของกลาง ไปตามถนนสาธารณะ เมือ่ ถึงบริเวณทเ่ี กิดเหตุ จำเลยขบั รถ
โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวในลักษณะกีดขวางการจราจรและไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือ
ความเดือดร้อนของผู้อ่ืน ด้วยการขับรถแซงรถอื่นทางด้านซ้ายและประกบรถอื่นที่แล่นอย ่

บนถนนดังกล่าวทางด้านซ้ายในลักษณะเบียดประชิด เมื่อผ่านพ้นไปได้จำเลยห้ามล้อรถทันที

ในลักษณะประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน จากน้ันจำเลย
เปล่ยี นชอ่ งเดนิ รถเขา้ ไปในช่องทางเดนิ รถของรถอื่นซึง่ ขบั อยูใ่ นระยะกระชั้นชิด และหา้ มล้อในทนั ที
ในลักษณะกีดขวางการจราจร จนรถยนต์ของนาย ภ. ผู้เสียหาย ที่แล่นอยู่ในช่องเดินรถเดียวกัน

ทางดา้ นหลงั ของรถทจ่ี ำเลยขบั ไมส่ ามารถแลน่ ตรงไปขา้ งหนา้ ตามปกตไิ ด้ จำเลยกระทำการดงั กลา่ ว
โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น จากนั้นจำเลยใช้ส่ิงเทียมอาวุธปืน


อยั การนิเทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
37

ท่ีจำเลยมีและถือในมือโดยเปิดเผยเดินตรงมายังรถยนต์ของผู้เสียหายซึ่งไม่สามารถแล่นต่อไปได้
จากการท่ีจำเลยขับรถกีดขวางและต้องจอดอยู่บนทางสาธารณะช่องเดินรถ แล้วจำเลยพูดขู่เข็ญ

ผู้เสียหายว่า “เดี๋ยวโป้ง” ซ่ึงหมายความว่า จะใช้วัตถุท่ีถือมาในมือยิงประทุษร้ายผู้เสียหาย

ให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือชีวิต จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและความตกใจ

เมื่อพิจารณาถงึ พฤตกิ ารณ์ของจำเลยโดยตลอดแล้ว นอกจากสิ่งเทยี มอาวธุ ปืนซึ่งเป็นทรพั ย์ที่จำเลย
ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงแลว้ การทจี่ ำเลยขับรถในลักษณะกดี ขวางการจราจร โดยประมาท
หรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย

หรอื ความเดอื ดรอ้ นของผเู้ สยี หายหรอื ผอู้ นื่ เปน็ การกระทำทส่ี รา้ งความวนุ่ วายและตระหนกตกใจขน้ึ
ในที่สาธารณะและอาจทำให้สุจริตชนได้รับอันตรายจากการกระทำของจำเลยได้ รถตู้ของกลาง

ที่จำเลยใช้เป็นยานพาหนะจึงเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงเช่นกัน ประกอบกับ

การกระทำของจำเลยนับว่าเป็นการกระทำที่ไม่นำพาต่อกฎหมายบ้านเมือง และก่อให้เกิด

ผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุสมควรให้ริบรถตู้ของกลาง
ส่วนท่ีจำเลยอ้างความจำเป็นเกี่ยวกับครอบครัวก็เป็นความจำเป็นที่มีอยู่ด้วยกันทุกคน

ทศี่ าลอทุ ธรณภ์ าค ๑ ใหร้ บิ รถตขู้ องกลางมานน้ั จงึ นบั วา่ เหมาะสมแกร่ ปู คดแี ลว้ ศาลฎกี าเหน็ พอ้ งดว้ ย
ฎีกาของจำเลยฟังไมข่ ้นึ

พพิ ากษายืน.

สำนักงานอยั การพิเศษฝา่ ยสารสนเทศ

สำนกั งานวิชาการ









หมายเหต

การริบรถของกลางในความผิดฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อน
ของผู้อื่นตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๘), ๑๖๐ วรรคสาม
สำนกั งานอยั การสงู สดุ ไดว้ างแนวทางปฏบิ ตั ใิ หพ้ นกั งานอยั การใชด้ ลุ ยพนิ จิ ขอใหศ้ าลสง่ั รบิ รถของกลาง
ท่ีเป็นทรัพย์สินท่ีใช้ในการกระทำผิด รายละเอียดปรากฏตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด

ท่ี อส (สฝปผ.) ๐๐๑๘/ว ๓๘๐ ลงวนั ท่ี ๒๙ กันยายน ๒๕๔๙ และหนงั สือสำนักงานอัยการสูงสดุ
ด่วนที่สุด ท่ี อส ๐๐๐๗(ปผ)/ว ๓๖๔ ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ ดูอัยการนิเทศ เล่มท่ี ๘๓

พ.ศ. ๒๕๖๑ หน้า ๑๖๐






38 คำพิพากษาศาลฎกี า

คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ ๙๗๗๕/๒๕๖๐


ป.วิ.อ. อำนาจสอบสวน, การสอบสวน (มาตรา ๑๘ วรรคหน่ึง, ๑๒๐)



แมไ้ ดค้ วามวา่ จำเลยขอยมื ถงั แชน่ ำ้ เชอื้ ๒ ถงั และโค ๒ ตวั ตามฟอ้ งทฟี่ ารม์ โคของโจทกร์ ว่ ม
ที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แต่โจทก์ร่วมมอบถังแช่น้ำเช้ือและโคดังกล่าวให้แก่จำเลย


ที่ฟาร์มโคของจำเลยซึ่งต้ังอยู่ท่ีจังหวัดกาฬสินธุ์ จำเลยจึงได้รับมอบการครอบครองทรัพย์ตาม
ฟ้องท่ีฟาร์มโคของจำเลย โจทก์ร่วมได้รับแจ้งว่า โค ๒ ตัว ดังกล่าวสูญหายไป โจทก์ร่วมจึง


ไปรับโคคืนและพบว่าถังแช่น้ำเช้ือและโคตามฟ้องสูญหายไป เหตุยักยอกโคและถังแช่น้ำเช้ือ
ตามฟ้องจึงเกิดที่ฟาร์มโคของจำเลย ฟาร์มโคของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นสถานที่ท่ีจำเลยขอยืมทรัพย์
จากโจทก์ร่วม หาใช่สถานท่ีเกิดเหตุในการกระทำความผิดยักยอกไม่ ปรากฏว่าจำเลยถูกจับ


ที่บ้านเลขท่ี ๑๕๙ หมู่ ๓ ตำบลนาดี อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึง่ เปน็ ทีอ่ ยขู่ องจำเลย
พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรยางตลาดซึ่งเป็นท้องที่ที่ความผิดเกิดขึ้นย่อมเป็น


พนักงานสอบสวนท่ีมีอำนาจสอบสวน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรห้วยใหญ่


อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ไม่มีอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา


ความอาญามาตรา ๑๘ วรรคหน่ึง การท่ีพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรห้วยใหญ่

อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ทำการสอบสวนจำเลยเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทกจ์ ึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐


______________________________


นาย ส. {
พนักงานอัยการ สำนกั งานอัยการคดศี าลแขวงพัทยา โจทก
์โจทกร์ ว่ ม



ระหว่าง นางสาว พ. จำเลย



โจทกฟ์ อ้ งวา่ เมอ่ื ระหวา่ งวนั ท่ี ๑๗ เมษายน ๒๕๕๘ เวลากลางวนั ถงึ วนั ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘
เวลากลางวนั ตอ่ เนอื่ งกนั จำเลยครอบครองโคพนั ธฮ์ุ นิ ดบู ราซลิ จำนวน ๒ ตวั ราคา ๒๔๐,๐๐๐ บาท
และถังแช่น้ำเชื้อ จำนวน ๒ ถัง ราคา ๔๐,๐๐๐ บาท ของนาย ส. ผู้เสียหาย ตามสัญญายืม

วันท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เวลากลางวัน ซึ่งครบกำหนดเวลาตามสัญญายืมแล้ว แต่จำเลยได้

เบียดบังเอาทรัพย์ทั้ง ๒ รายการ ดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ของตนหรือของบุคคลท่ีสามโดยทุจริต
ไม่ส่งมอบทรัพย์คืนให้ผู้เสียหาย เหตุเกิดที่ตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

วันท่ี ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๕๒ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน ๒๘๐,๐๐๐ บาท แกผ่ ู้เสยี หาย

จำเลยใหก้ ารปฏิเสธ

ระหวา่ งพจิ ารณา นาย ส. ผ้เู สยี หายย่ืนคำรอ้ งขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต


อัยการนเิ ทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
39

ศาลช้ันต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก จำคุก ๒ ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน ๒๘๐,๐๐๐ บาท

แกโ่ จทก์รว่ ม

จำเลยอทุ ธรณ์

ศาลอทุ ธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืนตาม

ศาลช้ันต้นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก ให้ลงโทษ

จำคุกจำเลย ๒ ปี จึงเป็นคดที ี่ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๒ พพิ ากษายนื และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี
ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา ๒๑๘ วรรคหนึ่ง ศาลช้ันต้นมีคำส่ังให้รับฎีกาของจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย

คดมี ปี ญั หาขอ้ กฎหมายตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามฎกี าของจำเลยเพยี งประการเดยี ววา่ โจทกม์ อี ำนาจฟอ้ งหรอื ไม่
จำเลยฎีกาว่า ขณะที่จำเลยยืมโคและถังแช่น้ำเชื้อตามฟ้องท่ีฟาร์มเลี้ยงโคของโจทก์ร่วม จำเลย

ยังไม่ได้ครอบครองทรัพย์ดังกล่าว โดยโจทก์ร่วมส่งมอบโคและถังแช่น้ำเชื้อให้แก่จำเลย

ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังจากน้ันโจทก์ร่วมไปตรวจสอบที่ฟาร์มของจำเลยที่จังหวัดกาฬสินธ์ุพบว่าโค
และถังแช่น้ำเชื้อดังกล่าวสูญหายไป เหตุยักยอกทรัพย์จึงเกิดขึ้นที่อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธ์ุ
ไม่ใช่ที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ทั้งจำเลยถูกจับท่ีจังหวัดกาฬสินธุ์ พนักงานสอบสวนสถานี
ตำรวจภธู รหว้ ยใหญ่ อำเภอบางละมงุ จงั หวดั ชลบรุ ี จงึ ไมม่ อี ำนาจสอบสวน ในการวนิ จิ ฉยั ปญั หาดงั กลา่ ว
ศาลฎกี าจะต้องฟังขอ้ เทจ็ จรงิ ตามทีศ่ าลอทุ ธรณภ์ าค ๒ วินิจฉัยมาแลว้ จากพยานหลักฐานในสำนวน
ซ่ึงศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ร่วมทำฟาร์มโคช่ือ ม. ต้ังอยู่ท่ีตำบลเขาไม้แก้ว

อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำเลยทำฟาร์มโคชื่อ ฉ. ต้ังอยู่ที่ตำบลนาดี อำเภอยางตลาด

จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ โจทก์ร่วมขายโคพ่อพันธุ์ฮินดูบราซิลชื่อ จ้าวรวย

ใหจ้ ำเลย โดยจำเลยไดร้ บั โคดงั กล่าวพร้อมกบั ถงั แช่น้ำเชื้อ ๒ ถงั ตอ่ มาวนั ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๘
จำเลยขอยมื โคจากโจทกร์ ว่ มอกี ๕ ตวั โจทกร์ ว่ มสง่ มอบใหท้ ฟี่ ารม์ ของจำเลย วนั ท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘
โจทก์ร่วมทราบว่าโค ๒ ตัว ที่ให้จำเลยยืมไปดังกล่าว ช่ือ ลำดวนและฟ้า หมายเลขประจำตัว
เอ็มเอส ๖๐๔ และเอ็มเอส ๖๑๒ หายไปจากฟาร์มของจำเลย รุ่งข้ึนโจทก์ร่วมไปขนโคที่เหลืออีก

๓ ตัว กลับ แต่ยังไม่ได้รับคืนถังแช่น้ำเช้ือทั้ง ๒ ถัง ตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายไม่ได้คืน

เอกสารหมาย จ.๔ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ โจทก์ร่วมร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน

สถานีตำรวจภูธรห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหายักยอก
ตามบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์ เอกสารหมาย จ.๗ วันท่ี ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เจ้าพนักงาน

จับจำเลยได้ที่บ้านเลขท่ี ๑๕๙ หมู่ท่ี ๓ ตำบลนาดี อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามบันทึก
การจับกมุ เอกสารหมาย จ.๑๑ เห็นวา่ แมไ้ ด้ความว่าจำเลยขอยมื ถงั แชน่ ้ำเช้อื ๒ ถงั และโค ๒ ตัว
ตามฟ้องที่ฟาร์มโคของโจทก์ร่วมท่ีอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แต่โจทก์ร่วมมอบถังแช่น้ำเช้ือ

และโคดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ฟาร์มโคของจำเลยซ่ึงตั้งอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จำเลยจึงได้รับ

มอบการครอบครองทรพั ยต์ ามฟอ้ งทฟี่ ารม์ โคของจำเลย ตามคำเบกิ ความของโจทกร์ ว่ มยงั ไดค้ วามวา่

40 คำพพิ ากษาศาลฎกี า


Click to View FlipBook Version