คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ ๔๗๔๙/๒๕๖๑
ป.อ. เพอื่ สนองความใครข่ องผูอ้ ื่นเปน็ ธุระจัดหาหรือพาไปเพ่อื การอนาจาร (มาตร ๒๘๒)
พ.ร.บ. ป้องกนั และปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ (มาตรา ๙, ๑๑)
ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพ่ือสนองความใคร่ของผู้อ่ืนและเพ่ือการอนาจาร
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๒ วรรคแรก และความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไป
เพอ่ื กระทำการคา้ ประเวณตี ามพระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการคา้ ประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๙ วรรคหน่ึง นั้น กฎหมายม่งุ ทจ่ี ะบังคับแก่ผทู้ ่เี ป็นธรุ ะจดั หาหญิงไปเพ่อื สนองความใคร่
ของผู้อื่นเพื่อการอนาจาร หรือเพื่อให้กระทําการค้าประเวณี ไม่ว่าการเป็นธุระจัดหาดังกล่าว
กระทําข้ึนโดยวิธีการใด ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการการค้าประเวณี
หรือสถานการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี
พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๑๑ วรรคหนึ่ง น้ัน กฎหมายมุ่งท่ีจะบังคับแก่ผู้จัดการกิจการหรือสถานที่
ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือการค้าประเวณี หรือเพื่อใช้ในการติดต่อ หรือจัดหาบุคคลเพ่ือกระทําการ
ค้าประเวณีเป็นการเฉพาะ ดังนี้ เม่ือสภาพแห่งความผิดท้ังสองอย่างดังกล่าวมีความมุ่งหมาย
ให้เกิดผลต่อผู้กระทําความผิดท่ีมีเจตนากระทําความผิดแตกต่างกัน จึงเป็นความผิดต่างกรรม
มิใช่กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
______________________________
{
พนกั งานอัยการจงั หวัดจันทบุร ี โจทก์
ระหว่าง
นาง ธ. จำเลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ เมอื่ ระหวา่ งตน้ เดอื นธนั วาคม ๒๕๕๘ เวลากลางวนั ถงึ วนั ที่ ๙ ธนั วาคม ๒๕๕๘
เวลากลางคืนหลังเที่ยง ต่อเน่ืองกันตลอดมา จําเลยเป็นเจ้าของกิจการผู้ดูแลสถานการค้าประเวณี
ชื่อร้าน ร. คาราโอเกะ โดยใช้ร้านดังกล่าวติดต่อหรือจัดหาเพ่ือกระทําการค้าประเวณี และเม่ือ
วันที่ ๙ ธนั วาคม ๒๕๕๘ เวลากลางคนื หลงั เทีย่ ง เพือ่ สนองความใครข่ องผอู้ น่ื จําเลยเป็นธุระจัดหา
หรอื พาไปซงึ่ นางสาว ซ. เพอ่ื การอนาจารและเพอ่ื ใหก้ ระทาํ การคา้ ประเวณเี ปน็ เงนิ สนิ จา้ ง ๑,๘๐๐ บาท
เจา้ พนกั งานจบั กมุ จาํ เลยไดพ้ รอ้ มยดึ ธนบตั รฉบบั ละ ๑,๐๐๐ บาท ๑ ฉบบั ฉบบั ละ ๑๐๐ บาท ๘ ฉบบั
ที่ใช้ล่อซื้อประเวณีเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๒๘๒
พระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔, ๙, ๑๑
จาํ เลยใหก้ ารปฏเิ สธ
ศาลชนั้ ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ จาํ เลยมคี วามผดิ ตามพระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปราม
การคา้ ประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๙ วรรคหนงึ่ , ๑๑ วรรคหนงึ่ , ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๒
วรรคแรก การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง
อยั การนิเทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
91
ความผดิ ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานเปน็ เจ้าของ ผดู้ ูแล สถานการคา้ ประเวณี
จําคุก ๕ ปี ฐานเป็นธุระจัดหาหรือพาหญิงไปเพ่ือการอนาจาร เพ่ือสนองความใคร่ของผู้อ่ืน
และเพื่อให้กระทําการค้าประเวณี เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๙ วรรคหน่ึง
ซง่ึ เป็นกฎหมายบทท่ีมีโทษหนกั ท่ีสดุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จําคุก ๒ ปี คํารบั และ
ทางนําสืบของจําเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กระทงละหน่งึ ในสาม คงจําคกุ ๔ ปี ๘ เดือน
จาํ เลยอุทธรณ
์
ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๒ พิพากษายนื
จําเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซ่ึงลงช่ือในคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ อนุญาตให้ฎีกา
ในปัญหาขอ้ เทจ็ จริง
ศาลฎีกาตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยข้อแรกว่า
ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อ่ืนและเพ่ือการอนาจารตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๒ วรรคแรก และความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไปเพื่อกระทํา
การค้าประเวณีตามพระราชบัญญัตปิ ้องกันและปราบปรามการคา้ ประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๙
วรรคหนงึ่ เปน็ การกระทาํ กรรมเดยี วกบั ความผดิ ฐานเปน็ เจา้ ของ ผดู้ แู ล ผจู้ ดั การกจิ การการคา้ ประเวณี
หรือสถานการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๑๑ วรรคหนง่ึ หรอื ไม่ เหน็ วา่ ความผดิ ฐานเปน็ ธรุ ะจดั หาหญงิ ไปเพอ่ื สนองความใครข่ องผอู้ น่ื
และเพ่ือการอนาจาร และความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไปเพ่ือกระทําการค้าประเวณีนั้น
กฎหมายมุ่งที่จะบังคับแก่ผู้ที่เป็นธุระจัดหาหญิงไปเพ่ือสนองความใคร่ของผู้อื่นเพื่อการอนาจาร
หรือเพื่อให้กระทําการค้าประเวณี ไม่ว่าการเป็นธุระจัดหาดังกล่าวกระทําขึ้นโดยวิธีการใด
ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณีน้ัน
กฎหมายมุ่งที่จะบังคับแก่ผู้จัดการกิจการหรือสถานท่ีซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าประเวณ ี
หรือเพ่ือใช้ในการติดต่อ หรือจัดหาบุคคลเพื่อกระทําการค้าประเวณีเป็นการเฉพาะ ดังน้ี
เมื่อสภาพแห่งความผิดท้ังสองอย่างดังกล่าวมีความมุ่งหมายให้เกิดผลต่อผู้กระทําความผิด
ท่ีมีเจตนากระทําความผิดแตกต่างกัน จึงเป็นความผิดต่างกรรม มิใช่กรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย
หลายบท ทศี่ าลอทุ ธรณภ์ าค ๒ พพิ ากษายนื ตามคาํ พพิ ากษาศาลชนั้ ตน้ ใหล้ งโทษจาํ เลยรวม ๒ กระทง
จงึ ชอบแลว้ ฎกี าของจําเลยข้อนฟ้ี งั ไม่ข้ึน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยข้อสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและ
รอการลงโทษให้แก่จําเลยหรือไม่ เห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม
การค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๑๑ วรรคหน่ึง มีระวางโทษจําคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
ความผิดตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจําคุกตั้งแต่หน่ึงปีถึงสิบปี ศาลล่างทั้งสองลงโทษ
จําคุกจําเลยในความผิดดังกล่าวมีกําหนด ๕ ปี และ ๒ ปี ตามลําดับก่อนลดโทษให้หนึ่งในสาม
92 คำพิพากษาศาลฎีกา
เป็นการกําหนดโทษหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข อย่างไรก็ตามพฤติการณ์ของจําเลย
ท่ีเป็นเจ้าของร้านที่เกิดเหตุแล้วใช้ร้านท่ีเกิดเหตุของตนติดต่อจัดหาหญิงที่ทํางานในร้านมาทําการ
คา้ ประเวณี แมเ้ ปน็ ความยนิ ยอมของหญงิ ทท่ี าํ การคา้ ประเวณี แตก่ ม็ ลี กั ษณะอกุ อาจ ไมเ่ คารพยาํ เกรง
ตอ่ กฎหมาย จึงไมม่ ีเหตสุ มควรรอการลงโทษ ฎกี าของจาํ เลยข้อน้ีฟังขึ้นบางสว่ น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีหรือ
สถานการค้าประเวณี จําคุก ๓ ปี และฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพ่ือให้กระทําการค้าประเวณี
จําคุก ๑ ปี ลดโทษให้กระทงละหน่ึงในสาม และรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจําคุก ๒ ปี ๘ เดือน
นอกจากท่ีแกใ้ หเ้ ปน็ ไปตามคาํ พิพากษาศาลอทุ ธรณภ์ าค ๒.
สำนักงานอยั การพเิ ศษฝา่ ยสารสนเทศ
สำนกั งานวิชาการ
อัยการนิเทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
93
คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๔๘๑๔/๒๕๖๑
พ.ร.บ. จดั ตงั้ ศาลแขวงและวธิ พี จิ ารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ (มาตรา ๑๙)
ป.วิ.อ. บรรยายฟอ้ ง (มาตรา ๑๕๘)
คดนี โี้ จทกฟ์ อ้ งดว้ ยวาจาซง่ึ ตามพระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลแขวงและวธิ พี จิ ารณาความอาญา
ในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๑๙ ให้ศาลบันทึกใจความแห่งฟอ้ งไวเ้ ปน็ หลักฐาน หาจำตอ้ ง
บันทึกไว้โดยละเอียดไม่ และก่อนศาลบันทึกฟ้องดังกล่าวศาลอาจจะสอบถามโจทก์เก่ียวกับ
ขอ้ เทจ็ จรงิ ตา่ ง ๆ ท่ีจำเลยกระทำความผดิ ได้ แต่กจ็ ะบนั ทกึ ไว้เฉพาะขอ้ ความสำคญั ส่วนบนั ทึก
การฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ก็เป็นเพียงส่วนหน่ึงของฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เท่าน้ัน
เมอ่ื พจิ ารณาใจความทศี่ าลบนั ทกึ การฟอ้ งดว้ ยวาจาของโจทกป์ ระกอบกบั บนั ทกึ การฟอ้ งดว้ ยวาจา
ทโี่ จทกส์ ง่ ตอ่ ศาลแลว้ ไดค้ วามวา่ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ เวลากลางคนื จำเลยขบั รถบรรทกุ
หกล้อมีน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุกรวมกันเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืน
ไม่ปฏิบัติตามประกาศผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน
และผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทาน เรื่อง ห้ามใช้ยานพาหนะท่ีมีน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุก
หรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าท่ีได้กำหนดหรือโดยท่ียานพาหนะนั้นอาจทำให้ทางหลวงเสียหาย
เดนิ บนทางหลวงพเิ ศษ ทางหลวงแผน่ ดนิ และทางหลวงสมั ปทาน ลงวนั ท่ี ๒๒ ธนั วาคม ๒๕๔๘
ซ่ึงเป็นการระบุข้อเท็จจริงท่ีอ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดแล้ว กล่าวคือ จำเลยขับรถบรรทุก
ที่มีน้ำหนักเกินกว่าท่ีกฎหมายกำหนดแล่นบนทางหลวงอันเป็นความผิด ท้ังได้ระบุรายละเอียด
ที่เกี่ยวกับยานพาหนะที่เก่ียวข้องพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ และจำเลยก็ให้การ
รบั สารภาพตามฟอ้ ง แสดงวา่ จำเลยเขา้ ใจขอ้ หาไดด้ ี หาจำตอ้ งระบขุ อ้ เทจ็ จรงิ วา่ เปน็ รถบรรทกุ คนั ใด
หมายเลขทะเบยี นอะไร ดงั ทจี่ ำเลยอา้ งในฎกี าไม่ คำฟอ้ งของโจทกจ์ งึ ชอบดว้ ยประมวลกฎหมาย
วิธีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) แลว้
_____________________________
{
พนกั งานอยั การจงั หวัดชมุ แพ โจทก
์
ระหวา่ ง
นาย ณ. จำเลย
โจทก์ฟ้องว่า เม่ือวันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยใช้ยานพาหนะ
ชนดิ รถลากจูง ชนิดที่มี ๓ เพลา ๖ ล้อ ยาง ๑๐ เส้น ชนดิ เพลาทา้ ย (เพลาที่ ๒ และเพลาท่ี ๓)
ใช้ยางคู่ ประกอบกับตัวรถก่ึงพ่วง ชนิดเพลาคู่ (TANDEM AXLE) ใช้ยางคู่ บรรทุกหิน มีน้ำหนัก
ยานพาหนะรวมน้ำหนักบรรทุก ๖๔,๗๐๐ กิโลกรัม ซึ่งเกินกว่า ๔๕,๐๐๐ กิโลกรัม ตามประกาศ
ของผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษได้กำหนดไว้ ๑๙,๗๐๐ กิโลกรัม แล่นไปตามทางหลวงแผ่นดิน
94 คำพิพากษาศาลฎกี า
หมายเลข ๑๒ ถนนขอนแกน่ - ชมุ แพ อนั เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย ขอใหล้ งโทษตามพระราชบญั ญตั ิ
ทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔, ๘, ๖๑, ๗๓/๒
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติทางหลวง
พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๗๓/๒ ประกอบมาตรา ๖๑ วรรคหนงึ่ จำคกุ ๓ เดอื น จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพ
เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหน่ึงตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗๘ คงจำคกุ ๑ เดือน ๑๕ วนั
จำเลยอทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณภ์ าค ๔ พิพากษายนื
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซ่ึงพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลช้ันต้นอนุญาตให้ฎีกา
ในปัญหาขอ้ เทจ็ จรงิ
ศาลฎกี าตรวจสำนวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามฎกี าของจำเลยประการแรกวา่
คำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) หรือไม่
เห็นว่า คดีน้ีโจทก์ฟ้องด้วยวาจาซ่ึงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณา
ความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๑๙ ให้ศาลบันทึกใจความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐาน
หาจำต้องบันทึกไว้โดยละเอียดไม่ และก่อนศาลบันทึกฟ้องดังกล่าวศาลอาจจะสอบถามโจทก ์
เก่ียวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ท่ีจำเลยกระทำความผิดได้ แต่ก็จะบันทึกไว้เฉพาะข้อความสำคัญ
ส่วนบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เท่านั้น
เมื่อพิจารณาใจความที่ศาลบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ประกอบกับบันทึกการฟ้องด้วยวาจา
ทโ่ี จทกส์ ง่ ตอ่ ศาลแลว้ ไดค้ วามวา่ เมอื่ วนั ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ เวลากลางคนื จำเลยขบั รถบรรทกุ หกลอ้
มีน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุกรวมกันเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัต
ิ
ตามประกาศผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน และผู้อำนวยการ
ทางหลวงสมั ปทาน เรอื่ ง หา้ มใชย้ านพาหนะทมี่ นี ำ้ หนกั นำ้ หนกั บรรทกุ หรอื นำ้ หนกั ลงเพลาเกนิ กวา่
ทไี่ ดก้ ำหนดหรอื โดยทย่ี านพาหนะนน้ั อาจทำใหท้ างหลวงเสยี หาย เดนิ บนทางหลวงพเิ ศษ ทางหลวงแผน่ ดนิ
และทางหลวงสัมปทาน ลงวันท่ี ๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นการระบุข้อเท็จจริงท่ีอ้างว่าจำเลย
ได้กระทำผิดแล้ว กล่าวคือ จำเลยขับรถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกินกว่าท่ีกฎหมายกำหนดแล่นบน
ทางหลวงอันเป็นความผิด ท้ังได้ระบุรายละเอียดที่เกี่ยวกับยานพาหนะท่ีเก่ียวข้องพอสมควร
ที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ และจำเลยก็ให้การรับสารภาพตามฟ้อง แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี
หาจำต้องระบุข้อเท็จจริงว่าเป็นรถบรรทุกคันใด หมายเลขทะเบียนอะไร ดังที่จำเลยอ้างในฎีกาไม่
คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) แล้ว
ท่ศี าลอุทธรณ์ภาค ๔ วินิจฉยั ว่า โจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามาตรา ๑๕๘ (๕)
และ (๖) ฟอ้ งของโจทก์จงึ ชอบดว้ ยกฎหมายนน้ั ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนีฟ้ งั ไม่ขน้ึ
อยั การนเิ ทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
95
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุก
ให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยใช้รถบรรทุกคันดังกล่าวบรรทุกหินมีน้ำหนักยานพาหนะ
รวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราท่ีกฎหมายกำหนดไว้ ๑๙,๗๐๐ กิโลกรัม โดยไม่สนใจว่าจะก่อ
ให้เกิดความเสียหายต่อสภาพทางหลวงแผ่นดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมือง
ใช้ร่วมกัน อันอาจทำให้ผู้ใช้ทางหลวงแผ่นดินต้องมาเสี่ยงอันตรายที่เกิดจากยานพาหนะที่บรรทุก
น้ำหนักเกินไปจำนวนมากที่ผู้ขับรถยนต์ทั่วไปจะควบคุมให้แล่นไปได้อย่างปลอดภัย พฤติการณ์
เปน็ เร่อื งร้ายแรง จึงไมส่ มควรรอการลงโทษ แต่จำเลยไม่เคยได้รบั โทษจำคกุ มากอ่ น สมควรเปลยี่ น
โทษจำคกุ เป็นกกั ขงั แทน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้กักขังจำเลยมีกำหนด ๑ เดือน ๑๕ วัน แทนโทษจำคุกตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๓ นอกจากท่ีแกใ้ ห้เปน็ ไปตามคำพพิ ากษาศาลอุทธรณภ์ าค ๔.
สำนกั งานอัยการพิเศษฝา่ ยสารสนเทศ
สำนักงานวิชาการ
96 คำพิพากษาศาลฎกี า
คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี ๕๗๔๗/๒๕๖๑
พ.ร.บ. ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ (มาตรา ๑๙)
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ (มาตรา ๖)
ป.วิ.อ. พิพากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผดิ ซงึ่ ไดฟ้ ้อง, อำนาจฟ้อง (มาตรา ๓๙ (๔), ๑๒๐)
เจตนารมณ์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน
เสพยาเสพติดในช้ันที่ถูกกล่าวหาตามพระราชบัญญัติฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง เพื่อเยียวยาแก้ไขเสียก่อนเข้าสู่กระบวนการพิจารณา
ในช้ันศาล และเป็นบทบังคับให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลเข้าหลักเกณฑ์
ตามมาตราดังกล่าวไปศาลภายในระยะเวลาท่ีกฎหมายกำหนด แต่การท่ีพนักงานสอบสวน
มิได้นำตัวจำเลยทั้งสามไปศาลภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดตามหลักเกณฑ์
ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ เพ่ือให้ศาลพิจารณามีคำส่ัง
ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสามไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดเพ่ือให้จำเลยท้ังสาม
ได้รับประโยชน์ในการท่ีจะได้รับการพิจารณาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
อันจะมีผลให้พ้นจากความผิดที่ถูกกล่าวหาตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติดังกล่าว
การที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในมาตรา ๑๙
จงึ เปน็ การสอบสวนโดยไมช่ อบ เทา่ กบั วา่ ไมม่ กี ารสอบสวนคดนี มี้ ากอ่ น และเมอื่ พนกั งานสอบสวน
ได้กล่าวหาว่า จำเลยท้ังสามมีความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน
ไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน หากจำเลยทั้งสามได้รับการฟ้ืนฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดจนครบถ้วนตามท่ีกำหนดในแผนและผลการฟ้ืนฟูเป็นท่ีพอใจ
แก่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ก็จะพ้นจากความผิดทุกข้อที่ถูกกล่าวหา
ตามมาตรา ๑๙ ในทางกลับกันการท่ีพนักงานสอบสวนไม่ปฏิบัติตามตัวบทกฎหมายย่อมส่งผล
ใหพ้ นกั งานอยั การโจทกไ์ มม่ อี ำนาจฟอ้ งทกุ ขอ้ กลา่ วหาตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา
มาตรา ๑๒๐ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ หาใช่เป็นดุลพินิจของโจทก์ที่จะพิจารณาสั่งฟ้อง
เปน็ รายข้อหาไปไดไ้ ม่
_____________________________
{
พนกั งานอยั การคดเี ยาวชนและครอบครวั จังหวัดเชยี งใหม่ โจทก
์
นาย ภ. ท่ี ๑
ระหว่าง
นาย ส. ที่ ๒
นาย ด. ที่ ๓ จำเลย
อัยการนิเทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
97
โจทก์ฟ้องว่า เม่ือวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ เวลาประมาณ ๑๘ นาฬิกา จำเลยท้ังสาม
ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ จำนวน ๔ เม็ดหรือหน่วยการใช้
น้ำหนักสุทธิ ๐.๓๘ กรัม ไว้ในครอบครองของจำเลยทั้งสามเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามกฎหมาย และจำเลยท้ังสามร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษ
ในประเภท ๑ จำนวน ๔ เม็ดหรือหน่วยการใช้ดังกล่าวให้สายลับผู้ล่อซ้ือไปในราคา ๖๐๐ บาท
โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต่อมาเจ้าพนักงานจับกุมจำเลยท้ังสามได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน
ที่จำเลยทั้งสามมีไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตและโทรศัพท์เคลื่อนที่ ๑ เครื่อง
ที่จำเลยทั้งสามใช้ในการติดต่อจำหน่ายยาเสพติดเป็นของกลาง เมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือ
จากการตรวจพิสูจน์ ๐.๑๑ กรัม และโทรศัพท์เคล่ือนท่ีเจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้ ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗, ๘, ๑๕, ๖๖, ๑๐๒
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓, ๘๓ ริบเมทแอมเฟตามีนทเ่ี หลอื จากการตรวจพสิ ูจน์และ
โทรศัพทเ์ คล่ือนที่ ๑ เคร่ือง ของกลาง
จำเลยทง้ั สามใหก้ ารรบั สารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง แต่เนื่องจากจำเลยท้ังสามเป็นผู้เสพยาเสพติด
จงึ อาศยั อำนาจตามพระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๘ ใหค้ ุมความประพฤติจำเลยทั้งสามมีกำหนด ๑ ปี ริบเมทแอมเฟตามีน
ทเ่ี หลือจากการตรวจพสิ ูจน์และโทรศพั ท์เคล่อื นที่ของกลาง
โจทก์อทุ ธรณ
์
ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๕ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพพิ ากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยอัยการสูงสุดรบั รองใหฎ้ ีกา
ศาลฎกี าแผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั ตรวจสำนวนประชมุ ปรกึ ษามปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามฎกี า
ของโจทกว์ า่ โจทกม์ อี ำนาจฟอ้ งหรอื ไม่ โดยโจทกฎ์ กี าอา้ งวา่ ในชน้ั จบั กมุ และชนั้ สอบสวน จำเลยทง้ั สาม
ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง
เพ่ือจำหน่ายและจำหน่ายซึ่งเป็นกรณีที่จะต้องเข้ารับการฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
ตามพระราชบัญญัติฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ แต่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวน
ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำส่ังให้ส่งตัวจำเลยท้ังสามไปควบคุมเพื่อตรวจพิสูจน์การเสพหรือ
การติดยาเสพติดเกินกว่าระยะเวลา ๒๔ ชั่วโมง นับแต่จำเลยท้ังสามซ่ึงเป็นผู้ต้องหามีอายุไม่ถึง
สิบแปดปีบริบูรณ์มาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนตามมาตรา ๑๙ วรรคสอง เป็นเหตุให
้
ศาลชน้ั ตน้ มคี ำสง่ั ใหย้ กคำรอ้ ง กรณดี งั กลา่ วมไิ ดท้ ำใหค้ วามผดิ ทางอาญาระงบั ไป พนกั งานสอบสวน
ส่งสำนวนการสอบสวนมาให้โจทก์พิจารณา โจทก์มีอำนาจพิจารณาส่ังฟ้องหรือไม่ฟ้องความผิด
ฐานใดก็ได้ โจทก์มีคำส่ังไม่ฟ้องในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน แต่โจทก์เห็นว่าคดีมีมูล
และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องจำเลยท้ังสามในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน
ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย การย่ืนฟ้องคดีน้ีจึงชอบด้วย
กฎหมายแล้วน้ัน ศาลฎีกาเห็นว่าเจตนารมณ์ของการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดท่ีถูกกล่าวหา
วา่ กระทำผดิ ฐานเสพยาเสพตดิ ในชนั้ ทถี่ กู กลา่ วหาตามมาตรา ๑๙ วรรคหนง่ึ เพอ่ื เยยี วยาแกไ้ ขเสยี กอ่ น
98 คำพิพากษาศาลฎีกา
เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาล และเป็นบทบังคับให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหา
ซง่ึ เปน็ บคุ คลเขา้ หลักเกณฑ์ตามมาตราดังกลา่ วไปศาลภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่การที่
พนักงานสอบสวนมิได้นำตัวจำเลยท้ังสามไปศาลภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด
ตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ เพ่ือให ้
ศาลพิจารณามีคำส่ังให้ส่งตัวจำเลยทั้งสามไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดเพื่อให
้
จำเลยทั้งสามได้รับประโยชน์ในการท่ีจะได้รับการพิจารณาเข้าสู่กระบวนการฟ้ืนฟูสมรรถภาพ
ผตู้ ดิ ยาเสพตดิ อนั จะมผี ลใหพ้ น้ จากความผดิ ทถี่ กู กลา่ วหาตามเจตนารมณข์ องพระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว
การที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในมาตรา ๑๙
จงึ เปน็ การสอบสวนโดยไมช่ อบ เทา่ กบั วา่ ไมม่ กี ารสอบสวนคดนี ม้ี ากอ่ น และเมอื่ พนกั งานสอบสวนได้
กล่าวหาว่า จำเลยท้ังสามมีความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง
เพอ่ื จำหนา่ ยและจำหนา่ ยเมทแอมเฟตามนี หากจำเลยทงั้ สามไดร้ บั การฟนื้ ฟสู มรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพตดิ
จนครบถ้วนตามที่กำหนดในแผนและผลการฟ้ืนฟูเป็นท่ีพอใจแก่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพ
ผู้ติดยาเสพติด ก็จะพ้นจากความผิดทุกข้อท่ีถูกกล่าวหาตามมาตรา ๑๙ ในทางกลับกันการที่
พนักงานสอบสวนไม่ปฏิบัติตามตัวบทกฎหมายย่อมส่งผลให้พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ทกุ ขอ้ กลา่ วหาตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ ประกอบพระราชบญั ญตั ิ
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖
หาใช่เป็นดุลพินิจของโจทก์ที่จะพิจารณาสั่งฟ้องเป็นรายข้อหาไปได้ไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ข้ึน
สว่ นทีโ่ จทกฎ์ กี าวา่ ศาลลา่ งทง้ั สองพพิ ากษาเกินคำขอหรอื มไิ ด้กลา่ วในฟ้องนน้ั โดยโจทก์ฎีกาอา้ งวา่
โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยทั้งสามในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนทั้งมิใช่เป็นการท่ีศาลเห็นว่า
เด็กหรือเยาวชนมีพฤติกรรมท่ีเส่ียงต่อการกระทำความผิดหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานท
่ี
อันอาจชักนำให้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดี
เยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๘ การทศี่ าลลา่ งทง้ั สองฟงั วา่ จำเลยทงั้ สามขณะทำผดิ
เสพเมทแอมเฟตามีนจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องจำเลยท้ังสามในความผิด
ฐานเสพเมทแอมเฟตามนี กต็ าม แตข่ อ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏในสำนวนวา่ จำเลยทง้ั สามถกู แจง้ ขอ้ กลา่ วหาวา่
เสพเมทแอมเฟตามีนและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย
โดยผิดกฎหมาย จำเลยท้ังสามให้การรับสารภาพ และศาลช้ันต้นได้สอบถามจำเลยท้ังสาม
ในห้องพิจารณา จำเลยทั้งสามรับว่าเสพเมทแอมเฟตามีน กรณีจึงเป็นเรื่องที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่า
จำเลยทั้งสามมีพฤติกรรมเก่ียวข้องกับยาเสพติด เสี่ยงต่อการกระทำความผิดหรืออาจถูกชักนำ
ให้กระทำความผิดได้ หาใช่เป็นการวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยท้ังสามเป็นความผิดฐาน
เสพเมทแอมเฟตามีนไม่ เพราะมิได้ปรับบทกฎหมายหรือกำหนดโทษฐานน้ีแต่ประการใด
กรณีเป็นการใช้อำนาจเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กหรือเยาวชนตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชน
และครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๘ ทศี่ าลอทุ ธรณภ์ าค ๕
พิพากษามานนั้ ศาลฎกี าเหน็ พอ้ งดว้ ย ฎกี าของโจทกท์ ุกขอ้ ฟังไม่ขึน้
อนงึ่ ทศ่ี าลชนั้ ตน้ พพิ ากษาใหร้ บิ โทรศพั ทเ์ คลอื่ นทข่ี องกลางนน้ั ไมช่ อบ เพราะศาลมไิ ดพ้ พิ ากษา
จำเลยกระทำความผิด โทรศัพท์เคล่ือนที่ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ท่ีใช้ในการกระทำความผิด หรือมีไว้
เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยได้กระทำความผิด ซ่ึงหมายถึงความผิดตามฐานท่ีฟ้อง
อัยการนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
99
จงึ ไมอ่ าจรบิ โทรศพั ทเ์ คลอื่ นทข่ี องกลางตามพระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๒
และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓ เห็นควรแก้ไข
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบโทรศัพท์เคล่ือนท่ีของกลาง โดยให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้
เปน็ ไปตามคำพพิ ากษาศาลอุทธรณภ์ าค ๕.
สำนักงานอัยการพิเศษฝา่ ยสารสนเทศ
สำนักงานวิชาการ
หมายเหต
ุ
กรณีท่ีศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เช่น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให
้
แจ้งชัดถึงอำนาจฟ้องโจทก์ หรือ พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน การสอบสวนไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย พนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ถือว่าเป็นกรณีที่ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยยังมิได้
วินิจฉัยในความผิดซ่ึงได้ฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องยังไม่ระงับส้ินไปตามมาตรา ๓๙ (๔) แห่ง
ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา๑ (คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๒๒๙๔/๒๕๑๗, ที่ ๑๙๗๙/๒๕๒๑,
ท่ี ๒๐๖๕/๒๕๒๒ และท่ี ๑๓๘๓๘/๒๕๕๕)๒ ดังน้ัน หากมีการกลับไปดำเนินการให้ถูกต้อง
ตามกฎหมาย ยอ่ มสามารถนำคดีดงั กลา่ วมาฟอ้ งใหม่ได้
๑ ป.ว.ิ อ. มาตรา ๓๙ “สิทธนิ ำคดีอาญามาฟอ้ งยอ่ มระงบั ไป ดงั ตอ่ ไปนี้ ....
(๔) เม่อื มคี ำพิพากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผดิ ซงึ่ ไดฟ้ อ้ ง”
๒ คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ ๒๒๙๔/๒๕๑๗ โจทกฟ์ อ้ งจำเลยมาครง้ั หนง่ึ แลว้ ศาลชน้ั ตน้ ตรวจคำฟอ้ งแลว้ พพิ ากษายกฟอ้ งโดยวนิ จิ ฉยั วา่
โจทกไ์ มม่ อี ำนาจฟอ้ ง ปรากฏวา่ เปน็ เพราะคำฟอ้ งคดนี นั้ โจทกม์ ไิ ดบ้ รรยายฟอ้ งโดยแจง้ ชดั ถงึ อำนาจฟอ้ งของโจทก์ โจทกจ์ งึ ฟอ้ งจำเลย
เปน็ คดใี หมด่ ว้ ยขอ้ หาเดยี วกนั นน้ั ตอ่ ศาลชน้ั ตน้ เดยี วกนั โดยบรรยายอำนาจฟอ้ งของโจทกใ์ หช้ ดั ขน้ึ ดงั นสี้ ทิ ธนิ ำคดมี าฟอ้ งของโจทก์
ยังหาได้ระงบั ไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ (๔) ไม่ เพราะศาลยงั ไมไ่ ด้วินิจฉยั ชข้ี าดในการกระทำผดิ ของจำเลย
คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ ๑๙๗๙/๒๕๒๑ ผรู้ อ้ งเคยยน่ื คำรอ้ งขอใหศ้ าลสง่ั คนื รถยนตข์ องกลาง (ซงึ่ ศาลสง่ั รบิ ไว)้ แกผ่ รู้ อ้ งครงั้ หนงึ่ แลว้
แต่ศาลสั่งยกคำร้องเสีย เพราะเห็นว่าข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด ต. ซึ่งเป็นผู้ร้องมีจริงหรือไม่ และเป็นเจ้าของ
รถยนต์ของกลางจริงหรือไม่ คำสั่งดังกล่าวเป็นการยกคำร้องโดยไม่เชื่อว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจย่ืนคำร้อง ยังไม่ได้วินิจฉัยเน้ือหา
แหง่ คำรอ้ งทว่ี า่ ผรู้ อ้ งเปน็ เจา้ ของรถยนตข์ องกลางมไิ ดร้ เู้ หน็ เปน็ ใจทจี่ ำเลยนำไปใชก้ ระทำผดิ สทิ ธยิ น่ื คำรอ้ งของผรู้ อ้ งจงึ ยงั ไมร่ ะงบั ไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๖๕/๒๕๒๒ ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องด้วยวาจา ไม่ได้พิจารณาเรื่องท่ีฟ้อง
ไม่ไดพ้ พิ ากษาเสร็จเดด็ ขาดในความผิดทีไ่ ด้ฟ้อง โจทก์ฟอ้ งใหมไ่ ด้
คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๓๘๓๘/๒๕๕๕ คดีก่อนท่ีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ศาลช้ันต้นยกฟ้องโดยวินิจฉัยเพียงว่า ท. มิใช่เป็น
ผู้ได้รับความเสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวน การสอบสวนของพนักงานสอบสวน
จึงเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๒๑ วรรคสอง ทำให้พนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.อ.
มาตรา ๑๒๐ โดยยังมิได้วินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยทั้งสามตามข้อกล่าวหา จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำพิพากษาท่ีได้วินิจฉัย
ในความผิดซึ่งได้ฟ้องอันจะเป็นเหตุให้สิทธิของ ท. ท่ีจะนำคดีมาฟ้องใหม่ระงับส้ินไป ตาม ป.วิ.อ.มาตรา ๓๙ (๔) ฟ้องของ ท.
ซึ่งเปน็ โจทกค์ ดีน้ี จึงไมเ่ ปน็ ฟ้องซำ้ กับคดกี ่อน
100 คำพิพากษาศาลฎีกา
จากขอ้ เทจ็ จรงิ ในคำพพิ ากษาศาลฎกี าทหี่ มายเหตนุ ี้ เหน็ ไดว้ า่ เปน็ กรณที ศี่ าลพพิ ากษายกฟอ้ ง
เพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเช่นกัน โดยวินิจฉัยว่าการที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยมิได้
นำตัวจำเลยท้ังสามซ่ึงเป็นผู้ต้องหาที่มีอายุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ และอยู่ในหลักเกณฑ์ท่ีต้องเข้าสู่
กระบวนการฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดไปศาลภายในระยะเวลา ๒๔ ช่ัวโมง นับแต่มาถึง
ทที่ ำการของพนกั งานสอบสวน เพอ่ื ใหศ้ าลพจิ ารณามคี ำสงั่ ใหส้ ง่ ตวั จำเลยทง้ั สามไปตรวจพสิ จู นก์ ารเสพ
หรอื การตดิ ยาเสพตดิ ตามพระราชบญั ญตั ฟิ น้ื ฟสู มรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพตดิ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ นนั้ ๓
เป็นการสอบสวนท่ีไม่ชอบ พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐๔ แต่คำพิพากษาดังกล่าวไม่ถือเป็นคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด
ในความผิดซ่ึงได้ฟ้อง เพราะยังมิได้มีการวินิจฉัยถึงความผิดของจำเลยทั้งสามว่าได้กระทำผิด
ตามฟ้องหรือไม่ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงยังไม่ระงับสิ้นไปตามมาตรา ๓๙ (๔)๕ อย่างไรก็ตาม
มีข้อควรสังเกตว่า กรณีที่เกิดจากความบกพร่องของพนักงานสอบสวนเช่นนี้ แล้วเกิดช่องว่างของ
กฎหมายที่ทำให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐไม่สามารถเข้ามาคุ้มครอง หรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับ
ผู้ต้องหาท่ีเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๑๙ ได้๖ ท้ังที่การดำเนินคดีอาญายังไม่ระงับนั้น ย่อมทำให ้
ผู้ต้องหาไม่ได้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดเพ่ือเยียวยาแก้ไขให้เป็นไปตาม
เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ อีกทั้งยังทำให
้
เจ้าหน้าทข่ี องรฐั ไม่สามารถพิสจู น์ใหเ้ หน็ ความผิดหรอื ความบรสิ ุทธท์ิ แ่ี ทจ้ ริงของผู้ต้องหานน้ั ได้
อัครพชั ร์ เพยี รพทิ กั ษ์
๓ พ.ร.บ. ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ “ผู้ใดต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดเสพและมีไว
้
ในครอบครอง เสพและมีไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่าย หรือเสพและจำหน่ายยาเสพติดตามลักษณะ ชนิดประเภท และปริมาณ
ท่ีกำหนดในกฎกระทรวง ถ้าไม่ปรากฏว่าต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอ่ืนซ่ึงเป็นความผิดที่มีโทษจำคุก
หรืออยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล ให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาไปศาลภายในสี่สิบแปดช่ัวโมง
นับแต่เวลาท่ีผู้ต้องหาน้ันมาถึงท่ีทำการของพนักงานสอบสวน เพ่ือให้ศาลพิจารณามีคำส่ังให้ส่งตัวผู้น้ันไปตรวจพิสูจน์การเสพ
หรือการติดยาเสพติด เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอ่ืนที่เกิดจากตัวผู้ต้องหานั้นเอง หรือจากพฤติการณ ์
ท่เี ปลย่ี นแปลงไปซง่ึ ทำให้ไมอ่ าจนำตวั ผู้ต้องหาไปศาลภายในกำหนดเวลาดงั กล่าวได
้
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ถ้าผู้ต้องหามีอายุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ ให้พนักงานสอบสวนนำตัวส่งศาลเพ่ือมีคำสั่ง
ให้ตรวจพิสจู น์ภายในยีส่ ิบส่ีชว่ั โมงนบั แตเ่ วลาทผ่ี ูต้ ้องหานน้ั มาถงึ ท่ที ำการของพนักงานสอบสวน....”
๔ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๒๐ “ห้ามมใิ หพ้ นกั งานอัยการย่ืนฟอ้ งคดใี ดตอ่ ศาล โดยมไิ ด้มกี ารสอบสวนในความผดิ น้นั กอ่ น”
๕ อ้างแลว้ เชงิ อรรถท่ี ๑
๖ อา้ งแล้ว เชิงอรรถท่ี ๓
อยั การนเิ ทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
101
คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ ๖๖๘๑/๒๕๖๑
ป.อ. การใช้กฎหมายอาญา (มาตรา ๒, ๓)
พ.ร.บ. การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ (มาตรา ๒๗, ๕๔)
พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ (มาตรา ๓, ๙, ๑๐๒)
คำสง่ั หัวหนา้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ท่ี ๓๓/๒๕๖๐
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกามีพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของ
คนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๓ (๑) ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๖๐ แทน ซงึ่ มาตรา ๙ (ทแ่ี กไ้ ขใหม)่ บญั ญตั ใิ หก้ ารกระทำของจำเลยที่ ๖ เปน็ ความผดิ
และมาตรา ๑๐๒ กำหนดโทษสำหรับความผิดดังกลา่ วไว้ ต่อมาเมอ่ื วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐
มีคำส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๓๓ /๒๕๖๐ เร่ือง มาตรการช่ัวคราวเพื่อแก้ไข
ข้อขัดขอ้ งในการบรหิ ารจดั การการทำงานของคนตา่ งดา้ ว ข้อ ๑ ใหม้ าตรา ๑๐๒ มผี ลใชบ้ งั คบั
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ถือว่าการกระทำความผิดที่กระทำลงในช่วงเวลา
ต้ังแต่วันท่ี ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ เป็นการกระทำที่ไม่มีโทษ
จึงไม่เป็นความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคหน่ึง ส่วนการกระทำ
ความผิดทเี่ กิดก่อนวันท่ี ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ อนั เปน็ ความผิดตามพระราชบัญญตั ิการทำงาน
ของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าที่ถูกยกเลิกไปโดยพระราชกำหนดการบริหาร
จัดการการทำงานของคนตา่ งดา้ ว พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๓ แมพ้ ระราชกำหนดการบริหารจดั การ
การทำงานของคนตา่ งด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ จะยงั กำหนดใหเ้ ป็นความผดิ แตไ่ มม่ ีโทษ จะต้องถือว่า
พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นกฎหมายท่ี
บญั ญตั ใิ นภายหลงั กำหนดใหก้ ารกระทำดงั กลา่ วไมเ่ ปน็ ความผดิ อกี ตอ่ ไปตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒ วรรคสอง ดังน้ัน การกระทำของจำเลยที่ ๖ จึงไม่เป็นความผิดฐานรับคนต่างด้าว
ซ่งึ ไม่มีใบอนญุ าตเข้าทำงานโดยผดิ กฎหมาย
_____________________________
{
พนักงานอยั การจังหวดั ตราด โจทก
์
ระหวา่ ง
นาย ซ. ท่ี ๑ กับพวกรวม ๖ คน จำเลย
โจทกฟ์ อ้ ง ขอใหล้ งโทษจำเลยท่ี ๑ ถงึ ที่ ๔ ในความผดิ ฐานเดนิ ทางเขา้ มาในราชอาณาจกั รไทย
โดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานเป็น
คนต่างดา้ วทำงานโดยไมไ่ ด้รบั อนุญาต ฐานร่วมกันยดึ ถือครอบครอง ก่นสรา้ ง แผ้วถาง หรอื กระทำ
ด้วยประการใด ๆ อนั เป็นการทำลายปา่ และเป็นการเสอื่ มเสียแกส่ ภาพปา่ สงวนแหง่ ชาติ จำเลยท่ี ๕
ในความผิดฐานร่วมกันยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ
102 คำพิพากษาศาลฎีกา
อนั เปน็ การทำลายปา่ และเปน็ การเสอื่ มเสยี แกส่ ภาพปา่ สงวนแหง่ ชาติ จำเลยท่ี ๖ ในความผดิ ฐานรวู้ า่
คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้ท่ีพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยให้พ้นจาก
การจับกุม ฐานรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานร่วมกันยึดถือครอบครอง
ก่นสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าและเป็นการเส่ือมเสียแก่
สภาพป่าสงวนแหง่ ชาติตามพระราชบัญญตั ิคนเข้าเมอื ง พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๑๑, ๑๒, ๑๘, ๔๑,
๕๘, ๖๒, ๖๔, ๘๑ พระราชบัญญตั กิ ารทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๕, ๗, ๙, ๒๗,
๕๑, ๕๔, ๕๗, ๖๐ พระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๕๔, ๕๕, ๗๒ ตร,ี ๗๔ ทว,ิ ๗๔ จตั วา
พระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔, ๖, ๑๔, ๓๑, ๓๕ ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓, ๘๓, ๙๑ รบิ ของกลาง กบั จา่ ยเงนิ สนิ บนนำจบั แกผ่ นู้ ำจบั ตามกฎหมาย และใหจ้ ำเลยทงั้ หก
คนงาน ผู้รับจา้ ง ผู้แทนและบริวารออกไปจากป่าและเขตปา่ สงวนแห่งชาตดิ ว้ ย
ระหว่างพจิ ารณา จำเลยที่ ๓ ถึงแกค่ วามตาย ศาลชั้นตน้ จำหนา่ ยคดีโจทกเ์ ฉพาะจำเลยที่ ๓
ออกจากสารบบความ
จำเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๔ ถึงท่ี ๖ ให้การรบั สารภาพ
ศาลชั้นตน้ พิจารณาแลว้ พิพากษาวา่ จำเลยท่ี ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๔ ถึงที่ ๖ ให้การรบั สารภาพ
เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คนละก่ึงหน่ึง
จำเลยท่ี ๑ ที่ ๒ ท่ี ๔ คงจำคุกคนละ ๒ ปี ๗ เดือน จำเลยที่ ๕ คงจำคุก ๒ ปี จำเลยที่ ๖
คงจำคุก ๒ ปี ๓ เดือน และปรบั ๓,๐๐๐ บาท ในส่วนจำเลยท่ี ๖ ไม่ชำระคา่ ปรับใหจ้ ัดการตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ริบของกลาง ให้จำเลยที่ ๑ ท่ี ๒ และท่ี ๔ ถึงท่ี ๖
พร้อมคนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารออกไปจากป่าและเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาสมิง
(ป่าคลองใหญ่และป่าเขาไฟไหม้) ส่วนเงินสินบนนำจับ เม่ือศาลลงโทษจำคุกจำเลยท่ี ๑ ที่ ๒
และท่ี ๔ ถงึ ที่ ๖ ในความผดิ ตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ (ทถ่ี กู ตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาตฯิ )
โดยไม่มีการปรับ จึงไมอ่ าจสั่งจ่ายเงินสินบนนำจบั ได้ คำขอสว่ นน้ใี หย้ ก
จำเลยท่ี ๖ อุทธรณ์
ศาลอทุ ธรณ์ภาค ๒ แผนกคดสี ่งิ แวดล้อมพพิ ากษายนื
จำเลยท่ี ๖ ฎีกา โดยผู้พิพากษาซ่ึงพิจารณาและลงช่ือในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาต
ให้ฎีกาในปญั หาข้อเทจ็ จริง
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า ระหว่างพิจารณา
ของศาลฎกี ามพี ระราชกำหนดการบรหิ ารจดั การการทำงานของคนตา่ งดา้ ว พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๓ (๑)
ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้พระราชกำหนด
การบรหิ ารจดั การการทำงานของคนตา่ งดา้ ว พ.ศ. ๒๕๖๐ แทน ซงึ่ มาตรา ๙ (ทแ่ี กไ้ ขใหม)่ บญั ญตั ใิ ห้
การกระทำของจำเลยท่ี ๖ เปน็ ความผิด และมาตรา ๑๐๒ กำหนดโทษสำหรับความผิดดังกล่าวไว้
ต่อมาเม่ือวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ มีคำส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๓๓/๒๕๖๐
เรื่อง มาตรการช่ัวคราวเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
ขอ้ ๑ ใหม้ าตรา ๑๐๒ มผี ลใชบ้ งั คบั ตงั้ แตว่ นั ที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ เปน็ ตน้ ไป ถอื วา่ การกระทำความผดิ
ทก่ี ระทำลงในชว่ งเวลาตง้ั แตว่ นั ที่ ๒๓ มถิ นุ ายน ๒๕๖๐ ถงึ วนั ท่ี ๓๑ ธนั วาคม ๒๕๖๐ เปน็ การกระทำ
ที่ไม่มีโทษ จึงไม่เป็นความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคหน่ึง
สว่ นการกระทำความผดิ ที่เกิดก่อนวันที่ ๒๓ มถิ ุนายน ๒๕๖๐ อนั เปน็ ความผดิ ตามพระราชบญั ญัติ
อยั การนิเทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
103
การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าท่ีถูกยกเลิกไปโดยพระราชกำหนด
การบรหิ ารจดั การการทำงานของคนตา่ งดา้ ว พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๓ แมพ้ ระราชกำหนดการบริหาร
จัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ จะยังกำหนดให้เป็นความผิด แต่ไม่มีโทษ
จะต้องถือว่าพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐
ซ่ึงเป็นกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังกำหนดให้การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดอีกต่อไป
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคสอง ดงั นน้ั การกระทำของจำเลยที่ ๖ จงึ ไมเ่ ปน็ ความผดิ
ฐานรับคนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงานโดยผิดกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหา
ข้อกฎหมายเก่ียวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยท่ี ๖ มิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกข้ึน
วนิ จิ ฉยั ไดต้ ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕
ปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยท่ี ๖ ต่อไปว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและ
รอการลงโทษจำคกุ ใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี ๖ หรอื ไม่ ไดค้ วามตามฎกี าของจำเลยที่ ๖ โดยทโ่ี จทกม์ ไิ ดโ้ ตแ้ ยง้ วา่
ปัจจุบันจำเลยที่ ๖ มีอายุ ๗๑ ปี มีอาการป่วยเป็นโรคต้อหินรุนแรงระยะสุดท้ายทั้งสองข้าง
และเปลือกตาอักเสบเรื้อรังท้ังสองข้าง โดยต้องทำการรักษาต่อเน่ืองตามใบรับรองแพทย์ท้ายฎีกา
ประกอบกับจำเลยท่ี ๖ ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หลังเกิดเหตุก็มิได้เข้าไปทำประโยชน
์
ในที่เกิดเหตุอีก เช่ือว่าจำเลยที่ ๖ รู้สำนึกในการกระทำความผิดของตนและเข็ดหลาบแล้ว
กรณีมีเหตอุ นั ควรปรานี ท่ศี าลอุทธรณภ์ าค ๒ ไมร่ อการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ ๖ นนั้ ศาลฎีกา
ไมเ่ หน็ พอ้ งดว้ ย ฎกี าของจำเลยที่ ๖ ขอ้ นฟี้ งั ขน้ึ แตเ่ พอื่ ใหจ้ ำเลยที่ ๖ หลาบจำ เหน็ สมควรลงโทษปรบั
และคมุ ความประพฤตขิ องจำเลยที่ ๖ ดว้ ย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยท่ี ๖ มีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๖๔ วรรคหนึง่ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๕๔ วรรคหนึง่ , ๗๒ ตรี วรรคสอง
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ วรรคสอง ประกอบประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ ใหล้ งโทษในความผดิ ฐานใหท้ พ่ี กั อาศยั ซอ่ นเรน้ หรอื ชว่ ยดว้ ยประการใด ๆ
หรือให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม ปรับ ๕,๐๐๐ บาท ฐานร่วมกันยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง
แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า และเป็นการเสื่อมเสียแก
่
สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ปรับ ๑๒๐,๐๐๐ บาท รวมปรับ ๑๒๕,๐๐๐ บาท ลดโทษให้ก่ึงหนึ่ง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๖๒,๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้
มีกำหนด ๓ ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยท่ี ๖ โดยให้จำเลยท่ี ๖ ไปรายงานตัวต่อ
พนกั งานคมุ ประพฤตปิ ลี ะ ๓ ครงั้ เปน็ เวลา ๑ ปี ตามเงอื่ นไขและกำหนดเวลาทพ่ี นกั งานคมุ ประพฤต
ิ
เห็นสมควรกำหนด กับให้จำเลยที่ ๖ กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เกี่ยวกับ
การอนรุ กั ษ์ รกั ษา และพนื้ ฟทู รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มตามทพี่ นกั งานคมุ ประพฤตเิ หน็ สมควร
ไมน่ อ้ ยกวา่ ๓๐ ชว่ั โมง ภายในกำหนดเวลารอการลงโทษจำคกุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖
ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙, ๓๐ ยกฟ้องฐานรับคนต่างด้าว
เขา้ ทำงานโดยไม่ไดร้ บั อนุญาต นอกจากที่แกใ้ หเ้ ปน็ ไปตามคำพพิ ากษาศาลอุทธรณภ์ าค ๒.
สำนกั งานอัยการพิเศษฝา่ ยสารสนเทศ
สำนกั งานวิชาการ
104 คำพิพากษาศาลฎกี า
หมายเหต
ุ
ในเร่ืองน้ี ศาลฎีกาได้วินิจฉัยช่วงเวลาในการกระทำความผิดฐานรับคนต่างด้าวซ่ึงไม่มี
ใบอนญุ าตเขา้ ทำงานโดยผิดกฎหมาย แบง่ ออกเป็นสองชว่ งเวลา คือ
๑. ช่วงเวลากระทำความผิดท่ีเกิดข้ึนก่อนวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ อันเป็นความผิด
ตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างดา้ ว พ.ศ. ๒๕๕๑ ซ่ึงเป็นกฎหมายเก่าท่ถี กู ยกเลิกไปโดย
พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างดา้ ว พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๓ แมจ้ ะยงั เปน็
ความผดิ ตามพระราชกำหนดการบรหิ ารจดั การการทำงานของคนตา่ งดา้ ว พ.ศ. ๒๕๖๐ แตไ่ ดม้ คี ำสงั่
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติท่ี ๓๓/๒๕๖๐ กำหนดให้บทมาตราซึ่งเป็นบทกำหนดโทษ
มผี ลใชบ้ งั คบั ตงั้ แตว่ นั ท่ี ๑ มกราคม ๒๕๖๑ เปน็ ตน้ ไป จงึ ทำใหก้ ารกระทำในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว ไมม่ โี ทษ
อนั ถอื วา่ เปน็ กรณที กี่ ฎหมายทบี่ ญั ญตั ใิ นภายหลงั กำหนดใหก้ ารกระทำดงั กลา่ วไมเ่ ปน็ ความผดิ อกี ตอ่ ไป
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคสอง๑ อันเป็นคำวินิจฉัยที่สอดคล้องกับแนวทางของ
คณะกรรมการวิชาการ สำนักงานศาลยุติธรรมเสียงข้างมาก๒ แต่ต่างจากแนวทางของ
สำนักงานอัยการสูงสุด๓ ที่เห็นว่าช่วงเวลากระทำความผิดท่ีเกิดก่อนวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐
อยู่ในระหว่างที่พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ยังมีผลใช้บังคับ อันเป็น
กรณีที่กฎหมายซ่ึงใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิด
ในส่วนที่เก่ียวข้องกับโทษ จึงต้องใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกอบคำสงั่ หวั หนา้ คณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาตทิ ี่ ๓๓/๒๕๖๐ ทไ่ี มม่ โี ทษทจ่ี ะลงแก่
ผกู้ ระทำความผดิ ซงึ่ เปน็ กฎหมายทเี่ ปน็ คณุ แกผ่ กู้ ระทำความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔
นอกจากนเี้ คยมคี ำชขี้ าดความเหน็ แยง้ เกย่ี วกบั ความผดิ ฐานเปน็ คนตา่ งดา้ วทำงานโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าต
ซึ่งเป็นฐานความผิดหน่ึงที่อยู่ในบังคับตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๓๓/๒๕๖๐
โดยอยั การสูงสุดไดน้ ำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ มาวินิจฉยั ยกเวน้ โทษแก่ผู้กระทำความผิด
๑ ป.อ. มาตรา ๒ “บุคคลจักตอ้ งรับโทษในทางอาญาต่อเมือ่ ไดก้ ระทำการอันกฎหมายท่ีใชใ้ นขณะกระทำนนั้ บัญญัติเปน็ ความผิดและ
กำหนดโทษไว้ และโทษทจี่ ะลงแกผ่ กู้ ระทำความผิดน้ัน ต้องเป็นโทษท่ีบัญญัตไิ วใ้ นกฎหมาย
ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ท่ีได้กระทำการนั้น
พ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้น้ันไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำ
ความผิดนนั้ ถา้ รบั โทษอยู่กใ็ ห้การลงโทษนนั้ ส้ินสุดลง”
๒ หนงั สอื สำนกั งานอยั การสงู สดุ ที่ อส ๐๐๐๗/ว ๒๘๒ ลงวนั ท่ี ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เรอ่ื ง แนวทางในการดำเนนิ คดใี นความผดิ ตาม
พระราชกำหนดการบรหิ ารจดั การการทำงานของคนตา่ งดา้ ว พ.ศ. ๒๕๖๐, อยั การนเิ ทศ เลม่ ท่ี ๘๓ พ.ศ. ๒๕๖๑ , หนา้ ๑๕๕-๑๕๖
๓ หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุดที่ อส ๐๐๔๐(อก)/ว ๓๖๗ ลงวันท่ี ๑๑ กันยายน ๒๕๖๐ เรื่อง การออกคำสั่งในคดีความผิด
ตามพระราชกำหนดการบรหิ ารจดั การการทำงานของคนตา่ งดา้ ว พ.ศ. ๒๕๖๐, อยั การนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๓ พ.ศ. ๒๕๖๑, หนา้ ๑๖๗
๔ ป.อ. มาตรา ๓ “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมาย
ในสว่ นทเี่ ปน็ คณุ แกผ่ กู้ ระทำความผดิ ไมว่ า่ ในทางใด เวน้ แตค่ ดถี งึ ทสี่ ดุ แลว้ แตใ่ นกรณที ค่ี ดถี งึ ทส่ี ดุ แลว้ ดงั ตอ่ ไปน
้ี
(๑) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษท่ีกำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนด
ตามกฎหมายทบี่ ญั ญตั ใิ นภายหลงั เมอื่ สำนวนความปรากฏแกศ่ าลหรอื เมอื่ ผกู้ ระทำความผดิ ผแู้ ทนโดยชอบธรรมของผนู้ น้ั ผอู้ นบุ าล
ของผนู้ นั้ หรอื พนกั งานอยั การรอ้ งขอ ใหศ้ าลกำหนดโทษเสยี ใหมต่ ามกฎหมายทบ่ี ญั ญตั ใิ นภายหลงั ในการทศ่ี าลจะกำหนดโทษใหมน่ ้ี
ถ้าปรากฏว่าผู้กระทำความผิดได้รับโทษมาบา้ งแล้ว เม่ือได้คำนงึ ถึงโทษตามกฎหมายทบ่ี ัญญัติในภายหลัง หากเห็นเปน็ การสมควร
ศาลจะกำหนดโทษนอ้ ยกวา่ โทษขนั้ ตำ่ ทกี่ ฎหมายทบี่ ญั ญตั ใิ นภายหลงั กำหนดไวถ้ า้ หากมกี ไ็ ด้ หรอื ถา้ เหน็ วา่ โทษทผี่ กู้ ระทำความผดิ
ไดร้ บั มาแลว้ เปน็ การเพยี งพอ ศาลจะปลอ่ ยผกู้ ระทำความผดิ ไปกไ็ ด
้
(๒) ถา้ ศาลพพิ ากษาใหป้ ระหารชวี ติ ผกู้ ระทำความผดิ และตามกฎหมายทบ่ี ญั ญตั ใิ นภายหลงั โทษทจี่ ะลงแกผ่ กู้ ระทำความผดิ
ไมถ่ ึงประหารชีวติ ใหง้ ดการประหารชวี ติ ผู้กระทำความผิด และใหถ้ อื วา่ โทษประหารชวี ิตตามคำพิพากษาได้เปลี่ยนเปน็ โทษสูงสุด
ทจี่ ะพงึ ลงไดต้ ามกฎหมายทบี่ ญั ญตั ใิ นภายหลงั ”
อยั การนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
105
ไวใ้ นทำนองเดียวกนั กบั แนวทางของสำนกั งานอัยการสงู สดุ ดังกลา่ ว๕ และเคยมีตัวอยา่ งคำพิพากษา
ศาลฎีกาที่หยิบยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ มาวินิจฉัยให้เป็นคุณและยกเว้นโทษ
แก่จำเลยไว้เช่นกัน เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๙๗/๒๕๒๒ วินิจฉัยว่า “ในระหว่างพิจารณา
ของศาลชนั้ ตน้ ไดม้ พี ระราชบญั ญตั อิ าวธุ ปนื ฯ (ฉบบั ท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๓ ยอมใหผ้ มู้ อี าวธุ ปนื
เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นำไปขอรับอนุญาตได้ภายใน ๙๐ วัน
โดยผนู้ นั้ ไมต่ อ้ งรบั โทษ จงึ ตอ้ งถอื วา่ ในระหวา่ งนน้ั กฎหมายยกเวน้ โทษใหแ้ กจ่ ำเลย แสดงวา่ กฎหมาย
ท่ีใช้ในขณะจำเลยกระทำผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำผิด และพระราชบัญญัติ
อาวุธปืนฯ (ฉบับท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ เปน็ คณุ แก่จำเลยจึงต้องใชพ้ ระราชบญั ญัติน้ีมาปรบั กบั คดตี าม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ วรรคแรก จำเลยจงึ ไมต่ อ้ งรบั โทษในความผิดฐานน”้ี อย่างไรกด็ ี
ท่านศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ ได้เห็นต่างจากคำพิพากษาศาลฎีกา โดยมีข้อสังเกต
เป็นหมายเหตุไว้ท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ว่า “กรณีที่มีกฎหมายออกมาใหม่ยกเว้นโทษ เช่น
พ.ร.บ.อาวธุ ปนื ฯ น้ี เปน็ เรอ่ื งกฎหมายไมล่ งโทษเลย ม. ๒ วรรค ๒ แมจ้ ะใชค้ ำวา่ ไมเ่ ปน็ ความผดิ ตอ่ ไป
ก็ต้องเข้าใจว่ารวมถึงยกเว้นโทษด้วย และแม้กำลังรับโทษอยู่ ก็ได้รับผลของกฎหมายใหม่น้ันด้วย
ถงึ หากคดถี งึ ท่ีสุดแลว้ ก็ตาม ไมถ่ ือเป็นความผดิ ต่อไป หรอื ยกเวน้ โทษตามกฎหมายใหม่ทง้ั สน้ิ ”
๒. ชว่ งเวลากระทำความผดิ ระหวา่ งวนั ท่ี ๒๓ มถิ นุ ายน ๒๕๖๐ ถงึ วนั ท่ี ๓๑ ธนั วาคม ๒๕๖๐
เป็นการกระทำที่ไม่มีโทษ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคหน่ึง๖
อันเป็นคำวินิจฉัยที่สอดคล้องกับแนวทางของคณะกรรมการวิชาการ สำนักงานศาลยุติธรรม
เสยี งข้างมาก๗ และเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับสำนกั งานอยั การสูงสุด๘
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาทั้งสองกรณีดังกล่าวข้างต้น สำนักงานอัยการสูงสุดเห็นว่า เป็นกรณี
ที่มีกฎหมายยกเว้นโทษไว้ อันเป็นเง่ือนไขระงับคดี จึงวางแนวทางปฏิบัติให้แก่พนักงานอัยการ
สั่งยุติการดำเนินคดีตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของ
พนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕๔ วรรคสอง (๗) และวรรคสาม ซ่ึงการสั่งยุติการดำเนินคดี
ในกรณีนี้ นับว่าเป็นอีกหน่ึงตัวอย่างท่ีสำนักงานอัยการสูงสุดได้อธิบายความหมายของคำว่า
“เมื่อมีกฎหมายยกเว้นโทษ” เพิ่มเติมจากที่เคยยกตัวอย่างไว้เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่า
“เมอื่ มกี ฎหมายยกเวน้ โทษตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๗) หมายถึง
กรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ซ่ึงเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้า
ผู้กระทำได้กระทำการบางอย่างตามเงื่อนไขของกฎหมายน้ัน ๆ แล้ว ผู้น้ันไม่ต้องรับโทษ เช่น
พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ฉบับที่ออกใหม่บัญญัติว่า ถ้าผู้ท่ีมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตนำปืน
มามอบแก่เจ้าพนักงานภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัติน้ันใช้บังคับผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
เป็นต้น ซึ่งเป็นกรณีเฉพาะเรื่องเฉพาะบางความผิด และมักจะมีกำหนดระยะเวลาของการปฏิบัติ
ตามเงอื่ นไขทจ่ี ะไดร้ ับยกเวน้ โทษด้วย”๙
สุเมธ ศิลปนะรุจ
ิ
๕ คำชี้ขาดความเห็นเย้งท่ี ๑๕๖/๒๕๖๐ “เมื่อความผิดในคดีน้ีเกิดข้ึนก่อนวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ซ่ึงอยู่ในระหว่างท ี่
พระราชบัญญตั กิ ารทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ยังมผี ลใช้บังคบั กรณขี องคดีนีจ้ งึ เปน็ กรณที กี่ ฎหมายซง่ึ ใช้ในขณะกระทำ
ความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำความผิดในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับโทษ ต้องใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการ
การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกอบคำส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๓๓/๒๕๖๐ อันเป็นกรณีที่
กฎหมายยกเว้นโทษแก่ผู้กระทำความผิดซ่ึงเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓”,
อยั การนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๓ พ.ศ. ๒๕๖๑, หนา้ ๒๓ - ๒๖
๖ อ้างแล้ว เชงิ อรรถที่ ๑
๗ อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ ๒
๘ อา้ งแลว้ เชงิ อรรถท่ี ๓
๙ หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุดท่ี อส ๐๐๑๘/ว ๑๑๕ ลงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๓๕ เรื่อง การสั่งยุติการดำเนินคดี, อัยการนิเทศ
เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒, หนา้ ๒๒๙
106 คำพิพากษาศาลฎกี า
คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๗๓๐๘/๒๕๖๑
ป.อ. กระทำชำเราศษิ ย์ซึง่ อยู่ในความดแู ล (มาตรา ๒๗๗, ๒๘๕)
คำว่า ศิษย์ซ่ึงอยู่ในความดูแลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๕ ต้องตีความ
โดยเคร่งครัด ซึ่งความหมายของถ้อยคำดังกล่าวมิได้หมายถึงเฉพาะผู้ที่มีความสัมพันธ
์
ในฐานะครูหรืออาจารย์ซึ่งมีหน้าที่สอนศิษย์เท่านั้น แต่ครูหรืออาจารย์นั้นต้องมีหน้าท
่ี
ควบคุมดูแลปกป้องรักษาตัวศิษย์ และกระทำความผิดตามท่ีกฎหมายบัญญัติต่อศิษย์
ในระหว่างมีหน้าท่ีดังกล่าวด้วย คดีน้ีจำเลยเป็นเพียงครูสอนวิชาพลศึกษาโรงเรียนที่เกิดเหตุ
โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยสอนหรือเคยสอนในชั้นเรียนท่ีโจทก์ร่วมศึกษา ท้ังจำเลยมิได้เป็นครูใหญ่
ซงึ่ มหี นา้ ทด่ี แู ลรบั ผดิ ชอบนกั เรยี นทงั้ โรงเรยี น สว่ นทโี่ จทกแ์ ละโจทกร์ ว่ มนำสบื วา่ จำเลยเปน็ ผแู้ จง้
ให้โจทก์ร่วมไปแข่งกีฬาแทนนักเรียนคนอ่ืน ก็ยังไม่อาจรับฟังได้ถึงขนาดที่ว่าจำเลยเป็นครูเวร
หรือได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ดูแลโจทก์ร่วมในขณะเกิดเหตุ ซ่ึงเป็นช่วงเวลาภายหลังจาก
การแขง่ กฬี าทโี่ รงเรยี นเทศบาล ก. เสรจ็ สน้ิ และโจทกร์ ว่ มเดนิ ทางกลบั ไปทโ่ี รงเรยี นทเ่ี กดิ เหตแุ ลว้
ดังน้ี เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องควบคุมดูแล
ปกปอ้ งรกั ษาโจทกร์ ว่ มหรอื ไม่ เพยี งใด แมจ้ ำเลยกระทำชำเราโจทกร์ ว่ มกม็ ใิ ชก่ ารกระทำตอ่ ศษิ ย์
ซึ่งอยู่ในความดแู ลอันจะทำใหต้ อ้ งรบั โทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๕
______________________________
{
พนักงานอยั การจังหวดั ภเู กต็ โจทก
์
เด็กหญงิ ร. โดยนาง ก. ผแู้ ทนโดยชอบธรรม โจทกร์ ว่ ม
ระหว่าง
นาย จ. จำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นครูอัตราจ้างโรงเรียน บ. มีหน้าท่ีสอนวิชาพลศึกษา เม่ือวันที่
๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ เวลากลางวนั จำเลยเพอ่ื สนองความใครข่ องตนเองได้กระทำชำเราเด็กหญิง ร.
อายุ ๑๒ ปเี ศษ (เกดิ วนั ที่ ๘ มนี าคม ๒๕๔๕) ผเู้ สยี หาย ซงึ่ เปน็ เดก็ อายยุ งั ไมเ่ กนิ สบิ สามปี และเปน็ ศษิ ย์
ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลยซ่ึงมิใช่ภริยาของตน โดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปใน
อวัยวะเพศของผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๗๗, ๒๘๕
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหวา่ งพจิ ารณา เดก็ หญงิ ร. ผเู้ สยี หาย โดยนาง ก. ผแู้ ทนโดยชอบธรรม ยนื่ คำรอ้ งขอเขา้ รว่ ม
เป็นโจทก์ ศาลช้นั ตน้ อนุญาต
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องและขอแก้ไขคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
๓๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า
จะชำระเสร็จแก่โจทกร์ ่วม
อยั การนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
107
จำเลยให้การในคดีสว่ นแพง่ วา่ จำเลยไมไ่ ดก้ ระทำความผิดตามฟอ้ ง ขอใหย้ กฟอ้ ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๗๗ วรรคสาม ประกอบมาตรา ๒๘๕ จำคุก ๑๒ ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์
แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘
คงจำคุก ๘ ปี กับให้จำเลยใช้เงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบ้ียอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับถดั จากวันฟ้อง (ฟอ้ งวนั ท่ี ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘) เปน็ ตน้ ไปจนกวา่ จะชำระเสร็จแกโ่ จทกร์ ่วม
จำเลยอทุ ธรณ
์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ เห็นว่า แม่โจทก์และโจทก์ร่วมจะมีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์
เพียงปากเดียว คือ โจทก์ร่วม แต่โจทก์ร่วมเบิกความในช้ันศาลเป็นลำดับของเหตุการณ์อย่างมี
เหตุผลน่าเชื่อถือ ยากท่ีจะป้ันแต่งเรื่องขึ้นเองได้หากไม่เป็นความจริง และเป็นการเบิกความ
อยา่ งตรงไปตรงมา ไม่ไดม้ ีพริ ธุ ว่าจะมกี ารเสย้ี มสอนหรอื บิดเบอื นขอ้ เทจ็ จริงประการใดเพื่อปรักปรำ
จำเลยให้รับโทษ ถ้าโจทก์ร่วมไม่ถูกจำเลยกระทำชำเราจริง โจทก์ร่วมก็คงไม่กล้านำเหตุการณ์ท ี
่
น่าอับอายขายหน้ามากลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลยซ่ึงเป็นครูของตนซึ่งตามปกติแล้วโจทก์ร่วมต้องเคารพ
ยำเกรงและให้ความนับถือเพราะเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการให้ เหตุท่ีเม่ือโจทก์ร่วมถูกจำเลย
กระทำชำเราแล้ว โจทก์ร่วมปิดบังไม่ยอมบอกเร่ืองท่ีเกิดขึ้นให้ใครทราบก็ไม่ส่อพิรุธแต่อย่างใด
เพราะขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมยังเยาว์วัยอายุยังไม่ถึง ๑๓ ปี ย่อมมีความคิดอ่านตามประสาเด็ก
จำเลยก็อยู่ในฐานะเป็นครู หากโจทก์ร่วมบอกความจริงทันทีก็เป็นเรื่องอับอายและเป็นเหตุให้
โจทก์ร่วมไม่ได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนนี้อีกต่อไป และโดยประการต่าง ๆ โจทก์ร่วมย่อมมีความกลัวอยู่
เป็นธรรมดาจนกระท่ังนาย ส. บิดาเล้ียงบอกกับโจทก์ร่วมว่าเด็กชาย อ. เล่าเรื่องให้ฟังหมดแล้ว
โจทก์ร่วมจึงยอมรับและยินยอมให้แพทย์ทำการตรวจร่างกาย ผลการตรวจก็ปรากฏว่าพบบาดแผล
ฉีกขาดที่เยื่อพรหมจรรย์ ขนาด ๐.๐๓ เซนติเมตร กับโจทก์และโจทก์ร่วมมีแพทย์หญิง ป.
เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ร่วมแจ้งแก่พยานว่าโจทก์ร่วมถูกคุณครูชำเราในโรงเรียนตอนเย็น
นอกจากน้ีโจทก์และโจทก์ร่วมยังมีเด็กชาย อ. เป็นพยานแวดล้อมหลังเกิดเหตุเบิกความว่า
พยานเห็นจำเลยน่ังคร่อมโจทก์ร่วมซ่ึงนอนอยู่ เห็นจำเลยถอดกางเกงลงเหลือในระดับเข่า
เมอ่ื โจทกร์ ว่ มและจำเลยเหน็ พยานจงึ ลกุ ขนึ้ แลว้ โจทกร์ ว่ มเดนิ มาหาพยานจงึ ชกั ชวนกนั ลงมาจากชน้ั สาม
พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีน้ำหนักม่ันคงฟังได้ว่าจำเลยกระทำชำเราโจทก์ร่วมจริง
ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า โจทก์ร่วมเป็นลมและเข้าไปช่วยเหลือพยาบาล โดยวิธีใช้มือสะกิดตรงขา
และแขนโจทก์ร่วมให้ต่ืนแล้วจับโจทก์ร่วมให้นอนหงายกับพ้ืนให้ขาเหยียดตรง แต่เด็กชาย ย.
และเด็กหญิง น. พยานจำเลยกลับเบิกความว่า จำเลยใช้ยาดมปฐมพยาบาลให้แก่โจทก์ร่วม
ข้อนำสืบของจำเลยว่าโจทก์ร่วมเป็นลมและจำเลยเข้าปฐมพยาบาลเท่านั้นจึงไม่มีน้ำหนักหักล้าง
พยานหลักฐานโจทก์ได้ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ข้ึน พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในช้ันอุทธรณ
์
ให้เปน็ พบั
จำเลยฎกี า
ศาลฎกี าตรวจสำนวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ ฎกี าของจำเลยทวี่ า่ จำเลยไมไ่ ดก้ ระทำชำเราโจทกร์ ว่ ม
พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนักน้อยและยังมีข้อพิรุธควรยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ให้แก่จำเลยน้ัน เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซ่ึงศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง
108 คำพิพากษาศาลฎีกา
ดงั กลา่ วไวช้ อบดว้ ยเหตผุ ลแลว้ ศาลฎกี าไมร่ บั คดไี วพ้ จิ ารณาพพิ ากษา ตามพระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม
มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง แต่ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๕ น้ัน เห็นว่า คำว่า ศิษย์ซ่ึงอยู่ในความดูแลตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๕ ต้องตีความโดยเคร่งครัด ซึ่งความหมายของถ้อยคำดังกล่าวมิได
้
หมายถึงเฉพาะผู้ที่มีความสัมพันธ์ในฐานะครูหรืออาจารย์ซ่ึงมีหน้าที่สอนศิษย์เท่านั้น แต่ครูหรือ
อาจารย์น้ันต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแลปกป้องรักษาตัวศิษย์ และกระทำความผิดตามที่กฎหมาย
บัญญัติต่อศิษย์ในระหว่างมีหน้าท่ีดังกล่าวด้วย คดีน้ีจำเลยเป็นเพียงครูสอนวิชาพลศึกษาโรงเรียน
ท่ีเกิดเหตุ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยสอนหรือเคยสอนในช้ันเรียนท่ีโจทก์ร่วมศึกษา ทั้งจำเลยมิได้เป็น
ครูใหญ่ซ่ึงมีหน้าท่ีดูแลรับผิดชอบนักเรียนทั้งโรงเรียน ส่วนท่ีโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า จำเลย
เป็นผู้แจ้งให้โจทก์ร่วมไปแข่งกีฬาแทนนักเรียนคนอื่น ก็ยังไม่อาจรับฟังได้ถึงขนาดที่ว่าจำเลย
เป็นครูเวรหรือได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ดูแลโจทก์ร่วมในขณะเกิดเหตุ ซ่ึงเป็นช่วงเวลาภายหลัง
จากการแขง่ กฬี าทโ่ี รงเรยี นเทศบาล ก. เสรจ็ สน้ิ และโจทกร์ ว่ มเดนิ ทางกลบั ไปทโี่ รงเรยี นทเ่ี กดิ เหตแุ ลว้
ดังนี้ เม่ือพยานหลักฐานของโจทกแ์ ละโจทกร์ ่วมยงั ฟังไม่ไดว้ ่าจำเลยมหี น้าท่ตี อ้ งควบคุมดูแลปกป้อง
รักษาโจทก์ร่วมหรือไม่ เพียงใด แม้จำเลยกระทำชำเราโจทก์ร่วมก็มิใช่การกระทำต่อศิษย์ซ่ึงอยู่ใน
ความดแู ลอนั จะทำใหต้ อ้ งรบั โทษหนกั ขนึ้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๕ ทศ่ี าลลา่ งทง้ั สอง
ปรบั บทลงโทษจำเลยตามบทมาตราดงั กลา่ ว จงึ เปน็ การไมช่ อบ ปญั หาดงั กลา่ วเปน็ ปญั หาขอ้ กฎหมาย
เก่ียวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกข้ึนวินิจฉัย
และแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง
ประกอบดว้ ยมาตรา ๒๒๕ และเมอ่ื วนิ จิ ฉยั ดงั กลา่ วแลว้ จงึ เหน็ ควรกำหนดโทษเสยี ใหม่ ใหเ้ หมาะสม
แกพ่ ฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลย
อน่ึง คดีน้ีโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและแต่งต้ังทนายความ
เข้ามาว่าว่าต่างคดีเอง แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งในเร่ืองความรับผิดของคู่ความในค่าฤชาธรรมเนียม
ศาลฎกี าเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกตอ้ ง
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จำเลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๗ วรรคสาม (เดมิ )
จำคุก ๙ ปี ลดโทษให้หน่งึ ในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคกุ ๖ ปี นอกจากที่
แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งในศาลช้ันต้นและ
ช้นั ฎีกาใหเ้ ป็นพับ.
สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายสารสนเทศ
สำนกั งานวชิ าการ
อยั การนเิ ทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
109
คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๘๙๖๑/๒๕๖๑
พ.ร.บ. ฟืน้ ฟสู มรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ (มาตรา ๑๙)
โจทกฟ์ อ้ งวา่ จาํ เลยเสพเมทแอมเฟตามนี อนั เปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท ๑ จาํ นวน ๑ เมด็
โดยวิธีสูดดมควันเข้าสู่ร่างกาย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขณะจําเลยถูกจับกุมดําเนินคดี
ในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
จําเลยยังถูกแจ้งข้อหาดําเนินคดีในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ตาม
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติฟ้ืนฟูสมรรถภาพ
ผู้ติดยาเสพตดิ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ ต่อมาโจทก์มีคําสัง่ เดด็ ขาดไมฟ่ อ้ งจาํ เลยเฉพาะข้อหา
ความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนในภายหลัง เห็นว่า ตามมาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง
ตอนท้ายแหง่ พระราชบัญญัติฟ้นื ฟูสมรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ ไดก้ ําหนดข้อยกเวน้
กรณตี า่ ง ๆ เอาไวท้ ที่ าํ ใหพ้ นกั งานสอบสวนไมต่ อ้ งนาํ ตวั ผตู้ อ้ งหาไปศาลเพอ่ื มคี าํ สง่ั ใหส้ ง่ ตวั ผนู้ น้ั
ไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดภายในส่ีสิบแปดชั่วโมง เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยหรือ
มีเหตุจําเป็นอย่างอื่นที่เกิดจากตัวผู้ต้องหานั้นเอง เฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากพฤติการณ
์
ท่ีเปลี่ยนแปลงไปซ่ึงทําให้ไม่อาจนําตัวผู้ต้องหาไปศาลภายในกําหนดเวลาดังกล่าวได้
ซ่ึงในกรณีหลังนี้เอง เป็นเรื่องที่กฎหมายเปิดกว้างเอาไว้โดยมีเจตนารมณ์จะให้ผู้เสพยาเสพติด
ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ ผปู้ ว่ ยมโี อกาสเขา้ สกู่ ระบวนการบาํ บดั รกั ษาและฟนื้ ฟตู ามขน้ั ตอนทกี่ ฎหมายกาํ หนด
โดยท่ัวถึง ซ่ึงในตอนแรกอาจมีพฤติการณ์บางอย่างที่ทําให้ผู้ติดยาเสพติดเหล่าน้ันไม่อาจเข้าสู่
กระบวนการของกฎหมายได้ เช่น ถูกแจ้งข้อกล่าวหาท่ีไม่ถูกต้องสมควรกับความผิดท่ีได้กระทํา
ดังเช่นท่ีเกิดข้ึนกับคดีนี้ในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีน ซึ่งในท่ีสุดโจทก์
กม็ คี าํ สง่ั เดด็ ขาดไมฟ่ อ้ งคดี เทา่ กบั โดยสาระแลว้ จาํ เลยถกู กลา่ วหาวา่ เปน็ ผเู้ สพเมทแอมเฟตามนี
เพียงอย่างเดียวเท่าน้ัน มิได้เป็นผู้ท่ีถูกดําเนินคดีในความผิดฐานอ่ืนซึ่งเป็นความผิดท่ีมีโทษ
จาํ คกุ อกี ต่อไป จําเลยจงึ เปน็ ผปู้ ่วยซ่งึ อยใู่ นเงอ่ื นไขของกฎหมายทีจ่ ะตอ้ งเข้าสกู่ ระบวนการฟื้นฟู
สมรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพตดิ อยา่ งแทจ้ รงิ การมคี าํ สง่ั ไมฟ่ อ้ งคดใี นความผดิ ฐานอนื่ ของโจทกท์ เ่ี กดิ ขน้ึ
ในภายหลังเช่นนี้ เข้าลักษณะของพฤติการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงไปทำให้ไม่อาจนำตัวจำเลยไปศาล
เพื่อมีคำส่ังให้ส่งตัวไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดได้ทันภายในส่ีสิบแปดช่ัวโมง
นับแต่เวลาที่จำเลยมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนดังท่ีกฎหมายบัญญัติแล้ว ประกอบกับ
ในขณะทโี่ จทกย์ นื่ ฟอ้ งคดโี จทกท์ ราบดถี งึ พฤตกิ ารณท์ เ่ี ปลยี่ นแปลงไปดงั กลา่ ว เทา่ กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ
ปรากฏแก่โจทก์แล้วว่าจําเลยมิได้ต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดําเนินคดีในความผิดฐานอื่น
ซ่ึงเป็นความผิดที่มีโทษจําคุก กรณีย่อมเป็นหน้าท่ีของโจทก์หรือพนักงานสอบสวนจะต้องนําตัว
จาํ เลยไปยงั ศาลชน้ั ตน้ เพอ่ื พจิ ารณามคี าํ สง่ั ใหส้ ง่ ตวั ไปตรวจพสิ จู นก์ ารเสพหรอื การตดิ ยาเสพตดิ ตอ่ ไป
เม่ือโจทก์มิได้ปฏิบัติตามข้ันตอนของบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวเสียก่อน โจทก์จึงไม่มี
อาํ นาจฟอ้ ง
______________________________
110 คำพิพากษาศาลฎีกา
{
พนักงานอัยการคดศี าลแขวงสพุ รรณบุร ี โจทก์
ระหว่าง
นาย ก. จำเลย
โจทกฟ์ อ้ งวา่ เมอ่ื ระหวา่ งวนั ที่ ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๕๘ เวลากลางวนั ถงึ วนั ที่ ๓ กนั ยายน ๒๕๕๘
เวลากลางวนั ตอ่ เนอ่ื งกนั วนั เวลาใดไมป่ รากฏชดั จาํ เลยเสพเมทแอมเฟตามนี อนั เปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ
ในประเภท ๑ จาํ นวน ๑ เมด็ โดยวธิ สี ดู ดมควนั เขา้ สรู่ า่ งกาย อนั เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมายระหวา่ งสอบสวน
จําเลยถูกดําเนินคดีอ่ืนข้อหาเป็นผู้ขับข่ีเสพเมทแอมเฟตามีน จึงไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัต
ิ
ฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ ต่อมาอัยการสูงสุดมีคําส่ังเด็ดขาด
ไม่ฟ้องจําเลยข้อหาเป็นผู้ขับข่ีเสพเมทแอมเฟตามีน และมีคําสั่งอนุญาตให้ฟ้องจําเลย ก่อนคดีนี้
เมอ่ื วนั ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๗ จาํ เลยตอ้ งคาํ พพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ใหจ้ าํ คกุ ๖ เดอื น และปรบั ๑๐,๐๐๐ บาท
โทษจําคุกรอการลงโทษไว้ ๒ ปี ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ๑๒๓๓/๒๕๕๗ ของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี จาํ เลยกระทาํ ความผดิ
ในคดีนภ้ี ายในเวลาทีร่ อการลงโทษ ขอใหล้ งโทษตามพระราชบัญญตั ิยาเสพตดิ ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๔, ๗, ๘, ๕๗, ๙๑ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ บวกโทษของจาํ เลยท่รี อการลงโทษ
ไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ๑๒๓๓/๒๕๕๗ ของศาลจังหวดั สุพรรณบรุ ี เขา้ กบั โทษในคดนี ้
ี
จําเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบคุ คลคนเดยี วกับจาํ เลยในคดที โี่ จทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗, ๙๑ จาํ คกุ ๖ เดอื น จาํ เลยใหก้ ารรบั สารภาพเปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณา
มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ก่ึงหนึ่ง คงจําคุก ๓ เดือน
บวกโทษจําคุก ๖ เดือน ท่ีรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ๑๒๓๓/๒๕๕๗ ของ
ศาลจงั หวัดสพุ รรณบุรี เข้ากบั โทษในคดีนี้เปน็ จาํ คุก ๔ เดือน
จําเลยอทุ ธรณ์
ศาลอทุ ธรณแ์ ผนกคดยี าเสพตดิ พิพากษากลับ ใหย้ กฟอ้ ง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนญุ าตจากศาลฎกี า
ศาลฎีกาตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียง
ข้อเดียวว่า โจทก์มีอํานาจฟ้องจําเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามฎีกาของโจทก์ซ่ึงจําเลยมิได
้
แก้ฎีกาว่า ขณะจําเลยถูกจับกุมดําเนินคดีในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติ
ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ จําเลยยังถูกแจ้งข้อหาดําเนินคดีในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่
เสพเมทแอมเฟตามีน ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ต่อมาโจทก์มีคําสั่งเด็ดขาด
ไม่ฟ้องจําเลยเฉพาะข้อหาความผิดฐานเป็นผู้ขับข่ีเสพเมทแอมเฟตามีนในภายหลัง ท่ีโจทก์ฎีกาว่า
อัยการสูงสุดมีอํานาจอนุญาตให้โจทก์ฟ้องจําเลยเฉพาะในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนตามท่ีได้มีการ
สอบสวนแล้วต่อไปได้ โดยไม่ต้องย้อนกระบวนการกลับไปเพ่ือให้มีการส่งตัวจําเลยไปตรวจพิสูจน์
การเสพและการติดยาเสพติดตามพระราชบัญญัติฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง อีกครั้งหนึ่ง เน่ืองจากคําส่ังเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีของโจทก์ย่อมไม่มีผลลบล้าง
ข้อเท็จจริงที่ว่าขณะจําเลยต้องหาว่ากระทําความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จําเลยยังถูกแจ้ง
อัยการนเิ ทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
111
ข้อหาดําเนินคดีฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนท่ีเป็นความผิดฐานอื่นซึ่งมีโทษจําคุกอยู่ด้วย
ทําให้ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะต้องส่งตัวจําเลยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดนั้น
เห็นว่า ตามมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่งตอนท้ายแห่งพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้กําหนดข้อยกเว้นกรณีต่าง ๆ เอาไว้ท่ีทําให้พนักงานสอบสวนไม่ต้องนําตัวผู้ต้องหา
ไปศาลเพื่อมีคําสั่งให้ส่งตัวผู้นั้นไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดภายในส่ีสิบแปดช่ัวโมง
เน่ืองจากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจําเป็นอย่างอ่ืนที่เกิดจากตัวผู้ต้องหานั้นเอง เฉพาะอย่างยิ่ง
เนอื่ งจากพฤตกิ ารณท์ เ่ี ปลย่ี นแปลงไปซง่ึ ทาํ ใหไ้ มอ่ าจนาํ ตวั ผตู้ อ้ งหาไปศาลภายในกาํ หนดเวลาดงั กลา่ วได้
ซึ่งในกรณีหลังนี้เอง เป็นเรื่องที่กฎหมายเปิดกว้างเอาไว้โดยมีเจตนารมณ์จะให้ผู้เสพยาเสพติด
ซึ่งถือว่าเป็นผู้ป่วยมีโอกาสเข้าสู่กระบวนการบําบัดรักษาและฟ้ืนฟูตามขั้นตอนที่กฎหมายกําหนด
โดยทั่วถึง ซ่ึงในตอนแรกอาจมีพฤติการณ์บางอย่างท่ีทําให้ผู้ติดยาเสพติดเหล่าน้ันไม่อาจเข้าสู่
กระบวนการของกฎหมายได้ เช่น ถูกแจ้งข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้องสมควรกับความผิดท่ีได้กระทํา
ดงั เชน่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั คดนี ใ้ี นความผดิ ฐานเปน็ ผขู้ บั ขเ่ี สพเมทแอมเฟตามนี ซง่ึ ในทส่ี ดุ โจทกก์ ม็ คี าํ สง่ั เดด็ ขาด
ไมฟ่ อ้ งคดี เทา่ กบั โดยสาระแลว้ จาํ เลยถกู กลา่ วหาวา่ เปน็ ผเู้ สพเมทแอมเฟตามนี เพยี งอยา่ งเดยี วเทา่ นน้ั
มไิ ดเ้ ปน็ ผทู้ ถี่ กู ดาํ เนนิ คดใี นความผดิ ฐานอนื่ ซง่ึ เปน็ ความผดิ ทมี่ โี ทษจาํ คกุ อกี ตอ่ ไป จาํ เลยจงึ เปน็ ผปู้ ว่ ย
ซึ่งอยู่ในเง่ือนไขของกฎหมายท่ีจะต้องเข้าสู่กระบวนการฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดอย่างแท้จริง
การมคี าํ สงั่ ไมฟ่ อ้ งคดใี นความผดิ ฐานอน่ื ของโจทกท์ เ่ี กดิ ขนึ้ ในภายหลงั เชน่ นี้ เขา้ ลกั ษณะของพฤตกิ ารณ
์
ท่ีเปล่ียนแปลงไปทำให้ไม่อาจนำตัวจำเลยไปศาลเพื่อมีคำสั่งให้ส่งตัวไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการ
ติดยาเสพติดได้ทันภายในสี่สิบแปดช่ัวโมง นับแต่เวลาที่จำเลยมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวน
ดังท่ีกฎหมายบัญญัติแล้ว ประกอบกับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีโจทก์ทราบดีถึงพฤติการณ์ท่ี
เปลย่ี นแปลงไปดงั กลา่ ว เทา่ กบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏแกโ่ จทกแ์ ลว้ วา่ จาํ เลยมไิ ดต้ อ้ งหาหรอื อยใู่ นระหวา่ ง
ถูกดําเนินคดีในความผิดฐานอ่ืนซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจําคุก กรณีย่อมเป็นหน้าท่ีของโจทก์หรือ
พนกั งานสอบสวนจะตอ้ งนาํ ตวั จาํ เลยไปยงั ศาลชน้ั ตน้ เพอ่ื พจิ ารณามคี าํ สง่ั ใหส้ ง่ ตวั ไปตรวจพสิ จู นก์ ารเสพ
หรอื การตดิ ยาเสพตดิ ตอ่ ไป เมอื่ โจทกม์ ไิ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามขนั้ ตอนของบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายดงั กลา่ วเสยี กอ่ น
โจทกจ์ งึ ไมม่ อี าํ นาจฟอ้ ง ทศ่ี าลอทุ ธรณพ์ พิ ากษามานนั้ ศาลฎกี าเหน็ พอ้ งดว้ ย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึน้
พพิ ากษายนื .
สำนกั งานอยั การพิเศษฝ่ายสารสนเทศ
สำนักงานวิชาการ
หมายเหต
ุ
คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ ได้หยิบยกกรณีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ
ในความผดิ ฐานอน่ื แตย่ งั คงดำเนนิ คดใี นความผดิ ตามพระราชบญั ญตั ฟิ น้ื ฟสู มรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพตดิ
พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๑๙ น้ัน ว่าเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปซ่ึงไม่อาจนำตัวผู้ต้องหา
ไปศาลภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๙ ได้ อันเป็นข้อยกเว้นท่ีทำให้พนักงานสอบสวนสามารถ
นำตัวผู้ต้องหาไปยังศาลชั้นต้นเพ่ือพิจารณามีคำสั่งให้ส่งตัวไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติด
ยาเสพตดิ ได้ โดยไมอ่ ยใู่ นบงั คบั ของกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๙ และตอ่ มาไดม้ คี ำพพิ ากษาศาลฎกี า
ที่ ๕๖๓/๒๕๖๒, ๕๖๔/๒๕๖๒, ๕๖๗/๒๕๖๒, ๕๖๘/๒๕๖๒, ๗๕๖/๒๕๖๒ และ ๒๐๒๒/๒๕๖๒
วินจิ ฉยั ไวใ้ นทำนองเดยี วกนั
112 คำพิพากษาศาลฎกี า
คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ ๓๒๐/๒๕๖๒
ป.ว.ิ อ. บรรยายฟ้อง, พพิ ากษาไมเ่ กินคำขอ (มาตรา ๑๕๘, ๑๙๒)
ป.อ. ใช้กำลงั ประทษุ รา้ ย, เจตนาเล็งเห็นผล, ชงิ ทรพั ย์ (มาตรา ๑ (๖), ๕๙, ๓๓๙)
ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ บญั ญตั ใิ หฟ้ อ้ งตอ้ งทำเปน็ หนงั สอื
และมี... (๕) การกระทำท้ังหลายท่ีอ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด... ซึ่งในความผิดฐานชิงทรัพย์น้ัน
การกระทำท่ีเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กำลังประทุษร้ายเป็น
องค์ประกอบอย่างหน่ึง โจทก์จึงอยู่ในบังคับท่ีจะต้องบรรยายฟ้องให้เห็นถึงการกระทำของ
จำเลยทงั้ สองวา่ จำเลยทง้ั สองกระทำการอยา่ งใด อนั จะเปน็ การใชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ย หรอื ขเู่ ขญ็ วา่
ในทันใดน้ันจะใช้กำลังประทุษร้ายท่ีโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษ เมื่อคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้อง
แต่เพียงว่า จำเลยท้ังสองร่วมกันลักกระเป๋าสะพายของผู้เสียหาย โดยใช้กำลังประทุษร้าย
กระชากเอากระเป๋าดังกล่าว ผู้เสียหายดึงย้ือแย่งไว้แต่จำเลยท้ังสองร่วมกันกระชากอย่างแรง
ขณะผู้เสียหายอยู่บนรถจักรยาน อันเป็นการใช้แรงกายภาพกระทำต่อผู้เสียหาย ดังน้ัน
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ ๑ ตะโกนใส่ผู้เสียหายจนตกใจ ถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่า
ในทนั ใดนน้ั จะใชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ย และการทจ่ี ำเลยท่ี ๑ เรง่ เครอ่ื งรถจกั รยานยนตเ์ พอื่ ขบั หลบหนี
จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายและรถจักรยานล้มลงเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพ่ือให้ความสะดวก
แก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป อันเป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์นั้น จึงเป็นการ
นำข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำทั้งหลายท่ีโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดมาขอให้ศาล
ลงโทษจำเลยทั้งสอง และเป็นการขอให้ศาลพิพากษาในข้อท่ีมิได้กล่าวมาในฟ้อง ต้องห้าม
ตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคหนง่ึ
การกระทำโดยเล็งเห็นผลหมายความว่า ผลนั้นจะเกิดข้ึนได้อย่างแน่นอนเท่าที่บุคคล
ในภาวะเช่นน้ันจะเล็งเห็นได้ มิใช่เพียงเล็งเห็นว่าผลน้ันอาจเกิดข้ึนได้ การที่จำเลยท้ังสอง
ร่ ว ม กั น ก ร ะ ช า ก ก ร ะ เ ป๋ า ส ะ พ า ย ข อ ง ผู้ เ สี ย ห า ย อ ย่ า ง แ ร ง เ ป็ น เ พี ย ง วิ ธี ก า ร เ อ า ท รั พ ย
์
ของผู้เสียหายไปเท่าน้ัน รถจักรยานอาจจะล้มหรือไม่ก็ได้ ดังน้ัน แม้รถจักรยานของผู้เสียหาย
จะล้มลงก็เป็นผลมาจากแรงกระชากกระเป๋าของจำเลยที่ ๒ หาใช่จำเลยท้ังสองกระทำโดย
มีเจตนาเล็งเห็นผลที่จะใช้กำลังประทุษร้ายแก่ผู้เสียหายแต่อย่างใด ท้ังผู้เสียหายก็ไม่ม
ี
บาดแผลจากการล้มลงปรากฏให้เห็น ประกอบกับโจทก์บรรยายฟ้องว่า แรงกายภาพท่ีจำเลย
ท้ังสองร่วมกันกระทำนั้น ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้เสียหาย
สภาพเช่นนี้จึงยังไม่พอให้ถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายตามความหมายของประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๖) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์
ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด ไม่เป็นความผิดฐานร่วมกัน
ชงิ ทรัพย
์
_____________________________
อัยการนิเทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
113
{
พนกั งานอัยการจงั หวดั เชียงใหม่ โจทก์
ระหวา่ ง
นาย อ. ที่ ๑
จำเลย
นาย จ. ที่ ๒
โจทก์ฟ้องว่า เม่ือวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสองร่วมกัน
ลกั กระเปา๋ สะพายแบบกนั น้ำสสี ม้ ๑ ใบ ซงึ่ ภายในบรรจุหนังสือเดินทาง ๑ เล่ม ธนบัตรรฐั บาลไทย
๑๐,๐๐๐ บาท บัตรเอทีเอ็มของธนาคารในประเทศสหรัฐอเมริกา ๑ ใบ หนังสือสารคดี ๑ เล่ม
กรรไกร ๑ เล่ม และเงินดอลลาร์สหรัฐ ๒๐ ดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทย ๗๐๐ บาท รวมราคา
๑๐,๗๐๐ บาท ของนาง ซ. ผู้เสียหายไป โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายกระชาก
เอากระเป๋าดังกล่าวที่วางอยู่ในตะกร้าหน้ารถจักรยานท่ีผู้เสียหายขี่ ผู้เสียหายดึงยื้อแย่งไว้แต่
จำเลยท้ังสองร่วมกันกระชากอย่างแรงขณะผู้เสียหายอยู่บนรถจักรยาน อันเป็นการใช้แรงกายภาพ
กระทำต่อผู้เสียหาย เป็นเหตุให้รถจักรยานและผู้เสียหายล้มลงแต่ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหาย
ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ท้ังน้ี เพ่ือให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป
ให้ย่ืนให้ซึ่งทรัพย์น้ัน ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ หรือให้พ้นจากการจับกุม โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันใช
้
รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพ่ือกระทำผิดดังกล่าวหรือพาทรัพย์น้ันไปหรือเพ่ือให้พ้นจากการ
จับกุม เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองพร้อมกับยึดธนบัตรรัฐบาลไทยฉบับละ ๑,๐๐๐ บาท ๔ ฉบับ
รวมเป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท จากผู้มีช่ือท่ีรับมาจากจำเลยท้ังสอง ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหน่ึงของ
ผู้เสียหายท่ีจำเลยท้ังสองร่วมกันชิงเอาไปเป็นของกลาง ของกลางพนักงานสอบสวนดำเนินการ
ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๘๕ แลว้ ขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๘๓, ๓๓๙, ๓๔๐ ตรี ใหจ้ ำเลยทง้ั สองคืนหรือใชร้ าคากระเป๋าสะพายแบบกันน้ำสสี ้ม ๑ ใบ
หนงั สอื เดนิ ทาง ๑ เลม่ ธนบตั รรฐั บาลไทย ๖,๐๐๐ บาท บตั รเอทเี อม็ ของธนาคารในประเทศสหรฐั อเมรกิ า
๑ ใบ หนังสือสารคดี ๑ เล่ม กรรไกร ๑ เล่ม และเงินดอลลาร์สหรัฐ ๒๐ ดอลลาร์ รวมเป็นเงิน
๖,๗๐๐ บาท ใหแ้ กผ่ เู้ สียหาย
จำเลยทงั้ สองใหก้ ารปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง (ท่ีถูก มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง (เดิม)) ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี, ๘๓
ขณะกระทำความผิดจำเลยท้ังสองอายุ ๑๙ ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหน่ึงตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ จำคกุ คนละ ๗ ปี ๖ เดอื น คำใหก้ ารช้ันสอบสวนเป็นประโยชน์
แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘
คงจำคุกคนละ ๕ ปี ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคากระเป๋าสะพายแบบกันน้ำสีส้ม ๑ ใบ
หนังสือเดินทาง ๑ เล่ม ธนบัตรรัฐบาลไทย ๖,๐๐๐ บาท บัตรเอทีเอ็มของธนาคารใน
ประเทศสหรัฐอเมริกา ๑ ใบ หนังสือสารคดี ๑ เล่ม กรรไกร ๑ เล่ม และเงินดอลลาร์สหรัฐ
๒๐ ดอลลาร์ รวมเป็นเงิน ๖,๗๐๐ บาท แก่ผ้เู สยี หาย
จำเลยทง้ั สองอุทธรณ
์
114 คำพิพากษาศาลฎีกา
ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๕ พพิ ากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓๕ (๑) (๗) วรรคสอง (เดมิ ) ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทว,ิ ๘๓ ลดมาตราสว่ นโทษให้ก่งึ หนงึ่
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ จำคุกคนละ ๓ ปี เมือ่ ลดโทษใหห้ น่ึงในสามตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แล้ว คงจำคุกคนละ ๒ ปี นอกจากท่ีแก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา
ศาลช้นั ตน้
โจทกฎ์ กี า
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชมุ ปรกึ ษาแล้ว ข้อเทจ็ จริงทคี่ ู่ความไม่ไดโ้ ต้แย้งกันในชน้ั ฎีการับฟัง
เป็นยตุ ิวา่ ในวันเวลาเกิดเหตุ ขณะทน่ี างสาว ซ. ผู้เสียหาย กำลังขร่ี ถจกั รยานกลบั ทีพ่ กั จำเลยท่ี ๑
ขับรถจักรยานยนต์โดยมีจำเลยท่ี ๒ น่ังซ้อนท้าย ประกบด้านข้างรถจักรยานของผู้เสียหายแล้ว
จำเลยที่ ๒ ใชม้ อื กระชากกระเปา๋ สะพายสสี ม้ ซง่ึ ภายในบรรจหุ นงั สอื เดนิ ทาง ๑ เลม่ ธนบตั รรฐั บาลไทย
๑๐,๐๐๐ บาท บัตรเอทีเอ็มของธนาคารในประเทศสหรัฐเมริกา ๑ ใบ หนังสือสารคดี ๑ เล่ม
กรรไกร ๑ เล่ม และเงินดอลลาร์สหรัฐ ๒๐ ดอลลาร์ ของผู้เสียหายไป คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัย
ตามฎกี าของโจทกว์ า่ การกระทำของจำเลยทงั้ สองเปน็ ความผดิ ฐานรว่ มกนั ชงิ ทรพั ยใ์ นเวลากลางคนื
โดยใช้ยานพาหนะหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบได้ความว่า ก่อนท่ีจำเลยที่ ๒
จะกระชากกระเป๋าสะพายของผู้เสียหาย จำเลยที่ ๑ ตะโกนใส่ผู้เสียหายจนตกใจ ถือได้ว่าเป็น
การขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กำลังประทุษร้าย และการท่ีจำเลยที่ ๑ เร่งเคร่ืองรถจักรยานยนต
์
เพ่ือขับหลบหนี จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายและรถจักรยานล้มลงเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้
ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์น้ันไป อันเป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์แล้วน้ัน
เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ บัญญัติให้ฟ้องต้องทำเป็น
หนงั สอื และม.ี .. (๕) การกระทำทง้ั หลายทอี่ า้ งวา่ จำเลยไดก้ ระทำผดิ ... ซง่ึ ในความผดิ ฐานชงิ ทรพั ยน์ น้ั
การกระทำท่ีเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้กำลังประทุษร้าย
เป็นองค์ประกอบอย่างหน่ึง โจทก์จึงอยู่ในบังคับท่ีจะต้องบรรยายฟ้องให้เห็นถึงการกระทำ
ของจำเลยทง้ั สองวา่ จำเลยทง้ั สองกระทำการอยา่ งใด อนั จะเปน็ การใชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ย หรอื ขเู่ ขญ็ วา่
ในทนั ใดนน้ั จะใชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ยทโ่ี จทกป์ ระสงคจ์ ะใหล้ งโทษ เมอื่ คดนี โ้ี จทกบ์ รรยายฟอ้ งแตเ่ พยี งวา่
จำเลยทง้ั สองรว่ มกนั ลกั กระเปา๋ สะพายของผเู้ สยี หาย โดยใชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ยกระชากเอากระเปา๋ ดงั กลา่ ว
ผู้เสียหายดึงยื้อแย่งไว้แต่จำเลยทั้งสองร่วมกันกระชากอย่างแรงขณะผู้เสียหายอยู่บนรถจักรยาน
อันเป็นการใช้แรงกายภาพกระทำต่อผู้เสียหาย ดังน้ัน ที่โจทก์ฎีกาว่า การท่ีจำเลยที่ ๑ ตะโกนใส
่
ผู้เสยี หายจนตกใจ ถอื ไดว้ า่ เปน็ การขเู่ ขญ็ วา่ ในทันใดน้ันจะใชก้ ำลังประทุษร้าย และการทีจ่ ำเลยที่ ๑
เร่งเคร่ืองรถจักรยานยนต์เพื่อขับหลบหนี จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายและรถจักรยานล้มลงเป็นการ
ใช้กำลังประทุษร้ายเพ่ือให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์น้ันไป อันเป็นความผิด
ฐานรว่ มกนั ชงิ ทรพั ยน์ น้ั จงึ เปน็ การนำขอ้ เทจ็ จรงิ ซงึ่ มใิ ชก่ ารกระทำทง้ั หลายทโี่ จทกอ์ า้ งวา่ จำเลยทง้ั สอง
ได้กระทำผิดมาขอให้ศาลลงโทษจำเลยท้ังสอง และเป็นการขอให้ศาลพิพากษาในข้อท่ีมิได้กล่าว
มาในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคหน่ึง
ซ่ึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การท่ีจำเลยท้ังสองร่วมกัน
กระชากกระเป๋าสะพายของผู้เสียหายอย่างแรง จำเลยท้ังสองย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให ้
รถจักรยานท่ีผู้เสียหายขับล้มลงและผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ถือว่าเป็นการใช้กำลัง
อยั การนเิ ทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
115
ประทษุ ร้ายนัน้ เหน็ ว่า การกระทำโดยเล็งเห็นผลนน้ั หมายความว่า ผลนนั้ จะเกิดขน้ึ ได้อยา่ งแน่นอน
เท่าท่ีบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้ มิใช่เพียงเล็งเห็นว่าผลน้ันอาจเกิดข้ึนได้ การกระทำ
ของจำเลยท้ังสองดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเท่าน้ัน รถจักรยานอาจจะล้ม
หรือไม่ก็ได้ ดังนั้น แม้รถจักรยานของผู้เสียหายจะล้มลงก็เป็นผลมาจากแรงกระชากกระเป๋า
ของจำเลยท่ี ๒ หาใช่จำเลยท้ังสองกระทำโดยมีเจตนาเล็งเห็นผลท่ีจะใช้กำลังประทุษร้าย
แก่ผู้เสียหายแต่อย่างใด ทั้งผู้เสียหายก็ไม่มีบาดแผลจากการล้มลงปรากฏให้เห็น ประกอบกับโจทก์
บรรยายฟอ้ งวา่ แรงกายภาพทจ่ี ำเลยทง้ั สองรว่ มกนั กระทำนน้ั ไมถ่ งึ กบั เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ อนั ตรายแกก่ าย
หรือจิตใจของผู้เสียหาย สภาพเช่นน้ี จึงยังไม่พอให้ถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายตาม
ความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๖) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ เห็นว่าการกระทำ
ของจำเลยท้ังสองเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวก
แกก่ ารกระทำผิด ไม่เป็นความผิดฐานร่วมกนั ชงิ ทรัพยน์ น้ั ชอบแล้ว ฎกี าของโจทก์ในขอ้ น้ีฟงั ไม่ขึ้น
พพิ ากษายนื .
สำนักงานอยั การพิเศษฝ่ายสารสนเทศ
สำนกั งานวิชาการ
116 คำพพิ ากษาศาลฎกี า
คำ� พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ
อัยการนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒ 159
158 หนังสอื เวยี น
คำพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๑๕๐/๒๕๖๒
ป.พ.พ. ละเมิด (มาตรา ๔๒๐)
พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมดิ ของเจา้ หนา้ ที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (มาตรา ๕)
พ.ร.บ. ปา่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ (มาตรา ๑๔, ๓๑)
พ.ร.บ. ป่าไม้ พุทธศกั ราช ๒๔๘๔ (มาตรา ๔)
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้
พุทธศักราช ๒๔๘๔ และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ การใช้อํานาจของ
ผถู้ ูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถกู ฟอ้ งคดที ่ี ๔ ในการดําเนินการเขา้ ตรวจสอบ จับกมุ และยึดของกลาง
เม่ือได้รับรายงานว่ามีการกระทําความผิดตามกฎหมายดังกล่าวขึ้น เป็นการใช้อํานาจตาม
มาตรา ๓๑ วรรคหน่งึ ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัตปิ า่ สงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
ผู้ฟ้องคดีไม่อาจฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าท่ีท่ีได้กระทํา
ในการปฏบิ ตั หิ น้าท่ไี ด้ ผูฟ้ อ้ งคดตี อ้ งฟ้องหนว่ ยงานของรัฐทผี่ ้ถู กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ถึงผถู้ ูกฟอ้ งคดีท่ี ๔
สังกัดอยู่ ซ่ึงก็คือ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๕ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๗ โดยตรง ท้ังน้ี ตามมาตรา ๕
แห่งพระราชบญั ญัติความรบั ผิดทางละเมดิ ของเจา้ หนา้ ท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
การทน่ี าย ซ. กบั พวกซงึ่ เปน็ ลกู จา้ งของผฟู้ อ้ งคดบี รรทกุ ไมย้ างพาราจากทด่ี นิ ของนาง น.
บริเวณท้องท่ีหมู่ที่ ๘ ตำบลปากล่อ และรอยต่อกับหมู่ท่ี ๕ ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์
จังหวัดปัตตานี ซึ่งเม่ือทําการตรวจหาค่าพิกัดบริเวณดังกล่าวโดยใช้เคร่ืองหาค่าพิกัดตําแหน่ง
บนพื้นโลกด้วยดาวเทียม (จีพีเอส) พบว่าบริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตพ้ืนที่ป่าไม้ถาวร
ตามมติคณะรัฐมนตรี และป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาใหญ่ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๕๑
(พ.ศ. ๒๕๐๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ท้ังยังอยู่ใน
เขตพ้ืนที่เตรียมการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติหาดทรายขาว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูก
ฟ้องคดีท่ี ๔ กับพวกจึงจับกุมและตรวจยึดรถยนต์บรรทุกสิบล้อดัดแปลงจํานวน ๓ คัน
รถแทรกเตอรต์ นี ตะขาบจาํ นวน ๑ คนั และเครอ่ื งเลอื่ ยโซย่ นตจ์ าํ นวน ๑ เครอ่ื ง ไวเ้ ปน็ ของกลาง
นำส่งพนักงานสอบสวนเพ่ือดำเนินคดีตามกฎหมาย แม้ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดปัตตานี
พิจารณาเห็นว่าที่ดินซึ่งนาย ซ. ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่าบุกรุกเป็นที่ดินที่มีการครอบครอง
ของชาวบ้าน ซ่ึงคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าไม่เป็นป่าตามมาตรา ๔ แห่ง
พระราชบัญญัติปา่ ไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ดังน้นั การทาํ ไม้ยางพาราในท่ีดินดงั กลา่ วจึงไมต่ อ้ ง
ไดร้ บั อนญุ าตตามกฎหมายแตอ่ ยา่ งใด จงึ มคี าํ สง่ั เดด็ ขาดไมฟ่ อ้ งนาย ซ. ในขอ้ หากน่ สรา้ ง แผว้ ถาง
หรือกระทําด้วยประการใด ๆ อนั เป็นการทําลายปา่ หรือเขา้ ยดึ ถอื หรือครอบครองปา่ เพอ่ื ตนเอง
หรือผู้อ่ืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา ๕๔ มาตรา ๗๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้
พุทธศักราช ๒๔๘๔ และมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
อัยการนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
119
ของกลาง ใหพ้ นกั งานสอบสวนจดั การตามมาตรา ๘๕ แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา
แต่การที่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ ตรวจสอบพิกัดพ้ืนท่ีด้วยเครื่องหาพิกัดตําแหน่ง
บนพ้นื โลกด้วยดาวเทยี ม (จพี ีเอส) พบวา่ จุดทีพ่ บตัวนาย ซ. และจุดท่ีพบรถยนตบ์ รรทกุ สบิ ลอ้
รถแทรกเตอรต์ นี ตะขาบ อยใู่ นเขตปา่ ไมถ้ าวรตามมตคิ ณะรฐั มนตรแี ละอยใู่ นเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ
ป่าเขาใหญ่ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงมีอํานาจตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้และ
กฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติจับกุมนาย ซ. และยึดของกลางท้ัง ๕ รายการดังกล่าว
ได้ ประกอบกบั ไมป่ รากฏวา่ มกี ารกระทาํ ใดในขนั้ ตอนใดของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๑ ถงึ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔
เป็นการกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทําให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายอันจะเป็น
การกระทาํ ละเมดิ ต่อผฟู้ ้องคดี การปฏิบัตหิ น้าทขี่ องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถงึ ผ้ถู ูกฟ้องคดีท่ี ๔ จึงเป็น
การกระทําที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕
ถงึ ผถู้ ูกฟ้องคดีที่ ๗ จงึ ไมต่ อ้ งรับผดิ ชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนแกผ่ ู้ฟ้องคด
ี
______________________________
{
นายว.
ผู้ฟ้องคดี
ระหว่าง
นาย ส. ปลดั อำเภอหัวหนา้ ฝา่ ยความม่นั คงอำเภอโคกโพธ์ิ ท่ี ๑
นาย ศ. เจ้าพนกั งานป่าไม้ ๖ ที่ ๒
นาย ร. เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญงาน ที่ ๓
นาย อ. พนกั งานขับรถยนต์ สำนกั งานป่าไม้ ท่ี ๔
กรมการปกครอง ที่ ๕
กรมปา่ ไม้ ท่ี ๖
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพนั ธุพ์ ืช ท่ี ๗ ผู้ถกู ฟอ้ งคด
ี
คดนี ขี้ อ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดว้ า่ ผฟู้ อ้ งคดเี ปน็ ผปู้ ระกอบการคา้ ไมย้ างพารา ในวนั ที่ ๘ สงิ หาคม ๒๕๕๐
ขณะท่ีนาย ซ. กับพวก ซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ฟ้องคดีไปบรรทุกไม้ยางพาราจากท่ีดินของนาง น.
บริเวณท้องท่ีหมู่ที่ ๘ ตําบลปากล่อ และรอยต่อกับหมู่ท่ี ๕ ตําบลทุ่งพลา อําเภอโคกโพธิ์ จังหวัด
ปัตตานี ถูกผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งขณะเกิดเหตุดํารงตําแหน่งปลัดอําเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง
อาํ เภอโคกโพธิ์ จงั หวัดปตั ตานี ผู้ถูกฟอ้ งคดีที่ ๒ ซ่ึงขณะเกิดเหตดุ ํารงตาํ แหนง่ เจ้าพนักงานปา่ ไม้ ๖
สํานักงานป่าไม้ สาขาปัตตานี สังกัดกรมป่าไม้ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓ ขณะเกิดเหตุดํารงตําแหน่ง
เจ้าพนักงานป่าไม้ชํานาญงาน สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปฏิบัติหน้าท
ี
่
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ ตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์กับพวก
จบั กมุ และตรวจยดึ รถยนตบ์ รรทกุ สบิ ลอ้ ดดั แปลงจาํ นวน ๓ คนั รถแทรกเตอรต์ นี ตะขาบจาํ นวน ๑ คนั
และเครือ่ งเล่ือยโซ่ยนตจ์ าํ นวน ๑ เคร่ือง ไวเ้ ปน็ ของกลาง และไดส้ ่งมอบตวั นาย ซ. พรอ้ มของกลาง
จาํ นวน ๒ รายการ คอื รถยนตบ์ รรทกุ สบิ ลอ้ หมายเลขทะเบยี น ๘๐ - ๑๕๗๑ ยะลา และเครอื่ งเลอื่ ยโซย่ นต์
120 คำพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ
หมายเลข ๙๐๐๔ ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรนาประดู่เพ่ือดําเนินคดีตามกฎหมาย
สว่ นรถยนต์บรรทกุ สบิ ลอ้ อกี จาํ นวน ๒ คัน และรถแทรกเตอร์ตนี ตะขาบ จํานวน ๑ คนั ไมส่ ามารถ
นาํ ออกมาจากทเี่ กดิ เหตไุ ด้ ตอ่ มาเมอื่ เจา้ หนา้ ทย่ี อ้ นกลบั มาทเ่ี กดิ เหตอุ กี ครงั้ เพอื่ ดาํ เนนิ การกบั ของกลาง
ท่เี หลือปรากฏว่าของกลางท้ัง ๓ รายการ ไม่อยใู่ นสถานทีเ่ กิดเหตแุ ล้ว ตอ่ มาพนกั งานอยั การจงั หวดั
ปัตตานีพิจารณาเห็นว่าท่ีดินซึ่งนาย ซ. ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่าบุกรุกเป็นที่ดินที่มีการครอบครอง
ของชาวบ้าน ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าไม่เป็นป่าตามมาตรา ๔
แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ดังนั้น การทําไม้ยางพาราในที่ดินดังกล่าวจึงไม่ต้อง
ได้รับอนุญาตตามกฎหมายแต่อย่างใด จึงมีคําส่ังเด็ดขาดไม่ฟ้องนาย ซ. ในข้อหาก่นสร้าง แผ้วถาง
หรือกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทําลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพ่ือตนเอง
หรือผู้อ่ืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา ๕๔ มาตรา ๗๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้
พุทธศักราช ๒๔๘๔ และมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
สว่ นรถยนตบ์ รรทกุ สบิ ลอ้ จาํ นวน ๑ คนั เครอ่ื งเลอื่ ยโซย่ นตจ์ าํ นวน ๑ เครอื่ ง ไมร่ บิ ใหพ้ นกั งานสอบสวน
จัดการตามมาตรา ๘๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ผู้ฟ้องคด
ี
ได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าท่ีของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ จึงนําคดีมาฟ้อง
ต่อศาลปกครองช้ันต้น ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีท้ังเจ็ดร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมจํานวน
๖๖,๕๖๕,๒๐๐ บาท พร้อมดอกเบ้ียอัตราร้อยละ ๗.๕ นับแต่วันฟ้องจนกว่าผู้ถูกฟ้องคดีท้ังเจ็ด
จะชาํ ระเสรจ็
ศาลปกครองช้ันตน้ พิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดอี ุทธรณต์ อ่ ศาลปกครองสูงสดุ
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ว่า การท
ี่
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ดําเนินการจับกุมตัวนาย ซ. ลูกจ้างของผู้ฟ้องคดี ในข้อหา
ก่นสร้าง แผ้วถาง หรือกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทําลายป่าเพ่ือตนเองหรือเพ่ือผู้อ่ืน
โดยไม่ได้รับอนุญาต และยึดของกลางซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดี จํานวน ๕ รายการ
เปน็ การกระทําละเมดิ ผู้ฟ้องคดีหรอื ไม่ และผ้ถู กู ฟอ้ งคดีที่ ๕ ถงึ ผถู้ กู ฟอ้ งคดีท่ี ๗ ต้องร่วมกันรบั ผิด
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแกผ่ ู้ฟอ้ งคดี หรือไม่ เพียงไร
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า มาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า
ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอ่ืนโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี
แกร่ า่ งกายกด็ ี อนามยั กด็ ี เสรภี าพกด็ ี ทรพั ยส์ นิ หรอื สทิ ธอิ ยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดกด็ ี ทา่ นวา่ ผนู้ นั้ ทาํ ละเมดิ
จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการน้ัน มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิด
ทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผล
แห่งละเมิดท่ีเจ้าหน้าท่ีของตนได้กระทําในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงาน
ของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าท่ีไม่ได้ มาตรา ๑๔ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัต
ิ
ปา่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ บญั ญตั วิ า่ ในเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ หา้ มมใิ หบ้ คุ คลใดยดึ ถอื ครอบครอง
ทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในท่ีดินก่นสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทําไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทําด้วย
ประการใด ๆ อันเป็นการเส่ือมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เว้นแต่ ... มาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง
อัยการนิเทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
121
แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติว่าผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๔ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หกเดือน
ถึงหา้ ปีและปรับตงั้ แต่หา้ พันบาทถึงห้าหมื่นบาท ขอ้ ๒ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมปา่ ไม้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๑ กําหนดว่า ให้กรมป่าไม้ ... มีอํานาจ
หน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) ควบคุม กํากับ ดูแล ป้องกันการบุกรุก การทําลายป่า และการกระทําผิด
ในพนื้ ทรี่ บั ผดิ ชอบตามกฎหมายวา่ ดว้ ยปา่ ไม้ กฎหมายวา่ ดว้ ยปา่ สงวนแหง่ ชาติ กฎหมายวา่ ดว้ ยสวนปา่
กฎหมายว่าด้วยเลอ่ื ยโซย่ นต์ กฎหมายว่าด้วยปา่ ชุมชน และกฎหมายอ่ืนท่เี ก่ียวข้อง ... ขอ้ ๒ ของ
กฎกระทรวงแบง่ สว่ นราชการ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติ
และสงิ่ แวดลอ้ ม พ.ศ. ๒๕๔๗ กาํ หนดวา่ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื ... ใหม้ อี าํ นาจหนา้ ท่ี
ดังต่อไปน้ี ... (๓) ควบคุม กํากับดูแล ป้องกันการบุกรุก การทําลายป่า และการกระทําผิด
ตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
กฎหมายวา่ ดว้ ยการสงวนและค้มุ ครองสตั ว์ปา่ และกฎหมายอน่ื ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ...
คดนี ข้ี อ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดว้ า่ ผฟู้ อ้ งคดเี ปน็ ผปู้ ระกอบการคา้ ไมย้ างพารา ในวนั ที่ ๘ สงิ หาคม ๒๕๕๐
ขณะที่นาย ซ. กับพวก ซ่ึงเป็นลูกจ้างของผู้ฟ้องคดีไปบรรทุกไม้ยางพาราจากที่ดินของนาง น.
บรเิ วณทอ้ งทห่ี มทู่ ่ี ๘ ตาํ บลปากลอ่ และรอยตอ่ กบั หมทู่ ่ี ๕ ตาํ บลทงุ่ พลา อาํ เภอโคกโพธิ์ จงั หวดั ปตั ตานี
ถูกผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ จับกุมและตรวจยึดรถยนต์บรรทุกสิบล้อดัดแปลงจํานวน
๓ คนั รถแทรกเตอรต์ นี ตะขาบจาํ นวน ๑ คนั และเครอื่ งเลอื่ ยโซย่ นตจ์ าํ นวน ๑ เครอ่ื ง ไวเ้ ปน็ ของกลาง
โดยในการจับกุมครั้งนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ขณะเกิดเหตุดํารงตําแหน่งเจ้าพนักงานป่าไม้ชํานาญงาน
สงั กดั กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื ปฏบิ ตั หิ นา้ ทหี่ วั หนา้ อทุ ยานแหง่ ชาตนิ ำ้ ตกทรายขาว
ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีการนําเคร่ืองจักรและรถยนต์บรรทุกสิบล้อเข้าไปทําไม้ยางพาราในเขต
ป่าสงวนแห่งชาติ จึงประสานงานกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซ่ึงขณะเกิดเหตุดํารงตําแหน่งปลัดอําเภอ
หัวหน้าฝ่ายความม่ันคง อําเภอโคกโพธ์ิ จังหวัดปัตตานี ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ซึ่งขณะเกิดเหตุดํารง
ตําแหนง่ เจ้าพนกั งานป่าไม้ ๖ สาํ นกั งานปา่ ไม้ สาขาปตั ตานี สงั กัดกรมป่าไม้ โดยมผี ถู้ ูกฟอ้ งคดีที่ ๔
ตําแหน่งพนักงานขับรถยนต์ ร่วมกับรองผู้กํากับการสารวัตรปราบปรามสถานีตํารวจภูธรโคกโพธิ์
เจ้าหน้าที่ตํารวจสถานีตํารวจภูธรนาประดู่ และเจ้าหน้าท่ีสํานักบริหารพ้ืนที่อนุรักษ์ท่ี ๖ (สาขา
ปัตตานี) พากันไปยังบริเวณป่าน้ำตกโผงโผง ตามเส้นทางที่เพิ่งเปิดพื้นท่ีเป็นถนนใหม่ มีลักษณะ
การกระทําโดยใช้รถแทรกเตอร์ตีนตะขาบ ในท้องท่ีหมู่ที่ ๘ ตําบลปากล่อ และรอยต่อกับหมู่ท่ี ๕
ตําบลทุ่งพลา อําเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาใหญ่ จังหวัดปัตตานี
และอยใู่ นเขตพนื้ ทเี่ ตรยี มการประกาศอทุ ยานแหง่ ชาตนิ ำ้ ตกทรายขาว พบนาย ซ. ซง่ึ เปน็ ลกู จา้ งของ
ผฟู้ อ้ งคดกี บั พวก พรอ้ มรถยนตบ์ รรทกุ สบิ ลอ้ สาํ หรบั บรรทกุ ไม้ จาํ นวน ๓ คนั กาํ ลงั แลน่ ตามหลงั กนั
ลงมาจากภูเขาตามเส้นทางที่รถแทรกเตอร์ตีนตะขาบไถดันเปิดพ้ืนที่ไว้ และพบเคร่ืองเลื่อยโซ่ยนต์
จํานวน ๑ เครื่อง โดยนาย ซ. เป็นผู้ควบคุมรถคันแรก จึงแสดงตัวเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
ส่วนผู้ควบคุมรถยนต์บรรทุกสิบล้ออีกสองคันและรถแทรกเตอร์ตีนตะขาบพากันหลบหนีไป
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ถงึ ผ้ถู ูกฟอ้ งคดที ี่ ๔ ทาํ การตรวจหาค่าพิกัดบรเิ วณดังกล่าวโดยใช้เคร่ืองหาคา่ พิกัด
ตาํ แหนง่ บนพน้ื โลกดว้ ยดาวเทยี ม (จพี เี อส) พบวา่ บรเิ วณดงั กลา่ วเปน็ ปา่ ตน้ นำ้ ลาํ ธารของนำ้ ตกโผงโผง
อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๕๑ (พ.ศ. ๒๕๐๙) ออกตามความใน
122 คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
พระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และอยใู่ นเขตพนื้ ทเ่ี ตรยี มการประกาศอทุ ยานแหง่ ชาติ
น้ำตกทรายขาว จึงเห็นว่าการกระทําดังกล่าวของนาย ซ. กับพวกเป็นการร่วมกันกระทําผิด
กฎหมายเกีย่ วกับการป่าไม้ ฐานทาํ ไม้ กน่ สรา้ ง แผ้วถาง หรือกระทําด้วยประการใด ๆ อนั เป็นการ
ทําลายป่าตามมาตรา ๕๔ และมาตรา ๗๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔
และฐานทาํ ไม้ กน่ สรา้ ง และแผว้ ถางปา่ หรอื กระทาํ ดว้ ยประการใดๆ อนั เปน็ การเสอื่ มเสยี แกส่ ภาพปา่
ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ จึงจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหา
ให้นาย ซ. ทราบพร้อมทั้งตรวจยึดรถยนต์บรรทุกสิบล้อจํานวน ๓ คัน รถแทรกเตอร์ตีนตะขาบ
จํานวน ๑ คัน และเคร่ืองเลื่อยโซ่ยนต์จํานวน ๑ เคร่ือง ไว้เป็นของกลางและนําตัวนาย ซ. ไปยัง
สถานีตํารวจภูธรนาประดู่ โดยขอความร่วมมือ นาย ซ. ให้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ
หมายเลขทะเบยี น ๘๐ - ๑๕๗๑ ยะลา ไปยงั สถานตี าํ รวจภธู รนาประดู่ สว่ นรถยนตบ์ รรทกุ สบิ ลอ้ อกี
จํานวน ๒ คัน และรถแทรกเตอร์ตีนตะขาบจํานวน ๑ คัน ไม่สามารถนําออกมาจากที่เกิดเหตุได้
เนอ่ื งจากพวกของนาย ซ. นาํ กญุ แจรถไปดว้ ย เมอ่ื ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ กบั พวกถงึ สถานตี าํ รวจภธู รนาประดู่
จงึ ไดจ้ ดั ทาํ บนั ทกึ การจบั กมุ ทาํ แผนทแ่ี สดงทเ่ี กดิ เหตแุ ละบญั ชรี ายการของกลางไว้ และไดส้ ง่ มอบตัว
นาย ซ. พร้อมส่งของกลางจํานวน ๒ รายการ คือ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ หมายเลขทะเบียน
๘๐ - ๑๕๗๑ ยะลา และเครื่องเล่ือยโซ่ยนต์หมายเลข ๙๐๐๔ ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจ
ภูธรนาประดู่เพ่ือดําเนินคดีตามกฎหมาย พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานีพิจารณาเห็นว่าท่ีดิน
ซงึ่ นาย ซ. ผตู้ อ้ งหาถกู กลา่ วหาวา่ บกุ รกุ เปน็ ทดี่ นิ ทม่ี กี ารครอบครองของชาวบา้ น ซง่ึ คณะกรรมการกฤษฎกี า
วนิ จิ ฉยั ในขอ้ กฎหมายวา่ ไมเ่ ปน็ ปา่ ตามมาตรา ๔ แหง่ พระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ ดงั นนั้
การทาํ ไมย้ างพาราในทดี่ นิ ดงั กลา่ วจงึ ไมต่ อ้ งไดร้ บั อนญุ าตตามกฎหมายแตอ่ ยา่ งใด จงึ มคี าํ สงั่ เดด็ ขาด
ไม่ฟ้องนาย ซ. ในข้อหาก่นสร้าง แผ้วถาง หรือกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทําลายป่า
หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา ๕๔
มาตรา ๗๒ ตรี แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ และมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบญั ญตั ิ
ปา่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ สว่ นรถยนตบ์ รรทุกสิบล้อจาํ นวน ๑ คนั เครื่องเลือ่ ยโซ่ยนตจ์ าํ นวน
๑ เคร่ือง ไม่ริบ ให้พนักงานสอบสวนจัดการตามมาตรา ๘๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่า ในขณะเกิดเหตุผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ดํารงตําแหน่ง
ปลัดอาํ เภอหัวหน้าฝ่ายความม่ันคง อาํ เภอโคกโพธ์ิ จังหวดั ปัตตานี สงั กัดกรมการปกครอง มีอาํ นาจ
หนา้ ทร่ี กั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน สบื สวนสอบสวนความผดิ อาญาในเขตทอ้ งทร่ี บั ผดิ ชอบ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และมีอํานาจจับกุมปราบปรามผู้กระทําผิดตาม
พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ดํารงตําแหน่งเจ้าพนักงานป่าไม้ ๖
สาํ นกั งานปา่ ไม้ จงั หวดั ปตั ตานี สาขาปตั ตานี สงั กดั กรมปา่ ไม้ มอี าํ นาจหนา้ ทใ่ี นการจบั กมุ ปราบปราม
ผู้กระทาํ ผดิ พระราชบญั ญัตปิ า่ ไม้ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ ผถู้ กู ฟ้องคดีท่ี ๓ ดาํ รงตําแหนง่ เจา้ พนักงาน
ป่าไม้ชํานาญงาน สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช ทําหน้าท่ี หัวหน้าอุทยาน
แหง่ ชาตนิ ำ้ ตกทรายขาว มอี าํ นาจหนา้ ทใี่ นการจบั กมุ ปราบปรามผกู้ ระทาํ ผดิ ตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้
พุทธศักราช ๒๔๘๔ และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔
เป็นลูกจ้างประจํา ตําแหน่งพนักงานขับรถยนต์ เข้าไปปฏิบัติการในการจับกุมปราบปราม
อัยการนเิ ทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
123
ผู้กระทําผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗ ท้งั นี้ ตามประกาศกระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม เร่ือง แตง่ ต้ังพนกั งาน
เจ้าหน้าท่ีตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ลงวันท่ี ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ และ
ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง แต่งตั้ง พนักงานเจ้าหน้าท่ีตาม
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ลงวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
ถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ จึงเป็นพนักงานเจ้าหน้าท่ีตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔
และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และการใช้อํานาจของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
ถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ ในการดําเนินการเข้าตรวจสอบ จับกุมและยึดของกลางเม่ือได้รับรายงานว่า
มีการกระทําความผิดตามกฎหมายดังกล่าวขึ้น เป็นการใช้อํานาจตามมาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง
ประกอบมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ แต่ผู้ฟ้องคดีไม่อาจฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ซ่ึงเป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้กระทําในการปฏิบัติหน้าที่ได้ ผู้ฟ้องคดี
ตอ้ งฟ้องหนว่ ยงานของรฐั ท่ผี ู้ถกู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ถึงผถู้ กู ฟอ้ งคดีท่ี ๔ สังกดั อยู่ ซงึ่ กค็ ือ ผถู้ กู ฟอ้ งคดีท่ี ๕
ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ โดยตรง ท้ังน้ี ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ
เจ้าหนา้ ที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
คดีมีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า การกระทําของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔
เป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีท่ีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ จะต้องรับผิดชดใช
้
ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาการกระทําของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
ถงึ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔ ปรากฏวา่ กอ่ นทจี่ ะเขา้ จบั กมุ นาย ซ. ในวนั ท่ี ๘ สงิ หาคม ๒๕๕๐ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑
ถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ ตรวจสอบและพิจารณา ส.ค. ๑ ในบริเวณท้องท่ีหมู่ท่ี ๘ ตําบลปากล่อ
และรอยตอ่ กบั หมทู่ ่ี ๕ ตาํ บลทงุ่ พลา อาํ เภอโคกโพธิ์ จงั หวดั ปตั ตานี จาํ นวน ๘ แปลง ซง่ึ รวมถงึ ทด่ี นิ
ท่ีนาง น. ครอบครองอยู่ด้วย พบว่าที่ดินตาม ส.ค. ๑ ดังกล่าวอยู่ในเขตพ้ืนที่ป่าไม้ถาวรตามมต
ิ
คณะรัฐมนตรี และป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาใหญ่ตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๑๕๑ (พ.ศ. ๒๕๐๙)
ออกตามความ ในพระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ทงั้ ยงั อยใู่ นเขตพน้ื ทเี่ ตรยี มการประกาศ
เป็นอุทยานแห่งชาติหาดทรายขาวอีกด้วย จึงให้ราษฎรนํา ส.ค. ๑ ดังกล่าวไปย่ืนคําขอออก
เอกสารแสดงสิทธิในท่ีดินเพื่อพิสูจน์สิทธิต่อไป ต่อมาในวันท่ี ๑๓ ถึงวันท่ี ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๐
ผ้ถู ูกฟอ้ งคดีที่ ๑ ผู้ถกู ฟอ้ งคดที ี่ ๓ และผูถ้ กู ฟ้องคดที ี่ ๔ พรอ้ มคณะเจา้ หนา้ ท่ี รว่ มออกตรวจสอบ
พ้ืนที่ที่มีการทําไม้ยางพาราซึ่งล่อแหลมต่อการรุกล้ำแนวเขตป่าไม้ในท้องท่ี หมู่ที่ ๘ ตําบลปากล่อ
อําเภอโคกโพธ์ิ จังหวัดปัตตานี พบว่ามีการใช้รถแบคโฮไถดันปรับพื้นที่และล้มไม้ในเส้นทาง
ซึ่งคณะเจ้าหน้าท่ีตรวจสอบแล้วปรากฏว่าตําแหน่งของรถแบคโฮ อยู่ในเขตพื้นท่ีป่าไม้ถาวร
โดยมีผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของรถแบคโฮคันดังกล่าว คณะเจ้าหน้าที่ร่วมกันพิจารณาแล้วเพ่ือ
ความถูกต้องชัดเจนและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย จึงให้นํา สําเนา ส.ค. ๑ ที่ผู้ครอบครอง
พ้ืนท่ีถืออยู่ไปมอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบความถูกต้องต่อไป ซึ่งผู้ฟ้องคดีรับท่ีจะยุติ
การดําเนินการไถปรับที่ดินหรือตัดเส้นทางในพ้ืนท่ีในครั้งนี้ไปก่อนเพื่อรอตรวจสอบจากทางราชการ
พร้อมทั้งลงนามในบันทึกการตรวจสอบพ้ืนท่ี ลงวันท่ี ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๐ อีกทั้งผู้ว่าราชการ
จังหวัดปัตตานีออกประกาศจังหวัดปัตตานี เรื่อง การตัดไม้ยางพาราในที่ดินตาม ส.ค. ๑
124 คำพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ
ในเขตพนื้ ทป่ี ่าไม้ ลงวันที่ ๒๘ มถิ ุนายน ๒๕๕๐ โดยให้ตรวจสอบหลกั ฐาน (ส.ค. ๑) ให้ไดข้ ้อยตุ ิวา่
ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงให้ราษฎรที่มีความประสงค์จะตัดฟันไม้ยางพาราในท่ีดิน ส.ค. ๑
ซง่ึ อยใู่ นเขตพน้ื ทป่ี า่ ไม้ นาํ ส.ค. ๑ ไปยน่ื คาํ ขอออกหนงั สอื แสดงสทิ ธใิ นทด่ี นิ ตอ่ เจา้ หนา้ ทสี่ าํ นกั งานทดี่ นิ
อําเภอท้องท่ีเสียก่อน เพ่ือจะให้ได้ข้อยุติว่าหลักฐาน ส.ค. ๑ ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย
และหากปรากฏวา่ ผคู้ รอบครอง ส.ค. ๑ เขา้ ไปตดั ไมย้ างพาราโดยไมไ่ ดด้ าํ เนนิ การตามขนั้ ตอนดงั กลา่ ว
จะมีความผิดตามกฎหมาย และนายอําเภอโคกโพธ์ิประชุมหารือกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหา
ให้ราษฎรท่ีต้องการตัดไม้ยางพาราในเขตท่ีดินท่ีครอบครองตาม ส.ค. ๑ โดยมีมติท่ีประชุมให้ระงับ
การตัดไมย้ างพาราในท่ีดนิ ส.ค. ๑ จาํ นวน ๘ แปลง ซง่ึ รวมถึงท่ีดนิ ทีน่ าง น. ครอบครองอยดู่ ้วยไว้
ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบสิทธิครอบครองท่ีดิน เมื่อผู้ฟ้องคดีให้นาย ซ. กับพวกเข้าไปบรรทุก
ไมย้ างพาราจากทดี่ นิ ของนาง น. โดยทนี่ าง น. ยงั ไมไ่ ดต้ รวจสอบสทิ ธกิ ารครอบครองทดี่ นิ ใหแ้ ลว้ เสรจ็
ซ่ึงผู้ฟ้องคดีเองรู้ข้อเท็จจริงน้ีแล้ว เนื่องจากลงนามไว้ในบันทึกการตรวจสอบพื้นที่ ลงวันที่
๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๐ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ ตรวจสอบพิกัดพื้นที่ด้วย
เคร่ืองหาพิกัดตําแหน่งบนพ้ืนโลกด้วยดาวเทียม (จีพีเอส) พบว่าจุดท่ีพบตัวนาย ซ. และจุดที่พบ
รถยนต์บรรทุกสิบล้อ รถแทรกเตอร์ตีนตะขาบ อยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีและ
อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาใหญ่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงมีอํานาจตาม
กฎหมายว่าด้วยป่าไม้และกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติจับกุมนาย ซ. และยึดของกลางท้ัง
๕ รายการดังกล่าวได้ ประกอบกับ ไม่ปรากฏว่ามีการกระทําใดในข้ันตอนใดของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
ถงึ ผ้ถู ูกฟ้องคดีท่ี ๔ เปน็ การกระทาํ โดยจงใจหรอื ประมาทเลินเล่อทาํ ให้ผู้ฟอ้ งคดีไดร้ บั ความเสยี หาย
อนั จะเป็นการกระทาํ ละเมดิ ตอ่ ผฟู้ ้องคดี การปฏบิ ตั ิหนา้ ทีข่ องผถู้ กู ฟ้องคดที ี่ ๑ ถึงผูถ้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๔
จึงเป็นการกระทําท่ีชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕
ถงึ ผถู้ กู ฟ้องคดีท่ี ๗ จงึ ไม่ตอ้ งรับผดิ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแกผ่ ฟู้ ้องคดี
สว่ นทผ่ี ฟู้ อ้ งคดอี า้ งวา่ การทผี่ ถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ถงึ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔ ตรวจยดึ รถยนตบ์ รรทกุ สบิ ลอ้
จํานวน ๓ คัน รถแทรกเตอร์ตีนตะขาบจํานวน ๑ คัน และเคร่ืองเล่ือยโซ่ยนต์จํานวน ๑ เคร่ือง
ไว้เป็นของกลาง แต่ทําบันทึกการจับกุมของกลางจํานวน ๒ รายการ คือ รถยนต์บรรทุกสิบล้อ
หมายเลขทะเบียน ๘๐ - ๑๕๗๑ ยะลา และเครอื่ งเลือ่ ยโซย่ นต์ หมายเลข ๙๐๐๔ จํานวน ๑ เครือ่ ง
ส่งให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดี ส่วนของกลางที่เหลืออีก ๓ รายการ ที่ยังอยู่ในที่เกิดเหตุ
โดยเมอ่ื เจา้ หนา้ ทย่ี อ้ นกลบั มายงั ทเี่ กดิ เหตอุ กี ครง้ั ของกลางทงั้ ๓ รายการดงั กลา่ วถกู ลกั ลอบขนยา้ ย
หลบหนีออกไปจากจุดท่จี ับกุมแล้วในเวลากลางคืน ทาํ ใหผ้ ฟู้ อ้ งคดีเสยี หายนัน้ เหน็ วา่ เมือ่ ผู้ถูกฟ้อง
คดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอํานาจหน้าท่ีในการดูแล ป้องกันการบุกรุก
การทําลายป่า และการกระทําผิดในพ้ืนที่รับผิดชอบตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วย
ปา่ สงวนแหง่ ชาติ กฎหมายอน่ื ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และตามกฎกระทรวงวา่ ดว้ ยการแบง่ สว่ นราชการกรมปา่ ไม้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพันธุ์พืช ได้รับแจ้งว่ามีการนําเครื่องจักรและ
รถยนต์บรรทุกสิบล้อเข้าไปทําไม้ยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จึงร่วมกันไปยังท่ีเกิดเหตุพบ
สภาพเสน้ ทางเปน็ ถนนทไ่ี ถเปดิ หนา้ ดนิ ใหม่ และมรี ถยนตบ์ รรทกุ สบิ ลอ้ ดดั แปลงเปน็ รถจอหนงั สาํ หรบั
บรรทุกไม้จำนวน ๓ คัน กำลงั วิ่งลงมาจากภูเขา เม่ือผูก้ ระทำผิดพบกบั ผถู้ กู ฟ้องคดที ี่ ๑ ถงึ ผู้ถูกฟอ้ ง
อัยการนิเทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
125
คดีที่ ๔ และคณะรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันแรกหยุดรถ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔
และคณะจึงแสดงตัวขอตรวจสอบและจับกุมผู้ขับรถคันแรก ซ่ึงทราบชื่อต่อมาว่า คือนาย ซ.
สว่ นผขู้ บั รถคนั อน่ื อกี สองคนั และคนขบั รถแทรกเตอรต์ นี ตะขาบหลบหนไี ป ในขณะเขา้ จบั กมุ นาย ซ.
ไม่ได้แสดงเอกสารใด ๆ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และคณะเห็นการกระทำดังกล่าว
เป็นการร่วมมือกันกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ฐานทำไม้ ก่นสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วย
ประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช ๒๔๘๔ และฐานทำไม้
ก่นสร้าง และแผ้วถางป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าตาม
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้นาย ซ. ทราบและทำบันทึก
การจับกุม ทำแผนท่ีแสดงท่ีเกิดเหตุและบัญชีของกลางพร้อมทั้งส่งมอบตัวนาย ซ. พร้อมของกลาง
จำนวน ๒ รายการ คือ รถยนต์บรรทุกสิบล้อดัดแปลงเป็นรถจอหนังสำหรับบรรทุกไม้ หมายเลข
ทะเบยี น ๘๐ - ๑๕๗๑ ยะลา ๑ คนั และเครอื่ งเล่ือยโซ่ยนต์ หมายเลข ๙๐๐๔ จำนวน ๑ เครอื่ ง
ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรนาประดู่ ส่วนรถยนต์บรรทุกสิบล้ออีกจำนวน ๒ คัน
ไม่มีหมายเลขทะเบียนและรถแทรกเตอร์ตีนตะขาบอีก จำนวน ๑ คัน น้ัน ไม่อาจเคลื่อนย้าย
มาพร้อมกันได้เน่ืองจากคนขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อและรถแทรกเตอร์ตีนตะขาบท่ีหนีไปในระหว่าง
การจบั กมุ รถบรรทกุ สบิ ลอ้ คนั ทหี่ นง่ึ นำกญุ แจรถทงั้ สามคนั ไปดว้ ย ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๑ ถงึ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔
และคณะจึงต้องท้ิงรถท้ังสามคันดังกล่าวไว้ในท่ีเกิดเหตุ ซึ่งต่อมารถท้ังสามคันดังกล่าวหายไปจาก
ทเี่ กิดเหตุ ซ่ึงผ้ถู กู ฟอ้ งคดีท่ี ๑ ถึงผู้ถูกฟอ้ งคดที ่ี ๔ และคณะแจ้งความไว้ตอ่ พนกั งานสอบสวนสถานี
ตำรวจภธู รนาประดแู่ ลว้ การดำเนนิ การดงั กลา่ วจงึ เปน็ การปฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี ามปกตขิ องผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๑
ถงึ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔ ซงึ่ เปน็ ผมู้ อี ำนาจหนา้ ทตี่ ามกฎหมายตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔
และพระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ไมอ่ าจถอื ไดว้ า่ เปน็ การกระทำทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย
นอกจากน้ี เม่ือพิจารณาจากคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีบรรยายฟ้องโดยอ้างถึง
ความเสยี หายทเ่ี กดิ จากการทผี่ ถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๑ ถงึ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔ ทำของกลางทง้ั ๓ รายการสญู หาย
และมีคำขอให้ชดใช้ราคาของกลางที่สูญหายดังกล่าว แต่กลับปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีเรียกค่าเสียหาย
จากการขาดประโยชนจ์ ากของกลางทงั้ ๓ รายการแทนโดยไมป่ รากฏหลกั ฐานสนบั สนนุ ความเสยี หาย
ตามท่ีอ้าง กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการกระทําของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
ถงึ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๔ ทท่ี าํ ใหข้ องกลางทง้ั ๓ รายการสญู หายตามทผ่ี ฟู้ อ้ งคดกี ลา่ วอา้ ง ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑
ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ จึงไม่จําต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคด
ี
จึงฟังไม่ขึ้น
การท่ีศาลปกครองชนั้ ตน้ มคี ําพิพากษายกฟ้อง ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พ้องด้วย
พพิ ากษายืน
สำนักงานอยั การพิเศษฝ่ายสารสนเทศ
สำนกั งานวิชาการ
126 คำพิพากษาศาลปกครองสงู สุด
ตอบขอ้ หารือสำ� นักงานอยั การสูงสดุ
160 หนงั สือเวยี น
158 หนังสอื เวยี น
คำวนิ ิจฉยั ท่ี ห. ๒๕/๒๕๖๑
เรื่อง การดำเนนิ การภายหลงั ยกเลกิ สญั ญา
กฎหมาย ระเบียบ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (มาตรา ๓๕๗, ๓๕๙)
กรม ท. ทำสัญญาจ้างให้ผู้รับจ้างดำเนินการซ่อมใหญ่ระบบฐานล้อของเคร่ืองบิน
ต่อมาผู้รับจ้างแจ้งว่าโรงงานผู้ผลิตไม่สามารถดำเนินการซ่อมระบบฐานล้อตามสัญญาได้
ดว้ ยเหตขุ ดั ขอ้ งบางประการจากโรงงานผผู้ ลติ กรม ท. ผวู้ า่ จา้ งเหน็ วา่ เหตทุ ผี่ รู้ บั จา้ งไมส่ ามารถ
ดำเนินการตามสัญญาได้ไม่ได้เป็นเพราะความผิดของผู้รับจ้างโดยตรง จึงมีหนังสือแจ้ง
ยกเลิกสัญญา แต่ผู้รับจ้างได้มีคำเสนอที่มีข้อความเพ่ิมเติมมีข้อจำกัดหรือข้อแก้ไขอย่างอื่น
ประกอบถือว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับคำเสนอของผู้ว่าจ้างและเป็นคำเสนอของผู้รับจ้างข้ึนใหม่
คำเสนอขอเลิกสัญญาของผู้ว่าจ้างย่อมส้ินความผูกพัน สัญญาจ้างจึงยังไม่ถูกยกเลิก
หากผวู้ า่ จา้ งยงั ประสงคจ์ ะใชว้ ธิ ยี กเลกิ สญั ญาโดยความตกลงสองฝา่ ย ผวู้ า่ จา้ งจะตอ้ งพจิ ารณาวา่
จะเป็นประโยชน์แก่ทางราชการหรือเพื่อแก้ไขข้อเสียเปรียบของทางราชการหรือไม่ ผู้รับจ้าง
เป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้ว่าจ้างก็ควรใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวและใช้สิทธิเรียกค่าปรับและ
ค่าเสียหายตามสัญญา ปัญหาจากกรณีดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์การชำระหน
้ี
เป็นพ้นวิสัยหรือเหตุสุดวิสัยท่ีผู้รับจ้างไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาจ้าง โดยไม่ใช่ความผิด
ของผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างจึงยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาต่อผู้ว่าจ้างตามเง่ือนไขท่ีกำหนดไว้
ในสัญญาจ้าง เม่ือบริษัทผู้รับจ้างไม่สามารถซ่อมได้ทันภายในกำหนดระยะเวลาจึงตกเป็น
ผผู้ ดิ นัดและตอ้ งชำระคา่ ปรบั
สว่ นในเรอ่ื งหลกั ประกนั ทผ่ี รู้ บั จา้ งนำมามอบไว้ ผวู้ า่ จา้ งจะคนื ใหเ้ มอ่ื ผรู้ บั จา้ งพน้ ขอ้ ผกู พนั
ตามสัญญานี้แล้ว ประกอบกับสัญญาข้อ ๑๗ ท่ีให้สิทธิผู้ว่าจ้างหักค่าปรับหรือค่าเสียหายจาก
หลักประกันได้ การจะคืนหลักประกันสัญญาให้กับผู้รับจ้างจึงต้องเป็นไปตามสัญญาจ้างข้อ ๓
ดังนั้น ผู้ว่าจ้างจะต้องเป็นผู้พิจารณาว่าผู้รับจ้างพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญาแล้วหรือไม่
หากผูร้ บั จา้ งพ้นจากขอ้ ผกู พันตามสัญญานแี้ ลว้ ยอ่ มคืนหลักประกนั สญั ญาใหก้ ับผูร้ ับจ้างได้
ขอ้ เทจ็ จรงิ และข้อหารอื
กรม ท. ขอหารอื กรณไี ดท้ ำสญั ญาจา้ งใหผ้ รู้ บั จา้ งดำเนนิ การซอ่ มใหญ่ (Overhaul) ระบบฐานลอ้
(Landing Gear System) ของเครอื่ งบนิ ในวงเงนิ จำนวน ๑๙,๒๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดใหท้ ำงานแลว้ เสรจ็
ภายในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ กำหนดให้ผู้ว่าจ้างต้องทำการส่งมอบระบบฐานล้อ (Landing
Gear System) ของเครอ่ื งบนิ ใหแ้ กผ่ รู้ บั จา้ ง ณ ทา่ อากาศยานดอนเมอื ง เพอื่ นำไปดำเนนิ การตรวจซอ่ มใหญ่
(Overhaul) ณ บริษัทผู้สร้างหรือโรงงานผู้ผลิต (Original Equipment Manufacturer - OEM)
หรือแหล่งตรวจซ่อมท่ีบริษัทผู้สร้างหรือโรงงานผู้ผลิตให้การรับรอง และกำหนดให้ผู้รับจ้างจะต้อง
จัดหาระบบฐานล้อของเครื่องบิน ซ่ึงต้องมีอายุการใช้งานก่อนครบกำหนดที่จะต้องซ่อมใหญ่
หรือท่ีจะต้องถอดเปลี่ยนอุปกรณ์ท่ีมีอายุจำกัด (Life Limited Part) ตามที่โรงงานผู้ผลิตกำหนด
ท่ีเพียงพอมาทำการติดต้ังกับเคร่ืองบิน เพ่ือให้เคร่ืองบินสามารถทำการบินได้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า
อัยการนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
129
๖๐ วัน นับแต่วันท่ีผู้รับจ้างได้ทำการถอดระบบฐานล้อเพ่ือนำไปดำเนินการตรวจซ่อมใหญ่
ต่อมาเม่ือวันท่ี ๒๗ เมษายน ๒๕๕๘ ผู้รับจ้างได้มีหนังสือขอรับมอบระบบฐานล้อ ไปดำเนินการ
ตรวจซ่อม ณ ศูนย์บริการ/โรงซ่อมของบริษัท K ประเทศสิงคโปร์และส่งมอบระบบฐานล้อให้แก่
ผรู้ บั จา้ งในวนั ท่ี ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โดยในวนั ดงั กลา่ วผรู้ บั จา้ งไดด้ ำเนนิ การถอดระบบฐานลอ้ เดมิ
ของเครื่องบิน เพ่ือไปดำเนินการซ่อมใหญ่ตามสัญญาและได้ดำเนินการติดต้ังระบบฐานล้อ เพ่ือให้
เครอ่ื งบนิ สามารถทำการบนิ ได้ ซงึ่ ภายหลงั ทผ่ี รู้ บั จา้ งไดด้ ำเนนิ การถอดระบบฐานลอ้ เพอื่ ตรวจซอ่ มใหญ่
ณ ศนู ยบ์ รกิ าร/โรงซอ่ มของบรษิ ทั K ประเทศสงิ คโปร์ ตอ่ มาผรู้ บั จา้ งไดม้ หี นงั สอื แจง้ วา่ โรงงานผผู้ ลติ
ไม่สามารถดำเนินการซ่อมระบบฐานล้อตามสัญญาได้ ด้วยเหตุขัดข้องบางประการของทาง
โรงงานผู้ผลติ เอง และผรู้ ับจา้ งยินดีส่งมอบฐานล้อท่ีไดร้ ับการซ่อมใหญ่ (Overhaul) แลว้ พร้อมกบั
ส่งมอบฐานล้อเดิมให้กับกรม ท. เพื่อเป็นฐานล้อสำรองต่อไป กรม ท. เห็นว่า เมื่อผู้รับจ้าง
ไม่สามารถดำเนินการซ่อมใหญ่ระบบฐานล้ออันเป็นวัตถุประสงค์หลักของสัญญา โดยมิได ้
เป็นเพราะความผิดของผู้รับจ้างโดยตรง ดังนั้น เพ่ือประโยชน์ของทางราชการโดยตรง จึงตกลง
ยกเลิกสัญญาจ้างดังกล่าว โดยผู้รับจ้างได้มีหนังสือตอบตกลงยกเลิกสัญญาของดค่าปรับต้ังแต
่
วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ จนถึงวันยกเลิกสัญญา ขอคืนหลักประกันสัญญา และขอให้กรม ท.
ชำระคา่ ชดเชยการใชฐ้ านลอ้ ทผี่ รู้ บั จา้ งเชา่ มาตดิ ตง้ั กบั เครอื่ งบนิ โดยคดิ ตงั้ แตว่ นั ที่ ๑๕ ธนั วาคม ๒๕๕๘
จนถึงวันท่ี ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ เป็นเงินจำนวน ๓๖,๔๒๔,๕๘๓.๓๓ บาท แต่ยินดีลดราคา
ค่าชดเชยดังกล่าวลงเหลือ ๑๘,๕๐๐,๐๐๐ บาท คณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้พิจารณา
รายละเอียดค่าชดเชยตามที่ผู้รับจ้างเสนอแล้ว เห็นควรชำระค่าชดเชยให้แก่ผู้รับจ้างโดยคิดตั้งแต
่
วนั ท่ี ๑๕ ธนั วาคม ๒๕๕๘ ถงึ วันท่ี ๘ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซงึ่ เป็นวนั สุดท้ายท่ีกรม ท. ได้ใช้เครอื่ งบิน
ทำการบนิ รวม ๓๒๗ วนั คิดเป็นค่าชดเชยจำนวน ๑๔,๘๐๖,๑๒๕.๘๖ บาท กรม ท. จึงขอหารอื
มารวม ๓ ประเดน็ ดังนี้
๑. จากการยกเลิกสัญญาดังกล่าว กรม ท. สามารถดำเนินการจ่ายค่าชดเชยการใช้ฐานล้อ
(Landing Gear System) ท่ีผู้รับจ้างนำมาติดต้ังกับเคร่ืองบิน ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา
ในวงเงนิ จำนวน ๑๔,๘๐๖,๑๒๕.๘๖ บาท ตามทค่ี ณะกรรมการตรวจรับพัสดเุ สนอหรือไม่ เพยี งใด
๒. กรม ท. สามารถงดค่าปรับให้แก่ผู้รับจ้างต้ังแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ จนถึงวัน
ยกเลิกสัญญาตามข้อ ๑๓๙ แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕
ได้หรือไม่ อยา่ งไร
๓. กรม ท. ต้องคนื หลกั ประกันสัญญาให้แก่ผู้รบั จา้ งหรอื ไม่ อย่างไร
๔. ขอ้ เสนอแนะหรอื แนวทางปฏบิ ตั อิ นื่ ใดทสี่ ำนกั งานอยั การสงู สดุ เหน็ วา่ เปน็ การดำเนนิ การ
ที่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือจะเป็นประโยชน์แก่ทางราชการ หรือเพ่ือมิให้
สว่ นราชการตอ้ งเสียประโยชน
์
คำวนิ ิจฉัย
๑. หนังสือของกรม ท. ท่ีมีถึงผู้รับจ้างดังกล่าวถือเป็นคำเสนอขอเลิกสัญญา และหนังสือ
ของผู้รับจ้างที่แจ้งตอบถือเป็นคำสนอง แต่เป็นคำสนองที่มีข้อความเพ่ิมเติม มีข้อจำกัดหรือ
130 ตอบขอ้ หารือสำนกั งานอยั การสูงสดุ
ข้อแก้ไขอย่างอื่นประกอบ จึงถือว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับคำเสนอของผู้ว่าจ้าง และเป็นคำเสนอ
ของผู้รับจ้างขึ้นใหม่ คำเสนอขอเลิกสัญญาของผู้ว่าจ้างย่อมส้ินความผูกพัน ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๕๗ และ ๓๕๙ ตราบใดท่ีผู้ว่าจ้างยังมิได้ตกลงสนองรับคำเสนอใหม ่
ของผู้รับจ้าง สัญญาจ้างจึงยังไม่ถูกยกเลิก หากผู้ว่าจ้างยังประสงค์จะใช้วิธียกเลิกสัญญาโดย
ความตกลงสองฝ่าย ผู้ว่าจ้างจะต้องพิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์แก่ทางราชการ หรือเพ่ือแก้ไข
ข้อเสียเปรียบของทางราชการหรือไม่ หรือหากพิจารณาแล้วผู้รับจ้างเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้ว่าจ้าง
ก็ควรใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียว แล้วใช้สิทธิเรียกค่าปรับและค่าเสียหายตามสัญญา สำหรับ
การชดเชยค่าใช้ฐานล้อตามท่ีคณะกรรมการตรวจรับพัสดุเสนอน้ัน ในชั้นนี้ ผู้ว่าจ้างควรไป
ตรวจสอบเรื่องค่าปรับและค่าเสียหายให้เป็นท่ียุติก่อน เนื่องจากสามารถนำมาหักกลบลบหน
ี้
ตามสัญญาข้อ ๑๖ ได
้
๒. ตามสัญญาข้อ ๑ ข้อตกลงว่าจ้าง กำหนดว่า ผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างตกลงรับจ้างซ่อมใหญ่
ระบบฐานล้อของเคร่ืองบิน ตามผนวก ๑ รายละเอียดข้อกำหนดข้อ ๑ กำหนดว่าให้ผู้รับจ้าง
ดำเนินการตรวจซ่อมใหญ่ ณ บริษัทผู้สร้าง/โรงงานผู้ผลิต (OEM) หรือแหล่งตรวจซ่อมท่ีบริษัท
ผู้สร้าง/โรงงานผู้ผลิต (OEM) ให้การรับรอง ซึ่งตามข้อกำหนดแห่งสัญญาดังกล่าวไม่ได้ระบุเฉพาะ
ให้บริษัท K ประเทศสิงคโปร์เพียงแต่รายเดียวเป็นผู้ดำเนินการซ่อม ดังน้ัน การท่ีผู้รับจ้างแจ้งว่า
บริษัท K ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตระบบฐานล้อได้แจ้งเหตุขัดข้องไม่สามารถดำเนินการให้ได้เพราะ
ขาดแคลนวัตถุดิบ กรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์การชำระหน้ีเป็นพ้นวิสัยหรือเหตุสุดวิสัย
ที่ผู้รับจ้างไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาจ้าง โดยไม่ใช่ความผิดของผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างจึงยังคงมีหน้าท่ี
ต้องปฏิบัติตามสัญญาต่อผู้ว่าจ้างตามเงื่อนไขท่ีกำหนดไว้ในสัญญาจ้าง เม่ือบริษัทผู้รับจ้าง
ไมส่ ามารถซอ่ มได้ทนั ภายในกำหนดระยะเวลาจงึ ตกเปน็ ผู้ผดิ นัดและต้องชำระค่าปรับ
๓. ตามสัญญาจ้างข้อ ๓ หลักประกันท่ีผู้รับจ้างนำมามอบไว้ ผู้ว่าจ้างจะคืนให้เมื่อผู้รับจ้าง
พ้นข้อผูกพันตามสัญญานี้แล้ว ประกอบกับสัญญาข้อ ๑๗ ท่ีให้สิทธิผู้ว่าจ้างหักค่าปรับหรือ
ค่าเสียหายจากหลักประกันได้ การจะคืนหลักประกันสัญญาให้กับผู้รับจ้างจึงต้องเป็นไปตาม
สัญญาจ้างข้อ ๓ ดังนั้น ผู้ว่าจ้างจะต้องเป็นผู้พิจารณาว่าผู้รับจ้างพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญาแล้ว
หรือไม่ หากผู้รบั จา้ งพ้นจากขอ้ ผูกพนั ตามสัญญานี้แลว้ ย่อมคนื หลกั ประกนั สญั ญาใหก้ ับผูร้ บั จ้างได
้
อัยการนิเทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
131
คำวินจิ ฉัยท ี่ ห. ๒๘/๒๕๖๑
เรอ่ื ง แนวทางการดำเนนิ การทางกฎหมายกรณกี ารรับอทุ ิศทดี่ นิ
กฎหมาย ระเบยี บ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (มาตรา ๑๓๐๔ (๒))
ประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพง่ (มาตรา ๕๕)
การทำหนังสืออุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณประโยชน์ แม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน
ต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี ท่ีดินที่อุทิศน้ันก็ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สิน
สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๒) ทันที
ท่ีอุทิศให้ และสภาพความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่อาจสูญสิ้นไปเพราะการท่ี
ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้อุทิศหรือเง่ือนไขของการ
อุทิศให้ การอุทศิ ท่ีดินดังกล่าวมีผลสมบรู ณต์ ามกฎหมายแลว้
หากทด่ี นิ ทไ่ี ดอ้ ทุ ศิ ใหเ้ ปน็ สาธารณประโยชนน์ น้ั เปน็ ทดี่ นิ แปลงใหญ่ และอทุ ศิ ใหเ้ พยี ง ๑ ไร่
โดยไม่ทราบว่าเจ้าของที่ดินเดิม (ผู้อุทิศ) จะยกท่ีดินบริเวณใดในแปลงดังกล่าว จำนวน ๑ ไร่
ให้กับทางราชการ อีกทั้ง ผู้อุทิศบ่ายเบ่ียงไม่ยอมมาดำเนินการรังวัดแบ่งแยกท่ีดินให้กับ
ส่วนราชการ และอ้างว่าตนได้แสดงเจตนายกเลิกการอุทิศที่ดินแล้ว เพราะเป็นระยะเวลากว่า
๓๐ ปี ดงั นน้ั หากผอู้ ทุ ศิ ไมย่ นิ ยอมมาดำเนนิ การรงั วดั แบง่ แยกทด่ี นิ ตามทไี่ ดอ้ ทุ ศิ ไว้ สว่ นราชการ
ทีเ่ กี่ยวข้องอาจใช้สทิ ธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ได
้
ข้อเท็จจริงและข้อหารือ
เม่ือวันท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๙ นาง ย. ได้ทำหนังสืออุทิศท่ีดินให้เป็นสาธารณะต่อ
นายอำเภอ พ. เน้ือท่ีประมาณ ๑ ไร่ โดยยกให้เป็นที่สำหรับสร้างตลาดสด และถ้าไม่ได้สร้าง
ท่าเทียบเรือ ขอยกเลิกหนังสืออุทิศท่ีดินฉบับน้ี ต่อมาเมื่อวันท่ี ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๒๙ นาง ย.
โดย นางสาว ท. ผู้แทน (บุตรสาว) ได้ทำบันทึกตกลงยกท่ีดินให้ก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือ
ตอ่ รองผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ส. โดยตกลงวา่ ในกรณที ที่ างราชการจะดำเนนิ การสรา้ งสะพานทา่ เทยี บเรอื
ใหส้ รา้ งในเขตทด่ี นิ ดงั กลา่ ว และนาง ย. ยนิ ยอมกนั เขตทด่ี นิ รมิ ทะเลตลอดแนวเขตทดี่ นิ ลกึ ๑๐ เมตร
ไว้เป็นท่ีสาธารณประโยชน์ใช้ร่วมกันในกิจการท่าเรือ และกันเขตที่ดินสำหรับก่อสร้างถนน
ตามแนวเขตท่ีดินที่กันไว้เป็นสาธารณประโยชน์ กว้าง ๑๖ เมตร ตลอดแนวเขตที่ดิน และนาง ย.
ยนิ ดยี กทด่ี นิ ตดิ กบั ถนนทา่ เทยี บเรอื สำหรบั ทำสำนกั งานทา่ เทยี บเรอื ขนาดกวา้ ง ๑๒ เมตร ลกึ ๒๐ เมตร
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้มีการสร้างท่าเทียบเรือ และเปิดใช้ท่าเทียบเรือเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๓๑
และทางราชการไดม้ กี ารสรา้ งถนนทา่ เทยี บเรอื ดงั กลา่ วเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ และใชเ้ ปน็ ทางสญั จรไปมา
ท่าเทียบเรือของประชาชน ส่วนสำนักงานท่าเทียบเรือยังไม่ได้มีการก่อสร้าง สำหรับการก่อสร้าง
ตลาดสดยังไม่ได้มีการก่อสร้างแต่อย่างใด เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินแปลงใหญ่ไม่ทราบ
จำนวนเน้ือท่ีที่ชัดเจน และไม่ทราบว่านาง ย. จะยกที่ดินบริเวณใดในแปลงดังกล่าว จำนวน ๑ ไร่
ให้กับทางราชการเพื่อสร้างตลาดสด อีกทั้ง นาง ย. บ่ายเบ่ียงไม่ยอมมาดำเนินการรังวัดแบ่งแยก
132 ตอบขอ้ หารอื สำนกั งานอัยการสงู สุด
ทดี่ นิ จำนวน ๑ ไร่ ใหก้ บั ทางราชการ โดยอา้ งวา่ ตนไดแ้ สดงเจตนายกเลกิ การอทุ ศิ ใหก้ บั ทางราชการแลว้
เพราะต้ังแต่อุทิศที่ดินให้จนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลากว่า ๓๐ ปี ยังไม่ได้ดำเนินการสร้างตลาดสด
ในทดี่ นิ ทอ่ี ทุ ศิ เลย ตอ่ มาเทศบาลตำบล ก. ไดม้ หี นงั สอื ลงวนั ท่ี ๒๖ ธนั วาคม ๒๕๖๐ แจง้ ไปยงั นาง ย.
ยืนยันสิทธิ์การรับอุทิศที่ดิน เพ่ือดำเนินการก่อสร้างสำนักงานท่าเทียบเรือและตลาดสดตามท่ีระบุ
ในหนังสืออุทิศที่ดิน โดยขอให้นาง ย. ดำเนินการรังวัดและแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับ
เทศบาลตำบล ก. ดว้ ย ซง่ึ เทศบาลตำบล ก. ไดร้ บั หนงั สอื ของนาง ย. เมอ่ื วนั ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๑
แจ้งบอกเลิกเพิกถอนการอุทิศท่ีดิน เทศบาลตำบล ก. จึงขอหารือแนวทางในการดำเนินการ
ขอรับอุทิศท่ีดินแปลงดังกล่าวเพ่ือดำเนินการก่อสร้างสำนักงานท่าเทียบเรือและตลาดสดว่า
จะสามารถทำได้หรือไมเ่ พียงใด
คำวนิ ิจฉยั
สำนกั งานอยั การสงู สดุ พจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ การทำหนงั สอื อทุ ศิ ทดี่ นิ ใหเ้ ปน็ สาธารณประโยชน์
แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่ีดินที่อุทิศนั้นก็ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ประเภททรพั ยส์ นิ สำหรบั พลเมอื งใชร้ ว่ มกนั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๒)
ทันทีที่อุทิศให้ และสภาพความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่อาจสูญส้ินไปเพราะการท ี่
สว่ นราชการทเ่ี กย่ี วขอ้ งยงั ไมไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชนต์ ามความประสงคข์ องผอู้ ทุ ศิ หรอื เงอื่ นไขของการอทุ ศิ ให้
กรณีการทำหนังสืออุทิศท่ีดินของนาง ย. ให้เป็นสาธารณะสำหรับสร้างตลาดสด โดยมีเง่ือนไขว่า
ถ้าไม่ได้สร้างท่าเทียบเรือขอยกเลิกหนังสืออุทิศที่ดินฉบับน้ีนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทางราชการ
ไดม้ กี ารสรา้ งทา่ เทยี บเรอื เรยี บรอ้ ย โดยเปดิ ใชท้ า่ เทยี บเรอื เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ แมร้ ะยะเวลาจะผา่ นมานาน
โดยทยี่ งั ไมม่ กี ารสรา้ งตลาดสดตามความประสงคข์ องการอทุ ศิ แตก่ ารอทุ ศิ ทด่ี นิ ของนาง ย. ดงั กลา่ ว
มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ส่วนกรณีที่นาง ย. ได้ทำหนังสือยกท่ีดินติดกับถนนท่าเทียบเรือ
ใหก้ บั ทางราชการเพอ่ื ใหส้ รา้ งสำนกั งานทา่ เทยี บเรอื นนั้ ทด่ี นิ ทอ่ี ทุ ศิ ตกเปน็ สาธารณสมบตั ขิ องแผน่ ดนิ แลว้
แมร้ ะยะเวลาจะผา่ นมานานโดยทยี่ งั ไมม่ กี ารสรา้ งสำนกั งานทา่ เทยี บเรอื กต็ าม แตก่ ารอทุ ศิ ทดี่ นิ ดงั กลา่ ว
มีผลสมบูรณต์ ามกฎหมายแล้วเชน่ กนั
อย่างไรก็ดี จากข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินที่นาง ย. ได้อุทิศให้สร้างตลาดสดน้ัน เป็นท่ีดิน
แปลงใหญ่ และอุทิศให้เพียง ๑ ไร่ โดยไม่ทราบว่านาง ย. จะยกที่ดินบริเวณใดในแปลงดังกล่าว
จำนวน ๑ ไร่ ให้กับทางราชการเพื่อสร้างตลาดสด อีกท้ังนาง ย. บ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาดำเนินการ
รังวัดแบ่งแยกที่ดิน จำนวน ๑ ไร่ ให้กับทางราชการ โดยอ้างว่าตนได้แสดงเจตนายกเลิกการอุทิศ
ที่ดินแล้วเพราะเป็นระยะเวลากว่า ๓๐ ปี แต่ยังไม่มีการสร้างตลาดสดในท่ีดินท่ีอุทิศ ดังน้ัน
หากนาง ย. ไม่ยินยอมมาดำเนินการรังวัดแบ่งแยกท่ีดินตามที่ได้อุทิศไว้ เทศบาลตำบล ก.
อาจใชส้ ิทธทิ างศาลตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพง่ มาตรา ๕๕ ได
้
อยั การนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
133
คำวนิ จิ ฉัยที่ ห. ๕๕/๒๕๖๑
เรอื่ ง การขอชำระค่าสนิ ไหมทดแทน
กฎหมาย ระเบียบ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (มาตรา ๖๙๘, ๗๐๐, ๑๖๐๐, ๑๖๓๕ (๑))
ในกรณที ผ่ี คู้ ำ้ ประกนั ถงึ แกค่ วามตาย สญั ญาคำ้ ประกนั ยงั ไมร่ ะงบั ไป การทเี่ จา้ หนห้ี กั เงนิ เดอื น
จากลกู หนเี้ ปน็ เวลาสามเดอื น แตเ่ จา้ หนมี้ ไิ ดต้ กลงผอ่ นเวลาทแี่ นน่ อน และเจา้ หนจ้ี ะใชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ ง
เมื่อใดก็ได้ จงึ มใิ ชก่ ารผอ่ นเวลาอนั มผี ลใหผ้ คู้ ำ้ ประกนั หลดุ พน้ และเมอื่ ผคู้ ำ้ ประกนั ยงั ไมห่ ลดุ พน้
และถงึ แกค่ วามตาย สัญญาค้ำประกันยังไม่ระงับส้ินไป นาง ป. ในฐานะทายาทของผู้ค้ำประกัน
จึงยังต้องรับผดิ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๖๐๐ ประกอบมาตรา ๑๖๓๕ (๑)
ขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ หารอื
นาย ก. ซงึ่ ดำรงตำแหนง่ ผอู้ ำนวยการกองชา่ ง สงั กดั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบล ส. ไดท้ ำหนงั สอื
ค้ำประกันการจ้างพนักงานจ้างรายนาย ข. โดยยินยอมรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจาก
การกระทำทั้งโดยเจตนาและประมาทเลินเล่อ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สิทธิ
หรือทรัพย์สินใด ๆ ขององค์การบริหารส่วนตำบล ส. ต่อมาเม่ือวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘
องค์การบริหารส่วนตำบล ส. มีคำสั่งให้นาย ข. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความรับผิดทางละเมิด
เป็นจำนวนเงินทั้งส้ิน ๙๙,๙๒๖.๒๓ บาท แต่นาย ข. ไม่ชำระ องค์การบริหารส่วนตำบล ส.
จึงได้มีหนังสือแจ้งนาย ก. เพื่อบังคับตามหนังสือค้ำประกันการจ้างพนักงานจ้าง และได้บังคับ
ตามสัญญาจ้างพนักงานโดยการหักเงินเดือนนาย ข. เพ่ือชดใช้เป็นค่าสินไหมทดแทนความรับผิด
ทางละเมดิ ดงั กลา่ ว ในอตั ราเดอื นละ ๙,๕๐๐ บาท โดยเรมิ่ หกั เดอื นกรกฎาคม ๒๕๖๐ เปน็ เดอื นแรก
แตป่ รากฏว่าผู้ค้ำประกนั ได้เสยี ชวี ิตเมอื่ วนั ท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ต่อมาวนั ท่ี ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๐
นาย ข. ไดอ้ อกจากราชการ ทำใหอ้ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบล ส. ไมส่ ามารถหกั เงนิ เดอื นหรอื เงนิ อนื่ ใด
จากนาย ข. ผกู้ ระทำละเมดิ ไดอ้ กี องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบล ส. ไดท้ ำการตรวจสอบภาระคา่ สนิ ไหมทดแทน
คงเหลือ ปรากฏว่ามจี ำนวนทั้งส้นิ ๗๑,๔๒๖.๒๓ บาท องค์การบรหิ ารส่วนตำบล ส. จงึ ไดม้ ีหนงั สอื
แจ้งให้นาย ก. และทายาทของนาย ก. ทราบและให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่องค์การบริหาร
ส่วนตำบล ส. ต่อมาวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑ นาง ป. ทายาทนาย ก. ได้มีหนังสือแจ้งขอชำระ
ค่าสินไหมทดแทนและยินยอมให้หักเงินเดือน โดยขอผ่อนชำระในอัตราเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบล ส. จงึ ขอหารอื วา่ กรณผี คู้ ำ้ ประกนั เสยี ชวี ติ ดงั กลา่ ว ทำใหส้ ญั ญาคำ้ ประกนั
ส้ินสดุ ลงหรอื ไม่ และทายาทยังต้องรบั ผิดตามกฎหมายว่าดว้ ยมรดกหรือไม
่
คำวินจิ ฉัย
สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่า ความระงับสิ้นไปแห่งการค้ำประกันตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๘ เม่ือหนี้ของลูกหนี้ระงบั สิ้นไปไมว่ า่ เพราะเหตุใด ๆ
และ/หรือ ตามมาตรา ๗๐๐ ผู้ค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระที่มีกำหนดเวลาแน่นอนและเจ้าหน ี้
ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด ซ่ึงในกรณีที่ผู้ค้ำประกันถึงแก่
ความตาย สัญญาค้ำประกันจึงยังไม่ระงับไป และการที่เจ้าหนี้หักเงินเดือนจากลูกหน้ีเป็นเวลา
สามเดือน แต่เจ้าหนี้มิได้ตกลงผ่อนเวลาที่แน่นอนและเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องเมื่อใดก็ได้ จึงมิใช่
การผ่อนเวลาอันมีผลให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้น และเมื่อผู้ค้ำประกันยังไม่หลุดพ้นและถึงแก่ความตาย
สัญญาค้ำประกันยังไม่ระงับสิ้นไป นาง ป. ในฐานะทายาทของผู้ค้ำประกัน จึงยังต้องรับผิด
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา ๑๖๐๐ ประกอบมาตรา ๑๖๓๕ (๑) ต่อไป
134 ตอบขอ้ หารือสำนักงานอัยการสงู สุด
คำวินจิ ฉัยท่ี ห. ๕๖/๒๕๖๑
เร่อื ง ขอ้ กฎหมายกรณีจดทะเบียนสมรสซ้อน
กฎหมาย ระเบยี บ พระราชบญั ญตั ิใหใ้ ช้บทบัญญตั บิ รรพ ๕ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชยท์ ีไ่ ด้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (มาตรา ๑๔๕๒, ๑๔๙๕, ๑๔๙๙)
การจดทะเบยี นสมรสระหวา่ งนาย น. กบั นาง จ. เมอื่ วนั ท่ี ๒๒ มนี าคม ๒๕๒๗ ซง่ึ ขณะนน้ั
พระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ชบ้ ทบญั ญตั บิ รรพ ๕ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยท์ ไี่ ดต้ รวจชำระใหม่
พ.ศ. ๒๕๑๙ บังคับใช้อยู่ ความเป็นโมฆะของการสมรสจึงต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติ
ใหใ้ ชบ้ ทบญั ญตั บิ รรพ ๕ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยท์ ไี่ ดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙
ซง่ึ ใชบ้ งั คบั ขณะนนั้ เมอ่ื ปรากฏวา่ นาย น. จดทะเบยี นสมรสกบั นาง จ. ในขณะทน่ี าย น. ยงั คงเปน็
คู่สมรสของนาง ส. ซ่ึงได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ การสมรสระหว่างนาย น.
กับนาง จ. จึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕๒ มีผลเป็นโมฆะ
ตามมาตรา ๑๔๙๕ ซ่ึงจะต้องมีคำพิพากษาของศาลแสดงว่าการสมรสนั้นเป็นโมฆะแล้วเท่าน้ัน
โดยจะมีผลตกเป็นโมฆะต้ังแต่วันที่ได้จดทะเบียนสมรส ดังนั้น หากยังไม่มีคำพิพากษาของศาล
แสดงว่าการสมรสระหว่างนาย น. กับนาง จ. เป็นโมฆะ ต้องถือว่า การสมรสระหว่างนาย น.
กับนาง จ. ยังมีอยู่
เม่ือนาย น. ซ่ึงเป็นข้าราชการจดทะเบียนสมรสซ้อนกับนาง จ. และเน่ืองจาก
การสมรสซอ้ นนน้ั ทำใหน้ าย น. เปน็ ผมู้ สี ทิ ธไิ ดร้ บั เงนิ สวสั ดกิ ารเกย่ี วกบั การรกั ษาพยาบาลนาง จ.
ซึ่งเป็นคู่สมรสของตนจากทางราชการ การจดทะเบียนสมรสซ้อนระหว่างนาย น. กับนาง จ.
จึงเป็นการโต้แย้งต่อสิทธิและหน้าท่ีของกรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นผู้พิจารณาจ่ายเงินสวัสดิการ
เก่ียวกับการรักษาพยาบาล กรมบัญชีกลางจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่า
การสมรสซ้อนน้ันเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๔๙๗ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕
แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ทไี่ ดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย
์
ท่ีได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๑๔๕๒ ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตน
มคี สู่ มรสอยไู่ มไ่ ด้ การสมรสทฝ่ี า่ ฝนื บทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วเปน็ โมฆะ แตท่ งั้ นไี้ มเ่ ปน็ ผลใหช้ ายหรอื หญงิ
ผ้สู มรสโดยสจุ รติ เสอ่ื มสิทธิท่ีไดม้ าเพราะการสมรสนั้น ตามมาตรา ๑๔๙๙ การที่นาย น. ซ่ึงเป็น
ผจู้ ดทะเบยี นสมรสกบั นาง ส. มากอ่ นแลว้ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ และเมอื่ ไดม้ าจดทะเบยี นสมรสอกี ครงั้
กับนาง จ. เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๗ ย่อมรู้ว่าตนจดทะเบียนสมรสซ้อน ถือว่านาย น.
สมรสโดยไม่สุจริต จึงเป็นเหตุให้เสื่อมสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรสนั้น ตามมาตรา ๑๔๙๙
ซ่ึงสิทธิท่ีได้มาเพราะการสมรสดังกล่าวหมายความรวมถึงสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล
ขา้ ราชการดว้ ย
อัยการนิเทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
135
ขอ้ เทจ็ จริงและข้อหารือ
กรม บ. ไดม้ กี ารตรวจสอบการเบิกค่ารักษาพยาบาลของนาย น. กรณีการใช้สทิ ธเิ บกิ จา่ ยตรง
คา่ รกั ษาพยาบาลของนาง จ. ตามพระราชกฤษฎกี าเงนิ สวสั ดกิ ารเกยี่ วกบั การรกั ษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓
และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่านาย น. สมรสกับนาง ส. ในปี ๒๕๒๖ ต่อมาได
้
จดทะเบียนสมรสกับนาง จ. เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๗ และได้จดทะเบียนหย่ากับนาง ส.
เมอื่ วันท่ี ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๗ กรณีน้ี นาง จ. เป็นคสู่ มรสท่ชี อบดว้ ยกฎหมายของนาย น. หรอื ไม่
ซ่ึงจะทำให้นาย น. มีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลของคู่สมรสจากทางราชการต่อไป กรม บ.
จึงขอหารือว่า
๑. นาย น. จดทะเบียนสมรสกับนาง จ. ในปี ๒๕๒๗ ความเป็นโมฆะของการสมรส
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๕
แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ท่ไี ด้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ ซงึ่ เป็นกฎหมายทใี่ ชบ้ ังคบั
อยู่ในขณะนั้น หรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัต
ิ
แกไ้ ขเพ่มิ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๓๓)
๒. นาง จ. เป็นคูส่ มรสที่ชอบดว้ ยกฎหมายของนาย น. หรอื ไม
่
๓. หากการสมรสระหวา่ งนาง จ. และนาย น. มผี ลเปน็ โมฆะแล้ว จะต้องดำเนนิ การอยา่ งไร
ตอ่ ไปหรอื ไม่ ทจี่ ะมผี ลทางกฎหมายใหก้ ารสมรสซอ้ นเปน็ โมฆะ กลา่ วคอื ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี คนใดคนหนงึ่
สามารถกล่าวอา้ งขึ้นได้ หรอื การสมรสจะเป็นโมฆะไดเ้ พราะคำพิพากษาของศาลเท่านนั้
๔. เมอื่ ดำเนนิ การตามขอ้ ๓ แล้วจะมีผลบังคับตงั้ แตเ่ มือ่ ใด
๕. สำหรับกรณีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กรมบัญชีกลางซึ่งเป็น
ผพู้ จิ ารณาจา่ ยเงนิ สวสั ดกิ ารรกั ษาพยาบาลเปน็ ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ทจ่ี ะกลา่ วอา้ งความเปน็ โมฆะของการสมรส
หรือรอ้ งขอใหศ้ าลพพิ ากษาวา่ การสมรสเป็นโมฆะหรือไม่
๖. การสมรสที่เป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕๒
ชายซ่ึงเป็นผู้จดทะเบียนสมรสซ้อนถือว่าชายนั้นสมรสโดยไม่สุจริต ทำให้เสื่อมสิทธิท่ีได้มาเพราะ
การสมรสนั้นตามมาตรา ๑๔๙๙ วรรคสอง ใช่หรือไม่ และสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรสดังกล่าว
หมายรวมถงึ สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการด้วยหรือไม
่
คำวนิ จิ ฉยั
สำนักงานอัยการสูงสุดพจิ ารณาแล้ว เห็นวา่
๑. จากขอ้ หารอื ท่ี ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ การจดทะเบียนสมรสระหวา่ งนาย น. กับนาง จ.
เม่ือวันท่ี ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๗ ซ่ึงขณะนั้นพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ยท์ ไี่ ดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ บงั คบั ใชอ้ ยู่ ความเปน็ โมฆะของการสมรส
จึงต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ท่ีได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ ซึ่งใช้บังคับขณะนั้น เมื่อปรากฏว่านาย น.
จดทะเบยี นสมรสกบั นาง จ. ในขณะทน่ี าย น. ยงั คงเปน็ คสู่ มรสของนาง ส. ซงึ่ ไดจ้ ดทะเบยี นสมรสกนั
เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ การสมรสระหวา่ ง นาย น. กับนาง จ. จงึ เปน็ การฝา่ ฝืนประมวลกฎหมายแพ่ง
136 ตอบข้อหารือสำนกั งานอยั การสงู สดุ
และพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕๒ มีผลเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๔๙๕ ซึ่งจะต้องมีคำพิพากษาของศาล
แสดงวา่ การสมรสนนั้ เปน็ โมฆะแลว้ เทา่ นนั้ โดยจะมผี ลตกเปน็ โมฆะตง้ั แตว่ นั ทไี่ ดจ้ ดทะเบยี นสมรส ดงั นน้ั
หากยงั ไม่มคี ำพพิ ากษาของศาลแสดงวา่ การสมรสระหวา่ งนาย น. กบั นาง จ. เป็นโมฆะ ต้องถอื ว่า
การสมรสระหวา่ งนาย น. กับนาง จ. ยงั มอี ยู่
๒. จากข้อหารือที่ ๕ เม่ือนาย น. ซึ่งเป็นข้าราชการจดทะเบียนสมรสซ้อนกับนาง จ.
และเน่ืองจากการสมรสซ้อนน้ันทำให้นาย น. เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ
รักษาพยาบาลนาง จ. ซึ่งเป็นคู่สมรสของตนจากทางราชการ การจดทะเบียนสมรสซ้อนระหว่าง
นาย น. กับนาง จ. จึงเป็นการโต้แย้งต่อสิทธิและหน้าที่ของกรมบัญชีกลาง ซ่ึงเป็นผู้พิจารณา
จ่ายเงนิ สวสั ดิการเก่ยี วกบั การรักษาพยาบาล กรมบัญชีกลางจงึ เป็นผ้มู ีส่วนได้เสียทจ่ี ะร้องขอใหศ้ าล
พิพากษาว่าการสมรสซ้อนน้ันเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๔๙๗ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช
้
บทบัญญตั บิ รรพ ๕ แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ท่ไี ดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙
๓. จากข้อหารือท่ี ๖ พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชยท์ ่ไี ดต้ รวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๑๔๕๒ ชายหรอื หญิงจะทำการสมรสในขณะ
ทต่ี นมคี สู่ มรสอยไู่ มไ่ ด้ การสมรสทฝี่ า่ ฝนื บทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วเปน็ โมฆะ แตท่ ง้ั นไ้ี มเ่ ปน็ ผลใหช้ ายหรอื หญงิ
ผู้สมรสโดยสุจริตเสื่อมสิทธิท่ีได้มาเพราะการสมรสน้ัน ตามมาตรา ๑๔๙๙ การท่ีนาย น. ซึ่งเป็น
ผ้จู ดทะเบยี นสมรสกับ นาง ส. มากอ่ นแลว้ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ และเมอื่ ไดม้ าจดทะเบียนสมรสอีกครง้ั
กบั นาง จ. เมอื่ วนั ท่ี ๒๒ มนี าคม ๒๕๒๗ ยอ่ มรวู้ า่ ตนจดทะเบยี นสมรสซอ้ น ถอื วา่ นาย น. สมรสโดยไมส่ จุ รติ
จึงเป็นเหตุให้เส่ือมสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรสนั้น ตามมาตรา ๑๔๙๙ ซึ่งสิทธิที่ได้มา
เพราะการสมรสดงั กลา่ วหมายความรวมถงึ สิทธิสวสั ดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการด้วย
อัยการนิเทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
137
คำวนิ จิ ฉยั ท่ี ห. ๖๒/๒๕๖๑
เรอ่ื ง การเปลีย่ นหนังสือค้ำประกนั สัญญา
กฎหมาย ระเบยี บ ระเบยี บกระทรวงการคลังวา่ ด้วยการจัดซ้ือจดั จ้างและการบรหิ ารพสั ดุ
ภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๑๗๐
ผู้รับจ้างยังมีข้อผูกพันเก่ียวกับความชำรุดบกพร่องอยู่ การประปา ภ. จึงมีสิทธิยึด
หนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาไว้ได้จนกว่าบริษัท ท. ผู้รับจ้างจะส้ินความผูกพัน
เกี่ยวกับการรับประกันความชำรุดบกพร่องทั้งหมด อีกท้ังกรณีนี้มิใช่กรณีการจัดซื้อจัดจ้าง
ท่ีไม่ต้องมีการประกันเพ่ือความชำรุดบกพร่อง ซึ่งจะเข้าเงื่อนไขตามระเบียบกระทรวงการคลัง
วา่ ด้วยการจัดซอื้ จัดจา้ งและการบรหิ ารพสั ดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ขอ้ ๑๗๐ ทใ่ี หค้ ืนหลกั ประกัน
ตามอัตราส่วนของงานพัสดุซึ่งหน่วยงานของรัฐได้รับมอบไว้ในกรณีท่ีคู่สัญญาพ้นจากข้อผูกพัน
ตามสัญญาแลว้ ดังนนั้ หนงั สอื สญั ญาคำ้ ประกันซงึ่ วางไว้เปน็ หลักประกนั การปฏบิ ตั ิตามสัญญา
จึงยงั คงมีผลตามสัญญาฯ ข้อ ๑๑.๑.๒ และไมอ่ าจคนื หลกั ประกันสญั ญาดงั กล่าวใหแ้ ก่บรษิ ัทฯ
ผ้รู ับจ้างไมว่ า่ ทงั้ หมดหรือบางสว่ นได้ การที่บริษัทฯ ผูร้ ับจา้ งร้องขอให้ดำเนนิ การเปล่ยี นหนงั สอื
คำ้ ประกันสัญญา โดยใหม้ ีวงเงินคำ้ ประกันเท่ากบั รอ้ ยละ ๕ ของมูลคา่ งาน ทยี่ งั อยู่ในระยะเวลา
การรับประกันความชำรุดบกพร่องอันมีผลเท่ากับเป็นการขอคืนหลักประกันสัญญาบางส่วน
จงึ ไม่อาจกระทำได
้
ขอ้ เท็จจริงและข้อหารอื
การประปา ภ. ไดท้ ำสญั ญาวา่ จา้ งบรษิ ทั ท. เพอื่ ดำเนนิ งานบรหิ ารจดั การลดนำ้ สญู เสยี ในพน้ื ที่
การประปา ภ. ซ่ึงบริษัท ท. ได้นำหนังสือค้ำประกันมาวางเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา
ต่อการประปา ภ. จำนวน ๒๐,๑๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ ๕ ของค่าจ้างตามสัญญา
โดยหนังสือค้ำประกันดังกล่าวน้ัน จะมีผลตั้งแต่วันลงนามในสัญญาจนถึงวันที่ภาระหน้าท่ีท้ังหลาย
ของบริษัท ท. จะได้ปฏิบัติให้สำเร็จลุล่วงไปครบถ้วนตามสัญญาทุกประการ และสัญญากำหนดให้
บรษิ ทั ท. สง่ มอบผลงานทที่ ำจรงิ ในแตล่ ะรอบเดอื น โดยบรษิ ทั ท. จะตอ้ งรบั ประกนั ความชำรดุ บกพรอ่ ง
ของงานจ้างดังกล่าวภายในกำหนด ๒ ปี นับถัดจากวันท่ีการประปา ภ. ได้รับมอบงานดังกล่าว
ในแต่ละเดือนจากบรษิ ัท ท. โดยไมม่ ีเงอ่ื นไขของสญั ญากำหนดให้สทิ ธบิ รษิ ัท ท. สามารถขอเปลย่ี น
หนงั สอื ค้ำประกันเท่ากับร้อยละ ๕ ของมลู ค่างานที่ยงั อยู่ในระหว่างระยะเวลาคำ้ ประกันการปฏิบัติ
ตามสญั ญาได้ ตอ่ มาภายหลังสนิ้ สุดระยะเวลาของสัญญาแลว้ บรษิ ทั ท. ไดม้ ีหนังสือแจง้ ขอเปล่ยี น
หนังสือค้ำประกันสัญญาดังกล่าว โดยขอนำหนังสือค้ำประกันฉบับใหม่ซึ่งมีวงเงินค้ำประกันเท่ากับ
ร้อยละ ๕ ของมูลค่างานท่ียังอยู่ในระยะเวลาการรับประกันความชำรุดบกพร่องตามสัญญามามอบ
ให้แก่การประปา ภ. เพื่อให้วงเงินค้ำประกันตามหนังสือค้ำประกันฉบับใหม่เหมาะสมกับมูลค่างาน
ทย่ี งั อยใู่ นระยะเวลาการรบั ประกนั ความชำรดุ บกพรอ่ งเทา่ นนั้ โดยบรษิ ทั ท. เหน็ วา่ เมอื่ ไดด้ ำเนนิ งาน
138 ตอบข้อหารือสำนักงานอยั การสงู สดุ
ตามทก่ี ำหนดในสญั ญาแลว้ เสรจ็ และครบกำหนด ๒ ปี นบั ถดั จากวนั ทกี่ ารประปา ภ. ตรวจรบั งานดงั กลา่ ว
ทไ่ี ดส้ ง่ มอบในแตล่ ะเดอื นแลว้ จงึ ถอื ไดว้ า่ งานในสว่ นนน้ั ยอ่ มสน้ิ สดุ ภาระผกู พนั ตามเงอื่ นไขความรบั ผดิ
ของคู่สัญญาไปด้วย การประปา ภ. จึงขอหารือว่า การขอเปลี่ยนหนังสือค้ำประกันสัญญาโดยให้มี
วงเงนิ คำ้ ประกนั เทา่ กบั รอ้ ยละ ๕ ของมลู คา่ งานทยี่ งั อยใู่ นระยะเวลาการรบั ประกนั ความชำรดุ บกพรอ่ ง
ตามท่บี รษิ ทั ท. รอ้ งขอน้นั จะสามารถดำเนินการไดห้ รอื ไม่ อย่างไร
คำวนิ ิจฉัย
ตามสัญญาจ้างงานจ้างบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียข้อ ๑๑.๑.๒ ได้กำหนดให้หนังสือ
ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญามีผลต้ังแต่วันลงนามในสัญญาจนถึงวันที่ภาระหน้าที่ท้ังหลายของ
ผรู้ บั จา้ งจะไดป้ ฏบิ ตั ใิ หส้ ำเรจ็ ลลุ ว่ งไปครบถว้ นตามสญั ญาทกุ ประการ เวน้ แตจ่ ะกำหนดไวเ้ ปน็ อยา่ งอน่ื
และตามขอ้ ๔.๕ ของสญั ญาดงั กลา่ วไดก้ ำหนดใหผ้ รู้ บั จา้ งตอ้ งรบั ผดิ ในความชำรดุ บกพรอ่ งหรอื เสยี หาย
เกดิ ขนึ้ จากงานดงั กลา่ วภายในกำหนด ๒ ปี นบั ถดั จากวนั ทผี่ วู้ า่ จา้ งไดร้ บั มอบงานดงั กลา่ วจากผรู้ บั จา้ ง
สัญญาตามกรณีหารือนี้จึงมีเงื่อนไขการรับประกันความชำรุดบกพร่อง แม้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า
การประปา ภ. ไดร้ บั มอบงานจา้ งตามสญั ญาจา้ งจำนวน ๓๖ ครงั้ และปจั จบุ นั มงี านทรี่ บั มอบบางสว่ น
พ้นระยะเวลาท่ีบริษัท ท. ผู้รับจ้างต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่อง แต่ตามสัญญาฯ ข้อ ๔.๕
ดังกล่าวข้างต้น บริษัท ท. ผู้รับจ้างก็ยังมีภาระผูกพันท่ีต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องในงาน
ที่ยังไม่ครบกำหนด ๒ ปี นับถัดจากวนั ที่การประปา ภ. ไดร้ ับมอบงาน ปจั จุบันบริษัท ท. ผรู้ บั จ้าง
จึงยงั ไม่พ้นภาระผกู พนั ครบถว้ นตามสญั ญาทุกประการ ประกอบกบั สัญญานไ้ี ม่มีเง่ือนไขให้แบง่ แยก
หลักประกันคืนเป็นส่วน ๆ ได้ กรณีต้องถือว่าบริษัท ท. ผู้รับจ้างยังมีข้อผูกพันเก่ียวกับ
ความชำรุดบกพร่องอยู่ การประปา ภ. จึงมีสิทธิยึดหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาไว้ได้
จนกว่าบริษัท ท. ผู้รับจ้างจะสิ้นความผูกพันเกี่ยวกับการรับประกันความชำรุดบกพร่องท้ังหมด
อีกทั้งกรณีน้ีมิใช่กรณีการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่ต้องมีการประกันเพื่อความชำรุดบกพร่อง ซึ่งจะเข้า
เงื่อนไขตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๑๗๐ ที่ให้คืนหลักประกันตามอัตราส่วนของงานพัสดุ ซ่ึงหน่วยงานของรัฐ
ได้รับมอบไว้ในกรณีท่ีคู่สัญญาพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญาแล้ว ดังน้ัน หนังสือสัญญาค้ำประกัน
ซ่ึงวางไว้เป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาในกรณีนี้จึงยังคงมีผลตามสัญญาฯ ข้อ ๑๑.๑.๒
และไม่อาจคืนหลักประกันสัญญาดังกล่าวให้แก่บริษัท ท. ผู้รับจ้างไม่ว่าท้ังหมดหรือบางส่วนได้
การที่บริษัท ท. ผู้รับจ้างร้องขอให้ดำเนินการเปล่ียนหนังสือค้ำประกันสัญญา โดยให้มีวงเงิน
ค้ำประกันเท่ากับร้อยละ ๕ ของมูลค่างานท่ียังอยู่ในระยะเวลาการรับประกันความชำรุดบกพร่อง
อันมผี ลเทา่ กบั เปน็ การขอคืนหลกั ประกนั สัญญาบางส่วน จงึ ไม่อาจกระทำได้
อยั การนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
139
คำวินจิ ฉัยที่ ห. ๗๐/๒๕๖๑
เรอ่ื ง ผลของการบอกเลกิ สญั ญา
กฎหมาย ระเบยี บ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (มาตรา ๒๒๒, ๓๖๙, ๓๘๖, ๓๙๑, ๓๙๒)
พระราชบญั ญตั กิ ารจดั ซอ้ื จดั จา้ งและการบรหิ ารพสั ดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐
(มาตรา ๑๐๙ (๒))
ระเบยี บกระทรวงการคลงั วา่ ดว้ ยการจดั ซอ้ื จดั จา้ งและการบรหิ ารพสั ดภุ าครฐั
พ.ศ. ๒๕๖๐
เมื่อผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างเหมากับผู้รับจ้างเพราะเหตุผิดสัญญาแล้ว หากผู้ว่าจ้าง
ประสงค์จะจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่ ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและ
การบรหิ ารพสั ดภุ าครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และระเบยี บกระทรวงการคลังว่าดว้ ยการจดั ซอื้ จดั จ้างและ
การบริหารพสั ดุภาครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐
ในสัญญาได้กำหนดว่า “ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของงานจ้างเม่ืองานแล้ว
เสร็จสมบูรณ์ และผู้ว่าจ้างได้รับมอบงานจ้างท่ีแล้วเสร็จสมบูรณ์” แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ผู้ว่าจ้างได้บอกเลิกสัญญาจ้างก่อนท่ีผู้รับจ้างรายเดิมจะส่งมอบงานแล้วเสร็จสมบูรณ์ จึงมีผล
ให้สัญญาส้ินสุดลง ทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคแรก ผู้รับจ้างรายเดิมจึงไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่อง
ของงานท่ีจ้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ตามสัญญาใหม่แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากมีความเสียหาย
อันเกิดจากการงานที่ผู้รับจ้างเดิมได้ทำไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดจากความชำรุดบกพร่องหรือ
ความเสียหายอื่น ๆ รวมท้ังค่าใช้จ่ายท่ีเพิ่มขึ้นในการทำงานนั้นต่อให้แล้วเสร็จตามสัญญา
และค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานเพิ่ม (ถ้ามี) ผู้ว่าจ้างมีสิทธิท่ีจะเรียกค่าเสียหายอ่ืนได้ตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคท้าย ประกอบมาตรา ๒๒๒ โดยผู้ว่าจา้ ง
จะหักเอาจากเงินประกันผลงานหรือจำนวนเงินใด ๆ ทจ่ี ะจา่ ยให้แกผ่ รู้ บั จา้ งกไ็ ด้ ดงั นัน้ ผวู้ ่าจ้าง
มีสิทธิริบหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา ส่วนการจะคืนหลักประกันน้ันเป็นไปตามสัญญา
ที่กำหนดว่า ผู้วา่ จ้างจะต้องคืนใหแ้ กผ่ รู้ ับจ้าง เมอ่ื ผรู้ บั จ้างพ้นจากขอ้ ผกู พนั ตามสัญญา
ส่วนผู้ว่าจ้างจะคืนค่าการงานท่ีผู้รับจ้างได้ดำเนินการไปบางส่วนโดยใช้เงินตามควร
แห่งค่าการงานน้ันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรคท้าย ให้คำนวณ
จากใบแจ้งปรมิ าณงานและราคา
แม้ว่าผู้รับจ้างจะได้ชำระค่าปรับและค่าเสียหายท้ังหมดให้แก่ผู้ว่าจ้างแล้วก็ตาม
เม่ือผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา ย่อมถือว่าผู้รับจ้างน้ันกระทำการอันมีลักษณะเป็นผู้ท้ิงงาน
ตามพระราชบญั ญตั กิ ารจดั ซอ้ื จดั จา้ งและการบรหิ ารพสั ดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๐๙ (๒) แลว้
การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาแล้ว ไม่สามารถถอนหรือทบทวนได้ตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๖ เว้นแต่การบอกเลิกน้ันไม่ชอบ เน่ืองจากไม่มีสิทธ
ิ
140 ตอบข้อหารือสำนกั งานอัยการสูงสดุ