The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อัยการนิเทศ เล่มที่ 84 ปี 2562

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-11-13 05:25:44

อัยการนิเทศ เล่มที่ 84 ปี 2562

อัยการนิเทศ เล่มที่ 84 ปี 2562

หลังจากมอบโคตามฟ้องให้จำเลยเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๘ แล้ว โจทก์ร่วมให้คนรู้จัก

คอยแวะเวียนไปดูท่ีฟาร์มของจำเลยจนกระท่ังวันท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โจทก์ร่วมได้รับแจ้งว่า
โค ๒ ตวั ดงั กลา่ วสูญหายไป วนั รงุ่ ขนึ้ โจทกร์ ว่ มไปขนโคทีเ่ หลอื อีก ๓ ตัว กลบั มา แตย่ ังไม่ไดร้ บั คืน
ถังแชน่ ำ้ เชือ้ ทง้ั ๒ ถงั นอกจากนีต้ ามบันทกึ คำให้การของผรู้ อ้ งทกุ ข์ เอกสารหมาย จ.๗ โจทก์รว่ ม
ให้การต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรห้วยใหญ่เป็นใจความว่า โจทก์ร่วมให้นาย ช.

ขบั รถบรรทกุ โคและถงั แชน่ ำ้ เชอ้ื ไปสง่ ใหท้ ฟ่ี ารม์ ของจำเลย ตอ่ มาโจทกร์ ว่ มเหน็ วา่ จำเลยไมย่ อมนำโค
และถังแช่น้ำเช้ือท่ียืมไว้มาคืน โจทก์ร่วมจึงทวงถามจำเลยให้เอามาคืนแต่จำเลยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืน
ถังแช่น้ำเช้ือและโคท่ียืม โจทก์ร่วมจึงไปรับโคคืนเม่ือวันท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และพบว่า

ถังแช่น้ำเช้ือและโคตามฟ้องสูญหายไป เหตุยักยอกโคและถังแช่น้ำเชื้อตามฟ้องจึงเกิดที่ฟาร์มโค

ของจำเลย ฟาร์มโคของโจทก์ร่วมซ่ึงเป็นสถานท่ีที่จำเลยขอยืมทรัพย์จากโจทก์ร่วม หาใช่สถานที่
เกิดเหตใุ นการกระทำความผิดยักยอกไม่ เมื่อตามบันทกึ การจับกมุ เอกสารหมาย จ.๑๑ ปรากฏวา่
จำเลยถูกจับท่ีบ้านเลขท่ี ๑๕๙ หมู่ ๓ ตำบลนาดี อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นท่ีอย ู่

ของจำเลย พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรยางตลาดซ่ึงเป็นท้องท่ีท่ีความผิดเกิดข้ึน

ย่อมเป็นพนักงานสอบสวนท่ีมีอำนาจสอบสวน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรห้วยใหญ่

อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ไม่มีอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๘ วรรคหน่ึง การที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง

จงั หวดั ชลบรุ ี ทำการสอบสวนจำเลยเปน็ การสอบสวนทไี่ มช่ อบดว้ ยกฎหมาย โจทกจ์ งึ ไมม่ อี ำนาจฟอ้ ง
ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ ทีศ่ าลอทุ ธรณภ์ าค ๒ พพิ ากษาลงโทษ
จำเลยนั้น ไม่ตอ้ งดว้ ยความเหน็ ของศาลฎีกา ฎกี าของจำเลยฟงั ขึ้น

พิพากษากลับ ใหย้ กฟ้อง.



สำนักงานอยั การพเิ ศษฝ่ายสารสนเทศ

สำนักงานวชิ าการ










อัยการนเิ ทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
41

คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๙๗๗๖/๒๕๖๐


ป.วิ.อ. ผเู้ สยี หาย, การสอบสวน (มาตรา ๒ (๔), ๑๒๐)




แม้ผู้เสียหายหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยทั้งสามที่ขอกู้ยืมเงินโดยอ้างว่าได้กระทำ


ในฐานะที่เป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้านหนองมะแซวจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายมอบเงินก
ู้
ให้จำเลยทั้งสามไปตามฟ้องก็ดี แต่การให้กู้ยืมเงินดังกล่าวผู้เสียหายทำสัญญาโดยคิดดอกเบ้ีย
อัตราร้อยละ ๔ ของเงินต้น ในระยะเวลา ๕ วัน คิดเป็นดอกเบ้ียอัตราร้อยละ ๒๙๒ ต่อปี

ซ่ึงเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ก)
ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าผู้เสียหาย


รับข้อเสนอของจำเลยท้ังสามโดยมีเจตนามุ่งต่อผลประโยชน์อันเกิดจากการกระทำ


ท่ีผิดกฎหมายของตน ถือมิได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต จะถือว่าเป็นผู้เสียหายโดยชอบ


ด้วยกฎหมายมิได้ ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ เป็นเหตุให้การสอบสวนไม่ชอบ


โจทกจ์ ึงไมม่ ีอำนาจฟอ้ งตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐


______________________________


{
พนักงานอยั การจังหวัดอำนาจเจริญ โจทก์


นาง ร. ท่ี ๑
จำเลย

ระหว่าง นางสาว น. ท่ี ๒

นาย ท. ที่ ๓



โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามโดยทุจริตหลอกลวง
นาย ภ. ผเู้ สยี หาย ดว้ ยการรว่ มกนั แสดงขอ้ ความอนั เปน็ เทจ็ และปกปดิ ขอ้ ความจรงิ ซง่ึ ควรบอกใหแ้ จง้
โดยจำเลยทั้งสามอ้างและแสดงตนว่าเป็นตัวแทนของกองทุนหมู่บ้านหนองมะแซว หมู่ท่ี ๒

ตำบลหนองมะแซว อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ มาขอกู้ยืมเงินจากผู้เสียหาย

เพ่ือนำไปชำระหน้ีให้กองทุนหมู่บ้านท่ีครบกำหนดคืนเงินให้กองทุนหมู่บ้านแล้ว โดยจำเลยท้ังสาม

จะนำเงินท่ีกู้ยืมมาชำระคืนให้ผู้เสียหายภายใน ๑๐ วัน นับแต่ได้รับเงินกู้ยืมไป อันเป็นเท็จ

ซึ่งความจริงแล้วจำเลยทั้งสามไม่ได้รับมอบอำนาจหรือเป็นตัวแทนของกองทุนหมู่บ้านหนองมะแซว
มากู้ยมื เงินผู้เสียหาย และจำเลยท้งั สามไมไ่ ด้กู้ยมื เงนิ ไปชำระหนี้กองทนุ หมบู่ ้านตามทีจ่ ำเลยท้งั สาม
กล่าวอ้างแต่อย่างใด เป็นเพียงข้ออ้าง วิธีการและข้ันตอนเพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งมอบเงิน

ให้แก่จำเลยทั้งสามเท่านั้น และในการหลอกลวงของจำเลยท้ังสามเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ
มอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสาม ๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๘๓, ๓๔๑ ให้จำเลยท้ังสามร่วมกันใช้หรือคืนเงิน ๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย

ขอให้นับโทษจำเลยท่ี ๑ ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๘๘๔๗/๒๕๕๖

ของศาลแขวงอุบลราชธานี และนับโทษจำเลยท่ี ๒ ต่อจากโทษของจำเลยที่ ๒ ในคดีอาญา

42 คำพิพากษาศาลฎีกา

หมายเลขดำท่ี ๒๓๒๐/๒๕๕๙ ของศาลชนั้ ต้น

จำเลยท้ังสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ ๑ และท่ี ๒ รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลย

ในคดีทีโ่ จทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชัน้ ตน้ สง่ั งดสืบพยานโจทกแ์ ละจำเลยทง้ั สาม แล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค ๓ ซ่ึงอัยการสูงสุดได้มอบหมาย
รับรองใหอ้ ุทธรณใ์ นปญั หาขอ้ เท็จจริง

ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย้อนสำนวนไปให้ศาลช้ันต้น
พิจารณาและพพิ ากษาใหมต่ ามรูปคดี

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยท้ังสาม
เฉพาะปญั หาขอ้ กฎหมายวา่ โจทกม์ อี ำนาจฟอ้ งหรอื ไม่ จำเลยทงั้ สามฎกี าวา่ ผเู้ สยี หายและจำเลยทงั้ สาม
ทำสัญญากู้ยืมเงินและคิดดอกเบ้ียเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดอันเกิดจากความสมัครใจ

ของผู้เสียหายเองท่ีมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่เริ่มแรก ผู้เสียหายจึงไม่เป็น
ผเู้ สยี หายโดยนติ นิ ยั ทจ่ี ะมอี ำนาจรอ้ งทกุ ขน์ นั้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามยตุ ติ ามทคี่ คู่ วามไมโ่ ตแ้ ยง้ กนั ในชน้ั นว้ี า่
เม่ือวนั ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ จำเลยทงั้ สามทำสญั ญากู้ยืมเงินกับนาย ภ. ผเู้ สียหาย เป็นจำนวนเงนิ
๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยไดร้ บั เงนิ ไปครบถว้ นแลว้ ในวนั ทำสญั ญา ตามหนงั สอื สญั ญากตู้ ามกฎหมายใหม่
เอกสารหมาย จ.๓ ผเู้ สยี หายและจำเลยทง้ั สามกำหนดเงือ่ นไขการชำระหนว้ี า่ ดอกเบ้ีย ๔ เปอรเ์ ซน็
ของเงนิ ตน้ ระยะเวลากำหนด ๕ วนั ถา้ เลยกำหนดคดิ คา่ ปรับ ๑ เปอร์เซน็ ต่อวนั ตามเง่อื นไขยมื เงิน
เอกสารหมาย จ.๔ ในการทำสัญญาและเงื่อนไขดังกลา่ วระบุชื่อผู้กวู้ า่ กทบ. หนองมะแซว หม่ทู ่ี ๒
แต่ลงลายมือช่ือจำเลยทั้งสามเป็นผู้กู้ โดยจำเลยท่ี ๑ ลงลายมือชื่อในช่องที่มีคำในวงเล็บว่า
ประธาน เห็นว่า แม้ผู้เสียหายหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยท้ังสามที่ขอกู้ยืมเงินโดยอ้างว่า

ได้กระทำในฐานะท่ีเป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้านหนองมะแซวจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายมอบเงินก ู้

ให้จำเลยท้ังสามไปตามฟ้องก็ดี แต่การให้กู้ยืมเงินดังกล่าวผู้เสียหายทำสัญญาโดยคิดดอกเบี้ย

อัตราร้อยละ ๔ ของเงินต้น ในระยะเวลา ๕ วัน คิดเป็นดอกเบ้ียอัตราร้อยละ ๒๙๒ ต่อปี

ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ก)
ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๕๔ ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าผู้เสียหาย

รับข้อเสนอของจำเลยทั้งสามโดยมีเจตนามุ่งต่อผลประโยชน์อันเกิดจากการกระทำท่ีผิดกฎหมาย
ของตน ถือมิได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต จะถือว่าเป็นผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมายมิได้

ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ เป็นเหตุให้การสอบสวนไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษา

ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ไมต่ อ้ งด้วยความเหน็ ของศาลฎกี า ฎกี าของจำเลยท้ังสามฟังขน้ึ

พิพากษากลบั ใหย้ กฟ้อง.


สำนกั งานอยั การพิเศษฝา่ ยสารสนเทศ

สำนกั งานวิชาการ


อยั การนเิ ทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
43

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๒/๒๕๖๑


ป.อ. ตัวการ, ผ้สู นบั สนุน (มาตรา ๘๓, ๘๖)


ป.ว.ิ อ. พิพากษาไม่เกินคำขอ, พยานซัดทอด (มาตรา ๑๙๒, ๒๒๗/๑)


พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ (มาตรา ๑๕, ๖๖)




แมค้ ำใหก้ ารชน้ั สอบสวนของ ส. ทก่ี ลา่ วถงึ การกระทำของจำเลยเปน็ พยานซดั ทอดระหวา่ ง
ผู้รว่ มกระทำความผิดดว้ ยกนั แตต่ ามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗/๑
ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓ หาได้ห้ามมิให

รับฟังพยานซัดทอดเลยเสียทีเดียวไม่ เม่ือโจทก์มีใบรับฝากเงินและใบเสร็จรับเงินที่นาย ส.


โอนเงินใหแ้ ก่จำเลย และบนั ทึกการใช้โทรศัพทท์ น่ี าย ส. โทรศพั ท์ติดต่อกบั จำเลย มาสนบั สนุน
คำใหก้ ารชน้ั สอบสวนของนาย ส. แลว้ คำใหก้ ารชนั้ สอบสวนของนาย ส. จงึ มเี หตผุ ลอนั หนกั แนน่
และมนี ำ้ หนักรบั ฟังได

การที่จําเลยจําหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่นาย ส. ย่อมถือได้ว่าเป็นการ


ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นาย ส. ในการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง


เพ่ือจําหน่าย จําเลยจึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา


มาตรา ๘๖ แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการ แต่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณา
ฟังได้ว่า จำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ศาลย่อมลงโทษจําเลยฐาน


เป็นผู้สนับสนุนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง
ประกอบมาตรา ๒๑๕ และ ๒๒๕ กับพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๓ เพราะขอ้ แตกต่างดงั กล่าวมใิ ชเ่ ป็นข้อสาระสาํ คัญและจาํ เลยมิไดห้ ลงต่อสู้


______________________________


{
พนักงานอยั การจงั หวดั สุโขทยั โจทก์

ระหว่าง
นาย ป. จำเลย




โจทก์ฟอ้ งวา่ เมอื่ วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๑ เวลากลางวัน จาํ เลยกบั นาย ส. ซ่ึงศาลพพิ ากษา
ลงโทษไปแลว้ ตามคดอี าญาหมายเลขแดงท่ี ๑๑๑๔/๒๕๕๑ ของศาลชนั้ ตน้ รว่ มกนั มเี มทแอมเฟตามนี
อนั เปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษในประเภท ๑ จาํ นวน ๓,๙๑๘ เมด็ (หนว่ ยการใช)้ นำ้ หนกั ๓๗๗.๗๓๔ กรมั
คาํ นวณเปน็ สารบรสิ ทุ ธไ์ิ ด้ ๘๑.๙๗๑ กรมั ไวใ้ นครอบครองเพอ่ื จาํ หนา่ ย อนั เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย
เหตุเกิดที่ตําบลยางซ้าย อําเภอเมืองสุโขทัย และตําบลท่าฉนวน อําเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย
และตาํ บลใดไม่ปรากฏชัด อาํ เภอแมส่ อด จังหวดั ตาก เกี่ยวพนั ต่อเนอ่ื งกนั เจา้ พนกั งานจบั นาย ส.
พรอ้ มยดึ เมทแอมเฟตามนี ดงั กลา่ ว โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นที่ ใบรบั ฝากเงนิ ธนาคารกรงุ ไทย จาํ กดั (มหาชน)

๑ ฉบับ และรถกระบะ อันเป็นเคร่ืองมือ เครื่องใช้ และยานพาหนะท่ีจําเลยร่วมกับนาย ส.


44 คำพิพากษาศาลฎกี า

ใช้ในการกระทําความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ซึ่งศาลมีคําพิพากษาให้ริบแล้วในคดีอาญา

หมายเลขแดงท่ี ๑๑๑๔/๒๕๕๑ ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๕, ๖๖, ๑๐๐/๑ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓

จาํ เลยให้การปฏเิ สธ

ศาลช้ันต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหน่งึ , ๖๖ วรรคสาม จาํ คกุ ตลอดชีวติ และปรับ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ไมช่ ําระคา่ ปรบั ให้จดั การตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ โดยใหก้ กั ขงั แทนคา่ ปรับได้
เกินกวา่ ๑ ปี แต่ไม่เกิน ๒ ป

จาํ เลยอุทธรณ์

ศาลอทุ ธรณแ์ ผนกคดียาเสพตดิ พพิ ากษากลบั ให้ยกฟ้องโจทก

โจทก์ฎกี า โดยไดร้ บั อนญุ าตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟัง
เปน็ ยุตวิ า่ เมอื่ วนั ท่ี ๒๓ เมษายน ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๑๒.๓๐ นาฬกิ า พนั ตํารวจโท ส. กับพวก
เจ้าพนักงานตํารวจ ตำรวจภูธรจังหวัดสุโขทัย จับกุมนาง ป. ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน ๕๐ เม็ด
นาง ป. ให้การว่าซ้ือเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาจากนาย ส. พันตํารวจโท ส. จึงให้นาง ป.

ตดิ ต่อขอซ้ือเมทแอมเฟตามีน ๒,๐๐๐ เม็ด จากนาย ส. ตอ่ มาเวลาประมาณ ๑๔ นาฬิกา นาย ส.
นําเมทแอมเฟตามีนจาํ นวนดงั กลา่ วมาส่งมอบให้นาง ป. พนั ตํารวจโท ส. จึงจับกมุ นาย ส. พร้อมยึด
เมทแอมเฟตามนี ๓,๙๑๘ เมด็ นำ้ หนกั รวม ๓๗๗.๗๓๔ กรมั คาํ นวณเปน็ สารบรสิ ทุ ธไ์ิ ด้ ๘๑.๙๗๑ กรมั
ตามรายงานการตรวจพสิ จู น์ เอกสารหมาย จ.๑ โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นที่ ใบรบั ฝากเงนิ ธนาคารกรงุ ไทย จาํ กดั
(มหาชน) ๑ ฉบับ และรถกระบะเป็นของกลาง ศาลพิพากษาลงโทษนาย ส. แล้ว ตามคดีอาญา
หมายเลขแดงที่ ๑๑๑๔/๒๕๕๑ ของศาลช้ันตน้ ตอ่ มาวนั ท่ี ๒๘ เมษายน ๒๕๕๒ รอ้ ยตํารวจเอก ท.
จับกุมจําเลยได้กล่าวหาว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพ่ือจําหน่าย ช้ันจับกุม

และชั้นสอบสวน จาํ เลยใหก้ ารปฏิเสธ

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จําเลยร่วมกับนาย ส. กระทําความผิดฐาน

มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่ายตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พนักงานสอบสวน

เบกิ ความว่า ช้นั สอบสวนแจง้ ข้อหาแกน่ าย ส. ว่า มีเมทแอมเฟตามนี ไว้ในครอบครองเพอื่ จําหนา่ ย
นาย ส. ให้การรับสารภาพตามบันทึกคําให้การ เอกสารหมาย จ.๔ ในสํานวนคดีอาญา

หมายเลขแดงท่ี ๑๑๑๔/๒๕๕๑ ของศาลชนั้ ตน้ ซง่ึ นาย ส. ใหก้ ารเกย่ี วกบั เมทแอมเฟตามนี ของกลาง
ได้ความว่า เมื่อวันท่ี ๑๖ เมษายน ๒๕๕๑ นาย ส. ซ้ือเมทแอมเฟตามีนจากจําเลยซึ่งอยู่ท ่ี

อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประมาณ ๔,๐๐๐ เม็ด โดยก่อนไปรับเมทแอมเฟตามีน นาย ส.

ไดโ้ อนเงนิ จาํ นวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท เขา้ บญั ชขี องจาํ เลยทธี่ นาคารกรงุ ไทย จาํ กดั (มหาชน) สาขาแมส่ อด
และจําเลยโทรศัพท์บอกนาย ส. ว่าจะให้คนขับรถบรรทุกแร่นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบให้แก่
นาย ส. ท่ีสถานีบริการน้ำมัน ปตท. เลยทางแยกไปอําเภอแม่สอดประมาณ ๓ กิโลเมตร

เวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา ให้นาย ส. ไปรอพร้อมบอกหมายเลขทะเบียนรถด้วย นาย ส.

จึงขับรถกระบะไปรับเมทแอมเฟตามีนที่สถานีบริการน้ำมันดังกล่าว เมื่อรับเมทแอมเฟตามีนแล้ว
นาย ส. นาํ เมทแอมเฟตามนี ไปซอ่ นไวท้ ป่ี า่ หญา้ ดา้ นหลงั บา้ น ซงึ่ ตรงกบั ถอ้ ยคาํ ทนี่ าย ส. เคยใหก้ ารตอ่

อัยการนิเทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
45

พนั ตํารวจโท ส. ผูจ้ ับกมุ ตามบันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.๒ ในสาํ นวนคดีอาญาหมายเลขแดง
ที่ ๑๑๑๔/๒๕๕๑ ของศาลชนั้ ต้น แมน้ าย ส. เบกิ ความวา่ นาย ส. ซอื้ เมทแอมเฟตามนี ของกลาง

มาจากนาย ช. กต็ าม แตน่ าย ส. ให้การชัน้ จบั กมุ ในวันเดยี วกับวนั ถูกจับกุมและใหก้ ารชนั้ สอบสวน
ในวันรุ่งขึ้น นาย ส. ย่อมไม่มีเวลาไตร่ตรองบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เป็นอย่างอ่ืน เมื่อนาย ส.

มาเบิกความเป็นพยานโจทก์หลังเกิดเหตุนานประมาณ ๑ ปี เช่ือว่านาย ส. เบิกความ

เพ่ือช่วยเหลือจําเลย คําให้การช้ันสอบสวนของนาย ส. จึงเป็นความจริงย่ิงกว่าคําเบิกความ

แม้คําให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวท่ีกล่าวถึงการกระทําของจําเลยเป็นพยานซัดทอดระหว่าง

ผู้ร่วมกระทําความผิดด้วยกัน แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗/๑
ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓ หาได้ห้ามมิให

รับฟังพยานซัดทอดเลยเสียทีเดียวไม่ หากแต่ศาลพึงต้องกระทําด้วยความระมัดระวังและ

ไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานดังกล่าวโดยลําพังเพื่อลงโทษจําเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น

มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานอ่ืนประกอบมาสนับสนุน เมื่อโจทก์มีใบรับฝากเงิน
และใบเสร็จรับเงิน เอกสารหมาย ป.จ.๑ ของศาลจังหวัดกําแพงเพชร ท่ีนาย ส. โอนเงิน

จํานวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่จําเลยในวันท่ี ๑๖ เมษายน ๒๕๕๑ และบันทึกการใช้โทรศัพท์

ของนาย ส. เอกสารหมาย ป.จ.๒ ของศาลจังหวัดกําแพงเพชร ท่ีนาย ส. โทรศัพทต์ ิดต่อกับจาํ เลย
ในวนั ท่ี ๑๕ เมษายน ๒๕๕๑ มาสนบั สนนุ คำใหก้ ารชนั้ สอบสวนของนาย ส. แลว้ คาํ ใหก้ ารชนั้ สอบสวน
ของนาย ส. จึงมเี หตุผลอันหนักแน่นและมีนำ้ หนกั รบั ฟงั ได้ ขอ้ เท็จจริงฟังไดว้ ่า กอ่ นเกดิ เหตุนาย ส.
ซ้ือเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจําเลยเพ่ือนํามาจําหน่ายอีกทอดหนึ่ง มิใช่จําเลยส่งมอบ

เมทแอมเฟตามีนของกลางใหน้ าย ส. นําไปจําหน่ายกอ่ นแล้วนาย ส. จึงโอนเงินคา่ เมทแอมเฟตามีน
ให้จําเลยโดยนาย ส. ได้กําไรผลต่างที่นําไปจําหน่ายเกินกว่าราคาต้นทุนดังท่ีโจทก์ฎีกา ขณะท่

พันตํารวจโท ส. ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลาง คงมีเพียงนาย ส. ที่เป็นผู้ครอบครองเท่านั้น

เม่อื นาย ส. ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจําเลยแลว้ เมทแอมเฟตามนี ของกลางยอ่ มตกเป็น
ของนาย ส. เพียงลําพงั โดยจาํ เลยมิไดร้ ว่ มครอบครองเมทแอมเฟตามนี ของกลางดว้ ย จาํ เลยจงึ ไมม่ ี
ความผดิ ฐานเปน็ ตวั การทรี่ ว่ มกระทาํ ความผดิ ดว้ ยกนั กบั นาย ส. แมก้ อ่ นทจ่ี ะจาํ หนา่ ยเมทแอมเฟตามนี
ของกลางใหน้ าย ส. เมทแอมเฟตามนี ของกลางจะอยใู่ นความครอบครองของจาํ เลยดงั ทโ่ี จทกฎ์ กี ากต็ าม
แต่คดีน้ีโจทก์บรรยายฟ้องว่าจําเลยกระทําความผิดเม่ือวันท่ี ๒๓ เมษายน ๒๕๕๑ เวลากลางวัน
แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจําเลยในการกระทําความผิดวันดังกล่าวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจ
พิพากษาลงโทษจําเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่ายได้เพราะเป็นการ

เกนิ กวา่ ทกี่ ลา่ วในฟอ้ งตอ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคหนง่ึ
ประกอบมาตรา ๒๑๕ และ ๒๒๕ กับพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐

มาตรา ๓ กรณีมิใช่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องเก่ียวกับเวลาซึ่งมิถือว่าต่างกัน

ในข้อสําคัญดังที่โจทก์ฎีกา อย่างไรก็ตาม การที่จําเลยจําหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก

นาย ส. ย่อมถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นาย ส. ในการมีเมทแอมเฟตามีน

ไวใ้ นครอบครองเพอ่ื จาํ หนา่ ย จาํ เลยจงึ เปน็ ผสู้ นบั สนนุ การกระทาํ ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๘๖ แม้โจทกฟ์ อ้ งขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตวั การ แตข่ อ้ เทจ็ จริงตามทางพิจารณาฟังไดว้ ่า
จำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ศาลย่อมลงโทษจําเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนได้


46 คำพิพากษาศาลฎีกา

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๑๕

และ ๒๒๕ กบั พระราชบญั ญตั วิ ธิ พี จิ ารณาคดยี าเสพตดิ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓ เพราะขอ้ แตกตา่ งดงั กลา่ ว
มิใช่เป็นข้อสาระสําคัญและจําเลยมิได้หลงต่อสู้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น

ศาลฎกี าไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟงั ข้นึ บางส่วน

อน่ึง เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๙ มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่ ๒๕) พ.ศ. ๒๕๕๙ ใช้บังคับ โดยมาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๓๐ และให้ใช้ความใหม่แทน ซ่ึงกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทําความผิด

เป็นคุณกว่ากฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทําความผิด จึงให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จําเลย

ไมว่ า่ ในทางใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓

พิพากษาแก้เป็นว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
มาตรา ๑๕ วรรคหนง่ึ วรรคสาม (๒), ๖๖ วรรคสาม ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖
และมาตรา ๕๓ จําคุก ๓๓ ปี ๔ เดือน และปรบั ๖๖๖,๖๖๖.๖๖ บาท หากจาํ เลยไมช่ ําระค่าปรบั

ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ (ที่แก้ไขใหม่) โดยให้กักขังแทนค่าปรับได้
เกิน ๑ ปี แต่ไมเ่ กนิ ๒ ป



สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายสารสนเทศ

สำนกั งานวชิ าการ





หมายเหต


คำพพิ ากษาศาลฎกี าฉบบั น้ี นบั เปน็ อกี หนง่ึ ตวั อยา่ ง ทศ่ี าลฎกี าใหน้ ำ้ หนกั รบั ฟงั พยานซดั ทอด

ทเ่ี ปน็ คำใหก้ ารชนั้ สอบสวนของพยานผรู้ ว่ มกระทำผดิ ดว้ ยกนั มากกวา่ คำเบกิ ความชน้ั ศาลของตวั พยาน
โดยศาลได้หยิบยกพยานหลักฐานที่เป็นใบรับฝากเงิน ใบเสร็จรับเงินและบันทึกการใช้โทรศัพท ์

ท่ีโจทก์อ้างส่งไว้ต่อศาล มาประกอบการรับฟังสนับสนุนคำให้การชั้นสอบสวน จึงทำให้คำให้การ

ช้ันสอบสวนซึ่งเป็นพยานซัดทอดน้ัน มีน้ำหนักและเหตุผลอันหนักแน่นในการรับฟังลงโทษจำเลย
โดยหลักเกณฑ์การวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานซัดทอด ปรากฏอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญามาตรา ๒๒๗/๑ อยา่ งไรกต็ าม การอ้างคำใหก้ ารช้ันสอบสวนของพยานซัดทอดที่ใหก้ าร
ปรักปรำจำเลยไว้ โจทก์ควรนำพยานซัดทอดนั้นเข้าเบิกความต่อศาลประกอบคำให้การ

ช้นั สอบสวนด้วย เพราะหากพยานยังคงเบกิ ความยนื ยนั ซดั ทอดจำเลยไวเ้ ชน่ เดิม ก็ยง่ิ ทำใหค้ ำพยาน
ซัดทอดมีน้ำหนักม่ันคงและน่าเช่ือถือในการพิสูจน์ความจริงมากขึ้น (คำพิพากษาศาลฎีกา

ที่ ๕๓๐๖/๒๕๕๙)๑


๑ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๕๓๐๖/๒๕๕๙ “คำเบิกความของนาย ส. ซ่ึงเป็นคำซัดทอดของผู้กระทำความผิดด้วยกัน

ที่มิใช่เป็นคำซัดทอดเพ่ือให้ตนเองพ้นผิดน้ัน เมื่อนำมารับฟังประกอบกับบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของบิดานาย ส.และบันทึก

คำใหก้ ารรบั สารภาพของจำเลยที่ ๑ ในชัน้ สอบสวนแลว้ ได้ความสอดคลอ้ งเชอ่ื มโยงกัน พยานหลักฐานดังกลา่ วจงึ มีน้ำหนักมัน่ คง
รับฟังได้ว่าจำเลยท้ังสองติดต่อว่าจ้างนาย ส. ขับรถยนต์ของกลางไปบรรทุกไม้สักของกลางออกจากป่าท่ีเกิดเหตุจริง” ,

ดอู ัยการนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๒ พ.ศ. ๒๕๖๐ หนา้ ๕๔ - ๖๓


อัยการนิเทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
47

ในทางกลับกันหากพยานเบิกความแตกต่างจากคำให้การชั้นสอบสวน ศาลอาจนำคำให้การ
ช้ั น ส อ บ ส ว น นั้ น ม า เ ป็ น ข้ อ มู ล ใ น ก า ร วิ นิ จ ฉั ย ช่ั ง น้ ำ ห นั ก ป ร ะ ก อ บ พ ย า น ห ลั ก ฐ า น อ่ื น ไ ด ้

ดงั เช่นในคำพพิ ากษาศาลฎกี าที่หมายเหตนุ ี้

มีประเด็นท่ีน่าสนใจอีกประการหน่ึง คือ กรณีท่ีโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐาน

เป็นตัวการที่ร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับนาย ส. ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน

ไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่ายเม่ือวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๑ แม้ศาลฎีกาจะเห็นว่าจำเลยไม่เป็น
ตวั การรว่ มกระทำความผิดด้วยกนั กับนาย ส. ตามคำฟ้อง เพราะจำเลยไดจ้ ำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
ให้ นาย ส. เสรจ็ ส้นิ ไปก่อนแลว้ ตง้ั แตว่ นั ท่ี ๑๖ เมษายน ๒๕๕๑ กต็ าม แต่จำเลยก็หาพน้ ผดิ ในคดีนี้
ไปเสียหมดไม่ เน่ืองจากพฤติการณ์ที่จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นาย ส. เม่ือวันที่

๑๖ เมษายน ๒๕๕๑ น้ัน ย่อมถือได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนท่ีช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นาย ส.

ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่ายเมื่อวันที่


๒๓ เมษายน ๒๕๕๑ และเมื่อข้อแตกต่างที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานเป็นตัวการ กับท่ีพิจารณา

ได้ความว่าเป็นผู้สนับสนุนน้ัน มิใช่เป็นข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเป็น

ผู้สนับสนุนได้

คดีในลักษณะดังกล่าวเมื่อได้ความว่า มีการซื้อยาเสพติดมาจากบุคคลอื่นเพ่ือนำมาขาย

การสั่งฟ้องเพ่ือลงโทษผู้ต้องหาคงจะแยกออกได้เป็นส่วนของแต่ละคนกัน ไม่ใช่เป็นตัวการร่วมกัน
แม้จะได้ความว่าเป็นยาเสพติดจำนวนเดียวกันก็ตาม คดีนี้จึงควรฟ้องจำเลยเป็นอีกคดีหน่ึงในข้อหา
แห่งการกระทำในส่วนเฉพาะของจำเลยคือการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่ายและ
จำหน่ายเมทแอมเฟตามนี ให้แก่นาย ส. เม่อื วนั ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๑



วชิ ชพุ นั ธุ์ ภักดบี วร


48 คำพิพากษาศาลฎกี า

คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี ๓๓๗/๒๕๖๑


พ.ร.บ. โรคระบาดสตั ว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ (มาตรา ๗๘)


ป.อ. ขอคนื ของกลาง (มาตรา ๓๖)




โจทกฟ์ อ้ งขอใหล้ งโทษจำเลยในความผดิ ฐานเคลอื่ นยา้ ยซากสตั ว์ (หมปู า่ ) ไปยงั ทอ้ งทอี่ นื่
โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๔, ๓๔, ๔๘,


๕๐, ๗๑, ๗๘ และริบซากสัตว์ (หมูป่า) และรถกระบะของกลาง แม้โจทก์จะระบุประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ มาด้วย แต่เม่ือศาลช้ันต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด

และให้ริบของกลางตามฟ้องจึงเป็นคำส่ังให้ริบของกลางตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์
พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๗๘ ผรู้ อ้ งซงึ่ เปน็ เจา้ ของรถกระบะของกลางและอา้ งวา่ มไิ ดร้ เู้ หน็ เปน็ ใจดว้ ย
ในการกระทำความผิดของจำเลยต้องยื่นคำเสนอขอคืนต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาล
มีคำพิพากษาถึงที่สุดตามมาตรา ๗๘ วรรคสอง ท่ีบัญญัติไว้โดยเฉพาะ กรณีไม่อาจนำ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ ซ่ึงเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับอีก เมื่อผู้ร้อง

มาย่นื คำรอ้ งขอคนื รถกระบะของกลางตอ่ ศาลชั้นต้นเกนิ สามสบิ วนั นับแต่วันทีศ่ าลมีคำพิพากษา
ถงึ ที่สุด ยอ่ มตอ้ งหา้ มตามบทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมายดงั กลา่ ว


______________________________



{
พนกั งานอยั การคดีศาลแขวงราชบรุ ี โจทก

ธนาคาร ธ. จำกดั (มหาชน)
ระหวา่ ง นาย ส. ผรู้ อ้ ง

จำเลย


คดีสืบเนื่องมาจากศาลช้ันต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว

พ.ศ. ๒๕๕๘ รบิ ซากสตั ว์ (หมปู า่ ) และรถกระบะ หมายเลขทะเบยี น บม ๕๐๘๓ มหาสารคาม ของกลาง

ผรู้ ้องยน่ื คำร้องว่า ผูร้ ้องเป็นเจา้ ของรถกระบะของกลาง และใหน้ าย ก. เช่าซอ้ื ท่จี ำเลยนำรถ
กระบะของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดฐานเคล่ือนย้ายซากสัตว์ (หมูป่า) ไปยังท้องท่ีอื่น

โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ขอให้คืนรถกระบะของกลาง
แกผ่ ้รู ้อง

โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องและผู้เช่าซ้ือมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย
ขอใหย้ กคำรอ้ ง

ศาลชน้ั ตน้ ไต่สวนแล้ว มีคำส่ังยกคำร้อง

ผูร้ ้องอทุ ธรณ

ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๗ พิพากษายนื

ผู้ร้องฎีกา




อัยการนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
49

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงท่ีคู่ความไม่โต้แย้งในช้ันนี้รับฟัง

เป็นยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถกระบะของกลาง และให้นาย ก. เช่าซ้ือไป มีปัญหาต้องวินิจฉัย
ตามฎกี าของผรู้ อ้ งวา่ ทศี่ าลชน้ั ตน้ และศาลอทุ ธรณภ์ าค ๗ พพิ ากษายกคำรอ้ งของผรู้ อ้ งนนั้ ชอบหรอื ไม่

ผู้ร้องฎีกาว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้ริบรถกระบะของกลางโดยอาศัยประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๓๓ ผู้ร้องจึงสามารถย่ืนคำร้องขอคืนรถกระบะของกลางได้ภายในกำหนดหน่ึงปีนับแต่วัน

คำพพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ และตามพระราชบญั ญตั โิ รคระบาดสตั ว์
พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๗๘ วรรคหนงึ่ มงุ่ ลงโทษและรบิ ทรพั ยส์ นิ ของผกู้ ระทำความผดิ เฉพาะจำเลยเทา่ นน้ั
ไม่รวมถึงบุคคลอื่นซ่ึงเป็นเจ้าของทรัพย์สินและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด

รวมท้ังหากพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไม่ต้องการให้นำประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๖ มาใช้บังคับ คงต้องบัญญัติไว้ดังเช่นพระราชบัญญัติมาตรการ

ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๓๐ วรรคท้าย ว่า

ห้ามมิให้นำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ มาใช้บังคับ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย
ในความผิดฐานเคลื่อนย้ายซากสัตว์ (หมปู ่า) ไปยังทอ้ งท่อี ื่นโดยไม่ไดร้ บั อนุญาตตามพระราชบญั ญตั ิ
โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๔, ๓๔, ๔๘, ๕๐, ๗๑, ๗๘ และริบซากสัตว์ (หมูป่า)

และรถกระบะของกลาง แม้โจทก์จะระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ มาด้วย แต่เมื่อ

ศาลช้ันต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดและให้ริบของกลางตามฟ้องจึงเป็นคำสั่งให้ริบของกลาง

ตามพระราชบญั ญตั โิ รคระบาดสตั ว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๗๘ ผรู้ อ้ งซงึ่ เปน็ เจา้ ของรถกระบะของกลาง
และอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยต้องย่ืนคำเสนอขอคืนต่อศาล
ภายในสามสบิ วนั นบั แตว่ นั ทศี่ าลมคี ำพพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ตามมาตรา ๗๘ วรรคสอง ทบี่ ญั ญตั ไิ วโ้ ดยเฉพาะ
กรณีไม่อาจนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับอีก เมื่อผู้ร้อง
มายื่นคำร้องขอคืนรถกระบะของกลางต่อศาลช้ันต้นเกินสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
ถึงท่ีสุด ย่อมต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ส่วนท่ีผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องเพ่ิงทราบผล

คำพพิ ากษาเมอื่ พน้ สามสบิ วนั นบั แตว่ นั ทศี่ าลมคี ำพพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ผรู้ อ้ งมไิ ดย้ กขนึ้ วา่ กลา่ วกนั มาแลว้
โดยชอบในศาลช้ันต้นจึงไม่อาจยกขึ้นฎีกาได้ และผู้ร้องฎีกาว่า จำเลยเพียงแต่กระทำความผิด

ฐานเคลื่อนย้ายซากสัตว์ (หมูป่า) ไปยังท้องท่ีอ่ืนโดยไม่ได้รับอนุญาต รถกระบะของกลาง

จึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ ที่ศาลชั้นต้นส่ังให้ริบรถกระบะของกลาง

จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า คำส่ังให้ริบรถกระบะของกลางยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ในคดีหลักซึ่งถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องไม่อาจยกข้ึนฎีกาเพ่ือเป็นเหตุในการขอคืนรถกระบะของกลาง

ไดอ้ กี ตอ่ ไป ศาลฎกี าไมร่ บั วนิ จิ ฉยั ทศี่ าลลา่ งทง้ั สองยกคำรอ้ งของผรู้ อ้ งชอบแลว้ ฎกี าของผรู้ อ้ งฟงั ไมข่ น้ึ

พิพากษายนื .



สำนกั งานอยั การพเิ ศษฝา่ ยสารสนเทศ

สำนกั งานวิชาการ








50 คำพพิ ากษาศาลฎีกา

คำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๖๗๒/๒๕๖๑


ป.ว.ิ อ. สทิ ธนิ ำคดีอาญามาฟอ้ งระงับ (มาตรา ๓๙ (๔))


พ.ร.บ. เคร่ืองหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ (มาตรา ๑๐๘, ๑๑๐ (๑))


พ.ร.บ. ยาสูบ พ.ศ. ๒๕๐๙ (มาตรา ๒๔, ๕๐)



เจ้าพนักงานสรรพสามิตจับจำเลยพร้อมยึดบุหร่ีท่ีมีเคร่ืองหมายการค้า “เอสเอ็มเอส”
จำนวน ๑๕ ซอง เครื่องหมายการค้า “วันเดอร์” จำนวน ๒๐ ซอง และเครื่องหมายการค้า
“มารโ์ บโร” จำนวน ๙ ซอง โจทกฟ์ อ้ งจำเลยตอ่ ศาลจงั หวดั สมทุ รสาครในความผดิ ฐานมไี วเ้ พอื่ ขาย
ซงึ่ ยาสบู ทม่ี ไิ ดป้ ดิ แสตมปย์ าสบู ตามพระราชบญั ญตั ยิ าสบู พ.ศ. ๒๔๐๙ จำเลยใหก้ ารรบั สารภาพ
ศาลจังหวัดสมุทรสาครพิพากษาลงโทษปรับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ๕๖๕๔/๒๕๕๗
คดีถงึ ท่สี ุด

ส่วนในคดีน้ีโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานเสนอจำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่าย


ซ่ึงสินค้าที่มีเคร่ืองหมายการค้าท่ีมีผู้ทำปลอมเคร่ืองหมายการค้าของผู้อื่นท่ีได้จดทะเบียนไว้แล้ว
ในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติเคร่ืองหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ความผิดดังกล่าว
เป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติท่ีมีโทษทางอาญาคนละฉบับกัน มีองค์ประกอบ
ความผิดแตกต่างกัน กล่าวคือ การมีไว้เพ่ือขายซึ่งยาสูบบุหร่ีซิกาแรตที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบ
เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. ๒๕๐๙ ส่วนการมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้า

ท่ีมีเครื่องหมายการค้าปลอมในคดีนี้เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติเคร่ืองหมายการค้า


พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงสามารถแยกเจตนาในการกระทำแต่ละอย่างต่างหากจากกันได้ การกระทำ
ความผิดของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ ๕๖๕๔/๒๕๕๗ ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร

จึงไม่ใช่การกระทำความผิดกรรมเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้ แม้ศาลจังหวัดสมุทรสาคร
จะพพิ ากษาลงโทษจำเลยในคดดี งั กลา่ วไปแลว้ กไ็ มอ่ าจถอื ไดว้ า่ ศาลไดม้ คี ำพพิ ากษาเสรจ็ เดด็ ขาด
ในความผิดทีโ่ จทก์ฟอ้ งเปน็ คดนี ้ี สิทธนิ ำคดีอาญามาฟ้องย่อมไมร่ ะงบั


______________________________


{
พนกั งานอัยการ สำนักงานอัยการสงู สุด โจทก์


นาง ว. จำเลย

ระหว่าง




โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เวลากลางวัน จำเลยเสนอจำหน่าย

และมีไว้เพื่อจำหน่ายสินค้าบุหร่ีท่ีมีเครื่องหมายการค้า “เอสเอ็มเอส” จำนวน ๑๕ ซอง

และบุหร่ีท่ีมีเครื่องหมายการค้า “วันเดอร์” จำนวน ๒๐ ซอง อันเป็นเคร่ืองหมายการค้า

ท่ีมีผู้ทำปลอมเคร่ืองหมายการค้าที่แท้จริงของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ผู้เสียหาย

ท่ีได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยชอบแลว้ เพื่อใชก้ ับสินคา้ ในจำพวกท่ี ๓๔ รายการสินค้าบหุ ร่ี

อัยการนิเทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
51

โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม เจ้าพนักงานจับจำเลยได ้

พร้อมยึดสินค้าบุหรี่ดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า
พ.ศ. ๒๔๓๔ มาตรา ๔, ๑๐๘, ๑๑๐ และ ๑๑๕ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒ และ ๓๓

รบิ ของกลาง และนบั โทษจำคกุ ของจำเลยในคดนี ต้ี อ่ จากโทษจำคกุ ของจำเลยในคดอี าญาหมายเลขดำ
ที่ ๑๓๑๑/๒๕๕๗ (หมายเลขแดงที่ ๔๖๕๔/๒๕๕๗) ของศาลจงั หวัดสมทุ รสาคร

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำ

ที่ ๑๓๑๑/๒๕๕๗ (หมายเลขแดงท่ี ๕๖๕๔/๒๕๕๗) ของศาลจงั หวดั สมุทรสาคร

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วพิพากษาว่า

จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติเคร่ืองหมายการค้า พ.ศ. ๒๔๓๔ มาตรา ๑๑๐ (๑)

ประกอบมาตรา ๑๐๘ จำคุก ๑ เดือน และปรับ ๑๒,๐๐๐ บาท พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี
ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๑ ปี
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๙ และ ๓๐ เนื่องจากของกลางถูกริบไปแล้วในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๓๑๑/๒๕๕๗
(หมายเลขแดงท่ี ๕๖๕๔/๒๕๕๗) ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร จึงให้ยกคำขอให้ริบของกลาง

สว่ นทโี่ จทกข์ อใหน้ บั โทษจำคกุ ของจำเลยในคดนี ตี้ อ่ จากโทษจำคกุ ของจำเลยในคดอี าญาหมายเลขดำ
ที่ ๑๓๑๑/๒๕๕๗ (หมายเลขแดงที่ ๕๖๕๔/๒๕๕๗) ของศาลจังหวัดสมุทรสาครนั้น เนื่องจาก

ศาลรอการลงโทษจำคุกให้แกจ่ ำเลยในคดีน้ี จึงให้ยกคำขอในสว่ นนเ้ี สียด้วย

จำเลยอทุ ธรณ์ตอ่ ศาลฎกี า

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศตรวจสำนวน

ประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นอุทธรณ์รับฟังได้เป็นยุติว่า
จำเลยไดร้ บั ใบอนญุ าตใหจ้ ำหนา่ ยยาสบู ตามวนั เวลาและสถานทเี่ กดิ เหตตุ ามฟอ้ งเจา้ พนกั งานสรรพสามติ
จบั จำเลยพรอ้ มยึดบหุ รท่ี ี่มีเครื่องหมายการค้า “เอสเอม็ เอส” จำนวน ๑๕ ซอง เคร่อื งหมายการค้า
“วนั เดอร”์ จำนวน ๒๐ ซอง และเคร่ืองหมายการคา้ “มารโ์ บโร” จำนวน ๙ ซอง โจทกฟ์ ้องจำเลย
ต่อศาลจังหวัดสมุทรสาครในความผิดฐานมีไว้เพ่ือขายซ่ึงยาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบตาม

พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. ๒๔๐๙ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจังหวัดสมุทรสาครพิพากษา
ลงโทษปรับจำเลยเป็นเงิน ๑๕,๗๙๐ บาท และริบของการให้เป็นของกรมสรรพสามิต ในคดีอาญา
หมายเลขแดงที่ ๕๖๕๔/๒๕๕๗ คดีถงึ ที่สดุ แล้ว

มปี ญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยขอ้ แรกวา่ สทิ ธนิ ำคดอี าญามาฟอ้ งระงบั แลว้ หรอื ไม่
โดยจำเลยอ้างว่า ศาลจังหวัดสมุทรสาครได้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีไว้เพ่ือขายซ่ึงยาสูบบุหรี่

ซิกาแรตที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. ๒๕๐๙ ไปแล้ว
โจทก์ในคดีนี้ย่อมไม่มีอำนาจท่ีจะมาฟ้องจำเลยเป็นคดีน้ีอีกน้ัน เห็นว่า ในคดีหมายเลขแดง

ท่ี ๕๖๕๔/๒๕๕๗ ของศาลจังหวัดสมุทรสาครนั้น จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ว่า

จำเลยมีไว้เพ่ือขายซึ่งยาสูบบุหรี่ซิกาแรตรวมจำนวน ๔๔ ซอง ที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบอันเป็น

ความผิดตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. ๒๕๐๙ ส่วนในคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานเสนอ
จำหนา่ ยและมไี วเ้ พอ่ื จำหนา่ ยซง่ึ สนิ คา้ ทมี่ เี ครอื่ งหมายการคา้ ทม่ี ผี ทู้ ำปลอมเครอ่ื งหมายการคา้ ของผอู้ น่ื
ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติเคร่ืองหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔


52 คำพพิ ากษาศาลฎีกา

ความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติท่ีมีโทษทางอาญาคนละฉบับกัน

มีองค์ประกอบความผิดแตกต่างกัน กล่าวคือ การมีไว้เพ่ือขายซ่ึงยาสูบบุหรี่ซิกาแรตที่มิได้

ปิดแสตมป์ยาสูบเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. ๒๕๐๙ ส่วนการมีไว้เพ่ือจำหน่าย

ซึ่งสินค้าท่ีมีเครื่องหมายการค้าปลอมในคดีน้ีเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า
พ.ศ. ๒๕๓๔ จึงสามารถแยกเจตนาในการกระทำแต่ละอย่างจากต่างหากจากกันได้ การกระทำ
ความผิดของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ ๕๖๕๔/๒๕๕๗ ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร จึงไม่ใช

การกระทำความผิดกรรมเดียวกับท่ีโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้ แม้แต่ศาลจังหวัดสมุทรสาคร

จะพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีดังกล่าวไปแล้ว ก็ไม่อาจถือได้ว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด
ในความผดิ ท่โี จทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ สิทธนิ ำคดีอาญามาฟ้องย่อมไมร่ ะงบั

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อมาว่า การดำเนินการเกี่ยวกับของกลาง

ในคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การดำเนินการของเจ้าพนักงานสรรพสามิตและ

พนกั งานสอบสวนเปน็ การดำเนนิ คดตี ามลำดบั ขนั้ ตอนตามกฎหมาย เรมิ่ จากเมอื่ เจา้ พนกั งานสรรพสามติ
จับกุมจำเลยได้ทำบันทึกการจับกุมระบุรายการบุหร่ีท่ียึดไว้เป็นของกลางซ่ึงรวมถึงบุหร่ีของกลาง

ในคดีน้ีด้วย ซึ่งจำเลยก็ลงลายมือชื่อรับรองในบันทึกการจับดังกล่าวว่าถูกต้อง แล้วเจ้าพนักงาน
สรรพสามิตได้นำตัวจำเลยพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน เมื่อพนักงานสอบสวนได้รับมอบ
ของกลางแล้วก็จัดทำบัญชีของกลางคดีอาญาซ่ึงมีรายการของกลางตรงกับในบันทึกการจับ

จากน้ันพนักงานสอบสวนก็มีหนังสือส่งของกลางไปตรวจพิสูจน์และคำนวณภาษีที่สรรพสามิตพื้นท่ี
จงั หวดั สมทุ รสาคร และมหี นงั สอื สง่ ของกลางไปตรวจพสิ จู นเ์ ครอื่ งหมายการคา้ ทก่ี รมทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า เจ้าพนักงานสรรพสามิตส่งมอบของกลางให้แก่พนักงานสอบสวน

และพนกั งานสอบสวนดำเนินเก่ียวกับของกลางโดยชอบแล้ว

มปี ญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำเลยขอ้ ตอ่ มาวา่ เจา้ พนกั งานสรรพสามติ เขา้ ตรวจคน้
บา้ นของจำเลยอนั เปน็ ทร่ี โหฐานโดยไมม่ หี มายคน้ ชอบหรอื ไม่ จำเลยใชร้ ะเบยี งบา้ นในการคา้ ขายดว้ ย
ระเบียงบ้านจึงเป็นส่วนหนึ่งของร้านค้าของจำเลย ดังน้ัน ระเบียงบ้านในขณะเปิดกิจการจึงไม่ใช

ท่ีรโหฐาน เจ้าพนักงานสรรพสามิตจึงมีอำนาจตรวจค้นบริเวณระเบียงบ้านได้ และจากการ

ตรวจสอบเจ้าพนักงานสรรพสามิตพบว่า บุหรี่ของกลางเป็นบุหร่ีท่ีมิได้ปิดแสตมป์ยาสูบและ

เป็นบุหรี่ปลอม กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีเหตุสงสัยตามสมควรว่าสิ่งของท่ีมีไว้เป็นความผิดได้ซ่อนอยู่
ในบริเวณนั้น ประกอบท้ังมีเหตุอันควรเช่ือว่าเน่ืองจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้

สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลายเสียก่อน การค้นบริเวณบ้านโดยไม่มีหมายค้น สามารถกระทำ
ได้โดยชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและ

วธิ ีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปญั ญาและการค้าระหวา่ งประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบ
ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา ๙๑ (๔)

มีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อมาว่า จำเลยกระทำความผิดตาม

คำพพิ ากษาศาลทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศกลางหรอื ไม่ เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ได

เป็นยุติว่าจำเลยเป็นผู้ได้รับอนุญาตขายยาสูบ จำเลยย่อมทราบเงื่อนไขในการซ้ือและขายยาสูบว่า
ต้องซ้ือยาสูบจากผู้ท่ีได้รับใบอนุญาตให้ขายยาสูบเท่าน้ันตามท่ีระบุเป็นข้อกำหนดไว้ด้านหลัง

ใบอนญุ าตขายยาสบู ทจ่ี ำเลยเบกิ ความตอบโจทกถ์ ามคา้ นวา่ จำเลยใหน้ าย จ. บตุ รชายซงึ่ แตง่ ชดุ นกั เรยี น

อยั การนิเทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
53

ไปซื้อบุหร่ีท่ีคลังบุหรี่จังหวัด แต่ไม่มีช่ือร้าน และคลังบุหร่ีดังกล่าวก็ขายบุหรี่ให้แก่บุตรชายของ
จำเลยด้วยน้ัน จำเลยก็ไม่มีใบเสร็จรับเงินจากร้านค้าดังกล่าวมาแสดง ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
ร้านค้าดังกล่าวเป็นร้านค้าท่ีได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายหรือไม่ จึงเป็นการเบิกความลอย ๆ
ประกอบกบั รา้ นคา้ ทไ่ี ดร้ บั อนญุ าตจากผเู้ สยี หายใหข้ ายบหุ รนี่ น้ั ไมน่ า่ จะขายบหุ รใี่ หแ้ กเ่ ดก็ นกั เรยี นได้
เพราะเป็นการผิดกฎหมาย ข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่าร้านค้าดังกล่าวเป็นร้านค้าท่ีได้รับอนุญาต
จากผู้เสียหาย ดังน้ัน พฤติการณ์ที่จำเลยให้บุตรชายซึ่งแต่งตัวชุดนักเรียนไปซื้อบุหร่ีของกลาง

จากรา้ นคา้ ทไ่ี มใ่ ชร่ า้ นคา้ ทไ่ี ดร้ บั อนญุ าตจากผเู้ สยี หาย จงึ นา่ เชอ่ื วา่ จำเลยรวู้ า่ บหุ รด่ี งั กลา่ วเปน็ ของปลอม
พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลย
กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปล่ียนแปลง

ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดี
ทรัพยส์ ินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อทุ ธรณข์ องจำเลยฟงั ไม่ขึ้น

พิพากษายืน.



สำนกั งานอัยการพเิ ศษฝา่ ยสารสนเทศ

สำนักงานวชิ าการ




54 คำพิพากษาศาลฎกี า

คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๓๗/๒๕๖๑


พ.ร.ก. การก้ยู มื เงนิ ท่เี ปน็ การฉอ้ โกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ (มาตรา ๔, ๑๒)



ลักษณะการกู้เงินของจำเลย เป็นการกู้เงินผู้เสียหายหลายคร้ังหลายคราวต่างวาระกัน
แล้วนำเงินจากผู้ให้กู้ยืมเงินรายหลังมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้ให้กู้ยืมเงินรายก่อน ๆ แม้จะได้
ความว่าผู้เสียหายท้ังสิบเอ็ดสมัครใจให้จำเลยกู้ยืมเงิน โดยผู้เสียหายบางรายเป็นนายทุน


ปล่อยเงินกู้และผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดไม่สนใจว่าจำเลยจะนำเงินไปประกอบธุรกิจใดก็ตาม

แต่ก็เป็นเพราะจำเลยออกอุบายทุจริตเสนอจ่ายผลประโยชน์เป็นดอกเบ้ียในอัตราสูงให้แก่
บรรดาผู้เสียหาย อันเป็นการหลอกลวงบรรดาผู้เสียหายให้หลงเช่ือเพื่อส่งมอบเงินให้


และนอกจากจำเลยจะกู้เงินจากผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดแล้ว จำเลยยังกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่นด้วย
โดยการแนะนำของบุคคลท่ีทราบเรื่องที่จำเลยเสนอจ่ายผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยในอัตราสูง
ถอื ว่าจำเลยกระทำด้วยประการใด ๆ ใหป้ รากฏแกบ่ คุ คลตัง้ แต่สบิ คนขึน้ ไปวา่ ในการกูย้ ืมจำเลย
จะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบ้ียสูงสุดท่ีสถาบันการเงิน

ตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบ้ียเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพ่ึงจ่ายได้ เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่า
จะนำเงินจากผู้ให้กู้ยืมเงินรายน้ัน หรือรายอื่นมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้ให้กู้ยืมเงินรายก่อน ๆ


ในลักษณะต่อเนื่องกัน โดยจำเลยไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย


ท่ีจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ การกระทำของจำเลย

จึงครบองค์ประกอบเป็นความผิด ฐานกู้ยืมเงินท่ีเป็นการฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา ๔

แหง่ พระราชกำหนดการกูย้ มื เงนิ ทเ่ี ปน็ การฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗


______________________________


{
พนักงานอยั การจงั หวัดเพชรบรู ณ ์
โจทก

จำเลย



ระหวา่ ง

นาง ก.

โจทก์ฟ้องและแกฟ้ อ้ งว่า เมอ่ื ระหว่างตน้ เดือนกมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๔ เวลากลางวนั ถงึ ปลายเดอื น
กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยกระทำการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
โดยแพร่ข่าว ชักชวนด้วยวาจาให้ปรากฏแก่ผู้เสียหายที่ ๑ - ๑๑ ซ่ึงเกินกว่าสิบคนขึ้นไปว่าจำเลย

เป็นผู้กู้ยืมเงิน ต้องการกู้ยืมเงินจากผู้เสียหายท้ังสิบเอ็ดซ่ึงเป็นผู้ให้กู้ยืมเพ่ือนำไปลงทุนธุรกิจ

ขายสินค้าเงินผ่อนและปล่อยกู้โดยจำเลยจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบ้ียในอัตรา

ร้อยละ ๑๒๐ ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบ้ียสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ย

เงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ ทั้งน้ีโดยจำเลยรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าตนจะนำเงินจาก

ผู้ให้กู้ยืมรายนั้นหรือรายอื่นมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้กู้ยืมเงินหรือโดยท่ีตนรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าตน
ไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะ
นำเงินมาจ่ายเป็นผลประโยชน์ให้แก่ผู้เสียหายท้ังสิบเอ็ดในอัตราดังกล่าวได้ เป็นเหตุให้ผู้เสียหาย


อัยการนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
55

ทั้งสิบเอ็ดหลงเช่ือนำเงินสดและทองคำมาให้จำเลยกู้ยืมหลายคร้ัง มีจำนวนเงินกู้รวมกัน

ต้ังแต่ห้าล้านบาทข้ึนไป โดยจำเลยไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าสามารถหาผลประโยชน์ได้อย่างเพียงพอ

ท่ีจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนโดยชอบตามที่กล่าวอ้างและมิใช่การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน

ตามกฎหมายว่าด้วยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินอันเป็นภัยต่อระบบเศรษฐกิจและการเงิน

ของประเทศอย่างร้ายแรง มีมูลค่าความเสียหายท่ีผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดยังไม่ได้รับเงินคืน ดังนี้

ผเู้ สยี หายที่ ๑ จำนวน ๓,๗๔๒,๘๐๐ บาท ผเู้ สยี หายที่ ๒ จำนวน ๑,๗๐๗,๔๔๐ บาท ผเู้ สยี หายที่ ๓
จำนวน ๑๑๑,๔๐๐ บาท ผู้เสียหายที่ ๔ จำนวน ๑,๖๒๙,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายที่ ๕

จำนวน ๑,๐๖๕,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายที่ ๖ จำนวน ๖๖๐,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายที่ ๗

จำนวน ๔๙๗,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายที่ ๘ จำนวน ๔๕๐,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายท่ี ๙

จำนวน ๒๓๖,๗๐๐ บาท ผู้เสียหายท่ี ๑๐ จำนวน ๓๔,๐๐๐ บาท และผู้เสียหายที่ ๑๑

จำนวน ๕๕,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายท้งั สบิ เอด็ ได้ร้องขอใหโ้ จทก์เรียกเงินต้นคืนและดอกเบ้ยี ที่เป็นสิทธิ
อันชอบด้วยกฎหมายจากจำเลยด้วย ขอให้ลงโทษตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินท่ีเป็นการ

ฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ มาตรา ๓, ๔, ๕, ๙, ๑๑/๑, ๑๒ ให้จำเลยคืนเงินที่ยังไม่ได้คืน

พร้อมดอกเบ้ยี แกผ่ ้เู สียหายท้ังสบิ เอด็

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชนั้ ตน้ พิจารณาแล้วพพิ ากษายกฟ้อง คำขออืน่ ให้ยก

โจทก์อทุ ธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงิน

ท่ีเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ มาตรา ๔, ๑๒ การกระทำของจำเลยเป็นความผิด

หลายกรรมตา่ งกนั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ แตใ่ หล้ งโทษจำคกุ ๕ ปี เพยี งกระทงเดยี ว
ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตาม

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ให้หน่ึงในสาม คงจำคกุ ๓ ปี ๔ เดอื น กับให้จำเลยใชเ้ งนิ คืนแก่
ผเู้ สยี หายที่ ๑ จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผเู้ สยี หายที่ ๒ จำนวน ๑,๗๐๗,๔๔๐ บาท ผเู้ สยี หายที่ ๓
จำนวน ๑๑๑,๔๐๐ บาท ผู้เสียหายที่ ๔ จำนวน ๑,๖๒๙,๔๐๐ บาท ผู้เสียหายท่ี ๕

จำนวน ๑,๐๖๕,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายที่ ๖ จำนวน ๖๖๐,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายท่ี ๗

จำนวน ๔๙๗,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายท่ี ๘ จำนวน ๔๕๐,๐๐๐ บาท ผู้เสียหายท่ี ๙

จำนวน ๒๓๖,๗๐๐ บาท ผู้เสียหายท่ี ๑๐ จำนวน ๓๔,๐๐๐ บาท และผู้เสียหายที่ ๑๑

จำนวน ๕๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรารอ้ ยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วนั ฟอ้ งจนกวา่ จะชำระเสรจ็
แก่ผ้เู สียหายทง้ั สิบเอด็

จำเลยฎกี า

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบ้ืองต้นว่า ขณะเกิดเหตุ
จำเลยเปน็ เจา้ หนา้ ทธ่ี รุ การ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบล น. เมอื่ วนั ที่ ๑๕ ตลุ าคม ๒๕๕๗ ผเู้ สยี หายท่ี ๑ - ๑๑
พากันไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลย โดยกล่าวหาว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง
จำเลยกู้ยืมเงินผู้เสียหายแต่ละคน ตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒๐ ต่อปี โดยประมาณ

พร้อมกับลงลายมือช่ือในสัญญากู้เงินมอบให้ไว้เป็นหลักฐาน ภายหลังจำเลยไม่สามารถชำระ

ทั้งต้นเงินและดอกเบ้ียให้เป็นไปตามที่ตกลงได้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า


56 คำพพิ ากษาศาลฎกี า

จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดต่างเบิกความยืนยันว่าจำเลย

กู้ยืมเงินผู้เสียหายท้ังสิบเอ็ด โดยมีสัญญากู้เงินมาเป็นหลักฐานประกอบคำเบิกความ จำเลยเอง

ก็มิได้ปฏิเสธว่าลายมือชื่อที่ลงไว้ในสัญญากู้เงินดังกล่าวมิใช่ลายมือชื่อของจำเลย เพียงแต่โต้แย้งว่า

ผู้เสียหายบางคนจำเลยไม่เคยรู้จักมาก่อนและไม่เคยติดต่อกู้ยืมเงินด้วย สัญญากู้เงินบางฉบับจำเลย
มไิ ดร้ บั เงนิ เตม็ จำนวนตามทรี่ ะบใุ นสญั ญา และการกยู้ มื เงนิ ของจำเลยเปน็ การกยู้ มื เงนิ ตามปกตทิ ว่ั ไป
เพื่อนำเงินมาชำระสะสางหน้ีสินของจำเลย มิได้เป็นการฉ้อโกงประชาชนแต่อย่างใด แต่เห็นว่า

ผู้เสียหายบางคนเป็นเพ่ือนกับจำเลย บางคนทำงานที่เดียวกับจำเลย และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคือง
กับจำเลยมาก่อน เหตุระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายท้ังสิบเอ็ดจะเบิกความปรักปรำให้ร้ายจำเลยก็ไม่มี
คำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดจึงน่าเช่ือถือ เช่ือว่าจำเลยกู้ยืมเงินผู้เสียหายท้ังสิบเอ็ดจริง

เพยี งแตย่ งั มขี อ้ โตแ้ ยง้ เรอ่ื งจำนวนเงนิ ทใี่ หก้ กู้ นั อยู่ เนอื่ งจากลกั ษณะการกเู้ งนิ ของจำเลย เปน็ การกเู้ งนิ
ผู้เสียหายหลายคร้ังหลายคราวต่างวาระกัน แล้วนำเงินจากผู้ให้กู้ยืมเงินรายหลังมาจ่ายหมุนเวียน

ให้แก่ผู้ให้กู้ยืมเงินรายก่อน ๆ หากการกู้ยืมเงินของจำเลยเป็นการกู้ยืมเงินตามปกติทั่วไป

โดยมีเจตนาท่ีจะนำเงินที่ได้มาจากการกู้ยืมไปชำระสะสางหนี้สินของตน จำเลยก็ไม่น่าจะกู้ยืมเงิน
จากผู้เสียหายมากรายและหลายคร้ังหลายคราวในลักษณะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนต่อเนื่องกัน

โดยใชว้ ิธีการจ่ายดอกเบ้ียในอตั ราสงู เป็นเคร่อื งลอ่ ใจเชน่ นี้ กลา่ วคอื นบั แตเ่ ดอื นกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ จำเลยก้ยู ืมเงินจากผู้เสียหายท่ี ๑ ประมาณ ๓๗ ครัง้ จากผู้เสยี หายที่ ๒
ประมาณ ๑๕ คร้ัง จากผู้เสียหายที่ ๓ ประมาณ ๗ คร้ัง จากผู้เสียหายท่ี ๔ ประมาณ ๑๒ คร้ัง

จากผู้เสียหายท่ี ๕ ประมาณ ๖ คร้ัง จากผู้เสียหายท่ี ๖ ประมาณ ๕ ครั้ง จากผู้เสียหายที่ ๗
ประมาณ ๑๐ ครั้ง จากผู้เสียหายที่ ๘ ประมาณ ๓ ครั้ง จากผู้เสียหายที่ ๙ ประมาณ ๓ ครั้ง

จากผู้เสียหายที่ ๑๐ และที่ ๑๑ คนละ ๑ คร้ัง แม้จะได้ความว่าผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดสมัครใจ

ให้จำเลยกู้ยืมเงิน โดยผู้เสียหายบางรายเป็นนายทุนปล่อยเงินกู้และผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดไม่สนใจว่า
จำเลยจะนำเงินไปประกอบธุรกิจใดก็ตาม แต่ก็เป็นเพราะจำเลยออกอุบายทุจริตเสนอจ่าย

ผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยในอัตราสูงให้แก่บรรดาผู้เสียหาย อันเป็นการหลอกลวงบรรดาผู้เสียหาย
ให้หลงเชื่อเพื่อส่งมอบเงินให้ ท้ังจำเลยยังเบิกความรับว่า จำเลยเคยกู้ยืมเงินนาง ช. ต่อมาได้มีการ
ตกลงโอนหนด้ี ังกล่าวให้แก่ผู้เสยี หายท่ี ๑ การกู้ยมื เงนิ ผู้เสยี หายที่ ๒ มีผ้เู สยี หายท่ี ๗ เป็นผแู้ นะนำ
การกู้ยืมเงินผู้เสียหายท่ี ๓ มีนาง ช. เป็นผู้แนะนำ การกู้ยืมเงินผู้เสียหายท่ี ๕, ที่ ๖ และที่ ๘

มีผู้เสียหายท่ี ๗ เป็นผู้แนะนำ การกู้ยืมเงินผู้เสียหายท่ี ๑๑ มีผู้เสียหายท่ี ๑ และนาง พ. อาของ

ผูเ้ สียหายท่ี ๔ และผ้เู สียหายท่ี ๙ เปน็ ผแู้ นะนำ โดยจำเลยใหก้ ารในชั้นสอบสวนว่า ในการก้ยู มื เงนิ
จากผู้เสียหายท่ี ๒ จำเลยต้องจ่ายค่าแนะนำให้แก่ผู้เสียหายท่ี ๗ ในอัตราร้อยละ ๒ ต่อสัปดาห์

และจำเลยยังกู้เงินจากนาง ณ. ซึ่งมิได้เป็นผู้เสียหายในคดีนี้ โดยจ่ายค่าแนะนำให้แก่นาง พ.

ในอตั ราร้อยละ ๕ ต่อสัปดาห์ ตามบันทึกคำใหก้ ารผู้ตอ้ งหา เอกสารหมาย จ. ๖๔ อันเปน็ การแสดง
ให้เห็นว่า นอกจากจำเลยจะกู้เงินจากผู้เสียหายท้ังสิบเอ็ดแล้ว จำเลยยังกู้ยืมเงินจากบุคคลอ่ืนด้วย
โดยการแนะนำของบุคคลที่ทราบเร่ืองท่ีจำเลยเสนอจ่ายผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยในอัตราสูง

ถือว่าจำเลยกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลต้ังแต่สิบคนข้ึนไปว่าในการกู้ยืมจำเลย

จะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ในอัตราท่ีสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมาย
ว่าด้วยดอกเบ้ียเงินให้กู้ยืมของถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่าจะนำเงินจาก


อยั การนเิ ทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
57

ผใู้ หก้ ยู้ มื เงนิ รายนนั้ หรอื รายอนื่ มาจา่ ยหมนุ เวยี นใหแ้ กผ่ ใู้ หก้ ยู้ มื เงนิ รายกอ่ น ๆ ในลกั ษณะตอ่ เนอ่ื งกนั
โดยจำเลยไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมายท่ีจะให้ผลประโยชน์ตอบแทน

พอเพียงท่ีจะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบเป็นความผิด

ตามมาตรา ๔ (เดิม) แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินท่ีเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗

โดยมิพักต้องพิจารณาว่าเหตุท่ีผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดรวมตัวกันมาแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลย

สืบเนื่องมาจากคำแนะนำของเจ้าหน้าท่ีดีเอสไอหรือไม่ ท่ีศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษาว่าจำเลย

มคี วามผดิ ฐานกยู้ มื เงนิ ทเี่ ปน็ การฉอ้ โกงประชาชนนนั้ ศาลฎกี าเหน็ พอ้ งดว้ ย ฎกี าของจำเลยฟงั ไมข่ นึ้
แต่พยานหลักฐานท่ีโจทก์นำสืบมาโดยเฉพาะจากคำเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลย

ของรอ้ ยตำรวจเอก ธ. พนกั งานสอบสวน ทวี่ า่ บญั ชที รพั ยถ์ กู ประทษุ รา้ ย บญั ชที รพั ยถ์ กู ประทษุ รา้ ยไดค้ นื
และบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายไม่ได้คืนของผู้เสียหายท้ังสิบเอ็ดน้ัน ร้อยตำรวจเอก ธ. เป็นผู้แจ้ง

ให้ผู้เสียหายแต่ละรายจัดทำมาให้ จะตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ไม่ทราบ กรณีจึงยังไม่อาจฟัง

เป็นยุติว่าเงินที่ผู้เสียหายท้ังสิบเอ็ดให้จำเลยกู้ยืมไปและผลประโยชน์ตอบแทนที่เป็นสิทธ

อันชอบด้วยกฎหมายท่ีผู้เสียหายแต่ละคนจะได้รับตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง
ประชาชนฯ มาตรา ๙ ทโ่ี จทกม์ คี ำขอใหบ้ งั คบั นน้ั มจี ำนวนเทา่ ใดกนั แน่ จงึ ไมอ่ าจบงั คบั ใหจ้ ำเลยคนื เงนิ
ให้แกผ่ ู้เสียหายท้ังสบิ เอ็ดได้ ชอบทีผ่ เู้ สียหายทงั้ สบิ เอด็ จะไปว่ากล่าวเอาทางแพ่งแก่จำเลยต่อไป

พพิ ากษาแกเ้ ป็นว่า ให้ยกคำขอทข่ี อใหค้ ืนเงนิ พร้อมดอกเบ้ยี แก่ผเู้ สียหายทัง้ สบิ เอ็ด นอกจาก
ทแ่ี ก้ให้เป็นไปตามคำพพิ ากษาศาลอุทธรณภ์ าค ๖.



สำนกั งานอยั การพเิ ศษฝ่ายสารสนเทศ

สำนกั งานวิชาการ










58 คำพิพากษาศาลฎกี า

คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๑๘๙/๒๕๖๑


ป.วิ.อ. อำนาจศาลส่ังขงั จำเลย, การนำตวั จำเลยมาศาลพรอ้ มฟอ้ ง, การสอบคำใหก้ ารจำเลย


(มาตรา ๘๘, ๑๖๕, ๑๗๒ วรรคสอง)


ป.วิ.พ. กระบวนการพจิ ารณาผดิ ระเบยี บ (มาตรา ๒๗ วรรคหนึง่ )


พ.ร.บ. จดั ต้ังศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ (มาตรา ๔)


ขอ้ บังคบั ของประธานศาลฎกี าวา่ ด้วยหลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารเกี่ยวกบั การออกคำสั่งหรอื หมายอาญา

พ.ศ. ๒๕๔๘ ขอ้ ๓๙




เม่ือโจทก์ย่ืนฟ้องจำเลย โจทก์มีหน้าที่ต้องนำตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้อง ซึ่งเม่ือศาล

เช่ือว่าเป็นจำเลยจริงจะได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและถามว่ากระทำผิดจริงตามฟ้อง
หรือไม่ จะให้การต่อสู้คือปฏิเสธหรือรับสารภาพและดำเนินการพิจารณาต่อไปตามประมวล
กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง ประกอบพระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลแขวง
และวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ กรณีน้ีแม้ข้อเท็จจริง

จะฟังเป็นยุติว่าเจ้าพนักงานศาลรับคำฟ้องของโจทก์และให้บุคคลที่โจทก์ก็อ้างว่าเป็นจำเลย

ลงลายมือชอ่ื รบั สำเนาคำฟอ้ งไวแ้ ลว้ ก็ตาม แตเ่ มอ่ื ศาลออกน่งั พจิ ารณาเพื่ออ่านและอธิบายฟอ้ ง
ให้จำเลยฟังกลับไม่ปรากฏตัวจำเลยอยู่ในห้องพิจารณาของศาล กรณีย่อมไม่อาจถือได้ว่า


โจทก์นำตัวจำเลยมาศาลขณะฟ้อง จึงไม่ชอบท่ีศาลจะสั่งประทับฟ้อง ดังน้ัน การท่ีศาลชั้นต้น

ส่ังประทับฟ้องในชั้นแรกจึงเป็นการส่ังที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นมีอำนาจเพิกถอนการพิจารณา


ที่ผิดระเบียบน้ันโดยส่ังให้เพิกถอนคำสั่งประทับฟ้อง และมีคำส่ังใหม่เป็นว่าให้คืนฟ้องแก่โจทก์
จำหน่ายคดีซ่ึงมีผลเท่ากับไม่ประทับฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา ๒๗ วรรคหน่ึง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญา


ในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔


______________________________



{
พนกั งานอัยการ สำนักงานอยั การสงู สดุ โจทก์

ระหวา่ ง
นางสาว ป. จำเลย



โจทกฟ์ อ้ งวา่ เมอ่ื ระหวา่ งวนั ที่ ๙ กนั ยายน ๒๕๕๘ ถงึ วนั ท่ี ๓๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๙ เวลากลางวนั
ต่อเนื่องกัน จำเลยซ่ึงเป็นลูกจ้างของบริษัท อ. จำกัด ผู้เสียหาย ได้รับทรัพย์ของผู้เสียหาย

คือ ๑. เงนิ จงู ใจพเิ ศษ (Incentive) เดอื นพฤษภาคม ๒๕๕๙ จำนวน ๑๖,๙๘๓ บาท ๒. รายการ

ยอดค้างหนังสือตัวอย่างปี ๒๕๕๘ จำนวน ๕๘๔ เล่ม ราคา ๕๙,๘๒๘ บาท ๓. รายการยอดค้าง
หนังสือตัวอย่างปี ๒๕๕๙ จำนวน ๑๔,๒๗๖ เล่ม ราคา ๑,๕๑๔,๘๓๖ บาท ๔. ค่าอุปกรณ

การทำงานท่ีคืนไม่ครบ ราคา ๔๐,๖๙๐ บาท ๕. เงินทดรองจ่ายจากการปฏิบัติงาน (คงค้าง)

อยั การนเิ ทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
59

๒๗,๐๐๐ บาท ๖. บัตรประจำตัวพนักงาน ราคา ๕๐๐ บาท ๗. ค่าส่งบิลน้ำมันไม่ครบ ๔ บิล

ราคา ๒,๐๐๐ บาท รวมราคาทรัพย์ ๑,๖๖๑,๘๓๗ บาท ไวใ้ นครอบครองแลว้ เบยี ดบังเอาทรพั ย์น้ัน

เป็นของจำเลยหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒
ให้จำเลยคนื หรือใชร้ าคาทรพั ยเ์ ปน็ เงิน ๑,๖๖๑,๘๓๗ บาท แกผ่ ้เู สยี หาย

ศาลช้ันต้นมีคำส่ังประทับฟ้อง คร้ันศาลช้ันต้นออกนั่งพิจารณาโดยเรียกจำเลยเพื่อสอบถาม
ว่าเป็นจำเลยหรือไม่ จะได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่
จำเลยไมอ่ ยใู่ นหอ้ งพจิ ารณา เจา้ พนกั งานศาลไดป้ ระกาศเรยี กและตามหาจำเลย แตไ่ มพ่ บ ศาลชน้ั ตน้
จึงพิจารณาสั่งว่า แม้โจทก์จะพาจำเลยมาย่ืนฟ้อง แต่เม่ือไม่ปรากฏตัวจำเลยในขณะศาลออกน่ัง
พิจารณาเพ่ือให้ศาลสอบให้ได้ความชัดว่าเป็นจำเลยจริงหรือไม่ ต้องถือว่าโจทก์ไม่มีตัวจำเลย

อยใู่ นขณะยนื่ ฟอ้ ง จงึ ใหเ้ พกิ ถอนคำสง่ั ประทบั ฟอ้ งและมคี ำสง่ั ใหมเ่ ปน็ ใหค้ นื ฟอ้ งแกโ่ จทก์ จำหนา่ ยคด

โจทกอ์ ุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ พพิ ากษายนื

โจทกฎ์ กี า โดยอัยการสงู สดุ รับรองให้ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงในช้ันนี้รับฟังเป็นยุติว่า วันที่ ๔
พฤษภาคม ๒๕๖๐ พนกั งานอยั การเปน็ โจทกย์ น่ื ฟอ้ งจำเลยเปน็ คดนี โี้ ดยอา้ งวา่ ไดน้ ำตวั จำเลยมาศาล
เจ้าพนักงานศาลให้บุคคลท่ีโจทก์อ้างว่าเป็นจำเลยลงลายมือช่ือรับสำเนาคำฟ้องและศาลชั้นต้น

มคี ำสงั่ ประทบั ฟอ้ ง แตใ่ นขณะทศ่ี าลออกนง่ั พจิ ารณาเพอื่ สอบถามใหไ้ ดค้ วามชดั วา่ เปน็ จำเลยจรงิ หรอื ไม่
กลับไมป่ รากฏตวั จำเลย ศาลชัน้ ตน้ จงึ ใหเ้ พกิ ถอนคำสั่งประทบั ฟ้องแล้วมีคำสั่งใหมเ่ ปน็ ว่าใหค้ นื ฟอ้ ง
แกโ่ จทก์ จำหนา่ ยคดอี อกจากสารบบความ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณพ์ ิพากษายนื

มปี ญั หาต้องวินจิ ฉยั ตามฎกี าของโจทกว์ า่ ท่ศี าลลา่ งท้งั สองไมป่ ระทับฟอ้ งชอบหรือไม่ เห็นว่า
เม่ือโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย โจทก์มีหน้าที่ต้องนำตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้อง ซึ่งเมื่อศาลเชื่อว่า

เป็นจำเลยจริงจะได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและถามว่ากระทำผิดจริงตามฟ้องหรือไม่

จะให้การต่อสู้คือปฏิเสธหรือรับสารภาพและดำเนินการพิจารณาต่อไปตามประมวลกฎหมาย

วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและ

วิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ กรณีน้ีแม้ข้อเท็จจริงจะฟังเป็นยุติว่า

เจ้าพนักงานศาลรับคำฟ้องของโจทก์และให้บุคคลท่ีโจทก์ก็อ้างว่าเป็นจำเลยลงลายมือชื่อ

รับสำเนาคำฟ้องไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลออกนั่งพิจารณาเพื่ออ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังกลับ
ไม่ปรากฏตัวจำเลยอยู่ในห้องพิจารณาของศาล กรณีย่อมไม่อาจถือได้ว่าโจทก์นำตัวจำเลยมาศาล
ขณะฟ้อง จึงไม่ชอบที่ศาลจะส่ังประทับฟ้อง ดังนั้น การท่ีศาลชั้นต้นส่ังประทับฟ้องในชั้นแรก

จึงเป็นการส่ังที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นมีอำนาจเพิกถอนการพิจารณาท่ีผิดระเบียบนั้นโดยส่ังให ้

เพิกถอนคำส่ังประทับฟ้อง และมีคำสั่งใหม่เป็นว่าให้คืนฟ้องแก่โจทก์ จำหน่ายคดีซึ่งมีผลเท่ากับ

ไม่ประทับฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ วรรคหน่ึง ประกอบ

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔

ท่ีศาลอทุ ธรณไ์ ด้วินจิ ฉัยมา ศาลฎกี าเหน็ พอ้ งด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ข้นึ

พิพากษายนื .

สำนักงานอยั การพเิ ศษฝ่ายสารสนเทศ

สำนักงานวิชาการ


60 คำพพิ ากษาศาลฎกี า

หมายเหต

ในคดที พี่ นกั งานอยั การเปน็ โจทก์ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๖๒ (๒)๑
มไิ ด้บัญญตั ใิ นลักษณะบังคบั ให้ศาลต้องไตส่ วนมลู ฟอ้ งตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๖๕๒ ก่อน เหมือนเช่นกรณีท่ีราษฎรเป็นโจทก์ แต่ได้บัญญัติให้เป็นดุลพินิจของศาลว่า

ในคดที พี่ นกั งานอยั การเปน็ โจทก์ ไมจ่ ำตอ้ งไตส่ วนมลู ฟอ้ ง แตถ่ า้ ศาลเหน็ สมควรจะสง่ั ใหไ้ ตส่ วนมลู ฟอ้ ง
ก่อนก็ได้ ซึ่งในทางปฏิบัติคดีท่ีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ศาลจะมีคำส่ังให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
โดยไมไ่ ตส่ วนมลู ฟอ้ งกอ่ น เนอื่ งจากคดไี ดผ้ า่ นการสอบสวนโดยพนกั งานสอบสวน และพนกั งานอยั การ
ได้พิจารณาอกี ช้นั หน่ึงแลว้ ก่อนมีคำสัง่

สำหรบั ในคดที ร่ี าษฎรเปน็ โจทก์ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๖๒ (๑)๓
บัญญัติในลักษณะบังคับว่าให้ศาลสั่งไต่สวนมูลฟ้อง เว้นแต่จะต้องด้วยข้อยกเว้นว่าคดีน้ัน

พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้วก็ให้จัดการตามมาตรา ๑๖๒ (๒)

คือจะส่ังไต่สวนมูลฟ้องก่อนหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ดุลพินิจของศาล๔ การไต่สวนมูลฟ้องในคดีท่ีราษฎร
เป็นโจทก์นั้น ไม่จำต้องมีตัวจำเลยมาศาล ศาลสามารถไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลยได้และก่อนที่
ศาลประทับฟ้อง มิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๖๕ วรรคสาม อำนาจศาลในการส่ังขังจำเลยไว้หรือปล่อยชั่วคราวกรณีนี้จะเกิดข้ึนได้
ต่อเมื่อศาลประทับฟ้องและได้ตัวจำเลยมาศาลแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา ๘๘๕ ซึ่งต่างจากคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ที่ตัวจำเลยอยู่ในอำนาจศาล

ที่จะส่ังขังไว้หรือปล่อยชั่วคราวนับตั้งแต่ที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องจำเลยต่อศาล เน่ืองจาก
ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๖๕ วรรคหนง่ึ บญั ญตั ใิ หศ้ าลตอ้ งไตส่ วนมลู ฟอ้ ง
ต่อหน้าจำเลย และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๑ วรรคสี่๖ บัญญัติถึง

๑ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๒ “ถา้ ฟอ้ งถูกตอ้ งตามกฎหมายแล้ว ใหศ้ าลจดั การสงั่ ต่อไปนี้

(๑) ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ให้ไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าคดีน้ัน พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้ว


ให้จัดการตามอนมุ าตรา (๒)

(๒) ในคดพี นักงานอัยการเปน็ โจทก์ ไมจ่ ำเปน็ ต้องไตส่ วนมลู ฟ้อง แตถ่ า้ เห็นสมควรจะสั่งใหไ้ ตส่ วนมลู ฟ้องก่อนก็ได้

ในกรณีทม่ี ีการไตส่ วนมูลฟ้องดังกล่าวแลว้ ถ้าจำเลยให้การรบั สารภาพ ใหศ้ าลประทบั ฟ้องไวพ้ จิ ารณา”

๒ ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๖๕ “ในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ในวนั ไตส่ วนมลู ฟอ้ ง ใหจ้ ำเลยมาหรอื คุมตวั มาศาล ใหศ้ าลสง่ สำเนาฟอ้ ง

แก่จำเลยรายตัวไป เมื่อศาลเช่ือว่าเป็นจำเลยจริงแล้ว ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้ฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให ้

การตอ่ สอู้ ยา่ งไรบา้ ง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมใหก้ ารก็ให้ศาลจดรายงานไว้ และดำเนนิ การตอ่ ไป

จำเลยไมม่ ีอำนาจนำพยานมาสบื ในชนั้ ไต่สวนมูลฟอ้ ง แต่ทัง้ น้ีไม่เปน็ การตัดสทิ ธิในการท่ีจำเลยจะมีทนายมาชว่ ยเหลือ

ในคดีท่ีราษฎรเป็นโจทก์ ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลย ให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไปกับแจ้งวัน

นัดไตส่ วนใหจ้ ำเลยทราบ จำเลยจะมาฟังการไต่สวนมลู ฟ้อง โดยตง้ั ทนายใหซ้ กั คา้ นพยานโจทกด์ ว้ ยหรอื ไมก่ ็ได้ หรอื จำเลยจะไมม่ า
แต่ตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ก็ได้ ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย และก่อนท่ีศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะ
เชน่ นัน้ ”

๓ อ้างแล้ว เชงิ อรรถที่ ๑

๔ ธานิศ เกศวพิทักษ์, คำอธิบายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม ๒ ภาค ๓ - ๔ (มาตรา ๑๕๗-๒๔๕),

สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนตบิ ัณฑิตยสภา (พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๘), หนา้ ๑๒๙ - ๑๓๐

๕ ป.วิ.อ. มาตรา ๘๘ “คดีท่ีราษฎรเป็นโจทก์ เม่ือศาลประทับฟ้องและได้ตัวจำเลยมาศาลแล้ว หรือคดีท่ีพนักงานอัยการเป็นโจทก์
เมอ่ื ไดย้ นื่ ฟ้องต่อศาลแลว้ ศาลจะส่งั ขังจำเลยหรือปล่อยช่ัวคราวก็ได”้

๖ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๔๑ วรรคส่ี “ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าควรสั่งฟ้อง ก็ให้จัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเพ่ือให้ได้ตัวผู้ต้องหามา

ถ้าผ้ตู ้องหาอยู่ต่างประเทศ ให้พนกั งานอัยการจดั การเพือ่ ขอให้ส่งตัวขา้ มแดนมา”


อยั การนเิ ทศ เล่มที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
61

หน้าท่ีพนักงานอัยการในกรณีที่พิจารณาสำนวนการสอบสวนแล้วเห็นว่าควรสั่งฟ้อง ก็ให้จัดการ
อย่างหน่ึงอย่างใดเพ่ือให้ได้ตัวผู้ต้องหามา พนักงานอัยการจึงมีหน้าที่ต้องนำตัวจำเลยมาศาล

หรือคุมตัวมาศาลพร้อมฟ้อง (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๕๑๕/๒๔๙๑ ที่ ๑๑๓๓/๒๔๙๓
และที่ ๔๓๙-๔๔๐/๒๔๙๖)๗ เว้นแต่กรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้อยู่ในอำนาจศาลแล้ว เช่น

ถูกคุมขังตามหมายขังของศาลหรือศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ด้วยเหตุที่ขณะย่ืนฟ้อง

พนักงานอัยการต้องนำตัวหรือคุมตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้อง จึงมีผลให้จำเลยมีฐานะเป็นจำเลย

นบั ตั้งแต่ถูกฟอ้ ง๘

แม้ศาลจะยังไม่ประทับฟ้องทันทีแต่ส่ังให้ไต่สวนมูลฟ้องก่อน ก่อนศาลประทับฟ้อง

จำเลยก็ย่อมมีฐานะเป็นจำเลย ตามบทนิยามในมาตรา ๒ (๓) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา๙, ๑๐ และอยใู่ นอำนาจศาลทจี่ ะสงั่ ขงั จำเลยไวห้ รอื ปลอ่ ยชว่ั คราวไดน้ บั แตพ่ นกั งานอยั การ
โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๘๑๑ ประกอบ

มาตรา ๗๑ วรรคหนง่ึ ๑๒ อกี ทงั้ ในขอ้ บงั คบั ของประธานศาลฎกี าวา่ ดว้ ยหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารเกยี่ วกบั
การออกคำสงั่ หรอื หมายอาญา พ.ศ. ๒๕๔๘ ขอ้ ๓๙ วรรคสอง หมวด ๓ ทเ่ี กย่ี วกบั การออกหมายขงั ๑๓
ยังได้บัญญัติให้ศาลมีอำนาจออกหมายขังจำเลยในคดีท่ีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ไว้ระหว่าง

ไตส่ วนมลู ฟอ้ งไดก้ อ่ นมคี ำสงั่ ประทบั ฟอ้ ง ตวั จำเลยจงึ อยใู่ นอำนาจศาลทจี่ ะออกหมายขงั ไดน้ บั ตงั้ แต

ที่พนักงานอัยการย่ืนฟ้องจำเลยต่อศาลแล้ว ซึ่งต่างจากการออกหมายขังในระหว่างสอบสวน

ท่ีเป็นข้ันตอนก่อนการย่ืนฟ้องต่อศาล หากมีความจำเป็นต้องขังผู้ต้องหาไว้ พนักงานอัยการหรือ
พนักงานสอบสวนจะต้องเป็นผู้ยื่นคำร้องให้ศาลออกหมายขังผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมาย


๗ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๑๕/๒๔๙๑ พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ไปขอให้ศาลขังจำเลยระหว่างสอบสวน

ป.ว.ิ อ. มาตรา ๘๗ จนครบกำหนดและศาลปล่อยตัวจำเลยไปแลว้ เชน่ น้ี จะมาขอใหศ้ าลส่ังขงั อกี ย่อมไมไ่ ด้ แตก่ ไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่
เมื่อเจ้าพนักงานจับจำเลยใหม่เพื่อฟ้องเป็นคดีจะควบคุมผู้ต้องหาไม่ได้เสียเลย เจ้าพนักงานยังคงควบคุมผู้ต้องหาได้ตามที่จำเป็น
ตามพฤติการณ์แห่งคดีตามตอนต้นแห่งมาตรา ๘๗ คือเพียงเท่าท่ีจะนำตัวจำเลยมาส่งศาลโดยแท้เท่าน้ัน จะควบคุมเพ่ือเหตุอ่ืน
เช่นสอบสวนต่อไป หรือรออัยการส่งั ฟ้องไมไ่ ด


คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๑๓๓/๒๔๙๓ การฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการ พนักงานอัยการจะฟ้องโดยไม่เอาตัวจำเลย

มาศาลไมไ่ ด้ ในกรณีที่หมดอำนาจจับมาควบคมุ ระหว่างสอบสวน เจา้ พนกั งานยังมีอำนาจจบั ตวั มาเพอ่ื ส่งฟอ้ งศาลได้แตจ่ ะควบคุม
ได้เพยี งเท่าที่จำเปน็ จะนำตวั จำเลยสง่ ศาลโดยแทเ้ ท่านน้ั


คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๔๓๙ - ๔๔๐/๒๔๙๖ การท่ีพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องคดีอาญา โดยไม่มีตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมกับ

ฟอ้ งทกุ คนนน้ั ศาลจะส่ังรบั ประทบั ฟ้องเฉพาะจำเลยคนทสี่ ง่ ตวั มาพร้อมกบั ฟ้องเท่านั้นก็ได้


๘ คนึง ฦา ไชย, กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา เล่ม ๒, คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ (พมิ พค์ รั้งท่ี ๘), หน้า ๘๐

๙ อ้างแลว้ เชงิ อรรถที่ ๔, หน้า ๑๓๔

๑๐ ป.วิ.อ. มาตรา ๒ (๓) “จำเลย” หมายความถึงบุคคลซง่ึ ถูกฟ้องยังศาลแล้วโดยขอ้ หาวา่ ไดก้ ระทำความผดิ

๑๑ อา้ งแลว้ เชงิ อรรถท่ี ๕

๑๒ ป.วิ.อ. มาตรา ๗๑ วรรคหนึ่ง “เม่ือได้ตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยมาแล้ว ในระยะใดระหว่างสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา


ศาลจะออกหมายขังผู้ต้องหาหรือจำเลยไว้ตามมาตรา ๘๗ หรือมาตรา ๘๘ ก็ได้ และให้นำบทบัญญัติในมาตรา ๖๖ มาใช้บังคับ
โดยอนโุ ลม”

๑๓ ขอ้ บังคบั ของประธานศาลฎกี าฯ พ.ศ. ๒๕๔๘ ขอ้ ๓๙

“ในระหว่างสอบสวน พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนอาจยื่นคำร้องให้ศาลออกหมายขังผู้ต้องหาตาม

ประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๘๗

ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ หากศาลสั่งไต่สวนมูลฟ้องก่อนมีคำส่ังประทับฟ้อง ศาลจะออกหมายขังจำเลยไว้ระหว่าง
ไตส่ วนมลู ฟอ้ งตามข้อ ๔๓ ก็ได”้




62 คำพพิ ากษาศาลฎีกา

วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๗ และข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และ

วธิ กี ารเกยี่ วกบั การออกคำสง่ั หรอื หมายอาญา พ.ศ. ๒๕๔๘ ขอ้ ๓๙ วรรคหนง่ึ

ส่วนกระบวนการท่ีศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่
จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้างนั้น มีปรากฏอยู่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีซ่ึงพนักงานอัยการเป็นโจทก์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๕ วรรคหน่ึง และในช้ันพิจารณาตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง๑๔ โดยในช้ันไต่สวนมูลฟ้อง

ศาลจะสอบคำใหก้ ารจำเลยกอ่ นทศ่ี าลจะมคี ำสงั่ ประทบั ฟอ้ ง แตห่ ากศาลใชด้ ลุ พนิ จิ ไมไ่ ตส่ วนมลู ฟอ้ ง
ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์และมีคำส่ังประทับฟ้องแล้ว ย่อมไม่มีการสอบคำให้การจำเลย

ซึ่งต่างจากการสอบคำให้การจำเลยในชั้นพิจารณาที่จะมีข้ึนได้ต่อเมื่อผ่านข้ันตอนท่ีศาลสั่ง

ประทับฟ้องไว้โดยชอบแล้ว การสอบคำให้การจำเลยในช้ันพิจารณาจึงเป็นกระบวนการ

ของการดำเนินคดีในศาลหลังจากศาลสง่ั ประทับฟอ้ งแล้ว๑๕

จากการพิจารณาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาศาลฎีกาท่ีหมายเหตุนี้ ประกอบกับข้อเท็จจริง

ในคำฟ้อง ในอุทธรณ์และฎีกาของพนักงานอัยการโจทก์แล้ว ได้ความว่า คดีนี้จำเลยใหก้ ารปฏเิ สธ

ในชนั้ สอบสวน โดยระหวา่ งการสอบสวนจำเลยไมถ่ กู ควบคมุ ตวั พนกั งานสอบสวนไดย้ นื่ คำรอ้ งขอผดั ฟอ้ ง
จำเลยไว้ต่อศาลชั้นต้น (ศาลแขวงดุสิต) ครั้นต่อมาวันท่ี ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ซ่ึงอยู่ในระหว่าง

ระยะเวลาผัดฟ้องครั้งท่ี ๕ พนักงานอัยการโจทก์ได้นำตัวจำเลยไปย่ืนฟ้องต่อศาลพรอ้ มกบั คำฟอ้ ง
เจา้ พนกั งานศาลไดร้ บั ตวั จำเลยพรอ้ มกบั คำฟอ้ งไวแ้ ละไดอ้ อกใบรบั เลขที่ ๑๖๕/๒๕๖๐ ศาลได้มีคำสั่ง
ประทับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.๙๙๘/๒๕๖๐ โดยได้ให้จำเลยลงลายมือช่ือรับสำเนาคำฟ้อง

ไว้เป็นหลักฐาน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่าพนักงานอัยการได้จัดให้จำเลยมา หรือคุมตัว
มาศาลพร้อมฟ้อง จนกระทั่งศาลได้มีคำสั่งประทับฟ้องแล้ว กระบวนการประทับฟ้องคดีนี


จึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีผลให้ตัวจำเลยอยู่ในอำนาจศาลท่ีจะส่ังขังไว้ หรือ


ปล่อยช่วั คราวนับแตท่ ่ีพนกั งานอัยการย่นื ฟ้องต่อศาล

ส่วนข้อเท็จจริงท่ีปรากฏต่อมาว่า ศาลไม่สามารถสอบคำให้การจำเลยในชั้นพิจารณา

ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง๑๖ เพราะไมป่ รากฏตวั จำเลย

อยู่ในห้องพิจารณาน้ัน เป็นข้อเท็จจริงท่ีเกิดขึ้นใหม่ภายหลังจากท่ีพนักงานอัยการได้นำตัวจำเลย

มาสง่ ศาลพรอ้ มฟอ้ ง และตวั จำเลยไดอ้ ยใู่ นอำนาจศาลแลว้ ดงั นนั้ จงึ ไมอ่ าจนำขอ้ เทจ็ จรงิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ใหม่
ดงั กลา่ ว ไปเปน็ มลู เหตใุ หย้ อ้ นกลบั ไปเพกิ ถอนกระบวนการประทบั ฟอ้ งทชี่ อบดว้ ยกฎหมายมาแลว้ ได้
ซึ่งต่างจากกรณีที่ฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมายมาตั้งแต่ต้น เช่น คำฟ้องที่ไม่ลงลายมือชื่อโจทก์

(เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๖๓๓/๒๕๕๘)๑๗ หรือพนักงานอัยการไม่นำตัวจำเลยมาศาล


๑๔ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง “เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้วและศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง

ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้างคำให้การของจำเลยให้จดไว้

ถา้ จำเลยไมย่ อมให้การ กใ็ หศ้ าลจดรายงานไวแ้ ละดำเนินการพิจารณาต่อไป”


๑๕ คณติ ณ นคร, กฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญา, บริษัท สำนกั พิมพ์วิญญูชน จำกัด (พิมพค์ ร้ังท่ี ๘), หน้า ๔๓๕

๑๖ อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ ๑๔

๑๗ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๔๖๓๓/๒๕๕๘ คำฟ้องท่ีไม่มีลายมือช่ือของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ไม่บริบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๖๗ (๕)

หากโจทกห์ รอื ทนายโจทกไ์ มแ่ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยไมล่ งลายมอื ชอื่ ในคำฟอ้ งภายในเวลาทศ่ี าลชนั้ ตน้ กำหนด ชอบทศี่ าลชน้ั ตน้ จะมคี ำสง่ั

ไมร่ บั คำฟอ้ งนน้ั ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๘ วรรคสอง การทีศ่ าลช้นั ตน้ มคี ำสัง่ รบั คำฟ้องของโจทกไ์ ว้ย่อมเปน็ การไมช่ อบ มีผลทำให้
กระบวนพิจารณาภายหลังจากน้นั เป็นกระบวนพิจารณาทไี่ ม่ชอบไปด้วย ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา ๒๗ วรรคหนง่ึ


อยั การนเิ ทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
63

ในขณะย่ืนฟ้อง เช่นการยื่นฟ้องบริษัท จำกัด ซ่ึงเป็นนิติบุคคล โดยไม่มีตัวกรรมการผู้มีอำนาจ
กระทำการแทนบริษัทซ่ึงเป็นผู้แทนบริษัทมาศาลพร้อมฟ้อง (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๐๕๖๙/๒๕๕๘)๑๘ แล้วศาลช้ันต้นได้มีคำสั่งประทับฟ้อง กรณีเช่นน้ีจึงจะเป็นข้อเท็จจริงผิดหลงที่
เกิดขึ้นก่อนการประทับฟ้องและเป็นมูลเหตุให้เพิกถอนกระบวนการประทับฟ้องที่ผิดระเบียบได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ วรรคหน่ึง๑๙ การท่ีศาลไม่สามารถ

สอบคำให้การจำเลยในช้ันพิจารณาเพราะไม่ปรากฏตัวจำเลยอยู่ในห้องพิจารณาตามข้อเท็จจริง

ในคำพพิ ากษาศาลฎกี าทหี่ มายเหตนุ ี้ ศาลชอบทจี่ ะออกหมายจบั และสงั่ จำหนา่ ยคดอี อกจากสารบบ
ความจนกว่าจะได้ตัวจำเลยมาพิจารณาและพิพากษา มากกว่าการส่ังให้เพิกถอนคำส่ังประทับฟ้อง
และมีคำส่งั ใหม่เปน็ ให้คืนฟ้องแกโ่ จทก์ จำหน่ายคดี

สำนักงานอัยการสูงสุดได้หยิบยกประเด็นปัญหาดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาและให้ความเห็น

ทต่ี า่ งไปจากคำพพิ ากษาศาลฎกี าฉบบั นี้ โดยใหค้ วามเหน็ ในทำนองวา่ กระบวนการประทบั ฟอ้ งคดนี ้ี
เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีผลให้ตัวจำเลยอยู่ในอำนาจศาลท่ีจะส่ังขังไว้หรือปล่อยช่ัวคราว
นับแต่ท่ีพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว จึงชอบท่ีศาลจะออกหมายจับและสั่งจำหน่ายคด ี

ออกจากสารบบความจนกว่าจะได้ตัวจำเลยมาพิจารณาและพิพากษา รวมท้ังได้มีหนังสือ

วางแนวทางปฏิบัตแิ ก่พนกั งานอัยการไว้ด้วยว่า หากมีกรณีทีศ่ าลชัน้ ตน้ หรอื ศาลอทุ ธรณม์ ีคำวนิ ิจฉัย
โดยอาศัยเหตุตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุน้ี ก็ให้พนักงานอัยการใช้หลักกฎหมาย

และเหตผุ ลตามทสี่ ำนกั งานอยั การสงู สดุ ไดว้ างแนวทางปฏบิ ตั ไิ วป้ ระกอบการอทุ ธรณห์ รอื ฎกี าตอ่ ไป๒๐

จากคำวนิ จิ ฉัยในคำพิพากษาศาลฎีกาทห่ี มายเหตนุ ้ี มีขอ้ ควรสงั เกตบางประการ ดงั นี

๑. เรื่องการควบคุมหรือขังจำเลย เม่ือพนักงานอัยการโจทก์มีหน้าที่ต้องนำตัวหรือ

คุมตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้อง จำเลยย่อมอยู่ในอำนาจศาลท่ีจะส่ังขังหรือปล่อยช่ัวคราวได้นับแต่
พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๘๒๑
ประกอบมาตรา ๗๑ วรรคหนงึ่ ๒๒ และตามขอ้ บงั คบั ของประธานศาลฎกี าวา่ ดว้ ยหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี าร
เก่ียวกับการออกคำสั่งหรือหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๓๙ วรรคสอง๒๓ พนักงานอัยการย่อม


๑๘ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๐๕๖๙/๒๕๕๘ การฟ้องคดีอาญาต่อบริษัทจำกัด ซ่ึงเป็นนิติบุคคล ต้องมีกรรมการผู้มีอำนาจกระทำ

การแทนบริษัทซ่ึงเป็นผู้แทนบริษัท จึงจะดำเนินคดีได้ ขณะย่ืนฟ้อง ส.เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑

โจทก์จึงต้องนำตัว ส. มาส่งศาลช้ันต้นพร้อมคำฟ้อง โจทก์ไม่ได้นำตัว ส. มาศาล ต้องถือว่าจำเลยท่ี ๑ ไม่มีตัวอยู่อย่างสมบูรณ

ตามกฎหมายและตอ้ งถือว่าโจทก์ไม่มีตัวจำเลยที่ ๑ มาศาลในวนั ฟ้องดว้ ย การทศ่ี าลชนั้ ตน้ ประทบั รับฟอ้ งโจทกส์ ำหรบั จำเลยที่ ๑
จึงเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๕ วรรคหน่ึง และทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาสำหรับจำเลยที่ ๑ หลังจากนั้น
เป็นการไม่ชอบด้วย


๑๙ ป.ว.ิ พ. มาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง “ในกรณที ี่มิไดป้ ฏิบตั ิตามบทบญั ญัตแิ ห่งประมวลกฎหมายนใี้ นข้อที่มุง่ หมายจะยงั ใหก้ ารเป็นไปดว้ ย
ความยตุ ธิ รรม หรอื ทเี่ กย่ี วดว้ ยความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชนในเรอื่ งการเขยี น และการยน่ื หรอื การสง่ คำคคู่ วามหรอื เอกสารอนื่ ๆ
หรือในการพิจารณาคดี การพิจารณาพยานหลักฐาน หรือการบังคับคดี เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหาย
เนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นย่ืนคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ให้ศาลมีอำนาจที่จะส่ังให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น
เสียทงั้ หมด หรอื บางส่วน หรอื สงั่ แกไ้ ขหรอื มีคำสง่ั ในเร่อื งน้ันอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ตามที่ศาลเหน็ สมควร”


๒๐ หนังสือสำนักงานอัยการสงู สดุ ท่ี อส ๐๐๐๗(สท)/ว ๑๔ ลงวันท่ี ๑๔ มกราคม ๒๕๖๒ เรื่อง แนวทางปฏบิ ัติในการดำเนินคดอี าญา
ชัน้ อทุ ธรณ์และฎกี า, อยั การนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒, หนา้ ๑๘๙


๒๑ อ้างแลว้ เชงิ อรรถที่ ๕

๒๒ อ้างแล้ว เชงิ อรรถที่ ๑๒

๒๓ อ้างแลว้ เชิงอรรถที่ ๑๓


64 คำพพิ ากษาศาลฎีกา

หมดอำนาจทจ่ี ะควบคมุ ตวั จำเลยไวต้ อ่ ไปนบั แตย่ นื่ ฟอ้ ง แตห่ ากยดึ ตามแนวคำวนิ จิ ฉยั ในคำพพิ ากษา
ศาลฎีกาน้ีโดยถือช่วงเวลาท่ีศาลออกน่ังพิจารณาเพ่ืออ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังเป็นสำคัญว่า
มีตัวจำเลยในห้องพิจารณาของศาลหรือไม่ หากไม่มีตัวจำเลยในห้องพิจารณา ย่อมเท่ากับว่าโจทก์
ไม่ได้นำตัวจำเลยมาศาลขณะฟ้องนั้น อาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติได้ว่า ในกรณีท่ีศาลมิได้สอบ

คำให้การจำเลยในวนั ฟอ้ ง แตไ่ ดเ้ ลื่อนไปสอบคำให้การจำเลยในวนั หลัง เชน่ จำเลยเปน็ คนตา่ งชาติ

ไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาไทยได้ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการจัดหาล่ามแปล กรณีเช่นน ้

ย่อมเกิดช่องว่างในช่วงระยะเวลานับต้ังแต่ที่พนักงานอัยการย่ืนฟ้อง จนถึงช่วงระยะเวลาท่ีศาล

นัดสอบคำให้การจำเลยในช้ันพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๒
วรรคสองวา่ จำเลยนน้ั จะอยู่ในอำนาจการควบคุมหรอื ขงั ของฝ่ายใด

๒. เรื่องอายุความการฟ้องคดีอาญา เม่ือพนักงานอัยการได้นำตัวจำเลยมาฟ้องต่อศาล
ภายในอายุความการฟ้องคดี จำเลยย่อมมีฐานะเป็นจำเลยทันทีตามบทนิยามในมาตรา ๒ (๓)

แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา๒๔ และเป็นกรณีท่ีโจทก์ได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำ
ความผดิ มาศาลภายในกำหนดอายคุ วามการฟอ้ งคดตี ามมาตรา ๙๕ แหง่ ประมวลกฎหมายอาญาแลว้ ๒๕
อายุความจึงหยุดนับลง๒๖ (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๗๓๕/๒๕๑๔)๒๗ แต่หากยึดแนว

วินิจฉัยในคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ ย่อมมีผลกระทบต่อการนับอายุความในการฟ้องคดีอาญา
เพราะอาจกลายเปน็ วา่ แมพ้ นกั งานอยั การจะไดน้ ำตวั จำเลยมายน่ื ฟอ้ งตอ่ ศาลในวนั สดุ ทา้ ยของอายคุ วาม
อายุความก็ยังคงนับอยู่ต่อไป แต่จะหยุดนับลงต่อเม่ือศาลได้สอบคำให้การจำเลยในช้ันพิจารณา
และหากเปน็ เชน่ นอ้ี าจทำใหค้ ดที พี่ นกั งานอยั การนำตวั จำเลยมาฟอ้ งตอ่ ศาลในวนั สดุ ทา้ ยของอายคุ วาม
ขาดอายุความได

ในอดีตท่ีสำนักงานอัยการสูงสุด ยังเป็นกรมอัยการ อยู่นั้น เคยมีกรณีที่กรมอัยการ

มีความเห็นต่างไปจากคำพพิ ากษาศาลฎกี า๒๘ ตวั อย่างเชน่ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ มคี ดีอาญาเรอ่ื งหน่งึ ได้
ความว่าเม่ือวันข้ึน ๖ ค่ำ เดือนอ้าย ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ (ซึ่งตรงกับวันท่ี ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๐)

เจ้าทรัพย์ได้เฝ้าข้าวอยู่แต่เวลาหัวค่ำ คร้ันเวลาเที่ยงคืนเศษ จำเลยได้มาลักข้าวของเจ้าทรัพย์ไป

และได้ใช้ไม้พายตีเจ้าทรัพย์ด้วย ซ่ึงพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยต่อศาลฐานชิงทรัพย์ในเวลาค่ำคืน
แหง่ วนั ท่ี ๑๐ ธนั วาคม โดยระบวุ นั กระทำผดิ วา่ “วนั ท่ี ๑๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลากลางคนื ”
คดีน้ีได้ขึ้นไปสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาว่าตามกฎหมายต้องถือว่าจำเลยได้กระทำผิดในคืน

วันที่ ๙ ธันวาคม ไม่ใช่คืนวันท่ี ๑๐ ธันวาคม เพราะฉะนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดใน

วันที่ ๑๐ ธันวาคม เวลากลางคืน ก็ต้องถือว่าโจทก์ฟ้องผิดวัน จึงพิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์เสีย
ดงั ปรากฏในคำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๕๐๒/๒๔๘๑ โดยเหตผุ ลทศี่ าลฎกี ายกขนึ้ อา้ งกค็ อื เวลากลางคนื นน้ั

๒๔ อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ ๑๐

๒๕ ป.อ. มาตรา ๙๕ “ในคดีอาญา ถ้ามิได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายในกำหนดดังต่อไปน้ี นับแต่วันกระทำความ

ผิด เป็นอนั ขาดอายุความ....”

๒๖ เกยี รติขจร วัจนะสวสั ด,ิ์ คำอธบิ ายกฎหมายอาญาภาค ๑, มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ (พิมพ์ครง้ั ท่ี ๗), หนา้ ๗๗๗

๒๗ คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี ๑๗๓๕/๒๕๑๔ คดีอาญา พนกั งานอยั การจะตอ้ งสง่ ตวั จำเลยมาพร้อมกบั ฟอ้ งเสมอ เว้นแต่จำเลยจะเปน็


ผู้อยู่ในอำนาจของศาลแล้ว ศาลชั้นต้นได้รับฝากขังตัวผู้ต้องหาไว้จากพนักงานสอบสวนและออกหมายขังไว้แล้ว ผู้ต้องหาหลบหนี
ไปก่อนโจทกย์ ่นื ฟ้อง กรณเี ชน่ น้นี ับได้ว่าตวั จำเลยอย่ใู นอำนาจศาลในคดีนแ้ี ล้ว ศาลชน้ั ตน้ ชอบที่จะรับฟอ้ งและดำเนนิ การ

๒๘ หนงั สือกรมอัยการท่ี ๑๓/๒๔๘๑ ลงวนั ท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๔๘๑ เรื่อง การระบวุ นั กระทำผดิ ในฟอ้ ง, อยั การนเิ ทศ เล่มท่ี ๔ ฉบับท่ี ๓
พ.ศ. ๒๔๘๑, หน้า ๑๖๑ - ๑๖๔


อยั การนเิ ทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
65

ต้องเป็นกลางคืนตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๖ ข้อ ๒๔ คือ ต้ังแต่พระอาทิตย์ตก

จนถึงพระอาทิตย์ขึ้น คดีเรื่องน้ีโจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักข้าวเม่ือวันที่ ๑๐ ธันวาคม เวลากลางคืน

แต่พยานโจทก์เบิกความว่าจำเลยลักเม่ือวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือนอ้าย ซึ่งตรงกันวันท่ี ๙ ธันวาคม

เวลาเท่ียงคืนล่วงแล้ว เวลากลางคืนของวันท่ี ๑๐ ตามโจทก์ฟ้อง ต้องถือว่าตั้งแต่พระอาทิตย์ตก
จนถงึ พระอาทติ ย์ขนึ้ แต่จะกลับกลายมาเป็นเวลากลางคืนของวนั ที่ ๙ ตามคำพยานเบิกความไม่ได้
เพราะวันที่ ๙ เท่ียงคืนล่วงแล้ว ก็เป็นเวลากลางคืนของวันท่ี ๙ น่ันเอง เม่ือเช่นนี้จึงต้องถือว่า
โจทก์ฟอ้ งผดิ วนั

กรมอัยการในขณะน้ัน ได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาและมีความเห็นต่างไปจาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๐๒/๒๔๘๑ โดยเห็นว่าการท่ีพนักงานอัยการบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้
กระทำผดิ ในวนั ที่ ๑๐ ธันวาคม น้นั เปน็ การถูกตอ้ งแลว้ โดยใหเ้ หตุผลวา่ “การท่ีพนกั งานอัยการ
ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำการชิงทรัพย์เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ก็โดยคดีได้ความตามคำเจ้าทรัพย์ว่า
จำเลยได้กระทำการชิงทรัพย์เมื่อกลางคืนวันข้ึน ๖ ค่ำ เดือนอ้าย (ซ่ึงตรงกับวันท่ี ๙ ธันวาคม)

เวลาเท่ียงคืนล่วงแล้ว เวลาท่ีเจ้าทรพั ย์ว่าน้ัน ตามประกาศนบั เวลาในราชการลงวันที่ ๑๐ กนั ยายน
พ.ศ. ๒๔๖๐ และลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ก็ดี หรือตามท่ีนิยมกันในทุกประเทศก็ดี
ตอ้ งเรยี กวา่ วนั ท่ี ๑๐ ธนั วาคม จะเรยี กวา่ เปน็ วนั ที่ ๙ ธนั วาคม หาไดไ้ ม่ สว่ นกฎหมายลกั ษณะอาญา
มาตรา ๖ ข้อ ๒๔ น้ัน ไม่เกี่ยวแก่การนับวันแต่ประการใด เพราะมีความบัญญัติไว้เพียงว่า

“กลางคืนน้ัน ท่านหมายความว่าเวลาระหว่างตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนพระอาทิตย์ข้ึน” ไม่มีอะไร
จากถอ้ ยคำในมาตรานท้ี แ่ี สดงโดยตรงหรอื โดยปรยิ ายใหเ้ หน็ หรอื ใหเ้ ขา้ ใจวา่ พระอาทติ ยต์ กในวนั ทเ่ี ทา่ ใด
ช่ือของวันน้ันจะต้องคงเป็นวันที่เท่าน้ันอยู่ตลอดไปจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น คดีนี้ได้ความว่าจำเลย
ทำการชิงทรัพย์เม่ือวันข้ึน ๖ ค่ำเดือนอ้าย ซ่ึงตรงกับวันท่ี ๙ ธันวาคม เวลาเท่ียงคืนล่วงแล้ว

จึงฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดในวันท่ี ๑๐ ธันวาคม และเพราะเหตุท่ีเวลากระทำผิดเป็นเวลา

ทพี่ ระอาทติ ยย์ งั ตกอยู่ จงึ กลา่ ววา่ เปน็ เวลากลางคนื ” ซงึ่ ตอ่ มาไดม้ คี ำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๕๘๖/๒๔๙๐๒๙
พพิ ากษาเกยี่ วกบั การระบวุ นั กระทำผดิ เวลากลางคนื โดยใหถ้ อื ตามนยั แหง่ ประกาศนบั เวลาในราชการ
อันนับได้ว่าเป็นการกลับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๐๒/๒๔๘๑ และได้พิพากษาไว้ตรงกับความเห็น

ของกรมอัยการ๓๐
อาคม เจตะผลนิ

ณัฐวภิ า บรสิ ุทธิชยั


๒๙ คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๕๘๖/๒๔๙๐ เร่ืองนี้ เหตุเกิด เวลา ๒.๐๐ นาฬิกา ซ่ึงเป็นเวลากลางคืนระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน

กบั วันท่ี ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ โจทก์กล่าวในฟอ้ งว่าจำเลยกระทำผดิ เมือ่ วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๖ตรงกบั วันแรม ๑๒ ค่ำ
เดอื น ๕ เวลากลางคนื ปญั หาในชน้ั นม้ี วี า่ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทปี่ รากฏในทางพจิ ารณาตา่ งกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ทกี่ ลา่ วในฟอ้ งหรอื ไม่ ไดว้ นิ จิ ฉยั ปญั หา

ข้อน้ีโดยที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่าตามประกาศนับเวลาในราชการพ.ศ. ๒๔๖๐ ให้เริ่มนับวันใหม่ต้ังแต่เที่ยงคืน และวิธีนับรอบ
เวลา ๒๔ นาฬิกา ตามประกาศ พ.ศ. ๒๔๗๑ คงเริ่มนับวันใหม่ต้ังแต่เที่ยงคืนล่วงไป เรียกว่า ๐ นาฬิกา กับเศษนาที ดังน้ี

วันเวลาเกิดเหตุซึ่งเป็นข้อเท็จจริงท่ีปรากฏในทางพิจารณาจึงเป็นวันท่ี ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ เวลากลางคืน ตรงกับ

ข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรค ๒ โดยมิได้
วนิ จิ ฉยั ถึงประเด็นความขอ้ อน่ื ยังไมช่ อบ จึงให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พจิ ารณาแลว้ พิพากษาใหม


๓๐ หนงั สือกรมอยั การท่ี น.ว. ๑๐/๒๔๙๐ ลงวนั ท่ี ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ เรอื่ ง การระบวุ นั กระทำผิดในฟอ้ ง, อยั การนเิ ทศ เลม่ ที่ ๙
ฉบบั ที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๙๐ , หนา้ ๑๒๔-๑๒๕


66 คำพพิ ากษาศาลฎกี า

คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๗๗/๒๕๖๑


พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ (มาตรา ๕, ๑๒ วรรคสอง, ๕๐ วรรคหนึ่ง)



แมม้ าตรา ๕ แหง่ พระราชบญั ญตั โิ รงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ บญั ญตั วิ า่ ตงั้ โรงงาน หมายความวา่
การก่อสร้างอาคารเพ่ือติดตั้งเครื่องจักรสำหรับประกอบกิจการโรงงาน หรือนำเครื่องจักร
สำหรับประกอบกิจการโรงงานมาติดต้ังในอาคารสถานที่หรือยานพาหนะที่จะประกอบกิจการ
แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็มิได้หมายความเพียงว่า การก่อต้ังโรงงานจำพวกที่ ๓ จะต้องเป็นการ
ก่อสร้างอาคารเพ่ือติดตั้งเคร่ืองจักรหรือนำเครื่องจักรมาติดตั้งในอาคารเท่าน้ัน เพราะคำว่า
อาคารสถานท่ี ตามบทบัญญัติของมาตรานี้ยังมีความหมายรวมไปถึง สถานที่ที่ต้ังเครื่องจักร
เพื่อการอย่างใดอย่างหนึ่งในการประกอบกิจการโดยไม่ต้องมีตัวอาคารก็ได้ ดังเช่น


ตั้งเครื่องจักรแรงม้าสูงแปรรูปไม้ในป่าเป็นต้น ดังนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสอง
ร่วมกันใช้รถแบ็กโฮ ขนาด ๖๐ แรงม้า ซึ่งเป็นเคร่ืองจักรที่มีกำลังตั้งแต่ห้าแรงม้าข้ึนไป ติดต้ัง
บริเวณที่ดินในป่าสงวนแห่งชาติสำหรับขุดหรือลอกดินและมีอุปกรณ์รถบรรทุกหกล้อใช้ใน
กิจการลำเลียงดินออกไปจากสถานท่ีขุดลอกดินดังกล่าว จึงเป็นการบรรยายฟ้องครบ


องค์ประกอบความผิดฐานร่วมกนั ตง้ั โรงงานโดยไมไ่ ดร้ ับใบอนญุ าตแล้ว


______________________________


{
พนกั งานอัยการจังหวดั ลำพูน โจทก

ระหว่าง
นาย ท. ท่ี ๑
จำเลย

นาย ค. ที่ ๒



โจทก์ฟ้องว่า เม่ือวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ เวลากลางวัน จำเลยท้ังสองร่วมกันกระทำ

ความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยท้ังสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ

ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าบ้านโฮ่ง เน้ือที่ ๑ ไร่ คิดค่าเสียหายของรัฐ
เปน็ เงนิ ๑๗,๐๖๑.๐๕ บาท โดยรว่ มกนั ใชร้ ถแบก็ โฮยหี่ อ้ CAT สเี หลอื ง - ดำ ขดุ ตกั ดนิ ใสร่ ถบรรทกุ หกลอ้
หมายเลขทะเบียน ๘๑ - ๐๕๙๑ ลำพูน แล้วร่วมกันนำดินออกจากป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว

อันเป็นการทำลายป่า ทำให้เสื่อมสภาพท่ีดินและเป็นการทำให้เส่ือมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ
โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าท่ีและไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืน

ตอ่ กฎหมาย และจำเลยท้ังสองร่วมกันตั้งโรงงานจำพวกท่ี ๓ ตามกฎกระทรวง ดว้ ยการใช้รถแบก็ โฮ
ขนาด ๖๐ แรงม้า ซึ่งเป็นเครื่องจักรท่ีมีกำลังตั้งแต่ห้าแรงม้าข้ึนไป ติดต้ังในบริเวณท่ีดิน

ป่าสงวนแห่งชาติ หมูท่ ่ี ๖ ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวดั ลำพนู อันเป็นสถานทที่ ีจ่ ะประกอบ
กิจการโรงงานสำหรบั การขดุ หรือลอกดนิ และลำเลียงดินสำหรับใชใ้ นการกอ่ สรา้ งจากโรงงานทต่ี ั้งอยู่
ภายในป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และจำเลยทั้งสอง
ร่วมกันประกอบกิจการโรงงานจำพวกท่ี ๓ ด้วยการใช้รถแบ็กโฮขุดตักดินสำหรับใช้ในการก่อสร้าง
ใสร่ ถบรรทกุ หกลอ้ หมายเลขทะเบยี น ๘๑ - ๐๕๙๑ ลำพนู แลว้ รว่ มกนั นำดนิ ออกจากปา่ สงวนแหง่ ชาติ

อัยการนิเทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
67

อันเป็นการใช้ยานพาหนะที่ใช้เคร่ืองจักรที่มีกำลังต้ังแต่ห้าแรงม้าข้ึนไปสำหรับขุดหรือลอก

แปรสภาพดินและลำเลียงดินออกจากโรงงานที่ต้ังอยู่ภายในป่าสงวนแห่งชาติ โดยจำเลยท้ังสอง

ไม่ได้รับใบอนุญาต อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองพร้อมกับ

ยึดรถแบ็กโฮยห่ี อ้ CAT สีเหลือง - ดำ และรถบรรทกุ หกลอ้ หมายเลขทะเบียน ๘๑ - ๐๕๙๑ ลำพนู
ที่จำเลยทั้งสองใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง รถแบ็กโฮและรถบรรทุกหกล้อ

เป็นของบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด พนักงานสอบสวน

คืนให้เจ้าของแล้ว ขอใหล้ งโทษตามพระราชบญั ญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔, ๕, ๖,
๘, ๙, ๑๔, ๓๑, ๓๖ พระราชบัญญัตปิ ่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๕๔, ๗๒ ตรี พระราชบัญญัติ
โรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๕, ๗, ๑๒, ๕๐ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ กบั ใหจ้ ำเลยทง้ั สอง
คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยท้ังสองออกจากป่าสงวนแห่งชาติบ้านป่าโฮ่ง

ที่บกุ รกุ เข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน

จำเลยทั้งสองให้การรบั สารภาพ

ศาลช้ันต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยท้ังสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้

พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๕๔ วรรคหน่ึง, ๗๒ ตรี วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ

พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ วรรคหนงึ่ (ทถี่ กู มาตรา ๓๑ วรรคหนง่ึ (เดมิ )) พระราชบญั ญตั โิ รงงาน
พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๒ วรรคหนึง่ วรรคสอง, ๕๐ (ที่ถกู มาตรา ๕๐ วรรคหนงึ่ ) ประกอบประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระทำของจำเลยท้ังสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานบุกรุกทำไม้
ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (ท่ีถูก ฐานร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในท่ีดิน

หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเส่ือมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ) เป็นกรรมเดียว

เป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติปา่ สงวนแหง่ ชาตฯิ ซึ่งเป็นกฎหมาย
บทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกคนละ ๑ ปี ฐานร่วมกัน

ต้ังโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ ๖ เดือน ฐานร่วมกันประกอบกิจการโรงงาน

โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ ๖ เดือน รวมจำคุกคนละ ๑ ปี ๑๒ เดือน จำเลยทั้งสอง

ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละก่ึงหนึ่ง

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๑๒ เดือน ให้จำเลยท้ังสอง คนงาน

ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองออกจากป่าสงวนแห่งชาติป่าบ้านโฮ่ง ที่บุกรุกเข้าไป
ยึดถอื ครอบครองทำประโยชน

จำเลยทง้ั สองอทุ ธรณ์

ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๕ แผนกคดีส่งิ แวดล้อมพพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ใหย้ กฟ้องโจทก์ในความผิดฐาน
ร่วมกันตั้งโรงงานจำพวกที่ ๓ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนโทษในความผิดฐานอื่นและนอกจาก

ทีแ่ กค้ งใหเ้ ปน็ ไปตามคำพพิ ากษาศาลชั้นตน้

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีส่ิงแวดล้อมตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว สำหรับความผิดฐานร่วมกัน
บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองหรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเส่ือมเสียแก่สภาพ

ปา่ สงวนแหง่ ชาตแิ ละฐานรว่ มกนั ประกอบกจิ การโรงงานโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าต คคู่ วามไมไ่ ดฎ้ กี าโตแ้ ยง้
ความผิดท้ังสองฐานดังกล่าวจงึ ยตุ ิไปตามพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๕ มปี ัญหาตอ้ งวินจิ ฉัยตามฎกี า

68 คำพพิ ากษาศาลฎีกา

โจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานร่วมกันตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
ครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ โจทก์ฎีกาโต้แย้งว่าฟ้องข้อ ๒.๒ โจทก์บรรยายฟ้องว่า

จำเลยทั้งสองร่วมกันต้ังโรงงานจำพวกท่ี ๓ ด้วยการใช้รถแบ็กโฮ ขนาด ๖๐ แรงม้า

ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่มีกำลังตั้งแต่ห้าแรงม้าขึ้นไป ติดต้ังในบริเวณที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ หมู่ท่ี ๖
ตำบลป่าพูล อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน อันเป็นสถานท่ีประกอบกิจการโรงงาน สำหรับการขุด
หรือลอกดินและลำเลียงดินสำหรับใช้ในการก่อสร้างออกจากโรงงานท่ีตั้งอันเป็นสถานท่

จะประกอบกิจการโรงงานดังกล่าว โดยไม่ได้รับใบอนุญาต การบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบ

ความผิดแล้ว เห็นวา่ แมม้ าตรา ๕ แหง่ พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ บัญญัติว่า ตั้งโรงงาน
หมายความว่า การก่อสร้างอาคารเพื่อติดตั้งเคร่ืองจักรสำหรับประกอบกิจการโรงงาน

หรือนำเครื่องจักรสำหรับประกอบกิจการโรงงานมาติดต้ังในอาคารสถานที่หรือยานพาหนะ

ที่จะประกอบกิจการ แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็มิได้หมายความเพียงว่า การก่อต้ังโรงงานจำพวกท่ี ๓
จะต้องเป็นการก่อสร้างอาคารเพ่ือติดตั้งเครื่องจักรหรือนำเครื่องจักรมาติดตั้งในอาคารเท่านั้น
เพราะคำว่า อาคารสถานที่ตามบทบัญญัติของมาตรานี้ยังมีความหมายรวมไปถึง สถานท
ี่
ที่ต้ังเคร่ืองจักรเพื่อการอย่างใดอย่างหน่ึงในการประกอบกิจการโดยไม่ต้องมีตัวอาคารก็ได้

ดังเช่น ตั้งเครื่องจักรแรงม้าสูงแปรรูปไม้ในป่าเป็นต้น ดังนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า

จำเลยท้ังสองร่วมกนั ใชร้ ถแบก็ โฮ ขนาด ๖๐ แรงมา้ ซึง่ เปน็ เคร่อื งจกั รทม่ี กี ำลงั ตั้งแตห่ ้าแรงมา้ ขนึ้ ไป
ติดตั้งบริเวณที่ดินในป่าสงวนแห่งชาติสำหรับขุดหรือลอกดินและมีอุปกรณ์รถบรรทุกหกล้อ

ใช้ในกิจการลำเลียงดินออกไปจากสถานที่ขุดลอกดินดังกล่าว จึงเป็นการบรรยายฟ้อง

ครบองคป์ ระกอบความผิดแลว้ ท่ศี าลอุทธรณ์ภาค ๕ พพิ ากษายกฟ้องโจทกใ์ นความผิดฐานดังกลา่ ว
มานั้น ศาลฎีกาไม่เหน็ พ้องด้วย ฎกี าของโจทก์ฟังข้นึ

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕

มาตรา ๑๒ วรรคสอง, ๕๐ วรรคหน่งึ สว่ นโทษความผดิ ฐานนใ้ี หเ้ ป็นไปตามคำพพิ ากษาศาลชน้ั ตน้
นอกจากท่ีแก้ให้เปน็ ไปตามคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณภ์ าค ๕.



สำนกั งานอัยการพเิ ศษฝ่ายสารสนเทศ

สำนักงานวชิ าการ




อยั การนิเทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
69

คำพิพากษาศาลฎกี าที่ ๑๗๗๙/๒๕๖๑


พ.ร.บ. จดั ตั้งศาลทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาและการคา้ ระหว่างประเทศและวิธพี จิ ารณาคดี

ทรัพยส์ ินทางปญั ญาและการคา้ ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ (มาตรา ๒๖)


พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ (มาตรา ๑๙, ๒๑, ๓๑ (๒), ๗๐ วรรคสอง)

ป.ว.ิ อ. บรรยายฟ้อง (มาตรา ๑๕๘)



องค์ประกอบความผิดในส่วนการกระทำตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗


มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๒) คอื การเผยแพรต่ อ่ สาธารณชนซงึ่ งานทไ่ี ดท้ ำขน้ึ
โดยละเมดิ ลขิ สทิ ธข์ิ องผอู้ นื่ เพอื่ การคา้ โดยองคป์ ระกอบในสว่ นของงานอนั มลี ขิ สทิ ธขิ์ องผอู้ นื่ นนั้
ต้องเป็นงานสร้างสรรค์ท่ีกฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครอง โดยได้มาตามวิธีการและเงื่อนไข
ของกฎหมาย และต้องอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธ์ิด้วย เพราะลิขสิทธ์ิเป็นสิทธ


ท่ีได้รับความคุ้มครองภายในช่วงเวลาหนึ่งเท่าน้ัน หลังจากพ้นกำหนดอายุการคุ้มครองแล้ว

งานอนั มลี ขิ สทิ ธจิ์ ะตกเปน็ งานทสี่ าธารณชนสามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากงานนนั้ ไดโ้ ดยไมเ่ ปน็ ความผดิ
ดังนี้ องค์ประกอบความผิดท่ีว่างานอันมีลิขสิทธ์ิต้องอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์


ตามกฎหมายจึงเป็นสาระสำคัญ การที่จะรู้ว่างานอันมีลิขสิทธิ์ใดยังอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครอง
ลิขสิทธิ์หรือไม่ ก็ต้องเป็นไปตามมาตรา ๑๙ และมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ

พ.ศ. ๒๕๓๗ โดยหากผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคลก็จะมีอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ห้าสิบปีนับแต


ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้น แต่ถ้าได้มีการโฆษณางานในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว จะมีอายุ
การคุ้มครองลิขสิทธิ์ห้าสิบปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก การบรรยายฟ้องว่า


งานท่ีนิติบุคคลเป็นผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นเม่ือใดหรือได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรกเม่ือใด
เพ่ือแสดงให้เห็นว่าขณะเกิดเหตุงานดังกล่าวยังอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธ์ิตามกฎหมาย
จึงเป็นส่วนสาระสำคัญ มิใช่รายละเอียดเล็กน้อยดังท่ีโจทก์อ้างในอุทธรณ์ เม่ือโจทก์ไม่ได้
บรรยายฟ้องหรือได้ความจากเอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของคำฟ้องว่าผู้เสียหาย


ซ่ึงเป็นนิติบุคคลได้ลิขสิทธ์ิในการสร้างสรรค์งานดังกล่าวเมื่อใด หรือผู้เสียหายได้ม


การโฆษณางานคร้ังแรกเมื่อใด จึงไม่มีข้อเท็จจริงในส่วนที่แสดงให้เห็นว่าลิขสิทธิ์ดังกล่าว

อยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธ์ิตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พ.ศ. ๒๕๓๗
หรือไม่ เป็นคำฟ้องท่ีขาดองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๒) ไมช่ อบดว้ ยพระราชบัญญตั ิจัดตง้ั ศาลทรัพย์สนิ
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและ


การคา้ ระหวา่ งประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา
มาตรา ๑๕๘ (๕) แม้จำเลยท้ังสามจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษ

จำเลยทงั้ สามได


______________________________


70 คำพพิ ากษาศาลฎีกา

พนกั งานอยั การจงั หวัดรตั นบุรี โจทก์

ระหวา่ ง บรษิ ทั ศ. จำกดั ที่ ๑
จำเลย

นาย บ. ท่ี ๒



{
นาง อ. ที่ ๓
โจทก์ฟ้องว่าบริษัท ส. จำกัด ผู้เสียหาย เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย และมีภูมิลำเนา

อยู่ในประเทศไทยตลอดระยะเวลาในการสร้างสรรค์ โดยผู้เสียหายเป็นผู้สร้างสรรค์โดยเป็นผู้ทำ

หรือก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์ประเภทดนตรีกรรมเพลง “รักกับป๋าพาไปยันฮี” เพลง “ขอโทษอย่า
เรียกลุง” และเพลง “ผู้ชายพายเรือ” ท่ีแต่งขึ้นเพ่ือบรรเลงและขับร้องโดยศิลปินทั้งคำร้องและ
ทำนองเพลงแล้วบันทึกลงในแผ่นซีดีท่ีบันทึกเสียงและแผ่นวิดีโอซีดีที่บันทึกภาพและเสียง

อันสามารถนำมาเล่นโดยใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ และอุปกรณ์รับข้อมูลอื่น จอภาพ และ
อุปกรณ์อื่น ๆ โดยได้มีการโฆษณางานคร้ังแรกในประเทศไทย เม่ือวันท่ี ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
เวลากลางคืนหลังเท่ียง จำเลยท้ังสามร่วมกันละเมิดลิขสิทธ์ิงานสร้างสรรค์ประเภทดนตรีกรรม

สิ่งบันทึกเสียง และโสตทัศนวัสดุ เพลง “รักกับป๋าพาไปยันฮี” เพลง “ขอโทษอย่าเรียกลุง” และ
เพลง “ผู้ชายพายเรือ” ของผู้เสียหาย ด้วยการนำเพลงดังกล่าวออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน

เพื่อบริการลูกค้าภายในร้านอาหารของจำเลยทั้งสาม โดยใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ ๑ เคร่ือง

ซ่ึงประกอบด้วย จอคอมพิวเตอร์ หน่วยความจำ แป้นพิมพ์ ไมโครโฟน และเม้าส์ เปิดเพลงและ
เรยี กเกบ็ คา่ ตอบแทนจากลกู คา้ ทไี่ ดร้ อ้ งหรอื ฟงั เพลง อนั เปน็ การกระทำเพอ่ื แสวงหากำไรในทางการคา้
โดยจำเลยท้ังสามรู้อยู่แล้วว่าเพลงดังกล่าวที่บันทึกอยู่ในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีจำเลยท้ังสาม

นำออกเผยแพรต่ อ่ สาธารณชนเพอ่ื บรกิ ารลกู คา้ ในรา้ นอาหารไดท้ ำขน้ึ โดยละเมดิ ลขิ สทิ ธขิ์ องผเู้ สยี หาย
โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙

จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนนิติบุคคลจำเลยที่ ๑ เข้าพบ

พนักงานสอบสวนวันท่ี ๑๒ เมษายน ๒๕๕๙ จำเลยท่ี ๒ นำเครื่องคอมพิวเตอร์ ๑ เคร่ือง

ซ่ึงประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเลยท้ังสามได้ใช้ในการกระทำความผิดมามอบให้

พนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของกลาง จำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยท่ี ๒

และท่ี ๓ ในคดอี าญาหมายเลขดำที่ ๓/๒๕๕๙ ของศาลจังหวดั รัตนบุรี ซึง่ ไดฟ้ ้องมาพร้อมกบั คดนี ี้
ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๑๕, ๓๑, ๗๐, ๗๕, ๗๖

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ นับโทษจำคุกจำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ตอ่ จากโทษจำคกุ จำเลยท่ี ๒
และท่ี ๓ ในคดีอาญาหมายเลขดำท่ี ๓/๒๕๕๙ ของศาลจังหวัดรัตนบุรี ให้จ่ายเงินค่าปรับกึ่งหน่ึง

ให้แกผ่ เู้ สียหายซึ่งเป็นเจ้าของลขิ สิทธิ์ รบิ ของกลาง

จำเลยท้ังสามให้การรับสารภาพ และจำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับ

จำเลยที่ ๒ และท่ี ๓ ในคดีทโี่ จทกอ์ า้ งเป็นเหตขุ อให้นบั โทษต่อ

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศกลางพิจารณาแล้วพพิ ากษายกฟอ้ ง

โจทก์อุทธรณต์ ่อศาลฎีกา


อัยการนเิ ทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
71

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศตรวจสำนวน

ประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วย

พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดี

ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบ

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) หรือไม่ ท่ีโจทก์อุทธรณ์ว่า

โจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบของความผิดที่ได้ฟ้องแล้วและบรรยายฟ้องว่าผู้เสียหาย

ไดโ้ ฆษณางานครงั้ แรกแลว้ สว่ นทผ่ี เู้ สยี หายจะโฆษณางานครงั้ แรกเมอ่ื ใดไมใ่ ชอ่ งคป์ ระกอบความผดิ นนั้
เห็นว่า องค์ประกอบความผิดในส่วนการกระทำตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๒) คือ การเผยแพร่ต่อสาธารณชนซ่ึงงานที่ได้ทำขึ้น
โดยละเมิดลิขสิทธ์ิของผู้อ่ืนเพื่อการค้า โดยองค์ประกอบในส่วนของงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นน้ัน
ต้องเป็นงานสร้างสรรค์ที่กฎหมายลิขสิทธิ์ให้ความคุ้มครอง โดยได้มาตามวิธีการและเง่ือนไข

ของกฎหมาย และต้องอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธ์ิด้วย เพราะลิขสิทธิ์เป็นสิทธิท่ีได้รับ

ความคุม้ ครองภายในชว่ งเวลาหนึ่งเท่าน้ัน หลงั จากพน้ กำหนดอายุการคมุ้ ครองแล้วงานอันมลี ิขสทิ ธิ์
จะตกเป็นงานท่ีสาธารณชนสามารถใช้ประโยชน์จากงานน้ันได้โดยไม่เป็นความผิด ดังน้ี

องค์ประกอบความผิดท่ีว่างานอันมีลิขสิทธิ์ต้องอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

จึงเป็นสาระสำคัญ การท่ีจะรู้ว่างานอันมีลิขสิทธ์ิใดยังอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรือไม่

ก็ต้องเป็นไปตามมาตรา ๑๙ และมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ โดยหาก

ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคลก็จะมีอายุการคุ้มครองลิขสิทธ์ิห้าสิบปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้น
แต่ถ้าได้มีการโฆษณางานในระหว่างระยะเวลาดังกล่าว จะมีอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ห้าสิบปีนับแต่
ได้มีการโฆษณาเป็นคร้ังแรก การบรรยายฟ้องว่างานท่ีนิติบุคคลเป็นผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ข้ึน
เม่ือใดหรือได้มีการโฆษณาเป็นคร้ังแรกเม่ือใดเพื่อแสดงให้เห็นว่าขณะเกิดเหตุงานดังกล่าวยังอย ู

ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธ์ิตามกฎหมายจึงเป็นส่วนสาระสำคัญ มิใช่รายละเอียดเล็กน้อย

ดังท่ีโจทก์อ้างในอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องหรือได้ความจากเอกสารท้ายฟ้องซ่ึงเป็น

ส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่าผู้เสียหายซ่ึงเป็นนิติบุคคลได้ลิขสิทธ์ิในการสร้างสรรค์งานดังกล่าวเมื่อใด
หรือผู้เสียหายได้มีการโฆษณางานครั้งแรกเม่ือใด จึงไม่มีข้อเท็จจริงในส่วนท่ีแสดงให้เห็นว่าลิขสิทธ์ิ
ดังกล่าวอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธ์ิตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ

พ.ศ. ๒๕๓๗ หรือไม่ เป็นคำฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์

พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๒) ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดต้ัง

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและ
การคา้ ระหวา่ งประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา
มาตรา ๑๕๘ (๕) แมจ้ ำเลยทง้ั สามจะใหก้ ารรบั สารภาพ ศาลกไ็ มอ่ าจพพิ ากษาลงโทษจำเลยทง้ั สามได้
ท่ีศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์มาน้ัน

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของ

โจทก์ฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดี
เปลย่ี นแปลง


72 คำพพิ ากษาศาลฎีกา

อนึ่ง โจทกบ์ รรยายฟ้องว่า พนักงานสอบสวนยดึ เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ ๑ เคร่ือง เป็นของกลาง
และมคี ำขอใหร้ ิบของกลางดงั กลา่ ว การที่ศาลทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาและการค้าระหวา่ งประเทศกลาง
พิพากษายกฟ้องโดยไม่ได้วินิจฉัยเร่ืองของกลางจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สิน

ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นควรแก้ไขโดยให้คืนเครื่องคอมพิวเตอร์ ๑ เครื่อง

ของกลางแก่เจา้ ของ

พิพากษายืน คืนของกลางแก่เจา้ ของ.



สำนักงานอัยการพเิ ศษฝา่ ยสารสนเทศ

สำนักงานวชิ าการ










อัยการนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
73

คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ ๒๖๖๑/๒๕๖๑


พ.ร.บ. ปา่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ (มาตรา ๔, ๑๔, ๓๑)


พ.ร.บ. ปา่ ไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ (มาตรา ๔ (๗), ๕๔ วรรคหนงึ่ , ๗๒ ตร)ี




คำนิยามคำว่า ของป่า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔

ให้ความหมายไว้ว่า ของป่า หมายความว่า ส่ิงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หรือมีอยู่ในป่า เป็นต้นว่า


(๑) ไมฟ้ ืน ถ่าน เปลอื กไม้ ใบไม้ ดอกไม้ เมลด็ ผลไม้ หน่อไม้ ชันไม้ และยางไม้ แสดงวา่ ของปา่
ตามพระราชบญั ญตั ิปา่ สงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มคี วามหมายรวมทง้ั หมดไมว่ ่าสิ่งนัน้ จะเป็น

ส่ิงท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติหรือเป็นส่ิงที่มนุษย์ปลูกสร้างขึ้น หากเกิดขึ้นและมีอยู่ในป่าแล้ว
ลว้ นแตเ่ ปน็ ของปา่ ทงั้ สนิ้ ซง่ึ จะแตกตา่ งจากคำนยิ ามของคำวา่ ของปา่ ตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้
พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔ (๗) ซงึ่ ใหค้ วามหมายไวว้ า่ ของปา่ หมายความวา่ บรรดาของท่เี กดิ ข้ึน
หรือมีข้ึนในป่าตามธรรมชาติ ของป่าตามความหมายของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔

จึงหมายถึงเฉพาะส่ิงที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในป่าเท่านั้น ส่วนส่ิงที่มนุษย์ปลูกสร้างข้ึนแม้จะ
เป็นการปลูกสร้างข้ึนในป่าก็ไม่อาจกลายเป็นของป่าไปได้ ความหมายของคำว่าของป่า

ตามพระราชบญั ญตั ทิ ง้ั สองดงั กลา่ ว จงึ มคี วามหมายทแี่ ตกตา่ งกนั ตน้ ปาลม์ นำ้ มนั ทบี่ รษิ ทั ว. จำกดั
ปลูกขึ้นในป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุต้ังแต่ขณะได้รับอนุญาตจากรัฐ ไม่ใช่ส่ิงท่ีเกิดขึ้นเอง


ตามธรรมชาติ ย่อมไม่อาจเป็นของป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้ แต่เน่ืองจาก

ตน้ ปาลม์ นำ้ มนั ดงั กลา่ วตอ้ งถอื วา่ เปน็ สง่ิ ทเี่ กดิ ขน้ึ หรอื มอี ยใู่ นปา่ ยอ่ มอยใู่ นความหมายของคำวา่
ของปา่ ตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ นน่ั เอง การกระทำของจำเลยทง้ั สอง


ที่เข้าไปเก็บเอาผลปาล์มน้ำมัน น้ำหนักประมาณ ๕๐๐ กิโลกรัม ในป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อ
และป่าสลุยที่เกิดเหตุ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าท่ี จึงเป็นความผิดตาม

พระราชบญั ญัติปา่ สงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ แลว้


______________________________



{
พนักงานอัยการจงั หวัดชุมพร โจทก

ระหวา่ ง
นาย อ. ท่ี ๑
จำเลย

นาย ส. ท่ี ๒


โจทกฟ์ ้องวา่ เม่อื วนั ที่ ๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๙ เวลากลางคืนกอ่ นเทยี่ ง จำเลยทงั้ สองกับพวก
อีกหน่ึงคนที่เป็นเยาวชนซ่ึงแยกดำเนินคดีต่างหากแล้วร่วมกันบุกรุกเข้าไปเก็บหาของป่า ทำให้

เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ในท้องที่หมู่ท่ี ๒๑ ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อและ
ปา่ สลยุ แลว้ เกบ็ เอาผลปาลม์ นำ้ มนั จากตน้ ปาลม์ นำ้ มนั หลายทะลายนำ้ หนกั ประมาณ ๕๐๐ กโิ ลกรมั
ราคาไม่ปรากฏชัด ซึ่งเดิมรัฐอนุญาตให้บริษัท ว. จำกัด เข้าทำประโยชน์อยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าว
และส้ินสุดระยะเวลาท่ีรัฐอนุญาตแล้ว ย่อมทำให้ต้นปาล์มน้ำมันที่ปลูกไว้กลายเป็นต้นไม้ที่ขึ้นอย ู


74 คำพพิ ากษาศาลฎีกา

ในเขตปา่ สงวนแห่งชาติ ผลของตน้ ปาล์มน้ำมันจงึ เป็นของปา่ ตามกฎหมาย อนั เป็นการร่วมกนั ยึดถือ
ครอบครองทำประโยชน์ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเส่ือมเสีย

แกส่ ภาพปา่ สงวนแหง่ ชาติ โดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตจากพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ เจา้ พนกั งานจบั จำเลยทงั้ สอง
กับพวกพร้อมยึดผลปาล์มน้ำมันดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัต ิ

ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔, ๕, ๖, ๙, ๑๔, ๓๑, ๓๕ พระราชบัญญัติป่าไม้

พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๕๔, ๗๒ ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๓ ริบของกลาง

กบั ให้จำเลยทง้ั สอง ผู้รบั จ้างผูแ้ ทน และบรวิ ารออกจากปา่ สงวนแห่งชาติทเ่ี กิดเหต

จำเลยทงั้ สองใหก้ ารรบั สารภาพ

ศาลช้ันต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยท้ังสองมีความผิดตามพระราชบัญญัต

ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ วรรคหน่ึง พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔
มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง, ๗๒ ตรี วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระทำ

ของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติ
ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ซ่ึงเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๙๐ จำคุกคนละ ๑ ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา

มเี หตบุ รรเทาโทษลดโทษใหก้ ง่ึ หนงึ่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคกุ คนละ ๖ เดอื น
ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองออกไป

จากปา่ สงวนแหง่ ชาตทิ ี่เกิดเหตุ

จำเลยทง้ั สองอทุ ธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ แผนกคดีส่ิงแวดล้อมพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยทั้งสอง

คนละ ๒๐,๐๐๐ บาท อีกสถานหน่ึง ลดโทษให้ก่ึงหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘

คงปรับคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๑ ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษา

ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๘ ใหจ้ ำเลยท้ังสองฟงั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ หากจำเลยท้ังสอง
ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ยกฟ้องในความผิดฐาน

เก็บหาของป่า ไม่ริบผลปาล์มน้ำมันของกลางโดยให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม

คำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ สำหรับความผิดฐานเก็บของป่า ศาลช้ันต้น

พิพากษาลงโทษจำคุกแก่จำเลยท้ังสองคนละ ๑ ปี ลดโทษกึ่งหน่ึง คงจำคุกคนละ ๖ เดือน

ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๘ พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จำเลยทง้ั สองไมม่ คี วามผดิ ฐานเกบ็ ของปา่ แตย่ งั คงมคี วามผดิ
ฐานยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินหรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเส่ือมเสีย

แกส่ ภาพป่าสงวนแห่งชาติ ใหป้ รับจำเลยท้งั สองคนละ ๒๐,๐๐๐ บาท อกี สถานหนง่ึ ลดโทษก่ึงหน่งึ
คงปรบั คนละ ๑๐,๐๐๐ บาท โทษจำคกุ ใหร้ อการลงโทษไว้ ๑ ปี ดงั นี้ แมค้ ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณภ์ าค ๘
จะได้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยทั้งสองอันเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่เม่ือศาลช้ันต้นและ

ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไม่เกิน ๒ ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหา

ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ ท่ีโจทก์ฎีกาขอให้

ไม่รอการลงโทษน้ัน เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง


อัยการนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
75

ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตราดังกล่าว ท่ีศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ในข้อน ้ี

มานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำ

ของจำเลยทง้ั สองทเ่ี ขา้ ไปเกบ็ เอาผลปาลม์ นำ้ มนั นำ้ หนกั ประมาณ ๕๐๐ กโิ ลกรมั ในเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ
ป่ารับร่อและป่าสลุยที่เกิดเหตุ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นความผิดตาม

พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ หรือไม่ เมื่อพิจารณาคำนิยาม

คำว่า ของป่า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔ ให้ความหมายไว้ว่า
ของป่า หมายความว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน หรือมีอยู่ในป่า เป็นต้นว่า (๑) ไม้ฟืน ถ่าน เปลือกไม้
ใบไม้ ดอกไม้ เมลด็ ผลไม้ หนอ่ ไม้ ชนั ไม้ และยางไม้ แสดงวา่ ของปา่ ตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗ มีความหมายรวมทั้งหมดไม่ว่าส่ิงนั้นจะเป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเป็นสิ่ง

ที่มนุษย์ปลูกสร้างข้ึน หากเกิดข้ึนและมีอยู่ในป่าแล้ว ล้วนแต่เป็นของป่าท้ังสิ้น ซึ่งจะแตกต่างจาก

คำนยิ ามของคำวา่ ของปา่ ตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔ (๗) ซง่ึ ใหค้ วามหมายไวว้ า่
ของป่า หมายความว่า บรรดาของท่ีเกิดข้ึนหรือมีขึ้นในป่าตามธรรมชาติ ของป่าตามความหมาย

ของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ จึงหมายถึงเฉพาะสิ่งท่ีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในป่าเท่านั้น
ส่วนสิ่งที่มนุษย์ปลูกสร้างข้ึนแม้จะเป็นการปลูกสร้างขึ้นในป่าก็ไม่อาจกลายเป็นของป่าไปได้

ความหมายของคำว่าของป่า ตามพระราชบัญญัติท้ังสองดังกล่าว จึงมีความหมายท่ีแตกต่างกัน

ตน้ ปาลม์ นำ้ มนั ทบี่ รษิ ทั ว. จำกดั ปลกู ขน้ึ ในปา่ สงวนแหง่ ชาตทิ เี่ กดิ เหตตุ ง้ั แตข่ ณะไดร้ บั อนญุ าตจากรฐั
ไม่ใช่สิ่งที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ ย่อมไม่อาจเป็นของป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔

ได้ แต่เน่ืองจากต้นปาล์มน้ำมันดังกล่าวต้องถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดข้ึนหรือมีอยู่ในป่า ย่อมอยู่ใน

ความหมายของคำว่า ของป่า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ น่ันเอง

การกระทำของจำเลยท้ังสองที่เข้าไปเก็บเอาผลปาล์มน้ำมัน น้ำหนักประมาณ ๕๐๐ กิโลกรัม

ในป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อและป่าสลุยท่ีเกิดเหตุ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ แล้ว ที่ศาล
อุทธรณ์ภาค ๘ วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยท้ังสองไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัต ิ

ป่าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ จงึ ไม่ชอบ ฎีกาของโจทกฟ์ งั ข้นึ

พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ จำเลยทง้ั สองมคี วามผดิ ตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
มาตรา ๑๔, ๓๑ วรรคหนึ่งด้วย เป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ซ่ึงเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้ริบผลปาล์มน้ำมันของกลาง โทษและนอกจากที่แก้

ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอทุ ธรณภ์ าค ๘.



สำนกั งานอัยการพเิ ศษฝ่ายสารสนเทศ

สำนกั งานวิชาการ




76 คำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๗๖/๒๕๖๑


ป.อ. ลกั ทรพั ย,์ ลกั ทรัพย์นายจ้าง (มาตรา ๓๓๔,๓๓๕ (๑๑))


ป.ว.ิ อ. บรรยายฟ้อง (มาตรา ๑๕๘)



ตามคำขอท้ายฟ้อง โจทก์อ้างบทมาตราความผิดบทเฉพาะฐานลักทรัพย์นายจ้าง

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑) เม่ือเป็นความผิดตามบทเฉพาะแล้ว

ก็ไม่จำต้องอ้างบทมาตราความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔

ทเ่ี ปน็ บททว่ั ไปอกี คำฟอ้ งของโจทกจ์ งึ ชดั แจง้ ชอบดว้ ยประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา
มาตรา ๑๕๘ แล้ว


_____________________________


{
พนักงานอยั การ สำนกั งานอยั การสูงสดุ โจทก

นางสาว อ. จำเลย

ระหวา่ ง



โจทกฟ์ อ้ งว่า เมอ่ื ระหวา่ งวันท่ี ๒ ตลุ าคม ๒๕๕๕ เวลากลางวนั ถึงวนั ท่ี ๙ ตลุ าคม ๒๕๕๕
เวลากลางวนั ตอ่ เนอื่ งกนั วนั เวลาใดไมป่ รากฏชดั จาํ เลยซงึ่ เปน็ ลกู จา้ งของนาย ก. ผเู้ สยี หาย ไดล้ กั เงนิ
สกุลยูโร ๕๐๐ ยูโร คิดเป็นเงินไทย ๒๐,๐๐๐ บาท ธนบัตรท่ีระลึก ๘๐ ปี สมเด็จพระนางเจ้า
พระบรมราชนิ นี าถ มลู ค่าฉบบั ละ ๑๒๐ บาท จํานวน ๘๐ ฉบบั ราคา ๙,๖๐๐ บาท และธนบตั ร

ท่ีระลึก ๘๔ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มูลค่าฉบับละ ๑๕๐ บาท ๑๐๐ ฉบับ

ราคา ๑๕,๐๐๐ บาท รวม ๓ รายการ เปน็ เงิน ๔๔,๖๐๐ บาท ของผู้เสยี หาย ซง่ึ เป็นนายจ้างจําเลย

ไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑) ให้จําเลยคืนหรือชดใช้
ราคาทรพั ยท์ ไ่ี มไ่ ด้คืน ๔๔,๖๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย

จําเลยใหก้ ารรับสารภาพ

ศาลช้ันต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๓๓๕ (๑๑) วรรคแรก จําคกุ ๓ ปี จาํ เลยให้การรับสารภาพเปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณา

มเี หตบุ รรเทาโทษ ลดโทษใหก้ ง่ึ หนงึ่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจาํ คกุ ๑ ปี ๖ เดอื น

ทโี่ จทกข์ อให้คืนหรือใชร้ าคาทรัพยใ์ หย้ ก

จําเลยอุทธรณ

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําคุก ๒ ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๗๘ กง่ึ หนึง่ คงจําคุก ๑ ปี นอกจากทีแ่ กใ้ ห้เปน็ ไปตามคาํ พพิ ากษาศาลชน้ั ตน้

จําเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคําพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหา

ขอ้ เท็จจริง


อัยการนเิ ทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
77

ศาลฎีกาตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลย

ประการแรกว่า ฟ้องโจทกช์ อบด้วยกฎหมายหรอื ไม่ โดยจําเลยฎีกาวา่ ฟอ้ งโจทก์ไม่บรรยายเก่ยี วกับ
รายละเอียดว่า เงินตามฟ้องเป็นทรัพย์สินอย่างไร เป็นทรัพย์ตามกฎหมายหรือไม่ และเป็น

ของบุคคลใด จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า

เมอื่ ระหวา่ งวนั ที่ ๒ ตลุ าคม ๒๕๕๕ เวลากลางวนั ถงึ วนั ที่ ๙ ตลุ าคม ๒๕๕๕ เวลากลางวนั ตอ่ เนอื่ งกนั
จาํ เลยซง่ึ เปน็ ลกู จา้ งของผเู้ สยี หาย ลกั ทรพั ยเ์ อาเงนิ สดสกลุ ยโู ร ๕๐๐ ยโู ร คดิ เปน็ เงนิ ไทย ๒๐,๐๐๐ บาท
ธนบตั รทร่ี ะลกึ ๘๐ ปี สมเดจ็ พระนางเจา้ พระบรมราชนิ นี าถ มลู คา่ ฉบบั ละ ๑๒๐ บาท จาํ นวน ๘๐ ฉบบั
ราคา ๙,๖๐๐ บาท และธนบตั รท่รี ะลึก ๘๔ พรรษา พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว มลู คา่ ฉบับละ
๑๕๐ บาท ๑๐๐ ฉบับ ราคา ๑๕,๐๐๐ บาท รวม ๓ รายการ เป็นเงิน ๔๔,๖๐๐ บาท

ของผเู้ สยี หายไป เปน็ ฟอ้ งทค่ี รบองคป์ ระกอบความผดิ ฐานลกั ทรพั ยน์ ายจา้ งตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓๕ (๑๑) วรรคแรก แล้ว ฎีกาของจําเลยข้อน้ีฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต้องวินิจฉัย ตามฎีกา

ของจําเลยประการต่อมาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจําเลยฎีกาว่า คําขอท้ายฟ้อง

ของโจทก์ไม่ระบุความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ ด้วย จึงเป็นฟ้องไม่ชัดแจ้งน้ัน
เห็นวา่ ตามคาํ ขอท้ายฟอ้ ง โจทกอ์ า้ งบทมาตราความผดิ ตามบทเฉพาะมาตรา ๓๓๕ (๑๑) วรรคแรก
เมื่อเป็นความผิดตามบทเฉพาะแล้วก็ไม่จําต้องอ้างบทมาตราความผิดตามมาตรา ๓๓๔

ที่เป็นบทท่ัวไปอีก คําฟ้องโจทก์จึงชัดแจ้ง ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๕๘ แล้ว ฎีกาของจําเลยข้อน้ีฟังไม่ข้ึน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลย

ประการต่อมาว่า ความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑)
วรรคแรก ต้องสืบพยานหลักฐานโจทก์ประกอบคํารับสารภาพหรือไม่ เห็นว่า ความผิดดังกล่าว

มีระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหน่ึงหมื่นบาท จึงเป็นคดีที่
กฎหมายกําหนดอัตราโทษจําคุกอย่างต่ำจําคุกไม่เกินห้าปี ถ้าจําเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๗๖ วรรคหน่งึ กรณจี ึงไมจ่ าํ ตอ้ งสืบพยานหลกั ฐานโจทก์ประกอบคาํ รับสารภาพของจาํ เลย
ฎีกาของจําเลยข้อน้ีฟังไม่ข้ึน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยอีกประการหนึ่งว่า

มีเหตุลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจําคุกให้แก่จําเลยหรือไม่ เห็นว่า จําเลยเป็นลูกจ้าง

ของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไว้วางใจให้จําเลยทําความสะอาดบ้านให้ แต่จําเลยกลับอาศัยโอกาส

ทผ่ี เู้ สยี หายไวใ้ จ ลกั เอาเงนิ และทรพั ยต์ ามฟอ้ งของผเู้ สยี หายไป รวมมลู คา่ เปน็ เงนิ ถงึ ๔๔,๖๐๐ บาท
นับว่าเป็นการกระทําที่ไม่เคารพยําเกรงต่อกฎหมาย กระทําโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนโดย

ไม่คํานึงถงึ ความเสียหายท่เี กิดข้นึ แก่ผ้เู สยี หาย ก่อใหเ้ กิดผลกระทบกระเทือนตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ย
ของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเร่ืองร้ายแรง แม้จําเลยไม่เคยกระทําความผิดมาก่อน

มภี าระตอ้ งอปุ การะเลย้ี งดบู ตุ รและชดใชค้ า่ เสยี หายแกผ่ เู้ สยี หายโดยผเู้ สยี หายไมต่ ดิ ใจดาํ เนนิ คดอี าญา
แก่จําเลยแล้ว หรือมีเหตุอ่ืนดังที่จําเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็มิใช่เป็นเหตุผลเพียงพอจะรับฟัง

เพื่อรอการลงโทษจาํ คุกให้แกจ่ ําเลย ทศ่ี าลอทุ ธรณ์พิพากษาลงโทษจําคกุ จาํ เลย ๒ ปี น้ันเหมาะสม
แก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ทั้งยังลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ อีกกึ่งหน่ึง

คงจําคุก ๑ ปี อันเป็นการลดโทษข้ันสูงสุดตามกฎหมาย ซ่ึงเป็นคุณแก่จําเลยมากแล้ว จึงไม่มีเหต

ทศ่ี าลฎกี าจะเปล่ยี นแปลงแก้ไข ฎกี าของจาํ เลยฟังไม่ขึ้น


78 คำพิพากษาศาลฎีกา

อนง่ึ เมื่อวันท่ี ๒๐ มนี าคม ๒๕๖๐ ไดม้ ีพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายอาญา
(ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๕ ให้ยกเลิกอัตราโทษในมาตรา ๓๓๕ วรรคหน่ึง

และให้ใช้อัตราโทษใหม่แทน ปรากฏว่า โทษจําคุกตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม

มีระวางโทษจําคุกเท่ากัน ส่วนโทษปรับตามกฎหมายท่ีแก้ไขใหม่มีระวางโทษปรับสูงกว่าโทษปรับ
ตามกฎหมายเดิม ต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จําเลย จึงต้องใช้กฎหมายเดิม

ซงึ่ เปน็ กฎหมายทใ่ี ชข้ ณะกระทาํ ความผิดบังคับแก่จาํ เลย

พพิ ากษายืน.



สำนักงานอัยการพเิ ศษฝา่ ยสารสนเทศ

สำนกั งานวิชาการ




อัยการนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
79

คำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๖๙/๒๕๖๑


พ.ร.บ. วธิ พี จิ ารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ (มาตรา ๑๕, ๑๘, ๑๙)

ป.วิ.อ. รับรองใหฎ้ ีกา (มาตรา ๒๒๑)



คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันต้ังแต่สองคน
ขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเก่ียวกับยาเสพติด ด้วยการจัดหาและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำ


ความผิดเก่ียวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๓, ๘ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ


พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๕, ๖๖, ๑๐๐/๑ ขณะฟ้องคดีน้ีจำเลยถูกคุมขังอยู่ท


เรือนจำกลางเขาบิน จังหวัดราชบุรี ตามหมายจำคุกและกักขังเม่ือคดีถึงท่ีสุดในคดีอาญา
หมายเลขแดงท่ี ๗๑๐๔/๒๕๕๑ ของศาลจังหวัดพัทยา จึงเป็นการฟ้องคดีความผิดเกี่ยวกับ

ยาเสพติด แม้จะอยู่ในช้ันตรวจคำฟ้อง ซึ่งศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดราชบุรี) มีคำส่ังไม่รับฟ้อง
เนื่องจากเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยอยู่ท่ีจังหวัดระยองและจังหวัดชลบุรี

ยากทจ่ี ำเลยจะนำสบื พสิ จู นต์ อ่ สคู้ ดี ทง้ั การดำเนนิ คดอี าจลา่ ชา้ และไมส่ ะดวก จงึ มคี ำสง่ั ไมร่ บั ฟอ้ ง
และให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ แม้ศาลช้ันต้นมีคำส่ังไม่รับฟ้องของโจทก์โดยมิได้


มีการวินิจฉัยเก่ียวกับการกระทำความผิดก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ย่ืนอุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้น


รับชำระคดีถือว่าเป็นการอุทธรณ์ในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ย่อมอยู่ในบังคับของ


พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้
อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ และมาตรา ๑๘ วรรคหน่ึง
บัญญัติให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาหรือมีคำส่ังโดยมิชักช้า และภายใต้บังคับ


แห่งบทบัญญัติมาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๙ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำ


ซึ่งเป็นความผิดเก่ียวกับยาเสพติดให้เป็นท่ีสุด เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ท่ีไม่รับฟ้องของโจทก์แล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้นย่อมเป็นท่ีสุด หากโจทก์จะฎีกา


ต้องย่ืนคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด


พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง ซ่ึงเป็นกฎหมายเฉพาะ ไม่อาจนำบทบัญญัต


หรอื วธิ พี จิ ารณาตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาซงึ่ เปน็ กฎหมายทว่ั ไปมาใชบ้ งั คบั ได้
การท่ีอัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุอันสมควรท่ีศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย
เปน็ การรบั รองใหฎ้ กี าตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๒๒๑ มใิ ชก่ ารยน่ื คำรอ้ ง
ขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกา เม่ือโจทก์ย่ืนฎีกาโดยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพ่ือขอให้พิจารณา
รับฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัย จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด
พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙ วรรคหนง่ึ เปน็ ฎีกาท่ไี ม่ชอบ ศาลฎกี าไม่รบั วินิจฉยั


______________________________




80 คำพิพากษาศาลฎีกา

{
พนกั งานอัยการจังหวัดราชบุร ี โจทก์

ระหวา่ ง
นาย ก. จำเลย



โจทก์ฟ้องว่า เม่ือระหว่างวันท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

ท้ังเวลากลางวันและกลางคืนต่อเน่ืองกัน จำเลยกับพวกสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป

เพื่อกระทำความผิดเก่ียวกับยาเสพติด โดยจำเลยกับพวกจะหาเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติด
ใหโ้ ทษในประเภท ๑ ชนิดวัตถุเกล็ดใส ๕ ถุง น้ำหนกั ๑๐๓.๙๔๓ กรัม คำนวณเปน็ สารบรสิ ทุ ธิ์ได้
๑๐๐.๒๒๑ กรัม และชนิดวัตถุเม็ดกลมแบน ๕๐ เม็ด หรือหน่วยการใช้ น้ำหนัก ๑๓.๘๘๖ กรัม
คำนวณเป็นสารบริสุทธ์ิได้ ๘.๘๙๗ กรัม มาไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่าย โดยจำเลยกับพวก

เป็นผู้จัดหาส่งมอบเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่นางสาว ป. จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำ

ที่ ๑๒๔๑/๒๕๕๕ ของศาลจังหวัดพัทยา เพื่อจำหน่ายต่อให้แก่ผู้ท่ีต้องการยาเสพติดให้โทษ

อนั เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย และระหวา่ งวนั ท่ี ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ถงึ วนั ท่ี ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๕๔
ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเน่ืองกัน จำเลยกับพวกสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
เพอ่ื กระทำความผดิ เกย่ี วกบั ยาเสพตดิ โดยจำเลยกบั พวกจะหาเมทแอมเฟตามนี อนั เปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ

ในประเภท ๑ ชนิดวตั ถเุ มด็ กลมแบน ๑๒ เมด็ หรือหน่วยการใช้ นำ้ หนกั ๑.๑๐๑ กรัม คำนวณเป็น
สารบริสุทธไ์ิ ด้ ๐.๑๓๖ กรมั และชนดิ วัตถเุ กลด็ สีขาว ๑ ซอง น้ำหนัก ๑.๙๑๙ กรมั คำนวณเปน็
สารบริสุทธไ์ิ ด้ ๑.๖๒๐ กรมั มาไว้ในครอบครองเพือ่ จำหน่าย โดยจำเลยกบั พวกเปน็ ผ้จู ดั หาส่งมอบ
เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่นาย อ. นาย ท. และนาย พ. จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำ

ที่ ๑๐๓๓/๒๕๕๕ ของศาลชน้ั ต้น เพ่อื จำหน่ายใหแ้ กผ่ ทู้ ต่ี ้องการยาเสพติดใหโ้ ทษ อนั เป็นการฝา่ ฝืน
ต่อกฎหมาย เหตุเกิดท่ีตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง และตำบลบ้านโขด

อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ต่อเนื่องเก่ียวพันกัน ขณะฟ้องคดีน้ีจำเลยถูกคุมขังอยู่ที่

เรือนจำกลางเขาบิน จังหวัดราชบุรี ตามหมายจำคุกและกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีอาญาหมาย

เลขแดงที่ ๗๑๐๔/๒๕๕๑ ของศาลจังหวัดพัทยา จำเลยจึงมีภูมิลำเนาในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น
ซ่ึงการดำเนินคดีแก่จำเลยท่ีศาลชั้นต้นก่อให้เกิดความสะดวกและส้ินเปลืองงบประมาณ

ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าฟ้องจำเลยท่ีศาลมูลคดีเกิด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติมาตรการ

ในการปราบปรามผู้กระทำความผดิ เก่ียวกับยาเสพตดิ พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๓, ๘ พระราชบัญญตั ิ
ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๕, ๖๖, ๑๐๐/๑ ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๘๓, ๙๑ นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๗๑๐๔/๒๕๕๑
ของศาลจงั หวัดพัทยา และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๗๐๑/๒๕๕๑ ของศาลจังหวัดชลบรุ ี

ศาลช้ันต้นตรวจคำฟ้องแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยอยู่ที่จังหวัดระยอง
และจังหวัดชลบุรี ยากท่ีจำเลยจะนำสืบพิสูจน์ต่อสู้คดี ท้ังการดำเนินคดีอาจล่าช้าและไม่สะดวก

จึงมีคำสงั่ ไมร่ บั ฟ้องและใหจ้ ำหนา่ ยคดจี ากสารบบความ

โจทกอ์ ทุ ธรณ


อัยการนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
81

ศาลอทุ ธรณ์แผนกคดียาเสพตดิ พิพากษายืน

โจทกฎ์ ีกา โดยอยั การสูงสดุ รบั รองให้ฎกี าในปญั หาข้อเทจ็ จริง

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย

ในความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันต้ังแต่สองคนข้ึนไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ด้วยการจัดหาและมีไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม

พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเก่ียวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๓, ๘ พระราชบญั ญัติยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๕, ๖๖, ๑๐๐/๑
อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด จึงเป็นการฟ้องคดีความผิดเก่ียวกับยาเสพติด แม้จะอยู่ใน

ชั้นตรวจคำฟ้อง ซ่ึงศาลชั้นต้นมีคำส่ังไม่รับฟ้องของโจทก์โดยมิได้มีการวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำ
ความผิดก็ตาม แต่เม่ือโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นรับชำระคดี ถือว่าเป็นการอุทธรณ ์

ในคดีความผิดเก่ียวกับยาเสพติดย่อมอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด

พ.ศ. ๒๕๕๐ ซ่ึงมาตรา ๑๕ วรรคหน่งึ บญั ญตั ิให้อุทธรณค์ ำส่ังหรอื คำพิพากษาของศาลชน้ั ตน้ ไปยัง
ศาลอุทธรณ์ และมาตรา ๑๘ วรรคหน่ึง บัญญัติให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาหรือมีคำส่ัง

โดยมิชักช้า และภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๙ คำพิพากษาของ

ศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซ่ึงเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด เม่ือศาลอุทธรณ

มีคำพิพากษายนื ตามศาลชั้นต้นที่ไม่รบั ฟอ้ งของโจทกแ์ ล้ว คำพิพากษาศาลอทุ ธรณน์ ั้นยอ่ มเป็นทีส่ ุด
หากโจทก์จะฎีกาต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดี

ยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ ไม่อาจนำบทบัญญัต

หรือวิธีพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซ่ึงเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับได้
การท่ีอัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุอันสมควรท่ีศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย
เป็นการรับรองให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๑ มิใช่การย่ืน
คำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกา เม่ือโจทก์ย่ืนฎีกาโดยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพ่ือขอให้
พจิ ารณารบั ฎกี าของโจทกไ์ วว้ นิ จิ ฉยั จงึ เปน็ การไมป่ ฏบิ ตั ติ ามพระราชบญั ญตั วิ ธิ พี จิ ารณาคดยี าเสพตดิ
พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙ วรรคหน่งึ เป็นฎีกาทไ่ี ม่ชอบ ศาลฎกี าไมร่ บั วินิจฉยั

พิพากษายกฎีกาของโจทก.์



สำนักงานอยั การพิเศษฝ่ายสารสนเทศ

สำนกั งานวชิ าการ






82 คำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๒๘๘๑/๒๕๖๑


ป.อ. โทษปรบั (มาตรา ๑๘ (๔), ๒๙)


ป.ว.ิ อ. การบงั คับตามคำพพิ ากษา (มาตรา ๒๔๕ วรรคหน่งึ )


พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ (มาตรา ๒๗, ๙๑ วรรคหนงึ่ , ๙๔)


พ.ร.บ. องคก์ รอยั การและพนกั งานอยั การ พ.ศ. ๒๕๕๓ (มาตรา ๑๔ (๗))



คา่ ปรบั มิใชห่ น้ีตามท่บี ัญญัตใิ นพระราชบญั ญตั ิลม้ ละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ การชำระคา่ ปรบั
หรือการบังคับโทษปรับ เป็นการใช้อำนาจรัฐเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

โดยศาลและพนักงานอัยการเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอาญาที่จะต้องบังคับให้จำเลยชำระค่าปรับ
จึงไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ที่จะต้องยื่นคำขอรับชำระหน
้ี

ต่อเจา้ พนกั งานพิทกั ษ์ทรพั ย์เช่นเดยี วกบั หนี้ในทางแพ่ง


_____________________________


{
บริษัท พ. จำกดั โจทก์

พนักงานอัยการ สำนกั งานการบังคับคดี สำนักงานอัยการสงู สดุ ผ้รู อ้ ง

ระหว่าง เจ้าพนักงานพิทักษท์ รพั ยข์ องจำเลยที่ ๑ ผู้คัดค้าน

บรษิ ทั ค. จำกัด ที่ ๑

นาย ส. ท่ี ๒ จำเลย



คดีสืบเนื่องจากโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิด
จากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ศาลช้ันต้นพิพากษาว่า
จำเลยท้ังสองมคี วามผดิ ตามฟ้อง ลงโทษปรับจำเลยท่ี ๑ เปน็ เงิน ๑๒๕,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒
เป็นเวลา ๓๐ เดือน หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๒๙ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยท้ังสองฎีกาโดยผู้พิพากษา

ซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า

ให้จำหน่ายคดีในส่วนเช็คฉบับท่ี ๒ ออกจากสารบบความ เม่ือลดโทษให้ก่ึงหน่ึงตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แล้ว คงปรับจำเลยท่ี ๑ กระทงละ ๒๕,๐๐๐ บาท รวม ๔ กระทง

เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท คงจำคุกจำเลยท่ี ๒ กระทงละ ๖ เดือน รวม ๔ กระทง รวมจำคุก

จำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒๔ เดือน นอกจากที่แก้ให้เปน็ ไปตามคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์

จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าปรับ ศาลช้ันต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สิน

ของจำเลยที่ ๑ มาชำระคา่ ปรบั และสง่ เรอื่ งใหผ้ รู้ อ้ งดำเนนิ การบงั คบั คดเี มอ่ื วนั ท่ี ๑๗ เมษายน ๒๕๕๘
แตจ่ ำเลยที่ ๑ ถูกศาลลม้ ละลายกลางมีคำส่ังพทิ กั ษท์ รัพยเ์ ด็ดขาดเมือ่ วันที่ ๑๕ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๙
คดีอยู่ระหว่างการจัดการทรัพย์สินของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพ่ือแบ่งแก่เจ้าหน้ีทั้งหลาย

ผู้ร้องจึงมีหนังสือถึงอธิบดีกรมบังคับคดีเพื่อแจ้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการส่งเงินท่ีได ้

จากการรวบรวมทรพั ยส์ นิ ของจำเลยท่ี ๑ สง่ ใหศ้ าลเพอื่ ชำระคา่ ปรบั ตามคำพพิ ากษา แตเ่ จา้ พนกั งาน

อัยการนเิ ทศ เล่มท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
83

พิทักษ์ทรัพย์แจ้งคำวินิจฉัยแก่ผู้ร้องเป็นหมายแจ้งคำส่ังที่ ๔๕๒ ลงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๐ ว่า
หนคี้ า่ ปรบั เปน็ มลู หนอ้ี นั เกดิ จากคำพพิ ากษาซง่ึ ตอ้ งใชก้ ระบวนการชำระหนเ้ี ชน่ เดยี วกบั มลู หนอ้ี น่ื ทว่ั ไป
มไิ ดม้ สี ทิ ธไิ ดร้ บั ชำระหนก้ี อ่ นเจา้ หนอี้ นื่ ผรู้ อ้ งทจ่ี ะใชส้ ทิ ธโิ ดยยน่ื คำขอรบั ชำระหน้ี ผรู้ อ้ งเหน็ วา่ คา่ ปรบั

ตามคำพิพากษาของศาลมิใช่เงินที่จะต้องยื่นคำขอรับชำระหน้ีต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ แต่เป็นโทษทางอาญาตามบัญญัติไว้ใน
กฎหมายอาญา มาตรา ๑๘ (๔), ๒๙ และศาลได้กำหนดไว้ในคำพิพากษาว่า หากจำเลยท่ี ๑

ไมช่ ำระค่าปรับให้จดั การยึดทรพั ยส์ ินมาชำระคา่ ปรบั เป็นโทษทางอาญาทจี่ ำเลยที่ ๑ จะตอ้ งปฏบิ ัติ
ตามคำพิพากษา ซึ่งเป็นกฎหมายเก่ียวกับความสงบเรียบร้อย เพ่ือนำเงินค่าปรับส่งเป็นรายได

ของแผ่นดิน ซึ่งรัฐ ศาลช้ันต้นหรือผู้ร้องมิได้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ ซ่ึงจะต้องย่ืนคำขอรับ

ชำระหน้ีต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปฏิเสธไม่ส่งเงินของจำเลยที่ ๑ ท่ีรวบรวมให้แก่ศาลเพื่อชำระค่าปรับ
เป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำส่ังให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ส่งเงินท่ีได้
จากการรวบรวมทรัพย์สนิ ของจำเลยท่ี ๑ ใหศ้ าลเพือ่ ชำระคา่ ปรบั ตามคำพพิ ากษา

ผคู้ ดั คา้ นยนื่ คำคดั คา้ นวา่ เมอ่ื ผรู้ อ้ งมหี นงั สอื ถงึ กรมบงั คบั คดี เพอื่ แจง้ เจา้ พนกั งานพทิ กั ษท์ รพั ย์
สง่ เงนิ ทรี่ วบรวมไดไ้ ปชำระคา่ ปรบั เจา้ พนกั งานพทิ กั ษท์ รพั ยส์ ง่ หมายแจง้ คำสง่ั ถงึ ผรู้ อ้ งวา่ ไมอ่ าจสง่ เงนิ
ไปชำระค่าปรับได้ ผู้ร้องได้รับหมายเมื่อวันท่ี ๒๕ มกราคม ๒๕๖๐ มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่ง

ของผู้คัดค้านต่อศาลล้มละลายกลางภายใน ๑๔ วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำวินิจฉัย (วันท่ี ๘
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) เพื่อให้ศาลมีคำส่ังกลับหรือแก้ไขคำส่ังของผู้คัดค้าน คำส่ังของผู้คัดค้าน

ย่อมถึงท่ีสุดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๔๖ ผู้คัดค้านมีหน้าท ่ี

เข้าว่าคดีแพ่งท้ังปวงที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหน้ีซึ่งค้างพิจารณาในศาลและต้องปฏิบัติตามคำสั่ง
ของศาลล้มละลายกลาง การบังคับชำระค่าปรับเป็นหน้ีเงินตามกฎหมายแพ่ง เจ้าหนี้จะมีสิทธ

ได้รับชำระหนี้ต่อเม่ือยื่นคำขอรับชำระหนี้เข้ามาในคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย

พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๗ ผู้มีสิทธิได้รับค่าปรับไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชนก็ต้องปฏิบัติตาม

พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของสังคม

ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินการเก่ียวกับการบังคับคดี พ.ศ. ๒๕๕๕

ขอ้ ๑๐ และ ขอ้ ๑๑ กก็ ำหนดไวช้ ดั เจนวา่ เมอ่ื ศาลมคี ำสง่ั พทิ กั ษท์ รพั ยเ์ ดด็ ขาดใหส้ ำนกั งานคดลี ม้ ละลาย
ส่งสำเนาหนังสือที่แจ้งให้ตัวความขอรับชำระหน้ีให้สำนักงานบังคับคดีและให้มีหนังสือแจ้งตัวความ
โดยเร็วเพ่ือย่ืนคำขอรับชำระหน้ี ทั้งการท่ีจำเลยที่ ๑ ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ย่อมหมายความว่า
จำเลยที่ ๑ มีหน้ีสินมากกว่าทรัพย์จึงไม่สามารถชำระหนี้ได้ ผู้ร้องอาจพิจารณายุติการบังคับคดีได้
ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินการเก่ียวกับการบังคับคดี พ.ศ. ๒๕๕๕

ข้อ ๒๔ การกระทำความผดิ ของจำเลยท่ี ๑ มใิ ช่ความผิดของเจ้าหนี้ในคดลี ้มละลาย หากตีความว่า
รัฐหรือศาลชั้นต้นมิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ ย่อมเป็นการลงโทษ

ต่อทรัพย์ของผู้กระทำความผิด มีผลให้เจ้าหนี้ต้องไปร่วมรับโทษด้วย โดยสิทธิในการได้รับชำระหน้ี
ตอ้ งลดน้อยถอยลงเกิดความไมเ่ ปน็ ธรรมแกบ่ รรดาเจ้าหนี้ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ศาลชน้ั ตน้ ไตส่ วนแลว้ มคี ำสง่ั วา่ จำเลยท่ี ๑ เปน็ นติ บิ คุ คลซงึ่ ถกู ศาลพพิ ากษาวา่ มคี วามผดิ ตาม
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ (๑) และ (๒)


84 คำพิพากษาศาลฎีกา

ลงโทษปรับจำเลยท่ี ๑ เป็นเงิน ๑๒๕,๐๐๐ บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ การลงโทษปรับเป็นการใช้อำนาจรัฐเก่ียวกับการลงโทษแก่จำเลยที่ ๑
แม้ต่อมาจำเลยท่ี ๑ จะถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ตาม แต่ค่าปรับ
ก็ไม่ใช่หนี้ท่ีบัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ อันอยู่ในข้อบังคับท่ีจะต้องยื่น
คำขอรับชำระหน้ี ผู้ร้องจึงไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้าน

เช่นเดียวกับหนี้ในคดีส่วนแพ่ง แม้ผู้คัดค้านนำสืบว่ามีระเบียบของผู้ร้องให้ผู้ร้องต้องยื่นคำขอ

รับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ แต่ระเบียบดังกล่าวเป็นการบังคับภายใน
หน่วยงานของผู้ร้อง หาได้เป็นกฎหมายซึ่งอาจบังคับแก่บุคคลภายนอกด้วยไม่ จึงมีคำส่ังให

ผู้ร้องดำเนินการบังคับแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ได้ โดยไม่ต้องย่ืนคำร้องขอรับชำระหน้

ตอ่ ผูค้ ดั ค้านก่อน

ผ้คู ัดค้านอุทธรณ

ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ยังคงเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย คำพิพากษาของศาลฎีกา

ทีล่ งโทษปรับจำเลยที่ ๑ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หากไมช่ ำระคา่ ปรบั ใหย้ ดึ ทรพั ยส์ นิ ใช้ค่าปรับตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ จงึ ตอ้ งบงั คบั ใหเ้ ปน็ ไปตามคำพพิ ากษาดงั กลา่ ว การบงั คบั โทษปรบั
เป็นการใช้อำนาจรัฐเก่ียวกับการลงโทษทางอาญาแก่จำเลยที่ ๑ ท่ีกระทำความผิดตาม

พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยความผดิ อนั เกดิ จากการใชเ้ ชค็ พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ (๑) และ (๒) เปน็ โทษท่ี
กฎหมายบัญญัติไว้ให้ลงแก่ผู้กระทำความผิดท่ีระบุไว้โดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา ๑๘ (๔) การบังคับคดีลงโทษจำเลยที่ ๑ เป็นอำนาจของศาลตามประมวลกฎหมาย

วธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕ วรรคหนง่ึ แตใ่ นการยดึ ทรพั ยอ์ าจตอ้ งมผี นู้ ำชแี้ ละยดึ อกี สว่ นหนงึ่
ดังนั้น ผู้ร้องในฐานะพนักงานอัยการท่ีมีอำนาจหน้าท่ีตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและ

พนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔ (๗) จึงเป็นผ้บู ังคบั คดีอาญาเฉพาะในส่วนยึดทรัพยส์ ินให้
จำเลยที่ ๑ ชำระค่าปรับเต็มจำนวนที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา ที่ผู้คัดค้านอ้างว่า ผู้ร้องจะต้องยื่น
คำขอรบั ชำระหนตี้ อ่ ผคู้ ดั คา้ นตามพระราชบญั ญตั ลิ ม้ ละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๗, ๙๑ วรรคหนงึ่
และ ๙๔ เน่ืองจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์พิทักษ์ทรัพย์จำเลยท่ี ๑ เด็ดขาดน้ัน เห็นว่า

ผทู้ ตี่ อ้ งยน่ื คำขอรบั ชำระหนต้ี อ่ เจา้ พนกั งานพทิ กั ษท์ รพั ยใ์ นคดลี ม้ ละลายดงั กลา่ วหมายถงึ เฉพาะเจา้ หน้ี

ซง่ึ มมี ลู หนเี้ กดิ ขน้ึ กอ่ นลกู หนถี้ กู พทิ กั ษท์ รพั ยเ์ ทา่ นน้ั แตค่ ดนี ศ้ี าลและผรู้ อ้ งมใิ ชเ่ จา้ หนข้ี องจำเลยที่ ๑
อีกทั้งค่าปรับก็มิใช่หนี้ตามท่ีบัญญัติในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ แม้จะได้ความว่า

ค่าปรับเป็นเงิน แต่การชำระค่าปรับหรือการบังคับโทษปรับเป็นการใช้อำนาจรัฐเก่ียวกับ
กระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยศาลและพนักงานอัยการเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอาญา

ท่ีจะต้องบังคับให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าปรับเต็มจำนวนดังท่ีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๙ โดยไม่จำต้องย่ืนคำขอรับชำระหน้ีต่อผู้คัดค้านเช่นเดียวกับหนี้ในทางแพ่ง มิฉะน้ันแล้ว
การลงโทษทางอาญาจะไม่ต้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะกฎหมายอาญาจัดเป็น

กฎหมายมหาชนว่าด้วยความผิดและโทษเป็นบทบัญญัติถึงความเก่ียวพันระหว่างเอกชนกับรัฐ

ท้ังความผิดนั้นยังได้ชื่อว่ากระทบกระเทือนต่อมหาชนเป็นส่วนรวม จึงไม่อยู่ในบังคับของ

พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ร้องจะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้หรือย่ืนคำร้องคัดค้าน
ต่อศาลล้มละลายกลางภายใน ๑๔ วนั นับแต่วันได้ทราบคำวินิจฉยั จากผคู้ ัดคา้ น พพิ ากษายนื


อัยการนิเทศ เลม่ ท่ี ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
85

ผูค้ ัดค้านฎีกา

ศาลฎกี าตรวจสำนวนประชมุ ปรกึ ษาแลว้ ฎกี าของผคู้ ดั คา้ นทวี่ า่ การทผ่ี รู้ อ้ งดำเนนิ การบงั คบั คดี
แก่จำเลยที่ ๑ ต้องย่ืนคำขอรบั ชำระหนี้จากกองทรพั ยส์ นิ ของลกู หนตี้ อ่ ผคู้ ัดคา้ นกอ่ น ท่ศี าลอทุ ธรณ์
พพิ ากษาให้ผรู้ อ้ งดำเนนิ การบังคับคดแี กท่ รพั ยส์ นิ ของจำเลยท่ี ๑ ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งย่ืนคำขอรบั ชำระหนี้
ต่อผู้คัดค้านก่อน จึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ

ได้วินิจฉัยไว้ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
มาตรา ๒๓ วรรคหนง่ึ

จึงมคี ำส่งั ใหจ้ ำหน่ายคดอี อกจากสารบบความศาลฎีกา.



สำนกั งานอยั การพเิ ศษฝา่ ยสารสนเทศ

สำนักงานวิชาการ

















หมายเหตุ คำพพิ ากษาศาลฎกี านตี้ ดั สนิ ตามแนวคำตดั สนิ เดมิ ในคำพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี ๕๒๕๒/๒๕๕๙

(ดูอยั การนเิ ทศ เล่มท่ี ๘๒ พ.ศ. ๒๕๖๐ หน้า ๕๑)




86 คำพพิ ากษาศาลฎกี า

คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๔๓๔๔/๒๕๖๑


ป.อ. บวกโทษทร่ี อไว้ (มาตรา ๕๘)



การนําโทษจําคุกท่ีรอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจําคุกของจําเลยในคดี
หลังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลเอง


หรือปรากฏตามคําแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงาน ข้อเท็จจริงจะต้องได้ความเป็นยุติก่อนว่า
จําเลยยอมรับหรือไม่คัดค้านในข้อท่ีเคยต้องคําพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนที่ให้ลงโทษจําคุก


และโทษจําคุกนั้นศาลให้รอการลงโทษไว้ ศาลจึงจะนําโทษจําคุกท่ีรอการลงโทษไว้ในคดีก่อน
มาบวกเข้ากับโทษจําคุกในคดีหลังได้ คดีนี้จําเลยให้การรับสารภาพทุกข้อหาตามฟ้องโจทก์


ต่อมาในระหว่างนัดฟังคําพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ย่ืนคําร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ขอให้


บวกโทษจาํ คกุ ทศ่ี าลรอการลงโทษไวใ้ นคดอี าญาหมายเลขแดงท่ี ๒๙๙/๒๕๕๗ ของศาลเยาวชน
และครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาลช้ันต้นมีคําส่ังอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพ่ิมเติมฟ้อง

โดยศาลช้ันต้นไม่ได้สอบถามและโจทก์ไม่ได้นําสืบให้ได้ความว่าจําเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับ


จาํ เลยในคดกี อ่ นทโ่ี จทกข์ อใหบ้ วกโทษ การทศี่ าลชน้ั ตน้ นำโทษจาํ คกุ ทรี่ อการลงโทษไวใ้ นคดกี อ่ น
บวกเข้ากบั โทษในคดนี ีข้ องจาํ เลยจึงไม่ถกู ตอ้ ง

แต่อย่างไรก็ตามปรากฏว่าในช้ันอุทธรณ์ จําเลยอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษ


จําคุกของศาลชั้นต้น โดยขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจําคุก และในช้ันฎีกาโจทก์
ฎีกาขอให้นําโทษจําคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจําคุกของจําเลยในคดีน้ี
โดยได้แนบคําพิพากษาในคดีก่อนท่ีขอให้บวกโทษมาท้ายฎีกาด้วย ศาลชั้นต้นมีคําส่ังรับฎีกา
และส่งสําเนาให้จําเลยแก้ฎีกาแล้ว แต่จําเลยไม่ย่ืนคําแก้ฎีกาภายในกําหนดคัดค้านว่า


คําพิพากษาท่ีขอให้บวกโทษแนบท้ายฎีกาของโจทก์ดังกล่าวไม่ถูกต้องแต่อย่างใด กรณีถือได้ว่า
จําเลยได้ยอมรับในข้อที่เคยต้องคําพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนที่ขอให้บวกโทษ และความได้
ปรากฏแก่ศาลแล้ว เม่ือคดีก่อนที่ขอให้บวกโทษศาลมีคําพิพากษาถึงท่ีสุดเมื่อวันที่ ๑๔
พฤษภาคม ๒๕๕๗ ให้จําคุก ๑ ปี ๑ เดือน ๑๕ วัน และปรับ ๑๒,๐๐๐ บาท โทษจําคุก


ให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด ๒ ปี และคุมความประพฤติมีกําหนด ๑ ปี จําเลยกลับมากระทํา
ความผิดในคดีนี้เม่ือวันท่ี ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ภายในกําหนดระยะเวลาที่รอการลงโทษ


ไว้ในคดีก่อน ศาลฎีกาจึงย่อมมีอํานาจนําโทษจําคุกท่ีรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดง
ท่ี ๒๙๙/๒๕๕๗ ของศาลเยาวชนและครอบครวั จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี มาบวกเขา้ กบั โทษในคดนี ไ้ี ด้


______________________________


อัยการนเิ ทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
87

{
พนกั งานอัยการจงั หวดั ฉะเชิงเทรา โจทก์

ระหวา่ ง
นาย ว. จำเลย



โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อวันท่ี ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เวลากลางคืนหลังเท่ียง จําเลย

กบั พวกอีกหนึง่ คน ร่วมกนั มีอาวุธปืนไมท่ ราบชนดิ ขนาด .๓๘ สเปเชยี ล ไม่มีเครอ่ื งหมายทะเบียน
๑ กระบอก และกระสนุ ปนื รวี อลเวอร์ ขนาด .๓๘ สเปเชยี ล ๑ นดั ไวใ้ นครอบครองโดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนญุ าต
แล้วร่วมกันพาติดตัวไปตามถนนภายในหมู่บ้านหมู่ที่ ๑๕ ตําบลหนองแหน อําเภอพนมสารคาม
จังหวัดฉะเชิงเทรา อันเป็นในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มี
เหตุสมควร จําเลยกับพวกโดยมีเจตนาฆ่า ร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายที่ ๑ ถึงท่ี ๖
จํานวน ๑ นัด อันเป็นการยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในขณะที่ผู้เสียหายทั้งหกอยู่ภายในบ้าน
ของนาง พ. ผู้เสียหายท่ี ๗ จําเลยกับพวกลงมือกระทําความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทําน้ัน

ไมบ่ รรลผุ ล เนอื่ งจากกระสนุ ปนื ไมถ่ กู ผใู้ ด ผเู้ สยี หายท่ี ๑ ถงึ ที่ ๖ จงึ ไมถ่ งึ แกค่ วามตาย แตก่ ระสนุ ปนื
ทะลุถูกประตูบ้าน ๑ บาน ราคา ๔,๐๐๐ บาท และตู้กระจกสําหรับวางโทรทัศน์ ๑ ตู้

ราคา ๓,๕๐๐ บาท ของผู้เสียหายท่ี ๗ แตกเสียหาย โดยจําเลยกับพวกร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์
หมายเลขทะเบียน กษค ฉะเชิงเทรา ๘๐๔ เป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การกระทําผิด
และให้พ้นจากการจับกุม ลูกกระสุนปืน ๑ ลูก ซึ่งพบในท่ีเกิดเหตุและรถจักรยานยนต์หมายเลข
ทะเบียน กษค ฉะเชิงเทรา ๘๐๔ เจ้าพนักงานยึดไว้เป็นของกลาง ก่อนคดีน้ี เมื่อวันที่ ๑๔
พฤษภาคม ๒๕๕๗ จําเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจําคุก ๑ ปี ๑ เดือน ๑๕ วัน และ

ปรับ ๑๒,๐๐๐ บาท ในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ (ยาไอซ์) ไว้ในครอบครอง
ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๙๙/๒๕๕๗ ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี

จําเลยกลับมากระทําความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษ (ไม่ปรากฏว่ารอการ
ลงโทษไว้ภายในเวลาเท่าใด) ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓, ๕๘, ๘๐,
๘๓, ๙๑, ๒๘๘, ๓๕๘, ๓๗๑, ๓๗๖ พระราชบญั ญตั อิ าวธุ ปนื เครอ่ื งกระสนุ ปนื วตั ถรุ ะเบดิ ดอกไมเ้ พลงิ
และส่ิงเทยี มอาวธุ ปนื พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๔, ๗, ๘ ทว,ิ ๗๒, ๗๒ ทวิ รบิ ของกลางและบวกโทษ

จําคุกของจําเลยท่ีรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๙๙/๒๕๕๗ ของศาลเยาวชนและ
ครอบครวั จังหวดั สุราษฎรธ์ านี เขา้ กับโทษของจาํ เลยในคดีนี

จาํ เลยใหก้ ารรบั สารภาพ

ศาลชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาวา่ จาํ เลยมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
ประกอบมาตรา ๘๐, ๓๕๘, ๓๗๑, ๓๗๖ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด
ดอกไม้เพลิง และส่ิงเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ วรรคหน่ึง, ๗๒ วรรคสาม,

๗๒ ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระทําของจําเลยเป็นความผดิ
หลายกรรมตา่ งกนั ใหล้ งโทษทกุ กรรมเปน็ กระทงความผดิ ไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานร่วมกันทําให้เสียทรัพย์ และฐานร่วมกันยิงปืนซ่ึงใช้ดินระเบิด


88 คำพพิ ากษาศาลฎกี า

โดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือท่ีชุมนุมชน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ใหล้ งโทษฐานรว่ มกนั พยายามฆา่ ผอู้ น่ื อนั เปน็ กฎหมายบททม่ี โี ทษหนกั ทสี่ ดุ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๙๐ จาํ คกุ ๑๐ ปี ฐานรว่ มกนั มอี าวธุ ปนื มที ะเบยี นของผอู้ นื่ และเครอื่ งกระสนุ ปนื ไวใ้ นครอบครอง
โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จําคุก ๑ ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน

หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิด

ตอ่ กฎหมายหลายบท ใหล้ งโทษตามพระราชบญั ญตั อิ าวธุ ปนื ฯ ซงึ่ เปน็ กฎหมายบททม่ี โี ทษหนกั ทส่ี ดุ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จําคุก ๖ เดือน จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน

แกก่ ารพจิ ารณา มเี หตบุ รรเทาโทษ ลดโทษใหก้ ระทงละกง่ึ หนงึ่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘
ฐานรว่ มกนั พยายามฆา่ ผอู้ น่ื จาํ คกุ ๕ ปี ฐานรว่ มกนั มอี าวธุ ปนื มที ะเบยี นของผอู้ นื่ และเครอื่ งกระสนุ ปนื

ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จําคุก ๖ เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง
หมบู่ า้ น หรอื ทางสาธารณะโดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนญุ าต จาํ คกุ ๓ เดอื น นาํ โทษจาํ คกุ ๑ ปี ๑ เดอื น ๑๕ วนั
ท่ีรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ๒๙๙/๒๕๕๗ ของศาลเยาวชนและครอบครัว

จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาบวกเข้ากับโทษจําคุกในคดีน้ี รวมจําคุก ๖ ปี ๑๐ เดือน ๑๕ วัน

ริบลกู กระสุนปืนและรถจกั รยานยนต์ของกลาง คาํ ขออ่ืนให้ยก

จําเลยอุทธรณ

ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาแกเ้ ป็นวา่ ให้ยกคาํ ขอบวกโทษ คงจําคกุ จําเลย ๕ ปี ๙ เดือน
นอกจากทแี่ กค้ งให้เป็นไปตามคําพพิ ากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า

ศาลอทุ ธรณภ์ าค ๒ ไมน่ ำโทษของจาํ เลยในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ๒๙๙/๒๕๕๗ ของศาลเยาวชน
และครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี มาบวกเข้ากับโทษของจําเลยในคดีน้ีชอบหรือไม่ เห็นว่า

การนําโทษจําคุกท่ีรอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจําคุกของจําเลยในคดีหลังตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลเอง หรือปรากฏตาม

คําแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงาน ข้อเท็จจริงจะต้องได้ความเป็นยุติก่อนว่า จําเลยยอมรับหรือไม่
คัดค้านในข้อท่ีเคยต้องคําพิพากษาถึงท่ีสุดในคดีก่อนท่ีให้ลงโทษจําคุกและโทษจําคุกน้ันศาล

ให้รอการลงโทษไว้ ศาลจึงจะนําโทษจําคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจําคุก

ในคดีหลังได้ คดีน้ีจําเลยให้การรับสารภาพทุกข้อหาตามฟ้องโจทก์ ต่อมาในระหว่างนัดฟัง

คําพิพากษาศาลช้ันต้น โจทก์ยื่นคําร้องขอแก้ไขเพ่ิมเติมฟ้องขอให้บวกโทษจําคุกที่ศาล

รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ๒๙๙/๒๕๕๗ ของศาลเยาวชนและครอบครัว

จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาลช้ันต้นมีคําสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพ่ิมเติมฟ้อง โดยศาลช้ันต้น

ไม่ได้สอบถามและโจทก์ไม่ได้นําสืบให้ได้ความว่าจําเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจําเลยในคดีก่อน

ที่โจทก์ขอให้บวกโทษ การท่ีศาลชั้นต้นนำโทษจําคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษ

ในคดนี ขี้ องจาํ เลยจงึ ไมถ่ กู ตอ้ ง แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามปรากฏวา่ ในชนั้ อทุ ธรณ์ จาํ เลยอทุ ธรณโ์ ตแ้ ยง้ ดลุ พนิ จิ
ในการลงโทษจาํ คกุ ของศาลชน้ั ตน้ โดยขอใหล้ งโทษสถานเบาและรอการลงโทษจาํ คกุ และในชนั้ ฎกี า
โจทก์ฎีกาขอให้นําโทษจําคุกท่ีรอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจําคุกของจําเลยในคดีนี้

อัยการนิเทศ เลม่ ที่ ๘๔ พ.ศ. ๒๕๖๒
89

โดยได้แนบคําพิพากษาในคดีก่อนท่ีขอให้บวกโทษมาท้ายฎีกาด้วย ศาลชั้นต้นมีคําสั่งรับฎีกาและ

ส่งสําเนาให้จําเลยแก้ฎีกาแล้ว แต่จําเลยไม่ยื่นคําแก้ฎีกาภายในกําหนดคัดค้านว่าคําพิพากษา

ที่ขอให้บวกโทษแนบท้ายฎีกาของโจทก์ดังกล่าวไม่ถูกต้องแต่อย่างใด กรณีถือได้ว่าจําเลยได้ยอมรับ
ในข้อที่เคยต้องคําพิพากษาถึงท่ีสุดในคดีก่อนท่ีขอให้บวกโทษ และความได้ปรากฏแก่ศาลแล้ว

เม่ือคดีก่อนที่ขอให้บวกโทษศาลมีคําพิพากษาถึงท่ีสุดเมื่อวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ให้จําคุก

๑ ปี ๑ เดือน ๑๕ วัน และปรับ ๑๒,๐๐๐ บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด ๒ ปี

และคมุ ความประพฤตมิ กี าํ หนด ๑ ปี จาํ เลยกลบั มากระทาํ ความผดิ ในคดนี เ้ี มอื่ วนั ท่ี ๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘
ภายในกําหนดระยะเวลาที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อน ศาลฎีกาจึงย่อมมีอํานาจนําโทษจําคุก

ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๙๙/๒๕๕๗ ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด
สุราษฎร์ธานี มาบวกเข้ากับโทษในคดนี ี้ได้ ฎีกาของโจทก์ฟงั ขน้ึ

พพิ ากษาแก้เปน็ ว่า ใหบ้ ังคับคดไี ปตามคาํ พิพากษาศาลชน้ั ต้น.



สำนกั งานอยั การพิเศษฝา่ ยสารสนเทศ

สำนักงานวชิ าการ








90 คำพพิ ากษาศาลฎกี า


Click to View FlipBook Version