เอกสารประกอบการเรียน วชิ า ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 3 พฤตกิ รรมและการปรบั ตัวของสง่ิ มชี ีวติ
แบบฝึกหัด เรือ่ งพฤตกิ รรม
1. พฤติกรรมคืออะไร เกดิ ข้ึนได้อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. จงบอกปัจจยั ท่ีมีผลต่อการเกิดพฤตกิ รรมของสตั ว์
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. จงบอกข้อแตกต่างของพฤติกรรมในตาราง
สิง่ เปรยี บเทยี บ พฤติกรรมท่ีมีมาแตกําเนิด พฤติกรรมการเรยี นรู
(innate behavior) (learning behavior)
ระบบประสาท
ประเภทของสัตวท์ ี่พบ
ประเภทของพฤติกรรมท่ี
พบ
4. จงยกตวั อย่างพฤตกิ รรมที่มแี บบแผนแนนอน (fixed action pattern หรอื FAP) มา 5 พฤติกรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. จงบอกข้อแตกต่างของพฤติกรรมในตาราง
ส่ิงเปรียบเทยี บ ไคเนซิส (kinesis) แทกซิส (taxis)
ทิศทางการตอบสนองต่อส่งิ
เร้า
ประเภทของสัตว์ท่พี บ
ตัวอย่างพฤตกิ รรม
251
เอกสารประกอบการเรียน วิชา ความหลากหลายทางชีวภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 3 พฤตกิ รรมและการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต
7. พฤตกิ รรมทีม่ ีแบบแผนแนนอน (fixed action pattern หรือ FAP) กับ พฤติกรรมแบบรเี ฟลก็ ซ์ (reflex)
เหมือนกันอย่างไรบา้ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
8. ให้นำอกั ษรพฤตกิ รรมที่กำหนดใหไ้ ปใสห่ น้าข้อความ
ก.ไคเนซสิ (kinesis) ข.แทกซสิ (taxis) ค.รีเฟลกซต์ ่อเนื่อง ง.แฮบบชิ เู อชนั
จ.การฝังใจ ฉ.การลองผดิ ลองถูก ช.การมีเงือ่ นไข ซ.การใชเ้ หตุผล
…………..4.1การป้อนอาหารของแม่นกนางนวล
………….4.2.แมวตัวหนึ่งวงิ่ มาหาเจา้ ของทันทเ่ี ม่ือได้ยนิ เสียงเคาะชามขา้ ว
………….4.3.แมลงสาบสามารถเดินในทางวกวนได้เร็วข้นึ เมื่อมีอาหารอยู่ปลายทาง
…………..4.4.การทำขอ้ สอบทุกรายวิชา
…………..4.5.หน่วยกภู้ ยั ทางทะเลได้ฝึกนกเพอื่ ค้นหาคนจากเรืออบั ปางขณะปฏิบัตงิ านอยู่บนเฮลคิ อปเตอร์
กลางอากาศนกจะจิกปมุ๋ สัญญาณเพื่อบอกนักบิน ถ้าเห็นวตั ถุสีเหลอื งสม้ ของเสือชูชีพลอยอยูใ่ นทะเล
……………4.6.จากสภุ าษิตที่ว่า “เขยี นเสอื ใหว้ ัวกลัว”
……………4.7.การฝกึ สตั วใ์ นการแสดงละครสตั ว์
…………….4.8.แมลงบนิ เขา้ กอ่ ไฟ
…………….4.9.หมาเหา่ เครอ่ื งบนิ
…………….4.10.แมลงวันทองวางไข่ในผลไมท้ เี่ น่าเสยี
9. “สิ่งเรา้ คงเดิมแตม่ ีการตอบสนองลดลง” หมายถึงพฤติกรรมชนดิ ใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
10. “ตอ้ งผา่ นประสบการณ์ที่ประกอบด้วยสิ่งเร้ามากกว่า 1 สงิ่ เร้ามากอ่ น” จากข้อความข้างตน้ สามารถเปน็
พฤติกรรมชนดิ ใดไดบ้ ้าง เพราะเหตใุ ด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
11. จงยกตวั อย่างพฤติกรรมการหาอาหาร (foraging behavior) ของสัตวม์ า 2 พฤตกิ รรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
12.จงบอกปจั จยั ท่ีทำใหส้ ัตว์ต้องมีการอพยพ (migration)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
252
เอกสารประกอบการเรียน วชิ า ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทท่ี 3 พฤตกิ รรมและการปรับตัวของสิ่งมีชวี ิต
13. จงบอกประโยชนข์ องการทส่ี ตั ว์ในแต่ละชนดิ มีพฤติกรรมการสืบพนั ธทุ์ ่ีแตกต่างกนั
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
14. จงยกตัวอยา่ งพฤติกรรมการจดั ลำดบั ความสำคัญในสังคม (dominance hierarchies) และประโยชน์ของ
การจัดลำดบั ความสำคญั ในสังคมในสัตวช์ นิดนนั้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
15. เสือมพี ฤตกิ รรมการป้องกันอาณาเขต (territorial behavior) อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
253
เอกสารประกอบการเรยี น วิชา ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 3 พฤตกิ รรมและการปรับตวั ของสิ่งมีชวี ติ
ใบความรู้
เรอื่ ง พฤติกรรมทางสังคมและการปรบั ตวั ของสงิ่ มีชีวติ
3.4 พฤติกรรมทางสังคม (SOCIAL BEHAVIOR)
พฤติกรรมทเ่ี กิดขน้ึ เมือ่ สตั ว์สปีชีสเ์ ดียวกันมาอย่รู วมกันและมีปฏิกริ ยิ าต่อกัน มี 5 แบบดังน้ี
(1) พฤติกรรมการร่วมมอื กนั (cooperative behavior) ในการอยู่ร่วมกันบางครง้ั สัตว์จะต้องมกี าร
รว่ มมือกันเพื่อทำกจิ กรรมใดกิจกรรมหน่ึง ซง่ึ ไมอ่ าจทำไดโ้ ดยลำพังเป็นการส่ือสารระหวา่ งสตั ว์ มกี ารส่ง
สญั ญาณทที่ ำให้สตั ว์ซงึ่ ได้รบั สัญญาณ มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป โดยสัตวท์ กุ ชนิดจะต้องมกี ารสือ่ สารอย่าง
นอ้ ยในชว่ งใดชว่ งหน่งึ ของส่ิงมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่มีการสืบพันธ์ุ
ภาพแสดงการรวมกลุ่มของสตั วเ์ พอื่ ป้องกนั อันตรายและลา่ เหยื่อ
ทมี่ าของภาพ : https://www.sabisabi.com/wildfacts/wild-dog/
(2) พฤติกรรมการต่อสู้ (agonistic behavior) มักเกิดขน้ึ เพื่อแย่ง resources บางอย่าง เชน่ อาหาร
ทีอ่ ยู่และค่ผู สมพนั ธุ์ ฝ่ายชนะจะได้ resources ไปครอบครอง พฤตกิ รรมการต่อสู้จะเกย่ี วข้องกับพฤตกิ รรม
ขม่ ขู่ (threatening behavior) และพฤติกรรมยอมจำนน (submissive behavior)
ภาพซ้าย การต่อสู้ของพวกแมงมมุ และภาพขวาการตอ่ สู้ของสุนขั จงิ้ จอก
254
เอกสารประกอบการเรียน วชิ า ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทท่ี 3 พฤตกิ รรมและการปรับตัวของส่ิงมีชวี ิต
ทม่ี าของภาพ : https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Adult_male_Zygoballus_
sexpunctatus_agonistic_behavior.jpg
https://study.com/academy/lesson/social-behavior-of-animals.html
(3) การจัดลำดบั ความสำคญั ในสังคม (dominance hierarchies) พบในสัตวท์ ี่อยรู่ วมกันเป็นสังคม
การจัดลำดบั ความสำคญั ในสังคมน้ีพบได้ทั้งในเพศผูแ้ ละเพศเมยี
ภาพแสดงการจดั ลำดบั ชน้ั ของผงึ้
ท่ีมาของภาพ : https://ib.bioninja.com.au/options/option-a-neurobiology-and/a6-ethology/social
(4) พฤติกรรมการป้องกนั อาณาเขต (territorial behavior) สตั วบ์ างชนดิ มีการสรา้ งอาณาเขต
(territory) ของตัวเองและจะแสดงพฤตกิ รรมการป้องกนั อาณาเขตโดยการขบั ไลส่ ปชี ีสเ์ ดยี วกนั ทีบ่ กุ รุกเข้ามา
ในอาณาเขตของมัน (**อาณาเขตเป็นบรเิ วณทสี่ ตั ว์ใช้ในการกินอาหาร ผสมพนั ธุแ์ ละเลย้ี งลกู อ่อน ขนาดของ
อาณาเขตไมแ่ น่นอนขึน้ อยู่กบั สปชี ีส์ หนา้ ท่ขี องอาณาเขตและฤดกู าลซึง่ มผี ลตอ่ ปริมาณทรพั ยากร**)
ทม่ี าของภาพ : http://bio1151b.nicerweb.net/Locked/media/ch52/territory-cheetah.html
https://chickimeet7.live/0676432677/?utm_campaign
(5) พฤติกรรมการสบื พนั ธ์ุ (reproductive behavior) จะเกีย่ วข้องกบั การเกีย้ วพาราสี (courtship) และ
ระบบการผสมพนั ธุ์ (mating system) สัตว์หลายชนิดมีการเกีย้ วพาราสีก่อนทจ่ี ะมีการผสมพันธุ์เกิดข้ึน การ
เกีย้ วพาราสเี ป็นพฤติกรรมทีส่ ลบั ซับซ้อนซง่ึ ประกอบด้วยลำดับขนั้ ตอนต่าง ๆ ทม่ี ีแบบแผนแน่นอน ลำดบั
เหตุการณ์ทเ่ี กดิ ข้ึนทำให้สัตว์แต่ละตัวแน่ใจวา่ อกี ฝ่ายหน่ึงไม่ใช่ศัตรูและมคี วามพร้อมทางสรีระท่ีจะผสมพันธ์ุ
ในบางสปีชีส์จะมกี ารเลือกคผู่ สมพนั ธุห์ ลงั จากมีการเกีย้ วพาราสี การเลือกคูอ่ าจเกดิ จากการเลือกของเพศเมยี
255
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ า ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 3 พฤตกิ รรมและการปรบั ตัวของสิง่ มีชีวิต
(female choice) และ/หรือเกดิ จากการแข่งขนั ระหวา่ งเพศ ผู้ (male to male competition) โดยมากเพศ
เมยี มกั จะเปน็ ฝ่ายเลอื กเพศผู้ เนอ่ื งจากเพศเมยี มีการลงทนุ มากกวา่ เพศผูใ้ นการผลิตและเล้ยี งดลู กู (parental
care) เพศเมียจึงเป็นฝา่ ยเลอื กเพศผู้ ถา้ เพศผู้ทำหน้าท่ีเกีย่ วกบั การเลย้ี งดลู กู เพศเมียจะเลือกเพศผู้ทม่ี ี
ความสามารถสูงในการเลี้ยงดูลูก เพศเมยี จะเลือกเพศผทู้ ี่มีพันธกุ รรมดี โดยดจู ากการแสดงออกขณะมีการ
เก้ยี วพาราสี (courtship display) หรอื ลักษณะเพศขัน้ ทีส่ อง (secondary sex characteristics) สตั วห์ ลายส
ปชี ีสเ์ พศผู้ 1ตัวจะผสมกบั เพศเมียหลายตัว ในกรณนี ีเ้ พศผู้จะเป็นฝ่ายแสดงการเก้ยี วพาราสแี ละแขง่ ขนั กันเพื่อ
สร้างความประทบั ใจให้กบั เพศเมยี และบางสปชี สี เ์ พศผตู้ ้องต่อสู้กันเพื่อตดั สนิ วา่ ฝ่ายใดจะไดผ้ สมพันธุ์
ภาพแสดงการรำแพนหางเพื่อหาคขู่ องนกยงู เพศผ้แู ละการเกย้ี งพาราสขี องโลมา
ท่ีมาของภาพ : https://flexbooks.ck12.org/cbook/ck-12-biology-flexbook-
2.0/section/10.8/primary/lesson/reproductive-behavior
http://www.sarasotadolphin.org/reproductive-behavior-in-bottlenose-dolphins/
จากพฤตกิ รรมสังคมทั้ง 5 พฤตกิ รรม ของสตั ว์นั้น ส่ิงสำคัญท่ีสัตว์จะทำให้พฤติกรรมน้ันมคี วามชดั เจน
มากข้ึน คอื การสื่อสาร ซึ่งสัตวจ์ ะมีรปู แบบของการสื่อสารหลายรูปแบบ ไดแ้ ก่
(1) การสื่อสารดว้ ยทา่ ทาง ( Visual Signal )
- การเต้นระบำของผึ้งเพื่อบอกแหล่งและปริมาณของอาหาร ถา้ แหลง่ อาหารอยู่ใกล้ จะเตน้
เปน็ รปู วงกลม แตถ่ ้าแหลง่ อาหารอยไู่ กล จะเตน้ คล้ายรปู เลขแปด และมกี ารส่ายก้นไปมา
ด้วย โดยถ้าสา่ ยก้นเร็ว แสดงวา่ ปริมาณอาหารมมี าก
256
เอกสารประกอบการเรยี น วิชา ความหลากหลายทางชีวภาพ (ว30244) 1/2563 บทท่ี 3 พฤตกิ รรมและการปรับตวั ของสิ่งมชี ีวติ
(2) การสื่อสารด้วยเสียง ( Sound Signal)
- เสยี งท่ีทำใหเ้ กิดการรวมกลุ่ม เช่น เสียงของนกร้อง ไก่ แกะ และกระรอก
- เสียงเรยี กคู่เพ่ือผสมพันธ์ เช่น เสียงร้องของกบและคางคก
- เสยี งเรียกคู่เพื่อผสมพนั ธ์ เช่น เสียงรอ้ งของกบและคางคก
ภาพแสดงการส่ือสารดว้ ยเสยี งเพอื่ หาคขู่ องกบและการส่งเสยี งเรียกลูกของพะยนู
ที่มาของภาพ : https://www.matichon.co.th/politics/news_677334
https://www.thairath.co.th/news/society/1100412
(3) การส่ือสารดว้ ยการสัมผัส ( Physical Contract )
- สนุ ัขเข้าไปเลยี ปากสุนัขตวั ที่เหนอื กว่า เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นมิตรหรืออ่อนน้อมดว้ ย
- แม่ชา้ งจะใชง้ วงสัมผสั กบั ลูกช้างเพอ่ื แสดงการปกปอ้ งดแู ล
ภาพสุนัขทีด่ มจมกู กันเพอ่ื แสดงการยอมรบั และการใช้งวงสมั ผัสเพ่ือสอื่ สารกับลูกของช้าง
ทมี่ าของภาพ : https://www.gotoknow.org/posts/282125
https://twitter.com/iloveelephant26/status/1085018226503835649
(4) การสื่อสารดว้ ยสารเคมี ( Chemical Signal ) สารเคมสี ว่ นใหญ่จะเปน็ ฟีโรโมนทสี่ ัตว์ใช้
ในการสอ่ื สารมีหลายชนดิ โดยแบ่งตามหน้าท่ี ได้แก่
1) ฟโรโมนเพศ (sex pheromone) เมื่อถึงเวลาผสมพันธุสัตวเพศใดเพศหนึ่งจะปลอย
ฟโรโมนเพศออกไปเพื่อดึงดดู เพศตรงขาม เชน ผีเสื้อหนอนไหมเพศเมียจะปลอยฟโรโมนเพศออกไปดึงดูดเพศ
ผู เมื่อผีเสื้อหนอนไหมทั้งสองเพศมาอยูรวมกันแลวฟโรโมนเพศจะทําหนาท่ีเปนตัวปลดปลอย (releaser)
ที่กระตนุ ใหเกดิ พฤตกิ รรมการเกย้ี วพาราสี
2) ฟโรโมนนําทาง (trail pheromone) มดที่ออกไปหาอาหาร เมื่อพบแหลงอาหารจะ
ปลอยฟโรโมนนาํ ทางไวตามทางเดนิ เพื่อนํามดตัวอืน่ ไปยงั แหลงอาหารและกลับมายังรัง
257
เอกสารประกอบการเรยี น วิชา ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 3 พฤตกิ รรมและการปรับตวั ของส่ิงมชี วี ิต
3) aggregation pheromone แมลงท่ีอยูแบบสังคม เชน มดตัวที่เปนนางพญา (queen)
จะปลอยaggregation pheromone ออกมาดึงดูดมดงานใหมาอยูใกลๆเพ่ือใหมดงานทํางานใหนางพญา
ฟโรโมนชนิดน้ียังพบในแมลงชนิดอ่ืนดวย เชน มอดเจาะไม ซ่ึงเมื่อไดกินอาหารท่ีเหมาะสมจะปลอย
aggregation pheromone ออกมาดึงดดู สปชีสเดียวกันมายังแหลงอาหาร
4) ควีนฟโรโมน (queen pheromone) แมลงที่อยูแบบสังคม เชน ปลวกตัวท่ีเปนนางพญา
จะสรางควีนฟโรโมนจาก mandibular gland และหล่งั ออกมาใหปลวกงานกิน ควนี ฟโรโมนน้ีจะมีผลไปยับยั้ง
การเจรญิ ของรังไขในปลวกงาน
5) ฟโรโมนเตือนภัย (alarm pheromone) พบในแมลงท่ีอยูแบบสังคมเชนกัน เม่ือแมลง
ได รั บ อั น ต ร าย จ ะ ป ล อ ย ฟ โร โม น เตื อ น ภั ย อ อ ก ไป เพ่ื อ ก ร ะ ตุ น ให แ ม ล งตั ว อ่ื น ห นี อ อ ก จ า ก รั งผึ้ งเป น สั ต ว์
ไมมีกระดูกสันหลังที่มีการส่ือสารท่ีสลับซับซอนท่ีสุด ผูท่ีศึกษาการส่ือสารในผึ้งมากคือ Karl von Frisch
นักสัตววิทยาชาวออสเตรีย เขาไดรับรางวัลโนเบลรวมกับ Lorenz และ Tinbergen จากการเฝาดูพฤติกรรม
ของผ้ึง Frisch พบ วาเมื่อผึ้งกลับจากหาอาหารจะแสดงการเตนรําเพ่ือบอกตําแหนงอาหาร ถาอาหารอยูใกล
(นอยกวา 50 เมตร) ผงึ้ จะแสดงการเตนราํ รปู วงกลม (round dance) ผ้ึงตัวที่เตนราํ จะสาํ รอกน้ําหวานออกมา
เพ่ือใหผ้ึงตัวอ่ืนชิม จากนั้นผ้ึงงานจะออกจากรังเพ่ือหาอาหาร ถึงแมการเตนรํารูปวงกลมจะไมไดบอกทิศทาง
แตการไดชิมนํ้าหวานก็ชวยทําใหผ้ึงงานหาดอกไมท่ีมีน้ําหวานได เมื่ออาหารอยูไกล ผ้ึงจะแสดงการเตนรํา
แบบสายทอง (waggle dance) ซ่ึงบอกท้ังระยะทางและทิศทางของอาหาร ความเร็วในการส ายทอง
(abdomen) ขณะเตนรําจะเปนตัวบอกระยะทาง ถาทองสายเร็ว 40 ครั้ง/วินาที อาหารอยูไกล 100 เมตร
ถาทองสายชา 18 คร้ัง/วินาที อาหารอยูไกล 1,000 เมตร สวนมุมท่ีเกิดจากการว่ิงตรงทํามุมกับแนวด่ิงของรัง
ในขณะเตนรำจะเปนตัวบอกทิศทางของอาหาร ในขณะท่ีผ้ึงแสดงการเตนรําแบบสายทอง มันจะสํารอก
นํ้าหวานออกมาใหผึ้งตัวอ่ืนชิม หลังจากชิมนํ้าหวานผ้ึงจะรูถึงชนิดอาหาร ระยะทางและทิศทางที่จะไปหา
อาหาร
ภาพแสดงการเดินทางขนอาหารของมด
ท่ีมาของภาพ : https://www.khanacademy.org/science/biology/
behavioral-biology/animal-behavior/a/animal-communication
258
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ า ความหลากหลายทางชีวภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 3 พฤตกิ รรมและการปรบั ตัวของส่ิงมชี ีวติ
3.5 การปรบั ตัวของส่ิงมีชวี ติ
3.5.1 การปรบั ตวั ด้านรปู พรรณสณั ฐาน (morphological adaptation)
เป็นการปรับตัวด้านรูปร่าง โครงสร้างของร่างกายและสีผิวให้กลมกลืนกับส่ิงแวดล้อมเพ่ือ
การดำรงชีวิต หลบภัย และหาอาหาร เช่น ต๊ักแตนก่ิงไม้มีรูปร่างและสีผิวคล้ายกิ่งไม้เพ่ือพรางตัวให้รอดพ้น
จากศัตรู จิ้งจกเปลีย่ นสีผิวให้คลา้ ยกับผนังที่เกาะเพ่ือหาอาหารและหลบศัตรู กบเปล่ียนสีผิวคล้ายฟางข้าวเพ่ือ
ความอยู่รอด
- การพรางตัว (Camouflage) พฤติกรรมการพรางตัว เป็นพฤติกรรมที่ส่ิงมีชีวิต
โดยเฉพาะสัตว์หลายชนิดใช้เพ่ือการอำพรางตัวให้กลมกลืนเข้ากับสิ่งแวดล้อมจนยากท่ีจะสังเกตเห็นได้ โดย
วัตถุประสงค์เพ่ือหลีกเล่ียงการโจมตี หรือบางคร้ังก็อาจเป็นการหลอกล่อให้เหย่ือตายใจ ตัวอย่างง่ายๆ ที่เรา
เห็นกันตามบ้านของเรา เช่น จิ้งจก ที่สามารถเปล่ียนสีสันให้กลมกลืนกับฝาผนัง หรือ พ้ืนผิวท่ีมันเกาะอยู่
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างส่ิงมีชีวิตท่ีใช้เทคนิคการพรางตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม โดยจะเป็นส่ิงมีชีวิตท้ังบนบก
และส่ิงมชี ีวิตในทะเล
- การเลยี นแบบ (Mimicry) พฤตกิ รรมการเลียนแบบ เป็นการปรับเปลี่ยนรูปร่างและสีสัน
ให้เหมือนกับส่ิงมีชีวิตชนดิ อ่ืน เพอื่ ล่อลวงเหยอ่ื หรือผลู้ ่าให้หลงผิดได้ โดยรูปแบบของการเลียนแบบจำเป็นตอ้ ง
มี 2 ตัวละครหลัก คือ ตัวต้นแบบ (model) และตัวเลียนแบบ (mimic) ท้ังน้ีวัตถุประสงค์ของการเลียนแบบ
ของส่ิงมีชีวิตมีด้วยกันหลายแบบ เช่นการเลียนแบบเพื่อป้องกันตวั จากสัตว์ผู้ล่า โดยลวงให้ผู้ล่าเข้าใจผิดคิดว่า
เป็นส่ิงมีชีวิตที่มีพิษและกินไม่ได้ หรือมีรสชาติไม่พึงประสงค์ เช่นกรณีของผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดาและผีเสื้อ
กะทกรกธรรมดา ผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดาเมื่อคร้ังเป็นตัวหนอนจะกินใบของต้นรักเป็นอาหาร ใบของต้นรัก
มียางท่ีมีความเป็นพิษ พิษเหล่าน้ีจงึ สะสมอยู่ในตัวหนอนผีเส้ือ และสะสมอยู่ในเกล็ดท่ปี กคลมุ ตัวผีเสื้อ เมื่อนก
หรือผู้ล่าตัวอื่นมากินผีเสื้อเป็นอาหารก็มักจะต้องคายทิ้ง ผู้ล่าต่างเรียนรู้ว่าผีเสื้อท่ีมีลวดลายและสีสันแบบน้ี
กินไม่ได้ด้วยเหตุนี้ ผีเส้ือกะทกรกธรรมดา ที่ตัวหนอนกินใบกะทกรก หรือ เสาวรสเป็นอาหาร ซ่ึงเป็นผีเส้ือที่
ไม่มีพิษสง แถมอาจจะมีรสชาติอร่อย จึงทำการปรับเปลี่ยนวิวัฒนาการตัวเองจนมีสีสันและลวดลายบนปีก
คล้ายคลึงกบั ผีเสอื้ หนอนใบรกั ธรรมดา
259
เอกสารประกอบการเรียน วิชา ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทท่ี 3 พฤตกิ รรมและการปรับตัวของสงิ่ มชี ีวิต
ผเี ส้ือหนอนใบรกั ธรรมดา (ตวั ต้นแบบ) ผเี ส้ือกะทกรกธรรมดา (ตวั เลียนแบบ)
ที่มา : Obvious.exteen.com
ภาพแสดงผเี สื้อกลางคืนทเ่ี ลยี นแบบตัวเองให้เหมอื นนกฮูกเพ่ือปอ้ งกันตนเองจากผลู้ ่า
ทมี่ าของขอ้ มลู : https://www.custom-images.sciencesource.com/science-source-blog
/2018/5/24/mimicry-in-nature
3.5.2 การปรับตัวดา้ นพฤติกรรม (behavioral adaptation)
การปรับตัวด้านพฤติกรรม (behavioral adaptation) เป็นการปรับเปล่ียนพฤติกรรมให้
เหมาะสมในการดำรงชีวิตในแหล่งที่อยู่ ซ่ึงอาจเป็นการปรับตัวชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ เช่น การปรับตัวของกบ
ในฤดูแล้ง เนื่องจากขาดแคลนอาหารโดยกบจะอยู่น่ิง ๆ และหลบอยู่ในรู เพื่อลดการใช้พลังงาน ลดอัตราการ
เผาผลาญอาหารในร่างกาย กบมีชวี ติ อยรู่ อดจนถึงฤดูฝนซ่งึ มอี าหารเพยี งพอ จงึ ออกมาหาอาหารกนิ ตามปกติ
ภาพแสดงการจำศลี ของกบในฤดูหนาวและปลาจำศีลในฤดูแลง้
ท่ีมาของภาพ : http://www.animalplanet.com/wild-animals/artificial-bigness/
3.5.3 การปรับตัวดา้ นสรีระ (physiological adaptation)
เป็นการปรับตัวให้เหมาะสมกับการดารงชีพ ในแหล่งท่ีอยู่แตล่ ะแบบ เชน่ สัตว์เลือดอุ่นเป็น
สัตว์ที่มีอุณหภูมิคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ ส่ิงแวดล้อมใต้ผิวหนังมีต่อมเหงื่อ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ
260
เอกสารประกอบการเรียน วชิ า ความหลากหลายทางชีวภาพ (ว30244) 1/2563 บทท่ี 3 พฤตกิ รรมและการปรบั ตวั ของสิง่ มีชีวติ
ร่างกายให้คงที่ สุนัขในเขตร้อนขนจะเกรียนหรอื สั้น แต่สุนัขในเขตหนาวขนจะยาว สตั ว์บางชนิดสร้างกลิ่น
เพอ่ื ขับไลศ่ ตั รู เชน่ สกงั ค์ (Skunk) เปน็ ต้น
ในพืชบางชนิดการปรับตัวด้านสรีระ (physiological adaptation) เป็นการปรับตัวด้านกลไกและ
หน้าทข่ี องอวัยวะต่าง ๆ เช่น ต้นกระบองเพชร ซึ่งเป็นพืชท่ีขึน้ ในท่แี ห้งแล้งลดใบไปเป็นหนามเพื่อลดอัตราการ
คายน้ำ มีลำตน้ อวบเพือ่ กกั เก็บนำ้
ภาพแสดงอวยั วะเก็บน้ำของอูฐและการพองตัวให้มขี นาดใหญ่ข้ึนของปลาปักเป้า
ท่มี าของภาพ : http://www.animalplanet.com/wild-animals/artificial-bigness/
261
เอกสารประกอบการเรียน วิชา ความหลากหลายทางชีวภาพ (ว30244) 1/2563 บทท่ี 3 พฤตกิ รรมและการปรบั ตวั ของส่ิงมชี วี ิต
แบบฝกึ หัด เรื่อง เรือ่ งพฤติกรรมสงั คม
คำส่ัง : ใหน้ กั เรยี นอ่านบทความท่กี ำหนดใหแ้ ลว้ ตอบคำถาม ข้อ 1-3 ให้ถกู ต้อง
การรกั ษาระยะหา่ งทางสังคม เพอ่ื ป้องกันโรคระบาดภายในฝงู
ผึ้งจะแสดงพฤติกรรมอย่างโหดร้าย เม่ือต้องขับไล่สมาชิกท่ีเจ็บป่วย เช้ือแบคทีเรียที่ก่อโรคในกลุ่ม
ประชากรผง้ึ อย่างโรคอเมริกันฟาวล์บรูด หรือโรคเน่าอเมริกัน เป็นโรคท่ีสร้างความเสียหายต่อรังผึ้งอย่างมาก
ซึ่งเชื้อแบคทีเรียจะเข้าโจมตีตัวอ่อนของผึ้งให้กลายเป็น
ของเหลวและตายในที่สุด “ลักษณะเช่นน้ีจึงเป็นท่ีมาของชื่อ
โรค ตัวอ่อนผึ้งท่ีติดเช้ือกลายเป็นของเหลวสีน้ำตาล ข้น
เหนียว และส่งกลิ่นเหม็นเน่า” แอลิสัน แม็กคาฟี นักศึกษา
หลักสูตรหลังปริญญาเอก คณะกีฏวิทยาและโรคพืช
มหาวทิ ยาลัยนอร์ทแคโรไลนาสเตต กล่าวตัวอ่อนผึง้ ที่ติดเชื้อ
จะปล่อยสารชีวเคมีออกมา เพ่ือให้ประชาผ้ึงตัวอื่นรับรู้
เปน็ สารท่ีมีกลิ่นคล้ายกรดโอเลอิก และเบตาโอซมิ นี ซึ่งเป็นฟโี รโมนในผง้ึ จากการศึกษาของแมก็ คาฟีพบว่า ผ้ึง
จะผลกั ดนั ใหต้ วั อ่อนท่ีตดิ เชื้อออกจากรัง นับตั้งแตม่ กี ารคน้ พบเรื่องน้ี ผเู้ ลยี้ งผง้ึ และนกั วิจยั ตา่ งทำการคัดเลอื ก
สายพันธุ์ของผ้ึงที่นำมาเล้ียงในฟาร์ม เพื่อให้ได้สายพันธุ์ท่ีปลอดโรค และสร้างน้ำผึ้งที่มีคุณภาพ ผ้ึงเป็นสัตว์
สังคมท่ีมีการแบ่งหน้าท่ีภายในรัง ตัวอ่อนของผ้ึงท่ีติดเช้ือแบคทีเรียจะส่งกล่ินเหม็น กระตุ้นให้ผึ้งตัว ขับไล่ตัว
อ่อนนั้นออกจากรงั
ทีม่ า : https://ngthai.com/animals/28736/social-distancing/
1. จากบทความน้ี นักเรียนคิดว่าวตั ถุประสงค์ของการแสดงพฤติกรรมดังกลา่ ว แตกต่างจากพฤติกรรมการ
ปล่อยฟีโรโมนของผเี สือ้ กลางคืนอยา่ งไร (0.5 คะแนน)
ตอบ ............................................................................................................................. ..................................
................................................................................................ ........................................................................
............................................................................................................................. ...........................................
262
เอกสารประกอบการเรียน วิชา ความหลากหลายทางชีวภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 3 พฤตกิ รรมและการปรับตัวของส่งิ มชี วี ติ
2. จากข้อมลู นักเรียนคิดวา่ พฤติกรรมนี้ มีความเกยี่ วข้องกบั เร่ืองของสารพนั ธุกรรมอย่างไร บอกมาอย่างนอ้ ย
2 ข้อ (0.5 คะแนน)
ตอบ .....................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
3. นอกจากผงึ้ แล้ว ในชีวิตประจำวนั ของนกั เรยี น นักเรียนเคยพบเจอพฤติกรรมทางสงั คมของสตั ว์ชนิด
อ่ืนหรอื ไม่ พฤตกิ รรมดังกล่าวมีลักษณะเป็นอย่างไร และผลลัพธข์ องการแสดงพฤติกรรมนนั้ เปน็ ไป
ตามทีน่ กั เรียนเคยศึกษาจากแหลง่ ขอ้ มูลตา่ ง ๆ หรอื ไม่ อยา่ งไร (0.5 คะแนน)
ตอบ .....................................................................................................................................................................
................................................................................................ ..............................................................................
............................................................................................................................. .................................................
................................................................................................................................ ..............................................
..............................................................................................................................................................................
4. จากภาพใหน้ ักเรียนวิเคราะห์ภาพที่กำหนดใหแ้ ลว้ ระบุว่า ภาพดงั กลา่ วเป็นพฤติกรรมสงั คมแบบใด (0.5
คะแนน)
ภาพท่ี 1 พฤติกรรม .............................................. ภาพท่ี 2 พฤตกิ รรม ..................................................
263
เอกสารประกอบการเรียน วิชา ความหลากหลายทางชีวภาพ (ว30244) 1/2563 บทท่ี 3 พฤตกิ รรมและการปรับตัวของส่งิ มีชวี ติ
ภาพที่ 3 พฤติกรรม .............................................. ภาพที่ 4 พฤติกรรม ..................................................
ภาพที่ 5 พฤติกรรม ...................................................
264
เอกสารประกอบการเรยี น วิชา ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 3 พฤตกิ รรมและการปรับตัวของส่งิ มีชวี ติ
ช่ือ ...................................................................................... ชน้ั .................. เลขท่.ี .............
แบบฝึกหัด เรือ่ ง การปรบั ตัวด้านรูปพรรณสัณฐานของสิ่งมีชวี ติ
1. จงเขยี นบอกความหมายของคำศัพย์ต่อไปน้ี
1.1) Ethology = ............................................................................................................................. ..............
1.2) Camouflage = ...................................................................................................................................
1.3) Morphology = ............................................................................................................................. ......
1.4) Mimicry = ...........................................................................................................................................
2. ผเี สอ้ื ในภาพท่ี 1 และภาพที่ 2 มีวิธกี ารปรบั ตวั ที่แตกตา่ งกันอยา่ งไร
ภาพท่ี 1 ภาพท่ี 2
ตอบ........ผเี สือ้ ในภาพท่ี 1 มีการปรบั ตวั เขา้ กับธรรมชาตซิ ง่ึ เปน็ การพรางตัวจากผ้ลู ่า แต่ผเี ส้อื ในภาพท่ีสอง
ผเี ส้อื ด้านซ้ายมีการปรบั ลักษณะของสปี ีกให้ใกล้เคยี งกับผเี สอ้ื ในดา้ นซ้ายมือเนื่องจากผเี สอ้ื ในดา้ นซ้ายมอื เปน็
ผีเสอื้ มพี ิษ ผลู้ ่าจะคิดวา่ เปน็ ผีเส้ือทม่ี ีพิษเหมือนกนั แลว้ จะไมก่ ล้าล่า ...........
3. การปรบั ตัวของสง่ิ มชี ีวติ มีผลตอ่ ความหลากหลายของสิ่งมชี ีวติ ในระดบั ใดมากท่สี ุด เพราะอะไร
ตอบ.......................................................................................................................... ............................................
...................................................................................... ........................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
4. จากสภาพแวดล้อมในปัจจบุ ัน นักเรียนคดิ วา่ ปญั หาใดทสี่ ง่ ผลตอ่ การดำเนนิ ชีวติ ของมนุษยม์ ากทีส่ ดุ และ
นกั เรียนคดิ ว่า มนษุ ย์ในอนาคตควรจะปรับตวั อย่างไร จงึ จะสามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมดังกลา่ วได้
ตอบ......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
265
เอกสารประกอบการเรียน วิชา ความหลากหลายทางชีวภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 3 พฤตกิ รรมและการปรบั ตวั ของสิ่งมีชีวติ
ช่ือ ...................................................................................... ชน้ั .................. เลขท่.ี .............
แบบฝกึ หดั เรือ่ ง การปรบั ตัวด้านพฤติกรรมของส่ิงมีชวี ิต
1. สาเหตุสำคญั ที่ทำใหส้ ัตวม์ กี ารปรบั ตวั ดา้ นพฤติกรรมนา่ จะมาจากสาเหตุใด
ตอบ.......................................................................................................................... ....................................
.............................................................................................. ............................................................ ....................
............................................................................................................................. .................................................
2. ใหน้ ักเรียนระบุข้อมลู ในตารางใหส้ มบรู ณ์
ข้อ สิง่ เร้า/ พฤติกรรมของสตั ว์ เหตผุ ลทแี่ สดงพฤตกิ รรม
ตัวอย่างเหตกุ ารณ์
เน่อื งจากมีสภาพคล้ายเวลาพลบคำ่
2.1 เมอ่ื เกดิ สุริยุปราคา นกจะบนิ กลบั รงั เพอื่ ระบายความรอ้ น
ลดแสงท่ีเขา้ สดู่ วงตา
2.2 เมอ่ื อากาศร้อน แมวและสุนัขจะเลยี เทา้ เพื่อสรา้ งความอบอุ่นให้รา่ งกาย
เพื่อสร้างความอบอุน่ ให้ร่างกาย
2.3 เม่อื ไดร้ ับแสงจ้า แมวจะหรมี่ ่านตาลง เปน็ ช่วงเวลาทม่ี ีความช้ืนมากทสี่ ุด
เพอื่ ป้องกันอนั ตราย
2.4 เม่ืออากาศเย็น นกปากหา่ งจะอพยพยา้ ยถ่นิ มายังไทย กำหนดสถานท่ีของวัตถหุ รือแหล่ง
อาหาร
2.5 เมอ่ื อากาศเยน็ จิ้งเหลน ก้งิ ก่า งู จะนอนผ่ึงแดด เพอื่ หลบหลกี ศัตรูเข้ามาใกล้
เพ่อื จะได้จดจำสมาชิกในครอบครัว
2.6 เมอ่ื มีน้ำเปน็ ส่ิงเรา้ กบ คางคกออกหากนิ ตอนกลางคืน
2.7 เม่ือไดร้ บั การสมั ผัส กงิ้ กือจะขดหัวเขา้ ดา้ นใน
2.8 เมื่อมีเสียงเปน็ สงิ่ เรา้ โลมา และคา้ งคาวสามารถสง่ เสยี งไปกระทบ
วตั ถแุ ลว้ รับเสียงสะทอ้ นกลับ
2.9 เมอ่ื มีเสียงเป็นสิง่ เร้า แมไ่ ก่จะสง่ เสียงร้องเรยี กให้ลูกหลบมาซกุ ใตป้ ีก
2.10 เมอ่ื มีกลิ่นเป็นส่ิงเรา้ กระตา่ ยปสั สาวะรดสมาชิกทุกตวั ในครอบครัว
3. นักเรียนคดิ ว่าพนั ธุกรรรมและส่งิ แวดลอ้ มมีผลต่อการปรบั ตัวทางพฤติกรรมของสงิ่ มชี ีวติ อยา่ งไร
ตอบ 3.1 ผลจากพนั ธุกรรม............................................................................................................................. ....
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
3.2 ผลจากส่งิ แวดลอ้ ม............................................................................................................................. ....
................................................................................................................................ ..............................................
266
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ า ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทท่ี 3 พฤตกิ รรมและการปรบั ตวั ของส่งิ มชี วี ิต
แบบฝึกหดั เร่อื ง การปรบั ตัวดา้ นสรรี ะของสิ่งมชี ีวติ
จงตอบคำถามต่อไปนใ้ี หถ้ ูกต้อง
สนุ ัขจงิ้ จอกอาร์กติก (Arctic fox) เม่ือฤดูหนาวหมดลง หมาจิ้งจอก
อาร์กติกเองกม็ ีการเปลย่ี นแปลง ขนสีขาวของมันจะร่วงลง และมขี นสีเทาอม
น้ำตาลข้นึ แทนและจะสน้ั กวา่ ขนในฤดหู นาว ทำให้ตัวมันดเู ล็กลง และมีขนาด
เท่าแมวบา้ นเท่านัน้ ในขัว้ โลกเหนือฤดรู ้อนนน้ั สัน้ มาก และเมื่อฤดหู นาวกลับมา
จิง้ จอกข้วั โลกก็จะเปลี่ยนสขี นกลับไปเปน็ ขนสีขาวอีกครั้ง ฤดูผสมพันธุส์ ำหรับ
สุนัขจ้ิงจอกอารก์ ติกมักจะกินเวลาต้งั แตช่ ว่ งต้นเดอื นกนั ยายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมลกู สุนขั จิง้ จอกตอนเกิดจะ
มสี ีขนสเี ทาอมน้ำตาลในช่วงแรก เพราะเกดิ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ชว่ ยในการพรางตัวจากศัตรู
1. ข้อความใดทีส่ ่ือความหมายถึงการปรบั ตวั ทางสรรี ะของสนุ ัขจิ้งจกอาร์กตกิ
ตอบ..................................................................................................................... .................................................
……………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………
2.นกั เรยี นคิดว่าการเปลี่ยนสีของใบไม้ มีความสำคัญอย่างไรต่อการ
ดำรงชวี ติ ของใบไม้ และมีความสมั พันธก์ ับการปรบั ตวั ทางสรรี ะของพชื
อย่างไร
ตอบ..................................................................................................... ...
…………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. แมวมกั จะจับหนตู อนกลางคนื มีความสมั พันธ์กับการปรบั ตัวดา้ นสรรี ะของมนั อย่างไร
ตอบ..................................................................................................................... .................................................
……………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………
4. นักเรียนคดิ วา่ ลักษณะฟนั ของแมวกับเสือ และ ฟนั ของโคกับกระบือ มคี วามแตกต่างกันอยา่ งไร และความ
แตกต่างน้ัน มีความสมั พันธก์ ับการปรับตัวด้านสรีระของสิ่งมีชีวติ อยา่ งไร
ตอบ.................................................................................................................... ..................................................
……………………………………………………………………………………………………………………………………………...…………
267
แผนการจัดการเรยี นรู้และแผนการประเมินผลการเรยี นรู้ ฉบบั ย่อ
รายวชิ าว30244 ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) จำนวนหน่วยกติ 1.5 หน่วยกิต
เวลาเรยี น 3 ชั่วโมง / สัปดาห์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 1/2563
ผู้สอน คณะครูโรงเรยี นวทิ ยาศาสตร์ภูมิภาค
1. คำอธิบายรายวิชา
ความหลากหลายทางชีวภาพ อนุกรมวิธาน และคลาโดแกรม โดเมน อาณาจักรไวรา มอเนอรา โป
รติสตา ฟังไจ พืช และสัตว์ นิเวศวิทยา ความหมายของระบบนิเวศ การถ่ายทอดสารและพลังงาน วัฏจักรของ
44ปรบั ตวั ของสิง่ มชี วี ิต
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจำแนกสิ่งมีชีวิตและความสำคัญของความหลากหลายทาง
ชีวภาพที่มีต่อระบบนิเวศ และเสนอแนะแนวทางในการดูแลรักษา มีทักษะกระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้
สอ่ื สารส่งิ ทเี่ รียนรู้ การทำกิจกรรมกลุ่ม กิจกรรมการสร้างองค์ความรู้ กิจกรรม STEM สามารถประยุกต์ความรู้
และนำไปใชใ้ นการดำรงชวี ิตของตนเองและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพ
2. ผลการเรียนรู้
1. อธิบายความหมายของความหลากหลายทางชีวภาพได้
2. อธิบายการจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิตตามหลักอนุกรมวธิ าน หลักการตัง้ ชื่อวิทยาศาสตร์ และการใช้
ไดโคโตมสั คียแ์ ละคลาโดแกรมในการจำแนกส่งิ มีชวี ติ ได้
3. สังเกต สำรวจ สืบค้น ทำกิจกรรม อธิบาย เปรียบเทียบลักษณะสำคัญ และใช้หลักการของไดโค
โตมัสคีย์และ คลาโดแกรมในการจำแนกสิ่งมีชีวิตใน โดเมน อาณาจักรไวรา มอเนอรา โปรติสตา ฟังไจ พืช
และสัตว์ รวมถึงระบุความสำคญั ของสิ่งมีชีวติ แตล่ ะโดเมนและอาณาจักรได้
4. อธบิ ายความหมาย ระบุลักษณะสำคญั และองคป์ ระกอบของระบบนิเวศได้
5. อธิบาย ระบุลักษณะและเขียนแผนภาพของโซ่อาหาร สายใยอาหาร การถ่ายทอดสารและพลงั งาน
และการเพมิ่ ขยายทางชีวภาพ (Biomagnification) ได้
6. อธิบายบทบาทของสิ่งมีชวี ติ ในแตล่ ะลำดบั ข้ันของการบรโิ ภค (Trophic level) ได้
7. อธิบาย ระบุลักษณะและเขยี นแผนภาพ วฏั จกั รนำ้ คาร์บอน ไนโตรเจน และฟอสฟอรัสได้
8. อธิบายและเปรียบเทียบการกระจายสิ่งมีชีวิตในชีวมณฑลรูปแบบต่าง ๆ และระบุปัจจัยที่มีผลต่อ
การกระจายของส่ิงมชี ีวติ ในแตล่ ะชวี มณฑลได้
9. อธิบายความหมายของกลุ่มส่งิ มชี ีวิต การปรับตวั ของสิง่ มีชวี ติ การเปล่ยี นแปลงแทนท่ี สืบค้นขอ้ มูล
เกี่ยวกบั ความสัมพันธ์ของสงิ่ มีชีวติ ในรูปแบบตา่ งๆ
10. อธบิ ายความหมาย ลกั ษณะเฉพาะของประชากร ขนาดประชากรและปัจจยั ท่มี ผี ลต่อเปลีย่ นแปลง
ขนาดประชากร รูปแบบการเจรญิ เตบิ โตของประชากร เขียนรูปแบบโครงสร้างอายุ พรี ะมดิ อายุ และกราฟของ
การอยูร่ อดของประชากรท้ัง 3 รูปแบบได้
11. คำนวณหาดัชนคี วามหลากหลายของส่ิงมีชีวติ และศึกษาชีววิทยาเชงิ อนุรกั ษ์
12. อธิบายกลไกการเกดิ พฤติกรรมของส่ิงมีชวี ติ เพ่ือตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ และการแสดงออกของพฤติกรรม
เพอื่ การดำรงชีวิตของสิ่งมีชวี ิตตา่ งๆได้
3. กำหนดการสอนและผลการเรยี นรู้
สัปดา คาบที่ หวั ข้อ/สาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ วิธกี ารสอน/ สอ่ื การสอน
ห์ท่ี กจิ กรรม
1 1 ปฐมนเิ ทศ - นักเรยี นมคี วามเข้าใจใน - บรรยาย - แผนการ
- ผลการเรียนรู้ ขอบข่ายโดยรวมของ จดั การเรียนรู้
- ลักษณะเนื้อหาวชิ า เน้อื หาวิชา ฉบบั ยอ่
- วธิ กี ารเรียนการสอน - นกั เรียนมีความเข้าใจตรงกัน
- การวัดผลและการ เก่ยี วกับกจิ กรรมการเรียนการ
ประเมินผล สอน ผลการเรยี นรู้ กฎเกณฑ์
ในชั้นเรียน เกณฑ์การวัดและ
ประเมนิ ผล
1-2 2-4 บทที่ 1 ความหลากหลายทาง 1. อธบิ ายความหมายของความ - - บรรยาย/ - PowerPoint
ชีวภาพ หลากหลายทางชีวภาพได้ กิจกรรม - ตวั อยา่ ง
1.1 ความหลากหลายทางชีวภาพ 2. อธิบายการจัดหมวดหมู่ Active ส่ิงมีชวี ติ
1.1.1 ความหลากหลายของ ของสง่ิ มชี วี ติ ตามหลัก learning
ชนดิ อนกุ รมวิธาน หลักการตั้งชือ่ - ปฏบิ ัตกิ าร
1.1.2 ความหลากหลายทาง วทิ ยาศาสตร์ และการใช้ไดโค การจัด
พนั ธกุ รรม โตมัสคยี ์และคลาโดแกรมใน หมวดหมู่ของ
1.1.3 ความหลากหลายทาง การจำแนกสิ่งมีชีวิตได้ สิ่งมชี วี ติ
นเิ วศ 3. สังเกต สำรวจ สืบค้น ทำ
1.2 อนุกรมวธิ าน กิจกรรม อธบิ าย เปรยี บเทียบ
1.2.1 การจัดจำแนกส่งิ มชี ีวติ ลกั ษณะสำคัญ และใช้
1.2.2 การตรวจสอบชอื่ หลักการของไดโคโตมัสคยี ์
วิทยาศาสตรข์ องสิ่งมชี วี ติ และคลาโดแกรมในการ
1.2.3 การตัง้ ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ จำแนกสิง่ มีชวี ิตใน โดเมน
ของสงิ่ มชี ีวติ อาณาจักรไวรา มอเนอรา โป
รติสตา ฟงั ไจ พชื และสตั ว์
สปั ดา คาบท่ี หวั ข้อ/สาระการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ วธิ ีการสอน/ สอ่ื การสอน
ห์ที่ กจิ กรรม
2 5-6 1.3 โดเมนและอาณาจกั รของ รวมถงึ ระบุความสำคัญของ - บรรยาย/ - PowerPoint
ส่ิงมีชวี ิต ส่ิงมีชีวิตแตล่ ะโดเมนและ กจิ กรรม - ภาพเคล่อื นไห
1.4 อาณาจักรไวรา อาณาจักรได้ Active ว
- ไวรัส learning
- ไวรอยด์
3 7-8 1.5 อาณาจกั รมอเนอรา - บรรยาย/ - PowerPoint
กิจกรรม - ภาพเคลือ่ นไห
1.5.1 แบคทีเรีย Active
learning ว
(1) แบคทเี รยี แกรมลบ - ตวั อยา่ ง
- ปฏิบัติการ
- โปรทโี อแบคทีเรีย การยอ้ ม สิง่ มีชวี ติ
แกรม
- คลาไมเดยี แบคทีเรยี
- สไปโรคีทส์
- ไซยาโนแบคทเี รยี
(2) แบคทเี รียแกรมบวก
- ไมโคพลาสมา
1.5.2 อารเ์ คยี
- มที าโนเจน
- เทอร์โมไฟล์
- ฮาโลไฟล์
3-4 9-12 1.6 อาณาจักรโปรตสิ ตา - - บรรยาย/ - PowerPoint
1.6.1 โพรโทซวั กจิ กรรม - ภาพเคล่อื นไห
1.6.2 สาหรา่ ย Active ว
1.6.3 ราเมอื ก learning - ตัวอย่าง
1.6.4 รานำ้ - ศกึ ษาจากของ สิง่ มชี วี ิต
จรงิ
- ปฏบิ ตั ิ
การศกึ ษา
ลกั ษณะของโป
รตสิ ต์
5 13-14 1.7 อาณาจักรฟังไจ - บรรยาย/ - PowerPoint
1.7.1 ไฟลัมไคทริดโิ อไมโคตา
1.7.2 ไฟลัมไซโกไมโคตา กจิ กรรม - ภาพเคล่ือนไห
1.7.3 ไฟลมั แอสโคไมโคตา
1.7.4 ไฟลัมเบสดิ โิ อไมโคตา Active ว
1.7.5 ไฟลัมดวิ เทอโรไมโคตา
learning - ตวั อยา่ ง
- ปฏิบัติ สง่ิ มชี วี ติ
การศึกษา
สัปดา คาบที่ หัวข้อ/สาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ วธิ กี ารสอน/ ส่อื การสอน
ห์ท่ี กิจกรรม
ลักษณะของ
ฟงั ไจ
5-7 15-19 1.8 อาณาจักรพชื - บรรยาย/ - PowerPoint
1.8.1 ไฟลัมไบรโอไฟตา กิจกรรม - ตวั อยา่ ง
1.8.2 ไฟลมั เฮพาโตไฟตา Active สิง่ มีชวี ติ
1.8.3 ไฟลมั แอนโทเซอโรไฟ learning
ตา - ปฏบิ ตั ิ
1.8.4 ไฟลมั ไลโคไฟตา การศกึ ษา
1.8.5 ไฟลัมเทอโรไฟตา ลักษณะ
1.8.6 ไฟลมั กงิ โกไฟตา สำคญั ของ
1.8.7 ไฟลมั ไซคาโดไฟตา พชื แตล่ ะ
1.8.8 ไฟลมั นโี ตไฟตา ไฟลมั
1.8.9 ไฟลัมโคนเิ ฟอโรไฟตา - กิจกรรม
1.8.10 ไฟลัมแอนโทไฟตา STEM /
inquiry
7-9 20-27 1.9 อาณาจักรสัตว์ - บรรยาย/ - PowerPoint
1.9.1 ไฟลมั พอริเฟอรา กจิ กรรม - ตวั อยา่ ง
1.9.2 ไฟลัมไนดาเรีย Active สิ่งมชี ีวติ
1.9.3 ไฟลมั ทโี นฟอรา learning
1.9.4 ไฟลัมแพลทเี ฮลมนิ ทิส - ปฏิบัติ
1.9.5 ไฟลมั โรติเฟอรา การศกึ ษา
1.9.6 ไฟลมั นมี าโทดา ลักษณะ
1.9.7 ไฟลัมแอนนิลดิ า สำคัญของ
1.9.8 ไฟลมั มอลลัสคา สัตว์แต่ละ
1.9.9 ไฟลัมอารโ์ ทรโปดา ไฟลัม
1.9.10ไฟลัมเอคไคโนเดอร์มาตา - กิจกรรม
1.9.11 ไฟลัมเฮมิคอรด์ าตา การสรา้ ง
1.9.12 ไฟลมั คอรด์ าตา องค์ความรู้
10 28-30 สอบกลางภาค --
บทท่ี 2 นเิ วศวิทยา 4. อธิบายความหมาย ระบุ - บรรยาย/ - PowerPoint
11-14 31-40 2.1 ความหมาย องคป์ ระกอบ ลกั ษณะสำคัญ และ กจิ กรรม -
และประเภทของระบบนิเวศ องคป์ ระกอบของระบบนเิ วศได้ Active ภาพเคลอ่ื นไห
2.2 ชีวมณฑล (Biome) learning ว
สัปดา คาบท่ี หัวข้อ/สาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ วิธีการสอน/ สือ่ การสอน
หท์ ่ี กิจกรรม
2.3 นเิ วศวิทยาของกลุ่มส่งิ มชี ีวติ 5. อธิบาย ระบลุ กั ษณะและ
2.3.1 องคป์ ระกอบของกลุ่ม เขยี นแผนภาพของโซ่อาหาร
สิ่งมชี ีวิตและดชั นีความ สายใยอาหาร การถา่ ยทอดสาร
หลากหลายของสิ่งมชี ีวิต และพลังงาน และการเพิ่มขยาย
2.3.2 ปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ ง ทางชวี ภาพ
ส่งิ มชี วี ิต (Biomagnification) ได้
2.4 นิเวศวิทยาของระบบนเิ วศ 6. อธิบายบทบาทของสิง่ มีชวี ิต
2.4.1 ส่งิ มีชวี ิตทสี่ ร้างอาหาร ในแต่ละลำดับขน้ั ของการ
เองได้ บริโภค (Trophic level) ได้
2.4.2 ส่งิ มีชวี ิตทส่ี รา้ งอาหาร 7. อธิบาย ระบุลักษณะและ
เองไมไ่ ด้ เขียนแผนภาพ วัฏจกั รน้ำ
2.4.3 การถา่ ยทอดพลงั งาน คารบ์ อน ไนโตรเจน และ
2.4.4 การเพิ่มขยายทาง ฟอสฟอรัสได้
ชวี ภาพ 8. อธิบายและเปรยี บเทยี บการ
2.4.5 วัฏจักรของสาร กระจายสิ่งมชี ีวิตในชีวมณฑล
2.5 การเปล่ียนแปลงแทนที่ รปู แบบตา่ ง และระบปุ ัจจยั ท่ีมี
14-16 41-48 2.6 นเิ วศวทิ ยาของประชากร ผลตอ่ การกระจายส่งิ มชี วี ติ ใน - บรรยาย/ - PowerPoint
2.6.1 ความหมายของ แตล่ ะ ชวี มณฑลได้ กิจกรรม -
ประชากร 9. อธบิ ายความหมายของกลุ่ม Active ภาพเคลอ่ื นไห
2.6.2 รูปแบบการกระจาย สง่ิ มีชวี ิต การปรับตัวของ learning ว
ของประชากร สง่ิ มชี ีวติ การเปล่ียนแปลง - ปฏบิ ัติการ
2.6.3 ความหนาแนน่ ของ แทนที่ สบื คน้ ข้อมูลเก่ยี วกบั หาดชั นีความ
ประชากร ความสัมพนั ธข์ องสิง่ มีชีวติ ใน หลากหลาย
2.6.4 รปู แบบการ รูปแบบต่างๆ ของสิง่ มชี วี ิต
เจริญเตบิ โตของประชากร 10. อธบิ ายความหมาย - การสบื เสาะ
2.6.5 การอยูร่ อดของ ลกั ษณะเฉพาะของประชากร หาความรู้
ประชากร ขนาดประชากรและปัจจยั ท่ีมี - กิจกรรม
- K-selected species ผลตอ่ เปลี่ยนแปลงขนาด STEM
- r- selected species ประชากร รูปแบบการ
2.6.6 โครงสรา้ งประชากร เจริญเติบโตของประชากร
มนุษย์ เขยี นรูปแบบโครงสรา้ งอายุ
2.7 ชีววิทยาเชิงอนุรักษ์ พรี ะมิดอายุ และกราฟของการ
2.7.1 ปญั หาเรือนกระจก
สัปดา คาบท่ี หวั ข้อ/สาระการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ วธิ ีการสอน/ ส่อื การสอน
หท์ ่ี กจิ กรรม
2.7.2 มลพษิ ทางนำ้ อยู่รอดของประชากรท้งั 3
2.7.3 การอนุรกั ษ์สตั ว์ป่า รปู แบบได้
2.7.4 การอนุรักษ์เชิงชนิดพันธ์ุ 11. คำนวณหาดัชนคี วาม
2.7.5 การพฒั นาที่ย่ังยืน หลากหลายของสงิ่ มีชวี ติ และ
ศกึ ษาชวี วิทยาเชิงอนรุ ักษ์
17-19 49-57 บทท่ี 3 พฤตกิ รรมและการ 12. อธบิ ายกลไกการเกดิ - บรรยาย/ - PowerPoint
ปรับตัวของสิ่งมชี วี ติ พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตเพือ่ กจิ กรรม
3.1 พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด ตอบสนองตอ่ สิง่ เร้าและการ Active
3.2 พฤติกรรมท่ีเกดิ จากการ แสดงออกของพฤติกรรมเพ่อื learning
เรียนรู้ การดำรงชวี ติ ของส่งิ มชี วี ติ - การสืบเสาะ
3.3 พฤติกรรมนเิ วศ ตา่ งๆได้ หาความรู้
- พฤติกรรมการหาอาหาร
- พฤติกรรมการปกปอ้ งอาณา
เขตจำเพาะ
- พฤติกรรมการจัดลำดบั
ชนั้ ในสงั คม
- พฤตกิ รรมการผสมพนั ธ์ุ
3.4 พฤติกรรมสงั คม
3.5 การปรบั ตวั ของสิง่ มีชวี ติ
3.5.1 การปรบั ตวั ดา้ น
รูปพรรณสัณฐาน
- การพรางตัว(Camouflage)
- การเลียนแบบ (Mimicry)
3.5.2 การปรับตัวดา้ น
พฤติกรรม
3.5.3 การปรบั ตวั ด้านสรรี ะ
- Regulators
- Conformers
20 58-60 สอบปลายภาค
4. แผนการประเมนิ ผลการเรียนรแู้ ละการมอบหมายงาน
การสอนรายวชิ า ว 30264 ความหลากหลายทางชีวภาพ
ประเมนิ เปน็ อตั ราส่วน (รอ้ ยละ) ดังน้ี
ร้อยละของคะแนนระหว่างภาค : รอ้ ยละของคะแนนปลายภาค = 80 : 20
ร้อยละของคะแนนระหว่างภาค = ร้อยละของคะแนนสอบกอ่ นกลางภาค + รอ้ ยละของคะแนนสอบ
กลางภาค + รอ้ ยละของคะแนนสอบหลังกลางภาค + ผลจากงานหรอื การบ้านที่ได้รับมอบหมาย
= 10 + 20 + 10 + 40
แผนการประเมนิ ผลการเรียน คอื ร้อยละ 40
4.1 ประเมินผลจากงานหรือการบา้ นทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย รอ้ ยละ 20
4.3 การประเมินผลจากการสอบยอ่ ย ร้อยละ 20
4.4 ประเมนิ จากการสอบกลางภาค ร้อยละ 20
4.5 ประเมนิ จากการสอบปลายภาค
รายละเอียดการประเมินผลแตล่ ะหวั ขอ้ เปน็ ดังน้ี
4.1 การประเมินผลจากงานหรอื การบา้ นท่ีได้รับมอบหมาย (รอ้ ยละ 40)
รายการ รปู แบบของงาน เวลาทคี่ วรใช้ รอ้ ยละ
งานเดี่ยว (ชม.) 2
1. เขียนรายงานปฏิบัตกิ ารการจัดหมวดหมู่ของ งานเดี่ยว 1 2
สงิ่ มีชีวติ งานเด่ียว 1 2
งานเดย่ี ว 1 3
2. เขียนรายงานปฏิบัติการย้อมแกรมแบคทเี รยี และ งานเดย่ี ว 1 3
ศกึ ษาลักษณะของโปรติสต์ งานเดี่ยว 1 3
1
3. เขียนรายงานปฏบิ ตั กิ ารศกึ ษาลกั ษณะของฟังไจ งานเดย่ี ว 10
10
4. เขยี นรายงานปฏิบัติการศกึ ษาลักษณะสำคัญของ
พืชแตล่ ะไฟลมั
5. เขยี นรายงานปฏบิ ัตกิ ารศึกษาลกั ษณะสำคัญของ
สัตวแ์ ตล่ ะไฟลัม
6. เขียนรายงานปฏิบัตกิ ารหาดัชนีความหลากหลาย
ของสงิ่ มชี ีวิต
เขยี นแผนผังมโนทศั น์สรา้ งองคค์ วามรู้ ตามหวั ข้อ
8. ดงั น้ี
8.1 อาณาจักรไวรา
8.2 อาณาจักรมอเนอรา
รายการ รปู แบบของงาน เวลาทค่ี วรใช้ ร้อยละ
(ชม.)
8.3 อาณาจักรโปรตสิ ตา
8.4 อาณาจักรฟงั ไจ
8.5 อาณาจักรพชื
8.6 อาณาจักรสัตว์
8.7 ประเภทของระบบนิเวศ
8.8 นิเวศวิทยาของกลมุ่ ส่ิงมีชวี ติ
8.9 พฤติกรรมของสตั ว์
8.10 การปรบั ตัวของส่ิงมีชีวิต
กิจกรรม STEM / การนำเสนอผลงานด้าน
9. ประโยชน์ ปญั หา และผลกระทบดา้ นนเิ วศวิทยา งานกลมุ่ 15 15
และชีววทิ ยาเชงิ อนรุ กั ษ์
หมายเหตุ: เวลาที่นักเรียนควรใช้ หมายถึง เวลาทคี่ รูไดพ้ จิ ารณาว่า ในการทำงานหรือการบา้ นชนิ้ น้ัน ๆ นกั เรยี น
ควรใช้เวลาทำประมาณเทา่ ใด การประมาณดงั กลา่ วครไู ด้พิจารณาจากความยาก ความซับซอ้ น และปริมาณงาน
หรือการบา้ นชิน้ นน้ั ๆ
4.2 การประเมนิ ผลจากการสอบยอ่ ย (ร้อยละ 20)
รายละเอยี ดดังนี้
4.2.1 การสอบก่อนกลางภาค (ร้อยละ 10 ) รายละเอยี ดดงั นี้
หัวข้อ/เนื้อหาทีใ่ ชใ้ นการสอบ ลักษณะและจำนวนข้อสอบ รอ้ ยละคะแนน
1.1 ความหลากหลายทางชวี ภาพ - ปรนัยแบบเลือกตอบ(ขอ้ ละ 0. 5 2
1.2 อนุกรมวธิ าน คะแนน)
1.3 อาณาจักรไวรา -อัตนยั (ข้อละ 1 หรอื 2 คะแนน) 2
1.4 อาณาจักรมอเนอรา 2
1.5 อาณาจักรโปรติสตา 4
4.2.2 การสอบหลงั กลางภาค (รอ้ ยละ 10 ) รายละเอียดดงั นี้
หัวข้อ/เนื้อหาที่ใช้ในการสอบ ลักษณะและจำนวนข้อสอบ รอ้ ยละคะแนน
2
2.1 ความหมาย องค์ประกอบ และประเภทของระบบ - ปรนัยแบบเลอื กตอบ(ข้อละ
2
นิเวศ 0.5 คะแนน)
2.2 ชีวมณฑล (Biome)
หวั ข้อ/เนื้อหาทีใ่ ช้ในการสอบ ลักษณะและจำนวนข้อสอบ รอ้ ยละคะแนน
2.3 นิเวศวทิ ยาของกลมุ่ ส่งิ มีชีวิต -อตั นยั (ข้อละ 1 หรือ 2 2
2.4 นเิ วศวิทยาของระบบนเิ วศ 2
2.5 การเปล่ยี นแปลงแทนท่ี คะแนน) 2
4.3 การประเมนิ จากการสอบกลางภาค (ร้อยละ 20)
เวลาท่ใี ช้สอบ 90 นาที หัวขอ้ เนอื้ หาและลักษณะของขอ้ สอบมีรายละเอียดดังตาราง
หวั ข้อ/เนอ้ื หาท่ีใชใ้ นการสอบ ลักษณะและจำนวนข้อสอบ ร้อยละคะแนน
1.1 ความหลากหลายทางชีวภาพ - ปรนยั แบบเลอื กตอบ (ข้อละ 1
1.2 อนกุ รมวธิ าน 0.5 คะแนน) 1
1.3 อาณาจักรไวรา - อตั นัย (ข้อละ 1 หรอื 2 1
1.4 อาณาจักรมอเนอรา คะแนน) 1
1.5 อาณาจักรโปรติสตา 1
1.5 อาณาจักรฟังไจ 2
1.6 อาณาจักรพชื 5
1.7 อาณาจักรสตั ว์ 8
4.4 การประเมินจากการสอบปลายภาค (รอ้ ยละ 20)
เวลาท่ใี ช้สอบ 90 นาที หวั ข้อเนอ้ื หาและลักษณะของข้อสอบมรี ายละเอียดดังตาราง
หวั ข้อ/เน้ือหาทใี่ ช้ในการสอบปลายภาค ลักษณะ/จำนวนขอ้ สอบ ร้อยละคะแนน
บทท่ี 2 นเิ วศวิทยา - ปรนัยแบบเลอื กตอบ(ข้อละ 1
2.1 ความหมาย องคป์ ระกอบ และประเภทของระบบ 0.5 คะแนน)
นิเวศ -อตั นยั (ข้อละ 1 หรอื 2 1
2.2 ชีวมณฑล (Biome) คะแนน) 1
2.3 นิเวศวทิ ยาของกลุ่มสง่ิ มชี ีวิต 1
2.4 นิเวศวทิ ยาของระบบนเิ วศ 1
2.5 การเปล่ยี นแปลงแทนที่ 2
2
2.6 นเิ วศวิทยาของประชากร 2
2.7 ชีววิทยาเชงิ อนรุ ักษ์
บทท่ี 3 พฤติกรรมและการปรับตวั ของส่ิงมีชีวติ
หวั ข้อ/เนอ้ื หาท่ใี ช้ในการสอบปลายภาค ลกั ษณะ/จำนวนข้อสอบ ร้อยละคะแนน
3.1 พฤติกรรมทมี่ ีมาแต่กำเนิด 3
3.2 พฤติกรรมที่เกิดจากการเรยี นรู้ 3
3.3 พฤติกรรมนเิ วศ 1
3.4 พฤติกรรมสังคม 2
3.5 การปรบั ตวั ของสิ่งมชี ีวติ
หมายเหตุ: ลักษณะและจำนวนข้อสอบสามารถปรับเปล่ยี นได้ตามมติของคณะกรรมการคัดเลอื กและปรับปรุง
ขอ้ สอบ