ทีม่ า : http://www.seaslugforum.net/find/polychaete และ http://reefkeeping.com/issues/2002-06/rs/index.php
ทมี่ า : http://reefkeeping.com/issues/2003-03/rs/index.php
ทีม่ า : http://dhyasyifa.webs.com/
153
6. ไฟลัมอารโ์ ทรโพดา (Phylum Arthropoda)
ลกั ษณะสำคญั
1. มเี นอ้ื เย่ือ 3 ชั้น ลำตวั ตวั แบ่งเปน็ สว่ นหวั (Head) อก (Thorax) และท้อง (Abdomen) มีรยางค์เปน็ ข้อ
(สตั วข์ าขอ้ ) ลำตวั มโี ครงร่างแขง็ ภายนอก (Exoskeleton) เป็นสารพวกไคทิน (Chitin) และโปรตนี
2. ขณะเจริญเตบิ โตมีการลอกคราบ (Molting)
3. ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด ไม่มีหลอดเลอื ดฝอย (Capillary) มีแอ่งเลือด (Haemocoel)
4. มีทางเดนิ อาหารสมบูรณ์
5. อวยั วะแลกเปลย่ี นแกส๊ มีหลายรปู แบบ เชน่ พวกท่อี าศยั บนบกใชร้ ะบบท่อลม (Tracheae) หรือ ปอด
แผง (Book lungs) พวกทอ่ี าศัยในนำ้ ใชเ้ หงือก (Gill)
6. ขับถ่ายของเสยี โดยใชท้ ่อมลั พิเกยี ล (Malpighian tube) และตอ่ มเขียว (Green gland)
7. แยกเพศ ปฏสิ นธภิ ายใน
8. ระบบประสาทและอวัยวะภายในเจรญิ ดี
9. เป็นสัตว์กลุม่ ที่มคี วามหลากหลายมากท่ีสุด พบทง้ั บนบกและในนำ้ แบง่ ไดเ้ ป็น 6 Class ดังนี้
ท่มี า : http://4.bp.blogspot.com/-in6kwrYQMlg/UE3oxTZigEI/AAAAAAAAAGQ/1nd-kalRRMg/s640/arthropod_chart.gif
154
Class Merostomata --> อาศยั อยู่ในทะเล ได้แก่ แมงดาทะเล ส่วนหวั และอกเช่ือมกนั (Cephalothorax) มขี าเดนิ
5 คู่ รยางค์คู่แรกชว่ ยกนิ อาหาร แลกเปล่ียนแกส๊ ใช้ Book gill
155
ทีม่ า : http://animaldiversity.ummz.umich.edu/collections/contributors/Grzimek_inverts/Merostomata/v02_id302_con_meranat/medium.jpg
Class Arachnida --> สว่ นหวั และอกเชื่อมกนั (Cephalothorax) มรี ยางค์ 6 คู่ มีขาเดิน 4 คู่ รยางคค์ ทู่ ่ี 1 และ 2 ใช้
จบั อาหารและรบั ความรสู้ กึ แลกเปลย่ี นแกส๊ ใช้ book lung ขับถา่ ยโดย Malpighian tube เพศแยก ปล้องสุดท้ายของแมง
มมุ และแมงป่อง เปลี่ยนแปลงเพื่อทำหน้าทเ่ี ฉพาะ อาศยั อยู่บนบก
156
ท่ีมา : http://www.kolumbus.fi/tomihie/anatomy.gif
ทม่ี า : http://www.moondragon.org/health/graphics/scorpionanatomy.jpg
ที่มา : http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/22/Spider_internal_anatomy-en.svg/700px-
Spider_internal_anatomy-en.svg.png
157
Class Diplopoda --> คือกลมุ่ ของ กง้ิ กอื (Millipede) สว่ นหวั มีหนวด 1 คู่ ลำตวั มีรยางค์ปลอ้ งละ 1 คู่ แลกเปลย่ี น
แกส๊ ใชท้ อ่ ลม ไม่มี Metamorphosis เพศแยก ปฏิสนธิภายใน
ทีม่ า : http://palaeo.gly.bris.ac.uk/Palaeofiles/Fossilgroups/diplopod/fullanat.gif
Class Chilopoda --> คอื กลุ่มของตะขาบ (Centipede) มีหนวด 1 คู่ ลำตวั แบน มีรยางค์ปลอ้ งละ 1 คู่ มีเขีย้ วพิษ 1
คู่ แลกเปลีย่ นแกส๊ ใชท้ อ่ ลม เพศแยก ปฏิสนธภิ ายในร่างกาย ไมม่ ี Metamorphosis
158
ท่ีมา : http://highered.mcgraw-hill.com/sites/dl/free/0072919345/63803/0613al.jpg
Class Insecta --> กลุ่มของแมลง ส่วนหวั อก และท้อง แยกกันชัดเจน มหี นวด 1 คู่ ขาเดิน 3 คู่ (อยูท่ ่สี ว่ นอก)
แลกเปล่ียนแกส๊ ใชท้ ่อลม สว่ นใหญ่มี Metamorphosis
ทมี่ า : http://2.bp.blogspot.com/_4IwHTsRufBg/THzrOgZN42I/AAAAAAAAEgI/K2SC6yHtckk/s1600/insecta.bmp
159
ท่ีมา : http://www.emc.maricopa.edu/faculty/farabee/biobk/insectbody.gif
Class Crustacea --> กลมุ่ ของ กุ้ง ก้ัง ปู เพรยี งหนิ พบท้ังในทะเล น้ำจืด น้ำกร่อย มสี ว่ นหัวเชอ่ื มกบั สว่ นอก หนวด 2 คู่
ขาเดนิ 5 คู่ ส่วนทอ้ งมรี ยางค์วา่ ยน้ำ หรือเปน็ ทเ่ี กาะของไข่ แลกเปล่ยี นแก๊สโดยใช้เหงอื ก มี Metamorphosis
ที่มา : http://www.mesa.edu.au/crustaceans/images/intro.jpg
160
ทม่ี า : http://www.mesa.edu.au/crustaceans/images/cray_anatomy.jpg และ
http://www.kwic.com/~pagodavista/schoolhouse/species/insects/pics/cryfsant.jpg
ไฟลมั เอคไคโนเดอมาตา (Phylum Echinodermata)
ลกั ษณะสำคญั
1. มเี นอื้ เย่ือ 3 ชนั้ โครงรา่ งภายในประกอบดว้ ยแผ่นหนิ ปนู ขนาดเล็ก (Calcareous ossicles) ผวิ หยาบ ขรขุ ระ
มีหนาม (Spiny-skinned animals)
2. ตัวอ่อนสมมาตรด้านข้าง ตัวเต็มวัยสมมาตรแบบรัศมี มี 5 แขน (Pentamerous) หรอื ทวีคูณของ 5
3. ปากติดกับพนื้ ทวารหนกั อยดู่ ้านตรงข้าม
4. มี Tube feet ช่วยในการเคลื่อนทีแ่ ละจับอาหาร
5. ระบบหมุนเวยี นเลือดแบบปดิ ระบบประสาทเจริญไม่ดี
6. สบื พนั ธ์ไุ ด้ทั้งแบบอาศยั เพศ ปฏิสนธิภายนอกรา่ งกาย (External fertilization) และไม่อาศัยเพศ
(Regeneration) มีการเปลีย่ นแปลงรปู ร่างจากตัวออ่ นเปน็ ตวั เต็มวยั
7. พบในทะเลเท่านน้ั แบ่งเป็น 5 Class ดงั นี้
161
162
ท่ีมา : http://tolweb.org/tree/ToLimages/holoana.gif
ท่มี า : http://www.biocyclopedia.com/index/general_zoology/images/images18/fig019.jpg
163
164
ไฟลัมคอรด์ าตา (Phylum Chordata)
สตั วท์ ี่อย่ใู นไฟลมั คอรด์ าตาที่มีชื่อเรียกท่ัวไป คือ คอร์เดต (Chordate) เป็นสัตว์ทีม่ วี ิวฒั นาการสงู สดุ มีรปู รา่ ง
แตกต่างกันไปหลายแบบตามสภาพแวดลอ้ มท่ีดำรงชีวิตอยู่ อาศยั อยทู่ ้ังในน้ำจืด น้ำทะเลและบนบก
ลกั ษณะทสี่ ำคัญของคอรเ์ ดต สตั วพ์ วกคอร์เดตมลี ักษณะท่ีสำคญั ดงั นี้
- ในช่วงหนงึ่ ของชวี ิตจะต้องมีแกนค้ำจนุ เรยี กวา่ สนั หลัง (Notochord) อยู่ด้านหลงั ของร่างกาย โดยอาจมีสนั หลังตลอด
ชวี ติ หรอื มชี ัว่ ขณะหนง่ึ ของช่วงระยะหนง่ึ เท่านนั้ เชน่ แอมพอิ อกซสั (Amphioxus) เป็นสตั วท์ ี่มสี ันหลงั ตลอดชีวิตสตั วเ์ ล้ียง
ลูกด้วยน้ำนมมสี นั หลงั ในระยะตัวอ่อนเท่านน้ั พอเจริญเตบิ โตจะมกี ระดูกสันหลงั เข้ามาแทนที่
- มที ่อไขสันหลงั (Dorsal hollow never cord) เปน็ หลอดยาวตลอดลำตวั อย่เู หนอื สันหลงั ขึ้นไปเปน็ ไข
สนั หลงั (Spinal cord)
- มีช่องเหงอื ก (Gill slit) อยู่ทผี่ นังคอหอย (Pharynx) ในชว่ งใดชว่ งหน่งึ ของชวี ิต ถ้าเป็นคอร์เดตท่ีอยุ่
อาศัยในน้ำมีชอ่ งเหงอื กตลอดชวี ติ การทำหน้าทใ่ี นการหายใจ ส่วนพวกทอ่ี าศยั อยู่ในบนบกจะพบเหงือกในระยะตัวออ่ น
เท่าน้ันเม่ือเจรญิ ขนึ้ ช่องเหงือกจะปดิ
- มีระบบทางเดินอาหารทสี่ มบูรณ์ประกอบไปด้วยปากและทวารหนัก
- มีกระดูกแข็งและกระดูกอ่อนเปน็ โครงรา่ งค้ำจนุ อย่ภู ายในร่างกาย (Endoskenleton) ซึ่งเป็นโครงรา่ ง
ทมี่ ีชีวิตมีการเจรญิ เติบโต
การจดั การจำแนกหมวดหมู่ของคอรเ์ ดต สัตวใ์ นไฟลัมนมี้ ปี ระมาณ 50,000 ชนดิ สามารถแบ่งโดยใช้
หลักเกณฑก์ ารมีกระดกู สันหลังเป็นสว่ นประกอบของร่างกายออกได้ 2 กลุ่ม ใหญ่ ดังน้ี
กลุม่ อะคราเนียหรือโพโทรคอร์ด (Acrania หรอื Protochordata) เปน็ พวกคอรเ์ ดตท่ีไม่มกี ระดูกสันหลัง
และไมม่ ีกระดกู หุ้มศรี ษะ สัตว์กลมุ่ น้ีสามารถจำแนกออกได้ 2 ซับไฟลัมดังน้ี
Subphylum Urochordata เปน็ พวก คอร์เดตที่มีวิวัฒนาการต่ำสดุ ไม่มกี ระดูกห้มุ ศรี ษะ ไม่มีขากรรไกร
อาศยั อยใู่ นทะเลโดยยดึ เกาะกับวัตถุตา่ ง ๆ อยูเ่ ป็นกลุ่ม ๆ ในระยะนเี้ ปน็ ตัวอ่อนท่มี ีรูปร่างคลา้ ยลูกอ๊อด มสี นั หลังอยตู่ รง
บริเวณหางเทา่ นั้น เม่ือเจรญิ เปน็ ตวั เต็มวัยส่วนหลังพร้อมสันหลังจะหายไป และมีการสร้างสารห่อตัวเป็น ตวั แข็งเรียกวา่ ทนู ิ
(Tunic) ซึง่ เป็นสารพวกเซลลโู ลส ดังน้ตี ัวเตม็ วยั จึงมีลกั ษณะคลา้ ยถงุ (Sac like) มีการสบื พันธุไ์ ม่อาศัยเพศโดยการแตก
หนอ่ สัตว์พวกนีไ้ ด้แก่ เพรยี งหวั หอม (Tunicate) เพรียงลอยและเพรยี งสาย
165
Subphylum Cephalochordata เปน็ พวกคอร์อเดตท่ีไมม่ ีกระโหลกหุม้ ศรี ษะ ไม่มขี ากรรไกร มสี ันหลังและไข
กระดูกสันหลงั ตลอดชวี ิต มีรูปร่างคล้ายปลา ลำตัวมขี นาดเล็กยาวประมาณ 2 น้ิว ลำตัวใสอาศยั อยใู่ นทะเลบรเิ วณนำ้ ตน้ื ใน
เขตร้อนและเขตอบอนุ่ โดยฝังตัวอยใู่ นทะเลทรายโผลม่ าเฉพาะสว่ นดา้ นหน้าออกมา มเี อนโดสไทล์ (Endostyle) เป็น
อวัยวะอยูด่ า้ นหน้าทำหนา้ ทส่ี ร้างเมือกเพื่อดักจบั อาหารทตี่ ิดมากับน้ำ สัตว์พวกนี้ไดแ้ ก่ แอมฟอิ อกซัส (Amphioxus)
Amphioxus
Vertebrates (Vertebrata) are a group of chordates that includes lampreys, mammals, birds, amphibians,
reptiles, and fishes. There are about 57,000 species of vertebrates alive today, which accounts for
about 3% of all known species on our planet. The other 97% of species alive today are
invertebrates. Vertebrates have a vertebral column in which the notochord is replaced by multiple
vertebrae that form a backbone. The vertebrae surround and protect a nerve cord and provide the
animal with structural support.
กลุม่ คราเนีย (Crania) เป็นพวกคอร์เดตที่มีกระดูกสันหลังล้อมรอบสันหลงั ในสตั วบ์ างชนดิ ตัวเต็มวยั สันหลังจะหายไป คงมี
แต่กระดกู สันหลงั ทีท่ ำหนา้ ท่แี ทน มีสมองภายในกะโหลกศรี ษะ จำแนกได้ 1 Subphylum ดงั น้ี
1) Subphylum Vertebrata เป็นพวกคอรเ์ ดตที่มีกะโหลกหุม้ ศรี ษะ สว่ นใหญม่ ีขากรรไกร มบี างชนดิ ไมม่ ีขากกรไกรตวั
ออ่ นจะมสี นั หลงั เมื่อเจริญเป็นตวั เต็มวยั สันหลงั จะหายไปมีกระดูกสนั หลงั ทำหนา้ ท่ีแทน จงึ เรยี กสตั ว์พวกนี้ว่าสตั ว์มกี ระดกู
สนั กระดูกสันหลงั จะมีลกั ษณะเป็นข้อ ๆ ตอ่ กบั ร่างกายแบ่งออกเปน็ สว่ น หวั ลำตวั หาง สว่ นหัวจะมีสมองขนาดใหญ่ซึ่ง
เป็นศูนย์รวมของระบบประสาทอวัยวะรับความร้สู ึกต่าง ๆ มีเส้นประสาทสมอง 10-12 คู่ มรี ยางค์ 2 คู่ ตดิ กับลำตวั มีหาง
อย่ทู างด้านท้ายของทวารหนัก สว่ นคนจัดเป็นคอร์เดตไม่มีหาง แต่พบวา่ หางในชว่ งหนงึ่ ของระยะตวั อ่อน สัตว์ในกลมุ่ นี้
สามารถจำแนกออกได้ 2 Superclass ดังนี้
166
- Superclass Agnatha เปน็ สัตว์มีกระดูกสันหลงั ไม่มีขากรรไกร ไม่มคี รีบ มสี นั หลัง จัดเป็นสัตว์โบราณ
สญู พนั ธไุ์ ปเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันยงั คงอยู่ เชน่ ปลาปากกลม (Cyclostomata) ซ่ึงมีประมาณ 600 ชนิด สัตว์ในกล่มุ น้ี
จำแนกออกได้ 2 Class ดงั นี้
Class Ostracoderm เป็นปลาท่ไี มม่ ีขากรรไกรท่โี บราณท่ีสุด อาศัยอย่ใู นน้ำจดื ดำรงชีวติ อยใู่ น
ยคุ ไซลเู รยี นถึงยุคดีโวเนยี น สูญพนั ธ์ไุ ปหมดแล้ว
กลุ่มปลาทไ่ี ม่มีขากรรไกรท่โี บราณ
Class Cyclostomataได้แกป่ ลาปากกลม เปน็ ปลาที่ไม่มขี ากรรไกรจึงทำให้ปากมลี ักษณะเป็น
ทรงกลมเปน็ แว่นดูดเกาะ ไม่มีรยางค์ มสี ันหลังตลอดชวี ติ โครงรา่ งเป็นกระดกู ออ่ น ไม่มีเกล็ด มีหวั ใจ 2 หอ้ ง ดำรงชวี ิตอยู่
ในทะเลสตั วใ์ นชัน้ นีไ้ ด้แก่ แฮกฟชิ (Hagfish) และแลมป์เพรย์ (Lamprey)
167
- Superclass Gnathostomataเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังมขี ากรรไกร มรี ยางค์คู่ อาจมสี ันหลัง
ตลอดชวี ติ แล้วถูกแทนท่ดี ว้ ยกระดูกสันหลัง สัตว์ในกล่มุ น้จี ำแนกออกได้ 6 Class ดังน้ี
Class Chondricthyes เปน็ พวกปลา กระดูกอ่อนท่ีมเี กลด็ ทง้ั ขนาดเลก็ ขนาดใหญ่ มปี ากอยู่
ดา้ นลา่ งบรเิ วณหัว ภายในปากมฟี ันซีเ่ ล็ก ๆ แหลมคมมีหวั ใจ 2 หอ้ ง เป็นสตั ว์เลือดเยน็ หายใจโดยใช้เหงอื ก 5-7 คู่ มีท้ัง
ครีบค่แู ละครบี เด่ียว ไม่มถี ุงลม มเี สน้ ประสาท 10 คู่ เป็นสัตวแ์ ยกเพศ ปฏิสนธภิ ายในร่างกาย ออกลูกเปน็ ตวั แบบโอโววิวิ
พารสั (Ovoviviparous) สตั ว์ในช้นั นไ้ี ดแ้ ก่ ปลาฉลาม ปลากระเบน ปลาฉนาก และปลาโรนนั
Class Osteichthyes เป็นพวกปลากระดูกแข็งทุกชนิด มีท้ังชนิดมีเกลด็ และไมม่ เี กล็ด ปากอยู่
ปลายหัวด้านหนา้ มฟี นั จำนวนมาก ลำตวั มีทั้งครีบเดยี วและครีบคู่ เปน็ สตั วเ์ ลือดเย็น มีหัวใจ 2 หอ้ งหายใจดว้ ยเหงือกและมี
แผน่ แข็งทุกชนิดปดิ ช่องเหงือก (Operculum) มีเสน้ ประสาท 10 คู่ เปน็ สตั ว์ ปฏสิ นธภิ ายนอกรา่ งกาย ออกลกู เปน็ ตัวชนิด
โอโววิวิพารสั บางชนิดออกลุกเป็นไข่ อาศยั อยู่ในนำ้ จดื น้ำกร่อย และน้ำทะเล สตั ว์ในชน้ั นไี้ ด้แก่ ปลาช่อน ปลาดกุ ปลาทู
ตะเพยี น และมา้ น้ำ
168
Class Amphibia สัตวใ์ นช้ันน้มี ี วัฎจกั รชว่ งหนง่ึ อาศัยอยใู่ นน้ำทะเลบางชว่ งอาศยั อย่บู นบก จึง
เรียกสตั ว์พวกนวี้ า่ สตั วส์ ะเทนิ น้ำสะเทินบก เปน็ สตั วต์ ้องสบื พันธใ์ นน้ำ ตวั อ่อนจะดำรงชีวิตอยู่ในน้ำมีลักษณะคล้ายปลา
หายใจดว้ ยเหงือก เมือ่ เจริญเติบโตเป็นตวั เตม็ วยั จะอาศยั อยู่บนบกหายใจดว้ ยปอดและผิวหนัง ผวิ หนังชุ่มชนื้ ไมม่ ีเกลด็ มี
รยางค์ 2 คู่ ใชใ้ นการเคล่ือนที่ เท้ามี 5 นวิ้ ปลายนวิ้ ไม่มเี ลบ็ เปน็ สตั วเ์ ลือดเยน็ หัวใจมี 3 หอ้ ง มรี ุจมูก 2 รู มเี ส้นสมอง 10 คู่
เป็นสัตว์แยกเพศ มีการปฏิสนธิภายนอกรา่ งกาย สตั วใ์ นชั้นนีไ้ ด้แก่ กบเขยี น ปาด อึ่งอา่ ง คางคก ซาลามานเดอร์
(Salamander) และงดู ิน (Caecilian)
169
Class Reptilia เปน็ สตั วม์ ีกระดูกสนั หลังกลมุ่ แรกทด่ี ำรงชีวติ ไดด้ บี นบก มบี างชนิดดำรงชีวิตดำรงชีวติ อย่ใู กล้
แหลง่ น้ำหรอื อาศัยอยู่ในน้ำ แต่เวลาวางไข่บนบก ไม่มีเปลือกแขง็ หุ้ม เรียกสตั ว์พวกนว้ี า่ สัตว์เล้ือยคลาน เปน็ สัตวท์ ี่มผี ิวหนัง
หยาบแหง้ ปกคลุมด้วยเกล็ดและกระดอง บางชนดิ มีการลอกคราบ เพื่อการเจรญิ เติบโตหายใจด้วยปอด หวั ใจมี 4 ห้อง มี
เสน้ ประสาทสมอง 12 คู่ เปน็ สัตวเ์ ลือดเย็น เปน็ สตั วแ์ ยกเพศมีการปฏสิ นธิภายในร่างกาย มีรยางค์ 2 คู่ เท้ามี 5 นิว้ ยกเวน้
งไู มม่ ีรยางค์ สตั วใ์ นช้นั น้ี ไดแ้ ก่ งู จงิ้ จก ตกุ๊ แก จงิ้ เหลน จระเข้ เต่า ตะพาบนำ้ ตะกวด และแย้
170
Class Aves เป็นสัตวพ์ วกทีม่ ปี ีกมรี ยางค์ 2 คู่ รยางคค์ ู่หนา้ เปลยี่ นไปเป็นปีกเพื่อใชส้ ำหรับบนิ มีขนแบบเป็น
แผง (Feather) ปากเป็นจะงอย สัตวใ์ นกล่มุ นี้เปน็ สตั ว์เลือดอนุ่ (Homoeothermic animal) มีอุณหภมู ิของร่างกายทคี่ งท่ี
ไมเ่ ปล่ียนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม มีโครงกระดูกแข็งภายในเปน็ โพรง จึงทำใหน้ ้ำหนักตวั เบา มเี ส้นประสาทสมอง 12 คู่
หวั ใจ 4 ห้อง เป็นสตั วแ์ ยกเพศ มกี ารปฏสิ นธิภายในร่างกาย ออกลูกเป็นไข่ สตั ว์ในชน้ั นี้ไดแ้ ก่ นก เป็ด ไก่ ห่าน และหงส์
เป็นตน้
171
Class Mammalia เปน็ สัตวเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยน้ำนม มีลักษณะท่ีสำคัญคือมตี ่อมนำ้ นมสำหรับเลยี้ งลูกอ่อน มี
ตอ่ มเหงื่อและตอ่ มไขมันอยูใ่ ต้ผวิ ลำตัวปกคลมุ ด้วยขน (Hair) บางชนดิ มขี นมาก บางชนิดมีขนน้อย ตามเี ปลอื กตาและมใี บ
หทู ่อี อ่ นน่ิม ฟันมี 2 ชดุ ชุดแรกฟันนำ้ นม ชุดทสี่ องเปน็ ฟันแท้ รยางคม์ ี 2 คู่ มีการเปลย่ี นแปลงรูปรา่ งเพื่อใหเ้ หมาะสมเปน็
สัตวเ์ ลอื ดอุน่ กบั การเคลื่อนท่ี หัวใจมี 4 ห้อง ระบบหมุนเวียนโลหติ เป็นระบบแบบปดิ เมด็ เลือดแดงเมื่อเจรญิ เตม็ ทจี่ ะไม่มี
นิวเคลยี ส สมองมขี นาดใหญ่ มีเสน้ ประสาท 12 คู่ เป็นสตั ว์เลือดอุ่น หายใจดว้ ยปอด มีไตเป็นอวยั วะขบั ถ่ายของเสียท่เี ปน็
ของเหลว เป็นสตั วแ์ ยกเพศ ปฎิสนธภิ ายในรา่ งกายตัวออ่ นเจรญิ ในมดลกู เป็นสว่ นใหญใ่ นช้ันนี้แบ่งออกได้ 2 ซับคลาสดังนี้
Subclass 1 Prototheria เป็นสตั วท์ ่เี ลยี้ งลูกดว้ ยนำ้ นมทอี่ อกลูกเปน็ ไข่ มี 1 อนั ดับคอื อันดับโมโนทรมี าตา (Order
Monotremata) ต่อมน้ำนมกระจายอยู่เต็มหน้าท้อง เม่ือตัวอ่อนฟกั ตวั ออกไขจ่ ะเลียน้ำนมที่ไหลออกมาตามขนทหี่ นา้ ท้อง
ได้แก่ ตนุ่ ปากเป็ด (Duck billed platypus) และตัวกนิ มด (Spiny anteater)
172
Subclass 2 Theria เปน็ สัตวท์ ีเ่ ลี้ยงลกู ดว้ ยน้ำนมที่ออกลูกเป็นตัว จำแนกออกได้ 2 อนิ ฟรา
คลาส (Infra-class) ดังน้ี
Infra-class 1 Metatheria เป็นสัตว์ทเ่ี ล้ียงลูกดว้ ยน้ำนมท่อี อกลกุ เปน็ ตวั และมีถงุ หน้า
ท้อง ตวั อ่อนของสตั ว์ในกลุ่มนเ้ี จริญในมดลุกในช่วงระยะเวลาส้ัน แลว้ ย้ายมาอยู่ในถุงหนา้ ทอ้ งดดู กนิ น้ำนมจากแม่มี 1
อันดบั คือ อันดบั มารซ์ เู พยี เลีย (Order Marsupialia) ไดแ้ ก่ จ้ิงโจ้ (Kangaroo) โอพอสซมั (Opossum) วอมแบต
(Wombat) และหมีอะโคลา (Koala bear)
173
เปรยี บเทยี บโครงสร้างสำหรับการสืบพนั ธข์ุ อง Marsupial และ Placental
Infraclass 2 Eutheria เปน็ สัตว์เล้ยี งลูกดว้ ยนำ้ นมทอ่ี อกลูกเปน็ ตัว และมกี ารสรา้ งรกเพ่ือ
เชือ่ มโยงระหวา่ งตวั อ่อน ตัวออ่ นจะได้รบั สารอาหารจากออกซิเจนตลอดจนขบั ถ่ายของเสยี ผ่านทางสายรกน้ี สัตว์พวกนี้
ได้แก่ กระรอก กระตา่ ย ปลาวาฬ ปลาโลมา ค้างคาว ชา้ ง มา้ วัว ควาย แมว เสอื ลิง และ คน เป็นตน้ ซ่ึงจำแนกได้หลาย
อนั ดับ และอันดบั ท่ปี ระกอบด้วยสัตว์เลยี้ งลกู ดว้ ยนำ้ นมทมี่ ีววิ ัฒนาการสงู สดุ คอื อนั ดับไพรเมต (Order Primate) ซึง่ มี
ลกั ษณะสำคญั ทสี่ ดุ คือ มรี ยางคค์ ู่หน้าเปลี่ยนไปเปน็ แขน มี 5 นิว้ สามารถงอฝามอื ได้ ทำให้สามารถ จบั ยึดส่ิงของได้ดี
ไดแ้ ก่ ลงิ ชะนี ลิงอรุ ังอุตัง ลงิ กอรลิ า และคน
174
Mammal Phylogeny
175
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ า ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 1 ความหลากหลายทางชวี ภาพ
ชื่อ ............................................ นามสกุล....................................... ชั้น ................. เลขที่ ................
แบบฝึกหดั เร่ือง สตั ว์มีกระดกู สนั หลัง
1. จงเติมข้อมูลในชอ่ งว่างให้ถูกตอ้ ง (1 คะแนน)
2. 2. จงเตมิ คำหรือขีดเสน้ ใต้คำตอบให้ถูกต้อง (1 คะแนน)
2.1) สมาชิกของ phylum Chordata ทงั้ หมดเรียกว่า ................................................................................
2.2) ลกั ษณะสำคญั ของ phylum Chordata คอื มี notochord หรอื ……………………………………………... ,
........................................……………..... , .... และ…………………………………………………………………....
2.3) เส้นประสาทจะอยูบ่ รเิ วณ ....ดา้ นหนา้ / ดา้ นหลัง .......ของรา่ งกาย (ขดี เส้นใตค้ ำตอบ)
2.4) สง่ิ มชี วี ติ ใน phylum Chordata สว่ นใหญม่ ี notochord เม่อื โตเต็มวัยเทา่ น้นั ( ถูก / ผดิ )
2.5) สัตวใ์ น phylum Chordata บางชนดิ จะพฒั นาช่องเหงือกให้เปน็ อวัยวะแลกเปล่ียนออกซิเจนได้ เชน่
………………………………………………………………….…..... และ ....................................................................
2.6) โครงสร้างค้ำจุนที่อย่ทู างด้านหลัง ใต้ระบบประสาทส่วนกลาง แตอ่ ยูเ่ หนือทางเดินอาหาร ของสตั วม์ ี
กระดกู สันหลงั เรียกว่า ..........................................................................................................................
2.7) สิง่ มีชีวิตใน phylum Chordata สว่ นใหญ่ notochord จะเปลีย่ นเป็น.................................................
เมือ่ โตเต็มวัย
2.8) กระดูกสนั หลงั ของสัตวม์ ีกระดูกสนั หลังเปน็ สว่ นหนึ่งของ ..............................................................……..
2.9) กลุม่ สัตวม์ กี ระดูกสันหลังกลมุ่ ใดทมี่ คี วามเก่ียวข้องมากท่ีสดุ กับนก.........................................................
2.10) สัตว์ใน phylum Chordata 2 กลุม่ ทไี่ มม่ กี ระดูกสันหลัง คอื เพรยี งหัวหอม และ แหลนทะเล
2.11) เพรยี งหวั หอม อยู่ใน subphylum ………………………………………………………………………………………….
176
เอกสารประกอบการเรียน วิชา ความหลากหลายทางชีวภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 1 ความหลากหลายทางชีวภาพ
2.12) แหลนทะเล อยู่ใน subphylum ……………………………………………………………………………………………..
2.13) ความแตกต่างระหว่างแหลนทะเลและเพรียงหวั หอมเมือ่ โตเต็มวัย คอื …………… และ …………….....
2.14) แหลนทะเลใช้คอหอยในการ ................................................................................................................
2.15) แหลนทะเลมรี ะบบหมุนเวียนเลอื ดแบบ ..............................................................................................
2.16) แหลนทะเลมหี ัวใจท่ีแท้จรงิ .......ใช่/ไมใ่ ช่.............(ขีดเสน้ ใต้คำตอบ)
3. 3. จงนำคำตอ่ ไปนไ้ี ปเติมในช่องว่างใหถ้ ูกต้อง (1 คะแนน)
a.) Notochord b.) Tail c.) Pharyngeal pouch d.) Hollow nerve cord
3.1) …………… เช่อื มตอ่ ประสาทเขา้ กับอวัยวะภายในกลา้ มเนอ้ื และอวัยวะรบั ความรสู้ ึก
3.2) …………… แทง่ คำ้ ยนั แบบยาวต้ังอยูใ่ ตเ้ ส้นประสาท
3.3) ......…….. พบไดใ้ นบริเวณลำคอ
3.4) ..…….….. เปน็ อวยั วะทม่ี ีกระดูกและกล้ามเนื้ออยู่ด้านทา้ ยของร่างกาย
177
เอกสารประกอบการเรียน วิชา ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 1 ความหลากหลายทางชวี ภาพ
ช่อื ............................................ นามสกลุ ....................................... ช้ัน ................. เลขที่ ................
แบบฝกึ หัด เรือ่ ง สตั วค์ รึง่ บกครึ่งน้ำและสตั ว์เล้อื ยคลาน
คำส่ัง : จงเตมิ ข้อมูลในช่องว่างให้ถกู ตอ้ ง (3 คะแนน)
1. ปลาทกุ ชนิดมีลักษณะสำคัญสองประการทเ่ี หมือนกนั :เหงอื กดูดซบั กา๊ ซออกซเิ จนจากนำ้ และครบี คู่ที่ชว่ ยในการวา่ ยน้ำ
2. Hagfish และ lampreys ไมม่ ขี ากรรไกรและอยู่ในกลมุ่ ที่เรยี กว่าปลา ............................................................................
3. ฉลามเปน็ ปลาในกลมุ่ ............................................................................................................................. ..........................
4. ปลาทีไมม่ ีขากรรไกรส่วนใหญ่จะเป็น................................................................................................................................
5. ปลาทนู ่า, ปลาแมคเคอเรล, และอีกหลายพันชนดิ มีกระดูกและอยใู่ นกลุม่ .......................................................................
6. กบคางคกและซาลาแมนเดอรอ์ ยใู่ นกลุ่ม...........................................................................................................................
7. ในวงจรชีวิตของกบ จะมีการ...........................................……เพือ่ เปลีย่ นโครงสรา้ งร่างกายใหเ้ หมาะสมกบั การดำรงชีวติ
8. สตั ว์คร่งึ บกครงึ่ น้ำพัฒนาปอด และ ............................................. และอาศยั อยู่บนบก แต่อยใู่ กลน้ ำ้
9. สตั ว์คร่ึงบกครึ่งนำ้ วางไขใ่ น......................ไขเ่ หลา่ นไ้ี ม่มีแผ่นปิดป้องกนั ทแ่ี ข็งหรอื ...................................................……..
10. ผิวของสัตว์ครึ่งบกครึง่ นำ้ จะ.................................... ผวิ ของสัตวเ์ ลื้อยคลานจะ .............................................................
11. กิ้งกา่ งู เต่าและ................ เป็นสตั วเ์ ลื้อยคลาน ……………….
12. ตามแนวคิดววิ ัฒนาการ เช่อื ว่า สตั วเ์ ลอ้ื ยคลานววิ ฒั นาการเปน็ .....................................................................................
13. สัตว์เลื้อยคลานส่วนใหญ่มีหัวใจสามหอ้ งเหมือนกลมุ่ ..................................................................................………………..
14. สัตวเ์ ลื้อยคลานมี ........................................................................ ตลอดชวี ิตไมเ่ หมอื นสตั วค์ รึง่ บกคร่ึงนำ้
15. สัตวเ์ ลื้อยคลานส่วนใหญว่ างไข่ท่ีเต็มไปด้วยเมอื กหุม้ เปลือก แตส่ ัตวค์ รงึ่ บกครง่ึ นำ้ จะม.ี ........................หมุ้ แทนเปลือก
178
เอกสารประกอบการเรยี น วิชา ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทท่ี 2 ระบบนเิ วศ
บทท่ี 2
ระบบนิเวศ (Ecosystem)
รายละเอียดเนือ้ หา
2.1 ความหมาย องคป์ ระกอบ และประเภทของระบบนิเวศ
2.2 ชีวมณฑล (Biome)
2.3 นเิ วศวทิ ยาของกลุ่มส่งิ มีชีวิต
2.3.1 องค์ประกอบของกลุ่มสง่ิ มีชีวิตและดัชนีความหลากหลายของส่ิงมชี วี ติ
2.3.2 ปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างสิง่ มีชวี ิต
2.1 ความหมายและขอบเขตของนเิ วศวทิ ยา
Ernst Haeckel นักสัตววิทยาชาวเยอรมันได้ให้ชื่อศาสตร์แขนงนี้ว่า “Ecology” คำนี้มีรากศัพท์มาจาก
ภาษากรีก คือ oikos แปลว่า home และ logos แปลว่า study ถ้าแปรตรงคำก็จะได้ความว่า “The study of
home” ซง่ึ ตาม นยิ ามท่ี Haeckel ให้ไวน้ ้ัน หมายถึง
“ the body of knowledge concerning the economy of nature – the investigation of the
total relationships of the animal both to its inorganic and its organic environments.”
หรือ “การศึกษาเก่ียวกับโครงสร้างส่วนประกอบและการทำงานของระบบนิเวศ (The study of
structure and function of the ecosystem)” (ท่ีมา : หลักชีววิทยา 1. (2548), ภาควิชาชีววิทยา คณะ
วิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร)์
179
180
Ernst Haeckel
ท่มี า https://en.wikipedia.org/wiki/Ernst_Haeckel
นิเวศวิทยา (Ecology) เป็นวิชาที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิต (organisms) กับส่ิงแวดล้อม
(environment) หรือแหล่งท่ีอยู่ (Habitat) ตามธรรมชาติ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ จะแสดงถึงการมีระบบ จึงเรียก
ระบบนิเวศ ซึง่ ระบบความสัมพนั ธ์ส่วนใหญ่จะเก่ียวข้องกับวิถกี ารดำรงชวี ติ เช่น การหาอาหาร การกนิ อาหาร การ
แข่งขันเพื่อการอยู่รอด การปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม การพ่ึงพากันเพื่อให้สังคมเป็นปกติและท่ีสำคัญ
ท่สี ุด คือ ระบบการรักษาสมดุลระหว่างสิง่ มีชีวติ ในระบบนิเวศในแง่ของการถ่ายทอดพลังงานการหมนุ เวยี นสารใน
ระบบนิเวศ
การศึกษานิเวศวิทยา สามารถศึกษาได้ต้ังแต่ในระดับสิ่งมีชีวิต (Organisms) ถัดไปเป็นระดับประชากร
(Population) ระดับกลุ่มส่ิงมีชีวิต (Community) ระดบั ระบบนเิ วศ (Ecosystem) ระดับชีวนิเวศ (Biomes) และ
ระดับ โลกของสง่ิ มชี ีวติ หรือ ชีวภาค (Biosphere)
181
(Organisms)
การศกึ ษาเกีย่ วกบั นเิ วศวทิ ยา
ท่ีมา https://slideplayer.com/slide/3302768/
ประชากร (Population) คือ สมาชิกท้ังหมดของส่ิงมีชีวิตชนิดพันธุ์ (Species) เดียวกัน ท่ีอาศัยอยู่ใน
บริเวณเดยี วกนั และในช่วงเวลาเดียวกนั
ชุมชนส่ิงมีชีวิต (Ecological community) หมายถึง ประชากรของส่ิงมีชีวิตหลายชนิดท่ีอยู่ในบริเวณ
เดียวกัน และในช่วงเวลาเดียวกัน
ระบบนิเวศ หมายถึง ผลรวมของปฏิสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตท้ังหมดในบริเวณที่กำหนดได้เขตหนึ่งกับปัจจัย
สิ่งแวดลอ้ มท้ังหลาย หรอื ระบบของความสมั พนั ธ์ระหว่างชมุ ชนของส่ิงมีชวี ติ และสง่ิ แวดล้อมทางกายภาพ
ชีวนิเวศ (Biomes) หมายถึง ระบบนิเวศใดก็ตามท่ีมีองค์ประกอบของปัจจัยทางกายภาพ (Physical
factor) อณุ หภูมิ ความชื้น และปัจจัยทางชีวภาพ (Biological factor) เชน่ พืชและสัตว์ทค่ี ลา้ ยคลงึ กันกระจายตัว
อยู่ในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ กัน เช่น ไบโอมทะเลทราย ไบโอมทุนดรา และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในไบโอมต่าง ๆ น้ี
จะต้องมกี ารปรับตัวใหเ้ ข้ากับปจั จัยทางกายภาพในแต่ละเขตภูมศิ าสตร์น้ัน ๆ ดว้ ย
182
2.2 ชีวมณฑล (Biome)
ชีวนเิ วศ (Biomes)
ทมี่ า https://sites.google.com/site/terrestrialbiomes22235144/
2.2.1 ไบโอมบนบก (Terrestrial biomes) ใช้เกณฑ์ปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิเป็นตัวกำหนด
แบง่ เปน็ 7 ไบโอม ได้แก่
ไบโอมบนบก (Terrestrial biomes)
183
ทีม่ า https://nayada526932910.wordpress.com/
1. ไบโอมป่าดิบชื้น (Tropical rain forest biomes) พบได้ในเขตศูนย์สูตร มีความหลากหลายของ
สงิ่ มชี วี ิตสูง ภูมิอากาศร้อนชืน้ ปริมาณน้ำฝนเฉลีย่ 200-400 ซม.ต่อปี
2. ไบโอมป่าผลัดใบเขตอบอุ่น (Temperate deciduous forest biomes) กระจายทั่วไปในเขตละติจูด
กลาง ปริมาณนำ้ ฝนเฉลย่ี 100 ซม.ต่อปี อากาศเยน็ ป่าผลัดใบก่อนถึงฤดหู นาว
3. ไบโอมป่าสน (Conoferous forest biomes) ป่าไทกา ป่าบอเรียล ต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี ภูมิอากาศ
หนาวค่อนข้างนาน อากาศเย็นและแห้งแล้ง พบได้ทางตอนใต้ของแคนนาดา ทางตอนเหนือของอเมรกิ าเหนือ ทวีป
เอเชยี และยุโรป
4. ไบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น (Temperate grassland biomes) เช่น ทุ่งหญ้าแพรี่ ทางตอนกลางของ
อเมริกาเหนือ ทุ่งหญ้าสเตปส์ในประเทศรัสเซีย ทุ่งหญ้าเวลด์ในทวีปอเมริกาใต้ ทุ่งหญ้าแพมพาสในอาร์เจนตินา
ปริมาณนำ้ ฝนเฉลย่ี 25-50 ซม.ต่อปี
5. ไบโอมสะวันนา (Savanna biomes) ทุ่งหญ้าที่พบได้ในทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย เอเชีย
ตะวนั ออกเฉียงใต้ อากาศร้อนพชื ส่วนใหญ่เปน็ หญ้า
6. ไบโอมทะเลทราย (Desert biomes) บริเวณที่มีความแห้งแล้ง ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 25 ซม.ต่อปี
อุณหภมู ิ เหนอื ผิวดนิ สงู ถึง 60 องศาเซลเซยี ส ตลอดวนั
7. ไบโอมทุนดรา (Tundra biomes) มีฤดูหนาวท่ียาวนาน น้ำในพื้นดินชั้นล่างเป็นน้ำแข็งตลอดปี
ปรมิ าณนำ้ ฝนน้อยมาก
2.2.2 ไบโอมในน้ำ (Aquatic biomes)
1. ไบโอมแหล่งน้ำจืด (Freshwater biomes) มีท้ังแหล่งน้ำนิ่ง (ทะเลสาบ สระ หนอง หรือบึง) และ
แหล่งน้ำไหล (ธารน้ำไหล และแมน่ ำ้ )
2. ไบโอมแหล่งน้ำเค็ม (Marine biomes) ประกอบด้วย ทะเลและมหาสมุทร มีน้ำข้ึนน้ำลงเป็นปัจจัย
กายภาพทสี่ ำคญั
สงิ่ มีชวี ิตในระบบแหล่งน้ำ แบง่ เปน็ ประเภทต่าง ๆ ดงั น้ี
1. Benthos เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกาะหรือฝังตัวอยู่บริเวณพื้นท้องน้ำ ถ้าเป็นพืชเรียกว่า Phytobenthos ถ้า
เปน็ สตั ว์ เรียกว่า Zoobenthos
2. Periphyton เปน็ ส่ิงมีชวี ติ ท่เี กาะอยู่กับวัตถใุ นน้ำ
184
3. Plankton เป็นสิ่งมีชีวิตท่ีลอยตัวอยู่ในน้ำหรือลอยตามกระแสน้ำ มักจะว่ายน้ำได้ไม่คอยดี มีท้ัง
Phytoplankton และ Zooplankton
4. Nekton เป็นสง่ิ มชี ีวิตทวี่ ่ายน้ำอิสระ
5. Pleuston เป็นส่ิงมีชีวิตขนาดใหญ่ทอี่ าศยั อยู่ระหว่างรอยต่อของผวิ หน้าน้ำกับอากาศ
Zones of a lake
ทีม่ า https://www.scimath.org/lesson-biology/item/7040-2017-05-22-14-49-08
2.3 นิเวศวิทยาของสิ่งมีชวี ิต
จากความหลากหลายของระบบนิเวศบริเวณต่าง ๆ ของผิวโลก มีการแบ่งเขตพ้ืนท่ีต่าง ๆ ตามลักษณะ
ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งความแตกต่างของลักษณะทางภูมิศาสตร์ จะมีผลต่อการกำหนดลักษณะของส่ิงมีชีวิตท่ีอาศัยอยู่
ในเขตภูมิศาสตรน์ ั้นด้วย โดยในระบบนิเวศหนึ่ง ๆ จะมีส่ิงมีชีวิตชนิดต่าง ๆ อาศัยอยู่ สิ่งมีชีวิตท่ีอาศัยอยู่ในระบบ
นิเวศน้ันต้องมีการปรับตัว (Adaptation) ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางกายภาพและชีวภาพ ระบบนิเวศน้ันจะอยู่
ในสภาวะสมดุลก็ต่อเม่ือมีการถ่ายทอดพลังงานในส่ิงมีชีวิต และมีการหมุนเวียนแลกเปล่ียนสารกลับคืนสู่ระบบ
นเิ วศ
185
การปรับตัวของนกฮูก
ท่มี า https://sites.google.com/a/arrsd.org/eastern-screech-owl-project/home/adaptations?scrlybrkr=81bc75f9
การปรบั ตัวของบเี วอร์
ทมี่ า https://www.exploringnature.org/db/view/Adaptations-of-the-Beaver
186
การปรับตวั ของจิงโจ้
ที่มา https://www.exploringnature.org/db/view/Adaptations-of-the-Kangaroo-Rat
ระบบนิเวศแต่ละระบบเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของส่ิงมีชีวิตมากมายหลายชนิด โดยมีสภาวะท่ีเหมาะสมกับ
สง่ิ มชี วี ิตแตล่ ะชนดิ โดยที่ระบบนิเวศจะมคี วามหลากหลายที่สามารถแยกออกได้ 3 ลักษณะ คือ
1. ความหลากหลายของถ่นิ กำเนดิ ตามธรรมชาติ (habitat diversity)
ตัวอย่างความหลากหลายของถ่ินกำเนิดตามธรรมชาติ เช่น ในผืนป่าทางตะวันตกของไทยที่มีลำน้ำใหญ่
ไหลผ่าน จะพบถ่ินกำเนิดตามธรรมชาติมากมายคือ ลำน้ำ หาดทราย พรุซึ่งมีน้ำขัง ฝ่ังน้ำ หน้า ผา ถ้ำ ป่าบนที่
ดอนซ่ึงมีหลายประเภท แต่ละถิ่นกำเนิดจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่แตกต่างกันไป เช่น ลำน้ำพบควายป่า หาด ทรายมี
นกยูงไทย หน้าผามีเลียงผา ถ้ำมีค้างคาว เป็นต้น เมื่อแม่น้ำใหญ่ถูกเปล่ียนเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ภายหลังการ
สร้างเข่ือนความหลากหลายของถิ่นกำเนิดกล็ ดน้อยลง โดยทั่วไปแล้วที่ใดที่มีถ่ินกำเนิดตามธรรมชาติหลากหลายที่
นน้ั จะมี ชนดิ สิ่งมีชวี ติ หลากหลายตามไปด้วย
187
ความหลากหลายของถนิ่ กำเนิดตามธรรมชาติ (habitat diversity)
ท่มี า https://socratic.org/questions/what-are-factors-that-may-affect-diversity-levels-in-a-given-community
2. ความหลากหลายของการทดแทน (successional diversity)
ในป่านัน้ มีการทดแทนของสังคมพืชกล่าวคอื เมื่อป่าถูกทำลายจะโดยวธิ ีใดกต็ าม เช่น ถูกแผ้วถาง พายุพัด
ไม้ป่าหักโค่น เกิดไฟป่า น้ำท่วม หรือแผ่นดินถล่ม เกิดเป็นที่โล่ง ต่อมาจะมีพืชขึ้นใหม่ เรียกว่า พืชเบิกนำ เช่น มี
หญ้าคา สาบเสือ กล้วยป่า และเถาวัลย์เกิดขึ้นในที่โล่งน้ี เม่ือกาลเวลาผ่านไปก็มีต้นไม้เนื้ออ่อนโตเร็วเกิดข้ึน และ
หากปล่อยไว้โดยไม่มีการรบกวน ป่าด้ังเดิมก็จะกลับมาอีกคร้ังเราเรียกกระบวนการนี้ว่า การทดแทนทาง
นิเวศวิทยา (ecological succession) ส่ิงมีชีวิตบางชนิดปรับตัวให้เข้ากับยุคต้น ๆ ของการทดแทน บางชนิดก็
ปรบั ตวั ใหเ้ ข้ากบั ยุคสดุ ท้ายซ่ึงป่าบริสทุ ธิ์ (virgin forest)
188
ทมี่ า https://www.britannica.com/science/ecological-succession
ทม่ี า https://www.britannica.com/science/secondary-succession
3. ความหลากหลายของภมู ปิ ระเทศ (land scape diversity)
ในท้องท่ีบางแห่งมีถ่ินกำเนิดตามธรรมชาติมากมาย เช่น ลำน้ำ บึง หาดทราย ถ้ำ หน้าผา ภูเขา ลานหิน
และมีสังคมพืชในหลายๆ ยุคของการทดแทน มีทุ่งหญ้าป่าโปร่งและป่าทึบ พ้ืนท่ีเช่นน้ีจะมีสรรพส่ิงมีชีวิตมากมาย
ผิดกบั เมอื งหนาวทมี่ ตี น้ ไมช้ นิดเดยี วขนึ้ อยู่บนเนอ้ื ที่หลายร้อยไร่ มองไปกเ็ จอต้นไม้สนเพียงชนิดเดยี ว
189
นเิ วศวิทยาของสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชวี ิตที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศหน่ึงๆ ย่อมมีความสัมพันธ์ซึ่งกนั และกนั ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันเองและ
ระหว่างสิง่ มีชีวิตกบั สภาพแวดล้อมที่ส่ิงมีชวี ิตนั้นอาศยั อยู่
2.3.1 การปรับตวั ของสิ่งมชี ีวิต (Adaptation)
คุณลักษณะท่ีช่วยในการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในสภาวะแวดล้อมหน่ึง ๆ จนสามารถสืบพันธุ์และถ่ายทอด
ลักษณะท่ีเหมาะสมนั้น ต่อไปยังรุ่นลูกหลานได้ เรียกว่า “การปรับตัว” อาจจะเป็นการปรับตัวด้านสัณฐานวิทยา
ดา้ นสรรี วทิ ยา และดา้ นพฤติกรรม
สภาวะแวดล้อมทางกายภาพมีผลต่อการดำรงชีวิต การเจรญิ เติบโต และการแพร่กระจายของส่ิงมีชีวิตซ่ึง
ปัจจัยเหล่าน้มี ี อิทธพิ ลต่อสิ่งมีชวี ิตแต่ละชนิดไม่เท่ากัน ถ้าปัจจยั ใดขาดไปแล้วทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงชีพอยู่ไม่ไดถ้ ือว่า
เป็น ปจั จัยจำกดั (Limiting factor) ของสงิ่ มีชวี ติ นนั้ ๆ
ปจั จัยส่ิงแวดลอ้ มท่ีมผี ลต่อการปรบั ตัวของสิ่งมีชีวิต
1. ตัวกลางและพื้นผวิ (Medium และ Substratum)
พ้ืนผิวคือท่ีที่ส่ิงมีชีวิตอาศัยเคลื่อนท่ีไปมาอยู่บนหรือฝังส่วนหน่ึงส่วนใดของร่างกายลงไป พืชหลายชนิดมี
การปรับตัวเพ่ือใช้พื้นผิวที่มันอาศัยอยู่ได้ดี เช่น รากค้ำจุนของพืชในป่าชายเลน ความสามารถและขีดจำกัดในการ
190
ปรับตัวของสิ่งมีชีวิตต่อพื้นผิวและตัวกลางแบบต่าง ๆ จะเป็นปัจจัยกำหนดการกระจายและวิถีการดำรงชีวิตของ
สง่ิ มชี วี ิตแตล่ ะชนดิ เป็นเหตุหนึง่ ที่ทำให้ในท่ีตา่ ง ๆ มีสิ่งมีชีวติ ตา่ งชนดิ กันอาศัยอยู่
2. อุณหภมู ิ
เป็นปัจจัยจำกัดซึ่งมีผลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนบกและในน้ำ โดยพบว่า มีผลต่อการปรบั ตัว
ด้านโครงสร้าง เช่น สัตว์ในเขตหนาวมีขนยาวปกคลุม การปรับตัวด้านพฤติกรรม เช่น การอพยพย้ายถิ่นของนก
ชนิดต่าง ๆ เมื่ออุณหภูมิไม่เหมาะสม มีผลต่อการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิต มีผลต่อปริมาณการละลายของแก๊ส
ออกซเิ จนในน้ำ
สัตว์ที่ภายในร่างกายไม่มีระบบควบคุมอุณหภูมิ เรียกว่า Poikilotherms คืออุณหภูมิของร่างกายจะ
เปล่ียนแปลงตามอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม ส่วนสัตว์ที่มีกลไกในร่างกายทำงานเพ่ือควบคุมระดับอุณหภูมิในตัวให้
คงท่ีอยู่เสมอแมอ้ ณุ หภูมิสิ่งแวดล้อมจะเปลีย่ น เรยี กว่า Homoiotherms
191
3. แสง
ท่มี า http://upload.wikimedia.org/wikimedia/commons/d/db/Photosynthesis.gif
แสงเป็นปัจจัยจำกัดของพืช มีผลต่อการสืบพันธุ์ของพืชและสัตว์บางชนิด มีผลต่อพฤติกรรมต่าง ๆ และมี
ผลต่อการปรับสีของสัตว์บางชนิดให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เช่น จิ้งจก หมึก นอกจากน้ันแสงยังมีอิทธิพลมากต่อ
การมชี ีวิต ตั้งแต่การสร้างอาหารของพชื ในทะเลลึกมาก ๆ ท่ีแสงส่องไมถ่ ึงพืชหรอื สาหร่ายไม่สามารถดำรงชีวติ อยู่
ได้ ดงั น้ันสัตว์ทอ่ี าศยั ตามกน้ ทะเล จึงมักจะเป็นพวกสตั ว์ล่าเหย่ือหรอื พวกกินซากท่ีตายแล้ว ทตี่ กลงไปก้นทะเล
4. ความช้ืน
ความช้ืนสัมพันธ์กับปริมาณน้ำฝนท่ีตกมาบนพื้นโลก เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต เช่น พืชในฝ่ัง
รบั ลมซ่ึงพัดพาความชื้นเข้าไปหาจะเจริญงอกงามดี แต่พืชด้านอับลมหรือทะเลทรายก็ต้องมีการปรับตัวเพ่ือให้ทน
ต่อสภาพขาดน้ำได้ หรือแม้แต่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายก็ต้องปรับตัว เช่น สามารถดึงน้ำจากกระบวนการ
Metabolism ของร่างกายมาใช้ หรอื การเปลย่ี นของเสียจากระบบขับถา่ ยเปน็ Uric acid เพ่อื รกั ษาน้ำ
5. แก๊ส/บรรยากาศ
ในบรรยากาศมีแก๊สที่เป็นองค์ประกอบหลัก 3 ชนิด คือ แก๊สไนโตรเจน แก๊สออกซิเจนและแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์โดย แก๊สออกซิเจนมีความสำคัญกับการหายใจของสิ่งมีชีวิต แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มี
ความสำคัญในกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของสิ่งมชี ีวิตหลายๆ ชนิด เชน่ ต้นไม้ สาหรา่ ย สว่ นแก๊สไนโตรเจนก็
เปน็ องคป์ ระกอบเนือ้ เย่ือของสิ่งมีชวี ิต ท่มี ีองคป์ ระกอบหลกั เป็นสารพวกโปรตนี หรอื แม้แต่ในสารพนั ธกุ รรม
192
6. ดนิ
ดนิ เป็นปัจจยั จำกัดที่สง่ิ มีชีวิตใชเ้ ป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร แหล่งหลบภยั แหลง่ ผสมพันธ์ุ และเลี้ยงดูลูก
อ่อน
7. ปริมาณแร่ธาตุ
แร่ธาตุมีความสำคัญต่อส่ิงมีชีวิตท้ังบนบกและในน้ำ เนื่องจากส่ิงมีชีวิตที่มีบทบาทเป็นผู้ผลิตในระบบ
นิเวศจะใช้แรธ่ าตใุ นการเจริญเติบโต และสร้างอาหารให้กับผู้บริโภคลำดับถัดไป และบางคร้ังแร่ธาตุท่ีมากเกินไปก็
มีผลให้เกิดปญั หาตอ่ ระบบนิเวศได้ นั่นคือ ปรากฏการณ์ Eutrophication ส่งผลใหน้ ้ำเน่าเสีย
193
8. ปัจจยั อืน่ ๆ เช่น
- ความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของดินและน้ำ มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยตรงเพราะพืชแต่ละชนิด
เจรญิ ในบรเิ วณทีค่ า่ pH แตกต่างกนั
- ความเค็มเป็นปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตบางชนิด ที่ทนต่อความเค็มได้ เช่น นก
ทะเลมตี ่อมขบั เกลือ พชื ในป่าชายเลน
2.3.2 ความสัมพนั ธ์ระหว่างส่งิ มีชีวติ กับปัจจัยชวี ภาพ
ในระบบนิเวศแต่ละแห่งประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด มีการดำรงชีวิตแตกต่างกัน ส่ิงมีชีวิต
ด้วยกันในหลายรูปแบบ โดยใช้สัญลักษณ์ (+) แทนการได้ประโยชน์ (-) แทนการเสียประโยชน์ และ (0) แทนการ
ไมไ่ ดแ้ ละไมเ่ สียประโยชน์ แบง่ ออกได้ 4 ประเภท คือ
1. Symbiosis เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดท่ีอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยฝ่ายหนึ่งหรือท้ังสองฝ่าย
ได้ประโยชน์ แตไ่ ม่มฝี า่ ยใดเสียประโยชน์ แบ่งย่อยได้ดังน้ี
- Mutualism/ภาวะพึ่งพากัน (+/+) อยู่ร่วมกันได้ประโยชน์ แยกกันเสียประโยชน์ ฝ่ายใดฝ่าย
หนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายอยู่ไม่ได้ เช่น ไลเคน (Lichen) แบคทีเรยี ในลำไส้มนุษย์ ปลวกกับโปรโตซัวในลำไส้ ลูกไทรกับ
ต่อไทร
194
A BC
A ลูกไทรกับตอ่ ไทร ท่ีมา http://oknation.nationtv.tv/blog/nakriang/2011/08/28/entry-1
B โปรโตซัวในลำไส้ปลวก ที่มา http://web.pattani2.org/activity/newsfile/158/1435908188.pdf
C ไลเคน (รากบั สาหรา่ ย) ทีม่ า http://biology.ipst.ac.th/?p=915
- Protocooperation /การได้ประโยชน์รว่ มกนั (+/+) อย่รู ่วมกันไดป้ ระโยชน์ แยกกนั กอ็ ยูไ่ ด้
เชน่ นกเอี้ยงกบั ควาย มดดำกับเพลี้ย ดอกไมก้ ับแมลง
ท่มี า https://www.quora.com/What-is-protocooperation
- Commensalism/ ภาวะอิงอาศยั หรือภาวะเกื้อกลู (+/0) อยรู่ ว่ มกันฝ่ายหน่ึงได้ประโยชน์ อกี
ฝ่ายไม่ได้ไม่เสียประโยชน์ แยกกันฝา่ ยที่ได้ประโยชน์จะเสียประโยชน์ เชน่ ฉลามกับเหาฉลาม พชื เกาะติดบนต้นไม้
ใหญ่
195
AB
CD
A ปลาการต์ ูนกับดอกไม้ทะเล ทม่ี า https://www.encyclopedie-
environnement.org/en/life/symbiosis-and-parasitism/
B เตา่ ทะเลกับเพรยี งหิน ที่มา https://mammothmemory.net/biology/organisms-and-their-
environment/ecosystems-organisms-and-their-environment/commensalism.html
C ฉลามกับเหาฉลาม ที่มา https://th.lifehackk.com/51-commensalism-definition-and-
examples-4114713-7364
D กระแตไต่ไมบ้ นตน้ ไม้ใหญ่ ทมี่ า https://medthai.com/
2. Antagonism เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตสองชนิดท่ีอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยฝ่ายหน่ึงได้ประโยชน์
อีกฝ่ายเสียประโยชน์ หรือเสยี ประโยชน์ท้ังสองฝ่าย แบ่งย่อยไดด้ ังน้ี
- Predation/ การล่าเหยอื่ (+/-) ผู้ล่า (Preda) ได้ประโยชน์ เหยอื่ (Prey) เสียประโยชน์ เช่น
นกกินแมลง กบกินแมลง แมวกนิ หนู
196
ทีม่ า https://ramneetkaur.com/population-interactions-predation/
- Parasitism / ภาวะปรสิต (+/-) ฝ่ายหนง่ึ ได้ประโยชน์ เรยี กว่า ปรสิต (Parasite) อกี ฝ่ายเสยี
ประโยชน์ เรยี กว่า ผู้ถกู อาศัย หรอื เจ้าบ้าน (Host) เช่น เห็บ หมัด พยาธิ
ท่ีมา https://www.encyclopedie-environnement.org/en/life/symbiosis-and-parasitism/
197
ที่มา https://projects.ncsu.edu/cals/course/ent525/close/parasitism.jpg
- Competition / ภาวะแกง่ แย่งแข่งขัน (-/-) เสียประโยชน์ทง้ั สองฝา่ ย
การตอ่ สูข้ องกวาง
ทมี่ า https://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12663214/E12663214.html
- Antibiosis / ภาวะมีการหลั่งสารยับย้ัง (-/0) ฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ อีกฝ่ายไม่ได้ไม่เสีย
ประโยชน์ เช่น ราเพนนิซเิ ลียม สร้างสารปฏิชีวนะตา้ นการเจรญิ ของแบคทีเรยี
198
ราเพนนิซิเลียมกบั แบคทีเรยี
ทมี่ า https://atrium.lib.uoguelph.ca/xmlui/handle/10214/6968
3. Neutralism หรือ ภาวะเป็นกลางต่อกัน (0/0) เป็นส่ิงมีชีวิตสองชนิดที่อยู่บริเวณเดียวกันแต่ไม่มี
ความสัมพันธก์ ันแต่อย่างใด เช่น ตก๊ั แตนกบั กระต่ายในทุ่งหญ้าเดยี วกัน
4. Saprophytism หรือ ภาวะมีการย่อยสลาย (+/0) เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากการอยู่รวมกันระหว่าง
สง่ิ มชี วี ติ อยู่กบั สง่ิ มีชวี ิตที่ตายแลว้ และได้ประโยชนจ์ ากการยอ่ ยสลายสารอาหารในซากสิ่งมชี ีวิต
ทมี่ า https://sites.google.com/site/ssupakittra/ecosystem-1
199
สิ่งมชี ีวิตในระบบนิเวศ มหี น้าท่แี ตกต่างกนั ดังน้ี
1. ผู้ผลิต (producer) เป็นสิ่งมีชีวิตในกลุ่ม autotroph ส่วนใหญ่เป็น พืช สาหร่าย แบคทีเรีย โดยมีท่ีมา
ของพลังงานแตกต่างกันคือ photoautotroph (ใชพ้ ลังงานจากแสงในการสังเคราะห์อาหาร) chemoautotroph
(ใชพ้ ลังงานจากสารเคมใี นการสังเคราะห์อาหาร)
2. ผู้บริโภค (consumer) รับการถ่ายทอดพลังงานต่อจาก producer เป็นส่ิงมีชีวิตกลุ่ม heterotroph
แบง่ ผู้บริโภคตามการกินอาหารได้ดงั นี้
- herbivore = สตั ว์กินพืช จัดเป็น primary consumer ทไ่ี ด้รบั การถา่ ยทอดพลังงานจากพืชโดยตรง
- carnivore = สัตว์ท่ีกินสัตว์อ่ืนเป็นอาหาร โดยท่ีไม่กินพืช ได้รับการถ่ายทอดพลังงานจากผู้ผลิตโดย
ทางอ้อม
- omnivore = สัตว์ท่ีกินทงั้ พชื และสตั ว์เป็นอาหาร ได้รับพลงั งานทง้ั โดยตรงและโดยอ้อม
- scavenger / detritivore = สัตว์ท่ีบริโภคซากพชื และสตั ว์เป็นอาหาร เป็นกลไกทท่ี ำให้ซากอินทรีย์แปร
สภาพไดเ้ รว็ ขึ้น
3. ผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ (decomposer) ส่วนใหญ่ เป็น bacteria และ fungi ดำรงชีวิตเป็น
heterotroph ย่อยอาหารแบบภายนอกเซลล์ (extracellular digestion) ผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์เป็นส่ิงมีชีวิต
ลำดับสดุ ทา้ ยทีไ่ ดร้ บั การถ่ายทอดพลงั งาน
เอกสารประกอบการเรยี น วชิ า ความหลากหลายทางชวี ภาพ (ว30244) 1/2563 บทที่ 2 ระบบนเิ วศ
แบบฝกึ หดั 2.1
เรอ่ื ง ความสมั พนั ธ์ระหว่างสิ่งมชี ีวิต
ตอนที่ 1 คำช้ีแจง: ใหน้ กั เรียนทำเครื่องหมาย ✓ หน้าข้อความที่เปน็ จรงิ และทำเครื่องหมาย หน้าข้อความท่ี
ไม่เป็นจริง (10 คะแนน, ข้อละ 0.67 คะแนน)
……………1. โปรโตซวั ในลำไส้ปลวกเป็นตวั อยา่ งของการอยู่รวมกันแบบภาวะได้ประโยชนร์ ่วมกนั
……………2. ต้นกระบองเพชรเปลีย่ นใบเปน็ หนามเปน็ การปรบั ตวั เพอ่ื ป้องกนั ศัตรู
……………3. นกเอ้ียงกบั ควายมคี วามสัมพันธ์ระหวา่ งสง่ิ มีชีวิตโดยควายใหอ้ าหารแก่นกเอ้ียง นกเอ้ียงแจง้ อันตราย
ตา่ ง ๆ ให้แกค่ วาย
……………4. กงิ้ ก่าปรบั สผี ิวร่างกายเปน็ การปรับตัวเพื่อหลบหลีกศัตรู
……………5. รากับสาหรา่ ยอยูด่ ้วยกนั เรียกวา่ ไลเคน
……………6. ตก๊ั แตนใบไมเ้ ปน็ การปรับตัวแบบชั่วคราว
……………7. สงั คมมนุษยจ์ ะสุขสงบถา้ มนุษยม์ ีความสมั พันธ์กันแบบภาวะพงึ่ พา
……………8. ก้านใบทพ่ี องตัวของผักตบชวาเปน็ การปรบั ตัวด้านโครงสร้าง
……………9. สิ่งมีชวี ติ 2 ชนดิ ท่อี ยูด่ ว้ ยกนั ตลอดไป แยกจากกันไม่ได้ คอื ความสมั พนั ธ์แบบภาวะได้ประโยชน์
รว่ มกัน
……………10. การปรบั ตวั ของจักจนั่ เขาเป็นการปรบั ตัวที่คล้ายกบั การปรบั ตัวของตั๊กแตนก่งิ ไม้
……………11. ฝา่ ยหนงึ่ ได้ประโยชน์อีกฝา่ ยหนึ่งไม่ไดแ้ ละไม่เสียประโยชน์ คือ ความสัมพันธแ์ บบภาวะเกือ้ กลู
……………12. จิง้ จกมกี ารปรับตวั ใหม้ ีสเี หมือนกับพนื้ ท่ีทม่ี ันเกาะอย่เู พื่อการหาอาหาร
……………13. สงั คมของสิ่งมชี วี ติ จะเดอื ดร้อนว่นุ วายถ้ามสี งิ่ มชี วี ิตในโลกของเรานี้มคี วามเปน็ อยแู่ บบภาวะ
ล่าเหยือ่ และภาวะปรสติ
……………14. การมตี อ่ มเหง่ือของสตั ว์เลีย้ งลูกดว้ ยนำ้ นมเป็นการปรบั ตัวเพ่ือหลบหลกี ศัตรู
……………15. ฉลามกบั เหาฉลามมีความสมั พนั ธ์แบบเดยี วกับกลว้ ยไมก้ ับตน้ ไม้ใหญ่
200
ตอนที่ 2 คำชแี้ จง: ใหน้ กั เรียนวิเคราะห์ภาพทก่ี ำหนดให้ ส่ิงมชี วี ิตมคี วามสมั พนั ธใ์ นรูปแบบใด (10 คะแนน)
ภาพ A ภาพ B
ปลวกกนิ ไม้ผุ สนุ ัขกบั หมดั เหบ็
1. สง่ิ มชี วี ติ ในภาพ A มีความสมั พนั ธก์ นั ในรูปแบบใด จงอธบิ าย ()
............................................................................................................................. .......................................................
.............................................................................................................................................. ......................................
............................................................................................. .......................................................................................
2. สงิ่ มชี วี ิตในภาพ B มีความสมั พันธ์กันในรูปแบบใด จงอธิบาย
............................................................................................................. .......................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
.................................................................................................................................. ..................................................
ภาพ D
ภาพ C
ลูกไทรกับต่อไทร ฝอยทองกับตน้ ไม้
201
3. สง่ิ มีชวี ิตในภาพ C มีความสมั พันธก์ นั ในรูปแบบใด จงอธิบาย
............................................................................................................................. .......................................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
4. ส่ิงมีชวี ิตในภาพ D มคี วามสมั พนั ธก์ นั ในรูปแบบใด จงอธิบาย
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................
....................................................................................................................................................................................
ภาพ E ภาพ F
กิ้งก่ากับต๊ักแตน ปเู สฉวนกบั ดอกไม้ทะเล
5. สิ่งมีชวี ติ ในภาพ E มีความสัมพนั ธ์กันในรปู แบบใด จงอธบิ าย
............................................................................................................................. .......................................................
.................................................................................................................................................................... ................
................................................................................................................... .................................................................
6. สิ่งมชี ีวิตในภาพ F มคี วามสมั พันธก์ นั ในรูปแบบใด จงอธิบาย
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................
........................................................................................................................................................ ............................
202