The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระมงคลเทพมุนี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by drmcuschool, 2020-06-30 09:17:06

สติปัฏฐาน4

พระมงคลเทพมุนี

Keywords: ธรรม

6 ตอนท่ี ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา

ตอนที่ ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 7

ในขนั้ สมถภาวนานี้ หลวงพอ วดั ปากน้ำทา นใชอ บุ ายวธิ สี งบใจ ๓ อยา งประกอบกนั คอื

อาโลกกสณิ ๑ อานาปานสติ ๑ และพทุ ธานสุ ติ ๑ ปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนารว มกนั ไป
จงึ เปน พระกมั มฏั ฐานทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ และมอี านภุ าพมาก เพราะอาโลกกสณิ เปน กสณิ กลาง
คอื เมอื่ พระโยคาวจรกำหนดบรกิ รรมนมิ ติ นกึ เหน็ มณฑลกสณิ แสงสวา งได และเพง กสณิ นน้ั
จนถอื เอา “อคุ คหนมิ ติ ” ถงึ “ปฏภิ าคนมิ ติ ” ได ยอ มเหน็ นมิ ติ ตดิ ตาตดิ ใจเปน ดวงกลม
ใสสวา ง สว นผเู พง กสณิ อน่ื อกี ทง้ั ๙ ไมว า จะเปน ภตู กสณิ ๔ วณั ณกสณิ ๔ และอากาส-
กสณิ เมอื่ พระโยคาวจรกำหนดบรกิ รรมนมิ ติ และเพง กสณิ นน้ั ตอ ไป จนถอื เอาอคุ คหนมิ ติ
ถงึ ปฏภิ าคนมิ ติ ได กเ็ หน็ นมิ ติ ตดิ ตาตดิ ใจ เปน ดวงกลมใสดว ยเชน กนั อาโลกกสณิ จงึ ชอ่ื วา
เปน “กสณิ กลาง” ดว ยประการฉะน้ี

อาโลกกสณิ นแี้ หละ เปน อบุ ายวธิ สี งบใจทเี่ หมาะแกบ คุ คลทกุ จรติ อธั ยาศยั เพราะ
สามารถผกู ใจ คอื ความเหน็ ดว ยใจ ๑ ความจำ ๑ ความคดิ ๑ ความรู ๑ ใหอ ยใู นอารมณ
เดยี ว อยา งไดผ ลสงู เมอื่ ผเู จรญิ อาโลกกสณิ สามารถถอื เอาปฏภิ าคนมิ ติ ได ใจยอ มเปน สมาธิ
แนบแนน มนั่ คง เปน เอกคั คตาจติ เมอ่ื ประกอบดว ย วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ และเอกคั คตา อนั
เปน เบอื้ งตน ของปฐมฌานแลว ยอ มสามารถเจรญิ จติ ตภาวนาถงึ ทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน และถงึ
จตตุ ถฌาน เปน สมั มาสมาธิ ตามรอยบาทพระพทุ ธองคไ ดส ะดวก อาโลกกสณิ จงึ ชอ่ื วา มี
“ประสทิ ธภิ าพมาก”

ผเู จรญิ อาโลกกสณิ ถงึ ขน้ั เปน ฌานสมาบตั ิ ไดแ ก ปฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน และ
จตตุ ถฌาน อนั เปน สมั มาสมาธิ ให “อภญิ ญา” คอื ความสามารถพเิ ศษ ไดแ ก ทพิ พจกั ขุ
ทพิ พโสต เปน ตน เกดิ และเจรญิ ขน้ึ ไดง า ย และสามารถใหเ จรญิ วชิ ชา ไดแ ก วชิ ชา ๓
วชิ ชา ๘ ตามรอยบาทพระพทุ ธองคอ ยา งไดผ ลดี จงึ ชอื่ วา “มอี านภุ าพมาก”

ดงั ทพี่ ระพทุ ธโฆสาจารย ไดอ รรถาธบิ ายถงึ การเจรญิ อาโลกกสณิ ใหส ามารถเหน็ สตั ว
ทง้ั หลายในภพ ๓ ผเู ปน ไปตามกรรม จนเกดิ ยถากมั มปู คญาณ (ญาณเครอ่ื งรสู ตั วเ ขา ถงึ
ตามกรรม) และญาณนเี้ ปน บาทแหง ทพิ พจกั ขญุ าณ ใหเ จรญิ ขนึ้ เปน “จตุ ปู ปาตญาณ” อนั
เปน วชิ ชาที่ ๒ ทพ่ี ระมหาโพธสิ ตั วเ จา ไดท รงบรรลุ ในยามกลางแหง ราตรี นน่ั เอง๔

๔ คมั ภรี ส มนั ตปาสาทกิ า อรรถกถาพระวนิ ยั ปฎ ก ภาค ๑ หนา ๑๘๔-๑๘๕.

8 ตอนท่ี ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา

สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา เมอื่ ทรงยงั เปน พระโพธสิ ตั วอ ยู กอ นแตจ ะตรสั รู กไ็ ด

เจรญิ จติ ตภาวนา จำแสงสวา ง และ เหน็ รปู นมิ ติ ดว ยเชน กนั ๕

ดงั พระพทุ ธดำรสั ทต่ี รสั กบั พระอนรุ ทุ ธ กบั คณะฯ วา
“ตํ โข ปน โว อนรุ ทุ ธฺ า นมิ ติ ตฺ ํ ปฏวิ ชิ ฌฺ ติ พพฺ .ํ อหมปฺ  สทุ ํ

อนุรุทธา ปุพฺเพว สมฺโพธา อนภิสมฺพุทฺโธ โพธิสตฺโต ว สมาโน
โอภาสเฺ จว สชฺ านามิ ทสสฺ นจฺ รปู าน”ํ

แปลความวา

“ดกู อ นอนรุ ทุ ธก บั คณะ พวกเธอตอ งแทงตลอดนมิ ติ นน้ั แล แม
เรากเ็ คยมาแลว เมอื่ กอ นตรสั รู ยงั ไมร เู องดว ยปญ ญาอนั ยงิ่ ยงั เปน
พระโพธสิ ตั วอ ยู ยอ มจำแสงสวา ง และเหน็ รปู นมิ ติ ไดเ หมอื นกนั ”

หลวงพอ วดั ปากน้ำ ทา นไดเ ลอื กใช “อาโลกกสณิ ” เปน อารมณส มถกมั มฏั ฐาน
ตามรอยบาทพระพุทธองค ควบคูไปกับ “อานาปานสติ” และ “พุทธานุสติ” จึงมี

ประสทิ ธภิ าพมาก และมอี านภุ าพมาก ดว ยประการฉะน้.ี

วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นขน้ั สมถกมั มฏั ฐาน/ภาวนา นี้ คอื

ใหก ำหนดบรกิ รรมนมิ ติ (เครอื่ งหมายทน่ี กึ เหน็ ดว ยใจ) เปน เครอื่ งหมายดวงกลมใส
(ทานเอาผลของการเจริญอาโลกกสิณ ในข้ันถือเอาอุคคหนิมิตเปนดวงกลมใส มาใชเปน
บรกิ รรมนมิ ติ เพอ่ื สะดวกแกผ ปู ฏบิ ตั ทิ กุ เพศ ทกุ วยั ทกุ ฐานะ และทกุ โอกาส) ขนาดเลก็
ประมาณเทา ดวงตาดำ (หรอื ขนาดเทา ทพี่ อนกึ เหน็ ดว ยใจไดช ดั เจน) ใหป รากฏขน้ึ ทป่ี ากชอ ง
จมกู (หญงิ ซา ย-ชายขวา) ใหใ จ (ความเหน็ ดว ยใจ ความจำ ความคดิ ความร)ู อยใู น
ดวงกลมใสนั้น คือ นึกใหเห็นจุดเล็กใสศูนยกลางดวงกลมใสต้ังอยูที่ปากชองจมูก
(หญงิ ซา ย-ชายขวา) พรอ มกบั บรกิ รรมภาวนา (ทอ งในใจ) ตรงศนู ยก ลางดวงกลมใสนน้ั วา
“สมั มาอรหงั ๆๆ” นเี้ ปน ฐานทต่ี ง้ั ของใจ ฐานที่ ๑

แลวใหเล่ือนดวงกลมใสนั้นเขาไปในชองจมูก แลวเลื่อนขึ้นไปหยุดนิ่งที่หัวตาดานใน

๕ พระไตรปฎ กบาลฉี บบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๔ มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก ขอ ๔๕๒ หนา ๓๐๒.

ตอนที่ ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 9

(หญิงซาย-ชายขวา) บริกรรมภาวนาเพื่อประคองบริกรรมนิมิตนั้นไววา “สัมมาอรหังๆๆ”
นเ้ี ปน ฐานทต่ี งั้ ของใจ ฐานที่ ๒

แลว กเ็ ลอ่ื นเครอ่ื งหมายดวงกลมใสนน้ั เขา ไปหยดุ นงิ่ ตรงกลางกก๊ั ศรี ษะ บรกิ รรมภาวนา
เพอ่ื ประคองบรกิ รรมนมิ ติ นนั้ ไวว า “สมั มาอรหงั ๆๆ” นเี้ ปน ฐานทต่ี งั้ ของใจ ฐานที่ ๓

กอนท่ีจะเลื่อนดวงกลมใสน้ันอีกตอไป ทานมีอุบายวิธีรวมใจ (ความเห็นดวยใจ
ความจำ ความคดิ และความรู) ใหห ยดุ เปน จดุ เดยี ว ใหก ลบั ไปขา งหลงั แลว ใหร วมลง ณ
ภายในไดโ ดยสะดวก โดยวธิ ใี หเ หลอื บดวงตากลบั (ขณะหลบั เปลอื กตาลงเบาๆ อยู เหมอื น
เดก็ กำลงั หลบั สนทิ จะเหน็ ดวงตาของเดก็ หมนุ กลบั ไปขา งหลงั รบิ ๆๆ) แลว ใหเ ลอ่ื นดวงกลม
ใสน้ันลงไปหยุดน่ิงตรงเพดานปาก และบริกรรมภาวนาวา “สมั มาอรหังๆๆ” นี้เปนฐาน
ทต่ี ง้ั ของใจ ฐานท่ี ๔

แลว จงึ เลอื่ นดวงกลมใสนน้ั ลงไปตรงๆ ไปหยดุ นง่ิ ทปี่ ากชอ งลำคอ บรกิ รรมภาวนาวา
“สมั มาอรหงั ๆๆ” นเ้ี ปน ฐานทตี่ ง้ั ของใจ ฐานที่ ๕

แลว ใหเ ลอื่ นดวงกลมใสนน้ั ลงไปตรงๆ ตามเสน ทางลมหายใจเขา -ออก ไปหยดุ นง่ิ
ตรงศนู ยก ลางกายระดบั สะดอื อนั เปน ทสี่ ดุ และทตี่ ง้ั ตน ลมหายใจเขา -ออก บรกิ รรมภาวนา
วา “สมั มาอรหงั ๆๆ” นเี้ ปน ฐานทตี่ งั้ ของใจ ฐานท่ี ๖

แลวใหเล่ือนดวงกลมใสน้ันกลับขึ้นมาตรงๆ ประมาณ ๒ น้ิวมือ (๒ องคุลีมือ) นี้
เปน ฐานทตี่ ง้ั ของใจ ฐานที่ ๗ อนั เปน ทตี่ งั้ กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ เปน ทจี่ ติ เปลยี่ นวาระ
ทกุ ขณะจติ ทบ่ี ญุ กศุ ลหรอื บาปอกศุ ลปรงุ แตง และ/หรอื เวลาทส่ี ตั วจ ะไปเกดิ -มาเกดิ จะดบั -
จะหลบั -จะตน่ื จติ ดวงเดมิ ทต่ี งั้ อยกู ลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายกจ็ ะละปฏภิ าคนมิ ติ และ
ตกศูนย ไปยังศูนยกลางกายฐานที่ ๖ แลวปรุงเปนจิตดวงใหม ต้ังอยูกลางดวงธรรมใหม
ลอยขน้ึ มาตรงศนู ยก ลางกายฐานท่ี ๗ น้ี เพอ่ื ทำหนา ทตี่ อ ไป จติ ดบั แลว กเ็ กดิ ๆๆ ตรงนี้
และศนู ยก ลางกายเปน ทต่ี งั้ กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ นี้ ยงั เปน ทตี่ ง้ั กายในกาย เวทนาในเวทนา
จติ ในจติ และธรรมในธรรม ณ ภายในตอ ๆ ไป จนสดุ ละเอยี ด (สว นหยาบเปน ณ ภายนอก
สว นละเอยี ดเปน ณ ภายในตอ ๆ ไปจนสดุ ละเอยี ด) อกี ดว ย

10 ตอนที่ ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา

เมอื่ เลอื่ นดวงกลมใสมาหยดุ นงิ่ ตรงศนู ยก ลางกายฐานท่ี ๗ นแี้ ลว ไมต อ งเลอ่ื น
ไป (ซาย-ขวา-หนา-หลัง-ลาง-บน) ไหนอีก ใหประคับประคองใจ รวมใจหยุดในหยุด
กลางของหยดุ ใหน ง่ิ ตรงนแี้ หง เดยี ว โดยกำหนดบรกิ รรมนมิ ติ นกึ เหน็ ดว ยใจ และบรกิ รรม
ภาวนาทองในใจ พรอมกับสังเกตลมหายใจเขา-ออก ผาน (กระทบ) ดวงกลมใสนั้นดวย
แตไ มต อ งตามลม คงสงั เกตเหน็ ลมหายใจเขา -ออก ตรงศนู ยก ลางดวงศนู ยก ลางกายฐาน
ที่ ๗ นน้ั แหง เดยี ว

ตามท่ีหลวงพอทานสอนใหมีสติกำหนดเห็นลมหายใจเขา-ออกอยูตรงศูนยกลางกาย
อนั เปน ฐานทตี่ ง้ั ของใจฐานท่ี ๗ แตแ หง เดยี ว ทำนองเดยี วกนั กบั ทเี่ คยกำหนดสตพิ จิ ารณา
เหน็ ลมหายใจเขา -ออกในเบอื้ งตน ทปี่ ากชอ งจมกู อนั เปน ฐานทต่ี ง้ั ของใจฐานที่ ๑ นเี้ ปน
ทำนองเดียวกันกับที่พระพุทธโฆสาจารยไดอรรถาธิบายถึงการเจริญอานาปานสติ๖ วา
ไมพึงกำหนดใจไปตามลมหายใจเขา-ออก เพราะจิตท่ีแกวงไปมาจะเปนไปเพ่ือความ
ปนปวนและหว่ันไหวแหงจิต แตพึงกำหนดจิตอยูตรงท่ีๆ ลมกระทบดวยสติ ดังท่ี
พระธรรมเสนาบดสี ารบี ตุ ร ไดก ลา วไวว า ๗

“เม่ือพระโยคาวจรใชสติไปตามเบ้ืองตน ทามกลาง และที่สุดแหง
ลมหายใจเขา กายและจติ ยอ มมคี วามปรารภ หวนั่ ไหว และดนิ้ รน เพราะ
จติ ถงึ ความฟงุ ซา น ณ ภายใน

เมื่อพระโยคาวจรใชสติไปตามเบื้องตน ทามกลาง และท่ีสุดแหง
ลมหายใจออก กายและจติ ยอ มมคี วามปรารภ หวน่ั ไหว และดน้ิ รน เพราะ
จติ ถงึ ความฟงุ ซา น ณ ภายนอก

กายและจิตยอมมีความปรารภหวั่นไหวและด้ินรน เพราะความ
ปรารถนา เพราะความพอใจลมหายใจออก เพราะความเทย่ี วไปดว ยตณั หา
กายและจติ ยอ มมคี วามปรารภหวนั่ ไหว และดน้ิ รน...”

๖ คมั ภรี ว สิ ทุ ธมิ รรค ภาค ๒ หนา ๗๐-๗๓.
๗ พระไตรปฎ กบาลฉี บบั สยามรฐั เลม ท่ี ๓๑ ขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ขอ ๓๖๙ หนา ๒๔๙.

ตอนท่ี ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 11

อนง่ึ พระสารบี ตุ รมหาเถระ ยงั ไดก ลา วถงึ วธิ กี ารเจรญิ อานาปานสติ๗ ไวอ กี วา
“[๓๘๓] นมิ ติ ลมอสั สาสะปส สาสะ ไมเ ปน อารมณแ หง จติ เดยี ว

เพราะไมร ธู รรม ๓ ประการ จงึ ไมไ ดภ าวนา.
นมิ ติ ลมอสั สาสะปส สาสะ ไมเ ปน อารมณแ หง จติ ดวง

เดียว แตเ พราะรธู รรม ๓ ประการ จงึ จะไดภ าวนา ฉะนแี้ ล.

[๓๘๔] ธรรม ๓ ประการนี้ ไมเ ปน อารมณแ หง จติ ดวงเดยี ว เปน
ธรรมไมปรากฏก็หามิได จิตไมถึงความฟุงซาน จิตปรากฏเปนปธาน
[คอื ความเพยี ร] จติ ใหป ระโยคสำเรจ็ และบรรลผุ ลวเิ ศษอยา งไร.

ธรรม ๓ ประการน้ี ไมเ ปน อารมณแ หง จติ ดวงเดยี ว เปน ธรรมไมป รากฏ
จติ ไมถ งึ ความฟงุ ซา น จติ ปรากฏเปน ประธาน จติ ใหป ระโยคสำเรจ็ และ
บรรลผุ ลวเิ ศษอยา งไร.

เปรยี บเหมอื นตน ไมท เ่ี ขาวางไวบ นพนื้ ทเี่ รยี บ บรุ ษุ เอาเลอ่ื ยเลอื่ ยตน ไม
นนั้ สตขิ องบรุ ษุ ยอ มเขา ไปตง้ั อยู ดว ยสามารถแหง ฟน เลอ่ื ยซงึ่ ถกู ท่ี
ตน ไม บรุ ษุ นน้ั ไมไ ดใ สใ จถงึ ฟน เลอ่ื ยทม่ี าหรอื ทไี่ ป ฟน เลอ่ื ยทมี่ าหรอื
ทไ่ี ป ไมป รากฏกห็ ามไิ ด จติ ปรากฏเปน ปธาน จติ ใหป ระโยคสำเรจ็
และบรรลุผลวิเศษ.

ความเน่ืองกันเปนนิมิต เหมือนตนไมท่ีเขาวางไวบนพ้ืนที่เรียบ,
ลมหายใจเขา -ออก เหมอื นฟน เลอ่ื ย. ภกิ ษตุ ง้ั สตไิ วม นั่ ทปี่ ลายจมกู หรอื
ทรี่ มิ ฝป าก ไมไ ดใ สใ จถงึ ลมหายใจเขา -ออก ลมหายใจเขา -ออก จะไม
ปรากฏกห็ ามไิ ด จติ ปรากฏเปน ปธาน จติ ใหป ระโยคสำเรจ็ และบรรลุ
ถงึ ผลวเิ ศษ. เหมอื นบรุ ษุ ตง้ั สตไิ วด ว ยสามารถฟน เลอ่ื ยอนั ถกู ทตี่ น ไม
เขาไมไ ดใ สใ จถงึ ฟน เลอื่ ยทมี่ าหรอื ทไ่ี ป ฟน เลอื่ ยทมี่ าหรอื ทไี่ ปจะไมป รากฏ

กห็ ามไิ ด จติ ปรากฏเปน ปธาน จติ ใหป ระโยคสำเรจ็ และ บรรลุ
ถงึ ผลวเิ ศษ ฉะนนั้ .

๘ พระไตรปฎ กบาลฉี บบั สยามรฐั เลม ท่ี ๓๑ ขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ขอ ๓๘๓-๓๘๖ หนา ๒๕๗-๒๕๘.

12 ตอนท่ี ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา

[๓๘๕] ประธาน เปน ไฉน ? แมก าย แมจ ติ ของภกิ ษผุ ปู รารภความ
เพยี ร ยอ มควรแกก ารงาน นเ้ี ปน ประธาน. ประโยค เปน ไฉน ? ภกิ ษุ
ผูปรารภความเพียร ยอมละอุปกิเลสได วิตกยอมสงบไป น้ีเปนประโยค.
ผลวเิ ศษ เปน ไฉน? ภกิ ษผุ ปู รารภความเพยี รยอ มละสงั โยชนไ ด อนสุ ยั

ยอ มถงึ ความพนิ าศไป นเ้ี ปน ผลวเิ ศษ. กธ็ รรม ๓ ประการนี้ ยอ มไมเ ปน
อารมณแ หง จติ ดวงเดยี วอยา งน้ี และธรรม ๓ ประการน้ี ไมป รากฏกห็ ามไิ ด

จติ ไมถ งึ ความฟงุ ซา น ปรากฏเปน ประธาน ยงั ประโยคใหส ำเรจ็
และบรรลุถึงผลวิเศษ.

[๓๘๖] ภกิ ษใุ ด เจรญิ อานาปานสตใิ หบ รบิ รู ณด แี ลว อบรมแลว ตาม
ลำดบั ตามทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงแสดงแลว ภกิ ษนุ น้ั ยอ มทำโลกนใ้ี หส วา งไสว
เหมอื นพระจนั ทรพ น แลว จากหมอกฉะนน้ั .”

ขณะเดียวกันหลวงพอทานสอนใหกำหนดบริกรรมนิมิต (นึกเห็นดวยใจ) และ
กำหนดบริกรรมภาวนาวา “สัมมาอรหังๆๆ” ตรึกนึกเห็นดวงกลมใส ใจอยูในกลาง
ของกลาง (เห็นจุดเล็กใส) ดวงกลมใสน้ันตอไป ดวยใจจดจอตอเน่ืองกันไปเร่ือย
สบิ ครงั้ รอ ยครง้ั -พนั ครงั้ กช็ า ง ไมส นใจอะไรอนื่ ทง้ั สนิ้ จนใจสงบหยดุ นงิ่ จะปรากฏ

“ดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายมนษุ ย” ใสบรสิ ทุ ธิ์ ขนาดประมาณเทา ฟองไขแ ดงของไขไ ก

อยา งโตเทา ดวงจนั ทร ดวงอาทติ ย ใสสวา งขนึ้ มา ตรงศนู ยก ลางกายนนั้ แหละ

เห็นแลวไมตองตื่นเตน ไมตองยินดียินราย และไมตองบริกรรมภาวนาวา
“สมั มาอรหงั ” อกี ตอ ไป ใหร วมใจหยดุ นงิ่ ตรงกลางของกลางจดุ เลก็ ใส กลางดวงธรรม
ทที่ ำใหเ ปน กายนน้ั แหละ จะเหน็ ภายในดวงประกอบดว ยศนู ย (ดวงเลก็ ๆ) อีก ๕ ศนู ย
ณ ภายในดวงธรรมนน้ั คอื ศนู ยก ลาง-หนา -ขวา-หลงั -ซา ย ศนู ยก ลางเปน อากาศธาตุ
ศูนยขางหนาเปนธาตุละเอียดของธาตุนำ้ ศูนยขางขวาธาตุดิน ศูนยขางหลัง ธาตุไฟ
ศนู ยข า งซา ยธาตลุ ม ธาตลุ ะเอยี ดทง้ั ๔ คอื ธาตนุ ้ำ-ดนิ -ไฟ-ลม นนั้ แหละ คอื “มหาภตู รปู ๔”
ตง้ั อยภู ายในดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายมนษุ ย ซง่ึ ขยายสว นหยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของ
“รปู ขนั ธ” ซง่ึ มมี าตง้ั แตม าตงั้ ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณเปน “กลลรปู ” ในมดลกู มารดา ทำหนา ที่

ตอนที่ ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 13

ควบคุม และปรุงแตงสวนท่ีเปนของเหลว ของหยาบแข็ง อุณหภูมิ และลมปราณ ที่
ปรนเปรออยใู นรา งกาย และปรงุ แตง อาหาร คอื สายเลอื ดจากมารดา (กรณเี ดก็ ทารกใน
ครรภ) หรอื กรณที คี่ ลอดจากครรภม ารดาแลว กป็ รงุ แตง อาหาร น้ำดมื่ ทบี่ รโิ ภคเขา ไป และ
ลมหายใจเขา -ออก ใหเ จรญิ ขนึ้ เปน รปู กาย เปน ทารกในครรภ คลอดจากครรภม ารดา
และเจรญิ วยั ขน้ึ มาเปน ลำดบั ตอ เมอ่ื นานไป จนมหาภตู รปู ๔ นนั้ เสอื่ มโทรม จงึ มผี ลใหร า ง
กายซง่ึ เปน ธาตหุ ยาบ พลอยตอ งเสอื่ มโทรม แกเ ฒา เจบ็ ไข และในทสี่ ดุ กแ็ ตกสลาย (ตาย)
หมดสภาพเดมิ ของมนั ไป ไมม อี ะไรเปน แกน สารสาระ ในความเปน ของเทยี่ งแท ในความ
เปน สขุ ทถี่ าวร และไมม สี าระในความเปน ตวั ตน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-ของเขา หรอื
ของใครทเี่ ทย่ี งแทถ าวรแตป ระการใดทง้ั สนิ้

ครนั้ เมอื่ ผเู จรญิ ภาวนาไดเ หน็ ดวงธรรมนนั้ ใสแจม ปรากฏขน้ึ ดงั นนั้ แลว ใจกห็ ยดุ นงิ่ กลาง
ของกลางอากาศธาตุเห็น “วิญญาณธาตุ” เปนจุดเล็กใสสวาง กลางอากาศธาตุน้ันแหละ
กห็ ยดุ นง่ิ กลางของกลางนนั้ หยดุ นงิ่ ถกู สว น ศนู ยก ลางดวงนนั้ ขยายวา งออกไป ปรากฏดวง
ใสสวา ง ตอ ๆ ไป เปน เครอ่ื งกลนั่ กรอง กาย-วาจา-ใจ ทลี่ ะเอยี ด ประณตี และบรสิ ทุ ธิ์
ผอ งใส ดว ยศลี บรสิ ทุ ธ์ิ เพราะใจทบี่ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใส ดว ยเจตนากรรมบรสิ ทุ ธิ์ เปน สมั มาวาจา

สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เปน “สีลวิสุทธิ” คือ ความหมดจดแหงศีล และดวย

ใจท่บี รสิ ทุ ธิ์ เพราะสงบและตงั้ มน่ั เปน “เอกคั คตาจติ ” ประกอบดว ย วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ
และเอกัคคตา อันเปนเบ้ืองตนของปฐมฌานขึ้นไป จิตใจถึงความบริสุทธ์ิผองใสจาก

นวิ รณปู กเิ ลส เปน “จติ ตวสิ ทุ ธ”ิ คอื ความหมดจดแหง จติ เปน บาทฐานใหว ปิ ส สนาเกดิ

และเจรญิ ขน้ึ และเปน ทางแหง “วปิ ส สนาปญ ญา” ใหเ ปน ความหมดจดแหง ปญ ญา เรม่ิ ตง้ั แต

“ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธ”ิ คอื ความหมดจดแหง ความเหน็ ไดแ ก ความเหน็ แจง ในพระไตรลกั ษณ

กลา วคอื เหน็ สภาวะของนาม-รปู ตามทเี่ ปน จรงิ วา เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ และ อนตตฺ า

อาการทใี่ จหยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ เขา ถงึ ดวงทใ่ี สละเอยี ด เปน เครอื่ งกลน่ั กรอง
กาย-วาจา-ใจ ทล่ี ะเอยี ดประณตี บรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใส ดว ยศลี บรสิ ทุ ธ์ิ จติ บรสิ ทุ ธ์ิ และปญ ญา
บรสิ ทุ ธิ์ นี้ หลวงพอ วดั ปากนำ้ ทา นจงึ เรยี กวา ดวงศลี ดวงสมาธิ ดวงปญ ญา อนั นำไปสู
วิมุตติ หลุดพนจากกิเลสหยาบของมนุษย ไดแก อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ และ

14 ตอนที่ ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา

วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ซง่ึ สามารถจะปฏบิ ตั ภิ าวนาเขา ถงึ ได และเหน็ เปน ดวงทใี่ สละเอยี ดทสี่ ดุ

พอใจหยดุ นง่ิ กลางของกลางดวงนนั้ ถกู สว นเขา ศนู ยก ลางขยายวา งออกไป กจ็ ะ
ปรากฏ “กายมนษุ ยล ะเอยี ด” หนา ตาเหมอื นผปู ฏบิ ตั ทิ กุ ประการ แตโ ปรง ใส สวยงาม ละเอยี ด
ประณีตกวากายเนื้อ อยูในทาขัดสมาธิ หันหนาไปทางเดียวกันกับผูปฏิบัติเอง นั่งอยูบน
องคฌ าน (เหมอื นแผน กระจกกลมใส หนาประมาณ ๑ ฝา มอื ) ขณะทใี่ จเปน สมาธติ งั้ มนั่
และประกอบดว ย วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ และเอกคั คตา เปน เบอ้ื งตน ของปฐมฌานขน้ึ ไป

เห็นกายมนุษยละเอียดนั้นแลว ใหดับหยาบไปหาละเอียด เปนกายมนุษยละเอียด
ใหใ จของกายมนษุ ยล ะเอยี ดหยดุ นง่ิ กลางของกลางดวง กลางของกลางกายมนษุ ยล ะเอยี ดนนั้
อกี ตอ ไป ใหใ สละเอยี ดสดุ ละเอยี ด กจ็ ะถงึ ความบรสิ ทุ ธิ์ กาย วาจา ใจ และปญ ญา เปน
ดวงใสสวา งยงิ่ ๆ ขนึ้ ไป นเี้ ปน การเจรญิ จติ ตภาวนา ทใ่ี หเ ขา ถงึ และใหไ ดท งั้ ร-ู ทง้ั เหน็
และท้ังเปนกายในกายที่บริสุทธิ์ (ท้ังกายและดวงธรรมที่ทำใหเปนกาย) ใหรูสึกเวทนาใน
เวทนา ทเี่ ปน สขุ เวทนา (กวา กายมนษุ ยห ยาบซงึ่ เปน ณ ภายนอก) ใหท ง้ั รูและทงั้ เหน็ จติ
ในจติ ทบี่ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใส จากกเิ ลสหยาบ คอื อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ (บรสิ ทุ ธกิ์ วา จติ
ของกายมนษุ ยห ยาบซง่ึ เปน ณ ภายนอก) และใหไ ดท งั้ รู ทง้ั เหน็ ธรรมในธรรม วา เปน แต
บญุ กศุ ล (กสุ ลา ธมั มา) ดว ยทานกศุ ล ศลี กศุ ล และภาวนากศุ ล (ในระดบั มนษุ ยธรรม)
ซง่ึ หลวงพอ วดั ปากน้ำ ทา นกลา วสอนศษิ ยานศุ ษิ ยอ ยเู สมอวา

“ใจหยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ ตรงศนู ยก ลางกายฐานที่ ๗ ของ
กายในกาย ณ ภายใน ใหใ สละเอยี ดเขา ไปนน้ั แหละ ถกู ทะเลบญุ แลว ”

และวา
“‘บญุ ’ [ความบรสิ ทุ ธก์ิ าย วาจา ใจ] นน้ั แหละชว ยเราได จงอบรมใจ

ใหห ยดุ นง่ิ กลางของกลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย [เขา ไปใหส ดุ ละเอยี ด]
ใหเห็นใสแจมอยูเสมอ นึกอธิษฐานปรารถนาส่ิงใดโดยชอบ ท่ีไม
เหลอื วสิ ยั เหตปุ จ จยั ยอ มสำเรจ็ ได [ไมช า กเ็ รว็ ]”

เม่ือใจกายมนุษยละเอียดเจริญจิตตภาวนาหยุดในหยุดกลางของหยุด กลางของ

ตอนที่ ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 15

กลางดวงศลี -สมาธ-ิ ปญ ญา-วมิ ตุ ต-ิ วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะตอ ไป จนใสละเอยี ดทง้ั ดวงทงั้ กาย และ

องคฌ านแลว ถกู สว นเขา ศนู ยก ลางกจ็ ะขยายวา งออกไป กจ็ ะปรากฏ กายทพิ ยห ยาบ
และ กายทิพยละเอียด อันเปนกายในกายท่ีใสบริสุทธ์ิตอๆ ไป โตใหญ มีรัศมีสวาง

สวยงาม ละเอยี ด ประณตี (กวา กายมนษุ ย) ประกอบดว ยเวทนาในเวทนาทเ่ี ปน สขุ เวทนา
จติ ในจติ ทบี่ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใส และธรรมในธรรมอนั เปน บญุ กศุ ลในระดบั “เทวธรรม” ดว ยศลี -
สมาธ-ิ ปญ ญา และประกอบดว ยหริ โิ อตตปั ปะ มคี วามละอาย (คอื ความรงั เกยี จตอ บาป) และ
เกรงกลวั ตอ การทำบาปอกศุ ล เพราะสามารถรู-เหน็ ผลบญุ กศุ ล หรอื บาปอกศุ ลปรงุ แตง คอื
เหน็ สวรรค- นรกได ยง่ิ กวา สายตาเนอื้ มนษุ ยจ ะสามารถรเู หน็ ได

เหน็ กายทพิ ยห ยาบ แลว กด็ บั หยาบไปหาละเอยี ดเปน กายทพิ ยห ยาบ (ตอ ไปกเ็ ปน
กายทพิ ยล ะเอยี ด) แลว ใหใ จของกายทพิ ยเ จรญิ จติ ตภาวนาตอ ๆ ไปแบบเดยี วกนั กจ็ ะ
เขาถึง ไดท้ังรู ทั้งเห็น และท้ังเปน กายรูปพรหมหยาบ รูปพรหมละเอียด กาย
อรปู พรหมหยาบ อรปู พรหมละเอยี ด อนั เปน กายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และ

ธรรมในธรรมตอๆ ไป ท่ีบริสุทธิ์ผองใส โตใหญ มีรัศมีสวางและสวยงาม ละเอียดประณีต

ยง่ิ กวา กนั ไปตามลำดบั จนสดุ ละเอยี ด กจ็ ะไดเ ขา ถงึ ร-ู เหน็ และเปน ธรรมกาย อนั เปน

คุณธรรมท่ีบริสุทธ์ิย่ิงกวาคุณธรรมของกายในภพ ๓

หลวงพอ วดั ปากน้ำ ทา นไดก ลา ววา ตราบใดทผ่ี ปู ฏบิ ตั ไิ ดถ งึ ธรรมกาย แตย งั

ตัดหรือละสัญโญชนกิเลสเครื่องรอยรัดใหติดอยูกับโลก อยางนอย ๓ ประการ คือ

สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา และสลี พั พตปรามาสไมไ ด กย็ งั จดั เปน โคตรภบู คุ คล ผไู ดโ คตรภญู าณ

อยูเทานั้น อุปมาดังเทาขางหนึ่งแตะอยูที่นิพพาน อีกขางหน่ึงยังยืนอยูบนภพ ๓
ตอ เมอ่ื เจรญิ สมถวปิ ส สนาจนเหน็ แจง สภาวธรรม และอรยิ สจั จธรรมตามทเ่ี ปน จรงิ ได

เขา ถงึ ร-ู เหน็ และเปน ธรรมกายมรรค-ผล และ นพิ พานธาตุ อนั เปน คณุ ธรรมท่ี

สามารถละกเิ ลสอยา งนอ ยสญั โญชนเ บอ้ื งตำ่ ๓ ประการไดแ ลว ตราบนน้ั จงึ จะกา วลว ง
ขา มโคตรปถุ ชุ น เปน พระอรยิ บคุ คล ตามระดบั ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด

น้ีเปน ข้ันสมถกัมมัฏฐาน/ภาวนา และอนุปสสนา ใหไดเขาถึง ไดรู ไดเห็น

และเปน กายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม ทลี่ ะเอยี ดประณตี ยง่ิ กวา

16 ตอนท่ี ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา

กนั ไปตามลำดบั จนถงึ “ธรรมกาย” อนั ใหเ หน็ แจง รแู จง สภาวะของสงั ขารธรรมทงั้ หลาย

โดยเฉพาะอยา งยง่ิ “อปุ าทนิ นกสงั ขาร” คอื สงั ขารทม่ี ชี วี ติ มวี ญิ ญาณครอง ไดแ กส ตั วโ ลก
ทงั้ หลาย ใหเ หน็ เบญจขนั ธ คอื รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ กลา วโดยยอ คอื
รปู ขนั ธ และนามขนั ธ ๔ วา เปน สภาพไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตา ชอ่ื วา “ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ”
โดยมีสลี วสิ ทุ ธแิ ละจติ ตวสิ ทุ ธิ เปน บาทฐานใหท ฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ อนั เปน ตวั วปิ ส สนาเกดิ เจรญิ ขนึ้
และตง้ั อยู

เพราะเหตุไร หลวงพอวัดปากน้ำทานจึงไดแนะนำวิธีปฏิบัติในข้ันสมถภาวนา
(เบอ้ื งตน ) ใหก ำหนดบรกิ รรมนมิ ติ และบรกิ รรมภาวนาไปตามฐานตา งๆ โดยเรม่ิ ทฐ่ี านท่ี
ตง้ั ของใจ ฐานที่ ๑ ปากชอ งจมกู (หญงิ ซา ย-ชายขวา) แลว กเ็ ลอื่ นไปฐานที่ ๒ ทเี่ พลาตา คอื
ทหี่ วั ตาดา นใน (หญงิ ซา ย-ชายขวา) เปน ตน ?

อธิบายวา หลวงพอวัดปากน้ำ ทานประสงคใหผูปฏิบัติเบื้องตน ไดรูทางเดิน
ของจติ เมอ่ื เวลาสตั วจ ะไปเกดิ -มาเกดิ ดวงจติ ของสตั วน น้ั ดำเนนิ ผา นฐานตา งๆ อยา ง
นนั้ กลา วคอื เมอื่ สตั ว (มนษุ ย) จะมาเกดิ คอื จะมาตงั้ ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณในมดลกู มารดา
นน้ั กายมนษุ ยล ะเอยี ดและกายทพิ ย ฯลฯ อนั มี “ดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย” ตง้ั อยตู รง
ศนู ยก ลางกายของสตั วน นั้ จะเขา มาตงั้ อยู ณ ศนู ยก ลางกายของผเู ปน พอ กอ น โดยผา น
เขา มาตามฐานตา งๆ คอื ปากชอ งจมกู ถา เปน หญงิ จะเขา มาทางปากชอ งจมกู ซา ยของ
บดิ าเปน ฐานท่ี ๑ แลว กผ็ า นไปยงั หวั ตาดา นใน (ขา งซา ย) เปน ฐานท่ี ๒ แลว กผ็ า นไปยงั
ฐานที่ ๓-๔-๕-๖-๗ ตอ ไปตามลำดบั แตถ า สตั วท จี่ ะมาเกดิ นนั้ เปน ชาย กจ็ ะเขา มาทาง
ชอ งจมกู ขวาของบดิ า แลว ตอ ไปยงั เพลาตาดา นขวา และผา นตอ ไปยงั ฐานตา งๆ จนไป
หยดุ นงิ่ อยทู ศี่ นู ยก ลางกายฐานท่ี ๗ ของบดิ า เมอื่ บดิ า-มารดาประกอบธาตธุ รรมถกู สว น
ใจของบดิ า-บตุ ร-มารดา หยดุ นง่ิ ตรงกนั อายตนะ คอื ภพมนษุ ย จะดงึ ดดู ธาตธุ รรมของ
ผเู ปน บตุ รออกจากศนู ยก ลางของบดิ า ผา นออกไปตามฐานทตี่ งั้ ของใจทเี่ คยผา นมาแตแ รก
ไปเขา ชอ งจมกู มารดา โดยเพศหญงิ จะเขา ทางปากชอ งจมกู ซา ย ถา เปน เพศชายจะผา น
เขาทางชองจมูกขวา และผานเขาไปตามฐานตางๆ ถึงศูนยกลางกายฐานท่ี ๗ เม่ือ
ตัวอสุจิ (Spermatozoa-sperm) ของผูเปนพอเขาไปเจาะรังไขของมารดาในมดลูกได

ตอนที่ ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 17

กลายเปน ตวั ออ น (Embryo) ทพี่ ระทา นเรยี ก “กลลรปู ” คือ เปน ไขท เ่ี รมิ่ ตงั้ ปฏสิ นธิ
หลวงพอ วดั ปากนำ้ ทา นวา มสี ณั ฐานกลมใส ขนาดประมาณเทา หยาดน้ำมนั งาทต่ี ดิ อยู
ปลายขนจามรี อนั มชั ฌมิ บรุ ษุ สลดั เสยี แลว ๗ ครงั้ นน้ั แหละ อาการดงั กลา วนี้ เปน
อาการท่ีสัตวมาตั้งปฏิสนธิวิญญาณในมดลูกมารดา โดยธรรมชาติอยางน้ี (ยกเวนการ
ปฏสิ นธทิ สี่ งั เคราะหข นึ้ ดว ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร)

กลลรปู นี้ พระพทุ ธโฆสาจารยท า นเรยี กวา “ปฏสิ นธจิ ติ ” ชอ่ื วา “จติ ดวงแรก”
ซง่ึ ทา นแสดงไวว า ๙

“ปฏสิ นธจิ ติ ชอื่ วา จติ ดวงแรก. บทวา ผดุ ขน้ึ ไดแ ก เกดิ . คำวา
“วญิ ญาณดวงแรก มปี รากฏ” นี้ เปน คำไขของคำวา จติ ดวงแรก ทผ่ี ดุ ขน้ึ
นนั้ นน่ั แหละ. บรรดาคำเหลา น้ี ดว ยคำวา “จติ ดวงแรก [ทผ่ี ดุ ขนึ้ ] ใน
ทอ งมารดา” นนั่ แหละ เปนอนั ทานแสดงปฏสิ นธขิ องสัตวผ ูม ขี ันธ ๕ แม
ทงั้ สน้ิ . เพราะเหตนุ นั้ กายมนษุ ยอ นั เปน ทแี รกทส่ี ดุ น้ี คอื จติ ดวงแรกนนั้ ๑
อรปู ขนั ธ ๓ ทเ่ี กย่ี วเกาะดว ยจติ นน้ั ๑ กลลรปู ทเี่ กดิ พรอ มกบั จติ นน้ั ๑.
บรรดาอรปู ขนั ธ และกลลรปู แหง จติ ดวงแรกนน้ั รปู ๓๐ ถว น ดว ยอำนาจ
แหง กาย ๑๐ วตั ถุ ๑๐ และภาวะ ๑๐ แหง สตรแี ละบรุ ษุ รปู ๒๐ ดว ย
อำนาจแหง กาย ๑๐ และวตั ถุ ๑๐ แหง พวกกะเทย ชอื่ วา กลลรปู . บรรดา
สตรี บรุ ษุ และกะเทยนน้ั กลลรปู ของสตรแี ละบรุ ษุ มขี นาดเทา หยาด
น้ำมันงาที่ชอนขึ้นดวยปลายขางหนึ่งแหงขนแกะแรกเกิด เปนของใส
กระจา ง. จรงิ อยู ในอรรถกถาทา นกลา วคำนวี้ า

หยาดน้ำมนั งา เนยใส (สปั ป) ใส ไมข นุ มวั ฉนั ใด, รปู มสี ว นเปรยี บ
ดว ยสี ฉนั นน้ั เรยี กวา กลลรปู .”

หลวงพอ วดั ปากนำ้ ทา นเจรญิ จติ ตภาวนา ไดท ง้ั รแู ละทง้ั เหน็ ธรรมชาตทิ ล่ี ะเอยี ด
ลกึ ซงึ้ อยา งน้ี แมอ บุ ายวธิ ที ท่ี า นแนะนำใหเ หลอื บตากลบั นนั้ กเ็ ปน ตามธรรมชาติ ทเี่ วลา
สตั วจ ะไปเกดิ -มาเกดิ หรอื จะดบั (ตาย) จะหลบั -จะตนื่ ดวงตากห็ มนุ กลบั เหมอื นคนกำลงั

๙ คมั ภรี ส มนั ตปาสาทกิ า อรรถกถาพระวนิ ยั ปฎ ก ภาค ๑ หนา ๕๓๔.

18 ตอนท่ี ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา

ชกั จะตายอยา งนน้ั ทา นจงไปดเู ดก็ ทารกทกี่ ำลงั หลบั สนทิ กจ็ ะเหน็ ดวงตาของเดก็ หมนุ กลบั
ไปขา งหลงั รบิ ๆๆ อยตู ลอดเวลาอยา งนนั้ ไปดไู ด ผใู หญห ลบั สนทิ กเ็ หมอื นกนั แมพ อ -แม
ประกอบธาตธุ รรม ถกู สว นกเ็ หมอื นกนั นเ้ี ปน ความจรงิ ตามธรรมชาติ ทค่ี นทว่ั ไปไมค อ ย
ไดส งั เกตเหน็ แตห ลวงพอ วดั ปากนำ้ แมท า นบวชตง้ั แตย งั ไมม คี รอบครวั แตท า นกส็ ามารถ
รู-เห็นดวยญาณพระธรรมกายของทานไดอยางนาอัศจรรย

ตามท่ีหลวงพอวัดปากน้ำ ทานไดปฏิบัติและสอนวิธีเจริญสมถวิปสสนาตามแนว
สตปิ ฏ ฐาน ๔ โดยการมสี ตพิ จิ ารณาเหน็ กายในกาย เหน็ เวทนาในเวทนา เหน็ จติ ในจติ และ
เหน็ ธรรมในธรรม เปน ทงั้ ณ ภายในและภายนอก ซงึ่ เปน การปฏบิ ตั ทิ ใี่ หเ ขา ถงึ ร-ู เหน็
และเปน กายในกาย อนั ประกอบดว ย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม ที่
ละเอยี ดตอ ๆ ไปจนสดุ ละเอยี ดถงึ ธรรมกาย นน้ั พงึ ทราบความหมายของคำวา “กาย”
แปลวา “ประชุม” หรือ “หมู” ซ่ึงหมายถึงเปนท่ีรวมแหงสวนหรือส่ิงน้ันๆ ซึ่งเปนไดท้ัง

รปู กาย (สรรี )ํ หรอื รา งกาย (เทห) นเี้ ปน สว น “รปู ธรรม” และทงั้ นามกาย คอื จติ ใจ
อันเปน “นามธรรม” และ/หรือ เปนไดทั้งธรรมท่ีประชุมคุณธรรมของพระพุทธเจา,
พระอรยิ เจา , พระอรหนั ตเจา ชอื่ วา “ธรรมกาย” นน้ั เอง

ทา นเจา คณุ พระพรหมมนุ ี (ผนิ สวุ จเถร) อดตี เจา อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร ไดแ สดง
ธรรม ณ พทุ ธสมาคมแหง ประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถมั ภ เมอื่ วนั ที่ ๑๐ ตลุ าคม พ.ศ.๒๔๙๘
มปี รากฏในหนงั สอื ชดุ ธรรมนพิ นธ เรอื่ ง “กายสาม”๑๐ มคี วามเปน ตอนๆ วา ดงั นี้

“มีพระบาลีในมหาสติปฏฐานสูตรบทหน่ึงวา ‘กาเย กายานุปสฺสี’
‘พจิ ารณาเหน็ กายในกาย’ พระบาลบี ทนแ้ี มแ ปลเปน ภาษาไทยแลว กย็ งั เขา
ใจความยาก มผี อู ธบิ ายกนั เปน หลายนยั ฝา ยทเี่ ปน นกั เรยี น อธบิ ายวา
‘พจิ ารณากายอยา งหนง่ึ ในกายทงั้ หลาย’ หมายความวา ใหแ ยกกาย
ทร่ี วมกนั หลายๆ อยา ง ยกขน้ึ พจิ ารณาทลี ะอยา งๆ เชน พจิ ารณาหมู
ขนอยา งหนงึ่ ผมอยา งหนงึ่ เลบ็ อยา งหนงึ่ เปน ตน สว นนกั ธรรม

๑๐ หนงั สอื ชดุ ธรรมนพิ นธ โดย พระพรหมมนุ ี (ผนิ สวุ จเถร) เรอ่ื ง “กายสาม” จดั พมิ พโ ดย มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , พ.ศ.๒๕๔๑,
หนา ๑-๓ และ ๒๑-๒๓.

ตอนที่ ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 19

อธบิ ายและความหมายไปอกี อยา งหนง่ึ คอื หมายความวา ใหพ จิ ารณา
กายธรรมในกายทพิ ย ใหพ จิ ารณากายทพิ ยใ นกายมนษุ ย เปน ชนั้ ๆ กนั
ออกมา หรอื ใหพ จิ ารณากายมนษุ ย ในกายทพิ ย ใหพ จิ ารณากายทพิ ย
ในกายธรรมเปน ชนั้ ๆ กนั เขา ไป กายมนษุ ยอ ยชู น้ั นอก กายทพิ ยอ ยู
ชน้ั กลาง กายธรรมอยชู นั้ ใน จะวา ของใครผดิ กว็ า ยาก นา จะถกู ดว ยกนั
ทง้ั สองฝา ย คอื ฝา ยนกั เรยี นกแ็ ปลถกู ดว ยแบบแผนและไวยากรณ หรอื
ขอ ปฏบิ ตั เิ บอ้ื งตน ฝา ยนกั ธรรมหรอื นกั ปฏบิ ตั กิ ถ็ กู ดว ยอาคตสถาน มที ี
มาเหมอื นกนั และในทางปฏบิ ตั ชิ นั้ กลาง และชน้ั สงู กม็ ไี ด โดยอาคตสถาน
คอื ทม่ี า [ของ] กายมนษุ ยแ ละกายทพิ ย มที ม่ี า เชน ในมหาสมยั สตู รวา

เย เกจิ พทุ ธฺ ํ สรณํ คตา เส
น เต คมสิ สฺ นตฺ ิ อปายภมู ึ
ปหาย มานสุ ํ เทหํ
เทวกายํ ปรปิ เู รสสฺ นตฺ .ิ
“บคุ คลเหลา ใดเหลา หนงึ่ ถงึ พระพทุ ธเจา วา เปน สรณะ บคุ คล
เหลาน้ัน จักไมไปสูอบายภูมิ ละกายที่เปนของมนุษยแลว จักยัง
เทวกายใหเ ตม็ รอบ” ดงั นี้
พระคาถาน้ี เรยี ก กายมนษุ ยว า “มานสุ เทหะ” ซงึ่ แปลวา “กายอนั
เปน ของมอี ยแู หง มนษุ ย” เรยี กทพิ ยกาย วา “เทวกาย” โดยความ
กเ็ หมอื นกนั .
ธรรมกายนนั้ เชน พระบาลใี นอคั คญั ญสตู ร แหง สตุ ตนั ตปฎ กวา ๑๑
“ตถาคตสสฺ เหตํ วาเสฏฐ า อธวิ จนํ ธมมฺ กาโย อติ ปิ  พรฺ หมฺ กาโย
อติ ปิ  ธมมฺ ภโู ต อติ ปิ  พรฺ หมฺ ภโู ต อติ ปิ ”
“ดกู อ นวาเสฏฐโคตรทง้ั หลาย คำวา ธรรมกาย กด็ ี
พรหมกาย กด็ ี ธรรมภตู กด็ ี พรหมภตู กด็ ี เปน ชอ่ื ของตถาคต”

๑๑ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๑ ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค ขอ ที่ ๕๕ หนา ๙๒.

20 ตอนท่ี ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา

ชน้ั ของทพิ ยกาย
ทค่ี ำกงึ่ คาถาวา ปหาย มานสุ ํ เทหํ เทวกายํ ปรปิ เู รสสฺ นตฺ ิ ละกายท่ี

เปน ของมนษุ ยแ ลว จกั ยงั เทวกายใหเ ตม็ รอบ นน้ั ยอ มแสดงวา เทวกาย
หรอื ทพิ ยกายมหี ลายชน้ั คอื ทเ่ี ตม็ รอบ คอื ไมพ รอ งกม็ ี ทไ่ี มเ ตม็ รอบ ยงั
พรอ งกม็ ี แบง ออกเปน ชนั้ ออ น ชนั้ กลาง และชนั้ แก ชนั้ ออ นคอื ชน้ั ทไี่ มบ รบิ รู ณ
ยงั ไมเ ตม็ รอบน้ี ควรจะไดแ กพ วกนริ ยาบาย ชน้ั กลางควรจะไดแ กช น้ั ภมู เิ ทวดา
ชนั้ แกค อื ชน้ั บรบิ รู ณ ควรจะไดแ กเ ทวดาทส่ี งู กวา นนั้ ขน้ึ ไป หรอื จะเทยี บใน
พระกายของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ชน้ั แก ไดแ กพ ระกายทตี่ รสั รแู ลว เชน
ทรงทพิ ยจกั ขุ ทพิ พโสต ทพิ ยกาย ทไ่ี ปโปรดคนโนน คนนี้ ชน้ั กลาง เชน ที่
ทรงพระสบุ นิ ในคนื วนั ใกลจ ะตรสั รู ชน้ั ออ น ในพระกายของพระสมั มาสมั พทุ ธ
เจา ในพทุ ธประวตั ไิ มม แี สดงถงึ ธรรมอนั เปน เหตใุ หท พิ ยกายบรบิ รู ณน น้ั
ตามพระคาถานน้ั กไ็ ดแ กก ารถงึ พระพทุ ธเจา เปน สรณะ คอื เจรญิ พทุ ธคณุ
นนั่ เอง.

ธรรมกาย
ธรรมกาย คือกายธรรม นเี้ ปน ชนั้ ละเอยี ด เมอ่ื กลา วดว ยเรอ่ื งกาย

ธรรม จำเปน จะตอ งอธบิ ายคำวา “ธรรม” ในศพั ทน ใี้ หเ ขา ใจกอ น ธรรม
หรอื ธาตุนนั้ ตามพยญั ชนะ แปลวา “ทรง” เมอ่ื ถอื เอาคำวา “ทรง” เปน
ประมาณ กไ็ ดค วามตรงกนั ขา มวา สภาพทท่ี รงเปน ธรรม สภาพทไ่ี มท รง
กไ็ มเ ปน ธรรม คอื เปน อธรรม แมใ นสภาพทเี่ ปน ธรรม ซงึ่ แปลวา “ทรง”
นั้น เมอื่ เพง ตามอาการแลว กม็ อี ยู ๒ อยา ง คอื

๑. ทรงอยอู ยา งนนั้ ไมแ ปรผนั เปลย่ี นแปลงเปน อยา งอนื่ ซง่ึ เรยี ก
วา อสงั ขตธรรม ธรรมทไ่ี มม ปี จ จยั ปรงุ แตง หรอื อมตธรรม ธรรมทไี่ ม
ตาย อยา งหนง่ึ

๒. ทรงอยชู วั่ คราว แลว กเ็ ปลย่ี นแปลงเปน อยา งอน่ื ไป เชน รา งกาย
ของคน ของสตั ว หรอื สง่ิ ประดษิ ฐท กุ ๆ ชนดิ อยา งหนงึ่ อยา งหลงั นี้ ทา น

ตอนที่ ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 21

เรียกวา สังขตธรรมบาง สังขารธรรมบาง เพราะเปนธรรมท่ีมีปจจัย
ปรงุ แตง ขน้ึ เรยี กวา มตธรรม ธรรมทต่ี ายสลายไปบา ง.

คำวา ธรรมกาย ในทนี่ เี้ ขา ใจวา หมายเอา อสงั ขตธรรม หรอื
อมตธรรม ทเี่ ปน สว น โลกตุ ตรธาตุ หรอื โลกตุ ตรธรรม ไมใ ช

โลกยิ ธาตุ หรอื โลกยิ ธรรม.”

ตอ ไปนจี้ กั ไดก ลา วหลกั ธรรมปฏบิ ตั ิ และวธิ ปี ฏบิ ตั สิ มถวปิ ส สนากมั มฏั ฐาน ทห่ี ลวงพอ
วัดปากน้ำทานไดปฏิบัติและสอนศิษยานุศิษยใหปฏิบัติตามแนวสติปฏฐาน ๔ ถึงธรรมกาย
ของพระพทุ ธเจา เปน ลำดบั ๆ ไป

22

23

24

บทท่ี ๑ ธรรมอนั เปน อารมณข องวปิ ส สนา
และเปน รากเหงา เปน เหตเุ กดิ /เจรญิ ขนึ้ และตง้ั อยแู หง วปิ ส สนา

○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

ตามพระพทุ ธดำรสั ทไ่ี ดต รสั มหาสตปิ ฏ ฐานสตู ร ดงั ทไี่ ดย กไวเ ปน อทุ เทสในตอนตน
คอื การมสี ตพิ จิ ารณาเหน็ กายในกาย เหน็ เวทนาในเวทนา เหน็ จติ ในจติ และมสี ตพิ จิ ารณา
เหน็ ธรรมในธรรม เปน ทง้ั ณ ภายใน และ ณ ภายนอก

เฉพาะในสว นของ การมสี ตพิ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม เปน ทง้ั ณ ภายใน และ
ภายนอกนน้ั ไดท รงแสดงขอ กำหนด (ปพ พะ) ธรรมอนั เปน อารมณข องวปิ ส สนาไว ๕ ขอ ๑๒
คอื นวิ รณปพ พะ ๑ ขนั ธปพ พะ ๑ อายตนปพ พะ ๑ โพชฌงั คปพ พะ ๑ และอรยิ สจั จปพ พะ ๑

อน่ึง พระพุทธโฆสาจารย ผูรจนาคัมภีรพระวิสุทธิมรรค ไดอรรถาธิบาย ธรรม
อนั เปน อารมณข องวปิ ส สนา ไวโ ดยละเอยี ดไวใ นหมวดปญ ญานเิ ทศ ๖ ขอ คอื ๑) ขนั ธ ๕
๒) อายตนะ ๑๒ ๓) ธาตุ ๑๘ ๔) อนิ ทรยี  ๒๒ ๕) อรยิ สจั ๔ และ ๖) ปฏจิ จสมปุ บาทธรรม ๑๒

ในทางปฏิบัติ ท่ีหลวงพอวัดปากน้ำทานไดปฏิบัติ และสอนในขั้นสมถกัมมัฎฐาน/
ภาวนา และอนปุ ส สนานน้ั ไดก ลา วไปแลว แตใ ครจ ะชแ้ี สดงใหเ หน็ วา หลวงพอ วดั ปากน้ำ
ทา นไดใ ช อบุ ายวธิ สี งบใจในขนั้ สมถภาวนา คอื อาโลกกสณิ ๑ อานาปานสติ ๑ และ
พุทธานุสติ ๑ ประกอบกัน จึงเปนพระกัมมัฏฐานที่มีประสิทธิภาพและมีอานุภาพมาก
อันมีผลใหธรรมอันเปนรากเหงา เปนเหตุเกิด/เจริญขึ้น และต้ังอยูแหงวิปสสนา คือ
สลี วสิ ทุ ธิ และจติ ตวสิ ทุ ธิ เกดิ และเจรญิ ขนึ้ เปน อยา งดี

“จติ ตวสิ ทุ ธ”ิ คอื ความหมดจดแหง จติ คอื บรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสจากนวิ รณปู กเิ ลส เปน จติ ท่ี
ออ นโยน ควรแกง านเจรญิ อภญิ ญาและวชิ ชา คณุ เครอื่ งใหเ หน็ แจง รแู จง สภาวธรรมและ
อรยิ สจั จธรรมตามทเี่ ปน จรงิ และเปน คณุ เครอ่ื งชว ยกำจดั อวชิ ชามลู รากฝา ยเกดิ ทกุ ข
ทง้ั ปวง

อนง่ึ วปิ ส สนายอ มเกดิ และเจรญิ ขนึ้ ไดจ ากสมาธิ ตง้ั แตร ะดบั “อปุ จารสมาธ”ิ

๑๒ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๐ ทฆี นกิ าย มหาวรรค ขอ ๒๙๐-๒๙๙ หนา ๓๓๕-๓๕๐.

25

26 ตอนที่ ๒ ข้นั วปิ ส สนาภาวนา

ขน้ึ ไปถงึ จตตุ ถฌาน กลา วคอื เมอื่ ผปู ฏบิ ตั ภิ าวนา หรอื พระโยคาวจร เจรญิ สมถกมั มฏั ฐาน
ถอื เอาอคุ คหนมิ ติ ได คอื เหน็ นมิ ติ ใสแจม ตดิ ตาชว่ั คราว ระดบั นจี้ ติ สงบตง้ั มน่ั ไดช ว่ั คราว
ชอื่ วา “อปุ จารสมาธิ” และระดบั “อปั ปนาสมาธิ” อนั เปน เบอื้ งตน ของปฐมฌาน กลา วคอื
ตอ เมอ่ื ผปู ฏบิ ตั สิ มถภาวนาถอื เอาปฏภิ าคนมิ ติ ได คอื เหน็ นมิ ติ ใสแจม ตดิ ตาตดิ ใจไดน าน จติ
เปน สมาธติ ง้ั มน่ั ไดน าน นเ้ี ปน สมาธจิ ติ ระดบั “อปั ปนาสมาธ”ิ อนั เปน เบอื้ งตน ของปฐมฌาน
(ประกอบดวยวิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตา) อันใหสามารถพัฒนาจาก ปฐมฌาน เปน
ทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน และถงึ จตตุ ถฌาน ไดส ะดวก

รปู ฌาน ๔ นี้ เปน สมาธติ งั้ มน่ั และออ นโยนควรแกง านเจรญิ อภญิ ญาและวชิ ชา
คุณเคร่ืองชวยใหเห็นแจง/รูแจงสภาวธรรมและอริยสัจจธรรมตามท่ีเปนจริง จึงชื่อวา

“สมั มาสมาธ”ิ ๑ ในอรยิ มรรคมอี งค ๘

เม่ือผูเจริญภาวนาอาศัยอุบายวิธี ๓ อยางประกอบกัน อันเปนอุบายวิธีท่ีใหจิตสงบ
ตั้งม่ัน ไดอยางมีประสิทธิภาพ ตามท่ีหลวงพอวัดปากนำ้ ทานไดปฏิบัติและแนะนำส่ังสอน
ประกอบกบั อบุ ายวธิ ใี หใ จ (ความเหน็ ดว ยใจ-ความจำ-ความคดิ -ความร)ู รวมหยดุ ลง ณ
ศูนยกลางกาย (ฐานที่ ๗) อันเปนที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิมน้ัน จิตใจดวงเดิมที่ตั้งอยู
กลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายมนษุ ยน น้ั ปลอ ยนมิ ติ และตกศนู ย (คอื ดบั - เหน็ วา ง หายไป)
ไปยงั ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๖ ปรงุ (ดว ยศลี กศุ ล และภาวนากศุ ล เปน ตน ) เปน จติ ใจดวงใหม
เปน “กศุ ลจติ ” ประกอบดว ย วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ และ เอกคั คตา ตง้ั อยกู ลาง “ดวงธรรม”
ทท่ี ำใหเ ปน กาย ทบี่ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใสจากกเิ ลสนวิ รณ ลอยเดน ใสแจม ขน้ึ มา หยดุ นงิ่ ตรงศนู ย
กลางกายฐานท่ี ๗ จงึ เปน จติ ตง้ั มน่ั และบรสิ ทุ ธิ์ ผอ งใส ควรแกง าน โดยแท

โดยนยั นี้ “อภญิ ญา” คอื คณุ วเิ ศษตา งๆ มีทพิ พจกั ขุ ทพิ พโสต เปน ตน ยอ มเกดิ และ
เจรญิ ขนึ้ ชว ยใหเ จรญิ “วชิ ชา” ไดแ ก วชิ ชา ๓ วชิ ชา ๘ คณุ เครอื่ งใหร เู หน็ สภาวธรรม
และสัจจธรรมดวยการที่ไดทั้งรู และทั้งเห็น กลาวคือ เม่ือพระโยคาวจรหรือผูปฏิบัติ
วปิ ส สนาประสงคจ ะยกธรรมอนั เปน อารมณข องวปิ ส สนาใดขน้ึ พจิ ารณา ยอ มสามารถ
เจริญปญญาจากการท่ีไดท้ังรูและท้ังเห็นแจงสภาวธรรมและสัจจธรรมตามท่ีเปนจริง
ตามรอยบาทพระพทุ ธองค (ตามระดบั ภมู ธิ รรมทป่ี ฏบิ ตั ไิ ด)

ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา 27

ความจรงิ แทแ ลว ผทู เี่ จรญิ ภาวนา หรอื ปฏบิ ตั สิ มถวปิ ส สนากมั มฏั ฐานขนึ้ (ใหเ จรญิ ได)
ยอ มเปน บคุ คลผไู ดเ คยประกอบบญุ กศุ ลคณุ ความดี มที านกศุ ล ศลี กศุ ล และภาวนากศุ ล
เปน ตน สง่ั สมมากอ นแลว ตงั้ แตอ ดตี ชาติ ถงึ ภพชาตปิ จ จบุ นั แตข ณะปจ จบุ นั กอ นอบรมจติ
(จติ ตสกิ ขา) เมอื่ ยงั ประมาท ขาดสตสิ มั ปชญั ญะ ดว ยปญ ญาอนั เหน็ ชอบอยู กป็ ระพฤติ
ผิดศีลผิดธรรมไปตามสวน ปลอยจิตใจใหเปดชองเปดโอกาส ใหกิเลสจรเขามาผสม
ปนเปน อยดู ว ยกนั กบั บญุ กศุ ล ทำนอง “วดั กเ็ ขา -เหลา กด็ มื่ ” ประพฤตติ นเสพสขุ อยดู ว ย
“กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค” คอื ประพฤตสิ ดุ โตง ไปขา งหาความสขุ สบาย ดว ยรปู -เสยี ง-กลนิ่ -รส-
สงิ่ สมั ผสั ทางกาย ทนี่ า กำหนดั ยนิ ดี และตดิ อยกู บั ลาภ-ยศ-สกั การะสรรเสรญิ -สขุ เปน ตน ทำให
จิตใจขุนมัวดวยกิเลสนิวรณ จึงไมเห็นดวงธรรมท่ีทำใหเปนกายท่ีบริสุทธ์ิผองใส ดวย
บญุ กศุ ลระดบั ตา งๆ นนั้

ตอ เมอ่ื กระทำคณุ ความดี สง่ั สมบญุ กศุ ลแกก ลา ขน้ึ กวา บาปอกศุ ล บญุ กศุ ลจงึ จะชว ย
กระตนุ เตอื นใหป รารถนาทจ่ี ะแสวงหาความสงบกาย-สงบใจ และสจั จธรรม ดว ยการสนใจ
เขาศึกษาสัมมาปฏิบัติพระสัทธรรม เร่ิมดวยการฟงเทศนฟงธรรม ศึกษาหาความรูจากครู
อาจารย ผูรูธรรม และ/หรือ จากตำรับตำรา/คัมภีรตางๆ พอใหเขาใจเหตุและผลดีของ
การศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ิ ครน้ั มจี ติ ใจนอ มเขา สกู ระแสธรรมมากขน้ึ จงึ เขา ศกึ ษาอบรมกาย-
วาจา-ใจ โดยทานกศุ ล ศลี กศุ ล และภาวนากศุ ล เปน ตน ในสำนกั ของคณุ ครอู าจารยต า งๆ
ทตี่ นถกู อธั ยาศยั และเลอื่ มใสศรทั ธา-เชอ่ื ถอื -นบั ถอื

สำหรับการเจริญภาวนาตามแนวสติปฏฐาน ๔ ถึงธรรมกายของพระพุทธเจา ที่
หลวงพอ วดั ปากนำ้ พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ทา นปฏบิ ตั ไิ ดผ ลดแี ลว แนะนำ สง่ั สอน
ศษิ ยานศุ ษิ ยน น้ั ในเบอ้ื งตน การเจรญิ สมถภาวนา โดยมศี ลี เปน บาทฐาน ใหจ ติ ใจสงบ ใหใ จ
หยดุ ใจนง่ิ ดว ยอบุ ายวธิ ที ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ ๓ อยา ง คอื อาโลกกสณิ ๑ อานาปานสติ ๑ และ
พทุ ธานสุ ติ ๑ ประกอบกนั ใหใ จเปน สมาธแิ นบแนน มนั่ คง ถงึ ขน้ั ฌานจติ ตง้ั แตป ฐมฌาน
ขน้ึ ไป จงึ เกดิ องคค ณุ (องค ๕) ไดแ ก วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ และ เอกคั คตา เปน คณุ เครอ่ื ง
กำจัดกิเลสนิวรณเคร่ืองก้ันปญญา (ถีนมิทธะ วิจิกิจฉา พยาบาท อุทธัจจกุกกุจจะ และ
กามฉนั ทะ) ใหจ ติ ใจตงั้ มนั่ ผอ งใส และออ นโยน ควรแกง าน และใหไ ดเ ขา ถงึ ธรรมในธรรม

28 ตอนที่ ๒ ขน้ั วปิ สสนาภาวนา

เริ่มต้ังแต “มนุษยธรรม” ที่เคยไดประกอบบำเพ็ญบุญกุศลคุณความดีดวยทานกุศล
ศลี กศุ ล ภาวนากศุ ล เปน ตน มากอ นแลว (ปพุ เฺ พ กตปุ ญฺ ตา) เหน็ เปน ดวงใสแจม ปรากฏ
ขนึ้ ณ ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๗ (เหนอื ระดบั สะดอื ๒ นว้ิ มอื ) เปน ทต่ี ง้ั “กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ”
ไดแ ก ธาตลุ ะเอยี ดของ “รปู ขนั ธ” ซงึ่ ขยายสว นหยาบออกมาเปน “ดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน
กาย (มนษุ ย) ” ซง่ึ มธี าตลุ ะเอยี ดของ “ธาตนุ ำ้ ” เปน ดวงใสเลก็ ๆ อยสู ว นหนา “ธาตดุ นิ ”
เปน ดวงใสเลก็ ๆ อยทู างดา นขวา “ธาตไุ ฟ” เปน ดวงใส อยทู างดา นหลงั และ “ธาตลุ ม”
เปน ดวงใส อยดู า นซา ย ทำหนา ทค่ี วบคมุ สว นทเ่ี ปน ของเหลว ของหยาบแขง็ อณุ หภมู ิ
และลมปราณทปี่ รนเปรออยใู นรา งกาย ใหอ ยใู นสภาวะพอเหมาะ และปรงุ แตง ธาตหุ ยาบ
ไดแ ก อาหาร เครอ่ื งดมื่ และลมหายใจเขา -ออก หลอ เลย้ี งรา งกาย และใหเ จรญิ เตบิ โต
เปน กายเนอ้ื และยงั มธี รรมชาติ ๔ อยา งของใจ คอื “ดวงเหน็ ” ทข่ี ยายสว นหยาบออกมา
จากธาตลุ ะเอยี ดของเวทนาขนั ธ มขี นาดประมาณเทา เบา ตาของผเู ปน เจา ของ “ดวงจำ”
ซงึ่ ขยายสว นหยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของสญั ญาขนั ธ มขี นาดเทา ดวงตาทงั้ หมดของผู
เปน เจา ของ “ดวงคดิ ” หรอื “ดวงจติ ” ซง่ึ ขยายสว นหยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของ
สงั ขารขนั ธ มขี นาดประมาณเทา ดวงตาดำ แตใ สบรสิ ทุ ธิ์ ลอยอยใู นเบาะน้ำเลยี้ งของหวั ใจ
ประมาณเทา ๑ ซองมอื ของผเู ปน เจา ของ และ “ดวงร”ู ซง่ึ ขยายสว นหยาบออกมาจาก
วญิ ญาณขนั ธ ขนาดเทา แววตา ใสสวา งบรสิ ทุ ธติ์ ามระดบั ภมู ธิ รรม

ดวงเหน็ ตงั้ ซอ นอยตู รงกลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย ดวงจำ ตงั้ ซอ นอยตู รง
กลางดวงเหน็ ดวงคดิ ตง้ั ซอ นอยตู รงกลางดวงจำ และ ดวงรู ตงั้ ซอ นอยตู รงกลางดวงคดิ
คอื ตงั้ ซอ นอยตู รงกลางของกลาง จากหยาบไปหาละเอยี ดถงึ สดุ ละเอยี ด คอื “ดวงรู”

“ดวงธรรมที่ทำใหเปนกาย” ประกอบดวยธาตุละเอียดของ มหาภูตรูป ๔ คือ
ธาตนุ ำ้ -ธาตดุ นิ -ธาตไุ ฟ-ธาตลุ ม และ ตรงกลางเปน “อากาศธาตุ” กลางอากาศธาตเุ ปน
“วญิ ญาณธาตุ” รวมเปน ธาตุ ๖ เมอ่ื ธาตทุ งั้ ๖ นมี้ ารวมกนั ตรงศนู ยก ลางกาย หลวงพอ
วดั ปากนำ้ ทา นเรยี กชอ่ื วา “ดวงปฐมมรรค” เพราะเปน หนทางเบอื้ งตน ไปสมู รรคผลนพิ พาน
ถา ธาตทุ งั้ ๔ (ธาตนุ ำ้ -ดนิ -ไฟ-ลม) วปิ รติ แปรปรวน ไมไ ดส ว น ผนู นั้ กเ็ จบ็ ไข ถา ธาตทุ งั้ ๖
ของผใู ดแตกสลาย คมุ กนั ไมต ดิ ผนู นั้ ถงึ ความแตกดบั คอื ตาย

ตอนที่ ๒ ข้นั วปิ ส สนาภาวนา 29

“ดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย” ซง่ึ ขยายสว นหยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของ “รปู ขนั ธ”
ทม่ี มี าตง้ั แตม าตงั้ ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณในมดลกู มารดา เปน “กลลรปู ” เปน ทรี่ วมของมหาภตู รปู ๔
และขยายสว นหยาบออกมาเปน กายเนอ้ื นเี้ อง คอื สว นทเ่ี ปน “รปู ขนั ธ” กลา วคอื “รปู ธรรม”

และเปน ทตี่ งั้ ของธรรมชาติ ๔ อยา ง ของใจ (ดวงเหน็ -ดวงจำ-ดวงคดิ -ดวงรู) ซงึ่ ขยายสว น

หยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของ “นามขนั ธ ๔” ทตี่ ง้ั ซอ นกนั เปน ชน้ั ๆ กนั เขา ไปขา งในนนั้ เอง

คอื สว นทเ่ี ปน “นามขนั ธ ๔” กลา วคอื “นามธรรม” ทไ่ี มอ าจเหน็ ไดด ว ยสายตาเนอื้ ดงั ท่ี
พระพทุ ธองคไ ดต รสั วา “เหน็ ไดย าก” ดงั พระพทุ ธดำรสั วา ๑๓

“สทุ ทุ ทฺ สํ สนุ ปิ ณุ ํ ยตถฺ กามนปิ าตนิ ํ
จติ ตฺ ํ รกเฺ ขถ เมธาวี จติ ตฺ ํ คตุ ตฺ ํ สขุ าวห”ํ

แปลความวา

“ผูมีปญญา พึงรักษาจิตท่ีเห็นไดยากนัก ละเอียดนัก มักตกไป
ในอารมณท นี่ า ใคร [เพราะวา ] จติ ทค่ี มุ ครองแลว นำสขุ มาให”

ดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย (รปู ขนั ธ ๑) และเหน็ -จำ-คดิ -รู คอื “ใจ” (นามขนั ธ ๔)

รวมเปน ขนั ธ ๕ สว นละเอยี ด นเี้ อง ทข่ี ยายสว นหยาบออกมาเปน กายเนอื้ และจติ ใจของมนษุ ย

หรอื สตั วโ ลกทงั้ หลาย อนั

ก. เปน สภาพไมเ ทย่ี ง (อนจิ จฺ )ํ คอื เปลย่ี นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั เหตปุ จ จยั ฝา ย
บญุ กศุ ลปรงุ แตง ชอ่ื วา “ปญุ ญาภสิ งั ขาร” เหตปุ จ จยั ฝา ยบาปอกศุ ลปรงุ แตง ชอื่ วา
“อปญุ ญาภสิ งั ขาร” เหตปุ จ จยั ทไ่ี มห วนั่ ไหว ไดแ ก สมาธจิ ติ ตงั้ แตป ญ จมฌานถงึ อรปู ฌาน ๔
ชอ่ื วา “อเนญชาภสิ งั ขาร”

ข. ทนอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ดน านตลอดไป เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ํ) และ

ค. ตอ งแตกสลายหมดสภาพเดมิ ของมนั ไปในทส่ี ดุ ไมม สี าระในความเปน ของเทยี่ ง
ไมม สี าระในความเปน สขุ ทถี่ าวรตลอดไป และไมม สี าระในความเปน ตวั ตนทถ่ี าวรแทจ รงิ
ของใครผใู ด ชอื่ วา เปน อนตั ตา (อนตตฺ า)

๑๓ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ขอ ๑๓ หนา ๑๙.

30 ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปส สนาภาวนา

ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย อนั ประกอบดว ย “มหาภตู รปู ๔” ตง้ั แตก ายสดุ หยาบ คอื
“กายเนอ้ื ” ไปจนสดุ กายละเอยี ด คอื กายอรปู พรหม เปน ทตี่ งั้ ของกศุ ลจติ อนั มที านกศุ ล-
ศลี กศุ ล-ภาวนากศุ ล เปน ตน ชอ่ื วา “กสุ ลา ธมั มา” หรอื เปน ทต่ี งั้ ของอกศุ ลจติ ของผมู ี
ความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ผ่ี ดิ ศลี -ผดิ ธรรม ดว ยเจตนาความคดิ อา นทางใจทปี่ ระกอบดว ยกเิ ลส
ตณั หา อปุ าทาน เปน ตน ชอ่ื วา “อกสุ ลา ธมั มา” และ/หรอื เปน ทต่ี งั้ ของธรรมกลางๆ
ไมด -ี ไมช วั่ ชอื่ วา “อพั ยากตา ธมั มา” นเี้ อง จงึ ประมวลรวมความวา

๑) ธาตุ (มหาภตู รปู ๔ ทขี่ ยายสว นหยาบออกมาเปน กาย) เปน ทต่ี ง้ั ของธรรมฝา ย
บญุ กศุ ล หรือ ฝา ยบาปอกศุ ล หรอื ฝา ยกลางๆ ไมด ไี มช วั่

๒) ดวงธรรมท่ีทำใหเปนกาย ซึ่งขยายสวนหยาบออกมาจากธาตุละเอียดของ
“รปู ขนั ธ” และเปน ทตี่ ง้ั ทอ่ี าศยั ของ “จติ ใจ” คอื “นามขนั ธ ๔” ซงึ่ ขยายสว นหยาบออกมา
จากธาตลุ ะเอยี ดของเวทนาขนั ธ-สญั ญาขนั ธ- สงั ขารขนั ธ-วญิ ญาณขนั ธ ซงึ่ มมี าตงั้ แตม า
ต้ังปฏิสนธิวิญญาณในครรภมารดาเปน “กลลรูป” นี้เอง ที่เปน “ดวงไปเกิด-มาเกิด”
และมสี ภาพไมเ ทย่ี ง (อนจิ จฺ )ํ เพราะตอ งเปลย่ี นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั ฝา ยดี ฝา ยชวั่ และ
ฝา ยกลางๆ เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ )ํ และเปน อนตั ตา (อนตตฺ า)

๓) ความเปลย่ี นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั ฝา ยดี หรอื ฝา ยชว่ั ตามทกี่ ลา วในขอ ๒) นน้ั
เปน ไปตามสายปฏจิ จสมปุ บาทธรรมตลอดสาย ทงั้ ณ ภายใน และ ณ ภายนอก ตราบใดท่ี
“อวชิ ชา” ยงั มอี ยใู นจติ ตสนั ดานของสตั วแ ละทำหนา ทอี่ ยู กลา วคอื

ณ ภายใน ถาเหตุปจจัยฝายบุญกุศลที่ละเอียดประณีตและแกกลายิ่งข้ึนเพียงไร
ปรุงแตงสัตวนั้น กายในกาย ณ ภายในของสัตวน้ันก็บริสุทธ์ิผองใสและโตใหญยิ่งข้ึน
ตามสวนแหงบุญกุศลปรุงแตงน้ัน เปนกายมนุษยละเอียด, กายทิพย-กายทิพยละเอียด,
กายพรหม-กายพรหมละเอยี ด, กายอรปู พรหม-กายอรปู พรหมละเอยี ด เวทนาในเวทนาของ
กายละเอยี ดนนั้ กเ็ สวย “สขุ เวทนา” ทลี่ ะเอยี ดประณตี ยง่ิ ขนึ้ เพยี งนนั้ จติ ในจติ ของสตั วน นั้
กบ็ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสยงิ่ ขน้ึ ไปตามสว น ธรรมในธรรม คอื ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายละเอยี ดนน้ั ๆ
ดว ยบญุ กศุ ลทลี่ ะเอยี ดประณตี แกก ลา เปน บารมี-อปุ บารมี-ปรมตั ถบารมเี พยี งไร กโ็ ตใหญ
ใสบรสิ ทุ ธิ์ มรี ศั มปี รากฏสวา ง มากเพยี งนนั้

ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา 31

ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย นแี้ หละ ทห่ี ลวงพอ วดั ปากนำ้ ทา นเรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา
“ดวงบญุ ” และทา นไดร ไู ดเ หน็ วา “ทะเลบญุ ” อยตู รงนี้ เมอ่ื ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมบำเพญ็ บญุ
กศุ ลคณุ ความดแี กก ลา ยง่ิ ขนึ้ “ดวงบญุ ” นก้ี จ็ ะขยายโตขนึ้ เรอื่ ยๆ จนเตม็ สว น ขนาดประมาณ
เทา ๑ คบื ของผเู ปน เจา ของ หรอื ประมาณเทา ดวงจนั ทรด วงอาทติ ย “ดวงบญุ ” ทขี่ ยายโต
ขนึ้ ประมาณได ๑ คบื น้ี เมอื่ บำเพญ็ กศุ ลคณุ ความดแี กก ลา ขนึ้ จะกลนั่ ตวั เองเปน “บารม”ี
ไดป ระมาณเทา ๑ องคลุ มี อื ของผเู ปน เจา ของ เมอื่ บำเพญ็ กศุ ลคณุ ความดแี กก ลา ยง่ิ ขนึ้ ไป
อกี จนดวงบารมขี ยายโตเตม็ สว นประมาณเทา ๑ คบื ของผเู ปน เจา ของ จะกลนั่ ตวั เองเปน
“อปุ บารม”ี ไดเ ทา ๑ องคลุ มี อื และเมอื่ บำเพญ็ กศุ ลคณุ ความดแี กก ลา อยา งยง่ิ ยวดขนึ้ ไปอกี
จนดวงอุปบารมีขยายโตเต็มสวนประมาณ ๑ คืบของผูเปนเจาของ จะกล่ันตัวเองเปน
“ปรมตั ถบารม”ี ไดป ระมาณ ๑ องคลุ มี อื ของผเู ปน เจา ของ เมอื่ บำเพญ็ ปรมตั ถบารมแี ก
กลา จนดวงปรมตั ถบารมขี ยายโตเตม็ สว นเทา ๑ คบื ของผเู ปน เจา ของครบทง้ั ๑๐ ประการ
คือ ทานปรมัตถบารมี ศีลปรมัตถบารมี เนกขัมมปรมัตถบารมี ปญญาปรมัตถบารมี
วิริยปรมัตถบารมี ขันติปรมัตถบารมี สัจจปรมัตถบารมี อธิษฐานปรมัตถบารมี
เมตตา-ปรมตั ถบารมี และอเุ บกขาปรมตั ถบารมี ซงึ่ พฒั นามาจาก “บญุ ” ทป่ี ระพฤติ
แกก ลา ยง่ิ ยวดขนึ้ เปน บารมี อปุ บารมี และปรมตั ถบารมี ตามลำดบั ชน้ั ละ ๑๐ ประการ
รวมเปน บารมี ๓๐ ทศั ตง้ั อยตู รงกลางของกลางซง่ึ กนั และกนั ตามลำดบั บญุ บารมี ตรง
กลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ นนั่ เอง

บญุ บารมี อปุ บารมี ปรมตั ถบารมี ของผใู ดทไ่ี ดบ ำเพญ็ บญุ กศุ ลคณุ ความดอี ยา งยง่ิ ยวด
แกก ลา จนเตม็ สว น ๓๐ ทศั ดงั กลา วมาแลว นี้ สำหรบั ผปู รารถนาความบรรลมุ รรค-ผล-นพิ พาน
ในระดบั ปรกตสิ าวก เมอ่ื ไดบ ำเพญ็ บญุ กศุ ลคณุ ความดอี ยา งยง่ิ ยวด แกก ลา จนปรากฏดวง
ปรมัตถบารมีเต็มสวนไดประมาณ ๑ คืบของผูเปนเจาของทั้ง ๑๐ ประการ ดังท่ีกลาวมาน้ี
ในภพชาติใด ก็จะสามารถบำเพ็ญสมณธรรมใหไดบรรลุมรรค-ผล-นิพพานไดในภพชาติน้ัน
สว นผปู รารถนาสงู กวา นี้ ไดแ ก ผปู รารถนาความบรรลมุ รรคผลนพิ พานในระดบั อสตี มิ หาสาวก
พุทธอุปฏฐาก พุทธบิดา-พุทธมารดา ถึงพระปจเจกพุทธเจา และพระสัพพัญูพุทธเจา
ผบู ำเพญ็ บารมใี นระดบั ปญ ญาธกิ โพธสิ ตั ว- ศรทั ธาธกิ โพธสิ ตั ว- วริ ยิ าธกิ โพธสิ ตั ว เปน ตน กต็ อ ง

32 ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา

บำเพญ็ บญุ บารมมี ากกวา เปน ระยะเวลายาวนานกวา จนกวา ดวงบญุ บารมี อปุ บารมี
ปรมตั ถบารมี จะเตม็ สว นครบชน้ั ละ ๑๐ ประการ รวมเปน “บารมี ๓๐ ทศั ” ตามศกั ดแิ์ หง
บารมญี าณของแตล ะทา น

ดวงบญุ บารมี อปุ บารมี ปรมตั ถบารมี ทงั้ ๑๐ ประการนี้ เมอ่ื ปฏบิ ตั ไิ ดถ งึ ธรรมกาย
ทลี่ ะเอยี ดๆ และบรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสดแี ลว จะสามารถร-ู เหน็ ไดด ว ย “ญาณรตั นะ” ของพระธรรม
กายทบี่ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสนน่ั เอง และ ญาณรตั นะของธรรมกายนแ้ี หละทใี่ หส ามารถร-ู เหน็
ความเปน ไปของสตั วโ ลกในภพ ๓ คอื กามภพ (ทร่ี วมเทวโลก-มนษุ ยโ ลก-และโลกของ
เปรต สตั วน รก อสรุ กาย และสตั วเ ดรจั ฉาน) รปู ภพ (ภพของรปู พรหม) และ อรปู ภพ (ภพ
ของอรปู พรหม) ตามทเี่ ปน จรงิ ทงั้ สน้ิ และใหส ามารถรเู หน็ ไปถงึ “อายตนะ คอื พระนพิ พาน”
ตามทเี่ ปน จรงิ ตามพระพทุ ธดำรสั ตรสั ไวใ นนพิ พานสตู รท่ี ๑ วา

“อตถฺ ิ ภกิ ขฺ เว ตทายตน.ํ ยตถฺ เนว ปฐวี น อาโป น เตโช
น วาโย น อากาสานจฺ ายตนํ น วิ ญฺ าณจฺ ายตนํ น อากิ จฺ ญฺ ายตนํ
น เนวสญฺ านาสญฺ ายตนํ นายํ โลโก น ปรโลโก น อโุ ภ จนทฺ มิ สรุ ยิ า
ตมหํ ภกิ ขฺ เว เนว อาคตึ วทามิ น คตึ น ฐติ ึ น จตุ ึ น อปุ ปฺ ตตฺ ึ
อปปฺ ตฏิ ฐ ํ อปปฺ วตตฺ ํ อนารมมฺ ณเมว ตํ เอเสวนโฺ ต ทกุ ขฺ สสฺ าต.ิ ”๑๔

แปลความวา

“ภกิ ษทุ งั้ หลาย อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นน้ั มอี ย.ู
ดนิ น้ำ ไฟ ลม อากาสานญั จายตนะ วญิ ญานญั จายตนะ อากญิ จญั -
ญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกน้ี โลกหนา พระจันทรและ
พระอาทติ ยท งั้ สอง ยอ มไมม ใี นอายตนะ [คอื พระนพิ พาน] น้ัน.
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ มไมก ลา วซงึ่ อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นนั้ วา
เปน การมา เปน การไป เปน การตงั้ อยู เปน การจตุ ิ เปน การอบุ ตั ิ.
อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นนั้ หาทต่ี ง้ั อาศยั มไิ ด มไิ ดเ ปน ไป หา
อารมณม ไิ ด. [พระนพิ พาน] นน้ั แล เปน ทสี่ ดุ แหง ทกุ ข. ”

๑๔ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย อทุ าน ขอ ๑๕๘ หนา ๒๐๖-๒๐๗.

ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปสสนาภาวนา 33

เมื่อผูปฎิบัติพระสัทธรรม-ไตรสิกขาไดแกกลาย่ิงขึ้น เปนอธิศีล-อธิจิต-อธิปญญา
ปฐมมรรค-มรรคจิต-มรรคปญญา, ถึงพุทธธรรม ตั้งแตโคตรภูญาณขึ้นไป ก็จะปรากฏ
กายธรรม หรอื “ธรรมกาย” ตง้ั แต ธรรมกายโคตรภู ซง่ึ มขี นาดหนา ตัก ความสงู และ
เสนผาศูนยกลางดวงธรรมประมาณ ๔ วาครึ่งขึ้นไป และตอๆ ไปถึงธรรมกายอรหัต ซึ่งมี
ขนาดหนา ตกั ความสงู และเสน ผา ศนู ยก ลางดวงธรรม ๒๐ วาขนึ้ ไป บรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสและมี
รศั มสี วา งยง่ิ นกั

เม่ือเจริญภาวนารวมใจใหหยุดใหนิ่ง ถูกศูนยถูกสวน ตรงกลางของกลางกำเนิด
ธาตธุ รรมเดมิ ของกายในกาย สดุ กายหยาบ-กายละเอยี ดตอ ๆ ไปจนสดุ ละเอยี ด ของกายใน
ภพ ๓ และไดถ งึ กายธรรมกายเพยี งไร “อภญิ ญา” คณุ ธรรมอนั เปน ความสามารถพเิ ศษ
ไดแ ก ทพิ พจกั ษ-ุ ทพิ พโสต เปน ตน ยอ มเจรญิ ขน้ึ ถงึ สมนั ตจกั ษุ และ พทุ ธจกั ษุ ใหผ ปู ฏบิ ตั ิ
สามารถรเู หน็ ความเปน ไปของสตั วโ ลก ทงั้ ใน “สคุ ตภิ พ” ไดแ ก ภพมนษุ ย, เทวโลก, มารโลก,
พรหมโลก, อรปู โลก และทง้ั ใน “ทคุ คตภิ พ” อนั เปน ภพภมู เิ บอื้ งต่ำ ไดแ ก ภพภมู ขิ องเปรต
อสรู กาย สตั วน รก และ สตั วเ ดรจั ฉาน และแมส ตั วน รกโลกนั ตท เี่ กาะอยตู ามขอบจกั รวาล
อยูภ ายนอกระหวางจักรวาล และใหสามารถเขาถึงและไดรูเห็นถึงโลกุตตรภูมิ อันเปน
ภมู ธิ รรมทสี่ งู พน โลก ไดแ ก “อายตนะคอื พระนพิ พาน” เปน ทส่ี ถติ อยขู องพระนพิ พานธาตุ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา และ ของพระอรหันตขีณาสพ ผูดับ
ขนั ธปรนิ พิ พานดว ยอนปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุ เปน อมตธรรม มรี ศั มสี วา งไสว เสวยบรม
สขุ อยา งถาวร อยเู ตม็ พระนพิ พาน นบั พระพทุ ธเจา และพระอรหนั ตขณี าสพ ทดี่ บั
ขนั ธปรนิ พิ พานดว ยอนปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุ สถติ อยใู นอายตนะคอื พระนพิ พานตอ ๆ ไป
นบั อสงไขยอายธุ าตอุ ายบุ ารมไี มถ ว น

แตกายในกาย ณ ภายใน ละเอียดและใสบริสุทธ์ิย่ิงๆ ข้ึนไปน้ี ผูปฏิบัติธรรม
จะสามารถปฏบิ ตั เิ ขา ถงึ ไดร -ู เหน็ หรอื ไมเ พยี งไร ขนึ้ อยทู วี่ ธิ ปี ฏบิ ตั ภิ าวนา อบรมใจให
สงบ-ใหห ยดุ -ใหน ง่ิ ถกู ศนู ยถ กู สว น ตรงกลางของกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ของกาย
ในกาย อนั เปน ทต่ี งั้ ของจติ ในจติ และธรรมในธรรม ใหท พิ พจกั ษ-ุ สมนั ตจกั ษ-ุ พทุ ธจกั ษุ
เกดิ และเจรญิ ขน้ึ ไดเ พยี งไร กจ็ ะสามารถร-ู เหน็ ไดเ พยี งนน้ั

34 ตอนท่ี ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา

สว น ผทู ปี่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน บาปอกศุ ล ดว ยเจตนาความคดิ อา นทางใจทส่ี มั ปยตุ
ดว ยกเิ ลส ตณั หา อปุ าทาน ยอ มเปน เหตปุ จ จยั ใหจ ติ ใจเศรา หมอง ไมผ อ งใส เปลย่ี นภพ/
ภมู เิ ปน “ทคุ คต”ิ ทนั ที ตามสายปฏจิ จสมปุ บาทธรรม ใหก ายในกายซอมซอ เศรา หมอง
เวทนาในเวทนา กเ็ ปน ทกุ ขเวทนา จติ ในจติ กข็ นุ มวั เศรา หมอง ธรรมในธรรมกเ็ ปน
อกศุ ลธรรม (อกสุ ลาธมั มา) ปรงุ แตง ชอื่ วา “อปญุ ญาภสิ งั ขาร” จติ ใจยอ มมดื มวั ใหไ ม
สามารถจะรูเห็นนรก-สวรรค-นิพพานไดเลย

สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา จงึ ไดต รสั วา ๑๕
“จติ เฺ ต สงกฺ ลิ ฏิ เ ฐ ทคุ คฺ ติ ปาฏกิ งขฺ า.
เมอ่ื จติ เศรา หมองแลว ทคุ คตเิ ปน อนั หวงั ได” และวา
“จติ เฺ ต อสงกฺ ลิ ฏิ เ ฐ สคุ ติ ปาฏกิ งขฺ า.
เมอื่ จติ ไมเ ศรา หมอง [ผองใส] แลว สคุ ตเิ ปน อนั หวงั ได”

เพราะฉะนน้ั ผปู ระพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรม ดว ยการศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ไิ ดส งู ขน้ึ เพยี งไร ยอ ม
ไดรับผลเปนวิบากจากบุญกุศลปรุงแตง ใหเปนผูมีสติปญญารอบรูบาป-บุญ คุณ-โทษ,
รผู ดิ -ชอบ ชวั่ -ด,ี รอบรทู างเจรญิ ทางเสอื่ มแหง ชวี ติ ตามทเ่ี ปน จรงิ จงึ เลอื กดำเนนิ ชวี ติ ไปสู
ความสำเรจ็ ถงึ ความเจรญิ รงุ เรอื ง และสนั ตสิ ขุ ในชวี ติ และถงึ ความพน ทกุ ข ไดด กี วา ผไู ม
สนใจศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ธิ รรม และกลบั ประกอบกรรมอนั เปน บาปอกศุ ล ประพฤตผิ ดิ ศลี ผดิ
ธรรม ตดิ อยใู นอบายมขุ ใหไ ดร บั ผลเปน โทษเปน ความทกุ ขเ ดอื ดรอ นทงั้ ในภพชาตปิ จ จบุ นั และ
ในสมั ปรายภพตอ ๆ ไปไมม ที ส่ี น้ิ สดุ

สีลวิสุทธิ ความหมดจดแหงศีล และ จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแหงจิต นี้เอง คือ
ธรรมเปน รากเหงา เปน เหตเุ กดิ /เจรญิ ขนึ้ และตง้ั อยแู หง วปิ ส สนา และเปน ปทฏั ฐาน คอื
เหตใุ กลแ หง ปญ ญา ดว ยประการฉะนี้ สมดงั ทสี่ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดต รสั ไวว า ๑๖

“สมาธึ ภกิ ขฺ เว ภาเวถ. สมาหโิ ต ยถาภตู ํ ปชานาต”ิ
“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทงั้ หลายจงยงั สมาธใิ หเ กดิ . ชนผมู สี มาธิ ยอ ม
รตู ามจรงิ [วา นท้ี กุ ข นท้ี กุ ขสมทุ ยั นที้ กุ ขนโิ รธ นที้ กุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา].”

๑๕ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๒ มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก ขอ ๙๒ หนา ๖๔.
๑๖ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๑๖๕๔ หนา ๕๒๐.

ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา 35

บทที่ ๒ วิสุทธิ ๕ : ธรรมเปนตัววิปสสนา

○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

วสิ ทุ ธิ ๕ ธรรมอนั เปน ตวั วปิ ส สนา ไดแ ก ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ความเหน็ ) ๑
กงั ขาวติ รณวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหงปญญาท่ีขามพนความสงสัย) ๑ มัคคามัคคญาณ-
ทัสสนวิสุทธิ (ความหมดจดแหงปญญารูเห็นวาเปนทางหรือมิใชทาง) ๑ ปฏิปทาญาณ-
ทสั สนวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ปญ ญาเครอื่ งรเู หน็ ทางดำเนนิ ทถี่ กู คอื ในทางทจ่ี ะใหอ รยิ มรรค
เกดิ ขนึ้ ) ๑ และญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ปญ ญาเครอ่ื งรเู หน็ ) ๑

เมื่อพระโยคาวจรเจริญ “อนุปสสนา” ไดแก กายานุปสสนาสติปฏฐาน เวทนานุ-
ปสสนาสติปฏฐาน จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน และธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน เขาถึง
กายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม ทล่ี ะเอยี ดเขา ไปจนสดุ ละเอยี ดของ
ธรรมในภพ ๓ คอื กามภพ รปู ภพ อรปู ภพแลว ใหใ จของอรปู พรหมละเอยี ด เจรญิ ภาวนา
หยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ ตอ ไป จนปลอ ยวางเบญจขนั ธข องกายในภพ ๓ นไี้ ด กจ็ ะปรากฏ
กายธรรม ใหผ ปู ฏบิ ตั ภิ าวนานน้ั ดบั หยาบไปหาละเอยี ด ไดเขา ถงึ และไดท ง้ั ร-ู ทง้ั เหน็ และ
ทง้ั เปน “ธรรมกาย” ทสี่ ดุ ละเอยี ดเขา ไปเพยี งไร กส็ ามารถ ยกสงั ขารธรรม (อปุ าทนิ นกสงั ขาร
และอนุปาทินนกสังขาร) ข้ึนพิจารณา ใหเห็นแจงสภาวะของสังขารธรรมท้ังหลายดวย
ปญญาวา เปนสภาพไมเที่ยง (อนิจฺจํ) เปนทุกข (ทุกฺขํ) และเปนสภาพมิใชตน (อนตฺตา)
เจริญวิปสสนาผาน กังขาวิตรณวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ถึง
ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ อยนู นั้ “วปิ ส สนาปญ ญา” อนั เปน โลกยิ ปญ ญา กลา วคอื เปน
ปญญาอันสัมปยุตดวยโลกิยมรรค ยอมเกิดและเจริญข้ึน เปนบาทฐานนำไปสูการเจริญ
“โลกุตตรปญญา” คือ ปญญาอันสัมปยุตดวยโลกุตตรมรรค ไดแก โคตรภูญาณ และ
มรรคญาณ คือ ญาณในอริยมรรค ๔ คือ โสดาปตติมรรค ๑ สกทาคามิมรรค ๑
อนาคามมิ รรค ๑ และอรหตั ตมรรค ๑ ชอ่ื วา “ญาณทสั สนวสิ ทุ ธ”ิ

วปิ ส สนาตอ จากปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ พระโยคาวจรยอ มกำหนดรู “วปิ ส สนปู -
กเิ ลส” อนั อาจเกดิ ขนึ้ ยกขนึ้ สไู ตรลกั ษณแ ลว ดำเนนิ วปิ ส สนาญาณ ๙ (ตง้ั แต อทุ ยพั พยญาณ
ถงึ อนโุ ลมญาณ หรอื สจั จานโุ ลมกิ ญาณ คือ ปรชี าญาณอนั สมควรกำหนดรอู รยิ สจั ๔)

36 ตอนท่ี ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา

เฉพาะผูปฏิบัติสมถวิปสสนาตามแนวสติปฏฐาน ๔ ไดถึง “ธรรมกาย” ยอมได
“โคตรภญู าณ” โดยไมต อ งผา นวปิ ส สนปู กเิ ลส พระโยคาวจรยอ มอาศยั โคตรภญู าณ ของ
ธรรมกายทส่ี ดุ ละเอยี ด ทไ่ี ดเ ขา ถงึ และยดึ หนว งพระนพิ พานเปน อารมณ มรรคจติ
และมรรคปญญา ยอมเกิดและเจริญขึ้น โดยการพิจารณาอริยสัจ ๔ ในกายมนุษย
กายทพิ ย กายรปู พรหม และกายอรปู พรหม ใหเ หน็ แจง โดยญาณ ๓ (สจั จญาณ กจิ จญาณ
กตญาณ) มอี าการ ๑๒ นชี้ อ่ื วา “ญาณทสั สนวสิ ทุ ธ”ิ ความหมดจดแหง ปญ ญาอนั ไดท ง้ั รู
และทงั้ เหน็ อรยิ สจั ๔ ทง้ั ร-ู ทงั้ เหน็ สภาวะของสงั ขารธรรมทงั้ ปวง และวสิ งั ขารธรรม คือ
พระนพิ พาน ตามทเ่ี ปน จรงิ เปน “โลกตุ ตรปญ ญา โดยแท เพราะเปน ปญ ญาอนั สมั ปยตุ
ดว ยโลกตุ ตรมรรค (โสดาปต ตมิ รรค สกทาคามมิ รรค อนาคามมิ รรค อรหตั ตมรรค)

อนงึ่ คำวา “มรรคจติ ” คอื จติ ทสี่ มั ปยตุ ดว ยมรรค และ“มรรคปญ ญา” คอื ปญ ญา
อนั สมั ปยตุ ดว ยมรรคนนั้ ยอ มพฒั นา คอื เจรญิ มาจากสมถวปิ ส สนานนั่ เอง ดงั ทพ่ี ระพทุ ธ-
โฆสาจารย ไดอ รรถธบิ ายไวใ นคมั ภรี ม โนรถปรู ณวี า ๑๗

“พระพทุ ธพจนว า จติ ตฺ ํ ภาวยี ติ ความวา มรรคจติ อนั สมถะใหเ จรญิ
คอื ใหเ พม่ิ พนู ใหพ ฒั นาขนึ้ ... พระพทุ ธพจนว า ปญฺ า ภาวยี ติ ความวา
มรรคปญญาอันวิปสสนาใหเจริญ คือ ใหเพิ่มพูน ใหพัฒนาข้ึน ...
สหชาตธรรมทงั้ ๒ [ธรรมทเ่ี กดิ พรอ มกนั ] คอื มรรคจติ และมรรคปญ ญา
พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั แลว ดว ยประการน”ี้

ในทางปฏิบัติ ธรรมกายมรรค (พระโสดาปตติมรรค พระสกทาคามิมรรค พระ
อนาคามมิ รรค และพระอรหตั ตมรรค) ยอ มปรากฏขน้ึ ปหาน (ละ) สญั โญชนไ ดแ ลว ตกศนู ย
ในขณะจติ นนั้ ธรรมกายผล กป็ รากฏขนึ้ ใสแจม มรี ศั มสี วา ง เขา ผลสมาบตั ิ และ ยอ มมี
ญาณหยงั่ รู (โดยพจิ ารณาปจ จเวกขณ) มรรค-ผล-นพิ พาน ตามระดบั ภมู ธิ รรมทป่ี ฏบิ ตั ไิ ด

อนงึ่ ถา พระโยคาวจรนน้ั ไดบ รรลมุ รรคผลทต่ี ่ำกวา พระอรหตั ตมรรค/ผล ยงั จดั เปน
เสขบคุ คลอยู ยอ มพจิ ารณาร-ู เหน็ กเิ ลสทล่ี ะได และกเิ ลสทย่ี งั เหลอื อยอู กี ดว ย แตถ า ได
บรรลพุ ระอรหตั ตมรรค/ผล เปน อเสขบคุ คลแลว กไ็ มต อ งพจิ ารณากเิ ลสทเ่ี หลอื เพราะยอ ม
มีญาณหยั่งรูวาส้ินอาสวกิเลสโดยเด็ดขาดแลว

๑๗ คมั ภรี ม โนรถปรู ณี อรรถกถาองั คตุ ตรนกิ าย ทกุ นบิ าต ภาค ๒ หนา ๓๐-๓๑.

ตอนท่ี ๒ ขัน้ วิปส สนาภาวนา 37

ธรรมอนั เปน รากเหงา เปน เหตเุ กดิ /เจรญิ ขนึ้ และตง้ั อยแู หง วปิ ส สนา ๒ ประการคอื
สลี วสิ ทุ ธิ และจติ ตวสิ ทุ ธิ กบั วสิ ทุ ธิ ๕ รวมเปน วสิ ทุ ธิ ๗ เปน เหมอื นรถ ๗ ผลดั นำผู
เจรญิ สมถวปิ ส สนากมั มฏั ฐาน/ภาวนา ไปใหถ งึ มรรคผลนพิ พาน ดว ยประการฉะน้ี

บทที่ ๓ ลักษณะของวิปสสนา

○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

ลกั ษณะของวปิ ส สนาอนั ใหเ จรญิ “วปิ ส สนาปญ ญา” คอื ไตรลกั ษณ (ลกั ษณะ ๓)
หรือ สามัญญลักษณะ คือ ความเปนเองของสังขารธรรมท้ังปวง เปนสภาพไมเท่ียง
(อนจิ จฺ )ํ ตอ งเปลย่ี นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั ทนอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ดน าน เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ )ํ
และไมม แี กน สารสาระในความเปน ของเทยี่ ง ในความเปน สขุ ทถี่ าวรแทจ รงิ และไมม สี าระใน
ความเปน ตวั ตน เปน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-ของเขา ทเี่ ทยี่ งแทถ าวร แตป ระการใด ชอื่ วา
เปนสภาพท่ีมิใชตัวตน (อนตฺตา) สมดังพระพุทธดำรัสซ่ึงตรัส วิปสสนาวิธี ในลำดับท่ี
พระโยคาวจรกำลังยกเบญจขันธข้ึนพิจารณาเจริญวิปสสนาปญญา เพื่อยกภูมิจิตขึ้นสู
“นพิ พทิ าญาณ” มปี รากฏในตลิ กั ขณาทคิ าถาวา ๑๘

“สพเฺ พ สงขฺ ารา อนจิ จฺ าติ ยทา ปญฺ าย ปสสฺ ติ
อถ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ ทกุ เฺ ข เอส มคโฺ ค วสิ ทุ ธฺ ยิ า.
สพเฺ พ สงขฺ ารา ทกุ ขฺ าติ ยทา ปญฺ าย ปสสฺ ติ
อถ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ ทกุ เฺ ข เอส มคโฺ ค วสิ ทุ ธฺ ยิ า.
สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ าติ ยทา ปญฺ าย ปสสฺ ติ
อถ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ ทกุ เฺ ข เอส มคโฺ ค วสิ ทุ ธฺ ยิ า.”

แปลความวา

“เมื่อใด บุคคลเห็นอยูดวยปญญาวา สังขารทั้งหลาย ไมเที่ยง
เมอื่ นน้ั ยอ มเบอื่ หนา ยในทกุ ข ขอ นเ้ี ปน ทางแหง ความหมดจด.

๑๘ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ขอ ๓๐ หนา ๕๑.

38 ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา

เม่ือใด บุคคลเห็นอยูดวยปญญาวา สังขารท้ังหลายเปนทุกข
เมอื่ นน้ั ยอ มเบอ่ื หนา ยในทกุ ข ขอ นเ้ี ปน ทางแหง ความหมดจด.

เมื่อใด บุคคลเห็นอยูดวยปญญาวา ธรรมท้ังปวงเปนอนัตตา
เมอื่ นนั้ ยอ มเบอ่ื หนา ยในทกุ ข ขอ นเ้ี ปน ทางแหง ความหมดจด.”

พระพทุ ธดำรสั ตรสั ตลิ กั ขณาทคิ าถาวา สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า (ธรรมทงั้ ปวงเปน อนตั ตา)
ผเู พยี งศกึ ษาเฉพาะความหมายของคำตามตวั อกั ษร อาจเขา ใจ “ธรรมทง้ั ปวงเปน อนตั ตา”
นั้น วา หมายถงึ ทงั้ สงั ขารธรรม (ทป่ี ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง เชน เบญจขนั ธ) ดว ย และ
ทงั้ วสิ งั ขารธรรม (ทไี่ มป ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง คอื พระนพิ พาน) ดว ย

แทท จ่ี รงิ แลว “ธรรมทง้ั ปวงเปน อนตั ตา” นน้ั พระพทุ ธองคท รงหมายถงึ เฉพาะแต
สงั ขารธรรม (มเี บญจขนั ธเ ปน ตน ) กบั ธรรมอน่ื ทไี่ มม แี กน สารสาระในความเปน ตวั ตน เชน
อาการตรสั รู หรอื อาการแทงตลอดพระอรยิ สจั ๔ และบญั ญตั ธิ รรม ซงึ่ ไมน บั วา มสี ภาวะ
ทไี่ มเ ทยี่ งและเปน ทกุ ขเ หมอื นสงั ขารธรรม (อปุ าทนิ นกสงั ขาร/อนปุ าทนิ นกสงั ขาร) ทงั้ หลาย
กลา วคอื มแี ตส ภาวะทเี่ กดิ ขน้ึ และดบั ไป พระอรรถกถาจารย จงึ จดั อยใู นประเภทธรรม
ทเ่ี ปน อนตั ตาดว ย เทา นน้ั

ดงั พระธรรมภาษติ วา ๑๙

“อนจิ จฺ า สพเฺ พ สงขฺ ารา ทกุ ขฺ านตตฺ า จ สงขฺ ตา.
นพิ พฺ านเฺ จว ปณณฺ ตตฺ ิ อนตตฺ า อติ ิ นจิ ฉฺ ยา.”

ซง่ึ บรู พาจารยท งั้ หลายไดแ ปลความไวแ ตเ ดมิ (พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั หลวง
พ.ศ.๒๕๐๐, พ.ศ.๒๕๑๔ และ พ.ศ.๒๕๒๑, หนา ๒๗๑ และแมฉ บบั เฉลมิ พระเกยี รติ พ.ศ.๒๕๔๙
หนา ๒๘๙ และพระไตรปฎ ก เลม ๘ ปรวิ าร และอรรถกถา แปล เลม ที่ ๑๐ ขอ ๘๒๖
จดั พมิ พโ ดยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั พ.ศ.๒๕๒๕, หนา ๓๒๖) วา

“สงั ขารทง้ั ปวงทปี่ จ จยั ปรงุ แตง ไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตา
และ บญั ญตั ิ คอื พระนพิ พาน ทา นวนิ จิ ฉยั วา เปน อนตั ตา”

๑๙ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๘ วนิ ยั ปฎ ก ปรวิ าร ขอ ๘๒๖ หนา ๒๒๔.

ตอนที่ ๒ ขน้ั วปิ สสนาภาวนา 39

พระนพิ พาน ทเี่ ปน บญั ญตั ิ (ชอื่ เรยี ก) พระอรรถกถาจารยท า นวนิ จิ ฉยั วา เปน อนตั ตา
ดว ยประการฉะนี้

เพราะเหตนุ นั้ พระพทุ ธโฆสาจารย ผรู จนาคมั ภรี พ ระวสิ ทุ ธมิ รรค ไดอ รรถาธบิ าย
พระพทุ ธดำรสั วา “สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า” นไ้ี วใ นคมั ภรี ธ มั มปทฏั ฐกถาวา ๒๐

“ตตถฺ สพเฺ พ ธมมฺ าติ ปจฺ กขฺ นธฺ าเอว อธปิ เฺ ปตา. อนตตฺ าติ
‘มา ชรี นตฺ ุ มา มยี นตฺ ตู ิ วเส วตเฺ ตตุํ น สกกฺ าติ อวสวตตฺ นตเฺ ถน อนตตฺ า
สุ ญฺ า อสสฺ ามกิ า อนสิ สฺ ราติ อตโฺ ถ”

แปลความวา

“พระพทุ ธพจนว า สพเฺ พ ธมมฺ า ในพระคาถานนั้ พระผมู พี ระภาคเจา
ทรงประสงคเ อาเบญจขนั ธเ ทา นน้ั . พระพทุ ธพจนว า อนตตฺ า ความวา
ชอ่ื วา อนตั ตา คอื วา งเปลา ไมม เี จา ของ ไมม อี สิ ระ เพราะความหมาย
วาไมเปนไปในอำนาจวา ‘ใครๆ ไมอาจใหเปนไปในอำนาจวา ‘ธรรม
ทงั้ ปวง จงอยา แก จงอยา ตาย’”
และไดแ สดงไวใ นคมั ภรี ม โนรถปรู ณวี า ๒๑

“สพเฺ พ ธมมฺ า นาลํ อภนิ เิ วสายาติ เอตถฺ สพเฺ พ ธมมฺ า นาม
ปจฺ กขฺ นธฺ า ทวฺ าทสายตนานิ อฏฐ ารส ธาตโุ ย เต สพเฺ พป ตณหฺ า-
ทฏิ ฐ วิ เสน อภนิ เิ วสาย นาลํ น ปรยิ ตตฺ า น สมตตฺ า น ยตุ ตฺ า. กสมฺ า.
คหติ ากาเรน อตฏิ ฐนโต. เต หิ ‘นจิ จฺ า สขุ า อตตฺ าติ คหติ าป อนจิ จฺ า
ทกุ ขฺ า อนตตฺ าว สมปฺ ชชฺ นตฺ .ิ ตสมฺ า นาลํ อภนิ เิ วสาย.”

แปลความวา

“ในพระพทุ ธพจนว า สพเฺ พ ธมมฺ า นาลํ อภนิ เิ วสาย นี้ มวี นิ จิ ฉยั
ดงั ตอ ไปน.้ี ชอ่ื วา ธรรมทงั้ ปวง คอื ขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘

๒๐ คมั ภรี ธ มั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ธรรมบทคาถา ภาค ๗ หนา ๖๒.
๒๑ คมั ภรี ม โนรถปรู ณี อรรถกถาองั คตุ ตรนกิ าย สตั ตกนบิ าต ภาค ๓ หนา ๑๙๓.

40 ตอนที่ ๒ ขน้ั วิปสสนาภาวนา

ธรรมแมท งั้ หมดนนั้ ไมค วร คอื ไมถ กู ไมช อบ ไมเ หมาะ ทจี่ ะยดึ มนั่
ดวยอำนาจตัณหาและทิฏฐิ. เพราะเหตุไร ธรรมแมท้ังหมดนั้นจึง
ไมควรยึดม่ัน. เพราะธรรมเหลาน้ันไมตั้งอยูโดยอาการที่จะยึดถือไว.
จริงอยู ธรรมเหลาน้ัน แมตนจะยึดถือเอาวา ‘สังขารทั้งหลายเปน
ของเทย่ี ง เปน สขุ เปน อตั ตา’ กย็ อ มสำเรจ็ ผลวา เปน ของไมเ ทยี่ ง เปน
ทกุ ข เปน อนตั ตาอยนู นั่ เอง. เพราะฉะนน้ั ธรรมทงั้ ปวงนน้ั จงึ ไมค วรยดึ มนั่ .”

พระพทุ ธดำรสั วา “สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า” ธรรมทงั้ ปวง เปน อนตั ตา จงึ หมายเฉพาะ
สงั ขารธรรมทง้ั หลาย กบั ธรรมอนื่ ทไี่ มม แี กน สารสาระในความเปน ของเทยี่ ง ในความเปน

สขุ ทถ่ี าวรแทจ รงิ และไมม สี าระในความเปน ตวั ตนเทา นน้ั มไิ ดร วมถงึ วสิ งั ขาร คอื
พระนพิ พาน อนั เปน ปรมตั ถธรรม ทมี่ สี าระ (สารํ นพิ พฺ าน)ํ เปน อสงั ขตธรรม
(อสงขฺ ตํ นพิ พฺ าน)ํ และ เปน อมตธรรม (อมตํ นพิ พฺ าน)ํ ๒๒ ดว ยแตป ระการใด

เพราะเหตดุ งั นี้ ผสู นใจศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ิ พงึ เขา ใจความหมายของคำวา “อนตั ตา”
วาหมายถึง “สภาวะ”ของธรรมชาติทั้งปวงท่ีไมมีแกนสารสาระ ในความเปนของเท่ียง
ในความเปน สขุ ทถี่ าวรแทจ รงิ และไมม สี าระในความเปน ตวั ตนของใครทเ่ี ทย่ี งแทถ าวร
แตป ระการใดดว ย ดงั ปรากฏในคมั ภรี เ นตตวิ ภิ าวนิ วี า ๒๓

“อนตฺตาติ นิจฺจสารสุขสารอตฺตสารรหิตตฺตา อสารกฏเฐน
อนตตฺ า, อวสวตตฺ นฏเ ฐน วา อนตตฺ า.”

“ขอ วา อนตตฺ า ความวา สภาวธรรมทงั้ หลาย ทช่ี อ่ื วา อนตั ตา
เพราะปราศจากสาระวา เปน ของเทย่ี ง ปราศจากสาระวา เปน สขุ
และปราศจากสาระวา เปน ตวั ตน. อกี อยา งหนงึ่ ทช่ี อ่ื วา อนตั ตา
เพราะอรรถวาไมเปนไปในอำนาจ [ของตน].”๒๔

๒๒ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๓๑ ขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ขอ ๗๓๕ หนา ๖๒๙-๖๓๔.
๒๓ คมั ภรี เ นตตวิ ภิ าวนิ ี ตอนทวี่ า ดว ย “เทศนาวภิ งั ควภิ าวนา” มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , โรงพมิ พว ญิ ญาณ กรงุ เทพฯ,

พ.ศ.๒๕๓๘ หนา ๗๕.
๒๔ พระมหามนตรี ขนตฺ สิ าโร ป.ธ.๙ วดั ปากนำ้ ภาษเี จรญิ กรงุ เทพฯ เปน ผแู ปล.

ตอนท่ี ๒ ข้นั วปิ ส สนาภาวนา 41

ก็จะไดเขาใจอยางถูกตองตรงประเด็นวา พระพุทธดำรัสในติลักขณาทิคาถาน้ี
พระพทุ ธองคท รงหมายถงึ แตเ ฉพาะสงั ขารธรรมทงั้ หลายเทา นนั้ มไิ ดห มายถงึ “วสิ งั ขาร”
คอื พระนพิ พานดว ย แตป ระการใด

ทง้ั นเี้ พราะ

(๓.๑) พระคาถานี้ ทรงแสดงวิปสสนาวิธี ในลำดับท่ีพระโยคาวจรกำลังเจริญ
อนปุ ส สนา ยกเบญจขนั ธข นึ้ พจิ ารณา เจรญิ วปิ ส สนาปญ ญา อนั จะนำไปสนู พิ พทิ าญาณ
นี้จะเห็นชัดเจน ถาจะพิจารณาหมดทุกบาทคาถา เริ่มต้ังแตพระพุทธดำรัสวา “เม่ือใด
บคุ คลเหน็ อยดู ว ยปญ ญาวา ‘สงั ขารทง้ั หลายไมเ ทย่ี ง ... สงั ขารทงั้ หลายเปน ทกุ ข ...
ธรรมทงั้ ปวงเปน อนตั ตา’ เมอ่ื นน้ั ยอ มเบอื่ หนา ยในทกุ ข. ขอ นเี้ ปน ทางแหง ความหมดจด”
กจ็ ะเหน็ ไดว า ผปู ฏบิ ตั ภิ าวนา ยงั ไมถ งึ โคตรภญู าณทจี่ ะสามารถยดึ หนว งพระนพิ พานเปน
อารมณ ใหร -ู เหน็ พระนพิ พานไดเ ลย ในขน้ั นพี้ ระพทุ ธองคจ งึ ยงั มไิ ดต รสั หมายถงึ สภาวะ
หรือลักษณะของพระนิพพานอันเปนวิสังขารธรรมแตประการใด

(๓.๒) พระพทุ ธองค ไดท รงประทานหลกั พจิ ารณาสภาวธรรมทเี่ ปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ
อนตตฺ า (ไตรลกั ษณ/ สามญั ญลกั ษณะ) นไ้ี วแ ลว วา

(ก) สงิ่ ใดไมเ ทย่ี ง สงิ่ นน้ั เปน ทกุ ข สง่ิ ใดเปน ทกุ ข สงิ่ นนั้ เปน อนตั ตา ดงั พระ
พทุ ธดำรสั วา ๒๕

“รปู ํ ภกิ ขฺ เว อนจิ จฺ .ํ ยทนจิ จฺ ํ ตํ ทกุ ขฺ ํ ยํ ทกุ ขฺ ํ ตทนตตฺ า. ยทนตตฺ า
ตํ เนตํ มม เนโสหมสมฺ ิ น เมโส อตตฺ าติ เอวเมตํ ยถาภตู ํ สมมฺ ปปฺ ญฺ าย
ทฏฐ พพฺ .ํ ”

แปลความวา

“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย รปู ไมเ ทยี่ ง. สงิ่ ใดไมเ ทย่ี ง สงิ่ นนั้ เปน ทกุ ข. สง่ิ ใด
เปน ทกุ ข สง่ิ นน้ั เปน อนตั ตา. สงิ่ ใดเปน อนตั ตา สงิ่ นน้ั ไมใ ชข องเรา
ไมเ ปน เรา ไมใ ชต วั ตนของเรา. ขอ นอี้ รยิ สาวกพงึ เหน็ ดว ยปญ ญาอนั
ชอบ ตามความเปน จรงิ อยา งน้.ี ”

๒๕ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๗ สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค ขอ ๔๒ หนา ๒๘.

42 ตอนที่ ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา

(ข) อนง่ึ พระพทุ ธองคไ ดต รสั “อนตั ตลกั ขณะ” ยอ นขน้ึ เปน เหตผุ ลของ “ทกุ ขลกั ขณะ”
ดว ย ดงั ปรากฏในอนตั ตลกั ขณสตู รวา ๒๖

“ยสมฺ า จ โข ภกิ ขฺ เว รปู ํ อนตตฺ า. ตสมฺ า รปู ํ อาพาธาย
สวํ ตตฺ ต.ิ ”

แปลความวา

“ภกิ ษทุ งั้ หลาย กแ็ ล เพราะรปู เปน อนตั ตา. ฉะนน้ั รปู จงึ เปน
ไปเพอ่ื อาพาธ.”

คำวา “อาพาธ” ณ ทน่ี ก้ี ค็ อื ทกุ ขลกั ษณะ นนั่ เอง

เหลานี้เปนพระพุทธดำรัสท่ีใครๆ ไมอาจจะคัดคานได

(ค) อนง่ึ พระธรรมปาละ กไ็ ดอ รรถาธบิ ายวา พระไตรลกั ษณ/ สามญั ญลกั ษณะ
นนั้ เปน เสมอื นโซส ามหว งคลอ งตดิ กนั คอื เปน เหตผุ ลซงึ่ กนั และกนั มไิ ดแ ยกกนั
ดงั ปรากฏในคมั ภรี ป รมตั ถทปี นวี า ๒๗

“อนจิ จฺ ลกขฺ เณ หิ ทฏิ เ ฐ, อนตตฺ ลกขฺ ณํ ทฏิ ฐ เมว โหต.ิ ตสี ุ หิ
ลกขฺ เณสุ เอกสมฺ ึ ทฏิ เ ฐ, อติ รทวฺ ยํ ทฏิ ฐ เมว โหต.ิ ”

แปลความวา

“จริงอยู เม่ือเห็นอนิจจลักษณะ ก็เปนอันเห็นอนัตตลักษณะ
เหมอื นกนั . กบ็ รรดาลกั ษณะทง้ั ๓ เมอ่ื เหน็ ลกั ษณะหนง่ึ กเ็ ปน อนั
เห็นลักษณะ ๒ อยางนอกนี้เหมือนกัน.”

เพราะเหตุน้ี พระไตรลักษณ/สามัญญลักษณะ จึงเปนลักษณะเฉพาะของสงั ขาร
ธรรมทงั้ หลาย (อปุ าทนิ นก/อนปุ าทนิ นก) กบั ธรรมอนื่ ทไี่ มม แี กน สารสาระในความเปน ของ
เทยี่ ง ในความเปน สขุ และในความเปน ตวั ตนเทา นนั้ ไมเ กย่ี วดว ย “วสิ งั ขาร” คอื พระ
นพิ พาน ซงึ่ เปน ปรมตั ถธรรม เปน อสงั ขตธรรม เปน อมตธรรม และเปน ธรรมทเี่ ปน สาระ
(สารํ นพิ พฺ าน)ํ ทม่ี ลี กั ษณะตรงกนั ขา มกบั สงั ขารธรรมโดยสนิ้ เชงิ แตป ระการใด

๒๖ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๗ สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค ขอ ๑๒๗ หนา ๘๒.
๒๗ คมั ภรี ป รมตั ถทปี นี อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย อทุ าน หนา ๒๕๑.

ตอนที่ ๒ ข้นั วปิ สสนาภาวนา 43

ผปู ฏบิ ตั สิ มถวปิ ส สนากมั มฏั ฐานตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ไดถ งึ โคตรภญู าณขน้ึ
ไปแลว ยอ มร-ู เหน็ ตามทเี่ ปน จรงิ ดงั น้ี ดว ยกนั ทง้ั นน้ั

(๓.๓) ความหมายของ ‘สพพฺ ’ ศพั ท กม็ ไิ ดห มายเอาธรรม ทงั้ สงั ขารและวสิ งั ขาร
ทงั้ หมดทง้ั สนิ้ เสมอไป ดงั ทพี่ ระพทุ ธโฆสาจารย ไดแ สดงไวใ นคมั ภรี ป ปญ จสทู นวี า ๒๘

“เนยยฺ ตถฺ ตตฺ า จสสฺ สตุ ตฺ สสฺ น จตภุ มู กิ าป สภาวธมมฺ า ‘สพฺพ-
ธมมฺ าติ เวทติ พพฺ า. สกกฺ ายปรยิ าปนนฺ า ปน เตภมู กิ ธมมฺ า ว อนวเสสโต
เวทติ พพฺ า.”

แปลความวา

“อนงึ่ สภาวธรรมทงั้ หลาย แมท เ่ี ปน ไปในภมู ิ ๔ กไ็ มพ งึ เขา ใจวา
ชอ่ื วา ‘ธรรมทงั้ ปวง’ เพราะเหตทุ พ่ี ระสตู รนน้ั มเี นอ้ื ความทจี่ ะตอ งแนะนำ.
แตธ รรมทเ่ี ปน ไปในภมู ิ ๓ เทา นน้ั ทนี่ บั เนอื่ งในสกั กายทฏิ ฐิ พงึ เขา ใจ
วา ธรรมทง้ั ปวง โดยไมม สี ว นเหลอื .”

(๓.๔) ผเู จรญิ สมถวปิ ส สนาพงึ รู วภิ าค ๖ คอื พงึ รทู งั้ ลกั ษณะ ๓ (ไตรลกั ษณ/

สามัญญลักษณะ) และทั้งเคร่ืองหมายที่จะใหกำหนดรูลักษณะ ๓ น้ันดวย จึง

จะกำหนดรูลักษณะของสังขารธรรมและวิสังขารธรรมไดถูกตอง คือ

๑. อนจิ จฺ ํ ไมเ ทยี่ ง

๒. อนจิ จฺ ลกขฺ ณํ เครอื่ งหมายทจี่ ะกำหนดรู อนจิ จฺ ตา (ความเปน ของไมเ ทยี่ ง)

๓. ทกุ ขฺ ํ เปน ทกุ ข

๔. ทกุ ขฺ ลกขฺ ณํ เครอื่ งหมายทจี่ ะกำหนดรู ทกุ ขฺ ตา (ความเปน ทกุ ข)

๕. อนตตฺ า มใิ ชต วั มใิ ชต นทถี่ าวรแทจ รงิ ของใคร

๖. อนตตฺ ลกขฺ ณํ เครอ่ื งหมายทจ่ี ะกำหนดรู อนตตฺ ตา (ความมใิ ชต วั ตน)

ดงั ที่ พระพทุ ธโฆสาจารย ไดแ สดงวภิ าคไตรลกั ษณไ วใ นคมั ภรี ป ปญ จสทู นอี กี วา ๒๙

๒๘ คมั ภรี ป ปญ จสทู นี อรรถกถามชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก ภาค ๑ หนา ๑๙, โรงพมิ พว ญิ ญาณ กรงุ เทพฯ พ.ศ.๒๕๓๒.
๒๙ คมั ภรี ป ปญ จสทู นี อรรถกถามชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก ภาค ๒ หนา ๑๙-๒๐, โรงพมิ พว ญิ ญาณ กรงุ เทพฯ, พ.ศ.๒๕๓๒.

44 ตอนที่ ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา

“ตตถฺ อนจิ จฺ ํ ภนเฺ ตติ ภนเฺ ต ยสมฺ า หตุ วฺ า น โหต.ิ ตสมฺ า อนจิ จฺ .ํ
อปุ ปฺ าทวยวตตฺ โิ ต วปิ รณิ ามตาวกาลกิ นจิ จฺ ปฏกิ เฺ ขปฏเ ฐน วาติ จตหู ิ
การเณหิ อนจิ จฺ .ํ

ทกุ ขฺ ํ ภนเฺ ตติ ภนเฺ ต ปฏปิ ฬ นากาเรน. ทกุ ขฺ ํ สนตฺ าปทกุ ขฺ ทกุ ขฺ วตถฺ กุ -
สขุ ปฏกิ เฺ ขปฏเ ฐน วาติ จตหู ิ การเณหิ ทกุ ขฺ .ํ ...

โน เหตํ ภนเฺ ตติ อมิ นิ า เต ภกิ ขฺ ู อวสวตตฺ นากาเรน ‘รปู ํ ภนเฺ ต
อนตตฺ าติ ปฏชิ านนตฺ ิ. สุ ญฺ อสสฺ ามกิ อนสิ สฺ ร อตตฺ ปฏกิ เฺ ขปฏเ ฐน วาติ
จตหู ิ การเณหิ อนตตฺ า.”

“ในพระสตู รนนั้ คำวา อนจิ จฺ ํ ภนเฺ ต ความวา พระเจา ขา เพราะเหตทุ ี่
รปู มแี ลว กลบั ไมม ี เพราะฉะนนั้ รปู จงึ ไมเ ทย่ี ง. ทชี่ อ่ื วา ไมเ ทยี่ ง เพราะ
เหตุ ๔ ประการ คอื เพราะเกดิ แลว กเ็ สอื่ มไป (อปุ ปฺ าทวยวตตฺ โิ ต) หรอื
เพราะอรรถวา แปรปรวน (วปิ รณิ าม) เปน ไปชวั่ คราว (ตาวกาลกิ ) และ
ปฏเิ สธความเทย่ี ง (นจิ จฺ ปฏกิ เฺ ขป).

คำวา ทกุ ขฺ ํ ภนเฺ ต ความวา พระเจา ขา รปู ชอื่ วา ทกุ ข โดยอาการคอื
เบยี ดเบยี น. ชอื่ วา เปน ทกุ ข ดว ยเหตุ ๔ อยา งคอื เพราะอรรถวา ทำให
เรา รอ น (สนตฺ าป) ทนไดย าก (ทกุ ขฺ ) เปน ทต่ี งั้ แหง ทกุ ข (ทกุ ขฺ วตถฺ กุ ) และ
ปฏเิ สธความสขุ (สขุ ปฏกิ เฺ ขป) ...

ดว ยคำนวี้ า โน เหตํ ภนเฺ ต ภกิ ษเุ หลา นนั้ ยอ มปฏญิ าณวา รปู เปน
อนตั ตา พระเจา ขา ดว ยอาการไมเ ปน ไปในอำนาจ. รปู ชอื่ วา เปน อนตั ตา
ดว ยเหตุ ๔ คอื ดว ยอรรถวา เปน ของสญู (สุ ญฺ ) ไมม เี จา ของ (อสสฺ ามกิ )
ไมเ ปน ใหญ (อนสิ สฺ ร) และปฏเิ สธอตั ตา (อตตฺ ปฏกิ เฺ ขป).”

เมอ่ื พจิ ารณาสภาวธรรมตามหลกั วภิ าค ๖ นแ้ี ลว จะกำหนดรไู ดแ นน อน
วา ไตรลักษณ/สามัญญลักษณะนั้น เปนลักษณะประจำสังขารธรรมทั้งหลาย
กับธรรมอื่นท่ีไมมีสาระ ในความเปนตัวตน เชน อาการตรัสรู/อาการแทงตลอด

อรยิ สจั ๔ และบญั ญตั ธิ รรมทงั้ หลาย เทา นน้ั

ตอนท่ี ๒ ขัน้ วิปสสนาภาวนา 45

พระนพิ พาน ซง่ึ เปน ปรมตั ถธรรม เปน อสงั ขตธรรม เปน ธรรมทมี่ สี าระ
และเปน อมตธรรม ทพี่ น โลก พน ไตรลกั ษณ/ สามญั ญลกั ษณะ ไปแลว ไมม ี
ลกั ษณะใดทเ่ี ขา ลกั ษณะความเปน ของไมเ ทยี่ ง (อนจิ จฺ ตา) ความเปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ตา)
และ ความเปน ของไมม สี าระในความเปน ตวั ตน (อนตตฺ ตา) แตป ระการใดเลย.

บทท่ี ๔ การเจริญสติปฏฐาน ๔ : กายานุปสสนาสติปฏฐาน

○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

การใหม สี ตกิ ำหนดพจิ ารณาเหน็ กายในกายเปน ทงั้ ณ ภายใน และ ณ ภายนอกนี้
เพราะเปนธรรมปฏิบัติคูปรับแกตัณหาจริตอยางออน ของผูติดกาย มุงกายเปนใหญ
มกั รกั สวยรกั งาม อนั เปน ไปตามสมยั นยิ ม แตเ ปลยี่ นแปลงงา ย เมอื่ เขานยิ มกนั อยา งไร

กเ็ ปลยี่ นแปลงไปตามสมยั นยิ มอยา งนนั้ จงึ ใหเ จรญิ กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน เพอ่ื กำจดั
“สภุ วปิ ลาส” ความเขา ใจคลาดเคลอ่ื นวา รา งกายเปน ของสวยงาม ซงึ่ ทงั้ ๆ ทค่ี วาม

เปน จรงิ แลว รา งกายทกุ สว นไมม คี วามสวยงามอะไรเลย เตม็ ไปดว ยสง่ิ สกปรกทงั้ สนิ้ และ

ทงั้ เพอ่ื กำจดั “นจิ จวปิ ลาส” ความเขา ใจคลาดเคลอ่ื นวา เปน ของเทย่ี ง, เพอื่ กำจดั
“สขุ วปิ ลาส” ความเขา ใจคลาดเคลอ่ื นวา เปน สขุ และเพอ่ื กำจดั “อตั ตวปิ ลาส”

ความเขา ใจคลาดเคลอ่ื นวา รา งกายนเี้ ปน อตั ตาอกี ดว ย ซง่ึ แทท จ่ี รงิ แลว รา งกายน้ี เปน
สภาพไมเ ทยี่ ง (อนจิ จฺ )ํ ทนอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ดต ลอดไป (ทกุ ขฺ )ํ และสดุ ทา ยตอ งแตก
สลายหมดสภาพเดมิ ของมนั ไปทงั้ สนิ้ (อนตตฺ า) ไมม อี ะไรเปน สาระในความเปน ของเทยี่ ง
เปน สขุ และเปน ตวั ตน แตป ระการใด

ตวั อยา งเฉพาะ ปฏกิ ลู ปพ พะ : ขอ กำหนดเหน็ สว นตา งๆ ของรา งกายตาม
ความเปน จรงิ วา เปน ของนา เกลยี ด และใหเ หน็ ความเปน ของไมเ ทยี่ ง-เปน ทกุ ข-
เปน อนตั ตา (ทงั้ ณ ภายใน คอื อาศยั ปจ จยั ภายในตวั เราเอง และทง้ั ณ ภายนอก คอื

อาศยั ปจ จยั ภายนอก คอื ของผอู น่ื )

46 ตอนท่ี ๒ ขัน้ วิปส สนาภาวนา

อธบิ ายความ วา : ในกายนมี้ ี เกสา (ผม) โลมา (ขน) นขา (เลบ็ ) ทนั ตา (ฟน )
ตโจ (หนงั ) มงั สงั (เนอ้ื ) นหารู (เอน็ ) อฏั ฐี (กระดกู ) อฏั ฐมิ ญิ ชงั (เยอ่ื ในกระดกู )
วกั กงั (ไต) หทยงั (หวั ใจ) ยกนงั (ตบั ) กโิ ลมกงั (พงั ผดื ) ปห กงั (มา ม) ปป ผาสงั (ปอด)
อนั ตงั (ลำไสใ หญ) อนั ตคณุ งั (ลำไสน อ ย) อทุ รยิ งั (อาหารในกระเพาะ) กรสี งั (อจุ จาระ)
ปตตัง (น้ำดี) เสมหัง (เสมหะ) ปุพโพ (นำ้ หนอง) โลหิตัง (เลือด) เสโท (เหง่ือ)
เมโท (มนั ขน ) อัสสุ (น้ำตา) วสา (มนั เหลว) เขโฬ (นำ้ ลาย) สงิ ฆาณกิ า (นำ้ มกู )
ลสกิ า (ไขขอ ) มตุ ตัง (ปส สาวะ) และ มตั ถลงุ คงั (มนั สมอง)

ลวนเปนธรรมชาติท่ีไมสะอาด เปนของนาเกลียด

โดยพจิ ารณาเหน็ สว นตา งๆ ของรา งกายในกายเรา ชอื่ วา “มสี ตพิ จิ ารณาเหน็ กาย
ในกาย ณ ภายใน” พจิ ารณาเหน็ สว นตา งๆ ของรา งกายในกายผอู นื่ ชอ่ื วา “มสี ตพิ จิ ารณา
เหน็ กายในกาย ณ ภายนอก” ดงั น้ี

ตัวอยางประสบการณผูปฏิบัติธรรมของทานที่ไดประสบการณและ
ไดอ านสิ งสจ ากการเจรญิ กายคตาสติ นี้ เปน “ครใู หญ”

อบุ าสกทา นหนง่ึ เจรญิ ภาวนาสมาธติ ามแบบท่ี หลวงพอ วดั ปากนำ้ พระมงคลเทพมนุ ี
(สด จนทฺ สโร) ไดป ฏบิ ตั แิ ละสอนสมถวปิ ส สนากมั มฏั ฐานตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ถงึ ธรรมกาย
ของพระพทุ ธเจา อบุ าสกทา นนไ้ี ดต ง้ั ใจปฏบิ ตั อิ ยใู นระดบั เบอื้ งตน คอื ตรกึ นกึ เหน็ ดวงทใ่ี ส
ใจอยใู นกลางของกลางของกลางดวงทใี่ ส และบรกิ รรมภาวนาวา “สมั มาอรหงั ๆๆ” อยู
เปน ประจำเทา ทโ่ี อกาสอำนวย เหน็ ดวงใสบา ง-ไมเ หน็ บา ง เรยี กวา “เหน็ ๆ หายๆ” สมาธิ
ยงั ไมม น่ั คง บางครง้ั กเ็ จรญิ ภาวนาไดถ งึ กายทพิ ย เคยไดเ หน็ เทพธดิ ามานง่ั อยใู นระยะใกลๆ
บา ง แลว ทา นกแ็ ผเ มตตาอทุ ศิ สว นกศุ ลใหม นษุ ยแ ละอมนษุ ยท งั้ หลายอยเู ปน ประจำ

อยูมาวันหนึ่ง อุบาสกทานน้ีกลับจากธุรกิจขางนอก แลวไดข้ึนรถ ๒ แถวเล็กท่ี
หนา ปากซอยโชคชยั ๔ กรงุ เทพฯ กลบั บา น เมอื่ ผโู ดยสารเตม็ รถ ทง้ั แถวนง่ั ๒ แถว และ
ทยี่ นื จบั ราวอกี ๒ แถวเตม็ ตวั ทา นเองนน้ั นง่ั ตรงทนี่ งั่ กลางๆ แถวขา งซา ย พอดมี สี ภุ าพสตรี
วยั สาวรายหนงึ่ ยนื โหนราวอยตู รงหนา ทา น คนขบั กอ็ อกรถและขบั รถคอ นขา งสวต๊ี -สวา ต

ตอนที่ ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา 47

เพื่อแยงผูโดยสารกับรถคันอ่ืนๆ ผูโดยสารท่ียืนโหนราวอยูก็โยกไปโยกมา ตอมาสตรี
วยั สาวนน้ั เปลย่ี นทา ยนื เปน หนั หนา ออกขา ง มผี ลใหส ว นทอ นบนสรรี ะของเธอขณะยนื โยกไป
โยกมากระทบทห่ี นา ผากอบุ าสกทา นนนั้ เปน ระยะๆ อบุ าสกนนั้ กเ็ จรญิ ภาวนา “สมั มาอรหงั ๆๆ”
สำรวมใจใหส งบอยู เมอื่ ถกู สว นสรรี ะนมิ่ ๆ กระทบทหี่ นา ผาก พลนั จติ ใจกน็ กึ อยากรเู หน็ “แวบ”
หน่ึงข้ึนมาในใจ ก็เห็นสรีระของสุภาพสตรีนั้นตลอดท่ัวทั้งรางกาย และแถมยังไดกลิ่น
โลหติ เสยี ทเี่ ปอ นอยกู บั สงิ่ ทใ่ี ชป กปด ปอ งกนั ณ จดุ ทไี่ มส ะอาด เหมน็ ฉนุ กกึ ขน้ึ มาเตม็ ๆ ทงั้
เหน็ และทง้ั ไดก ลนิ่ เหมน็ และมคี วามรสู กึ รงั เกยี จ และระงบั กามฉนั ทะไดท นั ที ตอ จากนน้ั
เมอื่ ใดทรี่ สู กึ กามฉนั ทะกำเรบิ กอ็ าศยั การเจรญิ ภาวนาสมาธใิ หใ จสงบดพี อสมควรกอ น แลว คอ ย
เจรญิ กายคตาสตพิ จิ ารณาสว นตา งๆ ของรา งกายโดยเฉพาะอยา งยง่ิ “ทนั ตา” คอื ฟน ในชอ ง
ปาก ทง้ั ณ ภายใน (ของตนเอง) และทงั้ ณ ภายนอก (ของผอู น่ื ) และภาพทเี่ คยเหน็ ทเี่ ปน แต
ปฏิกูลโสโครกนาเกลียดนั้น ทำใหกามฉันทะระงับลงไดอยูเสมอ จนทานและแมบานตาง
ตกลงยนิ ดรี ว มกนั ละเวน ความประพฤตทิ ไ่ี มป ระเสรฐิ ไดต ลอด ๑๐ ป กอ นบวช ไดเ ปน พระภกิ ษุ
ในพระพทุ ธศาสนา ประพฤตพิ รหมจรรยใ นบนั้ ปลายชวี ติ เมอื่ อายุ ๕๗ ป (ยา ง ๕๘ ป) ตลอด
มาจนถึงตราบเทาทุกวันนี้

“กายคตาสติ” มีอานิสงสเปนดุจ “ครูใหญ” ชวยเปนสติเตือนใจใหผูประพฤติ
พรหมจรรย สามารถประพฤตปิ ฏบิ ตั แิ ละรกั ษาวตั รปฏบิ ตั อิ นั ดงี ามไวไ ดด ว ยดี ดว ยประการ
ฉะน้ี

กายคตาสติ มขี น้ั ตอน/วธิ เี จรญิ ภาวนาใหไ ดผ ลดี ดงั นี้

(๑) กรณผี ปู ฏบิ ตั ภิ าวนา ยงั ไมเ หน็ ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย (ยงั ไมเ หน็ ดวงใสแจม
ตรงศนู ยก ลางกาย) ไดแ ก ผกู ำลงั เจรญิ ภาวนา สตกิ ำหนดบรกิ รรมนมิ ติ นกึ เหน็ ดวงกลมใส
ดว ยใจ (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู จรดอยู ณ ศนู ยก ลางดวงกลมใสนน้ั ตรงศนู ยก ลางกายฐานท่ี ๗
อยเู หนอื ระดบั สะดอื ๒ นวิ้ มอื และบรกิ รรมภาวนาวา “สมั มาอรหงั ๆๆๆ” พรอ มกบั สงั เกต
เหน็ ลมเหน็ ใจเขา -ออก ผา นตรงจดุ นนั้ แหง เดยี ว โดยไมต อ งตามลมหายใจเขา -ออก เพอื่ ให
ใจสงบหยดุ นงิ่ ตรงกลางของกลางๆๆๆ อยนู นั้ เมอื่ รสู กึ ใจสงบดที สี่ ดุ แลว ในขณะนน้ั

48 ตอนท่ี ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา

ใหก ำหนดเหน็ “เกสา (ผม)” ทอี่ ยบู นหนงั ศรี ษะของเรา ตรงศนู ยก ลางดวงศนู ยก ลาง
กายนั้น เพงดูจนใจสงบต้ังม่ัน ประมาณใกล “อุปจารสมาธิ” ก็จะเห็นตาม
ธรรมชาตทิ เ่ี ปน จรงิ วา เปน ธรรมชาตทิ ไ่ี มส ะอาด เปน แตป ฏกิ ลู หรอื ทต่ี ง้ั แหง ปฏกิ ลู

โสโครกนา เกลยี ด กลา วคอื ยอ มแปดเปอ นดว ยเหงอ่ื ไคล ไขมนั ทถ่ี กู ขบั ออกจากรา งกาย
เมอ่ื ฝนุ ละอองจบั และหมกั หมมไวน านกจ็ ะสกปรก มกี ลน่ิ เหมน็ และ

เมอ่ื เพง ดนู านไปจะเหน็ นมิ ติ คอื ภาพของเกสานนั้ เปลย่ี นแปลงไปเปน “หงอก” ตาม
ธรรมชาติ นแ้ี สดง “อนจิ จลกั ษณะ” วา เปน ของไมเ ทย่ี ง คอื “อนจิ จฺ ”ํ เพง ดตู อ ไปจะเหน็ นมิ ติ
ของเกสานี้ “หลดุ รว ง” วา เปน ของทนอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ดน าน เปน “ทกุ ขฺ ”ํ เพง ดตู อ ไปจะเหน็
นมิ ติ ของเกสานี้ “แตกสลายหมดสภาพเดมิ ของมนั ไป” ไมม อี ะไร (ในตวั เรา) มแี กน
สารสาระในความเปน ของเทย่ี ง ไมม อี ะไรทเ่ี ปน สาระในความเปน สขุ ทถี่ าวร และ
ไมม อี ะไรทเ่ี ปน สาระในความเปน ตวั ตนของใครตลอดไป นแ้ี สดง “อนตั ตลกั ษณะ”
วา เปน “อนตั ตา”

แลว ครง้ั ตอ ไป จะพจิ ารณาเหน็ โลมา (ขนตามรา งกาย) นขา (เลบ็ ) ทนตฺ า (ฟน ใน
ชอ งปาก) ตโจ (หนงั ทห่ี อ หมุ ตวั เราอยู) ... วา ลว นแตเ ปน ของไมส ะอาด เปน ของไมเ ทยี่ ง
(อนจิ จฺ )ํ เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ )ํ และเปน สภาพทมี่ ใิ ชต วั ตน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-ของเขา
แตป ระการใด (อนตตฺ า)

อนงึ่ ผเู จรญิ ภาวนาพงึ เขา ใจวา “กายคตาสต”ิ ไดแ ก การเพง พจิ ารณาสว นตา งๆ
ของรา งกายนี้ มอี านภุ าพใหไ ดเ พยี งรปู าวจร “ปฐมฌาน” เทา นน้ั แตถ า ผเู พง ดสู ว นตา งๆ
ของรา งกาย ไดแ ก เพง ดเู กสา (ผม) ไปนานๆ จนใจสงบลงๆๆ และคอ ยๆ ตง้ั มน่ั จนเหน็
เสน เกสาเปน สขี าวใส ไดช ว่ั คราว ชอื่ วา ถอื เอา “อคุ คหนมิ ติ ” ได นจี้ ดั เปน สมาธขิ นั้
“อุปจารสมาธิ” และถาเพงดูนานตอๆ ไป จนเห็นเสนเกสาขาวใสได ติดตาติดใจ
นกึ จะยอ ใหเ ลก็ ลง หรอื จะนกึ ขยายใหเ หน็ โตใหญข น้ึ กไ็ ด ชอ่ื วา ถอื เอา “ปฏภิ าคนมิ ติ ” ได
นเี้ ปน สมาธขิ นั้ “อปั ปนาสมาธ”ิ ประกอบดว ยวติ ก-วจิ าร-ปต -ิ สขุ -เอกคั คตา เปน สมาธขิ น้ั
“ปฐมฌาน”

ตอนท่ี ๒ ข้นั วิปส สนาภาวนา 49

เมอ่ื ผเู จรญิ ภาวนา รวมใจ (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู เพง ลงตรงกลางของกลางๆๆ เสน เกสา
ทใี่ สนนั้ โดยมสี ตสิ งั เกตเหน็ ลมหายใจ เขา -ออก ผา นตรงศนู ยก ลางกายนนั้ จดุ เดยี ว และ
ปลอยวางความสนใจยึดติดอยูกับเสนเกสาที่ขาวใสน้ัน ใหใจหยุดในหยุดกลางของหยุดๆๆ
กลางของกลางๆๆๆ ตอๆ ไปตรงศูนยกลางกายน้ัน จนปรากฏเห็น “ดวงธรรมที่ทำให
เปน กาย” ใสแจม ขน้ึ มา กส็ ามารถจะพฒั นาตอ ๆ ไปถงึ กายในกาย เวทนาในเวทนา
จติ ในจติ และธรรมในธรรมของกายละเอยี ดๆ ตง้ั แตก ายมนษุ ยล ะเอยี ด ถงึ ธรรมกาย
ได และสามารถจะพฒั นาระดบั สมาธิ ถงึ “จตตุ ถฌาน” ได ดว ยเชน กนั

(๒) กรณที ผี่ ปู ฏบิ ตั ภิ าวนา เหน็ ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย ตรงศนู ยก ลางกาย
ฐานท่ี ๗ ใสแจม อยู เปน สมาธติ ง้ั มนั่ ในระดบั ปฐมฌานขน้ึ ไป กย็ ง่ิ จะกำหนด
เห็นสวนตางๆ ของรางกายตรงศูนยกลางกายนั้นไดชัดเจนขึ้น แตจะเห็นใน
ลกั ษณะทใี่ ส กใ็ หอ ธษิ ฐานใหเ หน็ สว นตา งๆ ของรา งกายนน้ั โดยสสี ณั ฐาน และแมก ลน่ิ
ตามทเี่ ปน จรงิ สมาธจิ ติ กจ็ ะลดลงในระดบั ประมาณ “อปุ จารสมาธ”ิ และเหน็ ไดต าม
ธรรมชาติท่ีเปนจริงวา เปนของไมสะอาด เปนของที่ไมเที่ยง เปนทุกข และเปน
อนัตตา ไดแนนอนชัดเจนย่ิงขึ้น

(๓) กรณผี ปู ฏบิ ตั ภิ าวนา ไดถ งึ -เหน็ และเปน กายในกาย ทบี่ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใส
ตงั้ แต “กายมนษุ ยล ะเอยี ด” ขน้ึ ไปถงึ “ธรรมกาย” ทบี่ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสเพยี งไร กใ็ ห
รวมใจ (เห็น-จำ-คิด-รู) ทุกกายสุดกายหยาบ-กายละเอียด อยู ณ ศูนยกลาง
ธรรมกาย หรอื กายในกายทใี่ สละเอยี ดทสี่ ดุ แลว เพง ลงไปทศ่ี นู ยก ลางดวงธรรม
ท่ีทำใหเปนกายมนุษยหยาบ (กายเน้ือ) อธิษฐานขยาย เห็น-จำ-คิด-รู ที่ต้ังอยู
ตรงกลางดวงธรรมท่ีทำใหเปนกายมนุษยน้ัน ใหโตใหญใสสวางเต็มกาย (กรณี

ปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ ถา ผเู จรญิ ภาวนายงั เพงิ่ ปฏบิ ตั ไิ ดถ งึ กายในกายในระดบั ตน ๆ เชน กายมนษุ ย
ละเอยี ด จะยงั อธษิ ฐานขยายดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายมนษุ ยใ หเ หน็ โตใหญเ ตม็ กายยงั ไมไ ด
งายนัก ก็ใหทำเทาที่สามารถจะพอใหรูเห็นได โดยไมตองใหเห็นหมดทั่วทั้งรางกาย)

50 ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปสสนาภาวนา

แลว อธษิ ฐานใหเ หน็ สว นตา งๆ ของรา งกาย ตามสี สณั ฐาน และกลนิ่ ตามที่
เปน จรงิ พรอ มกนั หมดทวั่ ทงั้ กาย (ณ ภายใน) หรอื จะพจิ ารณาเหน็ เปน สว นๆ
โดยเพง ดตู ง้ั แต เกสา (ผม) บนหนงั ศรี ษะ ลงมาถงึ กะโหลกศรี ษะ มนั สมอง ชอ งห-ู
ชอ งคอ-ชอ งปาก-ชอ งจมกู ลงมาจนถงึ ศนู ยก ลางกาย และขยาย เหน็ -จำ-คดิ -รู ดู หวั ใจ/
ปอด/มา ม/ตบั /ไต/ไส/ กระเพาะ/อาหารใหม/ อาหารเกา /โครงกระดกู /เนอ้ื /เอน็ /
พงั ผดื และหนงั ฯลฯ ใหเ หน็ ตามธรรมชาตทิ เ่ี ปน จรงิ วา เปน ธรรมชาตทิ ี่ “ไมส ะอาด” และ
เปน สภาพไมเ ทยี่ ง (อนจิ จฺ )ํ เปน ทกุ ข คอื ทนอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ดต ลอดไป (ทกุ ขฺ )ํ
ลงทา ยแมแ ตล ะสว นหรอื ทงั้ หมดนนั้ ยอ มตอ งแตกสลายหมดสภาพเดมิ ของมนั ไปหมด
ชอื่ วา เปน “อนตตฺ า”

(๕) กรณผี ปู ฏบิ ตั ิ ไดถ งึ ธรรมกายทส่ี ดุ ละเอยี ด (ธรรมกายอรหตั ในอรหตั ๆๆ)
ดบั หยาบไปหาละเอยี ด ใหเ ปน แตใ จของธรรมกายอรหตั ในอรหตั ใสละเอยี ดสดุ
ละเอียดดีแลวนั้น ใหรวมใจ (เห็น-จำ-คิด-รู) ทุกกายสุดหยาบ กายละเอียด อยู ณ
ศนู ยก ลางธรรมกายอรหตั องคท ล่ี ะเอยี ดทสี่ ดุ แลว ใจ (ญาณ) ของธรรมกายทสี่ ดุ ละเอยี ด
นั้น เพงลง ณ ศูนยกลางดวงธรรมที่ทำใหเปนกายมนุษยหยาบ (กายเนื้อ)
หยุดในหยุดกลางของหยุดๆ กลางของกลางดวงธรรมท่ีทำใหเปนกายมนุษย
กลางของกลางอากาศธาต-ุ กลางของกลางวญิ ญาณธาตุ ซงึ่ ตง้ั อยตู รงกลางกำเนดิ
ธาตธุ รรมเดมิ เปน จดุ เลก็ ใสตรงศนู ยก ลางกายนนั้ กจ็ ะเหน็ “สายกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ”
(เปนเหมือนสายใยบัว) ที่ใสอยูตรงกลางของกลางน้ัน ใหอธิษฐานสืบไปดู
อัตตภาพของตนเองตามสายกำเนิดธาตุธรรมเดิมตอไปในอนาคต แตละปๆ
หรอื แตล ะชว ง ๕ ป หรอื ๑๐ ป ตอ ๆ ไปในอนาคต

เมื่ออธิษฐานแลวหยุดในหยุด กลางของหยุดน่ิง กลางของกลางๆๆ กำเนิด
ธาตธุ รรมเดมิ นน้ั พอใจหยดุ นงิ่ ถกู สว นเขา ศนู ยก ลางนน้ั จะขยายวา งออกไป และจะปรากฏ
เห็นนิมิตอัตตภาพของตน ในชวงอนาคตน้ัน แลวก็รวมใจหยุดในหยุดกลางของหยุด

ตอนที่ ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา 51

กลางของกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของอัตตภาพ ในชวงเวลาในอนาคตน้ัน อธิษฐานดู

อตั ตภาพของตนสบื ตอ ไปในอนาคตตอ ๆ ไป แตล ะชว งๆๆ ตอ ๆ ไปจนถงึ วนั ตาย กจ็ ะ
ไดเ หน็ นมิ ติ อตั ตภาพของตน ในแตล ะชว งเวลาตอ ๆ ไปในอนาคตวา เปน สภาพ
ไมเ ทยี่ ง (อนจิ จฺ ตา) เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ตา) จนถงึ วนั ตาย เปน สภาพทม่ี ใิ ชต น
(อนตตฺ ตา) กลา วคอื เปน สภาพทีเ่ วน จากสาระในความเปน ของเทยี่ ง เวน จากสาระ

ในความเปน สขุ ทถี่ าวร และเวน จากสาระในความเปน ตวั ตน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-
ของเขา เพราะไมอยูในอำนาจบังคับบัญชาของใครๆ วา ธรรมทั้งหลายเหลาน้ี

จงอยาแก-อยาเจ็บไข-อยาตายเลย

ไดเห็นสภาวะของอุปาทินนกสังขาร ไดแก รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-
วิญญาณ (เบญจขันธ) ท้ังหมดพรอมกันทีเดียวอยางนี้ก็ได และเม่ือไดรู-เห็น
ความตายของตนเองอยา งไร กย็ ง่ิ สามารถถอื เอาเปน “มรณสสฺ ต”ิ ใหไ มห ลง
ประมาทมวั เมาในชวี ติ มงุ ปฏบิ ตั ธิ รรม ละชว่ั -ทำดี ทำใจใหใ ส เพอ่ื สลดั ตน
ออกจากทกุ ขท ง้ั ปวง และเพอ่ื ทำนพิ พานใหแ จง ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป ดว ยประการฉะนี้

สำหรบั ทา นทเ่ี พง่ิ ปฏบิ ตั ไิ ดถ งึ “ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย” ขนึ้ ไปไดเ พยี งไร หาก
เพยี รปฏบิ ตั ภิ าวนา โดยรวมใจหยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ ตรงศนู ยก ลางดวงธรรมทที่ ำให
เปน กายมนษุ ย กลางของกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ จนเหน็ สายกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ
และอธิษฐานดูนิมิตอัตตภาพของตนเองสืบตอไปในอนาคต ตามสายกำเนิดธาตุธรรมเดิม
ดงั ทไ่ี ดก ลา วแลว ขา งตน นกี้ ไ็ ด แตก ารรเู หน็ จะชา กวา และอาจจะไมช ดั เจนเทา ผปู ฏบิ ตั ิ
ภาวนาไดถึงธรรมกายท่ีสุดละเอียด ที่ทิพพจักษุ/ทิพพโสต ถึงพุทธจักษุ (ญาณ
พระธรรมกาย) เจรญิ และใสบรสิ ทุ ธเ์ิ ตม็ ทแ่ี ลว

จึงใครจะแนะนำใหผูปฏิบัติภาวนาไดถึงดวงธรรมท่ีทำใหเปนกายมนุษยแลว
ใหปฏิบัติตอๆ ไป ใหถึงธรรมกายที่ใสละเอียดสุดละเอียดกอน เพราะผูปฏิบัติไดถึง
ดวงธรรมท่ีทำใหเปนกายแลวนี้ จะสามารถพัฒนาตอไปถึงธรรมกายไดไมนานเกินรอ
(สว นมากใชเ วลาตอ ธรรมะไมเ กนิ ภายใน ๒ ชวั่ โมง) ขอใหไ ดไ ปพบคร/ู อาจารยผ ทู รง

52 ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา

คุณธรรม คือ ผูปฏิบัติถึงธรรมกาย และขอใหทานเมตตาชวยตอธรรมะใหสูงขึ้นให
กจ็ ะเปน ผลดี และชว ยเจรญิ อภญิ ญา เปน ความสามารถพเิ ศษใหส ามารถเหน็ แจง /รแู จง
สภาวธรรมไดชัดเจนแนนอน ดีกวาเพียงแตเห็นดวงธรรมที่ทำใหเปนกายเบ้ืองตน
มากมายนกั

สำหรบั การพจิ ารณาเหน็ กายในกาย (กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน) ทง้ั ณ
ภายใน โดยอาศยั ปจ จยั ภายในตนเองพจิ ารณา และ ทงั้ ณ ภายนอก โดยอาศยั ปจ จยั
ของผอู น่ื พจิ ารณา ในสว นของกายมนษุ ย ปพ พะ คอื ขอ กำหนดอน่ื ๆ อกี ๕ ปพ พะ
(ขอ ) ทเี่ หลอื ไดแ ก

(๑) อานาปานปพพะ ขอกำหนดดวยลมหายใจ คือ หายใจออก-เขา, ยาว-ส้ัน
ใหร ู กำหนดอยวู า เราจกั รแู จง กองลมหายใจออก-เขา เราจกั ระงบั กายสงั ขาร
หายใจออก-เขา

(๒) อิริยาปถปพพะ ขอกำหนดดวยอิริยาบถ คือ เม่ือยืน, เดิน, นั่ง, นอน ใหรู
หรอื ทรงกายอยอู ยา งไร กใ็ หร ตู วั อยา งนนั้

(๓) สมั ปชญั ญปพ พะ ขอ กำหนดดว ยความรตู วั คอื ทำความรตู วั ในการไป, กลบั ,
เหลยี ว, แล, ค,ู เหยยี ด, ทรงผา นงุ หม , กนิ , ดมื่ , เคย้ี ว, ลม้ิ , ถา ยอจุ จาระปส สาวะ,
เดนิ , ยนื , นง่ั , นอน

(๔) ธาตปุ พ พะ ขอ กำหนดดว ยธาตุ คอื ในกายนม้ี ธี าตดุ นิ , ธาตนุ ำ้ , ธาตไุ ฟ, ธาตลุ ม
(๕) นวสวิ ถกิ าปพ พะ ขอ กำหนดดว ยปา ชา ๙ คอื ซากศพทตี่ ายแลว ๑-๒-๓ วนั

ขนึ้ พอง มสี เี ขยี ว มนี ้ำเหลอื งไหล ๑, ซากศพทเ่ี ขาทงิ้ ไวใ นปา ชา แรง กา นกตะกรมุ
เปน ตน จกิ กดั กนิ ๑, ทเี่ ปน รา งกระดกู ยงั มเี นอ้ื เลอื ด เสน เอน็ รงึ รดั ๑, ทไ่ี ม
มเี นอื้ แตย งั เปอ นเลอื ด มเี สน เอน็ รงึ รดั ๑, ทป่ี ราศจากเนอ้ื เลอื ด ยงั มเี สน เอน็ รงึ
รดั ๑, ทเี่ ปน กระดกู ปราศจากเสน เอน็ รงึ รดั มกี ระดกู เรยี่ รายไปในทศิ ทางตา งๆ
เปน ตน ๑, ทเ่ี ปน กระดกู สขี าวเหมอื นสงั ข ๑, ทม่ี กี ระดกู เปน กองๆ ลว งปไ ป
แลว ๑, ทเ่ี ปน กระดกู ผปุ น ๑

ตอนท่ี ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา 53

กเ็ ปน ไปโดยนยั เดยี วกนั คือ ใหเ หน็ สภาวะของธรรมชาตติ ามทเ่ี ปน จรงิ วา เปน
สภาพไมเ ทย่ี ง (อนจิ จฺ ตา) เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ตา) และเปน อนตั ตา (อนตตฺ ตา)

บทที่ ๕ การเจริญสติปฏฐาน ๔ :
เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน

○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

การใหม สี ตกิ ำหนดพจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาเปน ทง้ั ณ ภายใน และ ณ ภาย

นอกน้ี เพราะเปน ธรรมปฏบิ ตั คิ ปู รบั แกต ณั หาจรติ อยา งแรงกลา ของผตู ดิ เวทนา มงุ เวทนา

เปน ใหญ มกั พอใจแตใ นความสะดวกสบายอยา งเดยี ว เปลยี่ นแปลงยาก เพราะมกั

ยึดถือเอาตามความชอบของตน จึงใหเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน เพื่อกำจัด

“สุขวิปลาส” ความเขาใจคลาดเคล่ือนวา เวทนาเปนสุข ซ่ึงความจริงเปนทุกข แม

สขุ เวทนากเ็ ปน ทกุ ข เพราะเปน วปิ รณิ ามทกุ ข คอื เปน ทกุ ขเ พราะแปรเปลยี่ นไปอยเู สมอ

อน่ึง การเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ยังเปนคุณเคร่ืองชวยกำจัด

“นจิ จวปิ ลาส” ความเขาใจคลาดเคล่ือนวา เท่ียง และกำจัด “อัตตวิปลาส” ความ

เขา ใจคลาดเคลอื่ นวา เปน ตวั ตน อกี ดว ย

(ตวั อยา งเฉพาะ) เสวยทุกขเวทนาเจืออามิส
สามสิ ทกุ ขเวทนา

นริ ามสิ ทกุ ขเวทนา เสวยทุกขเวทนาไมเจืออามิส
สามิสสุขเวทนา เสวยสุขเวทนาเจืออามิส

นริ ามสิ สขุ เวทนา เสวยสุขเวทนาไมเจืออามิส

สามิสอทุกขมสุขเวทนา เสวยอทุกขมสุขเวทนาเจืออามิส

นิรามิสอทุกขมสุขเวทนา เสวยอทุกขมสุขเวทนาไมเจืออามิส

54 ตอนท่ี ๒ ขนั้ วิปสสนาภาวนา

ใหเ หน็ ธรรมชาตทิ ป่ี ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง เปน สภาพไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข และ
เปน อนตั ตา (เปน ทงั้ ณ ภายใน คอื เวทนาในสว นละเอยี ด ไดแ ก ในสว นของกายในกาย
ทลี่ ะเอยี ดๆ เขา ไป และทง้ั ณ ภายนอก คอื ในสว นทห่ี ยาบกวา ไดแ ก ในสว นของกาย
มนษุ ยห ยาบ เปน ตน )

(๑) กรณีผูปฏิบัติภาวนายังไมถึงดวงธรรมท่ีทำใหเปนกาย (เห็นดวงใส
แจมตรงศูนยกลางกาย)

ขณะเมอ่ื เจรญิ ภาวนากำหนดบรกิ รรมนมิ ติ นกึ เหน็ ดวงกลมใส และรวมใจ (เหน็ ดว ย
ใจ-จำ-คดิ -ร)ู หยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ กลางของกลางๆ ตรงศนู ยก ลางดวง-ศนู ยก ลาง
กายฐานที่ ๗ อันเปนจุดท่ีต้ังกำเนิดธาตุธรรมเดิม พรอมกับบริกรรมภาวนาคูกันวา
“สมั มาอรหงั ๆๆๆ” ตรงกลางของกลางจดุ เลก็ ใสกลางดวงใส ตรงศนู ยก ลางกายและศนู ยก ลาง
กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ อยนู น้ั เมอ่ื ธรรมชาติ ๔ อยา ง (เหน็ ดว ยใจ-จำ-คดิ -ร)ู ของใจ คอ ยๆ
สงบลงๆๆๆ และหยดุ นงิ่ ตรงศนู ยก ลางดวง-ศนู ยก ลางกายไดม ากขนึ้ และคอ ยๆ ปรากฏ
ความสวา งขน้ึ ณ ภายในตรงศนู ยก ลางกายนนั้ ผเู จรญิ ภาวนาจะรสู กึ วา ใจสงบดขี น้ึ คอ ยๆ
สวา งขน้ึ ณ ภายใน และจะคอ ยๆ รสู กึ เปน สขุ ขนึ้ เพราะความทใี่ จ คอ ยๆ รวมหยดุ เปน
จดุ เดยี ว (คอ ยๆ เปน เอกคั คตาจติ ยงิ่ ขน้ึ ๆ) คลายจากความฟงุ ซา น ไมย ดึ ไมเ กาะอารมณ
ภายนอก (รปู -เสยี ง-กลน่ิ -รส-โผฏฐพั พะ) เขา มารวมอยกู บั บรกิ รรมนมิ ติ นน้ั กำลงั จะเจรญิ
ขน้ึ เปน อคุ คหนมิ ติ ปฏภิ าคนมิ ติ ตอ ไปๆ ตามลำดบั จติ ใจ (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู กจ็ ะยงิ่ มารวม
หยดุ เปน จดุ เดยี วยง่ิ ขนึ้ จติ ใจยงิ่ สงบ ยงิ่ ปรากฏความสวา ง แมจ ะยงั ไมเ หน็ ดวงใสสวา ง
ปรากฏขน้ึ จติ ใจกไ็ ดเ สวยสขุ เวทนาทมี่ อี ามสิ คอื “นมิ ติ ”นนั้ เอง และเมอ่ื รวมใจให
หยดุ กลางของหยดุ ๆๆ ลงตรงกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ มากขนึ้ ใจกย็ ง่ิ ปลอ ยวางนมิ ติ
หยดุ นง่ิ และยง่ิ ไดเ สวยสขุ เวทนาทไ่ี มม อี ามสิ ทลี่ ะเอยี ดยง่ิ ขนึ้ แมค วามรสู กึ นจี้ ะยงั

แผว เบา ผเู จรญิ ภาวนากจ็ ะรสู กึ วา จติ ใจไดเ สวยสขุ เวทนาไมม อี ามสิ ยงิ่ ขนึ้ กวา
เมอ่ื กอ น ทจี่ ติ ฟงุ ซา น

และเมื่อรวมใจหยุดในหยุด กลางของหยุด ใหนิ่งย่ิงไปกวาเดิมอีก จนจิตถือเอา

ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา 55

ปฏภิ าคนมิ ติ ได ใจ (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู ทตี่ ง้ั อยกู ลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายเดมิ กจ็ ะตกศนู ย
(ละปฏิภาคนิมิต วางหายไป) ไปยังศูนยกลางกายฐานที่ ๖ (ประมาณระดับสะดือพอดี)
ถกู ปรงุ แตง ดว ย “ปญุ ญาภสิ งั ขาร” มี ทานกศุ ล-ศลี กศุ ล-ภาวนากศุ ล เปน จติ ใจดวงใหม
ตงั้ อยตู รงกลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายใหม ทบ่ี รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสกวา เดมิ ลอยเดน ขน้ึ มาตรง
ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๗ (อยเู หนอื ระดบั สะดอื ประมาณ ๒ นวิ้ มอื ) ผเู จรญิ ภาวนากจ็ ะยง่ิ
รสู กึ เสวยเวทนาไมม อี ามสิ ทลี่ ะเอยี ดประณตี ยง่ิ ขนึ้ กวา ทใ่ี จดวงเดมิ ยงั ฟงุ ซา นและเปน
ทกุ ขเวทนา

ดงั พระพทุ ธดำรสั ทต่ี รสั วา ๓๐
“นตถฺ ิ สนตฺ ปิ รํ สขุ ”ํ

“สขุ อนื่ ยง่ิ กวา ความสงบ [ใจหยดุ -ใจนงิ่ ] ไมม ”ี

เมอ่ื เจรญิ ภาวนารวมใจ (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู ใหห ยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ กลางของ

กลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย หยดุ นง่ิ ถกู สว น ศนู ยก ลางกจ็ ะวา งหายไป (จติ ดวงเดมิ ตกศนู ย
ไปยงั ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๖) แลว จะปรากฏดวงศลี -สมาธ-ิ ปญ ญา-วมิ ตุ ติ เปน คณุ เครอื่ ง
กลนั่ กรองกาย-วาจา และใจทลี่ ะเอยี ดประณตี ยง่ิ กวา กนั ขน้ึ มาทลี ะดวงๆ ตามลำดบั จนถงึ
“ดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ” ใสแจม ยง่ิ ขนึ้

เมื่อรวมใจหยุดในหยุดกลางของหยุด กลางของกลางๆๆ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
ถูกสวนเขา ศูนยกลางก็จะวางหายไป แลวจะปรากฏ “กายมนุษยละเอียด” ที่โปรงใส
สวยงามกวา กายเนอื้ นงั่ อยใู นทา ขดั สมาธิ หนั หนา ไปทางเดยี วกบั เรา

ผเู จรญิ ภาวนากำหนดใจ “ดบั หยาบไปหาละเอยี ด” คอื ละอปุ าทานในกายมนษุ ยห ยาบ
ทำความรสู กึ เปน กายมนษุ ยล ะเอยี ด รวมใจหยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ กลางของกลางดวง
ธรรมท่ีทำใหเปนกายมนุษยละเอียด และดวงศีล-สมาธ-ิ ปญ ญา-วิมุตต-ิ วิมตุ ติญาณทัสสนะ

ตอ ๆ ไปเปน ลำดบั ใหใ สละเอยี ดทงั้ ดวง ทงั้ กาย และองคฌ าน อยนู น้ั จะรสู กึ เวทนาใน
เวทนา (ของกายมนษุ ยล ะเอยี ด) เปน สขุ เวทนาไมม อี ามสิ กวา เวทนาของกายมนษุ ย

๓๐ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ขอ ๒๕ หนา ๔๒.


Click to View FlipBook Version