6 ตอนท่ี ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา
ตอนที่ ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 7
ในขนั้ สมถภาวนานี้ หลวงพอ วดั ปากน้ำทา นใชอ บุ ายวธิ สี งบใจ ๓ อยา งประกอบกนั คอื
อาโลกกสณิ ๑ อานาปานสติ ๑ และพทุ ธานสุ ติ ๑ ปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนารว มกนั ไป
จงึ เปน พระกมั มฏั ฐานทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ และมอี านภุ าพมาก เพราะอาโลกกสณิ เปน กสณิ กลาง
คอื เมอื่ พระโยคาวจรกำหนดบรกิ รรมนมิ ติ นกึ เหน็ มณฑลกสณิ แสงสวา งได และเพง กสณิ นน้ั
จนถอื เอา “อคุ คหนมิ ติ ” ถงึ “ปฏภิ าคนมิ ติ ” ได ยอ มเหน็ นมิ ติ ตดิ ตาตดิ ใจเปน ดวงกลม
ใสสวา ง สว นผเู พง กสณิ อน่ื อกี ทง้ั ๙ ไมว า จะเปน ภตู กสณิ ๔ วณั ณกสณิ ๔ และอากาส-
กสณิ เมอื่ พระโยคาวจรกำหนดบรกิ รรมนมิ ติ และเพง กสณิ นน้ั ตอ ไป จนถอื เอาอคุ คหนมิ ติ
ถงึ ปฏภิ าคนมิ ติ ได กเ็ หน็ นมิ ติ ตดิ ตาตดิ ใจ เปน ดวงกลมใสดว ยเชน กนั อาโลกกสณิ จงึ ชอ่ื วา
เปน “กสณิ กลาง” ดว ยประการฉะน้ี
อาโลกกสณิ นแี้ หละ เปน อบุ ายวธิ สี งบใจทเี่ หมาะแกบ คุ คลทกุ จรติ อธั ยาศยั เพราะ
สามารถผกู ใจ คอื ความเหน็ ดว ยใจ ๑ ความจำ ๑ ความคดิ ๑ ความรู ๑ ใหอ ยใู นอารมณ
เดยี ว อยา งไดผ ลสงู เมอื่ ผเู จรญิ อาโลกกสณิ สามารถถอื เอาปฏภิ าคนมิ ติ ได ใจยอ มเปน สมาธิ
แนบแนน มนั่ คง เปน เอกคั คตาจติ เมอ่ื ประกอบดว ย วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ และเอกคั คตา อนั
เปน เบอื้ งตน ของปฐมฌานแลว ยอ มสามารถเจรญิ จติ ตภาวนาถงึ ทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน และถงึ
จตตุ ถฌาน เปน สมั มาสมาธิ ตามรอยบาทพระพทุ ธองคไ ดส ะดวก อาโลกกสณิ จงึ ชอ่ื วา มี
“ประสทิ ธภิ าพมาก”
ผเู จรญิ อาโลกกสณิ ถงึ ขน้ั เปน ฌานสมาบตั ิ ไดแ ก ปฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน และ
จตตุ ถฌาน อนั เปน สมั มาสมาธิ ให “อภญิ ญา” คอื ความสามารถพเิ ศษ ไดแ ก ทพิ พจกั ขุ
ทพิ พโสต เปน ตน เกดิ และเจรญิ ขน้ึ ไดง า ย และสามารถใหเ จรญิ วชิ ชา ไดแ ก วชิ ชา ๓
วชิ ชา ๘ ตามรอยบาทพระพทุ ธองคอ ยา งไดผ ลดี จงึ ชอื่ วา “มอี านภุ าพมาก”
ดงั ทพี่ ระพทุ ธโฆสาจารย ไดอ รรถาธบิ ายถงึ การเจรญิ อาโลกกสณิ ใหส ามารถเหน็ สตั ว
ทง้ั หลายในภพ ๓ ผเู ปน ไปตามกรรม จนเกดิ ยถากมั มปู คญาณ (ญาณเครอ่ื งรสู ตั วเ ขา ถงึ
ตามกรรม) และญาณนเี้ ปน บาทแหง ทพิ พจกั ขญุ าณ ใหเ จรญิ ขนึ้ เปน “จตุ ปู ปาตญาณ” อนั
เปน วชิ ชาที่ ๒ ทพ่ี ระมหาโพธสิ ตั วเ จา ไดท รงบรรลุ ในยามกลางแหง ราตรี นน่ั เอง๔
๔ คมั ภรี ส มนั ตปาสาทกิ า อรรถกถาพระวนิ ยั ปฎ ก ภาค ๑ หนา ๑๘๔-๑๘๕.
8 ตอนท่ี ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา
สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา เมอื่ ทรงยงั เปน พระโพธสิ ตั วอ ยู กอ นแตจ ะตรสั รู กไ็ ด
เจรญิ จติ ตภาวนา จำแสงสวา ง และ เหน็ รปู นมิ ติ ดว ยเชน กนั ๕
ดงั พระพทุ ธดำรสั ทต่ี รสั กบั พระอนรุ ทุ ธ กบั คณะฯ วา
“ตํ โข ปน โว อนรุ ทุ ธฺ า นมิ ติ ตฺ ํ ปฏวิ ชิ ฌฺ ติ พพฺ .ํ อหมปฺ สทุ ํ
อนุรุทธา ปุพฺเพว สมฺโพธา อนภิสมฺพุทฺโธ โพธิสตฺโต ว สมาโน
โอภาสเฺ จว สชฺ านามิ ทสสฺ นจฺ รปู าน”ํ
แปลความวา
“ดกู อ นอนรุ ทุ ธก บั คณะ พวกเธอตอ งแทงตลอดนมิ ติ นน้ั แล แม
เรากเ็ คยมาแลว เมอื่ กอ นตรสั รู ยงั ไมร เู องดว ยปญ ญาอนั ยงิ่ ยงั เปน
พระโพธสิ ตั วอ ยู ยอ มจำแสงสวา ง และเหน็ รปู นมิ ติ ไดเ หมอื นกนั ”
หลวงพอ วดั ปากน้ำ ทา นไดเ ลอื กใช “อาโลกกสณิ ” เปน อารมณส มถกมั มฏั ฐาน
ตามรอยบาทพระพุทธองค ควบคูไปกับ “อานาปานสติ” และ “พุทธานุสติ” จึงมี
ประสทิ ธภิ าพมาก และมอี านภุ าพมาก ดว ยประการฉะน้.ี
วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นขน้ั สมถกมั มฏั ฐาน/ภาวนา นี้ คอื
ใหก ำหนดบรกิ รรมนมิ ติ (เครอื่ งหมายทน่ี กึ เหน็ ดว ยใจ) เปน เครอื่ งหมายดวงกลมใส
(ทานเอาผลของการเจริญอาโลกกสิณ ในข้ันถือเอาอุคคหนิมิตเปนดวงกลมใส มาใชเปน
บรกิ รรมนมิ ติ เพอ่ื สะดวกแกผ ปู ฏบิ ตั ทิ กุ เพศ ทกุ วยั ทกุ ฐานะ และทกุ โอกาส) ขนาดเลก็
ประมาณเทา ดวงตาดำ (หรอื ขนาดเทา ทพี่ อนกึ เหน็ ดว ยใจไดช ดั เจน) ใหป รากฏขน้ึ ทป่ี ากชอ ง
จมกู (หญงิ ซา ย-ชายขวา) ใหใ จ (ความเหน็ ดว ยใจ ความจำ ความคดิ ความร)ู อยใู น
ดวงกลมใสนั้น คือ นึกใหเห็นจุดเล็กใสศูนยกลางดวงกลมใสต้ังอยูที่ปากชองจมูก
(หญงิ ซา ย-ชายขวา) พรอ มกบั บรกิ รรมภาวนา (ทอ งในใจ) ตรงศนู ยก ลางดวงกลมใสนน้ั วา
“สมั มาอรหงั ๆๆ” นเี้ ปน ฐานทต่ี ง้ั ของใจ ฐานที่ ๑
แลวใหเล่ือนดวงกลมใสนั้นเขาไปในชองจมูก แลวเลื่อนขึ้นไปหยุดนิ่งที่หัวตาดานใน
๕ พระไตรปฎ กบาลฉี บบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๔ มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก ขอ ๔๕๒ หนา ๓๐๒.
ตอนที่ ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 9
(หญิงซาย-ชายขวา) บริกรรมภาวนาเพื่อประคองบริกรรมนิมิตนั้นไววา “สัมมาอรหังๆๆ”
นเ้ี ปน ฐานทต่ี งั้ ของใจ ฐานที่ ๒
แลว กเ็ ลอ่ื นเครอ่ื งหมายดวงกลมใสนน้ั เขา ไปหยดุ นงิ่ ตรงกลางกก๊ั ศรี ษะ บรกิ รรมภาวนา
เพอ่ื ประคองบรกิ รรมนมิ ติ นนั้ ไวว า “สมั มาอรหงั ๆๆ” นเี้ ปน ฐานทต่ี งั้ ของใจ ฐานที่ ๓
กอนท่ีจะเลื่อนดวงกลมใสน้ันอีกตอไป ทานมีอุบายวิธีรวมใจ (ความเห็นดวยใจ
ความจำ ความคดิ และความรู) ใหห ยดุ เปน จดุ เดยี ว ใหก ลบั ไปขา งหลงั แลว ใหร วมลง ณ
ภายในไดโ ดยสะดวก โดยวธิ ใี หเ หลอื บดวงตากลบั (ขณะหลบั เปลอื กตาลงเบาๆ อยู เหมอื น
เดก็ กำลงั หลบั สนทิ จะเหน็ ดวงตาของเดก็ หมนุ กลบั ไปขา งหลงั รบิ ๆๆ) แลว ใหเ ลอ่ื นดวงกลม
ใสน้ันลงไปหยุดน่ิงตรงเพดานปาก และบริกรรมภาวนาวา “สมั มาอรหังๆๆ” นี้เปนฐาน
ทต่ี ง้ั ของใจ ฐานท่ี ๔
แลว จงึ เลอื่ นดวงกลมใสนน้ั ลงไปตรงๆ ไปหยดุ นง่ิ ทปี่ ากชอ งลำคอ บรกิ รรมภาวนาวา
“สมั มาอรหงั ๆๆ” นเ้ี ปน ฐานทตี่ ง้ั ของใจ ฐานที่ ๕
แลว ใหเ ลอื่ นดวงกลมใสนน้ั ลงไปตรงๆ ตามเสน ทางลมหายใจเขา -ออก ไปหยดุ นง่ิ
ตรงศนู ยก ลางกายระดบั สะดอื อนั เปน ทสี่ ดุ และทตี่ ง้ั ตน ลมหายใจเขา -ออก บรกิ รรมภาวนา
วา “สมั มาอรหงั ๆๆ” นเี้ ปน ฐานทตี่ งั้ ของใจ ฐานท่ี ๖
แลวใหเล่ือนดวงกลมใสน้ันกลับขึ้นมาตรงๆ ประมาณ ๒ น้ิวมือ (๒ องคุลีมือ) นี้
เปน ฐานทตี่ ง้ั ของใจ ฐานที่ ๗ อนั เปน ทตี่ งั้ กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ เปน ทจี่ ติ เปลยี่ นวาระ
ทกุ ขณะจติ ทบ่ี ญุ กศุ ลหรอื บาปอกศุ ลปรงุ แตง และ/หรอื เวลาทส่ี ตั วจ ะไปเกดิ -มาเกดิ จะดบั -
จะหลบั -จะตน่ื จติ ดวงเดมิ ทต่ี งั้ อยกู ลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายกจ็ ะละปฏภิ าคนมิ ติ และ
ตกศูนย ไปยังศูนยกลางกายฐานที่ ๖ แลวปรุงเปนจิตดวงใหม ต้ังอยูกลางดวงธรรมใหม
ลอยขน้ึ มาตรงศนู ยก ลางกายฐานท่ี ๗ น้ี เพอ่ื ทำหนา ทตี่ อ ไป จติ ดบั แลว กเ็ กดิ ๆๆ ตรงนี้
และศนู ยก ลางกายเปน ทต่ี งั้ กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ นี้ ยงั เปน ทตี่ ง้ั กายในกาย เวทนาในเวทนา
จติ ในจติ และธรรมในธรรม ณ ภายในตอ ๆ ไป จนสดุ ละเอยี ด (สว นหยาบเปน ณ ภายนอก
สว นละเอยี ดเปน ณ ภายในตอ ๆ ไปจนสดุ ละเอยี ด) อกี ดว ย
10 ตอนที่ ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา
เมอื่ เลอื่ นดวงกลมใสมาหยดุ นงิ่ ตรงศนู ยก ลางกายฐานท่ี ๗ นแี้ ลว ไมต อ งเลอ่ื น
ไป (ซาย-ขวา-หนา-หลัง-ลาง-บน) ไหนอีก ใหประคับประคองใจ รวมใจหยุดในหยุด
กลางของหยดุ ใหน ง่ิ ตรงนแี้ หง เดยี ว โดยกำหนดบรกิ รรมนมิ ติ นกึ เหน็ ดว ยใจ และบรกิ รรม
ภาวนาทองในใจ พรอมกับสังเกตลมหายใจเขา-ออก ผาน (กระทบ) ดวงกลมใสนั้นดวย
แตไ มต อ งตามลม คงสงั เกตเหน็ ลมหายใจเขา -ออก ตรงศนู ยก ลางดวงศนู ยก ลางกายฐาน
ที่ ๗ นน้ั แหง เดยี ว
ตามท่ีหลวงพอทานสอนใหมีสติกำหนดเห็นลมหายใจเขา-ออกอยูตรงศูนยกลางกาย
อนั เปน ฐานทตี่ ง้ั ของใจฐานท่ี ๗ แตแ หง เดยี ว ทำนองเดยี วกนั กบั ทเี่ คยกำหนดสตพิ จิ ารณา
เหน็ ลมหายใจเขา -ออกในเบอื้ งตน ทปี่ ากชอ งจมกู อนั เปน ฐานทต่ี ง้ั ของใจฐานที่ ๑ นเี้ ปน
ทำนองเดียวกันกับที่พระพุทธโฆสาจารยไดอรรถาธิบายถึงการเจริญอานาปานสติ๖ วา
ไมพึงกำหนดใจไปตามลมหายใจเขา-ออก เพราะจิตท่ีแกวงไปมาจะเปนไปเพ่ือความ
ปนปวนและหว่ันไหวแหงจิต แตพึงกำหนดจิตอยูตรงท่ีๆ ลมกระทบดวยสติ ดังท่ี
พระธรรมเสนาบดสี ารบี ตุ ร ไดก ลา วไวว า ๗
“เม่ือพระโยคาวจรใชสติไปตามเบ้ืองตน ทามกลาง และที่สุดแหง
ลมหายใจเขา กายและจติ ยอ มมคี วามปรารภ หวนั่ ไหว และดนิ้ รน เพราะ
จติ ถงึ ความฟงุ ซา น ณ ภายใน
เมื่อพระโยคาวจรใชสติไปตามเบื้องตน ทามกลาง และท่ีสุดแหง
ลมหายใจออก กายและจติ ยอ มมคี วามปรารภ หวน่ั ไหว และดน้ิ รน เพราะ
จติ ถงึ ความฟงุ ซา น ณ ภายนอก
กายและจิตยอมมีความปรารภหวั่นไหวและด้ินรน เพราะความ
ปรารถนา เพราะความพอใจลมหายใจออก เพราะความเทย่ี วไปดว ยตณั หา
กายและจติ ยอ มมคี วามปรารภหวนั่ ไหว และดน้ิ รน...”
๖ คมั ภรี ว สิ ทุ ธมิ รรค ภาค ๒ หนา ๗๐-๗๓.
๗ พระไตรปฎ กบาลฉี บบั สยามรฐั เลม ท่ี ๓๑ ขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ขอ ๓๖๙ หนา ๒๔๙.
ตอนท่ี ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 11
อนง่ึ พระสารบี ตุ รมหาเถระ ยงั ไดก ลา วถงึ วธิ กี ารเจรญิ อานาปานสติ๗ ไวอ กี วา
“[๓๘๓] นมิ ติ ลมอสั สาสะปส สาสะ ไมเ ปน อารมณแ หง จติ เดยี ว
เพราะไมร ธู รรม ๓ ประการ จงึ ไมไ ดภ าวนา.
นมิ ติ ลมอสั สาสะปส สาสะ ไมเ ปน อารมณแ หง จติ ดวง
เดียว แตเ พราะรธู รรม ๓ ประการ จงึ จะไดภ าวนา ฉะนแี้ ล.
[๓๘๔] ธรรม ๓ ประการนี้ ไมเ ปน อารมณแ หง จติ ดวงเดยี ว เปน
ธรรมไมปรากฏก็หามิได จิตไมถึงความฟุงซาน จิตปรากฏเปนปธาน
[คอื ความเพยี ร] จติ ใหป ระโยคสำเรจ็ และบรรลผุ ลวเิ ศษอยา งไร.
ธรรม ๓ ประการน้ี ไมเ ปน อารมณแ หง จติ ดวงเดยี ว เปน ธรรมไมป รากฏ
จติ ไมถ งึ ความฟงุ ซา น จติ ปรากฏเปน ประธาน จติ ใหป ระโยคสำเรจ็ และ
บรรลผุ ลวเิ ศษอยา งไร.
เปรยี บเหมอื นตน ไมท เ่ี ขาวางไวบ นพนื้ ทเี่ รยี บ บรุ ษุ เอาเลอ่ื ยเลอื่ ยตน ไม
นนั้ สตขิ องบรุ ษุ ยอ มเขา ไปตง้ั อยู ดว ยสามารถแหง ฟน เลอ่ื ยซงึ่ ถกู ท่ี
ตน ไม บรุ ษุ นน้ั ไมไ ดใ สใ จถงึ ฟน เลอ่ื ยทม่ี าหรอื ทไี่ ป ฟน เลอ่ื ยทมี่ าหรอื
ทไ่ี ป ไมป รากฏกห็ ามไิ ด จติ ปรากฏเปน ปธาน จติ ใหป ระโยคสำเรจ็
และบรรลุผลวิเศษ.
ความเน่ืองกันเปนนิมิต เหมือนตนไมท่ีเขาวางไวบนพ้ืนที่เรียบ,
ลมหายใจเขา -ออก เหมอื นฟน เลอ่ื ย. ภกิ ษตุ ง้ั สตไิ วม นั่ ทปี่ ลายจมกู หรอื
ทรี่ มิ ฝป าก ไมไ ดใ สใ จถงึ ลมหายใจเขา -ออก ลมหายใจเขา -ออก จะไม
ปรากฏกห็ ามไิ ด จติ ปรากฏเปน ปธาน จติ ใหป ระโยคสำเรจ็ และบรรลุ
ถงึ ผลวเิ ศษ. เหมอื นบรุ ษุ ตง้ั สตไิ วด ว ยสามารถฟน เลอ่ื ยอนั ถกู ทตี่ น ไม
เขาไมไ ดใ สใ จถงึ ฟน เลอื่ ยทมี่ าหรอื ทไ่ี ป ฟน เลอื่ ยทมี่ าหรอื ทไี่ ปจะไมป รากฏ
กห็ ามไิ ด จติ ปรากฏเปน ปธาน จติ ใหป ระโยคสำเรจ็ และ บรรลุ
ถงึ ผลวเิ ศษ ฉะนนั้ .
๘ พระไตรปฎ กบาลฉี บบั สยามรฐั เลม ท่ี ๓๑ ขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ขอ ๓๘๓-๓๘๖ หนา ๒๕๗-๒๕๘.
12 ตอนท่ี ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา
[๓๘๕] ประธาน เปน ไฉน ? แมก าย แมจ ติ ของภกิ ษผุ ปู รารภความ
เพยี ร ยอ มควรแกก ารงาน นเ้ี ปน ประธาน. ประโยค เปน ไฉน ? ภกิ ษุ
ผูปรารภความเพียร ยอมละอุปกิเลสได วิตกยอมสงบไป น้ีเปนประโยค.
ผลวเิ ศษ เปน ไฉน? ภกิ ษผุ ปู รารภความเพยี รยอ มละสงั โยชนไ ด อนสุ ยั
ยอ มถงึ ความพนิ าศไป นเ้ี ปน ผลวเิ ศษ. กธ็ รรม ๓ ประการนี้ ยอ มไมเ ปน
อารมณแ หง จติ ดวงเดยี วอยา งน้ี และธรรม ๓ ประการน้ี ไมป รากฏกห็ ามไิ ด
จติ ไมถ งึ ความฟงุ ซา น ปรากฏเปน ประธาน ยงั ประโยคใหส ำเรจ็
และบรรลุถึงผลวิเศษ.
[๓๘๖] ภกิ ษใุ ด เจรญิ อานาปานสตใิ หบ รบิ รู ณด แี ลว อบรมแลว ตาม
ลำดบั ตามทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงแสดงแลว ภกิ ษนุ น้ั ยอ มทำโลกนใ้ี หส วา งไสว
เหมอื นพระจนั ทรพ น แลว จากหมอกฉะนน้ั .”
ขณะเดียวกันหลวงพอทานสอนใหกำหนดบริกรรมนิมิต (นึกเห็นดวยใจ) และ
กำหนดบริกรรมภาวนาวา “สัมมาอรหังๆๆ” ตรึกนึกเห็นดวงกลมใส ใจอยูในกลาง
ของกลาง (เห็นจุดเล็กใส) ดวงกลมใสน้ันตอไป ดวยใจจดจอตอเน่ืองกันไปเร่ือย
สบิ ครงั้ รอ ยครง้ั -พนั ครงั้ กช็ า ง ไมส นใจอะไรอนื่ ทง้ั สนิ้ จนใจสงบหยดุ นงิ่ จะปรากฏ
“ดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายมนษุ ย” ใสบรสิ ทุ ธิ์ ขนาดประมาณเทา ฟองไขแ ดงของไขไ ก
อยา งโตเทา ดวงจนั ทร ดวงอาทติ ย ใสสวา งขนึ้ มา ตรงศนู ยก ลางกายนนั้ แหละ
เห็นแลวไมตองตื่นเตน ไมตองยินดียินราย และไมตองบริกรรมภาวนาวา
“สมั มาอรหงั ” อกี ตอ ไป ใหร วมใจหยดุ นงิ่ ตรงกลางของกลางจดุ เลก็ ใส กลางดวงธรรม
ทที่ ำใหเ ปน กายนน้ั แหละ จะเหน็ ภายในดวงประกอบดว ยศนู ย (ดวงเลก็ ๆ) อีก ๕ ศนู ย
ณ ภายในดวงธรรมนน้ั คอื ศนู ยก ลาง-หนา -ขวา-หลงั -ซา ย ศนู ยก ลางเปน อากาศธาตุ
ศูนยขางหนาเปนธาตุละเอียดของธาตุนำ้ ศูนยขางขวาธาตุดิน ศูนยขางหลัง ธาตุไฟ
ศนู ยข า งซา ยธาตลุ ม ธาตลุ ะเอยี ดทง้ั ๔ คอื ธาตนุ ้ำ-ดนิ -ไฟ-ลม นนั้ แหละ คอื “มหาภตู รปู ๔”
ตง้ั อยภู ายในดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายมนษุ ย ซง่ึ ขยายสว นหยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของ
“รปู ขนั ธ” ซง่ึ มมี าตง้ั แตม าตงั้ ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณเปน “กลลรปู ” ในมดลกู มารดา ทำหนา ที่
ตอนที่ ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 13
ควบคุม และปรุงแตงสวนท่ีเปนของเหลว ของหยาบแข็ง อุณหภูมิ และลมปราณ ที่
ปรนเปรออยใู นรา งกาย และปรงุ แตง อาหาร คอื สายเลอื ดจากมารดา (กรณเี ดก็ ทารกใน
ครรภ) หรอื กรณที คี่ ลอดจากครรภม ารดาแลว กป็ รงุ แตง อาหาร น้ำดมื่ ทบี่ รโิ ภคเขา ไป และ
ลมหายใจเขา -ออก ใหเ จรญิ ขนึ้ เปน รปู กาย เปน ทารกในครรภ คลอดจากครรภม ารดา
และเจรญิ วยั ขน้ึ มาเปน ลำดบั ตอ เมอ่ื นานไป จนมหาภตู รปู ๔ นนั้ เสอื่ มโทรม จงึ มผี ลใหร า ง
กายซง่ึ เปน ธาตหุ ยาบ พลอยตอ งเสอื่ มโทรม แกเ ฒา เจบ็ ไข และในทสี่ ดุ กแ็ ตกสลาย (ตาย)
หมดสภาพเดมิ ของมนั ไป ไมม อี ะไรเปน แกน สารสาระ ในความเปน ของเทยี่ งแท ในความ
เปน สขุ ทถี่ าวร และไมม สี าระในความเปน ตวั ตน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-ของเขา หรอื
ของใครทเี่ ทย่ี งแทถ าวรแตป ระการใดทง้ั สนิ้
ครนั้ เมอื่ ผเู จรญิ ภาวนาไดเ หน็ ดวงธรรมนนั้ ใสแจม ปรากฏขน้ึ ดงั นนั้ แลว ใจกห็ ยดุ นงิ่ กลาง
ของกลางอากาศธาตุเห็น “วิญญาณธาตุ” เปนจุดเล็กใสสวาง กลางอากาศธาตุน้ันแหละ
กห็ ยดุ นง่ิ กลางของกลางนนั้ หยดุ นงิ่ ถกู สว น ศนู ยก ลางดวงนนั้ ขยายวา งออกไป ปรากฏดวง
ใสสวา ง ตอ ๆ ไป เปน เครอ่ื งกลนั่ กรอง กาย-วาจา-ใจ ทลี่ ะเอยี ด ประณตี และบรสิ ทุ ธิ์
ผอ งใส ดว ยศลี บรสิ ทุ ธ์ิ เพราะใจทบี่ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใส ดว ยเจตนากรรมบรสิ ทุ ธิ์ เปน สมั มาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เปน “สีลวิสุทธิ” คือ ความหมดจดแหงศีล และดวย
ใจท่บี รสิ ทุ ธิ์ เพราะสงบและตงั้ มน่ั เปน “เอกคั คตาจติ ” ประกอบดว ย วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ
และเอกัคคตา อันเปนเบ้ืองตนของปฐมฌานขึ้นไป จิตใจถึงความบริสุทธ์ิผองใสจาก
นวิ รณปู กเิ ลส เปน “จติ ตวสิ ทุ ธ”ิ คอื ความหมดจดแหง จติ เปน บาทฐานใหว ปิ ส สนาเกดิ
และเจรญิ ขน้ึ และเปน ทางแหง “วปิ ส สนาปญ ญา” ใหเ ปน ความหมดจดแหง ปญ ญา เรม่ิ ตง้ั แต
“ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธ”ิ คอื ความหมดจดแหง ความเหน็ ไดแ ก ความเหน็ แจง ในพระไตรลกั ษณ
กลา วคอื เหน็ สภาวะของนาม-รปู ตามทเี่ ปน จรงิ วา เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ และ อนตตฺ า
อาการทใี่ จหยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ เขา ถงึ ดวงทใ่ี สละเอยี ด เปน เครอื่ งกลน่ั กรอง
กาย-วาจา-ใจ ทล่ี ะเอยี ดประณตี บรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใส ดว ยศลี บรสิ ทุ ธ์ิ จติ บรสิ ทุ ธ์ิ และปญ ญา
บรสิ ทุ ธิ์ นี้ หลวงพอ วดั ปากนำ้ ทา นจงึ เรยี กวา ดวงศลี ดวงสมาธิ ดวงปญ ญา อนั นำไปสู
วิมุตติ หลุดพนจากกิเลสหยาบของมนุษย ไดแก อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ และ
14 ตอนที่ ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา
วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ซง่ึ สามารถจะปฏบิ ตั ภิ าวนาเขา ถงึ ได และเหน็ เปน ดวงทใี่ สละเอยี ดทสี่ ดุ
พอใจหยดุ นง่ิ กลางของกลางดวงนนั้ ถกู สว นเขา ศนู ยก ลางขยายวา งออกไป กจ็ ะ
ปรากฏ “กายมนษุ ยล ะเอยี ด” หนา ตาเหมอื นผปู ฏบิ ตั ทิ กุ ประการ แตโ ปรง ใส สวยงาม ละเอยี ด
ประณีตกวากายเนื้อ อยูในทาขัดสมาธิ หันหนาไปทางเดียวกันกับผูปฏิบัติเอง นั่งอยูบน
องคฌ าน (เหมอื นแผน กระจกกลมใส หนาประมาณ ๑ ฝา มอื ) ขณะทใี่ จเปน สมาธติ งั้ มนั่
และประกอบดว ย วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ และเอกคั คตา เปน เบอ้ื งตน ของปฐมฌานขน้ึ ไป
เห็นกายมนุษยละเอียดนั้นแลว ใหดับหยาบไปหาละเอียด เปนกายมนุษยละเอียด
ใหใ จของกายมนษุ ยล ะเอยี ดหยดุ นง่ิ กลางของกลางดวง กลางของกลางกายมนษุ ยล ะเอยี ดนนั้
อกี ตอ ไป ใหใ สละเอยี ดสดุ ละเอยี ด กจ็ ะถงึ ความบรสิ ทุ ธิ์ กาย วาจา ใจ และปญ ญา เปน
ดวงใสสวา งยงิ่ ๆ ขนึ้ ไป นเี้ ปน การเจรญิ จติ ตภาวนา ทใ่ี หเ ขา ถงึ และใหไ ดท งั้ ร-ู ทง้ั เหน็
และท้ังเปนกายในกายที่บริสุทธิ์ (ท้ังกายและดวงธรรมที่ทำใหเปนกาย) ใหรูสึกเวทนาใน
เวทนา ทเี่ ปน สขุ เวทนา (กวา กายมนษุ ยห ยาบซงึ่ เปน ณ ภายนอก) ใหท ง้ั รูและทงั้ เหน็ จติ
ในจติ ทบี่ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใส จากกเิ ลสหยาบ คอื อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ (บรสิ ทุ ธกิ์ วา จติ
ของกายมนษุ ยห ยาบซง่ึ เปน ณ ภายนอก) และใหไ ดท งั้ รู ทง้ั เหน็ ธรรมในธรรม วา เปน แต
บญุ กศุ ล (กสุ ลา ธมั มา) ดว ยทานกศุ ล ศลี กศุ ล และภาวนากศุ ล (ในระดบั มนษุ ยธรรม)
ซง่ึ หลวงพอ วดั ปากน้ำ ทา นกลา วสอนศษิ ยานศุ ษิ ยอ ยเู สมอวา
“ใจหยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ ตรงศนู ยก ลางกายฐานที่ ๗ ของ
กายในกาย ณ ภายใน ใหใ สละเอยี ดเขา ไปนน้ั แหละ ถกู ทะเลบญุ แลว ”
และวา
“‘บญุ ’ [ความบรสิ ทุ ธก์ิ าย วาจา ใจ] นน้ั แหละชว ยเราได จงอบรมใจ
ใหห ยดุ นง่ิ กลางของกลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย [เขา ไปใหส ดุ ละเอยี ด]
ใหเห็นใสแจมอยูเสมอ นึกอธิษฐานปรารถนาส่ิงใดโดยชอบ ท่ีไม
เหลอื วสิ ยั เหตปุ จ จยั ยอ มสำเรจ็ ได [ไมช า กเ็ รว็ ]”
เม่ือใจกายมนุษยละเอียดเจริญจิตตภาวนาหยุดในหยุดกลางของหยุด กลางของ
ตอนที่ ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 15
กลางดวงศลี -สมาธ-ิ ปญ ญา-วมิ ตุ ต-ิ วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะตอ ไป จนใสละเอยี ดทง้ั ดวงทงั้ กาย และ
องคฌ านแลว ถกู สว นเขา ศนู ยก ลางกจ็ ะขยายวา งออกไป กจ็ ะปรากฏ กายทพิ ยห ยาบ
และ กายทิพยละเอียด อันเปนกายในกายท่ีใสบริสุทธ์ิตอๆ ไป โตใหญ มีรัศมีสวาง
สวยงาม ละเอยี ด ประณตี (กวา กายมนษุ ย) ประกอบดว ยเวทนาในเวทนาทเ่ี ปน สขุ เวทนา
จติ ในจติ ทบี่ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใส และธรรมในธรรมอนั เปน บญุ กศุ ลในระดบั “เทวธรรม” ดว ยศลี -
สมาธ-ิ ปญ ญา และประกอบดว ยหริ โิ อตตปั ปะ มคี วามละอาย (คอื ความรงั เกยี จตอ บาป) และ
เกรงกลวั ตอ การทำบาปอกศุ ล เพราะสามารถรู-เหน็ ผลบญุ กศุ ล หรอื บาปอกศุ ลปรงุ แตง คอื
เหน็ สวรรค- นรกได ยง่ิ กวา สายตาเนอื้ มนษุ ยจ ะสามารถรเู หน็ ได
เหน็ กายทพิ ยห ยาบ แลว กด็ บั หยาบไปหาละเอยี ดเปน กายทพิ ยห ยาบ (ตอ ไปกเ็ ปน
กายทพิ ยล ะเอยี ด) แลว ใหใ จของกายทพิ ยเ จรญิ จติ ตภาวนาตอ ๆ ไปแบบเดยี วกนั กจ็ ะ
เขาถึง ไดท้ังรู ทั้งเห็น และท้ังเปน กายรูปพรหมหยาบ รูปพรหมละเอียด กาย
อรปู พรหมหยาบ อรปู พรหมละเอยี ด อนั เปน กายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และ
ธรรมในธรรมตอๆ ไป ท่ีบริสุทธิ์ผองใส โตใหญ มีรัศมีสวางและสวยงาม ละเอียดประณีต
ยง่ิ กวา กนั ไปตามลำดบั จนสดุ ละเอยี ด กจ็ ะไดเ ขา ถงึ ร-ู เหน็ และเปน ธรรมกาย อนั เปน
คุณธรรมท่ีบริสุทธ์ิย่ิงกวาคุณธรรมของกายในภพ ๓
หลวงพอ วดั ปากน้ำ ทา นไดก ลา ววา ตราบใดทผ่ี ปู ฏบิ ตั ไิ ดถ งึ ธรรมกาย แตย งั
ตัดหรือละสัญโญชนกิเลสเครื่องรอยรัดใหติดอยูกับโลก อยางนอย ๓ ประการ คือ
สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา และสลี พั พตปรามาสไมไ ด กย็ งั จดั เปน โคตรภบู คุ คล ผไู ดโ คตรภญู าณ
อยูเทานั้น อุปมาดังเทาขางหนึ่งแตะอยูที่นิพพาน อีกขางหน่ึงยังยืนอยูบนภพ ๓
ตอ เมอ่ื เจรญิ สมถวปิ ส สนาจนเหน็ แจง สภาวธรรม และอรยิ สจั จธรรมตามทเ่ี ปน จรงิ ได
เขา ถงึ ร-ู เหน็ และเปน ธรรมกายมรรค-ผล และ นพิ พานธาตุ อนั เปน คณุ ธรรมท่ี
สามารถละกเิ ลสอยา งนอ ยสญั โญชนเ บอ้ื งตำ่ ๓ ประการไดแ ลว ตราบนน้ั จงึ จะกา วลว ง
ขา มโคตรปถุ ชุ น เปน พระอรยิ บคุ คล ตามระดบั ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด
น้ีเปน ข้ันสมถกัมมัฏฐาน/ภาวนา และอนุปสสนา ใหไดเขาถึง ไดรู ไดเห็น
และเปน กายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม ทลี่ ะเอยี ดประณตี ยง่ิ กวา
16 ตอนท่ี ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา
กนั ไปตามลำดบั จนถงึ “ธรรมกาย” อนั ใหเ หน็ แจง รแู จง สภาวะของสงั ขารธรรมทงั้ หลาย
โดยเฉพาะอยา งยง่ิ “อปุ าทนิ นกสงั ขาร” คอื สงั ขารทม่ี ชี วี ติ มวี ญิ ญาณครอง ไดแ กส ตั วโ ลก
ทงั้ หลาย ใหเ หน็ เบญจขนั ธ คอื รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ กลา วโดยยอ คอื
รปู ขนั ธ และนามขนั ธ ๔ วา เปน สภาพไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตา ชอ่ื วา “ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ”
โดยมีสลี วสิ ทุ ธแิ ละจติ ตวสิ ทุ ธิ เปน บาทฐานใหท ฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ อนั เปน ตวั วปิ ส สนาเกดิ เจรญิ ขนึ้
และตง้ั อยู
เพราะเหตุไร หลวงพอวัดปากน้ำทานจึงไดแนะนำวิธีปฏิบัติในข้ันสมถภาวนา
(เบอ้ื งตน ) ใหก ำหนดบรกิ รรมนมิ ติ และบรกิ รรมภาวนาไปตามฐานตา งๆ โดยเรม่ิ ทฐ่ี านท่ี
ตง้ั ของใจ ฐานที่ ๑ ปากชอ งจมกู (หญงิ ซา ย-ชายขวา) แลว กเ็ ลอื่ นไปฐานที่ ๒ ทเี่ พลาตา คอื
ทหี่ วั ตาดา นใน (หญงิ ซา ย-ชายขวา) เปน ตน ?
อธิบายวา หลวงพอวัดปากน้ำ ทานประสงคใหผูปฏิบัติเบื้องตน ไดรูทางเดิน
ของจติ เมอ่ื เวลาสตั วจ ะไปเกดิ -มาเกดิ ดวงจติ ของสตั วน น้ั ดำเนนิ ผา นฐานตา งๆ อยา ง
นนั้ กลา วคอื เมอื่ สตั ว (มนษุ ย) จะมาเกดิ คอื จะมาตงั้ ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณในมดลกู มารดา
นน้ั กายมนษุ ยล ะเอยี ดและกายทพิ ย ฯลฯ อนั มี “ดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย” ตง้ั อยตู รง
ศนู ยก ลางกายของสตั วน นั้ จะเขา มาตงั้ อยู ณ ศนู ยก ลางกายของผเู ปน พอ กอ น โดยผา น
เขา มาตามฐานตา งๆ คอื ปากชอ งจมกู ถา เปน หญงิ จะเขา มาทางปากชอ งจมกู ซา ยของ
บดิ าเปน ฐานท่ี ๑ แลว กผ็ า นไปยงั หวั ตาดา นใน (ขา งซา ย) เปน ฐานท่ี ๒ แลว กผ็ า นไปยงั
ฐานที่ ๓-๔-๕-๖-๗ ตอ ไปตามลำดบั แตถ า สตั วท จี่ ะมาเกดิ นนั้ เปน ชาย กจ็ ะเขา มาทาง
ชอ งจมกู ขวาของบดิ า แลว ตอ ไปยงั เพลาตาดา นขวา และผา นตอ ไปยงั ฐานตา งๆ จนไป
หยดุ นงิ่ อยทู ศี่ นู ยก ลางกายฐานท่ี ๗ ของบดิ า เมอื่ บดิ า-มารดาประกอบธาตธุ รรมถกู สว น
ใจของบดิ า-บตุ ร-มารดา หยดุ นง่ิ ตรงกนั อายตนะ คอื ภพมนษุ ย จะดงึ ดดู ธาตธุ รรมของ
ผเู ปน บตุ รออกจากศนู ยก ลางของบดิ า ผา นออกไปตามฐานทตี่ งั้ ของใจทเี่ คยผา นมาแตแ รก
ไปเขา ชอ งจมกู มารดา โดยเพศหญงิ จะเขา ทางปากชอ งจมกู ซา ย ถา เปน เพศชายจะผา น
เขาทางชองจมูกขวา และผานเขาไปตามฐานตางๆ ถึงศูนยกลางกายฐานท่ี ๗ เม่ือ
ตัวอสุจิ (Spermatozoa-sperm) ของผูเปนพอเขาไปเจาะรังไขของมารดาในมดลูกได
ตอนที่ ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 17
กลายเปน ตวั ออ น (Embryo) ทพี่ ระทา นเรยี ก “กลลรปู ” คือ เปน ไขท เ่ี รมิ่ ตงั้ ปฏสิ นธิ
หลวงพอ วดั ปากนำ้ ทา นวา มสี ณั ฐานกลมใส ขนาดประมาณเทา หยาดน้ำมนั งาทต่ี ดิ อยู
ปลายขนจามรี อนั มชั ฌมิ บรุ ษุ สลดั เสยี แลว ๗ ครงั้ นน้ั แหละ อาการดงั กลา วนี้ เปน
อาการท่ีสัตวมาตั้งปฏิสนธิวิญญาณในมดลูกมารดา โดยธรรมชาติอยางน้ี (ยกเวนการ
ปฏสิ นธทิ สี่ งั เคราะหข นึ้ ดว ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร)
กลลรปู นี้ พระพทุ ธโฆสาจารยท า นเรยี กวา “ปฏสิ นธจิ ติ ” ชอ่ื วา “จติ ดวงแรก”
ซง่ึ ทา นแสดงไวว า ๙
“ปฏสิ นธจิ ติ ชอื่ วา จติ ดวงแรก. บทวา ผดุ ขน้ึ ไดแ ก เกดิ . คำวา
“วญิ ญาณดวงแรก มปี รากฏ” นี้ เปน คำไขของคำวา จติ ดวงแรก ทผ่ี ดุ ขน้ึ
นนั้ นน่ั แหละ. บรรดาคำเหลา น้ี ดว ยคำวา “จติ ดวงแรก [ทผ่ี ดุ ขนึ้ ] ใน
ทอ งมารดา” นนั่ แหละ เปนอนั ทานแสดงปฏสิ นธขิ องสัตวผ ูม ขี ันธ ๕ แม
ทงั้ สน้ิ . เพราะเหตนุ นั้ กายมนษุ ยอ นั เปน ทแี รกทส่ี ดุ น้ี คอื จติ ดวงแรกนนั้ ๑
อรปู ขนั ธ ๓ ทเ่ี กย่ี วเกาะดว ยจติ นน้ั ๑ กลลรปู ทเี่ กดิ พรอ มกบั จติ นน้ั ๑.
บรรดาอรปู ขนั ธ และกลลรปู แหง จติ ดวงแรกนน้ั รปู ๓๐ ถว น ดว ยอำนาจ
แหง กาย ๑๐ วตั ถุ ๑๐ และภาวะ ๑๐ แหง สตรแี ละบรุ ษุ รปู ๒๐ ดว ย
อำนาจแหง กาย ๑๐ และวตั ถุ ๑๐ แหง พวกกะเทย ชอื่ วา กลลรปู . บรรดา
สตรี บรุ ษุ และกะเทยนน้ั กลลรปู ของสตรแี ละบรุ ษุ มขี นาดเทา หยาด
น้ำมันงาที่ชอนขึ้นดวยปลายขางหนึ่งแหงขนแกะแรกเกิด เปนของใส
กระจา ง. จรงิ อยู ในอรรถกถาทา นกลา วคำนวี้ า
หยาดน้ำมนั งา เนยใส (สปั ป) ใส ไมข นุ มวั ฉนั ใด, รปู มสี ว นเปรยี บ
ดว ยสี ฉนั นน้ั เรยี กวา กลลรปู .”
หลวงพอ วดั ปากนำ้ ทา นเจรญิ จติ ตภาวนา ไดท ง้ั รแู ละทง้ั เหน็ ธรรมชาตทิ ล่ี ะเอยี ด
ลกึ ซงึ้ อยา งน้ี แมอ บุ ายวธิ ที ท่ี า นแนะนำใหเ หลอื บตากลบั นนั้ กเ็ ปน ตามธรรมชาติ ทเี่ วลา
สตั วจ ะไปเกดิ -มาเกดิ หรอื จะดบั (ตาย) จะหลบั -จะตนื่ ดวงตากห็ มนุ กลบั เหมอื นคนกำลงั
๙ คมั ภรี ส มนั ตปาสาทกิ า อรรถกถาพระวนิ ยั ปฎ ก ภาค ๑ หนา ๕๓๔.
18 ตอนท่ี ๑ ขน้ั สมถภาวนาและอนปุ ส สนา
ชกั จะตายอยา งนน้ั ทา นจงไปดเู ดก็ ทารกทกี่ ำลงั หลบั สนทิ กจ็ ะเหน็ ดวงตาของเดก็ หมนุ กลบั
ไปขา งหลงั รบิ ๆๆ อยตู ลอดเวลาอยา งนนั้ ไปดไู ด ผใู หญห ลบั สนทิ กเ็ หมอื นกนั แมพ อ -แม
ประกอบธาตธุ รรม ถกู สว นกเ็ หมอื นกนั นเ้ี ปน ความจรงิ ตามธรรมชาติ ทค่ี นทว่ั ไปไมค อ ย
ไดส งั เกตเหน็ แตห ลวงพอ วดั ปากนำ้ แมท า นบวชตง้ั แตย งั ไมม คี รอบครวั แตท า นกส็ ามารถ
รู-เห็นดวยญาณพระธรรมกายของทานไดอยางนาอัศจรรย
ตามท่ีหลวงพอวัดปากน้ำ ทานไดปฏิบัติและสอนวิธีเจริญสมถวิปสสนาตามแนว
สตปิ ฏ ฐาน ๔ โดยการมสี ตพิ จิ ารณาเหน็ กายในกาย เหน็ เวทนาในเวทนา เหน็ จติ ในจติ และ
เหน็ ธรรมในธรรม เปน ทงั้ ณ ภายในและภายนอก ซงึ่ เปน การปฏบิ ตั ทิ ใี่ หเ ขา ถงึ ร-ู เหน็
และเปน กายในกาย อนั ประกอบดว ย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม ที่
ละเอยี ดตอ ๆ ไปจนสดุ ละเอยี ดถงึ ธรรมกาย นน้ั พงึ ทราบความหมายของคำวา “กาย”
แปลวา “ประชุม” หรือ “หมู” ซ่ึงหมายถึงเปนท่ีรวมแหงสวนหรือส่ิงน้ันๆ ซึ่งเปนไดท้ัง
รปู กาย (สรรี )ํ หรอื รา งกาย (เทห) นเี้ ปน สว น “รปู ธรรม” และทงั้ นามกาย คอื จติ ใจ
อันเปน “นามธรรม” และ/หรือ เปนไดทั้งธรรมท่ีประชุมคุณธรรมของพระพุทธเจา,
พระอรยิ เจา , พระอรหนั ตเจา ชอื่ วา “ธรรมกาย” นน้ั เอง
ทา นเจา คณุ พระพรหมมนุ ี (ผนิ สวุ จเถร) อดตี เจา อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร ไดแ สดง
ธรรม ณ พทุ ธสมาคมแหง ประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถมั ภ เมอื่ วนั ที่ ๑๐ ตลุ าคม พ.ศ.๒๔๙๘
มปี รากฏในหนงั สอื ชดุ ธรรมนพิ นธ เรอื่ ง “กายสาม”๑๐ มคี วามเปน ตอนๆ วา ดงั นี้
“มีพระบาลีในมหาสติปฏฐานสูตรบทหน่ึงวา ‘กาเย กายานุปสฺสี’
‘พจิ ารณาเหน็ กายในกาย’ พระบาลบี ทนแ้ี มแ ปลเปน ภาษาไทยแลว กย็ งั เขา
ใจความยาก มผี อู ธบิ ายกนั เปน หลายนยั ฝา ยทเี่ ปน นกั เรยี น อธบิ ายวา
‘พจิ ารณากายอยา งหนง่ึ ในกายทงั้ หลาย’ หมายความวา ใหแ ยกกาย
ทร่ี วมกนั หลายๆ อยา ง ยกขน้ึ พจิ ารณาทลี ะอยา งๆ เชน พจิ ารณาหมู
ขนอยา งหนงึ่ ผมอยา งหนงึ่ เลบ็ อยา งหนงึ่ เปน ตน สว นนกั ธรรม
๑๐ หนงั สอื ชดุ ธรรมนพิ นธ โดย พระพรหมมนุ ี (ผนิ สวุ จเถร) เรอ่ื ง “กายสาม” จดั พมิ พโ ดย มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , พ.ศ.๒๕๔๑,
หนา ๑-๓ และ ๒๑-๒๓.
ตอนที่ ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 19
อธบิ ายและความหมายไปอกี อยา งหนง่ึ คอื หมายความวา ใหพ จิ ารณา
กายธรรมในกายทพิ ย ใหพ จิ ารณากายทพิ ยใ นกายมนษุ ย เปน ชนั้ ๆ กนั
ออกมา หรอื ใหพ จิ ารณากายมนษุ ย ในกายทพิ ย ใหพ จิ ารณากายทพิ ย
ในกายธรรมเปน ชนั้ ๆ กนั เขา ไป กายมนษุ ยอ ยชู น้ั นอก กายทพิ ยอ ยู
ชน้ั กลาง กายธรรมอยชู นั้ ใน จะวา ของใครผดิ กว็ า ยาก นา จะถกู ดว ยกนั
ทง้ั สองฝา ย คอื ฝา ยนกั เรยี นกแ็ ปลถกู ดว ยแบบแผนและไวยากรณ หรอื
ขอ ปฏบิ ตั เิ บอ้ื งตน ฝา ยนกั ธรรมหรอื นกั ปฏบิ ตั กิ ถ็ กู ดว ยอาคตสถาน มที ี
มาเหมอื นกนั และในทางปฏบิ ตั ชิ นั้ กลาง และชน้ั สงู กม็ ไี ด โดยอาคตสถาน
คอื ทม่ี า [ของ] กายมนษุ ยแ ละกายทพิ ย มที ม่ี า เชน ในมหาสมยั สตู รวา
เย เกจิ พทุ ธฺ ํ สรณํ คตา เส
น เต คมสิ สฺ นตฺ ิ อปายภมู ึ
ปหาย มานสุ ํ เทหํ
เทวกายํ ปรปิ เู รสสฺ นตฺ .ิ
“บคุ คลเหลา ใดเหลา หนงึ่ ถงึ พระพทุ ธเจา วา เปน สรณะ บคุ คล
เหลาน้ัน จักไมไปสูอบายภูมิ ละกายที่เปนของมนุษยแลว จักยัง
เทวกายใหเ ตม็ รอบ” ดงั นี้
พระคาถาน้ี เรยี ก กายมนษุ ยว า “มานสุ เทหะ” ซงึ่ แปลวา “กายอนั
เปน ของมอี ยแู หง มนษุ ย” เรยี กทพิ ยกาย วา “เทวกาย” โดยความ
กเ็ หมอื นกนั .
ธรรมกายนนั้ เชน พระบาลใี นอคั คญั ญสตู ร แหง สตุ ตนั ตปฎ กวา ๑๑
“ตถาคตสสฺ เหตํ วาเสฏฐ า อธวิ จนํ ธมมฺ กาโย อติ ปิ พรฺ หมฺ กาโย
อติ ปิ ธมมฺ ภโู ต อติ ปิ พรฺ หมฺ ภโู ต อติ ปิ ”
“ดกู อ นวาเสฏฐโคตรทง้ั หลาย คำวา ธรรมกาย กด็ ี
พรหมกาย กด็ ี ธรรมภตู กด็ ี พรหมภตู กด็ ี เปน ชอ่ื ของตถาคต”
๑๑ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๑ ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค ขอ ที่ ๕๕ หนา ๙๒.
20 ตอนท่ี ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา
ชน้ั ของทพิ ยกาย
ทค่ี ำกงึ่ คาถาวา ปหาย มานสุ ํ เทหํ เทวกายํ ปรปิ เู รสสฺ นตฺ ิ ละกายท่ี
เปน ของมนษุ ยแ ลว จกั ยงั เทวกายใหเ ตม็ รอบ นน้ั ยอ มแสดงวา เทวกาย
หรอื ทพิ ยกายมหี ลายชน้ั คอื ทเ่ี ตม็ รอบ คอื ไมพ รอ งกม็ ี ทไ่ี มเ ตม็ รอบ ยงั
พรอ งกม็ ี แบง ออกเปน ชนั้ ออ น ชนั้ กลาง และชนั้ แก ชนั้ ออ นคอื ชน้ั ทไี่ มบ รบิ รู ณ
ยงั ไมเ ตม็ รอบน้ี ควรจะไดแ กพ วกนริ ยาบาย ชน้ั กลางควรจะไดแ กช น้ั ภมู เิ ทวดา
ชนั้ แกค อื ชน้ั บรบิ รู ณ ควรจะไดแ กเ ทวดาทส่ี งู กวา นนั้ ขน้ึ ไป หรอื จะเทยี บใน
พระกายของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ชน้ั แก ไดแ กพ ระกายทตี่ รสั รแู ลว เชน
ทรงทพิ ยจกั ขุ ทพิ พโสต ทพิ ยกาย ทไ่ี ปโปรดคนโนน คนนี้ ชน้ั กลาง เชน ที่
ทรงพระสบุ นิ ในคนื วนั ใกลจ ะตรสั รู ชน้ั ออ น ในพระกายของพระสมั มาสมั พทุ ธ
เจา ในพทุ ธประวตั ไิ มม แี สดงถงึ ธรรมอนั เปน เหตใุ หท พิ ยกายบรบิ รู ณน น้ั
ตามพระคาถานน้ั กไ็ ดแ กก ารถงึ พระพทุ ธเจา เปน สรณะ คอื เจรญิ พทุ ธคณุ
นนั่ เอง.
ธรรมกาย
ธรรมกาย คือกายธรรม นเี้ ปน ชนั้ ละเอยี ด เมอ่ื กลา วดว ยเรอ่ื งกาย
ธรรม จำเปน จะตอ งอธบิ ายคำวา “ธรรม” ในศพั ทน ใี้ หเ ขา ใจกอ น ธรรม
หรอื ธาตุนนั้ ตามพยญั ชนะ แปลวา “ทรง” เมอ่ื ถอื เอาคำวา “ทรง” เปน
ประมาณ กไ็ ดค วามตรงกนั ขา มวา สภาพทท่ี รงเปน ธรรม สภาพทไ่ี มท รง
กไ็ มเ ปน ธรรม คอื เปน อธรรม แมใ นสภาพทเี่ ปน ธรรม ซงึ่ แปลวา “ทรง”
นั้น เมอื่ เพง ตามอาการแลว กม็ อี ยู ๒ อยา ง คอื
๑. ทรงอยอู ยา งนนั้ ไมแ ปรผนั เปลย่ี นแปลงเปน อยา งอนื่ ซง่ึ เรยี ก
วา อสงั ขตธรรม ธรรมทไ่ี มม ปี จ จยั ปรงุ แตง หรอื อมตธรรม ธรรมทไี่ ม
ตาย อยา งหนง่ึ
๒. ทรงอยชู วั่ คราว แลว กเ็ ปลย่ี นแปลงเปน อยา งอน่ื ไป เชน รา งกาย
ของคน ของสตั ว หรอื สง่ิ ประดษิ ฐท กุ ๆ ชนดิ อยา งหนงึ่ อยา งหลงั นี้ ทา น
ตอนที่ ๑ ขนั้ สมถภาวนาและอนปุ ส สนา 21
เรียกวา สังขตธรรมบาง สังขารธรรมบาง เพราะเปนธรรมท่ีมีปจจัย
ปรงุ แตง ขน้ึ เรยี กวา มตธรรม ธรรมทต่ี ายสลายไปบา ง.
คำวา ธรรมกาย ในทนี่ เี้ ขา ใจวา หมายเอา อสงั ขตธรรม หรอื
อมตธรรม ทเี่ ปน สว น โลกตุ ตรธาตุ หรอื โลกตุ ตรธรรม ไมใ ช
โลกยิ ธาตุ หรอื โลกยิ ธรรม.”
ตอ ไปนจี้ กั ไดก ลา วหลกั ธรรมปฏบิ ตั ิ และวธิ ปี ฏบิ ตั สิ มถวปิ ส สนากมั มฏั ฐาน ทห่ี ลวงพอ
วัดปากน้ำทานไดปฏิบัติและสอนศิษยานุศิษยใหปฏิบัติตามแนวสติปฏฐาน ๔ ถึงธรรมกาย
ของพระพทุ ธเจา เปน ลำดบั ๆ ไป
22
23
24
บทท่ี ๑ ธรรมอนั เปน อารมณข องวปิ ส สนา
และเปน รากเหงา เปน เหตเุ กดิ /เจรญิ ขนึ้ และตง้ั อยแู หง วปิ ส สนา
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○
ตามพระพทุ ธดำรสั ทไ่ี ดต รสั มหาสตปิ ฏ ฐานสตู ร ดงั ทไี่ ดย กไวเ ปน อทุ เทสในตอนตน
คอื การมสี ตพิ จิ ารณาเหน็ กายในกาย เหน็ เวทนาในเวทนา เหน็ จติ ในจติ และมสี ตพิ จิ ารณา
เหน็ ธรรมในธรรม เปน ทง้ั ณ ภายใน และ ณ ภายนอก
เฉพาะในสว นของ การมสี ตพิ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม เปน ทง้ั ณ ภายใน และ
ภายนอกนน้ั ไดท รงแสดงขอ กำหนด (ปพ พะ) ธรรมอนั เปน อารมณข องวปิ ส สนาไว ๕ ขอ ๑๒
คอื นวิ รณปพ พะ ๑ ขนั ธปพ พะ ๑ อายตนปพ พะ ๑ โพชฌงั คปพ พะ ๑ และอรยิ สจั จปพ พะ ๑
อน่ึง พระพุทธโฆสาจารย ผูรจนาคัมภีรพระวิสุทธิมรรค ไดอรรถาธิบาย ธรรม
อนั เปน อารมณข องวปิ ส สนา ไวโ ดยละเอยี ดไวใ นหมวดปญ ญานเิ ทศ ๖ ขอ คอื ๑) ขนั ธ ๕
๒) อายตนะ ๑๒ ๓) ธาตุ ๑๘ ๔) อนิ ทรยี ๒๒ ๕) อรยิ สจั ๔ และ ๖) ปฏจิ จสมปุ บาทธรรม ๑๒
ในทางปฏิบัติ ท่ีหลวงพอวัดปากน้ำทานไดปฏิบัติ และสอนในขั้นสมถกัมมัฎฐาน/
ภาวนา และอนปุ ส สนานน้ั ไดก ลา วไปแลว แตใ ครจ ะชแ้ี สดงใหเ หน็ วา หลวงพอ วดั ปากน้ำ
ทา นไดใ ช อบุ ายวธิ สี งบใจในขนั้ สมถภาวนา คอื อาโลกกสณิ ๑ อานาปานสติ ๑ และ
พุทธานุสติ ๑ ประกอบกัน จึงเปนพระกัมมัฏฐานที่มีประสิทธิภาพและมีอานุภาพมาก
อันมีผลใหธรรมอันเปนรากเหงา เปนเหตุเกิด/เจริญขึ้น และต้ังอยูแหงวิปสสนา คือ
สลี วสิ ทุ ธิ และจติ ตวสิ ทุ ธิ เกดิ และเจรญิ ขนึ้ เปน อยา งดี
“จติ ตวสิ ทุ ธ”ิ คอื ความหมดจดแหง จติ คอื บรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสจากนวิ รณปู กเิ ลส เปน จติ ท่ี
ออ นโยน ควรแกง านเจรญิ อภญิ ญาและวชิ ชา คณุ เครอื่ งใหเ หน็ แจง รแู จง สภาวธรรมและ
อรยิ สจั จธรรมตามทเี่ ปน จรงิ และเปน คณุ เครอ่ื งชว ยกำจดั อวชิ ชามลู รากฝา ยเกดิ ทกุ ข
ทง้ั ปวง
อนง่ึ วปิ ส สนายอ มเกดิ และเจรญิ ขนึ้ ไดจ ากสมาธิ ตง้ั แตร ะดบั “อปุ จารสมาธ”ิ
๑๒ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๐ ทฆี นกิ าย มหาวรรค ขอ ๒๙๐-๒๙๙ หนา ๓๓๕-๓๕๐.
25
26 ตอนที่ ๒ ข้นั วปิ ส สนาภาวนา
ขน้ึ ไปถงึ จตตุ ถฌาน กลา วคอื เมอื่ ผปู ฏบิ ตั ภิ าวนา หรอื พระโยคาวจร เจรญิ สมถกมั มฏั ฐาน
ถอื เอาอคุ คหนมิ ติ ได คอื เหน็ นมิ ติ ใสแจม ตดิ ตาชว่ั คราว ระดบั นจี้ ติ สงบตง้ั มน่ั ไดช ว่ั คราว
ชอื่ วา “อปุ จารสมาธิ” และระดบั “อปั ปนาสมาธิ” อนั เปน เบอื้ งตน ของปฐมฌาน กลา วคอื
ตอ เมอ่ื ผปู ฏบิ ตั สิ มถภาวนาถอื เอาปฏภิ าคนมิ ติ ได คอื เหน็ นมิ ติ ใสแจม ตดิ ตาตดิ ใจไดน าน จติ
เปน สมาธติ ง้ั มน่ั ไดน าน นเ้ี ปน สมาธจิ ติ ระดบั “อปั ปนาสมาธ”ิ อนั เปน เบอื้ งตน ของปฐมฌาน
(ประกอบดวยวิตก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตา) อันใหสามารถพัฒนาจาก ปฐมฌาน เปน
ทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน และถงึ จตตุ ถฌาน ไดส ะดวก
รปู ฌาน ๔ นี้ เปน สมาธติ งั้ มน่ั และออ นโยนควรแกง านเจรญิ อภญิ ญาและวชิ ชา
คุณเคร่ืองชวยใหเห็นแจง/รูแจงสภาวธรรมและอริยสัจจธรรมตามท่ีเปนจริง จึงชื่อวา
“สมั มาสมาธ”ิ ๑ ในอรยิ มรรคมอี งค ๘
เม่ือผูเจริญภาวนาอาศัยอุบายวิธี ๓ อยางประกอบกัน อันเปนอุบายวิธีท่ีใหจิตสงบ
ตั้งม่ัน ไดอยางมีประสิทธิภาพ ตามท่ีหลวงพอวัดปากนำ้ ทานไดปฏิบัติและแนะนำส่ังสอน
ประกอบกบั อบุ ายวธิ ใี หใ จ (ความเหน็ ดว ยใจ-ความจำ-ความคดิ -ความร)ู รวมหยดุ ลง ณ
ศูนยกลางกาย (ฐานที่ ๗) อันเปนที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิมน้ัน จิตใจดวงเดิมที่ตั้งอยู
กลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายมนษุ ยน น้ั ปลอ ยนมิ ติ และตกศนู ย (คอื ดบั - เหน็ วา ง หายไป)
ไปยงั ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๖ ปรงุ (ดว ยศลี กศุ ล และภาวนากศุ ล เปน ตน ) เปน จติ ใจดวงใหม
เปน “กศุ ลจติ ” ประกอบดว ย วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ และ เอกคั คตา ตง้ั อยกู ลาง “ดวงธรรม”
ทท่ี ำใหเ ปน กาย ทบี่ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใสจากกเิ ลสนวิ รณ ลอยเดน ใสแจม ขน้ึ มา หยดุ นงิ่ ตรงศนู ย
กลางกายฐานท่ี ๗ จงึ เปน จติ ตง้ั มน่ั และบรสิ ทุ ธิ์ ผอ งใส ควรแกง าน โดยแท
โดยนยั นี้ “อภญิ ญา” คอื คณุ วเิ ศษตา งๆ มีทพิ พจกั ขุ ทพิ พโสต เปน ตน ยอ มเกดิ และ
เจรญิ ขนึ้ ชว ยใหเ จรญิ “วชิ ชา” ไดแ ก วชิ ชา ๓ วชิ ชา ๘ คณุ เครอื่ งใหร เู หน็ สภาวธรรม
และสัจจธรรมดวยการที่ไดทั้งรู และทั้งเห็น กลาวคือ เม่ือพระโยคาวจรหรือผูปฏิบัติ
วปิ ส สนาประสงคจ ะยกธรรมอนั เปน อารมณข องวปิ ส สนาใดขน้ึ พจิ ารณา ยอ มสามารถ
เจริญปญญาจากการท่ีไดท้ังรูและท้ังเห็นแจงสภาวธรรมและสัจจธรรมตามท่ีเปนจริง
ตามรอยบาทพระพทุ ธองค (ตามระดบั ภมู ธิ รรมทป่ี ฏบิ ตั ไิ ด)
ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา 27
ความจรงิ แทแ ลว ผทู เี่ จรญิ ภาวนา หรอื ปฏบิ ตั สิ มถวปิ ส สนากมั มฏั ฐานขนึ้ (ใหเ จรญิ ได)
ยอ มเปน บคุ คลผไู ดเ คยประกอบบญุ กศุ ลคณุ ความดี มที านกศุ ล ศลี กศุ ล และภาวนากศุ ล
เปน ตน สง่ั สมมากอ นแลว ตงั้ แตอ ดตี ชาติ ถงึ ภพชาตปิ จ จบุ นั แตข ณะปจ จบุ นั กอ นอบรมจติ
(จติ ตสกิ ขา) เมอื่ ยงั ประมาท ขาดสตสิ มั ปชญั ญะ ดว ยปญ ญาอนั เหน็ ชอบอยู กป็ ระพฤติ
ผิดศีลผิดธรรมไปตามสวน ปลอยจิตใจใหเปดชองเปดโอกาส ใหกิเลสจรเขามาผสม
ปนเปน อยดู ว ยกนั กบั บญุ กศุ ล ทำนอง “วดั กเ็ ขา -เหลา กด็ มื่ ” ประพฤตติ นเสพสขุ อยดู ว ย
“กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค” คอื ประพฤตสิ ดุ โตง ไปขา งหาความสขุ สบาย ดว ยรปู -เสยี ง-กลนิ่ -รส-
สงิ่ สมั ผสั ทางกาย ทนี่ า กำหนดั ยนิ ดี และตดิ อยกู บั ลาภ-ยศ-สกั การะสรรเสรญิ -สขุ เปน ตน ทำให
จิตใจขุนมัวดวยกิเลสนิวรณ จึงไมเห็นดวงธรรมท่ีทำใหเปนกายท่ีบริสุทธ์ิผองใส ดวย
บญุ กศุ ลระดบั ตา งๆ นนั้
ตอ เมอ่ื กระทำคณุ ความดี สง่ั สมบญุ กศุ ลแกก ลา ขน้ึ กวา บาปอกศุ ล บญุ กศุ ลจงึ จะชว ย
กระตนุ เตอื นใหป รารถนาทจ่ี ะแสวงหาความสงบกาย-สงบใจ และสจั จธรรม ดว ยการสนใจ
เขาศึกษาสัมมาปฏิบัติพระสัทธรรม เร่ิมดวยการฟงเทศนฟงธรรม ศึกษาหาความรูจากครู
อาจารย ผูรูธรรม และ/หรือ จากตำรับตำรา/คัมภีรตางๆ พอใหเขาใจเหตุและผลดีของ
การศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ิ ครน้ั มจี ติ ใจนอ มเขา สกู ระแสธรรมมากขน้ึ จงึ เขา ศกึ ษาอบรมกาย-
วาจา-ใจ โดยทานกศุ ล ศลี กศุ ล และภาวนากศุ ล เปน ตน ในสำนกั ของคณุ ครอู าจารยต า งๆ
ทตี่ นถกู อธั ยาศยั และเลอื่ มใสศรทั ธา-เชอ่ื ถอื -นบั ถอื
สำหรับการเจริญภาวนาตามแนวสติปฏฐาน ๔ ถึงธรรมกายของพระพุทธเจา ที่
หลวงพอ วดั ปากนำ้ พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ทา นปฏบิ ตั ไิ ดผ ลดแี ลว แนะนำ สง่ั สอน
ศษิ ยานศุ ษิ ยน น้ั ในเบอ้ื งตน การเจรญิ สมถภาวนา โดยมศี ลี เปน บาทฐาน ใหจ ติ ใจสงบ ใหใ จ
หยดุ ใจนง่ิ ดว ยอบุ ายวธิ ที ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ ๓ อยา ง คอื อาโลกกสณิ ๑ อานาปานสติ ๑ และ
พทุ ธานสุ ติ ๑ ประกอบกนั ใหใ จเปน สมาธแิ นบแนน มนั่ คง ถงึ ขน้ั ฌานจติ ตง้ั แตป ฐมฌาน
ขน้ึ ไป จงึ เกดิ องคค ณุ (องค ๕) ไดแ ก วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ และ เอกคั คตา เปน คณุ เครอ่ื ง
กำจัดกิเลสนิวรณเคร่ืองก้ันปญญา (ถีนมิทธะ วิจิกิจฉา พยาบาท อุทธัจจกุกกุจจะ และ
กามฉนั ทะ) ใหจ ติ ใจตงั้ มนั่ ผอ งใส และออ นโยน ควรแกง าน และใหไ ดเ ขา ถงึ ธรรมในธรรม
28 ตอนที่ ๒ ขน้ั วปิ สสนาภาวนา
เริ่มต้ังแต “มนุษยธรรม” ที่เคยไดประกอบบำเพ็ญบุญกุศลคุณความดีดวยทานกุศล
ศลี กศุ ล ภาวนากศุ ล เปน ตน มากอ นแลว (ปพุ เฺ พ กตปุ ญฺ ตา) เหน็ เปน ดวงใสแจม ปรากฏ
ขนึ้ ณ ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๗ (เหนอื ระดบั สะดอื ๒ นว้ิ มอื ) เปน ทต่ี ง้ั “กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ”
ไดแ ก ธาตลุ ะเอยี ดของ “รปู ขนั ธ” ซงึ่ ขยายสว นหยาบออกมาเปน “ดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน
กาย (มนษุ ย) ” ซง่ึ มธี าตลุ ะเอยี ดของ “ธาตนุ ำ้ ” เปน ดวงใสเลก็ ๆ อยสู ว นหนา “ธาตดุ นิ ”
เปน ดวงใสเลก็ ๆ อยทู างดา นขวา “ธาตไุ ฟ” เปน ดวงใส อยทู างดา นหลงั และ “ธาตลุ ม”
เปน ดวงใส อยดู า นซา ย ทำหนา ทค่ี วบคมุ สว นทเ่ี ปน ของเหลว ของหยาบแขง็ อณุ หภมู ิ
และลมปราณทปี่ รนเปรออยใู นรา งกาย ใหอ ยใู นสภาวะพอเหมาะ และปรงุ แตง ธาตหุ ยาบ
ไดแ ก อาหาร เครอ่ื งดมื่ และลมหายใจเขา -ออก หลอ เลย้ี งรา งกาย และใหเ จรญิ เตบิ โต
เปน กายเนอ้ื และยงั มธี รรมชาติ ๔ อยา งของใจ คอื “ดวงเหน็ ” ทข่ี ยายสว นหยาบออกมา
จากธาตลุ ะเอยี ดของเวทนาขนั ธ มขี นาดประมาณเทา เบา ตาของผเู ปน เจา ของ “ดวงจำ”
ซงึ่ ขยายสว นหยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของสญั ญาขนั ธ มขี นาดเทา ดวงตาทงั้ หมดของผู
เปน เจา ของ “ดวงคดิ ” หรอื “ดวงจติ ” ซง่ึ ขยายสว นหยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของ
สงั ขารขนั ธ มขี นาดประมาณเทา ดวงตาดำ แตใ สบรสิ ทุ ธิ์ ลอยอยใู นเบาะน้ำเลยี้ งของหวั ใจ
ประมาณเทา ๑ ซองมอื ของผเู ปน เจา ของ และ “ดวงร”ู ซง่ึ ขยายสว นหยาบออกมาจาก
วญิ ญาณขนั ธ ขนาดเทา แววตา ใสสวา งบรสิ ทุ ธติ์ ามระดบั ภมู ธิ รรม
ดวงเหน็ ตงั้ ซอ นอยตู รงกลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย ดวงจำ ตงั้ ซอ นอยตู รง
กลางดวงเหน็ ดวงคดิ ตง้ั ซอ นอยตู รงกลางดวงจำ และ ดวงรู ตงั้ ซอ นอยตู รงกลางดวงคดิ
คอื ตงั้ ซอ นอยตู รงกลางของกลาง จากหยาบไปหาละเอยี ดถงึ สดุ ละเอยี ด คอื “ดวงรู”
“ดวงธรรมที่ทำใหเปนกาย” ประกอบดวยธาตุละเอียดของ มหาภูตรูป ๔ คือ
ธาตนุ ำ้ -ธาตดุ นิ -ธาตไุ ฟ-ธาตลุ ม และ ตรงกลางเปน “อากาศธาตุ” กลางอากาศธาตเุ ปน
“วญิ ญาณธาตุ” รวมเปน ธาตุ ๖ เมอ่ื ธาตทุ งั้ ๖ นมี้ ารวมกนั ตรงศนู ยก ลางกาย หลวงพอ
วดั ปากนำ้ ทา นเรยี กชอ่ื วา “ดวงปฐมมรรค” เพราะเปน หนทางเบอื้ งตน ไปสมู รรคผลนพิ พาน
ถา ธาตทุ งั้ ๔ (ธาตนุ ำ้ -ดนิ -ไฟ-ลม) วปิ รติ แปรปรวน ไมไ ดส ว น ผนู นั้ กเ็ จบ็ ไข ถา ธาตทุ งั้ ๖
ของผใู ดแตกสลาย คมุ กนั ไมต ดิ ผนู นั้ ถงึ ความแตกดบั คอื ตาย
ตอนที่ ๒ ข้นั วปิ ส สนาภาวนา 29
“ดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย” ซง่ึ ขยายสว นหยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของ “รปู ขนั ธ”
ทม่ี มี าตง้ั แตม าตงั้ ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณในมดลกู มารดา เปน “กลลรปู ” เปน ทรี่ วมของมหาภตู รปู ๔
และขยายสว นหยาบออกมาเปน กายเนอ้ื นเี้ อง คอื สว นทเ่ี ปน “รปู ขนั ธ” กลา วคอื “รปู ธรรม”
และเปน ทตี่ งั้ ของธรรมชาติ ๔ อยา ง ของใจ (ดวงเหน็ -ดวงจำ-ดวงคดิ -ดวงรู) ซงึ่ ขยายสว น
หยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของ “นามขนั ธ ๔” ทตี่ ง้ั ซอ นกนั เปน ชน้ั ๆ กนั เขา ไปขา งในนนั้ เอง
คอื สว นทเ่ี ปน “นามขนั ธ ๔” กลา วคอื “นามธรรม” ทไ่ี มอ าจเหน็ ไดด ว ยสายตาเนอื้ ดงั ท่ี
พระพทุ ธองคไ ดต รสั วา “เหน็ ไดย าก” ดงั พระพทุ ธดำรสั วา ๑๓
“สทุ ทุ ทฺ สํ สนุ ปิ ณุ ํ ยตถฺ กามนปิ าตนิ ํ
จติ ตฺ ํ รกเฺ ขถ เมธาวี จติ ตฺ ํ คตุ ตฺ ํ สขุ าวห”ํ
แปลความวา
“ผูมีปญญา พึงรักษาจิตท่ีเห็นไดยากนัก ละเอียดนัก มักตกไป
ในอารมณท นี่ า ใคร [เพราะวา ] จติ ทค่ี มุ ครองแลว นำสขุ มาให”
ดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย (รปู ขนั ธ ๑) และเหน็ -จำ-คดิ -รู คอื “ใจ” (นามขนั ธ ๔)
รวมเปน ขนั ธ ๕ สว นละเอยี ด นเี้ อง ทข่ี ยายสว นหยาบออกมาเปน กายเนอื้ และจติ ใจของมนษุ ย
หรอื สตั วโ ลกทงั้ หลาย อนั
ก. เปน สภาพไมเ ทย่ี ง (อนจิ จฺ )ํ คอื เปลย่ี นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั เหตปุ จ จยั ฝา ย
บญุ กศุ ลปรงุ แตง ชอ่ื วา “ปญุ ญาภสิ งั ขาร” เหตปุ จ จยั ฝา ยบาปอกศุ ลปรงุ แตง ชอื่ วา
“อปญุ ญาภสิ งั ขาร” เหตปุ จ จยั ทไ่ี มห วนั่ ไหว ไดแ ก สมาธจิ ติ ตงั้ แตป ญ จมฌานถงึ อรปู ฌาน ๔
ชอ่ื วา “อเนญชาภสิ งั ขาร”
ข. ทนอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ดน านตลอดไป เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ํ) และ
ค. ตอ งแตกสลายหมดสภาพเดมิ ของมนั ไปในทส่ี ดุ ไมม สี าระในความเปน ของเทยี่ ง
ไมม สี าระในความเปน สขุ ทถี่ าวรตลอดไป และไมม สี าระในความเปน ตวั ตนทถ่ี าวรแทจ รงิ
ของใครผใู ด ชอื่ วา เปน อนตั ตา (อนตตฺ า)
๑๓ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ขอ ๑๓ หนา ๑๙.
30 ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปส สนาภาวนา
ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย อนั ประกอบดว ย “มหาภตู รปู ๔” ตง้ั แตก ายสดุ หยาบ คอื
“กายเนอ้ื ” ไปจนสดุ กายละเอยี ด คอื กายอรปู พรหม เปน ทตี่ งั้ ของกศุ ลจติ อนั มที านกศุ ล-
ศลี กศุ ล-ภาวนากศุ ล เปน ตน ชอ่ื วา “กสุ ลา ธมั มา” หรอื เปน ทต่ี งั้ ของอกศุ ลจติ ของผมู ี
ความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ผ่ี ดิ ศลี -ผดิ ธรรม ดว ยเจตนาความคดิ อา นทางใจทปี่ ระกอบดว ยกเิ ลส
ตณั หา อปุ าทาน เปน ตน ชอ่ื วา “อกสุ ลา ธมั มา” และ/หรอื เปน ทต่ี งั้ ของธรรมกลางๆ
ไมด -ี ไมช วั่ ชอื่ วา “อพั ยากตา ธมั มา” นเี้ อง จงึ ประมวลรวมความวา
๑) ธาตุ (มหาภตู รปู ๔ ทขี่ ยายสว นหยาบออกมาเปน กาย) เปน ทต่ี ง้ั ของธรรมฝา ย
บญุ กศุ ล หรือ ฝา ยบาปอกศุ ล หรอื ฝา ยกลางๆ ไมด ไี มช วั่
๒) ดวงธรรมท่ีทำใหเปนกาย ซึ่งขยายสวนหยาบออกมาจากธาตุละเอียดของ
“รปู ขนั ธ” และเปน ทตี่ ง้ั ทอ่ี าศยั ของ “จติ ใจ” คอื “นามขนั ธ ๔” ซงึ่ ขยายสว นหยาบออกมา
จากธาตลุ ะเอยี ดของเวทนาขนั ธ-สญั ญาขนั ธ- สงั ขารขนั ธ-วญิ ญาณขนั ธ ซงึ่ มมี าตงั้ แตม า
ต้ังปฏิสนธิวิญญาณในครรภมารดาเปน “กลลรูป” นี้เอง ที่เปน “ดวงไปเกิด-มาเกิด”
และมสี ภาพไมเ ทย่ี ง (อนจิ จฺ )ํ เพราะตอ งเปลย่ี นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั ฝา ยดี ฝา ยชวั่ และ
ฝา ยกลางๆ เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ )ํ และเปน อนตั ตา (อนตตฺ า)
๓) ความเปลย่ี นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั ฝา ยดี หรอื ฝา ยชว่ั ตามทกี่ ลา วในขอ ๒) นน้ั
เปน ไปตามสายปฏจิ จสมปุ บาทธรรมตลอดสาย ทงั้ ณ ภายใน และ ณ ภายนอก ตราบใดท่ี
“อวชิ ชา” ยงั มอี ยใู นจติ ตสนั ดานของสตั วแ ละทำหนา ทอี่ ยู กลา วคอื
ณ ภายใน ถาเหตุปจจัยฝายบุญกุศลที่ละเอียดประณีตและแกกลายิ่งข้ึนเพียงไร
ปรุงแตงสัตวนั้น กายในกาย ณ ภายในของสัตวน้ันก็บริสุทธ์ิผองใสและโตใหญยิ่งข้ึน
ตามสวนแหงบุญกุศลปรุงแตงน้ัน เปนกายมนุษยละเอียด, กายทิพย-กายทิพยละเอียด,
กายพรหม-กายพรหมละเอยี ด, กายอรปู พรหม-กายอรปู พรหมละเอยี ด เวทนาในเวทนาของ
กายละเอยี ดนนั้ กเ็ สวย “สขุ เวทนา” ทลี่ ะเอยี ดประณตี ยง่ิ ขนึ้ เพยี งนนั้ จติ ในจติ ของสตั วน นั้
กบ็ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสยงิ่ ขน้ึ ไปตามสว น ธรรมในธรรม คอื ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายละเอยี ดนน้ั ๆ
ดว ยบญุ กศุ ลทลี่ ะเอยี ดประณตี แกก ลา เปน บารมี-อปุ บารมี-ปรมตั ถบารมเี พยี งไร กโ็ ตใหญ
ใสบรสิ ทุ ธิ์ มรี ศั มปี รากฏสวา ง มากเพยี งนนั้
ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา 31
ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย นแี้ หละ ทห่ี ลวงพอ วดั ปากนำ้ ทา นเรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา
“ดวงบญุ ” และทา นไดร ไู ดเ หน็ วา “ทะเลบญุ ” อยตู รงนี้ เมอ่ื ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมบำเพญ็ บญุ
กศุ ลคณุ ความดแี กก ลา ยง่ิ ขนึ้ “ดวงบญุ ” นก้ี จ็ ะขยายโตขนึ้ เรอื่ ยๆ จนเตม็ สว น ขนาดประมาณ
เทา ๑ คบื ของผเู ปน เจา ของ หรอื ประมาณเทา ดวงจนั ทรด วงอาทติ ย “ดวงบญุ ” ทขี่ ยายโต
ขนึ้ ประมาณได ๑ คบื น้ี เมอื่ บำเพญ็ กศุ ลคณุ ความดแี กก ลา ขนึ้ จะกลนั่ ตวั เองเปน “บารม”ี
ไดป ระมาณเทา ๑ องคลุ มี อื ของผเู ปน เจา ของ เมอื่ บำเพญ็ กศุ ลคณุ ความดแี กก ลา ยง่ิ ขนึ้ ไป
อกี จนดวงบารมขี ยายโตเตม็ สว นประมาณเทา ๑ คบื ของผเู ปน เจา ของ จะกลนั่ ตวั เองเปน
“อปุ บารม”ี ไดเ ทา ๑ องคลุ มี อื และเมอื่ บำเพญ็ กศุ ลคณุ ความดแี กก ลา อยา งยง่ิ ยวดขนึ้ ไปอกี
จนดวงอุปบารมีขยายโตเต็มสวนประมาณ ๑ คืบของผูเปนเจาของ จะกล่ันตัวเองเปน
“ปรมตั ถบารม”ี ไดป ระมาณ ๑ องคลุ มี อื ของผเู ปน เจา ของ เมอื่ บำเพญ็ ปรมตั ถบารมแี ก
กลา จนดวงปรมตั ถบารมขี ยายโตเตม็ สว นเทา ๑ คบื ของผเู ปน เจา ของครบทง้ั ๑๐ ประการ
คือ ทานปรมัตถบารมี ศีลปรมัตถบารมี เนกขัมมปรมัตถบารมี ปญญาปรมัตถบารมี
วิริยปรมัตถบารมี ขันติปรมัตถบารมี สัจจปรมัตถบารมี อธิษฐานปรมัตถบารมี
เมตตา-ปรมตั ถบารมี และอเุ บกขาปรมตั ถบารมี ซงึ่ พฒั นามาจาก “บญุ ” ทป่ี ระพฤติ
แกก ลา ยง่ิ ยวดขนึ้ เปน บารมี อปุ บารมี และปรมตั ถบารมี ตามลำดบั ชน้ั ละ ๑๐ ประการ
รวมเปน บารมี ๓๐ ทศั ตง้ั อยตู รงกลางของกลางซง่ึ กนั และกนั ตามลำดบั บญุ บารมี ตรง
กลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ นนั่ เอง
บญุ บารมี อปุ บารมี ปรมตั ถบารมี ของผใู ดทไ่ี ดบ ำเพญ็ บญุ กศุ ลคณุ ความดอี ยา งยง่ิ ยวด
แกก ลา จนเตม็ สว น ๓๐ ทศั ดงั กลา วมาแลว นี้ สำหรบั ผปู รารถนาความบรรลมุ รรค-ผล-นพิ พาน
ในระดบั ปรกตสิ าวก เมอ่ื ไดบ ำเพญ็ บญุ กศุ ลคณุ ความดอี ยา งยง่ิ ยวด แกก ลา จนปรากฏดวง
ปรมัตถบารมีเต็มสวนไดประมาณ ๑ คืบของผูเปนเจาของทั้ง ๑๐ ประการ ดังท่ีกลาวมาน้ี
ในภพชาติใด ก็จะสามารถบำเพ็ญสมณธรรมใหไดบรรลุมรรค-ผล-นิพพานไดในภพชาติน้ัน
สว นผปู รารถนาสงู กวา นี้ ไดแ ก ผปู รารถนาความบรรลมุ รรคผลนพิ พานในระดบั อสตี มิ หาสาวก
พุทธอุปฏฐาก พุทธบิดา-พุทธมารดา ถึงพระปจเจกพุทธเจา และพระสัพพัญูพุทธเจา
ผบู ำเพญ็ บารมใี นระดบั ปญ ญาธกิ โพธสิ ตั ว- ศรทั ธาธกิ โพธสิ ตั ว- วริ ยิ าธกิ โพธสิ ตั ว เปน ตน กต็ อ ง
32 ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา
บำเพญ็ บญุ บารมมี ากกวา เปน ระยะเวลายาวนานกวา จนกวา ดวงบญุ บารมี อปุ บารมี
ปรมตั ถบารมี จะเตม็ สว นครบชน้ั ละ ๑๐ ประการ รวมเปน “บารมี ๓๐ ทศั ” ตามศกั ดแิ์ หง
บารมญี าณของแตล ะทา น
ดวงบญุ บารมี อปุ บารมี ปรมตั ถบารมี ทงั้ ๑๐ ประการนี้ เมอ่ื ปฏบิ ตั ไิ ดถ งึ ธรรมกาย
ทลี่ ะเอยี ดๆ และบรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสดแี ลว จะสามารถร-ู เหน็ ไดด ว ย “ญาณรตั นะ” ของพระธรรม
กายทบี่ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสนน่ั เอง และ ญาณรตั นะของธรรมกายนแ้ี หละทใี่ หส ามารถร-ู เหน็
ความเปน ไปของสตั วโ ลกในภพ ๓ คอื กามภพ (ทร่ี วมเทวโลก-มนษุ ยโ ลก-และโลกของ
เปรต สตั วน รก อสรุ กาย และสตั วเ ดรจั ฉาน) รปู ภพ (ภพของรปู พรหม) และ อรปู ภพ (ภพ
ของอรปู พรหม) ตามทเี่ ปน จรงิ ทงั้ สน้ิ และใหส ามารถรเู หน็ ไปถงึ “อายตนะ คอื พระนพิ พาน”
ตามทเี่ ปน จรงิ ตามพระพทุ ธดำรสั ตรสั ไวใ นนพิ พานสตู รท่ี ๑ วา
“อตถฺ ิ ภกิ ขฺ เว ตทายตน.ํ ยตถฺ เนว ปฐวี น อาโป น เตโช
น วาโย น อากาสานจฺ ายตนํ น วิ ญฺ าณจฺ ายตนํ น อากิ จฺ ญฺ ายตนํ
น เนวสญฺ านาสญฺ ายตนํ นายํ โลโก น ปรโลโก น อโุ ภ จนทฺ มิ สรุ ยิ า
ตมหํ ภกิ ขฺ เว เนว อาคตึ วทามิ น คตึ น ฐติ ึ น จตุ ึ น อปุ ปฺ ตตฺ ึ
อปปฺ ตฏิ ฐ ํ อปปฺ วตตฺ ํ อนารมมฺ ณเมว ตํ เอเสวนโฺ ต ทกุ ขฺ สสฺ าต.ิ ”๑๔
แปลความวา
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นน้ั มอี ย.ู
ดนิ น้ำ ไฟ ลม อากาสานญั จายตนะ วญิ ญานญั จายตนะ อากญิ จญั -
ญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกน้ี โลกหนา พระจันทรและ
พระอาทติ ยท งั้ สอง ยอ มไมม ใี นอายตนะ [คอื พระนพิ พาน] น้ัน.
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรายอ มไมก ลา วซงึ่ อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นนั้ วา
เปน การมา เปน การไป เปน การตงั้ อยู เปน การจตุ ิ เปน การอบุ ตั ิ.
อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นนั้ หาทต่ี ง้ั อาศยั มไิ ด มไิ ดเ ปน ไป หา
อารมณม ไิ ด. [พระนพิ พาน] นน้ั แล เปน ทสี่ ดุ แหง ทกุ ข. ”
๑๔ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย อทุ าน ขอ ๑๕๘ หนา ๒๐๖-๒๐๗.
ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปสสนาภาวนา 33
เมื่อผูปฎิบัติพระสัทธรรม-ไตรสิกขาไดแกกลาย่ิงขึ้น เปนอธิศีล-อธิจิต-อธิปญญา
ปฐมมรรค-มรรคจิต-มรรคปญญา, ถึงพุทธธรรม ตั้งแตโคตรภูญาณขึ้นไป ก็จะปรากฏ
กายธรรม หรอื “ธรรมกาย” ตง้ั แต ธรรมกายโคตรภู ซง่ึ มขี นาดหนา ตัก ความสงู และ
เสนผาศูนยกลางดวงธรรมประมาณ ๔ วาครึ่งขึ้นไป และตอๆ ไปถึงธรรมกายอรหัต ซึ่งมี
ขนาดหนา ตกั ความสงู และเสน ผา ศนู ยก ลางดวงธรรม ๒๐ วาขนึ้ ไป บรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสและมี
รศั มสี วา งยง่ิ นกั
เม่ือเจริญภาวนารวมใจใหหยุดใหนิ่ง ถูกศูนยถูกสวน ตรงกลางของกลางกำเนิด
ธาตธุ รรมเดมิ ของกายในกาย สดุ กายหยาบ-กายละเอยี ดตอ ๆ ไปจนสดุ ละเอยี ด ของกายใน
ภพ ๓ และไดถ งึ กายธรรมกายเพยี งไร “อภญิ ญา” คณุ ธรรมอนั เปน ความสามารถพเิ ศษ
ไดแ ก ทพิ พจกั ษ-ุ ทพิ พโสต เปน ตน ยอ มเจรญิ ขน้ึ ถงึ สมนั ตจกั ษุ และ พทุ ธจกั ษุ ใหผ ปู ฏบิ ตั ิ
สามารถรเู หน็ ความเปน ไปของสตั วโ ลก ทงั้ ใน “สคุ ตภิ พ” ไดแ ก ภพมนษุ ย, เทวโลก, มารโลก,
พรหมโลก, อรปู โลก และทง้ั ใน “ทคุ คตภิ พ” อนั เปน ภพภมู เิ บอื้ งต่ำ ไดแ ก ภพภมู ขิ องเปรต
อสรู กาย สตั วน รก และ สตั วเ ดรจั ฉาน และแมส ตั วน รกโลกนั ตท เี่ กาะอยตู ามขอบจกั รวาล
อยูภ ายนอกระหวางจักรวาล และใหสามารถเขาถึงและไดรูเห็นถึงโลกุตตรภูมิ อันเปน
ภมู ธิ รรมทสี่ งู พน โลก ไดแ ก “อายตนะคอื พระนพิ พาน” เปน ทส่ี ถติ อยขู องพระนพิ พานธาตุ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา และ ของพระอรหันตขีณาสพ ผูดับ
ขนั ธปรนิ พิ พานดว ยอนปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุ เปน อมตธรรม มรี ศั มสี วา งไสว เสวยบรม
สขุ อยา งถาวร อยเู ตม็ พระนพิ พาน นบั พระพทุ ธเจา และพระอรหนั ตขณี าสพ ทดี่ บั
ขนั ธปรนิ พิ พานดว ยอนปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุ สถติ อยใู นอายตนะคอื พระนพิ พานตอ ๆ ไป
นบั อสงไขยอายธุ าตอุ ายบุ ารมไี มถ ว น
แตกายในกาย ณ ภายใน ละเอียดและใสบริสุทธ์ิย่ิงๆ ข้ึนไปน้ี ผูปฏิบัติธรรม
จะสามารถปฏบิ ตั เิ ขา ถงึ ไดร -ู เหน็ หรอื ไมเ พยี งไร ขนึ้ อยทู วี่ ธิ ปี ฏบิ ตั ภิ าวนา อบรมใจให
สงบ-ใหห ยดุ -ใหน ง่ิ ถกู ศนู ยถ กู สว น ตรงกลางของกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ของกาย
ในกาย อนั เปน ทต่ี งั้ ของจติ ในจติ และธรรมในธรรม ใหท พิ พจกั ษ-ุ สมนั ตจกั ษ-ุ พทุ ธจกั ษุ
เกดิ และเจรญิ ขน้ึ ไดเ พยี งไร กจ็ ะสามารถร-ู เหน็ ไดเ พยี งนน้ั
34 ตอนท่ี ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา
สว น ผทู ปี่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน บาปอกศุ ล ดว ยเจตนาความคดิ อา นทางใจทส่ี มั ปยตุ
ดว ยกเิ ลส ตณั หา อปุ าทาน ยอ มเปน เหตปุ จ จยั ใหจ ติ ใจเศรา หมอง ไมผ อ งใส เปลย่ี นภพ/
ภมู เิ ปน “ทคุ คต”ิ ทนั ที ตามสายปฏจิ จสมปุ บาทธรรม ใหก ายในกายซอมซอ เศรา หมอง
เวทนาในเวทนา กเ็ ปน ทกุ ขเวทนา จติ ในจติ กข็ นุ มวั เศรา หมอง ธรรมในธรรมกเ็ ปน
อกศุ ลธรรม (อกสุ ลาธมั มา) ปรงุ แตง ชอื่ วา “อปญุ ญาภสิ งั ขาร” จติ ใจยอ มมดื มวั ใหไ ม
สามารถจะรูเห็นนรก-สวรรค-นิพพานไดเลย
สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา จงึ ไดต รสั วา ๑๕
“จติ เฺ ต สงกฺ ลิ ฏิ เ ฐ ทคุ คฺ ติ ปาฏกิ งขฺ า.
เมอ่ื จติ เศรา หมองแลว ทคุ คตเิ ปน อนั หวงั ได” และวา
“จติ เฺ ต อสงกฺ ลิ ฏิ เ ฐ สคุ ติ ปาฏกิ งขฺ า.
เมอื่ จติ ไมเ ศรา หมอง [ผองใส] แลว สคุ ตเิ ปน อนั หวงั ได”
เพราะฉะนน้ั ผปู ระพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรม ดว ยการศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ไิ ดส งู ขน้ึ เพยี งไร ยอ ม
ไดรับผลเปนวิบากจากบุญกุศลปรุงแตง ใหเปนผูมีสติปญญารอบรูบาป-บุญ คุณ-โทษ,
รผู ดิ -ชอบ ชวั่ -ด,ี รอบรทู างเจรญิ ทางเสอื่ มแหง ชวี ติ ตามทเ่ี ปน จรงิ จงึ เลอื กดำเนนิ ชวี ติ ไปสู
ความสำเรจ็ ถงึ ความเจรญิ รงุ เรอื ง และสนั ตสิ ขุ ในชวี ติ และถงึ ความพน ทกุ ข ไดด กี วา ผไู ม
สนใจศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ธิ รรม และกลบั ประกอบกรรมอนั เปน บาปอกศุ ล ประพฤตผิ ดิ ศลี ผดิ
ธรรม ตดิ อยใู นอบายมขุ ใหไ ดร บั ผลเปน โทษเปน ความทกุ ขเ ดอื ดรอ นทงั้ ในภพชาตปิ จ จบุ นั และ
ในสมั ปรายภพตอ ๆ ไปไมม ที ส่ี น้ิ สดุ
สีลวิสุทธิ ความหมดจดแหงศีล และ จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแหงจิต นี้เอง คือ
ธรรมเปน รากเหงา เปน เหตเุ กดิ /เจรญิ ขนึ้ และตง้ั อยแู หง วปิ ส สนา และเปน ปทฏั ฐาน คอื
เหตใุ กลแ หง ปญ ญา ดว ยประการฉะนี้ สมดงั ทสี่ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดต รสั ไวว า ๑๖
“สมาธึ ภกิ ขฺ เว ภาเวถ. สมาหโิ ต ยถาภตู ํ ปชานาต”ิ
“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทงั้ หลายจงยงั สมาธใิ หเ กดิ . ชนผมู สี มาธิ ยอ ม
รตู ามจรงิ [วา นท้ี กุ ข นท้ี กุ ขสมทุ ยั นที้ กุ ขนโิ รธ นที้ กุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา].”
๑๕ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๒ มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก ขอ ๙๒ หนา ๖๔.
๑๖ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๑๖๕๔ หนา ๕๒๐.
ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา 35
บทที่ ๒ วิสุทธิ ๕ : ธรรมเปนตัววิปสสนา
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○
วสิ ทุ ธิ ๕ ธรรมอนั เปน ตวั วปิ ส สนา ไดแ ก ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ความเหน็ ) ๑
กงั ขาวติ รณวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหงปญญาท่ีขามพนความสงสัย) ๑ มัคคามัคคญาณ-
ทัสสนวิสุทธิ (ความหมดจดแหงปญญารูเห็นวาเปนทางหรือมิใชทาง) ๑ ปฏิปทาญาณ-
ทสั สนวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ปญ ญาเครอื่ งรเู หน็ ทางดำเนนิ ทถี่ กู คอื ในทางทจ่ี ะใหอ รยิ มรรค
เกดิ ขนึ้ ) ๑ และญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ปญ ญาเครอ่ื งรเู หน็ ) ๑
เมื่อพระโยคาวจรเจริญ “อนุปสสนา” ไดแก กายานุปสสนาสติปฏฐาน เวทนานุ-
ปสสนาสติปฏฐาน จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน และธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน เขาถึง
กายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม ทล่ี ะเอยี ดเขา ไปจนสดุ ละเอยี ดของ
ธรรมในภพ ๓ คอื กามภพ รปู ภพ อรปู ภพแลว ใหใ จของอรปู พรหมละเอยี ด เจรญิ ภาวนา
หยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ ตอ ไป จนปลอ ยวางเบญจขนั ธข องกายในภพ ๓ นไี้ ด กจ็ ะปรากฏ
กายธรรม ใหผ ปู ฏบิ ตั ภิ าวนานน้ั ดบั หยาบไปหาละเอยี ด ไดเขา ถงึ และไดท ง้ั ร-ู ทง้ั เหน็ และ
ทง้ั เปน “ธรรมกาย” ทสี่ ดุ ละเอยี ดเขา ไปเพยี งไร กส็ ามารถ ยกสงั ขารธรรม (อปุ าทนิ นกสงั ขาร
และอนุปาทินนกสังขาร) ข้ึนพิจารณา ใหเห็นแจงสภาวะของสังขารธรรมท้ังหลายดวย
ปญญาวา เปนสภาพไมเที่ยง (อนิจฺจํ) เปนทุกข (ทุกฺขํ) และเปนสภาพมิใชตน (อนตฺตา)
เจริญวิปสสนาผาน กังขาวิตรณวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ถึง
ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ อยนู นั้ “วปิ ส สนาปญ ญา” อนั เปน โลกยิ ปญ ญา กลา วคอื เปน
ปญญาอันสัมปยุตดวยโลกิยมรรค ยอมเกิดและเจริญข้ึน เปนบาทฐานนำไปสูการเจริญ
“โลกุตตรปญญา” คือ ปญญาอันสัมปยุตดวยโลกุตตรมรรค ไดแก โคตรภูญาณ และ
มรรคญาณ คือ ญาณในอริยมรรค ๔ คือ โสดาปตติมรรค ๑ สกทาคามิมรรค ๑
อนาคามมิ รรค ๑ และอรหตั ตมรรค ๑ ชอ่ื วา “ญาณทสั สนวสิ ทุ ธ”ิ
วปิ ส สนาตอ จากปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ พระโยคาวจรยอ มกำหนดรู “วปิ ส สนปู -
กเิ ลส” อนั อาจเกดิ ขนึ้ ยกขนึ้ สไู ตรลกั ษณแ ลว ดำเนนิ วปิ ส สนาญาณ ๙ (ตง้ั แต อทุ ยพั พยญาณ
ถงึ อนโุ ลมญาณ หรอื สจั จานโุ ลมกิ ญาณ คือ ปรชี าญาณอนั สมควรกำหนดรอู รยิ สจั ๔)
36 ตอนท่ี ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา
เฉพาะผูปฏิบัติสมถวิปสสนาตามแนวสติปฏฐาน ๔ ไดถึง “ธรรมกาย” ยอมได
“โคตรภญู าณ” โดยไมต อ งผา นวปิ ส สนปู กเิ ลส พระโยคาวจรยอ มอาศยั โคตรภญู าณ ของ
ธรรมกายทส่ี ดุ ละเอยี ด ทไ่ี ดเ ขา ถงึ และยดึ หนว งพระนพิ พานเปน อารมณ มรรคจติ
และมรรคปญญา ยอมเกิดและเจริญขึ้น โดยการพิจารณาอริยสัจ ๔ ในกายมนุษย
กายทพิ ย กายรปู พรหม และกายอรปู พรหม ใหเ หน็ แจง โดยญาณ ๓ (สจั จญาณ กจิ จญาณ
กตญาณ) มอี าการ ๑๒ นชี้ อ่ื วา “ญาณทสั สนวสิ ทุ ธ”ิ ความหมดจดแหง ปญ ญาอนั ไดท ง้ั รู
และทงั้ เหน็ อรยิ สจั ๔ ทง้ั ร-ู ทงั้ เหน็ สภาวะของสงั ขารธรรมทงั้ ปวง และวสิ งั ขารธรรม คือ
พระนพิ พาน ตามทเ่ี ปน จรงิ เปน “โลกตุ ตรปญ ญา โดยแท เพราะเปน ปญ ญาอนั สมั ปยตุ
ดว ยโลกตุ ตรมรรค (โสดาปต ตมิ รรค สกทาคามมิ รรค อนาคามมิ รรค อรหตั ตมรรค)
อนงึ่ คำวา “มรรคจติ ” คอื จติ ทสี่ มั ปยตุ ดว ยมรรค และ“มรรคปญ ญา” คอื ปญ ญา
อนั สมั ปยตุ ดว ยมรรคนนั้ ยอ มพฒั นา คอื เจรญิ มาจากสมถวปิ ส สนานนั่ เอง ดงั ทพ่ี ระพทุ ธ-
โฆสาจารย ไดอ รรถธบิ ายไวใ นคมั ภรี ม โนรถปรู ณวี า ๑๗
“พระพทุ ธพจนว า จติ ตฺ ํ ภาวยี ติ ความวา มรรคจติ อนั สมถะใหเ จรญิ
คอื ใหเ พม่ิ พนู ใหพ ฒั นาขนึ้ ... พระพทุ ธพจนว า ปญฺ า ภาวยี ติ ความวา
มรรคปญญาอันวิปสสนาใหเจริญ คือ ใหเพิ่มพูน ใหพัฒนาข้ึน ...
สหชาตธรรมทงั้ ๒ [ธรรมทเ่ี กดิ พรอ มกนั ] คอื มรรคจติ และมรรคปญ ญา
พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั แลว ดว ยประการน”ี้
ในทางปฏิบัติ ธรรมกายมรรค (พระโสดาปตติมรรค พระสกทาคามิมรรค พระ
อนาคามมิ รรค และพระอรหตั ตมรรค) ยอ มปรากฏขน้ึ ปหาน (ละ) สญั โญชนไ ดแ ลว ตกศนู ย
ในขณะจติ นนั้ ธรรมกายผล กป็ รากฏขนึ้ ใสแจม มรี ศั มสี วา ง เขา ผลสมาบตั ิ และ ยอ มมี
ญาณหยงั่ รู (โดยพจิ ารณาปจ จเวกขณ) มรรค-ผล-นพิ พาน ตามระดบั ภมู ธิ รรมทป่ี ฏบิ ตั ไิ ด
อนงึ่ ถา พระโยคาวจรนน้ั ไดบ รรลมุ รรคผลทต่ี ่ำกวา พระอรหตั ตมรรค/ผล ยงั จดั เปน
เสขบคุ คลอยู ยอ มพจิ ารณาร-ู เหน็ กเิ ลสทล่ี ะได และกเิ ลสทย่ี งั เหลอื อยอู กี ดว ย แตถ า ได
บรรลพุ ระอรหตั ตมรรค/ผล เปน อเสขบคุ คลแลว กไ็ มต อ งพจิ ารณากเิ ลสทเ่ี หลอื เพราะยอ ม
มีญาณหยั่งรูวาส้ินอาสวกิเลสโดยเด็ดขาดแลว
๑๗ คมั ภรี ม โนรถปรู ณี อรรถกถาองั คตุ ตรนกิ าย ทกุ นบิ าต ภาค ๒ หนา ๓๐-๓๑.
ตอนท่ี ๒ ขัน้ วิปส สนาภาวนา 37
ธรรมอนั เปน รากเหงา เปน เหตเุ กดิ /เจรญิ ขนึ้ และตง้ั อยแู หง วปิ ส สนา ๒ ประการคอื
สลี วสิ ทุ ธิ และจติ ตวสิ ทุ ธิ กบั วสิ ทุ ธิ ๕ รวมเปน วสิ ทุ ธิ ๗ เปน เหมอื นรถ ๗ ผลดั นำผู
เจรญิ สมถวปิ ส สนากมั มฏั ฐาน/ภาวนา ไปใหถ งึ มรรคผลนพิ พาน ดว ยประการฉะน้ี
บทที่ ๓ ลักษณะของวิปสสนา
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○
ลกั ษณะของวปิ ส สนาอนั ใหเ จรญิ “วปิ ส สนาปญ ญา” คอื ไตรลกั ษณ (ลกั ษณะ ๓)
หรือ สามัญญลักษณะ คือ ความเปนเองของสังขารธรรมท้ังปวง เปนสภาพไมเท่ียง
(อนจิ จฺ )ํ ตอ งเปลย่ี นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั ทนอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ดน าน เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ )ํ
และไมม แี กน สารสาระในความเปน ของเทยี่ ง ในความเปน สขุ ทถี่ าวรแทจ รงิ และไมม สี าระใน
ความเปน ตวั ตน เปน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-ของเขา ทเี่ ทยี่ งแทถ าวร แตป ระการใด ชอื่ วา
เปนสภาพท่ีมิใชตัวตน (อนตฺตา) สมดังพระพุทธดำรัสซ่ึงตรัส วิปสสนาวิธี ในลำดับท่ี
พระโยคาวจรกำลังยกเบญจขันธข้ึนพิจารณาเจริญวิปสสนาปญญา เพื่อยกภูมิจิตขึ้นสู
“นพิ พทิ าญาณ” มปี รากฏในตลิ กั ขณาทคิ าถาวา ๑๘
“สพเฺ พ สงขฺ ารา อนจิ จฺ าติ ยทา ปญฺ าย ปสสฺ ติ
อถ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ ทกุ เฺ ข เอส มคโฺ ค วสิ ทุ ธฺ ยิ า.
สพเฺ พ สงขฺ ารา ทกุ ขฺ าติ ยทา ปญฺ าย ปสสฺ ติ
อถ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ ทกุ เฺ ข เอส มคโฺ ค วสิ ทุ ธฺ ยิ า.
สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ าติ ยทา ปญฺ าย ปสสฺ ติ
อถ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ ทกุ เฺ ข เอส มคโฺ ค วสิ ทุ ธฺ ยิ า.”
แปลความวา
“เมื่อใด บุคคลเห็นอยูดวยปญญาวา สังขารทั้งหลาย ไมเที่ยง
เมอื่ นน้ั ยอ มเบอื่ หนา ยในทกุ ข ขอ นเ้ี ปน ทางแหง ความหมดจด.
๑๘ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ขอ ๓๐ หนา ๕๑.
38 ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา
เม่ือใด บุคคลเห็นอยูดวยปญญาวา สังขารท้ังหลายเปนทุกข
เมอื่ นน้ั ยอ มเบอ่ื หนา ยในทกุ ข ขอ นเ้ี ปน ทางแหง ความหมดจด.
เมื่อใด บุคคลเห็นอยูดวยปญญาวา ธรรมท้ังปวงเปนอนัตตา
เมอื่ นนั้ ยอ มเบอ่ื หนา ยในทกุ ข ขอ นเ้ี ปน ทางแหง ความหมดจด.”
พระพทุ ธดำรสั ตรสั ตลิ กั ขณาทคิ าถาวา สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า (ธรรมทงั้ ปวงเปน อนตั ตา)
ผเู พยี งศกึ ษาเฉพาะความหมายของคำตามตวั อกั ษร อาจเขา ใจ “ธรรมทง้ั ปวงเปน อนตั ตา”
นั้น วา หมายถงึ ทงั้ สงั ขารธรรม (ทป่ี ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง เชน เบญจขนั ธ) ดว ย และ
ทงั้ วสิ งั ขารธรรม (ทไี่ มป ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง คอื พระนพิ พาน) ดว ย
แทท จ่ี รงิ แลว “ธรรมทง้ั ปวงเปน อนตั ตา” นน้ั พระพทุ ธองคท รงหมายถงึ เฉพาะแต
สงั ขารธรรม (มเี บญจขนั ธเ ปน ตน ) กบั ธรรมอน่ื ทไี่ มม แี กน สารสาระในความเปน ตวั ตน เชน
อาการตรสั รู หรอื อาการแทงตลอดพระอรยิ สจั ๔ และบญั ญตั ธิ รรม ซงึ่ ไมน บั วา มสี ภาวะ
ทไี่ มเ ทยี่ งและเปน ทกุ ขเ หมอื นสงั ขารธรรม (อปุ าทนิ นกสงั ขาร/อนปุ าทนิ นกสงั ขาร) ทงั้ หลาย
กลา วคอื มแี ตส ภาวะทเี่ กดิ ขน้ึ และดบั ไป พระอรรถกถาจารย จงึ จดั อยใู นประเภทธรรม
ทเ่ี ปน อนตั ตาดว ย เทา นน้ั
ดงั พระธรรมภาษติ วา ๑๙
“อนจิ จฺ า สพเฺ พ สงขฺ ารา ทกุ ขฺ านตตฺ า จ สงขฺ ตา.
นพิ พฺ านเฺ จว ปณณฺ ตตฺ ิ อนตตฺ า อติ ิ นจิ ฉฺ ยา.”
ซง่ึ บรู พาจารยท งั้ หลายไดแ ปลความไวแ ตเ ดมิ (พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั หลวง
พ.ศ.๒๕๐๐, พ.ศ.๒๕๑๔ และ พ.ศ.๒๕๒๑, หนา ๒๗๑ และแมฉ บบั เฉลมิ พระเกยี รติ พ.ศ.๒๕๔๙
หนา ๒๘๙ และพระไตรปฎ ก เลม ๘ ปรวิ าร และอรรถกถา แปล เลม ที่ ๑๐ ขอ ๘๒๖
จดั พมิ พโ ดยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั พ.ศ.๒๕๒๕, หนา ๓๒๖) วา
“สงั ขารทง้ั ปวงทปี่ จ จยั ปรงุ แตง ไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตา
และ บญั ญตั ิ คอื พระนพิ พาน ทา นวนิ จิ ฉยั วา เปน อนตั ตา”
๑๙ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๘ วนิ ยั ปฎ ก ปรวิ าร ขอ ๘๒๖ หนา ๒๒๔.
ตอนที่ ๒ ขน้ั วปิ สสนาภาวนา 39
พระนพิ พาน ทเี่ ปน บญั ญตั ิ (ชอื่ เรยี ก) พระอรรถกถาจารยท า นวนิ จิ ฉยั วา เปน อนตั ตา
ดว ยประการฉะนี้
เพราะเหตนุ นั้ พระพทุ ธโฆสาจารย ผรู จนาคมั ภรี พ ระวสิ ทุ ธมิ รรค ไดอ รรถาธบิ าย
พระพทุ ธดำรสั วา “สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า” นไ้ี วใ นคมั ภรี ธ มั มปทฏั ฐกถาวา ๒๐
“ตตถฺ สพเฺ พ ธมมฺ าติ ปจฺ กขฺ นธฺ าเอว อธปิ เฺ ปตา. อนตตฺ าติ
‘มา ชรี นตฺ ุ มา มยี นตฺ ตู ิ วเส วตเฺ ตตุํ น สกกฺ าติ อวสวตตฺ นตเฺ ถน อนตตฺ า
สุ ญฺ า อสสฺ ามกิ า อนสิ สฺ ราติ อตโฺ ถ”
แปลความวา
“พระพทุ ธพจนว า สพเฺ พ ธมมฺ า ในพระคาถานนั้ พระผมู พี ระภาคเจา
ทรงประสงคเ อาเบญจขนั ธเ ทา นน้ั . พระพทุ ธพจนว า อนตตฺ า ความวา
ชอ่ื วา อนตั ตา คอื วา งเปลา ไมม เี จา ของ ไมม อี สิ ระ เพราะความหมาย
วาไมเปนไปในอำนาจวา ‘ใครๆ ไมอาจใหเปนไปในอำนาจวา ‘ธรรม
ทงั้ ปวง จงอยา แก จงอยา ตาย’”
และไดแ สดงไวใ นคมั ภรี ม โนรถปรู ณวี า ๒๑
“สพเฺ พ ธมมฺ า นาลํ อภนิ เิ วสายาติ เอตถฺ สพเฺ พ ธมมฺ า นาม
ปจฺ กขฺ นธฺ า ทวฺ าทสายตนานิ อฏฐ ารส ธาตโุ ย เต สพเฺ พป ตณหฺ า-
ทฏิ ฐ วิ เสน อภนิ เิ วสาย นาลํ น ปรยิ ตตฺ า น สมตตฺ า น ยตุ ตฺ า. กสมฺ า.
คหติ ากาเรน อตฏิ ฐนโต. เต หิ ‘นจิ จฺ า สขุ า อตตฺ าติ คหติ าป อนจิ จฺ า
ทกุ ขฺ า อนตตฺ าว สมปฺ ชชฺ นตฺ .ิ ตสมฺ า นาลํ อภนิ เิ วสาย.”
แปลความวา
“ในพระพทุ ธพจนว า สพเฺ พ ธมมฺ า นาลํ อภนิ เิ วสาย นี้ มวี นิ จิ ฉยั
ดงั ตอ ไปน.้ี ชอ่ื วา ธรรมทงั้ ปวง คอื ขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘
๒๐ คมั ภรี ธ มั มปทฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ธรรมบทคาถา ภาค ๗ หนา ๖๒.
๒๑ คมั ภรี ม โนรถปรู ณี อรรถกถาองั คตุ ตรนกิ าย สตั ตกนบิ าต ภาค ๓ หนา ๑๙๓.
40 ตอนที่ ๒ ขน้ั วิปสสนาภาวนา
ธรรมแมท งั้ หมดนนั้ ไมค วร คอื ไมถ กู ไมช อบ ไมเ หมาะ ทจี่ ะยดึ มนั่
ดวยอำนาจตัณหาและทิฏฐิ. เพราะเหตุไร ธรรมแมท้ังหมดนั้นจึง
ไมควรยึดม่ัน. เพราะธรรมเหลาน้ันไมตั้งอยูโดยอาการที่จะยึดถือไว.
จริงอยู ธรรมเหลาน้ัน แมตนจะยึดถือเอาวา ‘สังขารทั้งหลายเปน
ของเทย่ี ง เปน สขุ เปน อตั ตา’ กย็ อ มสำเรจ็ ผลวา เปน ของไมเ ทยี่ ง เปน
ทกุ ข เปน อนตั ตาอยนู นั่ เอง. เพราะฉะนน้ั ธรรมทงั้ ปวงนน้ั จงึ ไมค วรยดึ มนั่ .”
พระพทุ ธดำรสั วา “สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า” ธรรมทงั้ ปวง เปน อนตั ตา จงึ หมายเฉพาะ
สงั ขารธรรมทง้ั หลาย กบั ธรรมอนื่ ทไี่ มม แี กน สารสาระในความเปน ของเทยี่ ง ในความเปน
สขุ ทถ่ี าวรแทจ รงิ และไมม สี าระในความเปน ตวั ตนเทา นน้ั มไิ ดร วมถงึ วสิ งั ขาร คอื
พระนพิ พาน อนั เปน ปรมตั ถธรรม ทมี่ สี าระ (สารํ นพิ พฺ าน)ํ เปน อสงั ขตธรรม
(อสงขฺ ตํ นพิ พฺ าน)ํ และ เปน อมตธรรม (อมตํ นพิ พฺ าน)ํ ๒๒ ดว ยแตป ระการใด
เพราะเหตดุ งั นี้ ผสู นใจศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ิ พงึ เขา ใจความหมายของคำวา “อนตั ตา”
วาหมายถึง “สภาวะ”ของธรรมชาติทั้งปวงท่ีไมมีแกนสารสาระ ในความเปนของเท่ียง
ในความเปน สขุ ทถี่ าวรแทจ รงิ และไมม สี าระในความเปน ตวั ตนของใครทเ่ี ทย่ี งแทถ าวร
แตป ระการใดดว ย ดงั ปรากฏในคมั ภรี เ นตตวิ ภิ าวนิ วี า ๒๓
“อนตฺตาติ นิจฺจสารสุขสารอตฺตสารรหิตตฺตา อสารกฏเฐน
อนตตฺ า, อวสวตตฺ นฏเ ฐน วา อนตตฺ า.”
“ขอ วา อนตตฺ า ความวา สภาวธรรมทงั้ หลาย ทช่ี อ่ื วา อนตั ตา
เพราะปราศจากสาระวา เปน ของเทย่ี ง ปราศจากสาระวา เปน สขุ
และปราศจากสาระวา เปน ตวั ตน. อกี อยา งหนงึ่ ทช่ี อ่ื วา อนตั ตา
เพราะอรรถวาไมเปนไปในอำนาจ [ของตน].”๒๔
๒๒ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๓๑ ขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ขอ ๗๓๕ หนา ๖๒๙-๖๓๔.
๒๓ คมั ภรี เ นตตวิ ภิ าวนิ ี ตอนทวี่ า ดว ย “เทศนาวภิ งั ควภิ าวนา” มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , โรงพมิ พว ญิ ญาณ กรงุ เทพฯ,
พ.ศ.๒๕๓๘ หนา ๗๕.
๒๔ พระมหามนตรี ขนตฺ สิ าโร ป.ธ.๙ วดั ปากนำ้ ภาษเี จรญิ กรงุ เทพฯ เปน ผแู ปล.
ตอนท่ี ๒ ข้นั วปิ ส สนาภาวนา 41
ก็จะไดเขาใจอยางถูกตองตรงประเด็นวา พระพุทธดำรัสในติลักขณาทิคาถาน้ี
พระพทุ ธองคท รงหมายถงึ แตเ ฉพาะสงั ขารธรรมทงั้ หลายเทา นนั้ มไิ ดห มายถงึ “วสิ งั ขาร”
คอื พระนพิ พานดว ย แตป ระการใด
ทง้ั นเี้ พราะ
(๓.๑) พระคาถานี้ ทรงแสดงวิปสสนาวิธี ในลำดับท่ีพระโยคาวจรกำลังเจริญ
อนปุ ส สนา ยกเบญจขนั ธข นึ้ พจิ ารณา เจรญิ วปิ ส สนาปญ ญา อนั จะนำไปสนู พิ พทิ าญาณ
นี้จะเห็นชัดเจน ถาจะพิจารณาหมดทุกบาทคาถา เริ่มต้ังแตพระพุทธดำรัสวา “เม่ือใด
บคุ คลเหน็ อยดู ว ยปญ ญาวา ‘สงั ขารทง้ั หลายไมเ ทย่ี ง ... สงั ขารทงั้ หลายเปน ทกุ ข ...
ธรรมทงั้ ปวงเปน อนตั ตา’ เมอ่ื นน้ั ยอ มเบอื่ หนา ยในทกุ ข. ขอ นเี้ ปน ทางแหง ความหมดจด”
กจ็ ะเหน็ ไดว า ผปู ฏบิ ตั ภิ าวนา ยงั ไมถ งึ โคตรภญู าณทจี่ ะสามารถยดึ หนว งพระนพิ พานเปน
อารมณ ใหร -ู เหน็ พระนพิ พานไดเ ลย ในขน้ั นพี้ ระพทุ ธองคจ งึ ยงั มไิ ดต รสั หมายถงึ สภาวะ
หรือลักษณะของพระนิพพานอันเปนวิสังขารธรรมแตประการใด
(๓.๒) พระพทุ ธองค ไดท รงประทานหลกั พจิ ารณาสภาวธรรมทเี่ ปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ
อนตตฺ า (ไตรลกั ษณ/ สามญั ญลกั ษณะ) นไ้ี วแ ลว วา
(ก) สงิ่ ใดไมเ ทย่ี ง สงิ่ นน้ั เปน ทกุ ข สง่ิ ใดเปน ทกุ ข สงิ่ นนั้ เปน อนตั ตา ดงั พระ
พทุ ธดำรสั วา ๒๕
“รปู ํ ภกิ ขฺ เว อนจิ จฺ .ํ ยทนจิ จฺ ํ ตํ ทกุ ขฺ ํ ยํ ทกุ ขฺ ํ ตทนตตฺ า. ยทนตตฺ า
ตํ เนตํ มม เนโสหมสมฺ ิ น เมโส อตตฺ าติ เอวเมตํ ยถาภตู ํ สมมฺ ปปฺ ญฺ าย
ทฏฐ พพฺ .ํ ”
แปลความวา
“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย รปู ไมเ ทยี่ ง. สงิ่ ใดไมเ ทย่ี ง สงิ่ นนั้ เปน ทกุ ข. สง่ิ ใด
เปน ทกุ ข สง่ิ นน้ั เปน อนตั ตา. สงิ่ ใดเปน อนตั ตา สงิ่ นน้ั ไมใ ชข องเรา
ไมเ ปน เรา ไมใ ชต วั ตนของเรา. ขอ นอี้ รยิ สาวกพงึ เหน็ ดว ยปญ ญาอนั
ชอบ ตามความเปน จรงิ อยา งน้.ี ”
๒๕ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๗ สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค ขอ ๔๒ หนา ๒๘.
42 ตอนที่ ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา
(ข) อนง่ึ พระพทุ ธองคไ ดต รสั “อนตั ตลกั ขณะ” ยอ นขน้ึ เปน เหตผุ ลของ “ทกุ ขลกั ขณะ”
ดว ย ดงั ปรากฏในอนตั ตลกั ขณสตู รวา ๒๖
“ยสมฺ า จ โข ภกิ ขฺ เว รปู ํ อนตตฺ า. ตสมฺ า รปู ํ อาพาธาย
สวํ ตตฺ ต.ิ ”
แปลความวา
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย กแ็ ล เพราะรปู เปน อนตั ตา. ฉะนน้ั รปู จงึ เปน
ไปเพอ่ื อาพาธ.”
คำวา “อาพาธ” ณ ทน่ี ก้ี ค็ อื ทกุ ขลกั ษณะ นนั่ เอง
เหลานี้เปนพระพุทธดำรัสท่ีใครๆ ไมอาจจะคัดคานได
(ค) อนง่ึ พระธรรมปาละ กไ็ ดอ รรถาธบิ ายวา พระไตรลกั ษณ/ สามญั ญลกั ษณะ
นนั้ เปน เสมอื นโซส ามหว งคลอ งตดิ กนั คอื เปน เหตผุ ลซงึ่ กนั และกนั มไิ ดแ ยกกนั
ดงั ปรากฏในคมั ภรี ป รมตั ถทปี นวี า ๒๗
“อนจิ จฺ ลกขฺ เณ หิ ทฏิ เ ฐ, อนตตฺ ลกขฺ ณํ ทฏิ ฐ เมว โหต.ิ ตสี ุ หิ
ลกขฺ เณสุ เอกสมฺ ึ ทฏิ เ ฐ, อติ รทวฺ ยํ ทฏิ ฐ เมว โหต.ิ ”
แปลความวา
“จริงอยู เม่ือเห็นอนิจจลักษณะ ก็เปนอันเห็นอนัตตลักษณะ
เหมอื นกนั . กบ็ รรดาลกั ษณะทง้ั ๓ เมอ่ื เหน็ ลกั ษณะหนง่ึ กเ็ ปน อนั
เห็นลักษณะ ๒ อยางนอกนี้เหมือนกัน.”
เพราะเหตุน้ี พระไตรลักษณ/สามัญญลักษณะ จึงเปนลักษณะเฉพาะของสงั ขาร
ธรรมทงั้ หลาย (อปุ าทนิ นก/อนปุ าทนิ นก) กบั ธรรมอนื่ ทไี่ มม แี กน สารสาระในความเปน ของ
เทยี่ ง ในความเปน สขุ และในความเปน ตวั ตนเทา นนั้ ไมเ กย่ี วดว ย “วสิ งั ขาร” คอื พระ
นพิ พาน ซงึ่ เปน ปรมตั ถธรรม เปน อสงั ขตธรรม เปน อมตธรรม และเปน ธรรมทเี่ ปน สาระ
(สารํ นพิ พฺ าน)ํ ทม่ี ลี กั ษณะตรงกนั ขา มกบั สงั ขารธรรมโดยสนิ้ เชงิ แตป ระการใด
๒๖ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๗ สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค ขอ ๑๒๗ หนา ๘๒.
๒๗ คมั ภรี ป รมตั ถทปี นี อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย อทุ าน หนา ๒๕๑.
ตอนที่ ๒ ข้นั วปิ สสนาภาวนา 43
ผปู ฏบิ ตั สิ มถวปิ ส สนากมั มฏั ฐานตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ไดถ งึ โคตรภญู าณขน้ึ
ไปแลว ยอ มร-ู เหน็ ตามทเี่ ปน จรงิ ดงั น้ี ดว ยกนั ทง้ั นน้ั
(๓.๓) ความหมายของ ‘สพพฺ ’ ศพั ท กม็ ไิ ดห มายเอาธรรม ทงั้ สงั ขารและวสิ งั ขาร
ทงั้ หมดทง้ั สนิ้ เสมอไป ดงั ทพี่ ระพทุ ธโฆสาจารย ไดแ สดงไวใ นคมั ภรี ป ปญ จสทู นวี า ๒๘
“เนยยฺ ตถฺ ตตฺ า จสสฺ สตุ ตฺ สสฺ น จตภุ มู กิ าป สภาวธมมฺ า ‘สพฺพ-
ธมมฺ าติ เวทติ พพฺ า. สกกฺ ายปรยิ าปนนฺ า ปน เตภมู กิ ธมมฺ า ว อนวเสสโต
เวทติ พพฺ า.”
แปลความวา
“อนงึ่ สภาวธรรมทงั้ หลาย แมท เ่ี ปน ไปในภมู ิ ๔ กไ็ มพ งึ เขา ใจวา
ชอ่ื วา ‘ธรรมทงั้ ปวง’ เพราะเหตทุ พ่ี ระสตู รนน้ั มเี นอ้ื ความทจี่ ะตอ งแนะนำ.
แตธ รรมทเ่ี ปน ไปในภมู ิ ๓ เทา นน้ั ทนี่ บั เนอื่ งในสกั กายทฏิ ฐิ พงึ เขา ใจ
วา ธรรมทง้ั ปวง โดยไมม สี ว นเหลอื .”
(๓.๔) ผเู จรญิ สมถวปิ ส สนาพงึ รู วภิ าค ๖ คอื พงึ รทู งั้ ลกั ษณะ ๓ (ไตรลกั ษณ/
สามัญญลักษณะ) และทั้งเคร่ืองหมายที่จะใหกำหนดรูลักษณะ ๓ น้ันดวย จึง
จะกำหนดรูลักษณะของสังขารธรรมและวิสังขารธรรมไดถูกตอง คือ
๑. อนจิ จฺ ํ ไมเ ทยี่ ง
๒. อนจิ จฺ ลกขฺ ณํ เครอื่ งหมายทจี่ ะกำหนดรู อนจิ จฺ ตา (ความเปน ของไมเ ทยี่ ง)
๓. ทกุ ขฺ ํ เปน ทกุ ข
๔. ทกุ ขฺ ลกขฺ ณํ เครอื่ งหมายทจี่ ะกำหนดรู ทกุ ขฺ ตา (ความเปน ทกุ ข)
๕. อนตตฺ า มใิ ชต วั มใิ ชต นทถี่ าวรแทจ รงิ ของใคร
๖. อนตตฺ ลกขฺ ณํ เครอ่ื งหมายทจ่ี ะกำหนดรู อนตตฺ ตา (ความมใิ ชต วั ตน)
ดงั ที่ พระพทุ ธโฆสาจารย ไดแ สดงวภิ าคไตรลกั ษณไ วใ นคมั ภรี ป ปญ จสทู นอี กี วา ๒๙
๒๘ คมั ภรี ป ปญ จสทู นี อรรถกถามชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก ภาค ๑ หนา ๑๙, โรงพมิ พว ญิ ญาณ กรงุ เทพฯ พ.ศ.๒๕๓๒.
๒๙ คมั ภรี ป ปญ จสทู นี อรรถกถามชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก ภาค ๒ หนา ๑๙-๒๐, โรงพมิ พว ญิ ญาณ กรงุ เทพฯ, พ.ศ.๒๕๓๒.
44 ตอนที่ ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา
“ตตถฺ อนจิ จฺ ํ ภนเฺ ตติ ภนเฺ ต ยสมฺ า หตุ วฺ า น โหต.ิ ตสมฺ า อนจิ จฺ .ํ
อปุ ปฺ าทวยวตตฺ โิ ต วปิ รณิ ามตาวกาลกิ นจิ จฺ ปฏกิ เฺ ขปฏเ ฐน วาติ จตหู ิ
การเณหิ อนจิ จฺ .ํ
ทกุ ขฺ ํ ภนเฺ ตติ ภนเฺ ต ปฏปิ ฬ นากาเรน. ทกุ ขฺ ํ สนตฺ าปทกุ ขฺ ทกุ ขฺ วตถฺ กุ -
สขุ ปฏกิ เฺ ขปฏเ ฐน วาติ จตหู ิ การเณหิ ทกุ ขฺ .ํ ...
โน เหตํ ภนเฺ ตติ อมิ นิ า เต ภกิ ขฺ ู อวสวตตฺ นากาเรน ‘รปู ํ ภนเฺ ต
อนตตฺ าติ ปฏชิ านนตฺ ิ. สุ ญฺ อสสฺ ามกิ อนสิ สฺ ร อตตฺ ปฏกิ เฺ ขปฏเ ฐน วาติ
จตหู ิ การเณหิ อนตตฺ า.”
“ในพระสตู รนนั้ คำวา อนจิ จฺ ํ ภนเฺ ต ความวา พระเจา ขา เพราะเหตทุ ี่
รปู มแี ลว กลบั ไมม ี เพราะฉะนนั้ รปู จงึ ไมเ ทย่ี ง. ทชี่ อ่ื วา ไมเ ทยี่ ง เพราะ
เหตุ ๔ ประการ คอื เพราะเกดิ แลว กเ็ สอื่ มไป (อปุ ปฺ าทวยวตตฺ โิ ต) หรอื
เพราะอรรถวา แปรปรวน (วปิ รณิ าม) เปน ไปชวั่ คราว (ตาวกาลกิ ) และ
ปฏเิ สธความเทย่ี ง (นจิ จฺ ปฏกิ เฺ ขป).
คำวา ทกุ ขฺ ํ ภนเฺ ต ความวา พระเจา ขา รปู ชอื่ วา ทกุ ข โดยอาการคอื
เบยี ดเบยี น. ชอื่ วา เปน ทกุ ข ดว ยเหตุ ๔ อยา งคอื เพราะอรรถวา ทำให
เรา รอ น (สนตฺ าป) ทนไดย าก (ทกุ ขฺ ) เปน ทต่ี งั้ แหง ทกุ ข (ทกุ ขฺ วตถฺ กุ ) และ
ปฏเิ สธความสขุ (สขุ ปฏกิ เฺ ขป) ...
ดว ยคำนวี้ า โน เหตํ ภนเฺ ต ภกิ ษเุ หลา นนั้ ยอ มปฏญิ าณวา รปู เปน
อนตั ตา พระเจา ขา ดว ยอาการไมเ ปน ไปในอำนาจ. รปู ชอื่ วา เปน อนตั ตา
ดว ยเหตุ ๔ คอื ดว ยอรรถวา เปน ของสญู (สุ ญฺ ) ไมม เี จา ของ (อสสฺ ามกิ )
ไมเ ปน ใหญ (อนสิ สฺ ร) และปฏเิ สธอตั ตา (อตตฺ ปฏกิ เฺ ขป).”
เมอ่ื พจิ ารณาสภาวธรรมตามหลกั วภิ าค ๖ นแ้ี ลว จะกำหนดรไู ดแ นน อน
วา ไตรลักษณ/สามัญญลักษณะนั้น เปนลักษณะประจำสังขารธรรมทั้งหลาย
กับธรรมอื่นท่ีไมมีสาระ ในความเปนตัวตน เชน อาการตรัสรู/อาการแทงตลอด
อรยิ สจั ๔ และบญั ญตั ธิ รรมทงั้ หลาย เทา นน้ั
ตอนท่ี ๒ ขัน้ วิปสสนาภาวนา 45
พระนพิ พาน ซง่ึ เปน ปรมตั ถธรรม เปน อสงั ขตธรรม เปน ธรรมทมี่ สี าระ
และเปน อมตธรรม ทพี่ น โลก พน ไตรลกั ษณ/ สามญั ญลกั ษณะ ไปแลว ไมม ี
ลกั ษณะใดทเ่ี ขา ลกั ษณะความเปน ของไมเ ทยี่ ง (อนจิ จฺ ตา) ความเปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ตา)
และ ความเปน ของไมม สี าระในความเปน ตวั ตน (อนตตฺ ตา) แตป ระการใดเลย.
บทท่ี ๔ การเจริญสติปฏฐาน ๔ : กายานุปสสนาสติปฏฐาน
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○
การใหม สี ตกิ ำหนดพจิ ารณาเหน็ กายในกายเปน ทงั้ ณ ภายใน และ ณ ภายนอกนี้
เพราะเปนธรรมปฏิบัติคูปรับแกตัณหาจริตอยางออน ของผูติดกาย มุงกายเปนใหญ
มกั รกั สวยรกั งาม อนั เปน ไปตามสมยั นยิ ม แตเ ปลยี่ นแปลงงา ย เมอื่ เขานยิ มกนั อยา งไร
กเ็ ปลยี่ นแปลงไปตามสมยั นยิ มอยา งนนั้ จงึ ใหเ จรญิ กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน เพอ่ื กำจดั
“สภุ วปิ ลาส” ความเขา ใจคลาดเคลอ่ื นวา รา งกายเปน ของสวยงาม ซงึ่ ทงั้ ๆ ทค่ี วาม
เปน จรงิ แลว รา งกายทกุ สว นไมม คี วามสวยงามอะไรเลย เตม็ ไปดว ยสง่ิ สกปรกทงั้ สนิ้ และ
ทงั้ เพอ่ื กำจดั “นจิ จวปิ ลาส” ความเขา ใจคลาดเคลอ่ื นวา เปน ของเทย่ี ง, เพอื่ กำจดั
“สขุ วปิ ลาส” ความเขา ใจคลาดเคลอ่ื นวา เปน สขุ และเพอ่ื กำจดั “อตั ตวปิ ลาส”
ความเขา ใจคลาดเคลอ่ื นวา รา งกายนเี้ ปน อตั ตาอกี ดว ย ซง่ึ แทท จ่ี รงิ แลว รา งกายน้ี เปน
สภาพไมเ ทยี่ ง (อนจิ จฺ )ํ ทนอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ดต ลอดไป (ทกุ ขฺ )ํ และสดุ ทา ยตอ งแตก
สลายหมดสภาพเดมิ ของมนั ไปทงั้ สนิ้ (อนตตฺ า) ไมม อี ะไรเปน สาระในความเปน ของเทยี่ ง
เปน สขุ และเปน ตวั ตน แตป ระการใด
ตวั อยา งเฉพาะ ปฏกิ ลู ปพ พะ : ขอ กำหนดเหน็ สว นตา งๆ ของรา งกายตาม
ความเปน จรงิ วา เปน ของนา เกลยี ด และใหเ หน็ ความเปน ของไมเ ทยี่ ง-เปน ทกุ ข-
เปน อนตั ตา (ทงั้ ณ ภายใน คอื อาศยั ปจ จยั ภายในตวั เราเอง และทง้ั ณ ภายนอก คอื
อาศยั ปจ จยั ภายนอก คอื ของผอู น่ื )
46 ตอนท่ี ๒ ขัน้ วิปส สนาภาวนา
อธบิ ายความ วา : ในกายนมี้ ี เกสา (ผม) โลมา (ขน) นขา (เลบ็ ) ทนั ตา (ฟน )
ตโจ (หนงั ) มงั สงั (เนอ้ื ) นหารู (เอน็ ) อฏั ฐี (กระดกู ) อฏั ฐมิ ญิ ชงั (เยอ่ื ในกระดกู )
วกั กงั (ไต) หทยงั (หวั ใจ) ยกนงั (ตบั ) กโิ ลมกงั (พงั ผดื ) ปห กงั (มา ม) ปป ผาสงั (ปอด)
อนั ตงั (ลำไสใ หญ) อนั ตคณุ งั (ลำไสน อ ย) อทุ รยิ งั (อาหารในกระเพาะ) กรสี งั (อจุ จาระ)
ปตตัง (น้ำดี) เสมหัง (เสมหะ) ปุพโพ (นำ้ หนอง) โลหิตัง (เลือด) เสโท (เหง่ือ)
เมโท (มนั ขน ) อัสสุ (น้ำตา) วสา (มนั เหลว) เขโฬ (นำ้ ลาย) สงิ ฆาณกิ า (นำ้ มกู )
ลสกิ า (ไขขอ ) มตุ ตัง (ปส สาวะ) และ มตั ถลงุ คงั (มนั สมอง)
ลวนเปนธรรมชาติท่ีไมสะอาด เปนของนาเกลียด
โดยพจิ ารณาเหน็ สว นตา งๆ ของรา งกายในกายเรา ชอื่ วา “มสี ตพิ จิ ารณาเหน็ กาย
ในกาย ณ ภายใน” พจิ ารณาเหน็ สว นตา งๆ ของรา งกายในกายผอู นื่ ชอ่ื วา “มสี ตพิ จิ ารณา
เหน็ กายในกาย ณ ภายนอก” ดงั น้ี
ตัวอยางประสบการณผูปฏิบัติธรรมของทานที่ไดประสบการณและ
ไดอ านสิ งสจ ากการเจรญิ กายคตาสติ นี้ เปน “ครใู หญ”
อบุ าสกทา นหนง่ึ เจรญิ ภาวนาสมาธติ ามแบบท่ี หลวงพอ วดั ปากนำ้ พระมงคลเทพมนุ ี
(สด จนทฺ สโร) ไดป ฏบิ ตั แิ ละสอนสมถวปิ ส สนากมั มฏั ฐานตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ถงึ ธรรมกาย
ของพระพทุ ธเจา อบุ าสกทา นนไ้ี ดต ง้ั ใจปฏบิ ตั อิ ยใู นระดบั เบอื้ งตน คอื ตรกึ นกึ เหน็ ดวงทใ่ี ส
ใจอยใู นกลางของกลางของกลางดวงทใี่ ส และบรกิ รรมภาวนาวา “สมั มาอรหงั ๆๆ” อยู
เปน ประจำเทา ทโ่ี อกาสอำนวย เหน็ ดวงใสบา ง-ไมเ หน็ บา ง เรยี กวา “เหน็ ๆ หายๆ” สมาธิ
ยงั ไมม น่ั คง บางครง้ั กเ็ จรญิ ภาวนาไดถ งึ กายทพิ ย เคยไดเ หน็ เทพธดิ ามานง่ั อยใู นระยะใกลๆ
บา ง แลว ทา นกแ็ ผเ มตตาอทุ ศิ สว นกศุ ลใหม นษุ ยแ ละอมนษุ ยท งั้ หลายอยเู ปน ประจำ
อยูมาวันหนึ่ง อุบาสกทานน้ีกลับจากธุรกิจขางนอก แลวไดข้ึนรถ ๒ แถวเล็กท่ี
หนา ปากซอยโชคชยั ๔ กรงุ เทพฯ กลบั บา น เมอื่ ผโู ดยสารเตม็ รถ ทง้ั แถวนง่ั ๒ แถว และ
ทยี่ นื จบั ราวอกี ๒ แถวเตม็ ตวั ทา นเองนน้ั นง่ั ตรงทนี่ งั่ กลางๆ แถวขา งซา ย พอดมี สี ภุ าพสตรี
วยั สาวรายหนงึ่ ยนื โหนราวอยตู รงหนา ทา น คนขบั กอ็ อกรถและขบั รถคอ นขา งสวต๊ี -สวา ต
ตอนที่ ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา 47
เพื่อแยงผูโดยสารกับรถคันอ่ืนๆ ผูโดยสารท่ียืนโหนราวอยูก็โยกไปโยกมา ตอมาสตรี
วยั สาวนน้ั เปลย่ี นทา ยนื เปน หนั หนา ออกขา ง มผี ลใหส ว นทอ นบนสรรี ะของเธอขณะยนื โยกไป
โยกมากระทบทห่ี นา ผากอบุ าสกทา นนนั้ เปน ระยะๆ อบุ าสกนนั้ กเ็ จรญิ ภาวนา “สมั มาอรหงั ๆๆ”
สำรวมใจใหส งบอยู เมอื่ ถกู สว นสรรี ะนมิ่ ๆ กระทบทหี่ นา ผาก พลนั จติ ใจกน็ กึ อยากรเู หน็ “แวบ”
หน่ึงข้ึนมาในใจ ก็เห็นสรีระของสุภาพสตรีนั้นตลอดท่ัวทั้งรางกาย และแถมยังไดกลิ่น
โลหติ เสยี ทเี่ ปอ นอยกู บั สงิ่ ทใ่ี ชป กปด ปอ งกนั ณ จดุ ทไี่ มส ะอาด เหมน็ ฉนุ กกึ ขน้ึ มาเตม็ ๆ ทงั้
เหน็ และทง้ั ไดก ลนิ่ เหมน็ และมคี วามรสู กึ รงั เกยี จ และระงบั กามฉนั ทะไดท นั ที ตอ จากนน้ั
เมอื่ ใดทรี่ สู กึ กามฉนั ทะกำเรบิ กอ็ าศยั การเจรญิ ภาวนาสมาธใิ หใ จสงบดพี อสมควรกอ น แลว คอ ย
เจรญิ กายคตาสตพิ จิ ารณาสว นตา งๆ ของรา งกายโดยเฉพาะอยา งยง่ิ “ทนั ตา” คอื ฟน ในชอ ง
ปาก ทง้ั ณ ภายใน (ของตนเอง) และทงั้ ณ ภายนอก (ของผอู น่ื ) และภาพทเี่ คยเหน็ ทเี่ ปน แต
ปฏิกูลโสโครกนาเกลียดนั้น ทำใหกามฉันทะระงับลงไดอยูเสมอ จนทานและแมบานตาง
ตกลงยนิ ดรี ว มกนั ละเวน ความประพฤตทิ ไ่ี มป ระเสรฐิ ไดต ลอด ๑๐ ป กอ นบวช ไดเ ปน พระภกิ ษุ
ในพระพทุ ธศาสนา ประพฤตพิ รหมจรรยใ นบนั้ ปลายชวี ติ เมอื่ อายุ ๕๗ ป (ยา ง ๕๘ ป) ตลอด
มาจนถึงตราบเทาทุกวันนี้
“กายคตาสติ” มีอานิสงสเปนดุจ “ครูใหญ” ชวยเปนสติเตือนใจใหผูประพฤติ
พรหมจรรย สามารถประพฤตปิ ฏบิ ตั แิ ละรกั ษาวตั รปฏบิ ตั อิ นั ดงี ามไวไ ดด ว ยดี ดว ยประการ
ฉะน้ี
กายคตาสติ มขี น้ั ตอน/วธิ เี จรญิ ภาวนาใหไ ดผ ลดี ดงั นี้
(๑) กรณผี ปู ฏบิ ตั ภิ าวนา ยงั ไมเ หน็ ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย (ยงั ไมเ หน็ ดวงใสแจม
ตรงศนู ยก ลางกาย) ไดแ ก ผกู ำลงั เจรญิ ภาวนา สตกิ ำหนดบรกิ รรมนมิ ติ นกึ เหน็ ดวงกลมใส
ดว ยใจ (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู จรดอยู ณ ศนู ยก ลางดวงกลมใสนน้ั ตรงศนู ยก ลางกายฐานท่ี ๗
อยเู หนอื ระดบั สะดอื ๒ นวิ้ มอื และบรกิ รรมภาวนาวา “สมั มาอรหงั ๆๆๆ” พรอ มกบั สงั เกต
เหน็ ลมเหน็ ใจเขา -ออก ผา นตรงจดุ นนั้ แหง เดยี ว โดยไมต อ งตามลมหายใจเขา -ออก เพอื่ ให
ใจสงบหยดุ นงิ่ ตรงกลางของกลางๆๆๆ อยนู นั้ เมอื่ รสู กึ ใจสงบดที สี่ ดุ แลว ในขณะนน้ั
48 ตอนท่ี ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา
ใหก ำหนดเหน็ “เกสา (ผม)” ทอี่ ยบู นหนงั ศรี ษะของเรา ตรงศนู ยก ลางดวงศนู ยก ลาง
กายนั้น เพงดูจนใจสงบต้ังม่ัน ประมาณใกล “อุปจารสมาธิ” ก็จะเห็นตาม
ธรรมชาตทิ เ่ี ปน จรงิ วา เปน ธรรมชาตทิ ไ่ี มส ะอาด เปน แตป ฏกิ ลู หรอื ทต่ี ง้ั แหง ปฏกิ ลู
โสโครกนา เกลยี ด กลา วคอื ยอ มแปดเปอ นดว ยเหงอ่ื ไคล ไขมนั ทถ่ี กู ขบั ออกจากรา งกาย
เมอ่ื ฝนุ ละอองจบั และหมกั หมมไวน านกจ็ ะสกปรก มกี ลน่ิ เหมน็ และ
เมอ่ื เพง ดนู านไปจะเหน็ นมิ ติ คอื ภาพของเกสานนั้ เปลย่ี นแปลงไปเปน “หงอก” ตาม
ธรรมชาติ นแ้ี สดง “อนจิ จลกั ษณะ” วา เปน ของไมเ ทย่ี ง คอื “อนจิ จฺ ”ํ เพง ดตู อ ไปจะเหน็ นมิ ติ
ของเกสานี้ “หลดุ รว ง” วา เปน ของทนอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ดน าน เปน “ทกุ ขฺ ”ํ เพง ดตู อ ไปจะเหน็
นมิ ติ ของเกสานี้ “แตกสลายหมดสภาพเดมิ ของมนั ไป” ไมม อี ะไร (ในตวั เรา) มแี กน
สารสาระในความเปน ของเทย่ี ง ไมม อี ะไรทเ่ี ปน สาระในความเปน สขุ ทถี่ าวร และ
ไมม อี ะไรทเ่ี ปน สาระในความเปน ตวั ตนของใครตลอดไป นแ้ี สดง “อนตั ตลกั ษณะ”
วา เปน “อนตั ตา”
แลว ครง้ั ตอ ไป จะพจิ ารณาเหน็ โลมา (ขนตามรา งกาย) นขา (เลบ็ ) ทนตฺ า (ฟน ใน
ชอ งปาก) ตโจ (หนงั ทห่ี อ หมุ ตวั เราอยู) ... วา ลว นแตเ ปน ของไมส ะอาด เปน ของไมเ ทยี่ ง
(อนจิ จฺ )ํ เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ )ํ และเปน สภาพทมี่ ใิ ชต วั ตน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-ของเขา
แตป ระการใด (อนตตฺ า)
อนงึ่ ผเู จรญิ ภาวนาพงึ เขา ใจวา “กายคตาสต”ิ ไดแ ก การเพง พจิ ารณาสว นตา งๆ
ของรา งกายนี้ มอี านภุ าพใหไ ดเ พยี งรปู าวจร “ปฐมฌาน” เทา นน้ั แตถ า ผเู พง ดสู ว นตา งๆ
ของรา งกาย ไดแ ก เพง ดเู กสา (ผม) ไปนานๆ จนใจสงบลงๆๆ และคอ ยๆ ตง้ั มน่ั จนเหน็
เสน เกสาเปน สขี าวใส ไดช ว่ั คราว ชอื่ วา ถอื เอา “อคุ คหนมิ ติ ” ได นจี้ ดั เปน สมาธขิ นั้
“อุปจารสมาธิ” และถาเพงดูนานตอๆ ไป จนเห็นเสนเกสาขาวใสได ติดตาติดใจ
นกึ จะยอ ใหเ ลก็ ลง หรอื จะนกึ ขยายใหเ หน็ โตใหญข น้ึ กไ็ ด ชอ่ื วา ถอื เอา “ปฏภิ าคนมิ ติ ” ได
นเี้ ปน สมาธขิ นั้ “อปั ปนาสมาธ”ิ ประกอบดว ยวติ ก-วจิ าร-ปต -ิ สขุ -เอกคั คตา เปน สมาธขิ น้ั
“ปฐมฌาน”
ตอนท่ี ๒ ข้นั วิปส สนาภาวนา 49
เมอ่ื ผเู จรญิ ภาวนา รวมใจ (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู เพง ลงตรงกลางของกลางๆๆ เสน เกสา
ทใี่ สนนั้ โดยมสี ตสิ งั เกตเหน็ ลมหายใจ เขา -ออก ผา นตรงศนู ยก ลางกายนนั้ จดุ เดยี ว และ
ปลอยวางความสนใจยึดติดอยูกับเสนเกสาที่ขาวใสน้ัน ใหใจหยุดในหยุดกลางของหยุดๆๆ
กลางของกลางๆๆๆ ตอๆ ไปตรงศูนยกลางกายน้ัน จนปรากฏเห็น “ดวงธรรมที่ทำให
เปน กาย” ใสแจม ขน้ึ มา กส็ ามารถจะพฒั นาตอ ๆ ไปถงึ กายในกาย เวทนาในเวทนา
จติ ในจติ และธรรมในธรรมของกายละเอยี ดๆ ตง้ั แตก ายมนษุ ยล ะเอยี ด ถงึ ธรรมกาย
ได และสามารถจะพฒั นาระดบั สมาธิ ถงึ “จตตุ ถฌาน” ได ดว ยเชน กนั
(๒) กรณที ผี่ ปู ฏบิ ตั ภิ าวนา เหน็ ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย ตรงศนู ยก ลางกาย
ฐานท่ี ๗ ใสแจม อยู เปน สมาธติ ง้ั มนั่ ในระดบั ปฐมฌานขน้ึ ไป กย็ ง่ิ จะกำหนด
เห็นสวนตางๆ ของรางกายตรงศูนยกลางกายนั้นไดชัดเจนขึ้น แตจะเห็นใน
ลกั ษณะทใี่ ส กใ็ หอ ธษิ ฐานใหเ หน็ สว นตา งๆ ของรา งกายนน้ั โดยสสี ณั ฐาน และแมก ลน่ิ
ตามทเี่ ปน จรงิ สมาธจิ ติ กจ็ ะลดลงในระดบั ประมาณ “อปุ จารสมาธ”ิ และเหน็ ไดต าม
ธรรมชาติท่ีเปนจริงวา เปนของไมสะอาด เปนของที่ไมเที่ยง เปนทุกข และเปน
อนัตตา ไดแนนอนชัดเจนย่ิงขึ้น
(๓) กรณผี ปู ฏบิ ตั ภิ าวนา ไดถ งึ -เหน็ และเปน กายในกาย ทบี่ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใส
ตงั้ แต “กายมนษุ ยล ะเอยี ด” ขน้ึ ไปถงึ “ธรรมกาย” ทบี่ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสเพยี งไร กใ็ ห
รวมใจ (เห็น-จำ-คิด-รู) ทุกกายสุดกายหยาบ-กายละเอียด อยู ณ ศูนยกลาง
ธรรมกาย หรอื กายในกายทใี่ สละเอยี ดทสี่ ดุ แลว เพง ลงไปทศ่ี นู ยก ลางดวงธรรม
ท่ีทำใหเปนกายมนุษยหยาบ (กายเน้ือ) อธิษฐานขยาย เห็น-จำ-คิด-รู ที่ต้ังอยู
ตรงกลางดวงธรรมท่ีทำใหเปนกายมนุษยน้ัน ใหโตใหญใสสวางเต็มกาย (กรณี
ปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ ถา ผเู จรญิ ภาวนายงั เพงิ่ ปฏบิ ตั ไิ ดถ งึ กายในกายในระดบั ตน ๆ เชน กายมนษุ ย
ละเอยี ด จะยงั อธษิ ฐานขยายดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายมนษุ ยใ หเ หน็ โตใหญเ ตม็ กายยงั ไมไ ด
งายนัก ก็ใหทำเทาที่สามารถจะพอใหรูเห็นได โดยไมตองใหเห็นหมดทั่วทั้งรางกาย)
50 ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปสสนาภาวนา
แลว อธษิ ฐานใหเ หน็ สว นตา งๆ ของรา งกาย ตามสี สณั ฐาน และกลนิ่ ตามที่
เปน จรงิ พรอ มกนั หมดทวั่ ทงั้ กาย (ณ ภายใน) หรอื จะพจิ ารณาเหน็ เปน สว นๆ
โดยเพง ดตู ง้ั แต เกสา (ผม) บนหนงั ศรี ษะ ลงมาถงึ กะโหลกศรี ษะ มนั สมอง ชอ งห-ู
ชอ งคอ-ชอ งปาก-ชอ งจมกู ลงมาจนถงึ ศนู ยก ลางกาย และขยาย เหน็ -จำ-คดิ -รู ดู หวั ใจ/
ปอด/มา ม/ตบั /ไต/ไส/ กระเพาะ/อาหารใหม/ อาหารเกา /โครงกระดกู /เนอ้ื /เอน็ /
พงั ผดื และหนงั ฯลฯ ใหเ หน็ ตามธรรมชาตทิ เ่ี ปน จรงิ วา เปน ธรรมชาตทิ ี่ “ไมส ะอาด” และ
เปน สภาพไมเ ทยี่ ง (อนจิ จฺ )ํ เปน ทกุ ข คอื ทนอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ดต ลอดไป (ทกุ ขฺ )ํ
ลงทา ยแมแ ตล ะสว นหรอื ทงั้ หมดนนั้ ยอ มตอ งแตกสลายหมดสภาพเดมิ ของมนั ไปหมด
ชอื่ วา เปน “อนตตฺ า”
(๕) กรณผี ปู ฏบิ ตั ิ ไดถ งึ ธรรมกายทส่ี ดุ ละเอยี ด (ธรรมกายอรหตั ในอรหตั ๆๆ)
ดบั หยาบไปหาละเอยี ด ใหเ ปน แตใ จของธรรมกายอรหตั ในอรหตั ใสละเอยี ดสดุ
ละเอียดดีแลวนั้น ใหรวมใจ (เห็น-จำ-คิด-รู) ทุกกายสุดหยาบ กายละเอียด อยู ณ
ศนู ยก ลางธรรมกายอรหตั องคท ล่ี ะเอยี ดทสี่ ดุ แลว ใจ (ญาณ) ของธรรมกายทสี่ ดุ ละเอยี ด
นั้น เพงลง ณ ศูนยกลางดวงธรรมที่ทำใหเปนกายมนุษยหยาบ (กายเนื้อ)
หยุดในหยุดกลางของหยุดๆ กลางของกลางดวงธรรมท่ีทำใหเปนกายมนุษย
กลางของกลางอากาศธาต-ุ กลางของกลางวญิ ญาณธาตุ ซงึ่ ตง้ั อยตู รงกลางกำเนดิ
ธาตธุ รรมเดมิ เปน จดุ เลก็ ใสตรงศนู ยก ลางกายนนั้ กจ็ ะเหน็ “สายกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ”
(เปนเหมือนสายใยบัว) ที่ใสอยูตรงกลางของกลางน้ัน ใหอธิษฐานสืบไปดู
อัตตภาพของตนเองตามสายกำเนิดธาตุธรรมเดิมตอไปในอนาคต แตละปๆ
หรอื แตล ะชว ง ๕ ป หรอื ๑๐ ป ตอ ๆ ไปในอนาคต
เมื่ออธิษฐานแลวหยุดในหยุด กลางของหยุดน่ิง กลางของกลางๆๆ กำเนิด
ธาตธุ รรมเดมิ นน้ั พอใจหยดุ นงิ่ ถกู สว นเขา ศนู ยก ลางนน้ั จะขยายวา งออกไป และจะปรากฏ
เห็นนิมิตอัตตภาพของตน ในชวงอนาคตน้ัน แลวก็รวมใจหยุดในหยุดกลางของหยุด
ตอนที่ ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา 51
กลางของกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของอัตตภาพ ในชวงเวลาในอนาคตน้ัน อธิษฐานดู
อตั ตภาพของตนสบื ตอ ไปในอนาคตตอ ๆ ไป แตล ะชว งๆๆ ตอ ๆ ไปจนถงึ วนั ตาย กจ็ ะ
ไดเ หน็ นมิ ติ อตั ตภาพของตน ในแตล ะชว งเวลาตอ ๆ ไปในอนาคตวา เปน สภาพ
ไมเ ทยี่ ง (อนจิ จฺ ตา) เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ตา) จนถงึ วนั ตาย เปน สภาพทม่ี ใิ ชต น
(อนตตฺ ตา) กลา วคอื เปน สภาพทีเ่ วน จากสาระในความเปน ของเทยี่ ง เวน จากสาระ
ในความเปน สขุ ทถี่ าวร และเวน จากสาระในความเปน ตวั ตน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-
ของเขา เพราะไมอยูในอำนาจบังคับบัญชาของใครๆ วา ธรรมทั้งหลายเหลาน้ี
จงอยาแก-อยาเจ็บไข-อยาตายเลย
ไดเห็นสภาวะของอุปาทินนกสังขาร ไดแก รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-
วิญญาณ (เบญจขันธ) ท้ังหมดพรอมกันทีเดียวอยางนี้ก็ได และเม่ือไดรู-เห็น
ความตายของตนเองอยา งไร กย็ ง่ิ สามารถถอื เอาเปน “มรณสสฺ ต”ิ ใหไ มห ลง
ประมาทมวั เมาในชวี ติ มงุ ปฏบิ ตั ธิ รรม ละชว่ั -ทำดี ทำใจใหใ ส เพอ่ื สลดั ตน
ออกจากทกุ ขท ง้ั ปวง และเพอ่ื ทำนพิ พานใหแ จง ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป ดว ยประการฉะนี้
สำหรบั ทา นทเ่ี พง่ิ ปฏบิ ตั ไิ ดถ งึ “ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กาย” ขนึ้ ไปไดเ พยี งไร หาก
เพยี รปฏบิ ตั ภิ าวนา โดยรวมใจหยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ ตรงศนู ยก ลางดวงธรรมทที่ ำให
เปน กายมนษุ ย กลางของกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ จนเหน็ สายกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ
และอธิษฐานดูนิมิตอัตตภาพของตนเองสืบตอไปในอนาคต ตามสายกำเนิดธาตุธรรมเดิม
ดงั ทไ่ี ดก ลา วแลว ขา งตน นกี้ ไ็ ด แตก ารรเู หน็ จะชา กวา และอาจจะไมช ดั เจนเทา ผปู ฏบิ ตั ิ
ภาวนาไดถึงธรรมกายท่ีสุดละเอียด ที่ทิพพจักษุ/ทิพพโสต ถึงพุทธจักษุ (ญาณ
พระธรรมกาย) เจรญิ และใสบรสิ ทุ ธเ์ิ ตม็ ทแ่ี ลว
จึงใครจะแนะนำใหผูปฏิบัติภาวนาไดถึงดวงธรรมท่ีทำใหเปนกายมนุษยแลว
ใหปฏิบัติตอๆ ไป ใหถึงธรรมกายที่ใสละเอียดสุดละเอียดกอน เพราะผูปฏิบัติไดถึง
ดวงธรรมท่ีทำใหเปนกายแลวนี้ จะสามารถพัฒนาตอไปถึงธรรมกายไดไมนานเกินรอ
(สว นมากใชเ วลาตอ ธรรมะไมเ กนิ ภายใน ๒ ชวั่ โมง) ขอใหไ ดไ ปพบคร/ู อาจารยผ ทู รง
52 ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา
คุณธรรม คือ ผูปฏิบัติถึงธรรมกาย และขอใหทานเมตตาชวยตอธรรมะใหสูงขึ้นให
กจ็ ะเปน ผลดี และชว ยเจรญิ อภญิ ญา เปน ความสามารถพเิ ศษใหส ามารถเหน็ แจง /รแู จง
สภาวธรรมไดชัดเจนแนนอน ดีกวาเพียงแตเห็นดวงธรรมที่ทำใหเปนกายเบ้ืองตน
มากมายนกั
สำหรบั การพจิ ารณาเหน็ กายในกาย (กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน) ทง้ั ณ
ภายใน โดยอาศยั ปจ จยั ภายในตนเองพจิ ารณา และ ทงั้ ณ ภายนอก โดยอาศยั ปจ จยั
ของผอู น่ื พจิ ารณา ในสว นของกายมนษุ ย ปพ พะ คอื ขอ กำหนดอน่ื ๆ อกี ๕ ปพ พะ
(ขอ ) ทเี่ หลอื ไดแ ก
(๑) อานาปานปพพะ ขอกำหนดดวยลมหายใจ คือ หายใจออก-เขา, ยาว-ส้ัน
ใหร ู กำหนดอยวู า เราจกั รแู จง กองลมหายใจออก-เขา เราจกั ระงบั กายสงั ขาร
หายใจออก-เขา
(๒) อิริยาปถปพพะ ขอกำหนดดวยอิริยาบถ คือ เม่ือยืน, เดิน, นั่ง, นอน ใหรู
หรอื ทรงกายอยอู ยา งไร กใ็ หร ตู วั อยา งนนั้
(๓) สมั ปชญั ญปพ พะ ขอ กำหนดดว ยความรตู วั คอื ทำความรตู วั ในการไป, กลบั ,
เหลยี ว, แล, ค,ู เหยยี ด, ทรงผา นงุ หม , กนิ , ดมื่ , เคย้ี ว, ลม้ิ , ถา ยอจุ จาระปส สาวะ,
เดนิ , ยนื , นง่ั , นอน
(๔) ธาตปุ พ พะ ขอ กำหนดดว ยธาตุ คอื ในกายนม้ี ธี าตดุ นิ , ธาตนุ ำ้ , ธาตไุ ฟ, ธาตลุ ม
(๕) นวสวิ ถกิ าปพ พะ ขอ กำหนดดว ยปา ชา ๙ คอื ซากศพทตี่ ายแลว ๑-๒-๓ วนั
ขนึ้ พอง มสี เี ขยี ว มนี ้ำเหลอื งไหล ๑, ซากศพทเ่ี ขาทงิ้ ไวใ นปา ชา แรง กา นกตะกรมุ
เปน ตน จกิ กดั กนิ ๑, ทเี่ ปน รา งกระดกู ยงั มเี นอ้ื เลอื ด เสน เอน็ รงึ รดั ๑, ทไ่ี ม
มเี นอื้ แตย งั เปอ นเลอื ด มเี สน เอน็ รงึ รดั ๑, ทป่ี ราศจากเนอ้ื เลอื ด ยงั มเี สน เอน็ รงึ
รดั ๑, ทเี่ ปน กระดกู ปราศจากเสน เอน็ รงึ รดั มกี ระดกู เรยี่ รายไปในทศิ ทางตา งๆ
เปน ตน ๑, ทเ่ี ปน กระดกู สขี าวเหมอื นสงั ข ๑, ทม่ี กี ระดกู เปน กองๆ ลว งปไ ป
แลว ๑, ทเ่ี ปน กระดกู ผปุ น ๑
ตอนท่ี ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา 53
กเ็ ปน ไปโดยนยั เดยี วกนั คือ ใหเ หน็ สภาวะของธรรมชาตติ ามทเ่ี ปน จรงิ วา เปน
สภาพไมเ ทย่ี ง (อนจิ จฺ ตา) เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ตา) และเปน อนตั ตา (อนตตฺ ตา)
บทที่ ๕ การเจริญสติปฏฐาน ๔ :
เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○
การใหม สี ตกิ ำหนดพจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาเปน ทง้ั ณ ภายใน และ ณ ภาย
นอกน้ี เพราะเปน ธรรมปฏบิ ตั คิ ปู รบั แกต ณั หาจรติ อยา งแรงกลา ของผตู ดิ เวทนา มงุ เวทนา
เปน ใหญ มกั พอใจแตใ นความสะดวกสบายอยา งเดยี ว เปลยี่ นแปลงยาก เพราะมกั
ยึดถือเอาตามความชอบของตน จึงใหเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน เพื่อกำจัด
“สุขวิปลาส” ความเขาใจคลาดเคล่ือนวา เวทนาเปนสุข ซ่ึงความจริงเปนทุกข แม
สขุ เวทนากเ็ ปน ทกุ ข เพราะเปน วปิ รณิ ามทกุ ข คอื เปน ทกุ ขเ พราะแปรเปลยี่ นไปอยเู สมอ
อน่ึง การเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน ยังเปนคุณเคร่ืองชวยกำจัด
“นจิ จวปิ ลาส” ความเขาใจคลาดเคล่ือนวา เท่ียง และกำจัด “อัตตวิปลาส” ความ
เขา ใจคลาดเคลอื่ นวา เปน ตวั ตน อกี ดว ย
(ตวั อยา งเฉพาะ) เสวยทุกขเวทนาเจืออามิส
สามสิ ทกุ ขเวทนา
นริ ามสิ ทกุ ขเวทนา เสวยทุกขเวทนาไมเจืออามิส
สามิสสุขเวทนา เสวยสุขเวทนาเจืออามิส
นริ ามสิ สขุ เวทนา เสวยสุขเวทนาไมเจืออามิส
สามิสอทุกขมสุขเวทนา เสวยอทุกขมสุขเวทนาเจืออามิส
นิรามิสอทุกขมสุขเวทนา เสวยอทุกขมสุขเวทนาไมเจืออามิส
54 ตอนท่ี ๒ ขนั้ วิปสสนาภาวนา
ใหเ หน็ ธรรมชาตทิ ป่ี ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง เปน สภาพไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข และ
เปน อนตั ตา (เปน ทงั้ ณ ภายใน คอื เวทนาในสว นละเอยี ด ไดแ ก ในสว นของกายในกาย
ทลี่ ะเอยี ดๆ เขา ไป และทง้ั ณ ภายนอก คอื ในสว นทห่ี ยาบกวา ไดแ ก ในสว นของกาย
มนษุ ยห ยาบ เปน ตน )
(๑) กรณีผูปฏิบัติภาวนายังไมถึงดวงธรรมท่ีทำใหเปนกาย (เห็นดวงใส
แจมตรงศูนยกลางกาย)
ขณะเมอ่ื เจรญิ ภาวนากำหนดบรกิ รรมนมิ ติ นกึ เหน็ ดวงกลมใส และรวมใจ (เหน็ ดว ย
ใจ-จำ-คดิ -ร)ู หยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ กลางของกลางๆ ตรงศนู ยก ลางดวง-ศนู ยก ลาง
กายฐานที่ ๗ อันเปนจุดท่ีต้ังกำเนิดธาตุธรรมเดิม พรอมกับบริกรรมภาวนาคูกันวา
“สมั มาอรหงั ๆๆๆ” ตรงกลางของกลางจดุ เลก็ ใสกลางดวงใส ตรงศนู ยก ลางกายและศนู ยก ลาง
กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ อยนู น้ั เมอ่ื ธรรมชาติ ๔ อยา ง (เหน็ ดว ยใจ-จำ-คดิ -ร)ู ของใจ คอ ยๆ
สงบลงๆๆๆ และหยดุ นงิ่ ตรงศนู ยก ลางดวง-ศนู ยก ลางกายไดม ากขนึ้ และคอ ยๆ ปรากฏ
ความสวา งขน้ึ ณ ภายในตรงศนู ยก ลางกายนนั้ ผเู จรญิ ภาวนาจะรสู กึ วา ใจสงบดขี น้ึ คอ ยๆ
สวา งขน้ึ ณ ภายใน และจะคอ ยๆ รสู กึ เปน สขุ ขนึ้ เพราะความทใี่ จ คอ ยๆ รวมหยดุ เปน
จดุ เดยี ว (คอ ยๆ เปน เอกคั คตาจติ ยงิ่ ขน้ึ ๆ) คลายจากความฟงุ ซา น ไมย ดึ ไมเ กาะอารมณ
ภายนอก (รปู -เสยี ง-กลน่ิ -รส-โผฏฐพั พะ) เขา มารวมอยกู บั บรกิ รรมนมิ ติ นน้ั กำลงั จะเจรญิ
ขน้ึ เปน อคุ คหนมิ ติ ปฏภิ าคนมิ ติ ตอ ไปๆ ตามลำดบั จติ ใจ (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู กจ็ ะยงิ่ มารวม
หยดุ เปน จดุ เดยี วยง่ิ ขนึ้ จติ ใจยงิ่ สงบ ยงิ่ ปรากฏความสวา ง แมจ ะยงั ไมเ หน็ ดวงใสสวา ง
ปรากฏขน้ึ จติ ใจกไ็ ดเ สวยสขุ เวทนาทมี่ อี ามสิ คอื “นมิ ติ ”นนั้ เอง และเมอ่ื รวมใจให
หยดุ กลางของหยดุ ๆๆ ลงตรงกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ มากขนึ้ ใจกย็ ง่ิ ปลอ ยวางนมิ ติ
หยดุ นง่ิ และยง่ิ ไดเ สวยสขุ เวทนาทไ่ี มม อี ามสิ ทลี่ ะเอยี ดยง่ิ ขนึ้ แมค วามรสู กึ นจี้ ะยงั
แผว เบา ผเู จรญิ ภาวนากจ็ ะรสู กึ วา จติ ใจไดเ สวยสขุ เวทนาไมม อี ามสิ ยงิ่ ขนึ้ กวา
เมอ่ื กอ น ทจี่ ติ ฟงุ ซา น
และเมื่อรวมใจหยุดในหยุด กลางของหยุด ใหนิ่งย่ิงไปกวาเดิมอีก จนจิตถือเอา
ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา 55
ปฏภิ าคนมิ ติ ได ใจ (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู ทตี่ ง้ั อยกู ลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายเดมิ กจ็ ะตกศนู ย
(ละปฏิภาคนิมิต วางหายไป) ไปยังศูนยกลางกายฐานที่ ๖ (ประมาณระดับสะดือพอดี)
ถกู ปรงุ แตง ดว ย “ปญุ ญาภสิ งั ขาร” มี ทานกศุ ล-ศลี กศุ ล-ภาวนากศุ ล เปน จติ ใจดวงใหม
ตงั้ อยตู รงกลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายใหม ทบ่ี รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสกวา เดมิ ลอยเดน ขน้ึ มาตรง
ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๗ (อยเู หนอื ระดบั สะดอื ประมาณ ๒ นวิ้ มอื ) ผเู จรญิ ภาวนากจ็ ะยง่ิ
รสู กึ เสวยเวทนาไมม อี ามสิ ทลี่ ะเอยี ดประณตี ยง่ิ ขนึ้ กวา ทใ่ี จดวงเดมิ ยงั ฟงุ ซา นและเปน
ทกุ ขเวทนา
ดงั พระพทุ ธดำรสั ทต่ี รสั วา ๓๐
“นตถฺ ิ สนตฺ ปิ รํ สขุ ”ํ
“สขุ อนื่ ยง่ิ กวา ความสงบ [ใจหยดุ -ใจนงิ่ ] ไมม ”ี
เมอ่ื เจรญิ ภาวนารวมใจ (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู ใหห ยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ กลางของ
กลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย หยดุ นง่ิ ถกู สว น ศนู ยก ลางกจ็ ะวา งหายไป (จติ ดวงเดมิ ตกศนู ย
ไปยงั ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๖) แลว จะปรากฏดวงศลี -สมาธ-ิ ปญ ญา-วมิ ตุ ติ เปน คณุ เครอื่ ง
กลนั่ กรองกาย-วาจา และใจทลี่ ะเอยี ดประณตี ยง่ิ กวา กนั ขน้ึ มาทลี ะดวงๆ ตามลำดบั จนถงึ
“ดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ” ใสแจม ยง่ิ ขนึ้
เมื่อรวมใจหยุดในหยุดกลางของหยุด กลางของกลางๆๆ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
ถูกสวนเขา ศูนยกลางก็จะวางหายไป แลวจะปรากฏ “กายมนุษยละเอียด” ที่โปรงใส
สวยงามกวา กายเนอื้ นงั่ อยใู นทา ขดั สมาธิ หนั หนา ไปทางเดยี วกบั เรา
ผเู จรญิ ภาวนากำหนดใจ “ดบั หยาบไปหาละเอยี ด” คอื ละอปุ าทานในกายมนษุ ยห ยาบ
ทำความรสู กึ เปน กายมนษุ ยล ะเอยี ด รวมใจหยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ กลางของกลางดวง
ธรรมท่ีทำใหเปนกายมนุษยละเอียด และดวงศีล-สมาธ-ิ ปญ ญา-วิมุตต-ิ วิมตุ ติญาณทัสสนะ
ตอ ๆ ไปเปน ลำดบั ใหใ สละเอยี ดทงั้ ดวง ทงั้ กาย และองคฌ าน อยนู น้ั จะรสู กึ เวทนาใน
เวทนา (ของกายมนษุ ยล ะเอยี ด) เปน สขุ เวทนาไมม อี ามสิ กวา เวทนาของกายมนษุ ย
๓๐ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ขอ ๒๕ หนา ๔๒.