The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระมงคลเทพมุนี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by drmcuschool, 2020-06-30 09:17:06

สติปัฏฐาน4

พระมงคลเทพมุนี

Keywords: ธรรม

106 ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา

เทวดาในชน้ั ดาวดงึ สน ้ี มที งั้ เทพบตุ รและเทพธดิ า ผไู ดเ คยบำเพญ็ กศุ ลคณุ ความดี มี
ทานกศุ ล ศลี กศุ ล ภาวนากศุ ล เปน ตน ดว ยบญุ กศุ ลนนั้ นำใหม าบงั เกดิ เปน เทวดาในชนั้ นี้ มี
วรกายสวยงาม ละเอยี ดประณตี กวา เทวดาในชนั้ จตมุ หาราชกิ า เปน ราวกบั เดก็ หนมุ วยั ๒๐
ป/ หญงิ สาววยั ๑๖ ป เหมอื นกนั หมด ตลอดอายขุ ยั

ทา วสกั กเทวราช หรอื “ทา วโกสยี อ มรนิ ทร” มรี าชรถ ชอ่ื วา “เวชยนั ต” เชน เดยี ว
กัน มีสารถี ชื่อ “มาตลีเทพบุตร” มีสินธพอาชาไนยพรอมดวยเคร่ืองประดับสำหรับ
เทยี มราชรถ ๑,๐๐๐ ตวั ไมใ ชส ตั วเ ดรจั ฉาน แตเ ปน เทพยดาในชนั้ นเี้ นรมติ กายขน้ึ บางครง้ั
ทา วสกั กเทวราชกท็ รงชา งเปน พาหนะ ชอ่ื “เอราวณั ” นก้ี ไ็ มใ ชส ตั วเ ดรจั ฉาน แตเ ปน การ
เนรมิตกายของ “วิษณุกรรมเทพบุตร” เปนชางทรงมีรางใหญ ๑๕๐ โยชน มี ๓๓ เศียร
(แตล ะเศยี รมงี า ๗ งา รวม ๓๓ เศยี ร เปน ๒๓๑ งา งาหนงึ่ ๆ ยาว ๕๐ โยชน) ถวายทา นทา ว
สกั กเทวราช เมอ่ื ทรงมพี ระประสงคจ ะทรงชา ง

สวนสาธารณะอนั เปน ทพิ ย ตงั้ อยู ๔ ทศิ รอบพระนครสทุ สั สนะนน้ั มพี เิ ศษอยู ๒ แหง
คอื “สวนปณุ ฑรกิ ะ” มคี วามพเิ ศษกวา สวนอน่ื ๆ เพราะเปน ทต่ี งั้ แหง พระมหาเจดยี จ ฬุ ามณี
ทปี่ ระดษิ ฐานพระเขย้ี วแกว เบอื้ งขวา และพระเมาลี (เกศา) ของพระพทุ ธเจา และมี
พระแทน ปณ ฑกุ มั พลศลิ าอาสน ภายใตต น ปารฉิ ตั ร ทส่ี มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดเ คย
เสดจ็ ขนึ้ ไปประทบั แสดงพระธรรม ๗ คมั ภรี  และมศี าลาสธุ มั มาเทวสภา เปน สถานทที่ เี่ ทวดา
ทงั้ หลายมาประชมุ กนั ฟง ธรรม โดยมี “สนงั กมุ ารพรหม” ไดเ สดจ็ ลงมาแสดงธรรมใหเ หลา
เทวดาฟง อยเู สมอ แตใ นบางครง้ั ทา วโกสยี อ มรนิ ทร กท็ รงแสดงธรรมเอง หรอื มเี ทพบตุ ร
องคใ ดทมี่ คี วามรใู นธรรมดเี ปน ผแู สดง

ศาลาสธุ มั มานม้ี ใิ ชจ ะมอี ยแู ตใ นชนั้ ดาวดงึ สน เ้ี ทา นนั้ แมใ นเทวโลกอนื่ ๔ ชนั้ ภมู ิ
กม็ ศี าลาสธุ มั มาสำหรบั เทวดาในชนั้ ภมู นิ นั้ ๆ ไดฟ ง ธรรมดว ยอกี เชน กนั

ธรรมดา เทวดาทง้ั หลายในเทวโลกนนั้ บตุ รธดิ าทงั้ หลาย เมอ่ื จะบงั เกดิ ยอ ม
บงั เกดิ ในตกั แหง เทวดาผเู ปน บดิ า ถา นางฟา ทงั้ หลายทจี่ ะบงั เกดิ เปน บาทบรจิ ารกิ ากย็ อ ม
บงั เกดิ ขน้ึ บนทน่ี อน สว นเทวดาทเ่ี ปน พนกั งานตกแตง ประดบั อาภรณว ภิ ษู ติ เครอื่ งทรง
เปน ตน ยอ มบงั เกดิ ลอ มรอบทน่ี อน ถา จะเปน ไวยาวจั กรนน้ั ยอ มบงั เกดิ ในทพิ ยวมิ านนน้ั

ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา 107

ตามธรรมดา เทพยดา (เทวดา/พรหม/อรูปพรหม) อยูช้ันภูมิที่สูงกวายอมเห็น
เทพยดาทอี่ ยใู นชนั้ ภมู ทิ ตี่ ำ่ กวา แตเ ทพยดาทอี่ ยใู นชนั้ ภมู ทิ ต่ี ำ่ กวา ยอ มไมอ าจเหน็ เทพยดา
ทอี่ ยใู นชน้ั ภมู ทิ ส่ี งู กวา เพราะเทพยดาทอี่ ยใู นชนั้ ภมู ทิ ส่ี งู กวา มวี รกายละเอยี ดกวา เวน แต
เทพยดาในชนั้ ภมู ทิ ส่ี งู กวา จะเนรมติ วรกายใหห ยาบเสมอกนั กบั เทพยดาชนั้ ตำ่ กวา เทพยดา
ชนั้ ต่ำกวา จงึ จะสามารถเหน็ ได

ในระหวา งมนษุ ยก บั เทพยดากเ็ ชน กนั มนษุ ยไ มส ามารถจะมองเหน็ เทพยดาดว ย
มงั สจกั ษไุ ด เพราะเทพยดามวี รกายทล่ี ะเอยี ดกวา เวน แตเ ทพยดาจะเนรมติ กายใหห ยาบ
ใหม งั สจกั ษขุ องมนษุ ยส ามารถเหน็ ได หรอื ตอ เมอื่ มนษุ ยเ จรญิ ภาวนาจนเกดิ อภญิ ญา ไดแ ก
ทพิ พจกั ษ/ุ ทพิ พโสต และ/หรอื วชิ ชา จงึ จะสามารถรเู หน็ เทพยดา สรรพสง่ิ และความเปน
ไปในเทวโลก/พรหมโลก/อรปู โลก ได และ

ถา เจรญิ ภาวนาตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ไดถ งึ “ธรรมกาย” คอื ธรรมทรี่ วมคณุ ธรรม
ของพระอรยิ เจา ตงั้ แตโ คตรภบู คุ คลขนึ้ ไปจนสดุ ละเอยี ด ให “ญาณรตั นะ” ของธรรมกาย
บรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใส โดยการเจรญิ ฌานสมาบตั ิ โดยอนโุ ลม/ปฏโิ ลม หลายๆ เทยี่ ว และ/หรอื
ทำนโิ รธดบั สมทุ ยั ใหธ รรมกายอรหตั บรสิ ทุ ธผิ์ อ งใสสดุ ละเอยี ดไดเ พยี งใด ยอ มสามารถจะ
ร/ู เหน็ ความเปน ไปในภพ ๓ ตลอดถงึ อายตนะคอื พระนพิ พาน ไดช ดั เจน เพยี งนนั้

(๔.๖) ดคู วามเปน ไปในสวรรคช นั้ จาตมุ มหาราชกิ าภมู ิ

เปน ภมู ขิ องเทวดามหาราช ๔ องค เปน ผปู กครองเทวดาทงั้ หลายในชนั้ นแ้ี ละเปน ผดู แู ล
รักษามนุษยโลกดวย จึงช่ือวา “ทาวจตุโลกบาล” สถิตอยูในทิพยวิมานซ่ึงตั้งอยู ๔ ทิศ
โดยรอบของภเู ขาพระสเุ มรุ อยตู งั้ แตต อนกลางๆ ของภเู ขาพระสเุ มรุ ระดบั เดยี วกนั กบั ยอด
เขายคุ นั ธร มอี าณาเขตแผอ อกไปโดยรอบเขาพระสเุ มรุ จนจดขอบจกั รวาล ตลอดลงไป
จนถงึ มนษุ ยโลกอกี ดว ย มหาราชทง้ั ๔ นนั้ ไดแ ก

(๑) ทาวธตรฐ มีทิพยวิมานต้ังอยูทางดานทิศตะวันออกของภูเขาพระสุเมรุ เปน
ผปู กครองคนธรรพท งั้ หมด

108 ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา

(๒) ทา ววริ ฬุ หก มที พิ ยวมิ านตง้ั อยทู างดา นทศิ ใตข องภเู ขาพระสเุ มรุ เปน ผปู กครอง
กมุ ภณั ฑ (เทวดาทอ งพลยุ ) ทง้ั หมด

(๓) ทา ววริ ปู ก ษ มที พิ ยวมิ านตง้ั อยทู างดา นทศิ ตะวนั ตกของภเู ขาพระสเุ มรุ เปน
ผูปกครองนาคเทวดา (พญานาค) และครุฑ (สุปณณเทพ) ตลอดท้ังสัตวเลื้อยคลานและ
สตั วป ก ทกุ ชนดิ

(๔) ทาวกุเวระ/ทาวเวสสุวรรณ มีทิพยวิมานตั้งอยูทางดานทิศเหนือของภูเขา
พระสเุ มรุ เปน ผปู กครองยกั ษ (ยกั ขเทวดา) ทง้ั หมด

ขอเลา เพมิ่ เตมิ เรอ่ื ง เขาพระสเุ มรุ (เขาสเิ นร)ุ ซงึ่ ตงั้ อยกู ลางจกั รวาล อกี สกั เลก็ นอ ย
วา จากตอนกลางเขาพระสเุ มรุ ถงึ ใตพ น้ื นำ้ มหาสมทุ รสที นั ดรนนั้ มชี านบนั ไดเวยี นขนึ้ ๕
รอบ (ชนั้ ) ชนั้ ที่ ๑ นบั จากภายใตพ นื้ น้ำ เปน ทอ่ี ยขู อง “พญานาค” ชนั้ ท่ี ๒ ขน้ึ มาพน นำ้
เปน ทอี่ ยขู องเหลา “ครฑุ ” (สปุ ณ ณเทพ) ชน้ั ท่ี ๓ สงู ขนึ้ มาเปน ทอ่ี ยขู องเหลา “กมุ ภณั ฑ-
เทวดา” ชน้ั ท่ี ๔ สงู ขน้ึ มาเปน ทอี่ ยขู องเหลา “ยกั ษ” ชนั้ ที่ ๕ อยรู ะดบั ภเู ขายคุ นั ธร เปน
ทส่ี ถติ อยขู อง “จตมุ หาราชกิ า ๔ องค” ทกี่ ลา วขา งตน นี้

เทวดาทอี่ ยใู นชนั้ จตมุ หาราชกิ าภมู นิ ี้ แบง เปน จำพวกใหญ/ รวมๆ ๒ จำพวก ปรากฏ
ในบางปกรณ ไดแ ก ธรรมบทอรรถกถา พทุ ธวงั สอรรถกถา สคาถาวคั คสงั ยตุ ตอรรถกถา
เปน ตน คอื

(๑) จำพวกท่ีมีทิพยวิมานเปนที่อาศัยอยูโดยเฉพาะของตนๆ ลองลอยอยูในอากาศ
ชอ่ื วา อากาสฏั ฐเทวดา (อากาศเทวดา) ไดแ ก เหลา เทวดาทมี่ ที พิ ยวมิ านอาศยั อยบู น
ดวงอาทติ ย (สรุ ยิ เทพ) ทอี่ าศยั อยบู นดวงจนั ทร (จนั ทมิ เทพ) และทอี่ าศยั อยตู ามดวงดาว
ตา งๆ ลอ งลอยหมนุ เวยี นไปมารอบๆ ภเู ขาพระสเุ มรุ และทง้ั ทมี่ ที พิ ยวมิ านลอ งลอย
อาศยั อยใู นอากาศทว่ั ๆ ไป

ทพิ ยวมิ านของเหลา อากาศเทวดาทง้ั หลายเหลา นี้ ซง่ึ เกดิ ขน้ึ ดว ยอำนาจของบญุ หรอื
กศุ ลกรรมปรงุ แตง (ปญุ ญาภสิ งั ขาร) จงึ ประกอบดว ยทพิ ยสมบตั แิ ละรตั นะ ๗ มากบา ง
นอ ยบา ง ตามระดบั บญุ กศุ ลทต่ี นไดบ ำเพญ็ มา

ตอนที่ ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา 109

เทวดาเหลา นี้ เปน จำพวกโอปปาตกิ ะ คอื เปน สตั วผ ดุ เกดิ โดยไมต อ งอาศยั พอ แม
แตอ าศยั อดตี กรรมดใี นชาตกิ อ นเปน ปจ จยั ใหผ ดุ เกดิ เลย ถงึ คราวจตุ ิ (เคลอื่ นจากภพภมู /ิ
ตาย) เบญจขนั ธ ทง้ั ทพิ ยสมบตั ิ และทพิ ยวมิ าน ของตนในภพนน้ั กอ็ นั ตรธานหายไปเลย

(๒) จำพวกทมี่ ที พิ ยวมิ านเปน ทอ่ี าศยั อยโู ดยเฉพาะของตน และ/หรอื ทอี่ าศยั อยู
ตามสถานทหี่ รอื วตั ถธุ าตตุ า งๆ จดั รวมอยใู นจำพวกภมู ฏั ฐเทวดา (ภมู เิ ทวดา) เชน ที่
อาศยั อยตู ามภเู ขา อยตู ามโขดหนิ กอ นหนิ แกว มณหี รอื รตั นชาตติ า งๆ แรธ าตตุ า งๆ กม็ ี
หรอื อยใู นแมน ้ำ/ทะเล/มหาสมทุ ร ตามปา /ตน ไม/ กง่ิ ไม/ ผลไมห รอื เมลด็ ในผลไมบ างชนดิ
และตามใบไม/ ใบหญา กม็ ี ทอี่ าศยั อยตู ามปชู นยี สถาน เชน ตามเจดยี , อโุ บสถวหิ าร/
ศาลาการเปรยี ญ และตามปชู นยี วตั ถุ เชน พระพทุ ธปฏมิ าหรอื พระพทุ ธรปู ตา งๆ กม็ ี
และทอ่ี าศยั อยตู ามเคหสถาน บา นเรอื น-ศาล และบนพน้ื ดนิ หรอื จอมปลวก ฯลฯ กม็ ี เปน ตน

เทวดาพวกน้ี เปน พวกทเี่ กดิ โดยกำเนดิ ๓ เหมอื นสตั วใ นมนษุ ยโ ลก ไดแ ก

(๑) ชลาพชุ ะ เกดิ ในครรภม ารดา เทวดาชาย-หญงิ พวกนี้ เสพกามเหมอื นมนษุ ย
เทวดาหญงิ มรี ะดแู ละการตง้ั ครรภ ครบกำหนดกค็ ลอดลกู เหมอื นมนษุ ย (๒) อณั ฑชะ เกดิ ใน
ฟองไข กม็ ี และ (๓) สงั เสทชะ เกดิ ในทชี่ นื้ แฉะกม็ ี ถงึ คราวจะจตุ ิ (ตาย/เคลอ่ื นจากภพ
ภมู )ิ กอ็ ธษิ ฐานตนเปน สตั วเ ลก็ /สตั วน อ ยหรอื สตั วใ หญ (ไมเ กนิ ขนาดของชา ง) ตาย ถา
เปนเทวดาท่ีมีทิพยวิมานและทิพยสมบัติ ทิพยวิมานหรือทิพยสมบัติน้ันก็อันตรธานไปใน
ภพภูมิน้ัน

เทวดา/เทพ ทเ่ี รยี กชอื่ ตามถนิ่ ทอ่ี ยู และ/หรอื ตามอาการ/กริ ยิ า หรอื ตาม
อทิ ธฤิ ทธทิ์ บี่ นั ดาลไดน นั้ มหี ลายจำพวก ไดแ ก

(๑) เทวดาทมี่ ที พิ ยวมิ านลอ งลอยอยใู นอากาศ ชอ่ื อากาสฏั ฐเทวดา หรอื อากาสเทวดา

(๒) เทวดาทม่ี ที พิ ยวมิ าน หรอื อาศยั อยตู ามภเู ขา ชอ่ื ปพ พฏั ฐเทวดา หรอื คริ เิ ทวดา
และท้ังเทวดาที่มีทิพยวิมานหรืออาศัยอยูบนหรือในโขดหิน/ในกอนหิน/ในแรธาตุ และ/หรือ
รตั นชาตติ า งๆ ทม่ี ที งั้ ใหค ณุ หรอื ใหโ ทษแกผ มู ไี วใ นครอบครอง กม็ ี (ดคู ำอธบิ ายเพมิ่ เตมิ ใน
ตอนทา ยขอ ๙)

110 ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปส สนาภาวนา

(๓) เทวดาทม่ี ที พิ ยวมิ านอยใู นพระจนั ทร/ ดวงจนั ทร ชอื่ จนั ทมิ เทวปตุ ตเทวดา หรอื
จนั ทมิ เทพบตุ ร

(๔) เทวดาทมี่ ที พิ ยวมิ านอยใู นพระอาทติ ย/ ดวงอาทติ ย ชอื่ สรุ ยิ เทวปตุ ตเทวดา หรอื
สุริยเทพบุตร

(๕) เทวดาทบ่ี นั ดาลใหอ ากาศเยน็ เกดิ ขน้ึ ชอ่ื สตี วลาหกเทวดา หรอื เหมนั ตวลาหก-
เทวดา เทวดาทบ่ี นั ดาลใหอ ากาศรอ นเกดิ ขนึ้ ชอ่ื อณุ หวลาหกเทวดา หรอื คมิ หวลาหก-
เทวดา เทวดาทบ่ี นั ดาลใหฝ นตก ชอ่ื พริ ณุ วลาหกเทวดา หรอื วสนั ตวลาหกเทวดา เทวดา
ทบ่ี นั ดาลลมพดั เยน็ สบาย ชอื่ วาตวลาหกเทวดา ถา บนั ดาลลมพายุ ชอ่ื วายวุ ลาหกเทวดา
เทวดาทบี่ นั ดาลใหห มอกลงจดั เกดิ ขนึ้ ชอ่ื อพั ภวลาหกเทวดา เทวดาทบ่ี นั ดาลใหน ำเมฆ
ฝนมาตกลงสพู น้ื ดนิ ชอื่ เมฆวลาหกเทวดา

(๖) เทวดาทม่ี ที พิ ยวมิ านเกดิ อยู และ/หรอื อาศยั อยตู ามตน ไม กง่ิ ไม ชอ่ื รกุ ขเทวดา
อาศยั อยตู ามรากไม/ เหงา ไม ชอ่ื คนั ธพั พเทวดา

(๗) เทวดาทมี่ ที พิ ยวมิ าน และ/หรอื อาศยั อยบู นพนื้ ดนิ มชี อื่ เรยี กวา ภมู ฏั ฐเทวดา
(ภมู เิ ทวดา) กม็ ี ทอ่ี าศยั อยตู ามใบไม/ ใบหญา ชอื่ ตณิ เทวดา อาศยั อยตู ามจอมปลวก ชอ่ื
วมั มเทวดา กม็ ี ทอ่ี าศยั อยตู ามเคหสถานบา นเรอื น หรอื ศาลา/อโุ บสถ/ศาล ชอ่ื เคหเทวดา
หรอื ฆรเทวดา กม็ ี และทอ่ี าศยั อยใู นเมอื ง ชอื่ รฏั ฐเทวดา กม็ ี

(๘) เทวดาที่มีทิพยวิมาน และ/หรือ ท่ีอาศัยอยูตามแมน้ำ/ทะเล/มหาสมุทร ชื่อ
ทปี เทวดา

(๙) เทวดาทต่ี ายเพราะความโกรธ ชอ่ื วา มโนปโทสกิ เทวดา และเทวดาทต่ี าย
เพราะมัวแตหลงเพลิดเพลินอยูในการเลนกีฬา จนลืมบริโภคอาหาร ชื่อวา ขิฑฑา-
ปโทสกิ เทวดา กม็ ี

เรอ่ื งเทวดาทม่ี ที พิ ยวมิ านอาศยั อยู และ/หรอื ทสี่ ถติ อยใู น/บนหรอื ตามโขดหนิ /กอ นหนิ
หรอื อยใู น/บนรตั นชาติ มเี พชร-นลิ -จนิ ดา-หยก เปน ตน เหลา นเี้ ฉพาะทม่ี ที พิ ยวมิ านอาศยั อยู
ขา งในกอ นหนิ หรอื รตั นชาตนิ น้ั ตา งมที พิ ยสมบตั ิ และ/หรอื รตั นะ ๗ มากบา ง/นอ ยบา ง ท่ี

ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ สสนาภาวนา 111

บรสิ ทุ ธิ์ หรอื ไมบ รสิ ทุ ธิ์ มากนอ ยตา งกนั ตามแต วาสนา-บญุ บารมขี องแตล ะตนทไ่ี ดเ คย
ประกอบบำเพ็ญและส่ังสมอบรมมาไมเทากัน ท่ีบริสุทธ์ิและสมบูรณก็เปนฝายบุญกุศล
ปรงุ แตง (ปญุ ญาภสิ งั ขาร) ทขี่ นุ มวั หรอื ไมบ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใส เพราะเคยประพฤตบิ าปอกศุ ล
มารว มปรงุ แตง (อปญุ ญาภสิ งั ขาร) ดว ยกม็ ี

ฝา ยทบี่ ญุ กศุ ลปรงุ แตง ใหบ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใส กจ็ ะมที พิ ยวมิ านทบ่ี รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสโตใหญ พรอ ม
ดว ยทพิ ยสมบตั แิ ละรตั นะ ๗ (จกั รแกว ชา งแกว มา แกว ขนุ พลแกว ขนุ คลงั แกว นางแกว
ดวงแกว /แกว มณ)ี ซงึ่ มี “จกั รพรรด”ิ เปน ประธานทบ่ี รสิ ทุ ธิ์ ทคี่ อยใหค วามสขุ สมบรู ณ
บรบิ รู ณม ากนน้ั มกั มที พิ ยวมิ านสถติ อยใู นรตั นชาตทิ มี่ คี วามหนาแนน (Density) มคี วาม
แขง็ (Hardness) และมคี วามบรสิ ทุ ธิ์ (Purity) มาก เชน เพชร, ทบั ทมิ , มรกต, บษุ ราคมั ,
เพทาย, ไพฑูรย หรือ ที่เรียกเพชรตาแมว หรือที่สถิตอยูในรัตนชาติที่มีความแข็ง/
ความบริสุทธ์ิ และที่มีคารองลงมา (Semi-precious Stones) ไดแก ในหินแกวผลึก
(Quartz) ทใี่ สกม็ ี ทข่ี นุ และมสี ตี า งๆ กม็ ี ไดแ ก หนิ แกว ผลกึ หรอื หนิ จยุ เจยี หรอื โปง ขา ม
และ หนิ เขย้ี วหนมุ าน (Amethyst) เปน ตน และแมท ส่ี ถติ อยตู ามกอ นหนิ /กรวด/ทรายเมด็
เลก็ ๆ เชน ทเี่ รยี กวา “เหลก็ ไหลตาน้ำ” ก็มี ในเมด็ หอยมกุ กม็ ี หรอื ทสี่ ถติ อยใู นแรธ าตุ
ตา งๆ ทม่ี คี า มากหรอื มคี า นอ ย เชน ทองคำ/ทองชมพนู ทุ /ทองดอกบวบ, แรท องเหลอื ง-
ทองแดง-ตะกวั่ , ปรอท (ธรรมชาต/ิ เคลอ่ื นทไ่ี ปมาไดเ อง), แรเ งนิ , บรสิ ทุ ธิ์ (แรช นดิ หนง่ึ )
หรอื แมใ นแรเ หลก็ ก็มี

ทอี่ าศยั อยใู นแรธ าตุ ทช่ี อ่ื วา “เหลก็ ไหล/พญาเหลก็ หรอื ธาตกุ ายสทิ ธิ”์ กม็ ี

ทเ่ี กดิ เองตามธรรมชาตใิ นเนอื้ ไม, ในผลไม หรอื ในเมลด็ ผลไมบ างชนดิ และแม
ในรงั แตน/รงั ตอ /รงั ผง้ึ ชอื่ วา “คด” ไดแ ก “คด (เมด็ ) ขนนุ ”, คดไมส กั , คดแตน/ตอ (เกดิ
ในรงั แตน/รงั ตอ ) ทเ่ี กดิ ในดวงตาของสตั ว เชน “คดตาแมว” ก็มี ทเ่ี ปน แรธ าตมุ ี
ลกั ษณะเปน หนิ กม็ ี เปน ดจุ ทองคำ ทองชมพนู ทุ หรอื เงนิ หรอื เปน “พญาเหลก็ ” เหลา
น้ี จดั อยใู นจำพวก “แร/ ธาตกุ ายสทิ ธ”์ิ ทมี่ ผี เู คยไดเ หน็ /ไดม ไี วใ นครอบครองแลว กม็ ี

เทวดาทอ่ี าศยั อยใู นวตั ถธุ าตตุ า งๆ เหลา น้ี มอี านภุ าพใหค ณุ -ใหโ ทษ แก
ผมู ไี วใ นครอบครองมาก กม็ ี มอี านภุ าพปานกลาง-นอ ย กม็ ี เชน

112 ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา

เคยไดย นิ วา เพชรสชี มพู (Pink Diamond) และ/หรอื เพชรสนี ้ำเงนิ (Blue Diamond)
มอี านภุ าพใหค ณุ เปน ความเจรญิ สนั ตสิ ขุ อยา งมาก แกผ มู ไี วใ นครอบครองผมู คี ณุ ธรรม คอื
มีศีล-มีธรรมสูง แตกลับมีโทษแกผูมีไวในครอบครองผูไรศีลธรรมหรือประพฤติผิดศีล
ผดิ ธรรม ใหถ งึ ความวบิ ตั ฉิ บิ หายแหง ชวี ติ ทรพั ยส นิ และเกยี รตยิ ศชอ่ื เสยี ง ไดม าก เชน

ตามประวตั ศิ าสตรป ระเทศฝรง่ั เศส พระนางมารี อองตวั เนต (Marie Antoinette)
ผคู รอบครอง “เพชรสชี มพ”ู เรยี กชอ่ื เปน ภาษาฝรง่ั เศสวา “Hortensia” (ปจ จบุ นั ถกู เกบ็ ไว
อยา งปลอดภยั ในพพิ ธิ ภณั ฑล ฟู ร- Louvre Museum ในนครปารสี ) และเครอ่ื งเพชรพลอยท่ี
มคี า มากมาย แตไ รศ ลี ธรรม เมอื่ ประชาชนยากไร กม็ ไิ ดป กครองดแู ลประชาชนใหอ ยู
เยน็ เปน สขุ กลบั มแี ตค วามทกุ ขเ ดอื ดรอ นกนั ทวั่ จงึ ถกู ประชาชนปฏวิ ตั ิ ลม ระบอบกษตั รยิ 
แมจะพากันขนเครื่องเพชรพลอยหนีไป ก็ไมพนภัย ภายหลังถูกจับได และในที่สุด
พระนางมารนี นั้ กถ็ กู ประหารชวี ติ ดว ยกโิ ยตนิ (Guillotine) !

สว น “เพชรสนี ้ำเงนิ ” ทม่ี ผี นู ยิ มกนั มาก วา เปน “เพชรแหง ความหวงั ” (Hope Diamond)
นั้น ไดปรากฏตัวอยาง ชิ้นหนึ่ง ท่ีปจจุบันถูกเก็บไวในพิพิธภัณฑสถาบันสมิธโซเนียน
(Smithsonian Institution) กรุงวอชิงตัน ไดเคยมีประวัติการผานมือผูเปนเจาของ
หลายราย ตา งตอ งประสบเคราะหร า ยทกุ ราย ซงึ่ แตเ ดมิ เคยถกู ประดษิ ฐานไวเ บอ้ื ง
พระพกั ตร (ประดษิ ฐานไวบ นฝา พระหตั ถท วี่ างอยบู นพระเพลา) ของพระพทุ ธรปู องคห นงึ่
เขา ใจวา เปน “พระแกว มรกต” หนง่ึ ในพระพทุ ธรปู ๓ องค ทพ่ี ระเจา อโศกมหาราชได
ทรงสรา งขนึ้ และประดษิ ฐานไวใ น “วดั อโศการาม” เมอื งปาตลบี ตุ ร ประเทศอนิ เดยี และ
ถกู สาปแชง ไว ใหผ มู าเอาเพชรนไี้ ปจากพระพทุ ธรปู และ/หรอื ผมู เี พชรนไี้ วใ นครอบครอง
จงมีอันพินาศไป ตอมาไดมีกองทหารตางชาติตางศาสนา ยกทัพมาตีและยึดเมือง
ปาตลีบุตรได พวกทหารช้ันแมทัพไดขโมยเอาไปผาแบงกัน แลวถูกเจียรนัยเปน
“เพชรสนี ้ำเงนิ ” ปรากฏวา ผเู ปน เจา ของซงึ่ ถกู เปลยี่ นมอื เปน ทอดๆ ตอ ๆ ไป ลว นตอ ง
ประสบชะตากรรมเคราะหร า ยถงึ เสยี ชวี ติ ดว ยอาการทน่ี า สะพรงึ กลวั และ/หรอื ประสบ
กบั ความวบิ ตั ฉิ บิ หายแกช วี ติ /รา งกาย/ทรพั ยส นิ มามากตอ มาก จนไดร บั การขนานนามวา
“หนิ มรณะ” (The Killing Stone)

ตอนท่ี ๒ ขัน้ วปิ สสนาภาวนา 113

ยง่ิ วตั ถธุ าตดุ ำ เชน หนิ ดำ รตั นชาตดิ ำตา งๆ ไดแ ก นลิ หรอื พลอยดำ ซง่ึ เปน ท่ี
สถติ อยขู องเทวดายกั ษ, กมุ ภณั ฑเ ทวดา หรอื รากษส, เปรตอสรุ า หรอื อสรุ กาย ทเี่ ปน
มิจฉาทิฏฐิย่ิงกวาเปนสัมมาทิฏฐิ มีจิตใจโหดราย มักประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต
มโนทจุ รติ ชอบเบยี ดเบยี นผอู นื่ จงึ จดั เปน วตั ถธุ าตุ “อปั มงคล” แกผ มู ไี วใ นครอบครอง
หรือเคารพบูชา โดยเฉพาะอยางยิ่งแกผูเปนมิจฉาทิฏฐิดวยกัน หรือผูไรคุณธรรม มัก
ประพฤตบิ าปอกศุ ล คอื กายทจุ รติ -วจที จุ รติ -มโนทจุ รติ และ/หรอื ผทู มี่ วี าสนาบารมตี ่ำ
เพราะหา งจากความประพฤตทิ เ่ี ปน บญุ กศุ ลคณุ ความดี กม็ กั จะตอ งประสบกบั ชะตากรรม
เคราะหร า ย หรอื ความทกุ ขเ ดอื ดรอ น ไมช า กเ็ รว็ ดงั ตวั อยา ง

บางวดั /บางสำนกั เชน ทบ่ี างละมงุ และทอ่ี น่ื ๆ ไดใ ชห นิ ดำมาแกะเปน พระพทุ ธรปู
หรอื ทำวตั ถมุ งคล ปรากฏวา ผมู ไี วใ นครอบครองประสบความเสอื่ ม และ/หรอื ถงึ ความ
ทกุ ขเ ดอื ดรอ น กม็ ตี วั อยา งใหเ หน็ อยู

สว นวตั ถธุ าตทุ บ่ี รสิ ทุ ธิ์ เปน ทส่ี ถติ อยขู องเทวดาทม่ี คี ณุ ธรรมเปน สมั มาทฏิ ฐิ ชอื่ วา
“วัตถุมงคล” หากอยูในครอบครองของผูทรงศีลทรงธรรม หรือผูมีวาสนาบารมีผูมี
คณุ ธรรมดำรงอยู ไดบ ำเพญ็ บญุ กศุ ลคณุ ความดี มที านกศุ ล ศลี กศุ ล ภาวนากศุ ล เปน ตน
แลว อุทิศสวนบุญกุศลใหเ ทวดาทีส่ ถติ อยดู ว ย เทวดาทสี่ ถิตกับวตั ถุธาตอุ ันเปนมงคลนน้ั
ยอ มอนโุ มทนาสาธกุ ารและอำนวยพรใหแ กเจา ของใหมีความสุขความเจรญิ อกี ดว ย

ยงิ่ ไปกวา นน้ั ผมู จี ติ ศรทั ธาในพระรตั นตรยั อทุ ศิ ถวายวตั ถธุ าตหุ รอื รตั นธาตอุ นั เปน
มงคลไวใ นพระพทุ ธศาสนา เพอื่ บชู าพระรตั นตรยั ยอ มไดอ านสิ งสม าก เพราะ ๑) เปน
ทานกศุ ล ทส่ี ละขาดจากใจ ในระดบั ทานบารมหี รอื อปุ บารมี ๒) เมอื่ ไดถ วายเปน สมบตั ิ
พระพทุ ธศาสนาไวก บั วดั /สำนกั /คณะบคุ คลผทู รงศลี ทรงธรรม ผเู พยี รศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ิ
ขดั เกลากเิ ลส เพอื่ “สรา งพระในใจตน” และชว ยเผยแผพ ระสทั ธรรมนนั้ แกส าธชุ นพทุ ธ
บรษิ ทั “ชว ยสรา งพระในใจคน (อน่ื )” อยู และ ๓) ไดเ ปน ทอ่ี นโุ มทนาและสกั การบชู า
ของผใู จบญุ กศุ ลทงั้ หลายผมู รี ตั นตรยั เปน ทพ่ี งึ่ ยอ มเปน มหากศุ ลและยอ มเปน มหานสิ งส
แกผ ปู ระกอบทานกศุ ลเชน น้ี ใหเ ปน ผเู จรญิ ดว ยโลกยิ ทรพั ยแ ละโลกตุ ตรทรพั ย ทงั้ ใน
ภพชาตปิ จ จบุ นั และในสมั ปรายภพ ตลอดชว่ั กาลนาน

114 ตอนที่ ๒ ข้นั วปิ ส สนาภาวนา

ความเปนไปของเทวดาในภพ/ภูมิ เหลานี้ ยอมพิจารณาเห็นไดดวย
ญาณรตั นะของพระธรรมกาย โดยการเจรญิ ภาวนาผา นวตั ถธุ าตเุ หลา นี้ แลว หยดุ

ตรกึ นงิ่ กลางของวตั ถธุ าตนุ นั้ และอธษิ ฐานขยายขา ยของญาณรตั นะของธรรมกายให
เหน็ ความเปน ไป ณ ภายในวตั ถธุ าตนุ น้ั กจ็ ะเหน็ เทวดาทม่ี ที พิ ยวมิ านโตใหญต ามศกั ดิ์
แหง บญุ บารมที ไี่ ดบ ำเพญ็ มา เปน ทอ่ี าศยั /สถติ อยขู องเทวดาในวตั ถธุ าตนุ น้ั พรอ มดว ย
จกั รพรรดแิ ละรตั นะ ๗ (จกั รแกว ชา งแกว มา แกว ขนุ พลแกว ขนุ คลงั แกว นางแกว และ
แกว มณ)ี ซงึ่ เปน ภาคผเู ลยี้ ง ดว ยสมบตั อิ นั เปน ทพิ ยแ กเ ทวดาทสี่ ถติ อยนู น้ั ดว ย

ผเู จรญิ ภาวนาพงึ มสี ตพิ จิ ารณาใหเ หน็ สจั จธรรม วา สรรพสงิ่ ทงั้ หลาย บรรดา

ทปี่ ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง ทมี่ ชี วี ติ มวี ญิ ญาณครอง (อปุ าทนิ นกสงั ขาร) ไดแ ก สตั วโ ลก
ทงั้ หลายรวมทง้ั มนษุ ย คอื ตวั เรานเี้ องดว ย และ/หรอื สง่ิ ทไี่ มม ชี วี ติ ไมม วี ญิ ญาณครอง

(อนปุ าทนิ นกสงั ขาร) ไดแ ก โลกิยทรัพย ท้ังหลายเหลานี้ลวนเปนสภาพท่ีมีเหตุปจจัย

ปรงุ แตง ไดแ ก ธาตุ (นำ้ -ดนิ -ไฟ-ลม), ขนั ธ (ไดแ ก เบญจขนั ธ) , อตุ ุ และอาหาร
อกี ทงั้ บญุ กศุ ลหรอื บาปอกศุ ลปรงุ แตง ใหช วี ติ เปน ไปดบี า ง/ชวั่ บา ง เปน สขุ บา ง/ทกุ ขบ า ง

ไปตามกรรม ลวนเปนสภาพไมเท่ียง (อนิจฺจํ) เปนทุกข คือ ทนอยูในสภาพเดิม
ไมไดตลอดไป (ทุกฺขํ) สุดทายตองแตกสลายหมดสภาพเดิมของมันไปหมด
ลวนไมมีแกนสารสาระในความเปนของเท่ียง-เปนสุขที่เที่ยงแทถาวร และไมมี
แกน สารสาระในความเปน ตวั ตน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-ของเขา ตลอดไป
แตป ระการใดทง้ั สน้ิ ชอื่ วา เปน อนตั ตา (อนตตฺ า) นเี้ ปน “วปิ ส สนาปญ ญา” เปน
ทางใหเ จรญิ โลกตุ ตรปญ ญา เหน็ แจง ในอรยิ สจั ๔ (ทกุ ข- สมทุ ยั -นโิ รธ-มรรค) โดย
ญาณ ๓ (สจั จญาณ-กจิ จญาณ-กตญาณ) และมอี าการ ๑๒ เปน ทางมรรค ผล นพิ พาน
ใหถึงความส้ินทุกข เพราะคลายจากความยึดถือดวยตัณหาและทิฏฐิ ใน
โลกธรรม ๘ คอื ลาภ-ความเสอ่ื มลาภ ยศ-ความเสอื่ มยศ สรรเสรญิ -นนิ ทา และความ

สขุ โดยเฉพาะโลกยิ สขุ ไดแ ก กามสขุ ดว ย โภคทรพั ย มเี พชร-นลิ -จนิ ดา และวตั ถธุ าตุ
กายสิทธ์ิ ที่นิยมเสาะแสวงหาและสะสมไวในครอบครองมากๆ ก็อาจจะใหท้ังความสุข

ตอนท่ี ๒ ขั้นวิปส สนาภาวนา 115

(โลกยิ สขุ ) ทไ่ี มย ง่ั ยนื และ/หรอื อาจใหเ ปน ความทกุ ขเ ดอื ดรอ นในภายหลงั ได อนั ชน
ทงั้ หลายไมพ งึ ประมาทขาดสตสิ มั ปชญั ญะ หลงประพฤตผิ ดิ ศลี ผดิ ธรรม หลงคดิ
อยใู นโลกธรรม และโลกยิ สมบตั ิ เหลา นี้ ดว ยตณั หาและทฏิ ฐวิ า เปน ของตนเทย่ี ง
แทแ นน อน แตก ลบั จะตอ งพลดั พรากจากสงิ่ ทเี่ คยรกั เคยหวงแหนทกุ อยา งหมด
ทงั้ สนิ้ แมแ ตต วั เราเองกย็ ดึ ถอื วา เปน ตวั ตน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-ของเขา
มิไดตลอดไป!

ถาคลายจากความหลงยึดติดดวยตัณหาและทิฏฐิดวยสติปญญาอันเห็น
ชอบเพยี งใด ใหม คี วามรสู กึ วา มสี กั แตม ี เปน สกั แตเ ปน กจ็ ะมคี วามเจรญิ และ
สันติสุข และถึงความดับทุกขไดเพียงน้ัน

ตอ ไป ดเู ทวดาชนั้ จตมุ หาราชกิ าทม่ี ใี จโหดรา ย ๔ จำพวก ไดแ ก

(๑) เทวดายกั ษ มที ง้ั ยกั ษช าย (ยกขฺ ) และยกั ษห ญงิ (ยกขฺ นิ ี) อยภู ายใตก ารปกครอง
ของ “ทา วเวสสวุ ณั มหาราช” พวกหนง่ึ มรี ปู รา งสวยงาม มรี ศั มี อกี พวกหนง่ึ มรี ปู รา ง
นา เกลยี ด ไมม รี ศั มี พวกนจี้ ดั เปน เดรจั ฉานยกั ษ

เทวดายกั ษเ หลา น้ี ชอบเบยี ดเบยี นสตั วน รก เวลามจี ติ ใจชวั่ รา ย กจ็ ะเนรมติ ตวั เปน
นายนริ ยบาลลงไปสนู ริ ยโลก (นรก) เทยี่ วลงโทษสตั วน รกตามอำเภอใจของตน เมอื่ ตอ งการ
จะกนิ สตั วน รก กจ็ ะเนรมติ ตวั เปน แรง ยกั ษ/กายกั ษ จบั สตั วน รกเหลา นนั้ กนิ เสยี

บางทเี ขากเ็ บยี ดเบยี นมนษุ ย ดงั ตวั อยา งประสบการณข องผตู งั้ ใจศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ิ
ทา นหนงึ่ ตอ ไปน้ี

“... อยูมาวันหน่ึง ทานไดเดินทางโดยรถยนต โดยมีบุตรเขยเปน
คนขบั ให ขณะเดนิ ทางกลบั จากจงั หวดั ราชบรุ ี มาตามถนนพระราม ๒
ใกลจ ะถงึ สะพานขา มแมน ำ้ ทา จนี ทา นเหน็ รถยนต ๑๐ ลอ บรรทกุ ทราย
เตม็ คนั รถ กำลงั มงุ หนา ไปทางกรงุ เทพฯ ขณะกำลงั ขนึ้ แลว ลงจากคอสะพาน
รถยนตข องทา นกำลงั ขบั ตามมาหา งๆ (ประมาณ ๒๐ เมตร) ไดเ หน็

116 ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา

กมุ ภณั ฑเทวดา หรอื รากษส ตวั ใหญค ลา ยยกั ษต นหนงึ่ ยนื รออยขู า ง
ถนนดา นซา ย หา งจากคอสะพานไปประมาณ ๒๐ เมตร บนั ดาลลม
(เปา ลม) ไปทางรถยนตบ รรทกุ คนั นนั้ พลนั รถคนั นนั้ กเ็ สยี ความทรงตวั
แลน ลงจากคอสะพานเหมอื นงเู ลอ้ื ย แลว กพ็ ลกิ ควำ่ ลงขา งทาง โดยมี
รถของทานตามมาใกลๆ ซึ่งปกติเมื่อทานน่ังอยูในรถจะเจริญภาวนา
อธษิ ฐานปาฏหิ ารยิ  “จกั รแกว ” จากศนู ยก ลาง “พระธรรมกาย” ให
คุมครองรถที่ทานน่ังอยู ชะรอยยักษที่ยืนพนลมอยูนั้น คงจะเห็น
“จกั รแกว ” ทกี่ ำลงั หมนุ อยโู ดยรอบรถยนตท ท่ี า นนงั่ ปอ งกนั ภยั จงึ ชะงกั
เกดิ ความกลวั และหยดุ พน ลมแรงใหร ถยนตบ รรทกุ คนั นนั้ เกดิ อบุ ตั เิ หตุ
รา ยแรง เพอ่ื ใหค นขบั ตายหรอื บาดเจบ็ เลอื ดตกยางออก แลว จะไดก นิ
เลือดกินเน้ือเสีย

เมอ่ื รถยนตท ท่ี า นนงั่ กำลงั แลน ผา นไป ทา นจงึ ไดห นั กลบั ไปดคู นขบั
รถยนตบ รรทกุ ทค่ี ว่ำลงขา งทางนน้ั มองเหน็ คนขบั กำลงั คลานออกมาจาก
ทนี่ งั่ โดยปลอดภยั กร็ สู กึ โลง ใจทเ่ี ขาปลอดภยั จากรากษสนน้ั ”

(๒) คนั ธพั พเทวดา อยใู นปกครองของ “ทา วธตรฐมหาราช” เปน เทวดาทถ่ี อื กำเนดิ
อยตู ามตน ไมท ม่ี กี ลนิ่ หอม เชน เกดิ อยตู ามรากไม แกน ไม เกดิ อยใู นเนอ้ื ไม ในเปลอื กไม อยู
ในกะพไ้ี ม อยใู นน้ำหอม หรอื เกดิ อยใู นใบไม ในดอกไม ในผลไม หรอื ในเมลด็ ผลไม และทเ่ี กดิ
อยใู นเหงา ใตด นิ กม็ ี เทวดาเหลา น้ี ชอื่ วา “กฏั ฐยกั ขะ (กฏั ฐยกั ษ) ” เมอื่ อาศยั อยกู บั ไมใ ดๆ
กจ็ ะอาศยั อยตู ลอดไป แมต น ไมน นั้ จะถกู ตดั ไป หรอื ตายไป หรอื โคน ลม ไปแลว กต็ าม หรอื
แมผ คู นจะนำไมไ ปสรา งบา น สรา งกฏุ ิ สรา งเรอื ฯลฯ กต็ าม กจ็ ะไมย อมละทง้ิ ทอี่ ยขู อง
ตน นค้ี อื ขอ แตกตา งจากรกุ ขเทวดาทงั้ หลายอน่ื ซงึ่ ถา ตน ไมต ายไปหรอื คนตดั ไป กจ็ ะละท่ี
อยขู องตนไปหาตน ไมอ น่ื เปน ทอี่ ยอู าศยั ใหม

คันธัพพเทวดาเหลานี้ เมื่อติดอยูกับไมท่ีเขาเอาไปสรางบานเรือน หรือกุฏิ หรือเรือ
ทชี่ าวบา นเรยี ก “นางไม” หรอื “แมย า นางเรอื ” เปน ตน เหลา น้ี บางทกี แ็ สดงตนใหป รากฏ
แกผูอยูอาศัยหรือผูเปนเจาของ/ผูใชเรือ ดวยตองการของเซนไหว หรือตองการอนุโมทนา

ตอนที่ ๒ ขน้ั วิปส สนาภาวนา 117

สวนบุญเวลาผูอาศัยหรือเจาของทำบุญ แตบางกรณีที่ไมพอใจ ก็รบกวนผูอยูอาศัยหรือ
เจา ของใหม อี ปุ สรรค ใหเ จบ็ ปว ย หรอื ใหเ กดิ ความเดอื ดรอ นแกเ จา ของหรอื ผอู ยอู าศยั ได

คนั ธพั พเทวดาอกี พวกหนงึ่ บางรายทก่ี อ นทม่ี าอบุ ตั เิ กดิ เปน คนั ธพั พเทวดานนั้ ได
เคยประกอบกรรมอนั เปน บาปอกศุ ลเปน เวรกนั มากบั หญงิ คนใด กจ็ ะมาเขา สงิ หญงิ คนนน้ั
ถา ไมพ อใจใคร กจ็ ะไปทำความเดอื ดรอ นแกบ คุ คลทต่ี นไมช อบนน้ั บางราย ในวนั เพญ็
ยามพระจนั ทรเ ตม็ ดวง กจ็ ะออกเทย่ี วแสวงหาอาหารทสี่ กปรกในเวลากลางคนื ในขณะที่
เท่ียวแสวงหาอาหารอยูนั้น ก็มีแสงเรืองเปนประกายออกมาจากรางดวยอิทธิฤทธิ์ของ
คนั ธพั พเทวดานนั้ พวกนแี้ หละทช่ี าวบา นเรยี กวา “ผปี อบ”

ดงั ทขี่ า พเจา ผเู รยี บเรยี งนี้ เมอ่ื ตอนเปน เดก็ อายปุ ระมาณ ๗-๘-๙ ขวบ กเ็ คยไดเ หน็
เหมอื นดวงไฟเคลอื่ นวาบๆ ออกไปจากพมุ ไม (ทชี่ าวบา นใชเ ปน ทปี่ ลดทกุ ข) ไปยงั กอไผ หาย
ไปสกั อดึ ใจกเ็ หน็ เคลอ่ื นวาบๆ ตอ ๆ ไปยงั กอไผท ี่ ๒ หายไปชวั่ อดึ ใจกว็ าบๆ ออกไปใน
สวน และเปน เชน นนั้ ตอ ๆ ไป จนลบั ตาหายไป และกม็ คี นอนื่ ๆ ไดเ คยเหน็ ทำนองเดยี ว
กนั คอื เหน็ เหมอื นดวงไฟวาบๆ ไปยงั ทถ่ี า ยสง่ิ ปฏกิ ลู ของหญงิ คลอดบตุ รใหมๆ เงยี บหาย
ไป ณ ทนี่ นั้ สกั ครู กป็ รากฏวาบๆ ออกจากทนี่ นั้ ลบั หายไป

(๓) กมุ ภณั ฑเทวดา เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา “รากษส” อยใู นความปกครองของ “ทา ว
วริ ฬุ หกมหาราช” มลี กั ษณะรา งกายพงุ ใหญ ตาพองสแี ดง

พวกท่ี ๑ อยใู นมนษุ ยโ ลก มหี นา ทร่ี กั ษาปา ภเู ขา ตน ไม สระโบกขรณี แมน ้ำ
พทุ ธเจดยี  แกว รตั นะ ตน ยาทปี่ ระเสรฐิ ตน ไมท ม่ี ดี อกหรอื ไมห อม และ/หรอื อยเู ฝา รกั ษา
ธาตกุ ายสทิ ธติ์ า งๆ ถา มผี ใู ดลว งลำ้ เขา ไป และ/หรอื ไปเอาของทเี่ ขาเฝา รกั ษาในบรเิ วณ
ทเี่ ขาคอยปกปก ษร กั ษาอยู ซง่ึ ทา ววริ ฬุ หกมหาราชไดก ำหนดใหเ ปน เขตทเ่ี ขาเฝา ดแู ลรกั ษา
กมุ ภณั ฑเทวดา หรอื รากษส นนั้ มสี ทิ ธจิ์ บั ตวั กนิ ได โดยไมม โี ทษจากทา วมหาราช

พวกท่ี ๒ อยใู นนริ ยโลก (นรก) ไดแ ก พวกทเี่ นรมติ กายเปน นายนริ ยบาลรากษส, แรง
รากษส, การากษส หรอื สนุ ขั รากษส ทมี่ หี นา ทคี่ อยลงโทษสตั วน รก และจบั สตั วน รกกนิ นน่ั เอง

(๔) นาคเทวดา หรอื ทเ่ี รยี กกนั วา “พญานาค” อยใู นความปกครองของ “ทา ววริ ปู ก ษ

118 ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ สสนาภาวนา

มหาราช” มอี ยู ๒ กำเนดิ คอื กำเนดิ “สนุ ธระ” และกำเนดิ “ภมุ มเทวะ” มที อ่ี ยู ๒ แหง
คอื อยใู ตด นิ ธรรมดา แหง ๑ กบั อยใู ตภ เู ขาอกี แหง ๑ นาคเทวดาทอ่ี าศยั อยใู นสถานที่ ๒
แหง นี้ จงึ ชอ่ื วา “ปฐวเี ทวดา” พญานาคเหลา นช้ี อบการสนกุ สนานรน่ื เรงิ ดว ยการเลน กฬี า
และการละเลนตางๆ และชอบเลนน้ำ พญานาคเหลาน้ีมีวิชาเวทยมนตคาถาตางๆ ดวย
ชอ่ื วา “วตั ถวุ ชิ า” คอื วชิ าทเ่ี สกวตั ถใุ หเ ปน ไปตามปรารถนา เชน วชิ าเสกใบไมเ ปน นก
หรอื เสกใบมะขามเปน แตน/ตอ ฯลฯ หรอื “ภมู วิ ชิ า” คอื วชิ าเสกสถานที่ หรอื วตั ถใุ หเ ปน
ทอ่ี ยอู าศยั เชน วชิ าเสกทอ งทะเล/มหาสมทุ ร เปน นาคพภิ พ เปน ทต่ี งั้ วมิ านและทพิ ยสมบตั ิ
ตา งๆ หรือ วิชาที่เสกวัตถุใหเปนท่ีสถิตอยูของเทวดาท่ีจะใหคุณแกผูมีไวในครอบครอง
ไดแ ก เสกวตั ถธุ าตใุ หเ ปน “กายสทิ ธ”ิ์ ตา งๆ เปน ตน เวลาจะทอ งเทยี่ วไปในมนษุ ยโ ลก
บางทกี ไ็ ปในรา งกายเดมิ ของตน บางทกี เ็ นรมติ กายเปน คน เปน สนุ ขั เปน เสอื /ราชสหี 
ทอ งเทยี่ วไป นาคเทวดาเหลา นจี้ ดั เปน สตั วเ ดรจั ฉาน

ในสมยั พทุ ธกาล ไดเ คยมพี ญานาคตนหนง่ึ เนรมติ กายเปน มนษุ ย ไปขอบรรพชาอปุ สมบท
กับพระอุปชฌายผูยังไมไดทิพพจักษุญาณ ทานไมทราบวาพญานาคแปลงกายมาขอบวช
ทา นกจ็ งึ บวชใหไดเ ปน พระภกิ ษุ พอพระภกิ ษนุ าคนนั้ ไดจ ำวดั หลบั ไป จงึ ไดค ลายรา ง
เปน พญานาคตามธรรมชาตขิ องเขา พระภกิ ษอุ นื่ ไปเหน็ เขา กต็ กใจรอ งโวยวาย ความทราบ
ถงึ สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา จงึ ตรสั หา มการบวชใหพ ญานาค เพราะพญานาคเปน สตั ว
ในกำเนิดแหง “อเหตุกสัตว” คือเปนสัตวเดรัจฉาน ที่ไมมีเหตุปจจัยใหบรรลุมรรคผลได
เพราะเหตนุ น้ั ในการทพี่ ระอปุ ช ฌายจ ะใหก ารบรรพชาอปุ สมบท จงึ ทรงใหถ ามอปุ สมั ปทาเปกข
กอนรับบวชวา “มนุสโสสิ ?” เมื่ออุปสัมปทาเปกขรับตามที่เปนจริงวา “อามะ ภันเต”
จึงจะใหการบรรพชาอุปสมบทได และไดเปนธรรมเนียมปฏิบัติในพิธีบรรพชาอุปสมบท
กลุ บตุ รมาตราบเทา ทกุ วนั น้ี

ในสมยั พทุ ธกาล ไดเ คยมพี ญานาค ชอ่ื “เอรกปต ต” ไดแ สดงตนเปน มาณพไปเฝา
พระพทุ ธเจา ถวายบงั คมแลว ซบหนา รอ งไหด ว ยความโศกเศรา วา ไมไ ดเ ฝา ไมไ ดฟ ง ธรรม
จากพระพทุ ธเจา มาเปน เวลาตลอดพทุ ธนั ดรหนงึ่ แลว นบั ตง้ั แตไ ดเ คยบวชเปน พระภกิ ษุ
มาแลว ถงึ ๒ หมนื่ ป ในพทุ ธกาลของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา กสั สปะ

ตอนที่ ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา 119

พญานาค “เอรกปตต” ไดเลาถวายพระบรมศาสดาวา ในกาลคร้ังนั้น ตนเปน
พระภกิ ษหุ นมุ ไดโ ดยสารเรอื ไปในแมน ำ้ คงคา ไดค วา ยดึ ใบตะไครน ้ำกอหนงึ่ เมอ่ื เรอื แลน เรว็
กไ็ มป ลอ ย ใบตะไครน ้ำขาดตดิ มอื ไปดว ย แตไ มไ ดแ สดง (ปลง)อาบตั ิ เพราะเหน็ วา เปน โทษ
เพยี งเลก็ นอ ย พอถงึ เวลาใกลจ ะมรณภาพ กเ็ ปน เหมอื นถกู ใบตะไครน ้ำรดั คอ อยากจะแสดง
อาบตั แิ ตก ม็ องไมเ หน็ ภกิ ษอุ นื่ จนมรณภาพ ดว ยอกศุ ลกรรมทท่ี ำใหใ บตะไครน ำ้ ขาด ตอ ง
อาบตั ิ ชอื่ “ปาจติ ตยี ” ฐานพรากของเขยี ว (สกิ ขาบทท่ี ๑ แหง ภตู คามวรรคท่ี ๒) และ
ไมไ ดแ สดงอาบตั นิ นั้ จงึ ไดไ ปบงั เกดิ เปน นาคเทวดา (พญานาค) ชอ่ื “เอรกปต ต” กวา
จะไดม โี อกาสไดเ ขา เฝา และไดฟ ง ธรรมพระพทุ ธเจา อยา งนี้ กน็ านแสนนาน ถงึ ๑ พทุ ธนั ดร
พระบรมศาสดาจึงไดตรัสวา “มหาบพิตร ชื่อวา ความเปนมนุษย หาไดยากนัก, การฟง
พระสทั ธรรมกอ็ ยา งนน้ั , กาลอบุ ตั ขิ นึ้ แหง พระพทุ ธเจา กห็ าไดย ากเหมอื นกนั , เพราะวา ทง้ั ๓
อยา งน้ี บคุ คลยอ มไดโ ดยลำบากยากเยน็ ” เมอ่ื จะทรงแสดงธรรม ตรสั พระคาถานวี้ า

“ความไดอ ตั ตภาพเปน มนษุ ย เปน การยาก, ชวี ติ ของสตั วท ง้ั หลาย
เปนอยูยาก, การฟงพระสัทธรรมเปนของยาก, การท่ีอุบัติข้ึนแหง
พระพทุ ธเจา ทง้ั หลายเปน การยาก”๕๔

ในกาลจบเทศนา เหลา สตั ว (ผไู ดร ว มฟง พระธรรมเทศนาในวนั นน้ั ดว ย) จำนวน ๘๔,๐๐๐
ไดต รสั รธู รรมแลว ฝา ยนาคราชจะพงึ ไดโ สดาปต ตผิ ลในวนั นน้ั (กจ็ รงิ ), แตก ไ็ มไ ดบ รรลุ
ธรรม เพราะความทตี่ นเปน สตั วเ ดรจั ฉาน

ตามธรรมดา พญานาคน้ันยอมถึงความลำบากในฐานะท้ัง ๕ กลาวคือ การถือ
ปฏสิ นธ,ิ การลอกคราบ, การวางใจเผลอสติ หรอื ปราศจากสติ แลว กา วลงสคู วามหลบั ,
การเสพเมถนุ กบั ดว ยนางนาคผมู ชี าตเิ สมอกนั , และการจตุ ิ ทพี่ วกนาคถอื เอาสรรี ะแหง
นาคนนั่ แหละ เปน ไปในอาการทงั้ ๕ นน้ั

แตด ว ยอานสิ งสใ นการไดเ ขา เฝา ถวายบงั คมเบอื้ งพระยคุ ลบาท และไดฟ ง ธรรม
จากพระบรมศาสดา จงึ ไมต อ งถงึ ภาวะความลำบากดงั กลา ว และยอ มไดภ าวะเพอ่ื ทอ ง
เทย่ี วไปดว ยรปู แหง มาณพนน่ั แล ดงั นแี้ ล

๕๔ พระธมั มปทฏั ฐกถา แปล ภาค ๖ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั พ.ศ.๒๕๓๔, หนา ๙๔-๙๙. พทุ ธวรรควรรณนา เรอื่ ง “นาคชอ่ื เอรกปต ต” .

120 ตอนที่ ๒ ขัน้ วปิ ส สนาภาวนา

(๔.๗) ดคู วามเปน ไปในมนษุ ยภ มู ิ

ไดก ลา วมาพอสมควรแลว ตง้ั แตต อนตน ในหวั ขอ วธิ ปี ฏบิ ตั ภิ าวนาตรวจภพ/ตรวจ
จกั รวาลใหเ หน็ ความเปน ไปของสตั วโ ลกในภพ ๓ (ตง้ั แตห นา ๘๓-๑๑๙) แลว นน้ั ไดก ลา ว
เรอื่ งราวของมนษุ ยภ มู ใิ นทวปี ทงั้ ๔ โดยเฉพาะอยา งยง่ิ มนษุ ยใ นชมพทู วปี คอื มนษุ ย
ในโลกมนษุ ยท เี่ ราอาศยั อยกู นั น้ี พรอ มทง้ั ขอ แนะนำในการเจรญิ วปิ ส สนาใหเ หน็ แจง
ในสภาวธรรมและอริยสัจจธรรมตามความเปนจริง อันเปนทาง มรรค ผล นิพพาน
มาพอสมควรแลว แลว จงึ จะไมก ลา วซำ้ ณ ทนี่ อี้ กี

แตจ ะขอนำพระพทุ ธดำรสั วา ดว ยสตั วจ ำนวนมากจำนวนนอ ย๕๕ ทไ่ี ดท รงแสดง
ความทสี่ ตั วจ ตุ ิ (ตาย) จากภพภมู ขิ องเทพยดา/พรหม/อรปู พรหม จากภพภมู ขิ องมนษุ ย
และจากภพภมู ขิ องสตั วใ นทคุ คตภิ มู ิ ๔ เหลา จะไดก ลบั มาเกดิ ในภพภมู ขิ องเทพยดา และ/
หรอื มนษุ ยอ กี นน้ั มเี ปน สว นนอ ย แตท ไี่ ปเกดิ ในทคุ คตภิ มู ิ ไดแ ก ไปเกดิ ในภพภมู ขิ อง
เปรต, สตั วน รก, สตั วเ ดรจั ฉาน เปน ตน นนั้ มมี ากกวา นกั เพอ่ื เปน เครอ่ื งเตอื นสตใิ น
ความประพฤติปฏิบัติตนใหอยูในคุณความดี หลีกหนีความช่ัว ชำระจิตใจใหบริสุทธ์ิผองใส
เจรญิ ปญ ญาเหน็ แจง ในสภาวธรรมและอรยิ สจั จธรรมตามทเี่ ปน จรงิ ตามพระพทุ ธดำรสั ดงั นี้

“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สตั วท จี่ ตุ จิ ากมนษุ ยก ลบั มาเกดิ ในมนษุ ย มเี ปน
สว นนอ ย สตั วท จ่ี ตุ จิ ากมนษุ ยไ ปเกดิ ในนรก เกดิ ในกำเนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน
เกดิ ในปต ตวิ สิ ยั มมี ากกวา โดยแท

สตั วท จ่ี ตุ จิ ากมนษุ ยไ ปเกดิ ในเทพยดา มเี ปน สว นนอ ย สตั วท จ่ี ตุ ิ
จากมนษุ ยไ ปเกดิ ในนรก เกดิ ในกำเนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน เกดิ ในปต ตวิ สิ ยั มี
มากกวา โดยแท

สัตวที่จุติจากเทพยดากลับมาเกิดในเทพยดา มีเปนสวนนอย
สตั วท จี่ ตุ จิ ากเทพยดาไปเกดิ ในนรก เกดิ ในกำเนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน เกดิ ใน
ปต ตวิ สิ ยั มมี ากกวา โดยแท

๕๕ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๐ ขอ ๒๐๖ หนา ๔๘-๕๐.

ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา 121

สัตวท่ีจุติจากเทพยดากลับมาเกิดในมนุษย มีเปนสวนนอย
สตั วท จ่ี ตุ จิ ากเทพยดาไปเกดิ ในนรก เกดิ ในกำเนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน เกดิ ใน
ปต ตวิ สิ ยั มมี ากกวา โดยแท

สัตวทจ่ี ตุ ิจากนรกกลับมาเกิดในมนุษย มีเปนสวนนอ ย สัตวที่จุติ
จากนรกไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตวเดรัจฉาน เกิดในปตติวิสัย
มมี ากกวา โดยแท

สัตวที่จุติจากนรกไปเกิดในเทพยดา มีเปนสวนนอย สัตวท่ีจุติ
จากนรกไปเกดิ ในนรก เกดิ ในกำเนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน เกดิ ในปต ตวิ สิ ยั มี
มากกวา โดยแท

สตั วท จี่ ตุ จิ ากกำเนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน กลบั มาเกดิ ในมนษุ ย มเี ปน
สว นนอ ย สตั วท จ่ี ตุ จิ ากกำเนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน ไปเกดิ ในนรก เกดิ ในกำเนดิ
สตั วเ ดรจั ฉาน เกดิ ในปต ตวิ สิ ยั มมี ากกวา โดยแท

สัตวที่จุติจากกำเนิดสัตวเดรัจฉาน ไปเกิดในเทพยดา มีเปน
สว นนอ ย สตั วท จี่ ตุ จิ ากกำเนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน ไปเกดิ ในนรก เกดิ ในกำเนดิ
สตั วเ ดรจั ฉาน เกดิ ในปต ตวิ สิ ยั มมี ากกวา โดยแท

สัตวที่จุติจากปตติวิสัย กลับมาเกิดในมนุษย มีเปนสวนนอย
สตั วท จี่ ตุ จิ ากปต ตวิ สิ ยั ไปเกดิ ในนรก เกดิ ในกำเนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน เกดิ
ในปต ตวิ สิ ยั มมี ากกวา โดยแท

สัตวที่จุติจากปตติวิสัย ไปเกิดเปนเทพยดา มีเปนสวนนอย
สตั วท จี่ ตุ จิ ากปต ตวิ สิ ยั ไปเกดิ ในนรก เกดิ ในกำเนดิ สตั วเ ดรจั ฉาน เกดิ
ในปต ตวิ สิ ยั มมี ากกวา โดยแท

เปรียบเหมือนในชมพูทวีปนี้ มีสวนท่ีนาร่ืนรมย มีปาท่ีนาร่ืนรมย
มีภูมิประเทศที่นาร่ืนรมย มีสระโบกขรณีที่นารื่นรมย เพียงเล็กนอย
แตท แ่ี ท มที ดี่ อน ทล่ี มุ เปน ลำน้ำ เปน ทต่ี งั้ แหง ตอและหนาม มภี เู ขา
ระเกะระกะ เปน สว นมาก ฉะนนั้ ”

122 ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา

เพราะเหตไุ ร ?

เพราะสัตวท่ีไดมาบังเกิดในสุคติภพ/ภูมิ ไดแก เหลาเทพยดา (เทวดา/พรหม/
อรปู พรหม) และมนษุ ยท ง้ั หลาย เปน ผปู ระมาทขาดสตสิ มั ปชญั ญะดว ยปญ ญา๕๖ อนั เหน็ ชอบ
ไดแ ก (๑) กมั มสั สกตาปญ ญา คอื ความรแู จง ชดั วา สตั วม กี รรมเปน ของตน (๒) ฌานปญ ญา
คอื ความรแู จง ชดั ในฌาน (๓) วปิ ส สนาปญ ญา คอื ความรแู จง ชดั ในวปิ ส สนา (๔) มคั คปญ ญา
คอื ความรแู จง ชดั ในอรยิ มรรค (๕) ผลปญ ญา คอื ความรแู จง ชดั ในอรยิ ผล

จงึ ไมไ ดส นใจในการศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ใิ หเ จรญิ ดว ยสตปิ ญ ญาอนั เหน็ ชอบดงั กลา ว
จึงหลงคิดผิด, รูผิด, ประพฤติผิดๆ จากทำนองคลองธรรม เปนบาปอกุศลดวยความ
โงเ ขลา-เบาปญ ญา ไมร บู าป-บญุ คณุ -โทษ, ไมร ผู ดิ -ชอบ ชว่ั -ดี ไมร สู ง่ิ ทเ่ี ปน แกน สาร
สาระและสง่ิ ทม่ี ใิ ชส าระแหง ชวี ติ และไมร อบรทู างเจรญิ -ทางเสอ่ื มแหง ชวี ติ ตามทเ่ี ปน จรงิ
ดว ยผลของบาปอกศุ ลนน้ั จงึ เปน เหตปุ จ จยั เมอื่ จตุ ิ (เคลอื่ น/ตายจากภพภมู เิ ดมิ ) ใหไ ป
เกดิ ในทคุ คตภิ มู ิ เปน สว นมาก ดงั พระพทุ ธดำรสั ทต่ี รสั วา ๕๗

“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สตั วท เี่ กดิ บนบกมเี ปน สว นนอ ย สตั วท เ่ี กดิ ในน้ำ
มมี ากกวา โดยแท

สตั วท ก่ี ลบั มาเกดิ ในมนษุ ยม เี ปน สว นนอ ย สตั วท ก่ี ลบั มาเกดิ

ในกำเนดิ อนื่ จากมนษุ ย [เปรต สตั วน รก อสรุ กาย สตั วเ ดรจั ฉาน] มมี ากกวา
โดยแท

สตั วท เี่ กดิ ในมชั ฌมิ ชนบทมเี ปน สว นนอ ย สตั วท เี่ กดิ ในปจ จนั ตชนบท
ในพวกชาวมลิ กั ขะทโ่ี งเ ขลา มมี ากกวา โดยแท

สัตวที่มีปญญา ไมโงเงา ไมเงอะงะ สามารถท่ีจะรูอรรถ
แหงคำท่ีเปนสุภาษิตและคำที่เปนทุพภาษิตได มีเปนสวนนอย

สตั วท เ่ี ขลา โงเ งา เงอะงะ ไมส ามารถทจี่ ะรอู รรถแหง คำทเ่ี ปน สภุ าษติ และ
คำทเี่ ปน ทพุ ภาษติ ได มมี ากกวา โดยแท

๕๖ คมั ภรี ม โนรถปรู ณี อรรถกถาองั คตุ ตรนกิ าย ทกุ นบิ าต ภาค ๑ หนา ๔๓๔.
๕๗ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๒๐, ขอ ๒๐๕, หนา ๔๖-๔๘.

ตอนท่ี ๒ ขัน้ วิปสสนาภาวนา 123

สตั วท ปี่ ระกอบดว ยปญ ญาจกั ษอุ ยา งประเสรฐิ มเี ปน สว นนอ ย

สตั วท ต่ี กอยใู นอวชิ ชา หลงใหล มมี ากกวา โดยแท

สัตวที่ไดเห็นพระตถาคต มีเปนสวนนอย สัตวท่ีไมไดเห็น

พระตถาคต มมี ากกวา โดยแท

สตั วท ไี่ ดฟ ง ธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระตถาคตประกาศไว มเี ปน สว นนอ ย

สตั วท ไี่ มไ ดฟ ง ธรรมวนิ ยั ทพี่ ระตถาคตประกาศไว มมี ากกวา โดยแท

สตั วท ไ่ี ดฟ ง ธรรมแลว ทรงจำไวไ ด มเี ปน สว นนอ ย สตั วท ไี่ ด

ฟง ธรรมแลว ทรงจำไวไ มไ ด มมี ากกวา โดยแท

สตั วท ไี่ ตรต รองอรรถแหง ธรรมทต่ี นทรงจำไวไ ด มเี ปน สว นนอ ย

สตั วท ไ่ี มไ ตรต รองอรรถแหง ธรรมทตี่ นทรงจำไวไ ด มมี ากกวา โดยแท

สัตวท่ีรูทั่วถึงอรรถรูทั่วถึงธรรม แลวปฏิบัติธรรมสมควร
แกธรรม มีเปนสวนนอย สัตวท่ีรูท่ัวถึงอรรถ รูท่ัวถึงธรรมแลว

ไมป ฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ รรม มมี ากกวา โดยแท

สตั วท สี่ ลดใจในฐานะเปน ทตี่ งั้ แหง ความสลดใจ มเี ปน สว นนอ ย

สตั วท ไ่ี มส ลดใจในฐานะเปน ทตี่ งั้ แหง ความสลดใจ มมี ากกวา โดยแท

สตั วท สี่ ลดใจเรมิ่ ตงั้ ความเพยี รโดยแยบคาย มเี ปน สว นนอ ย

สตั วท ส่ี ลดใจไมเ รม่ิ ตง้ั ความเพยี รโดยแยบคาย มมี ากกวา โดยแท

สัตวที่กระทำนิพพานใหเปนอารมณ แลวไดสมาธิ
ไดเอกัคคตาจิตมีเปนสวนนอย สัตวท่ีกระทำนิพพานใหเปนอารมณ

แลว ไมไ ดส มาธิ ไมไ ดเ อกคั คตาจติ มมี ากกวา โดยแท

สตั วท ไ่ี ดข า วอนั เลศิ และรสอนั เลศิ มเี ปน สว นนอ ย สตั วท ี่

ไมไดขาวอันเลิศและรสอันเลิศ ยังอัตตภาพใหเปนไปดวยการแสวงหา
ดว ยภตั ทน่ี ำมาดว ยกระเบอื้ ง มมี ากกวา โดยแท

124 ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา

สัตวที่ไดอรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส มีเปนสวนนอย

สตั วท ไี่ มไ ด อรรถรส ธรรมรส วมิ ตุ ตริ ส มมี ากกวา โดยแท
เปรียบเหมือนในชมพูทวีปนี้ มีสวนที่นาร่ืนรมย มีปาที่นารื่นรมย

มีภูมิประเทศท่ีนารื่นรมย มีสระโบกขรณีที่นาร่ืนรมย เพียงเล็กนอย
แตท แี่ ท มที ดี่ อน ทล่ี มุ เปน ลำน้ำ เปน ทต่ี งั้ แหง ตอและหนาม มภี เู ขา
ระเกะระกะ เปน สว นมาก ฉะนน้ั .

เพราะฉะนน้ั แหละ เธอทงั้ หลายพงึ ศกึ ษาอยา งนวี้ า เราจกั
เปน ผไู ดอ รรถรส ธรรมรส วมิ ตุ ตริ ส ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทงั้ หลาย
พึงศึกษาอยางน้ีแล.”

(๔.๘) ดคู วามเปน ไปของสตั วโ ลกในอบายภมู ิ ๔
คำวา “อบายภมู ิ” หรอื “นริ ยภมู ”ิ หมายถงึ ภพภมู ขิ องสตั วท ไี่ มม คี วามสขุ สบาย
และทงั้ ไมม คี วามเจรญิ คอื ไมอ าจบรรลมุ รรค-ผล-นพิ พานได (ตามพระวนิ ยั พระบรมศาสดา
กท็ รงหา มมใิ หพ ระอปุ ช ฌายร บั บรรพชา-อปุ สมบท ให ดงั ไดย กตวั อยา งมาแสดงแลว ในขอ ๓.๗)
สตั วโ ลกในอบายภมู ิ มี ๔ เหลา ดงั น้ี

(ก) ตริ จั ฉานภมู ิ
ภมู ขิ องสตั วด ริ จั ฉาน (เดรจั ฉาน หรอื เดยี รฉาน กเ็ รยี ก) คอื สตั วผ ไู ปโดยสว นขวาง
อกี นยั หนงึ่ คือ สตั วท เี่ ปน ไปขวางจากมรรคผล แมจ ะเปน พระโพธสิ ตั ว ถา ในภพ/ชาตใิ ด
ไปถอื กำเนดิ เปน สตั วเ ดรจั ฉานเหลา ใดเหลา หนง่ึ แลว กต็ อ งหา งจากมรรคผลไปกอ นตลอด
ช่ัวชีวิตของความเปนสัตวเดรัจฉานนั้น
สัตวเดรัจฉานนั้น มีท้ังท่ีมีขนาดโตพอใหสามารถเห็นไดดวยมังสจักษุ คือ ดวย
สายตาเนอื้ และทงั้ ทเี่ ลก็ จนไมส ามารถจะเหน็ ไดด ว ยสายตาเนอ้ื ตามปกตธิ รรมดา ถา แบง
ตามประเภทของขามี ๔ จำพวก คอื
- สตั วเ ดรจั ฉานทไ่ี มม ขี า ไดแ ก พญานาค งู ปลา ไสเ ดอื น หอย เปน ตน

ตอนที่ ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา 125

- สตั วเ ดรจั ฉานทมี่ ี ๒ ขา ไดแ ก ไก เปด นก เปน ตน
- สตั วเ ดรจั ฉานทม่ี ี ๔ ขา ไดแ ก ชา ง มา ววั ควาย เสอื หมี ราชสหี  สงิ โต สนุ ขั เปน ตน
- สตั วเ ดรจั ฉานที่มีขามาก ไดแ ก ตะขาบ ตะเขบ็ กง้ิ กอื เปน ตน

ลกั ษณะพเิ ศษของสตั วบ างชนดิ พงึ ทราบพอสงั เขป ดงั เชน

ตามพระบาลี พระบรมศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา ผทู รงร-ู ทรงเหน็ แจง โลก ไดท รง
แสดงวา สตั วน ้ำมจี ำนวนมากกวา สตั วบ ก (ทงั้ มนษุ ยแ ละสตั วเ ดรจั ฉานรวมกนั )

(ก.๑) พญานาค มถี น่ิ ทอ่ี ยตู ามบนั ไดเวยี นชน้ั ท่ี ๑ (นบั จากลา ง-ขน้ึ บน) รอบๆ เขา

พระสเุ มรสุ ว นทจ่ี มลงในมหาสมทุ รสที นั ดร มที งั้ ทเ่ี กดิ ในนำ้ และทงั้ ทเ่ี กดิ บนบก โดยกำเนดิ ๔
คอื อณั ฑชพญานาค (พญานาคทเี่ กดิ ในไข) ชลาพชุ พญานาค (พญานาคทเ่ี กดิ ในครรภ)
สงั เสทชพญานาค (พญานาคทเี่ กดิ ในทชี่ นื้ แฉะ) โอปปาตกิ พญานาค (พญานาคทผี่ ดุ เกดิ
ใหญโ ตเลย) เปน สตั วท มี่ ฤี ทธ์ิ เวลาทต่ี อ งการทอ งเทย่ี วไปในมนษุ ยโ ลก กส็ ามารถเนรมติ
กายเปน มนษุ ยท อ งเทยี่ วไปกไ็ ด เปน สตั วท ม่ี พี ษิ ภยั ตา งๆ กนั ๕ ประเภท แตล ะประเภทมี
วธิ ที ำอนั ตรายได ๔ วธิ ี แตล ะวธิ นี นั้ มปี ฏกิ ริ ยิ าของพษิ ตา งๆ ๔ ชนดิ

พญานาคมีท้ังท่ีเสพกามคุณและท้ังไมเสพกาม (จึงคำนวณรวมเปนพญานาค
๑,๐๒๔ ชนดิ ) มอี ายสุ น้ั บา ง อายยุ นื นานบา ง แมจ ะเนรมติ กายเปน คนได แตก ไ็ มส ามารถ
จะคงรางเนรมิตไวไดตลอดไป ตองปรากฏรางเปนพญานาคตามเดิมเมื่ออยูในอาการ
ประจำ ๕ อยา ง คอื ๑) ในขณะปฏสิ นธิ (เมอ่ื เกดิ ) ๒) ขณะลอกคราบ (เหมอื นงทู ว่ั ไป)
๓) ในขณะเสพเมถนุ อยกู บั นาง (พญา) นาคดว ยกนั ๔) ในขณะนอนหลบั โดยปราศจากสติ
และ ๕) ในขณะตาย จะตอ งปรากฏลกั ษณะอาการอยใู นรา งพญานาคตามเดมิ

พญานาคกม็ รี ปู รา งคลา ยงู แตโ ตใหญ มฤี ทธิ์ และมพี ษิ รา ยแรงกวา งทู งั้ หลาย

(ก.๒) ราชสหี  มี ๔ ประเภท ไดแ ก

ตณิ สหี ะ มรี า งกายสแี ดงเหมอื นขานกพริ าบ กนิ หญา เปน อาหาร กาฬสหี ะ (หมคี วาย) มี
รา งกายสดี ำ กนิ หญา น้ำผงึ้ และ/หรอื เนอ้ื เปน อาหาร บณั ฑสุ หี ะ (สงิ โต) มรี า งกายสเี หมอื น
สใี บไมเ หลอื ง กนิ เนอื้ เปน อาหาร ๓ ประเภทนม้ี อี ยใู นปา หมิ าลยั หรอื ในปา ใหญท ลี่ กึ ลบั กม็ อี ยู

126 ตอนท่ี ๒ ข้นั วปิ สสนาภาวนา

อกี ประเภทหนง่ึ คอื เกสรสหี ะ หรอื ทชี่ อ่ื วา “ไกรสรราชสหี ” มรี ปู รา งสวยงาม มี
รมิ ฝป าก-หาง-เทา สแี ดง ตง้ั แตศ รี ษะตลอดไปถงึ หลงั มลี ายสแี ดงพาด ๓ แถว ตน คอมี
ขนปกคลมุ ลงมาตง้ั แตบ า มสี เี หมอื นผา กำพล รา งกายมสี ขี าวทง้ั หมด กนิ เนอื้ เปน อาหาร
อาศยั อยใู นถ้ำทอง, ถำ้ เงนิ , ถ้ำแกว มณ,ี ถ้ำเพชร และ/หรอื ในถ้ำมโนศลิ า มอี ยแู ตเ ฉพาะ
ในปา หมิ พานตเ ทา นน้ั

ปา หมิ พานตอ นั เปน ทอ่ี ยขู องสตั วห ลายจำพวก รวมทง้ั “ไกรสรราชสหี ” นนั้ เปน พนื้ ท่ี
ดนิ บรเิ วณภเู ขาหมิ พานต ซง่ึ แตเ ดมิ เคยเปน ภเู ขา และ/หรอื พน้ื ดนิ อนั เปน ทอ่ี ยอู าศยั ของมนษุ ย
และสตั วท ว่ั ไปของชมพทู วปี ซง่ึ มคี วามกวา งและยาว ถงึ ๑๐,๐๐๐ โยชน ตอ มาภายหลงั
ถกู น้ำทว ม จงึ เสยี พนื้ ทเ่ี ปน ทะเล/มหาสมทุ ร ไป ๔,๐๐๐ โยชน เหลอื เปน ภพทอี่ าศยั ของมนษุ ย
๓,๐๐๐ โยชน เปน ภเู ขาหมิ พานต ๓,๐๐๐ โยชน ปจ จบุ นั นี้ เปน สว นทเี่ ปน ภเู ขาน้ำแขง็
ปกคลมุ อยสู ดุ ขวั้ โลกเหนอื /ขวั้ โลกใต อนั เปน สว นทย่ี ากทม่ี นษุ ยธ รรมดาทว่ั ไปจะสามารถ
เขา ไปถงึ และ ร/ู เหน็ ได มแี ตบ คุ คล ๕ จำพวก คอื สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ๑
พระปจ เจกพทุ ธเจา ๑ พระอรหนั ต ๑ ผมู ฤี ทธิ์ ไดแ ก พระ ฤษี หรอื ผเู จรญิ ภาวนาถงึ ได
อภญิ ญา ๑ และบดิ า/มารดา ของพระมหาโพธสิ ตั วเ จา ทเี่ ทวดาพาไป ๑ เทา นนั้ จงึ
จะเขา ถงึ และรเู หน็ ได อยใู นชมพทู วปี คอื โลกมนษุ ยน เ้ี อง

(ก.๓) พญาครฑุ ทจี่ ดั เปน เทวดา ชอื่ “สปุ ณ ณเทพ” ซงึ่ สามารถจะเนรมติ กายเปน

พญาครฑุ กไ็ ด ทเี่ ปน สตั วเ ดรจั ฉาน เรยี กวา “พญาครฑุ ” เปน นกทใี่ หญท สี่ ดุ ในบรรดา
นกทงั้ หลาย ธรรมดาจะกนิ พญานาคเปน อาหาร มที อ่ี ยทู ป่ี า งวิ้ (สมิ พลี) บรเิ วณบนั ได
เวยี นชนั้ ท่ี ๒ (นบั จากชนั้ ลา งขน้ึ บน) รอบๆ ภเู ขาพระสเุ มรุ

ความจรงิ ผปู ฏบิ ตั สิ จุ รติ ธรรม มกี ายสจุ รติ วจสี จุ รติ และมโนสจุ รติ ผมู พี รหมวหิ าร
ธรรมประจำใจ และ/หรอื ผเู จรญิ ดว ยศลี -สมาธ-ิ ปญ ญา เปน ตน ยามตอ งเดนิ ทางโดย
เครอื่ งบนิ หากจะขอความอนเุ คราะหจ ากทา นทา วมหาราช ไดแ ก ทา วเวสสวุ ณั และ
ทา ววริ ปู ก ษ เพอื่ ขอใหท า นชว ยสง บรวิ ารไดแ ก เทวดายกั ษ และ/หรอื สปุ ณ ณเทพ ผเู ปน
สมั มาทฏิ ฐิ มาชว ยพทิ กั ษร กั ษาความปลอดภยั ในขณะโดยสารเครอ่ื งบนิ กอ็ าจไดร บั
เมตตาจากทาวมหาราช สงบริวารผูมีจิตใจดีมาดูแลใหความคุมครองรักษาในลักษณะ

ตอนท่ี ๒ ขั้นวิปส สนาภาวนา 127

“ธมโฺ ม หเว รกขฺ ติ ธมมฺ จารึ - ธรรมแลยอ ม คมุ ครองผปู ระพฤตธิ รรม” กไ็ ดด ว ยเหมอื นกนั

(ข) อสรุ ภมู ิ

ภมู ขิ องสตั ว ชอ่ื “อสรู หรอื อสรุ า” (อสรุ กาย) หมายถงึ หมสู ตั วท ไ่ี มม คี วามสวา ง
รุงโรจนโดยความเปนอยู อุปมาเหมือนมนุษยบางคนตองโทษ ตองถูกจองจำ-ลงโทษ
อยูในเรือนจำ ไดรับความทุกขยากลำบากดวยความเปนอยู ดวยปจจัย ๔ ที่เลว/ทราม
มี ๓ ประเภท

(ข.๑) เทวอสรู /อสรุ า ไดแ ก เทวดาอสรู /อสรุ า มี ๖ ประเภท ไดแ ก เวปจติ ตอิ สรุ า
สพุ ลอิ สรุ า ราหอู สรุ า ปหารอสรุ า สมั พรตอี สรุ า อสรุ า ๕ เหลา นี้ เปน ปฏปิ ก ษต อ เทวดา
ช้ันดาวดึงส ถึงแมจะอยูใตภูเขาพระสุเมรุ ก็สงเคราะหเขาในจำพวกเทวดาช้ันดาวดึงส
เพราะแตเ ดมิ กเ็ คยอยชู น้ั ดาวดงึ สน น้ั แหละ

อสรู ประเภทท่ี ๖ ชอื่ วนิ ปิ าตกิ อสรุ า อสรุ าประเภทน้ี รปู รา งเลก็ กวา มอี ำนาจนอ ย
กวา เทวดาทอี่ ยใู นชน้ั ดาวดงึ ส ทอ งเทย่ี วอยใู นมนษุ ยโ ลกทวั่ ไป เชน อยตู ามปา ตามภเู ขา
ตามตน ไม และ/หรอื ตามศาล ซงึ่ เปน ทอี่ ยขู องภมู เิ ทวดา เปน บรวิ ารของภมู เิ ทวดานน้ั แหละ

(ข.๒) เปตตอิ สรู /อสรุ า คอื อสรู เปรต หรอื เปรตอสรู /อสรุ า นน่ั เอง มี ๓ จำพวก
ไดแ ก กาลญั จกิ เปรตอสรุ า เวมานกิ เปรตอสรุ า อาวธุ กิ เปรตอสรุ า

กาลญั จกิ เปรตอสรุ า เปน เปรตอสรู /อสรุ า ทจี่ ดั เขา ในคำวา “อสรุ กาย”

เวมานกิ เปรตอสรุ า เปน เปรตอสรู /อสรุ า จำพวกไดเ สวยสขุ ในเวลากลางคนื เหมอื น
กบั เทวดาในชนั้ ดาวดงึ ส แตก ลบั ไดเ สวยทกุ ขใ นเวลากลางวนั

อาวธุ กิ เปรตอสรุ า เปน เปรตอสรู /อสรุ า จำพวกทเี่ วลาพบกนั มแี ตป ระหตั ประหาร
กนั ดว ยอาวธุ ตา งๆ หาความสงบสขุ มไิ ด แตกตา งจากเหลา เทวดาในชนั้ ดาวดงึ สท มี่ คี วามรกั
ใครป รองดองกนั

(ข.๓) นริ ยอสรู /อสรุ า แทท จ่ี รงิ เปน “สตั วน รก” โดยความทมี่ นษุ ยห รอื เปรตกต็ าม
ทเี่ ปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ เมอื่ จตุ ิ (เคลอื่ น/ตาย) จากภพภมู เิ ดมิ ของตนแลว ไปเกดิ ในนรกโลกนั ต

เกาะอยตู ามขอบจกั รวาล ภายนอกจกั รวาล กล็ ว นเปน “สตั วน รก” ทง้ั นน้ั จงึ ควร

128 ตอนที่ ๒ ข้นั วปิ สสนาภาวนา

จดั อยใู นพวกสตั วน รกทอี่ ยนู อกจกั รวาล แตใ นหนงั สอื ปรมตั ถโชตกิ ะ มหาอภธิ มั มตั ถสงั คหฎกี า
ไดจ ดั อยใู นประเภทนริ ยอสรู /อสรุ า โดยอธบิ ายวา

“เปรตจำพวกหน่ึงที่ตองเสวยทุกขอยูในโลกันตริกนรก สัตว
โลกนั ตรกิ นรกทเ่ี รยี กวา “อสรุ า” กเ็ พราะวา เปน ฝา ยตรงกนั ขา มกบั
เทวดาชน้ั ดาวดงึ ส โดยความเปน อฏิ ฐารมณแ ละอนฏิ ฐารมณ อารมณ
ที่เทวดาช้ันดาวดึงสไดเสวยอยู ลวนแตเปนฝายอิฏฐารมณท้ังสิ้น
สวนอารมณท่ีสัตวโลกันตริกนรกกำลังเสวยอยู เปนอนิฏฐารมณ
[สตั วโ ลกนั ตรกิ นรกทเี่ รยี กวา “อสรุ า” นนั้ มมี าในพทุ ธวงั สอฏั ฐกถา]”๕๘

“สตั วโ ลกนั ตรกิ นรก” หรอื “สตั วน รกโลกนั ต” นนั้ อาศยั เกาะอยตู ามขอบจกั รวาล
ระหวางจักรวาล ๓ จักรวาล ซึ่งมีสัณฐานกลม ซ่ึงมีสวนของขอบจักรวาลท้ัง ๓ จรดกัน
มีชองวางตรงกลางเปนทะเลนำ้ กรดเย็นนั่นแหละ โลกันตริกนรก หรือ โลกันตนรก
มสี ภาพมดื มดิ ไมม แี สงสวา งใดๆ ลอดเขา ถงึ ทเ่ี กาะอยตู ามขอบจกั รวาลลว นหวิ โซ บา งมี
ไฟไหมอ ยบู นหวั แตพ อไตไ ปพบกนั กน็ กึ วา เปน อาหาร กจ็ ะกระโดดเขา กดั กนั เพอื่ จะจบั กนิ
เปน อาหาร มอื กห็ ลดุ จากทเ่ี กาะจบั อยตู กลงไปในทะเลนำ้ กรด นำ้ กรดทเ่ี ยน็ เฉยี บกจ็ ะกดั กนิ
ละลายสตั วน รกนน้ั ฟเู หมอื นกอ นเนอื้ ตกลงไปในนำ้ กรดหรอื กระทะนำ้ มนั ทร่ี อ นจดั ใหแ สน
เจบ็ ปวดทรมานแตไ มต าย ตะเกยี กตะกายขนึ้ มาเกาะไตย วั้ เยยี้ อยตู ามขอบจกั รวาลอยอู ยา งนนั้
ชว่ั นาตาป ไมร กู ำหนดเวลาวา เมอ่ื ไหรจ งึ จะไดก ลบั มาเกดิ ในภพ ๓ อกี

(ค) เปตตวิ สิ ยภมู ิ

เปนภพภูมิที่อยูอาศัยของเปรต หรือ ที่ชาวบานเรียกวา “ผีเปรต” หรือ “ยักษ”
เปน สตั วท มี่ สี ภาพความเปน อยทู หี่ า งไกลตอ ความสขุ ทง้ั หลาย นบั ตง้ั แต ไมม ที อ่ี ยอู าศยั
โดยเฉพาะ จงึ ตอ งรอ นเรไ ปอาศยั อยตู ามปา ตามภเู ขา/หบุ เหว หรอื อยตู ามเกาะ ทะเล
มหาสมทุ ร และ/หรอื อาศยั อยตู ามปา ชา ฯลฯ ทอ งเทย่ี วหาอาหารไปในโลกเรานแ้ี หละ

บางจำพวกเปนเปรตเล็ก บางจำพวกก็เปนเปรตใหญ และเปรตน้ีเนรมิตตัวใหเปน
อฏิ ฐารมณห รอื อนฏิ ฐารมณ กไ็ ด ฝา ยอฏิ ฐารมณ ใหเ หน็ เปน เทวดาหรอื เปน ชายเปน หญงิ

๕๘ ปรมตั ถโชตกิ ะ มหาอภธิ มั มตั ถสงั คหฎกี า (ปรจิ เฉทที่ ๕ เลม ๑) อา งแลว , หนา ๘๐-๘๑.

ตอนท่ี ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา 129

ดาบส เณร พระ แมช ี ถา ฝา ยอนฏิ ฐารมณ กใ็ หเ หน็ เปน ววั ควาย ชา ง สนุ ขั รปู รา งสณั ฐาน
นา กลวั มศี รี ษะใหญ ตาพอง และบางทกี ไ็ มป รากฏชดั เพยี งแตใ หเ หน็ เปน สดี ำ แดง ขาว
ในบรรดาเปรตทง้ั หลายนี้ บางพวกกต็ อ งเสวยทกุ ขอ ยนู าน มกี ารอดขา ว อดนำ้ บางพวก
กเ็ ขา ไปกนิ เศษอาหารทชี่ าวบา นทง้ิ ไวใ นทโ่ี สโครก บางพวกกก็ นิ เสมหะ นำ้ ลาย และอจุ จาระ
สว นเปรตทอี่ าศยั อยตู ามภเู ขา คอื ภเู ขาคชิ กฏู นน้ั ไมใ ชแ ตจ ะอดอาหารอยา งเดยี ว ยอ มตอ ง
เสวยทกุ ขเ หมอื นกนั กบั สตั วน รกอกี ดว ย

เปรตมหี ลายชนดิ ทมี่ มี าในโลกบญั ญตั ปิ กรณ และฉคตทิ ปี นปี กรณ มี ๑๒ ชนดิ ไดแ ก

(ค.๑) วนั ตาสเปรต เปรตทกี่ นิ นำ้ ลาย เสมหะ อาเจยี น เปน อาหาร

(ค.๒) กุณปาสเปรต เปรตทกี่ นิ ซากศพคนหรอื สตั ว เปน อาหาร

(ค.๓) คูถขาทกเปรต เปรตทก่ี นิ อจุ จาระตา งๆ เปน อาหาร

(ค.๔) อัคคิชาลมุขเปรต เปรตทมี่ เี ปลวไฟลกุ อยใู นปากเสมอ

(ค.๕) สูจิมุขเปรต เปรตทม่ี ปี ากเทา รเู ขม็

(ค.๖) ตณั หฏั ฏติ เปรต เปรตทถ่ี กู ตณั หาเบยี ดเบยี นใหห วิ ขา วหวิ น้ำอยเู สมอ

(ค.๗) สุนิชฌามกเปรต เปรตทมี่ ลี ำตวั ดำเหมอื นตอไมท เี่ ผา

(ค.๘) สัตถังคเปรต เปรตทมี่ เี ลบ็ มอื เลบ็ เทา ยาวและคมเหมอื นมดี

(ค.๙) ปพ พตงั คเปรต เปรตทม่ี รี า งกายสงู ใหญเ ทา ภเู ขา

(ค.๑๐) อชครังคเปรต เปรตทม่ี รี า งกายเหมอื นงเู หลอื ม

(ค.๑๑) เวมานิกเปรต เปรตทตี่ อ งเสวยทกุ ขใ นเวลาเทยี่ งคนื ไปถงึ เทย่ี งวนั ของ

วนั รงุ ขน้ึ แลว กจ็ ตุ แิ ละเกดิ ใหมท นั ที (กำเนดิ โอปปาตกิ ะ)

ไดเ สวยสขุ อยใู นวมิ านตงั้ แตเ ทย่ี งวนั ไปถงึ เทย่ี งคนื
และกต็ อ งตายและเกดิ ใหม เสวยทกุ ขต อ ไป ฯลฯ เปน

(ค.๑๒) มหิธิทกเปรต อยูอยางนี้จนกวาจะหมดเวร

เปรตทมี่ ฤี ทธม์ิ าก เปน เปรตเจา ปกครองดแู ล

เปรตทงั้ หลายทอี่ าศยั อยใู นปา ชอื่ “ปา วชิ ฌาฏว”ี ตง้ั
อยบู รเิ วณภเู ขาหมิ าลยั

130 ตอนท่ี ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา

ทมี่ มี าใน “เปรตวตั ถุ อฏั ฐกถาและฎกี า” แบง ประเภทเปรตมี ๔ จำพวก คอื
(๑) ปรทัตตุปชีวิกเปรต เปรตทม่ี กี ารเลย้ี งชวี ติ อยโู ดยอาศยั อาหารทผ่ี อู น่ื อทุ ศิ ให

มกั จะวนเวยี นอยใู กลๆ บา นหรอื วดั
(๒) ขปุ ปป าสกิ เปรต เปรตทถ่ี กู เบยี ดเบยี นดว ยการหวิ ขา ว หวิ นำ้
(๓) นิชฌามตัณหิกเปรต เปรตทถี่ กู ไฟเผาใหเ รา รอ น เพราะตณั หาใหห วิ ขา วหวิ น้ำ

อยเู สมอ
(๔) กาลกัญจิกเปรต เปน ชอ่ื ของอสรู /อสรุ า ทเ่ี ปน เปรต มรี า งกายสงู ๓ คาวตุ

ไมใ ครม เี รย่ี วแรง เพราะมเี ลอื ดและเนอ้ื นอ ย มแี ตก ระดกู
สสี นั คลา ยกนั กบั ใบไมแ หง ตาถลนออกมาเหมอื นกบั ตาปู
และมปี ากเทา รเู ขม็ ตงั้ อยกู ลางศรี ษะ

มขี อ ทคี่ วรทราบวา พระโพธสิ ตั วท งั้ หลาย นบั ตงั้ แตไ ดร บั พทุ ธพยากรณแ ลว
จกั ไมไ ปบงั เกดิ ในภพภมู ขิ องสตั ว ๑๖ ประเภท๕๙ ตอ ไปน้ี

๑. ไมเ กดิ เปน คนปา
๒. ไมเ กดิ เปน เทวบตุ รมาร
๓. ไมเ กดิ เปน อสญั ญสตั ตพรหม
๔. ไมเ กดิ เปน สทุ ธาวาสพรหม
๕. ไมไ ปเกดิ ในจักรวาลอืน่
๖. ไมเ กดิ เปน อรปู พรหม
๗. ไมเกิดเปนผูหญิง
๘. ไมไ ปเกดิ กบั คนทเ่ี ปน ทาส
๙. ไมไ ปเกดิ เปน คนตาบอด หหู นวก หรอื เปน ใบ
๑๐. ไมเ ปน ขเี้ รอ้ื นกฏุ ฐงั
๑๑. ไมเ ปลยี่ นแปลงเพศ
๑๒. ไมท ำปญ จานนั ตรยิ กรรม (อนนั ตรยิ กรรม ๕)

๕๙ ปรมตั ถโชตกิ า อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย สตุ ตนปิ าต ภาค ๑ หนา ๔๖.

ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปส สนาภาวนา 131

๑๓. ไมไ ปเกดิ ในโลกนั ตรกิ นรก
๑๔. ไมไ ปเกดิ ในอเวจมี หานรก และไมเ กดิ เปน ขปุ ปป าสกิ เปรต นชิ ฌาฌตณั หกิ เปรต

กาลกญั จกิ เปรต
๑๕. ไมไ ปเกดิ เปน สตั วท เ่ี ลก็ กวา นกกระจาบ และไมไ ปเกดิ เปน สตั วท ใ่ี หญก วา ชา ง
๑๖. ไมไ ดเ ปน พระอรยิ ะในระหวา งบำเพญ็ พทุ ธการกธรรม พรอ มดว ยองค ๓ (กาย วาจา

ใจ) ตวั อยา งเชน พระปญ ญาธกิ โพธสิ ตั ว ในระหวา งบำเพญ็ บารมี ๔ อสงไขย
แสนมหากปั เปน ตน

ทมี่ มี าในวนิ ยั และลกั ขณสงั ยตุ ตพระบาลี ไดแ สดงประเภทเปรตไว ๒๑ จำพวก ดงั น๖ี้ ๐

๑. อัฏฐิสังขสิกเปรต เปรตทมี่ กี ระดกู ตดิ ตอ กนั เปน ทอ นๆ แตไ มม เี นอ้ื

๒. มังสเปสิกเปรต เปรตทม่ี เี นอื้ เปน ชน้ิ ๆ แตไ มม กี ระดกู

๓. มังสปณฑเปรต เปรตทม่ี เี นอื้ เปน กอ น

๔. นิจฉวิปุริสเปรต เปรตชายทไี่ มม หี นงั

๕. อสิโลมเปรต เปรตทม่ี ขี นเปน พระขรรค

๖. สัตติโลมเปรต เปรตทม่ี ขี นเปน หอก

๗. อุสุโลมเปรต เปรตทมี่ ขี นยาวเปน ลกู ธนู

๘. สูจิโลมเปรต เปรตทมี่ ขี นเปน เขม็

๙. ทุติยสูจิโลมเปรต เปรตทมี่ ขี นเปน เขม็ ชนดิ ท่ี ๒

๑๐. กุมภัณฑเปรต เปรตทมี่ อี ณั ฑะใหญโ ตมากเทา หมอ

๑๑. คูถกูปนิมุคคเปรต เปรตที่จมอยูในอุจจาระ

๑๒. คูถขาทกเปรต เปรตท่ีกินอุจจาระ

๑๓. นิจฉวิตถีเปรต เปรตหญิงที่ไมมีหนัง

๑๔. ทคุ คนั ธเปรต เปรตทมี่ กี ลนิ่ เหมน็ เนา

๑๕. โอกิลินีเปรต เปรตทมี่ รี า งกายเปน ถา นไฟ

๑๖. อสีสเปรต เปรตทไี่ มม ศี รี ษะ

๖๐ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑ วนิ ยั ปฎ ก มหาวภิ งั ค ขอ ๒๙๕ หนา ๒๑๐-๒๑๗.

132 ตอนที่ ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา

๑๗.ภิกขุเปรต เปรตทมี่ รี ปู รา งสณั ฐานเหมอื นภกิ ษุ
๑๘. ภิกขุนีเปรต เปรตทมี่ รี ปู รา งสณั ฐานเหมอื นภกิ ษณุ ี
๑๙. สิกขมานเปรต เปรตทม่ี รี ปู รา งสณั ฐานเหมอื นสกิ ขมานา
๒๐. สามเณรเปรต เปรตทมี่ รี ปู รา งสณั ฐานเหมอื นสามเณร
๒๑. สามเณรีเปรต เปรตทม่ี รี ปู รา งสณั ฐานเหมอื นสามเณรี

อนงึ่ ในคมั ภรี ธ รรมบท อรรถกถา ยงั ไดแ สดงเปรตไวอ กี มาก เชน เปรตงู เปรตหมู
เปรตกา เปรตญาตพิ ระเจา พมิ พสิ าร เปรต “ปโู สม” เฝา ทรพั ย ฯลฯ

(ง) นริ ยภมู ิ หรอื นรก

เปน ภมู ขิ องสตั วน รกผไู มม คี วามสขุ สบาย มแี ตค วามทกุ ขเ ดอื ดรอ นชวั่ นาตาป จนกวา
จะหมดเวร เปน ภพภมู ขิ อง “โอปปาตกิ ะ” คอื สตั วท มี่ กี ำเนดิ ผดุ เกดิ ทนั ทดี ว ยอำนาจของ

อกุศลกรรมบถ และ/หรือ ทุจริตตางๆ มีกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต เปนตน

จึงไมอาจเห็นไดดวยมังสจักษุของมนุษย เพราะเปนภพภูมิของสัตวกายโปรงแสง เรียก
อกี อยา งหนง่ึ วา “อทสิ สมานกาย” แตม ลี กั ษณะซอมซอ เมอื่ ใชม อื ธรรมกายสมั ผสั ดู กจ็ ะ

รสู กึ วา หยาบและมกี ลน่ิ เหมน็ เชน เดยี วกนั กบั พวกเปรต ซง่ึ แตกตา งจากเทพยดา

ซงึ่ มกี ายละเอยี ด มรี ศั มแี ละมเี ครอื่ งทรงสวยงามประณตี ยง่ิ กวา กนั ไปตามภมู ธิ รรมมาก
เม่ือใชมือธรรมกายสัมผัสดูก็จะรูสึกละเอียด

มหานรก คอื นรกขมุ ใหญ มี ๘ ขมุ ดงั นี้

(๑) สญั ชวี นรก (๒) กาฬสตุ ตนรก (๓) สงั ฆาตนรก

(๔) โรรวุ นรก (ธมู โรรวุ ะ) (๕) มหาโรรวุ นรก (ชาลโรรวุ ะ) (๖) ตาปนนรก

(๗) มหาตาปนนรก (ปตาปนะ) (๘) อวจี นิ รก

อสุ สทนรก มี ๕ ขมุ คอื

(๑) คถู นรก (๒) กกุ กฬุ นรก (๓) สมิ ปลวี นนรก

(๔) อสปิ ต ตวนนรก (๕) เวตตรณนี รก

ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปสสนาภาวนา 133

ในมหานรกขมุ หนงึ่ ๆ มี อสุ สทนรก ขมุ ละ ๑๖ เปน บรวิ าร ฉะนน้ั อสุ สทนรก ทงั้ หมด
จงึ มี ๑๒๘

หมายเหตุ ทน่ี บั เปน ๑๒๘ น้ี นบั โดยทศิ ทง้ั ๔ คอื ในทศิ หนง่ึ ๆ มอี สุ สทนรก ทศิ ละ
๔ = ๑๖ ขมุ เลก็ x ๘ ขมุ ใหญ = ๑๒๘

ถา นบั โดยทศิ ทง้ั ๘ แลว ในมหานรกขมุ หนง่ึ ๆ มอี สุ สทนรกเปน บรวิ ารขมุ ละ ๓๒ นรก
= ๓๒ ขมุ เลก็ x ๘ ขมุ ใหญ = ๒๕๖ ขมุ

ในบรรดาอุสสทนรกท้ัง ๕ น้ัน ใหนับอสิปตตวนนรก และเวตตรณีนรก รวมกัน
เปน ขมุ เดยี ว จงึ นบั ไดเ ปน ๔ ขมุ

ในทน่ี ้ี คำวา อสุ สฺ ท แปลวา มมี าก ดงั มวี จนตั ถะวา
อสุ สฺ ที นตฺ ิ นานาทกุ ขฺ า เอตถฺ าติ อสุ สฺ ทา ทกุ ข คอื ความลำบากตา งๆ มมี ากใน
นริ ยภมู นิ ี้ จงึ ชอ่ื วา อสุ สฺ ท
อสุ สทนรก ๑๒๘ ขมุ เรยี กวา จฬุ นรก กไ็ ด

ทอ่ี ยแู หง มหานรก ๘ ขมุ
มหานรก ๘ ขมุ ตง้ั อยภู ายใตม นษุ ยโ ลก ตรงกนั กบั ชมพทู วปี ทต่ี ดิ ตอ กบั พนื้ แผน ดนิ
ทม่ี นษุ ยอ าศยั อยนู ้ี ความหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน ชนั้ บนครง่ึ หนงึ่ เปน ดนิ ธรรมดา เรยี กวา
ปสํ ปุ ถวี มคี วามหนา ๑๒๐,๐๐๐ โยชน ชน้ั ลา งครงึ่ หนง่ึ เปน หนิ เรยี กวา สลี าปถวี มคี วาม
หนา ๑๒๐,๐๐๐ โยชน
มหานรกทง้ั ๘ ขมุ นี้ ตงั้ อยภู ายในดนิ ธรรมดา เฉพาะขมุ หนงึ่ ๆ หา งกนั ๑๕,๐๐๐ โยชน
โดยลำดบั คอื
นบั จากพนื้ ชมพทู วปี ลงมาถงึ มหานรกขมุ ท่ี ๑ ชอื่ สญั ชวี นรก หา งกนั ๑๕,๐๐๐ โยชน
นบั จากสญั ชวี ะนรกลงมาถงึ มหานรกขมุ ท่ี ๒ ชอ่ื กาฬสตุ ตนรก หา งกนั ๑๕,๐๐๐ โยชน
นบั จากกาฬสตุ ตะนรกลงมาถงึ มหานรกขมุ ท่ี ๓ ชอื่ สงั ฆาตนรก หา งกนั ๑๕,๐๐๐ โยชน
นบั จากสงั ฆาตะนรกลงมาถงึ มหานรกขมุ ท่ี ๔ ชอ่ื โรรวุ นรก หา งกนั ๑๕,๐๐๐ โยชน

134 ตอนที่ ๒ ขน้ั วิปส สนาภาวนา

นบั จากโรรวุ ะนรก ลงมาถงึ มหานรกขมุ ที่ ๕ ชอื่ มหาโรรวุ นรก หา งกนั ๑๕,๐๐๐ โยชน
นบั จากมหาโรรวุ ะนรก ลงมาถงึ มหานรกขมุ ที่ ๖ ชอื่ ตาปนนรก หา งกนั ๑๕,๐๐๐ โยชน
นบั จากตาปนะนรก ลงมาถงึ มหานรกขมุ ท่ี ๗ ชอื่ มหาตาปนนรก หา งกนั ๑๕,๐๐๐ โยชน
นบั จากมหาตาปนะนรก ลงมาถงึ มหานรกขมุ ที่ ๘ ชอ่ื อวจี นิ รก หา งกนั ๑๕,๐๐๐ โยชน
หมายเหตุ มหานรกทง้ั ๘ ขมุ น้ี เปน อโุ มงคภ ายใตพ น้ื แผน ดนิ ดงั ทไี่ ดก ลา วมาแลว คอื
เมอ่ื ถงึ ๑๕,๐๐๐ โยชน แลว กเ็ ปน อโุ มงคช นั้ หนง่ึ ๆ เปน ลำดบั ไป
พนื้ แผน ดนิ ทห่ี นา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน นี้ ตงั้ อยบู นกอ นนำ้ แขง็ ทหี่ นา ๔๘๐,๐๐๐ โยชน
กอ นน้ำแขง็ นต้ี ง้ั อยบู นพน้ื ลมทหี่ นา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน โยชนห นง่ึ ๆ ประมาณ ๑๓ ไมล หรอื
หรือ ๑๖ กิโลเมตร ตอจากพื้นลมน้ีไป เปนอากาศวางเปลา เรียกวา เหฏฐิมอัชฌากาศ
(อากาศชั้นลาง) อากาศท่ีอยูเบ้ืองบนจากเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิขึ้นไป เรียกวา
อปุ รมิ อชั ฌากาศ (อากาศชน้ั บน)

ทอ่ี ยแู หง อสุ สทนรก ๕ ขมุ

สว น อสุ สทนรก คอื นรกขมุ เลก็ ๆ นนั้ อยแู หง เดยี วกนั กบั มหานรกกม็ ี อยตู ามปา ,
ภเู ขา, มหาสมทุ ร, แมน ำ้ คงคา, ทวปี เลก็ ๆ และเกาะทไ่ี มม คี นอยู กม็ ี

อกศุ ลกรรมทน่ี ำใหม าเกดิ เปน สตั วน รก คอื อกศุ ลกรรมบถ ๔๐

ตามพระพุทธดำรัสไดตรัสอกุศลกรรมท่ีนำใหมาเกิดเปนสัตวนรก ปรากฏใน
กรรมบถวรรคท่ี ๗๖๑ มเี นอื้ ความโดยยอ วา ดงั นี้

ก. อกศุ ลกายกรรม ๑๒ (๓ x ๔)
(๑) ปาณาตปิ าต การฆา สตั ว หรอื การทำลายชวี ติ ๑

ดว ยอาการ ๔ คอื กระทำเอง ๑ ชกั ชวนใหผ อู นื่ กระทำ ๑ ยนิ ด/ี พอใจ/สะใจ
ทผี่ อู น่ื กระทำ ๑ และยกยอ ง/สรรเสรญิ ทผ่ี อู น่ื กระทำ ๑

(๒) อทนิ นาทาน การลกั ทรพั ย หมายความรวมถงึ การกบฏ-คดโกง และ/หรอื

การเอาของๆ ผอู นื่ ทเ่ี ขามไิ ดใ หด ว ยอาการอยา งขโมย หรอื ปลน สะดม ๑

๖๑ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๑ องั คตุ ตรนกิ าย จตกุ กนบิ าต ขอ ๒๖๔-๒๗๓, หนา ๓๔๑-๓๔๔.

ตอนที่ ๒ ขั้นวิปส สนาภาวนา 135

ดว ยอาการ ๔ คอื กระทำเอง ๑ ชกั ชวนใหผ อู นื่ กระทำ ๑ ยนิ ด/ี พอใจ/สะใจ ที่
ผอู นื่ กระทำ ๑ และยกยอ ง/สรรเสรญิ ทผี่ อู นื่ กระทำ ๑

(๓) กาเมสมุ จิ ฉาจาร การประพฤตผิ ดิ ในกาม ๑

ดว ยอาการ ๔ คอื กระทำเอง ๑ ชกั ชวนใหผ อู น่ื กระทำ ๑ ยนิ ด/ี พอใจ/สะใจ ท่ี
ผอู น่ื กระทำ ๑ และยกยอ ง/สรรเสรญิ ทผ่ี อู น่ื กระทำ ๑

ข. อกศุ ลวจกี รรม ๑๖ (๔ x ๔)

(๑) มุสาวาท พูดเท็จ รวมทั้งแสดงอาการ หรือ ส่ือสารโดยความเท็จ หรือ

หลอกลวง และ/หรอื ทบ่ี ดิ เบอื นไปจากความจรงิ และหมายความรวมทง้ั การใสร า ยปา ยสี
อกี ดว ย ๑

ดว ยอาการ ๔ คอื กระทำเอง ๑ ชกั ชวนใหผ อู นื่ กระทำ ๑ ยนิ ด/ี พอใจ/สะใจ ที่
ผอู นื่ กระทำ ๑ และยกยอ ง/สรรเสรญิ ทผ่ี อู นื่ กระทำ ๑

(๒) ปส ณุ าวาจา พดู สอ เสยี ด คอื พดู หรอื แสดงอาการ/สอ่ื สาร ยแุ ยกใหเ ขา

แตกกนั ๑
ดว ยอาการ ๔ คอื กระทำเอง ๑ ชกั ชวนใหผ อู น่ื กระทำ ๑ ยนิ ด/ี พอใจ/สะใจ ท่ี

ผอู น่ื กระทำ ๑ และยกยอ ง/สรรเสรญิ ทผี่ อู น่ื กระทำ ๑

(๓) ผรุสวาจา พูดคำหยาบคาย กาวราว ดาทอ และหมายความรวมท้ังการ

ขม ข/ู แบลค็ เมล (Blackmail) อกี ดว ย ๑
ดว ยอาการ ๔ คอื กระทำเอง ๑ ชกั ชวนใหผ อู นื่ กระทำ ๑ ยนิ ด/ี พอใจ/สะใจ ที่

ผอู น่ื กระทำ ๑ และยกยอ ง/สรรเสรญิ ทผ่ี อู น่ื กระทำ ๑

(๔) สมั ผปั ปลาปะ พดู เพอ เจอ คอื พดู แตค ำพดู หรอื คำชกั นำใหก ระทำแตเ รอื่ ง

ทไ่ี รส าระประโยชน หรอื เรอ่ื งทจ่ี ะนำไปสโู ทษความหายนะ หรอื ความทกุ ขเ ดอื ดรอ น ๑
ดว ยอาการ ๔ คอื กระทำเอง ๑ ชกั ชวนใหผ อู น่ื กระทำ ๑ ยนิ ด/ี พอใจ/สะใจ ที่

ผอู นื่ กระทำ ๑ และยกยอ ง/สรรเสรญิ ทผี่ อู น่ื กระทำ ๑

136 ตอนท่ี ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา

ค. อกศุ ลมโนกรรม คอื เจตนาความคดิ อา นทเี่ ปน บาปอกศุ ลดว ยกเิ ลส (โลภ/

โกรธ/หลง) ๑๒ (๓ x ๔)

(๑) อภชิ ฌา ความโลภจดั หมายความรวมทง้ั ความเหน็ แกต วั /พวกพอ ง/ญาตมิ ติ ร

ของตนจดั ๑

(๒) พยาบาท ความคิดปองราย จองแตจะทำลายลางผลาญชีวิต/ทรัพยสิน/

เกยี รตยิ ศ คณุ ความดขี องเขาใหพ นิ าศ ๑

(๓) โมหะ/มจิ ฉาทฏิ ฐิ ความคดิ ผดิ /หลงผดิ ไมร บู าป-บญุ คณุ -โทษ

ดว ยอาการ ๔ คอื กระทำเอง ๑ ชกั ชวนใหผ อู นื่ กระทำ ๑ ยนิ ด/ี พอใจ/สะใจ ที่
ผอู นื่ กระทำ ๑ และยกยอ ง/สรรเสรญิ ทผ่ี อู น่ื กระทำ ๑

อกศุ ลกายกรรม ๑๒ อกศุ ลวจกี รรม ๑๖ และอกศุ ลมโนกรรม ๑๒ รวมเปน
อกศุ ลกรรมบถ ๔๐ เหลา นี้ เปน กรรมทนี่ ำผปู ฏบิ ตั ไิ ปสนู รก และ/หรอื แมอ บายภมู ิ

อน่ื ๆ เชน เปรต อสรุ กาย และสตั วเ ดรจั ฉาน ตามความหนกั เบาแหง กรรมกเิ ลส ดว ย
เจตนาความคดิ อา นทป่ี ระกอบดว ยกเิ ลส ๓ กองใหญ ดงั กลา ว เปน เหตนุ ำเหตหุ นนุ

นอกจากน้ี ผูประพฤติบาปอกุศลที่ประกอบดวยกิเลส/ตัณหา/อุปาทาน เปน
เหตุนำ/เหตุหนุนท่ีหนักๆ เมื่อไดรับผลกรรมในมหานรกแลว ดวยเศษกรรมท่ีเหลือ
ยังนำใหไปเกิดใน “อุสสทนรก” พนเวรจากอุสสทนรกแลว ดวยเศษกรรมยังเหลือ
เมอ่ื กลบั ไดม าเกดิ เปน มนษุ ยเ พราะกศุ ลกรรมทเ่ี คยทำไวใ นอดตี ใหผ ล เศษของอกศุ ลกรรม
ทย่ี งั เหลอื กย็ งั ตดิ ตามใหผ ลในปวตั ตกิ าล คอื เมอื่ ไดก ลบั มาเกดิ เปน มนษุ ยอ กี มตี วั อยา ง
ในคมั ภรี อ รรถกถาธรรมบท๖๒ วา ในอดตี ชาตขิ องพระอานนทเ ถระเจา เคยไดเ กดิ เปน บตุ ร
ชายนายชา งทอง ประพฤตผิ ดิ ศลี ขอ กาเมสมุ จิ ฉาจาร คอื ไดล ว งประเวณกี บั ภรรยาของ
ผอู น่ื เมอื่ ตายลงไดไ ปเกดิ ในนรกรบั ผลกรรมชวั่ นนั้ เปน เวลาชา นาน เมอื่ พน เวรจากนรก
แลว ดว ยกศุ ลกรรมทเ่ี คยกระทำคณุ ความดมี าใหผ ล ไดก ลบั มาเกดิ เปน มนษุ ยอ กี เศษ

๖๒ พระธมั มปทฏั ฐกถา แปล ภาค ๒ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั พ.ศ.๒๕๓๑ หนา ๒๓๔ จติ ตวรรควรรณนา เรอื่ ง “พระโสไรยเถระ”
หวั ขอ “ชายอาจกลบั เปน หญงิ และหญงิ อาจกลบั เปน ชายได” .

ตอนที่ ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา 137

ของอกศุ ลกรรมทย่ี งั เหลอื ยงั ตดิ ตามใหผ ลมาบงั เกดิ เปน หญงิ โสเภณี ๑๔ ชาติ แลว จงึ
ไดม าเกดิ เปน หญงิ หมนั อกี ๗ ชาติ ตอ จากนนั้ จงึ ไดเ กดิ มาเปน ผชู าย

สวนผูหญิงทั้งหลาย เม่ือคลายความพอในเปนหญิงแลว บำเพ็ญบุญกุศลคุณ
ความดี มที านกศุ ล-ศลี กศุ ล-ภาวนากศุ ล เปน ตน แลว ตงั้ จติ อธษิ ฐาน วา “ขอบญุ กศุ ลท่ี
ขา พเจา ไดก ระทำแลว ดว ยดที ง้ั หลายน้ี จงเปน ไปเพอื่ ใหข า พเจา กลบั ไดอ ตั ตภาพเปน ชาย
ดว ยเถดิ ” เมอ่ื ตายลง ยอ มกลบั ไดม าบงั เกดิ เปน มนษุ ยผ ชู ายอกี

อนึ่ง แมหญิงใดผูมีความซ่ือสัตยจงรักภักดีตอสามี ปรนนิบัติสามีดวยดีและ
ไมป ระพฤตนิ อกใจสามี ดว ยอานสิ งสใ นความซอ่ื สตั ย- จงรกั ภกั ดตี อ สามี ปรนนบิ ตั สิ ามี
ดว ยดี และไมป ระพฤตนิ อกใจสามี จนตลอดชวี ติ นนั้ เมอ่ื ตายลง ยอ มกลบั ไดม าบงั เกดิ เปน
มนุษยผูชายดวยเหมือนกัน

สว นผชู ายใด (รวมทง้ั นกั บวช) เมอื่ ไดป ระพฤตลิ ว งประเวณี หรอื เปน ชกู บั หญงิ ที่
มเี จา ของ (สาม)ี และ/หรอื หญงิ ทม่ี จี ารตี หา ม (เชน นางภกิ ษณุ /ี สกิ ขมานา/แมช ี เปน ตน )
กด็ ี หรอื หญงิ ผมู เี จา ของ (สาม)ี ใด ทเี่ ปน ชกู บั ชายอน่ื หรอื หญงิ ทมี่ จี ารตี หา มประพฤติ
ลว งประเวณกี บั ชาย กด็ ี และ/หรอื แมช ายหรอื หญงิ ใดทไี่ มส ำรวมในกามและมกั ประพฤติ
สำสอ นในกาม กด็ ี ทงั้ หลายเหลา น้ี เมอื่ ตายลง ยอ มไดไ ปบงั เกดิ ในอบายภมู เิ หลา ใด
เหลา หนงึ่ (เชน ไปเกดิ ในนรก หรอื เปน เปรต หรอื เปน สตั วเ ดรจั ฉานเชน สนุ ขั ) มากตอ มาก
ตามความหนกั เบาแหง มโนทจุ รติ คอื เจตนาความคดิ อา น ดว ยตณั หาราคะ หรอื กามกเิ ลส
และโมหะ เปน เหตนุ ำเหตหุ นนุ ใหป ระพฤตอิ กศุ ลกรรมเชน นน้ั

อนงึ่ ผเู จรญิ ภาวนาไดถ งึ ธรรมกายแลว เมอื่ ไดฝ ก เจรญิ ฌานสมาบตั ิ ฝก พสิ ดารกาย
ซอนสับทับทวีใหเปนวสี (ชำนาญ) พอสมควรดีแลว ฝกเจริญวิชชา ๓ มี ปุพเพ-
นวิ าสานสุ ตญิ าณ และจตุ ปู ปาตญาณ เปน ตน ไดด เี พยี งใดแลว ยอ มสามารถเหน็ สตั วโ ลก
เปน ไปตามกรรม คือ ความปรงุ แตง ดว ยบญุ (ปญุ ญาภสิ งั ขาร) และ/หรอื ความปรงุ แตง
ดวยบาป (อปุญญาภิสังขาร) นำไปสูการเจริญอาสวักขยญาณ ใหเห็นแจงในปฏิจจ-
สมปุ บาทธรรม และอรยิ สจั ๔ เปน ทางบรรลมุ รรค-ผล-นพิ พาน ตามระดบั ภมู ธิ รรมที่
ปฏบิ ตั ิ ตามรอยบาทพระพทุ ธองคไ ด

138 ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ สสนาภาวนา

ขอ ๒ การมสี ตพิ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม : โพชฌงค ๗

๒.๑ ความหมายและอุปการคุณของโพชฌงค

โพชฌงค หรือเรียกอีกอยางหน่ึงวา สัมโพชฌงค แปลวา ธรรมท่ีเปนองคแหง
การตรสั รู หวั ขอ ธรรมทเี่ ปน ไปเพอื่ ความตรสั รู หรอื หวั ขอ ธรรมทป่ี ระกอบกนั เขา แลว เปน
เหตใุ หเ กดิ ความรแู จง เหน็ จรงิ และเมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมในหมวดนแ้ี ลว
ยอ มจะเปน เหตใุ หเ กดิ ความรจู รงิ ความรอู ยา งแจม แจง ในอรยิ สจั ๔

การเจรญิ ภาวนาตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ถงึ ธรรมกายและพระนพิ พาน ของพระพทุ ธเจา
เปนวิธีปฏิบัติสมถวิปสสนาภาวนา/กัมมัฏฐาน ที่ชวยใหโพชฌงค ๗ ธรรมเปนองคแหงการ
ตรสั รู เกดิ และเจรญิ ขน้ึ และมผี ลใหเ กดิ /เจรญิ อภญิ ญาและวชิ ชา เปน คณุ เครอ่ื งชว ยใหเ หน็
แจง-รูแจง สภาวธรรมและอริยสัจจธรรม (รวมท้ังปฏิจจสมุปบาทธรรม) ตามท่ีเปนจริง
ดว ยการทไ่ี ดท งั้ รแู ละทงั้ เหน็ และใหส ามารถกำจดั อวชิ ชามลู รากฝา ยเกดิ ทกุ ขท ง้ั ปวง ตามรอย
บาทพระพทุ ธองค ไดอ ยา งมปี ระสทิ ธภิ าพ

๒.๒ โพชฌงควิภาค

พระผมู พี ระภาคทรงจำแนกโพชฌงค เปน ๗ ประการ และไดต รสั แสดงความหมาย
ของโพชฌงคแ ตล ะประการไวโ ดยนยั ตา งๆ ทปี่ รากฏในพระไตรปฎ ก วภิ งั คปกรณ๖๓ ดงั นี้

โพชฌงค มี ๗ ประการ คอื

๑) สติสัมโพชฌงค สมั โพชฌงค คอื ความระลกึ ได

๒) ธัมมวิจยสัมโพชฌงค สมั โพชฌงค คอื ความสอดสอ ง เลอื กเฟน ธรรม

๓) วิริยสัมโพชฌงค สมั โพชฌงค คอื ความเพยี ร

๔) ปต สิ มั โพชฌงค สมั โพชฌงค คอื ความอมิ่ ใจ

๕) ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค สมั โพชฌงค คอื ความสงบกายสงบใจ
๖๓ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๓๕ อภธิ รรมปฎ ก วภิ งั คปกรณ ขอ ๕๔๒, หนา ๓๐๖ .

ตอนที่ ๒ ขนั้ วปิ สสนาภาวนา 139

๖) สมาธสิ มั โพชฌงค สมั โพชฌงค คอื ความตง้ั ใจมนั่
๗) อุเบกขาสัมโพชฌงค สมั โพชฌงค คอื ความมใี จเปน กลาง
พระผมู พี ระภาคทรงจำแนกโพชฌงค เปน ๗ ประการแลว ไดต รสั แสดงความหมาย
ของโพชฌงคแ ตล ะประการไวโ ดยนยั ตา งๆ ตามทปี่ รากฏในพระไตรปฎ ก วภิ งั คปกรณ๖๔ นนั้
แล จะขอนำมาแสดงไวใ นทนี่ เ้ี พยี ง ๓ นยั ดงั ตอ ไปนี้

(๑) โพชฌงค ๗ นยั ท่ี ๑

ในโพชฌงค ๗ นน้ั สตสิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? ภกิ ษใุ นพระศาสนาน้ี เปน ผมู สี ติ
ประกอบดว ยสตแิ ละปญ ญาอนั ยง่ิ ระลกึ ได ตามระลกึ ถงึ แมส ง่ิ ทที่ ำไวน านแลว ได แมค ำท่ี
พดู ไวน านแลว ได นเี้ รยี กวา สตสิ มั โพชฌงค

ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค เปน ไฉน ? ภกิ ษนุ น้ั มสี ตริ ะลกึ ไดอ ยา งนนั้ ยอ มเลอื กสรร
ยอ มพจิ ารณา ถงึ สงิ่ ทท่ี ำหรอื คำทพี่ ดู นน้ั ดว ยปญ ญา นเี้ รยี กวา ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค

วริ ยิ สมั โพชฌงค เปน ไฉน ? ความเพยี ร ความไมย อ หยอ น อนั ภกิ ษผุ ปู ระกอบดว ยสติ
สมั โพชฌงคน น้ั เลอื กพจิ ารณาซงึ่ ธรรมนนั้ ดว ยปญ ญาแลว จงึ บำเพญ็ ความเพยี ร นเ้ี รยี ก
วา วริ ยิ สมั โพชฌงค

ปต สิ มั โพชฌงคเ ปน ไฉน ? ปต อิ นั ปราศจากอามสิ เกดิ ขนึ้ แกภ กิ ษผุ ไู ดบ ำเพญ็ เพยี รแลว
นเ้ี รยี กวา ปต สิ มั โพชฌงค

ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? กายกด็ ี จติ กด็ ี ของภกิ ษผุ มู ใี จอนั ประกอบดว ยปต ิ
ยอ มสงบระงบั นเี้ รยี กวา ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค

สมาธสิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? จติ ของภกิ ษผุ มู กี ายสงบระงบั แลว มคี วามสขุ ยอ ม
ตง้ั มนั่ นเี้ รยี กวา สมาธสิ มั โพชฌงค

อเุ บกขาสมั โพชฌงค เปน ไฉน ? ภกิ ษนุ น้ั เปน ผเู พง เลง็ อยดู ว ยดี ซงึ่ จติ ทตี่ ง้ั มนั่ แลว อยา ง
นน้ั นเ้ี รยี กวา อเุ บกขาสมั โพชฌงค

๖๔ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๓๕ อภธิ รรมปฎ ก วภิ งั คปกรณ ขอ ๕๔๓-๕๖๓, หนา ๓๐๖-๓๑๔.

140 ตอนที่ ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา

(๒) โพชฌงค ๗ นยั ที่ ๒

ในโพชฌงค ๗ นนั้ สตสิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? ความระลกึ ไดซ งึ่ ธรรมทงั้ หลาย
อนั เปน ไปในภายใน ความระลกึ ไดซ ง่ึ ธรรมทง้ั หลายอนั เปน ไปในภายนอก ชอื่ วา สตสิ มั โพชฌงค
ยอ มเปน ไปเพอ่ื ความรยู ง่ิ เพอ่ื ความตรสั รู เพอ่ื นพิ พาน

ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค เปน ไฉน ? ความเลอื กเฟน ธรรมทงั้ หลายอนั เปน ไปในภายใน
ความเลอื กเฟน ธรรมทงั้ หลายอนั เปน ไปในภายนอก ชอื่ วา ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค ยอ มเปน
ไปเพอื่ ความรยู งิ่ เพอ่ื ความตรสั รู เพอ่ื นพิ พาน

วริ ยิ สมั โพชฌงค เปน ไฉน ? ความเพยี รอนั เปน ไปทางกาย ความเพยี รอนั เปน ไป
ทางใจ ชอ่ื วา วริ ยิ สมั โพชฌงค ยอ มเปน ไปเพอื่ ความรยู งิ่ เพอื่ ความตรสั รู เพอ่ื นพิ พาน

ปต สิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? ปต ทิ ม่ี วี ติ ก มวี จิ าร กม็ ี ปต ทิ ไ่ี มม วี ติ ก ไมม วี จิ าร กม็ ี
ชอ่ื วา ปต สิ มั โพชฌงค ยอ มเปน ไปเพอ่ื ความรยู ง่ิ เพอ่ื ความตรสั รู เพอื่ นพิ พาน

ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? ความสงบระงบั แหง กาย ความสงบระงบั แหง จติ
ชอื่ วา ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค ยอ มเปน ไปเพอื่ ความรยู ง่ิ เพอื่ ความตรสั รู เพอื่ นพิ พาน

สมาธสิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? สมาธทิ มี่ วี ติ ก มวี จิ าร กม็ ี สมาธทิ ไ่ี มม วี ติ ก ไมม วี จิ าร
กม็ ี ชอื่ วา สมาธสิ มั โพชฌงค ยอ มเปน ไปเพอื่ ความรยู ง่ิ เพอ่ื ความตรสั รู เพอื่ นพิ พาน

อเุ บกขาสมั โพชฌงค เปน ไฉน ? ความวางเฉยในธรรมภายใน กม็ ี ความวางเฉย
ในธรรมภายนอก กม็ ี ชอ่ื วา อเุ บกขาสมั โพชฌงค ยอ มเปน ไปเพอ่ื ความรยู งิ่ เพอ่ื ความ
ตรสั รู เพอื่ นพิ พาน

(๓) โพชฌงค ๗ นยั ท่ี ๓

อนึ่ง ภิกษุในพระศาสนาน้ี เจริญโลกุตตรฌาน อันเปนเครื่องนำออกไปจากโลก
ใหเขาสูนิพพาน เพ่ือปหานทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
ทงั้ หลายแลว บรรลปุ ฐมฌาน ประกอบดว ยวติ ก วจิ าร มปี ต แิ ละสขุ อนั เกดิ แตว เิ วก ซงึ่

ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา 141

ปฏิบัติไดยาก รูไดชา ในสมัยใด ในสมัยน้ัน โพชฌงค ๗ คือ สติสัมโพชฌงค ธัมมวิจย-
สมั โพชฌงค วริ ยิ สมั โพชฌงค ปต สิ มั โพชฌงค ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค สมาธสิ มั โพชฌงค
อเุ บกขาสมั โพชฌงค ยอ มมไี ด

ในโพชฌงค ๗ เหลา นน้ั สตสิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? ความระลกึ ได ความตามระลกึ
สมั มาสติ สตสิ มั โพชฌงค อนั เปน องคแ หง มรรค นบั เนอ่ื งในมรรค นเี้ รยี กวา สตสิ มั โพชฌงค

ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค เปน ไฉน ? ปญ ญา กริ ยิ าทร่ี ชู ดั ความไมห ลง การเลอื กเฟน
ธรรม สมั มาทฏิ ฐิ ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค อนั เปน องคแ หง มรรค นบั เนอ่ื งในมรรค นเี้ รยี ก
วา ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค

วริ ยิ สมั โพชฌงค เปน ไฉน ? การบำเพญ็ เพยี รทางใจ สมั มาวายามะ วริ ยิ สมั โพชฌงค
อนั เปน องคแ หง มรรค นบั เนอื่ งในมรรค นเี้ รยี กวา วริ ยิ สมั โพชฌงค

ปต สิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? ความอมิ่ ใจ ความปราโมทย ความยนิ ดยี ง่ิ ความบนั เทงิ
ความรา เรงิ ความปลมื้ ใจ ปต อิ ยา งโลดโผน ความทจ่ี ติ ชน่ื ชมยนิ ดี นเี้ รยี กวา ปต สิ มั โพชฌงค

ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? ความสงบ ความสงบระงบั กริ ยิ าทสี่ งบ กริ ยิ าท่ี
สงบระงบั ความสงบระงบั แหง เวทนาขนั ธ สญั ญาขนั ธ สงั ขารขนั ธ วญิ ญาณขนั ธ นเ้ี รยี ก
วา ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค

สมาธสิ มั โพชฌงค เปน ไฉน ? ความตง้ั อยแู หง จติ ในอารมณเ ดยี ว ความตง้ั มนั่
แหจิตโดยชอบ ความต้ังม่ันแหจิตอันเปนองคแหงการตรัสรู อันเปนองคแหงมรรค
นบั เนอ่ื งในมรรค นเี้ รยี กวา สมาธสิ มั โพชฌงค

อุเบกขาสัมโพชฌงค เปนไฉน ? ความวางเฉย กิริยาท่ีจิตวางเฉยในอารมณ
ความเพงเฉยอยู ความเปนกลางแหงจิต ความวางเฉยแหงจิต อันเปนองคแหง
การตรสั รู นเ้ี รยี กวา อเุ บกขาสมั โพชฌงค

142 ตอนที่ ๒ ขน้ั วิปส สนาภาวนา

๒.๓ นิวรณ ๕ ทำใหมืด โพชฌงค ๗ ทำใหมีจักษุ

พระผมู พี ระภาคไดท รงแสดงวา นวิ รณ ๕ ทำใหม ดื ทำใหไ มส ามารถเหน็ ธรรมรธู รรม
แจง ชดั และไดต รสั ธรรมทเี่ ปน ฝา ยตรงขา มกบั นวิ รณ คือ โพชฌงค ๗ วา โพชฌงค ๗
ทเ่ี ปน ฝา ยทำใหม จี กั ษุ (ความเหน็ ) ทำใหม ญี าณ (ความร)ู เปน ไปเพอ่ื ความเจรญิ แหง
ปญ ญา เพอ่ื นพิ พาน ในสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค นวี รณสตู ร แปลความวา ๖๕

“ภกิ ษทุ งั้ หลาย นวิ รณ ๕ เหลา น้ี กระทำใหม ดื กระทำไมใ หม จี กั ษุ
กระทำไมใ หม ญี าณ เปน ทต่ี ง้ั แหง ความดบั ปญ ญา เปน ไปในฝก ฝา ยแหง
ความคบั แคน ไมเ ปน ไปเพอื่ นพิ พาน

นวิ รณ ๕ เปน ไฉน ? คอื กามฉนั ทนวิ รณ ... พยาบาทนวิ รณ ...
ถนี มทิ ธนวิ รณ ... อทุ ธจั จกกุ กจุ จนวิ รณ ... วจิ กิ จิ ฉานวิ รณ กระทำใหม ดื
กระทำไมใ หม จี กั ษุ กระทำไมใ หม ญี าณ เปน ทตี่ ง้ั แหง ความดบั ปญ ญา
เปน ไปในฝก ฝา ยแหง ความคบั แคน ไมเ ปน ไปเพอ่ื นพิ พาน

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย โพชฌงค ๗ เหลา น้ี กระทำใหม จี กั ษุ กระทำใหม ี
ญาณ เปน ทตี่ ง้ั แหง ความเจรญิ ปญ ญา ไมเ ปน ไปในฝก ฝา ยแหง ความ
คบั แคน เปน ไปเพอ่ื นพิ พาน

โพชฌงค ๗ เปน ไฉน ? คอื สตสิ มั โพชฌงค ... ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค
... วริ ยิ สมั โพชฌงค ... ปต สิ มั โพชฌงค ... ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค ... สมาธ-ิ
สมั โพชฌงค ... อเุ บกขาสมั โพชฌงค กระทำใหม จี กั ษุ กระทำใหม ญี าณ
เปน ทตี่ งั้ แหง ความเจรญิ ปญ ญา ไมเ ปน ไปในฝก ฝา ยแหง ความคบั แคน
เปน ไปเพอ่ื นพิ พาน

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย โพชฌงค ๗ เหลา นแี้ ล กระทำใหม จี กั ษุ กระทำให
มญี าณ เปน ทตี่ งั้ แหง ความเจรญิ แหง ปญ ญา ไมเ ปน ไปในฝก ฝา ยแหง
ความคบั แคน เปน ไปเพอื่ นพิ พาน”

๖๕ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๐๑-๕๐๒, หนา ๑๓๖-๑๓๗.

ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปส สนาภาวนา 143

๒.๔ เหตุใหเกิดโพชฌงค

พระผมู พี ระภาค ครนั้ ทรงแสดงนวิ รณ ๕ ประการ อนั เปน เครอ่ื งกน้ั จกั ษคุ อื ปญ ญา
ทำใหม ดื แลว ไดต รสั แสดงธรรมทเี่ ปน เหตใุ หโ พชฌงค ๗ ประการ อนั เปน แนวทางสำหรบั
การปฏิบัติใหโพชฌงคเกิดข้ึน และเจริญ บริบูรณ ดังพระพุทธดำรัสที่มาในพระไตรปฎก
สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค และพระอรรถกถาจารยไ ดอ ธบิ ายพระพทุ ธดำรสั ไว ดงั นี้

(๑) เหตเุ กดิ สตสิ มั โพชฌงค

“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ธรรมทง้ั หลายเปน ทตี่ ง้ั แหง สตสิ มั โพชฌงค มอี ยู
การกระทำใหม ากซงึ่ โยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา นน้ั นเี้ ปน อาหารให
สตสิ มั โพชฌงคท ย่ี งั ไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ทเ่ี กดิ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๖๖
การเจริญภาวนาตามแนวสติปฏฐาน ๔ ถึงธรรมกายและพระนิพพานของ
พระพทุ ธเจา โดยประการ

(๑.๑) ในขน้ั สมถภาวนา
มอี บุ ายวธิ อี บรมจติ ใหเ ปน สมาธแิ นบแนน มน่ั คง ดว ยพระกมั มฏั ฐานทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ
และทเี่ หมาะสมกบั จรติ อธั ยาศยั ของบคุ คล ทกุ จรติ อธั ยาศยั ๓ อยา ง คอื อาโลกกสณิ
(กสณิ แสงสวา ง) ๑ อานาปานสติ ๑ และพทุ ธานสุ ติ ๑ ประกอบกนั ดงั ทไี่ ดแ สดงวธิ ี
ปฏบิ ตั มิ าแลว แตต น ชว ยใหจ ติ เปน สมาธติ ง้ั มน่ั แนบแนน มน่ั คง ณ ศนู ยก ลางกายฐาน
ท่ี ๗ (เหนอื ระดบั สะดอื ๒ นวิ้ มอื ) อนั เปน ทตี่ ง้ั กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ (ตงั้ แตม าปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ
เปน “กลลรปู ”) ไดอ ยา งมปี ระสทิ ธภิ าพ เมอื่ ธรรมชาติ ๔ อยา งของใจ คอื ความเหน็
ดวยใจ ๑ ความจำ ๑ ความคิด ๑ ความรู ๑ รวมหยุดเปนจุดเดียวกัน เปน
“เอกคั คตาจติ ” จงึ ตกศนู ย (วา งหายไป) สมถภาวนากศุ ล ปรงุ เปน “กศุ ลจติ ” ดวงใหม
เกดิ ขนึ้ พรอ มกบั กศุ ลเจตสกิ ธรรม คือ วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ และเอกคั คตา คณุ เครอ่ื งกำจดั

๖๖ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๖๕, หนา ๙๖.

144 ตอนที่ ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา

กเิ ลสนวิ รณเ ครอื่ งกน้ั ปญ ญาทง้ั ๕ (ถนี มทิ ธะ, วจิ กิ จิ ฉา, พยาบาท, อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ และ
กามฉนั ทะ) ใหห มดสนิ้ ไป จติ ใจทผ่ี อ งใสตง้ั อยกู ลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายนน้ั ลอย
เดน ขน้ึ มาใหมต รงศนู ยก ลางกายฐานท่ี ๗ ใสแจม นนั้ นน่ั แหละ เปน ธรรมปฏบิ ตั ิ เปน
เหตปุ จ จยั ใหโ พชฌงค ๗ เกดิ และเจรญิ ขน้ึ บรบิ รู ณ ตามระดบั ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด ตาม
พระพทุ ธดำรสั ทไี่ ดต รสั แสดงไวใ นเบอื้ งตน นี้

(๑.๒) ในขนั้ อนปุ ส สนา-เจรญิ วปิ ส สนาปญ ญา

เมอื่ ผเู จรญิ ภาวนารวมใจ หยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ กลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย
นนั้ หยดุ นงิ่ ถกู สว น กลางของกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ณ ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๗ อยนู น้ั
กจ็ ะปรากฏ ดวงศลี เปน “ศลี วสิ ทุ ธิ” ความหมดจดแหง ศลี (เพราะเจตนาความคดิ อา นใน
ความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ างกาย วาจา ใจ บรสิ ทุ ธ)ิ์

ตอ ไปจะปรากฏ ดวงสมาธิ (เพราะจติ ตง้ั มน่ั เปน เอกคั คตาจติ ประกอบดวยองค ๕
เปน คณุ เครอื่ งกำจดั กเิ ลสนวิ รณเ ครอ่ื งกนั้ ปญ ญา ใหจ ติ ใจผอ งใส ออ นโยน ควรแกง านเจรญิ
อภญิ ญาและวชิ ชา และอนปุ ส สนา

และตอ ไปจะปรากฏ ดวงปญ ญา เพราะเมอื่ จติ ใจผอ งใส อภญิ ญา มี ทพิ พจกั ษุ และ
ทพิ พโสต ยอ มเกดิ และเจรญิ ขน้ึ เปน คณุ เครอื่ งชว ยใหเ หน็ แจง รแู จง สภาวธรรมตามทเ่ี ปน
จรงิ กลา วคอื เมอ่ื ยกกมั มฏั ฐานใดขน้ึ พจิ ารณา กจ็ ะเหน็ แจง ในสภาวธรรมและอรยิ สจั จธรรม
ตามธรรมชาตทิ เ่ี ปน จรงิ ไดเ ปน อยา งดี นำไปสู “ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ” ความหมดจดแหง ความเหน็
เปน “อธปิ ญ ญา คอื ปญ ญาอนั ยง่ิ ”

นำไปสู (เขา ถงึ ) “ดวงวมิ ตุ ต”ิ หลดุ พน จากกเิ ลสหยาบ (อภชิ ฌา-พยาบาท-มจิ ฉาทฏิ ฐ)ิ
แมด ว ยการขม กเิ ลส และไดถ งึ “ดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ” ญาณทสั สนะใหเ หน็ แจง รแู จง
ในสภาวธรรม และใหร เู หน็ ผลการปฏบิ ตั ิ ตามทเี่ ปน จรงิ กลา วคอื

เมอื่ รวมใจหยดุ นงิ่ กลางของกลางดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ถกู สว นเขา ศนู ยก ลาง
ขยายวา งออกไป และจะปรากฏ “กายมนษุ ยล ะเอยี ด” หนา ตาเหมอื นผปู ฏบิ ตั ิ แตโ ปรง ใส
สวยงามกวา กายเนอื้ นงั่ อยบู นองคฌ าน (เหมอื นแผน กระจกกลม โปรง ใส หนาประมาณ ๑

ตอนที่ ๒ ขั้นวิปส สนาภาวนา 145

ฝา มอื รองรบั ) เมอ่ื ผเู จรญิ ภาวนากำหนดใจ “ดบั หยาบไปหาละเอยี ด” คอื ละอปุ าทานใน
เบญจขันธของกายมนุษยหยาบ ทำความรูสึกเปนกายมนุษยละเอียดนั้นทันที แลว
รวมใจหยุดในหยุดกลางของหยุด กลางของกลาง ดวงธรรม-ดวงศีล-ดวงสมาธิ-
ดวงปญ ญา-ดวงวมิ ตุ ติ และดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะของกายมนษุ ยล ะเอยี ดนน้ั จะรดู ว ย
ปญ ญา (ทเี่ กดิ ขน้ึ พรอ มกบั กศุ ลจติ ทบี่ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใส ปราศจากนวิ รณเ ครอื่ งกน้ั ปญ ญาในบดั นน้ั )
ได ตามทเ่ี ปน จรงิ วา

- “อปุ าทนิ นกสงั ขาร” คือ สงั ขารทม่ี ชี วี ติ มวี ญิ ญาณครอง ยอ มเปลย่ี นแปลงไป
ตามเหตปุ จ จยั เชน กรณนี ้ี เปน ปจ จยั ฝา ยบญุ กศุ ลปรงุ แตง (ปญุ ญาภสิ งั ขาร) ทนั ทตี าม
สายปฏจิ จสมปุ บาทธรรม [อวชิ ชาเปน ปจ จยั ใหเ กดิ สงั ขาร, สงั ขารเปน ปจ จยั ใหเ กดิ วญิ ญาณ,
วิญญาณเปนปจจัยใหเกิดนาม-รูป ... อุปาทานเปนปจจัยใหเกิดภพ (กรณีนี้เปนสุคติภพ),
ภพเปน ปจ จยั ใหเ กดิ ชาต,ิ ชาติเปน ปจ จยั ใหเ กดิ ชรา-มรณะ-ทกุ ข (โดยนยั นี้ เปน ทกุ ขล ะเอยี ด)
ฯลฯ

- แมเ หตปุ จ จยั ปรงุ แตง ฝา ยบาปอกศุ ล (อปญุ ญาภสิ งั ขาร) หรอื ฝา ยกศุ ลธรรมที่
ไมห วน่ั ไหว ไดแ ก “ปญ จมฌาน” และ “อรปู ฌาน” เปน ตน กย็ อ มตอ งเปลย่ี นแปลงไป
ตามเหตปุ จ จยั ณ ภายใน ตามสายปฏจิ จสมปุ บาทธรรมทนั ที โดยนยั เดยี วกนั

- ไดเ หน็ แจง แทงตลอดในพระไตรลกั ษณต ามพทุ โธวาทวา “ยทนจิ จฺ ํ ตํ ทกุ ขฺ ,ํ ยํ ทกุ ขฺ ํ
ตทนตตฺ า” สง่ิ ใดไมเ ทย่ี ง สงิ่ นน้ั ยอ มเปน ทกุ ข สง่ิ ใดเปน ทกุ ข สง่ิ นนั้ แหละเปน อนตั ตา
และเหน็ ตามพทุ ธดำรสั ใน “อนตั ตลกั ขณสตู ร” อกี วา “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะรปู เปน อนตั ตา
รปู นน้ั จงึ เปน ไปเพอื่ อาพาธ” และไดร แู จง เหน็ จรงิ ชดั ตามพทุ ธดำรสั ตรสั สอนวปิ ส สนาวธิ วี า

“สพเฺ พ สงขฺ ารา อนจิ จฺ าติ ยทา ปญฺ าย ปสสฺ ติ
อถ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ ทกุ เฺ ข เอส มคโฺ ค วสิ ทุ ธฺ ยิ า.
สพเฺ พ สงขฺ ารา ทกุ ขฺ าติ ...
สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ าติ ยทา ปญฺ าย ปสสฺ ติ
อถ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ ทกุ เฺ ข เอส มคโฺ ค วสิ ทุ ธฺ ยิ า.”

แปลความวา

146 ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา

“เมอ่ื ใดทภี่ กิ ษเุ หน็ ดว ยปญ ญาวา สงั ขารทงั้ ปวงไมเ ทย่ี ง เมอ่ื นนั้
เธอยอ มเบอื่ หนา ยในทกุ ข นเี้ ปน ทางแหง ความหมดจด เมอ่ื ใดทภี่ กิ ษุ
เหน็ ดว ยปญ ญาวา สงั ขารทงั้ ปวงเปน ทกุ ข ... วา ธรรมทงั้ ปวงเปน อนตั ตา
เมอื่ นน้ั เธอยอ มเบอ่ื หนา ยในทกุ ข นเี้ ปน ทางแหง ความหมดจด”

(๑.๓) ขน้ั เจรญิ ภาวนามยปญ ญาถงึ โลกตุ ตรปญ ญา

ปญญาอันเห็นแจงในสภาวสังขารธรรมตามท่ีเปนจริงวา “ไมเท่ียง-เปนทุกข-
เปน อนตั ตา” น้ี นำไปสคู วามเหน็ แจง สายปฏจิ จสมปุ บาทธรรม และนำไปสคู วามเหน็ แจง
พระอรยิ สจั ๔ โดยญาณ ๓ คอื สจั จญาณ ๑ กจิ จญาณ ๑ และกตญาณ ๑ (มอี าการ ๑๒)
ดว ยการทไี่ ดท ง้ั รู และทง้ั เหน็ สภาวธรรม และอรยิ สจั จธรรมตามทเ่ี ปน จรงิ อนั เปน ทาง
มรรค-ผล-นพิ พาน ตามระดบั ภมู ธิ รรมทป่ี ฏบิ ตั ไิ ด อยา งมปี ระสทิ ธภิ าพ

- เมอ่ื ปฏบิ ตั สิ มถวปิ ส สนาภาวนาตอ ๆ ไป อยา งนี้ ยอ มไดเ ขา ถงึ ไดร -ู เหน็ และ
ไดส มั ผสั กายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม ทง้ั ณ ภายใน ละเอยี ด
เขาไปถึงกายทิพย-กายทิพยละเอียด, กายรูปพรหม-กายรูปพรหมละเอียด และ
กายอรปู พรหม-อรปู พรหมละเอยี ด ฯลฯ และทง้ั ณ ภายนอก คอื กายสว นทห่ี ยาบกวา
ไดต ามทเี่ ปน จรงิ เปน การเจรญิ ปญ ญาจากการทไี่ ดท งั้ รแู ละทง้ั เหน็ เปน “ภาวนามยปญ ญา”
ทถี่ กู ตอ ง และตรงทางใหถ งึ ธรรมกาย (ธรรมเปน ทร่ี วมคณุ ธรรมของพระอรยิ เจา เรม่ิ
ตง้ั แตโ คตรภญู าณขน้ึ ไป) ใหเ จรญิ โลกตุ ตรปญ ญา (มรรคจติ และมรรคปญ ญา) ไดอ ยา ง
แนน อนแทจ รงิ ทส่ี ดุ

- เมอ่ื ปฏบิ ตั ไิ ปโดยนยั เดยี วกนั นตี้ อ ๆ ไป ไดเ ขา ถงึ -ร-ู เหน็ และเปน ธรรมกายท่ี
ละเอยี ดๆ ตอ ๆ ไปจนสดุ ละเอยี ด ใหญ าณรตั นะของธรรมกายทลี่ ะเอยี ดและ
บรสิ ทุ ธ์ิ นน้ั แหละ คือ ธรรมปฏบิ ตั ติ ามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ถงึ “ธรรมกาย” ที่
เปนเหตุปจจัยใหโพชฌงค ๗ เกิดและเจริญขึ้น เปนองคแหงการตรัสรู
พระอรยิ สจั ๔ คอื ไดท ง้ั ร-ู เหน็ และไดท ง้ั สมั ผสั ฯลฯ สภาวธรรมตามทเ่ี ปน
จริง ดวยตนเอง โดยอาศัยญาณรัตนะของธรรมกายที่บริสุทธิ์น้ัน พิจารณา

ตอนท่ี ๒ ขั้นวปิ ส สนาภาวนา 147

อริยสัจ ๔ ในกายมนุษย-กายทิพย-กายรูปพรหม-กายอรูปพรหม ใหเห็นแจง
แทงตลอด “พระไตรลักษณ” คือ เห็นแจงสภาวะความเปนของไมเท่ียง
(อนจิ จฺ ตา) เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ตา) และสภาพทมี่ ใิ ชต วั ตน (อนตตฺ ตา) นำไปสคู วาม
เหน็ แจง ในอรยิ สจั ๔ โดยญาณ ๓ (สจั จญาณ-กจิ จญาณ-กตญาณ) มอี าการ ๑๒
เปนโลกุตตรปญญา ใหบรรลุมรรค-ผล -นิพพาน ตามรอยบาทพระพุทธองค
ได อยา งแนน อนทสี่ ดุ

สมตามพระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั ิ อนั จะเปน เหตใุ หส ตสิ มั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ
เจรญิ บรบิ รู ณ และเปน ไปเพอื่ ละนวิ รณ ซงึ่ เปน ฝา ยทำใหจ กั ษคุ อื ปญ ญามดื มวั ไมแ จม แจง
ขอ ปฏบิ ตั เิ ปน เหตใุ หส ตสิ มั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ มี ๔ ประการ๖๗ คอื

๑) การเจริญสติสัมปชัญญะ คือ การที่พระโยคาวจรมีสติพิจารณาเห็นกายในกาย
เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรมเนืองๆ โดยปริยายแหงสติปฏฐาน ๔ เมื่อ
พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งน้ี สตสิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ

๒) การหลกี เวน คนลมื สติ คอื การทพี่ ระโยคาวจรหลกี หนใี หไ กล ไมเ ขา ไปคลกุ คลี
บุคคลผูไมมีสติพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ผู
หลงลมื สติ เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ สตสิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ

๓) การคบหาคนมสี ตติ ง้ั มนั่ คอื การทพี่ ระโยคาวจรคบหาบคุ คลผปู รารถนาความเพยี ร
มีสติพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรมเนืองๆ เม่ือ
พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งน้ี สตสิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ

๔) ความนอ มจติ ไปในสตสิ มั โพชฌงคน นั้ คอื การทพี่ ระโยคาวจรนอ มจติ ไปเพอ่ื ให
สตสิ มั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ ในอริ ยิ าบถทง้ั หลาย มี ยนื เดนิ นง่ั เปน ตน เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ด
อยา งน้ี สตสิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้

สติสัมโพชฌงคน้ี ที่เกิดข้ึนดวยเหตุ ๔ ประการดังกลาวนี้ ยอมเจริญเต็มท่ีเม่ือ
พระโยคาวจรบรรลอุ รหตั ตมรรค

๖๗ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๒๔.

148 ตอนท่ี ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา

(๒) เหตเุ กดิ ธรรมวจิ ยสมั โพชฌงค

พระผูมีพระภาคไดตรัสแสดงธรรมอันเปนอาหาร หรือเหตุเกิดแหงธรรมวิจย-
สมั โพชฌงค วา

“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กอ็ ะไรเลา เปน อาหารใหธ รรมวจิ ยสมั โพชฌงคท ่ี
ยงั ไมเ กดิ ขน้ึ เกดิ ขนึ้ หรอื ทเี่ กดิ ขน้ึ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย
ธรรมทั้งหลายท่ีเปนกุศลและอกุศล ท่ีมีโทษและไมมีโทษ ท่ีเลวและ
ประณตี ทเี่ ปน สว นขา งดำและขา งขาว มอี ยู การกระทำใหม ากซง่ึ
โยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา นน้ั นเี้ ปน อาหารใหธ รรมวจิ ยสมั โพชฌงค
ทยี่ งั ไมเ กดิ ขนึ้ เกดิ ขน้ึ หรอื ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๖๘

พระพทุ ธดำรสั นเี้ ปน ธรรมทล่ี ะเอยี ดและลกึ ซง้ึ มาก ผเู จรญิ ภาวนาตามแนว

สติปฏฐาน ๔ ไดถึงธรรมกายและพระนิพพานของพระพุทธเจา ท่ีพระเดชพระคุณ
หลวงพอ วดั ปากน้ำ พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ทา นไดป ฏบิ ตั เิ ขา ถงึ -ไดร -ู ไดเ หน็ และ
ไดเ ปน ละเอยี ดเขา ไปจนสดุ ละเอยี ดแลว จงึ ไดแ นะนำใหศ ษิ ยานศุ ษิ ยศ กึ ษาและปฏบิ ตั ติ าม
ไดผลดีตามสมควรแกภูมิธรรมท่ีปฏิบัติไดนั้น จะเขาใจพระพุทธดำรัสน้ีวา เปนธรรมท่ี
ละเอยี ดและลกึ ซงึ้ มาก (ตามระดบั ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด) ดงั ตอ ไปนี้

โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ในพระพทุ ธดำรสั ทต่ี รสั วา “ธรรมทงั้ หลายทเ่ี ปน กศุ ลและอกศุ ล
ทมี่ โี ทษและทไ่ี มม โี ทษ ทเ่ี ลวและประณตี ทเี่ ปน สว นขา งดำและขา งขาว มอี ยู” ผเู จรญิ
ภาวนาตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ไดถ งึ ธรรมกายทลี่ ะเอยี ดๆ ใสบรสิ ทุ ธด์ิ แี ลว เพยี งไร ยอ มได
ทง้ั รทู งั้ เหน็ ธรรมเหลา น้ี ดว ยทพิ พจกั ษ-ุ ทพิ พโสต-สมนั ตจกั ษุ ถงึ พทุ ธจกั ษุ (ญาณรตั นะของพระ
ธรรมกาย) ทบี่ รสิ ทุ ธล์ิ ว งมงั สจกั ษขุ องมนษุ ย ตามรอยบาทพระพทุ ธองค ตามระดบั ภมู ธิ รรม
ทปี่ ฏบิ ตั ไิ ดเ พยี งนน้ั เปน การเจรญิ ปญ ญาจากการทไ่ี ดท ง้ั รแู ละทง้ั เหน็ วา

(๒.๑) ธาตธุ รรมทเ่ี ปน สว นขา งดำ หรอื ทขี่ นุ มวั /เศรา หมอง ไมผ อ งใส น้ัน
กค็ อื ธาตธุ รรมรวมทงั้ พฤตกิ รรม และ/หรอื ความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ างกาย-ทางวาจา

๖๘ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๖๖, หนา ๙๖.

ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา 149

และทางใจ (เจตนาความคดิ อา น) ทเ่ี ปน ขา งฝา ย “บาปอกศุ ล” คอื ทช่ี วั่ รา ย-เลวทราม

และทมี่ โี ทษ-เปน ความทกุ ขเ ดอื ดรอ น หรอื ทเ่ี รยี กอกี อยา งหนงึ่ วา “ฝา ยอธรรม”

หรอื “ฝายมิจฉาทิฏฐิ” หรือ “ธาตุธรรมภาคมาร” เปนธรรมชาติท่ีขัดขวางคุณ
ความดี ไดแก กิเลสมาร มาร คือ กิเลส (รวมทั้งอวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน) ขันธมาร

มาร คือ เบญจขันธ เปนธรรมชาติท่ีประกอบดวยปจจัยปรุงแตงที่มีชีวิต/มีวิญญาณครอง
ชอื่ วา “อปุ าทนิ นกสงั ขาร” ทต่ี อ งตกอยใู นอาณตั แิ หง พระไตรลกั ษณ (อนจิ จฺ -ํ ทกุ ขฺ -ํ อนตตฺ า)

เปน มจั จมุ าร คือ เปน มตธรรมทตี่ อ งตาย แลว กเ็ กดิ ใหม เมอื่ มเี หตปุ จ จยั ปรงุ แตง ให

ตอ งถงึ ชาต-ิ ชรา-มรณะ-โสกะ ปรเิ ทวะ-ทกุ ข- โทมนสั -อปุ ายาส ตอ งเวยี นวา ยตายเกดิ

อยใู นสงั สารจกั รอนั เปน ทกุ ขต อ ๆ ไป ไมม ที สี่ นิ้ สดุ อกี ทงั้ ภพภมู อิ ยา งตำ่ สดุ คอื ทคุ คตภิ พ
รวมท้ังวัตถุธาตุธรรมภาคดำ อันเปนท่ีสถิตอยูของสัตวโลกภาคมาร ที่ชื่อวา
“เทพบุตร-เทพธิดา มาร”

ธาตธุ รรมสว นขา งดำ หรอื ภาคมาร ทงั้ หมดนม้ี มี าในพระบาลวี า “อกสุ ลา ธมมฺ า”

ซงึ่ ลว นมที มี่ าอนั เปน เหตใุ นเหตไุ ปจนถงึ ตน ๆ เหตุ ทผ่ี ปู ฏบิ ตั ถิ งึ ธรรมกายทสี่ ดุ ละเอยี ดเขา ไปร-ู

ไปเห็นวา มี “ตนธาตุตนธรรมภาคดำ หรือ ฝายมาร” ที่คอยสอดละเอียด
ธาตธุ รรมภาคดำของเขาเขา มาสจู ติ ตสนั ดานของสตั ว โดยประการ เขา มา หมุ -
เคลอื บ-เอบิ อาบ-ซมึ ซาบ-ปนเปน อยใู นธาตธุ รรม เหน็ -จำ-คดิ -รู คอื “จติ ใจ”
ดว ย “อธรรม” ของเขาตาม “สายปฏจิ จสมปุ บาทธรรม” คอื อวชิ ชาเปนปจจัยให

เกิดสังขาร, สังขารเปนปจจัยใหเกิดวิญญาณ, ... อุปาทาน/กรรมเปนปจจัยใหเกิดภพ,
ภพเปนปจจัยใหเกิดชาติ, ชาติเปนปจจัยใหเกิดชรา-มรณะ-โสกปริเทวะ-ทุกข-โทมนัส-
อปุ ายาส

กเิ ลส-อวชิ ชา เปน ตน นนั้ เมอ่ื สะสมหมกั ดองอยใู นจติ ตสนั ดานของสตั วม ากเขา
ชื่อวา “อาสวะ” เมื่อตกตะกอนนอนเนื่องในจิตตสันดานของสัตวมากๆ เขา ช่ือวา
“อนสุ ยั ” ทคี่ อยดลจติ ดลใจใหส ตั วโ ลกนน้ั ปฏบิ ตั ติ ามอำนาจของมนั -เปน โทษ เปน ความ

150 ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา

ทกุ ขเ ดอื ดรอ นทงั้ ในภพชาตปิ จ จบุ นั และทง้ั ในสมั ปรายภพ คอื ภพชาตติ อ ๆ ไป ไมม ที ส่ี น้ิ สดุ

สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา จงึ ไดต รสั สอนพระภกิ ษวุ า “การกระทำใหม าก ซงึ่ โยนโิ ส-
มนสิการ ในธรรม [ที่เปนสวนขางดำและขางขาว ฯลฯ] เหลาน้ัน นี้เปนอาหารให
ธรรมวจิ ยสมั โพชฌงค ทยี่ งั ไมเ กดิ ขนึ้ ใหเ กดิ ขนึ้ หรอื ทเ่ี กดิ ขนึ้ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” และ
ไดต รสั ใน “ตลิ กั ขณคาถา” วา

“กณหฺ ํ ธมมฺ ํ วปิ ปฺ หาย สกุ กฺ ํ ภาเวถ ปณฑฺ โิ ต”

แปลความวา

“บัณฑิตควรละธรรมดำเสีย ยังธรรมขาวใหเจริญ”

ธาตธุ รรมภาคดำ มกี เิ ลสอวชิ ชา เปน ตน เหลา นเ้ี อง ทคี่ อยปกปด -บดิ เบอื น
ขอมูล ปดหู-ปดตา-ปดใจ ของสัตวโลกมิใหเจริญวิชชา กำจัดอวิชชา กิเลส-
ตณั หา-อปุ าทาน ใหส ามารถเปด ตา (ทพิ พจกั ษ-ุ สมนั ตจกั ษ-ุ พทุ ธจกั ษ)ุ ใหร เู หน็
นรก-สวรรค-นิพพานตามท่ีเปนจริงได นับภพนับชาติไมถวน แถมยังชี้นำ-
แนะนำผดิ ๆ ใหผ อู นื่ หลงโงต ามไปดว ยมากตอ มาก เมอื่ แตกกายทำลายขนั ธค อื
ตาย ก็ไปเกิดในทุคคติภูมิกันมากมายกายกอง นาสะพรึงกลัว ท่ีกระทำ
บาปอกุศลหนักก็ถึงอเวจีมหานรก และท่ีหนักดวยมิจฉาทิฏฐิก็ถึงโลกันตนรก
ไตอยูตามขอบจักรวาลย้ัวเย้ียไปหมด

ผเู จรญิ สมถะ-วปิ ส สนา อนั ประดบั ดว ยอภญิ ญาและวชิ ชา คณุ เครอ่ื งชว ย
ใหเ หน็ สภาวธรรมและอรยิ สจั จธรรมตามทเ่ี ปน จรงิ อยา งนี้ “วปิ ส สนาญาณ” ยอ มเจรญิ
ข้ึนถึงและผานอุทยัพพยานุปสสนาญาณ (ญาณตามเห็นความเกิดและดับแหงนามรูป),

ภงั คานปุ ส สนาญาณ (ญาณตามเหน็ จำเพาะความดบั เดน ชดั ขน้ึ มา), ภยตปู ฏ ฐานญาณ (ญาณ
อนั เหน็ สงั ขารปรากฏเปนของนา กลัว), อาทนี วานปุ ส สนาญาณ (ญาณคำนงึ เหน็ โทษของ
สงั ขาร), นพิ พทิ าญาณ (ญาณคำนงึ เหน็ สงั ขารธรรมมเี บญจขนั ธ เปน ตน ดว ยความเบอื่ หนา ย)
มญุ จติ กุ มั ยตาญาณ (ญาณหยงั่ รอู นั ใหใ ครจ ะพน ไปจากการครองขนั ธแ ละการเวยี นวา ยตาย

ตอนที่ ๒ ขน้ั วิปส สนาภาวนา 151

เกดิ ในสงั สารจกั รอนั เปน ทกุ ข, ปฏสิ งั ขานปุ ส สนาญาณ (ญาณอนั พจิ ารณาทบทวนเพอ่ื จะหา
ทางออกจากทุกข) , สังขารุเปกขาญาณ (ญาณอันเปนไปโดยความเปนกลางวางเฉย คือ
ไมย นิ ดยี นิ รา ยในเบญจขนั ธ) และ สจั จานโุ ลมกิ ญาณ (ญาณเปน ไปโดยควรแกก ารหยงั่ รอู รยิ สจั )
ไดอ ยา งรวดเรว็ แนน อน

โดยเฉพาะอยางยิ่ง พระมหาโพธิสัตวเจา ผูไดรับพุทธพยากรณแลว ทาน
ยอ มดำรงอยใู นสจั จานโุ ลมกิ ญาณภมู นิ ี้ เปน ปรกติ จนกวา จะเจรญิ บารม-ี อปุ บารม-ี
ปรมตั ถบารมี เตม็ สว นหมดทงั้ ๑๐ ประการ เปน บารมี ๓๐ ทศั ในภพชาตใิ ด กจ็ ะตรสั รู
และบรรลมุ รรคผลนพิ พานเปน พระพทุ ธเจา ตง้ั แตภ พภมู นิ น้ั ได (อาจมชี ว งระยะกาล

รอเวลาทจ่ี ะเหมาะแกก ารเสดจ็ อบุ ตั ขิ น้ึ ในมนษุ ยโ ลกดว ยรปู กายอบุ ตั แิ ละธรรมกายอบุ ตั )ิ

(๒.๒) ธาตธุ รรมทเ่ี ปน สว นขา งขาว หรอื ทบ่ี รสิ ทุ ธผิ์ อ งใส นน้ั กค็ อื ธาตธุ รรม
รวมทง้ั พฤตกิ รรม และ/หรอื ความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ างกาย-ทางวาจา และทางใจ
(เจตนาความคดิ อา น) ทเ่ี ปน ขา งฝา ย “บญุ กศุ ล” หรอื คณุ ความดี ทเี่ ปน คณุ กลา วคอื
ใหเ ปน ความเจรญิ สนั ตสิ ขุ หรอื ทเ่ี รยี กอกี อยา งหนงึ่ วา “ฝา ยธรรมะ” หรอื ธาตธุ รรม
ฝา ย/ภาคพระ” เปน ธรรมชาตทิ เ่ี สรมิ สรา งคณุ ความดี ใหบ งั เกดิ ความเจรญิ และ
สันติสุข ยิ่งๆ ขึ้นไป จนถึงความพนทุกขและเปนบรมสุขอยางถาวรตลอดไป

ไดแก ทานกุศล-ศีลกุศล-ภาวนากุศล, ศีล-สมาธิ-ปญญา, อธิศีล-อธิจิต-อธิปญญา,

ปฐมมรรค-มรรคจติ -มรรคปญ ญา, “ธรรมกาย” เปน ธรรมทร่ี วมหรอื ทปี่ ระชมุ คณุ ธรรม
ของพระอริยสงฆ/อริยเจา ถึงของพระพุทธเจา ต้ังแตธรรมกายโคตรภู-ธรรมกาย
โคตรภูละเอียด, ธรรมกายพระโสดา-พระโสดาละเอียด, ธรรมกายพระ
สกทาคามี-พระสกทาคามีละเอียด, ธรรมกายพระอรหัต-ธรรมกายพระอรหัต
ละเอียด ถึงธรรมกายตรัสรูเปนพระพุทธเจา สุดละเอียด ถึงพระพุทธเจา
ตน ธาต-ุ ตน ธรรมฝา ยบญุ /ฝา ยสมั มาทฏิ ฐิ หรอื ภาคพระ

152 ตอนที่ ๒ ขัน้ วปิ สสนาภาวนา

ธาตธุ รรมสว นขา งขาว หรอื ภาคพระ ทงั้ หมดน้ี พระบาลวี า “กสุ ลา ธมมฺ า”
นนั้ กม็ ที ม่ี าจาก ตน ธาตตุ น ธรรมฝา ยบญุ หรอื ฝา ยสมั มาทฏิ ฐิ หรอื ตน ธาตตุ น ธรรม
ภาคพระ ทค่ี อยสอดละเอยี ดธาตธุ รรมภาคขาว หรอื ฝา ยบญุ กศุ ล หรอื ฝา ย
สมั มาทฏิ ฐิ นบั ตง้ั แตท านกศุ ล-ศลี กศุ ล-ภาวนากศุ ล, ศลี -สมาธ-ิ ปญ ญา, อธศิ ลี -อธจิ ติ -

อธิปญญา (อันมีนัยอยูในอริยมรรคมีองค ๘), ปฐมมรรค-มรรคจิต-มรรคปญญา และ

“ธรรมกาย” คือ ธรรมที่ประชุมคุณธรรมของพระอริยสงฆ/พระอริยเจา ถึงของ
พระพทุ ธเจา เปน ตน เขา มาสจู ติ ตสนั ดานของสตั ว เปน คณุ เครอ่ื งชำระจติ ตสนั ดาน
ของสตั วใ หส ะอาดบรสิ ทุ ธจ์ิ ากอกศุ ลธรรม (อกสุ ลาธมั มา) หรอื ใหห ลดุ พน จากธาตุ
ธรรมของภาคมาร ทเี่ ปน เหตเุ ปน ปจ จยั ใหต อ งตกอยใู นไตรวฏั ฏะ คอื กเิ ลสวฏั ฏะ

กรรมวฏั ฏะ และวปิ ากวฏั ฏะ (คอื ความมกี เิ ลส แลว ประกอบกรรมอนั เปน บาปอกศุ ล แลว

ใหไ ดร บั ผลเปน ความทกุ ขเ ดอื ดรอ นตอ ๆ ไป ไมม ที สี่ น้ิ สดุ ) น้ัน ใหก ลบั เปน ความเจรญิ
และสนั ตสิ ขุ และถงึ ทสี่ ดุ แหง ทกุ ข คอื ถงึ ความพน ทกุ ข และเปน บรมสขุ อยา ง
ถาวรตลอดไปไดในที่สุด

กุสลาธัมมา คือ ธรรมฝายบุญกุศล หรือ ธรรมภาคพระน้ี เมื่อผูปฏิบัติ
แกก ลา ยงิ่ ขน้ึ กจ็ ะกลนั่ ตวั เองเปน บารมี ไดแ ก ทานบารมี ศลี บารมี เนกขมั มบารมี
ปญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี
และอุเบกขาบารมี และเมื่อแกกลาย่ิงขึ้น ก็จะกล่ันตัวเองเปนอุปบารมี และ
ปรมตั ถบารมี ตามลำดบั

สำหรับผูศึกษาสัมมาปฏิบัติธรรม ที่ไดบำเพ็ญบุญกุศลคุณความดี ไดแกกลาเปน

“บารมี” คุณความดีอยางย่ิงยวดข้ึนไปตามลำดับถึงเปน “ปรมัตถบารมี” ครบทั้ง ๑๐
ประการ รวมเปน บารมี ๓๐ ทศั ในภพชาตใิ ด กจ็ ะเปน พลงั ใหส ามารถจะบำเพญ็ สมณธรรม

ถึงมรรค-ผล-นิพพาน ท่ีสิ้นสุดแหงทุกข และเปนบรมสุขอยางถาวรตามรอยบาท
พระพทุ ธองคใ นภพชาตนิ น้ั ได

ตอนที่ ๒ ขั้นวปิ ส สนาภาวนา 153

(๒.๓) สว นธาตธุ รรมภาคกลางๆ ไมด -ี ไมช วั่ ชอ่ื วา “อพั ยากตาธมั มา” น้ัน

เมื่อธาตุธรรมฝายใดมีอำนาจในการครอง “จิตใจ” ของสัตว ก็เปนไปตามธรรมของ
ฝายนั้น เปนตนวา “การเดิน” เปนกิริยากลางๆ แตเม่ือ “อธรรม” ไดแก กิเลสหยาบ
ประเภทอภชิ ฌา-พยาบาท-มจิ ฉาทฏิ ฐิ หรอื ราคะ-โทสะ-โมหะ เขา ครอบงำจติ ใจ ดลจติ
ดลใจใหประพฤติปฏิบัติชั่วราย เปนบาปอกุศล ไปตามอำนาจของมัน อันใหผลเปนโทษ-
เปน ความทกุ ขเ ดอื ดรอ นตอ ๆ ไป

แตถ า “ธรรมะ” ฝา ยบญุ กศุ ล ไดแ ก ทานกศุ ล-ศลี กศุ ล-ภาวนากศุ ล เปน ตน เกดิ

ขึ้นในจิตตสันดาน ดลจิตใจใหประพฤติปฏิบัติเปนบุญกุศล/คุณความดี ก็มีผลใหไดรับ
ความเจรญิ และสนั ตสิ ขุ ไปตามระดบั ภมู ธิ รรมทป่ี ฏบิ ตั ไิ ด

ธาตธุ รรมทง้ั ๓ ฝา ยนี้ เมอื่ เกดิ ขน้ึ ในจติ ใจ หรือ เมอ่ื ตง้ั อยใู นจติ ตสนั ดาน คอื
ในธาตธุ รรม เหน็ -จำ-คดิ -รู กต็ งั้ อยตู รงกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ คอื ตรงศนู ยก ลาง
กาย (ฐานท่ี ๗) ของสตั วน นั้ เอง ดงั นี้

- ธาตธุ รรมฝา ยขาว หรอื ภาคพระ หรอื ฝา ยบญุ กศุ ลในระดบั โลกยิ ธรรม
จะปรากฏขึ้น และ/หรือ ต้ังอยู กลางธาตุธรรม (ดวงธรรมท่ีทำใหเปนกาย) และ
เหน็ -จำ-คดิ -รู คือ “จติ ใจ” ของสตั วโ ลก จากสดุ หยาบ คอื กายมนษุ ยห ยาบ-ละเอยี ด

ตอ ๆ ไปถงึ กายสดุ ละเอยี ด คอื กายอรปู พรหม-อรปู พรหมละเอยี ด

สว นธรรมฝา ยขาวหรอื ภาคพระ ใน “ระดบั โลกตุ ตรธรรม” จะปรากฏขนึ้ และ
ต้ังอยูตรงศูนยกลางธรรมกาย เต็มธาตุธรรม (ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน ธรรมกาย) และ
เห็น-จำ-คิด-รู ซ่ึงเจริญขึ้นเปน “ญาณรัตนะ” ซ่ึงมีขนาดเทาหนาตักและความสูงของ
ธรรมกาย ตั้งแต ธรรมกายโคตรภูหยาบ-ละเอียด ... ถึงธรรมกายพระอรหัต-
พระอรหัตละเอียด ถึงธรรมกายตรัสรูเปนพระพุทธเจา ลวนมีวรรณะขาว
ใส บริสุทธิ์ และ มีรัศมีสวาง ตามศักด์ิแหงบุญบารมี และระดับภูมิธรรมที่
ปฏิบัติได

154 ตอนท่ี ๒ ขน้ั วิปส สนาภาวนา

- ธาตธุ รรมฝา ยดำ หรอื ภาคมาร หรอื ฝา ยบาปอกศุ ล เชน กเิ ลสาสวะ
อนสุ ยั กเิ ลส และตณั หา ตา งๆ จะปรากฏ หมุ -เคลอื บ-เอบิ อาบ-ซมึ ซาบ-ปนเปน ฯลฯ
อยูในธาตุธรรม และเห็น-จำ-คิด-รู คือ “จิตใจ” ของสัตว โดยตั้งอยูรอบนอก
ธาตธุ รรมฝา ยขาว หรอื ภาคพระ ออกไป ยงั ผลใหธ าตธุ รรมและ เหน็ -จำ-คดิ -รู คอื
“จติ ใจ” ของสตั ว เปน ธรรมชาตทิ เี่ ศรา หมอง ขนุ มวั ไมผ อ งใส ถงึ มวี รรณะดำจรงิ ๆ
เชน ดวงแก- ดวงเจบ็ -ดวงตาย เปน ตน

- สว น ธาตธุ รรมฝา ยกลางๆ จะปรากฏระหวา งกลางธาตธุ รรม ๒ ฝา ย ทก่ี ลา ว

ขา งตน

เพราะเหตนุ น้ั หลวงพอ วดั ปากน้ำ พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ผปู ฏบิ ตั ธิ รรม
ตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ถงึ ธรรมกาย และถงึ พระนพิ พานของพระพทุ ธเจา จงึ ไดส อนให

เจรญิ สมถวปิ ส สนากมั มฏั ฐาน โดยประการ ใหร วมธรรมชาติ ๔ อยา ง (เหน็ -จำ-คดิ -ร)ู
ของใจ ใหห ยดุ ในหยดุ กลางของหยดุ กลางของกลางๆๆๆ กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ
น้ันถูกธาตุธรรมขางฝายขาว หรือ ฝายบุญ หรือ ธรรมภาคพระ และเปนที่ต้ัง

ของดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กาย และเหน็ -จำ-คดิ -รู คอื “จติ ใจ” เพอื่ อบรมใจใหห ยดุ -นง่ิ
เปน สมาธติ ง้ั มนั่ ผอ งใสจากกเิ ลสนวิ รณเ ครอื่ งกนั้ ปญ ญา และออ นโยนควรแกง าน เจรญิ
อภญิ ญาและวชิ ชา คณุ เครอ่ื งชว ยใหเ หน็ แจง รแู จง สภาวธรรมและอรยิ สจั จธรรม ตามท่ี

เปนจริง และใหดับหยาบไปหาละเอียด เปนการทำนิโรธดับสมุทัย ตามนัย
แหงอริยสัจ ๔ โดยประการ ละอกุศลจิตของกายในภพ ๓ ใหหลุดพนจาก
ธาตธุ รรมภาคดำ หรอื ฝา ยมาร และไดเ ขา ถงึ -ไดร -ู ไดเ หน็ -ไดเ ปน กายในกาย
เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม ฝา ยบญุ กศุ ล และถงึ “ธรรมกาย”
ธรรมฝายขาวใสบริสุทธิ์ อันเปนธรรมที่รวม หรือ ประชุมคุณธรรมของพระ
อรยิ สงฆ/ พระอรยิ เจา ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป ถงึ ธรรมกายพระอรหตั และธรรมกายตรสั รู
เปนพระพุทธเจา ตามศักด์ิแหงบารมี และตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติตาม

ตอนที่ ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา 155

รอยบาทพระพทุ ธองคไ ด นนั้ แหละ คอื ธรรมภาคพระ โดยแท สมตามพระพทุ ธ-

ดำรสั ทต่ี รสั ในตลิ กั ขณคาถา วา

“บณั ฑติ พงึ ละธรรมดำ ยงั ธรรมขาวใหเ จรญิ ”

อน่ึง เพื่อใหเขาใจเหตุและผลของการปฏิบัติภาวนาตามแนวสติปฏฐาน ๔ ถึง

ธรรมกาย และถงึ พระนพิ พานของพระพทุ ธเจา ทพ่ี ระเดชพระคณุ หลวงพอ วดั ปากน้ำ
พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ทา นไดป ฏบิ ตั แิ ละสอน จงึ ขออธบิ ายเพม่ิ เตมิ เพอื่ ให

เขา ใจยงิ่ ขน้ึ ดงั น้ี

เมอื่ โอกกนั ตสิ มยั ทส่ี ตั วผ หู ยง่ั ลงสคู รรภม ารดา คอื มาตงั้ ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณในมดลกู
ของมารดาในเบื้องตน เปน “กลลรูป” ดวยบุญกุศลระดับ “มนุษยธรรม” ปรุงแตง
(ปุญญาภิสังขาร) ใหมาเกิดเปนมนุษย ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม น้ัน มาดวย
“รปู ขนั ธ” ของกายมนษุ ยล ะเอยี ด และ “นามขนั ธ ๔” (เวทนา-สญั ญา-สงั ขาร-วญิ ญาณ)
ขยายสว นหยาบออกมาจากธาตลุ ะเอยี ดของขนั ธ ๕ ซงึ่ ตงั้ อยกู ลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ
ของกายมนษุ ยล ะเอยี ด นน่ั แหละ คอื ธาตลุ ะเอยี ดของ “รปู ขนั ธ” เปน ดวงใสบรสิ ทุ ธขิ์ นาด
เทา ประมาณเมลด็ โพธิ/์ เมลด็ ไทร ขยายสว นหยาบออกมาเปน “ดวงกาย” ขนาดมาตรฐาน
ปานกลาง ประมาณเทา ฟองไขแ ดงของไขไ ก มีธาตลุ ะเอยี ดของมหาภตู รปู ๔ คอื “ธาตนุ ำ้ ”
เปนดวงกลมใสอยูดานหนา “ธาตุดิน” อยูดานขวา “ธาตุไฟ” อยูดานขางหลัง และ
“ธาตุลม” อยูขางซาย มีสายใยเช่ือมโยงจากธาตุทั้ง ๔ มาตรงกลาง ซ่ึงเปนท่ีตั้งของ
“อากาศธาตุ” ตรงกลางอากาศธาตเุ ปน “วญิ ญาณธาตุ” เปน ดวงใสบรสิ ทุ ธิ์ และมรี ศั มี
สวา ง มากนอ ยตามระดบั ภมู ธิ รรมทส่ี ง่ั สมอบรมมา

อนง่ึ ตามสาย “ปฏจิ จสมปุ บาทธรรม” นนั้ อวชิ ชาเปน ปจ จยั ใหเ กดิ สงั ขาร, สงั ขาร

เปนปจจัยใหเกิดวิญญาณ, วิญญาณเปนปจจัยใหเกิดนามรูป, นามรูปเปนปจจัยใหเกิด
สฬายตนะ, ... อปุ าทานเปน ปจ จยั ใหเ กดิ ภพ, ภพเปน ปจ จยั ใหเ กดิ ชาต,ิ ชาตเิ ปน ปจ จยั ให
เกดิ ชรา-มรณะ-ทกุ ข- โทมนสั -อปุ ายาส เปน ตน นนั้ จงึ ทำใหเ หน็ เหตปุ จ จยั ใหเ กดิ เบญจขนั ธ
วา


Click to View FlipBook Version