The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระมงคลเทพมุนี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by drmcuschool, 2020-06-30 09:17:06

สติปัฏฐาน4

พระมงคลเทพมุนี

Keywords: ธรรม

156 ตอนที่ ๒ ขัน้ วปิ สสนาภาวนา

๑) อวชิ ชา-ตณั หา-อปุ าทาน-กรรม และอาหาร ซงึ่ ธาตลุ ะเอยี ดของมหาภตู รปู ๔ ไดแ ก
ธาตุนำ้ -ธาตุดิน-ธาตุไฟ-ธาตุลม น่ันแหละ ทำหนาที่ปรุงแตงอาหารซ่ึงเปนธาตุหยาบ
ใหธ าตลุ ะเอยี ดของรปู ขนั ธซ งึ่ ตง้ั อยตู รงกลาง “กลลรปู ” เจรญิ เตบิ โตขน้ึ เปน กายเนอ้ื เปน
“รปู ขนั ธ” สว นหยาบ

๒) อวชิ ชา-ตณั หา-อปุ าทาน-กรรม และผสั สะ เปน ปจ จยั ใหเ กดิ “นามขนั ธ ๓” คอื
เวทนา-สญั ญา และสงั ขาร

๓) อวชิ ชา-ตณั หา-อปุ าทาน-กรรม และรปู ขนั ธ กับ นามขนั ธ ๓ เปน ปจ จยั ใหเ กดิ
“วญิ ญาณ” รวมเปน นามขนั ธ ๔ อนงึ่ อวชิ ชา กเ็ ปน ปจ จยั ใหเ กดิ สงั ขาร, สงั ขารกเ็ ปน
ปจ จยั ใหเ กดิ วญิ ญาณ, และวญิ ญาณกเ็ ปน ปจ จยั ใหเ กิด “นามรปู ” ดว ยเชน กนั

โดยนยั น้ี ตรงกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ซงึ่ แตเ ดมิ เปน ทตี่ ง้ั ของกลลรปู จงึ เปน ที่
ตงั้ ธาตลุ ะเอยี ดของทง้ั รปู ขนั ธ ๑ และทง้ั นามขนั ธ ๔ เปน ดวงกลมใส มขี นาดเลก็ ยง่ิ กวา
เมลด็ โพธ/์ิ เมลด็ ไทร ตงั้ ซอ นกนั อยเู ปน ชน้ั ๆ ตอ จากธาตลุ ะเอยี ดของรปู ขนั ธ กลางของกลาง
ซงึ่ กนั และกนั เขา ไปภายใน คอื

ธาตลุ ะเอยี ดของ “เวทนาขนั ธ” ตงั้ อยตู รงกลางธาตลุ ะเอยี ดของรปู ขนั ธ ขยาย
สวนหยาบออกมาเปน “ดวงเห็น” (เห็นดวยใจ) มีขนาดเทาเบาตาของผูเปนเจาของ มี
“ธาตเุ หน็ ” อยใู นทา มกลางนน้ั ทำหนา ทเี่ สวยอารมณส ขุ -ทกุ ข- ไมส ขุ ไมท กุ ข

ธาตุละเอียดของ “สัญญาขันธ” ต้ังอยูตรงกลางธาตุละเอียดของเวทนาขันธ
ขยายสว นหยาบออกมาเปน “ดวงจำ” ขนาดประมาณเทา ดวงตาทงั้ หมด มี “ธาตจุ ำ” อยู
ในทา นกลางนน้ั ทำหนา ทจี่ ดจำอารมณต า งๆ (รปู -เสยี ง-กลน่ิ -รส-โผฏฐพั พะ) ทมี่ ากระทบ

ธาตุละเอียดของ “สังขารขันธ” ต้ังอยูตรงกลางธาตุละเอียดของ สัญญาขันธ
ขยายสวนหยาบออกมาเปน “ดวงคิด” ขนาดประมาณเทาดวงตาดำ แตใสบริสุทธ์ิ มี
“ธาตคุ ดิ ” อยใู นทา มกลางนนั้ ดวงคดิ ลอยอยใู นเบาะนำ้ เลย้ี งของหวั ใจ (เมอ่ื แรกเกดิ ใสบรสิ ทุ ธ)์ิ
ประมาณเทา ๑ ซองมอื ของผเู ปน เจา ของ ทำหนา ทค่ี ดิ หรอื นอ มไปสอู ารมณ

ธาตุละเอียดของ “วิญญาณขันธ” ต้ังอยูตรงกลางธาตุละเอียดของสังขารขันธ

ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา 157

ใสบรสิ ทุ ธ์ิ ขยายสว นหยาบออกมาเปน “ดวงรู” ขนาดประมาณเทา ดวงตาดำ มี “ธาตรุ ”ู
อยใู นทา มกลางนนั้ ทำหนา ทร่ี บั รอู ารมณต า งๆ ทม่ี ากระทบ

“วญิ ญาณธาต”ุ ทต่ี ง้ั อยทู า มกลางอากาศธาตุ ตรงกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ (ทมี่ า
ตง้ั ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ) น้ัน เมอื่ ทำหนา ท่ี ธรรมชาติ ๔ อยา งของ “ใจ” กท็ ำหนา ทพี่ รอ ม
ดว ยธาตลุ ะเอยี ดของนามขนั ธ ๔ ซง่ึ ขยายสว นหยาบออกมา เปน ดวงเหน็ -ดวงจำ-ดวง
คดิ และดวงรู นแี้ หละ ทำหนา ทพ่ี รอ มกนั ดจุ ขา ยของใยแมงมมุ กลา วคอื เมอ่ื มอี ารมณ
ภายนอก (รปู -เสยี ง-กลนิ่ -รส-โผฏฐพั พะ) อะไรมากระทบ เหน็ -จำ-คดิ -รู กท็ ำหนา ทพ่ี รอ ม
กนั ทนั ที ดงั ตวั อยา ง เมอื่ มเี หตปุ จ จยั ฝา ยบญุ กศุ ล (กสุ ลาธมั มา) ใดมาปรงุ แตง “จติ ใจ”
(เห็น-จำ-คิด-รู) ก็เปลี่ยนวาระ คือ ตกศูนย (วางหายไป) ยังศูนยกลางกายฐานที่ ๖
ปรงุ เปน จติ ใจดวงใหม ตงั้ อยตู รงกลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายใหม เกดิ เปน เบญจขนั ธ
และภพ-ภมู ใิ หม (ตามสายปฏจิ จสมปุ บาทธรรม) คอื มที ง้ั รปู ธรรมหรอื รปู ขนั ธ (กายในกาย)
กบั ทง้ั นามธรรม คอื นามขนั ธ ๔ ทเี่ ปน สคุ ตภิ พดว ยปญุ ญาภสิ งั ขาร หรอื อเนญชาภสิ งั ขาร
ปรงุ แตง แลว แตก รณี ตามระดบั ภมู ธิ รรม ไดแ ก มนษุ ยธรรม-เทวธรรม-พรหมธรรม
ลอยเดน ขน้ึ มาตรงศนู ยก ลางกายฐานที่ ๗ และดลจติ ใจใหป ฏบิ ตั หิ รอื ดำเนนิ ชวี ติ ไปใน
ทางเจรญิ และสนั ตสิ ขุ และ/หรอื เมอ่ื ตายกน็ ำไปเกดิ ในภพ/ภมู ใิ หม เปน สคุ ตภิ พ

ถา เปน กรณอี ปญุ ญาภสิ งั ขารปรงุ แตง กจ็ ะเกดิ เบญจขนั ธ และภพ-ภมู ใิ หม ทเี่ ปน

ทุคคติภพ ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม ลอยเดนข้ึนมาตรงศูนยกลางกายฐานท่ี ๗
ดลจติ ดลใจใหป ฏบิ ตั ิ หรอื ดำเนนิ ชวี ติ ไปในทางเสอื่ ม เปน โทษ หรอื เปน ความทกุ ขเ ดอื ดรอ น และ/
หรอื นำใหไ ปเกดิ ในภพ/ภมู ใิ หม เปน ทคุ คตภิ พ

ไดเ หน็ สภาวะของสงั ขารธรรม คอื เบญจขนั ธ และภพ/ภมู ขิ องสตั ว ทปี่ ระกอบ
ดวยปจจัยปรุงแตงท่ีตองเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปจจัย (ฝายบุญกุศล-บาปอกุศล หรือ

ฌานทไี่ มห วน่ั ไหว) ทปี่ รงุ แตง ดบั แลว กเ็ กดิ ๆๆ ทนั ที ตามสายปฏจิ จสมปุ บาทธรรม
เปน ปจ จบุ นั ธรรม นเี้ ปน วปิ ส สนาปญ ญา อนั เหน็ แจง แทงตลอดในพระไตรลกั ษณ
จากการทไ่ี ดท ง้ั รแู ละทง้ั เหน็ อยา งชดั เจนแจม แจง ตามระดบั ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด

158 ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา

ธรรมปฏบิ ตั ิ โดยวธิ เี จรญิ วปิ ส สนามสี มถะเปน เบอ้ื งตน นี้ ชว ยใหโ พชฌงค
๗ โดยเฉพาะอยางย่ิง ทั้งสติสัมโพชฌงค และธัมมวิจยสัมโพชฌงค รวมทั้ง
วิปสสนาญาณ เจริญขึ้นอยางรวดเร็ว และโดยเฉพาะอยางย่ิง เม่ือผูปฏิบัติ
ไดถึงธรรมกายที่ละเอียดๆ ไป จนสุดละเอียด ยิ่งชวยใหวิปสสนาญาณเจริญ
ข้ึนถึงโคตรภูญาณ ไดทันที โดยไมตองผาน (เพราะไมเกิด) วิปสสนูปกิเลส
เหมือนอยางการเจริญภาวนาโดยวิธี “ธัมมุทธัจจวิคคหิตมานัส” ของผูเจริญ
ภาวนาทม่ี ไิ ดอ บรมจติ (สมถภาวนา) ใหต ง้ั มนั่ ในระดบั ฌานจติ เปน “สมั มาสมาธ”ิ
ใหจิตผองใส ควรแกงานเจริญอภิญญาและวิชชา คุณเครื่องชวยใหเจริญ
วปิ ส สนาปญ ญา จากการพจิ ารณาเหน็ กายในกาย เหน็ เวทนาในเวทนา เหน็ จติ ในจติ
และเหน็ ธรรมในธรรม ทงั้ ณ ภายนอก และ ณ ภายใน ใหเ หน็ แจง สภาวธรรมตาม
ธรรมชาตทิ เ่ี ปน จรงิ ดว ยการทไ่ี ดท งั้ รแู ละทง้ั เหน็ กอ น จงึ ยอ มมโี อกาสทจี่ ะเกดิ
วิปสสนูปกิเลสไดมาก

สว นผเู จรญิ ภาวนาตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ถงึ ธรรมกายและพระนพิ พาน
ของพระพทุ ธเจา พลงั สมถะและวปิ ส สนายอ มเจรญิ ไดส ดั สว นสมดลุ กนั อภญิ ญา
ไดแ ก ทพิ พจกั ษ-ุ ทพิ พโสต และวชิ ชา พรอ มทงั้ ญาณรตั นะของธรรมกายทบี่ รสิ ทุ ธ์ิ
ผองใส ยอมเกิดและเจริญข้ึน เปนคุณเคร่ืองชวยใหเห็นแจง-รูแจงสัจจธรรม
ตามทเ่ี ปน จรงิ (ตามระดบั ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด) วปิ ส สนปู กเิ ลสจงึ ไมเ กดิ ขน้ึ ดงั ตวั อยา ง
การพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม คอื อรยิ สจั ๔ ดงั น้ี

พงึ ทราบเปน ขอ มลู เบอ้ื งตน ไวก อ นวา การพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม คอื อรยิ สจั ๔
ดว ย “สจั จญาณ” นน้ั การพจิ ารณาเหน็ “ทกุ ข” และ “สมทุ ยั ” เหตแุ หง ทกุ ขในบคุ คลอน่ื

ผูมิไดศึกษาสัมมาปฏิบัติพระสัทธรรม จะเห็นปรากฏชัดเจนกวาการพิจารณาเห็น

“ทุกข” และ “สมุทัย” ในตนเอง หรือ ผูที่กำลังศึกษาสัมมาปฏิบัติดีอยูแลว หรือ ใน
พระอรยิ เจา เพราะธาต-ุ ธรรม (บญุ กศุ ล-บาปอกศุ ล) ไดร บั การชำระใหบ รสิ ทุ ธิ์ ผอ งใส

ตอนที่ ๒ ข้นั วปิ สสนาภาวนา 159

ไปในตวั ขณะปฏบิ ตั ธิ รรมอยแู ลว “ทกุ ข” และ “สมทุ ยั ” จงึ ปรากฏจางเบาบางลงตามระดบั
ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ดอ ยแู ลว

ในทางกลบั กนั สว นการพจิ ารณาเหน็ “นโิ รธ” และ “มรรค” ในตนเอง หรอื ผทู ก่ี ำลงั

ศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ดิ อี ยแู ลว หรอื ในพระอรยิ เจา จะเหน็ ปรากฏชดั เจนกวา การพจิ ารณา

เหน็ “นโิ รธ” และ “มรรค” ในบคุ คลอนื่ ผมู ไิ ดศ กึ ษาสมั มาปฏบิ ตั พิ ระสทั ธรรม เปน ธรรมดา

เพราะทา นทกี่ ำลงั ไดศ กึ ษาสมั มาปฏบิ ตั พิ ระสทั ธรรมดอี ยูและ/หรอื พระอรยิ เจา
ทานกำลงั ไดก ระทำ หรอื ไดกระทำใหทุกขดับเพราะเหตุดับได ตามสมควรแก
ภมู ธิ รรมของทา นแลว “ทกุ ข” และ “สมทุ ยั ” ของทา นผเู ชน นี้ จงึ จดื จาง-เบาบางลง
ถงึ หมดสนิ้ ไป “นโิ รธ” และ “มรรค” ของทา นจงึ ปรากฏขน้ึ และเจรญิ ขน้ึ ใหเ หน็
ไดชัดเจน ตามระดับภูมิธรรมของผูศึกษาสัมมาปฏิบัติไดแตละทาน หมายความ

วา ผมู ภี มู ธิ รรมเสมอกนั ยอ มร-ู ยอ มเหน็ กนั ได ในระหวา งผมู ภี มู ธิ รรมเสมอกนั ผมู ภี มู ธิ รรม
สูงกวายอมเห็นภูมิธรรมของผูมีภูมิธรรมตำ่ กวา แตผูมีภูมิธรรมตำ่ กวายอมเห็นไมถึง
ภมู ธิ รรมของผทู ม่ี ภี มู ธิ รรมสงู กวา เปน ธรรมดา

เพราะเหตนุ ้นั สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา จึงไดตรสั สรรเสรญิ คณุ ของสมาธิ และ
แนะนำใหพระภิกษุพึงเจริญสมาธิวา๖๙

“สมาธึ ภกิ ขฺ เว ภาเวถ. สมาหโิ ต ภกิ ขฺ เว ภกิ ขฺ ุ ยถาภตู ํ ปชานาต.ิ ”

แปลความวา

“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทงั้ หลายจงเจรญิ สมาธิ ภกิ ษผุ มู จี ติ ตงั้ มนั่ แลว
ยอ มรตู ามความเปน จรงิ [วา นท้ี กุ ข นท้ี กุ ขสมทุ ยั นท้ี กุ ขนโิ รธ นที้ กุ ข-
นิโรธคามินีปฏิปทา]”

สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา จงึ ไดต รสั สอนให เจรญิ ภาวนา พจิ ารณาเหน็ กายในกาย
เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต และเห็นธรรมในธรรม เปนทั้ง ณ ภายนอก (คือ
สว นหยาบ) และทง้ั ณ ภายใน (คอื สว นละเอยี ดเขา ไปจนสดุ ละเอยี ด)

๖๙ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๘ สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายนตวรรค ขอ ๑๔๗, หนา ๙๙-๑๐๐.

160 ตอนที่ ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา

ทพี่ ระพทุ ธองคท รงสอนสตปิ ฏ ฐาน ๔ ในมหาสตปิ ฏ ฐานสตู รนน้ั เปน เพยี งตวั อยา ง
ธรรมปฏบิ ตั เิ บอื้ งตน ของการพจิ ารณาเหน็ กายในกาย เหน็ เวทนาในเวทนา เหน็ จติ ในจติ
และเห็นธรรมในธรรม โดยอาศัยเหตุปจจัยภายนอก (คือ กาย-เวทนา-จิต-ธรรม ของ
กายมนษุ ยห ยาบ) ชอื่ วา พจิ ารณาเหน็ กายในกาย ... ณ ภายใน (ตวั เอง) ถา นอ มเอา
กาย-เวทนา-จติ -ธรรม ของบคุ คลอนื่ มาพจิ ารณาเทยี บเคยี งกบั ของตวั เอง ชอื่ วา พจิ ารณา
เหน็ กายในกาย ... ณ ภายนอก เทา นนั้

พระอรรถกถาจารยไดแสดงขอปฏิบัติ ๗ ประการ๗๐ อันจะเปนเหตุใหธรรมวิจย-
สมั โพชฌงคเ กดิ และเจรญิ ขน้ึ บรบิ รู ณ และเปน ไปเพอ่ื ละนวิ รณ ซงึ่ เปน ฝา ยทำใหจ กั ษคุ อื ปญ ญา
มดื มวั ไมแ จม แจง ใหจ กั ษบุ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใส คอื

“๑) ความเปน ผมู ากดว ยการไตถ าม คอื การทพี่ ระโยคาวจรไตถ าม
ถงึ ความเนอื้ ความแหง ขนั ธ ธาตุ อายตนะ อนิ ทรยี  พละ โพชฌงค องคม รรค
ฌาน สมถะและวปิ ส สนา เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ ธรรมวจิ ย-
สมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขนึ้

๒) การทำวตั ถทุ งั้ หลายภายในและภายนอกใหส ดใส คอื เมอื่ ผม
ขน เลบ็ ของพระโยคาวจรนนั้ ยาว หรอื วา รา งกายมโี ทษมาก และเปอ นดว ย
เหงอื่ ไคล ชอื่ วา วตั ถภุ ายในไมส ดใส ไมห มดจด จวี รทคี่ รำ่ ครา เปอ นเปรอะ
เหมน็ สาบ หรอื วา เสนาสนะรกเรอ้ื ชอ่ื วา วตั ถภุ ายนอกไมส ดใส คอื ไมส ะอาด
เมอื่ เปน อยา งนี้ แมญ าณในจติ และเจตสกิ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในวตั ถภุ ายในและภายนอก
นั้นยอมไมสดใส ไมบริสุทธิ์ไปดวย ดุจแสงของเปลวประทีปที่ไมแจมใส
เพราะอาศยั โคม ไส และนำ้ มนั ทไ่ี มส ะอาด เพราะฉะนนั้ พระโยคาวจรจงึ
ควรทำวัตถุท้ังภายในและภายนอก ทั้งเบื้องบนและเบ้ืองลาง ใหสดใส
ดวยการตัดผมเปนตน ดวยการทำใหรางกายเบา ดวยการถายยา และ
ดวยการถูและอาบน้ำ ควรทำวัตถุภายนอกใหสดใส ดวยทำสูจิกรรม
การซกั และเกบ็ งำ ทำความสะอาดของใชเ ปน ตน เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ัติ
ไดอ ยา งน้ี ธรรมวจิ ยสมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ

๗๐ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๒๔-๒๒๖.

ตอนท่ี ๒ ขัน้ วปิ สสนาภาวนา 161

๓) การปรบั อนิ ทรยี ใ หเ สมอกนั คอื การทพ่ี ระโยคาวจรทำอนิ ทรยี 
ทงั้ หลายมศี รทั ธาเปน ตน ใหเ สมอกนั เพราะถา สทั ธนิ ทรยี ข องผบู ำเพญ็ เพยี ร
แกก ลา อนิ ทรยี ข อ อน่ื ๆ ออ น ทนี น้ั วริ ยิ นิ ทรยี ย อ มไมอ าจทำปค คหกจิ
(กจิ คอื การยกจติ ไว) สตนิ ทรยี จ ะไมอ าจทำอปุ ฏ ฐานกจิ (กจิ คอื การอปุ การะ
จิต) สมาธินทรียจะไมอาจทำอวิกเขปกิจ (กิจคือการทำจิตไมใหฟุงซาน)
ปญ ญนิ ทรยี ย อ มไมอ าจทำทสั สนกจิ (กจิ คอื การเหน็ ตามเปน จรงิ ) เพราะ
ฉะนน้ั สทั ธนิ ทรยี อ นั กลา นน้ั ตอ งทำใหล ดลงเสยี ดว ยพจิ ารณาสภาวะแหง
ธรรม ดว ยไมท ำไวใ นใจ

ถา วริ ยิ นิ ทรยี ก ลา สทั ธนิ ทรยี ย อ มไมอ าจทำอธโิ มกขกจิ ได (กจิ คอื การ
นอ มใจเชอ่ื ) อนิ ทรยี น อกนี้ กจ็ ะไมอ าจทำกจิ นอกนแี้ ตล ะขอ ได เพราะ
ฉะนน้ั วริ ยิ นิ ทรยี อ นั กลา นนั้ ตอ งทำใหล ดลงดว ยการเจรญิ ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค
เปน ตน แมใ นขอ นน้ั กพ็ งึ แสดงเรอ่ื งพระโสณเถระ ความทเ่ี มอ่ื ความกลา
แหง อนิ ทรยี อ นั หนง่ึ มอี ยู อนิ ทรยี น อกนี้ จะไมส ามารถทำกจิ ของตนๆ ได
พงึ ทราบในอนิ ทรยี ท เี่ หลอื อยา งนแ้ี ล

ในอนิ ทรยี  ๕ น้ี บณั ฑติ ทงั้ หลาย สรรเสรญิ ความเสมอกนั แหง สทั ธา
กับปญญา และสมาธิกับวิริยะ เพราะคนมีสัทธาแกกลาแตปญญาออน
จะเปน คนเชอื่ งา ย มกั เลอ่ื มใสในสง่ิ อนั ไมเ ปน สาระ [ไมใ ชร ตั นตรยั ]. สว น
คนมปี ญ ญากลา แตส ทั ธาออ น กม็ กั จะตกไปขา งอวดดี เปน คนแกไ ขไมไ ด
มกั คดิ ไปวา ทำจติ ใหเ ปน กศุ ลเทา นน้ั กพ็ อแลว ดงั นี้ แลว ไมท ำบญุ มที านเปน
ตน ยอ มจะเกดิ ในนรก ตอ เมอ่ื ธรรมทงั้ ๒ เสมอกนั บคุ คลจงึ จะเลอื่ มใส
ในสงิ่ อนั เปน สาร [คอื พระรตั นตรยั ]

โกสชั ชะ (ความเกยี จครา น) มกั ครอบงำคนมสี มาธกิ ลา แตว ริ ยิ ะออ น
เพราะสมาธิเปนฝายโกสัชชะ อุทธัจจะยอมครอบงำคนมีวิริยะกลาแต
สมาธอิ อ น เพราะวริ ยิ ะเปน ฝา ยอทุ ธจั จะ แตส มาธทิ มี่ วี ริ ยิ ะประกอบเขา
ดว ยกนั แลว จะไมต กไปในโกสชั ชะ วริ ยิ ะทม่ี สี มาธปิ ระกอบพรอ มกนั แลว จะ

162 ตอนที่ ๒ ขั้นวิปส สนาภาวนา

ไมต กไปในอทุ ธจั จะ เพราะฉะนนั้ อนิ ทรยี ท งั้ ๒ นนั้ พระโยคาวจรพงึ
ทำใหเ สมอกนั ดว ยวา อปั ปนาจะมไี ด กเ็ พราะความเสมอกนั แหง อนิ ทรยี 
ทง้ั ๒

อีกอยางหน่ึง สัทธาท่ีมีกำลังมาก ยอมเหมาะสำหรับผูบำเพ็ญ
สมถกัมมัฏฐาน เพราะเม่ือสัทธามีกำลังมาก เธอเชื่อดิ่งลงไป จักบรรลุ
อปั ปนาได สำหรบั สมาธแิ ละปญ ญาเลา สมาธทิ มี่ กี ำลงั มากเหมาะสำหรบั
ผบู ำเพญ็ สมถกรรมฐาน ดว ยเมอื่ เอกคั คตามกี ำลงั อยา งนน้ั เธอจะบรรลุ
อปั ปนาได ปญ ญาทมี่ กี ำลงั เหมาะสำหรบั ผบู ำเพญ็ วปิ ส สนากรรมฐาน
เพราะเมอื่ ปญ ญามกี ำลงั อยา งนน้ั เธอยอ มจะบรรลลุ กั ขณปฏเิ วธ [เหน็ แจง
ไตรลกั ษณ] ได อนงึ่ แมเ พราะสมาธแิ ละปญ ญาทงั้ ๒ เสมอกนั อปั ปนาก็
คงมไี ด สว นสติ มกี ำลงั ในทท่ี ง้ั ปวงจงึ ควร เพราะสตริ กั ษาจติ ไวไ มใ หต กไป
ในอทุ ธจั จะ เพราะอำนาจแหง สัทธาวริ ยิ ะ และปญ ญาอนั เปน ฝา ยอทุ ธจั จะ
และรักษาจิตไวแต [จาก] ความตกไปในโกสัชชะ เพราะสมาธิเปนฝาย
โกสชั ชะ เพราะฉะนน้ั สตนิ นั้ จงึ จำปรารถนาในทท่ี ง้ั ปวง ดจุ เกลอื สะตุ
เปน สง่ิ ทพี่ งึ ปรารถนาในกบั ขา วทงั้ ปวง และดจุ สรรพกมั มกิ อำมาตย (ผรู อบ
รใู นการงานทงั้ ปวง) เปน ผพู งึ ปรารถนาในสรรพราชกจิ ฉะนน้ั เพราะฉะนนั้
พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรสั วา สตเิ ปน คณุ ชาตจิ ำปรารถนาในทท่ี ง้ั ปวง

๔) การหลกี เวน บคุ คลทรามปญ ญา คอื การทพ่ี ระโยคาวจรหลกี เวน
เสียใหไกลจากบุคคลทรามปญญา ผูไมหยั่งลงสูการพิจารณาความเกิดข้ึน
และดับไปแหงเบญจขันธ เปนตน เมื่อพระโยคาวจรปฏิบัติไดอยางนี้
ธรรมวจิ ยสมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขนึ้

๕) การคบหาบคุ คลผมู ปี ญ ญา คอื การทพี่ ระโยคาวจรพจิ ารณาคบหา
บคุ คลผมู ปี ญ ญา ผพู จิ ารณาเหน็ ความเกดิ ขน้ึ และความเสอ่ื มไปแหง เบญจขนั ธ
เปน ตน เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอยา งน้ี ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคก ย็ อ ม
จะเกดิ ขน้ึ

ตอนท่ี ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา 163

๖) การพจิ ารณาปาฐะทตี่ อ งใชป ญ ญาอนั ลกึ คอื การทพี่ ระโยคาวจร
พิจารณาเพ่ือความแตกฉานดวยปญญา อันเปนไปในธรรมทั้งหลายมีขันธ
เปน ตน อนั ละเอยี ด เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งน้ี ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค
กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้

๗) ความนอ มจติ ไปในธมั มวจิ ยะนนั้ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรนอ มจติ
ไป เพอ่ื ใหธ มั มวจิ ยสมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งน้ี
ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ”

ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคน ี้ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ดว ยดว ยเหตุ ๗ ประการดงั กลา วนี้
ยอ มเจรญิ เตม็ ทเ่ี มอื่ พระโยคาวจรบรรลอุ รหตั ตมรรค

(๓) เหตเุ กดิ วริ ยิ สมั โพชฌงค

พระผมู พี ระภาคตรสั ธรรมทเ่ี ปน อาหารหรอื เหตเุ กดิ แหง วริ ยิ สมั โพชฌงค วา
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย ความรเิ รม่ิ ความพยายาม ความบากบนั่ มอี ยู

การกระทำใหม ากซง่ึ โยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา นน้ั นเ้ี ปน อาหารให
วริ ยิ สมั โพชฌงคท ย่ี งั ไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๗๑

อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน เหตใุ หธ รรมวริ ยิ สมั โพชฌงค
เกิดข้ึน เจริญบริบูรณ และเปนไปเพื่อละนิวรณซ่ึงเปนฝายทำใหจักษุคือปญญามืดมัว
ไมแ จม แจง ขอ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ มี ๑๑ ประการ๗๒ คอื

“๑) การพจิ ารณาเหน็ ภยั ในอบาย คอื เมอื่ พระโยคาวจรพจิ ารณา
เหน็ ภยั ของสตั วผ เู กดิ ในอบายอยา งนวี้ า ในนรก เวลาเสวยทกุ ขใ หญ นบั
ตง้ั แตถ กู จองจำดว ยเครอื่ งจองจำ ๕ อยา ง ในกำเนดิ ดริ จั ฉาน เวลาถกู จบั
ดว ยแหและไซดกั ปลาเปน ตน เวลาถกู เขาทม่ิ แทงดว ยปฏกั แลว ตอ นใหล าก
เกวยี นเปน ตน ไป เปน ตน เวลาเดอื ดรอ นดว ยความหวิ กระหาย ถงึ หลาย
พันปหรือพุทธันดรหน่ึง เวลาเสวยทุกขเพราะลมและแดดเปนตน ใน

๗๑ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๖๗, หนา ๙๖-๙๗.
๗๒ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๒๗-๒๓๐.

164 ตอนที่ ๒ ขัน้ วิปส สนาภาวนา

ปต ตวิ สิ ยั ดว ยอตั ตภาพทมี่ เี พยี งหนงั หมุ กระดกู ขนาด ๖๐ ศอก และ ๘๐ ศอก
ไมมีใครสามารถทำใหวิริยสัมโพชฌงคเกิดข้ึนได ดังน้ี ยอมเปนเหตุให
วริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได

๒) ความเปน ผปู กตเิ หน็ อานสิ งส คอื เมอื่ พระโยคาวจรพจิ ารณา
เหน็ อานสิ งสอ ยา งนวี้ า คนเกยี จครา นหาอาจไดโ ลกตุ ตรธรรม ๙ ไม คนปรารภ
ความเพยี รเทา นน้ั อาจได นเี้ ปน อานสิ งสแ หง ความเพยี รดงั น้ี ยอ มเปน
เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได

๓) การพจิ ารณาเหน็ ทางดำเนนิ คอื เมอ่ื พระโยคาวจรพจิ ารณา
เห็นขอปฏิบัติอันเปนทางดำเนินแหงพระศาสดาและพระสาวกอยางนี้วา
พระศาสดาและพระสาวกดำเนนิ ไปแลว อยา งน้ี เราควรดำเนนิ ตามทางที่
พระพทุ ธเจา พระปจ เจกพทุ ธะ และมหาสาวกทงั้ ปวง ดำเนนิ ไปแลว และ
ทางนน้ั คนเกยี จครา นหาอาจดำเนนิ ไปไดไ ม เมอื่ พระโยคาวจรพจิ ารณา
เหน็ ทางดำเนนิ แหง พระศาสดาเปน ตน ดงั นแี้ ลว วริ ยิ สมั โพชฌงคย อ มจะเกดิ
ขนึ้ ได

๔) ความเคารพในการเที่ยวบิณฑบาต คือ เมื่อพระโยคาวจร
พจิ ารณาเหน็ ความเคารพในบณิ ฑบาตอยา งนวี้ า คนทบ่ี ำรงุ ทา นดว ยอาหาร
บิณฑบาตเหลาน้ี จะเปนญาติ หรือเปนทาสรับใช ของทานก็หามิได
พวกเขาเหลา นน้ั ถวายบณิ ฑบาตอนั ประณตี เพราะคดิ วา ‘พวกเราอาศยั ทา น
เลยี้ งชพี ’ กห็ ามไิ ด ผถู วายอาหารบณิ ฑบาตเหลา นนั้ หวงั การกระทำกศุ ล
ของตนวา จะมผี ลใหญ จงึ ไดถ วาย ถงึ พระศาสดาทรงพจิ ารณาเหน็ อยอู ยา ง
นน้ั วา ‘ภกิ ษนุ ้ี บรโิ ภคปจ จยั เหลา นแ้ี ลว มรี า งกายแขง็ แรงมาก จกั อยสู บาย’
ดงั นี้ จงึ ไมท รงอนญุ าตปจ จยั แกท า น แทจ รงิ แลว พระศาสดาทรงอนญุ าต
ปจ จยั เหลา นน้ั ดว ยดำรวิ า ‘ภกิ ษนุ ี้ เมอื่ บรโิ ภคปจ จยั เหลา นแี้ ลว จกั กระทำ
สมณธรรมเพอื่ พน จากวฏั ฏทกุ ข’ บดั นี้ เมอื่ ทา นยงั เปน คนเกยี จครา น ยอ ม
ไดช อ่ื วา ไมเ คารพในบณิ ฑบาต แตผ บู ำเพญ็ ความเพยี รเทา นนั้ ชอ่ื วา เคารพ

ตอนที่ ๒ ขัน้ วิปสสนาภาวนา 165

ในบณิ ฑบาต วริ ยิ สมั โพชฌงคย อ มเกดิ ขนึ้ ได เหมอื นทเี่ กดิ ขน้ึ แกพ ระมหา
มติ ตเถระ ผพู จิ ารณาอยซู ง่ึ ความเคารพในบณิ ฑบาต

เร่ืองมีวา พระเถระอยูประจำในถำ้ กสกะ มหาอุบาสิกาคนหน่ึงใน
โคจรคามของพระเถระนนั้ แล ทำพระเถระใหเ ปน บตุ ร บำรงุ อยู วนั หนงึ่
เมอื่ นางไปปา จงึ กลา วกะธดิ าวา ‘แม ขา วสารเกา อยใู นทโ่ี นน นำ้ นมอยใู น
ทโ่ี นน เนยใสอยใู นทโี่ นน นำ้ ออ ยอยใู นทโ่ี นน เจา จงหงุ ขา วแลว ถวายพรอ ม
กบั นำ้ นมเนยใสและน้ำออ ยในเวลาพระเถระมาแลว เถดิ เจา พงึ บรโิ ภคสว น
เมื่อวาน แมบริโภคขาวตังที่สุกดวยนำ้ สมแลว’. ธิดาจึงถามวา ‘แม
กลางวนั แมจ กั กนิ อะไร’ มารดาจงึ กลา ววา ‘ลกู เจา จงตม ขา วยาคเู ปรย้ี ว
ดว ยขา วสารปนรำ ใสผ กั วางไว’

พระเถระหม จวี รเสรจ็ พอนำบาตรออกไปไดย นิ เสยี งนนั้ จงึ สอนตนวา
‘ไดย นิ วา มหาอบุ าสกิ าบรโิ ภคขา วตงั ดว ยน้ำสม ถงึ กลางวนั กจ็ กั บรโิ ภคขา ว
ยาคเู ปรยี้ วใสผ กั ยงั บอกเตรยี มขา วสารเกา เปน ตน ไว เพอื่ ประโยชนแ กเ จา .
กแ็ ล นางนน้ั อาศยั กรรมนนั้ แลว จะหวงั ทนี่ า สงิ่ ของ ภตั ร กห็ ามไิ ดเ ลย
แตน างปรารถนาสมบตั ิ ๓ จงึ ถวาย เจา จกั อาจเพอ่ื ใหส มบตั เิ หลา นน้ั แก
นางได หรอื ไม’ จงึ คดิ วา ตนยงั มรี าคะ โทสะ โมหะอยู ไมอ าจรบั บณิ ฑบาต
นไ้ี ด จงึ ใสบ าตรไวใ นถงุ ปลดรงั ดมุ กลบั ไปยงั ถำ้ กสกะนน่ั แล วางบาตรไว
ภายใตเ ตยี ง พาดจวี รไวท ร่ี าวจวี ร นงั่ ตงั้ ใจมน่ั ทำความเพยี รวา ‘เราไม
บรรลพุ ระอรหตั ตผลแลว จกั ไมอ อกไป’. ภกิ ษอุ ยไู มป ระมาทตลอดกาลนาน
เจรญิ วปิ ส สนา บรรลพุ ระอรหตั กอ นภตั เปน มหาขณี าสพ ทำการแยม ออก
ไปดุจปทุมกำลังแยม. เทพยดาสิงอยูท่ีตนไมใกลประตูถำ้ เปลงอุทานวา
‘ขาแตทานผูเจริญ หญิงแกถวายภิกษาแกพระอรหันตเชนทานผูเขาไป
บณิ ฑบาตแลว จกั พน จากทกุ ข’ . พระเถระลกุ ขน้ึ เปด ประตมู องดเู วลา รวู า
ยงั เชา อยู จงึ ถอื เอาบาตรและจวี รเขา ไปยงั บา น. ฝา ยนางทารกิ า จดั ภตั
ไวพ รอ มแลว นง่ั แลดปู ระตอู ยวู า ‘พระพชี่ ายของเราจกั มาบดั น้ี พระพชี่ าย

166 ตอนท่ี ๒ ข้นั วปิ สสนาภาวนา

ของเราจกั มาบดั น’้ี . เมอ่ื พระเถระถงึ ประตเู รอื น นางรบั บาตร บรรจบุ าตร
ใหเต็มดวยบิณฑบาต น้ำนม พรอมดวยเนยใสและน้ำออย วางไวในมือ.
พระเถระทำอนโุ มทนาวา ‘จงมคี วามสขุ เถดิ ’ เสรจ็ แลว กห็ ลกี ไป. แมน าง
กย็ นื แลดพู ระเถระนนั้ อย.ู เพราะวา ผวิ พรรณของพระเถระในวนั นนั้ บรสิ ทุ ธิ์
ยง่ิ นกั อนิ ทรยี ก ผ็ อ งใส สหี นา เปลง ปลงั่ ดงั ตาลสกุ หลดุ จากขว้ั .

มหาอบุ าสกิ ากลบั จากปา แลว จงึ ถามวา ‘ลกู พระพชี่ ายของเจา มา
แลวหรือ ?’ นางบอกความเปนไปนั้นทั้งปวง อุบาสิกาทราบวา ‘กิจแหง
บรรพชติ ของบตุ รของเราถงึ ทสี่ ดุ แลว ในวนั น’ี้ จงึ กลา ววา ‘ลกู พระพชี่ าย
ของเจา ยอ มยนิ ดใี นพระพทุ ธศาสนา จะกระสนั กห็ าไม’ . ดงั นี้

๕) การพจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง มรดก คอื เมอื่ พระโยคาวจร
พจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง มรดกวา ‘อรยิ ทรพั ย ๗ ประการ นเ้ี ปน
มรดกอนั ยงิ่ ใหญข องพระศาสดา คนเกยี จครา นไมอ าจรบั มรดกนน้ั ได เปรยี บ
เสมอื นมารดาบดิ าไมร บั รองบตุ รผปู ฏบิ ตั ผิ ดิ วา ‘ผนู ไี้ มใ ชบ ตุ รของเรา’ เมอื่
มารดาบดิ าเหลา นนั้ ลว งลบั ไป เขายอ มไมไ ดม รดก ฉนั ใด แมค นเกยี จครา น
ยอ มไมไ ดม รดกคอื อรยิ ทรพั ยน ้ี ฉนั นน้ั สว นผปู รารภความเพยี รเทา นน้ั
ยอมได’ ดังนี้ เม่ือพระโยคาวจรพิจารณาเห็นอยางน้ี ยอมเปนเหตุให
วริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ ได

๖) การพิจารณาเห็นความเปนใหญแหงพระศาสดา เมื่อ
พระโยคาวจรพจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง พระศาสดา อยา งนว้ี า ‘กแ็ ล
พระศาสดาของทา นเปน ใหญ คอื เมอื่ ปฏสิ นธใิ นพระครรภข องพระมารดา
กด็ ี ในกาลเสดจ็ ออกผนวชกด็ ี ในกาลตรสั รกู ด็ ี ในกาลทรงยงั ธรรมจกั ร
ใหเปนไป ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย ในกาลเสด็จลงจากเทวโลก และ
ในกาลปลงอายสุ งั ขารกด็ ี ในกาลปรนิ พิ พานกด็ ี หมน่ื โลกธาตกุ ไ็ ดห วนั่ ไหว
แลว คนทบ่ี วชในศาสนาของพระศาสดาเหน็ ปานนแ้ี ลว ยงั เปน ผเู กยี จครา น
จะสมควรหรอื ’ ดงั น้ี ยอ มเปน เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได

ตอนที่ ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา 167

๗) การพจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง ชาติ คอื เมอื่ พระโยคาวจร
พจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง ชาตอิ ยา งนวี้ า ‘บดั น้ี แมโ ดยชาติ ทา นกไ็ ม
ใชม ชี าตติ ำ่ คอื ทา นเกดิ ในวงศข องพระเจา โอกกากราช สบื ตอ จากพระเจา
มหาสมมติ อนั ไมป ะปนกนั เปน หลานของพระเจา สทุ โธทนมหาราชและพระ
นางมหามายาเทวี เปน นอ งของพระราหลุ ทา นไดช อื่ วา เปน ชนิ บตุ รบคุ คล
เห็นปานน้ีแลว ยังเกียจครานอยู ไมสมควรเลย’ ดังนี้ ยอมเปนเหตุให
วริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได

๘) การพจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง สพรหมจารี คอื เมอ่ื พระ
โยคาวจรพจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง สพรหมจารอี ยา งนวี้ า ‘พระสารบี ตุ ร
พระมหาโมคคลั ลานะ และมหาสาวก ๘๐ ตา งกบ็ รรลโุ ลกตุ ตรธรรมไดด ว ย
ความเพียรทั้งนั้น’ เม่ือพระโยคาวจรพิจารณาเห็นความเปนใหญแหง
สพรหมจารอี ยา งน้ี ยอ มจะเปน เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได

๙) การหลกี เวน จากบคุ คลเกยี จครา น คอื เมอื่ พระโยคาวจรหลกี
เวน จากบคุ คลผเู กยี จครา น ผลู ะทง้ิ ความเพยี รทางกายและความเพยี รทางจติ
เสยี นย้ี อ มจะเปน เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได

๑๐) การคบหาบคุ คลปรารภความเพยี ร คอื เมอื่ พระโยคาวจรคบหา
บุคคลผูบำเพ็ญความเพียรดวยใจที่เด็ดเด่ียว นี้ยอมจะเปนเหตุให
วริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ ได

๑๑) การนอ มจติ ไปในวริ ยิ ะนนั้ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรเปน ผมู จี ติ
นอ มไป โนม ไปและโอนไป เพอ่ื ใหค วามเพยี รเกดิ ขน้ึ ในอริ ยิ าบถทงั้ หลายมกี าร
ยนื การนง่ั เปน ตน นยี้ อ มจะเปน เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได

อนงึ่ สตสิ มั โพชฌงคน ี้ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ดว ยดว ยเหตุ ๑๑ ประการดงั กลา วนี้
ยอ มเจรญิ เตม็ ทเี่ มอ่ื พระโยคาวจรบรรลอุ รหตั ตมรรค”

168 ตอนที่ ๒ ขนั้ วิปส สนาภาวนา

(๔) ธรรมเปนที่ต้ังแหงปติสัมโพชฌงค

“ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมทง้ั หลายเปน ทต่ี งั้ แหง ปต สิ มั โพชฌงค มอี ยู
การกระทำใหม ากซง่ึ โยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา นนั้ นเ้ี ปน อาหารใหป ต ิ
สมั โพชฌงคท ยี่ งั ไมเ กดิ เกดิ ขนึ้ หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๗๓

อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน เหตใุ หป ต สิ มั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้
เจริญ บริบูรณ และเปนไปเพื่อละนิวรณซ่ึงเปนฝายทำใหจักษุคือปญญามืดมัว ไมแจมแจง
ขอ ปฏบิ ตั เิ ปน เหตใุ หป ต สิ มั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ มี ๑๑ ประการ๗๔ คอื

“๑) การระลึกถึงพระพุทธคุณ คือ เมื่อพระโยคาวจรระลึกถึง
พระพทุ ธคณุ ทงั้ หลายมคี ำวา อติ ปิ  โส ภควา ดงั นเ้ี ปน ตน ปต สิ มั โพชฌงค
ยอมจะเกิดขึ้นแผไปท่ัวสรีระจนถึงอุปจาระ

๒) การระลึกถึงพระธรรมคุณ คือ เมื่อพระโยคาวจรระลึกถึง
พระธรรมคุณทั้งหลาย มีคำวา สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ดังนี้เปนตน
ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ แผไ ปทว่ั สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ

๓) การระลึกถึงพระสังฆคุณ คือ เม่ือพระโยคาวจรระลึกถึง
พระสงั ฆคณุ ทงั้ หลายมคี ำวา สปุ ฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ ดงั นเี้ ปน ตน
ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ

๔) การระลกึ ถงึ ศลี คอื เมอ่ื พระโยคาวจรผเู ปน บรรพชติ พจิ ารณา
เห็นจตุปาริสุทธิศีลท่ีตนรักษาอยู ไมขาดตลอดกาลนานก็ดี ผูเปนคฤหัสถ
พจิ ารณาศลี ของตนอยกู ด็ ี ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ
อุปจาระ

๕) การระลกึ ถงึ การบรจิ าค คอื เมอื่ พระโยคาวจรถวายโภชนะอนั
ประณตี ในคราวทพุ ภกิ ขภยั เปน ตน แกเ พอื่ นผพู รหมจรรย แลว พจิ ารณา
เหน็ จาคะนน้ั วา เราไดถวายโภชนะชอื่ อยา งนอ้ี ยกู ด็ ี แมค ฤหสั ถพ จิ ารณา

๗๓ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๖๘, หนา ๙๗.
๗๔ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๐-๒๓๑.

ตอนที่ ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา 169

เหน็ ทานอนั ตนถวายแกผ มู ศี ลี ทงั้ หลาย ในกาลเหน็ ปานนก้ี ด็ ี ปต สิ มั โพชฌงค
ยอมจะเกิดข้ึนแผไปทั่วสรีระจนถึงอุปจาระ

๖) การระลกึ ถงึ คณุ ของเทวดา คอื เมอ่ื พระโยคาวจรประกอบดว ย
คณุ เหลา ใด จงึ เขา ถงึ ความเปน เทวดา เมอื่ พจิ ารณาเหน็ ความทคี่ ณุ เหน็ ปาน
นนั้ มอี ยใู นตนอยา งน้ี ปต สิ มั โพชฌงคย อ มเกดิ ขน้ึ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ

๗) การระลกึ ถงึ คณุ พระนพิ พาน คอื เมอื่ พระโยคาวจรพจิ ารณา
เหน็ วา กเิ ลสทต่ี นขม ไวไ ดด ว ยสมาบตั ไิ มฟ งุ ขนึ้ เลยถงึ ๖๐ ป ถงึ ๗๐ ป ดงั น้ี
แลว ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ

๘) การหลกี เวน คนเศรา หมอง คอื เมอื่ พระโยคาวจรหลกี เวน จาก
บคุ คลผมู คี วามเศรา หมองเหมอื นธลุ บี นหลงั ลา ผไู มเ ลอ่ื มใสและไมเ ยอ่ื ใยใน
พระพทุ ธเจา เปน ตน หรอื เหน็ ความเศรา หมองอนั สะสมไวแ ลว ในการกระทำ
ความไมเ คารพ ในการเหน็ ลานพระเจดยี  ลานโพธิ์ และพระเถระ เปน ตน
ของบุคคลผูเศราหมองน้ันแลว พิจารณาหลีกเวนเสีย ไมคบหาดวย
ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ

๙) การคบหาคนผอ งใส คอื เมอ่ื พระโยคาวจรคบหาคนทสี่ นทิ สนม
มีจิตออนโยน มากไปดวยความเลื่อมใสในพระพุทธเจาเปนตนแลว
ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ แผไ ปทว่ั สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ

๑๐) การพจิ ารณาความแหง พระสตู รอนั ชวนใหเ ลอื่ มใส คอื เมอื่
พระโยคาวจรพิจารณาถึงพระสูตรอันชวนใหเล่ือมใส อันแสดงคุณแหง
พระรตั นตรยั แลว ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ

๑๑) ความนอ มจติ ไปในปต นิ น้ั คอื การทพ่ี ระโยคาวจรมจี ติ นอ มไป
เพอื่ ความเกดิ ขนึ้ แหง ปต ิ ในอริ ยิ าบถทง้ั หลายมกี ารยนื และการนง่ั เปน ตน
ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ ได

อนงึ่ ปต สิ มั โพชฌงคท เ่ี กดิ ขนึ้ แลว อยา งน้ี ยอ มเจรญิ บรบิ รู ณไ ดด ว ย
อรหตั ตมรรค”

170 ตอนที่ ๒ ขั้นวิปส สนาภาวนา

(๕) ธรรมเปนเหตุเกิดปสสัทธิสัมโพชฌงค

“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความสงบกาย ความสงบจติ มอี ยู การทำให
มากซงึ่ โยนโิ สมนสกิ ารในความสงบ นเี้ ปน อาหารใหป ส สทั ธสิ มั โพชฌงค
ทย่ี งั ไมเ กดิ เกดิ ขนึ้ หรอื ทเี่ กดิ แลว ทำใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๗๕
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน เหตใุ หป ส สทั ธสิ มั โพชฌงค
เกิดข้ึนและเจริญ บริบูรณ เปนไปเพื่อละนิวรณซึ่งเปนฝายทำใหจักษุคือปญญามืดมัว
ไมแ จม แจง ขอ ปฏบิ ตั เิ ปน เหตใุ หป ส สทั ธสิ มั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ มี ๗ ประการ๗๖ คอื

“๑) การเสพโภชนะอนั ประณตี คอื เมอ่ื พระโยคาวจรไดบ รโิ ภคโภชนะ
อันประณีต อันเปนที่สบายสำหรับตน ปสสัทธิสัมโพชฌงคยอมจะเกิด
ขนึ้ ได

๒) การเสพฤดทู สี่ บาย คอื เมอ่ื พระโยคาวจรไดเ สพฤดอู นั เปน ทสี่ บาย
สำหรบั ตน ในฤดหู นาวและรอ นเปน ตน แลว ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ
ขนึ้ ได

๓) การเสพอริ ยิ าบถทสี่ บาย คอื เมอื่ พระโยคาวจรไดเ สพอริ ยิ าบถ
ทสี่ บายสำหรบั ตนมกี ารยนื เปน ตน แลว ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ ได

๔) การประกอบความเพยี รปานกลาง คอื เมอื่ พระโยคาวจรพจิ ารณา
เห็นความที่ตนและผูอ่ืนมีกรรมเปนของตนแลว ประกอบความเพียรโดย
แยบคาย ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได

๕) การหลกี เวน บคุ คลผมู กี ายกระสบั กระสา ย คอื เมอ่ื พระโยคาวจร
หลีกเวนบุคคลผูมักเบียดเบียนผูอื่นอยู ดวยกอนดินและทอนไมเปนตน
หรอื ผมู กี ายกระสบั กระสา ยเหน็ ปานนนั้ เสยี แลว ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคย อ ม
จะเกดิ ขนึ้ ได

๗๕ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๖๙, หนา ๙๗.
๗๖ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๑-๒๓๒.

ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา 171

๖) การคบหาบคุ คลผมู กี ายสงบ คอื เมอื่ พระโยคาวจรคบหาบคุ คล
ผมู กี ายสงบ ผสู ำรวมมอื เทา ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ ได

๗) การนอ มจติ ไปในปส สทั ธนิ น้ั คอื เมอื่ พระโยคาวจรนอ มจติ ไปใน
ปส สทั ธิ เพอื่ ความเกดิ ขน้ึ แหง ปส สทั ธิ เนอื งๆ ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคก ย็ อ ม
จะเกดิ ขนึ้ ได

อนง่ึ ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคท เ่ี กดิ ขน้ึ ได และยอ มเจรญิ บรบิ รู ณไ ดด ว ย
อรหตั ตมรรค”

(๖) ธรรมเหตเุ กดิ สมาธสิ มั โพชฌงค

“ภิกษุทั้งหลาย สมาธินิมิต มีอยู การกระทำใหมากซึ่งโยนิโส-
มนสกิ ารในนมิ ติ นน้ั นเี้ ปน อาหารใหส มาธสิ มั โพชฌงคท ย่ี งั ไมเ กดิ เกดิ ขนึ้
หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๗๗
อธิบาย : พระอรรถกถาจารยไดแสดงขอปฏิบัติอันจะเปนเหตุใหสมาธิสัมโพชฌงค
เกิดขึ้น เจริญ บริบูรณ และเปนไปเพ่ือละนิวรณซึ่งเปนฝายทำใหจักษุคือปญญามืดมัว
ไมแ จม แจง ขอ ปฏบิ ตั เิ ปน เหตใุ หส มาธสิ มั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ มี ๑๑ ประการ๗๘ คอื

“๑) การทำวตั ถทุ ง้ั หลายภายในและภายนอกใหส ดใส (มนี ยั เชน เดยี ว
กบั ทก่ี ลา วแลว ในธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค)

๒) การปรับอินทรียใหเสมอกัน (มีนัยเชนเดียวกับท่ีกลาวแลวใน
ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค)

๓) ความฉลาดในนมิ ติ คอื ความฉลาดในการถอื เอากสณิ นมิ ติ
๔) การยกจติ ไวใ นสมยั ทค่ี วรยก คอื สมยั ใด พระโยคาวจรมจี ติ หดหู
เพราะความเพยี รยอ หยอ นไป เปน ตน ในสมยั นน้ั พระโยคาวจรควรยกจติ
นนั้ ขนึ้ ใหพ น จากความหดหู ดว ยการเจรญิ ธมั มวจิ ยะ วริ ยิ ะและปต สิ มั โพชฌงค

๗๗ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๗๐, หนา ๙๗.
๗๘ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๒-๒๓๓.

172 ตอนที่ ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา

เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได
๕) การขม จติ ในสมยั ทค่ี วรขม คอื สมยั ใด พระโยคาวจรมจี ติ ฟงุ ซา น

เพราะประกอบความเพยี รเกนิ ไป เปน ตน ในสมยั นน้ั พระโยคาวจรควร
ขม จติ ทฟี่ งุ ซา นนน้ั ดว ยการใหป ส สทั ธิ สมาธิ และอเุ บกขาสมั โพชฌงคเ กดิ
ขน้ึ เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ สมาธสิ มั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได

๖) การทำจติ ใหร า เรงิ ในสมยั ทค่ี วรทำใหร า เรงิ คอื สมยั ใด พระ
โยคาวจรมจี ติ ไมม อี สั สาทะ เพราะความพยายามทางปญ ญาออ นไปกด็ ี เพราะ
ไมไ ดค วามสขุ อนั เกดิ แตค วามสงบกด็ ี ในสมยั นน้ั พระโยคาวจร พงึ พจิ ารณา
สงั เวควตั ถุ ๘ อยา ง คอื ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ อบายทกุ ข ทกุ ขม วี ฏั ฏะ
เปน มลู ในอดตี ทกุ ขม วี ฏั ฏะเปน มลู ในอนาคต และทกุ ขม กี ารแสวงหาอาหาร
เปนมูลในปจจุบัน และพระโยคาวจรยอมยังความเล่ือมใสใหเกิดได
ดว ยการระลกึ ถงึ คณุ แหง พระรตั นตรยั เมอื่ พระโยคาวจรนนั้ ปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา ง
น้ี สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได

๗) การเพง ดจู ติ อยเู ฉยๆ ในสมยั ทคี่ วรเพง ดอู ยเู ฉยๆ คอื สมยั ใด
จติ อาศยั ความปฏบิ ตั ชิ อบ เปน จติ ไมห ดหู ไมฟ งุ ซา น ไมม อี สั สาทะ เปน ไป
สม่ำเสมอในอารมณ ดำเนนิ ไปสวู ถิ แี หง สมถะ ในสมยั นน้ั พระโยคาวจร
ไมต อ งขวนขวายในการยก การขม และการทำใหร า เรงิ ดจุ นายสารถี เมอื่
มา ทง้ั หลายวงิ่ ไปเรยี บรอ ย กไ็ มต อ งขวนขวาย ฉะนนั้ นเ้ี รยี กวา การเพง
ดจู ติ อยเู ฉยๆ ในสมยั ทค่ี วรเพง ดอู ยเู ฉยๆ เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา ง
น้ี สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได

๘) การหลกี เวน บคุ คลผมู จี ติ ไมเ ปนสมาธิ คอื การทพี่ ระโยคาวจร
หลีกเวนจากบุคคลผูยังไมถึงอุปจาระหรืออัปปนา ผูมีจิตฟุงซาน ช่ือวา
การหลีกเวนบุคคลผูมีจิตไมเปนสมาธิ เม่ือพระโยคาวจรปฏิบัติไดอยางนี้
สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได

ตอนท่ี ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา 173

๙) การคบหาบคุ คลผมู จี ติ เปน สมาธิ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรใฝใ จ
คบหา เขา ไปนงั่ ใกลบ คุ คลผมู จี ติ เปน สมาธดิ ว ยอปุ จาระหรอื อปั ปนา เมอื่
พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได

๑๐) การพจิ ารณาวโิ มกข คอื การทพี่ ระโยคาวจรพจิ ารณาเหน็ วโิ มกข
คอื พระนพิ พานเนอื งๆ เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ สมาธสิ มั โพชฌงค
กย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได

๑๑) การนอ มจติ ไปในสมาธนิ นั้ คอื พระโยคาวจรนอ มจติ ไป โนม
จติ ไป โอนไป เพอ่ื ใหเ กดิ สมาธใิ นอริ ยิ าบถทงั้ หลาย มกี ารยนื และการนงั่
เปน ตน ชอื่ วา การนอ มจติ ไปในสมาธิ เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้
สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได

อนง่ึ สมาธสิ มั โพชฌงคท เี่ กดิ ขน้ึ แลว ยอ มเจรญิ บรบิ รู ณเ ตม็ ทไี่ ดด ว ย
อรหตั ตมรรค”

(๗) ธรรมเปนท่ีตั้งข้ึนแหงอุเบกขาสัมโพชฌงค

“ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมทง้ั หลายเปน ทต่ี งั้ แหง อเุ บกขาสมั โพชฌงค
มอี ยู การทำใหม ากซง่ึ โยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา นน้ั นเี้ ปน อาหาร
ใหอ เุ บกขาสมั โพชฌงคท ยี่ งั ไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ทำอเุ บกขาสมั โพชฌงค
ทเ่ี กดิ ขนึ้ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๗๙
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน เหตใุ หอ เุ บกขาสมั โพชฌงค
เกิดขึ้น เจริญ บริบูรณ และเปนไปเพ่ือละนิวรณซ่ึงเปนฝายทำใหจักษุคือปญญามืดมัว ไม
แจม แจง ขอ ปฏบิ ตั ทิ จี่ ะเปน เหตใุ หอ เุ บกขาสมั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ มี ๕ ประการ๘๐ คอื

“๑) การวางเฉยในสตั ว คอื การทพี่ ระโยคาวจรวางเฉยในสตั ว ดว ย
อาการ ๒ คอื ดว ยการพจิ ารณาเหน็ ความทส่ี ตั วม กี รรมเปน ของๆ ตนอยา ง

๗๙ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๗๑, หนา ๙๘.
๘๐ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๓-๒๓๔.

174 ตอนท่ี ๒ ขนั้ วิปสสนาภาวนา

นวี้ า ‘ทา นมาดว ยกรรมของตน กจ็ กั ไปดว ยกรรมของตนนน่ั แหละ แมบ คุ คล
นม้ี าแลว ดว ยกรรมของตน กจ็ กั ไปดว ยกรรมของตนนนั่ แหละ ทา นจะพวั พนั
กบั ใครได’ ดงั นี้ และดว ยการพจิ ารณาเหน็ ความมใิ ชส ตั วอ ยา งนว้ี า ‘โดย
ปรมตั ถ สตั วไ มม เี ลย ทา นจะพวั พนั กบั ใครเลา ’ เมอื่ พระโยคาวจรวางเฉย
ในสตั วด ว ยอาการอยา งนี้ อเุ บกขาสมั โพชฌงคก ็ ยอ มจะเกดิ ขน้ึ ได

๒) การวางเฉยในสงั ขาร คอื การทพี่ ระโยคาวจรวางเฉยในสงั ขาร
ดวยอาการ ๒ คือ ดวยการพิจารณาเห็นความไมมีเจาของอยางนี้วา
‘จวี รนมี้ สี เี ปลยี่ นไป และครำ่ ครา ไปโดยลำดบั เปน ทอ นผา สำหรบั เชด็ เทา
จกั เปน ของควรเอาปลายไมเ ทา เขย่ี ทง้ิ ไป ถา เจา ของผา นน้ั มี เขาคงไมใ ห
ผา นน้ั พนิ าศไปอยา งน้ี และดว ยการพจิ ารณาเหน็ ความเปน ของชวั่ คราว
อยา งนวี้ า ‘จวี รนี้ เปน ของไมแ นน อน ดำรงชวั่ เวลาหนงึ่ เทา นน้ั แมใ น
บาตรเปน ตน กเ็ หมอื นในจวี ร ฉะนนั้ ’ เมอ่ื พระโยคาวจรวางเฉยในสงั ขารดว ย
อาการอยา งน้ี อเุ บกขาสมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได

๓) การหลกี เวน จากบคุ คลผพู วั พนั อยใู นสตั วแ ละสงั ขาร มอี ธบิ าย
วา บคุ คลใดเปน คฤหสั ถ ยดึ ถอื บตุ รและธดิ าเปน ตน ของตนวา ‘บตุ รและ
ธดิ าของเรา’ หรอื เปน บรรพชติ ยดึ ถอื เพอื่ นอนั เตวาสกิ และผรู ว มอปุ ช ฌาย
เปน ตน ของตนวา ‘ผนู เ้ี ปน อนั เตวาสกิ และผรู ว มอปุ ช ฌายข องเรา’ ดงั นแ้ี ลว
ชว ยทำกจิ มกี ารตดั ผม การเยบ็ การซกั การยอ มจวี ร และการสมุ บาตร
เปน ตน แกอ นั เตวาสกิ นนั้ ดว ยมอื ของตน หรอื เมอ่ื ไมเ หน็ อนั เตวาสกิ นน้ั แม
เพยี งครเู ดยี ว กต็ อ งมองหาขา งโนน ขา งน้ี ดจุ เนอ้ื ตน่ื วา ‘สามเณรรปู นน้ั ไป
ไหน ภกิ ษหุ นมุ รปู นน้ั ไปไหน’ ดงั น้ี หรอื อนั เตวาสกิ นน้ั ถกู ผอู นื่ ใชส อยเพอ่ื
ประโยชนแ กก ารตดั ผมเปน ตน วา ‘ทา นจงใหส ามเณรรปู นแี้ กเ ราสกั ครกู อ น
เถดิ ’ กไ็ มย อมให หรอื กลา วอา งวา ‘งานสว นตวั ของเรามอี ยู ยงั ไมใ ชเ ขา
ใหท ำเลย พวกทา นพาเขาไป จกั ลำบาก’ บคุ คลผพู วั พนั อยอู ยา งนี้ ชอื่ วา
ผพู วั พนั ในสตั ว สว นบคุ คลใด เปน ภกิ ษุ ยดึ ถอื จวี ร บาตร ชามเลก็ ไมเ ทา

ตอนท่ี ๒ ขัน้ วปิ สสนาภาวนา 175

เปน ตน วา ‘จวี ร บาตร ชามเลก็ ไมเ ทา เปน ตน นเี้ ปน ของเรา’ ไมย อมให
คนอนื่ แตะตอ ง แมเ ขาจะขอยมื ชว่ั คราว กก็ ลา ววา ‘พวกเรากป็ รารถนาทรพั ย
จงึ ไมใ ชส อย เราจกั ใหแ กท า นทงั้ หลายไดอ ยา งไร’ บคุ คลนชี้ อ่ื วา ผพู วั พนั
ในสงั ขาร เมอ่ื พระโยคาวจรหลกี เวน เสยี ใหไ กลจากบคุ คลผพู วั พนั ในสตั ว
และบคุ คลผพู วั พนั ในสงั ขารเหลา น้ี อเุ บกขาสมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได

๔) การคบหาบคุ คลผวู างเฉยในสตั วแ ละสงั ขาร คอื การทพ่ี ระโยคาวจร
คบหาบคุ คลผวู างเฉยเสยี ได แมใ นสตั วแ ละสงั ขารทง้ั ๒ เหลา นน้ั นชี้ อ่ื วา
การวางเฉยในสตั วแ ละสงั ขาร เมอื่ พระโยคาวจรคบหาบคุ คลผวู างเฉยใน
สตั วแ ละสงั ขารไดอ ยา งน้ี อเุ บกขาสมั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได

๔) การคบหาบุคคลผูวางเฉยในสัตวและสังขาร คือ การที่
พระโยคาวจรคบหาบคุ คลผวู างเฉยเสยี ได ในสตั วแ ละสงั ขารทงั้ ๒ เหลา นน้ั
นชี้ อ่ื วา การคบหาบคุ คลผวู างเฉยในสตั วแ ละสงั ขาร เมอื่ พระโยคาวจร
วางเฉยในสตั วแ ละสงั ขารเหลา นน้ั ได อเุ บกขาสมั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ
ขน้ึ ได

๕) การนอ มจติ ไปในอเุ บกขานน้ั คอื การทพี่ ระโยคาวจรนอ มจติ ไป
โนม จติ ไป โอนไป ในอริ ยิ าบถมกี ารยนื และการนง่ั เปน ตน เพอ่ื ใหอ เุ บกขา-
สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ นช้ี อ่ื วา การนอ มจติ ไปในอเุ บกขา เมอื่ พระโยคาวจร
ปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ อเุ บกขาสมั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได

อนงึ่ อเุ บกขาสมั โพชฌงคน ี้ ทเี่ กดิ ขนึ้ แลว อยา งน้ี ยอ มเจรญิ บรบิ รู ณ
ไดด ว ยอรหตั ตมรรค.”

๒.๕ ธรรมสำหรับละนิวรณ ๕

พระผูมีพระภาคไดทรงแสดงเหตุท่ีทำใหพระโยคาวจรสามารถละนิวรณ ๕ ประการ
อนั เปน เครอ่ื งขวางกนั้ การเจรญิ ปญ ญา ทำใหจ กั ษคุ อื ปญ ญามดื มวั ไมแ จม แจง สามารถเหน็

176 ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา

ธรรม รธู รรมแจง ชดั ดว ยโยนโิ สมนสกิ าร คอื การพจิ ารณาเหตแุ ละสงั เกตผล ในการกำจดั
นิวรณ ไมใหนิวรณเหลานั้นเกิดในจิต และพระอรรถกถาจารยไดแนะอุบายวิธีปฏิบัติเพ่ือ
ละนวิ รณแ ตล ะขอ เหลา นน้ั ดงั ตอ ไปนี้

(๑) ธรรมสำหรับละกามฉันทนิวรณ

“ภกิ ษทุ งั้ หลาย อสภุ นมิ ติ มอี ยู การกระทำใหม ากซงึ่ โยนโิ สมนสกิ าร
ในอสภุ นมิ ติ นน้ั นเ้ี ปน อาหารใหก ามฉนั ทะทย่ี งั ไมเ กดิ ไมเ กดิ ขน้ึ หรอื ท่ี
เกดิ แลว ไมเ จรญิ ไพบลู ยย ง่ิ ขน้ึ ”๘๑
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั อิ นั เปน ไปเพอ่ื ละกามฉนั ทนวิ รณ ไว
๖ ประการ๘๒ คอื

“๑) การถอื เอาอสภุ นมิ ติ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรศกึ ษาวธิ กี ารกำหนด
อสภุ นมิ ติ ตามลกั ษณะ วธิ กี ำหนดอารมณต ามทม่ี าในอสภุ กมั มฏั ฐาน ๑๐ อยา ง
แลวถือเอาอสุภนิมิตนั้น กระทำใหเปนอารมณ โดยอุบายอันแยบคาย
เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด

๒) การหม่ันประกอบความเพียรในอสุภภาวนา คือ การที่
พระโยคาวจรทำความเพียรกำหนดอสุภนิมิตเปนอารมณเนืองๆ เม่ือ
พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด

๓) ความมที วารอนั คมุ ครองแลว ในอนิ ทรยี ท ง้ั หลาย คอื การที่
พระโยคาวจรทำความสำรวมอนิ ทรยี ท ง้ั หลาย ดว ยสตอิ นั เปน ไปทางทวาร ๖
ไดแ ก ตา หู จมกู ลน้ิ กาย และใจ ไมใ หก เิ ลส คอื ราคะ โทสะ และโมหะ
ครอบงำจติ เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด

๔) ความรจู กั ประมาณในโภชนะ คอื การทพี่ ระโยคาวจรเปน ผรู จู กั
บรโิ ภคโภชนะแตพ อประมาณ โดยการเวน คำขา ว ๔-๕ คำไวแ ลว ดม่ื น้ำตาม

๘๑ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๓๕, หนา ๑๔๖.
๘๒ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๔-๒๓๕.

ตอนท่ี ๒ ขัน้ วิปสสนาภาวนา 177

เพื่อยังอัตตภาพใหเปนไป และเพ่ือการประกอบความเพียร เม่ือพระ
โยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด

๕) การไดกัลยาณมิตร คือ การที่พระโยคาวจรคบหากัลยาณมิตร
ผยู นิ ดใี นอสภุ ภาวนา เชน พระเถระผบู ำเพญ็ อสภุ กมั มฏั ฐาน เปน ตน เมอื่
พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด

๖) คำพดู ทเี่ ปน สปั ปายะ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรกลา วถอ ยคำทเี่ ปน
สปั ปายะ หรอื สนทนากนั ในเรอื่ งทเี่ กย่ี วขอ งกบั อสภุ นมิ ติ ๑๐ ประการ เมอ่ื
พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด

อนง่ึ กามฉนั ทนวิ รณ ทพี่ ระโยคาวจรละไดด ว ยธรรม ๖ ประการนี้
ยอ มไมเ กดิ ขนึ้ ตอ ไปดว ยอรหตั ตมรรค”

(๒) ธรรมสำหรับละพยาบาทนิวรณ

“ภิกษุทั้งหลายเจโตวิมุตติมีอยู การกระทำใหมากซ่ึงโยนิโส-
มนสกิ ารในเจโตวมิ ตุ ตนิ น้ั นเี้ ปน อาหารใหพ ยาบาททยี่ งั ไมเ กดิ ไมเ กดิ
ขน้ึ หรอื ทเี่ กดิ แลว ไมเ จรญิ ไพบลู ยย ง่ิ ขน้ึ ”๘๓
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดย กธรรมไมเ ปน อาหารใหพ ยาบาทนวิ รณเ กดิ ขนึ้ และ
เปน ไปเพอ่ื ละพยาบาทนวิ รณ ไว ๓ ประการ๘๔ คอื

“๑) การถอื เอาเมตตานมิ ติ คอื การทพี่ ระโยคาวจรศกึ ษาหลกั และ
วธิ กี ารแผเ มตตาพรหมวหิ ารแกส ตั วท ง้ั หลาย ทง้ั โดยเจาะจงและไมเ จาะจง
โดยการแผไ ปทว่ั ทกุ ทศิ หรอื ทศิ ใดทศิ หนง่ึ เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้
ยอ มจะละพยาบาทได

๒) การประกอบเมตตาภาวนา คอื การทพ่ี ระโยคาวจรทำการเจรญิ
เมตตาพรหมวหิ ารแกส ตั วท ง้ั หลาย ทง้ั โดยเจาะจงและไมเ จาะจง โดยการ

๘๓ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๓๖, หนา ๑๔๗.
๘๔ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๕.

178 ตอนที่ ๒ ขัน้ วิปสสนาภาวนา

แผไ ปทวั่ ทกุ ทศิ หรอื ทศิ ใดทศิ หนงึ่ เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี ยอ ม
จะละพยาบาทได

๓) การพิจารณาความท่ีสัตวมีกรรมเปนของๆ ตน คือ เม่ือ
พระโยคาวจรพจิ ารณาถงึ ความทต่ี นและผอู นื่ มกี รรมเปน ของๆ ตนอยา งนว้ี า
‘ทา นมาดว ยกรรมของตน ทา นกจ็ กั ไปดว ยกรรมของตนนนั่ แหละมใิ ชห รอื ’
ธรรมดาวา การโกรธผอู น่ื กเ็ หมอื นกบั บคุ คลจบั ถา นเพลงิ ทป่ี ราศจากเปลว
หรอื จบั ซเ่ี หลก็ รอ น หรอื จบั อจุ จาระ เพอ่ื จะประหารผอู น่ื แตต นเองนน่ั แล
ยอ มรอ น หรอื อจุ จาระยอ มจะเปอ นตนเองกอ น และเปรยี บเสมอื นบคุ คล
กำธุลีแลวซัดทวนลมไป ธุลีน้ันยอมจะยอนกลับมาสูบุคคลผูซัดไปน่ันเอง
ฉะน้ัน

อนง่ึ พยาบาทนวิ รณ ทพ่ี ระโยคาวจรละไดด ว ยธรรม ๖ ประการ นี้
ยอ มจะไมเ กดิ ขน้ึ อกี ตอ ไปดว ยการบรรลอุ รหตั ตมรรค.”

(๓) ธรรมสำหรับละถีนมิทธนิวรณ

“ภกิ ษทุ งั้ หลาย ความรเิ รม่ิ ความพยายาม ความบากบนั่ มอี ยู
การกระทำใหมากซึ่งโยนิโสมนสิการในส่ิงเหลานั้น นี้เปนอาหารให
ถนี มทิ ธะทย่ี งั ไมเ กดิ ไมเ กดิ ขน้ึ หรอื ทเ่ี กดิ แลว ไมเ จรญิ ไพบลู ยย ง่ิ ขน้ึ ”๘๕
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดย กธรรม ๖ ประการ๘๖ อนั เปน ไปเพอื่ ละถนี มทิ ธนวิ รณ
ขนึ้ แสดง ไวว า

“๑) การถอื เอานมิ ติ ในโภชนะทเี่ กนิ คอื การทพี่ ระโยคาวจรถอื เอา
นมิ ติ ในโภชนะทเี่ กนิ ประมาณวา ‘โภชนะทเี่ กนิ ประมาณน้ี ยอ มไมเ กดิ แกผ ู
งดอาหาร ๔-๕ คำกอ นอม่ิ แลว ดม่ื นำ้ ตาม’ ดงั น้ี เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ิ
อยา งน้ี ยอ มจะละถนี มทิ ธะได

๘๕ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๓๗, หนา ๑๔๗.
๘๖ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๕-๒๓๖.

ตอนที่ ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา 179

๓) การทำไวใ นใจถงึ อาโลกสญั ญา (การกำหนดอารมณค อื แสงสวา ง)
คือ การท่ีพระโยคาวจรกระทำไวในใจถึงแสงสวางแหงดวงจันทร และ
แสงสวางแหงเปลวประทีปหรือคบเพลิงในเวลากลางคืน เมื่อพระ
โยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี ยอ มจะละถนี มทิ ธะได

๔) การอยูกลางแจง คือ การที่พระโยคาวจรกระทำไวในใจถึง
แสงสวางแหงดวงอาทิตยในกลางวันก็ดี การท่ีพระโยคาวจรพักอยู
กลางแจง กด็ ี เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ ยอ มจะละถนี มทิ ธะได

๕) การคบหากลั ยาณมติ ร คอื การทพ่ี ระโยคาวจรคบหากลั ยาณมติ ร
ผูมีปกติละถีนมิทธะไดแลว เม่ือพระโยคาวจรปฏิบัติอยางนี้ ยอมจะละ
ถีนมิทธะได

๖) คำพดู ทเ่ี ปน สปั ปายะ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรกลา วถอ ยคำทเ่ี ปน
สัปปายะ หรือสนทนากันในเรื่องท่ีเกี่ยวของกับการสมาทานธุดงคเปนตน
เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด”

(๔) ธรรมสำหรับละอุทธัจจกุกกุจจนิวรณ

“ภิกษุทั้งหลาย ความสงบใจมีอยู การกระทำใหมากซึ่งโยนิโส-
มนสกิ ารในความสงบใจนนั้ นเ้ี ปน อาหารใหอ ทุ ธจั จกกุ กจุ จะทยี่ งั ไมเ กดิ
ไมเ กดิ ขนึ้ หรอื ทเ่ี กดิ แลว ไมเ จรญิ ไพบลู ยย งิ่ ขนึ้ ”๘๗
อธิบาย : พระอรรถกถาจารยไดยกธรรม ๖ ประการ๘๘ อันเปนไปเพื่อละอุทธัจจ-
กกุ กจุ จะ มอี ธบิ ายดงั นี้

“๑) ความเปน พหสู ตู คอื การทพ่ี ระโยคาวจรเรยี นพระบาลพี ทุ ธพจน
๑ ๒ ๓ ๔ หรอื ๕ นกิ าย หรอื วา เรยี นเอาโดยเนอื้ ความ พระโยคาวจรผู
ปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งน้ี กย็ อ มจะละอทุ ธจั จกกุ กจุ จะได เพราะความเปน พหสู ตู บคุ คล

๘๗ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๓๘, หนา ๑๔๗.
๘๘ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๖.

180 ตอนท่ี ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา

๒) ความเปน ผไู ตถ าม คอื การทพี่ ระโยคาวจรผมู ากดว ยการไตถ าม
ถึงสิ่งท่ีควรและไมควร พระโยคาวจรผูปฏิบัติไดอยางน้ี ก็ยอมจะละ
อุทธัจจกุกกุจจะได

๓) ความชำนาญในพระวนิ ยั คอื การทพ่ี ระโยคาวจรเปน ผเู ชย่ี วชาญ
ชำนาญในพระวินัยบัญญัติ พระโยคาวจรปฏิบัติไดอยางน้ี ก็ยอมจะละ
อุทธัจจกุกกุจจะได

๔) การคบหาวฑุ ฒบคุ คล คอื การทพี่ ระโยคาวจรเขา ไปหาพระเถระ
ผเู จรญิ ดว ยอายุ และความรู [ผมู จี ติ ตงั้ มนั่ ] เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ด
อยา งนี้ เธอยอ มละอทุ ธจั จกกุ กจุ จะได

๕) การคบหากัลยาณมิตร คือ การที่พระโยคาวจรเปนผูคบหา
กลั ยาณมติ รผทู รงวนิ ยั เชน พระอบุ าลเี ถระกด็ ี เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ัติ
ไดอ ยา งนี้ เธอยอ มละอทุ ธจั จกกุ กจุ จะได

๖) ถอ ยคำอนั เปน ทสี่ บาย คอื การทพี่ ระโยคาวจรกลา วถอ ยคำที่
เปน สปั ปายะแกค วามสงบระงบั หรอื สนทนากนั ในเรอื่ งทเ่ี กย่ี วกบั พระบาลี
พทุ ธพจน เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด”

(๕) ธรรมสำหรับละวิจิกิจฉานิวรณ

“ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมทงั้ หลายทเ่ี ปน กศุ ลและอกศุ ล ทม่ี โี ทษและ
ไมม โี ทษ ทเี่ ลวและประณตี ทเ่ี ปน สว นขา งดำและขา งขาว มอี ยู การ
กระทำใหมากซ่ึงโยนิโสมนสิการในธรรมเหลาน้ัน นี้เปนอาหารให
วจิ กิ จิ ฉาทยี่ งั ไมเ กดิ ไมเ กดิ ขน้ึ หรอื ทเ่ี กดิ แลว ไมเ จรญิ ไพบลู ยย ง่ิ ขน้ึ ”๘๙
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดย กธรรม ๖ ประการ๙๐ อนั เปน ไปเพอื่ ละวจิ กิ จิ ฉาไวว า

๘๙ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๓๙, หนา ๑๔๗-๑๔๘.
๙๐ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๗.

ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ สสนาภาวนา 181

“๑) ความเปน พหสู ตู คอื การทพ่ี ระโยคาวจรไดศ กึ ษาพระบาลแี ละ
เนอื้ ความแหง พระพทุ ธพจนใ นพระไตรปฎ ก หนง่ึ นกิ าย หรอื สอง สาม ส่ี
หรอื หา นกิ าย จนถงึ ความเปน พหสู ตู บคุ คล ยอ มละวจิ กิ จิ ฉาได

๒) ความเปน ผไู ตถ าม คอื การทพี่ ระโยคาวจรหมนั่ ทบทวนไตถ าม
เพ่ือความเขาใจแจมแจงในพระบาลีและเน้ือความแหงพระพุทธพจนใน
พระไตรปฎ ก เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี ยอ มละวจิ กิ จิ ฉาได

๓) ความชำนาญในพระวนิ ยั คอื การทพ่ี ระโยคาวจรเปน ผมู คี วาม
รู มคี วามเชยี่ วชาญ แตกฉานในพระวนิ ยั เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา ง
นี้ ยอ มละวจิ กิ จิ ฉาได

๔) ความเปน ผมู ากดว ยอธโิ มกข คอื การทพี่ ระโยคาวจรเปน ผู
มากไปดว ยความนอ มใจไป ดว ยความเลอื่ มใสศรทั ธา โดยปราศจากความ
สงสยั ในพระรตั นตรยั เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ ยอ มละวจิ กิ จิ ฉาได

๕) การคบหากลั ยาณมติ ร คอื การทพ่ี ระโยคาวจรคบหากลั ยาณมติ ร
ผนู อ มไปในศรทั ธาอนั ไมห วนั่ ไหวในพระรตั นตรยั เชน พระวกั กลเิ ถระ เปน
ตน เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งน้ี ยอ มละวจิ กิ จิ ฉาได

๖) ถอ ยคำเปน ทส่ี บาย คอื การกลา วถอ ยคำ หรอื การสนทนากนั ใน
เร่ืองเกี่ยวกับพระรัตนตรยั อันเปนไปเพ่อื เจริญศรัทธา โดยปรารภคณุ
แหง รตั นะทง้ั ๓ ในอริ ยิ าบถ มกี ารยนื และการนงั่ เปน ตน เมอื่ พระโยคาวจร
ปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ กย็ อ มละไดเ หมอื นกนั

อนง่ึ วจิ กิ จิ ฉาทพี่ ระโยคาวจรละไดด ว ยธรรม ๖ ประการเหลา นน้ั ยอ ม
ไมเ กดิ ขน้ึ ตอ ไปดว ยโสดาปต ตมิ รรค ในพระสตู รนี้ พระผมู พี ระภาคเจา ทรง
เปลย่ี นเทศนา โดยฐานะ ๓ ทรงถอื เอาธรรมอนั เปน ยอดดว ยพระอรหตั ดว ย
ประการฉะน้ี”

182 ตอนที่ ๒ ขัน้ วิปส สนาภาวนา

๒.๖ อานิสงสแหงการเจริญสัมโพชฌงค ๗ ประการ

“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมอื่ โพชฌงค ๗ ประการ อนั ภกิ ษเุ จรญิ แลว อยา งน้ี
กระทำใหม ากแลว อยา งนี้ อนั เธอพงึ หวงั ได ผลานสิ งส ๗ ประการ คอื

๑) จะไดบ รรลอุ รหตั ตผลโดยพลนั ในปจ จบุ นั
๒) หากไมไ ดบ รรลใุ นปจ จบุ นั กจ็ กั ไดบ รรลใุ นเวลาใกลต าย
๓) ถา ในปจ จบุ นั กไ็ มไ ดบ รรลุ ในเวลาใกลต ายกไ็ มไ ดบ รรลุ กจ็ กั ได
เปน พระอนาคามผี อู นั ตราปรนิ พิ พายี
๔) ถาในปจจุบันก็ไมไดบรรลุ ในเวลาใกลตายก็ไมไดบรรลุ และ
ไมไดเปนพระอนาคามีผูอันตราปรินิพพายี ก็จักไดเปนพระอนาคามี
ผูอุปหัจจปรินิพพายี
๕) ถา ในปจ จบุ นั กไ็ มไ ดบ รรลุ ในเวลาใกลต ายกไ็ มไ ดบ รรลุ ไมไ ด
เปนพระอนาคามีผูอันตราปรินิพพายี และไมไดเปนพระอนาคามีผู
อปุ หจั จปรนิ พิ พายี กจ็ ะไดเ ปน พระอนาคามผี อู สงั ขารปรนิ พิ พายี
๖) ถา ในปจ จบุ นั กไ็ มไ ดบ รรลุ ในเวลาใกลต ายกไ็ มไ ดบ รรลุ ไมไ ดเ ปน
พระอนาคามผี อู นั ตราปรนิ พิ พายี ไมไ ดเ ปน พระอนาคามผี อู ปุ หจั จปรนิ พิ พายี
ไมไดเปนพระอนาคามีผูอสังขารปรินิพพายี ก็จะไดเปนพระอนาคามี-
สสงั ขารปรนิ พิ พายี เพราะสงั โยชนเ บอ้ื งตำ่ ๕ สนิ้ ไป และ
๗) ถา ในปจ จบุ นั กไ็ มไ ดบ รรลุ ในเวลาใกลต ายกไ็ มไ ดบ รรลุ ไมไ ดเ ปน
พระอนาคามผี อู นั ตราปรนิ พิ พายี ไมไ ดเ ปน พระอนาคามผี อู ปุ หจั จปรนิ พิ พายี
ไมไดเปนพระอนาคามีผูอสังขารปรินิพพายี และไมไดเปนพระอนาคามี
ผสู สงั ขารปรนิ พิ พายี กจ็ ะไดเ ปน พระอนาคามผี อู ทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี
ภกิ ษทุ งั้ หลาย เมอ่ื โพชฌงค ๗ อนั ภกิ ษเุ จรญิ แลว อยา งน้ี กระทำให
มากแลว อยา งน้ี ผลานสิ งส ๗ ประการเหลา นี้ อนั เธอพงึ หวงั ได” ๙๑

๙๑ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๘๑-๓๘๒, หนา ๑๐๐-๑๐๒.

ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา 183

ขอ ๓ การมสี ตพิ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม : อรยิ สจั ๔

วธิ เี จรญิ ภาวนาพจิ ารณาอรยิ สจั ๔

รวมใจทกุ กายอยู ณ ศนู ยก ลางธรรมกายอรหตั เจรญิ ฌานสมาบตั ิ (รปู ฌาน ๔)
พรอ มกนั ทกุ กายสดุ กายหยาบกายละเอยี ด เอาใจ (ญาณรตั นะ) ของพระธรรมกายอรหตั
เปน หลกั โดยอนโุ ลม/ปฏโิ ลม ๓-๔ เทยี่ ว เพอื่ ใหส มาธติ ง้ั มน่ั และบรสิ ทุ ธผิ์ อ งใส ออ นโยน

ควรแกงาน และ/หรือ ทำนิโรธ (ดับสมุทัย-ละอกุศลจิตของกายในภพ ๓) โดย
รวมใจทุกกายสุดกายหยาบ-กายละเอียด เอาใจ (ญาณรัตนะ) ของ
พระธรรมกายอรหตั ในอรหตั ๆๆ เปน หลกั ดบั หยาบไปหาละเอยี ด ใหใ สละเอยี ด
หมดทกุ กาย สดุ กายหยาบกายละเอยี ด เพอื่ ชำระธาตธุ รรม เหน็ -จำ-คดิ -รู (คอื
ใจ) ทุกกายสุดกายหยาบกายละเอียด ใหบริสุทธิ์ผองใส ออนโยนควรแกงาน

แลว พจิ ารณาอรยิ สจั ๔ ตอ ไป
รวมใจทกุ กายใหอ ยู ณ ศนู ยก ลางธรรมกายพระอรหตั องคท ลี่ ะเอยี ดทส่ี ดุ ใหญ าณรตั นะ

ของธรรมกายอรหตั เพง ลงทศ่ี นู ยก ลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายมนษุ ยห ยาบ (กายเนอื้ )
ของตนเอง หรือ นอมเอาดวงธรรมที่ทำใหเปนกายมนุษยของผูอื่นมาดูก็ได แลว

อธิษฐานใหเห็นสภาวธรรมและอริยสัจจธรรม ตามท่ีเปนจริง จะเห็น “ดวงทุกข” มี

สีขุนมัว หรือ ถึงเกือบดำ ขนาดมาตรฐานปานกลางประมาณเทาฟองไขแดงของไก ทาม
กลางดวงทกุ ข กม็ ดี วงเหน็ -ดวงจำ-ดวงคดิ -ดวงรู ตงั้ ซอ นกนั อยเู ปน ชน้ั ๆ กนั เขา ไปภายใน

ทา มกลางดวงทกุ ข ยงั มี “ดวงเกดิ ” (ไปเกดิ -มาเกดิ ) คอื “ชาตทิ กุ ข” ขนาด

ประมาณเทา กนั เปน ดวงใส

กลางดวงเกดิ มี “ดวงแก” คอื “ชราทกุ ข” เปน สดี ำ แตล ะคนมขี นาดไม
เทา กนั ทแี่ กม ากกด็ วงโต ทยี่ งั หนมุ หรอื ยงั เปน เดก็ กเ็ หน็ ปรากฏเปน ดวงเลก็ ไปตามสว น

ถา มคี วามเจบ็ ไข จะปรากฏ “ดวงเจบ็ ” คอื “พยาธทิ กุ ข” เขา มาจรด มลี กั ษณะสี

ดำประมาณเทา สถี า น ขนาดไมเ ทา กนั ขน้ึ อยทู ค่ี วามเจบ็ ไขห นกั หรอื เบา

184 ตอนที่ ๒ ขนั้ วปิ สสนาภาวนา

ถาใกลจะตาย (โคมา) จะปรากฏดวงตาย คือ “มรณทุกข” มีลักษณะสีดำ

มนั เลอื่ มดจุ สนี ลิ มาจรดตรงกลาง คอื กลางหวั ตอ ระหวา งดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายทพิ ย

และกายมนษุ ยล ะเอยี ด กบั ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายมนษุ ยห ยาบ ใหด วงธรรมทที่ ำใหเ ปน
กายทพิ ยแ ละกายมนษุ ยล ะเอยี ดนน้ั ขาดจากศนู ยก ลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ของ
มนษุ ยห ยาบ (กายเนอ้ื ) นนั้ แลว ผนู นั้ กต็ าย

แตถาดวงตายมาจรดตรงกลางหัวตอน้ัน ใหดวงธรรมที่ทำใหเปนกายมนุษย
ละเอยี ดนน้ั ขาดจากศนู ยก ลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ของมนษุ ยห ยาบ (กายเนอื้ ) นน้ั เพยี ง
ชวั่ คราว แลว กลบั มาจรดคนื ใหม (หลดุ ไปสกั ระยะหนงึ่ แลว เดยี๋ วกลบั มาตดิ ใหม) ผูน้ันก็
สลบไสล หรอื เปน เหมอื นตายไปชว่ั ขณะ แลว กก็ ลบั ฟน ขนึ้ มาใหมอ กี อยา งนกี้ ม็ ี

ถาผูปวยใกลจะตายน้ัน ถามีบุตร/หลาน หรือ ญาติพี่นอง ที่ปฏิบัติธรรมไดถึง
ธรรมกาย ไดท ราบอาการของคนใกลจ ะตายนน้ั แลว รบี นอ มดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายของ
ผนู น้ั มาตงั้ ทศี่ นู ยก ลางกายของตน แลว พสิ ดารกาย (ทำนโิ รธดบั สมทุ ยั ) สดุ กายหยาบกาย

ละเอยี ด ใหธ าตธุ รรมเหน็ -จำ-คดิ -รู คอื “ใจ” ของผนู น้ั กลบั คนื มาตงั้ อยใู นกลาง
ของกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของกายมนุษยหยาบ ของคนไขนั้นไดใหมอีก
ผทู ใี่ กลจ ะตายนนั้ กจ็ ะกลบั ฟน คนื ชพี ขน้ึ มาไดใ หมอ กี และคอ ยๆ บรรเทาจากความ

เจบ็ ไขน นั้ ไดต ามสมควรแกเ หตปุ จ จยั ทจ่ี ะไดร บั การบำบดั รกั ษาตอ มา

นี้เปน มหาคุณูปการของการเจริญภาวนาธรรมตามแนวสติปฏฐาน ๔
ถึงธรรมกาย และถึงพระนิพพานของพระพุทธเจา ท่ีหลวงพอวัดปากน้ำ
พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ทา นปฏบิ ตั ไิ ดเ ขา ถงึ ไดร -ู ไดเ หน็ และไดเ ปน
ดแี ลว จงึ แนะนำสง่ั สอนศษิ ยานศุ ษิ ยใ หป ฏบิ ตั ติ าม และ ปรากฏไดผ ลดเี ปน อนั
มากแลว

แตก ม็ ขี อ พจิ ารณาอกี วา ถา ผปู ว ยไขน นั้ สงั ขารรา งกายชำรดุ ทรดุ โทรมมากแลว
แมจ ะชว ยใหฟ น คนื มา ทง้ั คนไขและญาตมิ ติ รผดู แู ลกก็ ลบั จะลำบากมากกวา เดมิ เพราะ

ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา 185

สงั ขารรา งกายไดช ำรดุ ทรดุ โทรมมากจนเกนิ ทจี่ ะฟน ฟใู หใ ชก ารไดแ ลว กต็ อ งรจู กั วางใจ
เปน “อเุ บกขา” ตามสมควร

พจิ ารณาตอ ไป ญาณรตั นะของพระธรรมกายเพง ลงไปทกี่ ลางของกลาง “ดวงทกุ ข”

ศนู ยก ลางขยายวา งออกไป จะปรากฏ “ดวงสมทุ ยั ” คอื “ดวงกามตณั หา” “ดวงภวตณั หา”
และ “ดวงวภิ วตณั หา” เปน ดวงกลมสดี ำขนุ มวั ตง้ั ซอ นกนั อยใู นกลางของกลางตอ ๆ กนั ไป
๓ ดวง แตละดวงจะปรากฏเห็นมีดวงเห็น-ดวงจำ-ดวงคิด-ดวงรู ประจำดวงสมุทัย
(กามตัณหา-ภวตัณหา-วิภวตัณหา) ทุกดวง ต้ังซอนกันเปนชั้นๆ กลางของกลางๆ กัน

เขา ไป แสดงวา ดวงสมทุ ยั (ตณั หา) หมุ เคลอื บเหน็ -จำ-คดิ -รู คอื “ใจ” ของสตั ว
มากนอย/หนาบางตามสวนของแตละสัตวโลกนั้น

พจิ ารณาแตเ ฉพาะเหน็ -จำ-คดิ -รู (ใจ) ของสตั ว (ของตนเอง และ/หรอื ผอู นื่ ) แตล ะ
ขณะจิต เม่ือใดที่สัตวโลก เมื่อมีอารมณภายนอก (รูป-เสียง-กล่ิน-รส-โผฏฐัพพะ) มา
กระทบอายตนะภายใน (ตา-ห-ู จมกู -ลนิ้ -กาย-ใจ) แลว ผนู นั้ ยงั ประมาทขาดสตสิ มั ปชญั ญะ-
ขาดอนิ ทรยี ส งั วร ปลอ ยใจ (เหน็ -จำ-คดิ -รู คอื เวทนา-สญั ญา-สงั ขาร-วญิ ญาณ) ใหฟ งุ ซา น
ไปยดึ ไปเกาะและปรงุ แตง อารมณภ ายนอกทมี่ ากระทบนนั้ จติ ใจดวงเดมิ จะดบั (วา งหาย
ไปยงั ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๖) จะปรากฏ “จติ ใจ” ดวงใหม ทถี่ กู ปรงุ แตง ดว ยบาปอกศุ ล
คอื ความยนิ ด-ี ยนิ รา ย นนั้ เปน “อกศุ ลจติ ” (ตงั้ อยกู ลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายใหม)
พรอ มดว ยอกศุ ลเจตสกิ ธรรม ถา เปน กรณจี ติ ปรงุ แตง ใหเ กดิ ความรกั /ความใคร จะปรากฏ

“กามราคานสุ ยั ” สชี มพขู นุ มวั เกอื บดำ หมุ เคลอื บ “ดวงคดิ ” พรอ มกบั “อวชิ ชานสุ ยั ”

สดี ำหมุ เคลอื บ “ดวงรู” แตถ า เปน กรณจี ติ ปรงุ แตง ใหเ กดิ ความเกลยี ดชงั จะปรากฏ

“ปฏฆิ านสุ ยั ” เขยี วเขม หรอื แดงก่ำเกอื บดำ หมุ เคลอื บ “ดวงเหน็ ” และ “ดวงจำ” พรอ ม
ดว ย “อวชิ ชานสุ ยั ” สดี ำ หมุ เคลอื บ “ดวงรู” ลอยเดน ขนึ้ มาตรงศนู ยก ลางกายฐาน

ท่ี ๗

กรณี “กามราคานสุ ยั ” หมุ เคลอื บ “ดวงคดิ ” กจ็ ะยอ มสนี ำ้ เลยี้ งของจติ เปน สชี มพู

พรอมกับ “กามตณั หา” กจ็ ะทำหนา ทดี่ ลจติ ดลใจใหป ฏบิ ตั ติ ามอำนาจของมนั สวนกรณี

186 ตอนท่ี ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา

“ปฏฆิ านสุ ยั ” หมุ เคลอื บ “ดวงเหน็ ” และ “ดวงจำ” ถงึ “ดวงคดิ ” กจ็ ะยอ มสนี ำ้ เลย้ี งของจติ

เหน็ เปน สแี ดงก่ำหรอื เขยี วเขม เกอื บดำ พรอ มกบั “วภิ วตณั หา” ดลจติ ดลใจใหป ฏบิ ตั ติ ามอำนาจ

ของมนั ใหเ ปน ทกุ ขไ ปตามสว นแหง ความหนกั เบาของกรรม ทเี่ ปน ไปกบั ดว ยกเิ ลส-
ตณั หา และอปุ าทาน โดยเหน็ -จำ-คดิ -รู คอื “ใจ” ทไี่ ปยดึ ไปเกาะอารมณภ ายนอก
นนั้ ใหก ายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม โดยเฉพาะอยา งยง่ิ
ภพ/ภมู ิ ใหม ณ ภายในของสตั วน น้ั ปรากฏเหน็ เปน ธรรมชาตทิ ขี่ นุ มวั -เศรา หมอง
เปน “ทุคคติภพ” ไปทันที ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม และมีผลใหผูนั้น
ดำเนนิ ชวี ติ ไปในทางเสอ่ื ม เปน โทษ-เปน ความทกุ ขเ ดอื ดรอ น ไปตามสว นของ
ภูมิจิตท่ีเปนทุคคติน้ัน

นยี้ อ มแสดงวา “สมทุ ยั ” เปน เหตุ “ทกุ ข” เปน ผล

ผูเจริญภาวนายอมรู-เห็น สัจจธรรมน้ี ไดดวย “ญาณรัตนะ” ของธรรมกาย
กรณนี ้ี ชอ่ื วา “สจั จญาณ”

“ทกุ ข” และ “สมทุ ยั ” นี้ มอี ยแู ตใ นกายโลกยิ ะ (ไดแ ก กายมนษุ ย- มนษุ ยล ะเอยี ด,

ในกายทพิ ย- ทพิ ยล ะเอยี ด, ในกายรปู พรหม-รปู พรหมละเอยี ด และในกายอรปู พรหม-อรปู พรหม

ละเอยี ด) เทา นน้ั หาไดม อี ยใู นกายธรรม คอื ธรรมกาย ดว ยไม

แมส ตั วโ ลกในสคุ ตภิ พ/ภมู ิ กย็ งั ไมพ น จากความทกุ ข เพราะวา ตราบใดท่ี “สมทุ ยั ”
ไดแ ก อวชิ ชา กเิ ลส ตณั หา อปุ าทาน ยงั มอี ยู และ กาย-เวทนา-จติ -ธรรม ของกายโลกยิ ะ
ดงั กลา ว กเ็ ปน ธรรมชาตทิ ป่ี ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง (ปญุ ญาภสิ งั ขาร อปญุ ญาภสิ งั ขาร หรอื
อเนญชาภสิ งั ขาร เปน ตน ) เบญจขนั ธ หรอื อปุ าทนิ นกสงั ขาร จงึ เปน ธรรมชาตทิ ต่ี อ งเปลยี่ น
แปลงไปตามเหตปุ จ จยั เปน สภาพไมเ ทย่ี ง (อนจิ จฺ ตา) เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ตา) และเปน สภาพ
มใิ ชต น (อนตตฺ ตา) เพราะปราศจากสาระในความเปน ของเทยี่ ง-เปน สขุ และปราศจาก
สาระในความเปน ตวั ตน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-ของเขา ทเ่ี ทยี่ งแทถ าวร ตลอดไป และ
เปน มตธรรมทไ่ี มอ ยใู นอำนาจของใครวา จงอยา แก- อยา เจบ็ -อยา ตาย เลย กย็ งั ตอ ง

เวยี นวา ยตายเกดิ อยใู นสงั สารจกั ร และ “เปน ทกุ ข” อกี ตอ ๆ ไป ไมม ที สี่ นิ้ สดุ

ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ สสนาภาวนา 187

พจิ ารณาตอ ไป ใหญ าณรตั นะของธรรมกาย เพง ลงทก่ี ลางของกลาง “ดวงสมทุ ยั ”

หยดุ นง่ิ ถกู สว น ศนู ยก ลางจะขยายวา งออกไป เฉพาะกรณขี องผศู กึ ษาสมั มาปฏบิ ตั อิ ยู และ/
หรอื ของพระอรยิ เจา จะปรากฏ “ดวงนโิ รธ” ขนาดเสน ผา ศนู ยก ลางประมาณเทา หนา ตกั
และความสงู ของกายมนษุ ย/มนษุ ยล ะเอยี ด ใสสวา งปรากฏขนึ้ กำจดั “สมทุ ยั ” สว นหยาบ
ของกายมนษุ ย คอื อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ

ญาณรตั นะของธรรมกาย เพง ลงทก่ี ลางของกลางดวงนโิ รธตอ ไป จะปรากฏ “ดวงมรรค”
ในขน้ั หยาบของกายมนษุ ย ซง่ึ มี “ดวงศลี ” “ดวงสมาธ”ิ และ “ดวงปญ ญา” เปน คณุ ธรรมซง่ึ
เจรญิ ขนึ้ มาจากทานกศุ ล ศลี กศุ ล และภาวนากศุ ล ในระดบั มนษุ ยธรรม ตง้ั ซอ นกนั ๓ ดวง
เปนคุณเครื่องกล่ันกรองกาย-วาจา-ใจ ท่ีละเอียดประณีตยิ่งกวากันไปตามลำดับ เปน
“ศลี วสิ ทุ ธิ” ความหมดจดแหง ศลี เพราะเจตนาความคดิ อา นทางใจบรสิ ทุ ธ์ิ และเปน “จติ ตวิ
สทุ ธ”ิ ความหมดจดแหง จติ เพราะตง้ั มน่ั อนั นำไปสู “ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธ”ิ ความหมดจดแหง ความเหน็
ตอ ไป

“ดวงนโิ รธ” คณุ ธรรมเครอ่ื งดบั ทกุ ขน น้ั เปน ผลจาก “ดวงมรรค” คอื ศลี -
สมาธ-ิ ปญ ญา อธศิ ลี อธจิ ติ อธปิ ญ ญา และปฐมมรรค มรรคจติ มรรคปญ ญา เปน เหตุ
เพง เผากเิ ลส และกำจดั สญั โญชน (กเิ ลสเครอื่ งรอ ยรดั ใหต ดิ อยกู บั โลก) ใหพ นิ าศไป

ทั้งดวงนิโรธและดวงมรรค ลวนมีดวงเห็น-ดวงจำ-ดวงคิด-ดวงรู คือ “ใจ”

ตงั้ ซอ นกนั เปน ชน้ั ๆ กลางของกลางตอ ๆ กนั ไป จนสดุ ละเอยี ด เมอื่ ผเู จรญิ ภาวนาปฏบิ ัติ
ไดถึงกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ท่ีละเอียด-บริสุทธ์ิ เขาไป
เพยี งไร “นโิ รธ” กบั “มรรค” กจ็ ะปรากฏเปน ดวงใสบรสิ ทุ ธเ์ิ ดน เจรญิ ขนึ้ ประจำทกุ กาย
สุดกายหยาบ-กายละเอียด ตั้งแตกายมนุษย-มนุษยละเอียด, กายทิพย-ทิพยละเอียด,
กายรปู พรหม-รปู พรหมละเอยี ด และกายอรปู พรหม-อรปู พรหมละเอยี ด มขี นาดโตใหญแ ละ
ใสละเอียด-บริสุทธิ์ ยิ่งกวากันไปตามลำดับ และเปนคุณเคร่ืองชวยกำจัดกิเลสประจำ
กายสดุ หยาบ-สดุ ละเอยี ด ดงั ตอ ไปน้ี

188 ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา

ทานกศุ ล ศลี กศุ ล ภาวนากศุ ล คณุ ธรรมของกายมนษุ ยล ะเอยี ด เปน คณุ เครอื่ งเพง เผา/กำจดั
อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ ในจติ ใจของกายมนษุ ย

ศลี สมาธิ ปญ ญา คณุ ธรรมของกายทพิ ย เปน คณุ เครอ่ื งเพง เผา/กำจดั
โลภะ-โทสะ-โมหะ ในจติ ใจของกายทพิ ย

อธศิ ลี อธจิ ติ อธปิ ญ ญา คณุ ธรรมของกายรปู พรหม เปน คณุ เครอ่ื งเพง เผา/กำจดั
ราคะ-ปฏฆิ ะ-โมหะ ในจติ ใจของกายรปู พรหม

ปฐมมรรค มรรคจติ มรรคปญ ญา คณุ ธรรมของกายอรปู พรหม เปน คณุ เครอ่ื งเพง เผา/กำจดั
กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัยในจิตใจของ
กายอรูปพรหม

เมอื่ ผเู จรญิ ภาวนาอาศยั คณุ ธรรมของกายในกายจากสดุ หยาบ เจรญิ ภาวนาไดเ ขา ถงึ

คณุ ธรรมของกายในกายทล่ี ะเอยี ดๆ ตอ ไป จนสดุ ละเอยี ดของอรปู พรหมละเอยี ด จงึ ปรากฏ

“กายธรรม หรอื ธรรมกาย” เรม่ิ ตง้ั แต “ธรรมกายโคตรภ”ู และตอ ไปเปน “ธรรมกาย
โคตรภูละเอียด” ใสสวางมีรัศมีปรากฏมาก “ดวงธรรม” ท่ีทำใหเปนธรรมกาย
“ดวงนโิ รธ” และ “ดวงมรรค” ทเ่ี จรญิ ขน้ึ มาตามลำดบั ของกาย ซง่ึ มดี วงเหน็ -ดวงจำ-
ดวงคิด-ดวงรู ตั้งซอนอยูประจำทุกดวง และ เจริญ-ใสละเอียดและบริสุทธิ์ขึ้นจาก
กายโลกิยะ เปน “ญาณรัตนะ” ของธรรมกาย มีขนาดโตใหญ--เสนผาศูนยกลาง
เทา หนา ตกั และความสงู ของธรรมกาย คอื ๔ วาครง่ึ ขน้ึ ไป

เม่ือผูเจริญภาวนาตอไปจาก “ธรรมกายโคตรภูละเอียด” ไดเขาถึง “ธรรมกาย”

ทล่ี ะเอยี ดบรสิ ทุ ธ-ิ์ ผอ งใส ไปจนสดุ ละเอยี ด ถงึ อายตนะ คอื “พระนพิ พาน” ได โคตรภจู ติ

ยดึ หนว งพระนพิ พานเปน อารมณ อาศยั ญาณรตั นะของธรรมกายโคตรภลู ะเอยี ดพจิ ารณา

อรยิ สจั ๔ (ทกุ ข- สมทุ ยั -นโิ รธ-มรรค) ใหร แู จง /เหน็ แจง ในอรยิ สจั ๔ กรณนี ี้ ญาณรตั นะ

ของพระธรรมกายจะพฒั นาขน้ึ เปน “สจั จญาณ” กำหนดรวู า แตล ะอรยิ สจั มจี รงิ อยา งไร
และกำหนดรตู อ ไปดว ยญาณรตั นะของพระธรรมกาย ซงึ่ พฒั นาขน้ึ เปน “กจิ จญาณ”

กำหนดรวู า ควรทำอยา งไร (ไดแ ก ทกุ ข- ควรกำจดั , สมทุ ยั -ควรละ, นโิ รธ-ควรทำใหแ จง

ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา 189

และมรรค-ควรทำใหเ จรญิ ) ธรรมโคตรภลู ะเอยี ดจะตกศนู ย คอื วา งหายไป

ขณะเม่ือมรรคจิต-มรรคปญญา ของกายธรรมของผูเจริญภาวนา เจริญขึ้น

พจิ ารณาเหน็ แจง แทงตลอดพระไตรลกั ษณใ นกายมนษุ ยซ ง่ึ เปน สงั ขารธรรม (อปุ าทนิ นกสงั ขาร)

อยนู น้ั ผเู จรญิ ภาวนา ชอ่ื วา “ยอ มไดอ นโุ ลมขนั ต”ิ

เม่ือญาณรัตนะของธรรมกาย พิจารณาเห็นความดับแหงเบญจขันธ
(ของพระอรหันต) ตามท่ีเปนจริง วา เปนพระนิพพาน ที่มีสภาพเปนตรงกันขาม
กบั สงั ขาร ไดแ ก มสี ภาพเทย่ี ง (นจิ จฺ )ํ เปน บรมสขุ (ปรมํ สขุ )ํ มปี ระโยชนส งู สดุ ยงิ่
(ปรมตถฺ )ํ เปน ธรรมทไี่ มต าย (อมต)ํ และเปน ธรรมทมี่ สี าระ (สาร)ํ ฯลฯ ยอ ม
ยา งลงสู “สมั มตั ตนยิ าม” คอื เทย่ี งตอ การบรรลมุ รรค-ผล-นพิ พาน และจะปรากฏ
ธรรมกายพระโสดาปต ตมิ รรคพรอ มดว ย “มรรคญาณ” ขนึ้ ปหาน (ละ) สญั โญชน

อยา งนอ ย ๓ ประการ คอื สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา และสลี พั พตปรามาส ได แลว ตกศนู ย

(วา งหายไป) และจะปรากฏธรรมกายพระโสดาปต ตผิ ลพรอ มดว ย “ผลญาณ” ขนึ้
เขา ผลสมาบตั ิ พจิ ารณาปจ จเวกขณ คอื พจิ ารณากเิ ลสทลี่ ะได กเิ ลสทยี่ งั เหลอื พจิ ารณา

มรรค-ผล และพระนพิ พาน ตอ ไป

เมอ่ื พระอรยิ เจา นนั้ อาศยั ญาณรตั นะของธรรมกายทล่ี ะเอยี ดๆ ตอ ๆ ไป (พระโสดา-
ปต ตผิ ล ... พระอรหตั ตมรรค) พจิ ารณาอรยิ สจั ในกายทพิ ย- พรหม-อรปู พรหม ตอ ๆ ไป

ใหเ หน็ แจง /รแู จง สภาวธรรมและอรยิ สจั จธรรม รวมทง้ั ปฏจิ จสมปุ บาทธรรม
คือ เห็นแจง-รูแจงเหตุในเหตุจนถึงตนๆ เหตุ มีอวิชชาเปนมูลรากฝายเกิด
ทกุ ขท งั้ ปวง เปน ตน ตามทเี่ ปน จรงิ ไดเ พยี งไร ญาณรตั นะของพระธรรมกายท่ี

พฒั นาขนึ้ เปน สจั จญาณ กจิ จญาณ และกตญาณ เปน ลำดบั มานน้ั กจ็ ะพฒั นาขน้ึ เปน
“อาสวักขยญาณ” เปนวิชชาท่ี ๓ คือ ปรีชาญาณหยั่งรูวา น้ีอาสวะ นี้อาสวสมุทัย
นอ้ี าสวนโิ รธ และนอ้ี าสวนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา ใหส ามารถกำจดั อาสวกเิ ลส และบรรลมุ รรค-
ผล นพิ พาน ตามระดบั ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด เพยี งนน้ั ดงั จะไดช แ้ี จงรายละเอยี ดขอ ปฏบิ ตั ิ
ในตอนท่ี ๓ ขน้ั บรรลมุ รรค ผล ตอ ไป

190

191

192 ตอนที่ ๓ ขั้นบรรลุมรรคผล

192

ตอนท่ี ๓ ขัน้ บรรลุมรรคผล 193

บทที่ ๑ อาการตรัสรูของพระพุทธเจา :
ทรงบรรลุวิชชา ๓ และไดตรัสสอนวิธีเจริญวิชชา ๓

○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดท รงบรรลญุ าณ ๓ (วชิ ชา ๓) แลว ไดต รสั สอนวธิ เี จรญิ
รปู ฌาน ๔ และวชิ ชา ๓๙๒ ดงั น้ี

(๑) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ

“ภิกษุน้ัน เมื่อจิตเปนสมาธิบริสุทธิ์ผองแผว ไมมีกิเลส ปราศจาก
อุปกิเลส ออนโยนควรแกการงาน ต้ังมั่น ไมหวั่นไหว อยางนี้ ยอม
โนม นอ มจติ ไปเพอ่ื “ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ” เธอระลกึ ชาตทิ เี่ คยอยอู าศยั
ในกาลกอ นไดเ ปน อนั มาก คอื ระลกึ ไดห นงึ่ ชาตบิ า ง สองชาตบิ า ง ... ระลกึ
ชาติท่ีเคยอยูอาศัยในกาลกอนไดเปนอันมาก พรอมท้ังอาการ พรอมท้ัง
อทุ เทศ ดว ยประการฉะน้ี เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ ออกจากบา นของตนไปสบู า น
อน่ื ออกจากบา นแมน น้ั ไปสบู า นอน่ื ออกจากบา นแมน นั้ แลว กลบั มาสู
บา นของตนตามเดมิ เขาจะพงึ ระลกึ ไดว า เราออกจากบา นของตนไปสู
บา นโนน ในบา นนนั้ เราไดย นื อยอู ยา งนน้ั ไดน งั่ อยา งนนั้ ไดพ ดู อยา งนน้ั
ไดน ง่ิ อยา งนน้ั ออกจากบา นแมน น้ั ไปสบู า นโนน แมใ นบา นนนั้ เรากไ็ ดย นื
อยา งนนั้ ไดน งั่ อยา งนน้ั ไดพ ดู อยา งนน้ั ไดน งิ่ อยา งนนั้ ออกจากบา นนนั้
แลว กลบั มาสบู า นของตนตามเดมิ ดงั น้ี ฉนั ใด

ภิกษุก็ฉันน้ันแล ยอมระลึกชาติที่เคยอยูอาศัยในกาลกอนไดเปน
อนั มาก คอื ระลกึ ไดห นงึ่ ชาตบิ า ง สองชาตบิ า ง ... ระลกึ ชาตทิ เี่ คยอยอู าศยั
ในกาลกอ นไดเ ปน อนั มาก พรอ มทง้ั อาการ พรอ มทง้ั อทุ เทศ ดว ยประการ
ฉะน”ี้

๙๒ พระไตรปฏกบาลี ฉบับสยามรัฐ เลมที่ ๑๓ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณณาสก ขอ ๕๐๖-๕๐๘ หนา ๔๖๐-๔๖๑.
และเลม ท่ี ๑๒ มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก ขอ ๔๗๑-๔๗๗ หนา ๕๐๕-๕๑๐.

194 ตอนที่ ๓ ขั้นบรรลุมรรคผล

(๒) จตุ ปู ปาตญาณ

“ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื จติ เปน สมาธิ บรสิ ทุ ธ์ิ ผอ งแผว ไมม กี เิ ลส ปราศจาก
อปุ กเิ ลส ออ น ควรแกก ารงาน ตงั้ มน่ั ไมห วน่ั ไหว อยา งนี้ ยอ มโนม นอ ม
จติ ไปเพอ่ื รจู ตุ แิ ละอบุ ตั ขิ องสตั วท ง้ั หลาย เธอเหน็ หมสู ตั วท ก่ี ำลงั จตุ ิ กำลงั
อุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดดี ตกยาก ดวย
ทพิ พจกั ษุ อนั บรสิ ทุ ธล์ิ ว งจกั ษขุ องมนษุ ย ... ยอ มรชู ดั ซงึ่ หมสู ตั วผ เู ปน ไป
ตามกรรม เปรยี บเหมอื นปราสาทหลงั หนง่ึ ตง้ั อยสู แี่ ยกทา มกลางพระนคร
บุรุษผูมีจักษุยืนอยูบนปราสาทนั้น พึงเห็นหมูมนุษยกำลังเขาสูเรือนบาง
กำลงั ออกจากเรอื นบา ง กำลงั เดนิ ไปบา ง กำลงั เดนิ มาบา ง กำลงั เทย่ี ว
ไปบา ง ฉนั ใด ภกิ ษยุ อ มเหน็ หมสู ตั วท ก่ี ำลงั จตุ ิ กำลงั อบุ ตั ิ เลว ประณตี
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดดี ตกยาก ดวยทิพพจักษุอันบริสุทธ์ิ
ลว งจกั ษขุ องมนษุ ย ... ยอ มรชู ดั ซง่ึ หมสู ตั วผ เู ปน ไปตามกรรม ฉะนน้ั เหมอื น
กนั แล”

(๓) อาสวกั ขยญาณ

“ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื จติ เปน สมาธิ บรสิ ทุ ธ์ิ ผอ งแผว ไมม กี เิ ลส ปราศจาก
อปุ กเิ ลส ออ นควรแกก ารงาน ตงั้ มนั่ ไมห วนั่ ไหว อยา งน้ี ยอ มโนม นอ มจติ
ไปเพื่อ “อาสวักขยญาณ” เธอยอมรูชัดตามความเปนจริง วา น้ีทุกข
น้ีทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหลานี้อาสวะ
นอี้ าสวสมทุ ยั นอ้ี าสวนโิ รธ นอ้ี าสวนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา เมอ่ื เธอรเู หน็ อยู
อยางน้ี จิตยอมหลุดพน แมจากกามาสวะ แมจากภวาสวะ แมจาก
อวชิ ชาสวะ เมอ่ื จติ หลดุ พน แลว กม็ ญี าณวา ‘หลดุ พน แลว ’ รชู ดั วา
‘ชาตสิ นิ้ แลว พรหมจรรยอ ยจู บแลว กจิ ทค่ี วรทำ ทำเสรจ็ แลว กจิ อน่ื
เพอ่ื ความเปน อยา งนม้ี ไิ ดม ’ี เปรยี บเหมอื นหว งนำ้ บนยอดภเู ขา มนี ำ้ ใส
สะอาด ไมข นุ มวั บรุ ษุ ผมู จี กั ษยุ นื อยทู ขี่ อบหว งนำ้ นน้ั พงึ เหน็ หอยกาบ
หอยโขง กอ นกรวด กระเบอ้ื ง ฝงู ปลา หยดุ อยบู า ง เคลอ่ื นไปบา ง เขามี

ตอนท่ี ๓ ข้ันบรรลมุ รรคผล 195

ความดำรวิ า ‘หว งนำ้ น้ี มนี ำ้ ใสสะอาด ไมข นุ มวั มหี อยกาบ หอยโขง กอ นกรวด
กระเบอ้ื ง ฝงู ปลา หยดุ อยบู า ง เคลอ่ื นไปบา ง’ ฉนั ใด ภกิ ษยุ อ มรชู ดั ตาม
ความเปน จรงิ วา นท้ี กุ ข นที้ กุ ขสมทุ ยั นที้ กุ ขนโิ รธ นท้ี กุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา
เหลานี้อาสวะ น้ีอาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ น้ีอาสวนิโรธคามินีปฏิปทา
เมอ่ื เธอรเู หน็ อยอู ยา งน้ี จติ ยอ มหลดุ พน แมจ ากกามาสวะ แมจ ากภวาสวะ
แมจ ากอวชิ ชาสวะ เมอื่ จติ หลดุ พน แลว กม็ ญี าณวา ‘หลดุ พน แลว ’ รชู ดั วา
‘ชาตสิ นิ้ แลว พรหมจรรยอ ยจู บแลว กจิ ทคี่ วรทำ ทำเสรจ็ แลว กจิ อนื่
เพอ่ื ความเปน อยา งนมี้ ไิ ดม ’ี ฉนั นนั้ เหมอื นกนั แล”

บทที่ ๒ วิธีเจริญวิชชา ๓ ถึงมรรคผลนิพพาน

○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○

ขอ ๑ ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ (วชิ ชาที่ ๑)

สำหรบั ผทู ถ่ี งึ ธรรมกายแลว เจรญิ ฌาน ๔ โดยอนโุ ลม ปฏโิ ลม เพอ่ื ใหใ จตง้ั มนั่ บรสิ ทุ ธิ์
ผอ งใส และออ นโยนควรแกง านแลว และ/หรอื ซอ นสบั ทบั ทวี จนสดุ กายหยาบกายละเอยี ด
เพอื่ ใหญ าณรตั นะของพระธรรมกายบรสิ ทุ ธิ์ ผอ งใส

แลว ใหร วมใจของทกุ กายใหห ยดุ อยู ณ ศนู ยก ลางกายพระอรหตั องคท ล่ี ะเอยี ดทส่ี ดุ
รวมดวงเหน็ ดวงจำ ดวงคดิ และดวงรู ใหห ยดุ ในหยดุ นงิ่ ลงไปทก่ี ลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ
ณ ศนู ยก ลางกายมนษุ ยน นั้ แหละ มที หี่ มายตรงกลางของกลางอากาศธาตแุ ละวญิ ญาณธาตุ
อันเปนตนสายกำเนิดธาตุธรรมเดิมน้ัน เปนจุดเล็กใสเทาปลายเข็ม ก็ใหหยุดในหยุดกลาง
ของหยดุ แลว อธษิ ฐานใหเ หน็ สภาพความเปน อยขู องตนเองถอยหลงั สบื ตอ ไปถงึ เมอ่ื สปั ดาห
ทแ่ี ลว , เดอื นทแ่ี ลว , ปท แี่ ลว , ลงไปจนถงึ ตอนทเี่ ปน เดก็ ใหร วมใจ คอื ความเหน็ ความจำ
ความคดิ ความรู ใหห ยดุ ในหยดุ ลงไปทกี่ ลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ของกายเดมิ ทเ่ี หน็ ครง้ั
สดุ ทา ยตอ ไปเรอื่ ยๆ จากทเ่ี ปน เดก็ กไ็ ปถงึ สภาพทเี่ ปน เดก็ แดงๆ, แลว กถ็ อยหลงั สบื เขา ไป
ตามสายธาตุธรรมเดิม ถึงท่ีเปนเด็กทารกในครรภของมารดา, แลวก็ไปถึงในขณะท่ีต้ัง

196 ตอนท่ี ๓ ข้ันบรรลุมรรคผล

ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ เปน กลลรปู , ถอยสบื เขา ไปถงึ ในขณะทม่ี าปฏสิ นธใิ นครรภม ารดา ดว ย
กายมนษุ ยล ะเอยี ดหรอื กายทพิ ย

แลว กอ นทจี่ ะมาปฏสิ นธิ กเ็ ปน กายละเอยี ดมาตกศนู ย พกั อยู ณ ศนู ยก ลางกายบดิ า
ชวั่ คราว

อธิษฐานใหเห็นสภาพของตนเองตามสายธาตุธรรม สืบถอยหลังไปถึงตอนท่ีจุติ คือ
เคลอ่ื นจากสงั ขารรา งกายเดมิ ของชาตทิ แ่ี ลว นนี้ บั เปน ชาตหิ นงึ่ , เมอื่ เหน็ ชดั ดแี ลว กร็ วม
เห็นจำคิดรู หยุดนิ่งท่ีศูนยกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม อธิษฐานใหเห็นอัตตภาพ และความ
เปน ไปของตนเองใหช ดั วา มสี ภาพความเปน มาอยา งไร ในชาตนิ น้ั ตนเองเกดิ เปน อะไร มี
เทอื กเถาเหลา กออยา งไร มที กุ ขม สี ขุ มงั่ มหี รอื ยากจนขดั สนกนั ดารอยา งไร เพราะผลบญุ
หรอื ผลบาปอะไร พยายามนอ มใจอนั ประกอบดว ยความเหน็ ความจำ ความคดิ ความรู
ใหห ยดุ นง่ิ ในกลางของกลางๆ ไป เรอื่ ย กจ็ ะเหน็ ไดช ดั เจนและแมน ยำ แลว กด็ ำเนนิ ไปใน
แบบเดมิ อธษิ ฐานดอู ตั ตภาพและสภาพความเปน ไปของตนเอง ถอยหลงั สบื เขา ไปทลี ะชาตๆิ
เมอ่ื กระทำชำนาญเขา กจ็ ะสามารถระลกึ ชาตไิ ดเ รว็ ขน้ึ แตจ ะตอ งหยดุ ในหยดุ ลงไปทตี่ รง
กลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ตามสายธาตธุ รรมเดมิ ถอยหลงั สบื ตอ เขา ไปเสมอ จงึ จะแมน ยำ
มฉิ ะนนั้ การรเู หน็ อาจจะเลห  คอื ผดิ พลาดได เมอ่ื จะหยดุ พกั กใ็ หอ ธษิ ฐานกลบั ตามสาย
ธาตธุ รรมเดมิ จนมาถงึ ชวี ติ ปจ จบุ นั อกี เชน กนั

นเ้ี ปน วชิ ชาที่ ๑ ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ

ขอ ๒ จตุ ปู ปาตญาณ (วชิ ชาที่ ๒)

ตอ ไป ใหฝ ก ระลกึ ใหเ หน็ อตั ตภาพและสภาพความเปน ไปของตนเองตอ ไปในอนาคต
กป็ ฏบิ ตั ใิ นทำนองเดยี วกนั คอื รวมใจอนั ประกอบดว ยความเหน็ ความจำ ความคดิ และ
ความรู ใหห ยดุ เปน จดุ เดยี วกนั ณ กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ของกายปจ จบุ นั ตงั้ จติ อธษิ ฐานให
เห็นความเปนไปหรือสภาพของตนเองในวันรุงขึ้น, ในสัปดาหหนา, ในเดือนหนา, ในปหนา,
ใน ๕ ปข า งหนา , ใน ๑๐ ปข า งหนา , ตอ ๆ ไปจนกระทง่ั ถงึ วนั ทตี่ นเองจะกระทำกาลกริ ยิ า คอื

ตอนที่ ๓ ข้นั บรรลุมรรคผล 197

ตาย ดคู วามเปน ไปสบื ตอ ไปขา งหนา ใหเ หน็ สภาพความเปน ไปในชวี ติ ของตนเอง พรอ ม
ดว ยอธษิ ฐานใหเ หน็ วบิ ากกรรมวา เปน ดว ยผลบญุ กศุ ลหรอื ผลบาปอกศุ ลกรรมใด ทจี่ ะเปน
ผลใหไ ดร บั ความสขุ หรอื ความทกุ ขเ ดอื ดรอ นในชวี ติ แตล ะชว งทไี่ ดพ บเหน็ นนั้ เปน ตอนๆ ไป
จนกระทั่งจุติละจากโลกน้ีไป

อนง่ึ ในกรณที ่ีประสงคจ ะระลกึ ชาตขิ องผอู น่ื กด็ ี หรอื จะดปู จ จบุ นั และอนาคตของ
ผอู น่ื กด็ ี กป็ ฏบิ ตั ใิ นทำนองเดยี วกนั คอื เพยี งแตน อ มเอาธาตธุ รรม ของผทู เี่ ราประสงค
จะทราบอดตี ปจ จบุ นั หรอื อนาคตของผนู น้ั มาตงั้ ทศ่ี นู ยก ลางกายของเราเอง แลว รวมเหน็
จำคิดรูของเราและของเขาใหหยุดรวมกันเปนจุดเดียว ตรงศูนยกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม
ของเขา แลว อธษิ ฐานระลกึ ใหเ หน็ อดตี ปจ จบุ นั หรอื อนาคต ของผนู น้ั ไปตามสายธาตธุ รรม
เดมิ ของเขา กจ็ ะสามารถรเู หน็ ไดเ ชน เดยี วกนั

เมอื่ ประสงคจ ะทราบวา สตั วห รอื มนษุ ยท ลี่ ะหรอื ตายจากโลกนไ้ี ปแลว จะไปบงั เกดิ
ในภพภมู ใิ ด ดว ยผลบญุ กศุ ลหรอื ผลบาปอกศุ ลใด กใ็ หป ฏบิ ตั ไิ ปตามทำนองเดยี วกนั กบั
วิธีเจริญภาวนาตรวจภพ/ตรวจจักรวาล ที่ไดเคยแนะนำไปแลว และควรเจริญภาวนา
ถงึ อายตนะคอื พระนพิ พานกอ น เพอื่ ใหญ าณรตั นะบรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสและชดั เจนกอ น ดงั ตอ ไปนี้

- เจรญิ ภาวนาทำนโิ รธดบั สมทุ ยั (ละอกศุ ลจติ ของกายในภพ ๓ ตามนยั
อรยิ สจั ๔) ธรรมกายทบี่ รสิ ทุ ธสิ์ ดุ ละเอยี ด เขา ถงึ อายตนะคอื พระนพิ พาน ได
พระนพิ พานเปน อารมณ และไดร -ู เหน็ พระนพิ พานธาตคุ อื ธรรมกายตรสั รขู อง
พระพุทธเจา และพระอรหันตขีณาสพเจาท่ีดับขันธปรินิพพาน ดวยอนุปาทิ-
เสสนพิ พานธาตุ เปน วสิ งั ขารธรรม ทมี่ สี ภาวะตรงกนั ขา มกบั สงั ขารธรรม โดย
สิ้นเชิง

ใหเจรญิ สมาบตั ิ ๔ โดยอนโุ ลมปฏโิ ลมหลายๆ เทย่ี ว เพอื่ ใหจ ติ ใจตงั้ มน่ั
และผอ งใสควรแกง าน แลว รวมใจของทกุ กายสดุ กายหยาบกายละเอยี ด อยู ณ
ศูนยกลางธรรมกายที่สุดละเอียด พิสดารกายสุดกายหยาบกายละเอียด

198 ตอนท่ี ๓ ข้ันบรรลุมรรคผล

ทำนิโรธดับสมุทัย ละอกุศลจิตของกายในภพ ๓ ใหเปนแตใจ (ญาณรัตนะ) ของ

ธรรมกายบรสิ ทุ ธ์ิ ผอ งใสจนสดุ ละเอยี ด ปลอ ยอปุ าทานในเบญจขนั ธข องกายในภพ ๓
ทงั้ หมด และปลอ ยความยนิ ดใี นฌานสมาบตั ไิ ดธ รรมกายทหี่ ยาบจะตกศนู ย (วา งหายไป)

ธรรมกายทใี่ สบรสิ ทุ ธส์ิ ดุ ละเอยี ดนนั้ จะปรากฏใน อายตนะ คอื พระนพิ พาน จะเหน็

พระอรหนั ตท ด่ี บั ขนั ธเ ขา ปรนิ พิ พานดว ย “อนปุ าทเิ สสนพิ พานธาต”ุ

พระนิพพานธาตุ คือ ธรรมกายอรหัตตรัสรู ของทานท่ีเห็นประทับอยูใน
อายตนะ คือ พระนิพพาน นั้นเอง

สำหรบั ธรรมกายอรหตั ตรสั รขู องพระสพั พญั พู ทุ ธเจา จะเหน็ ประทบั เขา
นโิ รธ สงบเงยี บ อยบู นรตั นบลั ลงั ก ใสสวา งดว ยธรรมรงั สยี ง่ิ กวา พระนพิ พานธาตุ
องคใ ดในพระนพิ พานนนั้ แวดลอ มดว ย ธรรมกายตรสั รู คอื พระนพิ พานธาตุ ของ
พระอรหันตสาวก ประทับเขานิโรธสงบเงียบอยูบนองคฌาน เวียนขวาโดยรอบ

หา งกนั ชว่ั กงึ่ องคฌ าน นบั ไมถ ว น สวา งไสวดว ยธรรมรงั สขี องพระนพิ พานธาตุ นนั้

สว น ธรรมกายอรหตั ตรสั รู คอื พระนพิ พานธาตขุ องพระปจ เจกพทุ ธเจา

จะเหน็ ประทบั เขา นโิ รธ สงบ ใสสวา งดว ยธรรมรงั สอี ยบู นรตั นบลั ลงั ก อยหู า งออกไปโดดๆ
โดยลำพังพระองคเดียว ไมมีพระนิพพานธาตุของพระอรหันตสาวกแวดลอมเหมือน
พระสพั พญั พู ทุ ธเจา เพราะทา นมไิ ดส อนผใู ดใหไ ดบ รรลมุ รรค ผล นพิ พาน

เม่ือทานไดเจริญภาวนามาถึงจุดนี้ คือ อายตนะ (พระนิพพาน) ทานจะไดท ้ังรู

และทง้ั เหน็ ทง้ั ไดส มั ผสั และทงั้ ไดอ ารมณพ ระนพิ พาน ๓ นยั คอื

๑. อายตนะ คือ พระนิพพาน เปนท่ีสถิตอยูของพระนิพพานธาตุของสมเด็จ

พระสมั มาสมั พทุ ธเจา พระปจ เจกพทุ ธเจา และของพระอรหนั ตส าวกของพระพทุ ธเจา
ผดู บั ขนั ธปรนิ พิ พานดว ย “อนปุ าทเิ สสนพิ พานธาต”ุ ตามพระพทุ ธดำรสั ทตี่ รสั วา

“อตถฺ ิ ภกิ ขฺ เว ตทายตนํ ... ตํ เอเสวนโฺ ต ทกุ ขฺ สสฺ .”๙๓

๙๓ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย อทุ าน ขอ ๑๕๘ หนา ๒๐๖-๒๐๗.

ตอนท่ี ๓ ขน้ั บรรลมุ รรคผล 199

“ภกิ ษทุ งั้ หลาย อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นนั้ มอี ย.ู

ดนิ นำ้ ไฟ ลม อากาสานญั จายตนะ วญิ ญานญั จายตนะ อากญิ จญั -
ญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหนา พระจันทรและ
พระอาทติ ยท งั้ สอง ยอ มไมม ใี นอายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นน้ั .

ภกิ ษทุ งั้ หลาย เรายอ มไมก ลา วซง่ึ อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นนั้ วา
เปน การมา เปน การไป เปน การตง้ั อยู เปน การจตุ ิ เปน การอบุ ตั .ิ

อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นนั้ หาทต่ี ง้ั อาศยั มไิ ด มไิ ดเ ปน ไป หา
อารมณม ไิ ด. [พระนพิ พาน] นน้ั แล เปน ทส่ี ดุ แหง ทกุ ข. ”

อนงึ่ พระพทุ ธดำรสั ตรสั อายตนะ คอื พระนพิ พาน นนั้ วา เปน สถานที่

(นิพฺพานฏฐานํ) ท่ีพระอเสขมุนี (พระอรหันต) ไปแลวไมเดือดรอนเศราโศก

ดงั พระพทุ ธดำรสั มใี นขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท วา

“อหสึ กา เย มนุ โย นจิ จฺ ํ กาเยน สวํ ตุ า,
เต ยนตฺ ิ อจจฺ ตุ ํ ฐานํ ยตถฺ คนตฺ วฺ า น โสจเร.”๙๔

แปลความวา

“พระมนุ เี หลา ใด ผไู มเ บยี ดเบยี น สำรวมแลว ดว ยกายเปน นติ ย,

พระมุนีเหลานั้น ยอมไปสู สถานที่อันไมจุติ ซึ่งเปนท่ีไปแลวไม

เดือดรอนเศราโศก”

พระพทุ ธดำรสั ตรสั พระนพิ พานเปน ทไี่ มม ดื มรี ศั มสี วา งโชตชิ ว งใส บรสิ ทุ ธิ์ อนั

ผบู รรลุ (ตงั้ แตโ คตรภญู าณ ถงึ บรรลมุ รรค ผล นพิ พาน) ยอ มรแู จง /เหน็ แจง ได แตไ ม

อาจเหน็ ไดด ว ยจกั ษวุ ญิ ญาณ ดงั พระพทุ ธดำรสั ตรสั ในเกวฏั ฏสตู รวา

“วิ ญฺ าณํ อนทิ สสฺ นํ อนนตฺ ํ สพพฺ โต ปภ”ํ ๙๕

แปลความวา

๙๔ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ขอ ๒๗ หนา ๔๕.
๙๕ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๙ ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค ขอ ๓๕๐ หนา ๒๘๓.

200 ตอนท่ี ๓ ข้ันบรรลุมรรคผล

“นพิ พานอนั ผบู รรลพุ งึ รแู จง ได เปน อนทิ สั สนะ [ไมเ หน็ ไดด ว ยจกั ษุ
วญิ ญาณ] เปน อนนั ตะ [ไมม ที ส่ี นิ้ สดุ แหง ความเกดิ ขนึ้ และความเสอ่ื มไป]
มรี ศั มสี วา งโชตชิ ว ง ใสบรสิ ทุ ธก์ิ วา ธรรมทงั้ ปวง”

นอกจากนี้ พระพทุ ธองคย งั ไดต รสั ในขทุ ทกนกิ าย อทุ าน อกี วา

“ยตถฺ อาโป จ ปฐวี เตโช วาโย น คาธติ
น ตตถฺ สกุ กฺ า โชตนตฺ ิ อาทจิ โฺ จ นปปฺ กาสต.ิ
น ตตถฺ จนทฺ มิ า ภาติ ตโม ตตถฺ น วชิ ชฺ ต”ิ ๙๖

แปลความวา

“น้ำ ดิน ไฟ และลม ไมต้ังอยูในนิพพานใด. ในนิพพานน้ัน
ดาวศกุ รส อ งไปไมถ งึ พระอาทติ ยส อ งแสงไมถ งึ พระจนั ทรก ส็ อ งแสง

ไมถ งึ [แต] ความมดื กไ็ มม ใี นนพิ พานนนั้ ”

๒. สภาวะพระนิพพาน เปนโลกุตตรธรรมท่ีบริสุทธิ์จากกิเลสและเคร่ือง

เศรา หมองทงั้ ปวง เปน อมตธรรม คอื ธรรมทไ่ี มต าย เปน ธรรมทมี่ สี าระ (สารํ นพิ พฺ านํ)
ในความเปน ของเทยี่ ง (นจิ จฺ )ํ เปน สขุ (สขุ ํ) และเปน ธรรมทมี่ ปี ระโยชนส งู สดุ ยง่ิ (ปรมตถฺ ํ)
ไมม คี วามเกดิ -แก- เจบ็ -ตาย อกี ตอ ไป ฯลฯ เปน ธรรมทมี่ สี ภาวะทต่ี รงกนั ขา มกบั เบญจขนั ธ
ซงึ่ เปน สงั ขารธรรมทมี่ ชี วี ติ มวี ญิ ญาณครอง (อปุ าทนิ นกสงั ขาร) ซงึ่ มสี ภาวะเปน ธรรมทไี่ ม
เทยี่ ง (อนจิ จฺ ํ) เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ )ํ เปน ธรรมทอ่ี าพาธ (อาพาโธ) ทไี่ มย ง่ั ยนื (อทธฺ วุ ํ) เปน
อนตั ตา (อนตตฺ า) เปน ธรรมทไ่ี มม สี าระ (อสารโก) เปน ธรรมทม่ี คี วามเกดิ (ชาตธิ มโฺ ม) ท่ี
มคี วามแก (ชราธมโฺ ม) เปน ธรรมทมี่ คี วามเจบ็ ไข (พยฺ าธธิ มโฺ ม) เปน ธรรมทม่ี คี วามตาย
(มรณธมโฺ ม) เปน ตน

ตามทพี่ ระสารบี ตุ รมหาเถระ พระธรรมเสนาบดี ไดแ สดงวปิ ส สนาวธิ โี ดยการพจิ ารณา
ของผบู ำเพญ็ เพยี รภาวนา เหน็ สภาวธรรมทงั้ ๒ ฝา ย จงึ หยงั่ ลงสู

“สมั มตั ตนยิ าม” (แปลวา ความแนน อนดว ยสภาวะโดยชอบ หมายถงึ โลกตุ ตรมรรค

๙๖ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย อทุ าน ขอ ๕๐ หนา ๘๕ และ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั
เลม ท่ี ๓๓ ขทุ ทกนกิ าย อปทาน ขอ ๑๒๖ หนา ๒๐๒.

ตอนท่ี ๓ ขั้นบรรลมุ รรคผล 201

เมื่อวาโดยพิเศษ ไดแก โสดาปตติมรรค ซึ่งมีสภาวะแนนอนที่จะตรัสรูภายหนา)๙๗ คือ
หยง่ั ลงสคู วามเทยี่ งตอ การบรรลมุ รรค-ผล-นพิ พาน วา

“เมอ่ื ผบู ำเพญ็ เพยี รภาวนาพจิ ารณาเหน็ เบญจขนั ธ [อปุ าทนิ นกสงั ขาร]
โดยความเปน ธรรมชาตทิ ไี่ มเ ทยี่ ง ๑ เปน ทกุ ข ๑ เปน โรค ๑ เปน ดงั หวั ฝ ๑
เปน ดงั ลกู ศร ๑ เปนความลำบาก ๑ เปน อาพาธ ๑ เปน อยา งอนื่ ๑
เปน ของชำรดุ ๑ เปน เสนยี ด ๑ เปน อบุ าทว ๑ เปน ภยั ๑ เปน อปุ สรรค ๑
เปน ความหวน่ั ไหว ๑ เปน ของผพุ งั ๑ เปน ของไมย ง่ั ยนื ๑ เปน ของไมม ี
อะไรตานทาน ๑ เปนของไมมีอะไรปองกัน ๑ เปนของไมเปนที่พึ่ง ๑
เปน ของวา ง ๑ เปน ของเปลา ๑ เปน ของสญู ๑ เปน อนตั ตา ๑ เปน โทษ ๑
เปน ของมคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ๑ เปน ของหาสาระมไิ ด ๑ เปน มลู
แหง ความลำบาก ๑ เปน ดงั เพชฌฆาต ๑ เปน ความเสอื่ มไป ๑ เปน ของมี
อาสวะ ๑ เปน ของอนั ปจ จยั ปรงุ แตง ๑ เปน เหยอ่ื แหง มาร ๑ เปน ของมี
ความเกดิ เปน ธรรมดา ๑ เปน ของมคี วามแกเ ปน ธรรมดา ๑ เปน ของมี
ความปว ยไขเ ปน ธรรมดา ๑ เปน ของมคี วามตายเปน ธรรมดา ๑ เปน ของ
มคี วามเศรา โศกเปน ธรรมดา ๑ เปน ของมคี วามร่ำไรเปน ธรรมดา ๑ เปน
ของมีความคับแคนใจเปนธรรมดา ๑ เปนของมีความเศราหมองเปน
ธรรมดา ๑” (รวม ๔๐ ขอ )

เธอนนั้ ยอ มได “อนโุ ลมขนั ติ” (ในทนี่ ี้ หมายถงึ วปิ ส สนาญาณนน่ั แหละ ทค่ี ลอ ยตาม
โลกตุ ตรมรรค ไดแ ก โคตรภญู าณ)๙๘ คอื ยอ มได “วปิ ส สนาปญ ญา” วา สงั ขารทง้ั ปวงเปน
สภาพไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข และเปน อนตั ตา เปน ตน

เมอื่ ผบู ำเพญ็ เพยี รพจิ ารณาเหน็ ความดบั แหง เบญจขนั ธ เปน นพิ พาน (วสิ งั ขารธรรม)
ที่มีสภาวะท่ีตรงกันขามกับสภาวะของสังขารธรรมท้ังปวง (๔๐ ขอ) ดังกลาวขางตน

๙๗ คมั ภรี ส ทั ธมั มปกาสนิ ี อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค เลม ๒ หนา ๓๖๗ โรงพมิ พว ญิ ญาณ กรงุ เทพฯ พ.ศ.๒๕๓๔.
๙๘ คมั ภรี ส ทั ธมั มปกาสนิ ี อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค เลม ๒ หนา ๓๖๖-๓๖๗ โรงพมิ พ วญิ ญาณ กรงุ เทพฯ

พ.ศ.๒๕๓๔ และพระไตรปฎ กและอรรถกถาไทย ฉบบั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั เลม ที่ ๖๙ พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย
ปฏสิ มั ภทิ ามรรค เลม ท่ี ๗ ภาค ๒ หนา ๘๒๑-๘๒๒.

202 ตอนที่ ๓ ขั้นบรรลุมรรคผล

เธอนั้นยอมยางลงสู “สัมมัตตนิยาม” คือ หย่ังลงสูความเที่ยงตอการบรรลุมรรค ผล
นพิ พาน กลา วคอื หยง่ั ลงสขู ณะมรรคญาณ-ผลญาณ แลว เขา ผลสมาบตั ิ และพจิ ารณา
ปจ จเวกขณด งั ทก่ี ลา วแลว ขา งตน ดงั ตวั อยา ง พระบาลธี รรมภาษติ ๙๙ ทท่ี า นพระสารบี ตุ ร-
มหาเถระไดแ สดง “วปิ ส สนากถา” ไวม เี ปน ตน วา

“ปฺจกฺขนฺเธ อนิจฺจโต ปสฺสนฺโต อนุโลมิกํ ขนฺตึ ปฏิลภติ.

ปฺจนฺนํ ขนฺธานํ นิโรโธ นิจฺจํ นิพฺพานนฺติ ปสฺสนฺโต สมฺมตฺตนิยามํ
โอกกฺ มติ ...

ปจฺ กขฺ นเฺ ธ ทกุ ขฺ โต ปสสฺ นโฺ ต อนโุ ลมกิ ํ ขนตฺ ึ ปฏลิ ภต.ิ “ปจฺ นนฺ ํ

ขนธฺ านํ นโิ รโธ สขุ ํ นพิ พฺ านนตฺ ิ ปสสฺ นโฺ ต สมมฺ ตตฺ นยิ ามํ โอกกฺ มติ”

(รวม ๔๐ ขอ )

แปลความวา

“เมอ่ื ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ เบญจขนั ธโ ดยความเปน ของไมเ ทย่ี ง (อนจิ จฺ โต)
ยอ มไดอ นโุ ลมขนั ติ เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ วา ความดบั แหง เบญจขนั ธเ ปน นพิ พาน
เทย่ี ง (นจิ จฺ ํ นพิ พฺ าน)ํ ยอ มยา งลงสสู มั มตั ตนยิ าม ...

เมอ่ื ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ เบญจขนั ธโ ดยความเปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ โต) ยอ มได
อนโุ ลมขนั ติ เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ วา ความดบั แหง เบญจขนั ธเ ปน นพิ พานเปน
สขุ (สขุ ํ นพิ พฺ าน)ํ ยอ มยา งลงสสู มั มตั ตนยิ าม” (รวม ๔๐ ขอ )

๓. ธรรมทที่ รงสภาวะนพิ พาน คอื นพิ พานธาตขุ องพระอรหนั ตส มั มาสมั พทุ ธเจา -

พระปจ เจกพทุ ธเจา -พระอรหนั ตส าวกของพระพทุ ธเจา ผบู รรลมุ รรค ผล นพิ พานแลว

ยงั ดำรงชวี ติ -ครองเบญจขนั ธอ ยู ชอ่ื วา “สอปุ าทเิ สสนพิ พานธาต”ุ ทดี่ บั ขนั ธปรนิ พิ พาน
คงอยแู ต “พระนพิ พานธาต”ุ ซง่ึ เปน “อมตธรรม” คอื ธรรมทไ่ี มต าย ชอ่ื วา “อนปุ าทเิ สส-
นพิ พานธาต”ุ ดงั พระพทุ ธดำรสั ทตี่ รสั วา

“เทวฺ มา ภกิ ขฺ เว นพิ พฺ านธาตโุ ย. กตมา เทวฺ . สอปุ าทเิ สสา จ
นพิ พฺ านธาตุ อนปุ าทเิ สสา จ นพิ พฺ านธาต.ุ ”๑๐๐

๙๙ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๓๑ ขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ขอ ๗๓๕ หนา ๖๒๙-๖๓๔.
๑๐๐ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขอ ๒๒๒ หนา ๒๕๘.

ตอนที่ ๓ ขัน้ บรรลุมรรคผล 203

แปลความวา

“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นพิ พานธาตุ ๒ ประการน้ี ๒ ประการนเี้ ปน ไฉน
คอื สอปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุ ๑ อนปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุ ๑”

และมอี รรถาธบิ ายวา
“ตเทว นสิ สฺ ตตฺ นชิ ชฺ วี ฏเ ฐน สภาวธารณฏเ ฐน จ ธาตตู ิ

นพิ พฺ านธาต”ุ

แปลความวา

“พระนพิ พาน นัน้ แล ชอ่ื วา ‘เปนธาตุ’ เพราะความหมายวา
ไมใ ชส ตั ว ไมใ ชช วี ะ และเพราะความหมายวา ธรรมทท่ี รงสภาวะของ
ตน [พระนพิ พาน] นนั้ ไว เพราะเหตนุ นั้ จงึ ชอื่ วา ‘พระนพิ พานธาต’ุ ”๑๐๑

พระนพิ พานธาตุ เปน ธรรมทไ่ี มป ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง ชอ่ื วา เปน “อสงขฺ ตธาต”ุ
ทสี่ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดต รสั วา มอี สงั ขตลกั ษณะ ๓ ประการ๑๐๒ คอื (๑) น อปุ ปฺ าโท
ปญฺ ายติ ไมป รากฏความเกดิ (ใหมอ กี ) (๒) น วโย ปญฺ ายติ ไมป รากฏความเสอื่ มสลาย
และ (๓) น ฐติ สสฺ อญฺ ถตตฺ ํ ปญฺ ายติ เมอื่ ตง้ั อยู (ตง้ั แตเ มอื่ บรรลุ) กไ็ มป รากฏความ
แปรปรวน

และยงั ไดต รสั อกี วา ๑๐๓
“ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไมเกิดแลว ไมเปนแลว อันปจจัย

กระทำไมไ ดแ ลว ปรงุ แตง ไมไ ดแ ลว มอี ยู
ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถา ธรรมชาตอิ นั ไมเ กดิ แลว ไมเ ปน แลว อนั ปจ จยั

กระทำไมไ ดแ ลว ปรงุ แตง ไมไ ดแ ลว จกั ไมไ ดม แี ลว ไซร การสลดั ออก
ซง่ึ ธรรมชาตทิ เ่ี กดิ แลว เปน แลว อนั ปจ จยั กระทำแลว ปรงุ แตง แลว
จะไมพ งึ ปรากฏในโลกนเ้ี ลย

๑๐๑ ปรมตั ถทปี นี อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย อติ วิ ตุ ตกะ หนา ๑๘๘.
๑๐๒ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๐ องั คตุ ตรนกิ าย ตกิ นบิ าต ขอ ๔๘๗ หนา ๑๙๒.
๑๐๓ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย อทุ าน ขอ ๑๖๐ หนา ๒๐๗-๒๐๘.

204 ตอนท่ี ๓ ขั้นบรรลุมรรคผล

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กเ็ พราะธรรมชาตอิ นั ไมเ กดิ แลว ไมเ ปน แลว อนั
ปจ จยั กระทำไมไ ดแ ลว ปรงุ แตง ไมไ ดแ ลว มอี ยู ฉะนนั้ การสลดั ออก
ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแลว เปนแลว อันปจจัยกระทำแลว ปรุงแตงแลว
จงึ ปรากฏ”

อนงึ่ พระนพิ พานธาตุ คอื ธรรมธาตทุ ท่ี รงสภาวะพระนพิ พานนน้ั ไดแ ก มรรค ๔

ผล ๔ และพระนพิ พาน ๑ รวมเปน พระนพโลกตุ ตรธรรม ๙ ประการ เปน ตน นนั้ ชอ่ื วา

“ธรรมกาย” ทพ่ี ระพทุ ธองคต รสั วา เปน “เรา” คอื พระตถาคตองคจ รงิ หาใชเ บญจขนั ธ

ซง่ึ มลี กั ษณะ ๓ คอื เปน อนจิ จฺ -ํ ทกุ ขฺ -ํ อนตตฺ า ของเจา ชายสทิ ธตั ถะไม

ดังที่พระพุทธโฆษาจารยไดอรรถาธิบายวา ธรรมกาย คือ พระตถาคต และ
โลกตุ ตรธรรม ๙ อยา ง เปน พระวรกายของพระตถาคต มปี รากฏในคมั ภรี  สารตั ถปั -

ปกาสนิ ี วา
“โย โข วกฺกลิ ธมฺมนฺติ อิธ ภควา ‘ธมฺมกาโย โข มหาราช

ตถาคโตติ วตุ ตฺ ํ ธมมฺ กายตํ ทสเฺ สต.ิ นววโิ ธ หิ โลกตุ ตฺ รธมโฺ ม ตถาคตสสฺ
กาโย นาม.”๑๐๔

แปลความวา

“ในคำวา ‘โย โข วกกฺ ลิ ธมมฺ ํ’ น้ี พงึ ทราบวา พระผมู พี ระภาคเจา
ทรงแสดงความท่ีพระองคเปนธรรมกาย ที่ตรัสไววา ‘ขอถวายพระ
พรมหาบพติ ร ธรรมกายแล คอื พระตถาคต’. ความจรงิ โลกตุ ตรธรรม
๙ อยา ง ชอื่ วา เปน พระวรกายของพระตถาคต”

คำวา “โลกตุ ตรธรรม ๙ อยา ง” ไดแ ก มรรค ๔ ผล ๔ พระนพิ พาน-
ธาตุ [อสงั ขตธาต]ุ ๑๑๐๕

“กตเม ธมมฺ า โลกตุ ตฺ รา. อปรยิ าปนนฺ า มคคฺ า จ มคคฺ ผลานิ จ
อสงขฺ ตา จ ธาตุ อเิ ม ธมมฺ า โลกตุ ตฺ รา.

๑๐๔ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค ภาค ๒ หนา ๓๔๒-๓๔๓.
๑๐๕ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๓๔ อภธิ รรมปฎ ก ธมั มสงั คณี ขอ ๗๐๖ หนา ๒๗๘.

ตอนท่ี ๓ ขัน้ บรรลมุ รรคผล 205

ธรรมเปน โลกตุ ตระ เปน ไฉน ? มรรคและผลของมรรคทเี่ ปน โลกตุ ตระ
และอสงั ขตธาต.ุ สภาวธรรมเหลา นช้ี อ่ื วา ธรรมเปน โลกตุ ตระ.”

เพราะเหตนุ นั้ พระธรรมกายทบ่ี รรลพุ ระอรหตั ตผลแลว นนั่ เอง เปน “พระนพิ พาน-
ธาตุ” คอื เปน ธรรมทท่ี รงสภาวะนพิ พาน และเปน พระตถาคต พระอรหนั ต องคจ รงิ

ผปู ฏบิ ตั ไิ ดถ งึ อายตนะคอื พระนพิ พานดงั นแ้ี ลว หากทา นจะใชพ ระหตั ถข องพระธรรมกาย
ของทา นสมั ผสั ดทู พ่ี ระนพิ พานธาตุ (ธรรมกายตรสั ร)ู ของพระพทุ ธเจา หรอื พระอรหนั ตส าวก
องคใด ก็จะสามารถทราบและรูสึกไดวา เปนธรรมท่ีละเอียดประณีต และสุขุมลุมลึก
อยา งยงิ่ และจะรสู กึ วา นเ้ี องทพี่ ระพทุ ธองคไ ดต รสั กบั พระปญ จวคั คยี ผเู ปน พระโสดาบนั
ผเู หน็ แจง แทงตลอดพระไตรลกั ษณแ ละตกกระแสพระนพิ พานดว ยกนั หมดทกุ องคแ ลว วา ๑๐๖

“รปู ํ ภกิ ขฺ เว อนตตฺ า. รปู จฺ หทิ ํ ภกิ ขฺ เว อตตฺ า อภวสิ สฺ , นยทิ ํ
รปู ํ อาพาธาย สวํ ตเฺ ตยยฺ . ลพเฺ ภถ จ รเู ป ‘เอวํ เม รปู ํ โหตุ เอวํ เม
รปู ํ มา อโหสตี .ิ ยสมฺ า จ โข ภกิ ขฺ เว รปู ํ อนตตฺ า. ตสมฺ า รปู ํ อาพาธาย
สวํ ตตฺ ติ ...

อมิ สมฺ ิ จฺ ปน เวยยฺ ากรณสมฺ ึ ภญฺ มาเน, ปจฺ วคคฺ ยิ านํ ภกิ ขฺ นู ํ
อนปุ าทาย อาสเวหิ จติ ตฺ านิ วมิ จุ จฺ สึ ตู .ิ ”

แปลความวา

“ภิกษุทั้งหลาย รูป [คือรางกายนี้] เปนอนัตตา [มิใชตน]. ภิกษุ
ทง้ั หลาย กร็ ปู นจี้ กั ไดเ ปน อตั ตา [ตน] แลว รปู นกี้ ไ็ มพ งึ เปน ไปเพอื่ อาพาธ
[ความลำบาก].

อนง่ึ สตั วพ งึ ไดใ นรปู ตามใจหวงั วา ‘รปู ของเรา จงเปน อยา งนเ้ี ถดิ
รปู ของเรา อยา ไดเ ปน อยา งนน้ั เลย.

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กเ็ พราะรปู เปน อนตั ตา ดงั นน้ั รปู จงึ เปน ไปเพอื่ อาพาธ...
กแ็ ลเมอ่ื ไวยากรณน ี้ อนั พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั อยู จติ ของพระภกิ ษุ
ปญ จวคั คยี พ น แลว จากอาสวะทงั้ หลาย ไมถ อื มนั่ ดว ยอปุ าทาน แล.”

๑๐๖ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๔ วนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค ขอ ๒๐-๒๔ หนา ๒๔-๒๘


Click to View FlipBook Version