156 ตอนที่ ๒ ขัน้ วปิ สสนาภาวนา
๑) อวชิ ชา-ตณั หา-อปุ าทาน-กรรม และอาหาร ซงึ่ ธาตลุ ะเอยี ดของมหาภตู รปู ๔ ไดแ ก
ธาตุนำ้ -ธาตุดิน-ธาตุไฟ-ธาตุลม น่ันแหละ ทำหนาที่ปรุงแตงอาหารซ่ึงเปนธาตุหยาบ
ใหธ าตลุ ะเอยี ดของรปู ขนั ธซ งึ่ ตง้ั อยตู รงกลาง “กลลรปู ” เจรญิ เตบิ โตขน้ึ เปน กายเนอ้ื เปน
“รปู ขนั ธ” สว นหยาบ
๒) อวชิ ชา-ตณั หา-อปุ าทาน-กรรม และผสั สะ เปน ปจ จยั ใหเ กดิ “นามขนั ธ ๓” คอื
เวทนา-สญั ญา และสงั ขาร
๓) อวชิ ชา-ตณั หา-อปุ าทาน-กรรม และรปู ขนั ธ กับ นามขนั ธ ๓ เปน ปจ จยั ใหเ กดิ
“วญิ ญาณ” รวมเปน นามขนั ธ ๔ อนงึ่ อวชิ ชา กเ็ ปน ปจ จยั ใหเ กดิ สงั ขาร, สงั ขารกเ็ ปน
ปจ จยั ใหเ กดิ วญิ ญาณ, และวญิ ญาณกเ็ ปน ปจ จยั ใหเ กิด “นามรปู ” ดว ยเชน กนั
โดยนยั น้ี ตรงกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ซงึ่ แตเ ดมิ เปน ทตี่ ง้ั ของกลลรปู จงึ เปน ที่
ตงั้ ธาตลุ ะเอยี ดของทง้ั รปู ขนั ธ ๑ และทง้ั นามขนั ธ ๔ เปน ดวงกลมใส มขี นาดเลก็ ยง่ิ กวา
เมลด็ โพธ/์ิ เมลด็ ไทร ตงั้ ซอ นกนั อยเู ปน ชน้ั ๆ ตอ จากธาตลุ ะเอยี ดของรปู ขนั ธ กลางของกลาง
ซงึ่ กนั และกนั เขา ไปภายใน คอื
ธาตลุ ะเอยี ดของ “เวทนาขนั ธ” ตงั้ อยตู รงกลางธาตลุ ะเอยี ดของรปู ขนั ธ ขยาย
สวนหยาบออกมาเปน “ดวงเห็น” (เห็นดวยใจ) มีขนาดเทาเบาตาของผูเปนเจาของ มี
“ธาตเุ หน็ ” อยใู นทา มกลางนน้ั ทำหนา ทเี่ สวยอารมณส ขุ -ทกุ ข- ไมส ขุ ไมท กุ ข
ธาตุละเอียดของ “สัญญาขันธ” ต้ังอยูตรงกลางธาตุละเอียดของเวทนาขันธ
ขยายสว นหยาบออกมาเปน “ดวงจำ” ขนาดประมาณเทา ดวงตาทงั้ หมด มี “ธาตจุ ำ” อยู
ในทา นกลางนน้ั ทำหนา ทจี่ ดจำอารมณต า งๆ (รปู -เสยี ง-กลน่ิ -รส-โผฏฐพั พะ) ทมี่ ากระทบ
ธาตุละเอียดของ “สังขารขันธ” ต้ังอยูตรงกลางธาตุละเอียดของ สัญญาขันธ
ขยายสวนหยาบออกมาเปน “ดวงคิด” ขนาดประมาณเทาดวงตาดำ แตใสบริสุทธ์ิ มี
“ธาตคุ ดิ ” อยใู นทา มกลางนนั้ ดวงคดิ ลอยอยใู นเบาะนำ้ เลย้ี งของหวั ใจ (เมอ่ื แรกเกดิ ใสบรสิ ทุ ธ)์ิ
ประมาณเทา ๑ ซองมอื ของผเู ปน เจา ของ ทำหนา ทค่ี ดิ หรอื นอ มไปสอู ารมณ
ธาตุละเอียดของ “วิญญาณขันธ” ต้ังอยูตรงกลางธาตุละเอียดของสังขารขันธ
ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา 157
ใสบรสิ ทุ ธ์ิ ขยายสว นหยาบออกมาเปน “ดวงรู” ขนาดประมาณเทา ดวงตาดำ มี “ธาตรุ ”ู
อยใู นทา มกลางนนั้ ทำหนา ทร่ี บั รอู ารมณต า งๆ ทม่ี ากระทบ
“วญิ ญาณธาต”ุ ทต่ี ง้ั อยทู า มกลางอากาศธาตุ ตรงกลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ (ทมี่ า
ตง้ั ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ) น้ัน เมอื่ ทำหนา ท่ี ธรรมชาติ ๔ อยา งของ “ใจ” กท็ ำหนา ทพี่ รอ ม
ดว ยธาตลุ ะเอยี ดของนามขนั ธ ๔ ซง่ึ ขยายสว นหยาบออกมา เปน ดวงเหน็ -ดวงจำ-ดวง
คดิ และดวงรู นแี้ หละ ทำหนา ทพ่ี รอ มกนั ดจุ ขา ยของใยแมงมมุ กลา วคอื เมอ่ื มอี ารมณ
ภายนอก (รปู -เสยี ง-กลนิ่ -รส-โผฏฐพั พะ) อะไรมากระทบ เหน็ -จำ-คดิ -รู กท็ ำหนา ทพ่ี รอ ม
กนั ทนั ที ดงั ตวั อยา ง เมอื่ มเี หตปุ จ จยั ฝา ยบญุ กศุ ล (กสุ ลาธมั มา) ใดมาปรงุ แตง “จติ ใจ”
(เห็น-จำ-คิด-รู) ก็เปลี่ยนวาระ คือ ตกศูนย (วางหายไป) ยังศูนยกลางกายฐานที่ ๖
ปรงุ เปน จติ ใจดวงใหม ตงั้ อยตู รงกลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายใหม เกดิ เปน เบญจขนั ธ
และภพ-ภมู ใิ หม (ตามสายปฏจิ จสมปุ บาทธรรม) คอื มที ง้ั รปู ธรรมหรอื รปู ขนั ธ (กายในกาย)
กบั ทง้ั นามธรรม คอื นามขนั ธ ๔ ทเี่ ปน สคุ ตภิ พดว ยปญุ ญาภสิ งั ขาร หรอื อเนญชาภสิ งั ขาร
ปรงุ แตง แลว แตก รณี ตามระดบั ภมู ธิ รรม ไดแ ก มนษุ ยธรรม-เทวธรรม-พรหมธรรม
ลอยเดน ขน้ึ มาตรงศนู ยก ลางกายฐานที่ ๗ และดลจติ ใจใหป ฏบิ ตั หิ รอื ดำเนนิ ชวี ติ ไปใน
ทางเจรญิ และสนั ตสิ ขุ และ/หรอื เมอ่ื ตายกน็ ำไปเกดิ ในภพ/ภมู ใิ หม เปน สคุ ตภิ พ
ถา เปน กรณอี ปญุ ญาภสิ งั ขารปรงุ แตง กจ็ ะเกดิ เบญจขนั ธ และภพ-ภมู ใิ หม ทเี่ ปน
ทุคคติภพ ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม ลอยเดนข้ึนมาตรงศูนยกลางกายฐานท่ี ๗
ดลจติ ดลใจใหป ฏบิ ตั ิ หรอื ดำเนนิ ชวี ติ ไปในทางเสอื่ ม เปน โทษ หรอื เปน ความทกุ ขเ ดอื ดรอ น และ/
หรอื นำใหไ ปเกดิ ในภพ/ภมู ใิ หม เปน ทคุ คตภิ พ
ไดเ หน็ สภาวะของสงั ขารธรรม คอื เบญจขนั ธ และภพ/ภมู ขิ องสตั ว ทปี่ ระกอบ
ดวยปจจัยปรุงแตงท่ีตองเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปจจัย (ฝายบุญกุศล-บาปอกุศล หรือ
ฌานทไี่ มห วน่ั ไหว) ทปี่ รงุ แตง ดบั แลว กเ็ กดิ ๆๆ ทนั ที ตามสายปฏจิ จสมปุ บาทธรรม
เปน ปจ จบุ นั ธรรม นเี้ ปน วปิ ส สนาปญ ญา อนั เหน็ แจง แทงตลอดในพระไตรลกั ษณ
จากการทไ่ี ดท ง้ั รแู ละทง้ั เหน็ อยา งชดั เจนแจม แจง ตามระดบั ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด
158 ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา
ธรรมปฏบิ ตั ิ โดยวธิ เี จรญิ วปิ ส สนามสี มถะเปน เบอ้ื งตน นี้ ชว ยใหโ พชฌงค
๗ โดยเฉพาะอยางย่ิง ทั้งสติสัมโพชฌงค และธัมมวิจยสัมโพชฌงค รวมทั้ง
วิปสสนาญาณ เจริญขึ้นอยางรวดเร็ว และโดยเฉพาะอยางย่ิง เม่ือผูปฏิบัติ
ไดถึงธรรมกายที่ละเอียดๆ ไป จนสุดละเอียด ยิ่งชวยใหวิปสสนาญาณเจริญ
ข้ึนถึงโคตรภูญาณ ไดทันที โดยไมตองผาน (เพราะไมเกิด) วิปสสนูปกิเลส
เหมือนอยางการเจริญภาวนาโดยวิธี “ธัมมุทธัจจวิคคหิตมานัส” ของผูเจริญ
ภาวนาทม่ี ไิ ดอ บรมจติ (สมถภาวนา) ใหต ง้ั มนั่ ในระดบั ฌานจติ เปน “สมั มาสมาธ”ิ
ใหจิตผองใส ควรแกงานเจริญอภิญญาและวิชชา คุณเครื่องชวยใหเจริญ
วปิ ส สนาปญ ญา จากการพจิ ารณาเหน็ กายในกาย เหน็ เวทนาในเวทนา เหน็ จติ ในจติ
และเหน็ ธรรมในธรรม ทงั้ ณ ภายนอก และ ณ ภายใน ใหเ หน็ แจง สภาวธรรมตาม
ธรรมชาตทิ เ่ี ปน จรงิ ดว ยการทไ่ี ดท งั้ รแู ละทง้ั เหน็ กอ น จงึ ยอ มมโี อกาสทจี่ ะเกดิ
วิปสสนูปกิเลสไดมาก
สว นผเู จรญิ ภาวนาตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ถงึ ธรรมกายและพระนพิ พาน
ของพระพทุ ธเจา พลงั สมถะและวปิ ส สนายอ มเจรญิ ไดส ดั สว นสมดลุ กนั อภญิ ญา
ไดแ ก ทพิ พจกั ษ-ุ ทพิ พโสต และวชิ ชา พรอ มทงั้ ญาณรตั นะของธรรมกายทบี่ รสิ ทุ ธ์ิ
ผองใส ยอมเกิดและเจริญข้ึน เปนคุณเคร่ืองชวยใหเห็นแจง-รูแจงสัจจธรรม
ตามทเ่ี ปน จรงิ (ตามระดบั ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด) วปิ ส สนปู กเิ ลสจงึ ไมเ กดิ ขน้ึ ดงั ตวั อยา ง
การพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม คอื อรยิ สจั ๔ ดงั น้ี
พงึ ทราบเปน ขอ มลู เบอ้ื งตน ไวก อ นวา การพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม คอื อรยิ สจั ๔
ดว ย “สจั จญาณ” นน้ั การพจิ ารณาเหน็ “ทกุ ข” และ “สมทุ ยั ” เหตแุ หง ทกุ ขในบคุ คลอน่ื
ผูมิไดศึกษาสัมมาปฏิบัติพระสัทธรรม จะเห็นปรากฏชัดเจนกวาการพิจารณาเห็น
“ทุกข” และ “สมุทัย” ในตนเอง หรือ ผูที่กำลังศึกษาสัมมาปฏิบัติดีอยูแลว หรือ ใน
พระอรยิ เจา เพราะธาต-ุ ธรรม (บญุ กศุ ล-บาปอกศุ ล) ไดร บั การชำระใหบ รสิ ทุ ธิ์ ผอ งใส
ตอนที่ ๒ ข้นั วปิ สสนาภาวนา 159
ไปในตวั ขณะปฏบิ ตั ธิ รรมอยแู ลว “ทกุ ข” และ “สมทุ ยั ” จงึ ปรากฏจางเบาบางลงตามระดบั
ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ดอ ยแู ลว
ในทางกลบั กนั สว นการพจิ ารณาเหน็ “นโิ รธ” และ “มรรค” ในตนเอง หรอื ผทู ก่ี ำลงั
ศกึ ษาสมั มาปฏบิ ตั ดิ อี ยแู ลว หรอื ในพระอรยิ เจา จะเหน็ ปรากฏชดั เจนกวา การพจิ ารณา
เหน็ “นโิ รธ” และ “มรรค” ในบคุ คลอนื่ ผมู ไิ ดศ กึ ษาสมั มาปฏบิ ตั พิ ระสทั ธรรม เปน ธรรมดา
เพราะทา นทกี่ ำลงั ไดศ กึ ษาสมั มาปฏบิ ตั พิ ระสทั ธรรมดอี ยูและ/หรอื พระอรยิ เจา
ทานกำลงั ไดก ระทำ หรอื ไดกระทำใหทุกขดับเพราะเหตุดับได ตามสมควรแก
ภมู ธิ รรมของทา นแลว “ทกุ ข” และ “สมทุ ยั ” ของทา นผเู ชน นี้ จงึ จดื จาง-เบาบางลง
ถงึ หมดสนิ้ ไป “นโิ รธ” และ “มรรค” ของทา นจงึ ปรากฏขน้ึ และเจรญิ ขน้ึ ใหเ หน็
ไดชัดเจน ตามระดับภูมิธรรมของผูศึกษาสัมมาปฏิบัติไดแตละทาน หมายความ
วา ผมู ภี มู ธิ รรมเสมอกนั ยอ มร-ู ยอ มเหน็ กนั ได ในระหวา งผมู ภี มู ธิ รรมเสมอกนั ผมู ภี มู ธิ รรม
สูงกวายอมเห็นภูมิธรรมของผูมีภูมิธรรมตำ่ กวา แตผูมีภูมิธรรมตำ่ กวายอมเห็นไมถึง
ภมู ธิ รรมของผทู ม่ี ภี มู ธิ รรมสงู กวา เปน ธรรมดา
เพราะเหตนุ ้นั สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา จึงไดตรสั สรรเสรญิ คณุ ของสมาธิ และ
แนะนำใหพระภิกษุพึงเจริญสมาธิวา๖๙
“สมาธึ ภกิ ขฺ เว ภาเวถ. สมาหโิ ต ภกิ ขฺ เว ภกิ ขฺ ุ ยถาภตู ํ ปชานาต.ิ ”
แปลความวา
“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทงั้ หลายจงเจรญิ สมาธิ ภกิ ษผุ มู จี ติ ตงั้ มนั่ แลว
ยอ มรตู ามความเปน จรงิ [วา นท้ี กุ ข นท้ี กุ ขสมทุ ยั นท้ี กุ ขนโิ รธ นที้ กุ ข-
นิโรธคามินีปฏิปทา]”
สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา จงึ ไดต รสั สอนให เจรญิ ภาวนา พจิ ารณาเหน็ กายในกาย
เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต และเห็นธรรมในธรรม เปนทั้ง ณ ภายนอก (คือ
สว นหยาบ) และทง้ั ณ ภายใน (คอื สว นละเอยี ดเขา ไปจนสดุ ละเอยี ด)
๖๙ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๘ สงั ยตุ ตนกิ าย สฬายนตวรรค ขอ ๑๔๗, หนา ๙๙-๑๐๐.
160 ตอนที่ ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา
ทพี่ ระพทุ ธองคท รงสอนสตปิ ฏ ฐาน ๔ ในมหาสตปิ ฏ ฐานสตู รนน้ั เปน เพยี งตวั อยา ง
ธรรมปฏบิ ตั เิ บอื้ งตน ของการพจิ ารณาเหน็ กายในกาย เหน็ เวทนาในเวทนา เหน็ จติ ในจติ
และเห็นธรรมในธรรม โดยอาศัยเหตุปจจัยภายนอก (คือ กาย-เวทนา-จิต-ธรรม ของ
กายมนษุ ยห ยาบ) ชอื่ วา พจิ ารณาเหน็ กายในกาย ... ณ ภายใน (ตวั เอง) ถา นอ มเอา
กาย-เวทนา-จติ -ธรรม ของบคุ คลอนื่ มาพจิ ารณาเทยี บเคยี งกบั ของตวั เอง ชอื่ วา พจิ ารณา
เหน็ กายในกาย ... ณ ภายนอก เทา นนั้
พระอรรถกถาจารยไดแสดงขอปฏิบัติ ๗ ประการ๗๐ อันจะเปนเหตุใหธรรมวิจย-
สมั โพชฌงคเ กดิ และเจรญิ ขน้ึ บรบิ รู ณ และเปน ไปเพอ่ื ละนวิ รณ ซงึ่ เปน ฝา ยทำใหจ กั ษคุ อื ปญ ญา
มดื มวั ไมแ จม แจง ใหจ กั ษบุ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใส คอื
“๑) ความเปน ผมู ากดว ยการไตถ าม คอื การทพี่ ระโยคาวจรไตถ าม
ถงึ ความเนอื้ ความแหง ขนั ธ ธาตุ อายตนะ อนิ ทรยี พละ โพชฌงค องคม รรค
ฌาน สมถะและวปิ ส สนา เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ ธรรมวจิ ย-
สมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขนึ้
๒) การทำวตั ถทุ งั้ หลายภายในและภายนอกใหส ดใส คอื เมอื่ ผม
ขน เลบ็ ของพระโยคาวจรนนั้ ยาว หรอื วา รา งกายมโี ทษมาก และเปอ นดว ย
เหงอื่ ไคล ชอื่ วา วตั ถภุ ายในไมส ดใส ไมห มดจด จวี รทคี่ รำ่ ครา เปอ นเปรอะ
เหมน็ สาบ หรอื วา เสนาสนะรกเรอ้ื ชอ่ื วา วตั ถภุ ายนอกไมส ดใส คอื ไมส ะอาด
เมอื่ เปน อยา งนี้ แมญ าณในจติ และเจตสกิ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในวตั ถภุ ายในและภายนอก
นั้นยอมไมสดใส ไมบริสุทธิ์ไปดวย ดุจแสงของเปลวประทีปที่ไมแจมใส
เพราะอาศยั โคม ไส และนำ้ มนั ทไ่ี มส ะอาด เพราะฉะนนั้ พระโยคาวจรจงึ
ควรทำวัตถุท้ังภายในและภายนอก ทั้งเบื้องบนและเบ้ืองลาง ใหสดใส
ดวยการตัดผมเปนตน ดวยการทำใหรางกายเบา ดวยการถายยา และ
ดวยการถูและอาบน้ำ ควรทำวัตถุภายนอกใหสดใส ดวยทำสูจิกรรม
การซกั และเกบ็ งำ ทำความสะอาดของใชเ ปน ตน เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ัติ
ไดอ ยา งน้ี ธรรมวจิ ยสมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ
๗๐ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๒๔-๒๒๖.
ตอนท่ี ๒ ขัน้ วปิ สสนาภาวนา 161
๓) การปรบั อนิ ทรยี ใ หเ สมอกนั คอื การทพ่ี ระโยคาวจรทำอนิ ทรยี
ทงั้ หลายมศี รทั ธาเปน ตน ใหเ สมอกนั เพราะถา สทั ธนิ ทรยี ข องผบู ำเพญ็ เพยี ร
แกก ลา อนิ ทรยี ข อ อน่ื ๆ ออ น ทนี น้ั วริ ยิ นิ ทรยี ย อ มไมอ าจทำปค คหกจิ
(กจิ คอื การยกจติ ไว) สตนิ ทรยี จ ะไมอ าจทำอปุ ฏ ฐานกจิ (กจิ คอื การอปุ การะ
จิต) สมาธินทรียจะไมอาจทำอวิกเขปกิจ (กิจคือการทำจิตไมใหฟุงซาน)
ปญ ญนิ ทรยี ย อ มไมอ าจทำทสั สนกจิ (กจิ คอื การเหน็ ตามเปน จรงิ ) เพราะ
ฉะนน้ั สทั ธนิ ทรยี อ นั กลา นน้ั ตอ งทำใหล ดลงเสยี ดว ยพจิ ารณาสภาวะแหง
ธรรม ดว ยไมท ำไวใ นใจ
ถา วริ ยิ นิ ทรยี ก ลา สทั ธนิ ทรยี ย อ มไมอ าจทำอธโิ มกขกจิ ได (กจิ คอื การ
นอ มใจเชอ่ื ) อนิ ทรยี น อกนี้ กจ็ ะไมอ าจทำกจิ นอกนแี้ ตล ะขอ ได เพราะ
ฉะนน้ั วริ ยิ นิ ทรยี อ นั กลา นนั้ ตอ งทำใหล ดลงดว ยการเจรญิ ปส สทั ธสิ มั โพชฌงค
เปน ตน แมใ นขอ นน้ั กพ็ งึ แสดงเรอ่ื งพระโสณเถระ ความทเ่ี มอ่ื ความกลา
แหง อนิ ทรยี อ นั หนง่ึ มอี ยู อนิ ทรยี น อกนี้ จะไมส ามารถทำกจิ ของตนๆ ได
พงึ ทราบในอนิ ทรยี ท เี่ หลอื อยา งนแ้ี ล
ในอนิ ทรยี ๕ น้ี บณั ฑติ ทงั้ หลาย สรรเสรญิ ความเสมอกนั แหง สทั ธา
กับปญญา และสมาธิกับวิริยะ เพราะคนมีสัทธาแกกลาแตปญญาออน
จะเปน คนเชอื่ งา ย มกั เลอ่ื มใสในสง่ิ อนั ไมเ ปน สาระ [ไมใ ชร ตั นตรยั ]. สว น
คนมปี ญ ญากลา แตส ทั ธาออ น กม็ กั จะตกไปขา งอวดดี เปน คนแกไ ขไมไ ด
มกั คดิ ไปวา ทำจติ ใหเ ปน กศุ ลเทา นน้ั กพ็ อแลว ดงั นี้ แลว ไมท ำบญุ มที านเปน
ตน ยอ มจะเกดิ ในนรก ตอ เมอ่ื ธรรมทงั้ ๒ เสมอกนั บคุ คลจงึ จะเลอื่ มใส
ในสงิ่ อนั เปน สาร [คอื พระรตั นตรยั ]
โกสชั ชะ (ความเกยี จครา น) มกั ครอบงำคนมสี มาธกิ ลา แตว ริ ยิ ะออ น
เพราะสมาธิเปนฝายโกสัชชะ อุทธัจจะยอมครอบงำคนมีวิริยะกลาแต
สมาธอิ อ น เพราะวริ ยิ ะเปน ฝา ยอทุ ธจั จะ แตส มาธทิ มี่ วี ริ ยิ ะประกอบเขา
ดว ยกนั แลว จะไมต กไปในโกสชั ชะ วริ ยิ ะทม่ี สี มาธปิ ระกอบพรอ มกนั แลว จะ
162 ตอนที่ ๒ ขั้นวิปส สนาภาวนา
ไมต กไปในอทุ ธจั จะ เพราะฉะนนั้ อนิ ทรยี ท งั้ ๒ นนั้ พระโยคาวจรพงึ
ทำใหเ สมอกนั ดว ยวา อปั ปนาจะมไี ด กเ็ พราะความเสมอกนั แหง อนิ ทรยี
ทง้ั ๒
อีกอยางหน่ึง สัทธาท่ีมีกำลังมาก ยอมเหมาะสำหรับผูบำเพ็ญ
สมถกัมมัฏฐาน เพราะเม่ือสัทธามีกำลังมาก เธอเชื่อดิ่งลงไป จักบรรลุ
อปั ปนาได สำหรบั สมาธแิ ละปญ ญาเลา สมาธทิ มี่ กี ำลงั มากเหมาะสำหรบั
ผบู ำเพญ็ สมถกรรมฐาน ดว ยเมอื่ เอกคั คตามกี ำลงั อยา งนน้ั เธอจะบรรลุ
อปั ปนาได ปญ ญาทมี่ กี ำลงั เหมาะสำหรบั ผบู ำเพญ็ วปิ ส สนากรรมฐาน
เพราะเมอื่ ปญ ญามกี ำลงั อยา งนน้ั เธอยอ มจะบรรลลุ กั ขณปฏเิ วธ [เหน็ แจง
ไตรลกั ษณ] ได อนงึ่ แมเ พราะสมาธแิ ละปญ ญาทงั้ ๒ เสมอกนั อปั ปนาก็
คงมไี ด สว นสติ มกี ำลงั ในทท่ี ง้ั ปวงจงึ ควร เพราะสตริ กั ษาจติ ไวไ มใ หต กไป
ในอทุ ธจั จะ เพราะอำนาจแหง สัทธาวริ ยิ ะ และปญ ญาอนั เปน ฝา ยอทุ ธจั จะ
และรักษาจิตไวแต [จาก] ความตกไปในโกสัชชะ เพราะสมาธิเปนฝาย
โกสชั ชะ เพราะฉะนน้ั สตนิ นั้ จงึ จำปรารถนาในทท่ี ง้ั ปวง ดจุ เกลอื สะตุ
เปน สง่ิ ทพี่ งึ ปรารถนาในกบั ขา วทงั้ ปวง และดจุ สรรพกมั มกิ อำมาตย (ผรู อบ
รใู นการงานทงั้ ปวง) เปน ผพู งึ ปรารถนาในสรรพราชกจิ ฉะนน้ั เพราะฉะนนั้
พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรสั วา สตเิ ปน คณุ ชาตจิ ำปรารถนาในทท่ี ง้ั ปวง
๔) การหลกี เวน บคุ คลทรามปญ ญา คอื การทพ่ี ระโยคาวจรหลกี เวน
เสียใหไกลจากบุคคลทรามปญญา ผูไมหยั่งลงสูการพิจารณาความเกิดข้ึน
และดับไปแหงเบญจขันธ เปนตน เมื่อพระโยคาวจรปฏิบัติไดอยางนี้
ธรรมวจิ ยสมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขนึ้
๕) การคบหาบคุ คลผมู ปี ญ ญา คอื การทพี่ ระโยคาวจรพจิ ารณาคบหา
บคุ คลผมู ปี ญ ญา ผพู จิ ารณาเหน็ ความเกดิ ขน้ึ และความเสอ่ื มไปแหง เบญจขนั ธ
เปน ตน เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอยา งน้ี ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคก ย็ อ ม
จะเกดิ ขน้ึ
ตอนท่ี ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา 163
๖) การพจิ ารณาปาฐะทตี่ อ งใชป ญ ญาอนั ลกึ คอื การทพี่ ระโยคาวจร
พิจารณาเพ่ือความแตกฉานดวยปญญา อันเปนไปในธรรมทั้งหลายมีขันธ
เปน ตน อนั ละเอยี ด เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งน้ี ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค
กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้
๗) ความนอ มจติ ไปในธมั มวจิ ยะนนั้ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรนอ มจติ
ไป เพอ่ื ใหธ มั มวจิ ยสมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งน้ี
ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ”
ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคน ี้ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ดว ยดว ยเหตุ ๗ ประการดงั กลา วนี้
ยอ มเจรญิ เตม็ ทเ่ี มอื่ พระโยคาวจรบรรลอุ รหตั ตมรรค
(๓) เหตเุ กดิ วริ ยิ สมั โพชฌงค
พระผมู พี ระภาคตรสั ธรรมทเ่ี ปน อาหารหรอื เหตเุ กดิ แหง วริ ยิ สมั โพชฌงค วา
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย ความรเิ รม่ิ ความพยายาม ความบากบนั่ มอี ยู
การกระทำใหม ากซง่ึ โยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา นน้ั นเ้ี ปน อาหารให
วริ ยิ สมั โพชฌงคท ย่ี งั ไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๗๑
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน เหตใุ หธ รรมวริ ยิ สมั โพชฌงค
เกิดข้ึน เจริญบริบูรณ และเปนไปเพื่อละนิวรณซ่ึงเปนฝายทำใหจักษุคือปญญามืดมัว
ไมแ จม แจง ขอ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ มี ๑๑ ประการ๗๒ คอื
“๑) การพจิ ารณาเหน็ ภยั ในอบาย คอื เมอื่ พระโยคาวจรพจิ ารณา
เหน็ ภยั ของสตั วผ เู กดิ ในอบายอยา งนวี้ า ในนรก เวลาเสวยทกุ ขใ หญ นบั
ตง้ั แตถ กู จองจำดว ยเครอื่ งจองจำ ๕ อยา ง ในกำเนดิ ดริ จั ฉาน เวลาถกู จบั
ดว ยแหและไซดกั ปลาเปน ตน เวลาถกู เขาทม่ิ แทงดว ยปฏกั แลว ตอ นใหล าก
เกวยี นเปน ตน ไป เปน ตน เวลาเดอื ดรอ นดว ยความหวิ กระหาย ถงึ หลาย
พันปหรือพุทธันดรหน่ึง เวลาเสวยทุกขเพราะลมและแดดเปนตน ใน
๗๑ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๖๗, หนา ๙๖-๙๗.
๗๒ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๒๗-๒๓๐.
164 ตอนที่ ๒ ขัน้ วิปส สนาภาวนา
ปต ตวิ สิ ยั ดว ยอตั ตภาพทมี่ เี พยี งหนงั หมุ กระดกู ขนาด ๖๐ ศอก และ ๘๐ ศอก
ไมมีใครสามารถทำใหวิริยสัมโพชฌงคเกิดข้ึนได ดังน้ี ยอมเปนเหตุให
วริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได
๒) ความเปน ผปู กตเิ หน็ อานสิ งส คอื เมอื่ พระโยคาวจรพจิ ารณา
เหน็ อานสิ งสอ ยา งนวี้ า คนเกยี จครา นหาอาจไดโ ลกตุ ตรธรรม ๙ ไม คนปรารภ
ความเพยี รเทา นน้ั อาจได นเี้ ปน อานสิ งสแ หง ความเพยี รดงั น้ี ยอ มเปน
เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได
๓) การพจิ ารณาเหน็ ทางดำเนนิ คอื เมอ่ื พระโยคาวจรพจิ ารณา
เห็นขอปฏิบัติอันเปนทางดำเนินแหงพระศาสดาและพระสาวกอยางนี้วา
พระศาสดาและพระสาวกดำเนนิ ไปแลว อยา งน้ี เราควรดำเนนิ ตามทางที่
พระพทุ ธเจา พระปจ เจกพทุ ธะ และมหาสาวกทงั้ ปวง ดำเนนิ ไปแลว และ
ทางนน้ั คนเกยี จครา นหาอาจดำเนนิ ไปไดไ ม เมอื่ พระโยคาวจรพจิ ารณา
เหน็ ทางดำเนนิ แหง พระศาสดาเปน ตน ดงั นแี้ ลว วริ ยิ สมั โพชฌงคย อ มจะเกดิ
ขนึ้ ได
๔) ความเคารพในการเที่ยวบิณฑบาต คือ เมื่อพระโยคาวจร
พจิ ารณาเหน็ ความเคารพในบณิ ฑบาตอยา งนวี้ า คนทบ่ี ำรงุ ทา นดว ยอาหาร
บิณฑบาตเหลาน้ี จะเปนญาติ หรือเปนทาสรับใช ของทานก็หามิได
พวกเขาเหลา นน้ั ถวายบณิ ฑบาตอนั ประณตี เพราะคดิ วา ‘พวกเราอาศยั ทา น
เลยี้ งชพี ’ กห็ ามไิ ด ผถู วายอาหารบณิ ฑบาตเหลา นนั้ หวงั การกระทำกศุ ล
ของตนวา จะมผี ลใหญ จงึ ไดถ วาย ถงึ พระศาสดาทรงพจิ ารณาเหน็ อยอู ยา ง
นน้ั วา ‘ภกิ ษนุ ้ี บรโิ ภคปจ จยั เหลา นแ้ี ลว มรี า งกายแขง็ แรงมาก จกั อยสู บาย’
ดงั นี้ จงึ ไมท รงอนญุ าตปจ จยั แกท า น แทจ รงิ แลว พระศาสดาทรงอนญุ าต
ปจ จยั เหลา นน้ั ดว ยดำรวิ า ‘ภกิ ษนุ ี้ เมอื่ บรโิ ภคปจ จยั เหลา นแี้ ลว จกั กระทำ
สมณธรรมเพอื่ พน จากวฏั ฏทกุ ข’ บดั นี้ เมอื่ ทา นยงั เปน คนเกยี จครา น ยอ ม
ไดช อ่ื วา ไมเ คารพในบณิ ฑบาต แตผ บู ำเพญ็ ความเพยี รเทา นนั้ ชอ่ื วา เคารพ
ตอนที่ ๒ ขัน้ วิปสสนาภาวนา 165
ในบณิ ฑบาต วริ ยิ สมั โพชฌงคย อ มเกดิ ขนึ้ ได เหมอื นทเี่ กดิ ขน้ึ แกพ ระมหา
มติ ตเถระ ผพู จิ ารณาอยซู ง่ึ ความเคารพในบณิ ฑบาต
เร่ืองมีวา พระเถระอยูประจำในถำ้ กสกะ มหาอุบาสิกาคนหน่ึงใน
โคจรคามของพระเถระนนั้ แล ทำพระเถระใหเ ปน บตุ ร บำรงุ อยู วนั หนงึ่
เมอื่ นางไปปา จงึ กลา วกะธดิ าวา ‘แม ขา วสารเกา อยใู นทโ่ี นน นำ้ นมอยใู น
ทโ่ี นน เนยใสอยใู นทโี่ นน นำ้ ออ ยอยใู นทโ่ี นน เจา จงหงุ ขา วแลว ถวายพรอ ม
กบั นำ้ นมเนยใสและน้ำออ ยในเวลาพระเถระมาแลว เถดิ เจา พงึ บรโิ ภคสว น
เมื่อวาน แมบริโภคขาวตังที่สุกดวยนำ้ สมแลว’. ธิดาจึงถามวา ‘แม
กลางวนั แมจ กั กนิ อะไร’ มารดาจงึ กลา ววา ‘ลกู เจา จงตม ขา วยาคเู ปรย้ี ว
ดว ยขา วสารปนรำ ใสผ กั วางไว’
พระเถระหม จวี รเสรจ็ พอนำบาตรออกไปไดย นิ เสยี งนนั้ จงึ สอนตนวา
‘ไดย นิ วา มหาอบุ าสกิ าบรโิ ภคขา วตงั ดว ยน้ำสม ถงึ กลางวนั กจ็ กั บรโิ ภคขา ว
ยาคเู ปรยี้ วใสผ กั ยงั บอกเตรยี มขา วสารเกา เปน ตน ไว เพอื่ ประโยชนแ กเ จา .
กแ็ ล นางนน้ั อาศยั กรรมนนั้ แลว จะหวงั ทนี่ า สงิ่ ของ ภตั ร กห็ ามไิ ดเ ลย
แตน างปรารถนาสมบตั ิ ๓ จงึ ถวาย เจา จกั อาจเพอ่ื ใหส มบตั เิ หลา นน้ั แก
นางได หรอื ไม’ จงึ คดิ วา ตนยงั มรี าคะ โทสะ โมหะอยู ไมอ าจรบั บณิ ฑบาต
นไ้ี ด จงึ ใสบ าตรไวใ นถงุ ปลดรงั ดมุ กลบั ไปยงั ถำ้ กสกะนน่ั แล วางบาตรไว
ภายใตเ ตยี ง พาดจวี รไวท ร่ี าวจวี ร นงั่ ตงั้ ใจมน่ั ทำความเพยี รวา ‘เราไม
บรรลพุ ระอรหตั ตผลแลว จกั ไมอ อกไป’. ภกิ ษอุ ยไู มป ระมาทตลอดกาลนาน
เจรญิ วปิ ส สนา บรรลพุ ระอรหตั กอ นภตั เปน มหาขณี าสพ ทำการแยม ออก
ไปดุจปทุมกำลังแยม. เทพยดาสิงอยูท่ีตนไมใกลประตูถำ้ เปลงอุทานวา
‘ขาแตทานผูเจริญ หญิงแกถวายภิกษาแกพระอรหันตเชนทานผูเขาไป
บณิ ฑบาตแลว จกั พน จากทกุ ข’ . พระเถระลกุ ขน้ึ เปด ประตมู องดเู วลา รวู า
ยงั เชา อยู จงึ ถอื เอาบาตรและจวี รเขา ไปยงั บา น. ฝา ยนางทารกิ า จดั ภตั
ไวพ รอ มแลว นง่ั แลดปู ระตอู ยวู า ‘พระพชี่ ายของเราจกั มาบดั น้ี พระพชี่ าย
166 ตอนท่ี ๒ ข้นั วปิ สสนาภาวนา
ของเราจกั มาบดั น’้ี . เมอ่ื พระเถระถงึ ประตเู รอื น นางรบั บาตร บรรจบุ าตร
ใหเต็มดวยบิณฑบาต น้ำนม พรอมดวยเนยใสและน้ำออย วางไวในมือ.
พระเถระทำอนโุ มทนาวา ‘จงมคี วามสขุ เถดิ ’ เสรจ็ แลว กห็ ลกี ไป. แมน าง
กย็ นื แลดพู ระเถระนนั้ อย.ู เพราะวา ผวิ พรรณของพระเถระในวนั นนั้ บรสิ ทุ ธิ์
ยง่ิ นกั อนิ ทรยี ก ผ็ อ งใส สหี นา เปลง ปลงั่ ดงั ตาลสกุ หลดุ จากขว้ั .
มหาอบุ าสกิ ากลบั จากปา แลว จงึ ถามวา ‘ลกู พระพชี่ ายของเจา มา
แลวหรือ ?’ นางบอกความเปนไปนั้นทั้งปวง อุบาสิกาทราบวา ‘กิจแหง
บรรพชติ ของบตุ รของเราถงึ ทสี่ ดุ แลว ในวนั น’ี้ จงึ กลา ววา ‘ลกู พระพชี่ าย
ของเจา ยอ มยนิ ดใี นพระพทุ ธศาสนา จะกระสนั กห็ าไม’ . ดงั นี้
๕) การพจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง มรดก คอื เมอื่ พระโยคาวจร
พจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง มรดกวา ‘อรยิ ทรพั ย ๗ ประการ นเ้ี ปน
มรดกอนั ยงิ่ ใหญข องพระศาสดา คนเกยี จครา นไมอ าจรบั มรดกนน้ั ได เปรยี บ
เสมอื นมารดาบดิ าไมร บั รองบตุ รผปู ฏบิ ตั ผิ ดิ วา ‘ผนู ไี้ มใ ชบ ตุ รของเรา’ เมอื่
มารดาบดิ าเหลา นนั้ ลว งลบั ไป เขายอ มไมไ ดม รดก ฉนั ใด แมค นเกยี จครา น
ยอ มไมไ ดม รดกคอื อรยิ ทรพั ยน ้ี ฉนั นน้ั สว นผปู รารภความเพยี รเทา นน้ั
ยอมได’ ดังนี้ เม่ือพระโยคาวจรพิจารณาเห็นอยางน้ี ยอมเปนเหตุให
วริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ ได
๖) การพิจารณาเห็นความเปนใหญแหงพระศาสดา เมื่อ
พระโยคาวจรพจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง พระศาสดา อยา งนว้ี า ‘กแ็ ล
พระศาสดาของทา นเปน ใหญ คอื เมอื่ ปฏสิ นธใิ นพระครรภข องพระมารดา
กด็ ี ในกาลเสดจ็ ออกผนวชกด็ ี ในกาลตรสั รกู ด็ ี ในกาลทรงยงั ธรรมจกั ร
ใหเปนไป ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย ในกาลเสด็จลงจากเทวโลก และ
ในกาลปลงอายสุ งั ขารกด็ ี ในกาลปรนิ พิ พานกด็ ี หมน่ื โลกธาตกุ ไ็ ดห วนั่ ไหว
แลว คนทบ่ี วชในศาสนาของพระศาสดาเหน็ ปานนแ้ี ลว ยงั เปน ผเู กยี จครา น
จะสมควรหรอื ’ ดงั น้ี ยอ มเปน เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได
ตอนที่ ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา 167
๗) การพจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง ชาติ คอื เมอื่ พระโยคาวจร
พจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง ชาตอิ ยา งนวี้ า ‘บดั น้ี แมโ ดยชาติ ทา นกไ็ ม
ใชม ชี าตติ ำ่ คอื ทา นเกดิ ในวงศข องพระเจา โอกกากราช สบื ตอ จากพระเจา
มหาสมมติ อนั ไมป ะปนกนั เปน หลานของพระเจา สทุ โธทนมหาราชและพระ
นางมหามายาเทวี เปน นอ งของพระราหลุ ทา นไดช อื่ วา เปน ชนิ บตุ รบคุ คล
เห็นปานน้ีแลว ยังเกียจครานอยู ไมสมควรเลย’ ดังนี้ ยอมเปนเหตุให
วริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได
๘) การพจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง สพรหมจารี คอื เมอ่ื พระ
โยคาวจรพจิ ารณาเหน็ ความเปน ใหญแ หง สพรหมจารอี ยา งนวี้ า ‘พระสารบี ตุ ร
พระมหาโมคคลั ลานะ และมหาสาวก ๘๐ ตา งกบ็ รรลโุ ลกตุ ตรธรรมไดด ว ย
ความเพียรทั้งนั้น’ เม่ือพระโยคาวจรพิจารณาเห็นความเปนใหญแหง
สพรหมจารอี ยา งน้ี ยอ มจะเปน เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได
๙) การหลกี เวน จากบคุ คลเกยี จครา น คอื เมอื่ พระโยคาวจรหลกี
เวน จากบคุ คลผเู กยี จครา น ผลู ะทง้ิ ความเพยี รทางกายและความเพยี รทางจติ
เสยี นย้ี อ มจะเปน เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได
๑๐) การคบหาบคุ คลปรารภความเพยี ร คอื เมอื่ พระโยคาวจรคบหา
บุคคลผูบำเพ็ญความเพียรดวยใจที่เด็ดเด่ียว นี้ยอมจะเปนเหตุให
วริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ ได
๑๑) การนอ มจติ ไปในวริ ยิ ะนนั้ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรเปน ผมู จี ติ
นอ มไป โนม ไปและโอนไป เพอ่ื ใหค วามเพยี รเกดิ ขน้ึ ในอริ ยิ าบถทงั้ หลายมกี าร
ยนื การนง่ั เปน ตน นยี้ อ มจะเปน เหตใุ หว ริ ยิ สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ ได
อนงึ่ สตสิ มั โพชฌงคน ี้ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ดว ยดว ยเหตุ ๑๑ ประการดงั กลา วนี้
ยอ มเจรญิ เตม็ ทเี่ มอ่ื พระโยคาวจรบรรลอุ รหตั ตมรรค”
168 ตอนที่ ๒ ขนั้ วิปส สนาภาวนา
(๔) ธรรมเปนที่ต้ังแหงปติสัมโพชฌงค
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมทง้ั หลายเปน ทต่ี งั้ แหง ปต สิ มั โพชฌงค มอี ยู
การกระทำใหม ากซง่ึ โยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา นนั้ นเ้ี ปน อาหารใหป ต ิ
สมั โพชฌงคท ยี่ งั ไมเ กดิ เกดิ ขนึ้ หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๗๓
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน เหตใุ หป ต สิ มั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้
เจริญ บริบูรณ และเปนไปเพื่อละนิวรณซ่ึงเปนฝายทำใหจักษุคือปญญามืดมัว ไมแจมแจง
ขอ ปฏบิ ตั เิ ปน เหตใุ หป ต สิ มั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ มี ๑๑ ประการ๗๔ คอื
“๑) การระลึกถึงพระพุทธคุณ คือ เมื่อพระโยคาวจรระลึกถึง
พระพทุ ธคณุ ทงั้ หลายมคี ำวา อติ ปิ โส ภควา ดงั นเ้ี ปน ตน ปต สิ มั โพชฌงค
ยอมจะเกิดขึ้นแผไปท่ัวสรีระจนถึงอุปจาระ
๒) การระลึกถึงพระธรรมคุณ คือ เมื่อพระโยคาวจรระลึกถึง
พระธรรมคุณทั้งหลาย มีคำวา สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ดังนี้เปนตน
ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ แผไ ปทว่ั สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ
๓) การระลึกถึงพระสังฆคุณ คือ เม่ือพระโยคาวจรระลึกถึง
พระสงั ฆคณุ ทงั้ หลายมคี ำวา สปุ ฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ ดงั นเี้ ปน ตน
ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ
๔) การระลกึ ถงึ ศลี คอื เมอ่ื พระโยคาวจรผเู ปน บรรพชติ พจิ ารณา
เห็นจตุปาริสุทธิศีลท่ีตนรักษาอยู ไมขาดตลอดกาลนานก็ดี ผูเปนคฤหัสถ
พจิ ารณาศลี ของตนอยกู ด็ ี ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ
อุปจาระ
๕) การระลกึ ถงึ การบรจิ าค คอื เมอื่ พระโยคาวจรถวายโภชนะอนั
ประณตี ในคราวทพุ ภกิ ขภยั เปน ตน แกเ พอื่ นผพู รหมจรรย แลว พจิ ารณา
เหน็ จาคะนน้ั วา เราไดถวายโภชนะชอื่ อยา งนอ้ี ยกู ด็ ี แมค ฤหสั ถพ จิ ารณา
๗๓ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๖๘, หนา ๙๗.
๗๔ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๐-๒๓๑.
ตอนที่ ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา 169
เหน็ ทานอนั ตนถวายแกผ มู ศี ลี ทงั้ หลาย ในกาลเหน็ ปานนก้ี ด็ ี ปต สิ มั โพชฌงค
ยอมจะเกิดข้ึนแผไปทั่วสรีระจนถึงอุปจาระ
๖) การระลกึ ถงึ คณุ ของเทวดา คอื เมอ่ื พระโยคาวจรประกอบดว ย
คณุ เหลา ใด จงึ เขา ถงึ ความเปน เทวดา เมอื่ พจิ ารณาเหน็ ความทคี่ ณุ เหน็ ปาน
นนั้ มอี ยใู นตนอยา งน้ี ปต สิ มั โพชฌงคย อ มเกดิ ขน้ึ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ
๗) การระลกึ ถงึ คณุ พระนพิ พาน คอื เมอื่ พระโยคาวจรพจิ ารณา
เหน็ วา กเิ ลสทต่ี นขม ไวไ ดด ว ยสมาบตั ไิ มฟ งุ ขนึ้ เลยถงึ ๖๐ ป ถงึ ๗๐ ป ดงั น้ี
แลว ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ
๘) การหลกี เวน คนเศรา หมอง คอื เมอื่ พระโยคาวจรหลกี เวน จาก
บคุ คลผมู คี วามเศรา หมองเหมอื นธลุ บี นหลงั ลา ผไู มเ ลอ่ื มใสและไมเ ยอ่ื ใยใน
พระพทุ ธเจา เปน ตน หรอื เหน็ ความเศรา หมองอนั สะสมไวแ ลว ในการกระทำ
ความไมเ คารพ ในการเหน็ ลานพระเจดยี ลานโพธิ์ และพระเถระ เปน ตน
ของบุคคลผูเศราหมองน้ันแลว พิจารณาหลีกเวนเสีย ไมคบหาดวย
ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ
๙) การคบหาคนผอ งใส คอื เมอ่ื พระโยคาวจรคบหาคนทสี่ นทิ สนม
มีจิตออนโยน มากไปดวยความเลื่อมใสในพระพุทธเจาเปนตนแลว
ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ แผไ ปทว่ั สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ
๑๐) การพจิ ารณาความแหง พระสตู รอนั ชวนใหเ ลอื่ มใส คอื เมอื่
พระโยคาวจรพิจารณาถึงพระสูตรอันชวนใหเล่ือมใส อันแสดงคุณแหง
พระรตั นตรยั แลว ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขน้ึ แผไ ปทวั่ สรรี ะจนถงึ อปุ จาระ
๑๑) ความนอ มจติ ไปในปต นิ น้ั คอื การทพ่ี ระโยคาวจรมจี ติ นอ มไป
เพอื่ ความเกดิ ขนึ้ แหง ปต ิ ในอริ ยิ าบถทง้ั หลายมกี ารยนื และการนง่ั เปน ตน
ปต สิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ ได
อนงึ่ ปต สิ มั โพชฌงคท เ่ี กดิ ขนึ้ แลว อยา งน้ี ยอ มเจรญิ บรบิ รู ณไ ดด ว ย
อรหตั ตมรรค”
170 ตอนที่ ๒ ขั้นวิปส สนาภาวนา
(๕) ธรรมเปนเหตุเกิดปสสัทธิสัมโพชฌงค
“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความสงบกาย ความสงบจติ มอี ยู การทำให
มากซงึ่ โยนโิ สมนสกิ ารในความสงบ นเี้ ปน อาหารใหป ส สทั ธสิ มั โพชฌงค
ทย่ี งั ไมเ กดิ เกดิ ขนึ้ หรอื ทเี่ กดิ แลว ทำใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๗๕
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน เหตใุ หป ส สทั ธสิ มั โพชฌงค
เกิดข้ึนและเจริญ บริบูรณ เปนไปเพื่อละนิวรณซึ่งเปนฝายทำใหจักษุคือปญญามืดมัว
ไมแ จม แจง ขอ ปฏบิ ตั เิ ปน เหตใุ หป ส สทั ธสิ มั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ มี ๗ ประการ๗๖ คอื
“๑) การเสพโภชนะอนั ประณตี คอื เมอ่ื พระโยคาวจรไดบ รโิ ภคโภชนะ
อันประณีต อันเปนที่สบายสำหรับตน ปสสัทธิสัมโพชฌงคยอมจะเกิด
ขนึ้ ได
๒) การเสพฤดทู สี่ บาย คอื เมอ่ื พระโยคาวจรไดเ สพฤดอู นั เปน ทสี่ บาย
สำหรบั ตน ในฤดหู นาวและรอ นเปน ตน แลว ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ
ขนึ้ ได
๓) การเสพอริ ยิ าบถทสี่ บาย คอื เมอื่ พระโยคาวจรไดเ สพอริ ยิ าบถ
ทสี่ บายสำหรบั ตนมกี ารยนื เปน ตน แลว ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ ได
๔) การประกอบความเพยี รปานกลาง คอื เมอื่ พระโยคาวจรพจิ ารณา
เห็นความที่ตนและผูอ่ืนมีกรรมเปนของตนแลว ประกอบความเพียรโดย
แยบคาย ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได
๕) การหลกี เวน บคุ คลผมู กี ายกระสบั กระสา ย คอื เมอ่ื พระโยคาวจร
หลีกเวนบุคคลผูมักเบียดเบียนผูอื่นอยู ดวยกอนดินและทอนไมเปนตน
หรอื ผมู กี ายกระสบั กระสา ยเหน็ ปานนนั้ เสยี แลว ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคย อ ม
จะเกดิ ขนึ้ ได
๗๕ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๖๙, หนา ๙๗.
๗๖ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๑-๒๓๒.
ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา 171
๖) การคบหาบคุ คลผมู กี ายสงบ คอื เมอื่ พระโยคาวจรคบหาบคุ คล
ผมู กี ายสงบ ผสู ำรวมมอื เทา ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคย อ มจะเกดิ ขนึ้ ได
๗) การนอ มจติ ไปในปส สทั ธนิ น้ั คอื เมอื่ พระโยคาวจรนอ มจติ ไปใน
ปส สทั ธิ เพอื่ ความเกดิ ขน้ึ แหง ปส สทั ธิ เนอื งๆ ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคก ย็ อ ม
จะเกดิ ขนึ้ ได
อนง่ึ ปส สทั ธสิ มั โพชฌงคท เ่ี กดิ ขน้ึ ได และยอ มเจรญิ บรบิ รู ณไ ดด ว ย
อรหตั ตมรรค”
(๖) ธรรมเหตเุ กดิ สมาธสิ มั โพชฌงค
“ภิกษุทั้งหลาย สมาธินิมิต มีอยู การกระทำใหมากซึ่งโยนิโส-
มนสกิ ารในนมิ ติ นน้ั นเี้ ปน อาหารใหส มาธสิ มั โพชฌงคท ย่ี งั ไมเ กดิ เกดิ ขนึ้
หรอื ทเี่ กดิ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๗๗
อธิบาย : พระอรรถกถาจารยไดแสดงขอปฏิบัติอันจะเปนเหตุใหสมาธิสัมโพชฌงค
เกิดขึ้น เจริญ บริบูรณ และเปนไปเพ่ือละนิวรณซึ่งเปนฝายทำใหจักษุคือปญญามืดมัว
ไมแ จม แจง ขอ ปฏบิ ตั เิ ปน เหตใุ หส มาธสิ มั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ มี ๑๑ ประการ๗๘ คอื
“๑) การทำวตั ถทุ ง้ั หลายภายในและภายนอกใหส ดใส (มนี ยั เชน เดยี ว
กบั ทก่ี ลา วแลว ในธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค)
๒) การปรับอินทรียใหเสมอกัน (มีนัยเชนเดียวกับท่ีกลาวแลวใน
ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงค)
๓) ความฉลาดในนมิ ติ คอื ความฉลาดในการถอื เอากสณิ นมิ ติ
๔) การยกจติ ไวใ นสมยั ทค่ี วรยก คอื สมยั ใด พระโยคาวจรมจี ติ หดหู
เพราะความเพยี รยอ หยอ นไป เปน ตน ในสมยั นน้ั พระโยคาวจรควรยกจติ
นนั้ ขนึ้ ใหพ น จากความหดหู ดว ยการเจรญิ ธมั มวจิ ยะ วริ ยิ ะและปต สิ มั โพชฌงค
๗๗ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๗๐, หนา ๙๗.
๗๘ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๒-๒๓๓.
172 ตอนที่ ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา
เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได
๕) การขม จติ ในสมยั ทค่ี วรขม คอื สมยั ใด พระโยคาวจรมจี ติ ฟงุ ซา น
เพราะประกอบความเพยี รเกนิ ไป เปน ตน ในสมยั นน้ั พระโยคาวจรควร
ขม จติ ทฟี่ งุ ซา นนน้ั ดว ยการใหป ส สทั ธิ สมาธิ และอเุ บกขาสมั โพชฌงคเ กดิ
ขน้ึ เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ สมาธสิ มั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได
๖) การทำจติ ใหร า เรงิ ในสมยั ทค่ี วรทำใหร า เรงิ คอื สมยั ใด พระ
โยคาวจรมจี ติ ไมม อี สั สาทะ เพราะความพยายามทางปญ ญาออ นไปกด็ ี เพราะ
ไมไ ดค วามสขุ อนั เกดิ แตค วามสงบกด็ ี ในสมยั นน้ั พระโยคาวจร พงึ พจิ ารณา
สงั เวควตั ถุ ๘ อยา ง คอื ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ อบายทกุ ข ทกุ ขม วี ฏั ฏะ
เปน มลู ในอดตี ทกุ ขม วี ฏั ฏะเปน มลู ในอนาคต และทกุ ขม กี ารแสวงหาอาหาร
เปนมูลในปจจุบัน และพระโยคาวจรยอมยังความเล่ือมใสใหเกิดได
ดว ยการระลกึ ถงึ คณุ แหง พระรตั นตรยั เมอื่ พระโยคาวจรนนั้ ปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา ง
น้ี สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได
๗) การเพง ดจู ติ อยเู ฉยๆ ในสมยั ทคี่ วรเพง ดอู ยเู ฉยๆ คอื สมยั ใด
จติ อาศยั ความปฏบิ ตั ชิ อบ เปน จติ ไมห ดหู ไมฟ งุ ซา น ไมม อี สั สาทะ เปน ไป
สม่ำเสมอในอารมณ ดำเนนิ ไปสวู ถิ แี หง สมถะ ในสมยั นน้ั พระโยคาวจร
ไมต อ งขวนขวายในการยก การขม และการทำใหร า เรงิ ดจุ นายสารถี เมอื่
มา ทง้ั หลายวงิ่ ไปเรยี บรอ ย กไ็ มต อ งขวนขวาย ฉะนนั้ นเ้ี รยี กวา การเพง
ดจู ติ อยเู ฉยๆ ในสมยั ทค่ี วรเพง ดอู ยเู ฉยๆ เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา ง
น้ี สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได
๘) การหลกี เวน บคุ คลผมู จี ติ ไมเ ปนสมาธิ คอื การทพี่ ระโยคาวจร
หลีกเวนจากบุคคลผูยังไมถึงอุปจาระหรืออัปปนา ผูมีจิตฟุงซาน ช่ือวา
การหลีกเวนบุคคลผูมีจิตไมเปนสมาธิ เม่ือพระโยคาวจรปฏิบัติไดอยางนี้
สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได
ตอนท่ี ๒ ข้ันวิปสสนาภาวนา 173
๙) การคบหาบคุ คลผมู จี ติ เปน สมาธิ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรใฝใ จ
คบหา เขา ไปนงั่ ใกลบ คุ คลผมู จี ติ เปน สมาธดิ ว ยอปุ จาระหรอื อปั ปนา เมอื่
พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได
๑๐) การพจิ ารณาวโิ มกข คอื การทพี่ ระโยคาวจรพจิ ารณาเหน็ วโิ มกข
คอื พระนพิ พานเนอื งๆ เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ สมาธสิ มั โพชฌงค
กย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได
๑๑) การนอ มจติ ไปในสมาธนิ นั้ คอื พระโยคาวจรนอ มจติ ไป โนม
จติ ไป โอนไป เพอ่ื ใหเ กดิ สมาธใิ นอริ ยิ าบถทงั้ หลาย มกี ารยนื และการนงั่
เปน ตน ชอื่ วา การนอ มจติ ไปในสมาธิ เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้
สมาธสิ มั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได
อนง่ึ สมาธสิ มั โพชฌงคท เี่ กดิ ขน้ึ แลว ยอ มเจรญิ บรบิ รู ณเ ตม็ ทไี่ ดด ว ย
อรหตั ตมรรค”
(๗) ธรรมเปนท่ีตั้งข้ึนแหงอุเบกขาสัมโพชฌงค
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมทง้ั หลายเปน ทต่ี งั้ แหง อเุ บกขาสมั โพชฌงค
มอี ยู การทำใหม ากซง่ึ โยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหลา นน้ั นเี้ ปน อาหาร
ใหอ เุ บกขาสมั โพชฌงคท ยี่ งั ไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ทำอเุ บกขาสมั โพชฌงค
ทเ่ี กดิ ขนึ้ แลว ใหเ จรญิ บรบิ รู ณ” ๗๙
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน เหตใุ หอ เุ บกขาสมั โพชฌงค
เกิดขึ้น เจริญ บริบูรณ และเปนไปเพ่ือละนิวรณซ่ึงเปนฝายทำใหจักษุคือปญญามืดมัว ไม
แจม แจง ขอ ปฏบิ ตั ทิ จี่ ะเปน เหตใุ หอ เุ บกขาสมั โพชฌงคเ กดิ ขนึ้ มี ๕ ประการ๘๐ คอื
“๑) การวางเฉยในสตั ว คอื การทพี่ ระโยคาวจรวางเฉยในสตั ว ดว ย
อาการ ๒ คอื ดว ยการพจิ ารณาเหน็ ความทส่ี ตั วม กี รรมเปน ของๆ ตนอยา ง
๗๙ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๗๑, หนา ๙๘.
๘๐ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๓-๒๓๔.
174 ตอนท่ี ๒ ขนั้ วิปสสนาภาวนา
นวี้ า ‘ทา นมาดว ยกรรมของตน กจ็ กั ไปดว ยกรรมของตนนน่ั แหละ แมบ คุ คล
นม้ี าแลว ดว ยกรรมของตน กจ็ กั ไปดว ยกรรมของตนนนั่ แหละ ทา นจะพวั พนั
กบั ใครได’ ดงั นี้ และดว ยการพจิ ารณาเหน็ ความมใิ ชส ตั วอ ยา งนว้ี า ‘โดย
ปรมตั ถ สตั วไ มม เี ลย ทา นจะพวั พนั กบั ใครเลา ’ เมอื่ พระโยคาวจรวางเฉย
ในสตั วด ว ยอาการอยา งนี้ อเุ บกขาสมั โพชฌงคก ็ ยอ มจะเกดิ ขน้ึ ได
๒) การวางเฉยในสงั ขาร คอื การทพี่ ระโยคาวจรวางเฉยในสงั ขาร
ดวยอาการ ๒ คือ ดวยการพิจารณาเห็นความไมมีเจาของอยางนี้วา
‘จวี รนมี้ สี เี ปลยี่ นไป และครำ่ ครา ไปโดยลำดบั เปน ทอ นผา สำหรบั เชด็ เทา
จกั เปน ของควรเอาปลายไมเ ทา เขย่ี ทง้ิ ไป ถา เจา ของผา นน้ั มี เขาคงไมใ ห
ผา นน้ั พนิ าศไปอยา งน้ี และดว ยการพจิ ารณาเหน็ ความเปน ของชวั่ คราว
อยา งนวี้ า ‘จวี รนี้ เปน ของไมแ นน อน ดำรงชวั่ เวลาหนงึ่ เทา นน้ั แมใ น
บาตรเปน ตน กเ็ หมอื นในจวี ร ฉะนนั้ ’ เมอ่ื พระโยคาวจรวางเฉยในสงั ขารดว ย
อาการอยา งน้ี อเุ บกขาสมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได
๓) การหลกี เวน จากบคุ คลผพู วั พนั อยใู นสตั วแ ละสงั ขาร มอี ธบิ าย
วา บคุ คลใดเปน คฤหสั ถ ยดึ ถอื บตุ รและธดิ าเปน ตน ของตนวา ‘บตุ รและ
ธดิ าของเรา’ หรอื เปน บรรพชติ ยดึ ถอื เพอื่ นอนั เตวาสกิ และผรู ว มอปุ ช ฌาย
เปน ตน ของตนวา ‘ผนู เ้ี ปน อนั เตวาสกิ และผรู ว มอปุ ช ฌายข องเรา’ ดงั นแ้ี ลว
ชว ยทำกจิ มกี ารตดั ผม การเยบ็ การซกั การยอ มจวี ร และการสมุ บาตร
เปน ตน แกอ นั เตวาสกิ นนั้ ดว ยมอื ของตน หรอื เมอ่ื ไมเ หน็ อนั เตวาสกิ นน้ั แม
เพยี งครเู ดยี ว กต็ อ งมองหาขา งโนน ขา งน้ี ดจุ เนอ้ื ตน่ื วา ‘สามเณรรปู นน้ั ไป
ไหน ภกิ ษหุ นมุ รปู นน้ั ไปไหน’ ดงั น้ี หรอื อนั เตวาสกิ นน้ั ถกู ผอู นื่ ใชส อยเพอ่ื
ประโยชนแ กก ารตดั ผมเปน ตน วา ‘ทา นจงใหส ามเณรรปู นแี้ กเ ราสกั ครกู อ น
เถดิ ’ กไ็ มย อมให หรอื กลา วอา งวา ‘งานสว นตวั ของเรามอี ยู ยงั ไมใ ชเ ขา
ใหท ำเลย พวกทา นพาเขาไป จกั ลำบาก’ บคุ คลผพู วั พนั อยอู ยา งนี้ ชอื่ วา
ผพู วั พนั ในสตั ว สว นบคุ คลใด เปน ภกิ ษุ ยดึ ถอื จวี ร บาตร ชามเลก็ ไมเ ทา
ตอนท่ี ๒ ขัน้ วปิ สสนาภาวนา 175
เปน ตน วา ‘จวี ร บาตร ชามเลก็ ไมเ ทา เปน ตน นเี้ ปน ของเรา’ ไมย อมให
คนอนื่ แตะตอ ง แมเ ขาจะขอยมื ชว่ั คราว กก็ ลา ววา ‘พวกเรากป็ รารถนาทรพั ย
จงึ ไมใ ชส อย เราจกั ใหแ กท า นทงั้ หลายไดอ ยา งไร’ บคุ คลนชี้ อ่ื วา ผพู วั พนั
ในสงั ขาร เมอ่ื พระโยคาวจรหลกี เวน เสยี ใหไ กลจากบคุ คลผพู วั พนั ในสตั ว
และบคุ คลผพู วั พนั ในสงั ขารเหลา น้ี อเุ บกขาสมั โพชฌงคก ย็ อ มจะเกดิ ขน้ึ ได
๔) การคบหาบคุ คลผวู างเฉยในสตั วแ ละสงั ขาร คอื การทพ่ี ระโยคาวจร
คบหาบคุ คลผวู างเฉยเสยี ได แมใ นสตั วแ ละสงั ขารทง้ั ๒ เหลา นน้ั นชี้ อ่ื วา
การวางเฉยในสตั วแ ละสงั ขาร เมอื่ พระโยคาวจรคบหาบคุ คลผวู างเฉยใน
สตั วแ ละสงั ขารไดอ ยา งน้ี อเุ บกขาสมั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได
๔) การคบหาบุคคลผูวางเฉยในสัตวและสังขาร คือ การที่
พระโยคาวจรคบหาบคุ คลผวู างเฉยเสยี ได ในสตั วแ ละสงั ขารทงั้ ๒ เหลา นน้ั
นชี้ อ่ื วา การคบหาบคุ คลผวู างเฉยในสตั วแ ละสงั ขาร เมอื่ พระโยคาวจร
วางเฉยในสตั วแ ละสงั ขารเหลา นน้ั ได อเุ บกขาสมั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ
ขน้ึ ได
๕) การนอ มจติ ไปในอเุ บกขานน้ั คอื การทพี่ ระโยคาวจรนอ มจติ ไป
โนม จติ ไป โอนไป ในอริ ยิ าบถมกี ารยนื และการนง่ั เปน ตน เพอ่ื ใหอ เุ บกขา-
สมั โพชฌงคเ กดิ ขน้ึ นช้ี อ่ื วา การนอ มจติ ไปในอเุ บกขา เมอื่ พระโยคาวจร
ปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ อเุ บกขาสมั โพชฌงค กย็ อ มจะเกดิ ขนึ้ ได
อนงึ่ อเุ บกขาสมั โพชฌงคน ี้ ทเี่ กดิ ขนึ้ แลว อยา งน้ี ยอ มเจรญิ บรบิ รู ณ
ไดด ว ยอรหตั ตมรรค.”
๒.๕ ธรรมสำหรับละนิวรณ ๕
พระผูมีพระภาคไดทรงแสดงเหตุท่ีทำใหพระโยคาวจรสามารถละนิวรณ ๕ ประการ
อนั เปน เครอ่ื งขวางกนั้ การเจรญิ ปญ ญา ทำใหจ กั ษคุ อื ปญ ญามดื มวั ไมแ จม แจง สามารถเหน็
176 ตอนท่ี ๒ ข้ันวปิ สสนาภาวนา
ธรรม รธู รรมแจง ชดั ดว ยโยนโิ สมนสกิ าร คอื การพจิ ารณาเหตแุ ละสงั เกตผล ในการกำจดั
นิวรณ ไมใหนิวรณเหลานั้นเกิดในจิต และพระอรรถกถาจารยไดแนะอุบายวิธีปฏิบัติเพ่ือ
ละนวิ รณแ ตล ะขอ เหลา นน้ั ดงั ตอ ไปนี้
(๑) ธรรมสำหรับละกามฉันทนิวรณ
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย อสภุ นมิ ติ มอี ยู การกระทำใหม ากซงึ่ โยนโิ สมนสกิ าร
ในอสภุ นมิ ติ นน้ั นเ้ี ปน อาหารใหก ามฉนั ทะทย่ี งั ไมเ กดิ ไมเ กดิ ขน้ึ หรอื ท่ี
เกดิ แลว ไมเ จรญิ ไพบลู ยย ง่ิ ขน้ึ ”๘๑
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดแ สดงขอ ปฏบิ ตั อิ นั เปน ไปเพอ่ื ละกามฉนั ทนวิ รณ ไว
๖ ประการ๘๒ คอื
“๑) การถอื เอาอสภุ นมิ ติ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรศกึ ษาวธิ กี ารกำหนด
อสภุ นมิ ติ ตามลกั ษณะ วธิ กี ำหนดอารมณต ามทม่ี าในอสภุ กมั มฏั ฐาน ๑๐ อยา ง
แลวถือเอาอสุภนิมิตนั้น กระทำใหเปนอารมณ โดยอุบายอันแยบคาย
เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด
๒) การหม่ันประกอบความเพียรในอสุภภาวนา คือ การที่
พระโยคาวจรทำความเพียรกำหนดอสุภนิมิตเปนอารมณเนืองๆ เม่ือ
พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด
๓) ความมที วารอนั คมุ ครองแลว ในอนิ ทรยี ท ง้ั หลาย คอื การที่
พระโยคาวจรทำความสำรวมอนิ ทรยี ท ง้ั หลาย ดว ยสตอิ นั เปน ไปทางทวาร ๖
ไดแ ก ตา หู จมกู ลน้ิ กาย และใจ ไมใ หก เิ ลส คอื ราคะ โทสะ และโมหะ
ครอบงำจติ เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด
๔) ความรจู กั ประมาณในโภชนะ คอื การทพี่ ระโยคาวจรเปน ผรู จู กั
บรโิ ภคโภชนะแตพ อประมาณ โดยการเวน คำขา ว ๔-๕ คำไวแ ลว ดม่ื น้ำตาม
๘๑ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๓๕, หนา ๑๔๖.
๘๒ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๔-๒๓๕.
ตอนท่ี ๒ ขัน้ วิปสสนาภาวนา 177
เพื่อยังอัตตภาพใหเปนไป และเพ่ือการประกอบความเพียร เม่ือพระ
โยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด
๕) การไดกัลยาณมิตร คือ การที่พระโยคาวจรคบหากัลยาณมิตร
ผยู นิ ดใี นอสภุ ภาวนา เชน พระเถระผบู ำเพญ็ อสภุ กมั มฏั ฐาน เปน ตน เมอื่
พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด
๖) คำพดู ทเี่ ปน สปั ปายะ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรกลา วถอ ยคำทเี่ ปน
สปั ปายะ หรอื สนทนากนั ในเรอื่ งทเี่ กย่ี วขอ งกบั อสภุ นมิ ติ ๑๐ ประการ เมอ่ื
พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด
อนง่ึ กามฉนั ทนวิ รณ ทพี่ ระโยคาวจรละไดด ว ยธรรม ๖ ประการนี้
ยอ มไมเ กดิ ขนึ้ ตอ ไปดว ยอรหตั ตมรรค”
(๒) ธรรมสำหรับละพยาบาทนิวรณ
“ภิกษุทั้งหลายเจโตวิมุตติมีอยู การกระทำใหมากซ่ึงโยนิโส-
มนสกิ ารในเจโตวมิ ตุ ตนิ น้ั นเี้ ปน อาหารใหพ ยาบาททยี่ งั ไมเ กดิ ไมเ กดิ
ขน้ึ หรอื ทเี่ กดิ แลว ไมเ จรญิ ไพบลู ยย ง่ิ ขน้ึ ”๘๓
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดย กธรรมไมเ ปน อาหารใหพ ยาบาทนวิ รณเ กดิ ขนึ้ และ
เปน ไปเพอ่ื ละพยาบาทนวิ รณ ไว ๓ ประการ๘๔ คอื
“๑) การถอื เอาเมตตานมิ ติ คอื การทพี่ ระโยคาวจรศกึ ษาหลกั และ
วธิ กี ารแผเ มตตาพรหมวหิ ารแกส ตั วท ง้ั หลาย ทง้ั โดยเจาะจงและไมเ จาะจง
โดยการแผไ ปทว่ั ทกุ ทศิ หรอื ทศิ ใดทศิ หนง่ึ เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้
ยอ มจะละพยาบาทได
๒) การประกอบเมตตาภาวนา คอื การทพ่ี ระโยคาวจรทำการเจรญิ
เมตตาพรหมวหิ ารแกส ตั วท ง้ั หลาย ทง้ั โดยเจาะจงและไมเ จาะจง โดยการ
๘๓ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๓๖, หนา ๑๔๗.
๘๔ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๕.
178 ตอนที่ ๒ ขัน้ วิปสสนาภาวนา
แผไ ปทวั่ ทกุ ทศิ หรอื ทศิ ใดทศิ หนงึ่ เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี ยอ ม
จะละพยาบาทได
๓) การพิจารณาความท่ีสัตวมีกรรมเปนของๆ ตน คือ เม่ือ
พระโยคาวจรพจิ ารณาถงึ ความทต่ี นและผอู นื่ มกี รรมเปน ของๆ ตนอยา งนว้ี า
‘ทา นมาดว ยกรรมของตน ทา นกจ็ กั ไปดว ยกรรมของตนนนั่ แหละมใิ ชห รอื ’
ธรรมดาวา การโกรธผอู น่ื กเ็ หมอื นกบั บคุ คลจบั ถา นเพลงิ ทป่ี ราศจากเปลว
หรอื จบั ซเ่ี หลก็ รอ น หรอื จบั อจุ จาระ เพอ่ื จะประหารผอู น่ื แตต นเองนน่ั แล
ยอ มรอ น หรอื อจุ จาระยอ มจะเปอ นตนเองกอ น และเปรยี บเสมอื นบคุ คล
กำธุลีแลวซัดทวนลมไป ธุลีน้ันยอมจะยอนกลับมาสูบุคคลผูซัดไปน่ันเอง
ฉะน้ัน
อนง่ึ พยาบาทนวิ รณ ทพ่ี ระโยคาวจรละไดด ว ยธรรม ๖ ประการ นี้
ยอ มจะไมเ กดิ ขน้ึ อกี ตอ ไปดว ยการบรรลอุ รหตั ตมรรค.”
(๓) ธรรมสำหรับละถีนมิทธนิวรณ
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย ความรเิ รม่ิ ความพยายาม ความบากบนั่ มอี ยู
การกระทำใหมากซึ่งโยนิโสมนสิการในส่ิงเหลานั้น นี้เปนอาหารให
ถนี มทิ ธะทย่ี งั ไมเ กดิ ไมเ กดิ ขน้ึ หรอื ทเ่ี กดิ แลว ไมเ จรญิ ไพบลู ยย ง่ิ ขน้ึ ”๘๕
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดย กธรรม ๖ ประการ๘๖ อนั เปน ไปเพอื่ ละถนี มทิ ธนวิ รณ
ขนึ้ แสดง ไวว า
“๑) การถอื เอานมิ ติ ในโภชนะทเี่ กนิ คอื การทพี่ ระโยคาวจรถอื เอา
นมิ ติ ในโภชนะทเี่ กนิ ประมาณวา ‘โภชนะทเี่ กนิ ประมาณน้ี ยอ มไมเ กดิ แกผ ู
งดอาหาร ๔-๕ คำกอ นอม่ิ แลว ดม่ื นำ้ ตาม’ ดงั น้ี เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ิ
อยา งน้ี ยอ มจะละถนี มทิ ธะได
๘๕ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๓๗, หนา ๑๔๗.
๘๖ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๕-๒๓๖.
ตอนที่ ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา 179
๓) การทำไวใ นใจถงึ อาโลกสญั ญา (การกำหนดอารมณค อื แสงสวา ง)
คือ การท่ีพระโยคาวจรกระทำไวในใจถึงแสงสวางแหงดวงจันทร และ
แสงสวางแหงเปลวประทีปหรือคบเพลิงในเวลากลางคืน เมื่อพระ
โยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี ยอ มจะละถนี มทิ ธะได
๔) การอยูกลางแจง คือ การที่พระโยคาวจรกระทำไวในใจถึง
แสงสวางแหงดวงอาทิตยในกลางวันก็ดี การท่ีพระโยคาวจรพักอยู
กลางแจง กด็ ี เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ ยอ มจะละถนี มทิ ธะได
๕) การคบหากลั ยาณมติ ร คอื การทพ่ี ระโยคาวจรคบหากลั ยาณมติ ร
ผูมีปกติละถีนมิทธะไดแลว เม่ือพระโยคาวจรปฏิบัติอยางนี้ ยอมจะละ
ถีนมิทธะได
๖) คำพดู ทเ่ี ปน สปั ปายะ คอื การทพ่ี ระโยคาวจรกลา วถอ ยคำทเ่ี ปน
สัปปายะ หรือสนทนากันในเรื่องท่ีเกี่ยวของกับการสมาทานธุดงคเปนตน
เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งนี้ กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด”
(๔) ธรรมสำหรับละอุทธัจจกุกกุจจนิวรณ
“ภิกษุทั้งหลาย ความสงบใจมีอยู การกระทำใหมากซึ่งโยนิโส-
มนสกิ ารในความสงบใจนนั้ นเ้ี ปน อาหารใหอ ทุ ธจั จกกุ กจุ จะทยี่ งั ไมเ กดิ
ไมเ กดิ ขนึ้ หรอื ทเ่ี กดิ แลว ไมเ จรญิ ไพบลู ยย งิ่ ขนึ้ ”๘๗
อธิบาย : พระอรรถกถาจารยไดยกธรรม ๖ ประการ๘๘ อันเปนไปเพื่อละอุทธัจจ-
กกุ กจุ จะ มอี ธบิ ายดงั นี้
“๑) ความเปน พหสู ตู คอื การทพ่ี ระโยคาวจรเรยี นพระบาลพี ทุ ธพจน
๑ ๒ ๓ ๔ หรอื ๕ นกิ าย หรอื วา เรยี นเอาโดยเนอื้ ความ พระโยคาวจรผู
ปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งน้ี กย็ อ มจะละอทุ ธจั จกกุ กจุ จะได เพราะความเปน พหสู ตู บคุ คล
๘๗ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๓๘, หนา ๑๔๗.
๘๘ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๖.
180 ตอนท่ี ๒ ขั้นวิปสสนาภาวนา
๒) ความเปน ผไู ตถ าม คอื การทพี่ ระโยคาวจรผมู ากดว ยการไตถ าม
ถึงสิ่งท่ีควรและไมควร พระโยคาวจรผูปฏิบัติไดอยางน้ี ก็ยอมจะละ
อุทธัจจกุกกุจจะได
๓) ความชำนาญในพระวนิ ยั คอื การทพ่ี ระโยคาวจรเปน ผเู ชย่ี วชาญ
ชำนาญในพระวินัยบัญญัติ พระโยคาวจรปฏิบัติไดอยางน้ี ก็ยอมจะละ
อุทธัจจกุกกุจจะได
๔) การคบหาวฑุ ฒบคุ คล คอื การทพี่ ระโยคาวจรเขา ไปหาพระเถระ
ผเู จรญิ ดว ยอายุ และความรู [ผมู จี ติ ตงั้ มนั่ ] เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ด
อยา งนี้ เธอยอ มละอทุ ธจั จกกุ กจุ จะได
๕) การคบหากัลยาณมิตร คือ การที่พระโยคาวจรเปนผูคบหา
กลั ยาณมติ รผทู รงวนิ ยั เชน พระอบุ าลเี ถระกด็ ี เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ัติ
ไดอ ยา งนี้ เธอยอ มละอทุ ธจั จกกุ กจุ จะได
๖) ถอ ยคำอนั เปน ทสี่ บาย คอื การทพี่ ระโยคาวจรกลา วถอ ยคำที่
เปน สปั ปายะแกค วามสงบระงบั หรอื สนทนากนั ในเรอื่ งทเ่ี กย่ี วกบั พระบาลี
พทุ ธพจน เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี กย็ อ มจะละกามฉนั ทนวิ รณไ ด”
(๕) ธรรมสำหรับละวิจิกิจฉานิวรณ
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมทงั้ หลายทเ่ี ปน กศุ ลและอกศุ ล ทม่ี โี ทษและ
ไมม โี ทษ ทเี่ ลวและประณตี ทเ่ี ปน สว นขา งดำและขา งขาว มอี ยู การ
กระทำใหมากซ่ึงโยนิโสมนสิการในธรรมเหลาน้ัน นี้เปนอาหารให
วจิ กิ จิ ฉาทยี่ งั ไมเ กดิ ไมเ กดิ ขน้ึ หรอื ทเ่ี กดิ แลว ไมเ จรญิ ไพบลู ยย ง่ิ ขน้ึ ”๘๙
อธบิ าย : พระอรรถกถาจารยไ ดย กธรรม ๖ ประการ๙๐ อนั เปน ไปเพอื่ ละวจิ กิ จิ ฉาไวว า
๘๙ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๕๓๙, หนา ๑๔๗-๑๔๘.
๙๐ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ภาค ๓ หนา ๒๓๗.
ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ สสนาภาวนา 181
“๑) ความเปน พหสู ตู คอื การทพ่ี ระโยคาวจรไดศ กึ ษาพระบาลแี ละ
เนอื้ ความแหง พระพทุ ธพจนใ นพระไตรปฎ ก หนง่ึ นกิ าย หรอื สอง สาม ส่ี
หรอื หา นกิ าย จนถงึ ความเปน พหสู ตู บคุ คล ยอ มละวจิ กิ จิ ฉาได
๒) ความเปน ผไู ตถ าม คอื การทพี่ ระโยคาวจรหมนั่ ทบทวนไตถ าม
เพ่ือความเขาใจแจมแจงในพระบาลีและเน้ือความแหงพระพุทธพจนใน
พระไตรปฎ ก เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั อิ ยา งน้ี ยอ มละวจิ กิ จิ ฉาได
๓) ความชำนาญในพระวนิ ยั คอื การทพ่ี ระโยคาวจรเปน ผมู คี วาม
รู มคี วามเชยี่ วชาญ แตกฉานในพระวนิ ยั เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา ง
นี้ ยอ มละวจิ กิ จิ ฉาได
๔) ความเปน ผมู ากดว ยอธโิ มกข คอื การทพี่ ระโยคาวจรเปน ผู
มากไปดว ยความนอ มใจไป ดว ยความเลอื่ มใสศรทั ธา โดยปราศจากความ
สงสยั ในพระรตั นตรยั เมอ่ื พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ ยอ มละวจิ กิ จิ ฉาได
๕) การคบหากลั ยาณมติ ร คอื การทพ่ี ระโยคาวจรคบหากลั ยาณมติ ร
ผนู อ มไปในศรทั ธาอนั ไมห วนั่ ไหวในพระรตั นตรยั เชน พระวกั กลเิ ถระ เปน
ตน เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งน้ี ยอ มละวจิ กิ จิ ฉาได
๖) ถอ ยคำเปน ทส่ี บาย คอื การกลา วถอ ยคำ หรอื การสนทนากนั ใน
เร่ืองเกี่ยวกับพระรัตนตรยั อันเปนไปเพ่อื เจริญศรัทธา โดยปรารภคณุ
แหง รตั นะทง้ั ๓ ในอริ ยิ าบถ มกี ารยนื และการนงั่ เปน ตน เมอื่ พระโยคาวจร
ปฏบิ ตั ไิ ดอ ยา งนี้ กย็ อ มละไดเ หมอื นกนั
อนง่ึ วจิ กิ จิ ฉาทพี่ ระโยคาวจรละไดด ว ยธรรม ๖ ประการเหลา นน้ั ยอ ม
ไมเ กดิ ขน้ึ ตอ ไปดว ยโสดาปต ตมิ รรค ในพระสตู รนี้ พระผมู พี ระภาคเจา ทรง
เปลย่ี นเทศนา โดยฐานะ ๓ ทรงถอื เอาธรรมอนั เปน ยอดดว ยพระอรหตั ดว ย
ประการฉะน้ี”
182 ตอนที่ ๒ ขัน้ วิปส สนาภาวนา
๒.๖ อานิสงสแหงการเจริญสัมโพชฌงค ๗ ประการ
“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมอื่ โพชฌงค ๗ ประการ อนั ภกิ ษเุ จรญิ แลว อยา งน้ี
กระทำใหม ากแลว อยา งนี้ อนั เธอพงึ หวงั ได ผลานสิ งส ๗ ประการ คอื
๑) จะไดบ รรลอุ รหตั ตผลโดยพลนั ในปจ จบุ นั
๒) หากไมไ ดบ รรลใุ นปจ จบุ นั กจ็ กั ไดบ รรลใุ นเวลาใกลต าย
๓) ถา ในปจ จบุ นั กไ็ มไ ดบ รรลุ ในเวลาใกลต ายกไ็ มไ ดบ รรลุ กจ็ กั ได
เปน พระอนาคามผี อู นั ตราปรนิ พิ พายี
๔) ถาในปจจุบันก็ไมไดบรรลุ ในเวลาใกลตายก็ไมไดบรรลุ และ
ไมไดเปนพระอนาคามีผูอันตราปรินิพพายี ก็จักไดเปนพระอนาคามี
ผูอุปหัจจปรินิพพายี
๕) ถา ในปจ จบุ นั กไ็ มไ ดบ รรลุ ในเวลาใกลต ายกไ็ มไ ดบ รรลุ ไมไ ด
เปนพระอนาคามีผูอันตราปรินิพพายี และไมไดเปนพระอนาคามีผู
อปุ หจั จปรนิ พิ พายี กจ็ ะไดเ ปน พระอนาคามผี อู สงั ขารปรนิ พิ พายี
๖) ถา ในปจ จบุ นั กไ็ มไ ดบ รรลุ ในเวลาใกลต ายกไ็ มไ ดบ รรลุ ไมไ ดเ ปน
พระอนาคามผี อู นั ตราปรนิ พิ พายี ไมไ ดเ ปน พระอนาคามผี อู ปุ หจั จปรนิ พิ พายี
ไมไดเปนพระอนาคามีผูอสังขารปรินิพพายี ก็จะไดเปนพระอนาคามี-
สสงั ขารปรนิ พิ พายี เพราะสงั โยชนเ บอ้ื งตำ่ ๕ สนิ้ ไป และ
๗) ถา ในปจ จบุ นั กไ็ มไ ดบ รรลุ ในเวลาใกลต ายกไ็ มไ ดบ รรลุ ไมไ ดเ ปน
พระอนาคามผี อู นั ตราปรนิ พิ พายี ไมไ ดเ ปน พระอนาคามผี อู ปุ หจั จปรนิ พิ พายี
ไมไดเปนพระอนาคามีผูอสังขารปรินิพพายี และไมไดเปนพระอนาคามี
ผสู สงั ขารปรนิ พิ พายี กจ็ ะไดเ ปน พระอนาคามผี อู ทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี
ภกิ ษทุ งั้ หลาย เมอ่ื โพชฌงค ๗ อนั ภกิ ษเุ จรญิ แลว อยา งน้ี กระทำให
มากแลว อยา งน้ี ผลานสิ งส ๗ ประการเหลา นี้ อนั เธอพงึ หวงั ได” ๙๑
๙๑ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๑๙ สงั ยตุ ตนกิ าย มหาวารวรรค ขอ ๓๘๑-๓๘๒, หนา ๑๐๐-๑๐๒.
ตอนท่ี ๒ ขน้ั วปิ ส สนาภาวนา 183
ขอ ๓ การมสี ตพิ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม : อรยิ สจั ๔
วธิ เี จรญิ ภาวนาพจิ ารณาอรยิ สจั ๔
รวมใจทกุ กายอยู ณ ศนู ยก ลางธรรมกายอรหตั เจรญิ ฌานสมาบตั ิ (รปู ฌาน ๔)
พรอ มกนั ทกุ กายสดุ กายหยาบกายละเอยี ด เอาใจ (ญาณรตั นะ) ของพระธรรมกายอรหตั
เปน หลกั โดยอนโุ ลม/ปฏโิ ลม ๓-๔ เทยี่ ว เพอื่ ใหส มาธติ ง้ั มน่ั และบรสิ ทุ ธผิ์ อ งใส ออ นโยน
ควรแกงาน และ/หรือ ทำนิโรธ (ดับสมุทัย-ละอกุศลจิตของกายในภพ ๓) โดย
รวมใจทุกกายสุดกายหยาบ-กายละเอียด เอาใจ (ญาณรัตนะ) ของ
พระธรรมกายอรหตั ในอรหตั ๆๆ เปน หลกั ดบั หยาบไปหาละเอยี ด ใหใ สละเอยี ด
หมดทกุ กาย สดุ กายหยาบกายละเอยี ด เพอื่ ชำระธาตธุ รรม เหน็ -จำ-คดิ -รู (คอื
ใจ) ทุกกายสุดกายหยาบกายละเอียด ใหบริสุทธิ์ผองใส ออนโยนควรแกงาน
แลว พจิ ารณาอรยิ สจั ๔ ตอ ไป
รวมใจทกุ กายใหอ ยู ณ ศนู ยก ลางธรรมกายพระอรหตั องคท ลี่ ะเอยี ดทส่ี ดุ ใหญ าณรตั นะ
ของธรรมกายอรหตั เพง ลงทศ่ี นู ยก ลางดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายมนษุ ยห ยาบ (กายเนอื้ )
ของตนเอง หรือ นอมเอาดวงธรรมที่ทำใหเปนกายมนุษยของผูอื่นมาดูก็ได แลว
อธิษฐานใหเห็นสภาวธรรมและอริยสัจจธรรม ตามท่ีเปนจริง จะเห็น “ดวงทุกข” มี
สีขุนมัว หรือ ถึงเกือบดำ ขนาดมาตรฐานปานกลางประมาณเทาฟองไขแดงของไก ทาม
กลางดวงทกุ ข กม็ ดี วงเหน็ -ดวงจำ-ดวงคดิ -ดวงรู ตงั้ ซอ นกนั อยเู ปน ชน้ั ๆ กนั เขา ไปภายใน
ทา มกลางดวงทกุ ข ยงั มี “ดวงเกดิ ” (ไปเกดิ -มาเกดิ ) คอื “ชาตทิ กุ ข” ขนาด
ประมาณเทา กนั เปน ดวงใส
กลางดวงเกดิ มี “ดวงแก” คอื “ชราทกุ ข” เปน สดี ำ แตล ะคนมขี นาดไม
เทา กนั ทแี่ กม ากกด็ วงโต ทยี่ งั หนมุ หรอื ยงั เปน เดก็ กเ็ หน็ ปรากฏเปน ดวงเลก็ ไปตามสว น
ถา มคี วามเจบ็ ไข จะปรากฏ “ดวงเจบ็ ” คอื “พยาธทิ กุ ข” เขา มาจรด มลี กั ษณะสี
ดำประมาณเทา สถี า น ขนาดไมเ ทา กนั ขน้ึ อยทู ค่ี วามเจบ็ ไขห นกั หรอื เบา
184 ตอนที่ ๒ ขนั้ วปิ สสนาภาวนา
ถาใกลจะตาย (โคมา) จะปรากฏดวงตาย คือ “มรณทุกข” มีลักษณะสีดำ
มนั เลอื่ มดจุ สนี ลิ มาจรดตรงกลาง คอื กลางหวั ตอ ระหวา งดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายทพิ ย
และกายมนษุ ยล ะเอยี ด กบั ดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายมนษุ ยห ยาบ ใหด วงธรรมทที่ ำใหเ ปน
กายทพิ ยแ ละกายมนษุ ยล ะเอยี ดนน้ั ขาดจากศนู ยก ลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ของ
มนษุ ยห ยาบ (กายเนอ้ื ) นนั้ แลว ผนู นั้ กต็ าย
แตถาดวงตายมาจรดตรงกลางหัวตอน้ัน ใหดวงธรรมที่ทำใหเปนกายมนุษย
ละเอยี ดนน้ั ขาดจากศนู ยก ลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ของมนษุ ยห ยาบ (กายเนอื้ ) นน้ั เพยี ง
ชวั่ คราว แลว กลบั มาจรดคนื ใหม (หลดุ ไปสกั ระยะหนงึ่ แลว เดยี๋ วกลบั มาตดิ ใหม) ผูน้ันก็
สลบไสล หรอื เปน เหมอื นตายไปชว่ั ขณะ แลว กก็ ลบั ฟน ขนึ้ มาใหมอ กี อยา งนกี้ ม็ ี
ถาผูปวยใกลจะตายน้ัน ถามีบุตร/หลาน หรือ ญาติพี่นอง ที่ปฏิบัติธรรมไดถึง
ธรรมกาย ไดท ราบอาการของคนใกลจ ะตายนน้ั แลว รบี นอ มดวงธรรมทท่ี ำใหเ ปน กายของ
ผนู น้ั มาตงั้ ทศี่ นู ยก ลางกายของตน แลว พสิ ดารกาย (ทำนโิ รธดบั สมทุ ยั ) สดุ กายหยาบกาย
ละเอยี ด ใหธ าตธุ รรมเหน็ -จำ-คดิ -รู คอื “ใจ” ของผนู น้ั กลบั คนื มาตงั้ อยใู นกลาง
ของกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของกายมนุษยหยาบ ของคนไขนั้นไดใหมอีก
ผทู ใี่ กลจ ะตายนนั้ กจ็ ะกลบั ฟน คนื ชพี ขน้ึ มาไดใ หมอ กี และคอ ยๆ บรรเทาจากความ
เจบ็ ไขน นั้ ไดต ามสมควรแกเ หตปุ จ จยั ทจ่ี ะไดร บั การบำบดั รกั ษาตอ มา
นี้เปน มหาคุณูปการของการเจริญภาวนาธรรมตามแนวสติปฏฐาน ๔
ถึงธรรมกาย และถึงพระนิพพานของพระพุทธเจา ท่ีหลวงพอวัดปากน้ำ
พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ทา นปฏบิ ตั ไิ ดเ ขา ถงึ ไดร -ู ไดเ หน็ และไดเ ปน
ดแี ลว จงึ แนะนำสง่ั สอนศษิ ยานศุ ษิ ยใ หป ฏบิ ตั ติ าม และ ปรากฏไดผ ลดเี ปน อนั
มากแลว
แตก ม็ ขี อ พจิ ารณาอกี วา ถา ผปู ว ยไขน นั้ สงั ขารรา งกายชำรดุ ทรดุ โทรมมากแลว
แมจ ะชว ยใหฟ น คนื มา ทง้ั คนไขและญาตมิ ติ รผดู แู ลกก็ ลบั จะลำบากมากกวา เดมิ เพราะ
ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา 185
สงั ขารรา งกายไดช ำรดุ ทรดุ โทรมมากจนเกนิ ทจี่ ะฟน ฟใู หใ ชก ารไดแ ลว กต็ อ งรจู กั วางใจ
เปน “อเุ บกขา” ตามสมควร
พจิ ารณาตอ ไป ญาณรตั นะของพระธรรมกายเพง ลงไปทกี่ ลางของกลาง “ดวงทกุ ข”
ศนู ยก ลางขยายวา งออกไป จะปรากฏ “ดวงสมทุ ยั ” คอื “ดวงกามตณั หา” “ดวงภวตณั หา”
และ “ดวงวภิ วตณั หา” เปน ดวงกลมสดี ำขนุ มวั ตง้ั ซอ นกนั อยใู นกลางของกลางตอ ๆ กนั ไป
๓ ดวง แตละดวงจะปรากฏเห็นมีดวงเห็น-ดวงจำ-ดวงคิด-ดวงรู ประจำดวงสมุทัย
(กามตัณหา-ภวตัณหา-วิภวตัณหา) ทุกดวง ต้ังซอนกันเปนชั้นๆ กลางของกลางๆ กัน
เขา ไป แสดงวา ดวงสมทุ ยั (ตณั หา) หมุ เคลอื บเหน็ -จำ-คดิ -รู คอื “ใจ” ของสตั ว
มากนอย/หนาบางตามสวนของแตละสัตวโลกนั้น
พจิ ารณาแตเ ฉพาะเหน็ -จำ-คดิ -รู (ใจ) ของสตั ว (ของตนเอง และ/หรอื ผอู นื่ ) แตล ะ
ขณะจิต เม่ือใดที่สัตวโลก เมื่อมีอารมณภายนอก (รูป-เสียง-กล่ิน-รส-โผฏฐัพพะ) มา
กระทบอายตนะภายใน (ตา-ห-ู จมกู -ลนิ้ -กาย-ใจ) แลว ผนู นั้ ยงั ประมาทขาดสตสิ มั ปชญั ญะ-
ขาดอนิ ทรยี ส งั วร ปลอ ยใจ (เหน็ -จำ-คดิ -รู คอื เวทนา-สญั ญา-สงั ขาร-วญิ ญาณ) ใหฟ งุ ซา น
ไปยดึ ไปเกาะและปรงุ แตง อารมณภ ายนอกทมี่ ากระทบนนั้ จติ ใจดวงเดมิ จะดบั (วา งหาย
ไปยงั ศนู ยก ลางกายฐานที่ ๖) จะปรากฏ “จติ ใจ” ดวงใหม ทถี่ กู ปรงุ แตง ดว ยบาปอกศุ ล
คอื ความยนิ ด-ี ยนิ รา ย นนั้ เปน “อกศุ ลจติ ” (ตงั้ อยกู ลางดวงธรรมทที่ ำใหเ ปน กายใหม)
พรอ มดว ยอกศุ ลเจตสกิ ธรรม ถา เปน กรณจี ติ ปรงุ แตง ใหเ กดิ ความรกั /ความใคร จะปรากฏ
“กามราคานสุ ยั ” สชี มพขู นุ มวั เกอื บดำ หมุ เคลอื บ “ดวงคดิ ” พรอ มกบั “อวชิ ชานสุ ยั ”
สดี ำหมุ เคลอื บ “ดวงรู” แตถ า เปน กรณจี ติ ปรงุ แตง ใหเ กดิ ความเกลยี ดชงั จะปรากฏ
“ปฏฆิ านสุ ยั ” เขยี วเขม หรอื แดงก่ำเกอื บดำ หมุ เคลอื บ “ดวงเหน็ ” และ “ดวงจำ” พรอ ม
ดว ย “อวชิ ชานสุ ยั ” สดี ำ หมุ เคลอื บ “ดวงรู” ลอยเดน ขนึ้ มาตรงศนู ยก ลางกายฐาน
ท่ี ๗
กรณี “กามราคานสุ ยั ” หมุ เคลอื บ “ดวงคดิ ” กจ็ ะยอ มสนี ำ้ เลยี้ งของจติ เปน สชี มพู
พรอมกับ “กามตณั หา” กจ็ ะทำหนา ทดี่ ลจติ ดลใจใหป ฏบิ ตั ติ ามอำนาจของมนั สวนกรณี
186 ตอนท่ี ๒ ขั้นวปิ สสนาภาวนา
“ปฏฆิ านสุ ยั ” หมุ เคลอื บ “ดวงเหน็ ” และ “ดวงจำ” ถงึ “ดวงคดิ ” กจ็ ะยอ มสนี ำ้ เลย้ี งของจติ
เหน็ เปน สแี ดงก่ำหรอื เขยี วเขม เกอื บดำ พรอ มกบั “วภิ วตณั หา” ดลจติ ดลใจใหป ฏบิ ตั ติ ามอำนาจ
ของมนั ใหเ ปน ทกุ ขไ ปตามสว นแหง ความหนกั เบาของกรรม ทเี่ ปน ไปกบั ดว ยกเิ ลส-
ตณั หา และอปุ าทาน โดยเหน็ -จำ-คดิ -รู คอื “ใจ” ทไี่ ปยดึ ไปเกาะอารมณภ ายนอก
นนั้ ใหก ายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ และธรรมในธรรม โดยเฉพาะอยา งยง่ิ
ภพ/ภมู ิ ใหม ณ ภายในของสตั วน น้ั ปรากฏเหน็ เปน ธรรมชาตทิ ขี่ นุ มวั -เศรา หมอง
เปน “ทุคคติภพ” ไปทันที ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม และมีผลใหผูนั้น
ดำเนนิ ชวี ติ ไปในทางเสอ่ื ม เปน โทษ-เปน ความทกุ ขเ ดอื ดรอ น ไปตามสว นของ
ภูมิจิตท่ีเปนทุคคติน้ัน
นยี้ อ มแสดงวา “สมทุ ยั ” เปน เหตุ “ทกุ ข” เปน ผล
ผูเจริญภาวนายอมรู-เห็น สัจจธรรมน้ี ไดดวย “ญาณรัตนะ” ของธรรมกาย
กรณนี ้ี ชอ่ื วา “สจั จญาณ”
“ทกุ ข” และ “สมทุ ยั ” นี้ มอี ยแู ตใ นกายโลกยิ ะ (ไดแ ก กายมนษุ ย- มนษุ ยล ะเอยี ด,
ในกายทพิ ย- ทพิ ยล ะเอยี ด, ในกายรปู พรหม-รปู พรหมละเอยี ด และในกายอรปู พรหม-อรปู พรหม
ละเอยี ด) เทา นน้ั หาไดม อี ยใู นกายธรรม คอื ธรรมกาย ดว ยไม
แมส ตั วโ ลกในสคุ ตภิ พ/ภมู ิ กย็ งั ไมพ น จากความทกุ ข เพราะวา ตราบใดท่ี “สมทุ ยั ”
ไดแ ก อวชิ ชา กเิ ลส ตณั หา อปุ าทาน ยงั มอี ยู และ กาย-เวทนา-จติ -ธรรม ของกายโลกยิ ะ
ดงั กลา ว กเ็ ปน ธรรมชาตทิ ป่ี ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง (ปญุ ญาภสิ งั ขาร อปญุ ญาภสิ งั ขาร หรอื
อเนญชาภสิ งั ขาร เปน ตน ) เบญจขนั ธ หรอื อปุ าทนิ นกสงั ขาร จงึ เปน ธรรมชาตทิ ต่ี อ งเปลยี่ น
แปลงไปตามเหตปุ จ จยั เปน สภาพไมเ ทย่ี ง (อนจิ จฺ ตา) เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ ตา) และเปน สภาพ
มใิ ชต น (อนตตฺ ตา) เพราะปราศจากสาระในความเปน ของเทยี่ ง-เปน สขุ และปราศจาก
สาระในความเปน ตวั ตน บคุ คล เรา-เขา ของเรา-ของเขา ทเ่ี ทยี่ งแทถ าวร ตลอดไป และ
เปน มตธรรมทไ่ี มอ ยใู นอำนาจของใครวา จงอยา แก- อยา เจบ็ -อยา ตาย เลย กย็ งั ตอ ง
เวยี นวา ยตายเกดิ อยใู นสงั สารจกั ร และ “เปน ทกุ ข” อกี ตอ ๆ ไป ไมม ที สี่ นิ้ สดุ
ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ สสนาภาวนา 187
พจิ ารณาตอ ไป ใหญ าณรตั นะของธรรมกาย เพง ลงทก่ี ลางของกลาง “ดวงสมทุ ยั ”
หยดุ นง่ิ ถกู สว น ศนู ยก ลางจะขยายวา งออกไป เฉพาะกรณขี องผศู กึ ษาสมั มาปฏบิ ตั อิ ยู และ/
หรอื ของพระอรยิ เจา จะปรากฏ “ดวงนโิ รธ” ขนาดเสน ผา ศนู ยก ลางประมาณเทา หนา ตกั
และความสงู ของกายมนษุ ย/มนษุ ยล ะเอยี ด ใสสวา งปรากฏขนึ้ กำจดั “สมทุ ยั ” สว นหยาบ
ของกายมนษุ ย คอื อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ
ญาณรตั นะของธรรมกาย เพง ลงทก่ี ลางของกลางดวงนโิ รธตอ ไป จะปรากฏ “ดวงมรรค”
ในขน้ั หยาบของกายมนษุ ย ซง่ึ มี “ดวงศลี ” “ดวงสมาธ”ิ และ “ดวงปญ ญา” เปน คณุ ธรรมซง่ึ
เจรญิ ขนึ้ มาจากทานกศุ ล ศลี กศุ ล และภาวนากศุ ล ในระดบั มนษุ ยธรรม ตง้ั ซอ นกนั ๓ ดวง
เปนคุณเครื่องกล่ันกรองกาย-วาจา-ใจ ท่ีละเอียดประณีตยิ่งกวากันไปตามลำดับ เปน
“ศลี วสิ ทุ ธิ” ความหมดจดแหง ศลี เพราะเจตนาความคดิ อา นทางใจบรสิ ทุ ธ์ิ และเปน “จติ ตวิ
สทุ ธ”ิ ความหมดจดแหง จติ เพราะตง้ั มน่ั อนั นำไปสู “ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธ”ิ ความหมดจดแหง ความเหน็
ตอ ไป
“ดวงนโิ รธ” คณุ ธรรมเครอ่ื งดบั ทกุ ขน น้ั เปน ผลจาก “ดวงมรรค” คอื ศลี -
สมาธ-ิ ปญ ญา อธศิ ลี อธจิ ติ อธปิ ญ ญา และปฐมมรรค มรรคจติ มรรคปญ ญา เปน เหตุ
เพง เผากเิ ลส และกำจดั สญั โญชน (กเิ ลสเครอื่ งรอ ยรดั ใหต ดิ อยกู บั โลก) ใหพ นิ าศไป
ทั้งดวงนิโรธและดวงมรรค ลวนมีดวงเห็น-ดวงจำ-ดวงคิด-ดวงรู คือ “ใจ”
ตงั้ ซอ นกนั เปน ชน้ั ๆ กลางของกลางตอ ๆ กนั ไป จนสดุ ละเอยี ด เมอื่ ผเู จรญิ ภาวนาปฏบิ ัติ
ไดถึงกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ท่ีละเอียด-บริสุทธ์ิ เขาไป
เพยี งไร “นโิ รธ” กบั “มรรค” กจ็ ะปรากฏเปน ดวงใสบรสิ ทุ ธเ์ิ ดน เจรญิ ขนึ้ ประจำทกุ กาย
สุดกายหยาบ-กายละเอียด ตั้งแตกายมนุษย-มนุษยละเอียด, กายทิพย-ทิพยละเอียด,
กายรปู พรหม-รปู พรหมละเอยี ด และกายอรปู พรหม-อรปู พรหมละเอยี ด มขี นาดโตใหญแ ละ
ใสละเอียด-บริสุทธิ์ ยิ่งกวากันไปตามลำดับ และเปนคุณเคร่ืองชวยกำจัดกิเลสประจำ
กายสดุ หยาบ-สดุ ละเอยี ด ดงั ตอ ไปน้ี
188 ตอนที่ ๒ ข้ันวปิ ส สนาภาวนา
ทานกศุ ล ศลี กศุ ล ภาวนากศุ ล คณุ ธรรมของกายมนษุ ยล ะเอยี ด เปน คณุ เครอื่ งเพง เผา/กำจดั
อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ ในจติ ใจของกายมนษุ ย
ศลี สมาธิ ปญ ญา คณุ ธรรมของกายทพิ ย เปน คณุ เครอ่ื งเพง เผา/กำจดั
โลภะ-โทสะ-โมหะ ในจติ ใจของกายทพิ ย
อธศิ ลี อธจิ ติ อธปิ ญ ญา คณุ ธรรมของกายรปู พรหม เปน คณุ เครอ่ื งเพง เผา/กำจดั
ราคะ-ปฏฆิ ะ-โมหะ ในจติ ใจของกายรปู พรหม
ปฐมมรรค มรรคจติ มรรคปญ ญา คณุ ธรรมของกายอรปู พรหม เปน คณุ เครอ่ื งเพง เผา/กำจดั
กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัยในจิตใจของ
กายอรูปพรหม
เมอื่ ผเู จรญิ ภาวนาอาศยั คณุ ธรรมของกายในกายจากสดุ หยาบ เจรญิ ภาวนาไดเ ขา ถงึ
คณุ ธรรมของกายในกายทล่ี ะเอยี ดๆ ตอ ไป จนสดุ ละเอยี ดของอรปู พรหมละเอยี ด จงึ ปรากฏ
“กายธรรม หรอื ธรรมกาย” เรม่ิ ตง้ั แต “ธรรมกายโคตรภ”ู และตอ ไปเปน “ธรรมกาย
โคตรภูละเอียด” ใสสวางมีรัศมีปรากฏมาก “ดวงธรรม” ท่ีทำใหเปนธรรมกาย
“ดวงนโิ รธ” และ “ดวงมรรค” ทเ่ี จรญิ ขน้ึ มาตามลำดบั ของกาย ซง่ึ มดี วงเหน็ -ดวงจำ-
ดวงคิด-ดวงรู ตั้งซอนอยูประจำทุกดวง และ เจริญ-ใสละเอียดและบริสุทธิ์ขึ้นจาก
กายโลกิยะ เปน “ญาณรัตนะ” ของธรรมกาย มีขนาดโตใหญ--เสนผาศูนยกลาง
เทา หนา ตกั และความสงู ของธรรมกาย คอื ๔ วาครง่ึ ขน้ึ ไป
เม่ือผูเจริญภาวนาตอไปจาก “ธรรมกายโคตรภูละเอียด” ไดเขาถึง “ธรรมกาย”
ทล่ี ะเอยี ดบรสิ ทุ ธ-ิ์ ผอ งใส ไปจนสดุ ละเอยี ด ถงึ อายตนะ คอื “พระนพิ พาน” ได โคตรภจู ติ
ยดึ หนว งพระนพิ พานเปน อารมณ อาศยั ญาณรตั นะของธรรมกายโคตรภลู ะเอยี ดพจิ ารณา
อรยิ สจั ๔ (ทกุ ข- สมทุ ยั -นโิ รธ-มรรค) ใหร แู จง /เหน็ แจง ในอรยิ สจั ๔ กรณนี ี้ ญาณรตั นะ
ของพระธรรมกายจะพฒั นาขน้ึ เปน “สจั จญาณ” กำหนดรวู า แตล ะอรยิ สจั มจี รงิ อยา งไร
และกำหนดรตู อ ไปดว ยญาณรตั นะของพระธรรมกาย ซงึ่ พฒั นาขน้ึ เปน “กจิ จญาณ”
กำหนดรวู า ควรทำอยา งไร (ไดแ ก ทกุ ข- ควรกำจดั , สมทุ ยั -ควรละ, นโิ รธ-ควรทำใหแ จง
ตอนท่ี ๒ ขนั้ วปิ ส สนาภาวนา 189
และมรรค-ควรทำใหเ จรญิ ) ธรรมโคตรภลู ะเอยี ดจะตกศนู ย คอื วา งหายไป
ขณะเม่ือมรรคจิต-มรรคปญญา ของกายธรรมของผูเจริญภาวนา เจริญขึ้น
พจิ ารณาเหน็ แจง แทงตลอดพระไตรลกั ษณใ นกายมนษุ ยซ ง่ึ เปน สงั ขารธรรม (อปุ าทนิ นกสงั ขาร)
อยนู น้ั ผเู จรญิ ภาวนา ชอ่ื วา “ยอ มไดอ นโุ ลมขนั ต”ิ
เม่ือญาณรัตนะของธรรมกาย พิจารณาเห็นความดับแหงเบญจขันธ
(ของพระอรหันต) ตามท่ีเปนจริง วา เปนพระนิพพาน ที่มีสภาพเปนตรงกันขาม
กบั สงั ขาร ไดแ ก มสี ภาพเทย่ี ง (นจิ จฺ )ํ เปน บรมสขุ (ปรมํ สขุ )ํ มปี ระโยชนส งู สดุ ยงิ่
(ปรมตถฺ )ํ เปน ธรรมทไี่ มต าย (อมต)ํ และเปน ธรรมทมี่ สี าระ (สาร)ํ ฯลฯ ยอ ม
ยา งลงสู “สมั มตั ตนยิ าม” คอื เทย่ี งตอ การบรรลมุ รรค-ผล-นพิ พาน และจะปรากฏ
ธรรมกายพระโสดาปต ตมิ รรคพรอ มดว ย “มรรคญาณ” ขนึ้ ปหาน (ละ) สญั โญชน
อยา งนอ ย ๓ ประการ คอื สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา และสลี พั พตปรามาส ได แลว ตกศนู ย
(วา งหายไป) และจะปรากฏธรรมกายพระโสดาปต ตผิ ลพรอ มดว ย “ผลญาณ” ขนึ้
เขา ผลสมาบตั ิ พจิ ารณาปจ จเวกขณ คอื พจิ ารณากเิ ลสทลี่ ะได กเิ ลสทยี่ งั เหลอื พจิ ารณา
มรรค-ผล และพระนพิ พาน ตอ ไป
เมอ่ื พระอรยิ เจา นนั้ อาศยั ญาณรตั นะของธรรมกายทล่ี ะเอยี ดๆ ตอ ๆ ไป (พระโสดา-
ปต ตผิ ล ... พระอรหตั ตมรรค) พจิ ารณาอรยิ สจั ในกายทพิ ย- พรหม-อรปู พรหม ตอ ๆ ไป
ใหเ หน็ แจง /รแู จง สภาวธรรมและอรยิ สจั จธรรม รวมทง้ั ปฏจิ จสมปุ บาทธรรม
คือ เห็นแจง-รูแจงเหตุในเหตุจนถึงตนๆ เหตุ มีอวิชชาเปนมูลรากฝายเกิด
ทกุ ขท งั้ ปวง เปน ตน ตามทเี่ ปน จรงิ ไดเ พยี งไร ญาณรตั นะของพระธรรมกายท่ี
พฒั นาขนึ้ เปน สจั จญาณ กจิ จญาณ และกตญาณ เปน ลำดบั มานน้ั กจ็ ะพฒั นาขน้ึ เปน
“อาสวักขยญาณ” เปนวิชชาท่ี ๓ คือ ปรีชาญาณหยั่งรูวา น้ีอาสวะ นี้อาสวสมุทัย
นอ้ี าสวนโิ รธ และนอ้ี าสวนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา ใหส ามารถกำจดั อาสวกเิ ลส และบรรลมุ รรค-
ผล นพิ พาน ตามระดบั ภมู ธิ รรมทปี่ ฏบิ ตั ไิ ด เพยี งนน้ั ดงั จะไดช แ้ี จงรายละเอยี ดขอ ปฏบิ ตั ิ
ในตอนท่ี ๓ ขน้ั บรรลมุ รรค ผล ตอ ไป
190
191
192 ตอนที่ ๓ ขั้นบรรลุมรรคผล
192
ตอนท่ี ๓ ขัน้ บรรลุมรรคผล 193
บทที่ ๑ อาการตรัสรูของพระพุทธเจา :
ทรงบรรลุวิชชา ๓ และไดตรัสสอนวิธีเจริญวิชชา ๓
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○
สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดท รงบรรลญุ าณ ๓ (วชิ ชา ๓) แลว ไดต รสั สอนวธิ เี จรญิ
รปู ฌาน ๔ และวชิ ชา ๓๙๒ ดงั น้ี
(๑) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
“ภิกษุน้ัน เมื่อจิตเปนสมาธิบริสุทธิ์ผองแผว ไมมีกิเลส ปราศจาก
อุปกิเลส ออนโยนควรแกการงาน ต้ังมั่น ไมหวั่นไหว อยางนี้ ยอม
โนม นอ มจติ ไปเพอ่ื “ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ” เธอระลกึ ชาตทิ เี่ คยอยอู าศยั
ในกาลกอ นไดเ ปน อนั มาก คอื ระลกึ ไดห นงึ่ ชาตบิ า ง สองชาตบิ า ง ... ระลกึ
ชาติท่ีเคยอยูอาศัยในกาลกอนไดเปนอันมาก พรอมท้ังอาการ พรอมท้ัง
อทุ เทศ ดว ยประการฉะน้ี เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ ออกจากบา นของตนไปสบู า น
อน่ื ออกจากบา นแมน น้ั ไปสบู า นอน่ื ออกจากบา นแมน นั้ แลว กลบั มาสู
บา นของตนตามเดมิ เขาจะพงึ ระลกึ ไดว า เราออกจากบา นของตนไปสู
บา นโนน ในบา นนนั้ เราไดย นื อยอู ยา งนน้ั ไดน งั่ อยา งนนั้ ไดพ ดู อยา งนน้ั
ไดน ง่ิ อยา งนน้ั ออกจากบา นแมน น้ั ไปสบู า นโนน แมใ นบา นนนั้ เรากไ็ ดย นื
อยา งนนั้ ไดน งั่ อยา งนน้ั ไดพ ดู อยา งนน้ั ไดน งิ่ อยา งนนั้ ออกจากบา นนนั้
แลว กลบั มาสบู า นของตนตามเดมิ ดงั น้ี ฉนั ใด
ภิกษุก็ฉันน้ันแล ยอมระลึกชาติที่เคยอยูอาศัยในกาลกอนไดเปน
อนั มาก คอื ระลกึ ไดห นงึ่ ชาตบิ า ง สองชาตบิ า ง ... ระลกึ ชาตทิ เี่ คยอยอู าศยั
ในกาลกอ นไดเ ปน อนั มาก พรอ มทง้ั อาการ พรอ มทง้ั อทุ เทศ ดว ยประการ
ฉะน”ี้
๙๒ พระไตรปฏกบาลี ฉบับสยามรัฐ เลมที่ ๑๓ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณณาสก ขอ ๕๐๖-๕๐๘ หนา ๔๖๐-๔๖๑.
และเลม ท่ี ๑๒ มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก ขอ ๔๗๑-๔๗๗ หนา ๕๐๕-๕๑๐.
194 ตอนที่ ๓ ขั้นบรรลุมรรคผล
(๒) จตุ ปู ปาตญาณ
“ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื จติ เปน สมาธิ บรสิ ทุ ธ์ิ ผอ งแผว ไมม กี เิ ลส ปราศจาก
อปุ กเิ ลส ออ น ควรแกก ารงาน ตงั้ มน่ั ไมห วน่ั ไหว อยา งนี้ ยอ มโนม นอ ม
จติ ไปเพอ่ื รจู ตุ แิ ละอบุ ตั ขิ องสตั วท ง้ั หลาย เธอเหน็ หมสู ตั วท ก่ี ำลงั จตุ ิ กำลงั
อุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดดี ตกยาก ดวย
ทพิ พจกั ษุ อนั บรสิ ทุ ธล์ิ ว งจกั ษขุ องมนษุ ย ... ยอ มรชู ดั ซงึ่ หมสู ตั วผ เู ปน ไป
ตามกรรม เปรยี บเหมอื นปราสาทหลงั หนง่ึ ตง้ั อยสู แี่ ยกทา มกลางพระนคร
บุรุษผูมีจักษุยืนอยูบนปราสาทนั้น พึงเห็นหมูมนุษยกำลังเขาสูเรือนบาง
กำลงั ออกจากเรอื นบา ง กำลงั เดนิ ไปบา ง กำลงั เดนิ มาบา ง กำลงั เทย่ี ว
ไปบา ง ฉนั ใด ภกิ ษยุ อ มเหน็ หมสู ตั วท ก่ี ำลงั จตุ ิ กำลงั อบุ ตั ิ เลว ประณตี
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ไดดี ตกยาก ดวยทิพพจักษุอันบริสุทธ์ิ
ลว งจกั ษขุ องมนษุ ย ... ยอ มรชู ดั ซง่ึ หมสู ตั วผ เู ปน ไปตามกรรม ฉะนน้ั เหมอื น
กนั แล”
(๓) อาสวกั ขยญาณ
“ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื จติ เปน สมาธิ บรสิ ทุ ธ์ิ ผอ งแผว ไมม กี เิ ลส ปราศจาก
อปุ กเิ ลส ออ นควรแกก ารงาน ตงั้ มนั่ ไมห วนั่ ไหว อยา งน้ี ยอ มโนม นอ มจติ
ไปเพื่อ “อาสวักขยญาณ” เธอยอมรูชัดตามความเปนจริง วา น้ีทุกข
น้ีทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหลานี้อาสวะ
นอี้ าสวสมทุ ยั นอ้ี าสวนโิ รธ นอ้ี าสวนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา เมอ่ื เธอรเู หน็ อยู
อยางน้ี จิตยอมหลุดพน แมจากกามาสวะ แมจากภวาสวะ แมจาก
อวชิ ชาสวะ เมอ่ื จติ หลดุ พน แลว กม็ ญี าณวา ‘หลดุ พน แลว ’ รชู ดั วา
‘ชาตสิ นิ้ แลว พรหมจรรยอ ยจู บแลว กจิ ทค่ี วรทำ ทำเสรจ็ แลว กจิ อน่ื
เพอ่ื ความเปน อยา งนม้ี ไิ ดม ’ี เปรยี บเหมอื นหว งนำ้ บนยอดภเู ขา มนี ำ้ ใส
สะอาด ไมข นุ มวั บรุ ษุ ผมู จี กั ษยุ นื อยทู ขี่ อบหว งนำ้ นน้ั พงึ เหน็ หอยกาบ
หอยโขง กอ นกรวด กระเบอ้ื ง ฝงู ปลา หยดุ อยบู า ง เคลอ่ื นไปบา ง เขามี
ตอนท่ี ๓ ข้ันบรรลมุ รรคผล 195
ความดำรวิ า ‘หว งนำ้ น้ี มนี ำ้ ใสสะอาด ไมข นุ มวั มหี อยกาบ หอยโขง กอ นกรวด
กระเบอ้ื ง ฝงู ปลา หยดุ อยบู า ง เคลอ่ื นไปบา ง’ ฉนั ใด ภกิ ษยุ อ มรชู ดั ตาม
ความเปน จรงิ วา นท้ี กุ ข นที้ กุ ขสมทุ ยั นที้ กุ ขนโิ รธ นท้ี กุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา
เหลานี้อาสวะ น้ีอาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ น้ีอาสวนิโรธคามินีปฏิปทา
เมอ่ื เธอรเู หน็ อยอู ยา งน้ี จติ ยอ มหลดุ พน แมจ ากกามาสวะ แมจ ากภวาสวะ
แมจ ากอวชิ ชาสวะ เมอื่ จติ หลดุ พน แลว กม็ ญี าณวา ‘หลดุ พน แลว ’ รชู ดั วา
‘ชาตสิ นิ้ แลว พรหมจรรยอ ยจู บแลว กจิ ทคี่ วรทำ ทำเสรจ็ แลว กจิ อนื่
เพอ่ื ความเปน อยา งนมี้ ไิ ดม ’ี ฉนั นนั้ เหมอื นกนั แล”
บทที่ ๒ วิธีเจริญวิชชา ๓ ถึงมรรคผลนิพพาน
○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○○
ขอ ๑ ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ (วชิ ชาที่ ๑)
สำหรบั ผทู ถ่ี งึ ธรรมกายแลว เจรญิ ฌาน ๔ โดยอนโุ ลม ปฏโิ ลม เพอ่ื ใหใ จตง้ั มนั่ บรสิ ทุ ธิ์
ผอ งใส และออ นโยนควรแกง านแลว และ/หรอื ซอ นสบั ทบั ทวี จนสดุ กายหยาบกายละเอยี ด
เพอื่ ใหญ าณรตั นะของพระธรรมกายบรสิ ทุ ธิ์ ผอ งใส
แลว ใหร วมใจของทกุ กายใหห ยดุ อยู ณ ศนู ยก ลางกายพระอรหตั องคท ล่ี ะเอยี ดทส่ี ดุ
รวมดวงเหน็ ดวงจำ ดวงคดิ และดวงรู ใหห ยดุ ในหยดุ นงิ่ ลงไปทก่ี ลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ
ณ ศนู ยก ลางกายมนษุ ยน นั้ แหละ มที หี่ มายตรงกลางของกลางอากาศธาตแุ ละวญิ ญาณธาตุ
อันเปนตนสายกำเนิดธาตุธรรมเดิมน้ัน เปนจุดเล็กใสเทาปลายเข็ม ก็ใหหยุดในหยุดกลาง
ของหยดุ แลว อธษิ ฐานใหเ หน็ สภาพความเปน อยขู องตนเองถอยหลงั สบื ตอ ไปถงึ เมอ่ื สปั ดาห
ทแ่ี ลว , เดอื นทแ่ี ลว , ปท แี่ ลว , ลงไปจนถงึ ตอนทเี่ ปน เดก็ ใหร วมใจ คอื ความเหน็ ความจำ
ความคดิ ความรู ใหห ยดุ ในหยดุ ลงไปทกี่ ลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ของกายเดมิ ทเ่ี หน็ ครง้ั
สดุ ทา ยตอ ไปเรอื่ ยๆ จากทเ่ี ปน เดก็ กไ็ ปถงึ สภาพทเี่ ปน เดก็ แดงๆ, แลว กถ็ อยหลงั สบื เขา ไป
ตามสายธาตุธรรมเดิม ถึงท่ีเปนเด็กทารกในครรภของมารดา, แลวก็ไปถึงในขณะท่ีต้ัง
196 ตอนท่ี ๓ ข้ันบรรลุมรรคผล
ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ เปน กลลรปู , ถอยสบื เขา ไปถงึ ในขณะทม่ี าปฏสิ นธใิ นครรภม ารดา ดว ย
กายมนษุ ยล ะเอยี ดหรอื กายทพิ ย
แลว กอ นทจี่ ะมาปฏสิ นธิ กเ็ ปน กายละเอยี ดมาตกศนู ย พกั อยู ณ ศนู ยก ลางกายบดิ า
ชวั่ คราว
อธิษฐานใหเห็นสภาพของตนเองตามสายธาตุธรรม สืบถอยหลังไปถึงตอนท่ีจุติ คือ
เคลอ่ื นจากสงั ขารรา งกายเดมิ ของชาตทิ แ่ี ลว นนี้ บั เปน ชาตหิ นงึ่ , เมอื่ เหน็ ชดั ดแี ลว กร็ วม
เห็นจำคิดรู หยุดนิ่งท่ีศูนยกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม อธิษฐานใหเห็นอัตตภาพ และความ
เปน ไปของตนเองใหช ดั วา มสี ภาพความเปน มาอยา งไร ในชาตนิ น้ั ตนเองเกดิ เปน อะไร มี
เทอื กเถาเหลา กออยา งไร มที กุ ขม สี ขุ มงั่ มหี รอื ยากจนขดั สนกนั ดารอยา งไร เพราะผลบญุ
หรอื ผลบาปอะไร พยายามนอ มใจอนั ประกอบดว ยความเหน็ ความจำ ความคดิ ความรู
ใหห ยดุ นง่ิ ในกลางของกลางๆ ไป เรอื่ ย กจ็ ะเหน็ ไดช ดั เจนและแมน ยำ แลว กด็ ำเนนิ ไปใน
แบบเดมิ อธษิ ฐานดอู ตั ตภาพและสภาพความเปน ไปของตนเอง ถอยหลงั สบื เขา ไปทลี ะชาตๆิ
เมอ่ื กระทำชำนาญเขา กจ็ ะสามารถระลกึ ชาตไิ ดเ รว็ ขน้ึ แตจ ะตอ งหยดุ ในหยดุ ลงไปทตี่ รง
กลางกำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ตามสายธาตธุ รรมเดมิ ถอยหลงั สบื ตอ เขา ไปเสมอ จงึ จะแมน ยำ
มฉิ ะนนั้ การรเู หน็ อาจจะเลห คอื ผดิ พลาดได เมอ่ื จะหยดุ พกั กใ็ หอ ธษิ ฐานกลบั ตามสาย
ธาตธุ รรมเดมิ จนมาถงึ ชวี ติ ปจ จบุ นั อกี เชน กนั
นเ้ี ปน วชิ ชาที่ ๑ ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ
ขอ ๒ จตุ ปู ปาตญาณ (วชิ ชาที่ ๒)
ตอ ไป ใหฝ ก ระลกึ ใหเ หน็ อตั ตภาพและสภาพความเปน ไปของตนเองตอ ไปในอนาคต
กป็ ฏบิ ตั ใิ นทำนองเดยี วกนั คอื รวมใจอนั ประกอบดว ยความเหน็ ความจำ ความคดิ และ
ความรู ใหห ยดุ เปน จดุ เดยี วกนั ณ กำเนดิ ธาตธุ รรมเดมิ ของกายปจ จบุ นั ตงั้ จติ อธษิ ฐานให
เห็นความเปนไปหรือสภาพของตนเองในวันรุงขึ้น, ในสัปดาหหนา, ในเดือนหนา, ในปหนา,
ใน ๕ ปข า งหนา , ใน ๑๐ ปข า งหนา , ตอ ๆ ไปจนกระทง่ั ถงึ วนั ทตี่ นเองจะกระทำกาลกริ ยิ า คอื
ตอนที่ ๓ ข้นั บรรลุมรรคผล 197
ตาย ดคู วามเปน ไปสบื ตอ ไปขา งหนา ใหเ หน็ สภาพความเปน ไปในชวี ติ ของตนเอง พรอ ม
ดว ยอธษิ ฐานใหเ หน็ วบิ ากกรรมวา เปน ดว ยผลบญุ กศุ ลหรอื ผลบาปอกศุ ลกรรมใด ทจี่ ะเปน
ผลใหไ ดร บั ความสขุ หรอื ความทกุ ขเ ดอื ดรอ นในชวี ติ แตล ะชว งทไี่ ดพ บเหน็ นนั้ เปน ตอนๆ ไป
จนกระทั่งจุติละจากโลกน้ีไป
อนง่ึ ในกรณที ่ีประสงคจ ะระลกึ ชาตขิ องผอู น่ื กด็ ี หรอื จะดปู จ จบุ นั และอนาคตของ
ผอู น่ื กด็ ี กป็ ฏบิ ตั ใิ นทำนองเดยี วกนั คอื เพยี งแตน อ มเอาธาตธุ รรม ของผทู เี่ ราประสงค
จะทราบอดตี ปจ จบุ นั หรอื อนาคตของผนู น้ั มาตงั้ ทศ่ี นู ยก ลางกายของเราเอง แลว รวมเหน็
จำคิดรูของเราและของเขาใหหยุดรวมกันเปนจุดเดียว ตรงศูนยกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม
ของเขา แลว อธษิ ฐานระลกึ ใหเ หน็ อดตี ปจ จบุ นั หรอื อนาคต ของผนู น้ั ไปตามสายธาตธุ รรม
เดมิ ของเขา กจ็ ะสามารถรเู หน็ ไดเ ชน เดยี วกนั
เมอื่ ประสงคจ ะทราบวา สตั วห รอื มนษุ ยท ลี่ ะหรอื ตายจากโลกนไ้ี ปแลว จะไปบงั เกดิ
ในภพภมู ใิ ด ดว ยผลบญุ กศุ ลหรอื ผลบาปอกศุ ลใด กใ็ หป ฏบิ ตั ไิ ปตามทำนองเดยี วกนั กบั
วิธีเจริญภาวนาตรวจภพ/ตรวจจักรวาล ที่ไดเคยแนะนำไปแลว และควรเจริญภาวนา
ถงึ อายตนะคอื พระนพิ พานกอ น เพอื่ ใหญ าณรตั นะบรสิ ทุ ธผ์ิ อ งใสและชดั เจนกอ น ดงั ตอ ไปนี้
- เจรญิ ภาวนาทำนโิ รธดบั สมทุ ยั (ละอกศุ ลจติ ของกายในภพ ๓ ตามนยั
อรยิ สจั ๔) ธรรมกายทบี่ รสิ ทุ ธสิ์ ดุ ละเอยี ด เขา ถงึ อายตนะคอื พระนพิ พาน ได
พระนพิ พานเปน อารมณ และไดร -ู เหน็ พระนพิ พานธาตคุ อื ธรรมกายตรสั รขู อง
พระพุทธเจา และพระอรหันตขีณาสพเจาท่ีดับขันธปรินิพพาน ดวยอนุปาทิ-
เสสนพิ พานธาตุ เปน วสิ งั ขารธรรม ทมี่ สี ภาวะตรงกนั ขา มกบั สงั ขารธรรม โดย
สิ้นเชิง
ใหเจรญิ สมาบตั ิ ๔ โดยอนโุ ลมปฏโิ ลมหลายๆ เทย่ี ว เพอื่ ใหจ ติ ใจตงั้ มน่ั
และผอ งใสควรแกง าน แลว รวมใจของทกุ กายสดุ กายหยาบกายละเอยี ด อยู ณ
ศูนยกลางธรรมกายที่สุดละเอียด พิสดารกายสุดกายหยาบกายละเอียด
198 ตอนท่ี ๓ ข้ันบรรลุมรรคผล
ทำนิโรธดับสมุทัย ละอกุศลจิตของกายในภพ ๓ ใหเปนแตใจ (ญาณรัตนะ) ของ
ธรรมกายบรสิ ทุ ธ์ิ ผอ งใสจนสดุ ละเอยี ด ปลอ ยอปุ าทานในเบญจขนั ธข องกายในภพ ๓
ทงั้ หมด และปลอ ยความยนิ ดใี นฌานสมาบตั ไิ ดธ รรมกายทหี่ ยาบจะตกศนู ย (วา งหายไป)
ธรรมกายทใี่ สบรสิ ทุ ธส์ิ ดุ ละเอยี ดนนั้ จะปรากฏใน อายตนะ คอื พระนพิ พาน จะเหน็
พระอรหนั ตท ด่ี บั ขนั ธเ ขา ปรนิ พิ พานดว ย “อนปุ าทเิ สสนพิ พานธาต”ุ
พระนิพพานธาตุ คือ ธรรมกายอรหัตตรัสรู ของทานท่ีเห็นประทับอยูใน
อายตนะ คือ พระนิพพาน นั้นเอง
สำหรบั ธรรมกายอรหตั ตรสั รขู องพระสพั พญั พู ทุ ธเจา จะเหน็ ประทบั เขา
นโิ รธ สงบเงยี บ อยบู นรตั นบลั ลงั ก ใสสวา งดว ยธรรมรงั สยี ง่ิ กวา พระนพิ พานธาตุ
องคใ ดในพระนพิ พานนนั้ แวดลอ มดว ย ธรรมกายตรสั รู คอื พระนพิ พานธาตุ ของ
พระอรหันตสาวก ประทับเขานิโรธสงบเงียบอยูบนองคฌาน เวียนขวาโดยรอบ
หา งกนั ชว่ั กงึ่ องคฌ าน นบั ไมถ ว น สวา งไสวดว ยธรรมรงั สขี องพระนพิ พานธาตุ นนั้
สว น ธรรมกายอรหตั ตรสั รู คอื พระนพิ พานธาตขุ องพระปจ เจกพทุ ธเจา
จะเหน็ ประทบั เขา นโิ รธ สงบ ใสสวา งดว ยธรรมรงั สอี ยบู นรตั นบลั ลงั ก อยหู า งออกไปโดดๆ
โดยลำพังพระองคเดียว ไมมีพระนิพพานธาตุของพระอรหันตสาวกแวดลอมเหมือน
พระสพั พญั พู ทุ ธเจา เพราะทา นมไิ ดส อนผใู ดใหไ ดบ รรลมุ รรค ผล นพิ พาน
เม่ือทานไดเจริญภาวนามาถึงจุดนี้ คือ อายตนะ (พระนิพพาน) ทานจะไดท ้ังรู
และทง้ั เหน็ ทง้ั ไดส มั ผสั และทงั้ ไดอ ารมณพ ระนพิ พาน ๓ นยั คอื
๑. อายตนะ คือ พระนิพพาน เปนท่ีสถิตอยูของพระนิพพานธาตุของสมเด็จ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา พระปจ เจกพทุ ธเจา และของพระอรหนั ตส าวกของพระพทุ ธเจา
ผดู บั ขนั ธปรนิ พิ พานดว ย “อนปุ าทเิ สสนพิ พานธาต”ุ ตามพระพทุ ธดำรสั ทตี่ รสั วา
“อตถฺ ิ ภกิ ขฺ เว ตทายตนํ ... ตํ เอเสวนโฺ ต ทกุ ขฺ สสฺ .”๙๓
๙๓ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย อทุ าน ขอ ๑๕๘ หนา ๒๐๖-๒๐๗.
ตอนท่ี ๓ ขน้ั บรรลมุ รรคผล 199
“ภกิ ษทุ งั้ หลาย อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นนั้ มอี ย.ู
ดนิ นำ้ ไฟ ลม อากาสานญั จายตนะ วญิ ญานญั จายตนะ อากญิ จญั -
ญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหนา พระจันทรและ
พระอาทติ ยท งั้ สอง ยอ มไมม ใี นอายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นน้ั .
ภกิ ษทุ งั้ หลาย เรายอ มไมก ลา วซง่ึ อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นนั้ วา
เปน การมา เปน การไป เปน การตง้ั อยู เปน การจตุ ิ เปน การอบุ ตั .ิ
อายตนะ [คอื พระนพิ พาน] นนั้ หาทต่ี ง้ั อาศยั มไิ ด มไิ ดเ ปน ไป หา
อารมณม ไิ ด. [พระนพิ พาน] นน้ั แล เปน ทส่ี ดุ แหง ทกุ ข. ”
อนงึ่ พระพทุ ธดำรสั ตรสั อายตนะ คอื พระนพิ พาน นนั้ วา เปน สถานที่
(นิพฺพานฏฐานํ) ท่ีพระอเสขมุนี (พระอรหันต) ไปแลวไมเดือดรอนเศราโศก
ดงั พระพทุ ธดำรสั มใี นขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท วา
“อหสึ กา เย มนุ โย นจิ จฺ ํ กาเยน สวํ ตุ า,
เต ยนตฺ ิ อจจฺ ตุ ํ ฐานํ ยตถฺ คนตฺ วฺ า น โสจเร.”๙๔
แปลความวา
“พระมนุ เี หลา ใด ผไู มเ บยี ดเบยี น สำรวมแลว ดว ยกายเปน นติ ย,
พระมุนีเหลานั้น ยอมไปสู สถานที่อันไมจุติ ซึ่งเปนท่ีไปแลวไม
เดือดรอนเศราโศก”
พระพทุ ธดำรสั ตรสั พระนพิ พานเปน ทไี่ มม ดื มรี ศั มสี วา งโชตชิ ว งใส บรสิ ทุ ธิ์ อนั
ผบู รรลุ (ตงั้ แตโ คตรภญู าณ ถงึ บรรลมุ รรค ผล นพิ พาน) ยอ มรแู จง /เหน็ แจง ได แตไ ม
อาจเหน็ ไดด ว ยจกั ษวุ ญิ ญาณ ดงั พระพทุ ธดำรสั ตรสั ในเกวฏั ฏสตู รวา
“วิ ญฺ าณํ อนทิ สสฺ นํ อนนตฺ ํ สพพฺ โต ปภ”ํ ๙๕
แปลความวา
๙๔ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบท ขอ ๒๗ หนา ๔๕.
๙๕ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๙ ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค ขอ ๓๕๐ หนา ๒๘๓.
200 ตอนท่ี ๓ ข้ันบรรลุมรรคผล
“นพิ พานอนั ผบู รรลพุ งึ รแู จง ได เปน อนทิ สั สนะ [ไมเ หน็ ไดด ว ยจกั ษุ
วญิ ญาณ] เปน อนนั ตะ [ไมม ที ส่ี นิ้ สดุ แหง ความเกดิ ขนึ้ และความเสอ่ื มไป]
มรี ศั มสี วา งโชตชิ ว ง ใสบรสิ ทุ ธก์ิ วา ธรรมทงั้ ปวง”
นอกจากนี้ พระพทุ ธองคย งั ไดต รสั ในขทุ ทกนกิ าย อทุ าน อกี วา
“ยตถฺ อาโป จ ปฐวี เตโช วาโย น คาธติ
น ตตถฺ สกุ กฺ า โชตนตฺ ิ อาทจิ โฺ จ นปปฺ กาสต.ิ
น ตตถฺ จนทฺ มิ า ภาติ ตโม ตตถฺ น วชิ ชฺ ต”ิ ๙๖
แปลความวา
“น้ำ ดิน ไฟ และลม ไมต้ังอยูในนิพพานใด. ในนิพพานน้ัน
ดาวศกุ รส อ งไปไมถ งึ พระอาทติ ยส อ งแสงไมถ งึ พระจนั ทรก ส็ อ งแสง
ไมถ งึ [แต] ความมดื กไ็ มม ใี นนพิ พานนนั้ ”
๒. สภาวะพระนิพพาน เปนโลกุตตรธรรมท่ีบริสุทธิ์จากกิเลสและเคร่ือง
เศรา หมองทงั้ ปวง เปน อมตธรรม คอื ธรรมทไ่ี มต าย เปน ธรรมทมี่ สี าระ (สารํ นพิ พฺ านํ)
ในความเปน ของเทยี่ ง (นจิ จฺ )ํ เปน สขุ (สขุ ํ) และเปน ธรรมทมี่ ปี ระโยชนส งู สดุ ยง่ิ (ปรมตถฺ ํ)
ไมม คี วามเกดิ -แก- เจบ็ -ตาย อกี ตอ ไป ฯลฯ เปน ธรรมทมี่ สี ภาวะทต่ี รงกนั ขา มกบั เบญจขนั ธ
ซงึ่ เปน สงั ขารธรรมทมี่ ชี วี ติ มวี ญิ ญาณครอง (อปุ าทนิ นกสงั ขาร) ซงึ่ มสี ภาวะเปน ธรรมทไี่ ม
เทยี่ ง (อนจิ จฺ ํ) เปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ )ํ เปน ธรรมทอ่ี าพาธ (อาพาโธ) ทไี่ มย ง่ั ยนื (อทธฺ วุ ํ) เปน
อนตั ตา (อนตตฺ า) เปน ธรรมทไ่ี มม สี าระ (อสารโก) เปน ธรรมทม่ี คี วามเกดิ (ชาตธิ มโฺ ม) ท่ี
มคี วามแก (ชราธมโฺ ม) เปน ธรรมทมี่ คี วามเจบ็ ไข (พยฺ าธธิ มโฺ ม) เปน ธรรมทม่ี คี วามตาย
(มรณธมโฺ ม) เปน ตน
ตามทพี่ ระสารบี ตุ รมหาเถระ พระธรรมเสนาบดี ไดแ สดงวปิ ส สนาวธิ โี ดยการพจิ ารณา
ของผบู ำเพญ็ เพยี รภาวนา เหน็ สภาวธรรมทงั้ ๒ ฝา ย จงึ หยงั่ ลงสู
“สมั มตั ตนยิ าม” (แปลวา ความแนน อนดว ยสภาวะโดยชอบ หมายถงึ โลกตุ ตรมรรค
๙๖ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย อทุ าน ขอ ๕๐ หนา ๘๕ และ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั
เลม ท่ี ๓๓ ขทุ ทกนกิ าย อปทาน ขอ ๑๒๖ หนา ๒๐๒.
ตอนท่ี ๓ ขั้นบรรลมุ รรคผล 201
เมื่อวาโดยพิเศษ ไดแก โสดาปตติมรรค ซึ่งมีสภาวะแนนอนที่จะตรัสรูภายหนา)๙๗ คือ
หยง่ั ลงสคู วามเทยี่ งตอ การบรรลมุ รรค-ผล-นพิ พาน วา
“เมอ่ื ผบู ำเพญ็ เพยี รภาวนาพจิ ารณาเหน็ เบญจขนั ธ [อปุ าทนิ นกสงั ขาร]
โดยความเปน ธรรมชาตทิ ไี่ มเ ทยี่ ง ๑ เปน ทกุ ข ๑ เปน โรค ๑ เปน ดงั หวั ฝ ๑
เปน ดงั ลกู ศร ๑ เปนความลำบาก ๑ เปน อาพาธ ๑ เปน อยา งอนื่ ๑
เปน ของชำรดุ ๑ เปน เสนยี ด ๑ เปน อบุ าทว ๑ เปน ภยั ๑ เปน อปุ สรรค ๑
เปน ความหวน่ั ไหว ๑ เปน ของผพุ งั ๑ เปน ของไมย ง่ั ยนื ๑ เปน ของไมม ี
อะไรตานทาน ๑ เปนของไมมีอะไรปองกัน ๑ เปนของไมเปนที่พึ่ง ๑
เปน ของวา ง ๑ เปน ของเปลา ๑ เปน ของสญู ๑ เปน อนตั ตา ๑ เปน โทษ ๑
เปน ของมคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ๑ เปน ของหาสาระมไิ ด ๑ เปน มลู
แหง ความลำบาก ๑ เปน ดงั เพชฌฆาต ๑ เปน ความเสอื่ มไป ๑ เปน ของมี
อาสวะ ๑ เปน ของอนั ปจ จยั ปรงุ แตง ๑ เปน เหยอ่ื แหง มาร ๑ เปน ของมี
ความเกดิ เปน ธรรมดา ๑ เปน ของมคี วามแกเ ปน ธรรมดา ๑ เปน ของมี
ความปว ยไขเ ปน ธรรมดา ๑ เปน ของมคี วามตายเปน ธรรมดา ๑ เปน ของ
มคี วามเศรา โศกเปน ธรรมดา ๑ เปน ของมคี วามร่ำไรเปน ธรรมดา ๑ เปน
ของมีความคับแคนใจเปนธรรมดา ๑ เปนของมีความเศราหมองเปน
ธรรมดา ๑” (รวม ๔๐ ขอ )
เธอนนั้ ยอ มได “อนโุ ลมขนั ติ” (ในทนี่ ี้ หมายถงึ วปิ ส สนาญาณนน่ั แหละ ทค่ี ลอ ยตาม
โลกตุ ตรมรรค ไดแ ก โคตรภญู าณ)๙๘ คอื ยอ มได “วปิ ส สนาปญ ญา” วา สงั ขารทง้ั ปวงเปน
สภาพไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข และเปน อนตั ตา เปน ตน
เมอื่ ผบู ำเพญ็ เพยี รพจิ ารณาเหน็ ความดบั แหง เบญจขนั ธ เปน นพิ พาน (วสิ งั ขารธรรม)
ที่มีสภาวะท่ีตรงกันขามกับสภาวะของสังขารธรรมท้ังปวง (๔๐ ขอ) ดังกลาวขางตน
๙๗ คมั ภรี ส ทั ธมั มปกาสนิ ี อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค เลม ๒ หนา ๓๖๗ โรงพมิ พว ญิ ญาณ กรงุ เทพฯ พ.ศ.๒๕๓๔.
๙๘ คมั ภรี ส ทั ธมั มปกาสนิ ี อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค เลม ๒ หนา ๓๖๖-๓๖๗ โรงพมิ พ วญิ ญาณ กรงุ เทพฯ
พ.ศ.๒๕๓๔ และพระไตรปฎ กและอรรถกถาไทย ฉบบั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั เลม ที่ ๖๙ พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย
ปฏสิ มั ภทิ ามรรค เลม ท่ี ๗ ภาค ๒ หนา ๘๒๑-๘๒๒.
202 ตอนที่ ๓ ขั้นบรรลุมรรคผล
เธอนั้นยอมยางลงสู “สัมมัตตนิยาม” คือ หย่ังลงสูความเที่ยงตอการบรรลุมรรค ผล
นพิ พาน กลา วคอื หยง่ั ลงสขู ณะมรรคญาณ-ผลญาณ แลว เขา ผลสมาบตั ิ และพจิ ารณา
ปจ จเวกขณด งั ทก่ี ลา วแลว ขา งตน ดงั ตวั อยา ง พระบาลธี รรมภาษติ ๙๙ ทท่ี า นพระสารบี ตุ ร-
มหาเถระไดแ สดง “วปิ ส สนากถา” ไวม เี ปน ตน วา
“ปฺจกฺขนฺเธ อนิจฺจโต ปสฺสนฺโต อนุโลมิกํ ขนฺตึ ปฏิลภติ.
ปฺจนฺนํ ขนฺธานํ นิโรโธ นิจฺจํ นิพฺพานนฺติ ปสฺสนฺโต สมฺมตฺตนิยามํ
โอกกฺ มติ ...
ปจฺ กขฺ นเฺ ธ ทกุ ขฺ โต ปสสฺ นโฺ ต อนโุ ลมกิ ํ ขนตฺ ึ ปฏลิ ภต.ิ “ปจฺ นนฺ ํ
ขนธฺ านํ นโิ รโธ สขุ ํ นพิ พฺ านนตฺ ิ ปสสฺ นโฺ ต สมมฺ ตตฺ นยิ ามํ โอกกฺ มติ”
(รวม ๔๐ ขอ )
แปลความวา
“เมอ่ื ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ เบญจขนั ธโ ดยความเปน ของไมเ ทย่ี ง (อนจิ จฺ โต)
ยอ มไดอ นโุ ลมขนั ติ เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ วา ความดบั แหง เบญจขนั ธเ ปน นพิ พาน
เทย่ี ง (นจิ จฺ ํ นพิ พฺ าน)ํ ยอ มยา งลงสสู มั มตั ตนยิ าม ...
เมอ่ื ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ เบญจขนั ธโ ดยความเปน ทกุ ข (ทกุ ขฺ โต) ยอ มได
อนโุ ลมขนั ติ เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ วา ความดบั แหง เบญจขนั ธเ ปน นพิ พานเปน
สขุ (สขุ ํ นพิ พฺ าน)ํ ยอ มยา งลงสสู มั มตั ตนยิ าม” (รวม ๔๐ ขอ )
๓. ธรรมทที่ รงสภาวะนพิ พาน คอื นพิ พานธาตขุ องพระอรหนั ตส มั มาสมั พทุ ธเจา -
พระปจ เจกพทุ ธเจา -พระอรหนั ตส าวกของพระพทุ ธเจา ผบู รรลมุ รรค ผล นพิ พานแลว
ยงั ดำรงชวี ติ -ครองเบญจขนั ธอ ยู ชอ่ื วา “สอปุ าทเิ สสนพิ พานธาต”ุ ทดี่ บั ขนั ธปรนิ พิ พาน
คงอยแู ต “พระนพิ พานธาต”ุ ซง่ึ เปน “อมตธรรม” คอื ธรรมทไ่ี มต าย ชอ่ื วา “อนปุ าทเิ สส-
นพิ พานธาต”ุ ดงั พระพทุ ธดำรสั ทตี่ รสั วา
“เทวฺ มา ภกิ ขฺ เว นพิ พฺ านธาตโุ ย. กตมา เทวฺ . สอปุ าทเิ สสา จ
นพิ พฺ านธาตุ อนปุ าทเิ สสา จ นพิ พฺ านธาต.ุ ”๑๐๐
๙๙ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๓๑ ขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ขอ ๗๓๕ หนา ๖๒๙-๖๓๔.
๑๐๐ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๕ ขอ ๒๒๒ หนา ๒๕๘.
ตอนที่ ๓ ขัน้ บรรลุมรรคผล 203
แปลความวา
“ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นพิ พานธาตุ ๒ ประการน้ี ๒ ประการนเี้ ปน ไฉน
คอื สอปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุ ๑ อนปุ าทเิ สสนพิ พานธาตุ ๑”
และมอี รรถาธบิ ายวา
“ตเทว นสิ สฺ ตตฺ นชิ ชฺ วี ฏเ ฐน สภาวธารณฏเ ฐน จ ธาตตู ิ
นพิ พฺ านธาต”ุ
แปลความวา
“พระนพิ พาน นัน้ แล ชอ่ื วา ‘เปนธาตุ’ เพราะความหมายวา
ไมใ ชส ตั ว ไมใ ชช วี ะ และเพราะความหมายวา ธรรมทท่ี รงสภาวะของ
ตน [พระนพิ พาน] นนั้ ไว เพราะเหตนุ นั้ จงึ ชอื่ วา ‘พระนพิ พานธาต’ุ ”๑๐๑
พระนพิ พานธาตุ เปน ธรรมทไ่ี มป ระกอบดว ยปจ จยั ปรงุ แตง ชอ่ื วา เปน “อสงขฺ ตธาต”ุ
ทสี่ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดต รสั วา มอี สงั ขตลกั ษณะ ๓ ประการ๑๐๒ คอื (๑) น อปุ ปฺ าโท
ปญฺ ายติ ไมป รากฏความเกดิ (ใหมอ กี ) (๒) น วโย ปญฺ ายติ ไมป รากฏความเสอื่ มสลาย
และ (๓) น ฐติ สสฺ อญฺ ถตตฺ ํ ปญฺ ายติ เมอื่ ตง้ั อยู (ตง้ั แตเ มอื่ บรรลุ) กไ็ มป รากฏความ
แปรปรวน
และยงั ไดต รสั อกี วา ๑๐๓
“ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไมเกิดแลว ไมเปนแลว อันปจจัย
กระทำไมไ ดแ ลว ปรงุ แตง ไมไ ดแ ลว มอี ยู
ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถา ธรรมชาตอิ นั ไมเ กดิ แลว ไมเ ปน แลว อนั ปจ จยั
กระทำไมไ ดแ ลว ปรงุ แตง ไมไ ดแ ลว จกั ไมไ ดม แี ลว ไซร การสลดั ออก
ซง่ึ ธรรมชาตทิ เ่ี กดิ แลว เปน แลว อนั ปจ จยั กระทำแลว ปรงุ แตง แลว
จะไมพ งึ ปรากฏในโลกนเ้ี ลย
๑๐๑ ปรมตั ถทปี นี อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย อติ วิ ตุ ตกะ หนา ๑๘๘.
๑๐๒ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ที่ ๒๐ องั คตุ ตรนกิ าย ตกิ นบิ าต ขอ ๔๘๗ หนา ๑๙๒.
๑๐๓ พระไตรปฏ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย อทุ าน ขอ ๑๖๐ หนา ๒๐๗-๒๐๘.
204 ตอนท่ี ๓ ขั้นบรรลุมรรคผล
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กเ็ พราะธรรมชาตอิ นั ไมเ กดิ แลว ไมเ ปน แลว อนั
ปจ จยั กระทำไมไ ดแ ลว ปรงุ แตง ไมไ ดแ ลว มอี ยู ฉะนนั้ การสลดั ออก
ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแลว เปนแลว อันปจจัยกระทำแลว ปรุงแตงแลว
จงึ ปรากฏ”
อนงึ่ พระนพิ พานธาตุ คอื ธรรมธาตทุ ท่ี รงสภาวะพระนพิ พานนน้ั ไดแ ก มรรค ๔
ผล ๔ และพระนพิ พาน ๑ รวมเปน พระนพโลกตุ ตรธรรม ๙ ประการ เปน ตน นนั้ ชอ่ื วา
“ธรรมกาย” ทพ่ี ระพทุ ธองคต รสั วา เปน “เรา” คอื พระตถาคตองคจ รงิ หาใชเ บญจขนั ธ
ซง่ึ มลี กั ษณะ ๓ คอื เปน อนจิ จฺ -ํ ทกุ ขฺ -ํ อนตตฺ า ของเจา ชายสทิ ธตั ถะไม
ดังที่พระพุทธโฆษาจารยไดอรรถาธิบายวา ธรรมกาย คือ พระตถาคต และ
โลกตุ ตรธรรม ๙ อยา ง เปน พระวรกายของพระตถาคต มปี รากฏในคมั ภรี สารตั ถปั -
ปกาสนิ ี วา
“โย โข วกฺกลิ ธมฺมนฺติ อิธ ภควา ‘ธมฺมกาโย โข มหาราช
ตถาคโตติ วตุ ตฺ ํ ธมมฺ กายตํ ทสเฺ สต.ิ นววโิ ธ หิ โลกตุ ตฺ รธมโฺ ม ตถาคตสสฺ
กาโย นาม.”๑๐๔
แปลความวา
“ในคำวา ‘โย โข วกกฺ ลิ ธมมฺ ํ’ น้ี พงึ ทราบวา พระผมู พี ระภาคเจา
ทรงแสดงความท่ีพระองคเปนธรรมกาย ที่ตรัสไววา ‘ขอถวายพระ
พรมหาบพติ ร ธรรมกายแล คอื พระตถาคต’. ความจรงิ โลกตุ ตรธรรม
๙ อยา ง ชอื่ วา เปน พระวรกายของพระตถาคต”
คำวา “โลกตุ ตรธรรม ๙ อยา ง” ไดแ ก มรรค ๔ ผล ๔ พระนพิ พาน-
ธาตุ [อสงั ขตธาต]ุ ๑๑๐๕
“กตเม ธมมฺ า โลกตุ ตฺ รา. อปรยิ าปนนฺ า มคคฺ า จ มคคฺ ผลานิ จ
อสงขฺ ตา จ ธาตุ อเิ ม ธมมฺ า โลกตุ ตฺ รา.
๑๐๔ สารตั ถปกาสนิ ี อรรถกถาสงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค ภาค ๒ หนา ๓๔๒-๓๔๓.
๑๐๕ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๓๔ อภธิ รรมปฎ ก ธมั มสงั คณี ขอ ๗๐๖ หนา ๒๗๘.
ตอนท่ี ๓ ขัน้ บรรลมุ รรคผล 205
ธรรมเปน โลกตุ ตระ เปน ไฉน ? มรรคและผลของมรรคทเี่ ปน โลกตุ ตระ
และอสงั ขตธาต.ุ สภาวธรรมเหลา นช้ี อ่ื วา ธรรมเปน โลกตุ ตระ.”
เพราะเหตนุ นั้ พระธรรมกายทบ่ี รรลพุ ระอรหตั ตผลแลว นนั่ เอง เปน “พระนพิ พาน-
ธาตุ” คอื เปน ธรรมทท่ี รงสภาวะนพิ พาน และเปน พระตถาคต พระอรหนั ต องคจ รงิ
ผปู ฏบิ ตั ไิ ดถ งึ อายตนะคอื พระนพิ พานดงั นแ้ี ลว หากทา นจะใชพ ระหตั ถข องพระธรรมกาย
ของทา นสมั ผสั ดทู พ่ี ระนพิ พานธาตุ (ธรรมกายตรสั ร)ู ของพระพทุ ธเจา หรอื พระอรหนั ตส าวก
องคใด ก็จะสามารถทราบและรูสึกไดวา เปนธรรมท่ีละเอียดประณีต และสุขุมลุมลึก
อยา งยงิ่ และจะรสู กึ วา นเ้ี องทพี่ ระพทุ ธองคไ ดต รสั กบั พระปญ จวคั คยี ผเู ปน พระโสดาบนั
ผเู หน็ แจง แทงตลอดพระไตรลกั ษณแ ละตกกระแสพระนพิ พานดว ยกนั หมดทกุ องคแ ลว วา ๑๐๖
“รปู ํ ภกิ ขฺ เว อนตตฺ า. รปู จฺ หทิ ํ ภกิ ขฺ เว อตตฺ า อภวสิ สฺ , นยทิ ํ
รปู ํ อาพาธาย สวํ ตเฺ ตยยฺ . ลพเฺ ภถ จ รเู ป ‘เอวํ เม รปู ํ โหตุ เอวํ เม
รปู ํ มา อโหสตี .ิ ยสมฺ า จ โข ภกิ ขฺ เว รปู ํ อนตตฺ า. ตสมฺ า รปู ํ อาพาธาย
สวํ ตตฺ ติ ...
อมิ สมฺ ิ จฺ ปน เวยยฺ ากรณสมฺ ึ ภญฺ มาเน, ปจฺ วคคฺ ยิ านํ ภกิ ขฺ นู ํ
อนปุ าทาย อาสเวหิ จติ ตฺ านิ วมิ จุ จฺ สึ ตู .ิ ”
แปลความวา
“ภิกษุทั้งหลาย รูป [คือรางกายนี้] เปนอนัตตา [มิใชตน]. ภิกษุ
ทง้ั หลาย กร็ ปู นจี้ กั ไดเ ปน อตั ตา [ตน] แลว รปู นกี้ ไ็ มพ งึ เปน ไปเพอื่ อาพาธ
[ความลำบาก].
อนง่ึ สตั วพ งึ ไดใ นรปู ตามใจหวงั วา ‘รปู ของเรา จงเปน อยา งนเ้ี ถดิ
รปู ของเรา อยา ไดเ ปน อยา งนน้ั เลย.
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กเ็ พราะรปู เปน อนตั ตา ดงั นน้ั รปู จงึ เปน ไปเพอื่ อาพาธ...
กแ็ ลเมอ่ื ไวยากรณน ี้ อนั พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั อยู จติ ของพระภกิ ษุ
ปญ จวคั คยี พ น แลว จากอาสวะทงั้ หลาย ไมถ อื มนั่ ดว ยอปุ าทาน แล.”
๑๐๖ พระไตรปฎ กบาลี ฉบบั สยามรฐั เลม ท่ี ๔ วนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค ขอ ๒๐-๒๔ หนา ๒๔-๒๘