กระบวนการรบของพาลีและทรพี ในการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน พาลีรบทรพี FIGHT CHOREOGRAPHIC PROCESES OF PHALI AND THORAPHI CHARACTER IN THE KHON BASED ON THE RAMAKIAN EPIC: THE BATTLE OF PHALI AND THORAPHI EPISODE ชินกฤต ขัดจ าปา วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย บัณฑิตศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พ.ศ. 2566 ลิขสิทธิ์ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
กระบวนการรบของพาลีและทรพี ในการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน พาลีรบทรพี ชินกฤต ขัดจ าปา วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย บัณฑิตศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พ.ศ. 2566 ลิขสิทธิ์ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
FIGHT CHOREOGRAPHIC PROCESES OF PHALI AND THORAPHI CHARACTER IN THE KHON BASED ON THE RAMAKIAN EPIC: THE BATTLE OF PHALI AND THORAPHI EPISODE CHINNAKIT KATCHUMPA A THESIS SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF FINE ARTS PROGRAM IN THAI PERFORMING ARTS GRADUATE SCHOOL BUNDITPATANASILPA INSTITUTE OF FINE ARTS YEAR 2023 COPYRIGHT OF BUNDITPATANASILPA INSTITUTE OF FINE ARTS
(ค) ชื่อวิทยานิพนธ์ กระบวนการรบของพาลีและทรพีในการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน พาลีรบทรพี 4006601019 นายชินกฤต ขัดจำปา ปริญญา ศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชา นาฏศิลป์ไทย พ.ศ. 2566 อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก อาจารย์ ดร. นิวัฒน์ สุขประเสริฐ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์ ดร. ชนัย วรรณะลี บทคัดย่อ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคติธรรมวรรณกรรมรามเกียรติ์ที่ใช้ในการ แสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน พาลีรบทรพี2) กระบวนการรบ พาลีกับ ทรพี 3) วิเคราะห์โครงสร้าง กระบวนท่ารบ พาลี กับ ทรพี ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษา และรวบรวมข้อมูล จากเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง สังเกตกระบวนท่ารบของพาลีและทรพีในการแสดงโขน และรับการถ่ายทอดท่ารำจากครูประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว (ศิลปินแห่งชาติ) ผลการวิจัยพบว่า 1) คติธรรมในบทวรรณกรรมรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 1 เป็นบทที่แฝงไปด้วย คติธรรมคำสอน แฝงไปด้วยแง่คิดให้เห็นถึงไหวพริบปฏิภาณ การมีสติ หากผู้ใดทะนงตน ไม่รู้จัก บุญคุณ คิดคดอกตัญญู ขาดการยั้งคิดจะนำพาชีวิตมาสู่หายนะถือเป็นการแสดงที่ทรงคุณค่าและมี กระบวนการรบที่งดงาม 2) กระบวนการรบของพาลีและทรพี ในการแสดงโขนมี 2 ลักษณะ คือ (1) กระบวนท่ารบในเพลงหน้าพาทย์ (2) กระบวนท่ารบในเพลงร้อง และบทเจรจา ซึ่งประกอบด้วย โครงสร้างการรบ ดังนี้ 1) การหลอกล่อ (2) การท้ารบ (3) การเข้ารบ (4) การจาก และ 3) โครงสร้าง กระบวนท่ารบ ประกอบด้วย (1) ท่าจับเขา (2) ท่าตะปบข้าง (3) ท่าตะปบหลัง โครงสร้างกระบวนท่ารบ ที่ปรากฎเป็นการนำรูปแบบการรบที่เกิดขึ้นก่อนมาเป็นแบบแผนในการคิดประดิษฐ์ท่ารบขึ้น และรังสรรค์ท่าเฉพาะให้เหมาะสมกับตัวละครโดยคำนึกถึงบทการแสดงเป็นหลัก ค าส าคัญ: รามเกียรติ์, การแสดงโขน, กระบวนการรบ, พาลี, ทรพี 284 หน้า
(ง) Thesis Title Fight Choreographic Process of Phali and Thoraphi Character in the khon based on the Ramakian Epic: The Battle of Phali and Thoraphi Episode 4006601019 Chinnakit Katchumpa Degree Master of Fine Arts Program in Thai Performing Arts Year 2023 Advisor Dr. Niwat Sukprasirt Co-advisor Dr. Chanai Vannalee ABSTRACT The objectives of this thesis were 1) to study the moral value from the Ramakien literature used in the khon in the Battle between Phali and Thoraphi Episode, 2) to study the choreographic fighting process between Phaili and Thoraphi khon characters, and 3) to analyze the structure of Phali and Thoraphi’s fight scenes. This thesis is qualitative research done by studying and collecting data from relevant academic documents, observing the fight choreography of Phali and Thoraphi in the khon as well as participant observation by learning the dance from Khru Prasit Pinkaew (National Artist of Thailand). The research showed that 1) moral value from the Ramakian literature written by King Rama I implied tacit moral teachings and perspectives about wit and mindfulness. One who is arrogant, ungrateful, traitorous, or unwise will ruin one’s own life; this performance was full of merit and grateful fight. 2) There are two structural dance characteristics found in the fight choreography: (1) fight choreography for the naphat piece and (2) fight choreography for the vocal music and khon narration with the structure of the fight as follows: (1) lure, (2) taunt, (3) encounter, and (4) leaving. 3) The dance postures of the fight scene consisted of (1) horn grabbing, (2) side pouncing, and (3) back pouncing. These dance postures were created from ancient fighting postures and designed to suit the characters by considering their performing roles. Keywords: Ramakian, the khon, choreographic fighting processes, Phali, Thoraphi 284 pages
(จ) กิตติกรรมประกาศ วิทยานิพนธ์เรื่อง แนวคิดการประดิษฐ์ท่ารำเพลงหน้าพาทย์เสมอของตัวลิง สำเร็จลุล่วงไป ได้ด้วยดี อันเนื่องมาจากได้รับความเมตตา ความอนุเคราะห์อย่างสูงจากผู้เชี่ยวชาญทางนาฏศิลป์ไทย และคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิโดยเฉพาะนายประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง นาฏศิลป์ไทย (โขนลิง) ที่ท่านกรุณาเสียสละเวลาให้ความรู้ด้านประวัติความเป็นมา ตลอดจนถ่ายทอด กระบวนท่ารำพาลีรบทรพีให้ผู้วิจัย ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ในการนี้ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์ ดร.นิวัฒน์สุขประเสริฐ อาจารย์ที่ปรึกษาหลักวิทยานิพนธ์และ อาจารย์ ดร.ชนัย วรรณะลีอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมวิทยานิพนธ์ผู้ให้คำเสนอแนะ และปรึกษาตรวจทาน แก้ไข อันเป็นประโยชน์ส่งผลให้วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีความสมบูรณ์และสำเสร็จด้วยดีทั้งนี้รวมถึง รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ดร.ไพโรจน์ทองคำสุก และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.จุลชาติ อรัณยะนาค คณะกรรมการทุกท่านที่ได้ให้ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ต่อการทำวิทยานิพนธ์เล่มนี้ กราบขอบพระคุณ คุณครูประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว ศิลปินแห่งชาติ2551 คุณครูวิโรจน์อยู่สวัสดิ์ และคุณครูพงษ์พิศ จารุจินดา ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนท่ารบของพาลีและทรพีตลอดจน องค์ประกอบในการแสดง กราบขอบพระคุณ คุณครูประสาท ทองอร่าม และ คุณครูธีรภัทร์ ทองนิ่ม ที่กรุณาให้ข้อมูล ในด้านบทที่ใช้ในการแสดงและความเป็นมา สุดท้ายนี้ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณบิดามารดาอันเป็นที่เคารพรัก ที่ได้อบรมเลี้ยงดู ให้ข้าพเจ้าได้มีวันนี้ตลอดทั้งคณาจารย์ที่ได้อบรมสั่งสอน และให้กำลังใจในการศึกษามาโดยตลอด คุณค่าและประโยชน์ที่เกิดจากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ผู้วิจัยขอมอบความดีไว้แด่คุณบิดามารดา คณาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ไทย และดุริยางคศิลป์ไทย ทุกท่าน ที่ได้อนุรักษ์สร้างสรรค์และสืบทอด กระบวนท่ารบ ของพาลีและทรพี อันทรงคุณค่าแก่การรักษาไว้เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ หากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีข้อผิดพลาดประการใดผู้วิจัยขอน้อมรับด้วยความยินดีและขออภัยมา ณ โอกาสนี้ ชินกฤต ขัดจำปา
(ฉ) สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย (ค) บทคัดย่อภาษาอังกฤษ (ง) กิตติกรรมประกาศ (จ) สารบัญ (ฉ) สารบัญภาพ (ซ) สารบัญตาราง (ฎ) บทที่ 1 บทนำ 1 1. ที่มาและความสำคัญของปัญหา 1 2. วัตถุประสงค์ของงานวิจัย 3 3. ขอบเขตในการวิจัย 4 4. วิธีการดำเนินการวิจัย 4 5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 6 6. นิยามศัพท์เฉพาะ 6 บทที่2 วรรณกรรมและการต่อสู้ของพาลีและทรพีที่ปรากฏในรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่1 7 1. วรรณกรรมรามเกียรติ์สู่การแสดงโขน 7 2. บทวรรณกรรมรามเกียรติ์ ฉบับรัชกาลที่ 1 ตอนพาลีรบทรพี นำไปสู่บทที่ใช้สำหรับ การแสดงโขน 15 3. ประวัติและบทบาทของพาลีกับทรพี 30 3.1 ประวัติและบทบาทของพาลี 31 3.2 ประวัติและบทบาทของทรพี 53 4. การเลียนแบบท่าทางในการแสดงโขนของพาลีและทรพี 68 5. องค์ประกอบการแสดง 75
(ช) สารบัญ (ต่อ) หน้า 5.1 ผู้แสดง พาลี และ ทรพี 75 5.2 เครื่องแต่งกายของตัวละคร 76 5.3 พื้นที่แสดงบนเวที 80 5.4 บทที่ใช้ในการศึกษา 85 5.5 เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง 87 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 90 บทที่ 3 ศึกษากระบวนท่ารบของพาลี กับ ทรพี 91 1. กระบวนการรบ ของพาลี และ ทรพีในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอน พาลีรบทรพี 91 2. กระบวนท่ารบของพาลี และ ทรพีในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอน พาลีรบทรพี .98 บทที่ 4 วิเคราะห์โครงสร้างกระบวนท่ารบของพาลีและทรพี 212 1. โครงสร้างท่ารบของพาลี และ ทรพี 212 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 229 1. สรุปผลการวิจัย 229 2. อภิปรายผล 238 3. ข้อเสนอแนะ 239 3.1 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 239 3.2 ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป 239 บรรณานุกรม 240 บุคลานุกรม 243 ภาคผนวก 244 ภาคผนวก ก ประวัติผู้ถ่ายทอดท่ารบ พาลีรบทรพีประวัติผู้แต่งบทโขน ตอนพาลีสอนน้อง 245 ภาคผนวก ข ภาพกิจกรรมการดำเนินงานวิจัยและการถ่ายทอดท่ารำ 273 ประวัติผู้วิจัย 284
(ซ) สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 พาลี 31 2 แผนภูมิชาติกำเนิดพาลี 32 3 ทรพี 53 4 แผนภูมิชาติกำเนิดทรพี 54 5 ลิงแสม 70 6 ศีรษะหนุมาน 70 7 ควายปลัก 71 8 ควายแม่น้ำ 72 9 ประเพณีชนควาย 73 10 ทรพีรบทรพา 73 11 ควายบ้าน 74 12 ศีรษะทรพี 74 13 จิตรกรรมฝาผนังพาลีรบทรพี 74 14 เครื่องแต่งกายพาลี (หน้า) 77 15 เครื่องแต่งกายพาลี (หลัง) 77 16 แต่งกายทรพี แบบที่ 1 78 17 เครื่องแต่งกายทรพี (หน้า) 79 18 เครื่องแต่งกายทรพี (หลัง) 79 19 วงปี่พาทย์เครื่องห้า 88 20 วงปี่พาทย์เครื่องคู่ 89 21 วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ 89 22 ลิงจับยัง 220
(ฌ) สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 23 พาลีจับทรพี 220 24 ท่ายืนทางลิง 220 25 ท่าจับพาลีตะปบข้าง 220 26 ทรพีรบทรพา 221 27 ท่าจับตะปบหลัง 221 28 คุณครูประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว 246 29 คุณครูประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว ณ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 249 30 การแสดงหนุมานจับนาง โดยคุณครูประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว 250 31 คุณครูประสิทธิ์ปิ่นแก้ว รับบทบาทหนุมาน 250 32 ผลงานด้านการแสดงระบำเบ็ดเตล็ด “รำกลองยาว” 251 33 รับบท หนุมาน ในการแสดงโขนรามเกียรติ์ ตอน ยกรบ 253 34 ฝึกซ้อมการแสดงโขน 253 35 รับพระราชทานปริญญาบัตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง 254 36 คุณครูเสรี หวังในธรรม 257 37 การถ่ายทอดท่ารำ จากคุณครูประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว 274 38 การถ่ายทอดท่ารำ จากคุณครูประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว 274 39 ปกสูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 275 40 ปกรองสูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 275 41 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 276 42 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 276 43 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 277 44 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 277 45 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 278
(ญ) สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 46 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 278 47 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 279 48 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 279 49 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 280 50 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 280 51 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 281 52 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 281 53 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 282 54 สูจิบัตรการแสดงโขนพาลีสอนน้อง ปี 2517 282
(ฎ) สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 การสู้รบที่ปรากฏในวรรณกรรมรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 14 2 จากบทวรรณกรรมรามเกียรติ์ร.1 กับ บทที่ใช้สำหรับการแสดง 24 3 แผนผังการใช้เวทีในการแสดงโขนตอนพาลีรบทรพี 81 4 รูปแบบกระบวนการรบในเพลงหน้าพาทย์เพลงเชิดในการแสดงโขน 93 5 ขั้นตอนในการปฏิบัติกระบวนการรบในเพลงหน้าพาทย์เพลงเชิดในการแสดงโขน 93 6 กระบวนการรบของพาลีและ ทรพี 94 7 กระบวนการรบในเพลงเขมรปากท่อชั้นเดียวในการแสดงโขนพาลีรบทรพี 96 8 กระบวนการรบในบทพากย์เจรจาในการแสดงโขนตอนพาลีรบทรพี 97 9 กระบวนการรบในเพลงร่ายในการแสดงโขนตอนพาลีรบทรพี 97 10 กระบวนท่ารำของพาลี และ ทรพีในเพลงเชิด 99 11 กระบวนท่ารำในบทพากย์เจรจา ของพาลีและทรพี 102 12 กระบวนท่ารำของพาลี และ ทรพี ในเพลงเชิด 142 13 กระบวนท่ารบในเพลงเชิดระหว่างพาลี และ ทรพี 148 14 กระบวนท่ารำและกระบวนท่ารบในเพลงเขมรปากท่อชั้นเดียว ระหว่างพาลีกับทรพี 176 15 กระบวนท่ารำในเพลงร่ายระหว่างพาลีกับทรพี 186 16 กระบวนท่ารำในบทพากย์เจรจา ระหว่างพาลีกับทรพี 191 17 กระบวนท่ารบในเพลงร่าย ระหว่างพาลีกับทรพี 205 18 กระบวนท่ารบในเพลงรัวและโอด ระหว่างพาลี กับทรพี 207 19 ท่ารำหลักท่าท้ารบของพาลีรบทรพีในเพลงหน้าพาทย์เพลงเชิด 213 20 ท่ารำหลักท่าจับของพาลีและทรพีในเพลงหน้าพาทย์เพลงเชิด 215 21 การเข้าท่า 1 - 3 จับของพาลีรบทรพี ที่สอดคล้องกับการรบตัวอื่นในการแสดงโขน 217 22 ท่าเฉพาะปรากฏของพาลีและทรพีในเพลงหน้าพาทย์เพลงเชิด 222
(ฏ) สารบัญตาราง (ต่อ) หน้า 23 โครงสร้างกระบวนท่ารบที่ปรากฏในการรบในบทร้องเพลงเขมรปากท่อชั้นเดียว 223 24 โครงสร้างกระบวนท่ารบในบทพากย์เจรจา 224 25 โครงสร้างกระบวนท่ารบในเพลงร้องร่าย 225 26 โครงสร้างกระบวนท่ารบในเพลงหน้าพาทย์เพลงโอด 227
บทที่ 1 บทนำ 1. ที่มาและความสำคัญของปัญหา โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น มีระเบียบแบบแผน เป็นศิลปะและมหรสพ ประจำชาติ ซึ่งบรรพชนไทยได้สร้างสรรค์หล่อหลอมและสืบทอดมาถึงปัจจุบัน องค์ประกอบต่าง ๆ นับตั้งแต่การเริ่มฝึกหัดจนถึงการแสดง ล้วนเกี่ยวเนื่องด้วยขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วิถีกรรม อันละเอียดอ่อนลึกซึ้ง และศักดิ์สิทธิ์ โขนเป็นมหรสพหลวงที่แสดงในพระราชพิธีสำคัญมาตั้งแต่สมัย กรุงศรีอยุธยา ถือเป็นเครื่องประกอบราชอิสริยยศอย่างหนึ่งของพระมหากษัตริย์ และปัจจัยสำคัญที่ ทำให้นาฏศิลป์ชั้นสูงแขนงนี้รุ่งเรือง ยั่งยืนเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติมาถึงปัจจุบัน (กรมศิลปากร,2553, น. 8) จากที่ธนิต อยู่โพธิ์ (2511, น. 22) ได้กล่าวไว้ว่า การแสดงโขนนั้นได้วิธีการแต่งกายมาจากการเล่น ชักนาคดึกดำบรรพ์ ได้ศิลปะของการเล่นหนัง เช่น คำพากย์ คำเจรจา หน้าพาทย์ และเพลงดนตรี ตลอดจนท่าเต้นของผู้เชิดหนัง มาจากการเล่นหนังใหญ่ ได้นำท่าทางการต่อสู้ มาจากกระบี่กระบอง จากที่กล่าวมาจึงทำให้เกิดเป็นการแสดงโขน โขนในจารึกของไทยสมัยโบราณเรื่องที่ใช้สำหรับการเล่นโขนนั้น คือ เรื่องรามเกียรติ์ มีที่มาจากรามยาณะ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทำสงครามระหว่างกองทัพพระรามกับกองทัพทศกัณฐ์ เพื่อแย่งชิงนางสีดา ในวรรณกรรมรามเกียรติ์จะพบว่ามีการทำสงคราม การต่อสู้ระหว่างตัวละคร หลากหลายตัวละครหลากหลายสถานะภาพ ไม่ว่าจะเป็น เทพเทวดา อมนุษย์และสัตว์ล้วนเกิด สงครามการสู้รบกัน และในแต่ละครั้งจะมีสาเหตุการต่อสู้หลายสาเหตุนำไปสู่การสู้รบ การสู้รบ ที่ปรากฏในวรรณกรรมรามเกียรติ์ ล้วนมีธรรมเนียมในการต่อสู้ไม่ว่าจะการส่งสารถ้ารบ การวางแผน กลวิธีในการทำสงคราม การจัดเตรียมกองทัพที่ไปทำสงครามตามความเหมาะสมและส่งผลแพ้ชนะ รวมไปถึงสะท้อนคุณค่าผ่านสงครามและดำเนินเรื่องราวเพื่อนำไปสู่การเชิดชูพระราม ผู้เป็นฝ่าย ธรรมะ ย่อมชนะ ทศกัณฐ์ผู้เป็นฝ่ายอธรรม สิ่งที่ปรากฏในวรรณกรรมจะสอดคล้องกับสภาพสังคม ในสมัยนั้น เป็นเหตุทำให้มีผลต่อการแสดงโขนให้มีแบบแผนและปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และในแต่ละตอนที่มีการรบนั้นล้วนมีรูปแบบกระบวนการรบ และกระบวนท่ารำการรบที่แตกต่างกัน
2 ออกไปตามสถานะภาพตัวละคร เช่น การต่อสู้ระหว่าง มนุษย์กับยักษ์เช่น พระรามรบทศกัณฐ์ เป็นรูปแบบการต่อสู้ มนุษย์กับอมนุษย์มนุษย์กับกา เช่น พระราม พระลักษณ์ รบ กา เป็นรูปแบบ การต่อสู้มนุษย์กับสัตว์ยักษ์กับลิง เช่น พาลี กับ ทศกัณฐ์เป็นรูปแบบการต่อสู้ อมนุษย์กับสัตว์และ การต่อสู้ระหว่างลิงกับควาย เช่น พาลีรบทรพี เป็นรูปแบบการต่อสู้ สัตว์กับสัตว์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละตัว ละครล้วนมีขั้นตอนในการแสดงเรียกว่า การรบ การรบ เป็นกระบวนขั้นตอนของการต่อสู้ที่งดงามที่ประกอบไปด้วย กระบวนการรบ และ กระบวนท่ารบ ซึ่งผันเปลี่ยนไปตามท่วงทำนองตนตรีที่งดงามตรึงตราตรึงใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น กล่าวได้ ว่าชั้นเชิงรูปแบบเช่นนี้ ไม่ปรากฏอยู่ในนาฏศิลป์แขนงอื่นมากนัก ในขณะเดียวกันขนบธรรมเนียม ในเรื่องของศักดินาก็ปรากฏอยู่เช่นกัน อาทิ ฐานะที่แตกต่างกันของตัวโขน เช่น ตัวกษัตริย์จะไม่รบ กับตัวเสนา จะลดฐานะลงมารบได้กับพญาวานร พระรามจะรบกับยักษ์ที่เป็นกษัตริย์ด้วยกัน ฝ่ายทศกัณฐ์ก็จะรบกับพระราม พระลักษณ์ ไม่รบกับสิบแปดมงกุฎจะลดศักดิ์ลงมารบ ได้กับพญา วานรเท่านั้น ถือเป็นธรรมเนียมประเพณีและปฏิบัติสืบต่อกันมา ที่กล่าวมาทั้งสิ้นนี้ มุ่งให้เห็นว่า ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปรากฏอยู่ในการแสดงโขนโดยเฉพาะการรบนั้น เป็นสิ่งที่จำลองมาจาก ความเป็นจริงในอดีตทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ที่ได้สอดแทรกความคิด อันเป็นหลักของวัฒนธรรมแขนงต่าง ๆ ไว้ในการแสดงโขน การแสดงโขนในปัจจุบันได้รับความนิยมผู้คนเริ่มให้ความสนใจและหันมาดูโขนกันมากขึ้นแต่ สิ่งที่ยังคงตรึงตราตรึงใจอยู่ คือในช่วงปี พ.ศ. 2517 กรมศิลปากรได้จัดการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุด พาลีสอนน้อง ขึ้นและถูกกล่าวขานว่าเป็นโขนเงินล้าน เป็นโขนตอนเดียวที่กรมศิลปากรจัด การแสดงและประสบความสำเร็จอย่างมาก ด้วยสามารถขายบัตรเข้าชมได้เงินเกินหนึ่งล้านบาท โดย นายเสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2531 เป็นผู้ทำบทที่ใช้ สำหรับการแสดงโขน โดยดำเนินเรื่องตามบทพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 1 บรรจุเพลง โดย นายมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2528 การแสดงโขน ชุด พาลีสอนน้อง ของนายเสรี หวังในธรรม ซึ่งเรื่องราวเป็นเรื่องราวของพาลีตั้งแต่พาลีเสียสัตย์จนถึงพาลีตาย ซึ่งหนึ่ง ในตอนที่มีความสำคัญที่เป็นฉนวนนำไปสู่จุดจบของพาลีนั้นอยู่ในองก์ที่ 3 พาลีสอนน้อง ตอนที่ 2 สุครีพต้องโทษ เป็นเรื่องราวของพาลีที่ยกพลลิงออกรบกับทรพีพาลีออกอุบายให้ทรพีไปรบในถ้ำและ ได้เกิดความเข้าใจผิดในเวลาต่อมาจนนำมาสู่จุดจบของพาลีในการแสดงตอนนี้นั้นมีกระบวนการรบ และกระบวนท่ารบที่ถูกรังสรรค์ขึ้นใหม่ คือ พาลีรบทรพีซึ่งในการแสดงตอนนี้นั้นเป็นกระบวนการรบ
3 และกระบวนท่ารบที่มีความเฉพาะเจาะจง ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อสองตัวละครนี้เท่านั้น ทั้งในการแสดง โขนทั้งสองตัวละคร นับว่ามีจุดเด่นในเรื่องบุคลิกของตัวละครและสถานะภาพของตัวละคร ได้อย่าง ชัดเจนด้วย พาลีเป็นลิง และทรพีเป็นควาย ทั้งสองตัวละครนั้นล้วนเป็นสัตว์ ในการแสดงกระบวนท่า รบจะเป็นท่ารบที่มีความคล้ายคลึงกับความเป็นจริงผสมจินตนาการ และ การใช้ภาษาท่าและกิริยา ผ่านท่ารำ เพื่อสื่อความหมายในการแสดงระหว่างผู้แสดงสู่ผู้ชมโดย ท่ารำที่ใช้นั้นได้เลียนแบบมาจาก ธรรมชาติและคิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยนำท่ามาจากนาฏยศัพท์และพื้นฐานของท่ารำมาจากนาฏศิลป์ โดยท่ารำตัวลิง จะเป็นลิงแสม ส่วนท่ารำทรพีนั้นสันนิษฐานว่าเป็นควายปลัก ในการรบของพาลีและ ทรพีนั้น ถือเป็นกระบวนท่ารบที่มีแบบแผน ผู้ประดิษฐ์ท่ารำ คือ นายกรี วรศะริน ศิลปินแห่งชาติสาขา ศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2531 จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ท่ารบพาลีและทรพี ผ่านเวลามานานมากกว่า 40 ปี และไม่ถูกนำมาแสดงบ่อยมากนัก แต่ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตร ในระดับปริญญาตรี สาขา ศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ในปัจจุบันผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดท่ารำคือ นายประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2551 ซึ่ง ถือเป็นผู้เชียวชาญในการแสดงโขนตัวลิง เป็นอย่างมาก จากข้อความที่กล่าวมาทั้งหมด จึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้วิจัยเกิดความสนใจที่จะศึกษา ถึงบทบาท ของพาลีและทรพี รวมไปถึง กระบวนการรบ และกระบวนท่ารบ ในการแสดงโขน ของพาลีและทรพี ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพาลีสอนน้อง ว่ามีโครงสร้างกระบวนการรบเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาตามแนวทาง นายกรี วรศะริน ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2531 โดยศึกษาผ่านทาง นายประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2551 ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการศึกษารวบรวม องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรบและท่ารบระหว่าง พาลีและทรพี ไว้เป็นหลักฐานทางวิชาการในศาสตร์วิชานาฏศิลป์โขน เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนการ สอน และการแสดงไว้สำหรับนักเรียน นักศึกษา ตลอดจนผู้สนใจในศาสตร์นาฏศิลป์โขนจะได้ ทำการค้นคว้า และศึกษาสืบต่อไป 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อศึกษาวรรณกรรมรามเกียรติ์ที่ใช้ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอน พาลีรบทรพี 2.2 เพื่อศึกษากระบวนการรบ พาลี กับ ทรพี 2.3 เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างกระบวนท่ารบ พาลี กับ ทรพี
4 3. ขอบเขตในการวิจัย ศึกษากระบวนท่ารบ ตัวพาลีและ ทรพีตามแนวทางนายกรี วรศะริน ศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช 2531 โดยศึกษาผ่านทางนายประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2551 โดยศึกษาบทที่ใช้ในการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด พาลีสอนน้อง เมื่อปี 2517 ที่จัดทำโดยนายเสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2531 ผู้วิจัยได้ ศึกษา ตอนพาลีรบทรพีเท่านั้น 4. วิธีการดำเนินการวิจัย ขั้นตอนการวิจัยดำเนินตามลำดับ ดังนี้ 4.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา หนังสือ และงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรบระหว่างพาลี กับ ทรพีเพื่อรวบรวมข้อมูลนำมาวิเคราะห์ในเชิงพรรณนา แหล่งศึกษาค้นคว้า คือ 4.1.1 หอสมุดแห่งชาติ 4.1.2 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ 4.1.3 ห้องสมุดวิทยาลัยนาฏศิลป 4.1.4 ห้องสมุดวิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี 4.1.5 ห้องสมุดวิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง 4.1.6 ห้องสมุดคณะศิลปกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4.1.7 ศูนย์รักษ์ศิลป์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์กระทรวงวัฒนธรรม 4.1.8 หอสมุดปรีดีพนมยงค์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ 4.1.9 กลุ่มวิจัยและพัฒนาการสังคีต สำนักการสังคีต กรมศิลปากร 4.1.10 ห้องสมุดคณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 4.2 จากการสัมภาษณ์เครื่องมือที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ใช้แบบสัมภาษณ์แบบไม่มี โครงสร้าง แต่มีประเด็นคำถาม และเนื้อหาเกี่ยวข้อง จากผู้เชี่ยวชาญทางวิชาการนาฏศิลป์ไทยและ ดนตรีไทยที่มีประสบการณ์ในด้านดังกล่าว ไม่น้อยกว่า 20 ปี ดังนี้ 4.2.1 เป็นผู้มีความรู้ทางด้านวรรณกรรมรามเกียรติ์ โดยมีประสบการสอนไม่น้อย กว่า 20 ปีประเด็น คำถาม ขั้นตอนการทำบทวรรณกรรมสู่การแสดง จากเกณฑ์ที่กำหนดนำไป พิจารณาบุคคลได้ดังนี้คือ
5 - นายประสาท ทองอร่าม ผู้ชำนาญการนาฏศิลป์ไทย สำนักการสังคีต กรมศิลปากร - ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีรภัทร์ ทองนิ่ม อาจารย์ประจำหลักสูตรนาฏศิลป์ไทย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์กระทรวงวัฒนธรรม 4.2.2 เป็นผู้มีความรู้ทางด้านการสอนและการแสดงโขนตอน พาลี รบ ทรพี ไม่น้อย กว่า 20 ปีประเด็นคำถามเกี่ยวกับกระบวนการรบรวมไปถึงกระบวนท่ารบของพาลี และ ทรพีจาก เกณฑ์ที่กำหนดนำไปพิจารณาบุคคลได้ดังนี้คือ - นายวิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์โขนลิง สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ - นายพงษ์พิศ จารุจินดา ผู้ชำนาญการนาฏศิลป์ไทย สำนักการสังคีต กรมศิลปากร 4.2.3 เป็นผู้มีความรู้ในด้านดนตรี และมีประสบการในการสอนและการแสดง ไม่น้อยกว่า 20 ปีประเด็นคำถามเกี่ยวกับความหมายของเพลงที่ใช้และการบรรจุเพลง จากเกณฑ์ที่ กำหนดนำไปพิจารณาบุคคลได้ดังนี้คือ - นายณรงฤทธิ์ คงปิ่น รองผู้อำนวยการ วิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี สถาบันบัณฑิต พัฒนศิลป์กระทรวงวัฒนธรรม 4.2.4 เป็นผู้มีความรู้ในด้านการขับร้องเพลงไทยในการสอนและการแสดง ไม่น้อย กว่า 20 ปีประเด็นคำถามเกี่ยวกับความหมายของเพลงที่ใช้สำหรับการร้องจากเกณฑ์ที่กำหนดนำไป พิจารณาบุคคลได้ดังนี้คือ - นายสุระชัย สีบุบผา รองผู้อำนวยการ วิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี สถาบันบัณฑิต พัฒนศิลป์กระทรวงวัฒนธรรม 4.3 ลงภาคสนามฝึกปฏิบัติกระบวนการรบตัวพาลีและทรพีจากนายประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2551 4.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4.4.1 แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ พาลี กับ ทรพี กระบวนการรบและกระบวนท่ารบพาลีและทรพี 4.4.2 การเก็บบันทึกข้อมูล ผู้วิจัยทำการบันทึกข้อมูล และการบันทึกเสียง โดย เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายภาพ และกล้องวิดีโอ
6 4.5 การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการวิเคราะห์เชิงพรรณนา โดยประมวลข้อมูลจากเอกสาร ตำรา หนังสือ งานวิจัย การสัมภาษณ์และจากการฝึกปฏิบัติท่ารำ นำมาสรุปเป็นเอกสารทางวิชาการ 5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5.1 ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และบทบาทของพาลีกับ ทรพีในวรรณกรรม เรื่องรามเกียรติ์เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้สนใจศึกษาและเป็นพื้นฐานให้ผู้แสดงได้เข้าใจในลักษณะบุคลิก ของตัวละครได้เป็นอย่างดี 5.2 ได้ทราบโครงกระบวนการสร้างท่ารบ กระบวนการรบ และกระบวนท่ารบ ที่ใช้ในการ แสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอน พาลีรบทรพี เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการจัดการเรียนการสอนและการ แสดงตลอดจนใช้ในเป็นแนวทางในการประดิษฐ์การแสดงในตอนอื่น ๆ สืบไป 6. นิยามศัพท์เฉพาะ ตอนพาลีรบทรพี หมายถึง ส่วนหนึ่งในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดพาลีสอนน้อง ปี พ.ศ. 2517 จัดทำบทที่ใช้ในการแสดงโขน โดย นายเสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติสาขา ศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2531 ซึ่งอยู่ในองค์ที่ 3 พาลีสอนน้อง ตอนที่ 2 สุครีพต้องโทษ กระบวนการรบ หมายถึง ลำดับการรบของพาลีและทรพีที่ดำเนินต่อเนื่องกันไปจนสำเร็จ และเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ ไปสู่ผลอีกอย่างหนึ่ง กระบวนท่ารบ หมายถึง การปฏิบัติท่ารบของ พาลีและทรพี ในเพลงหน้าพาทย์ และเพลง ร้องและการพากย์เจรจา ที่กำหนดไว้ในตอนพาลีรบทรพี
บทที่ 2 วรรณกรรมรามเกียรติ์ที่ใช้ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนพาลีรบทรพี วรรณกรรมรามเกียรติ์ที่ใช้ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนพาลีรบทรพีผู้วิจัยได้ศึกษา รวบรวมข้อมูลโดยเรียบเรียงเนื้อหาตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 1. วรรณกรรมรามเกียรติ์สู่การแสดงโขน 2. วรรณกรรมรามเกียรติ์ ฉบับรัชกาลที่ 1 ตอนพาลีรบทรพี นำไปสู่บทที่ใช้สำหรับ การแสดงโขน 3. ประวัติและบทบาทของพาลีกับทรพี 3.1 ประวัติและบทบาทของพาลี 3.2 ประวัติและบทบาทของทรพี 4. การเลียนแบบท่าทางในการแสดงโขนของพาลีและทรพี 5. องค์ประกอบการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนพาลีรบทรพี 5.1 ผู้แสดง พาลี และ ทรพี 5.2 เครื่องแต่งกายของตัวละคร 5.3 พื้นที่แสดงบนเวที 5.4 บทที่ใช้ในการศึกษา 5.5 เครื่องดนตรีที่และเพลงที่ใช้บรรเลงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. วรรณกรรมรามเกียรติ์สู่การแสดงโขน วรรณกรรมรามเกียรติ์ เป็นวรรณคดีที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมาช้านาน ต้นเค้าของ เรื่องรามเกียรติ์น่าจะมาจากเรื่องรามายณะ ของอินเดีย ซึ่งเป็นนิทานที่แพร่หลายอยู่ทั่วไปในภูมิภาค เอเชียใต้ ต่อมาอารยธรรมอินเดียได้แพร่หลายเข้ามา พ่อค้าชาวอินเดียได้ทำการค้าและได้นำ อารยธรรมและศาสนาเข้ามาเผยแพร่ด้วย ทำให้เรื่องรามายณะแพร่หลายไปหลายภูมิภาค กลายเป็น
8 นิทานที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของประเทศนั้น จนกลายเป็นวรรณคดีประจำชาติไป ดังปรากฏในหลายๆชาติเช่น ลาว พม่า เขมร มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น ล้วนมีวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์เป็นวรรณคดีประจำชาติรวมไปถึงประเทศไทย วรรณกรรม เรื่องรามเกียรติ์ มีสำนวนคำประพันธ์ต่าง ๆ ประกอบด้วย โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ดังที่ธนิต อยู่โพธิ์ กล่าวไว้ว่า “วรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ที่กวีได้แต่งขึ้นเป็นบทนาฏกรรม ไว้ใช้ ประโยชน์ในการเล่นหนัง เล่นโขน จากหลักฐานปรากฏว่าได้แต่งขึ้นไว้ต่างยุคต่างสมัย หลายสำนวน ในที่นี้” (ธนิต อยู่โพธิ์, 2511, น. 86) ซึ่งสามารถนำมากล่าวได้ 3 ลำดับ ดังต่อไปนี้ 1. บทนาฏกรรมรามเกียรติ์สมัยกรุงศรีอยุธยา รามเกียรติ์ของไทยได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรมเรื่องรามายณะของชาวอินเดียตอนใต้ โดยผ่านทางการค้าขายกับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนื้อเรื่องรามเกียรติ์ของไทยตรงกับรามายณะ ฉบับทางตอนใต้ซึ่งเป็นของทมิฬ และฉบับของเบงคาลีซึ่งจะมีความแตกต่างจากฉบับของวาลมิกิ ทั้งนี้วรรณกรรมเรื่องดังกล่าว ได้ผ่านเข้ามาโดยการถ่ายทอดทางมุขปาฐะ ซึ่งมีหลักฐานที่ปรากฏว่าได้ แต่งเป็นเรื่องรามเกียรติ์ มีเพียง 3 ฉบับ 1) รามเกียรติ์คำฉันท์ รามเกียรติ์คำฉันท์ มีกล่าวไว้ในหนังสือจินดามณีของพระโหราธิบดีในสมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช สันนิษฐานว่า พระโหราธิบดีคงจะได้หยิบยกมาจากบทคำพากย์รามเกียรติ์ ของเก่า มีลักษณะคำประพันธ์ประกอบด้วย คำฉันท์ ซึ่งกวีแต่ก่อนได้แต่งไว้สำหรับเล่นหนัง แต่ได้ สูญหายไปแล้ว คงเหลือไว้ในหนังสือจินดามณีได้แก่ 1. บทตอนที่พระอินทร์ใช้ให้พระมาตุลีนำรถมาถวายพระรามในสนามรบ 2. บทตอนที่พระรามกับพระลักษณ์คร่ำครวญติดตามหานางสีดาเมื่อแรกหาย 3. บทตอน ที่พรรณนาถึงมหาบาศลูกทศกัณฐ์ 4. บทตอนที่พิเภกครวญถึงทศกัณฐ์ เมื่อทศกัณฐ์ล้ม 2) รามเกียรติ์คำพากย์ รามเกียรติ์คำพากย์กรมศิลปากร ได้แบ่งตีพิมพ์ไว้เป็นภาค โดยมีเนื้อเรื่องติดต่อกัน ไปตั้งแต่ภาค 2 คือ ตอน “สีดาหาย” จนถึงภาค 9 ตอน “กุมภกรรณล้ม” และมีคำพากย์ตอนอื่น ๆ ซึ่งยังมิได้ตีพิมพ์อยู่อีก สันนิษฐานว่า คำพากย์เหล่านี้แต่เดิมใช้เล่นหนัง และต่อมาภายหลังได้มี ผู้นำมาใช้เล่นโขนด้วย
9 3) บทละครเรื่องรามเกียรติ์ สมัยกรุงศรีอยุธยา ลักษณะบทละครเรื่องรามเกียรติ์ฉบับนี้ นายธนิต อยู่โพธิ์ กล่าวไว้ว่า ต้นฉบับเป็น สมุดไทยขาว เขียนด้วยเส้นหมึก มีประวัติว่า “พระครูศรีแต่งถวายที่อ่างศิลาเมื่อปีพ.ศ. 2456” (ธนิตอยู่โพธิ์, 2511, น. 86 - 88) 2. บทนาฏกรรมรามเกียรติ์สมัยกรุงธนบุรี หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาเสียให้แก่พม่า เมื่อปีพุทธศักราช 2310 แล้วนั้น สมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช ได้กอบกู้เอกราช และตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี บ้านเมืองยังอยู่ในภาวะสงคราม มีความวุ่นวาย ไม่มั่นคง แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงให้การสนับสนุนด้านวรรณกรรม โดยมี พระราชประสงค์โปรดให้ฟื้นฟูด้านวรรณกรรม ด้วยการที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ มีจำนวนถึง 4 เล่มสมุดไทย ทั้งนี้พระองค์ได้ทรงบอกเวลาที่ทรงพระราชนิพนธ์ ไว้หน้าต้น ทุกเล่มว่า“วันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้นค่ำหนึ่ง จุลศักราช 1132 ปีขาล โทศก”ตรงกับพุทธศักราช 2313 ปี ที่ 3 ในรัชกาล ซึ่งบทละครสำนวนนี้เขียนไว้ในสมุดไทยดำ ตัวหนังสือเป็นเส้นทอง สร้างขึ้นด้วยความ ประณีตบรรจงมาก มีจำนวน 4 เล่มสมุดไทย โดยแบ่งไว้เป็นตอน ดังนี้เล่ม 1 ตอนพระมงกุฎ เล่ม 2 ตอนหณุมานเกี้ยวนางวานรินจนท้าวมาลีวราชมา เล่ม 3 ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษาความจนถึง ทศกรรฐ์เข้าเมือง เล่ม 4 ตอนทศกรรฐ์ตั้งพิธีทรายกรด , พระลักษณ์ต้องหอกกบิลพัสตร์ จนผูกผม ทศกรรฐ์กับนางมณโท (กี อยู่โพธิ์, 2506, น. 154 - 155) 3. บทนาฏกรรมรามเกียรติ์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รามเกียรติ์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้มีอยู่ด้วยกันหลายสำนวน ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จนมาถึงปัจจุบัน ในสมัยนี้นับได้ว่าเป็นยุคทองของวรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ เพราะพระมหากษัตริย์ ไทย ได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมเรื่องดังกล่าว หลายฉบับด้วยกัน ดังจะกล่าวต่อไปนี้ 1) บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระราชประสงค์จะทรงรวบรวม เรื่องรามเกียรติ์ซึ่งกระจัดกระจายให้เข้าเป็นเรื่องเดียวกัน เพื่อเป็นแบบฉบับของบ้านเมืองจึงโปรด เกล้าฯ ให้ประชุมกวี นักปราชญ์ราชบัณฑิตร่วมกันแต่งขึ้นโดยพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรม เรื่องรามเกียรติ์ ด้วยพระองค์เอง “พระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ในรัชกาลที่ 1 มีเรื่องราวติดต่อกัน ตลอดไปและยืดยาวพิสดารยิ่งกว่าบรรดาเรื่องรามเกียรติ์ทุกสำนวนที่มีในภาษาไทย เป็นวรรณคดีไทย เรื่องเดียวที่ยืดยาวพิสดารที่สุดในบรรดาวรรณกรรมไทย เพราะเขียนไว้ในสมุดไทยถึง 117 เล่ม
10 สมุดไทย มีความยาวคำกลอนถึง 50,286 คำกลอน นับได้ว่ารามเกียรติ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด ที่ไทยเรามีอยู่ในขณะนี้” (ธีรภัทร์ ทองนิ่ม, 2555, น. 38) การที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์นั้น อาจจะมีสาเหตุมาจาก ต้องการให้เรื่องราวรามเกียรติ์ฉบับของไทยจบเรื่องบริบูรณ์ พร้อมทั้ง เพื่อปลุกใจประชาชน ในการเสียขวัญเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า อีกทั้ง มีพระประสงค์ให้หนุมานมีลักษณะเด่นเป็นตัวเอกในความเก่งกล้าของทหาร และประการสุดท้าย เพื่อแสดงว่า ธรรมย่อมชนะอธรรม ลักษณะคำประพันธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 นั้นมีลักษณะ คำประพันธ์ประเภท กลอนบทละคร เริ่มตั้งแต่ต้นด้วยหิรันตยักษ์ม้วนแผ่นดิน จบตอนพระรามกับนาง สีดาทรงครอบครองอยุธยาเป็นสุขสืบมา โดยมีวัตถุประสงค์ของการทรงพระราชนิพนธ์ เพื่ออ่าน ร้อง รำ ดังโคลงกระทู้ ท้ายเรื่องว่า จบ เรื่องราเมศมล้าง อสุรพงศ์ บ พิตรธรรมิกทรง แต่งไว้ ริ ร่ำพร่ำประสงค์ สมโภช พระนา บูรณ์ บำเรอรมย์ให้ อ่านร้องรำเกษม ฯ (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2549, น. 640) ดังนั้นรามเกียรติ์บทละครในรัชกาลที่ 1 เป็นรามเกียรติ์ที่มีความยาวที่สุดในบรรดา วรรณกรรมไทย นับเป็นรามเกียรติ์ฉบับสมบูรณ์ที่สุดของไทยที่มีอยู่ ทรงพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ โดยมีพระราชประสงค์เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณองค์พระปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี 2) บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระราชประสงค์ พระราชนิพนธ์บท ละคร เรื่องรามเกียรติ์ โดยมีลักษณะคำประพันธ์ เป็นกลอนบทละคร ถ้อยคำสำนวนมีความกะทัดรัด เพื่อใช้สำหรับการแสดง ทั้งนี้ทรงเห็นว่ามีบทละครเรื่องรามเกียรติ์ในรัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นรามเกียรติ์ ที่สมบูรณ์ที่สุด และมีเรื่องราวติดต่อกันเป็นหลักฐานแล้วนั้น เป็นแบบฉบับสำหรับเล่นโขนกันต่อมา จึงทรงมีพระราชดำริเห็นว่า บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 นั้นมีความยาว และนำมาเล่นโขนไม่สนิท พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงยกย่องความฉลาดของสุนทรภู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เล่ากันมา เป็นตัวอย่างตอนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเลือกคัดเลือก บทละครเรื่องรามเกียรติ์ในรัชกาลที่ 1 ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่เพื่อใช้สำหรับเล่นละครหลวง
11 ทรงเดินเรื่องแบบรวบลัด และย่นย่อ ทรงตัดเรื่องเดิมที่มีอยู่ในบทพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 1 ออกเสียบ้าง ทรงเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เป็นหนังสือ 36 เล่มสมุดไทย บทละครเรื่องรามเกียรติ์พระราช นิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 นี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับสั่งให้ตรวจชำระเสียใหม่ และ พิมพ์ขึ้นเป็นเล่มสมุด 3 เล่ม มีความหนา 844 หน้า บรรจุคำไว้ประมาณ 14,300 คำกลอน (ธนิต อยู่โพธิ์, 2511, น. 93) ดังที่กล่าวบทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ ในรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์คัดเอาเรื่องรามเกียรติ์บางตอน โดยย่นย่อแบบรวบลัด เพื่อใช้สำหรับเล่นละครหลวง ซึ่งตัดมาเป็นบางตอน ไม่ได้จบทั้งเรื่อง ทรงแต่งขึ้นใหม่เพื่อเล่นละคร หลวง โดยให้มีสำนวนโวหารมีถ้อยความกะทัดรัดเหมาะสำหรับใช้เล่นโขน 3) บทพากย์โขน พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 นอกจากจะทรงพระราชนิพนธ์กลอนบทละครเรื่องรามเกียรติ์จนได้รับการยกย่องว่า ดีเลิศแล้ว พระองค์ทรงนิพนธ์บทพากย์โขน เพื่อใช้ในการพากย์โขน สำหรับเล่นโขน และหนังใหญ่ เอาบทพากย์ และบทเจรจาแทรกเข้าไปเท่านั้น ทรงพระราชนิพนธ์ไว้จำนวน 4 ตอน คือ พรหมาสตร์ นาคบาศ เอราวัณ และนางลอย 4) บทละครเรื่องรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 รามเกียรติ์สำนวนนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระราช นิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ลักษณะคำประพันธ์ เป็นกลอนบทละคร เป็นสำนวนใหม่เพียง ตอนเดียว คือ พระรามเดินดง เป็นหนังสือขนาด 4 เล่มสมุดไทย มีความยาว 1,664 คำกลอน เนื้อเรื่องเริ่มตั้งแต่ นางไกยเกษีขอพรท้าวทศรถจนถึงถวายเพลิงพระศพท้าวทศรถ และทรงพระราช นิพนธ์แปลงบทเบิกโรงเรื่อง นารายณ์ปราบนนทุก มีคำกลอนยาว 106 คำกลอน และตอนพระราม เข้าสวนพิราพ (ธนิต อยู่โพธิ์, 2511, น. 94) จะเห็นได้ว่า ในรัชกาลที่ 4 ทรงพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ เป็นสำนวนใหม่เพียงตอนเดียว คือ พระรามเดินดง โดยทรงพระราชนิพนธ์เป็นกลอนบทละคร 5) โคลงเรื่องรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 โคลงรามเกียรติ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงชักชวน พระบรมวงศานุวงศ์ นักปราชญ์ และข้าราชการ กวีต่าง ๆ ให้โดยเสด็จพระราชนิพนธ์ เนื่องในงาน ฉลองพระนครครบ 100 ปี เมื่อพุทธศักราช 2424 เป็นโคลงสี่สุภาพ เพื่อจารึกบรรยายภาพจิตรกรรม ฝาผนังบริเวณพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีความมุ่งหมายเพื่อจารึกลงในแผ่นศิลา ประดับเสาระเบียงให้ตรงกับภาพเขียนเรื่องรามเกียรติ์ เพื่ออธิบายเรื่องราวในภาพนั้น ๆ ดำเนินเรื่อง
12 ตามพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 จำนวนถึง 178 ห้อง ลักษณะคำประพันธ์ เป็นโคลงสี่สุภาพ ในแต่ละ ห้องหรือหนึ่งภาพใช้โคลงสี่สุภาพ 28 บท รวมมีโคลงสี่สุภาพทั้งสิ้น 4,984 บท นอกจากนี้ยังมีโคลง ประจำภาพบรรยายตัวละครต่างอีก 59 ตัว โดยโคลงสี่สุภาพดังกล่าวแต่งด้วยความไพเราะและ ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ เพราะในการแต่งถือได้ว่าเป็นการประกวดกัน (ธีรภัทร์ ทองนิ่ม, 2555, น. 39) 6) รามเกียรติ์ บทร้อง บทพากย์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระอุตสาหะ สอบสวนค้นคว้าที่มาของเรื่องรามเกียรติ์ จากคัมภีร์รามายณะของฤๅษีวาลมีกิ แล้วทรงพระราชนิพนธ์ หนังสือขึ้นเล่มหนึ่งชื่อว่า “บ่อเกิดรามเกียรติ์” โปรดให้ตีพิมพ์ขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2456 และทรง พระราชนิพนธ์บทร้องและบทพากย์ขึ้นสำหรับเล่นโขน โดยพระราชนิพนธ์ด้วยกลอนบทละคร กาพย์ และร่ายยาว จำนวน 6 ชุด คือ 1. ชุดสีดาหาย 2. ชุดเผาลงกา 3. ชุดพิเภษณ์ถูกขับ 4. ชุดจองถนน 5. ชุดประเดิมศึกลงกา 6. ชุดนาคบาศ นอกจากนี้ยังมีบทพระราชนิพนธ์ที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ในช่วงนั้น ได้แก่ ชุดนางลอย พรหมาสตร์ ชุดอภิเษกสมรส และชุดพิธีกุมภนิยา ซึ่งพระองค์ทรงชี้แจงไว้ใน พระราชนิพนธ์คำนำ เมื่อคราวตีพิมพ์เป็นเล่มเมื่อพุทธศักราช 2464 ซึ่งพระราชนิพนธ์ที่ทรงนิพนธ์ขึ้น นั้นดำเนินเรื่องตามคัมภีร์รามายณะของฤษีวาลมิกิ มีเนื้อหาบางส่วน และชื่อบุคคลในเรื่องต่างไปจาก เรื่องรามเกียรติ์ของไทย (ธนิต อยู่โพธิ์, 2511, น. 94 - 96) จากที่กล่าวไปแต่ละยุคของวรรณกรรมรามเกียรติ์พอสรุปได้ว่า บทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 1 มีความยาวที่สุดและมีความสมบูรณ์ที่สุดในเรื่องเนื้อหาตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ ศึกษาบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์รัชกาลที่ 1 เรื่องราววรรณกรรมรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 อย่างที่ทราบกันดี เรื่องรามเกียรติ์เป็นเรื่องราวการทำสงครามระหว่างกองทัพพระรามและกองทัพ ทศกัณฐ์ เพื่อแย่งชิงนางสีดา นอกเหนือจากนั้นยังมีอีกหลากหลายตัวละครที่ปรากฏในการสู้รบ โดยมีสาเหตุ ในการเกิดข้อพิพาทหรือความขัดแย้งที่นำไปสู่การสู้รบในรามเกียรติ์ผู้วิจัยศึกษาแล้ว พบสาเหตุ8 สาเหตุที่นำไปสู่การบได้ดังต่อไปนี้ 1) การอวดฤทธิ์ พบได้จากตอน ปทูตทันต์ต่อท้าวทศรถ เป็นต้น 2) การบุกรุกดินแดน พบได้จากตอน หนุมานรบนางผีเสื้อสมุทร เป็นต้น 3) การแย่งชิงสตรีพบได้ในตอน พาลีรบทศกัณฐ์แย่งนางมณโฑ เป็นต้น 4) การแย่งบุรุษ พบได้ในตอน นางยักษ์อัศมูขีจับพระลักษณ์เป็นต้น
13 5. การประลองฤทธิ์– ประลองกำลัง พบได้ในตอน รบเหรันตทูต เป็นต้น 6. การล้างแค้น-กำจัดศัตรูพบได้ในตอน ทศกัณฐ์เชิญไมยราพมาล้างแค้น เป็นต้น 7. การแย่งชิงสิ่งของ พบได้ในตอน พระลักษณ์รบกุมภากาศ 8. การปฏิบัติตามคำสั่ง พบได้ในตอน พระรามให้สุครีพออกรบกับกุมภกรรณ จากสาเหตุทั้ง 8 ที่กล่าวในข้างต้น และยกตัวอย่างเป็นเพียงแต่ละตอนเท่านั้น แต่ 8 สาเหตุ ที่กล่าวมาล้วนเป็นเหตุในการเกิดการสู้รบและทำสงครามกันทั้งสิ้น ยกตัวอย่างในตอนที่ผู้วิจัยศึกษา คือตอนพาลีรบทรพีจะพบว่า เรื่องราวของพาลีที่ได้มาสู้กับทรพีมีสาเหตุต้นเรื่องมาจาก ทรพีอวดฤทธิ์ อวดศักดาของตนเองไปท้ายท้าพระอิศวร พระอิศวรจึงบอกให้ไปสู้กับพาลี และยังสาปให้ทรพีตายด้วย ฤทธิ์ของพาลี จึงอาจสรุปได้ว่า ทรพีตายเพราะเป็นการอวดฤทธิ์ของทรพีที่จะอวดฤทธิ์เมื่อพระอิศวร ไม่สู้และบอกให้ไปสู้กับคนที่เก่งกว่าตน ทรพีก็รู้สึกว่าฮึกเหิมและไปทายท้ายันหน้าประตูเมืองของพาลี ในเรื่องรามเกียรติ์ล้วนเกี่ยวโยงกับความเชื่อเรื่องคำสาป เมื่อพระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นใหญ่เป็นเทพสาปแช่ง ก็จะเกิดภัยพิบัติต่อคนผู้นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความว่า การโดนสาปแช่งจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่หาได้ เป็นไปตามคำสาปไม่ ในเรื่องราวเป็นเพราะพาลีที่ฉลาดและวางแผนเกิดข้อสงสัยในตัวทรพีจนฆ่าทรพี ตาย เป็นต้น จากสาเหตุทั้ง 8 ในการสู้รบนำมาซึ่งการแบ่งตัวละครในการรบตามเชื้อชาติละสถานะ ของตัวละครที่ปรากฏในรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 สามารถจำแนกได้ 4 เชื้อชาติ 1) เทพเจ้า อาทิเช่น พระอิศวร พระอินทร์ เป็นต้น 2) มนุษย์ อาทิเช่น พระราม พระลักษณ์ เป็นต้น 3) อมนุษย์ อาทิเช่น ยักษ์ เป็นต้น 4) สัตว์อาทิเช่น ลิง ควาย ช้าง นก ม้า เป็นต้น เมื่อนำมาจับคู่ในการรบได้ ดังตารางต่อไปนี้
14 ตารางที่1 การสู้รบที่ปรากฏในวรรณกรรมรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 ลำดับ ที่ การสู้รับที่เกิดขึ้นในรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 จำแนกตามสถานะ เทพเจ้า มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์ 1 เทพเจ้า + เทพเจ้า มนุษย์+ เทพเจ้า (ซ้ำ) อมนุษย์+ เทพเจ้า (ซ้ำ) สัตว์+ เทพเจ้า (ซ้ำ) 2 เทพเจ้า + มนุษย์ มนุษย์+ มนุษย์ อมนุษย์+ มนุษย์(ซ้ำ) สัตว์+ มนุษย์(ซ้ำ) 3 เทพเจ้า + อมนุษย์ มนุษย์+ อมนุษย์ อมนุษย์+ อมนุษย์ สัตว์+ อมนุษย์ (ซ้ำ) 4 เทพเจ้า + สัตว์ มนุษย์+ สัตว์ อมนุษย์+ สัตว์ สัตว์+ สัตว์ ที่มา: ผู้วิจัย จากตารางที่ 1 เมื่อนำมาตัดข้อมูลที่ซ้ำในช่องสีเหลือง จะได้ทั้ง หมด 10 รูปแบบ จากรูปแบบ การสู้รบในวรรณกรรมย่อมส่งผลมาสู่การแสดงโขน จารึกของไทยในสมัยโบราณเรื่องที่ใช้สำหรับการเล่นโขนนั้น คือ เรื่อง รามเกียรติ์ การเล่น ชักนาคดึกดำบรรพ์ ได้พรรณนาถึงผู้เล่นแต่งตัวเป็นเทวดา อสูร (ยักษ์) ลิง เหมือนกับการแสดงโขน ที่เล่นเรื่องรามเกียรติ์ ด้วยเหตุนี้ ศิลปะบางส่วนในการเล่นโขนอาจสืบเนื่องมาจากการเล่นชักนาค ดึกดำบรรพ์ การละเล่นโขนน่าจะมาจากการเล่นหนัง ซึ่งก็อาจเป็นไปได้เพราะมีบทพากย์บทเจรจา เรื่องรามเกียรติ์สำหรับเล่นหนังปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะบทที่ใช้สำหรับศิลปะของการ เล่นหนัง มีแต่คำพากย์และเจรจา ผู้เชิดหนังต้องใช้มือทั้งสองถือไม้ทาบตัวหนังแล้วใช้เท้าเต้นออก ท่าทางไปตามคำพากย์ คำเจรจาและตามเพลงหน้าพาทย์ของปี่พาทย์ อีกทั้งคนไทยแต่โบราณ ใน สมัยก่อน จำเป็นต้องฝึกวิชาการใช้อาวุธ เพื่อต่อสู้ข้าศึกและป้องกันตัว ในการฝึกกระบี่กระบองจะมี การร่ายรำออกท่าทางคล้ายท่าของโขน ละคร อยู่หลายท่า เมื่อนำศิลปะเหล่านี้มาผสมผสานเข้า ด้วยกันจึงเกิดนาฏกรรมไทยแบบใหม่เรียกว่า “โขน” (ธนิต อยู่โพธิ์, 2511, น. 20) ศิลปะแห่งการเล่นโขนมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับ ทั้งวิธีการแสดง สถานที่การแสดงและสิ่งที่ ใช้ประกอบการแสดง ทำให้โขนจำแนกออกเป็น 5 ประเภท อันได้แก่ โขนกลางแปลง, โขนโรงนอก หรือนั่งราว, โขนหน้าจอ, โขนโรงในและโขนฉาก (เรณู โกศินานนท์, 2528, น. 2)
15 สรุปได้ว่าการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ตัวแสดงโขนมีหลากหลายตัวละครซึ่งตัวละคร ในแต่ละประเภทมีบทบาท ท่าทาง อารมณ์ ที่ใช้ในการแสดงแตกต่างกันไป ในการแสดงโขน ตัวพระ และตัวนางจะมีท่วงท่าที่ละเมียดละไมอ่อนช้อย สุขุม ลุ่มลึก ตามแบบ เชื้อกษัตริย์ ส่วนตัวยักษ์จะมี ท่าทีที่แข็งแรง ดุดัน เกรี้ยวกราด องอาจ สง่า ผ่าเผย ตัวลิงจะมีลักษณะซุกซน คล่องแคล่ว ว่องไวและ มีกระบวนท่าทีที่แสดงกิริยาอาการเลียนแบบมนุษย์ผสมผสานกิริยาท่าทางของลิง นอกเหนือจาก ตัวลิงที่เป็นสัตว์นั้นยังมีอีกหลากหลายตัวละครที่เลียนแบบท่าทางของสัตว์ อาทิเช่น ควาย นก ช้าง เป็นต้น ด้วยปัจจัยในการรบในการแสดงโขน หรือการแสดงออกของท่วงท่าตัวละครสิ่งเหล่านี้จึงทำให้ ตัวละคร ประเภทสัตว์มีความน่าสนใจในลักษณะเฉพาะของตัวละคร และท่าที่แสดงออก จากปัจจัย เหล่านี้ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาตอนพาลีรบทรพีในบทวรรณกรรมรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 1 ที่นำมาจัดทำเป็น บทการแสดงโขนตอนพาลีสอนน้อง 2517 2. บทวรรณกรรมรามเกียรติ์ ฉบับรัชกาลที่ 1 ตอนพาลีรบทรพี นำไปสู่บทที่ใช้สำหรับ การแสดงโขน บทวรรณกรรมรามเกียรติ์ ฉบับรัชกาลที่ 1 ถือเป็นบทพระราชนิพนธ์ที่มีเนื้อเรื่องที่สมบูรณ์ และมีทุกตอน (ธีรภัทร ทองนิ่ม, 2564, 19 ธันวาคม, สัมภาษณ์) การทำบทของนายเสรี หวังในธรรม คือปรับจากบทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 1 มาเป็นบทการแสดง ผู้แต่งจะต้องใช้จินตนาการ และความคิดของตัวเอง ว่าการแสดงควรจะเป็นไปในทิศทางไหน ให้เชื่อมโยงกับตอนอื่น ๆ เพื่อความ สมบูรณ์ของการแสดง และคำนึงถึงเนื้อเรื่องของการแสดงไม่ให้ยืดเยื้อ ดนตรี บทพากย์เจรจา และบทร้อง รวมไปถึงผู้แสดงให้ลงตัวทำให้คนดูเข้าใจ รู้เรื่อง และมีอรรถรส มีอารมณ์ร่วมในการชม เป็นยุคแรกที่ นายเสรี หวังในธรรม จัดทำบท (ประสาท ทองอร่าม, 2565, 19 เมษายน สัมภาษณ์) ผู้วิจัยได้ศึกษาบทพระราชนิพนธ์ รามเกียรติ์ รัชกาลที่ 1 ที่เป็นบทกลอน ในตอน พาลีรบทรพี และได้ศึกษาบทที่ใช้สำหรับการแสดงโขน ของ นายเสรี หวังในธรรม ในตอน พาลีรบทรพี ผู้วิจัยจึงได้นำบททั้ง 2 มาให้เห็นว่าในการจัดทำบทที่ใช้สำหรับการแสดงโขน โดยดำเนิน เรื่องตามบทพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 1 ของ นายเสรี หวังในธรรม นั้นผู้แต่งได้ยกส่วนใดมาจัดทำบท บ้างและมีสำนวนใดบ้างที่ยังคงอยู่ในบทที่ใช้สำหรับการแสดงและส่วนใดบ้างที่ขาดหายไปไว้ ดังหัวข้อ ต่อไปนี้
16 บทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์รัชกาลที่ 1 ในตอนพาลีรบทรพี ผู้วิจัยได้นำเรื่องตั้งแต่ทรพีไป ทายท้าพระอิศวรจนถูกสาปและให้ไปสู้กับพาลี มีข้อความ ดังต่อไปนี้ ๏ ครั้นถึงเข้าสวนอุทยาน ของลูกมัฆวานเรืองศรี ชนไม้หักล้มไม่สมประดี ไล่ขวิดกระบี่วุ่นไป ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น ฝ่ายพลวานรน้อยใหญ่ เห็นมหิงส์ไล่มาก็ตกใจ ผู้ใดไม่อาจประจัญ ต่างตนต่างก็กลัวตัวสั่น เรียกร้องหากันกุลาหล บ้างคลานบ้างล้มอลวน วิ่งพะปะปนกันไปมา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น คำแหงทรพีใจกล้า ไม่มีใครรอต่อฤทธา ก็วางมายังหน้าพระลานชัย ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ จึ่งร้องว่าเหวยพานรินทร์ เจ้าเมืองขีดขินกรุงใหญ่ เขาลือว่ามีฤทธิไกร ผู้ใดไม่อาจจะต้านทาน ตัวเราอยู่ในหิมเวศ ก็ทรงเดชฤทธากล้าหาญ เทวาอารักษ์ทั้งจักรวาล สะท้านท้อไม่ต่อศักดา ถึงพระอิศวรบรมนาถ ก็ขยาดฤทธิ์กูผู้แกล้วกล้า เอ็งดีจงเร่งลงมา เข่นฆ่าลองดูฤทธิรอน ฯ ฯ ๖ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีชาญสมร เสด็จเหนือสิงหาสน์บัญชร ได้ยินกาสรร้องมา กริ้วโกรธพิโรธคือไฟกัลป์ ฉวยชักพระขรรค์อันคมกล้า โจนจากปราสาทแก้วแววฟ้า สำแดงฤทธาเข้าราวี ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น พญากาสรเรืองศรี โลดโผนโจนประจัญทันที ต่างชนต่างตีสำแดงฤทธิ์
17 สองหาญต่อหาญไม่ลดกัน ยุทธ์แย้งแทงฟันเสี่ยวขวิด หลบหลีกพัลวันกระชั้นชิด ต่างคนไม่คิดชีวา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พาลีฤทธิแรงแข็งกล้า ต่อด้วยทรพีแต่เช้ามา จนถึงเวลาสายัณห์ จึ่งคิดว่ากาสรนี้สามารถ องอาจฤทธิแรงแข็งขัน ยิ่งกว่าทศเศียรกุมภัณฑ์ จะฆ่ามันกลางแปลงไม่ได้ที อย่าเลยจะลวงเข้าไป ชิงชัยในถํ้าคีรีศรี เห็นจะขัดขวางทางต่อตี ก็จะล้างชีวีมันวายปราณ คิดแล้วจึงมีวาจา ดูราทรพีใจหาญ แต่เรารบรันประจัญบาน ก็รู้จักประมาณฤทธิไกร มิเอ็งก็กูจะม้วยมิด ที่จะรอดชีวิตนั้นหาไม่ บัดนี้สิ้นแสงอโณทัย จงกลับไปสั่งฝูงบริวาร ฝ่ายเราก็จะสั่งฝูงอนงค์ ทั้งสุริย์วงศ์โยธาทวยหาญ พรุ่งนี้จึ่งไปรอนราญ ในถํ้าแก้วสุรกานต์พรรณราย ให้ลับมนุษย์ครุฑา วิทยาอารักษ์ทั้งหลาย มาตรแม้นชีวิตจะวอดวาย ก็ไม่อายไพร่ฟ้าประชากร ฯ ฯ ๑๔ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีใจหาญชาญสมร กำเริบฤทธิ์คิดแต่จะราญรอน หลงกลวานรก็ตอบไป ซึ่งจะสู้กันในคีรี ทั้งนี้ก็ตามอัชฌาสัย จะคอยอยู่ปากถ้ำอำไพ ว่าแล้วกลับไปอรัญวา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวโกสีย์แกล้วกล้า เห็นกาสรหลงกลมารยา ก็กลับมาด้วยความยินดี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
18 ๏ ครั้นถึงนั่งเหนือบัลลังก์อาสน์ อันโอภาสจำรัสรัศมี แล้วมีพจนารถวาที แก่ศรีสุครีพผู้ร่วมใจ กาสรตัวนี้มันมีฤทธิ์ จะหมายล้างชีวิตยังไม่ได้ พรุ่งนี้ลวงให้ไปชิงชัย ที่ในถํ้าแก้วสุรกานต์ แม้นว่าพี่ต่อสู้มัน เจ็ดวันไม่คืนราชฐาน ตัวเจ้าผู้ปรีชาชาญ ไปดูที่ธารคีรี ถ้าเลือดข้นนั้นเลือดมหิงสา เลือดไหลเหลวมานั้นเลือดพี่ จงขับพวกพลโยธี ขนศิลาปิดปากถํ้าไว้ อย่าให้ผู้ใดใครมาพบ เห็นซากศพนั้นได้ สั่งแล้วลูกท้าวหัสนัยน์ เสด็จไปเข้าที่ไสยา ฯ ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ กล่อม ๏ ครั้นรุ่งแสงศรีรวีวรรณ สุริยันเยี่ยมยอดภูผา แต่งองค์ทรงพระขรรค์ศักดา ก็เหาะมาด้วยกำลังฤทธี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ ลอยลิ่วปลิวไปในคัคนานต์ ถึงปากถํ้าสุรกานต์คีรีศรี จึ่งเห็นคำแหงทรพี ขุนกระบี่กวักกรเรียกไป เหวยเหวยดูกรมหิงสา เอ็งอหังการ์หยาบใหญ่ จงเร่งเข้ามาชิงชัย ที่ในถํ้าแก้วสุรกานต์ ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ บัดนั้น คำแหงทรพีใจหาญ ได้ฟังลูกท้าวมัฆวาน เผ่นทะยานเข้าถํ้าคีรี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพานรินทร์เรืองศรี โลดโผนโจนจับทรพี ท่วงทีกลับกลอกว่องไว ต่างหาญต่างกล้าไม่ละกัน เสียงสนั่นครั่นครื้นภูเขาไหว ต่างขวิดต่างแทงวุ่นไป ต่างถอยต่างไล่ราญรอน ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
19 ๏ บัดนั้น ทรพีใจหาญชาญสมร ชนเสี่ยวเลี้ยวไล่ตะลุมบอน ขวิดค้อนกลับกลอกไปมา เขาตีเท้าถีบโถมทะยาน ต่อต้านยืนยันประจัญหน้า ถ้อยทีถ้อยมีฤทธา หมายเขม้นเข่นฆ่าชีวิตกัน ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พาลีฤทธิแรงแข็งขัน สัประยุทธ์ต่อยุทธ์ถึงเจ็ดวัน เสมอกันถ้อยทีไม่มีชัย ก็ตรึกไปด้วยไวปัญญา มหิงสาตัวนี้เป็นไฉน จึ่งมีฤทธาเกรียงไกร หรือจะได้กำลังเทวัญ จำจะอุบายด้วยความคิด ลวงล้างชีวิตให้อาสัญ ตริแล้วไม่รบติดพัน หันออกมากล่าววาจา เหวยเหวยดูกรทรพี ซึ่งเรืองฤทธีแกล้วกล้า เทวัญองค์ใดมหึมา ให้ศักดาเอ็งหรือว่าไร ฯ ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา ๏ บัดนั้น ทรพีผู้ใจหยาบใหญ่ ได้ฟังจึ่งร้องตอบไป เป็นไฉนมาถามกำลังเรา เทวัญองค์ใดไม่สิงสู่ ตัวกูมีฤทธิ์ด้วยสองเขา เอ็งอย่าสู่รู้ดูเบา กูจะเอาชีวิตเสียบัดนี้ ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา ๏ เมื่อนั้น พญาพานรินทร์เรืองศรี ได้ฟังถ้อยคำทรพี ขุนกระบี่อุบายด้วยวาจา ร้องว่าดูกรเทเวศ อันเรืองเดชฤทธิแรงแข็งกล้า ซึ่งสิงสู่อยู่ในกายา มหิงสามันอกตัญญู มิได้คำรพนบคุณ กลับกล่าวทารุณลบหลู่ เสียทีที่ท่านเลี้ยงดู อย่าอยู่รักษาไอ้อาธรรม์ เชิญไปสู่ทิพพิมาน สำราญด้วยนางสาวสวรรค์ ฟังเราว่าเถิดนะเทวัญ จงชวนกันออกจากกายา ฯ ฯ ๘ คำ ฯ
20 ๏ เมื่อนั้น เทเวศซึ่งอยู่รักษา ได้ฟังพาลีเจรจา สุรารักษ์เห็นจริงทุกสิ่งไป จึ่งว่ากาสรนี้ทรลักษณ์ จะรู้จักคุณเราก็หาไม่ ต่างองค์ต่างคิดน้อยใจ เทพไทออกจากกายา แกล้งสำแดงองค์แก่พาลี รัศมีสว่างทั้งคูหา หกองค์ผู้ทรงเดชา ก็พากันเหาะไปยังวิมาน ฯ ฯ ๖ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีใจหาญ เห็นหกเทเวศชัยชาญ ไม่อยู่พยาบาลก็ดีใจ ขุนกระบี่สำแดงแผลงฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทหวาดไหว ผาดโผนโจนจ้วงว่องไว ทะลวงไล่ด้วยกำลังกายา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ เท้าซ้ายถีบกายกาสร กรหนึ่งฉวยง้างเขาขวา แทงด้วยพระขรรค์อันศักดา กลับกลอกเปลี่ยนท่าติดพัน ฯ ฯ ๒ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีฤทธิแรงแข็งขัน โกรธาถาโถมโจมประจัญ ขวิดชนพัลวันวุ่นไป ล้มลุกคลุกคลานไม่ต้านติด จะต่อฤทธิ์วานรก็ไม่ได้ กำลังน้อยถอยท้อสลดใจ เลือดไหลหยดย้อยทั้งกายา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีใจกล้า รณรงค์องอาจผาดโผนมา เหยียบเขาพญาทรพี มือซ้ายง้างเขายืนยัน กรขวาแกว่งพระขรรค์ชัยศรี ฟาดด้วยกำลังฤทธี ทรพีก็ม้วยบรรลัย ฯ ฯ ๔ คำ ฯ (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2554, น. 376-378) จากข้อความพอสรุปเป็นเรื่องราวได้ว่าทรพีหลังจากไปท้าทายพระอิศวรและพระอิศวรเป็น เทพพระเจ้าไม่ลดตัวมาสู้กับสัตว์เดรัจฉานและให้ทรพีไปสู้กับพาลีพร้อมทั้งสาปให้ตายด้วยพาลี
21 ทรพีจึงมุ่งตรงเข้าไปบุกในอุทยานเที่ยวไล่ขวิดพลลิงน้อยใหญ่จนถึงหน้าพระลานและได้อวดฤทธิ์ไกร ท้าทายพาลี พาลีจึงได้หยิบพระขรรค์เข้าต่อสู้อยู่นานจนแสงอาทิตย์ตกดินก็ไม่สามารถฆ่าทรพีได้ จึงได้ ออกอุบายบอกทรพีว่าวันพรุ่งนี้เรามาสู้กันจนตายจงกลับไปบอกบริวารให้เรียบร้อยและไปเจอกันที่ถ้ำ หากผู้ใดตายจะได้ไม่อายฟ้าดิน ทรพีหลงกลก็ไปรอที่ถ้ำ พาลีเห็นดังนั้นก็ยินดีที่ทรพีหลงในกลอุบาย พาลีกลับมาถึงเมืองก็สั่งสุครีพว่าพรุ่งนี้พี่จะลวงมันไปชิงชัยในถ้ำใน 7 วัน ถ้าไม่กลับมาให้คุมพลโยธา ไปตรวจดูถ้าเห็นเป็นเลือดดำเป็นเลือดมหิงสา ถ้าเป็นเลือดใสคือเลือดของพี่ให้คุมพลโยธาปิดปากถ้ำ พาลีจึงเข้าพักแล้วรุ่งเช้าก็แต่งองค์ทรงเครื่องหยิบพระขรรค์ออกไปหาทรพีและเรียกให้ทรพีมาสู้ในถ้ำ ต่างคนต่างสู้กันจนกินเวลามาถึง 7 วัน พาลีก็คิดด้วยไวปัญญาว่ามหิงสาตนนี้คงมีเทวดาคอยช่วยเหลือ จึงถามทรพีว่าเจ้ามีฤทธิ์ดังนี้เทวดาองค์ใดให้ฤทธิ์กับเจ้า ทรพีได้ยินดังนั้นจึงตอบไปกลับไปว่าข้าเก่ง ด้วยตัวเอง พาลีได้ยินดังนั้นจึงออกอุบายด้วยคำพูดว่า เทวดาองค์ใดสิงสู่มหิงสาตัวนี้ได้ยินคำพูดแล้ว ว่าตัวมันนั้นอกตัญญู ขอเชิญเทวดากลับวิมาน เทวดาได้ยินความดังนั้นจึงพากันบอกว่ามหิงสาไม่รู้คุณ และน้อยใจจึงสำแดงฤทธิ์ให้พาลีเห็นว่าเทวดากลับสู่วิมาน พาลีเห็นดังนั้นก็ดีใจและเข้าต่อสู้กับทรพี ทั้งถีบทั้งจับเขาทรพีทั้งแทงทรพี ทรพีก็ไล่ขวิดเข้าต่อสู้กับพาลีจนเลือดไหลไปทั้งตัว ผลสุดท้ายพาลี มือซ้ายจับเขาทรพี มือขวาถือพระขรรค์ฟาดไปที่พาลีจนตาย เมื่อเป็นบทการแสดงโขน ของ นายเสรี หวังในธรรม ตอน พาลีรบทรพี นั้นจัดอยู่หนึ่งในตอน ของการแสดงโขน ชุดพาลีสอนน้อง แสดงในปี 2517 ซึ่งมี 3 องก์7 ตอน ในการนี้ผู้วิจัยได้ยก ตอน พาลีรบทรพีอยู่ในองก์ที่ 3 พาลีสอนน้อง ตอนที่ 2 ซึ่งเป็นเป็นตอนที่ผู้วิจัยทำการศึกษาโดยกล่าวถึง หลังจากทรพีฆ่าพ่อของตนเองตายและได้ไปทายท้าพระอิศวรจนถึงทรพีตาย มีเนื้อความดังต่อไปนี้ - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด - - เจรจา - ทรพี - นี่แน่ะ พระศุลีผู้เป็นใหญ่ในโลกา เราทรพีขอทายท้าแก่ตัวท่าน แม้นเก่งจริงจงมาโรม รันประลองฤทธิ์ ให้ปรากฏทศทิศลือสะท้าน - ร้องเพลงนาคราช - เหม่ เหม่ ดูดู๋ไอ้ทรพี มาอ้างอวดฤทธีทำหาญ ตัวมึงหยาบใหญ่ใจพาล อ้ายชาติเดรัจฉานทรลักษณ์ ฆ่าพ่อตัวตายแล้วมิหนำ จะซ้ำเอาคอมารอจักร จะมาท้าทายกูไม่คู่พักตร์ แม้นรักจักใคร่ราวี
22 เอ็งจงลงไปยุทธยง ด้วยพาลีลูกองค์โกสีย์ ให้มึงสิ้นชีพชีวี แพ้ฤทธิ์พาลีผู้ศักดา - ร้องเพลงเขมรสุดใจ - บัดนั้น ทรพีฤทธิแรงแข็งกล้า ครั้นต้องคำสาปเจ้าโลกา บังเอิญให้โมหาบ้าใจ ขวิดคัดไกรลาศสิงขร สำแดงฤทธิรอนแผ่นดินไหว ระเห็จมาในป่าพนาลัย ตรงไปขีดขินธานี - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด - - ทรพีออกและพาลีเต้นออกเจอทรพี– - เจรจา - พาลี - ฝ่ายพระยาพาลีผู้ฤทธิรงค์พงศ์อมร ดูกาสรเห็นท่วงทีมีพลัง จึงเรียกสุครีพ อนุชาเข้ามา สั่งเป็นความนัย ว่าทรพีตนนี้ไซร้มีฤทธิแรง แม้นต่อสู้ในกลางแปลงเห็นยากอยู่พี่จะอุบาย เข้าไปต่อสู้ในคูหา เจ้าจงคุมโยธากลับมาใหม่ คอยสังเกตเลือดอันหลั่งไหลออกมาที่ หน้าถ้ำ ถ้าเป็นเลือดข้นปนดำคือเลือดควาย หากโลหิตใสนั้นก็หมายเป็นเลือดพี่จงเร่ง พลขนคีรีปิดคูหา อย่าปล่อยให้มหิงสาออกมาได้ทุกเช้าตรู่จงคุมหมู่พลไกรมาตรวจตรา สั่งพลางทางร้องท้าว่าเหวยเฮ้ยทรพี อันตัวเจ้ากับเรานี้ต่างมีฤทธิ์ จงไปชิงชัยให้มิดชิด ในคูหา เกลือกผู้ใดใครมรณาเพราะแพ้พ่าย จะได้เป็นความลับไม่อับอายแก่ผู้ใด ทรพี - อ๋อ…เช่นนั้นจะเป็นไรเจ้าพาลีนี่ชะรอยเจ้าเกรงจะเสียทีแพ้แก่ข้า จึงคิดจะเกลื่อนกลบ หลบหน้าให้พ้นอาย รบที่ไหนเจ้าก็ต้องตายวายชีวันว่าแล้วจรจรัลออกนำหน้า มุ่งเข้าสู่ ถ้ำคูหาสุรกานต์พาลีก็ติดตามไปรอนราน - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด - - ทรพี กับพาลี รบกัน - - ร้องเพลงเขมรปากท่อชั้นเดียว - เมื่อนั้น พาลีธิราชอาจหาญ สัประยุทธต่อยุทธเป็นช้านาน ไม่อาจรุกรานเอาชัย ตรึกไปด้วยไวปัญญา มหิงสาตัวนี้เป็นไฉน รุ่งเรืองฤทธาเกรียงไกร หรือจะได้กำลังเทวา
23 - ร้องเพลงร่าย - จึงร้องถามว่าเหวยทรพี ซึ่งเรืองฤทธีแกล้วกล้า เทเวศร์องค์ใดมหึมา ให้กำลังวังชาหรือว่าไร - เจรจา - ทรพี - ชิชะ เจ้าพาลี ช่างถามไถ่ดูถูกกัน เฮ้ย กูนั้นเรืองฤทธิไกรในตัวเอง ใช่ฉกาจเก่งเพราะเทวา มาช่วยเหลือ กูเรืองอำนาจยิ่งกว่าชาติเชื้อวงศ์เทวา เจ้าควรศิโรราบกราบขมาเสียบัดนี้ สิ้นวาจาทรพีที่อกตัญญูเหล่าเทวัญอันเคยอยู่รักษากาย ก็พากันหนีแหนงหน่ายไม่ปกป้อง พาลี - ฝ่ายพาลีเห็นได้ช่องต้องหฤทัย ก็ถาโถมโจมเข้าชิงชัยด้วยฤทธี - ร้องเพลงร่าย - มือซ้ายจับเขายืนยัน มือขวาแกว่งพระขรรค์ชัยศรี ฟาดลงด้วยกำลังทั้งอินทรีย์ ทรพีก็ม้วยบรรลัย - ปี่พาทย์ทำเพลงรัว - โอด - - พาลีฆ่าทรพีตาย - จากบทที่ใช้สำหรับการแสดงโขนตอนพาลีรบทรพี ของ นายเสรี หวังในธรรม พอจะสรุป เรื่องราวได้ดังต่อไปนี้ทรพีไปท้าทายพระอิศวร พระอิศวรสาปให้ตายด้วยพาลีพาลีเจอทรพี พาลี จึงวางอุบายไปสู้ในถ้ำ สั่งให้สุครีพคุมโยธา กลับมาคอยดูเลือดที่ไหลออกมาถ้าเป็นเลือดพี่ให้ปิดคูหา อย่าให้มหิงสาออกมา สั่งเสร็จจึงชวนไปรบในถ้ำ ทรพีจึงตกลงรับคำอุบาย จึงพาไปกันไปรบในถ้ำ พาลีสู้อยู่ไม่อาจฆ่าทรพีได้จึงถามไปว่า ตัวเอ็งมีเทวดาคอยดูแลหรือไม่ ทรพีตอบกูเรืองฤทธิ์ด้วยตนเอง พอสิ้นวาจาเทวดาก็พากันหนีหาย พาลีเห็นดังนั้น ก็เข้าจับเขาทรพีฟาดด้วยพระขรรค์จนตาย เมื่อเป็นบทในการแสดงจะประกอบไปด้วยคำร้อง คำพากย์เจรจา และมีดนตรีในการดำเนินเรื่อง จากบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ รัชกาลที่ 1 และ บทของนายเสรี หวังในธรรม ได้นำมา เรียบเรียงและจัดทำเป็นบทในการแสดงนั้น ผู้วิจัยได้นำมาลงในตารางต่อไปนี้
24 ตารางที่ 2 จากบทวรรณกรรมรามเกียรติ์ ร.1 กับ บทที่ใช้สำหรับการแสดง ลำดับ เรือง บทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ ร.1 บทที่ใช้ในการแสดงโขน ของนายเสรี หวังในธรรม 1 ๏ ครั้นถึงเข้าสวนอุทยาน ของลูกมัฆวานเรืองศรี ชนไม้หักล้มไม่สมประดี ไล่ขวิดกระบี่วุ่นไป ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น ฝ่ายพลวานรน้อยใหญ่ เห็นมหิงส์ไล่มาก็ตกใจ ผู้ใดไม่อาจประจัญ ต่างตนต่างก็กลัวตัวสั่น เรียกร้องหากันกุลาหล บ้างคลานบ้างล้มอลวน วิ่งพะปะปนกันไปมา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น คำแหงทรพีใจกล้า ไม่มีใครรอต่อฤทธา ก็วางมายังหน้าพระลานชัย ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ จึ่งร้องว่าเหวยพานรินทร์เจ้าเมืองขีดขินกรุงใหญ่ เขาลือว่ามีฤทธิไกร ผู้ใดไม่อาจจะต้านทาน ตัวเราอยู่ในหิมเวศ ก็ทรงเดชฤทธากล้าหาญ เทวาอารักษ์ทั้งจักรวาล สะท้านท้อไม่ต่อศักดา ถึงพระอิศวรบรมนาถ ก็ขยาดฤทธิ์กูผู้แกล้วกล้า เอ็งดีจงเร่งลงมา เข่นฆ่าลองดูฤทธิรอน ฯ ฯ ๖ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีชาญสมร เสด็จเหนือสิงหาสน์บัญชร ได้ยินกาสรร้องมา กริ้วโกรธพิโรธคือไฟกัลป์ฉวยชักพระขรรค์อันคมกล้า โจนจากปราสาทแก้วแววฟ้า สำแดงฤทธาเข้าราวี ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด - -ทรพีออกและพาลีเต้นออกเจอทรพี – -
25 ตารางที่ 2 จากบทวรรณกรรมรามเกียรติ์ ร.1 กับ บทที่ใช้สำหรับการแสดง (ต่อ) ลำดับ เรือง บทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ ร.1 บทที่ใช้ในการแสดงโขน ของนายเสรี หวังในธรรม ๏ บัดนั้น พญากาสรเรืองศรี โลดโผนโจนประจัญทันที ต่างชนต่างตีสำแดงฤทธิ์ สองหาญต่อหาญไม่ลดกัน ยุทธ์แย้งแทงฟันเสี่ยวขวิด หลบหลีกพัลวันกระชั้นชิด ต่างคนไม่คิดชีวา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด 2 ๏ เมื่อนั้น พาลีฤทธิแรงแข็งกล้า ต่อด้วยทรพีแต่เช้ามา จนถึงเวลาสายัณห์ จึ่งคิดว่ากาสรนี้สามารถ องอาจฤทธิแรงแข็งขัน ยิ่งกว่าทศเศียรกุมภัณฑ์ จะฆ่ามันกลางแปลงไม่ได้ที อย่าเลยจะลวงเข้าไป ชิงชัยในถํ้าคีรีศรี เห็นจะขัดขวางทางต่อตี ก็จะล้างชีวีมันวายปราณ คิดแล้วจึงมีวาจา ดูราทรพีใจหาญ แต่เรารบรันประจัญบาน ก็รู้จักประมาณฤทธิไกร มิเอ็งก็กูจะม้วยมิด ที่จะรอดชีวิตนั้นหาไม่ บัดนี้สิ้นแสงอโณทัย จงกลับไปสั่งฝูงบริวาร ฝ่ายเราก็จะสั่งฝูงอนงค์ ทั้งสุริย์วงศ์โยธาทวยหาญ พรุ่งนี้จึ่งไปรอนราญ ในถํ้าแก้วสุรกานต์พรรณราย ให้ลับมนุษย์ครุฑา วิทยาอารักษ์ทั้งหลาย มาตรแม้นชีวิตจะวอดวาย ก็ไม่อายไพร่ฟ้าประชากร ฯ ๑๔ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีใจหาญชาญสมร กำเริบฤทธิ์คิดแต่จะราญรอน หลงกลวานรก็ตอบไป ซึ่งจะสู้กันในคีรี ทั้งนี้ก็ตามอัชฌาสัย จะคอยอยู่ปากถ้ำอำไพ ว่าแล้วกลับไปอรัญวา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด พาลี - ฝ่ายพระยาพาลีผู้ฤทธิรงค์ พงศ์อมร ดูกาสรเห็นท่วงทีมีพลัง จึงเรียกสุครีพ อนุชาเข้ามาสั่งเป็น ความนัย ว่าทรพีตนนี้ไซร้มีฤทธิแรง แม้นต่อสู้ในกลางแปลงเห็นยากอยู่ พี่จะอุบายเข้าไปต่อสู้ในคูหา เจ้าจง คุมโยธากลับมาใหม่ คอยสังเกต เลือดอันหลั่งไหลออกมาที่หน้าถ้ำ ถ้าเป็นเลือดข้นปนดำคือเลือดควาย หากโลหิตใสนั้นก็หมายเป็นเลือดพี่ จงเร่งพลขนคีรีปิดคูหา อย่าปล่อย ให้มหิงสาออกมาได้ทุกเช้าตรู่จงคุม หมู่ พลไกรมาตรวจตรา สั่งพลาง ทางร้องท้าว่าเหวยเฮ้ยทรพีอันตัว เจ้ากับเรานี้ต่างมีฤทธิ์จงไปชิงชัยให้ มิดชิดในคูหา เกลือกผู้ใดใครมรณา เพราะแพ้พ่ายจะได้เป็นความลับไม่ อับอายแก่ผู้ใด
26 ตารางที่ 2 จากบทวรรณกรรมรามเกียรติ์ร.1 กับ บทที่ใช้สำหรับการแสดง (ต่อ) ลำดับ เรือง บทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ ร.1 บทที่ใช้ในการแสดงโขน ของนายเสรี หวังในธรรม ๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวโกสีย์แกล้วกล้า เห็นกาสรหลงกลมารยา ก็กลับมาด้วยความยินดีฯ ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ ๏ ครั้นถึงนั่งเหนือบัลลังก์อาสน์อันโอภาสจำรัสรัศมี แล้วมีพจนารถวาที แก่ศรีสุครีพผู้ร่วมใจ กาสรตัวนี้มันมีฤทธิ์ จะหมายล้างชีวิตยังไม่ได้ พรุ่งนี้ลวงให้ไปชิงชัย ที่ในถํ้าแก้วสุรกานต์ แม้นว่าพี่ต่อสู้มัน เจ็ดวันไม่คืนราชฐาน ตัวเจ้าผู้ปรีชาชาญ ไปดูที่ธารคีรี ถ้าเลือดข้นนั้นเลือดมหิงสา เลือดไหลเหลวมานั้นเลือดพี่ จงขับพวกพลโยธี ขนศิลาปิดปากถํ้าไว้ อย่าให้ผู้ใดใครมาพบ เห็นซากศพนั้นได้ สั่งแล้วลูกท้าวหัสนัยน์ เสด็จไปเข้าที่ไสยา ฯ ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ กล่อม ๏ ครั้นรุ่งแสงศรีรวีวรรณ สุริยันเยี่ยมยอดภูผา แต่งองค์ทรงพระขรรค์ศักดา ก็เหาะมาด้วยกำลังฤทธี ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ทรพี - อ๋อ…เช่นนั้นจะเป็นไรเจ้า พาลีนี่ชะรอยเจ้าเกรงจะเสียทีแพ้ แก่ข้าจึงคิดจะเกลื่อนกลบหลบหน้า ให้พ้นอาย รบที่ไหนเจ้าก็ต้องตาย วายชีวันว่าแล้วจรจรัลออกนำหน้า มุ่งเข้าสู่ถ้ำคูหาสุรกานต์ พาลีก็ติดตามไปรอนราน 3 ๏ ลอยลิ่วปลิวไปในคัคนานต์ ถึงปากถํ้าสุรกานต์คีรีศรี จึ่งเห็นคำแหงทรพี ขุนกระบี่กวักกรเรียกไป เหวยเหวยดูกรมหิงสา เอ็งอหังการ์หยาบใหญ่ จงเร่งเข้ามาชิงชัย ที่ในถํ้าแก้วสุรกานต์ ฯ ฯ ๔ คำ ฯ - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด - - ทรพี กับพาลี รบกัน -
27 ตารางที่ 2 จากบทวรรณกรรมรามเกียรติ์ ร.1 กับ บทที่ใช้สำหรับการแสดง (ต่อ) ลำดับ เรือง บทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ ร.1 บทที่ใช้ในการแสดงโขน ของนายเสรี หวังในธรรม ๏ บัดนั้น คำแหงทรพีใจหาญ ได้ฟังลูกท้าวมัฆวาน เผ่นทะยานเข้าถ้ำคีรี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพานรินทร์เรืองศรี โลดโผนโจนจับทรพี ท่วงทีกลับกลอกว่องไว ต่างหาญต่างกล้าไม่ละกัน เสียงสนั่นครั่นครื้นภูเขาไหว ต่างขวิดต่างแทงวุ่นไป ต่างถอยต่างไล่ราญรอน ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น ทรพีใจหาญชาญสม ชนเสี่ยวเลี้ยวไล่ตะลุมบอน ขวิดค้อนกลับกลอกไปมา เขาตีเท้าถีบโถมทะยาน ต่อต้านยืนยันประจัญหน้า ถ้อยทีถ้อยมีฤทธา หมายเขม้นเข่นฆ่าชีวิตกัน ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด 4 ๏ เมื่อนั้น พาลีฤทธิแรงแข็งขัน สัประยุทธ์ต่อยุทธ์ถึงเจ็ดวัน เสมอกันถ้อยทีไม่มีชัย ก็ตรึกไปด้วยไวปัญญา มหิงสาตัวนี้เป็นไฉน จึ่งมีฤทธาเกรียงไกร หรือจะได้กำลังเทวัญ จำจะอุบายด้วยความคิด ลวงล้างชีวิตให้อาสัญ ตริแล้วไม่รบติดพัน หันออกมากล่าววาจา เหวยเหวยดูกรทรพี ซึ่งเรืองฤทธีแกล้วกล้า เทวัญองค์ใดมหึมา ให้ศักดาเอ็งหรือว่าไร ฯ ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา -ร้องเพลงเขมรปากท่อชั้นเดียว - เมื่อนั้น พาลีธิราชอาจหาญ สัประยุทธต่อยุทธเป็นช้านาน ไม่อาจรุกรานเอาชัย ตรึกไปด้วยไวปัญญา มหิงสาตัวนี้เป็นไฉน รุ่งเรืองฤทธาเกรียงไกร หรือจะได้กำลังเทวา
28 ตารางที่ 2 จากบทวรรณกรรมรามเกียรติ์ ร.1 กับ บทที่ใช้สำหรับการแสดง (ต่อ) ลำดับ เรือง บทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ ร.1 บทที่ใช้ในการแสดงโขน ของนายเสรี หวังในธรรม ๏ บัดนั้น ทรพีผู้ใจหยาบใหญ่ ได้ฟังจึ่งร้องตอบไป เป็นไฉนมาถามกำลังเรา เทวัญองค์ใดไม่สิงสู่ ตัวกูมีฤทธิ์ด้วยสองเขา เอ็งอย่าสู่รู้ดูเบา กูจะเอาชีวิตเสียบัดนี้ ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา ๏ เมื่อนั้น พญาพานรินทร์เรืองศรี ได้ฟังถ้อยคำทรพี ขุนกระบี่อุบายด้วยวาจา ร้องว่าดูกรเทเวศ อันเรืองเดชฤทธิแรงแข็งกล้า ซึ่งสิงสู่อยู่ในกายา มหิงสามันอกตัญญู มิได้คำรพนบคุณ กลับกล่าวทารุณลบหลู่ เสียทีที่ท่านเลี้ยงดู อย่าอยู่รักษาไอ้อาธรรม์ เชิญไปสู่ทิพพิมาน สำราญด้วยนางสาวสวรรค์ ฟังเราว่าเถิดนะเทวัญ จงชวนกันออกจากกายา ฯ ฯ ๘ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น เทเวศซึ่งอยู่รักษา ได้ฟังพาลีเจรจา สุรารักษ์เห็นจริงทุกสิ่งไป จึ่งว่ากาสรนี้ทรลักษณ์ จะรู้จักคุณเราก็หาไม่ ต่างองค์ต่างคิดน้อยใจ เทพไทออกจากกายา แกล้งสำแดงองค์แก่พาลี รัศมีสว่างทั้งคูหา หกองค์ผู้ทรงเดชา ก็พากันเหาะไปยังวิมาน ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีใจหาญ เห็นหกเทเวศชัยชาญ ไม่อยู่พยาบาลก็ดีใจ ขุนกระบี่สำแดงแผลงฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทหวาดไหว ผาดโผนโจนจ้วงว่องไว ทะลวงไล่ด้วยกำลังกายา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ - ร้องเพลงร่าย - จึงร้องถามว่าเหวยทรพี ซึ่งเรืองฤทธีแกล้วกล้า เทเวศร์องค์ใดมหึมา ให้กำลังวังชาหรือว่าไร - เจรจา - ทรพี - ชิชะ เจ้าพาลี ช่างถามไถ่ดูถูก กัน เฮ้ย กูนั้นเรืองฤทธิไกรในตัวเอง ใช่ฉกาจเก่งเพราะเทวามาช่วยเหลือกู เรืองอำนาจยิ่งกว่าชาติเชื้อวงศ์เทวา เจ้าควรศิโรราบกราบขมาเสียบัดนี้ สิ้นวาจาทรพีที่อกตัญญูเหล่าเทวัญ อันเคยอยู่รักษากายก็พากันหนีแหนง หน่ายไม่ปกป้อง พาลี - ฝ่ายพาลีเห็นได้ช่องต้อง หฤทัยก็ถาโถมโจมเข้าชิงชัย ด้วยฤทธี
29 ตารางที่ 2 จากบทวรรณกรรมรามเกียรติ์ ร.1 กับ บทที่ใช้สำหรับการแสดง (ต่อ) ลำดับ เรือง บทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ ร.1 บทที่ใช้ในการแสดงโขน ของนายเสรี หวังในธรรม ๏ เท้าซ้ายถีบกายกาสร กรหนึ่งฉวยง้างเขาขวา แทงด้วยพระขรรค์อันศักดากลับกลอกเปลี่ยนท่าติดพัน ฯ ฯ ๒ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีฤทธิแรงแข็งขัน โกรธาถาโถมโจมประจัญ ขวิดชนพัลวันวุ่นไป ล้มลุกคลุกคลานไม่ต้านติด จะต่อฤทธิ์วานรก็ไม่ได้ กำลังน้อยถอยท้อสลดใจ เลือดไหลหยดย้อยทั้งกายา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีใจกล้า รณรงค์องอาจผาดโผนมา เหยียบเขาพญาทรพี มือซ้ายง้างเขายืนยัน กรขวาแกว่งพระขรรค์ชัยศรี ฟาดด้วยกำลังฤทธี ทรพีก็ม้วยบรรลัย ฯ ฯ ๔ คำ ฯ - ร้องเพลงร่าย - มือซ้ายจับเขายืนยัน มือขวาแกว่งพระขรรค์ชัยศรี ฟาดลงด้วยกำลังทั้งอินทรีย์ ทรพีก็ม้วยบรรลัย - ปี่พาทย์ทำเพลงรัว - โอด - - พาลีฆ่าทรพีตาย – ที่มา: ผู้วิจัย จากตารางที่ 2 พบว่า เนื้อเรื่องในบทพระราชนิพนธ์นั้นเป็นบทกลอนที่มีความยาวและ เป็นเรื่องที่ผู้อ่านต้องใช้จิตนาการในการอ่าน แต่เมื่อมานำมาเป็นบทที่ใช้ในการแสดงจึงต้องมีการ ตัดทอนบางส่วนเพื่อให้เรื่องดำเนินได้รวดเร็วมากขึ้นในบางช่วงจะใช้ตัวแสดงในการแสดงแทน เช่น ลำดับเรื่องที่ 3 ในบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์รัชกาลที่ 1 จะกล่าวถึงการรบของตัวละคร แต่เมื่อเป็นบทที่ใช้แสดงจะใช้ผู้แสดงในการรบแทนเพื่อให้ผู้ชมเห็นภาพว่าทั้งสองตัวละครกำลังสู้กัน เมื่อมาสู่การแสดง คุณครูที่ประดิษฐ์คิดท่ารำขึ้นก็จะอิงจากบทพระราชนิพนธ์ในการคิดประดิษฐ์ท่ารำ เช่น เมื่อกล่าวถึงพาลีใช้พระขรรค์ฟาด ก็จะมีท่าทางในการแสดงโขนเป็นช่วงที่ทรพีใช้การฟาดก็ฟาด พาลีจริง กล่าวว่าทรพีใช้เขาขวิด เท้าถีบ กระบวนท่าในการรำก็มีเช่นกัน จากการศึกษาบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ในรัชกาลที่ 1 พบว่า บทพระราชนิพนธ์ของ พระองค์ท่านมีพระประสงค์เพื่อรวบรวมเนื้อหาเรื่องรามเกียรติ์ให้มีความสมบูรณ์นอกเหนือจาก เนื้อหาที่สมบูรณ์ยังคงมีพระประสงค์เพื่อให้เป็นหนังสือที่ใช้เป็นบทละครสำหรับแสดงละคร
30 ในพระราชสำนักของพระองค์ด้วยพระประสงค์ที่พระองค์ท่านได้ทรงกำหนดไว้จึงทำให้ บทพระราชนิพนธ์ของท่านสมบูรณ์ในเรื่องราว โดยเฉพาะในตอนที่ว่าด้วยเรื่องของพาลีซึ่งเป็น ตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์นอกจากนั้น ละครเรื่องรามเกียรติ์ในรัชกาลที่ 1 ได้ถูกเสนอ เป็นบทโขนที่ใช้ในการแสดงโขนในตอนที่มีชื่อว่า พาลีสอนน้อง ผู้จัดทำบท คือ นายเสรีหวังในธรรม โดยได้นำบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 ปรุงแต่งเพื่อใช้เป็นบทสำหรับแสดงโขนในรูปแบบโขนฉาก โดยมีการบรรยายเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ครบทุกรสและมีการนำเสนอเรื่องราวอย่างกระชับ ทันใจผู้ชม นับเป็นการนำเสนอเรื่องราวของพาลีตั้งแต่ได้รับพรจากพระอีศวรได้นางดาราเป็นชายา ทรพีท้ารบและไล่สุครีพอายออกจากเมือง สุครีพท้ารบและพาลีสอนน้องก่อนจะฆ่าตัวตาย ซึ่งการทำ บทของนายเสรีหวังในธรรม ได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างล้นหลามจนได้รับการขนานนามว่า โขนเงินล้าน 3. ประวัติและบทบาทของพาลีกับทรพี ผู้วิจัยได้ศึกษาประวัติตัวละคร พาลี ทรพี และบันทึกเป็นเรื่องราวการดำเนินเรื่องของตัว ละคร และนำไปสู่บทบาทของตัวละครโดยได้ให้ความหมายบทบาทไว้ดังนี้ไว้ดังต่อไปนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2556 (2556, น. 648 - 649) ได้ให้ความหมายของ คำว่า บทบาท หมายถึง ฐานะ การทำตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ เช่น บทบาทของพ่อแม่ บทบาทของครู เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่าบทบาท เป็นการปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของสถานภาพ ซึ่งก็คือ ตำแหน่ง หรือ ฐานะ บทบาทจะช่วยให้บุคคลปฏิบัติตามสถานภาพอย่างมีประ สิทธิภาพ เพราะบทบาทกำหนด ความรับผิดชอบ ของงานต่าง ๆ ที่ปฏิบัติสถานภาพและบทบาทของตัวละครไม่ได้เป็นเพียง จินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น แต่การแสดง บทบาทของตัวละครล้วนมีการกำหนดสถานภาพ ให้ตัวละครมีบทบาทต่าง ๆ เป็นการนำความจริงและ จินตนาการมารวมกัน ตัวละครจึงสะท้อนให้เห็น ภาพของบุคคลในสังคมที่มีบทบาทหน้าที่ตามฐานะ ของ ตัวละคร บทบาทของตัวละคร พบว่า บทบาทเป็นการปฏิบัติตามสถานภาพ ที่มีมาตั้งแต่กำเนิด เป็นสถานภาพที่ได้รับมาโดยอัตโนมัติเช่น เพศ อายุ ชาติตระกูล เป็นต้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง สถานภาพที่เกิดจากการกระทำของบุคคลส่งผลให้เกิดผลสำเร็จในชีวิต ก่อให้เกิดบทบาทใหม่ของ บุคคล ที่เปลี่ยนแปลงสถานภาพที่ได้มาใน ภายหลัง (คณาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา, 2543, น. 24 - 25)
31 ประวัติตัวละครถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับตัวละครด้วยกัน กลวิธี การสร้างตัว ละคร แสดงให้เห็นว่า ตัวละครเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญ เป็นตัวดำเนิน เรื่องราวเหตุการณ์(เสาวคนธ์วงศ์ศุภชัยนิมิต, 2559, น. 29) ตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาจะมีลักษณะ นิสัยตามที่ผู้แต่งได้กำหนด ลักษณะนิสัยของตัวละครเอาไปเพื่อให้ตัวละครแต่ละตัวมีการแสดง พฤติกรรมในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ภายในเรื่อง การแสดงบทบาทละครของตัวละครที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของตัวละครและการดำเนินเรื่องเพราะตัวละครเป็นผู้แสดงบทบาทและ พฤติกรรมต่าง ๆ ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นภายในเรื่อง ดังนั้นประวัติและบทบาทของตัวละคร พาลีและทรพีในรามเกียรติ์สามารถสรุป ดังต่อไปนี้ 3.1 ประวัติและบทบาทของพาลี ภาพที่1 พาลี ที่มา: ผู้วิจัย ประวัติพาลี พาลีหรือพญากากาศ เป็นตัวละครเอกตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์มีกายสีเขียว ถือว่าเป็น ตัวละครที่มีบทบาทและมีความสำคัญในเรื่องรามเกียรติ์ ผู้วิจัยได้ศึกษาเชื้อสาย การกำเนิด บทบาท ของพาลีและ เรื่องราวเกี่ยวกับพาลี ได้ดังต่อไปนี้ พาลี พานเรศเจ้า ขีดขิน นครเฮย เอารสองค์อมรินทร์ ฤทธิ์กล้า ทรงชฎาลอออิน ทรีย์สด เขียวแฮ ใครรบสบแรงล้า กึ่งเปลี้ยเสียศูนย์ (เสฐียรโกเศศ, 2551, น. 75 - 76)
32 ผู้นิพนธ์โคลงประจำภาพคือเจ้า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทววงศ์วโรปการ : สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 กรมพระยาเทวะศ์วโรปการ (พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์) ภาพที่ 2 แผนภูมิชาติกำเนิดพาลี ที่มา: ผู้วิจัย พญาพาลีหรือ พญากากาศ เป็นพญาวานรตัวละครตัวหนึ่งที่มีบทบาท และอิทธิฤทธานุภาพมาก และเป็นตัวละครที่มีชาติกำเนิดแตกต่างจากตัวละครตัวอื่น ๆ ในเรื่องรามเกียรติ์แต่เดิม พาลีมิได้ถือกำเนิดเป็นลิงแต่เกิดเป็นมนุษย์ ภายหลังได้ถูกสาปให้ร่างกายเป็นลิง ดังมีเรื่องราวต่อไปนี้ กรุงสาเกตุ เมืองหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ มีกษัตริย์นามว่า ท้าวโคดมเป็นผู้ปกครองเมือง มีนางสุวรรณประไพเป็นมเหสีทั้งสองพระองค์ครองคู่กันมาโดยไม่มีพระโอรสพระธิดา สืบพระ ราชวงศ์ ท้าวโคดมทรงเกิดความเบื่อหน่ายในราชสมบัติจึงได้ออกบวชเป็นฤษีโดยบำเพ็ญเพียรภาวนา อยู่ในป่าเป็นเวลาล่วงเลยมาถึงสองพันปีจนหนวดเครายาวลงมาปรกตัก มีนกกระจาบป่าผัวเมียคู่หนึ่ง เข้ามาทำรังอยู่จนกระทั่งนางนกตัวเมียตั้งท้องและออกไข่ นกผัวจึงให้นางนกเมีย กกไข่ ส่วนตน จะเป็นผู้ออกหาอาหารมาให้ทุกวัน มาวันหนึ่งนกผัวบินออกหาอาหารและบินออกไปไกลจนถึง สระหิมพานต์แลเห็นดอกบัวใหญ่ดอกหนึ่งจึงตรงเข้าเกลือกเคล้าและจิกกินเกสรดอกบัวด้วยความ เพลินใจจนเวลาล่วงค่ำกลีบบัวหุบขังนกผัวไว้ กระทั่งเช้าจึงออกได้และบินกลับมาหานางนกเมีย นางนกเมียโกรธ หาว่านกผัวไปมั่วสุมสมสู่กับนกอื่น โดยไม่คิดถึงตนที่อยู่คอยกกไข่รออยู่ ข้างฝ่ายนก ผัวพยายามจะอธิบายให้นางนกเมียเข้าใจเพียงใดนางนกเมียก็มิฟัง นกผัวจึงเอ่ยคำสาบานว่า หากตน ประพฤตินอกใจเมียก็ขอให้บาปของพระฤษีทั้งหมดตกอยู่แก่ตน ข้างฝ่ายพระฤษีโคดมได้ยินคำสาบาน พระอินทร์ กาลอัจนา พาลี นางมณโฑ นางดารา องคต
33 เช่นนั้น จึงเอ่ยถามนกผัวด้วยความสงสัยว่า ตนเฝ้าเพียรบำเพ็ญภาวนามาถึงสองพันปีแล้ว อย่างไรจึง ยังมีบาปอยู่อีก นกผัวตอบพระฤษีว่า พระฤษีนั้นมีบาปเพราะไม่มีลูกไว้สืบวงศ์ตระกูล พระฤษีโคดม แลเห็นจริงแห่งบาปของตนตามที่นกกระจาบผัวบอกจึงได้ตั้งพิธีกุณฑ์ร่ายพระเวทย์เสกให้บังเกิด นางงามสวยผุดผาดขึ้นมา ตั้งชื่อให้ว่า นางกาลอัจนาและรับนางมาอยู่กินฉันสามีภรรยา จนกระทั่ง นางตั้งครรภ์และคลอดลูกสาวให้ชื่อว่า สวาหะ ทุกเช้าพระฤษีโคดมมีหน้าที่ในการออกหาผลไม้ มาเป็นอาหารให้แก่ ลูกเมีย อยู่มาวันหนึ่งพระอินทร์ได้เหาะลงมาลอบทำชู้ด้วยนางกาลอัจนา จนนาง ตั้งครรภ์และคลอดลูกออกมาเป็นชายกายสีเขียวเช่นเดียวกับพระอินทร์ผู้เป็นพ่อ เมื่อนั้น นางกาลอัจนาเสน่หา ทรงครรภ์ถ้วนทศมาตรา กัลยาประสูติโอรส เป็นชายแช่มช้อยอรชร สีกายเขียวอ่อนดั่งมรกต เลิศล้ำเทวาในโสฬส งามหมดเหมือนองค์บิดา (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 60) พระฤษีโคดมมิได้คลางแคลงใจในตัวนางกาลอัจนา และให้ความเอ็นดูรักใคร่ด้วยเข้าใจ ว่าเด็กที่เกิดมาเป็นลูกของตน อยู่ต่อมาอีกระยะหนึ่งเมื่อเวลาพระฤษีเข้าป่าไปหาอาหารพระอาทิตย์ ก็ได้เหาะลงมาร่วมสมพาสกับนางกาลอัจนาจนให้กำเนิดลูกชายกายสีแดงเหมือนพระอาทิตย์ เมื่อนั้น นางกาลอัจนาสายสมร แต่ยินดีด้วยพระทินกร เกิดความสโมสรก็มีครรภ์ กำหนดถ้วนทศมาลา ก็ประสูติบุตราเฉิดฉัน รูปทรงคล้ายองค์พระสุริยัน ผิวพรรณดั่งเทพนิมิต (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 62) พระฤษีก็สำคัญคิดว่าเป็นลูกของตนและให้ความเอ็นดูรักใคร่ แต่เหตุการณ์ทั้งสองครั้งนั้น มิอาจพ้นสายตาของนางสวาหะผู้เป็นลูกสาว จนมาวันหนึ่งพระฤษีโคดมได้พาลูกทั้งสามไปสรงน้ำ ยังแม่น้ำคงคา มือขวาอุ้มลูกคนเล็ก ลูกคนกลางให้ขี่หลัง และมือซ้ายจูงลูกสาวคนโตให้เดิน นางสวาหะบุตรสาวน้อยใจจึงบ่นให้ได้ยินว่า ทีลูกเขาละก็อุ้มชูให้ขี่ ส่วนลูกของตัวให้เดิน พระฤษีเกิด ความสงสัยจึงได้สอบถาม นางสวาหะจึงเล่าเรื่อง พระฤษีโกรธเมียมากเมื่อมาถึงฝั่งคงคาก็ตั้ง สัตยาธิษฐานว่าจะโยนลูก ทั้งสามลงกลางน้ำ ถ้าเป็นลูกของตนก็ขอให้ว่ายน้ำกลับมาถ้าไม่ใช้ให้เป็นลิง เข้าป่าไป
34 แม้นว่าสามเจ้านี้เป็นเนื้อ เชื้อสายโลหิตของข้า จะทิ้งออกไปกลางคงคา จงว่ายกลับมาทันใด แม้ว่าเป็นลูกชายอื่น อย่าให้ว่ายคืนเข้ามาได้ จงเป็นสวาวานรไพร เสี่ยงแล้วขว้างไปทันที (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 63) เหตุการณ์ก็บังเกิดเป็นประจักษ์ตามคำอธิษฐานของพระฤษีเพราะมีแต่นางสวาหะ เพียงคนเดียวที่ว่ายกลับมาหาพระฤษี ส่วนลูกชายทั้งสองก็กลายร่างเป็นลิงเข้าป่าไป พระฤษีโคดม ก็รีบอุ้มลูกสาวกลับมาที่กุฎิ ด้วยความโกรธได้สาปนางกาลอัจนาที่คบชู้ให้กลายร่างเป็นหิน ก่อนที่ร่าง ของนางกาลอัจนาจะกลายเป็นก้อนหิน นางก็ได้สาปนางสวาหะลูกสาวให้ไปยืนตีนเดียวเหนี่ยวกินลม อยู่ที่เชิงเขาจักรวาล ต่อเมื่อใดที่ให้กำเนิดลูกเป็นพญาวานรผู้ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มากจึงจะพ้นคำสาป แล้วร่างนางก็กลายเป็นหินข้างฝ่ายพระอินทร์และพระอาทิตย์ เมื่อเห็นพระฤษีโคดมสาปลูกของตน ให้เป็นลิงป่าก็ให้เกิดความสงสารลูกที่ต้องทนทุกขเวทนาอยู่ในป่า จึงพากันมาหาลูกและสร้างเมือง ขีดขินให้อยู่ ลูกพระอินทร์เป็นเจ้าเมืองมีชื่อว่า กากาศ ให้ลูกพระอาทิตย์ผู้น้องเป็นอุปราชชื่อว่า สุครีพ คราวหนึ่งบรรดาเหล่าเทวดานางฟ้าได้พากันมาพบปะสโมสร มีการจับระบำรำฟ้อนกันเป็นที่ สนุกสนานในบรรดานางฟ้านั้นมีนางอัปสรมณีเมขลาซึ่งเป็นนางเทพธิดาแห่งมหาสมุทรผู้มีดวงแก้วมณี เป็นอาวุธประจำกายได้มาร่วมงานด้วย นางได้โยนลูกแก้วมณีเล่นบังเกิดแสงแวววับประจวบกับรามสูร เทพอสูรเหาะผ่านมาแลเห็นเข้า อยากได้ดวงแก้วมณีจึงเหาะตามหมายแย่ง เอาดวงแก้วด้วยกำลังฤทธิ์ แต่นางมณีเมขลาก็เหาะหลบหนีด้วยความว่องไวซ้ำยังล่อลูกแก้วมณีบังเกิดแสงแวววับ ทำให้รามสูร มืดหน้าไปชั่วขณะ รามสูรโกรธจับขวานเพชรขว้างออกไป แต่หาได้ถูก นางมณีเมขลา ขณะเดียวกับที่ พระอรชุนเหาะผ่านมา รามสูรเห็นพระอรชุนเหาะเข้ามาขวางก็โกรธตรงเข้าต่อสู้ด้วยพระอรชุน ต่างก็ต่อสู้ผลัดกันรุกรับจนที่สุดพระอรชุนพลาดท่าเสียทีถูกรามสูรจับเท้าทั้งสองฟาดกับเขาพระสุเมรุ เสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งสามโลก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาพระสุเมรุ ที่เคยตั้งตรงเอียงทรุดไป และ พระอรชุนก็สิ้นชีวิต ความเรื่องเขาพระสุเมรุเอียงทรุดทราบถึงพระอิศวร พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้ บรรดาเหล่าเทวดา พระอินทร์ พระพรหม นักสิทธิ์ วิทยาธร รวมทั้งเชิญกากาศเจ้าเมืองขีดขินและ สุครีพ อนุชา ให้ช่วยกันชะลอเขาพระสุเมรุให้ตั้งตรงบรรดาเหล่าเทวดาทั้งหลายได้นำเอาพญานาค มารวมกันควั่นเป็นเกลียวเชือกพันยอดเขาพระสุเมรุ แล้วต่างช่วยกันฉุดแต่จะฉุดอย่างไรก็ไม่เขยื้อน
35 จนบรรดาเหล่าเทวดาทั้งหลายต่างก็อ่อนกำลัง สุครีพจึงได้ออกอุบายให้บรรดาเทวดาช่วยกันดึง พญานาคให้ตึง แล้วสุครีพใช้นิ้วจี้ที่สะดือพญานาค พญานาคสะดุ้งตัวแล้วขนดเชือกเกลียวแน่น เขาพระสุเมรุก็ไหวเขยื้อน กากาศเห็นดังนั้นก็ตรงเข้าเอาบ่าดันยันจนเขาพระสุเมรุตั้งตรงตามเดิม พระอิศวรเห็นความชอบของทั้งสองพี่น้อง ก็ประทานชื่อให้กากาศใหม่ว่า พาลีและมอบ ตรีเพชรกับให้พรว่า “เมื่อรบสู้กับศัตรูผู้ใดก็ขอให้กำลังของผู้นั้นกึ่งหนึ่งมาเข้ารวมเพิ่มกำลังแก่พาลี” และฝากผอบแก้วที่มีนางดาราไปให้แก่สุครีพผู้เป็นน้อง พระนารายณ์ซึ่งเฝ้าอยู่ในที่นั้นทรงทูลทัดทาน ว่า“การฝากหญิงไปแก่ชายก็เท่ากับฝากมาลัยแก่แมลงภู่” พาลีเมื่อฟังคำค้านของพระนารายณ์ ที่ไม่ไว้วางใจตนจึงให้สัตย์สาบานต่อพระนารายณ์ว่าถ้าตนคิดทรยศเอารางวัลของน้องมาเป็นสมบัติ ของตนแล้วไซร้ก็ขอตนตายด้วยศรพระนารายณ์ เมื่อพระอิศวรเห็นพาลีให้สัตย์สาบานต่อที่ประชุม เรียบร้อยจึงได้มอบผอบที่ประทานให้สุครีพฝากพาลีนำไปแล้วพาลีก็ลากลับมายังเมืองขีดขิน เมื่อมาถึงก็ได้เกิดความสงสัยในนางที่อยู่ในผอบว่าจะมีความสวยงดงามเพียงใดจนถึงพระนารายณ์ ทรงทัดทานตน จึงได้เปิดผอบพบกับนางดารา ด้วยความงามของนางดาราทำให้พาลีลืมซึ่งคำสาบาน ของตนที่ให้ไว้แก่พระนารายณ์ได้เกี้ยวพาราสีนางดาราและได้นางเป็นเมีย การผิดคำสาบานครั้งนี้เป็นสาเหตุให้พาลีต้องมาเสียชีวิตเพื่อจะรักษาคำสัตย์สาบานที่ให้ ไว้แก่พระนารายณ์ โดยยอมเสียชีพดีกว่าเสียสัตย์ ครั้งหนึ่งเมื่อเขาไกรลาสซึ่งเป็นที่ประทับของพระอิศวรเอียงทรุดลง เนื่องจากอสูรชื่อ วิรุณหกถอดสายสังวาลเพชรขว้างถูกตุ๊กแกที่ตนคิดว่าทำเสียงล้อเลียนตนขณะที่จะขึ้นเฝ้าพระอิศวร พระอิศวรจึงได้ให้เทวดาไปตามทศกัณฐ์เจ้าเมืองลงกาให้ขึ้นมาเฝ้าเพื่อทำการชะลอเขาไกรลาส จนกระทั่งเขาไกรลาสกลับตั้งตรงตามเดิม ความดีความชอบของทศกัณฐ์ครั้งนี้เป็นที่พอพระทัย พระอิศวรเป็นอย่างมาก ถึงกับประทานพรแก่ทศกัณฐ์ว่า ถ้าต้องการสิ่งใดพระองค์จะทรงประทานให้ ทั้งหมด ทศกัณฐ์ทูลขอประทานพระแม่อุมามารดาโลกโดยหารู้ไม่ว่าพระแม่อุมาคือพระมเหสี ของพระอิศวร พระอิศวรจำพระทัยยกพระอุมาแก่ทศกัณฐ์แต่ทศกัณฐ์ไม่อาจที่จะอุ้มพระอุมาได้ เพราะเมื่อเข้าใกล้ก็จะเกิดรัศมีร้อนแรงแทบจะเผาร่างทศกัณฐ์ให้มอดไหม้ ต้องช้อนพระบาทพระอุมา ทูนขึ้นเหนือศีรษะแล้วเหาะไป ความนี้ทราบถึงพระนารายณ์จึงทรงแปลงกายเป็นยักษ์แก่นั่งปลูก ต้นไม้เอารากหงายชี้ขึ้นฟ้า ดักรอท่าทศกัณฐ์ระหว่างทางที่เหาะกลับเมืองลงกา เมื่อทศกัณฐ์เหาะผ่าน ก็ให้ขบขันคิดว่ายักษ์แก่นี้โง่และเอ่ยสอนว่าให้ปลูกต้นไม้เอารากลงดิน แต่ยักษ์แก่กลับตอบว่าทศกัณฐ์ นั้นแหละที่โง่กว่าตนที่พาผู้หญิงทูนหัวมา ดูน่าสมเพชและบอกว่านางที่ทศกัณฐ์พามาคือพระอุมา
36 ผู้เป็นมารดาของโลกทำให้ทศกัณฐ์ตกใจรีบนำพระอุมาเหาะกลับมาถวายคืน และทูลขอนางมณโฑ ข้ารับใช้ของพระอุมาแทน ทศกัณฐ์อุ้มนางมณโฑเหาะกลับกรุงลงกา ระหว่างทางที่เหาะผ่านเมืองขีดขินของ พญาพาลีขณะนั้นพาลีกำลังนั่งว่าราชการอยู่เหลือบไปบนท้องฟ้าเห็นยักษ์อุ้มหญิงงามหยอกล้อ อยู่เหนือศีรษะตนก็โกรธเพราะถือว่าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นตนผู้เป็นเจ้าเมือง จึงเหาะทะยานขึ้นไปต่อสู้ กับทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์สู้พาลีไม่ได้เพราะพาลีเคยได้พรจากพระอิศวรให้กำลังของศัตรูกึ่งหนึ่งมาเป็น กำลังของตน ทศกัณฐ์แพ้ถูกพาลีแย่งนางมณโฑมาได้และได้นางมณโฑเป็นเมียอยู่กินกันจนนาง ตั้งครรภ์ส่วนทศกัณฐ์เกิดความอับอายหลบหนีกลับกรุงลงกา และได้ไปหาพระฤษีโคบุตรผู้อาจารย์ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พระอาจารย์ฟังพระฤษีโคบุตรรับปากจะไปช่วยพูดกับพระฤษีอังคตพระอาจารย์ พาลีให้ส่งนางมณโฑคืนแก่ทศกัณฐ์ พระฤษีอังคตเดินทางไปหาพาลีและเจรจาขอให้คืนนางมณโฑ ให้ทศกัณฐ์แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรอจนกว่านางคลอดลูก พระฤษีอังคตบอกไม่ต้องรอถึงนางคลอดเพราะ ตนจะทำพิธีผ่าท้องเอาลูกในท้องออกไปฝากท้องนางแพะ พาลีก็ทำตาม หลังจากพระฤษีทำพิธีฝาก ท้องเรียบร้อย พระฤษีอังคตก็ได้พานางมณโฑไปคืนให้แก่ทศกัณฐ์ โดยมอบผ่านทางพระฤษีโคบุตร อาจารย์ทศกัณฐ์และเมื่อครรภ์แก่ใกล้คลอดพระฤษีก็ทำพิธีผ่าท้องนางแพะเอาลูกของพาลีออกมา รูปกายเป็นลิงสีเขียวเหมือนพาลีผู้เป็นพ่อแต่มีปากหุบเหมือนปากแพะ พระฤษีตั้งชื่อให้ว่าองคต เพื่อให้คล้องกับชื่อของตน พระฤษีอังคต คราวหนึ่งพาลีกระทำพิธีลงสรงลูกชายคือองคตที่แม่น้ำยมนา ทศกัณฐ์ทราบข่าวจึงได้ ลอบแปลงกายเป็นปูใหญ่ เพื่อหวังจะหนีบองคตให้ตาย เพราะทศกัณฐ์นั้นมีความแค้นต่อพาลีและ เห็นว่าองคตนั้นเปรียบเสมือนเสี้ยนหนามตำใจตน จึงคิดฆ่าให้ตายแต่พาลีทราบเรื่องเสียก่อนจึงดำน้ำ ลงไปต่อสู้และจับปูทศกัณฐ์ได้ นำไปมัดไว้ที่ปราสาทให้องคตลากเล่นทำทรมานอยู่เจ็ดวันแล้วจึงปล่อย ตัวไป และทศกัณฐ์ก็ไม่กล้าที่จะมาทำอะไรกับพาลีอีกเลย ความพ่ายแพ้ของทศกัณฐ์ต่อพาลีนั้น นับได้ว่าเป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกของทศกัณฐ์ ซึ่งพาลีถือว่าเป็นศัตรูที่มีฤทธิ์สามารถข่มทศกัณฐ์ได้ นนทกาล อสูรเทพผู้มีหน้าที่เป็นนายทวารของพระอิศวร ได้ล่วงละเมิดรักใคร่นางฟ้าชื่อ มาลีและเกี้ยวพาราสี นางตกใจจึงไปทูลฟ้องพระอิศวร พระอิศวรกริ้วสาปให้นนทกาลไปเกิดเป็นกาสร (กระบือ ควาย) ชื่อว่า ทรพา เมื่อใดพญากาสรมีลูกชื่อ ทรพี และถูกลูกฆ่าตายจึงจะพ้นคำสาปกลับมา เป็นนายทวารตามเดิม กาสรทรพามีนางกาสรบริวารถึงห้าพันตัว นางบริวารตัวใดให้กำเนิดลูกเป็นตัว
37 ผู้ก็จะถูกขวิดตายหมด ต่อมานางนิลกาสรตั้งท้องจึงหนีไปคลอดลูกในถ้ำ ลูกที่คลอดเป็นตัวผู้จึงตั้งชื่อ ให้ว่า ทรพีและได้ฝากเทวดาในถ้ำเลี้ยง ทรพีเมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็คอยแต่จะวัดรอยเท้า ทรพาผู้เป็นพ่อ ครั้นเห็นรอยเท้ามาเท่ากันก็ออกจากถ้ำไปท้าทรพาประลองเขาขวิดกัน และได้ฆ่าทรพาควายพ่อตาย ครั้นกำเริบฤทธิ์มากขึ้นเที่ยวท้าทายเทวดา เหล่าเทวดาไม่ยอมสู้ด้วยเห็นเป็นสัตว์เดียรัจฉาน และแนะ ให้ไปท้าพระอิศวรต่อสู้ พระอิศวรเป็นเจ้าบอกให้ไปท้าสู้กับพญาพาลีเจ้าเมืองขีดขินก่อน และตรัสสาป ให้ตายด้วยมือพาลี ทรพีจึงตรงไปท้าพาลี พาลีรับคำท้าเข้าต่อสู้กันกลางแจ้งตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่มีใคร แพ้ใครชนะ พาลีจึงลวงให้ทรพีไปสู้กันในถ้ำเพราะเห็นเป็นที่แคบพอที่จะฆ่าให้ตายได้ก่อนไปได้สั่ง สุครีพน้องชายว่า หากสู้กันนานเจ็ดวันแล้วยังไม่กลับมาให้สุครีพไปดูที่ลำธารหน้าถ้ำ ถ้าเห็นเลือด ที่ไหลออกมามีสีเข้มนั้นคือเลือดควาย แต่ถ้าหากเห็นเลือดที่ไหลออกมาเป็นสีจางคือเลือดของพาลี ให้รีบต้อนไพร่พลไปขนก้อนหินมาปิดที่ปากถ้ำอย่าให้ใคร เห็นศพพาลีได้แล้วจึงไปต่อสู้กับทรพีในถ้ำ สู้กันเจ็ดวันก็ยังไม่มีใครแพ้ใครชนะ พาลีเกิดความสงสัยว่าทรพีคงจะมีใครคอยพิทักษ์รักษาอยู่ จึงได้ ออกอุบายร้องถามว่า เทวดาองค์ใดรักษากายและช่วยให้ทรพีมีฤทธิ์มากทรพีตอบด้วยความลบหลู่ ทรนงว่า ตนนั้นมีฤทธิ์ด้วยเขาทั้งสองของตนเองหาได้มีเทวดาช่วยเหลือ พาลีพอได้ยินดังนั้น จึงประกาศก้องให้เทวดาที่รักษาทรพีได้รับรู้ว่า ทรพีนั้นลบหลู่ไม่มีความกตัญญูรู้คุณเทวดาไม่สมควรที่ คอยปกปักรักษา เทวดาทั้งหกที่รักษากายทรพีได้ยินคำพูดของพาลีก็พากันเห็นคล้อยตามคำพาลี ต่างพากันออกจากกายทรพีโดยแสดงให้พาลีเห็นเป็นแสงสว่างทั้งคูหาพาลีจึงฆ่าทรพีตายและสลบลง ด้วยความอ่อนแรง บังเกิดเหตุให้ฝนตกลงมาห่าใหญ่ชะเลือดข้นของควายทรพีที่ไหลออกมาที่หน้าถ้ำ เป็นสีจางกลายเป็นเลือดใส และควายทรพีที่ตายก็ไปเกิดเป็นอสูร ชื่อว่ามังกรกัณฐ์ ลูกของพญาขร เจ้าเมืองโรมคัลตามคำสาปของพระอิศวรทุกประการ ส่วนสุครีพนับวันคอยอยู่เจ็ดวันตามที่พี่สั่ง ก็ชวนองคตและพลวานรมาสำรวจตรวจดู ลำธารที่หน้าถ้ำ แลเห็นเลือดไหลมามีสีจางก็ตกใจคิดว่าพี่คงถูกทรพีฆ่าตายก็ให้เสียใจและสั่งให้ไพร่พล ขนก้อนหินปิดปากถ้ำตามคำพาลีที่ได้สั่งไว้ ข้างฝ่ายพาลีเมื่อเห็นที่ปากถ้ำถูกก้อนหินปิดก็โกรธมาก จับเอาหัวทรพีที่ตายทุ่มเต็มกำลังจนก้อนหินที่หน้าถ้ำทะลายลง แล้วรีบตรงกลับเมืองขีดขิน แม้สุครีพพยายามอธิบายอย่างไรพาลีก็ไม่ฟังกลับขับไล่สุครีพให้ออกจากเมือง สุครีพเดินร้องไห้ไป จนพบกับหนุมานซึ่งมาบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ป่ากัทลิวันและกำลังจะกำลังจะเดินทางกลับเมืองขีดขิน สุครีพเล่าความทุกข์ร้อนของตนให้หนุมานฟัง หนุมานจึงชวนสุครีพมาเฝ้าพระรามที่เดินดงมาตามหา นางสีดาเพื่อถวายตัวสุครีพเล่าเรื่องราวที่พาลีเคยให้สัตย์สาบานไว้กับพระนารายณ์ เมื่อครั้งที่