The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิทยานิพนธ์ หลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย เรื่อง กระบวนการรบของพาลีและทรพีในการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน พาลีรบทรพี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

กระบวนการรบของพาลีและทรพีในการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน พาลีรบทรพี

วิทยานิพนธ์ หลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย เรื่อง กระบวนการรบของพาลีและทรพีในการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน พาลีรบทรพี

38 พระอิศวรทรงประทานนางดารามาให้ตนแต่พาลีเอานางไปเป็นเมียของตน จึงผิดคำสาบานที่ให้ไว้ว่า ถ้าทรยศเอาของน้องไปขอให้ตายด้วยศรของพระนารายณ์ สุครีพจึงทูลขอให้พระรามแผลงศร ไปสังหารพาลี พระรามให้สุครีพไปท้าพาลีรบแต่สุครีพไม่กล้าเพราะถ้ารบกับพาลีกำลังก็จะเสียไปให้ พาลีกึ่งหนึ่งตามที่พระอิศวรได้ประทานพรให้พระรามจึงนำเอาลูกศรของพระองค์ชุบน้ำแล้วประพรม ทั่วตัวสุครีพเพื่อให้มีร่างกายคงทน สุครีพจึงไปท้าพาลีรบพาลีไม่อาจฆ่าสุครีพได้เพราะความเป็นพี่น้อง กันจึงได้จับสุครีพขว้างไปยังเนินเขาจักรวาล สุครีพเข้ามาเฝ้าพระรามและทูลถามว่า เหตุฉะไหนจึงไม่ แผลงศรสังหารพาลี พระรามจึงทรงอธิบายว่าตัวสุครีพกับพาลีนั้นคล้ายกันมากจึงไม่กล้าที่จะแผลงศร ตัวท่านกับพญาพาลี ท่วงทีรูปทรงก็คล้ายกัน แต่เราชักศรขึ้นพาดสาย เงื้อง่ามุ่งหมายจะคอยลั่น ดูไปไม่ได้สำคัญ ที่จะล้างชีวันวานร ตรัสพลางฉีกชายภูษาทรง ส่งให้สุครีพชาญสมร จงผูกข้อหัตถาไปราญรอน เราจะได้วางศรไม่แคลงใจ (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 28) พระรามทรงฉีกผ้าภูษาทรงผูกข้อมือสุครีพแล้วให้ไปท้าพาลีสู้อีก พระรามจึงแผลงศรไป หมายฆ่าพาลีแต่พาลีจับลูกศรไว้ได้และกล่าวหาพระรามต่าง ๆ นานา พระรามจึงได้ทวงสัตย์สาบาน ที่เคยให้ไว้และทรงสำแดงฤทธิ์ให้พาลีเห็นเป็นพระนารายณ์ พาลีเห็นจริงทุกประการจึงกราบขออภัย และทูลลาตาย พระรามทรงเห็นว่าพาลีนั้นสำนึกผิดจึงเอ่ยขอแต่ให้โลหิตเพียงหนึ่งหยดสังเวยศรพรหมมาสตร์ เท่านั้น พาลีทูลว่าไม่เป็นการสมควร ตนสมควรที่จะตายตามคำสัตย์ที่ได้ให้ไว้ จึงขอที่จะตาย แต่ก่อน ตายได้สั่งสอนสุครีพและฝากสุครีพกับองคตแก่พระรามด้วย ครั้นเสร็จซึ่งลาพระสี่กร วานรเศร้าโทมนัสสา จึงสั่งสุครีพอนุชา พี่จะลาสิ้นชีพชนมาน เจ้าจะอยู่เป็นข้าพระทรงจักร จงพิทักษ์รักษากันอาหลาน หมั่นเฝ้าเช้าเย็นเป็นนิจกาล อย่าเกียจคร้านแต่ตามอำเภอใจ สิ่งใดพระองค์จะตรัสถาม อย่าเบาความเท็จทูลแต่โดยได้ อย่าแต่งตัวโอ้อวดพระทรงชัย ที่ในพระโรงรัตนา หมอบเฝ้าอย่าก้มหน้าเงยหงาย อย่าเตร่ตร่ายเหลือบแลซ้ายขวา พระที่นั่งบัลลังค์อลงการ์ อย่าฝ่าฝืนขึ้นนั่งอิงองค์


39 อันฝูงพระสนมนางใน อย่าผูกจิตพิศมัยใหลหลง จงภักดีต่อใต้บาทบงส์ อย่าทะนงว่าทรงพระเมตตา แขกเมืองอย่าบอกความลับ อย่าสนิทคำนับคบหา อันรางวัลให้ปันเสนา อย่ามีใจฉันทาทัดทาน แม้นกริ้วโกรธลงโทษผู้ใด อย่าใส่ใจยุยงจงผลาญ อย่าโลภลักราชทรัพย์ศฤงคาร พระบรรหารสิ่งใดจงจำความ อาสาเจ้าตนจนตัวตาย จึ่งนับว่าเป็นชายชาญสนาม เจ้าจงจำคำทำตาม ก็จะจำเริญความสวัสดี สอนน้องสิ้นเสียงสิ้นสั่ง สิ้นกำลังสิ้นฤทธิ์กระบี่ศรี วางศรให้ปักอินทรีย์ สิ้นชีวีไปเกิดในวิมาน (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 29) เมื่อสิ้นใจตายแล้ว พาลีได้เกิดเป็นเทพบุตรในวิมานสวรรค์มายา คราวหนึ่งเมื่อทศกัณฐ์ ได้ไปเชิญท้าวมาลีวราชผู้ตั้งอยู่ในความยุติธรรม และได้รับพรจากพระอิศวรให้มีวาจาสิทธิ์ให้มา สาปแช่งพระรามพระลักษณ์ให้บรรลัยพ่ายแพ้ โดยทศกัณฐ์ตั้งตนเป็นโจทย์กล่าวโทษพระราม พระลักษณ์ว่า ท้าวมาลีวราชประกาศประชุมเทวดามาเป็นสักขีพยาน และไปเชิญพระรามมา แก้ข้อกล่าวหาพร้อมทั้งให้ไปเชิญนางสีดาคนกลางมาสอบ ซึ่งนางสีดาสีดาให้การตรงกับคำของ พระราม เหล่าเทวดาก็ได้รับรองเป็นพยานยืนยันคำให้การของทั้งสองเป็นความจริงทั้งสิ้น ท้าวมาลี วราชจึงตัดสินให้ทศกัณฐ์ส่งคืนนางสีดาแก่พระราม ทศกัณฐ์ไม่ยอมท้าวมาลีวราชจึงได้กล่าวสาปแช่ง ให้ทศกัณฐ์ตาย ทศกัณฐ์ได้กลับเมืองลงกา และสั่งให้เสนาไปตั้งพิธีทรายกรดที่เชิงเขาพระสุเมรุ เพื่อเผารูป เทวดาโดยการปั้นรูปเทวดาแล้วโยนเข้าเปลวไฟประสงค์จะให้เทวดาตาย เป็นการแก้แค้นเทวดา ทั้งหลายที่เป็นพยานให้แก่พระราม นอกจากนี้ยังทำพิธีชุบหอกบิลพัทขึ้นอีก พระอิศวรทรงทราบ ความจึงไปเชิญให้เทพบุตรพาลีและบริวารไปทำลายพิธีของทศกัณฐ์เทพบุตรพาลีจึงจำแลงกายเป็น พาลีพร้อมด้วยเทวดาบริวารแปลงกายเป็นพลวานรตรงไปทำลายพิธีที่เชิงเขาพระสุเมรุ ขณะทศกัณฐ์ ทำพิธีแลเห็นเทพบุตรพาลีก็ตกใจแต่รู้ว่าพาลีนั้นตายแล้ว คงเป็นหนุมานที่แปลงกายมาเป็นพาลีเพื่อให้ กลัวจะได้เสียพิธี เทพบุตรพาลีและบริวารจึงเข้าทำลายพิธีและเข้าต่อสู้กับทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์สู้ไม่ได้ เพราะต้องเสียกำลังให้แก่เทพบุตรพาลีกึ่งหนึ่งจึงพ่ายแพ้แทบจะสิ้นชีวิตรีบหนีกลับเมืองลงกา


40 เทพบุตรพาลีและบริวารเมื่อทำลายพิธีทรายกรดและพิธีชุบหอกบิลพัทของทศกัณฐ์ได้แล้วจึงเหาะ กลับไปเฝ้าพระอิศวรทูลความที่ทรงมอบหมายให้กระทำสำเร็จ แล้วจึงเหาะกลับไปยังวิมานสวรรค์ ชั้นมายา (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, 2555, น. 83 - 92 ) บทบาทพาลี บทบาทด้านการปกครองเป็นกษัตริย์ บทวรรณกรรมผู้เขียนได้กำหนดให้พาลีเป็นกษัตริย์ที่มีความพร้อมทั้ง บริวารมากมาย และมีแต่ความสุขสำราญ ทั้งยังมีฤทธิ์ไกรเก่งในการทำสงคราม และดูแลประชากรได้อย่างมีความสุข ดังบทพระราชนิพนธ์แสดงออกให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่สง่างาม ดังต่อไปนี้ เมื่อนั้น องค์พญากากาศเรืองศรี เสวยสุขอยู่ทุกราตรี ด้วยสนมนารีกำนัลใน อันเสนาวานรทวยหาญ พ้นที่จะนับประมาณมิได้ ล้วนมีกำลังฤทธิไกร ห้าวหาญชาญชัยในสงคราม โยธาวานรแต่ละตน ฤทธิรณชำนาญชาญสนาม ย่อมล้วนเลื่องชื่อลือนาม เข็ดขามคร้ามครั่นทั้งธาตรี บำรุงไพร่ฟ้าประชากร ถาวรเป็นสุขเกษมศรี อันสองพระองค์ทรงธรณี ขึ้นเฝ้าพระศุลีเรืองชัย พระเชษฐารักองค์อนุชา ดั่งดวงนัยนาก็ว่าได้ สององค์บำรุงกรุงไกร ไม่มีฉันทาราคีฯ (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 66) บทบาทด้านการเป็นนักรบที่มีฤทธิ์ บทวรรณกรรมที่ผู้วิจัยได้ศึกษา พบว่า พาลีเป็นตัวละครที่มีฤทธิ์และมีความเก่งกาจ มีไหวพริบในการตัดสินใจ และเป็นตัวละครที่หากเป็นเรื่องการต่อสู้จะวางแผนอย่างรอบครอบ ดังข้อมูลที่ผู้วิจัยได้รวบรวมไว้ดังต่อไปนี้ พาลีได้รับตรีเพชร และพรจากพระอิศวร ๏ เมื่อนั้น พระอิศวรบรมนาถา เห็นพญากากาศขึ้นมา มีความปรีดาแล้วตรัสไป


41 ดูก่อนลูกอินทร์ผู้องอาจ พี่น้องฉลาดทำการใหญ่ ความชอบล้ำลบภพไตร จะปูนบำเหน็จในบัดนี้ อันองค์พญากากาศ ชื่อพาลีธิราชเรืองศรี ประทานทั้งตรีเพชรฤทธี แม้นมีไพรีมาต่อกร ให้แพ้ท่านผู้วงศ์สุรารักษ์ ดั่งพยัคฆ์สู้พญาไกรสร กำลังน้อยถอยจากฤทธิรอน ไปเพิ่มแรงวานรอีกกึ่งกาย แล้วเอาผอบแก้วแววฟ้า ใส่นางดาราโฉมฉาย เราฝากไปให้แก่น้องชาย อันสืบสายสุริย์วงศ์กันมา ฯ ฯ ๑๐ คํา ฯ ในบทข้างต้นจะเห็นได้ว่าพาลีได้รับตรีเพชรอีกทั้งยังได้รับพรจากพระอิศวร เมื่อต่อสู้กับ ผู้ใดพลังของคู่ต่อสู้จะถูกลดลงครึ่งหนึ่งและมาเพิ่มพลังให้ตนเอง ในบทนี้จะทำให้เห็นว่าพาลีเป็นลิงที่มี ฤทธิ์มากและมีความแข็งแกร่งยากจะหาใครต่อกร พาลีรบทศกัณฐ์แย่งนางมณโฑ ๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพญาพาลีแกล้วกล้า เสด็จออกบัญชรรจนา พร้อมหมู่มาตยามนตรี หมอบกลาดดาษไปจนสุดเนตร ดั่งเทเวศร์เฝ้าองค์โกสีย์ ว่าขานกิจจาการธานี อยู่ที่สิงหาสน์ไพชยนต์ เหลือบเห็นทศพักตร์อุ้มนาง เหาะลอยมากลางเวหน ล่วงเข้าในภพมณฑล ข้ามมหาไพชยนต์ปราสาทชัย ฯ ฯ ๖ คำ ฯ ๏ ให้พิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท ทำอำนาจเพียงพื้นแผ่นดินไหว เหม่ไอ้ทศกัณฐ์จังไร หมิ่นกูไม่กลัววายปราณ ว่าแล้วฉวยชักพระขรรค์ ขบฟันกวัดแกว่งสําแดงหาญ หมายมาดพิฆาตขุนมาร เหาะทะยานขึ้นยังอัมพร ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ แลเห็นโฉมนางวิไลลักษณ์ ผิวพักตร์เพียงเทพอัปสร เกิดความเสน่หาอาวรณ์ ร้องว่าดูก่อนอสุรา อันตัวของเราก็เป็นชาย เอ็งทําหยาบคายไม่เกรงหน้า


42 อุ้มนางข้ามเมืองกูมา จักฆ่าให้ม้วยชีวี ฯ ๔ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี เห็นพานรขวางหน้าราวี อสุรีกริ้วโกรธคือไฟฟ้า เหม่เหม่ไอ้ชาติเดียรฉาน ฮึกหาญพาทีให้เกินหน้า อากาศเป็นที่ไปมา ปักษีวิทยาสุราลัย กูเดินโดยทางอัมพร จะเหยียบเศียรวานรก็หาไม่ ซึ่งมึงเย่อหยิ่งจะชิงชัย จะได้เห็นกันบัดเดี๋ยวนี้ ฯ ฯ ๖ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวมัฆวานเรืองศรี ได้ฟังจึ่งตอบวาที เหวยเหวยอสุรีพาลา นางนี้จะเป็นเมียกู ไอ้สู่รู้จะม้วยสังขาร์ ว่าแล้วแกว่งตรีอันศักดา เข้าไล่เข่นฆ่ากุมภัณฑ์ ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ ต่างแทงต่างตีต่างรับ หันเวียนกลอกกลับดั่งจักรผัน ต่างแข็งต่างกล้าไม่ละกัน ต่างฟาดต่างฟันประจัญบาน ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ใจหาญ ต่อด้วยลูกท้าวมัฆวาน ขุนมารเสียกำลังกายา กรหนึ่งอุ้มองค์บังอร สิบเก้ากรต่อตีเข่นฆ่า ทิ่มแทงแย้งยุทธ์เป็นโกลา เสียงสนั่นลั่นฟ้าโสฬส อาวุธผัดกันเป็นประกาย แสงกระจายพรายไปดั่งไฟกรด ต่างหาญต่างกล้าไม่เงือดงด ต่างทดต่างแทนฝีมือกัน ฯ ฯ ๖ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พาลีฤทธิแรงแข็งขัน โลดโผนโจนจ้วงทะลวงฟัน บุกบั่นเลี้ยวไล่อสุรี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ


43 ๏ มิให้ดำรงทรงกายได้ ด้วยกำลังว่องไวกระบี่ศรี ทิ่มแทงทศกัณฐ์หลายที ขุนกระบี่ชิงได้นางมา ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด เจรจา ๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษา เสียเมียดั่งเสียชีวา ชลนาคลอเนตรอสุรี ทั้งรักทั้งแค้นทั้งเสียดาย ไม่คิดแก่กายยักษี ถาโถมโจมจ้วงทะลวงตี คลุกคลีวางวิ่งเข้าชิงนาง ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ รบชิดติดพันกระชั้นไป กลับกลอกว่องไวมิให้ห่าง ต่างหนีต่างไล่ไม่ละวาง ต่างแทงต่างฟันกันไปมา ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีใจกล้า มือซ้ายอุ้มองค์กัลยา กรขวาถือตรีโรมรัน ถีบถูกทศพักตร์ยักษี ขุนกระบี่ชี้นิ้วเย้ยหยัน ทำยักคิ้วหลิ่วตาขบฟัน ว่าเหวยทศกัณฐ์ยี่สิบกร นางนี้จะเป็นเมียใคร งามวิไลล้ำเทพอัปสร ว่าพลางจุมพิตบังอร วานรแกล้งเย้าอสุรี ฯ ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา ๏ เมื่อนั้น ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษี สัประยุทธ์ชิงชัยด้วยพาลี สุดที่จะทานฤทธา สุดคิดสุดฤทธิ์สุดกำลัง เพียงสิ้นชีวังสังขาร์ สุดที่จะชิงเอาเมียมา สุดปัญญาก็หนีวานร ฯ ในบทข้างต้น จะเห็นได้ว่าพาลีเป็นนักรบที่มีความทะนงใครก็ไม่อาจหมิ่น เมื่ออยากได้ สิ่งใดก็ต้องได้แสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวและเอาแต่ใจ จะเห็นได้จากความแข็งแกร่งสู้ชนะทศกัณฐ์ ซ้ำยังแย่งนางมาเป็นภรรยา แต่หากผู้ถึงความถูกต้องแล้วก็หามีไม่เพราะ พาลีเป็นผู้หาเรื่องทศกัณฐ์ ก่อนด้วยมานะทิฐิจากการที่ทศกัณฐ์อุ้มนางมณโฑข้ามผ่านเมืองของตน จึงเข้าต่อสู้ด้วยหมายจะแสดง อำนาจเหนือทศกัณฐ์เป็นประการแรก ประการต่อมาคือต้องการนางมณโฑด้วยเห็นว่ามีรูปโฉมงดงาม


44 เมื่อต่อสู้กันนั้นพาลีชิงนางมณโฑมาได้ ทศกัณฐ์จึงได้แต่เก็บความเคียดแค้นแล้วหนีจากไปจึงเป็นเหตุ ให้ทศกัณฐ์มาตามล้างแค้นความอับอายที่องคต พาลีรบทรพี ๏ ครั้นถึงเข้าสวนอุทยาน ของลูกมัฆวานเรืองศรี ชนไม้หักล้มไม่สมประดี ไล่ขวิดกระบี่วุ่นไป ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น ฝ่ายพลวานรน้อยใหญ่ เห็นมหิงส์ไล่มาก็ตกใจ ผู้ใดไม่อาจประจัญ ต่างตนต่างก็กลัวตัวสั่น เรียกร้องหากันกุลาหล บ้างคลานบ้างล้มอลวน วิ่งพะปะปนกันไปมา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น คำแหงทรพีใจกล้า ไม่มีใครรอต่อฤทธา ก็วางมายังหน้าพระลานชัย ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ จึ่งร้องว่าเหวยพานรินทร์ เจ้าเมืองขีดขินกรุงใหญ่ เขาลือว่ามีฤทธิไกร ผู้ใดไม่อาจจะต้านทาน ตัวเราอยู่ในหิมเวศ ก็ทรงเดชฤทธากล้าหาญ เทวาอารักษ์ทั้งจักรวาล สะท้านท้อไม่ต่อศักดา ถึงพระอิศวรบรมนาถ ก็ขยาดฤทธิ์กูผู้แกล้วกล้า เอ็งดีจงเร่งลงมา เข่นฆ่าลองดูฤทธิรอน ฯ ฯ ๖ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีชาญสมร เสด็จเหนือสิงหาสน์บัญชร ได้ยินกาสรร้องมา กริ้วโกรธพิโรธคือไฟกัลป์ ฉวยชักพระขรรค์อันคมกล้า โจนจากปราสาทแก้วแววฟ้า สำแดงฤทธาเข้าราวี ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น พญากาสรเรืองศรี


45 โลดโผนโจนประจัญทันที ต่างชนต่างตีสำแดงฤทธิ์ สองหาญต่อหาญไม่ลดกัน ยุทธ์แย้งแทงฟันเสี่ยวขวิด หลบหลีกพัลวันกระชั้นชิด ต่างคนไม่คิดชีวา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พาลีฤทธิแรงแข็งกล้า ต่อด้วยทรพีแต่เช้ามา จนถึงเวลาสายัณห์ จึ่งคิดว่ากาสรนี้สามารถ องอาจฤทธิแรงแข็งขัน ยิ่งกว่าทศเศียรกุมภัณฑ์ จะฆ่ามันกลางแปลงไม่ได้ที อย่าเลยจะลวงเข้าไป ชิงชัยในถํ้าคีรีศรี เห็นจะขัดขวางทางต่อตี ก็จะล้างชีวีมันวายปราณ คิดแล้วจึงมีวาจา ดูราทรพีใจหาญ แต่เรารบรันประจัญบาน ก็รู้จักประมาณฤทธิไกร มิเอ็งก็กูจะม้วยมิด ที่จะรอดชีวิตนั้นหาไม่ บัดนี้สิ้นแสงอโณทัย จงกลับไปสั่งฝูงบริวาร ฝ่ายเราก็จะสั่งฝูงอนงค์ ทั้งสุริย์วงศ์โยธาทวยหาญ พรุ่งนี้จึ่งไปรอนราญ ในถํ้าแก้วสุรกานต์พรรณราย ให้ลับมนุษย์ครุฑา วิทยาอารักษ์ทั้งหลาย มาตรแม้นชีวิตจะวอดวาย ก็ไม่อายไพร่ฟ้าประชากร ฯ ฯ ๑๔ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีใจหาญชาญสมร กำเริบฤทธิ์คิดแต่จะราญรอน หลงกลวานรก็ตอบไป ซึ่งจะสู้กันในคีรี ทั้งนี้ก็ตามอัชฌาสัย จะคอยอยู่ปากถ้ำอำไพ ว่าแล้วกลับไปอรัญวา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวโกสีย์แกล้วกล้า เห็นกาสรหลงกลมารยา ก็กลับมาด้วยความยินดี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ


46 ๏ ครั้นถึงนั่งเหนือบัลลังก์อาสน์ อันโอภาสจำรัสรัศมี แล้วมีพจนารถวาที แก่ศรีสุครีพผู้ร่วมใจ กาสรตัวนี้มันมีฤทธิ์ จะหมายล้างชีวิตยังไม่ได้ พรุ่งนี้ลวงให้ไปชิงชัย ที่ในถํ้าแก้วสุรกานต์ แม้นว่าพี่ต่อสู้มัน เจ็ดวันไม่คืนราชฐาน ตัวเจ้าผู้ปรีชาชาญ ไปดูที่ธารคีรี ถ้าเลือดข้นนั้นเลือดมหิงสา เลือดไหลเหลวมานั้นเลือดพี่ จงขับพวกพลโยธี ขนศิลาปิดปากถํ้าไว้ อย่าให้ผู้ใดใครมาพบ เห็นซากอสภนั้นได้ สั่งแล้วลูกท้าวหัสนัยน์ เสด็จไปเข้าที่ไสยา ฯ ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ กล่อม ๏ ครั้นรุ่งแสงศรีรวีวรรณ สุริยันเยี่ยมยอดภูผา แต่งองค์ทรงพระขรรค์ศักดา ก็เหาะมาด้วยกำลังฤทธี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ ลอยลิ่วปลิวไปในคัคนานต์ ถึงปากถํ้าสุรกานต์คีรีศรี จึ่งเห็นคำแหงทรพี ขุนกระบี่กวักกรเรียกไป เหวยเหวยดูกรมหิงสา เอ็งอหังการ์หยาบใหญ่ จงเร่งเข้ามาชิงชัย ที่ในถํ้าแก้วสุรกานต์ ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ บัดนั้น คำแหงทรพีใจหาญ ได้ฟังลูกท้าวมัฆวาน เผ่นทะยานเข้าถํ้าคีรี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพานรินทร์เรืองศรี โลดโผนโจนจับทรพี ท่วงทีกลับกลอกว่องไว ต่างหาญต่างกล้าไม่ละกัน เสียงสนั่นครั่นครื้นภูเขาไหว ต่างขวิดต่างแทงวุ่นไป ต่างถอยต่างไล่ราญรอน ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด


47 ๏ บัดนั้น ทรพีใจหาญชาญสมร ชนเสี่ยวเลี้ยวไล่ตะลุมบอน ขวิดค้อนกลับกลอกไปมา เขาตีเท้าถีบโถมทะยาน ต่อต้านยืนยันประจัญหน้า ถ้อยทีถ้อยมีฤทธา หมายเขม้นเข่นฆ่าชีวิตกัน ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พาลีฤทธิแรงแข็งขัน สัประยุทธ์ต่อยุทธ์ถึงเจ็ดวัน เสมอกันถ้อยทีไม่มีชัย ก็ตรึกไปด้วยไวปัญญา มหิงสาตัวนี้เป็นไฉน จึ่งมีฤทธาเกรียงไกร หรือจะได้กำลังเทวัญ จำจะอุบายด้วยความคิด ลวงล้างชีวิตให้อาสัญ ตริแล้วไม่รบติดพัน หันออกมากล่าววาจา เหวยเหวยดูกรทรพี ซึ่งเรืองฤทธีแกล้วกล้า เทวัญองค์ใดมหิมา ให้ศักดาเอ็งหรือว่าไร ฯ ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา ๏ บัดนั้น ทรพีผู้ใจหยาบใหญ่ ได้ฟังจึ่งร้องตอบไป เป็นไฉนมาถามกำลังเรา เทวัญองค์ใดไม่สิงสู่ ตัวกูมีฤทธิ์ด้วยสองเขา เอ็งอย่าสู่รู้ดูเบา กูจะเอาชีวิตเสียบัดนี้ ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา ๏ เมื่อนั้น พญาพานรินทร์เรืองศรี ได้ฟังถ้อยคำทรพี ขุนกระบี่อุบายด้วยวาจา ร้องว่าดูกรเทเวศ อันเรืองเดชฤทธิแรงแข็งกล้า ซึ่งสิงสู่อยู่ในกายา มหิงสามันอกตัญญู มิได้คำรพนบคุณ กลับกล่าวทารุณลบหลู่ เสียทีที่ท่านเลี้ยงดู อย่าอยู่รักษาไอ้อาธรรม์ เชิญไปสู่ทิพพิมาน สำราญด้วยนางสาวสวรรค์


48 ฟังเราว่าเถิดนะเทวัญ จงชวนกันออกจากกายา ฯ ฯ ๘ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น เทเวศซึ่งอยู่รักษา ได้ฟังพาลีเจรจา สุรารักษ์เห็นจริงทุกสิ่งไป จึ่งว่ากาสรนี้ทรลักษณ์ จะรู้จักคุณเราก็หาไม่ ต่างองค์ต่างคิดน้อยใจ เทพไทออกจากกายา แกล้งสำแดงองค์แก่พาลี รัศมีสว่างทั้งคูหา หกองค์ผู้ทรงเดชา ก็พากันเหาะไปยังวิมาน ฯ ฯ ๖ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีใจหาญ เห็นหกเทเวศชัยชาญ ไม่อยู่พยาบาลก็ดีใจ ขุนกระบี่สำแดงแผลงฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทหวาดไหว ผาดโผนโจนจ้วงว่องไว ทะลวงไล่ด้วยกำลังกายา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ เท้าซ้ายถีบกายกาสร กรหนึ่งฉวยง้างเขาขวา แทงด้วยพระขรรค์อันศักดา กลับกลอกเปลี่ยนท่าติดพัน ฯ ฯ ๒ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีฤทธิแรงแข็งขัน โกรธาถาโถมโจมประจัญ ขวิดชนพัลวันวุ่นไป ล้มลุกคลุกคลานไม่ต้านติด จะต่อฤทธิ์วานรก็ไม่ได้ กำลังน้อยถอยท้อสลดใจ เลือดไหลหยดย้อยทั้งกายา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีใจกล้า รณรงค์องอาจผาดโผนมา เหยียบเขาพญาทรพี มือซ้ายง้างเขายืนยัน กรขวาแกว่งพระขรรค์ชัยศรี ฟาดด้วยกำลังฤทธี ทรพีก็ม้วยบรรลัย ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด โอด


49 จากข้อความดังกล่าว จะเห็นได้ว่า พาลีในการต่อสู้กับทรพีนั้น มีจุดเริ่มมาจากทรพี เข้าทำร้ายเหล่าวานรก่อน พาลีในฐานะเจ้าเมืองจึงเข้าต่อสู้ แสดงออกให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในการ ปกป้อง ทั้งยังได้เห็นถึงนักรบที่มีความเก่งกาจและไหวพริบของพาลี หากมีแต่กำลังยังเดียวไม่สามารถ ชนะได้เลยใช้สติปัญญาวิเคราะห์ความสามารถของฝ่ายตรงข้าม มองจุดเด่นและจุดอ่อนของทรพีออก จึงได้วางแผนในการสู้กับทรพีโดยวางอุบายไปสู้รบในถ้ำ ทั้งยังทำให้เหล่าเทวดาที่ดูแลพาลีจากไป และเป็นผู้สังหารทรพีจนตาย บทบาทในการเป็นพี่ บทวรรณกรรมจากผู้วิจัยได้ศึกษาพบว่าในช่วงแรกพาลีผู้แต่งแสดงภาพลักษณ์ให้พาลี มีความรักน้องเหมือนนัยนาตามบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ รัชกาลที่ 1 แต่ด้วยเหตุเรื่องผู้หญิง จึงได้ ทำเรื่องผิด โดยนำนางดาราที่พระอิศวรประทานมอบให้น้องของตนมาเป็นของตนเอง ผู้แต่งแสดง ให้เห็นถึงแม้นเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดก็ยังไม่อาจหักห้ามใจ ต้านทานในความหลงใหลในสตรีได้และ เกิดความเข้าใจผิดไร้ซึ่งเหตุผลจนขับไล่น้องของตนและนำไปสู่จุดจบของพาลี แต่ถึงอย่างนั้นพาลี ในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ได้สำนึกรู้สึกตนและยอมรับในการกระทำของตน ก่อนตายได้สอนน้อง ในการเป็นข้ารับใช้ที่ดี ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลตามบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์รัชกาลที่ 1 ไว้ดังนี้ พาลีขับสุครีพ ๏ เมื่อนั้น สุครีพผู้ชาญชัยศรี ตกใจเพียงจะสิ้นชีวี ชุลีกรกราบลงกับบาทา อันตัวของข้านี้จงรัก ภักดีต่อองค์พระเชษฐา ครั้นพ้นกำหนดที่สัญญา ก็พาโยธารีบจร เห็นโลหิตนั้นไหลใสจาง เป็นทางออกจากสิงขร ต่างตนโศกาอาวรณ์ คิดว่าภูธรบรรลัย ข้าจึ่งให้ขนเอาก้อนเขา กลิ้งเข้าปิดปากถํ้าใหญ่ ตามพระบัญชาซึ่งสั่งไว้ พระองค์จงได้เมตตา ฯ ฯ ๘ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวหัสนัยน์ใจกล้า ได้ฟังยิ่งกริ้วโกรธา ดั่งหนึ่งเพลิงฟ้ามาจ่อใจ เหม่เหม่ดูดู๋ไอ้ทรลักษณ์ มาเจรจาเยื้องยักแก้ไข


50 แม้นว่าชีวันกูบรรลัย ก็จะได้เป็นใหญ่ในธานี หากคิดจะปิดนินทา จึ่งแสร้งโศกาว่ารักพี่ ตัวเอ็งกับกูในวันนี้ ขาดวงศ์พงศ์พีพี่น้องกัน เร่งไปเสียจากเวียงชัย หาไม่ชีวาจะอาสัญ ว่าพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แกว่งพระขรรค์ออกไล่รอนราญ ฯ ฯ ๘ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น สุครีพลูกพระสุริย์ฉาน ความกลัวเพียงแทรกสุธาธาร ก็หนีจากราชฐานพารา ฯ ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด บทบาทระหว่างพาลีกับสุครีพตามบทพระราชนิพนธ์นั้นหลังจากความเข้าใจผิดของ สุครีพที่ปิดปากถ้ำตามคำสั่ง และสิ่งที่เห็นทำให้คิดว่าพี่ของตนเองตายแล้ว จึงเป็นเหตุให้ถูกพาลีขับไล่ ออกจากเมือง แยกอุปนิสัยของตัวละครได้อย่างชัดเจนว่าสุครีพนั้นเป็นผู้จงรักภักดีต่อพาลีผู้พี่เป็น อย่างมาก ส่วนพาลีกลับเป็นผู้ไม่ฟังความให้ถี่ถ้วน ขี้โมโหและเอาความผิดที่ตนเคยกระทำกับน้องของ ตนมาเป็นข้อสงสัยเคลือบแคลงในตัวน้อง โดยไม่ใช้เหตุผลในการไตร่ตรองรับฟัง พาลีสอนน้อง ครั้นเสร็จซึ่งลาพระสี่กร วานรเศร้าโทมนัสสา จึงสั่งสุครีพอนุชา พี่จะลาสิ้นชีพชนมาน เจ้าจะอยู่เป็นข้าพระทรงจักร จงพิทักษ์รักษากันอาหลาน หมั่นเฝ้าเช้าเย็นเป็นนิจกาล อย่าเกียจคร้านแต่ตามอำเภอใจ สิ่งใดพระองค์จะตรัสถาม อย่าเบาความเท็จทูลแต่โดยได้ อย่าแต่งตัวโอ้อวดพระทรงชัย ที่ในพระโรงรัตนา หมอบเฝ้าอย่าก้มหน้าเงยหงาย อย่าเตร่ตร่ายเหลือบแลซ้ายขวา พระที่นั่งบัลลังค์อลงการ์ อย่าฝ่าฝืนขึ้นนั่งอิงองค์ อันฝูงพระสนมนางใน อย่าผูกจิตพิศมัยใหลหลง จงภักดีต่อใต้บาทบงส์ อย่าทะนงว่าทรงพระเมตตา แขกเมืองอย่าบอกความลับ อย่าสนิทคำนับคบหา อันรางวัลให้ปันเสนา อย่ามิใจฉันทาทัดทาน


51 แม้นกริ้วโกรธลงโทษผู้ใด อย่าใส่ใจยุยงจงผลาญ อย่าโลภลักราชทรัพย์ศฤงคาร พระบรรหารสิ่งใดจงจำความ อาสาเจ้าตนจนตัวตาย จึ่งนับว่าเป็นชายชาญสนาม เจ้าจงจำคำทำตาม ก็จะจำเริญความสวัสดี สอนน้องสิ้นเสียงสิ้นสั่ง สิ้นกำลังสิ้นฤทธิ์กระบี่ศรี วางศรให้ปักอินทรีย์ สิ้นชีวีไปเกิดในวิมาน (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 29) จากบทวรรณกรรมข้างต้นจะเห็นได้ว่า ในฐานะเกิดเป็นพี่ เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดคำ สาบานเป็นเหตุให้พาลีต้องมาเสียชีวิตเพื่อจะรักษาคำสัตย์โดยยอมเสียชีพดีกว่าจะเสียสัตย์ที่ให้ไว้ จึงขอที่จะตาย แต่ก่อนตายได้สั่งสอนสุครีพแสดงความรักที่มีต่อน้องชาย จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าพาลี เป็นนักรบผู้รักษาสัตย์สาบาน ถึงแม้จะทำผิดพลาดแต่ก็รู้สำนึกในการกระทำของตน ถึงแม้นตายก็ ไม่อายใคร บทบาทในฐานะพ่อ ครั้งที่พาลีได้ทำการทำพิธีลงสรงองคตที่แม่น้ำยมนา ทศกัณฐ์ลอบแปลงกายเป็นปูใหญ่ เพื่อหวังจะหนีบองคตให้ตาย ดังข้อความ เมื่อนั้น ลูกท้าวมัฆวานชาญสมร ได้ฟังชักตรีฤทธิรอน โถมลงสาครด้วยโกรธา แหวกน้ำดำด้นค้นจบ พานพบปูใหญ่ใจกล้า โลดโผนโจนจับด้วยศักดา ยมนาเป็นระลอกกระฉอกไปฯ (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 132) พาลีจึงดำน้ำลงไปต่อสู้กับปูทศกัณฐ์ และได้นำไปมัดไว้ที่ปราสาทให้องคตลากเล่น ทำทรมานอยู่เจ็ดวันแล้วจึงปล่อยตัวไป นอกเหนือจากนั้น พาลีได้แสดงสถานะภาพตนเอง ในฐานะ เป็นบิดาขององคตแสดงถึงความรักที่มีต่อลูกและปกป้องลูก อีกทั้ง ก่อนตายก็ได้ฝากองคตไว้กับ พระราม แสดงออกให้เห็นถึงการทำหน้าที่พ่อได้อย่างดียันวินาทีสุดท้ายก่อนตาย ตามบทพระราช นิพนธ์รามเกียรติ์ราชกาลที่ 1 ดังข้อความต่อไปนี้ ทูลว่าตัวข้าพาลี โทษมีเหมือนดั่งพระบัญชา บุญน้อยไม้ไดฉลองบาท พระตรีภูวนาถนาถา


52 ขอฝากสุครีพอนุชา องคตลูกข้าพานร (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2554, น. 31) บทบาทด้านความเคารพครูบาอาจารย์ พาลีเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีความเคารพครูบาอาจารย์อย่างมากจะเห็นได้จากตอนที่ ทศกัณฐ์ขอให้ฤๅษีอังคตช่วยพานางมณโฑกลับมา จากนั้นฤๅษีอังคตก็ไปพูดว่ากล่าวตักเตือนพาลี เหตุด้วยนางมณโฑ พระอิศวรเป็นผู้ประทานให้ทศกัณฐ์ พาลีได้ฟังมิอยากขัดใจฤๅษีอังคตผู้เป็น อาจารย์ดังข้อความต่อไปนี้ เมื่อนั้น ลูกท้าวหัสนัยน์เรืองศรี ได้ฟังพระมหามุนี ขุนกระบี่นิ่งนึกตรึกไป อันนางมณโฑนงลักษณ์ ยากนักที่กูจะหาได้ ครั้นจะขัดอาจารย์จะน้อยใจ จะให้ก็เสียดายกัลยา คิดแล้วจึงตอบพระนักธรรม์ ทศกัณฐ์อาจใจให้เกินหน้า ควรฤๅจึ่งขอพระอุมา แล้วเหาะข้ามพาราไม่เกรงใจ ข้าทำทั้งนี้ด้วยความโกรธ เมื่อว่าเป็นโทษจะส่งให้ แต่นางมณโฑทรามวัย มีครรภ์ได้ถึงกึ่งปี จะผ่อนปรนก็ขัดสนนัก ด้วยลูกรักในท้องมารศรี ข้ามิให้ปนศักดิ์อสุรี พระมุนีจงได้เมตตา ฯ (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 122) จากข้อความดังกล่าว จากภาพรวมที่เป็นบทบาทของพาลีเมื่อนำมาสู่บุคลิกของพาลี จากภาพรวมที่ผู้วิจัยได้ศึกษา พบว่า พาลีมีอุปนิสัยใจคอที่เป็นลิงที่มีชาติตระกูลสูงส่งและได้มี การศึกษาอบรมตามประเพณีในสังคมไทย นอกจากนั้นยังมีความสามารถด้านการปกครอง การทำสงคราม จึงทำให้เห็นว่า ตัวตนของพาลีนั้นล้วนมีแต่สิ่งที่ดี ประกอบกันจึงเป็นหนทางนำไปสู่ การสร้างบุคลิกลักษณะของผู้แสดงโขนในบทบาทของพาลีดังที่ผู้วิจัยได้ศึกษามีดังนี้ 1) ภูมิหลังของพาลี อดีตเคยเป็นมนุษย์มาก่อน ผู้แสดงเป็นพาลีจึงต้องสร้างบุคลิกให้สง่างาม หน้าศรัทธาเลื่อมใสตามแบบฉบับลิงผู้เป็นกษัตริย์ การเคลื่อนไหวกิริยาอาการต่าง ๆ ควรเป็นไปอย่าง คล่องแคล่วว่องไว สุขุม ลุ่มลึก แข็งแรง หน้าเกรงขาม เป็นลักษณะที่ผู้คนเห็นจะต้องเคารพ 2) ประวัติของพาลี เป็นกษัตริย์ผู้ครองเมืองขีดขินและมีเชื้อสายที่สูงส่งและพาลีปฏิบัติตน เป็นคนดีถึงแม้จะมีเรื่องที่ไม่ดีและทำตามใจไปบ้างแต่ด้วยสาเหตุในการแสดงพาลีเปรียบเหมือนตัว


53 ละครในฝั่งธรรม ดังนั้น ผู้แสดงเป็นพาลี ต้องวางบุคลิกที่เป็น ลูกที่ดีพี่ที่ดี เป็นสามีที่ดี และเป็นพ่อ ที่ดีเพื่อให้เห็นถึงความดีงามทั้งหลายและพึงปฏิบัติในกรอบของสังคมไทย นั่นคือลักษณะของผู้ดี ทุกอิริยาบถที่ผู้แสดงพาลีในการแสดงโขน ต้องแสดงออกให้เห็น 3) พาลีเป็นกษัตริย์นักรบผู้กล้าหาร และมีคุณธรรม ผู้แสดงเป็นพาลีในการแสดงโขนนั้น ต้องมีความแข็งแรงจึงไม่ใช่จะเอาใครมารำก็ได้ เมื่อนำมารวมเข้าด้วยกันการแสดงเป็นตัวพาลีเมื่อ ทำความเข้าใจ บุคลิกลักษณะของพาลี แล้วนั้นพาลีมีลักษณะนิสัยเจ้าชู้ เจ้าอารมณ์ แต่เก่งกาจและมีฤทธิ์มาก และมีความเป็นกษัตริย์ เพราะฉะนั้นต้องแข็งแรงและสง่า เพื่อที่จะสวมบทบาทตัวละครให้เหมือนจริงหรือเรียกว่าใส่อารมณ์ ความรู้สึกและชีวิตจิตใจตามลักษณะนิสัยของตัวละคร ต้องทำความเข้าใจกับบทอย่างละเอียด 3.2 ประวัติและบทบาทของทรพี ภาพที่3 ทรพี ที่มา: ผู้วิจัย


54 ประวัติทรพี ทรพี หรือ ทุนทุภี พญากาสร สีดำ ลูกทรพา ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ทรพีถือ เป็นอีกหนึ่งในตัวละครที่มีบทบาทอย่างมากในสังคมไทย คำที่เรียกว่า ทรพีนั้น มาจากตัวละครตัวนี้ นั้นเอง ซึ่งได้มากจากเรื่องรามเกียรติ์ ตอน ทรพีรบทรพา เป็นที่มาของลูกฆ่าพ่อแสดงถึงความ อกตัญญูทรพี หรือ ทุนทุภีนั้น ยังปรากฏอยู่ในโองการแช่งน้ำอำนาจแห่งการสาปแช่ง ดังนั้นจะเห็น ได้ว่า ทรพีเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้าย โดยมีประวัติความเป็นมา ดังต่อไปนี้ ภาพที่4 แผนภูมิชาติกำเนิดทรพี ที่มา: ผู้วิจัย พระอิศวรบรมเทวาผู้เป็นใหญ่นั้น มีนางฟ้าเป็นบริวารองค์หนึ่งชื่อว่า มาลี มีหน้าที่ คอยเก็บดอกไม้มาเพื่อบูชาพระเวท นางมาลีนั้นมีรูปทรงสวยสะอางค์ตามแบบอย่างของนางฟ้า ทุกๆ วัน ก็เข้ามาที่ในสวนเพื่อเก็บดอกไม้ต่าง ๆ ตามหน้าที่มิได้ขาดมีอสูรตนหนึ่งชื่อ นนทกาล มีหน้าที่เฝ้า พระทวารชั้นในของพระอิศวร นนทกาลนั้นอยู่เป็นโสดโดดเดี่ยวไม่เคยรู้รสสตรีเลย เมื่อเห็นนางมาลีผ่าน ประตูออกมาเก็บดอกไม้ทุกวันก็เกิดมีใจเสน่หา มาวันหนึ่ง นางมาลีก็ผ่านประตูชั้นในออกมาเก็บดอกไม้ ตามปกติ เมื่อนนทกาลเห็นนางมาลี ก็ตามไปที่ในสวน เห็นนางมาลีเก็บดอกไม้นั่งร้อยมาลัย ด้วยความ หลงใหลในตัวนาง จึงเด็ดดอกไม้ขว้างหยอกนางมาลี นางมาลีก็ตกใจ เมื่อเห็นเป็นอสูรนนทกาลก็โกรธ นำดอกไม้หลักฐานไปฟ้องพระอิศวรทันที เมื่อพระอิศวรทรงทราบ ก็กริ้วโกรธ ที่บังอาจมาล่วงเกินนางฟ้า คนสนิท ซึ่งเป็นกฏข้อห้าม จึงสาปให้นนทกาลนั้นลงไปเกิดเป็นกาสรอยู่ในป่า ชื่อพระยาทรพา ต่อมา มีลูกเป็นควายตัวผู้ชื่อทรพีมาฆ่าตาย จึงจะพ้นคำสาป นนทกาลเมื่อกลายเป็นกาสรทรพา มีบริวารล้วน แต่เป็นนางกาสรทั้งนั้น เมื่อนางได้ตกลูกเป็นตัวผู้ทรพาก็ขวิดตายจนหมด เป็นตัวเมียจึงเลี้ยงดูต่อไป มีนางกาสรตัวหนึ่งชื่อนิลา ซึ่งตั้งท้องจวนจะคลอด ด้วยความกลัวพระยาทรพาจะฆ่าลูก ถ้าคลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้ จึงหนีจากหมู่ไปซ่อนอยู่ในถ้ำใหญ่ พอได้ศุภฤกษ์ยามดีก็ตกลูกออกมาเป็น ควายผู้สีดำ ดูองอาจยิ่งนัก นางจึงฝากเทวดาอารักษ์ให้ช่วยบำรุงรักษาลูกชายไว้ด้วย แล้วนางก็ออก จากถ้ำไป ฝ่ายเทวดาที่อยู่ในถ้ำใหญ่ สงสารลูกควายผู้ที่ไม่มีใครเลี้ยงดูแล ทั้งต้องจากแม่และคอยหลบ ทรพา นิลกาสร ทรพี


55 พ่อที่จ้องสังหาร จึงเข้ารักษาบริบาลทั้งสองเขาและเท้าทั้งสี่ ตั้งชื่อว่าทรพีอยู่แต่ในถ้ำนั้น เมื่อทรพีใหญ่ กล้าขึ้น ก็มีฤทธิ์มาก เพราะมีเทวดาอยู่รักษาทั่วทั้งตัว ทุก ๆ วันก็คอยเฝ้าวัดรอยเท้า ทรพาผู้เป็นพ่อ เมื่อเห็นว่ารอยเท่าเทียมพ่อแล้ว ก็ออกตามหาเพื่อท้าพ่อต่อสู้กัน ทรพีฆ่าพ่อตัวเอง ตามบทต่อไปนี้ บัดนั้น คำแหงทรพีแข็งขัน โก่งคอย่อท้ายยืนประจัญ เสี่ยวขวิดติดพันกระชั้นมา อันเขาต่อเขาเข้าประหาร เสียงสะท้านเปรี้ยงเปรี้ยงดั่งฟ้าผ่า ได้ทีขวิดถูกทรพา ก็ม้วยชีวาด้วยฤทธีฯ จากนั้นทรพีเลวร้ายหนักขึ้น กำเริบฤทธิ์คิดว่าไม่มีใครสู้ได้ จึงไปท้าเจ้าหิมพานต์ไพรสัณฑ์ดังข้อความ เมื่อนั้น เทพเจ้าหิมพานต์ไพรสัณฑ์ ได้ฟังมหิงสาอาธรรม์ เทวัญรำพึงคะนึงคิด ถ้ากูจะออกต่อฤทธิ์ ฆ่าชีวิตมันได้ก็ไม่ดี แม้นมาตรว่าพ่ายแพ้มัน จะอับอายเทวัญทุกราศี คิดแล้วจึงตอบวาที เรานี้ไม่มีฤทธิไกร ตัวท่านสิทรงศักดา อันจะต่อฤทธาด้วยไม่ได้ ถ้าว่าจะใคร่ชิงชัย จงไปยังเบญจบรรพต ฯ เมื่อเทพเจ้าหิมพานต์ไพรสัณฑ์ ไม่สู้ด้วยและบอกให้ไปท้า บุตรคีรีทั้งห้า ดังข้อความ เมื่อนั้น เทพบุตรคีรีทั้งห้า ฟังคำทรพีพาลา จึงมีวาจาตอบไป อันตัวของเราทั้งหลาย จะต่อกำลังกายท่านไม่ได้ เทพเจ้ารักษาสมุทรไท ฤทธิไกรเลิศลบธาตรี ตัวท่านจงไปรณรงค์ กับองค์พระสมุทรเรืองศรี จึ่งจะได้เห็นฤทธิ์ ว่าแล้วก็ชี้มรคา ฯ เมื่อเทพบุตรคีรีไม่สู้ด้วยจึงบอกให้ทรพีไปสู้กับพระสมุทร ดังข้อความ เมื่อนั้น พระสมุทรเทวัญเรืองศรี ได้ฟังพญาทรพี พาทีองอาจอหังการ์ จึงว่าตัวเราไม่มีฤทธิ์ ตั้งจิตอยู่ในอุเบกขา ผู้ใดใครร้อนสัญจรมา ให้สบายกายาสำราญใจ


56 ตัวท่านหยาบช้าทารุณ จะรู้คุณเราก็หาไม่ แม้นว่าจะใคร่ชิงชัย จงไปไกรลาสบรรพต ฯ (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 336 - 338) จากนั้นทรพีก็ไปยังเขาไกรลาสและท้าทายพระอิศวรให้มาสู้กัน พระอิศวรจึงให้ไปสู้ กับพระยาพาลีเจ้าเมืองขีดขิน และสาปให้ทรพีต้องตายด้วยฤทธิ์พระยาพาลีพระยาพาลีออกอุบาย ให้ทรพีเข้าไปรบในถ้ำใหญ่ กับสั่งกำชับน้องชายคือพระยาสุครีพให้ปิดถ้ำไว้ แล้วหมั่นคอยมาตรวจดู ถ้าเห็นเลือดข้นคือเลือดควาย ถ้าเห็นเลือดใสคือเลือดพี่ ให้ปิดถ้ำให้ดีอย่าให้ทรพีออกมาได้เมื่อแรก นั้นพาลีไม่สามารถจะฆ่าทรพี แปลกใจมาก เพราะเคยได้พรจากพระอิศวร จึงถามทรพีว่ามีเทพองค์ ใดรักษากายอยู่หรือ จึงเก่งกาจนัก ทรพีจึงตอบด้วยความอกตัญญูไม่รู้คุณว่าตนนั้นเก่งด้วยตัวเอง ไม่มีเทวาคอยช่วยเหลือแต่อย่างไร เหล่าเทวาที่สถิตอยู่สองเขาและเท้าทั้งสี่ เมื่อได้ยินคำกล่าวของ ทรพีที่อกตัญญูก็พากันออกจากร่างไม่อยู่รักษาอีกต่อไป พาลีจึงรีบเข้าสังหารทรพีตาย บทบาทของทรพี บทบาททรพีในฐานะลูก ทรพีและทรพาแม้เป็นพ่อลูกกันแต่ก็มีข้อขัดแย้งบางประการที่ทำให้ความสัมพันธ์ ระหว่างพ่อลูกไม่เป็นไปในทางครรลองคลองธรรม บทบาทของตัวละครจึงมีแต่ความขัดแย้งเชิงอาฆาต มาดร้าย ดังบทพระราชนิพนธ์ต่อไปนี้ที่ทำให้เห็นเหตุแห่งความขัดแย้งทั้งหมด ๏ ครั้นถึงหิมวันต์พนาเวศ ก็กลับเพศไปเป็นมหิงสา ชื่อว่าพญาทรพา มีกำลังฤทธาเชี่ยวชาญ ใหญ่สูงพ่วงพีองอาจ หยาบคายร้ายกาจกล้าหาญ กายาเผือกสีสำลาน ใจพาลอิจฉาอาธรรม์ บริวารล้วนนางกาสร ห้าพันสัญจรอยู่ไพรสัณฑ์ แม้นว่าตัวใดมีครรภ์ ทรพานั้นหมั่นระวังดู ถ้าเห็นว่านางมหิงสา คลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้ ไม่อาลัยหมายใจว่าศัตรู เสี่ยวเสียจากหมู่ให้วายชนม์ ด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ หวงแหนสัตว์นั้นเป็นต้น มหิงส์ผู้ตัวใดไม่แปลกปน ตนเดียวเที่ยวอยู่ในดงดอน ฯ


57 ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น จึ่งนางนิลากาสร ทรพาร่วมสัตว์สมจร ก็มีอุทรจำเริญมา จึ่งคิดคำนึงถึงตัว ด้วยกลัวพญามหิงสา แม้นกูจะคลอดลูกยา เป็นผู้ก็ท่าจะบรรลัย อย่าเลยจะหนีไปจากหมู่ ซ่อนคลอดในคูหาใหญ่ คิดแล้วลอบหลีกออกไป เข้าในแนวเนินคีรี ฯ ฯ ๖ คำ ฯ เชิด ๏ มาถึงถ้ำแก้วสุรกานต์ พอพระสุริย์ฉานจํารัสศรี ก็ได้ศุภฤกษ์ยามดี พร้อมทั้งดิถีเวลา จึ่งคลอดบุตรมาเป็นตัวผู้ ดำดูองอาจแกล้วกล้า ข้อลํากำลังมหึมา ก็โลมเลียลูกยาสำราญใจ ให้กินนมแล้วปลอบลูกรัก แม่จะอยู่ช้านักก็ไม่ได้ แม้นพ่อของเจ้ารู้ไป จะพากันบรรลัยไม่พริบตา จึ่งเล่าให้ฟังถ้วนถี่ แต่ฆ่าชีวีลูกเสียหนักหนา เจ้าจงระมัดกายา กําพร้าแม่อยู่สถาวร สั่งพลางน้ำตาไหลพราก ขอฝากเทพไททุกสิงขร แล้วออกจากถ้ำอลงกรณ์ บทจรตามฝูงเที่ยวไป ฯ ฯ ๑๐ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น เทวาอยู่ในคูหาใหญ่ ฟังนางกาสรก็อาลัย มีใจกรุณาพันทวี จึ่งชวนกันเข้ารักษา สองเขาบาทาทั้งสี่ อยู่ทุกทิวาราตรี ให้ชื่อทรพีชาญฉกรรจ์ ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 183 - 184) จากบทพระราชนิพนธ์ดังกล่าวย่อมเห็นบทบาทของทรพาที่สำคัญคือความโอหัง ทระนงตน จนต้องคำสาป เป็นเหตุให้ต้องคอยระวังตัวเองไม่ให้มีลูกชาย และเมื่อทรพีกำเนิดขึ้นนางนิลากาสรผู้


58 เป็นแม่จึงหาวิธีการหลบซ่อนจนทรพีรอดภัยการถูกฆ่าจากทรพามาได้และบทบาทของทรพีก็เห็นได้ ชัดจากบทพระราชนิพนธ์ดังนี้ ๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงทรพีใจหาญ เทวารักษามาช้านาน ในถํ้าสุรกานต์พรายพรรณ เหมือนได้กินนมมารดร มีกำลังฤทธิรอนแข็งขัน จำเริญวัยใหญ่ขึ้นทุกวัน ก็เที่ยวสัญจรออกมา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ กราว ๏ ลองเชิงเริงร้องคะนองไพร ไล่เลี้ยวเสี่ยวขวิดหินผา ตามสะกดบทจรทรพา วัดรอยบาทาบิดาดู เห็นเท่าเติบใหญ่คล้ายคลึง กํ้ากึ่งพอจะตอบต่อสู้ หมายเขม้นจะเป็นศัตรู วันนี้ตัวกูกับบิดา จะได้ลองฤทธิ์ขวิดกัน ประจัญดูกำลังให้หนักหนา คิดแล้วแอบพุ่มซุ่มกายา จับกลิ่นกินหญ้าอยู่ริมธาร ฯ ฯ ๖ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น ฝ่ายพญาทรพาใจหาญ นอนอยู่กับฝูงบริวาร สุริย์ฉานส่องฟ้าพรายพรรณ จึ่งนำคณากาสร สัญจรไปในพนาสัณฑ์ บันเทิงเริงสัตว์พัลวัน พากันไปตามมรคา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น ทรพีฤทธิแรงแข็งกล้า ครั้นเห็นพญาทรพา ปรีดาที่จะได้ชิงชัย โลดโผนโจนคะนองลองเขา โก่งหางวางเข้ามาใกล้ สกัดทางขวางหน้าแล้วร้องไป รู้จักเราหรือไม่ทรพา ตัวท่านใจบาปหยาบคาย ฆ่าลูกตัวตายเสียหนักหนา เราก็เป็นบุตรในอุรา หมายจะมาล้างชีวัน ฯ ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา ๏ บัดนั้น ทรพาฤทธิแรงแข็งขัน ได้ฟังกริ้วโกรธคือไฟกัลป์ โก่งหางหูชันแล้วร้องไป


59 ตัวมึงนี้หรือเป็นลูก มาดูถูกเจรจาหยาบใหญ่ ฝ่ายกูผู้มีฤทธิไกร เลื่องลือทั้งในอรัญวา แสนมหาพญาสารซับมัน ไม่อาจหาญกีดกั้นขวางหน้า มึงสู่รู้จะสู้บิดา กูจะล้างชีวาให้วายปราณ ฯ ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา ๏ บัดนั้น คำแหงทรพีใจหาญ ฟังทรพากล่าวอหังการ โผนทะยานเยาะเย้ยแล้วตอบไป ตัวท่านฉันทาทุจริต หรือจะรอต่อฤทธิ์เราได้ เทวาก็ไม่อวยชัย ที่ไหนจะรอดชีวา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ บัดนั้น พญาทรพาแกล้วกล้า ได้ฟังกริ้วโกรธโกรธา สองตานั้นแดงดั่งแสงไฟ โก่งหางวางวิ่งส่ายเขา ถาโถมโจมเข้าขวิดไขว่ ช้อนตักกลับกลอกว่องไว หมายใจจะล้างชีวัน ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น คำแหงทรพีแข็งขัน โก่งคอย่อท้ายยืนประจัญ เสี่ยวขวิดติดพันกระชั้นมา อันเขาต่อเขาเข้าประหาร เสียงสะท้านเปรี้ยงเปรี้ยงดั่งฟ้าผ่า ได้ทีขวิดถูกทรพา ก็ม้วยชีวาด้วยฤทธี ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด โอด (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 366 – 368) บทบาททรพีในฐานะลูกที่ขัดแย้งกับพ่อหรือทรพี สรุปได้ว่าเป็นความขัดแย้งเชิงอาฆาต หมายเอาชีวิตต่อพ่อของตน สื่อถึงอุปนิสัยของทั้งคู่ว่ามีอุปนิสัยไม่เป็นไปในทางสัมมาทิฐิ มีโทสจริตฝัง ลึกมาตั้งแต่ต้น ไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ในฐานะพ่อ – ลูกที่จะปฏิบัติต่อกันด้วยความถูกต้อง


60 บทบาททรพีในการเป็นนักสู้ ทรพีเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีความเก่งกล้าในเรื่องพละกำลังด้วยเพราะมีเทวดาคอย ช่วยเหลือจึงเป็นเหตุให้ทรพีมีฤทธิ์มาก จะเห็นได้จากเรื่องราวของพาลีที่ฆ่าพ่อของตนเองจนตาย ซ้ำยังเที่ยวไปท้ายท้าเทวดาและเทพเจ้า จึงเป็นเหตุถูกสาปต้องไปสู้รบกับพาลี และถูกพาลีฆ่าจนตาย แต่ถึงกระนั้นทรพีก็สู้พาลีได้อย่างทัดเทียมถึงแม้พาลีจะได้พรก็ตาม ดังบทพระราชนิพนธ์รารามเกียรติ์ รัชกาลที่ 1 ดังต่อไปนี้ ๏ ครั้นถึงหิมวาพนาลี ก็เสี่ยวขวิดคีรีพฤกษา แล้วร้องว่าเหวยเทวา ใครมีศักดามาสู้กัน ฯ ฯ ๒ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น เทพเจ้าหิมพานต์ไพรสัณฑ์ ได้ฟังมหิงสาอาธรรม์ เทวัญรำพึงคะนึงคิด ตัวมันเป็นชาติเดียรฉาน มาเที่ยวพาลด้วยใจทุจริต ถ้ากูจะออกต่อฤทธิ์ ฆ่าชีวิตมันได้ก็ไม่ดี แม้นมาตรว่าพ่ายแพ้มัน จะอับอายเทวัญทุกราศี คิดแล้วจึ่งตอบวาที เรานี้ไม่มีฤทธิไกร ตัวท่านสิทรงศักดา อันจะต่อฤทธาด้วยไม่ได้ ถ้าว่าจะใคร่ชิงชัย จงไปยังเบญจบรรพต ฯ ฯ ๘ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีใจกล้าสามารถ เห็นเทวัญครั่นคร้ามข้ามยศ ชื่นเริงแล้วบทจรไป ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ ครั้นถึงเบญจคีรินทร ก็เข้าขวิดก้อนเขาใหญ่ เป็นประกายพรายแสงดั่งเปลวไฟ แล้วร้องไปด้วยคำอหังการ เหวยเหวยดูกรเทเวศร์ ลือว่ามีเดชกำลังหาญ กว่าเทพไทในหิมพานต์ มารอนราญด้วยกูผู้ศักดา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น เทพบุตรคีรีทั้งห้า ฟังคำทรพีพาลา จึ่งมีวาจาตอบไป


61 อันตัวของเราทั้งหลาย จะต่อกำลังกายท่านไม่ได้ เทพเจ้ารักษาสมุทรไท ฤทธิไกรเลิศลบธาตรี ตัวท่านจงไปรณรงค์ กับองค์พระสมุทรเรืองศรี จึ่งจะได้เห็นฤทธี ว่าแล้วก็ชี้มรคา ฯ ฯ ๖ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีผู้ใจแกล้วกล้า ได้ฟังยินดีปรีดา ระเห็จมาด้วยกำลังฤทธิรณ ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ ครั้นถึงโถมลงในสมุทร ขวิดนํ้าอุตลุดกุลาหล ขุ่นข้นไปทั้งสายชล แล้วร้องคำรนประกาศไป เหวยเหวยดูกรเทวา ซึ่งอยู่รักษาสมุทรใหญ่ เลื่องชื่อลือเดชเกรียงไกร มาชิงชัยให้เห็นฤทธี ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น พระสมุทรเทวัญเรืองศรี ได้ฟังพญาทรพี พาทีองอาจอหังการ์ จึ่งว่าตัวเราไม่มีฤทธิ์ ตั้งจิตอยู่ในอุเบกขา ผู้ใดใครร้อนสัญจรมา ให้สบายกายาสำราญใจ ตัวท่านหยาบช้าทารุณ จะรู้คุณเราก็หาไม่ แม้นว่าจะใคร่ชิงชัย จงไปไกรลาสบรรพต ฯ ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา ๏ บัดนั้น ทรพีใจกล้าสาหส ได้ฟังดั่งอมฤตรส ไม่คิดเกรงยศเจ้าโลกา จึ่งเผ่นโผนขึ้นจากฝั่งสมุทร ด้วยฤทธิรุทรแกล้วกล้า ชันหูชูหางวางมา โดยมรคาพนาลี ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ ครั้นถึงหิรัญไกรลาส เห็นพระตรีภูวนาถเรืองศรี


62 ยืนอยู่แล้วกล่าววาที ว่าดูกรพระศุลีมีฤทธิ์ ตัวท่านผู้อัครเทวัญ ปราบได้ถึงชั้นดุสิต เป็นใหญ่อยู่ในทศทิศ มาลองฤทธิ์ด้วยเราผู้ศักดา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น พระอิศวรบรมนาถา ได้ฟังมหิงส์อหังการ์ ผ่านฟ้ามีเทวโองการ เหม่เหม่ดูดู๋ไอ้ทรพี มาอ้างอวดฤทธีว่ากล้าหาญ ตัวมึงหยาบใหญ่ใจพาล ไอ้ชาติเดียรฉานทรลักษณ์ ฆ่าพ่อตัวตายแล้วมิหนำ จะซ้ำเอาคอมารอจักร มึงจะสู้กูไม่คู่พักตร์ แม้นรักจะใคร่ราวี เอ็งจงรีบไปยุทธยง ด้วยพาลีลูกองค์โกสีย์ ให้มึงสิ้นชีพชีวี ด้วยฤทธีพญาพานร แล้วจงไปเอากำเนิด บังเกิดเป็นบุตรพญาขร ชื่อมังกรกัณฐ์ฤทธิรอน ให้ตายด้วยศรพระจักรา ฯ ฯ ๑๐ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีฤทธิแรงแข็งกล้า ครั้นต้องคำสาปเจ้าโลกา เผอิญให้โมหาบ้าใจ ขวิดคัดไกรลาสสิงขร สำแดงฤทธิรอนแผ่นดินไหว ระเห็จมาในป่าพนาลัย ตรงไปขีดขินธานี ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 368 – 371) หลังจากอวดฤทธิ์และเที่ยวท้ายท้าเทพเทวดาทั่วสารทิศก็ถูกสาปโดยพระอิศวรให้ตายด้วย ฤทธิ์ไกรพาลี ดังข้อความต่อไปนี้ ๏ ครั้นถึงเข้าสวนอุทยาน ของลูกมัฆวานเรืองศรี ชนไม้หักล้มไม่สมประดี ไล่ขวิดกระบี่วุ่นไป ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด


63 ๏ บัดนั้น ฝ่ายพลวานรน้อยใหญ่ เห็นมหิงส์ไล่มาก็ตกใจ ผู้ใดไม่อาจประจัญ ต่างตนต่างก็กลัวตัวสั่น เรียกร้องหากันกุลาหล บ้างคลานบ้างล้มอลวน วิ่งพะปะปนกันไปมา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น คำแหงทรพีใจกล้า ไม่มีใครรอต่อฤทธา ก็วางมายังหน้าพระลานชัย ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ จึ่งร้องว่าเหวยพานรินทร์ เจ้าเมืองขีดขินกรุงใหญ่ เขาลือว่ามีฤทธิไกร ผู้ใดไม่อาจจะต้านทาน ตัวเราอยู่ในหิมเวศ ก็ทรงเดชฤทธากล้าหาญ เทวาอารักษ์ทั้งจักรวาล สะท้านท้อไม่ต่อศักดา ถึงพระอิศวรบรมนาถ ก็ขยาดฤทธิ์กูผู้แกล้วกล้า เอ็งดีจงเร่งลงมา เข่นฆ่าลองดูฤทธิรอน ฯ ฯ ๖ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีชาญสมร เสด็จเหนือสิงหาสน์บัญชร ได้ยินกาสรร้องมา กริ้วโกรธพิโรธคือไฟกัลป์ ฉวยชักพระขรรค์อันคมกล้า โจนจากปราสาทแก้วแววฟ้า สำแดงฤทธาเข้าราวี ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น พญากาสรเรืองศรี โลดโผนโจนประจัญทันที ต่างชนต่างตีสำแดงฤทธิ์ สองหาญต่อหาญไม่ลดกัน ยุทธ์แย้งแทงฟันเสี่ยวขวิด หลบหลีกพัลวันกระชั้นชิด ต่างคนไม่คิดชีวา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พาลีฤทธิแรงแข็งกล้า ต่อด้วยทรพีแต่เช้ามา จนถึงเวลาสายัณห์


64 จึ่งคิดว่ากาสรนี้สามารถ องอาจฤทธิแรงแข็งขัน ยิ่งกว่าทศเศียรกุมภัณฑ์ จะฆ่ามันกลางแปลงไม่ได้ที อย่าเลยจะลวงเข้าไป ชิงชัยในถํ้าคีรีศรี เห็นจะขัดขวางทางต่อตี ก็จะล้างชีวีมันวายปราณ คิดแล้วจึงมีวาจา ดูราทรพีใจหาญ แต่เรารบรันประจัญบาน ก็รู้จักประมาณฤทธิไกร มิเอ็งก็กูจะม้วยมิด ที่จะรอดชีวิตนั้นหาไม่ บัดนี้สิ้นแสงอโณทัย จงกลับไปสั่งฝูงบริวาร ฝ่ายเราก็จะสั่งฝูงอนงค์ ทั้งสุริย์วงศ์โยธาทวยหาญ พรุ่งนี้จึ่งไปรอนราญ ในถํ้าแก้วสุรกานต์พรรณราย ให้ลับมนุษย์ครุฑา วิทยาอารักษ์ทั้งหลาย มาตรแม้นชีวิตจะวอดวาย ก็ไม่อายไพร่ฟ้าประชากร ฯ ฯ ๑๔ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีใจหาญชาญสมร กำเริบฤทธิ์คิดแต่จะราญรอน หลงกลวานรก็ตอบไป ซึ่งจะสู้กันในคีรี ทั้งนี้ก็ตามอัชฌาสัย จะคอยอยู่ปากถ้ำอำไพ ว่าแล้วกลับไปอรัญวา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น ลูกท้าวโกสีย์แกล้วกล้า เห็นกาสรหลงกลมารยา ก็กลับมาด้วยความยินดี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ ๏ ครั้นถึงนั่งเหนือบัลลังก์อาสน์ อันโอภาสจำรัสรัศมี แล้วมีพจนารถวาที แก่ศรีสุครีพผู้ร่วมใจ กาสรตัวนี้มันมีฤทธิ์ จะหมายล้างชีวิตยังไม่ได้ พรุ่งนี้ลวงให้ไปชิงชัย ที่ในถํ้าแก้วสุรกานต์ แม้นว่าพี่ต่อสู้มัน เจ็ดวันไม่คืนราชฐาน ตัวเจ้าผู้ปรีชาชาญ ไปดูที่ธารคีรี


65 ถ้าเลือดข้นนั้นเลือดมหิงสา เลือดไหลเหลวมานั้นเลือดพี่ จงขับพวกพลโยธี ขนศิลาปิดปากถํ้าไว้ อย่าให้ผู้ใดใครมาพบ เห็นซากอสภนั้นได้ สั่งแล้วลูกท้าวหัสนัยน์ เสด็จไปเข้าที่ไสยา ฯ ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ กล่อม ๏ ครั้นรุ่งแสงศรีรวีวรรณ สุริยันเยี่ยมยอดภูผา แต่งองค์ทรงพระขรรค์ศักดา ก็เหาะมาด้วยกำลังฤทธี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ ลอยลิ่วปลิวไปในคัคนานต์ ถึงปากถํ้าสุรกานต์คีรีศรี จึ่งเห็นคำแหงทรพี ขุนกระบี่กวักกรเรียกไป เหวยเหวยดูกรมหิงสา เอ็งอหังการ์หยาบใหญ่ จงเร่งเข้ามาชิงชัย ที่ในถํ้าแก้วสุรกานต์ ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ บัดนั้น คำแหงทรพีใจหาญ ได้ฟังลูกท้าวมัฆวาน เผ่นทะยานเข้าถํ้าคีรี ฯ ฯ ๒ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพานรินทร์เรืองศรี โลดโผนโจนจับทรพี ท่วงทีกลับกลอกว่องไว ต่างหาญต่างกล้าไม่ละกัน เสียงสนั่นครั่นครื้นภูเขาไหว ต่างขวิดต่างแทงวุ่นไป ต่างถอยต่างไล่ราญรอน ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ บัดนั้น ทรพีใจหาญชาญสมร ชนเสี่ยวเลี้ยวไล่ตะลุมบอน ขวิดค้อนกลับกลอกไปมา เขาตีเท้าถีบโถมทะยาน ต่อต้านยืนยันประจัญหน้า ถ้อยทีถ้อยมีฤทธา หมายเขม้นเข่นฆ่าชีวิตกัน ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พาลีฤทธิแรงแข็งขัน


66 สัประยุทธ์ต่อยุทธ์ถึงเจ็ดวัน เสมอกันถ้อยทีไม่มีชัย ก็ตรึกไปด้วยไวปัญญา มหิงสาตัวนี้เป็นไฉน จึ่งมีฤทธาเกรียงไกร หรือจะได้กำลังเทวัญ จำจะอุบายด้วยความคิด ลวงล้างชีวิตให้อาสัญ ตริแล้วไม่รบติดพัน หันออกมากล่าววาจา เหวยเหวยดูกรทรพี ซึ่งเรืองฤทธีแกล้วกล้า เทวัญองค์ใดมหิมา ให้ศักดาเอ็งหรือว่าไร ฯ ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา ๏ บัดนั้น ทรพีผู้ใจหยาบใหญ่ ได้ฟังจึ่งร้องตอบไป เป็นไฉนมาถามกำลังเรา เทวัญองค์ใดไม่สิงสู่ ตัวกูมีฤทธิ์ด้วยสองเขา เอ็งอย่าสู่รู้ดูเบา กูจะเอาชีวิตเสียบัดนี้ ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา ๏ เมื่อนั้น พญาพานรินทร์เรืองศรี ได้ฟังถ้อยคำทรพี ขุนกระบี่อุบายด้วยวาจา ร้องว่าดูกรเทเวศ อันเรืองเดชฤทธิแรงแข็งกล้า ซึ่งสิงสู่อยู่ในกายา มหิงสามันอกตัญญู มิได้คำรพนบคุณ กลับกล่าวทารุณลบหลู่ เสียทีที่ท่านเลี้ยงดู อย่าอยู่รักษาไอ้อาธรรม์ เชิญไปสู่ทิพพิมาน สำราญด้วยนางสาวสวรรค์ ฟังเราว่าเถิดนะเทวัญ จงชวนกันออกจากกายา ฯ ฯ ๘ คำ ฯ ๏ เมื่อนั้น เทเวศซึ่งอยู่รักษา ได้ฟังพาลีเจรจา สุรารักษ์เห็นจริงทุกสิ่งไป จึ่งว่ากาสรนี้ทรลักษณ์ จะรู้จักคุณเราก็หาไม่ ต่างองค์ต่างคิดน้อยใจ เทพไทออกจากกายา แกล้งสำแดงองค์แก่พาลี รัศมีสว่างทั้งคูหา


67 หกองค์ผู้ทรงเดชา ก็พากันเหาะไปยังวิมาน ฯ ฯ ๖ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีใจหาญ เห็นหกเทเวศชัยชาญ ไม่อยู่พยาบาลก็ดีใจ ขุนกระบี่สำแดงแผลงฤทธิ์ ทศทิศกัมปนาทหวาดไหว ผาดโผนโจนจ้วงว่องไว ทะลวงไล่ด้วยกำลังกายา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ ๏ เท้าซ้ายถีบกายกาสร กรหนึ่งฉวยง้างเขาขวา แทงด้วยพระขรรค์อันศักดา กลับกลอกเปลี่ยนท่าติดพัน ฯ ฯ ๒ คำ ฯ ๏ บัดนั้น ทรพีฤทธิแรงแข็งขัน โกรธาถาโถมโจมประจัญ ขวิดชนพัลวันวุ่นไป ล้มลุกคลุกคลานไม่ต้านติด จะต่อฤทธิ์วานรก็ไม่ได้ กำลังน้อยถอยท้อสลดใจ เลือดไหลหยดย้อยทั้งกายา ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด ๏ เมื่อนั้น พญาพาลีใจกล้า รณรงค์องอาจผาดโผนมา เหยียบเขาพญาทรพี มือซ้ายง้างเขายืนยัน กรขวาแกว่งพระขรรค์ชัยศรี ฟาดด้วยกำลังฤทธี ทรพีก็ม้วยบรรลัย ฯ ฯ ๔ คำ ฯ เชิด โอด (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, 2540, น. 371 - 376) จากข้อความดังกล่าว จากภาพรวมที่เป็นบทบาทของทรพีเมื่อนำมาสู่บุคลิกของทรพี จากภาพรวมที่ผู้วิจัยได้ศึกษาพบว่า สถานะภาพของทรพีเป็นสัตว์ ทรพีมีอุปนิสัยใจคอที่เป็นที่มี สัญชาตญาณสัตว์ป่า นอกจากนั้นยังมีความสามารถด้านพละกำลังเพราะเทวาคอยดูแล แต่ไม่มี จิตสำนึกขาดการไตร่ตรองด้วยความคิด มุ่งเน้นแต่การใช้กำลัง และความคะนองในพละกำลัง จะเห็น ว่า ตัวตนของทรพีนั้นล้วนแสดงออกถึงความชั่วร้าย ทั้งการฆ่าบิดาตนเอง เที่ยวอวดฤทธิ์อวดศักดา


68 หลงใหลในกำลังจนต้องตาย จากข้อมูลเมื่อนำมาประกอบกันจึงเป็นหนทางนำไปสู่การสร้าง บุคลิกลักษณะของผู้แสดงโขนในบทบาทของทรพีดังที่ผู้วิจัยได้ศึกษามีดังนี้ 1) ทรพีเป็นสัตว์ตามธรรมชาติเป็นถึงพญาควาย ดังนั้นเมื่อมาสู่การเป็นผู้แสดงเป็นทรพี จึงต้องสร้างบุคลิกให้แข็งแรง บึกบึน การเคลื่อนไหวกิริยาอาการต่าง ๆ ควรเป็นไปอย่างคล่องแคล่ว มุทะลุ ดุ เป็นลักษณะที่ผู้คนเห็นจะต้องเกรง 2) ทรพีในการแสดงทรพีเปรียบเหมือนตัวละครในฝั่งอธรรม ดังนั้น ผู้แสดงเป็นทรพี ต้องวางบุคลิกที่โลดโผนในแบบสัตว์ ใช้ร่างกายในการสื่อสารท่าทางในการแสดงโขน ต้องแสดงออกให้ เห็นภาพ ว่า บุคลิกของควายตามธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นจากที่กล่าวมา ทรพีในการแสดงโขนไม่ใช่ใครก็สามารถแสดงได้ สิ่งแรกต้องมี พละกำลังในการออกท่าทางในการแสดงเพราะจากเนื้อเรื่องทรพีดุดันมากเมื่อต่อสู้ และสิ่งที่ต้อง คำนึงถึงต่อไปคือความเข้าใจถึงบทบาทของตัวควายตามธรรมชาติว่ามีลักษณะสัญชาตญาณเป็น อย่างไรและนำมาผสมผสานกับตัววรรณกรรมของตัวละครดังที่กล่าวมาและแสดงออกให้ผู้ชมเห็นภาพ ของตัวละครทรพีผ่านท่วงท่าในการแสดง 4. การเลียนแบบท่าทางในการแสดงโขนของพาลีและทรพี การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ระหว่างพาลีกับทรพีนั้น แตกต่างจากตัวแสดงอื่นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะรูปแบบการแสดงการรบในครั้งนี้มีทั้งลีลาเฉพาะของตัวละครประเภทสัตว์ ระหว่าง ลิงกับ ควาย ตลอดจนการแสดงท่วงท่า กิริยาและความรู้สึก ล้วนมีระเบียบแบบแผนที่กำหนดไว้และปฏิบัติ สืบต่อกันมามีระยะเวลานาน ดังนั้นผู้วิจัยได้ศึกษาการเลียนแบบและการออกแบบท่าทาง ระหว่าง พาลี และทรพี ไว้ดังต่อไปนี้ พาลี เป็น ลิง โดย ผู้วิจัยได้ศึกษาและได้รวบรวมแหล่งที่มาของท่าทางไว้ดังนี้ ลิงหรือวานร หมายถึง ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายสกุลในอันดับ Primates ลักษณะคล้าย คน แขนขายาว ตีนหน้าและตีนหลังใช้จับเกาะได้ มีทั้งชนิดที่มีหาง เช่น ลิงวอก และชนิดที่ไม่มีหาง เช่น กอริลลา มีอาการที่แสดงกิริยาซุกซนอยู่ไม่สุข (ราชบัณฑิตยสถาน, 2554, น. 714) กรีวรศะริน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2531 ได้ให้สัมภาษณ์ ในงานวิจัยของวิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ ไว้ว่า ต้นแบบของลีลาและกิริยาของตัวลิงในการแสดงโขนมีต้นแบบ จากลิง “ลิงแสม” ลิงแสม เป็น ลิงตามธรรมชาติที่คุณครูได้นำมาเป็นตันแบบ และเฝ้ามองกิริยา


69 อาการแล้วนำมาเป็นลีลาท่าทางนาฏศิลป์โขน (ลิง) และจากหลักฐานที่คุณครูได้ให้คำสัมภาษณ์กับ นิตยสารและวารสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับที่ 10 ปีที่ 7 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2527 ดังนั้นเป็นการ สรุปได้ว่า “ลิงแสม” เป็นต้นแบบฉบับของท่าทางโขนลิง (วิโรจน์ อยู่สวัสดิ์, ม.ป.ป., น. 184) การเลียนแบบเพื่อนำเข้าสู่ลิงที่เป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ มีลิงแสมเป็นตัวแบบดังนั้น การที่มนุษย์เลียนแบบท่าลิงใช้กลวิธี ได้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. คน – เลียบแบบจากต้นแบบกระบวนธรรมชาติจากลิง 2. ท่าทางจากลิงแสม – เข้าสู่กระบวนการของมนุษย์ฝึกลิงเป็นลิง ในทางนาฏศิลป์ 3. จากท่าลิง(นาฏศิลป์) – เข้าสู่ กระบวนการฝึกฝนจนมีความรู้ความสามารถ 4. จากการฝึกหัดตามกระบวนท่าทางนาฏศิลป์ – เข้าสู่กระบวนท่ารำขั้นสูงสามารถ ออกแสดงได้ทุกตัวละครจากขั้นต่ำสู่ขั้นสูงเป็นลิงพญาได้ 5. จากบทบาทขั้นสูง – เข้าสู่บทบาทโดยเฉพาะของตัวละครที่สำคัญ ซึ่งมี ความสำคัญต่อการฝึกหัดจนสู่การตีบทที่เรียกว่า การตีบทเจรจาและกระทู้ (วิโรจน์ อยู่สวัสดิ์, ม.ป.ป., น. 185) จากข้อความที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่าท่ารำที่ปรากฏในการแสดงโขนนั้นล้วนมีพื้นฐานและ ผ่านการคิดมาอย่างยาวนานและเป็นระบบ ทั้งแม่ท่าลิง กระบวนรบลิง การฝึกหัดเบื้องต้นและการตี บทล้วนเป็นหนทางในการฝึกโขนตัวลิง ทำให้เห็นว่าท่าที่ปรากฏนั้นไม่ได้คิดขึ้นมาตามจิตนาการอย่าง เดียวแต่ล้วนยึดหลักตามความเป็นจริงและเป็นธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้กระบวนท่ารำที่ปรากฏในการรบ ของพาลีจึงเป็นแบบแผนที่มีมาตั้งแต่ดั่งเดิมตลอดจนใช้ท่าทางพื้นฐานที่ต้องได้รับการฝึกหัดตาม กระบวนการการเรียนโขนลิงมาเป็นลำดับ นอกเนื้อจากนั้น อิทธิพลของการนำลิงธรรมชาติมามีส่วนเกี่ยวข้องกับการแสดงโขนนั้นยังมี ผลต่อการคิดประดิษฐ์ศีรษะในการแสดง ดังภาพต่อไปนี้


70 ภาพที่5 ลิงแสม ที่มา: ผู้วิจัย ภาพที่6 ศีรษะหนุมาน ที่มา: ผู้วิจัย จากภาพข้อสังเกตที่บงบอกความคล้าย คือสันแหลมตรงกลางศีรษะของลิงตามธรรมชาติ เมื่อนำมาสู่การทำหัวโขน ก็ยังคงรักษารูปแบบของลิงตามธรรมชาติไว้ โครงหน้าหูและจมูกปาก เป็นต้น นอกเหนือจากนั้นลิงในธรรมชาติยังมีอิทธิพลในการคัดเลือกผู้ที่จะมาเรียนโขนลิงเช่นกัน โดยคัดเลือกเด็กที่มีรูปร่างตามความเหมาะสม และสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ ว่องไว มีปฏิภาณไหว พริบในการเรียนรู้ (วิโรจน์ อยู่สวัสดิ์, ม.ป.ป., น. 201) จากข้อความข้างต้นทำให้เห็นว่าการเลียนแบบจากธรรมชาติหรือความเป็นจริงนั้น เป็นปัจจัยพื้นฐานในการคิดองค์ประกอบหลักและรังสรรค์ในส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติม เมื่อผู้วิจัยได้ศึกษา ข้อมูลเบื้องต้นดังที่กล่าวมานั้น จึงทำให้ผู้วิจัยได้ รวบรวมองค์ความรู้และกล่าวถึง ทรพีผู้เป็นควายไว้ ดังนี้ ทรพี เป็น ควาย โดย ผู้วิจัยได้ศึกษาและได้รวบรวมแหล่งที่มาของท่าทางไว้ดังนี้ ควาย หมายถึง ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องขนาดใหญ่กีบคู่ ลำตัวสีดำหรือเทา เขาโค้งยาว ไม่ผลัดเขา ที่ใต้คางและหน้าอกมีขนขาวเป็นรูปง่าม ครึ่งล่างของขาทั้ง สี่มีขน สีขาวหรือขาวอมเทา (ราชบัณฑิตยสถาน, 2554, น. 312)


71 ควายในแถบเอเชีย สามารถแยกออกได้ 2 ประเภทได้แก่ 1. ควายปลัก ภาพที่7 ควายปลัก ที่มา: กิตติ กุบแก้ว (2553, น. 19) เป็นควายที่ชอบนอนหนองน้ำ ปลักโคลน มี ลักษณะภายนอก คือ โครงสร้าง เป็นควาย ที่มีโครงร่าง ใหญ่ หนัก แข็งแรง รูปร่างหนาและลึก ลำตัวสั้นเตี้ย ท้องใหญ่ หน้าผากกว้าง หน้าสั้น ส่วนหน้า โดยเฉพาะไหล่ใหญ่กว่าส่วนท้าย หางสั้น เต้านมเล็กและอยู่ค่อนไปข้างหลัง ควายปลักในทุกประเทศถือว่าเป็นพันธุ์เดียวกันไม่สามารถแยกเป็นพันธุ์ได้เด่นชัด แต่แตกต่างกันในลักษณะภายนอกบ้างถิ่นที่ เลี้ยงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยและการคัดพันธุ์ของคน ในท้องถิ่นที่ติดต่อกันมายาวนานทำให้อาจมีสีขนาดและเขาแตกต่างกันแม้ในถิ่นที่อยู่อาศัยเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามอาจแยกเป็นกลุ่มย่อยโดยการเปรียบเทียบที่ขนาด เช่นควายไทยมีขนาดใหญ่ น้ำหนัก เฉลี่ย 450 - 500 กิโลกรัม แต่ก็มีบางสายพันธุ์มีขนาดเล็ก 300 - 450 กิโลกรัมส่วนพ่อพันธุ์บางตัว มีน้ำหนักมากกว่า 1,000 กิโลกรัม และมีความสูงมากกว่า 150 เซนติเมตร ควายลาวน้ำหนักเฉลี่ย 500-600 กิโลกรัม


72 2. ควายแม่น้ำ ภาพที่8 ควายแม่น้ำ ที่มา: กิตติกุบแก้ว (2553, น. 21) ควายที่มีการเลี้ยงมากที่สุดในโลก คิดเป็นร้อยละ 70 ของควายทั่วโลก ถูกคัดเลือกพันธุ์ มาหลายชั่วอายุในประเทศอินเดีย และปากีสถาน และแพร่กระจายไปยังประเทศตะวันออกใกล้ และ ไกลอียิปต์ รวมทั้งยุโรปตอนใต้ ควายแม่น้ำเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิต และเศรษฐกิจของคน ในท้องถิ่นอินเดียและปากีสถานมาก เพราะใช้น้ำนมดื่มกินและประกอบอาหารในชีวิตประจำวัน ควายเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากควายพันธุ์มูร่ห์ และมีการพัฒนาคัดเลือกพันธุ์ตามถิ่นที่อยู่ จนทำให้ รูปร่างภายนอกแตกต่างกัน (จินตนา อินทรมงคล และสุพรชัย ฟ้ารี, 2552, น. 75) จากลักษณะรูปร่างของควายทั้งสองสายพันธุ์ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า ควายปลักเป็น ควายที่ชอบอยู่ในโคลนและมีรูปร่างใหญ่มีเขาโค้งยาวกว่าควายแม่น้ำ ควายแม่น้ำเป็นควายที่ชอบ ความสะอาดไม่ชอบลงโคลนและมีเขาที่โค้งไปทางด้านหลัง และกลางออกเล็กน้อย จากภาพข้างต้น จะเห็นความต่างได้อย่างชัดเจน จึงอาจสรุปได้ว่า ควายปลักเป็นควายที่นำมาเป็นพื้นฐานในการแสดง ในการแสดงโขน ประการหนึ่งที่ทำให้เห็นชัดคือ ประเพณีชนควายของไทยนั้น ก็ใช้ควายปลักใน การชน


73 ภาพที่9 ประเพณีชนควาย ที่มา: สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์สุภาค อินทองคง และอุบลศรี อรรถพันธ์ (2542, น. 24) จากภาพข้างต้นซึ่งมีความสอดคล้องกับการแสดงโขนตอน ทรพีรบททรพา ภาพที่10 ทรพีรบทรพา ที่มา: กรมศิลปากร (2553, น. 98) นอกเหนือจากที่กล่าวไปยังมีอีกปัจจัยที่ทำให้เห็นได้ว่าควายปลักถูกนำมาใช้ในการแสดง โขนจริงคือ ลักษณะของหัวโขนในการแสดงเป็น ทรพี


74 ภาพที่11 ควายบ้าน ภาพที่12 ศีรษะทรพี ที่มา: กิตติ กุบแก้ว (2553, น. 30) ที่มา: ผู้วิจัย ในภาพทั้งใบหู ทั้งลักษณะเขา จมูก และปากมีความคล้ายคลึงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งภาพจาก จิตรกรรม ก็มีลักษณะที่บ่งบอกถึงควายปลักเช่นกันดังภาพ ภาพที่13 จิตรกรรมฝาผนังพาลีรบทรพี ที่มา: นิดดา หงษ์วิวัฒน์(2547, น. 62) จากข้อมูลที่ปรากฏที่ผู้วิจัยได้รวบรวมมาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าควายที่เป็นต้นแบบท่ารำใน การแสดงโขนตัวทรพีที่เป็นควายในวรรณกรรมนั้น คือ ควายปลัก จากข้อความสรุปได้ว่า ท่าทางในการรบระหว่างพาลีกับทรพี หรือแม้กระทั่งท่าทางของสอง ตัวละคร นั้น ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากสัตว์ตามธรรมชาติจริงโดย มีครูผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้คิด ประดิษฐ์ขึ้นโดยอิงจากหลักความเป็นจริงจากข้อมูลนี้จะเห็นได้ว่าความหน้าสนใจของ ตอนพาลีรบ ทรพีนั้น คือ ความเฉพาะของตัวละครที่เลียนแบบท่าทางมาจากธรรมชาติผสมผสานท่าทางพื้นฐาน ทางนาฏศิลป์ไทยโขน แต่หาได้มีองค์ประกอบเดียวไม่นอกจาก นำท่าทางจากธรรมชาติแล้วยังต้อง รังสรรค์ให้ตรงตามบุคลิกของตัวละครในวรรณกรรมอีก เพื่อถ่ายทอดบทบาทของตัวแสดงให้ออกมา


75 ตรงตามเรื่องราวในวรรณคดีไทย จากนั้นจึงนำมาคิดประดิษฐ์ท่ารำให้ตรงตามบทร้อง ตามแบบการ แสดงโขนและส่งผ่านอารมณ์ผ่านท่าทางสู่การแสดงให้ผู้ชมได้รับชมสืบไป 5. องค์ประกอบการแสดง การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนพาลีรบทรพีมีองค์ประกอบของการแสดงตามที่ผู้วิจัยได้ ศึกษาดังนี้ 5.1 ผู้แสดง พาลี และ ทรพี ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนพาลีรบทรพี การคัดเลือกผู้แสดงนั้นเป็นสิ่งสำคัญเป็น อันดับแรก ในการคัดเลือกตัวละครที่จะแสดงในตอนนี้ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลไว้ดังต่อไปนี้ 1) การคัดเลือกตัวผู้แสดงพาลี การคัดเลือกตัวผู้แสดงพาลี ให้เหมาะสมกับตัวละครไม่ว่าจะเป็น รูปร่าง ลักษณะ บุคลิก นิสัย และผู้แสดงจะต้องมีประสบการณ์ในการแสดงโขน เข้าใจในบทบาทและอารมณ์ของตัวละคร ผู้วิจัยได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้แสดงตัวพาลีโดยการสัมภาษณ์จากคุณครูผู้ทรงคุณวุฒิทางด้าน นาฏศิลป์ไทยโขนลิง ได้แก่ 1.1) นายประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2551 1.2) นายวิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทย โขนลิง สถาบันบัณฑิต พัฒนศิลป์ ท่านเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ทางด้านการแสดงด้านนาฏศิลป์ไทย (โขนลิง) ปัจจุบันเป็นคุณครูผู้ถ่ายทอดความรู้ทางด้านนาฏศิลป์ไทย (โขนลิง) ผู้วิจัยได้ทำการสัมภาษณ์ คุณสมบัติของตัวพาลีในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพาลีรบทรพี จากที่สัมภาษณ์พบว่า มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าผู้แสดงตัวพาลีจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ พาลีมีลักษณะรูปร่าง สูงโปร่ง สง่า มีรูปร่างคอยาว มีความสูง เพื่อให้เหมาะกับการสวมยอด ร่างกายทุกส่วนต้องครบถ้วน สมบูรณ์ ไม่อ้วนจนเกินไป โดยเฉพาะตัวพาลีเป็นลิงกษัตริย์ ต้องมีบุคลิกท่าทางต้องเหมาะสม ในการ แสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอนพาลีรบทรพีนั้น ตัวพาลีมีนิสัยที่ซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อคำพูด เป็นลิงที่รัก พงศ์เผ่า รักพวกพ้อง รักพี่น้อง และซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย บุคลิกของตัวพาลี มีบุคลิกที่นิ่ง ไม่รุกลี้ลุกลน ไม่ซุกซนเหมือนลิงตัวอื่น มีความเป็นผู้นำ มีการวางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นลิงกษัตริย์จากข้อมูล ที่รวบรวมจากการสัมภาษณ์ ล้วนสอดคล้องกับบทบาทที่ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาไว้และปรากฏในเล่ม


76 2) การคัดเลือกผู้แสดงทรพี ในการคัดเลือกผู้แสดงตัวทรพีซึ่งวิธีการคัดเลือกตัวผู้แสดงจากการสัมภาษณ์ 1. นายประสิทธิ์ ปิ่นแก้ว ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง พุทธศักราช 2551 2. นายวิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ 3. นายพงษ์พิศ จารุจินดา มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ผู้แสดงตัว ทรพี จะต้องมีลักษณะ ร่างกายแข็งแรง รูปร่างสันทัด หุ่นล่ำสัน มีไหวพริบดี มีประสบการณ์ในการเรียนโขนยักษ์หรือโขนลิงมาก่อน นอกจากนี้ผู้ที่แสดงทรพีจะต้องมีส่วนสูงที่สมดุลกัน และลักษณะท่าทางจะต้องมีความ แข็งแรง เข้มแข็ง เพราะเมื่อนำมาแสดงแล้วจะสามารถสื่ออารมณ์ออกมาได้ชัดเจน เช่น อารมณ์ใน การเข้ารบกันระหว่างทรพีและพาลี ที่จะต้องมีความดุดัน ความแข็งแกร่งในการต่อสู้จากการ สัมภาษณ์และเก็บข้อมูล จากคุณครูทั้ง 3 ท่าน ตรงตามบทบาทของทรพีที่ปรากฏในวรรณกรรม 5.2 เครื่องแต่งกายของตัวละคร การละครได้มีวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นลำดับทั้งรูปแบบการแสดง ท่ารำ เครื่องดนตรีและ เครื่องแต่งกาย ทำให้มีวิวัฒนาการควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับตัวละครและการแสดง ตลอดจนช่วยเสริมให้ผู้ที่แสดงดูโดดเด่นสวยงาม สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระราช นิพนธ์ ไว้ในตำนานละครอิเหนา ต่อมาเมื่อมีละครเล่นกันแพร่หลาย แล้วจึงมีผู้ประดิษฐ์คิดเครื่องแต่ง ตังขึ้น สำหรับแต่งตัวละครที่จะทำเป็นท้าวเป็นพระยศในละครโรงหนึ่งก็เห็นจะแต่งแต่คนเดียว เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าแต่งตัว “ยืนเครื่อง” อิทธิพลจากเรื่องรามเกียรติ์นั้นมีผลต่อการแต่งกายโขน ละครเป็นอันมาก เพราะเป็นเรื่องราวของเทพ จึงทำให้เครื่องแต่งกายวาววามและแพรวพราวด้วย เครื่องทองตลอดจนถนิมพิมพาภรณ์อันมีค่าซึ่ง แสดงให้เห็นถึงฐานะและยศศักดิ์ซึ่งปรากฏชัดเจน ในการแต่งองค์ของพระมหากษัตริย์ก็น่าจะมาจากเหตุผลบางประการ ได้แก่ - การดัดแปลงเครื่องแต่งกายของกษัตริย์ที่ทรงในโอกาสพิเศษหรือในงานพระราชพิธี - วิวัฒนาการตามรูปแบบการแสดงประเภทต่าง ๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ - ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างชาติ เครื่องแต่งกายในการแสดงโขน เป็นเครื่องแต่งกายที่เลียนแบบเครื่องทรงของ พระมหากษัตริย์และเจ้านายมาอีกทอดหนึ่ง (สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2508, น. 18) การแต่งกายของพาลี มีลักษณะการแต่งกายดังนี้ คือ แต่งกายยืนเครื่อง สีเขียวขลิบแดง สวมมงกุฎยอดสะบัด เหตุที่กายสีเขียวและมีมงกุฎยอดบัด เพราะว่าเป็นลูกของพระอินทร์จึงมีสีกาย


77 และมงกุฎยอดบัดเหมือนพระอินทร์ ลักษณะหัวโขนของตัวพาลี หน้าลิงปากอ้า สีเขียวยอดบัด มีการแต่งกายดังต่อไปนี้ ลักษณะเครื่องแต่งกายของพาลี ภาพที่14 เครื่องแต่งกายพาลี (หน้า) ภาพที่15 เครื่องแต่งกายพาลี (หลัง) ที่มา: ผู้วิจัย ที่มา: ผู้วิจัย เครื่องแต่งกายของพาลีประกอบด้วย 1. ข้อเท้า 6. เสื้อ 11. ตาบทิศ 16. พระขรรค์ลิง 2. สนับเพลา 7. ห้อยหน้าหรือชายไหว 12. พาหุรัด 3. ผ้านุ่ง 8. เข็มขัด (ปั้นเหน่ง) 13. ปิดก้นหรือห้อยก้น 4. ห้อยข้างชายแครง 9. ทับทรวง 14. หางลิง 5. รัดสะเอว 10. สังวาล 15.หัวโขน 1 7 4 2 14 3 13 5 1 1 15 9 12 6 8 16 11 10


78 การแต่งกายของทรพี มีลักษณ ะการแต่งกายดังต่อไปนี้แต่งกายยืนเครื่องตาม บทพระราชนิพนธ์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 กล่าวว่า จึ่งคลอดบุตรมาเป็นตัวผู้ สีดำดูองอาจแกล้วกล้า จากวรรณกรรมสู่การแสดง สีที่ออกมาของทรพีคือ สีดำขลิบแดง ลักษณะ หัวโขน ศีรษะครึ่งหัว และใช้การแต่งใบหน้า ซึ่งผู้วิจัยได้ทำการศึกษา การแต่งกายของทรพีที่ปรากฏ ในการแสดง สามารถแต่งกายได้ 2 แบบ แบบที่ 1 แบบดั้งเดิมใช้ผ้านุ่งมาจับจีบปล่อยห้อยมาทำหาง ดังรูปและอีกแบบที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือมีหาง เพื่อให้สมจริงตรงตามตัวละครตามภาพจิตรกรรมผู้วิจัย ได้ อธิบายการแต่งกายของทรพี ไว้ดังต่อไปนี้ ลักษณะเครื่องแต่งกายของทรพีแบบที่ 1 ภาพที่16 แต่งกายทรพีแบบที่ 1 ที่มา: กรมศิลปากร (2553, น. 109)


79 ลักษณะเครื่องแต่งกายของทรพีแบบที่ 2 ภาพที่17 เครื่องแต่งกายทรพี (หน้า) ภาพที่18 เครื่องแต่งกายทรพี (หลัง) ที่มา: ผู้วิจัย ที่มา: ผู้วิจัย เครื่องแต่งกายของทรพี ประกอบด้วย 1. ข้อเท้าผ้า 9. กรองคอ 2. สนับเพลา 10. เข็มขัดหรือปั้นเหน่ง 3. ผ้านุ่ง 11. ทับทรวง 4. ห้อยข้าง 12. สังวาล 5. หางสีดำ 13. กำไลแผง 6. เสื้อสีดำแขนยาว 14. ศีรษะทรพี 7. รัดสะเอว 15. การแต่งหน้า 8. ห้อยหน้า 1 8 4 2 5 3 7 6 9 14 11 12 6 10 15 13 10


80 5.3 พื้นที่แสดงบนเวที รูปแบบการใช้เวทีในการแสดงในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพาลี รบ ทรพีกระบวน ท่ารบพาลี กับ ทรพีประกอบด้วยบทพากย์เจรจาและบทร้อง ซึ่งในการแสดงในตอนนี้ ผู้วิจัยได้เริ่ม แสดงตั้งแต่ตอน ทรพี มาท้ารบพาลี จนกระทั่งทรพีพ่ายพาลีและตายในที่สุดและทำการศึกษา กระบวนท่ารำ และ การใช้เวทีไว้ดังต่อไปนี้ สัญลักษณ์ที่ใช้ หมายถึง พาลี (ปลายแหลมของสามเหลี่ยมคือด้านหน้าของผู้แสดง) หมายถึง ทรพี (ปลายแหลมของสามเหลี่ยมคือด้านหน้าของผู้แสดง) หมายถึง เส้นทางการเคลื่อนที่


81 ตารางที่3 แผนผังการใช้เวทีในการแสดงโขนตอนพาลีรบทรพี ลำดับ ที่ แผนผังการใช้เวที ท่ารำ 1 ตรงกลาง (share center) 2 ทรพีเคลื่อนตัวมาทางขวาของเวที 3 ตรงกลาง (share center) ทิศหน้า ทิศหลัง ทิศหลัง ทิศหน้า ทิศหลัง ทิศหน้า


82 ตารางที่3 แผนผังการใช้เวทีในการแสดงโขนตอนพาลีรบทรพี(ต่อ) ลำดับ ที่ แผนผังการใช้เวที ท่ารำ 4 ทรพีเคลื่อนตัวมาทางซ้ายของเวที 5 ตรงกลาง (share center) 6 ตรงกลาง (share center) ทิศหลัง ทิศหน้า ทิศหลัง ทิศหน้า ทิศหน้า ทิศหลัง


83 ตารางที่3 แผนผังการใช้เวทีในการแสดงโขนตอนพาลีรบทรพี(ต่อ) ลำดับ ที่ แผนผังการใช้เวที ท่ารำ 7 ตรงกลาง (center) 8 ทั้งสองตัวละครไปทางซ้ายของเวที 9 ทั้งสองตัวละครไปทางขวาของเวที 10 ตรงกลาง (center) ทิศหลัง ทิศหน้า ทิศหลัง ทิศหน้า ทิศหลัง ทิศหน้า ทิศหน้า ทิศหลัง


84 ตารางที่3 แผนผังการใช้เวทีในการแสดงโขนตอนพาลีรบทรพี(ต่อ) ลำดับ ที่ แผนผังการใช้เวที ท่ารำ 11 ตรงกลาง (center) 12 ทั้งสองตัวละครไปทางขวาของเวที ทั้งสองตัวละครไปทางซ้ายของเวที ที่มา: ผู้วิจัย จากตารางที่ 3 การใช้เวทีในการแสดงโขนตอนพาลีรบทรพี ผู้วิจัยได้ศึกษาพบว่า รูปแบบ การใช้เวทีในการแสดงนั้น ส่วนใหญ่ท่าในการรบจะเล่นอยู่ระหว่างกลางทั้งสองตัวละคร แต่เมื่อเข้าสู่ การรบจะมีการเคลื่อนไหวไปทางด้านซ้าย และ ทางด้านขวาของเวทีเพื่อแสดงให้เห็นถึงการรุกและรับ ทิศหน้า ทิศหลัง ทิศหน้า ทิศหลัง ทิศหน้า ทิศหลัง


85 รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของสองตัวละครที่ไม่หยุดนิ่ง จะเป็นการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาแต่อยู่ตรง กลางเวทีเป็นส่วนใหญ่ 5.4 บทที่ใช้ในการศึกษา บทที่ผู้วิจัยได้นำมาศึกษาและบันทึกท่ารำและนำมาวิเคราะห์โดยได้ตัดตอนมาจากการแสดง โขนตอนพาลีสอนน้อง กรมศิลปากรได้ปรับปรุงขึ้นใหม่ จัดแสดงเป็นครั้งแรกในงานสัปดาห์หนังสือ แห่งชาติ วันที่ 2, 3 และ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ผู้ประพันธ์บทโขน คือ นายเสรี หวังในธรรม โดย จัดทำบทเพื่อใช้ในการแสดงโขน แนวคิดการจัดทำบทโขน ชุดพาลีสอนน้อง เป็นการนำเสนอบทบาท สำคัญในเรื่องรามเกียรติ์ คือ พาลี โดยจัดทำบทขึ้นใหม่ ดำเนินเรื่องตามบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 ดำเนินเรื่องด้วยการพากย์ เจรจา และการขับร้อง มีความกระชับ รวดเร็ว - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด - - เจรจา - ทรพี - นี่แน่ะ พระศุลีผู้เป็นใหญ่ในโลกา เราทรพีขอทายท้าแก่ตัวท่าน แม้นเก่งจริงจงมาโรม รันประลองฤทธิ์ ให้ปรากฏทศทิศลือสะท้าน - ร้องเพลงนาคราช - เหม่ เหม่ ดูดู๋ไอ้ทรพี มาอ้างอวดฤทธีทำหาญ ตัวมึงหยาบใหญ่ใจพาล อ้ายชาติเดรัจฉานทรลักษณ์ ฆ่าพ่อตัวตายแล้วมิหนำ จะซ้ำเอาคอมารอจักร จะมาท้าทายกูไม่คู่พักตร์ แม้นรักจักใคร่ราวี เอ็งจงลงไปยุทธยง ด้วยพาลีลูกองค์โกสีย์ ให้มึงสิ้นชีพชีวี แพ้ฤทธิ์พาลีผู้ศักดา - ร้องเพลงเขมรสุดใจ - บัดนั้น ทรพีฤทธิแรงแข็งกล้า ครั้นต้องคำสาปเจ้าโลกา บังเอิญให้โมหาบ้าใจ ขวิดคัดไกรลาศสิงขร สำแดงฤทธิรอนแผ่นดินไหว ระเห็จมาในป่าพนาลัย ตรงไปขีดขินธานี - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด - - ทรพีออกและพาลีเต้นออกเจอทรพี–


86 - เจรจา - พาลี - ฝ่ายพระยาพาลีผู้ฤทธิรงค์พงศ์อมร ดูกาสรเห็นท่วงทีมีพลัง จึงเรียกสุครีพ อนุชาเข้ามา สั่งเป็นความนัย ว่าทรพีตนนี้ไซร้มีฤทธิแรง แม้นต่อสู้ในกลางแปลงเห็นยากอยู่พี่จะอุบาย เข้าไปต่อสู้ในคูหา เจ้าจงคุมโยธากลับมาใหม่ คอยสังเกตเลือดอันหลั่งไหลออกมาที่หน้า ถ้ำ ถ้าเป็นเลือดข้นปนดำคือเลือดควาย หากโลหิตใสนั้นก็หมายเป็นเลือดพี่ จงเร่งพล ขนคีรีปิดคูหาอย่าปล่อยให้มหิงสาออกมาได้ทุกเช้าตรู่จงคุมหมู่พลไกรมาตรวจตรา สั่งพลางทางร้องท้าว่าเหวยเฮ้ยทรพี อันตัวเจ้ากับเรานี้ต่างมีฤทธิ์ จงไปชิงชัยให้มิดชิด ในคูหา เกลือกผู้ใดใครมรณาเพราะแพ้พ่าย จะได้เป็นความลับไม่อับอายแก่ผู้ใด ทรพี - อ๋อ…เช่นนั้นจะเป็นไรเจ้าพาลีนี่ชะรอยเจ้าเกรงจะเสียทีแพ้แก่ข้า จึงคิดจะเกลื่อนกลบ หลบหน้าให้พ้นอาย รบที่ไหนเจ้าก็ต้องตายวายชีวันว่าแล้วจรจรัลออกนำหน้า มุ่งเข้าสู่ ถ้ำคูหาสุรกานต์พาลีก็ติดตามไปรอนราน - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด - - ทรพี กับพาลี รบกัน - - ร้องเพลงเขมรปากท่อชั้นเดียว - เมื่อนั้น พาลีธิราชอาจหาญ สัประยุทธต่อยุทธเป็นช้านาน ไม่อาจรุกรานเอาชัย ตรึกไปด้วยไวปัญญา มหิงสาตัวนี้เป็นไฉน รุ่งเรืองฤทธาเกรียงไกร หรือจะได้กำลังเทวา - ร้องเพลงร่าย - จึงร้องถามว่าเหวยทรพี ซึ่งเรืองฤทธีแกล้วกล้า เทเวศร์องค์ใดมหึมา ให้กำลังวังชาหรือว่าไร - เจรจา - ทรพี - ชิชะ เจ้าพาลี ช่างถามไถ่ดูถูกกัน เฮ้ย กูนั้นเรืองฤทธิไกรในตัวเอง ใช่ฉกาจเก่งเพราะเทวา มาช่วยเหลือ กูเรืองอำนาจยิ่งกว่าชาติเชื้อวงศ์เทวา เจ้าควรศิโรราบกราบขมาเสียบัดนี้ สิ้นวาจาทรพีที่อกตัญญูเหล่าเทวัญอันเคยอยู่รักษากาย ก็พากันหนีแหนงหน่ายไม่ปกป้อง พาลี - ฝ่ายพาลีเห็นได้ช่องต้องหฤทัย ก็ถาโถมโจมเข้าชิงชัยด้วยฤทธี


87 - ร้องเพลงร่าย - มือซ้ายจับเขายืนยัน มือขวาแกว่งพระขรรค์ชัยศรี ฟาดลงด้วยกำลังทั้งอินทรีย์ ทรพีก็ม้วยบรรลัย - ปี่พาทย์ทำเพลงรัว - โอด - - พาลีฆ่าทรพีตาย – 5.5 เครื่องดนตรีและเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง วงดนตรีประกอบการแสดงโขน การแสดงโขนของไทยแต่โบราณ นอกจาก ใช้คำพากย์และ คำเจรจาดำเนินเรื่องแล้ว ต้องประกอบด้วยวงดนตรีไทยชนิดหนึ่ง คือ วงปี่พาทย์สำหรับใช้บรรเลง ประกอบอิริยาบถและความรู้สึกของตัวโขน ปี่พาทย์ที่ประกอบกับการแสดงโขนนี้แต่โบราณทีเดียว ก็ใช้เพียงเครื่องห้า ต่อเมื่อวงปี่พาทย์ได้วิวัฒนาการมาเป็น เครื่องคู่และเครื่องใหญ่ วงปี่พาทย์ประกอบ โขนก็วิวัฒนาการตามขึ้นไปด้วย แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่สถานการณ์และโอกาสว่าควรจะเป็นวงปี่พาทย์ ขนาดไหน ผู้บรรเลงปี่พาทย์ประกอบการแสดงโขนนั้น นอกจากจะต้องได้เพลงครบถ้วนตามความ ต้องการของการแสดงแล้ว ยังจะต้องมีความรู้ ดูท่าทางบทบาทร่ายรำของตัวโขนเข้าใจด้วย มิฉะนั้น ก็ไม่สามารถทำให้การแสดงเป็นไปโดยเรียบร้อยได้ เพราะขณะที่ร่ายรำอยู่ในเพลงหนึ่ง อาจเปลี่ยน จากเพลงนั้นไปอีกเพลงหนึ่งได้ ผู้มีความสำคัญในวงปี่พาทย์ประกอบโขนนี้ นอกจากคนตีระนาด สำหรับนำ “ออก” เพลงต่าง ๆ แล้ว คนตีตะโพนและตีกลองย่อมนับเป็นสำคัญมาก เพราะเครื่อง ดนตรีทั้งสองนี้ ต้องตีให้สอดคล้องต้องกันกับท่าเต้นท่ารำตลอดไปทุกระยะ ต่อมาได้แทรกบทขับร้อง กลอนบทละครตามแบบละครรำชนิดที่เรียกว่า ละครใน เข้าไว้ในการแสดงโขนอีกด้วย จึงมีผู้ขับร้อง เพิ่มขึ้นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะที่มีความสำคัญในการแสดงโขนที่ใช้ในกรณีพิเศษ คือ กรับพวง และโกร่งกรับพวง ใช้ตีประกอบการขับร้องร่ายของผู้ขับร้อง โกร่ง ใช้ตีประกอบจังหวะเพลงกราวนอก กราวใน เพื่อต้องการจังหวะเร่งเร้า และอึกทึกครึกโครม ตอนยกทัพฝ่ายพลับพลาและลงกา (คณิต พีชวณิชย์, 2537, น. 16) ดนตรีเป็นเสียงที่ประกอบกันเป็นทำนองเพลงและเป็นเครื่องบรรเลง ซึ่งมีเสียงดังทำให้รู้สึก เพลิดเพลินหรือเกิดอารมณ์รัก โศก และ รื่นเริง เป็นต้น ในทางนาฏศิลป์ดนตรีเป็นส่วนที่สำคัญส่วน หนึ่งซึ่งประกอบด้วยจังหวะ ทำนอง โดยจังหวะจะหมายถึง ระยะที่ถูกกำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอเป็น ตอน ๆ ถ้าเป็นเพลงทั่วไป จะแบ่งจังหวะสามัญ เป็น 3 แบบ คือ ช้า ปานกลาง และเร็ว ภาษาดนตรี ของไทยเรียก จังหวะสามชั้น สองชั้น หนึ่งชั้น (สุมิตร เทพวงษ์, 2548, น. 8)


Click to View FlipBook Version