รายงานการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs learning process) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 นางสาวกมลชนก กล้าขยัน รหัสนักศึกษา 611505201 ชั้นปีที่ 5 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ รายงานการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของ รายวิชา การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 1 (ฝึกเต็มรูป 1) ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
คำนำ รายงานการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ทักษะการเขียน โดยใช้เทคนิคการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 เล่มนี้ สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณา ดูแล ช่วยเหลือให้คำแนะนำ กำกับติดตามจนสำเร็จลุล่วงด้วยดียิ่งจากท่านอาจารย์นภาพร เลขาโชค อาจารย์ปรึกษาในรายวิชารายวิชา การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 1 (ฝึกเต็มรูป 1) (5002701) ผู้ศึกษารู้สึกซาบซึ้งในพระคุณจึงขอขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณท่านผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความกรุณาในการตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือ ในการพัฒนาการเรียนรู้ในครั้งนี้ ซึ่งได้แก่ นางสาวกนกวรรณ คอนสันเทียะ ตำแหน่ง ครูชำนาญการ นางรังสิณี พลมณีตำแหน่งครูและนายธนากร เลิกนอก ตำแหน่งครูที่ได้ตรวจสอบเนื้อหาและชี้แนะ แนวทางที่ถูกต้อง จนทำให้การพัฒนาการเรียนรู้ครั้งนี้ ดำเนินการไปได้ด้วยดี ขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการโรงเรียนสุนทรวัฒนา ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการปฏิบัติ การสอนในสถานศึกษา 1 โดยอนุญาตให้ทำการเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ในครั้งนี้ ด้วยความกรุณาของครูพี่เลี้ยง คุณครูกนกวรรณ คอนสันเทียะ ตำแหน่งครูชำนาญการ และคณะครูในกลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศทุกท่าน ที่ได้ให้ความกรุณาให้คำแนะนำชี้แนะแนวทางการเก็บข้อมูลใน การจัดการเรียนการสอนจนสำเร็จลุล่วงด้วยดีตลอดจนคณะครูโรงเรียนสุนทรวัฒนาทุกท่าน ให้กำลังใจ และอำนวยความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างดี ขอขอบใจนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจากโรงเรียนสุนทรวัฒนา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ที่คอยให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยความตั้งใจเป็นอย่างดี จนทำให้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ กมลชนก กล้าขยัน
สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข สารบัญตาราง ง สารบัญรูปภาพ จ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญ 1 1.2 วัตถุประสงค์การศึกษา 4 1.3 ขอบเขตการศึกษา 5 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 6 บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 10 2.2 การทักษะการเขียนและทฤษฎีการสอนทักษะการเขียน 20 2.3 หลักการสอนด้วยวิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน 23 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 24 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการศึกษา 3.1 กลุ่มตัวอย่าง 27 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 27 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 30 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 33 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 38 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 38 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลและอภิปรายผลการศึกษา 45 5.2 ข้อเสนอแนะในการศึกษา 47 บรรณานุกรรม
สารบัญ (ต่อ) เรื่อง ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา - ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ (5แผน) - ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน - แบบทดสอบความพึงพอใจของนักเรียน ภาคผนวก ข ผลการวิเคราะห์ข้อมูล - แบบประเมินความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) สำหรับผู้เชี่ยวชาญ ในการตรวจสอบเครื่องมือการศึกษา ภาคผนวก ค ข้อมูลสถิติจากการวิเคราะห์ผลการศึกษา ภาคผนวก ง ภาพประกอบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้
สารบัญตาราง เรื่อง หน้า ตารางที่1 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบ 31 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์และหาประสิทธิภาพเครื่องมือในการศึกษา คือ แผนการจัดการเรียนรู้ 38 ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์และหาประสิทธิภาพ เครื่องมือในการศึกษา คือ แบบทดสอบก่อนเรียน 39 และหลังเรียนจากแผนการจัดการเรียนรู้ ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบผลต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของคะแนนทดสอบก่อนเรียน 41 และหลังเรียน ตารางที่ 5 ผลการทดสอบค่าคะแนนที (t-test) 41 ตารางที่ 6 ผลจากแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน 42 รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4
สารบัญรูปภาพ เรื่อง หน้า รูปภาพที่ 1 แบบแผนการศึกษาแบบ One Group Pretest-Posttest Design 30
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญ ในสังคมโลกปัจจุบันการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษาการแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้าง ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลกและตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและ มุมมองของสังคมโลก นำมาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจ ตนเองและผู้อื่นดีขึ้น เรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรร ม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ และใช้ภาษาต่างประเทศ เพื่อการสื่อสารได้ รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้น และมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิต ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งกำหนดให้เรียนตลอดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล มีความจำเป็นต้องใช้ติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติทั้ง การประกอบอาชีพ การพัฒนาตนเอง และการก้าวตามให้ทันต่อเทคโนโลยี ล้วนมีภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง ในการสื่อสารเพื่อให้คนทั้งโลกเข้าใจตรงกัน อีกทั้งยังสามารถ สร้างความได้เปรียบทางด้านธุรกิจด้วย ดังนั้น การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายประเทศทั่วโลก ให้ความสำคัญและส่งเสริมให้ ประชากรในชาติเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ประชากรในชาติ ทั้งยังเล็งเห็นถึง การพัฒนาประเทศจาก การติดต่อสื่อสารกับต่างชาติเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ดีส่งผลให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าได้อย่างก้าวกระโดด ภาษาอังกฤษจึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประชากร เพื่อพัฒนาประเทศ อีกทั้งประเทศไทยของเรา ได้เข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว และมีชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในประเทศมากมาย เกิดการแข่งขันในสังคมมาก ยิ่งขึ้น แน่นอนว่าผู้ที่มี ทักษะทางภาษาอังกฤษที่ดีย่อมเป็นผู้ได้เปรียบทางสังคม และเพื่อสร้างความได้เปรียบ ก า ร พ ั ฒ น า ท ั ก ษ ะ ด ้ า น ภ า ษ า อ ั ง ก ฤ ษ ข อ ง ป ร ะ ช า ก ร ใ น ป ร ะ เ ท ศ จ ึ ง จ ำ เ ป ็ น อ ย ่ า ง ม า ก การจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ตามหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ร ว ม ท ั ้ ง ม ี ค ว า ม ร ู ้ ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ ใ น เ ร ื ่ อ ง ร า ว แ ล ะ ว ั ฒ น ธ ร ร ม อ ั น ห ล า ก ห ล า ย ข อ ง ป ร ะ ช า ค ม โลกและสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังประชาคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ ดังนั้นเพื่อให้ผู้เรียน มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามที่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดไว้นั้นหลักสูตรได้เน้นให้มีการจัดการเรียน การสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามแนวการจัดการศึกษาของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หมวด 4 มาตรา 22 ระบุว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้และ
2 พัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงจะมีผลอย่างมากต่อการศึกษาต่อต่างประเทศ การเรียนในสถาบันนานาชาติในประเทศไทย หรือในภาคส่วนของการศึกษาด้านการแพทย์ และด้าน STEM คือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (Science, Technology, Engineering, and Mathematics) เพราะข้อมูล หนังสือ วารสาร และงานวิจัยทางวิชาการของสาขาเหล่านี้มักจะเป็นภาษาอังกฤษ แทบทั้งสิ้น เพื่อให้นักวิชาการในระดับนานาชาติอ่านได้ และเป็นการง่ายในการนำไปต่อยอดความรู้ในอนาคต นอกจากนี้ในทุกสาขาของการเรียน ถ้าเข้าใจภาษาอังกฤษจะทำให้คุณเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ และเนื้อหาที่เป็น ประโยชน์ได้กว้างขวางมากขึ้นกว่าคนที่รู้แค่ภาษาไทยภาษาเดียว จากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นจึงเป็นผลให้ ภาษาอังกฤษเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ทำให้สามารถเข้าเรียนในสถาบัน และมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้หลายที่ทั่วโลก อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะได้รับการตอบรับเข้าศึกษา และยังมีโอกาสได้รับทุนการศึกษามากกว่าคนปกติ เนื่องจากการสมัครเข้าศึกษาต่อและสมัครทุนการศึกษา มักจะมีเงื่อนไขระดับการรู้ภาษาอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้อง อยู่เสมอ การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจำเป็นจะต้องมีทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน และทักษะที่ยากที่สุดในการ เรียนรู้นั้นก็คือ ทักษะการเขียน ขวัญตา มากมูล (2555 : 16) กล่าวว่าทักษะการเขียน เป็นทักษะสุดท้ายทางการ สื่อสาร เป็นทักษะที่ยากที่สุด เพราะต้องใช้กระบวนการคิดและผลิตภาษาที่นานกว่าทักษะด้านอื่น ๆ และเป็น ทักษะที่มีความสำคัญสำหรับผู้เรียนที่เรียน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศในประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจากการ เขียนเป็นทักษะที่สำคัญที่มนุษย์ใช้ในการติดต่อสื่อสารจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เขียนจะต้องมีความรู้ในด้านใช้ ทักษะการเขียน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของคำในประโยคและไวยากรณ์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำมาพิจารณา เพราะถ้าเขียนผิดจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายผิด อีกทั้งซึ่งสอดคล้องกับวารุณี สุขชูเจริญกิจ (2556 : 38) สรุปไว้ว่าการเขียนเป็นทักษะที่ยากและมีความสำคัญ ผู้เขียนจะต้อง ได้รับการฝึกฝนจากทักษะการฟัง การพูด การอ่าน จนสามารถนำมาเขียนเพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมา เป็นลายลักษณ์อักษร ต้องอาศัยความสามารถอย่างแท้จริง จึงจะสามารถเขียนหรือถ่ายทอด ความคิดของตนเองให้ ผู้อื่นเข้าใจได้ซึ่งปัญหาที่ครูผู้สอนภาษาอังกฤษประสบอยู่บ่อยครั้งคือนักเรียนไม่สามารถเขียนประโยคภาษาอังกฤษ ได้อย่างถูกต้อง ไม่สามารถสื่อสารความต้องการด้วยการเขียนได้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการเขียน อย่างไรก็ตาม ครูผู้สอนส่วนใหญ่ตระหนักถึงปัญหาและพยายามที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวเพราะเมื่อผู้เรียนขาดทักษะด้านการเขียน ย่อมส่งผลต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนลดลง การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs learning process) หรือที่เรียกว่า กระบวนทัศน์บันได 5 ขั้น (QSCCS) โดยมีลำดับขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นการเรียนรู้ ระบุคำถาม (Learning to question) 2) ขั้นการเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to search)
3 3) ขั้นการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ (Learning to construct) 4) ขั้นเรียนรู้เพื่อสื่อสาร (Learning to communicate) และ 5) ขั้นเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to serve) (พิมพันธ์ เดชะคุปต์, 2557) ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบ กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีทักษะในการค้นคว้าแสวงหาความรู้และมีความรู้พื้นฐานที่จำเป็น และสามารถสื่อสารอย่าง มีประสิทธิผล ตลอดจนมีทักษะชีวิตร่วมมือในการทำงานกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดีจึงเป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาผ ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ผู้เรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพิชญะ กันธิยะ (2559) เพื่อให้นักเรียนมีความสามารถพื้นฐาน เบื้องต้นสำคัญที่ใช้ในการเรียนรู้ 3 ด้าน คือ ความสามารถด้านภาษา (Literacy) ความสามารถด้านคำนวณ (Numeracy) ความสามารถด้านเหตุผล (Reasoning ability) ผ ู ้ ศ ึ ก ษ า เ ป ็ น ค ร ู ผ ู ้ ส อ น ร า ย ว ิ ช า ภ า ษ า อ ั ง ก ฤ ษ ข อ ง ช ั ้ น ป ร ะ ถ ม ศ ึ ก ษ า ป ี ที่ 4 ได้ตระหนักถึงภารกิจในการจัดการเรียนเพื่อให้นักเรียนบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้น ฐาน พุทธศักราช 2551 จากการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ช ั ้ น ป ร ะ ถ ม ศ ึ ก ษ า ป ี ที่ 4 พ บ ว ่ า ผ ู ้ เ ร ี ย น ย ั ง ม ี ข ้ อ บ ก พ ร ่ อ ง ใ น ด ้ า น ก า ร เ ข ี ย น ภ า ษ า อ ั ง ก ฤ ษ เกิดจากผู้เรียนไม่ให้ความสำคัญกับทักษะการเขียน เนื่องจากเป็นทักษะที่ยากและขาดความรู้ความเข้าใจ อีก ท ั ้ ง ผ ู ้ เ ร ี ย น ก ล ั ว ว ่ า จ ะ เ ข ี ย น ไ ม ่ ถ ู ก ต ้ อ ง ไ ม ่ ก ล ้ า ท ี ่ จ ะ เ ข ี ย น เ พ ร า ะ ก ล ั ว จ ะ ผิ ด หลักไวยกรณ์ของภาษาอังกฤษและเหตุผลอีกหนึ่งประการคือ ในปีการศึกษาที่ผ่านมาที่มีผลกระทบจากการแพร่ ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดอย่างรุนแรงในประเทศไทย จึงทำให้สถานศึกษาจำนวนมากต้องปรับเปลี่ยน จากการเรียนการสอนในห้องเรียนมาเป็นแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ซึ่งทำให้ผู้เรียนบางส่วนไม่เข้า ใจในเนื้อหาและขาดความเข้าใจเนื้อหาบางส่วนซึ่งส่งผลกระทบมาถึงปีการศึกษาถัดมาทำให้การเรียนการสอนและ การพัฒนานักเรียนในด้านต่างๆเช่นความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษและการเขียนภาษาอังกฤษ ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรซึ่งทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีเข้าใจไม่สนุกและทำให้ขาดความสนใจในการเรียน วิชาภาษาอังกฤษ จึงส่งผลต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียน ผู้ศึกษาเห็นว่าการพัฒนา ทักษะ การเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) เพื่อช่วยความเข้าใจ อีกทั้งยังส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์อย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ ด ั ง น ั ้ นผู ้ศึ กษ าจึ งม ีคว ามสน ใจที่ จะนำว ิธ ีก ารส อนแ บ บ กร ะบ วนก ารเ รี ยนร ู้ 5 ข ั ้ น ตอน
4 (5STEPs - Learning Process) มาใช้ในการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และนำไปพัฒนากระบวนการเรียนการสอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 1.2 วัตถุประสงค์การศึกษา 1.2.1 เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ ทักษะการเขียน รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 1.2.2 เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของข้อสอบ ทักษะการเขียน รายวิชา ภาษาอังกฤษ พื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 1.2.3 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับคะแนนทดสอบก่อนเรียน ทักษะการเขียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) 1.2.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 1.3 คำถามการศึกษา 1.3.1 ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมหรือไม่ 1.3.2 ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของข้อสอบ รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมหรือไม่ 1.3.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 ทักษะการเขียน โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs – Learning Process) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนหรือไม่ 1.3.4 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 ทักษะการเขียน โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) หรือไม่ อย่างไร
5 1.4 ขอบเขตของการศึกษา 1.4.1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา 1.4.1.1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ที่กำลังศึกษา ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 37 คน โรงเรียนสุนทรวัฒนา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ชัยภูมิ เขต 1 1.4.2 ตัวแปรในการศึกษา 1.4.2.1 ตัวแปรต้น คือ แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 1.4.2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 1) ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2) ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 4) ผ ล ค ะ แ น น ค ว า ม พ ึ ง พ อ ใ จ ภ า ย ห ล ั ง ก า ร จ ั ด ก า ร เ ร ี ย น ร ู ้ ด ้ ว ย แ ผ น ก า ร จ ั ด ก า ร เ ร ี ย น รู้ โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 1.4.3 เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวน การเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนละ 60 นาที รวมทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง ประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง Present Simple Tense (negative) 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19 เรื่อง Verb to be 3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 เรื่อง Verb to have 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 เรื่อง Verb to be (negative)
6 5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 เรื่อง Present Continuous 6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 38 เรื่อง Verb to do 7) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 46 เรื่อง There is, There are 8) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 49 เรื่อง Some, any 1.4.4 ระยะเวลาและสถานที่ในการศึกษาดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยเริ่มตั้งแต่ เ ด ื อ น พ ฤ ษ ภ า ค ม 2 5 6 5 เ ป ็ น ต ้ น ไ ป จ น ส ิ ้ น ส ุ ด ภ า ค เ ร ี ย น ท ี ่ 1 ป ี ก า ร ศ ึ ก ษ า 2 5 6 5 จัดการสอนที่โรงเรียนสุนทรวัฒนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ชัยภูมิ เขต 1 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.5.1 การเรียนรู้แบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5 STEPs - Learning Process) การเรียนรู้แบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs – Learning Process) เป็นแนวการจัด การเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสืบสอบหรือวิธีสอนแบบโครงงาน ประกอบด้วย "การตั้งคำถาม การแสวงหา สารสนเทศ การสร้างความรู้ การสื่อสาร และการตอบแทนสังคม ซึ่งจะเป็นตัวช่วยพัฒนาครูให้มีคุณภาพ อีกทั้งจะสามารถทำให้เด็กไทยเป็น นักเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งการเรียนรู้แบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs – Learning Process) ประกอบไปด้วย ขั้นตอนที่ 1 การเรียนรู้ตั้งคำถาม หรือขั้นตั้งคำถาม เป็นที่ให้นักเรียนฝึกสังเกตสถานการณ์ ปรากฏการณ์ต่างๆ จนเกิดความสงสัย จากนั้นฝึกให้เด็กตั้งคำถามสำคัญ รวมทั้งการคาดคะเนคำตอบ ด้วยการสืบค้นความรู้จากแหล่งต่างๆ และสรุปคำตอบชั่วคราว ขั้นตอนที่ 2 การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ เป็นขั้นตอนการออกแบบ/วางแผนเพื่อรวบรวมข้อมูล สารสนเทศ จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ รวมทั้งการทดลองเป็นขั้น ที่เด็กใช้หลักการนิรภัย (Deduction reasoning) เพื่อการออกแบบข้อมูล ขั้นตอนที่ 3 การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ เป็นขั้นตอนที่เด็กมีการคิดวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การสื่อความหมายข้อมูลด้วยแบบต่างๆ หรือ ด้วยผังกราฟิก การแปรผล จนถึงการสรุปผล หรือการสร้างคำอธิบาย เป็นการสร้างองค์ความรู้ ซึ่งเป็นแก่นความรู้ ประเภท 1. ข้อเท็จจริง 2. คำนิยาม 3. มโนทัศน์ 4. หลักการ
7 5. กฏ 6. ทฤษฎี ขั้นตอนที่ 4 การเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร คือ ขั้นนำเสนอความรู้ด้วยการมใช้ภาษาที่ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นที่เข้าใจ อาจเป็นการนำเสนอภาษา และนำเสนอด้วยวาจา ขั้นตอนที่ 5 การเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม เป็นขั้นตอนการฝึกเด็กให้นำความรู้ที่เข้าใจ นำการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวม หรือเห็นต่อประโยชน์ ส่วนรวมด้วยการทำงานเป็นกลุ่ม ร่วมสร้างผลงานที่ได้จากการแก้ปัญหาสังคมอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งอาจเป็นความรู้ แนวทางสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งอาจเป็นนวัตกรรม ด้วยตวามรับผิดชอบต่อสังคม อันเป็นการแสดงออกของการเกื้อกูล และแบ่งปันให้สังคมมีสันติอย่างยั่งยืน 1.5.2 ทักษะการเขียน หมายถึง การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยข้อความเป็นลายลักษณ์อักษร มีจุดมุ่งหมายเพื่อถ่ายทอดความคิดของผู้ส่งสารคือผู้เขียนไปสู่ผู้รับสารคือผู้อ่าน มากกว่าการมุ่งเน้นในเรื่องของ การใช้คำและหลักไวยากรณ์ หรือ อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การเขียนเป็นการสื่อสารที่มุ่งเน้นความคล่องแคล่ว (Fluency) ในการสื่อความหมาย มากกว่าความถูกต้องของการใช้ภาษา (Accuracy) อย่างไรก็ตาม กระบวนการ สอนทักษะการเขียน ยังจำเป็นต้องเริ่มต้นจากการสร้างระบบในการเขียน จากความถูกต้องแบบควบคุมได้ (Controlled Writing) ไปสู่การเขียนแบบควบคุมน้อยลง (Less Controlled Writing) อันจะนำไปสู่การเขียน แบบอิสระ (Free Writing) ได้ในที่สุดการฝึกทักษะการเขียนสำหรับผู้เรียนระดับต้น 1.5.3 แบบทดสอบก่อนเรียน หมายถึง แบบทดสอบรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ที่ผู้ศึกษาได้จัดทำขึ้น จำนวน 40 ข้อ เพื่อทราบความรู้พื้นฐานและภูมิหลังทางการเรียนในเรื่องนั้น ๆ โดยใช้เนื้อหาจากแผนการ จัดการเรียนรู้ทั้งหมด 8 แผน ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น 1.5.4 แบบทดสอบหลังเรียน หมายถึง แบบทดสอบรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ที่ผู้ศึกษาได้จัดทำขึ้น จำนวน 40 ข้อ เพื่อวัดและประเมินผลหลังเรียน ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้เรียนและครูผู้สอน สามารถนำข้อมูล ดังกล่าวไปพัฒนา ปรับปรุงการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสม กับผู้เรียน และสถานการณ์ต่อไปในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน โดยใช้เนื้อหาจากแผนการจัดการเรียนร้ทู ั้งหมด 8 แผน ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น 1.5.5 แบบสอบถามความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนการสอน โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) ในรายวิชาภาษาอังกฤษ พื้นฐาน
8 1.5.6 แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึงแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs learning process) ทักษะการเขียน ที่ผู้ศึกษาจัดทำขึ้นประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้ สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ และการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ในรายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุนทรวัฒนา ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาดังต่อไปนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง Present Simple Tense (negative) 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19 เรื่อง Verb to be 3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 เรื่อง Verb to have 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 เรื่อง Verb to be (negative) 5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 เรื่อง Present Continuous 6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 38 เรื่อง Verb to do 7) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 46 เรื่อง There is, There are 8) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 49 เรื่อง Some, any 1.5.7 นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 จำนวน 37 คน ที่เรียนรายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 และกำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสุนทรวัฒนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 ประถมศึกษาชัยภูมิเขต 1
9 บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาในครั้งนี้เป็นการพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs learning process) รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ14101) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษา และเพื่อตอบคำถามการศึกษาในครั้งนี้ จึงได้นำเสนอองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการศึกษาตามลำดับต่อไปนี้ 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 2.1.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ 2.2 การทักษะการเขียนและทฤษฎีการสอนทักษะการเขียน 2.2.1 ความหมายของการเขียน 2.2.2 การสอนทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ 2.2.3 องค์ประกอบเกี่ยวกับความสามารถทางการเขียนภาษาอังกฤษ 2.2.4 การวัดและประเมินผลทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ 2.2.5 และอื่นๆ (ถ้ามี) 2.3 หลักการสอนด้วยวิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน 2.3.1 ความหมายของวิธีการสอนแบบ 5 STEPs learning process 2.3.2 ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการสอนแบบ 5 STEPs learning process 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.4.1 งานวิจัยภายในประเทศ 2.4.2 งานวิจัยในต่างประเทศ
10 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 2.1.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยประกอบด้วยสาระและ มาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) จำนวน 4 สาระ โดยงานวิจัยเล่มนี้เกี่ยวข้องกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยจึงขอเสนอสาระ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที 4 ดังนี้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดังตารางที่ 1 สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเห็นอย่าง มีเหตุผล ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. ปฏิบัติตามคำสั่ง คำขอร้อง และ คำ แนะนำ (instructions) ง่ายๆ ที่ฟังหรือ อ่าน • คำสั่ง คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง ในการเล่นเกม การวาดภาพหรือการ ทำอาหารและเครื่องดื่ม - คำสั่ง เช่น Look at the…/here/over there. /Say it again./Read and draw./ Put a/an…in/on/under a/an…/ Don’t go over there. etc. - คำขอร้อง เช่น Please take a queue./ Take a queue, please./Can you help me, please? etc. - คำแนะนำ เช่น You should read every day. /Think before you speak. / - คำศัพท์ที่ใช้ในการเล่นเกม Start. / My turn. /Your turn. /Roll the dice. / Count the number. /Finish. / - คำบอกลำดับขั้นตอน First, ... Second,… Then,… Finally,... etc. ตัวเชื่อม (connective words) เช่น
11 First,… Second,…Third,… Next,… Then,… Finally,… etc. 2. อ่านออกเสียงคำ สะกดคำ อ่านกลุ่มคำ ประโยค ข้อความง่ายๆ และบทพูดเข้า จังหวะถูกต้อง ตามหลักการอ่าน • คำกลุ่มคำประโยคข้อความ บทพูดเข้า จังหวะ และการสะกดคำ • การใช้พจนานุกรม • หลักการอ่านออกเสียง เช่น - การออกเสียงพยัญชนะต้นคำ และพยัญชนะท้ายคำ - การออกเสียงเน้นหนัก-เบาในคำ และกลุ่มคำ - การออกเสียงตามระดับเสียงสูง-ต่ำ ในประโยค ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 3.เลือก/ระบุภาพหรือสัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมายตรงตามความหมาย ของ ประโยคและข้อความสั้น ๆ ที่ฟังหรืออ่าน • กลุ่มคำ ประโยคเดี่ยว สัญลักษณ์ เครื่องหมาย และความหมายเกี่ยวกับ ตนเอง ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อม อาหารเครื่องดื่ม เวลาว่างและนันทนาการ สุขภาพและสวัสดิการ การซื้อ-ขาย และ ลมฟ้าอากาศ เป็นวงคำศัพท์สะสม ประมาณ 550 - 700 คำ (คำศัพท์ที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม)
12 4. ตอบคำถามจากการฟังและอ่าน ประโยค บทสนทนา และนิทาน ง่าย ๆ • ประโยค บทสนทนา นิทานที่มี ภาพประกอบ คำถามเกี่ยวกับใจความ สำคัญของเรื่อง เช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน - Yes/No Question เช่น Is/Are/Can…? Yes, is/are/can. / No,…isn’t/aren’t/can’t. Do/Does/Can/Is/Are...? Yes/No… etc. - Wh-Question เช่น Who is/are…? He/She is…/They are… What…? /Where…? It is …/They are… What...doing? …is/am/are… etc. - OrQuestion เช่น Is this/it a/an…...or a/an…? It is a/an… etc. สาระที่1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. พูด/เขียนโต้ตอบในการสื่อสาร ระหว่าง บุคคล • บทสนทนาที่ใช้ในการทักทาย กล่าวลา ขอบคุณ ขอโทษ การพูดแทรกอย่าง สุภาพ ประโยค/ข้อความที่ใช้แนะนำ ตนเอง เพื่อน และบุคคลใกล้ตัว และ สำนวนการตอบรับ เช่น Hi/Hello/Good morning/ Good afternoon/Good evening/I am sorry. / How are you? /I’m fine. Thank you. And you? /Hello. I am…/Hello, I am… This is my sister. Her name is… Hello, /Nice to see you. Nice to see you too. /Goodbye. /Bye. / See you soon/later. /Thanks. /Thank you.
13 /Thank you very much. / You’re welcome. /It’s O.K. etc. 2. ใช้คำสั่งคำขอร้อง และคำขออนุญาต ง่าย ๆ • คำสั่ง คำขอร้อง และคำขออนุญาต ที่ใช้ ในห้องเรียน ป.4 3. พูด/เขียนแสดงความต้องการ ของ ต น เ อ ง แ ล ะ ข อ ค ว า ม ช ่ ว ย เ ห ลื อ ในสถานการณ์ง่าย ๆ • คำศัพท์สำนวนภาษา และประโยคที่ ใช้แสดงความต้องการและขอความ ช่วยเหลือในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น I want …/ Please…/May…?/I need your help. / Please help me. /Help me! etc. ป.4 4. พูด/เขียนเพื่อขอและให้ข้อมูล เกี่ยวกับ ตนเอง เพื่อนและครอบครัว • คำศัพท์สำนวนภาษา และประโยคที่ ใช้ขอ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง สิ่งใกล้ตัว เพื่อน และครอบครัว เช่น What’s your name? My name is… What time is it? It is one o’clock. What is this? It is a/an… How many…are there? There is a/an…/There are… Where is the ….? It is in/on/under… etc. ป.4 5. พูดแสดงความรู้สึกของตนเอง เกี่ยวกับ เรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว และ กิจกรรมต่าง ๆ ตามแบบที่ฟัง • คำและประโยคที่ใช้แสดงความรู้สึก เช่น ดีใจ เสียใจ ชอบ ไม่ชอบ รัก ไม่รัก เช่น I/You/We/They
14 like…/He/she likes… I/You/We/They love…/He/she loves… I/You/We/They don’t like/love/feel… He/she doesn’t like/love/feel… I/You/We/They feel… etc. สาระที่1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด และการเขียน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. พูด/เขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง และเรื่องใกล้ตัว • ประโยคและข้อความที่ใช้ในการพูดให้ ข้อมูล เกี่ยวกับตนเอง บุคคล สัตว์และ เรื่องใกล้ตัว เช่น ชื่ออายุรูปร่างสีขนาด รูปทรง สิ่งต่าง ๆ จำนวน 1-100 วัน เดือน ปีฤดูกาล ตำแหน่งของสิ่งต่าง ๆ เครื่องหมายวรรคตอน 2.พูด/วาดภาพแสดงความสัมพันธ์ ของสิ่งต่าง ๆ ใกล้ตัวตามที่ฟัง หรือ อ่าน • คำ กลุ่มคำที่มีความหมายสัมพันธ์กับสิ่ง ต่าง ๆ ใกล้ตัว เช่น การระบุ/เชื่อมโยง ความสัมพันธ์ของภาพกับคำ หรือ กลุ่มคำ โดยใช้ภาพ แผนภูมิแผนภาพ แผนผัง 3.พูดแสดงความคิดเห็นง่าย ๆ เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว • ประโยคที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ เรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว
15 สาระที่2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาและนำไปใช้ได้อย่าง เหมาะสมกับกาลเทศะ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. พูดและทำท่าประกอบอย่างสุภาพ ตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรม ของเจ้าของภาษา • มารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของ ภาษา เช่น การขอบคุณ ขอโทษ การใช้สี หน้าท่าทาง ประกอบการพูดขณะแนะนำ ตนเอง การสัมผัสมือ การโบกมือ การ แสดงความรู้สึกชอบ/ไม่ชอบ การแสดง อาการตอบรับหรือปฏิเสธ ป.4 2. ตอบคำถามเกี่ยวกับเทศกาล/ วันสำคัญ/งานฉลอง และ ชีวิตความ เป็นอยู่ง่าย ๆ ของเจ้าของภาษา • กิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรม เช่น การเล่นเกม การร้องเพลง การเล่านิทาน ประกอบท่าทาง วันคริสต์มาส วันขึ้นปี ใหม่ สาระที่2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา มาตรฐาน ต 2.2 กับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. บอกความแตกต่างของเสียง ตัวอักษร คำ กลุ่มคำ ประโยค และ ข้อความ ของภาษาต่างประเทศและ ภาษาไทย • ความแตกต่างของเสียงตัวอักษร คำ กลุ่มคำ และประโยคของ ภาษาต่างประเทศ และภาษาไทย 2. บอกความเหมือน/ความแตกต่าง ระหว่างเทศกาลและงานฉลอง ตาม วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา กับของ ไทย • ความเหมือน/ความแตกต่างระหว่าง เทศกาล และงานฉลองตามวัฒนธรรม ของเจ้าของภาษา กับของไทย
16 สาระที่3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นและเป็น มาตรฐาน ต 3.1 พื้นฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1.ค้นคว้า รวบรวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นและ นำเสนอด้วยการพูด/การเขียน • การค้นคว้า การรวบรวม และการ นำเสนอ คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระ การเรียนรู้อื่น สาระที่4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชนและสังคม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. ฟังและพูด/อ่านในสถานการณ์ ที่ เกิดขึ้นในห้องเรียนและ สถานศึกษา • การใช้ภาษาในการฟังและพูด/อ่าน ใน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน และ สถานศึกษา
17 สาระที่4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และมาตรฐาน ต 4.2 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1. ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ • การใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น และการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ 3.6 รวมตัวชี้วัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษา 2551 เพื่อการจัดการเรียนรู้ ตารางที่ 2 ตัวชี้วัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษา 2551 เพื่อจัดการเรียนรู้ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มาตรฐาน ตัวชี้วัด ต.1.1-1 1. ปฏิบัติตามคำสั่ง คำขอร้อง คำแนะนำ (instruction) และคำชี้แจงง่ายๆ ที่ฟังและ อ่าน ต.1.1-2 2. อ่านออกเสียงคำ สะกดคำ อ่านกลุ่มคำ ประโยค ข้อความง่ายๆ และบทพูดเข้า จังหวะถูกต้อง ตามหลักการอ่าน ต.1.1-3 3. เลือก/ระบุภาพหรือสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายตรงตามความหมาย ของประโยค และข้อความสั้น ๆ ที่ฟังหรืออ่าน ต.1.1-4 4. ตอบคำถามจากการฟังและอ่าน ประโยค บทสนทนา และนิทาน ง่าย ๆ ต.1.2-1 5. พูด/เขียนโต้ตอบในการสื่อสาร ระหว่างบุคคล ต.1.2-2 6. ใช้คำสั่ง ขอร้อง และคำขออนุญาต ง่าย ๆ ต.1.2-3 7. พูด/เขียนแสดงความต้องการ ของตนเอง และขอความช่วยเหลือ ในสถานการณ์ ง่าย ๆ ต.1.2-4 8. พูด/เขียนเพื่อขอและให้ข้อมูล เกี่ยวกับตนเอง เพื่อนและครอบครัว ต.1.2-5 9. พูดแสดงความรู้สึกของตนเอง เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว และ กิจกรรมต่าง ๆ ตาม แบบที่ฟัง ต.1.3-1 10. พูด/เขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง และเรื่องใกล้ตัว ต.1.3-2 11. พูด/วาดภาพแสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ใกล้ตัวตามที่ฟัง หรืออ่าน
18 ต.1.3-3 12. พูดแสดงความคิดเห็นง่าย ๆ เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว ต.2.1-1 13. พูดและทำท่าประกอบอย่างสุภาพ ตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรม ของเจ้าของ ภาษา ต.2.1-2 14. ตอบคำถามเกี่ยวกับเทศกาล/ วันสำคัญ/งานฉลอง และ ชีวิตความเป็นอยู่ง่าย ๆ ของเจ้าของภาษา ต.2.1-3 15. เข้าร่วมกิจกรรมทางภาษา และวัฒนธรรมที่เหมาะกับวัย ต.2.2-1 16. บอกความแตกต่างของเสียงตัวอักษร คำ กลุ่มคำ ประโยค และข้อความของ ภาษาต่างประเทศและภาษาไทย ต.2.2-2 17. บอกความเหมือน/ความแตกต่าง ระหว่างเทศกาลและงานฉลอง ตามวัฒนธรรม ของเจ้าของภาษากับของไทย ต.3.1-1 18. ค้นคว้า รวบรวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นและ นำเสนอด้วย การพูด/การเขียน ต.4.1-1 19. ฟังและพูด/อ่านในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนและ สถานศึกษา ต.4.2-1 20. ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ รวม 20 ตัวชี้วัด 2.2 การทักษะการเขียนและทฤษฎีการสอนทักษะการเขียน 2.2.1 ความหมายของการเขียน การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด เรื่องราว ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆไปสู้ผู้อื่นโดยใช้ตัวอักษร เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดและความต้องการของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ์ คือ ตัวอักษร เพื่อสื่อความหมาย ให้ผู้อื่นเข้าใจ จากความข้างต้น ทำให้มองเห็นความหมายของการเขียนว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสื่อสารใน ชีวิตประจำวัน เช่น นักเรียน ใช้การเขียนบันทึก ความรู้ ทำแบบฝึกหัดและตอบข้อสอบบุคคลทั่วไป ใช้การเขียน จดหมาย ทำสัญญา พินัยกรรมและค้ำประกัน เป็นต้น พ่อค้า ใช้การเขียนเพื่อโฆษณาสินค้า ทำบัญชี ใบสั่งของ ทำใบเสร็จ รับเงิน แพทย์ ใช้บันทึกประวัติคนไข้เขียนใบสั่งยาและอื่นๆ เป็นต้น 2.2.2 การสอนทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ การเขียน คือ การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยข้อความเป็นลายลักษณ์อักษร มีจุดมุ่งหมาย เพื่อถ่ายทอดความคิดของผู้ส่งสารคือผู้เขียนไปสู่ผู้รับสารคือ ผู้อ่าน มากกว่าการมุ่งเน้นในเรื่องของการใช้คำและ หลักไวยากรณ์ หรือ อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การเขียนเป็นการสื่อสารที่มุ่งเน้นความคล่องแคล่ว(Fluency) ในการ สื่อความหมาย มากกว่าความถูกต้องของการใช้ภาษา (Accuracy) อย่างไรก็ตาม กระบวนการสอนทักษะการเขียน
19 ยังจำเป็นต้องเริ่มต้นจากการสร้างระบบในการเขียน จากความถูกต้องแบบควบคุมได้ ( Controlled Writing) ไปสู่การเขียนแบบควบคุมน้อยลง (Less controlled Writing) จะนำไปสู่การเขียนแบบอิสระ (Free Writing) ได้ การฝึกทักษะการเขียนสำหรับผู้เรียนระดับต้น สิ่งที่ผู้สอนต้องคำนึงถึงให้มากที่สุด คือ ต้อง ให้ผู้เรียนมีข้อมูลเกี่ยวกับ คำศัพท์ ( Vocabulary) กระสวนไวยากรณ์ ( Grammar Pattern) และเนื้อหา (Content) อย่างเพียงพอที่จะเป็นแนวทางให้ผู้เรียนสามารถคิดและเขียนได้ ซึ่งการสอนทักษะการเขียนในระดับนี้ อาจมิใช่การสอนเขียนเพื่อสื่อสารเต็มรูปแบบ แต่จะเป็นการฝึกทักษะการเขียนอย่างเป็นระบบที่ถูกต้อง อันเป็น รากฐานสำคัญในการเขียนเพื่อการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับ สูงได้ต่อไป ครูผู้สอนควรมีความรู้และ ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการ เขียนให้แก่ผู้เรียนได้อย่างไร ผู้เรียนจึงจะมีทักษะการเขียน ภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพสูงสุด 2.2.3 องค์ประกอบเกี่ยวกับความสามารถทางการเขียนภาษาอังกฤษ Heaton (1975, หน้า 135) ได้แบ่งองค์ประกอบของการเขียนไว้ 5 อย่างด้วยกัน คือ 1. ความสามารถในการใช้ภาษา (Language use) เป็นความสามารถในการเขียน ประโยค ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 2. ทักษะกลไกในการเขียน (Mechanical skills) ความสามารถในการนำลักษณะเฉพาะของ ภาษาเขียน เช่น เครื่องหมายวรรคตอน การสะกดคำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม 3. ความสำคัญของเนื้อหา (Treatment of content) เป็นความสามารถในการคิด อย่างสร้างสรรค์และมีการพัฒนาความคิด เลือกไม่ใช้ข้อความที่ไม่เกี่ยวข้องได้ 4. ทักษะลีลาในการเขียน (Stylistic skills) ความสามารถในการเชื่อมโยงประโยคใน แต่ละย่อ หน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. ทักษะในการเลือกข้อความที่เหมาะสม (Judgement skills) เป็นความสามารถในการเขียน ข้อความได้เหมาะสมกับผู้อ่านและตรงตามจุดประสงค์ในการเขียนโดยทำการลำดับและ จัดเรียงข้อความให้มี ความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง 2.2.4 การวัดและประเมินผลทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ พิพัฒน์ งอกเสมอ (อ้างใน เฉลิมพล ณ เชียงใหม่, 2547, หน้า 26) ได้เสนอแนวทางใน การเขียนสรุปความโดยใช้ 5 องค์ประกอบ คือ ความครอบคลุมหรือความสมบูรณ์ของเนื้อหา ความถูกต้องตาม หลักภาษา ความเป็นต้นฉบับหรือการใช้คำพูดของผู้เขียนสรุปความเอง ความกะทัดรัด หรือความยาวของ สรุปความ และองค์ประกอบสุดท้ายเป็นการประเมินในเรื่องการใช้เครื่องหมาย วรรคตอน ตัวสะกด และการใช้ตัวอักษรให ญ่ ส่วน Rinehart et al (1996, อ้างในภูดิท จุลโพธิ์, 2551, หน้า 35) กำหนด 5 องค์ประกอบในการประเมิน คือ ใจความสาคัญใจความสนับสนุน การไม่กล่าวซ้ำ การแต่งประโยคใหม่
20 ความถูกต้องตามหลักภาษาและการใช้เครื่องหมายวรรคตอน โดยมีคะแนนรวมทั้งหมด 20 คะแนน ซึ่งมีเกณฑ์ ดังนี้ 1. ด้านใจความสำคัญ (4 คะแนน) - งานเขียนประกอบด้วยใจความสำคัญครบถ้วนสมบูรณ์ 4 คะแนน - งานเขียนประกอบด้วยใจความสำคัญครบเกือบสมบูรณ์ 3 คะแนน - งานเขียนประกอบด้วยใจความสำคัญแต่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ 2 คะแนน - งานเขียนประกอบด้วยใจความสำคัญน้อยมาก 1 คะแนน – งานเขียนไม่มีใจความสำคัญปรากฏ 0 คะแนน 2. ด้านใจความสนับสนุนสำคัญ (4 คะแนน) - งานเขียนประกอบด้วยใจความสนับสนุนสอดคล้อง 4 คะแนน กับใจความสำคัญและไม่มีรายละเอียดที่ไม่สำคัญ - งานเขียนประกอบด้วยใจความสนับสนุนสอดคล้อง 3 คะแนน กับใจความสำคัญและมีรายละเอียดที่ไม่สำคัญ - งานเขียนประกอบด้วยใจความสนับสนุนที่ไม่ค่อยสำคัญ 2 คะแนน หรือเป็นรายละเอียดบ้างแต่สอดคล้องกบใจความสำคัญ - งานเขียนประกอบด้วยใจความสนับสนุนที่ไม่ค่อยสำคัญ 1 คะแนน และไม่สอดคล้องกับใจความสำคัญ - งานเขียนไม่มีใจความสนับสนุน แต่มีรายละเอียดที่ไม่สอดคล้อง 0 คะแนน กับใจความสำคัญ 3. การไม่กล่าวซ้ำ (4 คะแนน) - งานเขียนไม่มีประโยคหรือข้อมูลที่มีความหมายซ้ำซ้อน 4 คะแนน - งานเขียนไม่มีประโยคหรือข้อมูลที่มีความหมายซ้ำซ้อนหรือมีน้อยมาก 3 คะแนน - งานเขียนประกอบด้วยประโยค หรือข้อมูลที่มีความหมายซ้ำซ้อนอยูบ้าง ่ 2 คะแนน - งานเขียนประกอบด้วยประโยคหรือข้อมูลที่มีความหมายซ้ำซ้อนอยู่ 1 คะแนน ค่อนข้างมาก
21 4. การแต่งประโยคใหม่ (4 คะแนน) - มีการแต่งประโยคขึ้นเองทั้งหมด โดยที่มีความหมายถูกต้อง 4 คะแนน ไม่มีประโยคที่ลอกมาจากบทอ่านเลย - มีการแต่งประโยคขึ้นเองทั้งหมด โดยที่มีความหมายถูกต้อง 3 คะแนน มีประโยคที่ลอกมาจากบทอ่านบ้าง - มีการแต่งประโยคขึ้นเองบ้างแต่ความหมายไม่ค่อยสมบูรณ์หรือ 2 คะแนน ไม่ได้ลอก มาจากบทอ่านทั้งหมดแต่มีบางส่วนที่เหมือนกบบทอ่านบ้าง - มีการแต่งประโยคขึ้นเองบ้างแต่ความหมายไม่สมบูรณ์มีประโยคที่ 1 คะแนน ลอกมาจากบทอ่านมาก - เขียนประโยคคล้ายกนั วกวนไปมาไม่มีประโยคที่แต่งขึ้นเองเลย 0 คะแนน หรือลอกประโยคจากบทอ่านทั้งหมด 5. ด้านความถูกต้องตามหลักภาษา (4 คะแนน) - ประโยคที่แต่งถูกต้องตามหลักภาษา มีความบกพร่องน้อยมาก 4 คะแนน เช่น การใช้Tense การใช้คำนำหน้าที่ต่าง ๆ ในประโยคถูกต้อง หรือผิดน้อยมากการใช้เครื่องหมายวรรค ตอน - ประโยคที่แต่งถูกต้องตามหลักภาษามีความบกพร่องบ้าง 3 คะแนน เช่น การใช้Tense การใช้คำหน้าที่ต่าง ๆ ในประโยคและการใช้เครื่องหมายวรรคตอนบกพร่องอยูบ้าง - ประโยคที่แต่งไม่ค่อยถูกต้องตามหลักภาษา บกพร่องในการใช้Tense 2 คะแนน หรือหน้าที่ของคำต่าง ๆ ในประโยคแต่พอสื่อความหมายได้บ้าง การใช้เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ บกพร่องบ้าง - ประโยคที่แต่งไม่ถูกต้องตามหลักภาษาแต่ไม่สามารถสื่อความได้บ้าง 1 คะแนน การใช้หน้าที่ของคำในประโยคและการใช้เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ บกพร่องมาก - ประโยคที่แต่งไม่ถูกต้องตามหลักภาษาและไม่สามารถสื่อสาร 0 คะแนน ความหมายได้ไม่มีการใช้เครื่องหมายวรรคตอนที่ถูกต้อง
22 2.3 หลักการสอนด้วยวิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน 2.3.1 ความหมายของวิธีการสอนแบบ 5 steps learning process การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการเรียนรู้5 ขั้นตอน (5STEPs learning process) หรือที่ เรียกว่ากระบวนทัศน์บันได 5 ขั้น (QSCCS) โดยมีลำดับขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้5 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นการ เรียนรู้ระบุคำถาม(Learning to question) 2) ขั้นการเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to search) 3) ขั้นการเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ (Learning to construct) 4) ขั้นเรียนรู้เพื่อสื่อสาร (Learning to communicate) และ 5) ขั้นเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to serve) (พิมพันธ์เดชะคุปต์, 2557) ซึ่งการ จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการเรียนรู้5 ขั้นตอน (5 STEPs) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีทักษะในการค้นคว้าแสวงหาความรู้และมีความรู้พื้นฐานที่ จำเป็น และสามารถสื่อสารอย่าง มีประสิทธิผล ตลอดจนมีทักษะชีวิตร่วมมือในการทำงานกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี จึงเป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ให้ผู้เรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพิชญะ กันธิยะ (2559) เพื่อให้นักเรียนมีความสามารถพื้นฐาน เบื้องต้นสำคัญที่ใช้ในการเรียนรู้3 ด้าน คือ ความสามารถด้านภาษา (Literacy) ความสามารถด้านคำนวณ (Numeracy) ความสามารถด้านเหตุผล (Reasoning ability) 2.3.2 ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการสอนแบบ 5 steps learning process ขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ 5 ขั้น (5 steps learning process) มี 5 ขั้น ดังนี้ 1) ขั้นการเรียนรู้ตั้งคำถาม (learning to Question) หมายถึง ขั้นตอนที่ครูผู้สอนจะนำเสนอ ปัญหาภาพ สถานการณ์ คลิปวีดีโอ กรณีตัวอย่างเพื่อให้นักเรียนได้รับรู้ถึงปัญหาหรือ สถานการณ์ปัญหา เพื่อสร้าง ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่า ความสำคัญ และ ประโยชน์ของสิ่งที่จะเรียน และเปิดโอกาสให้ นักเรียนได้แบ่งกลุ่มแบบคละเพศ และความสามารถ 2) ขั้นการเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to Search) หมายถึง ขั้นตอนที่ให้นักเรียน ได้แสวงหาความรู้หรือข้อมูลจากสื่อ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายภายในโรงเรียน เพื่อนำมาใช้เป็น ข้อมูลสำหรับ การสรุปคำตอบของปัญหาที่นักเรียนได้รับ 3) ขั้นการเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ (Learning to Construct) หมายถึง ขั้นตอนที่ให้นักเรียน นำข้อมูล หรือค้นพบที่ได้จากการแสวงหาความรู้ที่ได้มาสรุปความคิดรวบยอดเพื่อเป็นคำตอบ ของปัญหาที่ผู้เรียน ได้รับอย่างเหมาะสมและเพียงพอ
23 4) ขั้นการเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร (Learning to Communicate) หมายถึง ขั้นตอนที่ผู้เรียน ส่งตัวแทนกลุ่มออกมานำเสนอคำตอบของปัญหาที่ได้รับ และอภิปรายร่วมกันระหว่างกลุ่มถึงคำตอบที่ ได้นำเสนอ โดยใช้วิธีการนำเสนอที่กลุ่มผู้เรียนเป็นกำหนดเอง พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ขั้นตอนวิธีการเรียนรู้ และแสดงความรู้สึกจากการดำเนินการแสวงหาความรู้ของกลุ่ม 5) ขั้นการเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to Service) หมายถึง ขั้นตอนที่ผู้เรียนนำความรู้ที่ ได้จากการเรียนรู้ มาจัดทำเป็นสื่อหรือชิ้นงานตามความถนัด และความสนใจของกลุ่ม เพื่อเผยแพร่ แก่ผู้ที่สนใจ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น แผ่นพับ ใบความรู้ ภาพวาด สื่อประชาสัมพันธ์ ใบงานฯลฯ ในการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนทั้ง ๕ ขั้น นักเรียนควรให้ความสนใจและตั้งใจเรียน ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆ ช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่มในการทำกิจกรรม เมื่อเกิดข้อสงสัยควรช่วยกันหาข้อมูลและช่วยกันหาคำตอบ 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.4.1 งานวิจัยในประเทศ รุ้งเพชร ต.ศิริวานิช (2551 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยผลของการใช้เทคนิคแผนผังความคิดเพื่อพัฒนา ความสามารถการเขียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้เทคนิค แผนผังความคิดเพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการ เขียนภาษาอังกฤษก่อนและหลังการทดลอง แผนการจัดการเรียนรู้การเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้แผนผังความคิด ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบ ก่อนและหลังการสอนเขียนโดยใช้แผนผังความคิด แตกต่างกันอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หลังการสอนพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับสูง วิพารุณี ซ่อนเจริญ (2555 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะทางไวยกรณ์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียน การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาความรู้พื้นฐานในด้านคำศัพท์โดยใช้แบบฝึก ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ ศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ มีกลุ่มเป้าหมายคือ จำนวน 19 คน โดยใช้เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเขียน 1 และแบบทดสอบก่อน เรียน-หลังเรียน 1 ชุด จำนวน 20 คะแนน ผลการวิจัยพบว่า การใช้แบบฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษที่สร้างขึ้น ประกอบด้วย การเรียนการสอนที่หลากหลายรูปแบบทั้ง เกม และสื่อรูปภาพต่าง ๆ ทำให้นักเรียน มีความสามารถในการ เขียนสูง ที่ผลปรากฏว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นจากร้อยละ 45.52 เป็นร้อยละ 63.15 นักเรียนมีความสนใจและ มีความกระตือรือร้นในการทำแบบฝึก สุนิตย์ ยอดขันธ์ (2556 : บทคัดย่อ) การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษของ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยศรีปทุม โดยใช้ชุดฝึกการเขียนตามคำบอก มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการเขียน ภาษาอังกฤษของนักศึกษาโดยใช้ชุดฝึกการเขียนตามคำบอกและเพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้ชุดฝึกการเขียนตามคำ บอกของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาที่เรียนรายวิชา ENG 122 (English II) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552
24 จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ (2) แบบทดสอบวัดทักษะการเขียน (3) ชุดฝึกการเขียนตามคำบอกจำนวน 6 ชุด และ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที (t-test for dependent samples และ t-test one sample) ผลการวิจัยพบว่า (1) ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษหลังเรียน โดยใช้ชุดฝึกการเขียนตามคำบอกสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาหลังการใช้ชุดฝึกการเขียนตามคำบอก สูงกว่าเกณฑ์ (ร้อยละ 60) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 เมื่อพิจารณารายชุดพบว่า นักศึกษามีทักษะการเขียน ภาษาอังกฤษผ่านเกณฑ์และสูงกว่าเกณฑ์ ยกเว้นชุดที่ 2 ทักษะการเขียนคำยากและชุดที่ 5 ทักษะการเขียนประโยค ที่นักศึกษามีทักษะต่ำกว่าเกณฑ์ (ร้อยละ 60) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 (3) ความพึงพอใจต่อการใช้ชุดฝึก การเขียนตามคำบอกของนักศึกษาอยู่ในระดับมาก สุภัทรา อักษรานุเคราะห์ (2532:108) ให้ทรรศนะว่าความสามารถในการเขียน คือความสามารถใน การรวบรวมข้อมูล เลือกสรรสิ่งที่ตนต้องการนำมาลำดับความด้วยการเรียบเรียงเป็นตัวอักษร เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่ ผู้เขียนต้องการแสดงออกทางความคิดได้ตรงกับจุดประสงค์ของผู้เขียนซึ่งภาษาที่ใช้ในการเขียนค่อนข้างจะเป็นทางการ มีระเบียบแบบแผนมากกว่าที่ใช้พูด ธุวพร ตันตระกูล (2555 : บทคัดย่อ) การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันโดยใช้ บทฝึกการสนทนาภาษาอังกฤษ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้แบบฝึกบทเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ในการพัฒนาความสามารถในการเขียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา ภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจาวัน (ENG111) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 1 กลุ่มเรียน รวม 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือวินิจฉัยได้แก่แบบฝึกเขียนความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษและแบบสังเกต พฤติกรรมด้านการเขียน ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบคงที่ ผลการวิจัยปรากฏว่า นักศึกษาที่เข้าร่วมในกิจกรรมการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร โดยภาพรวมมีความสามารถ ในการเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารก่อนการทดลองอยู่ในเกณฑ์ดี ที่ระดับค่าเฉลี่ย 3.86 โดยพบว่านักศึกษาที่มี ความสามารถในการพเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารอยู่ในระดับดีร้อยละ 13.3 หลังการทดลองพบว่านักศึกษาสามารถ เขียนภาษาอังกฤษได้ดี มากร้อยละ 93.3 ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของนักศึกษาก่อนและหลังการทดลองพบว่า หลังการทดลองนักศึกษาสามารถเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารได้ดีขึ้น โดยมีความสามารถในการเขียนเพื่อการสื่อสาร หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์ และทะเนศ วงศ์นาม (2559 : บทคัดย่อ) การศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนการ สอนด้วยบันได 5 ขั้น (QSCCS) สำหรับนิสิตปริญญาโท สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยบันได 5 ขั้น (QSCCS) 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ Independent t –test และการสรุปปัญหาและข้อเสนอแนะผลการศึกษาพบว่า 1) นิสิตปริญญาโท
25 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) พฤติกรรมการใช้กิจกรรมโดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ปราณี ชูชม (2557 : บทคัดย่อ) รายงานผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ทักษะการสื่อสาร) ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/2 ที่เรียนเรื่อง My family โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5–STEPs ในการวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงค์การวิจัย คือ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาภาษาอังกฤษด้วยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 STEPs และเพื่อศึกษาความพึงพอใจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 STEPs แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้เรื่อง My family เป็นแบบเลือกตอบจำนวน 20 ข้อ แบบประเมินเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณ ค่า 5 ระดับ แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่า T–Test ผลการวิจัยมีดังนี้ 1แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง My family ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีคุณภาพอยู่ใน ระดับ มากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.69 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 3) ความพึงพอใจของนักเรียน มีความพึงพอใจในระดับมาก 2.4.2 งานวิจัยต่างประเทศ แช (Chae, 2009, 802-A) ได้ศึกษาการใช้วิธีการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองที่เน้นเนื้อหาวิชา เป็นสำคัญ กับกลุ่มนักเรียนชาวเกาหลีในโรงเรียน Kos Angles Unfiled โดยใช้รูปแบบของ สตีเฟน คราเชน กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัย คือ ครู จำนวน 10 คน และนักเรียนซึ่งเป็นชาวเกาหลี มีกระบวนการในการวิเคราะห์ข้อมูล 3 ขั้นตอน คือ การศึกษารูปแบบและทฤษฎีเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บได้จากการสัมภาษณ์ครู การสังเกตห้องเรียนแบบไม่มีส่วนร่วม และข้อมูลพื้นฐานของโรงเรียน การวิจัยพบว่า เมื่อนำความรู้ในเรื่องวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเกาหลีมาใช้ในการ สอนภาษาเชิงวิชาการกับนักเรียนนั้น นักเรียนให้ความสนใจในกิจกรรม ลาโด (Lado.. 2011:248). กล่าวว่า ความสามารถในการเขียน หมายถึง ความสามารถที่จะใช้อักษร อย่างมีความหมาย การเรียบเรียงข้อความได้อย่างเป็นระบบโดยใช้ความคิด ความรู้ในการใช้ภาษา เพื่อสื่อความเข้าใจ ระหว่างผู้อ่านและผู้เขียนได้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเขียนนั้น ๆ ตลอดจนการใช้ถ้อยคำ สำนวนอย่างถูกต้อง วาเล็ท (Valette.. 2012:131). ได้อธิบายว่า ความสามารถในการเขียน คือความสามารถในการใช้ คำศัพท์ การสะกดคำ การใช้หลักไวยากรณ์ และใช้ถ้อยคำในการเขียนได้อย่างสละสลวย มีความเชี่ยวชาญในลีลาทาง ภาษา แพ็ตตี้ (Patty..2012:182-226). กล่าวว่า ความสามารถในการเขียน คือความสามารถในการแสดงออก ซึ่งเป็นความคิดที่ต้องการเชื่อมโยง จัดวางและพัฒนารายละเอียดต่าง ๆ ตลอดจนความสามารถในการเรียบเรียงความคิด ให้เป็นประโยคข้อความสั้น ๆ และเป็นเรื่องราวได้
26 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการศึกษา การศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการเขียน รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสุนทรวัฒนา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการศึกษาตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 3.1 กลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 จำนวน 37 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสุนทรวัฒนา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง การสอนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (ทักษะการเขียน)สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสุนทรวัฒนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 ในครั้งนี้ประกอบด้วย 3.2.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 โรงเรียนสุนทรวัฒนา จำนวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนละ 60 นาที รวมทั้งสิ้น 8 ครั้ง 3.2.1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ซึ่งใช้เป็นทั้ง แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน แบบทดสอบนี้เป็นแบบทดสอบปรนัยประเภทเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ 3.2.1.3 แบบประเมินเพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 ชุด และของแบบทดสอบวัดสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 3 ชุด 3.2.1.4 แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน จำนวน 1 ชุด
27 3.2.2 การพัฒนาเครื่องมือในการศึกษา 3.2.2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (ทักษะการเขียน)โดยใช้เทคนิค การสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ซึ่งประกอบไปด้วยตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ในหน่วยการเรียนรู้ทั้งสิ้น จำนว น 1 ตัวชี้วัด และแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน ดังต่อไปนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง Present Simple Tense (negative) 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19 เรื่อง Verb to be 3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 เรื่อง Verb to have 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 เรื่อง Verb to be (negative) 5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 เรื่อง Present Continuous 6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 38 เรื่อง Verb to do 7) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 46 เรื่อง There is, There are 8) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 49 เรื่อง Some, any ซึ่งได้มีการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวตามลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1) ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาการเรียนการสอนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 เพื่อกำหนดปัญหาและทักษะที่จำเป็นต้องพัฒนา 2) ศึกษาแนวคิด หลักทฤษฎี การจัดเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างและ พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ 3) ศึกษาและกำหนดตัวชี้วัด วัตถุประสงค์ และเนื้อหาสาระที่ใช้ในการพัฒนาแผน การจัดการเรียนรู้ 4) ดำเนินการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ (ฉบับร่าง) ขึ้น 5) นำแผนการจัดการเรียนรู้ (ฉบับร่าง) ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิง เนื้อหา (IOC) และขอคำแนะนำเพิ่มเติมในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ 1) นางสาวกนกวรรณ คอนสันเทียะ ตำแหน่งครูชำนาญการ วุฒิการศึกษาครุศาสตร์ บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ประสบการณ์ทำงาน 8 ปี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนสุนทรวัฒนา 2) นางรังสิณี พลมณี ตำแหน่งครูคศ.1 วุฒิการศึกษาครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ประสบการณ์ทำงาน 8 ปี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนสุนทรวัฒนา
28 3) นายธนากร เลิกนอก ตำแหน่งครูวุฒิการศึกษาครุศาสตร์ บั ณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ประสบการณ์ทำงาน 9 ปี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนชุมพลสวรรค์ หลังจากที่ได้นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน แล้วนั้น พบว่าแผนการจัด การเรียนรู้ทั้ง 8 แผน มีความถูกต้องสมบูรณ์ เหมาะสมกับระดับชั้นและสามารถนำไปใช้ได้จริง 6) นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 3.2.2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน เป็นแบบทดสอบปรนัยประเภทเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ซึ่งได้มีการพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการศึกษาเรียนดังกล่าวตามลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1) ศึกษาหลักการและทฤษฎีที่เหมาะสมในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน 2) วิเคราะห์ตัวชี้วัด วัตถุประสงค์ และเนื้อหาสาระจากแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวนทั้งสิ้น 8 แผน 3) สร้างแบบทดสอบวัดผมสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระ และสอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ 4) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาค่าความ สอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) และขอคำแนะนำเพิ่มเติมในการจัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญท่านเดียวกันกับผู้ที่ประเมินค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ 1) นางสาวกนกวรรณ คอนสันเทียะ ตำแหน่งครูชำนาญการ วุฒิการศึกษาครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ประสบการณ์ทำงาน 8 ปี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนสุนทรวัฒนา 2) นางรังสิณี พลมณี ตำแหน่งครูคศ.1 วุฒิการศึกษาครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ประสบการณ์ทำงาน 8 ปี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนสุนทรวัฒนา 3) นายธนากร เลิกนอก ตำแหน่งครูวุฒิการศึกษาครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ประสบการณ์ทำงาน 9 ปี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนชุมพลสวรรค์ หลังจากที่ได้นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน แล้วนั้น พบว่าแผนการจัด การเรียนรู้ทั้ง 8 แผน มีความถูกต้องสมบูรณ์ เหมาะสมกับระดับชั้นและสามารถนำไปใช้ได้จริง หลังจากที่ได้นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ จำนวน 40 ข้อไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน แล้วนั้น พบว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีความเรียบร้อยและถูกต้องสมบูรณ์ 5) นำแบบทดสอบไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง (ทั้งในการสอบก่อนเรียนและหลังเรียน)
29 3.2.2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจ การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ รายวิชาภาษาอังกฤษ พื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ซึ่งได้มีการพัฒนาแบบสอบถามความพึงพอใจ ตามลำดับขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1) ศึกษาหนังสือเอกสารที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาแบบสอบถามความพึงพอใจและ จากงานวิจัยต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาแบบทดสอบถามความพึงใจ หลังจากการจัดการเรียนการสอน 2) สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน โดยใช้แนวคิด จากหนังสือ เอกสารและงานวิจัยต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามที่ได้ศึกษามา โดยใช้ข้อคำถาม เกี่ยวกับด้านเนื้อหา ด้านสื่อการสอน ด้านครูผู้สอน ด้านวิธีการจัดการเรียนการสอนและข้อเสนอแนะในการจัดการ เรียนการสอน 3) นำแบบสอบถามไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง โดยนำไปใช้หลังการจัดการเรียนการสอน ครบทั้งสิ้น 8 แผน 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.3.1 รูปแบบของการศึกษา ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ผู้ศึกษาได้ดำเนินการศึกษาแบบ (One Group Pre-test- Post-test Design) โดยมีรูปแบบการทดลองตามภาพประกอบดังนี้ ภาพประกอบที่ 1 แบบแผนการศึกษาแบบ (One Group Pre-test-Post-test Design) สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการศึกษา O1 คือ แบบทดสอบก่อนเรียน X คือ การพัฒนาทักษะการเขียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 1/8 O2 คือ แบบทดสอบหลังเรียน O1 X O2
30 3.3.2 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้ศึกษาได้ทำการทดลองสอนกับกลุ่มตัวอย่าง เพื่อนำข้อมูลมาประกอบในรายงานผลการศึกษา เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง การทดลองสอนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (ทักษะการเขียน) สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ซึ่งผู้ศึกษาได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามลำดับขั้นตอน ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ว/ด/ป เรื่อง วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูล 17/มิ.ย./65 1. สอบก่อนเรียน (Pre-test) ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) จำนวน 40 ข้อ ข้อสอบก่อนเรียน (Pre-test) จำนวน 40 ข้อ 28/มิ.ย./65 1. Present simple tense (negative) ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง Present simple tense (negative) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง Present simple tense (negative) 1/มิ.ย./65 1. Verb to be ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19 เรื่อง Verb to be แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19 เรื่อง Verb to be 25/ก.ค./65 1. Verb to have ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 เรื่อง Verb to have แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 เรื่อง Verb to have 9/ส.ค./65 1. Verb to be (negative) ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 เรื่อง Verb to be (negative) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 เรื่อง Verb to be (negative) 16/ส.ค./65 1. Verb to do ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 เรื่อง Verb to do แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 เรื่อง Verb to do 30/ส.ค./65 1. Present continuous ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 38 เรื่อง Present continuous แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 38 เรื่อง Present continuous
31 ว/ด/ป เรื่อง วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูล 12/ก.ย./ 65 1. There is, there are ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 46 เรื่อง There is, There are แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 46 เรื่อง There is, There are 13/ก.ย./65 1. Some & Any ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 49 เรื่อง Some & Any แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 49 เรื่อง Some & Any 16/ก.ย./65 1. สอบหลังเรียน (Posttest) 2. แบบสอบถามความพึง พอใจ - ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) จำนวน 40 ข้อ - ให้นักเรียนทำแบบสอบถามความพึง พอใจ ภายหลังการจัดการเรียนการสอน - ข้อสอบหลังเรียน (Post-test) - แบบสอบถามความพึงพอใจ จากตารางที่ 1 ขั้นตอนการเก็บข้อมูลการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี 4/4 ผู้ศึกษาได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีวิธีการ ดังต่อไปนี้ 1) ก่อนการจัดการกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการให้ นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน ซึ่งได้ทำการทดสอบหลังการจัดการเรียนการสอน โดยมีเนื้อหามา จากแผนจัดการเรียนรู้ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น 2) ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการเรียนรู้ รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 จำนวน 8 แผน แผนละ 60 นาที รวมทั้งสิ้น 8 ครั้ง 3) หลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้ศึกษาดำเนินการทดสอบ หลังเรียน (Post-test) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน โดยใช้แบบทดสอบ หลังเรียนแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ซึ่งได้ทำการทดสอบหลังการจัดการเรียนการสอน โดยมีเนื้อหามา จากแผนจัดการเรียนรู้ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น 4) ผู้ศึกษาดำเนินการสอบถามความพึงพอใจจากนักเรียน จำนวน 14 ข้อ ภายหลังจากการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนครบทั้ง 8 แผน แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ตามขั้นตอนที่กล่าวมา
32 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังต่อไปนี้ 3.4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (ทักษะการฟัง) ซึ่งหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC : Item Index of Objective Congruence) โดยการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน แล้วหาดัชนีความสอดคล้องวัตถุประสงค์ที่ต้อง ประเมิน (IOC) ซึ่งมีเกณฑ์การพิจารณาดังนี้ ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่าคำถามสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด แล้วนำข้อมูลที่ได้จากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านมาหาค่าความสอดคล้อง เชิงเนื้อหาของข้อคำถามที่ต้องการประเมิน (IOC : Item Index of Objective Congruence) ซึ่งค่าความ สอดคล้องที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 – 1.00 มีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้ ข้อคำถามที่มีค่า IOC ต่ำกว่า 0.50 ต้องปรับปรุง ยังใช้ไม่ได้ 3.4.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (ทักษะการฟัง) โดยการหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ซึ่งเป็นการหาค่าความเที่ยงตรงโดยให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน พิจารณาว่าข้อสอบแต่ละข้อ วัดได้ตรงตามสิ่งที่ต้องการวัดตามเนื้อหาหรือมีความสอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมากน้อยเพียงใด โดยใช้เกณฑ์การประเมินค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC: Item Index of Objective Congruence) ซึ่งมีเกณฑ์การประเมินแบบเดียวกันกับเกณฑ์การประเมินของแผนการจัดการเรียนรู้ข้างต้น 3.4.3 คะแนนของแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) การได้มาซึ่งคะแนนของแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test)และแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) ของกลุ่มตัวอย่างนั้น ผู้ศึกษาได้ทำการวิเคราะห์คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภายหลัง การจัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้กับคะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ค่าร้อยละ (%) และนำไปตรวจสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test แบบ pair sample test
33 3.4.4 แบบสอบถามความพึงพอใจภายหลังการจัดกิจกรรมการสอน วิเคราะห์ระดับความพึงพอใจจากแบบสอบถามความพึงพอใจโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( x ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ค่าร้อยละ ซึ่งแบบประเมินเป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่ามี 5 ระดับ ตามเกณฑ์และความหมายการแปล ค่าเฉลี่ย (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 103) ดังต่อไปนี้ เกณฑ์การให้คะแนน 5 หมายถึง ความพึงพอใจระดับมากที่สุด 4 หมายถึง ความพึงพอใจระดับมาก 3 หมายถึง ความพึงพอใจระดับปานกลาง 2 หมายถึง ความพึงพอใจระดับน้อย 1 หมายถึง ความพึงพอใจระดับน้อยที่สุด เกณฑ์การแปลความหมาย คะแนนเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อยที่สุด
34 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการเขียน รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสุนทรวัฒนา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการศึกษาตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาได้กำหนดความหมายของสัญลักษณ์ ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการ แปลความหมาย และนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลให้ถูกต้อง ตลอดจนการสื่อความหมายของข้อมูลที่ตรงกัน ดังนี้ หมายถึง คะแนนเฉลี่ย S.D. หมายถึง ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน N หมายถึง จำนวนนักเรียน t หมายถึง ค่าจากการทดสอบ 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการเขียน รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ผู้ศึกษาได้ทำการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และ สรุปผล ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
35 4.2.1 ผลการวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ ผลการวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ จากการปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1) เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการ จัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 โดยมีผลตามตารางที่ 2 ดังนี้ ตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์และหาประสิทธิภาพเครื่องมือในการศึกษา ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ ลำดับที่ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา จำนวน ผู้เชี่ยวชาญ ดัชนีความ 1 2 3 สอดคล้อง IOC 1 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง Present simple negative 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 2 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19 เรื่อง Verb to be 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 3 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 เรื่อง Verb to have 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 4 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 เรื่อง Verb to be (negative) 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 5 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 เรื่อง Verb to do 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 6 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 38 เรื่อง Present continuous 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 7 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 46 เรื่อง There is There are 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 8 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 49 เรื่อง Some & Any 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 8 แผน 1.00 จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์การตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้ จากผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 3 ท่าน มีผลการ วิเคราะห์ความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน โดยรวม มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 เมื่อพิจารณาเป็นรายแผน ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการ จัดการเรียนรู้ที่ 19 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 38 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 46 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 และแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 49 มีค่าความ สอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 ตามลำดับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากภาคผนวก ค
36 4.2.2 ผลการวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ผลการวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการเขียน รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 โดยใช้เทคนิค การสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 มีค่าความ สอดคล้องที่เหมาะสมหรือไม่ โดยมีผลตามตารางที่ 3 ดังนี้ ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์และหาประสิทธิภาพเครื่องมือในการศึกษา คือ แบบทดสอบก่อ นเรียนและ แบบทดสอบหลังเรียนจากแผนการจัดการเรียนรู้ ลำดับที่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ ดัชนีความ สอดคล้องIOC 1 2 3 1 แบบทดสอบข้อที่ 1 1 1 1 1.00 2 แบบทดสอบข้อที่ 2 1 1 1 1.00 3 แบบทดสอบข้อที่ 3 1 1 1 1.00 4 แบบทดสอบข้อที่ 4 1 1 1 1.00 5 แบบทดสอบข้อที่ 5 1 1 1 1.00 6 แบบทดสอบข้อที่ 6 1 1 1 1.00 7 แบบทดสอบข้อที่ 7 1 1 1 1.00 8 แบบทดสอบข้อที่ 8 1 1 1 1.00 9 แบบทดสอบข้อที่ 9 1 1 1 1.00 10 แบบทดสอบข้อที่ 10 1 1 1 1.00 11 แบบทดสอบข้อที่ 11 1 1 1 1.00 12 แบบทดสอบข้อที่ 12 1 1 1 1.00 13 แบบทดสอบข้อที่ 13 1 1 1 1.00 14 แบบทดสอบข้อที่ 14 1 1 1 1.00 15 แบบทดสอบข้อที่ 15 1 1 1 1.00 16 แบบทดสอบข้อที่ 16 1 1 1 1.00 17 แบบทดสอบข้อที่ 17 1 1 1 1.00 18 แบบทดสอบข้อที่ 18 1 1 1 1.00 19 แบบทดสอบข้อที่ 19 1 1 1 1.00
37 ลำดับที่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ ดัชนีความ 1 2 3 สอดคล้องIOC 20 แบบทดสอบข้อที่ 20 1 1 1 1.00 21 แบบทดสอบข้อที่ 21 1 1 1 1.00 22 แบบทดสอบข้อที่ 22 1 1 1 1.00 23 แบบทดสอบข้อที่ 23 1 1 1 1.00 24 แบบทดสอบข้อที่ 24 1 1 1 1.00 25 แบบทดสอบข้อที่ 25 1 1 1 1.00 26 แบบทดสอบข้อที่ 26 1 1 1 1.00 27 แบบทดสอบข้อที่ 27 1 1 1 1.00 28 แบบทดสอบข้อที่ 28 1 1 1 1.00 29 แบบทดสอบข้อที่ 29 1 1 1 1.00 30 แบบทดสอบข้อที่ 30 1 1 1 1.00 31 แบบทดสอบข้อที่ 31 1 1 1 1.00 32 แบบทดสอบข้อที่ 32 1 1 1 1.00 33 แบบทดสอบข้อที่ 33 1 1 1 1.00 34 แบบทดสอบข้อที่ 34 1 1 1 1.00 35 แบบทดสอบข้อที่ 35 1 1 1 1.00 36 แบบทดสอบข้อที่ 36 1 1 1 1.00 37 แบบทดสอบข้อที่ 37 1 1 1 1.00 38 แบบทดสอบข้อที่ 38 1 1 1 1.00 39 แบบทดสอบข้อที่ 39 1 1 1 1.00 40 แบบทดสอบข้อที่ 40 1 1 1 1.00 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบจากแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 8 แผน จำนวน 40 ข้อ 1.00 จากตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์การตรวจสอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากแผนการ จัดการเรียนรู้ ทั้ง 8 แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 40 ข้อ โดยรวมมีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ จากผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 3 ท่าน ดังนี้แบบทดสอบทั้งหมด 40 ข้อ มีค่าความสอดคล้องเชิง เนื้อหา (IOC) แต่ละข้อ มีค่าเท่ากับ 1.00 เมื่อพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน มีผลการวิเคราะห์ความ สอดคล้องของแบบทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 3 ท่าน ดังนี้ 1. ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 1 นางสาวกนกรรณ คอนสันเทียะ มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 2. ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 2 นางรังสิณี พลมณีมีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 3. ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 3 นายธนากร เลิกนอก มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00
38 สรุปได้ว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั้งหมด 40 ข้อ เท่ากับ 1.00 มีค่าความสอดคล้องที่ เหมาะสม ซึ่งค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมนั้นมีค่าตั้งแต่ 0.50 – 1.00 4.2.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคะแนนทดสอบก่อนเรียนกับคะแนนทดสอบหลัง เรียน ในการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ทำการนำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญครบทั้ง 3 ท่าน ไปทำการ ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 คือ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนกับคะแนน ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยมีผลตามตารางที่ 4 ดังนี้ ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบผลต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคะแนนทดสอบก่อนเรียนกับคะแนน ทดสอบหลังเรียน การทดสอบ จำนวนนักเรียน ค่าเฉลี่ย ( x ) การทดสอบก่อนเรียน 40 คะแนน 37 13.08 การทดสอบหลังเรียน 40 คะแนน 37 20.70 ผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน +7.62 จากตารางที่ 4 พบว่า ค่าเฉลี่ยจากการทดสอบก่อนเรียนจากแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 8 แผน จำนวน 40 ข้อ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 จำนวน 37 คน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 13.08 และค่าเฉลี่ย จากการทดสอบหลังเรียนจากแผนการเรียนรู้ทั้ง 8 แผน จำนวน 40 ข้อ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 จำนวน 40 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 20.70 ซึ่งผลต่างของคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียนกับการทดสอบหลังเรียน เท่ากับ +7.62 แสดงให้เห็นว่ามีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น นอกจากนี้ผู้ศึกษาได้นำคะแนนระหว่างการ ทำแบบทดสอบก่อนเรียนและการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบ ค่าที (t-test) และได้ผลการทดสอบ ตามตารางที่ 5 ตารางที่ 5 ผลการทดสอบค่าคะแนนที (t-test) ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 การทดสอบ จำนวนนักเรียน ค่าเฉลี่ย ( x ) S.D. t-value การทดสอบก่อนเรียน 40 คะแนน 37 13.02 3.26 14.40 การทดสอบหลังเรียน 40 คะแนน 37 20.70 2.03 จากตารางที่ 5 ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับคะแนนทดสอบก่อนเรียน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า คะแนนจากการทดสอบก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( x =13.02, S.D. = 3.26)
39 และคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (หลังเรียน) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( x = 20.70, S.D. = 2.03) และการทดสอบ ค่าที พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากภาคผนวก ค 4.2.4 ผลการศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน ในการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ทำการสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต่อการจัดการเรียนการสอน ภายหลังการจัดการเรียนการสอนครบทั้ง 8 แผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งตรงกับ วัตถุประสงค์ข้อที่ 4) คือ เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 โดยมีผลตามตารางที่ 6 ดังนี้ ตารางที่ 6 ผลจากแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 รายการประเมิน ระดับความพึงพอใจ แปลผล x S.D. 1. ด้านเนื้อหา 1.1 มีความยากง่าย เหมาะสมกับระดับชั้น 4.49 0.60 มาก 1.2 มีความน่าสนใจ 4.43 0.68 มาก 1.3 แบบฝึกหัดตรงตามเนื้อหา 4.65 0.63 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยโดยรวมด้านที่ 1 4.52 0.64 มากที่สุด 2. ด้านครูผู้สอน 2.1 เสียงดังฟังชัด 4.54 0.73 มากที่สุด 2.2 เข้าสอนตรงเวลา 4.68 0.52 มากที่สุด 2.3 แต่งกายเรียบร้อย 4.65 0.48 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยโดยรวมด้านที่ 2 4.62 0.58 มากที่สุด 3. ด้านวิธีการสอน 3.1 มีสื่อประกอบการสอน 4.53 0.59 มากที่สุด 3.2 ครูใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย (ทำงานกลุ่ม/งานเดี่ยว) 4.60 0.49 มากที่สุด 3.3 ครูสอนตามขั้นตอนและเข้าใจง่าย 4.38 0.74 มาก 3.4 ครูสอนดีและเข้าใจง่าย 4.35 0.76 มาก 3.5 ครูยกตัวอย่างประกอบในแต่ละแบบฝึกหัดอย่างชัดเจน 4.63 0.49 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยโดยรวมด้านที่ 3 4.49 0.62 มาก
40 รายการประเมิน ระดับความพึงพอใจ แปลผล x S.D. 4. ด้านสื่อการสอน 4.1 สื่อการสอนมีความน่าสนใจ 4.27 0.83 มาก 4.2 สามารถเรียนรู้ได้ง่าย 4.27 0.56 มาก 4.3 ตรงตามเนื้อหาและวัตถุประสงค์ 4.51 0.55 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยโดยรวมด้านที่ 4 4.28 0.86 มาก ค่าเฉลี่ยโดยภาพรวม 4.48 0.66 มาก จากตารางที่ 6 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 โดยภาพรวมมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ ( x = 4.48, S.D.= 0.66) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านครูผู้สอน ( x = 4.62, S.D.= 0.58) ข้อที่มีค่าเฉลี่ยรองลงมาอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านเนื้อหา ( x = 4.52, S.D.= 0.64) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยรองลงมาอยู่ในระดับมาก คือ ด้านวิธีการสอน ( x = 4.49, S.D.= 0.62) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อย ที่สุดอยู่ในระดับมาก คือ ด้านสื่อการสอน ( x = 4.28, S.D.= 0.86) ตามลำดับ เมื่อพิจารณาการแจกแจงข้อมูลรายย่อยทั้ง 14 ข้อ สิ่งที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ให้คะแนน มากที่สุด 3 อันดับ ดังนี้ 1. เข้าสอนตรงเวลา ( x = 4.68) 2. แบบฝึกหัดตรงตามเนื้อหาและครูแต่งกายเรียบร้อย ( x = 4.65) 3. ครูยกตัวอย่างประกอบในแต่ละแบบฝึกหัดอย่างชัดเจน ( x = 4.63) เมื่อพิจารณาการแจกแจงข้อมูลรายย่อยทั้ง 14 ข้อ สิ่งที่นักเรียนชั้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 1ให้คะแนน น้อยที่สุด 3 อันดับ ดังนี้ 1. สื่อการสอนมีความน่าสนใจและสามารถเรียนรู้ได้ง่าย ( x = 4.27) 2. ครูสอนตามขั้นตอนและเข้าใจง่าย ( x = 4.28) 3. ครูสอนดีและเข้าใจง่าย ( x = 4.35)
41 ข้อเสนอแนะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ที่มีต่อครูผู้สอน ดังนี้ 1. คุณครูสอนดีและเป็นกันเองมาก 2. คุณครูใจดีและเอาใจใส่นักเรียน 3. คุณครูเข้าสอนตรงตามเวลามาก
40 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายและข้อเสนอแนะ การศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้วิธีการสอน แบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs learning process) รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสุนทรวัฒนา ผู้ศึกษาได้สรุปผลการศึกษาประกอบด้วยหัวข้อตามลำดับดังต่อไปนี้ 5.1 สรุปผลและอภิปรายผลการศึกษา 5.2 ข้อเสนอแนะในการศึกษา 5.1 สรุปและอภิปรายผลการศึกษา การศึกษาพัฒนาการเรียนรู้ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs learning process) รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 สรุปผลและอภิปรายผลการศึกษาได้ดังนี้ 5.1.1 ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมหรือไม่ 5.1.1.1 จากวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการ จัดการเรียนรู้ รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งได้ผลการวิเคราะห์ จากการหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งมีค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ที่เท่ากันทุกแผนการจัดการเรียนรู้ คือ 1.00 และผลรวมค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 8 แผนการจัด การเรียนรู้ คือ 1.00 5.1.1.2 จากผลการวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งผู้ศึกษาได้นำมาตอบคำถามการศึกษาข้อที่ 1 คือ ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ( IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชารายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมหรือไม่ จากผลรวมค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัด การเรียนรู้ทั้งหมด 8 แผนการจัดการเรียนรู้ คือ 1.00 ซึ่งค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมนั้นมีค่าตั้งแต่ 0.5 – 1.00 จึงสามารถสรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าความสอดคล้อง ที่เหมาะสม 5.1.2 ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของข้อสอบ รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมหรือไม่
41 5.1.2.1 จากวัตถุประสงค์การศึกษาข้อที่ 2 เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบ รายวิชารายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งได้ผลการ วิเคราะห์จากการหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ( IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ จากแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งมีค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบตามลำดับดังต่อไปนี้ แบบทดสอบจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 จำนวน 5 ข้อ จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งมีค่าความสอดคล้อง เชิงเนื้อหา (IOC) แต่ละข้อ เท่ากับ 1.00 และแบบทดสอบจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19 จำนวน 5 ข้อ จาก ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งมีค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ( IOC) แต่ละข้อ เท่ากับ 1.00 และแบบทดสอบจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21 จำวน 5 ข้อ จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งค่าความ สอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) แต่ละข้อ เท่ากับ 1.00 และแบบทดสอบจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24 จำนวน 5 ข้อ จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งมีค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ( IOC) แต่ละข้อ เท่ากับ 1.00 และแบบทดสอบจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 25 จำนวน 5 ข้อ จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งค่าความ สอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) แต่ละข้อ เท่ากับ 1.00 และผลรวมค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ( IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งหมดจำนวน 5 ข้อ มีค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ( IOC) เท่ากับ 1.00 และแบบทดสอบจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 38 จำนวน 5 ข้อ จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) แต่ละข้อ เท่ากับ 1.00 และผลรวมค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งหมดจำนวน 5 ข้อ มีค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) เท่ากับ 1.00 และแบบทดสอบจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 46 จำนวน 5 ข้อ จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งค่าความ สอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) แต่ละข้อ เท่ากับ 1.00 และผลรวมค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ( IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งหมดจำนวน 5 ข้อ มีค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ( IOC) เท่ากับ 1.00 และแบบทดสอบจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 49 จำนวน 5 ข้อ จากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) แต่ละข้อ เท่ากับ 1.00 และผลรวมค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งหมดจำนวน 5 ข้อ มีค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา ( IOC) เท่ากับ 1.00 5.1.2.2 จากผลการวิเคราะห์หาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งผู้ศึกษาได้นำมาตอบคำถามการศึกษาข้อที่ 1 คือ ค่าความสอดคล้องเชิง เนื้อหา (IOC) ของข้อสอบรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าความสอดคล้อง ที่เหมาะสมหรือไม่ และผลรวมค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั้งหมด 40 ข้อคือ 1.00 ซึ่งมีค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมนั้น มีค่าตั้งแต่ 0.5 – 1.00 จึงสามารถสรุปได้ว่า แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 40 ข้อนี้ มีค่าความสอดคล้องที่เหมาะสม
42 5.1.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 ทักษะการเขียน โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs – Learning Process) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนหรือไม่ 5.1.3.1 จากวัตถุประสงค์การศึกษาข้อที่ 3 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับคะแนน ทดสอบก่อนเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งผู้ศึกษาได้ทำการนำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ที่ได้รับการตรวจสอบจาก ผู้เชี่ยวชาญ ครบทั้ง 3 ท่านแล้วนั้น ไปทำการทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุนทรวัฒนา ซึ่งได้ผลเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับคะแนนแบบทดสอบก่อน เรียนตามค่าเฉลี่ย จากการทดสอบรายแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยค่าเฉลี่ยจากการทดสอบก่อนเรียนคือ = 10.50 และค่าเฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียนโดยรวมคือ = 27.75 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า คะแนนทดสอบก่อนเรียน และมีผลต่างค่าเฉลี่ยโดยรวมคือ +17.25 โดยผู้ศึกษาได้นำผลที่ได้ไปทดสอบมาตรฐาน ด้วยการทดสอบค่าอีกครั้ง และพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการทดสอบหลังเรียนทีค่าเฉลี่ยกับ ( = 27.75, S.D. = 3.01) เปรียบเทียบกับคะแนนทดสอบก่อนเรียนซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( = 10.50, S.D. = 3.96) และจากการทดสอบค่าที พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 5.1.3.2 จากผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับคะแนนทดสอบก่อนเรียนที่กล่าวมา ข้างต้น ผู้ศึกษาได้นำมาตอบคำถามการศึกษาข้อที่ 3 คือ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 ทักษะการเขียน โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ( 5 S T E P s – L e a r n i n g P rocess) ส ำ ห ร ั บ น ั ก เ ร ี ย น ช ั ้ น ป ร ะ ถ ม ศ ึ ก ษ า ป ี ท ี ่ 4 มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนหรือไม่ และผลการเปรียบเทียบ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน ซึ่งผลต่างมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ + 17.25 และผู้ศึกษาได้นำผลการศึกษาที่ได้ไปทดสอบมาตรฐานด้วยค่าทีอีกครั้ง พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 5.1.4 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ14101 ทักษะการเขียน โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5STEPs - Learning Process) หรือไม่ อย่างไร