The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ชีวประวัติพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญญาคโม) แต่งโดย ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ และจักรกฤษณ์ มณีวรรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by panyabalo, 2021-07-18 11:45:54

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ชีวประวัติพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญญาคโม) แต่งโดย ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ และจักรกฤษณ์ มณีวรรณ์

Keywords: สรรนิพนธ์,คน,ศาสนา,คติธรรม,โลกกับธรรม,ชีวประวัติ,พระธรรมมงคลวุฒาจารย์,บุญยนต์ ปุญญาคโม,พระเทพสารเวที

พระบาทสมเด็จพระวชริ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ขณะยงั ด�ำรงพระอสิ ริยยศท่สี มเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร
ทรงฉายพระรูปหม่รู ว่ มกบั พระภกิ ษสุ ามเณรวดั บวรนเิ วศวหิ าร เม่ือครงั้ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
วันที่ ๑๘ พฤศจกิ ายน พุทธศักราช ๒๕๒๑

ในการนี้พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) เมื่อคร้ังด�ำรงสมณศักดิ์ท่ี พระครูพทุ ธมนตป์ รีชา
ร่วมฉายภาพอย่ดู ้วยในแถวนง่ั รปู ที่ ๕ จากซา้ ย

15

ดแู ลเขตพทุ ธาวาส

พระครูพิทักษ์ธุรกิจ (บุญยนต์
ปญุ ฺ าคโม) รับภารธรุ ะดูแลเขตพุทธาวาส วดั
บวรนิเวศวิหาร ต่อจากพระเทพญาณวิศิษฏ์
(เติม โกสลฺโล) ซ่ึงในสมัยนัน้ พระอุโบสถจะ
เปิดหลังจากท่ีคณะสงฆ์เข้าท�ำวัตรเช้าเสร็จ
เรียบร้อยแล้ว แล้วปิดอีกครั้งเวลาท�ำวัตรเย็น
ส่วนศาสนสถานและอาคารหลังอ่ืนๆ ในเขต
พทุ ธาวาสกม็ ไิ ดเ้ ปดิ เปน็ สาธารณะดงั เชน่ ทกุ วนั นี้
การท่ีท่านรับหน้าท่ีดูแลเขตพุทธาวาส
ทา่ นจงึ เปน็ ผถู้ อื กญุ แจของเขตพทุ ธาวาสทงั้ หมด
เมอื่ มผี ขู้ อใหเ้ ปดิ ศาสนสถานหรอื อาคารหลงั ใด
ในเขตพุทธาวาส ทา่ นกม็ ักจะมอบกุญแจใหก้ ับ
ผู้ขอเข้าไปเปิดไขได้โดยสะดวก ภายหลังจึง
มอบภาระในการถอื กญุ แจเขตพทุ ธาวาสนใ้ี หก้ บั
หลวงตาเขยี น ธมมฺ เขโม๑๘ พระนพดล โชตนโภ๑๙
และพระมหาวงศ์ไทย สุภวํโส๒๐ เนอ่ื งจากท่าน
มีความเมตตาและไว้ใจผู้คนอยู่เป็นนิตย์
นอกจากน้ี ท่านยังเป็นผู้ดูแลต้นไม้ภายในวัด
บวรนิเวศวิหารอีกด้วย โดยมีพระครูธรรมธร
(แสวง สนฺเตสโก) เป็นผู้ชว่ ยคนส�ำคญั

๑๘ หลวงตาเขียน ธมฺมเขโม เปน็ บดิ าของพระครูพทิ กั ษ์ธรุ กิจ (นพดล โชตนโภ)
๑๙ ภายหลังดำ� รงสมณศักดิ์ที่ พระครพู ทิ กั ษ์ธรุ กิจ
๒๐ ปัจจบุ ันดำ� รงสมณศกั ด์ทิ ่ี พระราชสารโกศล

16

นายทะเบยี นวดั

สมยั หนง่ึ พระครพู ทิ กั ษธ์ รุ กจิ (บญุ ยนต์
ปญุ ฺ าคโม) รบั หนา้ ทเี่ ปน็ นายทะเบยี นวดั กลา่ ว
คือ เม่ือมีพระภิกษุหรือสามเณรรูปใดย้ายเข้า
มาอยู่ในส�ำนักวัดบวรนิเวศวิหาร ภิกษุและ
สามเณรเหล่านั้นต้องมาแนะน�ำตัวต่อท่านเพื่อ
บนั ทกึ ชอ่ื ลงในทะเบยี นวดั โดยทา่ นจะเปน็ ผลู้ ง
ลายมอื ชือ่ รับรอง

รวมถงึ อบุ าสกทตี่ อ้ งการเขา้ มาเปน็ ศษิ ย์
วดั บวรนเิ วศวหิ าร กต็ อ้ งมาลงทะเบยี นของศษิ ย์
วัดด้วยเช่นเดียวกัน เน่ืองด้วยศิษย์วัดในสมัย
น้ันมีอยูเ่ ปน็ จ�ำนวนมาก ภายในคณะมศี ิษยว์ ดั
มากถงึ ๕๐ คน ดังน้ันจงึ มีการออก “ระเบยี บ
ปกครองศิษย์วัด วัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ.
๒๕๐๗” ดังมีกฎระเบียบส�ำคญั เชน่ ศิษยว์ ัด
ท่ีเข้ามาอยู่นั้นต้องท่องท�ำวัตร อาราธนาศีล
อาราธนาธรรม และอาราธนาพระปริตรให้ได้
ภายใน ๖๐ วนั ตลอดจนต้องลงไหวพ้ ระสวด
มนต์ท�ำวัตรท่ีพระอุโบสถเสมอ แต่หากในบาง
คณะท่ีมีศิษย์วัดจ�ำนวนมาก เจ้าคณะก็จักเป็น
ผูน้ ำ� ทำ� วตั รภายในของคณะ เพอื่ อบรมให้ศษิ ย์
วัดมีความประพฤติดงี ามและมีความสงบสุข

17

พระเทพสารเวที
(บณุ เรอื น ปณุ ณฺ โก) ขานชอ่ื
และ พระมงคลรตั นมนุ ี
(บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) นบั จำ� นวน
พระภกิ ษสุ งฆล์ งอโุ บสถฟงั ปาตโิ มกข์
ทพ่ี ระอโุ บสถ วดั บวรนเิ วศวหิ าร
พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๙

กรรมการซอ้ มสวดมนต์

เม่ือวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒ พระครูพิทักษ์ธุรกิจ
(บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) ไดร้ บั พระราชทานตงั้ เปน็ พระครสู ญั ญาบตั ร ชนั้ เอก ท่ี “พระครพู ทุ ธมนตป์ รชี า”
ทา่ นจงึ รบั หนา้ ทเี่ ปน็ ผนู้ ำ� พระภกิ ษแุ ละสามเณรทำ� วตั รเชา้ และคำ่� ณ พระอโุ บสถ ขณะเดยี วกนั ทา่ น
รบั ภาระเปน็ กรรมการซอ้ มสวดมนตใ์ หก้ บั พระนวกะรว่ มกบั พระศรวี สิ ทุ ธญิ าณ (อบุ ล นนทฺ โก)๒๑
ส�ำหรับวิธกี ารซ้อมสวดมนตก์ บั พระครพู ุทธมนต์ปรชี า (บญุ ยนต์ ปญุ ฺาคโม) น้ัน พระ
นวกะทง้ั หลายอาจจะสงั เกตวา่ ทา่ นผอ่ นปรนให้ เนอ่ื งจากพระนวกะอาจซอ้ มทอ่ งพระสตู รบางพระ
สตู รมาดว้ ยกนั หลายรปู จงึ นงั่ ซอ้ มสวดซอ้ นกนั เปน็ สองแถว บางครง้ั พระนวกะทนี่ งั่ แถวหลงั แอบ
เอาหนังสือสวดมนต์ไปเปิดพิงหลังพระนวกะที่นั่งด้านหน้า เม่ือซ้อมสวดพระสูตรนั้น ๆ จบลง
ท่านก็ใชอ้ ุบายลงช่ืออนมุ ตั ิใหเ้ ฉพาะพระนวกะทอ่ี ยูแ่ ถวหนา้ สอบผ่าน เพราะท่านสงั เกตเหน็ พระ
นวกะทอี่ ยแู่ ถวหลงั แอบเปดิ หนงั สอื ซอ้ มทอ่ งไปตงั้ แตแ่ รก บางครงั้ ทา่ นกส็ งั เกตจากปากของพระ
นวกะทีม่ าซอ้ มสวดมนต์ เม่ือเหน็ พระนวกะรปู ใดท่ปี ากตรงกบั บทสวด กอ็ าจส่ังใหห้ ยุด แล้วให้
พระรปู อื่น ๆ ทเ่ี หลือทอ่ งตอ่ รูปเดยี วเพอ่ื เปน็ การทดสอบว่าสามารถสวดได้จริง
ท่านเป็นกรรมการซ้อมสวดมนตข์ องพระนวกะเรอ่ื ยมา จนกระทง่ั รบั เปน็ ผปู้ ฏิบัติหนา้ ท่ี
เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ท่านจึงยุติบทบาทดังกล่าวและมอบหมายหน้าท่ีดังกล่าวให้พระ
เทพสทิ ธโิ มลี (นิพนธ์ ตสริ )ิ ดูแลสืบมา
18

ศาสนกิจ

พระครพู ทุ ธมนตป์ รชี า (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) ปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ทงั้ ภายในและภายนอกพระ
อารามหลายประการดว้ ยความวริ ยิ ะอตุ สาหะและยดึ มน่ั ในความถกู ตอ้ งเหมาะสม ในขณะเดยี วกนั
ทา่ นกส็ นบั สนนุ กจิ การสาธารณกศุ ลและสาธารณประโยชนต์ า่ ง ๆ อยเู่ สมอ ไมว่ า่ จะเปน็ การพฒั นา
สถานศกึ ษา สถานพยาบาล และวดั วาอาราม โดยเฉพาะในนวิ าสสถานของทา่ น เชน่ วดั สวา่ ง
หนองไฮและวดั สมศรี ตำ� บลพระลบั อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่ เปน็ ตน้ ทา่ นจงึ ไดร้ บั ตำ� แหนง่
ทางการศกึ ษาและการปกครองใหส้ อดคลอ้ งหนา้ ทที่ ไ่ี ดร้ บั มอบหมายตามลำ� ดบั ไมว่ า่ จะเปน็ ครสู อน
ศลี ธรรม ประจำ� ศาสนศกึ ษาวดั บวรนเิ วศวหิ ารและวดั สมศรี เจา้ หนา้ ทคี่ วบคมุ ดแู ลลกู ศษิ ยว์ ดั บวร
นเิ วศวหิ าร เจา้ หนา้ ทเี่ ขตพทุ ธาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร กรรมการ
สนามหลวงแผนกธรรม ประธานกรรมการวดั บวรนเิ วศวหิ าร เลขานกุ ารเจา้ คณะใหญค่ ณะธรรมยตุ
รปู ที่ ๑ เปน็ ตน้ โดยไดร้ บั พระราชทานตง้ั และเลอ่ื นสมณศกั ดเิ์ ปน็ พระครสู ญั ญาบตั ร และพระราชา
คณะเนอ่ื งในวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ตามลำ� ดบั ดงั ตอ่ ไปน้ี

๕ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๗ เปน็ พระครสู ญั ญาบตั ร ชน้ั พเิ ศษ ท่ี
“พระครพู ทุ ธมนตป์ รชี า”
๕ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๓ เปน็ พระราชาคณะชน้ั สามญั ท่ี
“พระมงคลรตั นมนุ ”ี
๕ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๙ เปน็ พระราชาคณะชน้ั ราช ท่ี
“พระราชรตั นมงคล วมิ ลญาณวศิ ษิ ฐ
ยตคิ ณสิ สร บวรสงั ฆาราม คามวาส”ี
๕ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๕ เปน็ พระราชาคณะชน้ั เทพ ที่
“พระเทพสารเวที ศลี าจารวตั รวมิ ล
สกลภารธรุ าทร ยตคิ ณสิ สร
บวรสงั ฆาราม คามวาส”ี

๒๑ ภายหลังดำ� รงสมณศกั ด์ิที่ พระเทพวสิ ทุ ธญิ าณ

19

“ พระครพู ุทธมนตป์ รชี า ” “ พระมงคลรัตนมุนี ”
๕ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๗ ๕ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๓

20

“ พระราชรตั นมงคล ” “ พระเทพสารเวที ”
๕ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๙ ๕ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๕

21

ผ้ปู ฏิบตั ิหน้าทีเ่ ลขานุการสมเด็จพระสงั ฆราช

สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายกทรงแตง่ ตง้ั เลขานกุ าร
สมเดจ็ พระสงั ฆราช คอื พระมหานายก (อภพิ ล อภพิ โล) ตอ่ มาเมอื่ ทรงมพี ระบญั ชาใหไ้ ปตำ� แหนง่
เปน็ เจา้ อาวาสวดั พระราม ๙ กาญจนาภเิ ษก แลว้ นน้ั พระองคจ์ งึ ทรงแตง่ ตง้ั พระมหารชั มงคล
ดลิ ก (บญุ เรอื น ปณุ ณฺ โก) เปน็ “ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทเ่ี ลขานกุ ารสมเดจ็ พระสงั ฆราช”
ตอ่ มาเมอ่ื ชว่ งตน้ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกล
มหาสงั ฆปรณิ ายกมกี ำ� หนดการเสดจ็ เยอื นประเทศอนิ เดยี โดยมพี ระมหารชั มงคลดลิ ก ในฐานะ
ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทเี่ ลขานกุ ารสมเดจ็ พระสงั ฆราช จะตอ้ งตามเสดจ็ ไปอนิ เดยี ในครง้ั นนั้ ดว้ ย โดยทที่ า่ น
เจา้ คณุ ฯ ขณะดำ� รงสมณศกั ดท์ิ ี่ พระราชรตั นมงคล มไิ ดต้ ามเสดจ็ ไปดว้ ยแตอ่ ยา่ งใด แตจ่ ะอยดู่ แู ล
กจิ การภายในวดั ตามปรกติ แตพ่ ระมหารชั มงคลดลิ กไมอ่ ยากตามเสดจ็ ไปอนิ เดยี ดว้ ย จงึ มาขอให้
ทา่ นเจา้ คณุ ฯ ตามเสดจ็ ไปอนิ เดยี แทน แลว้ พระมหารชั มงคลดลิ กจะอยดู่ แู ลกจิ การภายในวดั เอง
ซงึ่ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กม็ ไิ ดข้ ดั ขอ้ งสำ� หรบั การสลบั หนา้ ทเี่ พยี งชว่ั คราวในครง้ั นน้ั
ระหวา่ งทสี่ มเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก และทา่ นเจา้ คณุ ฯ
กำ� ลงั รอขนึ้ เครอื่ งบนิ อยทู่ ที่ า่ อากาศยานดอนเมอื งในเชา้ วนั ท่ี ๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒
ไดเ้ กดิ เหตกุ ารณร์ า้ ยแรงขน้ึ เนอื่ งจากพระมหารชั มงคลดลิ ก (บญุ เรอื น ปณุ ณฺ โก) พระเทพวสิ ทุ ธญิ าณ
(อบุ ล นนทฺ โก) และพระราชกวี (ลาภ ธนสาโร) ไดร้ บั นมิ นตไ์ ปปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ทจ่ี งั หวดั ตราด โดยนงั่
ไปในรถยนตค์ นั เดยี วกนั แลว้ เกดิ อบุ ตั เิ หตทุ างรถยนตข์ นึ้ เปน็ เหตใุ หพ้ ระมหารชั มงคลดลิ กและ
พระเทพวสิ ทุ ธญิ าณ ซงึ่ นงั่ คกู่ นั ดา้ นหลงั มรณภาพทนั ทใี นทเี่ กดิ เหตุ สว่ นพระราชกวซี ง่ึ นง่ั อยดู่ า้ น
หนา้ คกู่ บั คนขบั ไดร้ บั บาดเจบ็ สาหสั ตอ้ งพกั รกั ษาตวั อยหู่ ลายปจี นถงึ แกม่ รณภาพ
ต่อมา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จึงทรงมี
พระบญั ชาแตง่ ตงั้ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทเี่ ลขานกุ ารสมเดจ็ พระสงั ฆราช เมอ่ื วนั ที่ ๓๐
มนี าคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒ สบื ตอ่ จากพระมหารชั มงคลดลิ ก เหตกุ ารณด์ งั กลา่ วทำ� ใหท้ า่ นเจา้ คณุ ฯ
สญู เสยี สหธรรมกิ ทส่ี นทิ สนมทสี่ ดุ ถงึ สองรปู ในเวลาเดยี วกนั ทา่ นเจา้ คณุ ฯ จงึ มกั กลา่ วแกศ่ ษิ ยานศุ ษิ ย์

๒๐ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณสงั วร (เจรญิ สวุ ฑฒฺ โน) สมเดจ็ พระสงั ฆราชพระองค์
ท่ี ๑๙ แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ และเจ้าอาวาสวดั บวรนิเวศวิหาร ล�ำดบั ท่ี ๖

22

สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ทรงแตง่ ตงั้ ใหพ้ ระราชรตั นมงคล
เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทเ่ี ลขานกุ ารสมเดจ็ พระสงั ฆราช เมอ่ื วนั ท่ี ๓๐ มนี าคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒

แฝงปรศิ นาธรรมเก่ยี วกบั อนจิ จลักษณะอยูเ่ สมอวา่ หากท่านไม่ได้ตามเสด็จสมเด็จพระสงั ฆราช
พระองคน์ น้ั ไปอนิ เดยี ทา่ นจะตอ้ งรบั นมิ นตป์ ฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ทจ่ี งั หวดั ตราด โดยนง่ั ไปในรถยนตค์ นั
เดียวกันกับสหธรรมิกเหล่านั้น และท่านอาจจะต้องประสบอุบัติเหตุได้รับอันตรายถึงชีวิตหรือ
ทพุ พลภาพเปน็ แน่
โดยเฉพาะนับแต่ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ประชวรประทบั รกั ษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ นบั แตป่ พี ทุ ธศกั ราช ๒๕๔๖ เปน็ ตน้ มา
ทา่ นเจา้ คณุ ฯ จงึ ตอ้ งไปศาสนกจิ แทนพระองคต์ ามทตี่ า่ ง ๆ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กม็ กั เดนิ ทางไปกอ่ นเวลา
และเมอ่ื ปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ แทนพระองคแ์ ลว้ เสรจ็ บอ่ ยครง้ั ทญี่ าตโิ ยมมกั เขา้ มาอาราธนานมิ นตใ์ หเ้ ดนิ
ทางไปตามสถานทต่ี า่ ง ๆ นอกกำ� หนดการ แตท่ า่ นเจา้ คณุ ฯ กเ็ ลอื กทจ่ี ะเดนิ ทางกลบั วดั บวรนเิ วศวหิ าร
ทนั ที เนอ่ื งจากทา่ นเจา้ คณุ ฯ ยดึ ถอื หนา้ ทเี่ ปน็ หลกั โดยถอื วา่ กำ� ลงั ปฏบิ ตั หิ นา้ ทใี่ นฐานะของผแู้ ทนพระองค์
(สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณสงั วร)

23

หนา้ ทพี่ ระอปุ ัชฌาย์

นอกจากตำ� แหนง่ ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทเ่ี ลขานกุ ารสมเดจ็ พระสงั ฆราชแลว้ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ เมอื่ ครง้ั ยงั
ดำ� รงสมณศกั ดท์ิ ่ี พระราชรตั นมงคล ยงั ตอ้ งรบั หนา้ ทเี่ ปน็ พระอปุ ชั ฌายพ์ เิ ศษทสี่ ามารถบรรพชาอปุ สมบท
ใหก้ ลุ บตุ รไดโ้ ดยไมจ่ ำ� กดั เขตพนื้ ท่ี โดยเฉพาะเมอื่ สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหา
สงั ฆปรณิ ายกทรงประชวรและไมส่ ามารถบรรพชาอปุ สมบทใหก้ ลุ บตุ รไดอ้ กี ทา่ นเจา้ คณุ ฯ จงึ รบั หนา้ ท่ี
เปน็ พระอปุ ชั ฌายส์ บื มาในนามของสมเดจ็ พระสงั ฆราช ตราบจนสมเดจ็ พระสงั ฆราชสนิ้ พระชนม์
นอกจากนี้ ไม่เพียงทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ท่ีปฏิบัติหน้าท่ีบรรพชาอุปสมบทกุลบุตร ณ
พทั ธสมี าวดั บวรนเิ วศวหิ ารเทา่ นนั้ ในปี พ.ศ.๒๕๕๑ ยงั ทหี่ นา้ ทเ่ี ปน็ พระอปุ ชั ฌายท์ ใ่ี หก้ ารบรรพชา
อปุ สมบทกลุ บตุ รชาวเนปาล ณ อโุ บสถวดั มนุ วิ หิ าร เมอื งภกั ตรปรู ์ ประเทศเนปาล ในนามของ
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายกอกี ดว้ ย
ทง้ั นี้ รอบการบรรพชาอปุ สมบททว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ ารกำ� หนดไวแ้ ตล่ ะครงั้ มกั มกี ลุ บตุ รเขา้
มาบรรพชาอปุ สมบทเปน็ จำ� นวนมาก ทำ� ใหต้ อ้ งใชเ้ วลาประกอบพธิ ยี าวนาน บางครงั้ ตอ้ งใชเ้ วลา
ตงั้ แตห่ ลงั เพลจนถงึ คำ�่ แตท่ า่ นนง่ั พบั เพยี บประกอบพธิ ใี หโ้ ดยตลอด ในขณะทพี่ ระกรรมวาจารย์
พระอนสุ าวนาจารย์ และพระอนั ดบั ตา่ งหมนุ เวยี นเปลย่ี นเวรกนั มาปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ
ความอตุ สาหะและขนั ตธิ รรมอยา่ งยง่ิ ยวดของทา่ น เพยี งหวงั ใหก้ ลุ บตุ รเหลา่ นน้ั เขา้ มาศกึ ษาและ
ปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมคำ� สอนแหง่ องคส์ มเดจ็ พระบรมศาสดา และสบื ทอดพระพทุ ธศาสนาตอ่ ไปอกี
นานเทา่ นาน ทา่ นรบั หนา้ ทพี่ ระอปุ ชั ฌายต์ อ่ เนอ่ื งมาจนกระทง่ั อายไุ ด้ ๙๐ ปเี ศษ โดยมสี ทั ธวิ หิ ารกิ
ทงั้ ชาวไทยและชาวตา่ งชาตปิ ระมาณ ๖,๐๐๐ รปู /คน

อารมณ์ขัน

ครง้ั หนง่ึ ขณะทย่ี งั ดำ� รงสมณศกั ดท์ิ ี่ พระเทพสารเวที ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กำ� ลงั ทำ� หนา้ ทเี่ ปน็
พระอปุ ชั ฌายบ์ รรพชาอปุ สมบทแกก่ ลุ บตุ รอยนู่ นั้ ระหวา่ งทอี่ ปุ สมั ปทาเปกขะชดุ ใหมจ่ กั เขา้ มาทำ� การ
อุปสมบท จึงพอจะมีเวลาพูดคุยกับคณะสงฆ์ที่เข้ามาร่วมเป็นพระอันดับอยู่ด้วย ท่านได้ซักถาม
พระอนั ดบั รปู หนง่ึ วา่ “บวชมาไดก้ พี่ รรษาแลว้ ” เมอื่ ทา่ นทราบวา่ พระรปู นนั้ อยใู่ ตร้ ม่ กาสาวพสั ตรม์ า
เปน็ ระยะเวลาพอสมควรแลว้ จงึ ถามกลบั ไปวา่ “บวชมานี่ รไู้ หมอะไรดที สี่ ดุ ” พระรปู ดงั กลา่ วนงั่ คดิ
หาคำ� ตอบทางธรรม ไมว่ า่ จะเปน็ ศลี กด็ ี สมาธกิ ด็ ี ปญั ญากด็ ี แตก่ ไ็ มม่ คี ำ� ตอบทถ่ี กู เลย จงึ ไดแ้ ตย่ อม
จำ� นน ทา่ นจงึ เฉลยมาวา่ “เปป๊ ซ่ี ดที ส่ี ดุ ” ๒๓

24

ทา่ นเจา้ คณุ ฯปฏบิ ตั หิ นา้ ทพ่ี ระอปุ ชั ฌาย์ พระอโุ บสถ วดั บวรนเิ วศวหิ าร

ทา่ นเจา้ คณุ ฯปฏบิ ตั หิ นา้ ทพ่ี ระอปุ ชั ฌาย์ พระอโุ บสถ วดั มนุ วิ หิ าร เมอื งภกั ตรปรู ์ เนปาล

๒๓ สมัยหน่ึง เคร่ืองดื่มอัดลมย่ีห้อเป๊ปซ่ี มีค�ำโฆษณา (Slogan) เป็นท่ีติดหูติดปากของคนไทยว่า
“เป๊ปซี่ ดีที่สุด”

25

26

ถา่ ยภาพกบั เจา้ คณุ พระมหารชั มงคลดลิ ก (บญุ เรอื น)
หลงั กฏุ ลิ ออ คณะกฏุ ิ วดั บวรนเิ วศวหิ าร

หลวงตาโก๋

ศษิ ยานศุ ษิ ยท์ ง้ั บรรพชติ และฆราวาสเรยี กขานทา่ นเจา้ คณุ ฯ แตกตา่ งกนั ไป ไมว่ า่ จะเปน็
ทา่ นเจา้ คณุ ฯ หลวงพอ่ หลวงปู่ หรอื หลวงตา แตน่ ามทเี่ ปน็ ทรี่ จู้ กั มากทสี่ ดุ คอื “หลวงตาโก”๋
แทจ้ รงิ แลว้ คำ� วา่ “โก”๋ นนั้ ไมใ่ ชช่ อื่ เลน่ แตเ่ ปน็ ชอื่ ทไี่ ดม้ าในคราวทไี่ ปอปุ ฏั ฐากสมเดจ็ พระ
สงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศท์ โ่ี รงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ ดว้ ยบคุ ลกิ เปน็ คนดุ เสยี งดงั โผงผาง
และทำ� อะไรวอ่ งไว หมอพยาบาลทโ่ี รงพยาบาลจฬุ าลงกรณจ์ งึ เรยี กทา่ นวา่ “ทา่ นโก”๋
ตอ่ มาเมอื่ มกี ารบรู ณะกฏุ ลิ ออและสรา้ งสะพานปนู ขนึ้ ดา้ นหนา้ กฏุ ิ เมอื่ ปี พ.ศ.๒๕๑๑ ดว้ ย
สะพานแหง่ นเี้ ปน็ สะพานเดยี วทมี่ ลี กั ษณะโคง้ ขนึ้ พระมหารชั มงคลดลิ ก (บญุ เรอื น ปณุ ณฺ โก) ซง่ึ
เปน็ สหธรรมกิ ทสี่ นทิ กนั จงึ เรยี กลอ้ เปน็ ฉายาทา่ นวา่ “จกิ๊ โกส๋ ะพานโคง้ ”

27

ความเมตตาตอ่ ญาตโิ ยม

สำ� หรบั สมณกจิ ตา่ ง ๆ ทที่ า่ นรบั ผดิ ชอบตลอดระยะเวลาทอ่ี ยใู่ ตร้ ม่ กาสาวพสั ตร์ ทงั้ ทเ่ี ปน็
งานเกยี่ วกบั การเผยแผแ่ ละสบื ทอดพระพทุ ธศาสนา การศกึ ษา การปกครองคณะสงฆ์ ตลอดจน
งานสาธารณกุศลต่าง ๆ ท�ำให้ท่านเป็นที่เคารพรักของศิษยานุศิษย์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น
บรรพชติ หรอื คฤหสั ถ์
แมท้ า่ นเจา้ คณุ ฯ มกี ริ ยิ าวอ่ งไว พดู จาโผงผางและเสยี งดงั ลกั ษณะคลา้ ยคนดสุ มฉายานาม
“หลวงตาโก”๋ แตเ่ ปน็ ทรี่ บั รกู้ นั ในหมศู่ ษิ ยานศุ ษิ ยอ์ ยเู่ สมอวา่ ทา่ นมเี มตตา ใหค้ วามชว่ ยเหลอื และ
เปน็ กนั เองกบั ศษิ ยานศุ ษิ ยเ์ สมอกนั ญาตโิ ยมจงึ มกั เขา้ ไปขอความชว่ ยเหลอื จากทา่ นในเรอ่ื งสว่ นตวั
อยเู่ สมอ ซงึ่ ทา่ นอาจปฏเิ สธในเบอ้ื งตน้ แตเ่ มอ่ื บทสนทนาจบลง ทา่ นมกั มอบปจั จยั และสงิ่ ของที่
ปรากฏใหแ้ กผ่ ทู้ ม่ี ารอ้ งขอเสมอ จนในบางครง้ั ไมม่ ปี จั จยั เพยี งพอภายในกฏุ ิ ทา่ นอาจหยบิ ยมื ลกู ศษิ ย์
ลกู หาทอ่ี ยขู่ า้ งเคยี งไปกอ่ น จนเมอื่ ทา่ นมปี จั จยั แลว้ จงึ คอ่ ยมอบคนื ให้ อนั แสดงถงึ ความเมตตาและ
ไมส่ ะสมทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง
หลายครง้ั ทผี่ มู้ าขอนน้ั มเี จตนาไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ แมม้ ลี กู ศษิ ยพ์ ยายามทดั ทาน ทา่ นกต็ อบไปดว้ ย
ความเรยี บงา่ ยวา่ “เขากลา้ ขอ เรากก็ ลา้ ให”้
ในขณะเดยี วกนั ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กร็ บั กจิ นมิ นตด์ ว้ ยความเตม็ ใจ เพอ่ื สนองศรทั ธาศษิ ยานศุ ษิ ย์
อยา่ งเทา่ เทยี มกนั โดยหวงั ใหบ้ คุ คลเหลา่ นน้ั เขา้ มาอยใู่ กลพ้ ระพทุ ธศาสนามากขน้ึ จนถงึ ขน้ั นอ้ มนำ�
พระธรรมคำ� สอนไปศกึ ษาและประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หส้ อดคลอ้ งกบั การดำ� เนนิ ชวี ติ ประจำ� วนั เชน่ การ
เจรญิ พระพทุ ธมนตใ์ นงานมงคล หรอื สวดพระพทุ ธมนตใ์ นงานอวมงคล การเจมิ ยานพาหนะเพอื่
ความเปน็ สริ มิ งคล การดฤู กษม์ งคลสำ� หรบั ประกอบพธิ หี รอื กจิ การตา่ ง ๆ เปน็ ตน้

โหราศาสตร์

วัดบวรนิเวศวิหารกับงานด้านโหราศาสตร์เกิดข้ึนอย่างเป็นรูปธรรมในสมัยสมเด็จพระ
สงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศท์ รงครองวดั ครงั้ นน้ั พระพรหมมนุ ี (ผนิ สวุ โจ) เมอ่ื ครงั้ ยงั
ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ พ่ี ระเทพมนุ ี ไดก้ อ่ ตงั้ สมาคมโหรแหง่ ประเทศไทยขนึ้ เมอ่ื ปี พ.ศ.๒๔๙๐ โดยอนญุ าต
ใหใ้ ชต้ กึ หอสมดุ ของมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั (บรเิ วณฝง่ั ตรงขา้ มพระอโุ บสถวดั บวรนเิ วศวหิ าร) เปน็
ทต่ี ง้ั สำ� นกั งานของสมาคม
นอกจากนี้ ยงั มพี ระเถระรปู สำ� คญั ๆ ทมี่ คี วามสามารถในทางโหราศาสตร์ อาทิ พระครู
ปรติ โกศล (อนวุ ฒั น์ อโสโก) พระครวู นิ ยั ธรถนอม และพระมหากลอ่ ม สภุ โร เปน็ ตน้

28

ดงั นน้ั ในสมยั ทท่ี า่ นเจา้ คณุ ฯ ยงั เปน็ พระหนมุ่ นน้ั ทา่ นไดพ้ บเหน็ ญาตโิ ยมทเ่ี ขา้ มาหาทพี่ งึ่ ในทาง
โหราศาสตรน์ จ้ี ากพระมหากลอ่ ม สภุ โร จงึ เขา้ มาขอศกึ ษาหาความรตู้ ามตำ� รบั ตำ� ราของพระมหา
กลอ่ มจนมคี วามเชยี่ วชาญ ทง้ั ฤกษแ์ ตง่ งาน ขน้ึ บา้ นใหม่ ออกรถยนต์ ตลอดจนฤกษล์ าสกิ ขาของ
พระภกิ ษุ จงึ เปน็ เหตใุ หพ้ ระภกิ ษใุ นสำ� นกั วดั บวรนเิ วศวหิ ารรปู ใดประสงคท์ จ่ี กั ลาสกิ ขากม็ กั จะไปขอ
ฤกษจ์ ากทา่ นเจา้ คณุ ฯอยเู่ สมอ

อกี ทง้ั ในคราวทมี่ ญี าตโิ ยมมาเฝา้ สมเดจ็ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ รดนำ�้ พระพทุ ธมนตใ์ หก้ บั สามเณรทล่ี าสกิ ขา
พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช ขอประทาน
ในเรอ่ื งฤกษย์ ามนนั้ กม็ กั แนะนำ� ใหไ้ ปขอความ
อนเุ คราะหจ์ ากทา่ นเจา้ คณุ ฯ อยดู่ ว้ ยเชน่ เดยี วกนั
นอกจากการเปน็ พระอปุ ชั ฌายท์ ำ� หนา้ ท่ี
บรรพชาอปุ สมบทใหแ้ กก่ ลุ บตุ รทงั้ หลายแลว้ เมอ่ื
สั ท ธิ วิ ห า ริ ก รู ป ใ ด ป ร ะ ส ง ค ์ ที่ จ ะ ล า สิ ก ข า
ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กเ็ มตตาดฤู กษส์ ำ� หรบั ประกอบพธิ ี
ลาสกิ ขาให้ ตามคตทิ วี่ า่ เมอ่ื บวชแลว้ ยอ่ มอยใู่ น
สถานะสูงส่งและเป็นท่ีเคารพนับถือของ
พทุ ธศาสนกิ ชนทว่ั ไป เนอ่ื งจากมผี า้ กาสาวพสั ตร์
เปน็ ธงชยั ในการประพฤตแิ ละปฏบิ ตั ใิ หอ้ ยใู่ นศลี
และธรรมครบถว้ นสมบรู ณ์ แตเ่ มอื่ จะละจากเพศ
บรรพชติ ไปเปน็ คฤหสั ถ์ อาจมไิ ดด้ ำ� รงตนอยใู่ น
ศลี ธรรมโดยสมบรู ณด์ งั เดมิ เปรยี บเสมอื นการ
เปลย่ี นสถานะใหต้ ำ�่ ลง จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งหาฤกษย์ าม
ท่ีดีที่สุดส�ำหรับการเปลี่ยนสถานะดังกล่าว
เพ่ือเป็นขวัญก�ำลังใจ ในการด�ำเนินชีวิตต่อไป
ในภายภาคหน้าให้เจริญงอกงาม จนกลายเป็น
ธรรมเนียมของพระหรือเณรวัดบวรนิเวศวิหาร
เม่ือประสงค์จะลาสิกขา ก็มักเข้าไปกราบลา
และขอฤกษล์ าสกิ ขาจากทา่ น

29

30

อปุ ัฏฐากรบั ใช้สมเด็จพระสังฆราชสองพระองค์

นอกจากการถวายการรบั ใชก้ จิ ตา่ ง ๆ ทง้ั กจิ ของคณะสงฆแ์ ละกจิ สว่ นตวั เพอ่ื สนองพระเดช
พระคณุ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ นบั ตงั้ แตก่ า้ วเขา้ สรู่ ม่ กาสาวพสั ตรแ์ ลว้ ทา่ น
เจา้ คณุ ฯ ยงั ไดถ้ วายการรบั ใชส้ มเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก๒๔ อกี
พระองคห์ นงึ่ ทงั้ ในฐานะผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทเ่ี ลขานกุ ารสมเดจ็ พระสงั ฆราช และในฐานะสทั ธวิ หิ ารกิ ในสมเดจ็
พระอปุ ชั ฌายอ์ งคเ์ ดยี วกนั จนกระทงั่ สมเดจ็ พระสงั ฆราชพระองคน์ น้ั สนิ้ พระชนม์ เมอ่ื วนั ที่ ๒๔ ตลุ าคม
พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๑๙.๓๐ น. ณ ชนั้ พระมหากรณุ าธคิ ณุ (ชนั้ ๖) อาคารวชริ ญาณ-สามคั คพี ยาบาร
โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ สภากาชาดไทย สริ พิ ระชนั ษา ๑๐๐ ปี ๒๑ วนั พรรษา ๘๐
นบั ไดว้ า่ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ เปน็ พระเถระทม่ี คี วามสามารถและไดร้ บั ความไวว้ างพระทยั ใหถ้ วายงาน
รบั ใชส้ มเดจ็ พระสงั ฆราชแหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทรถ์ งึ ๒ พระองค์ อยา่ งใกลช้ ดิ ซง่ึ ยากทจ่ี ะมพี ระเถระรปู ใด
ไดร้ บั โอกาสถงึ เพยี งนน้ั

๒๔ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณสงั วร (เจรญิ สวุ ฑฒฺ โน) สมเดจ็ พระสงั ฆราชพระองค์
ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ล�ำดับท่ี ๖

31

สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก
เมอื่ ครง้ั ยงั ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ ส่ี มเดจ็ พระมหามนุ วี งศ์ ทรงแสดงมทุ ติ าเนอ่ื งในวนั เกดิ พระเทพสารเวที

ภาพพระเถระประกอบพธิ ผี กู พทั ธสมี า วดั ปา่ พทุ ธรงั ษี เมอื งลเู มยี ร์ ประเทศออสเตรเลยี เมอื่ วนั ที่ ๒๘ พฤษภาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๑
สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก เมอ่ื ครงั้ ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ ่ี พระราชสารสธุ ี (แถวหนา้ รปู ที่ ๒ จากขวา)

พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ญฺ าคโม) เมอื่ ครงั้ ดำ� รงสมณศกั ดท์ิ ่ี พระมงคลรตั นมนุ ี (แถวหลงั รปู ที่ ๒ จากซา้ ย)

32

ความคุ้นเคยกับสมเดจ็ พระสงั ฆราชองคป์ ัจจบุ นั

สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก (อมั พร อมพฺ โร)
สมเดจ็ พระสงั ฆราชพระองคท์ ่ี ๒๐ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ทรงคนุ้ เคยกบั ทา่ นเจา้ คณุ ฯ ตงั้ แตเ่ มอ่ื
ครงั้ ยงั เปน็ พระมหาอมั พร อมพฺ โร ซง่ึ เคยเสดจ็ ไปปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ทว่ี ดั หนองดู่ อำ� เภอปา่ ซาง จงั หวดั
ลำ� พนู รว่ มกบั ทา่ นเจา้ คณุ ฯ โดยเฉพาะเมอ่ื ครงั้ ทที่ รงเปน็ อาจารยอ์ ยทู่ สี่ ภาการศกึ ษามหามกฏุ ราช
วทิ ยาลยั ซง่ึ ตง้ั อยใู่ นบรเิ วณวดั บวรนเิ วศวหิ าร พระองคจ์ งึ ทรงแวะมาหาทา่ นเจา้ คณุ ฯ ทกี่ ฏุ ลิ ออเสมอ
บางครง้ั กจ็ กั มาเรยี นโหราศาสตรก์ บั ทา่ นเจา้ คณุ ฯ ดว้ ย

นอกจากนี้ ยังเคยการปฏิบัติศาสนกิจต่างประเทศร่วมกัน เช่นในคราวพระธรรมดิลก
(วิชมัย ปุญฺาราโม)๒๕ น�ำพระเถระในคณะธรรมยุตไปร่วมกันประกอบพิธีผูกพัทธสีมา
วดั ปา่ พทุ ธรงั ษี เมอื งลเู มยี ร์ ประเทศออสเตรเลยี ระหวา่ งวนั ที่ ๒๘ – ๒๙ พฤษภาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๑
ในครง้ั นนั้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ พระสงั ฆราช (อมพฺ รมหาเถร) ยงั ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ พ่ี ระราชสารสธุ ี
ไดร้ ว่ มกนั ไปประกอบศาสนกจิ ในครงั้ นดี้ ว้ ย

โดยเฉพาะเมอื่ ทรงไดร้ บั สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราชแลว้ หากเสดจ็ มาปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ
ทว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ าร ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กจ็ ะออกไปถวายการตอ้ นรบั อยเู่ สมอ และทกุ ครงั้ เจา้ พระคณุ
สมเดจ็ พระสงั ฆราชจกั เรยี กทา่ นเจา้ คณุ ฯ วา่ “หลวงพ”ี่ มาโดยตลอด

๒๕ ภายหลังด�ำรงสมณศักดิ์ที่ พระพรหมมุนี

33

สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช ประทานนำ�้ ชาถวาย
พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ วนั ท่ี ๒๘ เมษายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ ถวายการตอ้ นรบั สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก
ในโอกาสเสดจ็ ไปกราบสกั การะพระอฐั อิ ดตี สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ๔ พระองค์
ณ ตำ� หนกั เดมิ วดั บวรนเิ วศวหิ าร เนอื่ งในเทศกาลเขา้ พรรษาประจำ� ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๖๑

34

ท่านเจ้าคณุ ฯ กับพระธรรมวิสทุ ธมิ งคล (บวั ญาณสมปฺ นฺโน)

เนอ่ื งจากทา่ นเจา้ คณุ ฯ เคยตดิ ตามรบั ใช้ “หลวงลงุ ” ของทา่ นตงั้ แตย่ งั เปน็ พระมหาจนั ทรศ์ รี
จนทฺ ทโี ป๒๖ ทำ� ใหท้ า่ นเจา้ คณุ ฯ มโี อกาสไดพ้ บปะและสนทิ สนมคนุ้ เคยกบั พระเถรานเุ ถระหลายรปู
ซ่ึงในเวลาต่อมาได้กลายเป็นสหธรรมิกและให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการ
ตดิ ตามไปพำ� นกั ทวี่ ดั เจดยี ห์ ลวง จงั หวดั เชยี งใหม่ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ ขณะยงั เปน็ ฆราวาส ไดพ้ บกบั
พระมหาบวั าณสมปฺ นโฺ น๒๗ ทกี่ ำ� ลงั ศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรมในสำ� นกั วดั เจดยี ห์ ลวง กอ่ นทจ่ี ะไปปฏบิ ตั ิ
วปิ สั สนากรรมฐานตามแบบของพระปา่ สายหลวงปมู่ นั่ ภรู ทิ ตโฺ ต๒๘ เมอ่ื พระมหาบวั เดนิ ทางมาปฏบิ ตั ิ
ศาสนกจิ ในพระนคร จงึ เขา้ พำ� นกั ทกี่ ฏุ ลิ ออ คณะกฏุ ิ วดั บวรนเิ วศวหิ าร ซง่ึ เปน็ กฏุ ทิ พี่ ระมหาจนั ทรศ์ รี
และทา่ นเจา้ คณุ ฯ เคยพำ� นกั มาแตเ่ ดมิ เสมอ
จากความคนุ้ เคยครงั้ นน้ั พระมหาบวั เมอื่ ครง้ั ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ ี่ พระธรรมวสิ ทุ ธมิ งคล เคย
ปรารภถงึ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ หลายครงั้ ดงั ทป่ี รากฏในหนงั สอื “ญาณสมั ปนั นธมั มานสุ รณ”์ ความตอน
หนง่ึ วา่
“...จากนนั้ เลยขอทา่ นพกั กบั เจา้ คณุ ยนตน์ แ่ี หละ แตก่ อ่ นทา่ นใหพ้ กั กบั ทา่ นทง้ั นนั้ แหละ
พกั กฏุ ทิ า่ นพกั หลงั นี้ ทา่ นใหเ้ ลอื กเอาตามชอบใจ สองหลงั น้ี ครง้ั ตอ่ มาเรากเ็ ลยไปพกั อยกู่ บั กฏุ ิ
เจา้ คณุ ยนต.์ ..”
เมอ่ื พระธรรมวสิ ทุ ธมิ งคล (บวั าณสมปฺ นโฺ น) ละสงั ขาร ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กร็ บั พระบญั ชา
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก๒๙ เปน็ ผแู้ ทนพระองคไ์ ปเปน็
เจา้ ภาพบำ� เพญ็ กศุ ลในการศพดว้ ย

๒๖ พระอุดมญาณโมลี (จันทร์ศรี จนฺททีโป) หรือหลวงปู่ใหญ่ อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ อ�ำเภอ
เมือง จังหวัดอุดรธานี
๒๗ พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว าณสมฺปนฺโน) อดีตเจ้าอาวาสวัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด)
อ�ำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ผู้ก่อต้ังและด�ำเนินการ “โครงการผ้าป่าช่วยชาติ” ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของ
ประเทศ เพื่อรวบรวมเงินและทองค�ำน�ำเข้าบัญชีฝ่ายออกบัตร (คลังหลวง) ธนาคารแห่งประเทศไทย
๒๘ พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) ได้รับยกย่องเป็นต้นแบบวงศ์พระกรรมฐานสายวัดป่า
๒๙ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณสงั วร (เจรญิ สวุ ฑฒฺ โน) สมเดจ็ พระสงั ฆราชพระองค์
ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ล�ำดับที่ ๖

35

ภาพหมสู่ หธรรมกิ ณ พระธาตหุ ลวงเวยี งจนั ทน์ ประเทศลาว เมอ่ื วนั ท่ี ๙ มถิ นุ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๕ เรยี งลำ� ดบั จากซา้ ยไปขวา ดงั นี้
๑. พระมหาบวั าณสมปฺ นโฺ น ภายหลงั ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ ่ี พระธรรมวสิ ทุ ธมิ งคล วดั เกษรศลี คณุ (วดั ปา่ บา้ นตาด) จงั หวดั อดุ รธานี

๒. พระมหาสรุ พงส์ านวโร ภายหลงั ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ ่ี พระเทพวชั รธรรมาภรณ์ วดั ตรที ศเทพ
๓. พระสริ สิ ารสธุ ี (จนั ทรศ์ รี จนทฺ ทโี ป) ภายหลงั ดำ� รงสมณศกั ดท์ิ ่ี พระอดุ มญาณโมลี วดั โพธสิ มภรณ์ จงั หวดั อดุ รธานี
๔. ไมท่ ราบนาม ๕. พระมหาอภพิ ล อภพิ โล ปจั จบุ นั ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ ี่ พระธรรมบณั ฑติ วดั พระราม ๙ กาญจนาภเิ ษก
๖. พระราชบณั ฑติ (รกั ษ์ เรวโต) ภายหลงั ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ ี่ พระธรรมไตรโลกาจารย์ วดั ศรเี มอื ง จงั หวดั หนองคาย
๗. พระครพู ทิ กั ษธ์ รุ กจิ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) ภายหลงั ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ ่ี พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ วดั บวรนเิ วศวหิ าร
๘. พระสาสนโสภณ (เจรญิ สวุ ฑฒฺ โน) ปจั จบุ นั ทรงไดร้ บั สถาปนาขนึ้ เปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณสงั วร วดั บวรนเิ วศวหิ าร

๙. พระมหาวญิ ญ์ วชิ าโน ภายหลงั ดำ� รงสมณศกั ดท์ิ ่ี พระราชวราจารย์ วดั บวรนเิ วศวหิ าร

36

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก
พระธรรมวสิ ทุ ธิมงคล (บัว าณสมฺปนฺโน)
พระเทพสารเวที (บุญยนต์ ปุญฺ าคโม)
ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพมหานคร
วนั ที่ ๒๑ เมษายน พทุ ธศักราช ๒๕๕๐

กฏุ ลิ ออ

37

ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กบั พระราชญาณวสิ ทุ ธโิ สภณ (ทอ่ น าณธโร)

พระเถระฝา่ ยวปิ สั สนาธรุ ะ อรญั วาสอี กี รปู หนงึ่ ทท่ี า่ นเจา้ คณุ ฯ มคี วามคนุ้ เคยและใหก้ าร
นบั ถอื เปน็ พเ่ี ปน็ นอ้ งอกี รปู คอื พระราชญาณวสิ ทุ ธโิ สภณ (ทอ่ น าณธโร) อดตี ทป่ี รกึ ษาเจา้ คณะ
จังหวัดเลย (ธรรมยุต) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีอภัยวัน อ�ำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย นอกจากที่
ทา่ นเจา้ คุณฯ ทั้งสองจักมภี มู ิล�ำเนาเปน็ คนขอนแกน่ เหมือนกนั แลว้ ท่านเจ้าคุณฯ มักจะเรยี ก
หลวงปทู่ อ่ นวา่ “อาจารยท์ อ่ น” และหลวงปทู่ อ่ นจะเรยี กทา่ นเจา้ คณุ วา่ ฯ “หลวงพ”ี่
ทา่ นเจา้ คณุ ฯ เรมิ่ คนุ้ เคยกบั หลวงปทู่ อ่ นในชว่ งปลายชวี ติ ดว้ ยพระเถระทงั้ สองมลี กู ศษิ ย์
เปน็ ญาตโิ ยมกลมุ่ เดยี วกนั จงึ ไดก้ ราบอาราธนานมิ นตท์ ง้ั สองรปู ไปฉลองศรทั ธาในศาสนกจิ พรอ้ ม
กนั หลายครงั้ จงึ เสรมิ สง่ ใหเ้ กดิ ความคนุ้ เคยและความไพบลู ยใ์ นพรหมวหิ ารธรรมตอ่ กนั ในฐานะ
สหธรรมกิ มากขนึ้ เปน็ ลำ� ดบั โดยเฉพาะในทกุ วนั เกดิ ของหลวงปทู่ อ่ น วนั ที่ ๒ พฤษภาคม หลวงปู่
ทอ่ นจะกราบนมิ นตท์ า่ นเจา้ คณุ ฯ เปน็ ประธานเกอื บทกุ ปี ซง่ึ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กเ็ มตตาเดนิ ทางไปเกอื บ
ทกุ ครง้ั กอ่ นทา่ นเจา้ คณุ ฯ ไปถงึ วดั ศรอี ภยั วนั หลวงปทู่ อ่ นจะลงจากกฏุ มิ านง่ั รอรบั ทา่ นเจา้ คณุ ฯ
บนรถกอลฟ์ เมอื่ พบกนั ภาพทไ่ี ดเ้ หน็ คอื หลวงปทู่ อ่ นจะจบั มอื ทา่ นเจา้ คณุ ฯ แลว้ นำ� ขน้ึ วางไวบ้ นศรี ษะ
อนั แสดงถงึ ความเคารพนอบนอ้ ม สว่ นทา่ นเจา้ คณุ ฯ เมอ่ื จะตอ้ งไปงานอาจารยท์ อ่ น กจ็ ะสงั่ ใหล้ กู
ศษิ ยจ์ ดั เตรยี มเครอื่ งไทยธรรม เขยี นบทความอำ� นวยพรดว้ ยตนเองเพอ่ื ไปอา่ นแสดงถงึ มทุ ติ าธรรม
ซง่ึ ทกุ ครง้ั ทที่ า่ นทง้ั สองเจอกนั ลกู ศษิ ยจ์ ะไดเ้ หน็ รอยยมิ้ และเสยี งหวั เราะของทง้ั สองรปู เสมอ ครงั้
สดุ ทา้ ยกอ่ นทห่ี ลวงปทู่ อ่ นจะอาพาธหนกั และเดนิ ทางไปไหนไมไ่ ด้ หลวงปทู่ อ่ นทา่ นไดม้ ารว่ มในพธิ ี
บำ� เพญ็ กศุ ลเนอื่ งในโอกาสเจรญิ อายคุ รบ ๙๐ ปี ของทา่ นเจา้ คณุ ฯ ทค่ี ณะสทั ธวิ หิ ารกิ และคณะศษิ ย์
ไดจ้ ดั ขน้ึ เปน็ กรณพี เิ ศษ ณ ศาลา ๑๕๐ ปฯี วดั บวรนเิ วศวหิ าร เมอ่ื วนั ที่ ๑๐ มกราคม พทุ ธศกั ราช
๒๕๕๗ หลงั จากทา่ นเจรญิ พระพทุ ธมนตเ์ สรจ็ หลวงปทู่ อ่ นไดน้ ง่ั รถเขน็ นำ� ผา้ ไตรและบาตรซงึ่ สง่ั ทำ�
เป็นอย่างดีมาน้อมถวายเพ่ือแสดงถึงมุทิตาจิตต่อท่านเจ้าคุณฯ ผู้เป็นพ่ีใหญ่ทางธรรม จากนั้น
สทั ธวิ หิ ารกิ ของทา่ นเจา้ คณุ ฯ เกอื บทกุ รปู กม็ านง่ั เบอื้ งหนา้ ทา่ นเพอื่ จะมากราบขอบพระคณุ ในเมตตา
ขณะนน้ั เหตกุ ารณท์ ไี่ มค่ ดิ วา่ จะไดเ้ หน็ กเ็ กดิ ขนึ้ หลวงปทู่ อ่ น ไดจ้ บั มอื ทา่ นเจา้ คณุ ฯ หลวงปใู่ หญ่
ยกขน้ึ วางบนศรี ษะของทา่ น แลว้ ทา่ นกห็ นั มาทางสทั ธวิ หิ ารกิ ของทา่ นเจา้ คณุ ฯ แลว้ บอกวา่ “เราตอ้ ง
เชอ่ื มนั่ ตอ้ งหนกั แนน่ ในอปุ ชั ฌายอ์ าจารย์ ตอ้ งกตญั ญรู คู้ ณุ และทำ� ตามทท่ี า่ นสอน นนั่ แหละคอื
มงคลนะลกู หลาน” สนิ้ เสยี งหลวงปทู่ อ่ น คำ� สาธกุ ารของเหลา่ สทั ธวิ หิ ารกิ และลกู ศษิ ย์ กด็ งั ขน้ึ พรอ้ ม
กนั โดยมไิ ดน้ ดั หมาย ภาพในวนั นนั้ ยงั มาซง่ึ ความปตี ใิ จแกส่ ทั ธวิ หิ ารกิ และคณะศษิ ยท์ กุ คน
38

หลวงปทู่ อ่ น ญาณธโร แสดงมทุ ติ าจติ ในโอกาส ๙๐ ปี พระเทพสารเวที (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม)
ณ ศาลา ๑๕๐ ปี ฯ วดั บวรนเิ วศวหิ าร

เมอื่ หลวงปทู่ อ่ น เผชญิ โรคาพาธหนกั ขน้ึ ไมส่ ามารถชว่ ยตนเองได้ มารกั ษาตวั อยทู่ โี่ รงพยาบาล
วิชัยยุทธ กรุงเทพมหานคร และมาพักเป็นการถาวรที่วัดป่ามณีกาญจน์ อ�ำเภอบางกรวย
จงั หวดั นนทบรุ ี คราใดทที่ า่ นเจา้ คณุ ฯ วา่ งจากศาสนกจิ กจ็ ะชกั ชวนเหลา่ ศษิ ยไ์ ปเยยี่ มอาจารย์
ทอ่ น ทกุ ครงั้ ทไี่ ปเยยี่ มทา่ นเจา้ คณุ ฯ กจ็ ะชวนหลวงปทู่ อ่ นเสมอวา่ “กลบั วดั กนั กลบั เลยเถอะ”
แมน้ ในวาระสดุ ทา้ ยของหลวงปทู่ อ่ น ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กเ็ ปน็ พระเถระรปู สดุ ทา้ ยทหี่ ลวงปทู่ อ่ นรอ เมอ่ื
ทา่ นเจา้ คณุ ฯ เดนิ ทางไปถงึ หอ้ ง ICU โรงพยาบาลวชิ ยั ยทุ ธ เมอ่ื เปดิ ประตหู อ้ งเขา้ ไปหลวงปทู่ อ่ นก็
ละสงั ขารทนั ที เมอ่ื วนั ท่ี ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑ เวลา ๑๖.๔๖ น. ทา่ นเจา้ คณุ ฯ เอามอื จบั ขา
หลวงปู่ท่อนแล้วพูดว่า “ไปแล้ว ไปสบายแล้ว อาจารย์ท่อน” จากนั้นท่านเจ้าคุณฯ ได้เรียก
พระอปุ ฏั ฐากและลกู ศษิ ยท์ อ่ี ยบู่ รเิ วณนนั้ มาแนะนำ� ใหจ้ ดั การศพใหเ้ ปน็ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย และ
ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กไ็ ดเ้ ดนิ ทางไปรว่ มบำ� เพญ็ กศุ ลศพหลวงปทู่ อ่ นอกี หลายครง้ั ทจ่ี งั หวดั เลย และได้
เมตตาเปน็ ประธานฝา่ ยสงฆใ์ นพธิ พี ระราชทานเพลงิ ศพอกี ดว้ ย
สมกบั พระพทุ ธศาสนสภุ าษติ ทที่ า่ นเจา้ คณุ ฯ ไดย้ กเปน็ อเุ ทศอำ� นวยพรในงานวนั เกดิ ของ
หลวงปทู่ อ่ นในปหี นงึ่ วา่ “วสิ าสา ปรมา าติ แปลความวา่ ความคนุ้ เคยเปน็ ญาตอิ ยา่ งยง่ิ ”

39

แมว

สิ่งหนึ่งที่หากกล่าวถึงท่านเจ้าคุณฯ ส่ิงที่
หลายคนนกึ ถงึ กค็ อื “แมว” จนมกั ตง้ั คำ� ถามวา่ เหตุ
ใดทา่ นจงึ รกั แมว เรอ่ื งนที้ า่ นไดเ้ ลา่ ใหก้ บั พระนวกะ
ภกิ ษทุ เ่ี ขา้ ไปถวายการอปุ ฏั ฐากครง้ั หนงึ่ วา่ ตง้ั แต่
สมยั ทที่ า่ นยงั เปน็ พระใหม่ วนั หนงึ่ ไดม้ หี นมู าแทะ
ทปี่ ลายนว้ิ กอ้ ยเทา้ ของทา่ น ในวนั นน้ั แมวไดเ้ ขา้ มา
เหน็ แลว้ ชว่ ยไลห่ นนู น้ั ไป จงึ ทวคี วามรกั ทม่ี ตี อ่ แมว
ของทา่ นใหเ้ พม่ิ มากขนึ้ โดยในระยะแรกเปน็ แมวท่ี
มอี ยตู่ ามวดั ทว่ั ไป รปู รา่ งหนา้ ตาไมส่ วยไมง่ าม มขี ้ี
เรอื้ นบา้ ง แตท่ า่ นเลยี้ งดแู ลใหอ้ าหารและอมุ้ มาเลน่
ดว้ ยความรกั เสมอ
ในครง้ั นนั้ มพี ระภกิ ษวุ ดั บวรนเิ วศวหิ ารอกี
รปู หนงึ่ ทร่ี กั แมวเชน่ เดยี วกนั คอื พระประกติ พทุ ธ
ศาสน์ (สชุ าติ ชาตสโุ ภ) คณะตำ� หนกั จนภายหลงั
เมอื่ เจา้ คณุ สชุ าตมิ รณภาพลง แมวทเ่ี จา้ คณุ สชุ าติ
ดแู ลอยกู่ ย็ า้ ยไปพงึ่ ใบบญุ เจา้ คณุ บญุ ยนตต์ อ่ มา
จนภายหลงั เมอื่ ญาตโิ ยมทราบวา่ ทา่ นชอบ
เลยี้ งแมวจงึ นำ� แมวโคราชและแมวเปอรเ์ ซยี มาถวาย
ในส่วนของแมวตัวโปรดของท่านรักมาก
เปน็ เพยี งแมวไทย หางกดุ ชอ่ื “แฮมเมอร”์
กอ่ นทใี่ นเบอ้ื งปลายของชวี ติ จกั มศี ษิ ยน์ ำ� แมว
โคราช และแมวตา่ งประเทศ ทง้ั แมวเปอรเ์ ซยี และ
แมวอเมรกิ นั ชอ็ ตแฮร์ มาถวายทา่ นเจา้ คณุ ฯ จนกลาย
สญั ลกั ษณแ์ ทนกนั และกนั ในสายตาของศษิ ยานศุ ษิ ย์
กลา่ วคอื เมอื่ เหน็ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ กท็ ำ� ใหน้ กึ ถงึ แมว และ
เมอื่ เหน็ แมวกย็ อ่ มระลกึ ถงึ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ

40

นาฬิกา

คงเปน็ ทคี่ นุ้ ชนิ กนั เปน็ อยา่ งดขี องศษิ ยานศุ ษิ ยท์ เี่ ขา้ ไปกราบสกั การะทา่ นเจา้ คณุ ฯ ทก่ี ฏุ ลิ ออ
เรามกั พบเหน็ นาฬกิ าตงั้ โตะ๊ และนาฬกิ าแขวนมากมายหลายเรอื นถกู แขวนและตง้ั ประดบั ไวร้ อบกฏุ ิ
นาฬกิ าทกุ เรอื นทปี่ ระดบั ไวใ้ นกฏุ นิ น้ั จะตอ้ งเดนิ อยเู่ สมอ โดยเฉพาะในชว่ งเวลาทเ่ี ขม็ ยาวของนาฬกิ า
เคลอ่ื นครบรอบชว่ั โมงทเ่ี ลข ๑๒ เสยี งสญั ญาณกจ็ ะดงั ระงมทง้ั กฏุ ิ
หากจะกล่า่ วถึงึ “นาฬิกิ า” สิ่�งที่�สะท้อ้ นความเป็น็ ท่า่ นเจ้า้ คุณุ ฯ ประการหนึ่�งคือื ความเป็น็
ผู้�ตรงต่อ่ เวลา ทุกุ ครั้�งที่่�มีศี าสนกิจิ ตลอดจนกิจิ นิมิ นต์ต์ ่า่ ง ๆ ท่า่ นมักั เดินิ ทางไปถึงึ ก่อ่ นเวลาเสมอ
อันั แสดงให้เ้ ห็น็ ว่า่ ท่า่ นให้ค้ วามสำำ�คัญั ในเรื่�องของ “เวลา” เป็น็ อย่า่ งยิ่�ง
โดยเฉพาะกัับศิิษยานุุศิิษย์์ที่�อยู่�ในสำำ�นัักของท่่านนั้�น เมื่�อครบกำำ�หนดระยะเวลาในการ
อุปุ สมบทแล้ว้ เข้า้ มากราบสักั การะท่า่ นเจ้า้ คุณุ ท่า่ นเจ้า้ คุณุ ก็ม็ ักั ถามกลับั ว่า่ “เมื่�อไรจะสึกึ ?” หลาย
คนเมื่�อได้ย้ ินิ คำำ�ถามเช่น่ นี้้�ก็อ็ าจไม่ช่ อบใจนักั เพราะหากเป็น็ คนทั่�วไป เมื่�อเห็น็ พระนวกะสามารถ
บวชเป็น็ พระต่อ่ ไปได้อ้ ีกี ระยะหนึ่�งก็ค็ งร่ว่ มอนุโุ มทนา และอยากให้บ้ วชอยู่่�ต่อไปนานๆ แต่ท่ ่า่ นเจ้า้ คุณุ ฯ
ก็็มัักจะถามพระนวกะเป็็นศิิษย์์ในคณะอยู่่�บ่่อยครั้�ง จนบางทีีก็็อาจแอบน้้อยใจหรืือตั้�งข้้อสงสััย
กับั คำำ�ถามดังั กล่า่ ว แต่เ่ มื่�อเวลาผ่า่ นพ้น้ ไป และค่อ่ ยๆ พิจิ ารณาจากสิ่�งที่่�ท่า่ นเจ้า้ คุณุ ฯ พยายาม
สื่�อสารแล้ว้ จะพบว่า่ การบวชพระนั้�นไม่ใ่ ช่เ่ รื่�องง่า่ ย หากไม่ต่ั้�งใจที่�จะศึกึ ษาพระปริยิ ัตั ิธิ รรมอย่า่ ง
จริงิ จังั แล้ว้ ก็ค็ วรรีบี บอกคืนื สิกิ ขาลาเพศ ออกมาประกอบสัมั มาชีพี เพราะหากต้อ้ งลาสิกิ ขาในปัจั ฉิมิ
วัยั การจะออกไปประกอบอาชีพี การงานใดๆ ก็ค็ งเป็น็ การยากลำำ�บาก ดังั คำำ�สอนที่่�ท่า่ นเจ้า้ คุณุ ฯ
มีใี ห้ศ้ ิษิ ยานุศุ ิษิ ย์ท์ ี่่�ดูแู ลท่า่ นว่า่ “อายุแุ ก่ข่ึ้�นทุกุ ๆ วันั ชีวี ิติ คนเราอย่า่ ทำำ�เป็น็ เล่น่ ”

41

สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณสงั วร ครง้ั ดำ� รงสมณศกั ดท์ิ ี่ สมเดจ็ พระญาณสงั วร
พรอ้ มดว้ ยพระราชาคณะวดั บวรนเิ วศวหิ าร พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๘

พระเทพสารเวที (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม)
และแมวพนั ธเ์ุ ปอรเ์ ซยี ชอ่ื “แซน”

42

พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ ครงั้ ดำ� รงสมณศกั ดท์ิ ี่ พระมงคลรตั นมนุ ี
บนั ทกึ ภาพพรอ้ มพระในคณะ และพระนวกภกิ ษุ พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๙

พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ ครงั้ ดำ� รงสมณศกั ดทิ์ ่ี พระเทพสารเวที
บนั ทกึ ภาพพรอ้ มพระในคณะ และพระนวกภกิ ษุ พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗

43

ฉายภาพรว่ มกบั สทั ธวิ หิ ารกิ ในโอกาสเจรญิ อายคุ รบ ๙๐ ปี

ผู้ไม่มโี รค

ตลอดชว่ งระยะเวลาอนั ยาวนานแหง่ ชวี ติ ศษิ ยานศุ ษิ ยจ์ งึ มกั พบเหน็ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ ทำ� ขอ้ วตั รตา่ งๆ
ดว้ ยตนเอง ความกระฉบั กระเฉง สง่ ผลใหร้ า่ งกายของทา่ นแขง็ แรงมาโดยตลอด
ทา่ นเจา้ คณุ ฯ เคยอาพาธจนเปน็ เหตใุ หเ้ ขา้ รกั ษาในโรงพยาบาลเพยี งครง้ั เดยี ว เนอื่ งจากโรค
หนิ ปนู เกาะหวั ไหล่ โดยใชเ้ วลาในการรกั ษาเพยี งหนง่ึ สปั ดาห์ อาการกท็ เุ ลาลง และหายเปน็ ปรกติ
นบั ตง้ั แตน่ น้ั ทา่ นเจา้ คณุ ฯ ไมเ่ คยเจบ็ ไขด้ ว้ ยอาการของโรคทหี่ นกั หนาสาหสั จนถงึ กบั ตอ้ งลม้ หมอน
นอนเสอื่ อกี เลย ตราบจนเบอื้ งปลายของชวี ติ
แม้ในห้วงเวลาท่ีเจริญอายุมากขึ้นกว่า ๙๐ ปีแล้ว ทั้งยังเป็นรัตตัญญูแห่งพระอาราม
แตท่ า่ นเจา้ คณุ ฯ กลบั มสี ขุ ภาพรา่ งกายทส่ี มบรู ณแ์ ขง็ แรงตา่ งจากคนสว่ นใหญใ่ นวยั เดยี วกนั ทงั้ ยงั
ดำ� รงตนเปน็ แบบอยา่ งในการปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ โดยเฉพาะการลงพระอโุ บสถสดบั พระปาฏโิ มกขใ์ น
วนั ธรรมสวนะ ทา่ นเจา้ คณุ ฯลงสดบั ทกุ ครงั้ จนกระทงั้ ปสี ดุ ทา้ ยของชวี ติ นอกจากนน้ั ยงั รบั กจิ นมิ นต์
เพ่ือฉลองศรัทธาญาติโยมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ท่านเจ้าคุณฯ จึงเป็นแบบอย่างของผู้ที่มิได้
ละเมดิ ปาณาตบิ าตตามคตพิ ระพทุ ธศาสนา และดำ� รงตนอยใู่ นฐานะเนอื้ นาบญุ และทพี่ ง่ึ ของสาธชุ น
อยา่ งแทจ้ รงิ

44

สหธรรมิกในชว่ งบัน้ ปลาย “ไมต่ อ้ งซอื้ หา มาดว้ ยใจ”
ของชวี ิต พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม)
เดนิ จากกฏุ ลิ ออ ไปแสดงมทุ ติ าจติ กบั พระสธุ รรมาธบิ ดี
ช่วงเบ้ืองปลายของชีวิต เม่ือพระ (แบน กติ ตฺ สิ าโร) ทก่ี ฏุ ติ กึ ลออ หลมิ เซง่ ทา่ ย คณะสงู
สธุ รรมาธบิ ดี (แบน กติ ตฺ สิ าโร) เสรจ็ ภตั ตกจิ ใน ในโอกาสทที่ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯเลอื่ นสมณศกั ดิ์
ตอนเชา้ แลว้ มกั เดนิ ไปสนทนาปราศรยั กบั ทา่ น วนั ท่ี ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
เจา้ คณุ ฯ ทกี่ ฏุ ลิ อออยเู่ ปน็ นติ ย์ เนอ่ื งจากทา่ น
ทงั้ สองเปน็ พระเถระรนุ่ ราวคราวเดยี วกนั ทง้ั อายุ
และพรรษาทยี่ งั คงอยใู่ นพระอาราม เปน็ เหตใุ ห้
ทา่ นทง้ั สองสนทิ สนมคนุ้ เคยกนั ตราบจนวาระ
สดุ ทา้ ยของชวี ติ ภาพเหตกุ ารณแ์ ละบทสนทนา
ระหวา่ งพระเถระทงั้ สองรปู ยงั คงประทบั อยใู่ น
ความทรงจำ� ของศษิ ยานศุ ษิ ยม์ าโดยตลอด
ดว้ ยในชว่ งวยั กลางคนนน้ั พระสธุ รรมาธบิ ดี
ปฏบิ ตั หิ นา้ ทดี่ า้ นการศกึ ษาภายในสำ� นกั เรยี นวดั
บวรนเิ วศวหิ าร รว่ มกบั สมเดจ็ พระวนั รตั (จนุ ท์
พรฺ หมคตุ โฺ ต)๓๐ พระราชกวี (ลาภ ธนสาโร) และ
พระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ต าโณ) รวมถงึ
การวางรากฐานมหาวิทยาลัยมหามกุฏราช
วทิ ยาลัย วทิ ยาเขตสิรินธร จงั หวัดนครปฐม
จงึ ไมไ่ ดท้ ำ� งานในวดั รว่ มกบั ทา่ นเจา้ คณุ ฯ มากนกั
ทงั้ นี้ พระสธุ รรมาธบิ ดี (แบน กติ ตฺ สิ าโร)
มรณภาพ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๕ สงิ หาคม พทุ ธศกั ราช
๒๕๖๓ ณ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ สภากาชาดไทย
สริ อิ ายไุ ด้ ๙๒ ปี พรรษา ๗๓

๓๐ สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ล�ำดับที่ ๗ กรรมการมหา
เถรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต และหัวหน้าคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

45

สมณศกั ดส์ิ ุดท้าย

ส�ำหรับสมณศักด์ิสุดท้ายที่ “พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ ปูชนียฐานประยุต วิสุทธิ
สลี าจารวมิ ล สกลภารธรุ าทร ยตคิ ณสิ สร บวรสงั ฆาราม คามวาส”ี นน้ั ทา่ นเจา้ คณุ ฯ ไดร้ บั
พระราชทานเลอื่ นสมณศกั ดเิ์ ปน็ กรณพี เิ ศษ เพอ่ื เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรม
ราชนิ นี าถ เนอื่ งในโอกาสมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สงิ หาคม ๒๕๕๙ ซงึ่
นับเป็นการเล่ือนและตั้งสมณศักดิ์ครั้งสุดท้ายในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร เชน่ เดยี วกนั
นบั ไดว้ า่ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ เปน็ สทั ธวิ หิ ารกิ รว่ มสมเดจ็ พระอปุ ชั ฌายเ์ ดยี วกนั กบั พระมหากษตั รยิ ์
ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ และผทู้ รงเปน็ ทร่ี กั ยงิ่ พระองคน์ น้ั ทง้ั ยงั ไดร้ บั พระมหากรณุ าธคิ ณุ ตง้ั และเลอื่ น
สมณศกั ดเ์ิ ปน็ พระราชาคณะตามลำ� ดบั เพอ่ื รบั ภาระดา้ นการปกครองคณะสงฆม์ าตลอดรชั สมยั

46

47

ปริญญาศาสนศาสตรดษุ ฎีบัณฑติ กิตตมิ ศกั ด์ิ

ตามทท่ี า่ นเจา้ คณุ ฯ มคี ณุ ปู การดา้ นการปกครอง ดา้ นการศกึ ษา และดา้ นสาธารณปู การ
สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย จึงมีมติให้ถวายปริญญาศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต
กติ ตมิ ศกั ด์ิ สาขาวชิ าพทุ ธศาสตร์ แดท่ า่ นเจา้ คณุ ฯ เมอ่ื วนั ที่ ๒๕ กนั ยายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓
“...โดยพิจารณาเหน็ ว่า พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บญุ ยนต์ ปุญฺ าคโม) อาย ๙๗ ปี
พรรษา ๗๗ เปน็ พระเถระเป็นรตั ตญั ญูในสำ� นักวดั บวรนิเวศวิหาร ผ้กู อปรตว้ ยศลี าจารวตั รอนั ดี
งาม มีปฏิปทานา่ เลอ่ื มใส รบั ภารธุระพระพุทรศาสนา ดำ� รงตำ� แหนง่ และมีคุณูปการส�ำคัญ อาทิ
ด้านการปกครองและการศึกษา เปน็ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าคณะกฏุ ิ วดั
บวรนเิ วศวหิ าร เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ กรรมการสนามหลวงแผนกธรรม เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทเ่ี ลขานกุ าร
สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชิรญาณสังวร เป็นพระฐานานกุ รมในสมเด็จพระสังฆราชเจา้
กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ เปน็ อดตี เลขานกุ ารเจา้ คณะใหญค่ ณะธรรมยตุ รปู ที่ ๑ เปน็ อดตี ประธาน
กรรมการวัดบวรนเิ วศวิหาร เป็นอดีตครสู อนพระปริยัติธรรมประจ�ำศาสนศึกษา วัดสมศรี บา้ น
พระคอืิ ตำ� บลพระลบั อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่ เปน็ อดตี ครสู อนศลี ธรรมประจำ� ศาสนศกึ ษา
วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นกรรมการซ้อมสวดมนต์ตามระเบียบวัดบวรนิเวศวิหาร และเป็นอดีต
เจา้ หน้าทีค่ วบคุมดแู ลลกู ศิษย์วดั บวรนิเวศวหิ าร
ด้านสาธารณูปการ เป็นเจ้าหน้าที่เขตพุทธาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ตลอดจนได้พัฒนา
วัดวาอารามในถิ่นฐานบ้านเกิด นับแต่การบูรณะวัดสว่างหน่องไฮ ต�ำบลพระลับ อ�ำเภอเมือง
จังหวัดขอนแก่น มาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๐๗ จนถึงปัจจุบัน ทั้งการปรับปรุงเขตพุทธาวาส
ปรบั ปรงุ อาคารเสนาสนะใหเ้ พยี งพอเหมาะสม และสรา้ งฌาปนสถาน เพอื่ ใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นการ
ประกอบพิธที างศาสนาของชุมชน
นับได้ว่า พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญฺาคโม) เป็นพระเถระผู้กอปรด้วย
ศีลาจารวัตรงดงาม รบั ภารธุระพระพุทธศาสนามาช้านาน ได้บำ� เพญ็ หติ านหุ ติ ประโยชน์ อนั เปน็
คุญปการแก่คณะสงฆ์ พระพุทธศาสนา สังคม และประเทศชาติในวงกว้างเป็นอเนกปริยาย
สมควรได้รับการยกย่องประกาศเกยี รตคิ ณุ ใหม้ ีคณุ วฒุ ิในทางวิชาการ
สภามหาวิทยาสัยมหามกุฏราชวิทยาลัย จึงมีมติให้ถวายปริญญาศาสนศาสตรดุษฎี
บณั ฑติ กติ ตมิ ศกั ด์ิ สาขาวชิ าพทุ ธศาสตร์ แก่ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม)
เพอ่ื ประกาศเกยี รตคิ ณุ ใหข้ จรไพศาล เปน็ ทฏิ ฐานคุ ตแิ กอ่ นชุ นสบื ไป ใหไ้ ว้ ณ วนั ท่ี ๒๕ กนั ยายน
พุทธศักราช ๒๕๖๓...”

48

49

มรณภาพ

หากยอ้ นเวลากลบั ไป คงไมม่ ผี ใู้ ดหยง่ั ทราบไดว้ า่ เดก็ ชายบญุ ยนตจ์ ะเตบิ โตขน้ึ มาใตร้ ม่ เงา
พระพุทธศาสนา จนกลายเป็นพระเถระผู้สมบูรณ์พร้อมในศีลาจารวัตรและมีปฏิปทาอันงดงาม
ต้องตามพระสัทธรรมค�ำสอน ท้ังยังเป็นเนื้อนาบุญผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาของพุทธบริษัท
ทุกหมเู่ หลา่ มาโดยตลอด ไมว่ ่าจะเป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์

กระทง่ั ชว่ งคำ่� วนั พฤหสั บดี ท่ี ๒๒ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์
(บุญยนต์ ปุญฺาคโม) ถงึ แก่มรณภาพด้วยภาวะตบั วาย เม่อื เวลา ๑๘.๔๐ น. ณ โรงพยาบาล
จฬุ าลงกรณ์ สภากาชาดไทย สริ อิ ายุ ๙๗ ปี พรรษา ๗๗ ซง่ึ เปน็ ระยะเวลายาวนานพอทจี่ ะพสิ จู น์
และยนื ยนั ไดว้ า่ ทา่ นเจา้ คณุ ฯ เปน็ พระอาจารยผ์ ถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยความดงี าม ความเจรญิ วยั วฒุ ิ และ
คุณวฒุ ิ สมดงั นามสมณศกั ดิ์ของท่านอยา่ งไมผ่ ดิ เพีย้ น

เรยี บเรยี งโดย
ดร.ศรัณย์ มะกรูดอนิ ทร์
จักรกฤษณ์ มณวี รรณ์

50

สรรนพิ นธ์ วา่ ดว้ ย

คน ศาสนา คติธรรม

และ โลกกบั ธรรม

พระนพิ นธ์

สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์

51

52

๕๕ ๑๑๑

สรรนพิ นธ์ สรรนพิ นธ์
วา่ ดว้ ย วา่ ดว้ ย
- -
คน ศาสนา

๑๔๑ ๑๗๓

สรรนพิ นธ์ สรรนพิ นธ์
วา่ ดว้ ย วา่ ดว้ ย
- -

คตธิ รรม โลกกับธรรม

53

สรรนพิ นธ์ วา่ ด้วย

๏ เรอื่ งคน ๏

54

พทุ ธศาสนคตวิ า่ ดว้ ยเร่ืองคน

คน และก�ำเนดิ ของคน

คนเกิดมาในโลกทา่ นแสดงวา่ ประกอบด้วยธาตุ ๖ ดังพระพทุ ธภาษิตในธาตวุ ิภังคสูตร๑
วา่ ฉ ธาตโุ ร...อยํ ปรุ โิ ส บรุ ษุ คอื คนนม้ี ธี าตุ ๖ คอื ปฐวธี าตุ ธาตดุ นิ อาโปธาตุ ธาตนุ ำ�้ เตโชธาตุ
ธาตุไฟ วาโยธาตุ ธาตลุ ม อากาสธาตุ ธาตุอากาศ วิญญาณธาตุ ธาตรุ ู้ ดงั น้ี. ในธาตเุ หลา่ นี้
ธาตุ ๕ ขา้ งตน้ คือธาตดุ ิน น�ำ้ ไฟ ลม อากาศ เป็นธาตไุ ม่มคี วามรูใ้ นตัว ส่วนวิญญาณธาตุ เป็น
ธาตรุ ,ู้ ธาตุทั้งสองส่วนนี้ ประกอบกันเข้าเปน็ ปรุ ิส หรอื บรุ ษุ คือคน.
ก�ำเนิดของคน หรือของความประกอบกันของธาตุทั้ง ๒ ส่วนดังกล่าว มีแสดงไว้ใน
มหาตัณหาสังขยสูตร๒ แปลว่า ภิกษุท้ังหลาย เพราะความประชุมแห่งองค์ ๓ ครรภ์จึงก้าวลง
(หมายถงึ สตั วม์ าถอื ก�ำเนดิ ) คือมารดาบดิ าสนั นบิ าต คือสมรสกัน ๑ มารดามรี ะดู ๑ คนธรรพ
(ทา่ นอธบิ ายวา่ สตั วผ์ เู้ ขา้ ถงึ ในครรภ์ คอื สตั วผ์ จู้ ะเกดิ ) ปรากฏขน้ึ ๑ เพราะความประชมุ แหง่ องค์
๓ เหลา่ นี้ ครรภจ์ งึ กา้ วลง คอื สตั วผ์ เู้ กดิ ในครรภม์ าถอื กำ� เนดิ ทพ่ี ดู กนั วา่ ตง้ั ครรภ,์ มารดาบรหิ าร
ครรภ์ ๙ หรอื ๑๐ เดอื น ก็คลอดเดก็ และโดยปกติ เล้ียงด้วยโลหติ (น้ำ� นม) ของตน, คนเกิด
มาด้วยประการฉะน.ี้
คนผเู้ กดิ มาดังกล่าว จึงมีรูปกายอนั ประกอบขนึ้ ดว้ ยธาตุไมม่ คี วามรใู้ นตวั ส่วน ๑ จิตดัง
ท่ีเรียกว่าวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) สว่ น ๑ อาศยั กนั , มคี ำ� แสดงลกั ษณะของจิตวา่ คหู าสยํ มคี หู า
คอื รปู กาย เป็นทอี่ าศยั , เมือ่ ทัง้ ๒ ส่วนประกอบกนั อยู่ คนกม็ ชี วี ะ หรอื ชวี ิต, เม่ือทั้ง ๒ ส่วน
พรากกัน คนกส็ ิน้ ชีวะ หรือชวี ิต.

๑ ม. อุ. ๑๔/ ๔๓๔
๒ ตณิ ณฺ ํ โข ปน ภกิ ฺขเว สนฺนิปาตา คพฺภสสฺ าวกกฺ นตฺ ิ โหติ มาตาปติ โร จ สนนฺ ิปติตา โหนฺติ มาตา

จ อตุ ุนี โหติ คนฺธพฺโพ จ ปจฺจปุ ฏฺ โิ ต โหติ ฯเปฯ (ม. ม.ู ๑๒/ ๔๘๗).

55

อนึ่ง ในตกิ นิบาต องั คตุ ตรนกิ าย๓ มกี ล่าวขยายความออกไปอกี แปลวา่ อาศัยธาตุ ๖
ครรภจ์ งึ กา้ วลง (ตง้ั ครรภ)์ เมอ่ื ครรภก์ า้ วลง กเ็ กดิ นามรปู , เพราะนามรปู เปน็ ปจั จยั เกดิ อายตนะ
๖, เพราะอายตนะ ๖ เป็นปจั จยั เกิดผสั สะ, เพราะผสั สะเป็นปัจจัย เกิดเวทนา, เราบัญญตั วิ า่ น้ี
ทกุ ข์ นี้เหตุเกดิ ทุกข์ น้ีความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบตั ิให้ถึงความดบั ทุกข์แก่ผู้เสวยเวทนา.
พระบาลที งั้ หมดที่ยกมานี้ แสดงกำ� เนิดคน รวมความวา่ อาศยั ความประชุมแหง่ องค์ ๓
กบั ทั้งธาตุ ๖ คนจึงถือกำ� เนดิ เกิดมาได้ จนถึงมนี ามรปู มีอายตนะ ผสั สะ เวทนา ดังคนโดยปกติ
ท่วั ไป และพระพุทธเจ้าย่อมทรงแสดงธรรม แกค่ นผู้มลี ักษณะสมบูรณ์ดงั กล่าวนัน้ .

ทางร้ขู องธาตุรู้

จิตแม้จะเป็นธาตุรู้ ก็ไม่อาจรู้อะไรได้โดยล�ำพังจิตเอง ต้องอาศัยรู้ทางรูปกายที่เรียกว่า
ผสั สายตนะ แปลว่า ท่เี กดิ ผสั สะ มี ๖ คอื จกั ษุ ตา, โสตะ หู, ฆานะ จมูก, ชวิ หา ลิน้ , กายะ
กาย, มนะ ใจ (มนะ เดิมเขา้ ใจว่าอยทู่ ี่หทัยคอื รูปหวั ใจ บดั นี้ บางทา่ นเห็นวา่ อยูท่ ีม่ นั สมอง); คอื
อาศัยจักษุ รู้รูป, อาศัยโสตะ รู้เสียง, อาศัยฆานะ รู้กลิ่น, อาศัยชิวหา รู้รส, อาศัยกายะ รู้
โผฏฐัพพะ คอื ส่งิ ทีก่ ายถูกต้อง, อาศัยมนะ รู้ธรรม คอื เร่ืองตา่ ง ๆ มีเรื่องรูปเป็นตน้ ทีป่ ระสบมา
แล้ว, รวมเป็น ๖ ดังพระบาลีวา่ ฉ ผสสฺ ายตโน มผี สั สายตนะ ที่เกิดผัสสะ ๖, หรือเรยี กว่า
อายตนะภายใน ๖.
เรอื่ งทร่ี ทู้ างผสั สายตนะ (ทเ่ี กดิ ผสั สะ) ดงั กลา่ วขา้ งตน้ คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ
และธรรม เรียกว่า มโนปวิจาร แปลว่า ท่ีเที่ยวไปของใจ, หรือเรยี กว่าอายตนะภายนอก ๖ เป็น
ทต่ี งั้ ของโสมนสั (ความยนิ ด)ี กม็ ี เปน็ ทตี่ ง้ั ของโทมนสั (ความยนิ รา้ ย) กม็ ี เปน็ ทต่ี งั้ ของอเุ บกขา
(ความมธั ยสั ถเ์ ป็นกลาง) ก็มี จึงรวมเปน็ ๑๘ ดังพระบาลีวา่ อฏฺ ารสมโนปวิจาโร มมี โนปวจิ าร
ทีเ่ ท่ยี วไปของใจ ๑๘.

วถิ ีแห่งความร้แู ละความยึดถือ

วิถแี หง่ ความรู้ของธาตรุ ู้ ตามทางเหลา่ น้ี ทา่ นแสดงไว้โดยลำ� ดบั คือ :-
๑. วญิ ญาณ ความรสู้ กึ ทีแรก มอี ธิบายในอรรถกถาอภธิ รรมวา่
เมอ่ื รปู กระทบจกั ษุ กล็ ว่ งเขา้ ไปถงึ มนะ จงึ เกดิ จกั ขวุ ญิ ญาณ (ความรสู้ กึ เหน็ รปู ทางจกั ษ)ุ .

๓ อง. ติก. ๒๐/ ๒๒๗

56

เมอ่ื เสียงกระทบโสตะ ก็ลว่ งเขา้ ไปถงึ มนะ จงึ เกิดโสตวญิ ญาณ
(ความรสู้ กึ ไดย้ ินเสยี งทางโสตะ).
เมอ่ื กลิน่ กระทบฆานะ ก็ลว่ งเขา้ ไปถึงมนะ จงึ เกดิ ฆานวญิ ญาณ
(ความร้สู ึกได้สูดกล่นิ ทางฆานะ).
เมือ่ รสกระทบชิวหา กล็ ่วงเขา้ ไปถึงมนะ จงึ เกิดชิวหาวญิ ญาณ
(ความรู้สึกไดล้ ิม้ รสทางชวิ หา).
เมอ่ื โผฏฐพั พะกระทบกาย ก็ลว่ งเขา้ ไปถงึ มนะ จึงเกดิ กายวิญญาณ
(ความรสู้ ึกถูกตอ้ งโผฏฐพั พะทางกาย).
ความกระทบทงั้ ๕ ทางดังกล่าว ต้องเปน็ ความกระทบคู่ คือประสาทแต่ละประสาท กบั
มนะ จงึ เกดิ วิญญาณขนึ้ ตามประเภท, ท่านแสดงว่า เกดิ ขึน้ รวดเร็วเหมือนอย่างนกบนิ มาจับที่กงิ่
ต้นไม้ เงาของนกก็ทอดลงไปถึงแผ่นดนิ ในขณะนน้ั รปู เปน็ ตน้ ก็ฉนั น้นั เมือ่ กระทบจักษุเป็นตน้
ก็ลว่ งไปถึงมนะในทนั ใด จึงเกดิ วญิ ญาณขน้ึ ตามประเภท.
ส่วนธรรม คือเร่ืองของรูปเป็นต้น จนถึงเรื่องของธรรมน้ันเองท่ีเคยเห็นมาแล้วเป็นต้น
มากระทบ มนะได้โดยตรง เกดิ มโนวิญญาณ (ความรู้สกึ เรอ่ื งทางมนะ).
ส่วนในพระสตู รแสดงโดยหลกั วา่ อาศัยจักษุและอาศยั รปู เกิด จักขวุ ิญญาณ เปน็ ตน้ .
ตอ่ จากนี้เกิดความรแู้ รงข้ึนโดยล�ำดบั คือ :-
๒. สัมผสั สะ หรือ ผสั สะ๔ ความประจวบแหง่ องค์ ๓ คือ อายตนะภายใน ๑ อายตนะ
ภายนอก ๑ วญิ ญาณ ๑, ค�ำว่าผัสสายตนะ ท่เี กดิ ผสั สะ เรยี กด้วยยกผสั สะนเี้ ปน็ ท่ีต้ัง.
๓. เวทนา ความรูเ้ สวยสขุ ทุกข์ หรอื กลาง ๆ มิใช่ทกุ ข์มิใชส่ ขุ ตามสัมผัส.
๔. สัญญา ความรจู้ �ำหมายตามเวทนา.

๔ ความรขู้ นั้ ผสั สะนแี้ ฝงอยแู่ ละเขา้ ใจยาก เพราะมปี ญั หาวา่ เมอื่ อายตนะภายในและอายตนะภายนอก
กระทบกนั เปน็ วญิ ญาณขน้ึ แลว้ ทำ� ไมจงึ ตอ้ งมารวมกนั เปน็ ผสั สะเขา้ อกี จงึ เกดิ เปน็ เวทนา ? ปญั หานเี้ คยตอบ
กนั วา่ เพยี งวญิ ญาณยงั ออ่ น ตอ้ งผสมกันเป็นผัสสะก่อน จงึ มกี ำ� ลังแรงให้เกิดเวทนา. ไดม้ ผี ูเ้ ทยี บกับหลกั The
3-F (๓ เอฟ) ซึ่งเป็นคำ� เรียก H-bomb ดงั นี:้ หลักระเบดิ ของวัตถุระเบิดชนดิ น้ัน ทีแรก มีอาการทีเ่ รียกว่า
fission คอื ระเบิดภายใน เทียบกบั วิญญาณ, แลว้ มอี าการ fusion คอื ผสมตัว เทียบกบั ผสั สะ, แล้วจงึ มอี าการ
fission คือระเบิดวนิ าศ เทยี บกับเวทนา, ผลระเบดิ ๓ ขัน้ น้ี เร็วมาก, วนิ าทหี นง่ึ แบ่งเปน็ ล้านสว่ น กินเวลา
เพยี งสว่ นทั้งหลายของล้านสว่ นนนั้ . หลักปรากฏการณข์ องธาตรุ ู้ และของธาตทุ ่ไี ม่มคี วามรู้ในตวั เทยี บกันได้
ดังน้ี.

57

๕. สงั ขาร ความปรงุ คิด หรอื อภสิ ัญเจตนา ความคดิ ปรุง รวมทง้ั วติ กวจิ าร ความตรกึ
ความตรอง เป็นต้น ตามสญั ญา.
ทงั้ ๕ น้ี ยกสมั ผัสซงึ่ เป็นอาการผสมออกเสยี ก็เป็น ๔ คือ วญิ ญาณ เวทนา สญั ญา
สังขาร เรยี กรวมว่า นาม หรอื นามกาย คอื อาการทีจ่ ิตนอ้ มไปรู้ รวม รูปกาย เขา้ ด้วยก็เป็น ๕,
เรียงวิญญาณไวท้ า้ ย ดงั นวี้ ่า รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรยี กว่า ปญั จขนั ธ์ แปลวา่
กองทั้ง ๕, ปญั จขนั ธน์ ี้เปน็ ท่ียดึ ถอื ดว้ ยอปุ าทาน (ความยดึ ถือ) ของคนว่า เอตํ มม น่ีของเรา,
เอโสหมสฺมิ เราเปน็ นี่, เอโส เม อตตฺ า นีเ่ ปน็ ตัวตนของเรา, จงึ เรยี กว่า อุปาทานขันธ์ แปลวา่
ขนั ธ์เป็นที่ยดึ ถอื แล.

ขั้นของความรู้อาศยั รปู กาย

อุปาทานขันธ์ (ขันธ์เป็นทย่ี ึดถอื ) ทั้ง ๕ ดงั กลา่ วน้นั รูปขนั ธ์เป็นคูหาทอี่ าศัยของธาตุรู้
หรือจิต นามขันธ์เป็นอาการท่ีน้อมไปรู้ของธาตุรู้ และธาตุรู้น้ี เมื่อยังไม่มีอาการน้อมไปรู้ ท่าน
เรียกว่าตกภวังค์๕ เม่ือรูป เป็นต้น มากระทบจักษุเป็นต้น ก็ออกจากภวังค์ น้อมไปรู้เร่ืองท่ีมา
กระทบนั้น ๆ แล้วกก็ ลบั ตกภวงั คเ์ ปน็ คราว ๆ เป็นดงั นีโ้ ดยปกตธิ รรมดาตั้งแต่เกดิ จนตาย.
อาการทน่ี ้อมไปรู้ ที่เรยี กวา่ นามของธาตุรู้ ตอ้ งอาศยั รปู กาย หรือรูปขันธ์ ฉะนัน้ เมอ่ื รปู
กายออ่ น ความรกู้ อ็ อ่ น เมอ่ื รปู กายเจรญิ ความรกู้ เ็ จรญิ ขนึ้ โดยลำ� ดบั เปรยี บเหมอื นแสงไฟตะเกยี ง
เมื่อจุดทแี รก แสงไฟก็อ่อน เม่อื จดุ ตดิ ท่ัว แสงไฟกแ็ รงข้ึน, หรอื เม่อื หรไี่ ส้ แสงไฟกอ็ ่อน เม่อื ไข
ไส้ขึ้น แสงก็แรงขึ้น เม่ือกล่าวโดยสามัญ อาจแบ่งข้ันของความรู้ตามช้ันความเติบเจริญของรูป
กายได้ดังนี:้ -
๑. ขน้ั ความรอู้ อ่ นทสี่ ดุ สมมตเิ รยี กวา่ พาลกพทุ ธิ (ความรเู้ ดก็ ออ่ น) ไดแ้ กค่ วามรอู้ ยา่ ง
เดก็ ออ่ น, อาการของเดก็ ออ่ นแสดงใหท้ ราบวา่ มคี วามรจู้ กั สขุ ทกุ ขข์ องรา่ งกาย เชน่ เมอ่ื ไดบ้ รโิ ภค
ได้หลับนอนและไม่ไข้เจ็บ เด็กก็แสดงอาการว่าสบาย เมื่อไข้เจ็บก็แสดงอาการว่าไม่สบาย,
๕ ภวงั คะ แปลว่า องค์แหง่ ภพ ทา่ นอธบิ ายวา่ ไดแ้ ก่ปกติจิต เหน็ แปลกันในภาษายุโรปวา่ subcon-

sciousness (จติ ใต้สำ� นกึ ) หรือ passive state of mind (ภาวะปกติแหง่ จิต), ค�ำนี้เป็นภาษาใช้ในอภธิ รรม,
ส่วนในพระสตู ร พบคำ� ทีแ่ สดงภาวะปกตแิ หง่ จิตของผู้ปฏบิ ตั ิธรรมอยา่ งสูงว่า อเุ บกขา ซึง่ มลี ักษณะท้ังวางเฉย
ท้ังรู้ นกั ธรรมบางทา่ นเหน็ ว่าภาวะปกติแหง่ จิตของพระอรหันต์ คอื วชิ ชาวิมตุ ติ ตามพระบาลวี ่า วชิ ฺชาวมิ ตุ ตฺ ิ
ผลานสิ ํโส โข...ตถาคโต วิหรติ (ส.ํ มหา. ๑๙/ ๑๐๕) แปลว่า ตถาคตอยูม่ ีวิชชาวิมตุ ตเิ ป็นผลานิสงสแ์ ล.

58

เมอ่ื หวิ จะบรโิ ภคกร็ อ้ งจะบรโิ ภค เมอ่ื ปวดจะถา่ ยกถ็ า่ ย, อาการเหลา่ นแ้ี สดงวา่ มคี วามรชู้ น้ั เวทนา
โดยมาก เริ่มมคี วามรชู้ ัน้ สัญญาบา้ ง, แต่ความรชู้ น้ั สังขาร (ปรุงคิด) นน้ั นา่ จะมตี รง ๆ ตาม
เวทนา หรอื ตามตอ้ งการของรา่ งกาย ยงั ไมร่ จู้ กั ปรงุ คดิ ยงิ่ ขนึ้ ไป จงึ ไมม่ มี ายา ไมม่ กี ารปกปดิ ซอ่ น
เรน้ ไม่มีความคดิ เทียบเคยี งตบแตง่ แกไ้ ข.
๒. ขั้นความรูอ้ ย่างเด็ก สมมติเรยี กว่า ทารกพทุ ธิ (ความรูเ้ ด็ก), ในขน้ั น้ี มีความร้มู าก
ขนึ้ แตก่ เ็ ปน็ ความรอู้ ยา่ งเดก็ รจู้ กั เลน่ ของเลน่ รจู้ กั สงสยั ทดลอง รจู้ กั อยากรอู้ ยากเหน็ รจู้ กั เทยี บ
เคยี งตบแตง่ แกไ้ ขบา้ ง แตก่ ย็ งั นอ้ ย, จงึ ยงั แสดงอาการตรง ๆ เชน่ คดิ อยา่ งไร กพ็ ดู อยา่ งนน้ั , บางที
ค�ำพดู ของเด็กเช่นนี้ เปน็ เครือ่ งเตือนผูใ้ หญก่ ็มี เชน่ มเี ร่อื งเลา่ ว่า บดิ าพาเดก็ ผู้เปน็ บุตรไปยิงนก
นกถูกยิงตกลงมาแสดงอาการเจ็บปวด น่าสงสาร เด็กก็ถามข้ึนว่า มันท�ำอะไรให้พ่อจึงยิงมัน),
ฝา่ ยบดิ าได้ฟงั ก็ได้คดิ จงึ เลกิ ยิงสตั วแ์ ต่นั้นมา.
๓. ข้นั ความรอู้ ยา่ งหนุ่มสาว สมมตเิ รยี กว่า ยุวพุทธิ (ความร้หู นุ่มสาว), ในขัน้ นี้ ความ
รเู้ ปลยี่ นไปจากความรอู้ ยา่ งเดก็ เปน็ รจู้ กั รกั สวยงาม รจู้ กั เทยี บเคยี ง ตบแตง่ แกไ้ ข รจู้ กั สรา้ งสรรค์
เป็นความรทู้ แี่ ล่นเร็ว เห็นแต่ในดา้ นวฒั นะ (เจรญิ ) โดยมาก.
๔. ขัน้ ความรูอ้ ยา่ งผใู้ หญ่ สมมตเิ รียกว่า วฑุ ฒพิ ทุ ธิ (ความรู้ผใู้ หญ่), ในข้ันน้ี ความรู้
เปลย่ี นไปเปน็ หนักแนน่ แน่นอนยง่ิ ข้นึ เพราะไดผ้ า่ นเหตแุ ละผลต่าง ๆ มามากขน้ึ จงึ รจู้ กั เทยี บ
เคยี งยบั ย้งั มองเหน็ ทัง้ ด้านวฒั นะ (เจริญ) ท้ังดา้ นหายนะ (เสือ่ ม) มากข้นึ บางทมี องเหน็ ทาง
หายนะมากกวา่ ทางวฒั นะ.

ข้ันความรู้เหล่านี้มีแก่บุคคลทุกคน แตอ่ าจมาเรว็ หรอื ชา้ กว่ากัน, เชน่ บางคนมอี ายเุ ป็น
เดก็ หรือเปน็ หนมุ่ แตม่ ีความคิดความรู้อยา่ งผ้ใู หญ,่ บางคนมอี ายุเปน็ ผู้ใหญ่ แตม่ ีความคดิ ความ
รู้อยา่ งเดก็ หรืออย่างหนุ่มสาว, และอาจมนี ้อยหรือมากกวา่ กนั ตามพ้นื ปญั ญาเฉพาะตน และ
ตามการศกึ ษาอบรม, เปรยี บเหมอื นแสงไฟ จะสวา่ งมากหรอื นอ้ ย กส็ ดุ แตช่ นดิ ของตะเกยี ง หรอื
สดุ แตช่ นดิ ของหลอดไฟ. แตเ่ มอื่ ความรเู้ ลอ่ื นชน้ั ขนึ้ ไปกพ็ น้ (วมิ ตุ ต)ิ จากความรเู้ ดมิ เลอื่ นขนึ้ ไป
โดยลำ� ดบั , เมอ่ื ความรเู้ ลอ่ื นขนึ้ ไปแลว้ จะทำ� เหมอื นอยา่ งเกา่ ยอ่ มไมไ่ ด้ และจะทำ� ใหย้ งิ่ ขนึ้ ไปกไ็ ม่
ได้ เชน่ เดก็ ในวยั เล่น ไมย่ อมนอนเบาะวันยังคำ่� เหมือนเด็กแดง, หนุ่มสาวไมป่ ระพฤติและเลน่
อยา่ งเดก็ ๆ, ผู้ใหญ่กไ็ มท่ ำ� อยา่ งหนมุ่ สาว, ลกั ษณะที่รแู้ ละพ้นจากขนั้ ต่�ำเล่อื นข้นึ ไปสู่ขน้ั สูงโดย
ล�ำดับนี้ เปน็ ลักษณะของวิชชา (ความรู้) และวมิ ุตติ (ความหลดุ พ้น) โดยสามญั ทัว่ ไป.

59

ตน้ เดิมของความรู้

ตน้ เดมิ ของความรขู้ นั้ ตา่ ง ๆ ดงั กลา่ ว คอื ธาตรุ ู้ ธาตรุ นู้ แ้ี มอ้ าศยั รา่ งกาย แตก่ ม็ ใิ ชร่ า่ งกาย
(จงึ มิใช่มันสมอง แต่ก็อาศยั ร่างกาย รวมทง้ั มันสมองด้วยส�ำหรบั ร)ู้ , เปรียบเหมือนไฟฟา้ อาศยั
หลอดไฟ, แต่ก็มิใช่หลอดไฟ และเพราะเป็นธาตรุ ู้ จึงดำ� เนนิ ไปเพอ่ื รูอ้ ยเู่ สมอ ดังจะสังเกตไดว้ ่า
คนอยากรู้อะไร ๆ ต้งั แตพ่ อรเู้ ดียงสา เมอ่ื อยากรู้ ก็ท�ำให้ใฝศ่ กึ ษาส�ำเหนยี กเพอื่ จะรู้. ฉะนั้น จงึ
อาจกลา่ วไดว้ า่ คนเกดิ มาเพอื่ ศกึ ษาสำ� เหนยี กใหร้ ู้ เพราะคนมธี าตรุ ทู้ ท่ี ำ� ใหอ้ ยากรู้ ทำ� ใหใ้ ฝศ่ กึ ษา
ส�ำเหนยี กเพ่ือร้นู ัน้ เอง.

รู้ในช้นั

โดยปกติ ธาตุรู้ย่อมรู้ได้ตามชน้ั เช่นรู้ตามชัน้ ดังกล่าวแลว้ , รู้เช่นน้ีมีเทา่ ใด กเ็ กีย่ วเกาะ
อย่เู ทา่ น้ัน เช่นเด็กรจู้ กั เลน่ กเ็ กยี่ วอยูใ่ นการเล่น, แมค้ วามร้ขู องผใู้ หญโ่ ดยปกติก็เปน็ เช่นน,้ี ต่าง
แต่รู้มากออกไป เก่ียวเกาะมากออกไป, ส่ิงที่เกี่ยวเกาะนั้น ตั้งต้นแต่กายตนตลอดถึงกายผู้อื่น
และส่ิงอ่ืน ๆ นอกกาย (ขันธ์ ๕ เป็นอุปาทานขันธ์ข้ึนก็ด้วยเหตุน้ี) จึงมีทุกข์ร้อนมากขึ้นตาม
ส่วน. นีเ้ ปน็ ความรู้ของสามัญชนท่วั ไป เป็นความรูใ้ นชัน้ ไม่เป็นเหตุใหล้ ว่ งชนั้ เว้นไว้แต่จะรู้สูง
ขน้ึ ไป, และเพราะรอู้ ยา่ งนจ้ี งึ มยี นิ ดยี นิ รา้ ยมเี พลนิ มตี ดิ , ดงั ทท่ี า่ นแสดงไวใ้ นมหาตณั หาสงั ขยสตู ร
ตอน ๑ มีใจความว่า เด็กโตข้นึ ย่อมเล่นด้วยเครอื่ งเลน่ ของเดก็ ชนิดตา่ ง ๆ, โตข้ึนอกี กเ็ ปลยี่ นไป
ยนิ ดบี �ำรุงบ�ำเรอดว้ ยกามคณุ ทั้ง ๕ คือ รูป เสยี ง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ ที่น่าปรารถนา รกั ใคร่
พอใจ, เหน็ รปู ดว้ ยตา ไดย้ นิ เสยี งดว้ ยหู ไดด้ มกลน่ิ ดว้ ยจมกู ไดล้ ม้ิ รสดว้ ยลนิ้ ไดถ้ กู ตอ้ งโผฏฐพั พะ
ดว้ ยกาย ไดร้ เู้ รอื่ งทงั้ หลายดว้ ยใจแลว้ ยอ่ มยนิ ดใี นสว่ นทนี่ า่ รกั ยอ่ มยนิ รา้ ยในสว่ นทไี่ มน่ า่ รกั , ไม่
ตง้ั สตใิ นกาย มใี จออ่ นไหว ยอ่ มไมร่ ทู้ ว่ั ถงึ วมิ ตุ ตซิ งึ่ เปน็ ทด่ี บั ของอกศุ ลบาปธรรมโดยไมเ่ หลอื ตาม
เป็นจริง, จึงถึงความยินดียินร้าย เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม
เปน็ กลาง ๆ มใิ ชท่ กุ ขม์ ิใช่สขุ ก็ตาม ย่อมยินดเี พลิดเพลิน (นันท)ิ ยดึ ถือ (อปุ าทาน) เวทนานั้น
เป็นเหตุให้เกดิ ภพชาติสบื ไปถึงชรา มรณะ และทกุ ขต์ า่ ง ๆ มโี สกะเป็นตน้ เกิดเป็นทกุ ขสมทุ ยั
ความเกดิ ขน้ึ แหง่ กองทกุ ข์ ฉะน.ี้ ผลเหลา่ นเ้ี กดิ ขน้ึ เพราะรทู้ างอายตนะ ซง่ึ เปน็ รใู้ นชน้ั ตามธรรมดา
สามัญ ซ่ึงทุกคนมีอยู่, ถ้าไม่รู้ก็ไม่เกิดผลดังกล่าว เช่น เมื่อมีผู้พูดสรรเสริญหรือนินทา ถ้าไม่
ได้ยินไม่รู้ ก็ไม่เกิดยนิ ดยี ินร้าย, แตถ่ ้าไดย้ นิ ไดร้ ู้ ก็เกิดยนิ ดียินรา้ ยเปน็ ต้น, จึงมีความเก่ียวเกาะ
อยูใ่ นรู้หรือตามทร่ี นู้ ้นั เอง ไม่ลว่ งช้นั ของความรนู้ ั้นข้นึ ไปได.้

60

รู้ลว่ งชัน้

ทางพระพทุ ธศาสนา ม่งุ ใหร้ ลู้ ว่ งชนั้ ขึน้ ไป เพราะเม่อื รู้ลว่ งช้นั ขึน้ ไป กล็ ว่ งทุกขเ์ ป็นขัน้ ๆ
ดงั ความรทู้ เี่ กดิ ขนึ้ อาศยั รา่ งกายดงั กลา่ ว เปน็ ความรลู้ ว่ งชนั้ ขน้ึ ไปโดยลำ� ดบั เชน่ เดก็ โตกร็ ลู้ ว่ งชนั้
เด็กเล็กข้นึ ไป เปน็ ตน้ , แตค่ วามรทู้ ล่ี ว่ งชนั้ ขนึ้ ไปเอง เปน็ ไปโดยปกติธรรมดา, คนมีธาตรุ ้อู าจจะ
ศึกษาให้รลู้ ่วงชัน้ ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไปไดด้ ้วยปญั ญา เปน็ เครอื่ งกำ� หนดรคู้ วามรู้นนั้ หรือก�ำหนดรใู้ นสิง่ ท่ี
รู้น้ันเอง, เชน่ ได้เหน็ รูป ไดย้ นิ เสยี ง ได้ดมกลน่ิ ได้ล้ิมรส ไดถ้ กู ตอ้ งโผฏฐพั พะ ไดร้ เู้ รือ่ งทั้งหลาย
กก็ �ำหนดใน รูป เสียง กล่ิน รส และโผฏฐพั พะน้ัน ๆ, หรอื เมือ่ ยกขันธ์ ๕ ข้นึ กลา่ ว กก็ ำ� หนด
อยูใ่ นรปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ, ก�ำหนดให้รจู้ กั ลักษณะหนา้ ตาของสิ่งท่รี ้นู นั้ , จะยก
เพยี งขอ้ ใดขอ้ หนึง่ ข้นึ ก�ำหนดก็ได,้ ดงั เชน่ ในธาตุวิภงั คสตู ร ทา่ นสอนใหก้ �ำหนดธาตุ คอื ดนิ นำ้�
ไฟ ลม อากาศ ตามประเภท ตามลักษณะ ของธาตุน้นั ๆ ทงั้ ภายใน คือท่ปี ระกอบกนั เข้าเปน็
รปู กายน้ี ท้งั ภายนอก คือที่มีอยู่ในโลกธาตุ, ธาตุภายในแบ่งมาจากธาตภุ ายนอก แล้วก็กลับคืน
ไปเป็นธาตภุ ายนอก ถา่ ยเทกันไปมา, ต่อจากน้กี ก็ ำ� หนดพจิ ารณาใหเ้ หน็ ลักษณะท่ไี มเ่ ทย่ี ง เป็น
ทกุ ข์ มคี วามแปรปรวนไปเป็นธรรมดา และเปน็ อนตั ตา ไมใ่ ชต่ น ของสง่ิ เหลา่ นั้น จนเหน็ ตาม
เปน็ จริง, เมอ่ื เห็นตามเป็นจริง กย็ อ่ มละความยินดียินร้าย, รทู้ ว่ั ถงึ วิมุตติ ซงึ่ เป็นทดี่ บั ของอกุศล
บาปธรรมโดยไมเ่ หลอื , เมอื่ เสวยเวทนาอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ กไ็ มย่ นิ ดเี พลดิ เพลนิ ยดึ ถอื เปน็ เหตใุ ห้
ดับทุกข์ต่าง ๆ ได้ตามช้ันของความรู้, เม่ือละได้ดังนี้ก็ก�ำหนดรู้ความละน้ันให้รู้จักตามเป็นจริง,
จะกำ� หนดรู้ดังกลา่ วได้ ก็ด้วยปัญญาท่ที กุ คน อาจศึกษาอบรมใหเ้ กดิ ขนึ้ ได้ดว้ ยความไม่ประมาท,
เพราะฉะนั้น ใน ธาตุวภิ งั คสูตร ทา่ นจงึ สอนวา่ ปญฺ ํ นปปฺ มชฺเชยฺย ไม่ควรประมาทปัญญา,
เพราะเมื่อไม่ประมาท อบรมปญั ญาให้เกดิ ขนึ้ ในความรหู้ รอื สง่ิ ทรี่ ทู้ างอายตนะนน้ั แหละ ยอ่ มได้
ปัญญารู้ทั่วถึงสัจจะคือความจริง, เมื่อประสบความจริงก็ควรรักษาความจริงน้ันไว้, ท่านจึงสอน
ตอ่ ไปวา่ สจจฺ มนรุ กเฺ ขยยฺ ควรตามรกั ษาสจั จะ, และเมอื่ รคู้ วามจรงิ ดว้ ยปญั ญายอ่ มเปน็ เหตใุ หล้ ะ
หรือสละความเกย่ี วเกาะเป็นตน้ อันรวมเรียกวา่ อปุ ธิ ทีม่ เี มอ่ื ยงั ไม่รคู้ วามจริงดังกล่าว, การสละ
นน้ั ควรเพ่มิ พนู ให้มากข้นึ เสมอ ทา่ นจงึ สอนวา่ จาคมนพุ รฺ ูเหยฺย ควรเพิ่มพนู ความสละ, เม่ือสละ
ได้เท่าใดก็ย่อมได้สันติคือความสงบเท่านั้น, สันตินั้นควรศึกษาส�ำเหนียก ท่านจึงสอนต่อไปว่า
สนฺติเมว สิกเฺ ขยฺย ควรศึกษาสันติดงั น้.ี ธรรม ๔ ข้อ คือ ปัญญา สัจจะ จาคะ อุปสมะ หรือ
สนั ตดิ งั กลา่ ว เปน็ อธษิ ฐานธรรม คอื ธรรมทค่ี วรตง้ั ไวใ้ นใจ เพราะทำ� ใหก้ ำ� หนดรคู้ วามรหู้ รอื สงิ่ ทรี่ ู้
(ญาตปรญิ ญา) แลว้ พจิ ารณาจนรตู้ ามเปน็ จรงิ (ตรี ณปรญิ ญา) แลว้ สละหรอื ละความเกยี่ วเกาะได้

61

(ปหานปริญญา) เป็นเหตุให้รลู้ ว่ งช้นั ขนึ้ ไป เมือ่ รูล้ ่วงช้ันขน้ึ ไป กล็ ่วงทุกขข์ ึน้ ไปได้โดยลำ� ดบั จน
ส้นิ ทกุ ข์ด้วยประการทง้ั ปวง, ความรลู้ ่วงชั้นดังกลา่ ว จดั เปน็ วชิ ชา ความลว่ งชน้ั ขนึ้ ไป ดว้ ยความ
ร้นู นั้ จัดเป็นวมิ ุตตติ ามชัน้ แล.

ธาตรุ ู้ทีบ่ ริสทุ ธ์ิ

บรุ ษุ คอื คน เมอื่ ยงั ประมาทปญั ญา ไมใ่ ชป้ ญั ญากำ� หนดรคู้ วามรู้ หรอื สง่ิ ทรี่ ตู้ ามเปน็ จรงิ
ธาตุรู้ย่อมไม่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว, ต่อเมื่อไม่ประมาทปัญญา อบรมปัญญาให้เกิดขึ้น และใช้ปัญญา
กำ� หนดใหร้ ตู้ ามเปน็ จรงิ ดงั กลา่ ว ธาตรุ ยู้ อ่ มบรสิ ทุ ธผ์ิ อ่ งแผว้ , สมดงั คำ� ทพี่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั
แสดงไวใ้ นธาตวุ ภิ ังคสตู รโดยใจความว่า เม่อื คนพิจารณาเห็น ธาตุดนิ น�้ำ ไฟ ลม อากาศ ด้วย
ปญั ญาชอบตามเปน็ จรงิ วา่ นไ่ี มใ่ ชข่ องเรา เราไมเ่ ปน็ น่ี นไ่ี มเ่ ปน็ อตั ตาตวั ตนของเรา ดงั นแ้ี ลว้ จติ
ย่อมหน่าย ย่อมส้ินยินดีติดใจในธาตุเหล่านั้น, เมื่อเป็นเช่นน้ีจึงเหลือแต่ธาตุรู้ท่ีบริสุทธ์ิผ่องแผ้ว
คนยอ่ มรู้อะไร ๆ ด้วยธาตรุ ูน้ ้นั เมอ่ื นอ้ มออกมารู้เป็นวญิ ญาณ ผัสสะ เวทนา เปน็ ต้น ดังกลา่ ว
ข้างต้น, เมื่อเสวยเวทนาอย่างใด เป็นสุขกต็ าม เป็นทกุ ข์กต็ าม เปน็ กลาง ๆ ไม่ทุกขไ์ ม่สขุ กต็ าม
ยอ่ มรทู้ ว่ั ถงึ วา่ เรา เสวยเวทนาอยา่ งนนั้ และยอ่ มรทู้ วั่ ถงึ วา่ เวทนาอาศยั ผสั สะเกดิ ขนึ้ , เพราะผสั สะ
ดับ เวทนาก็ดับกส็ งบ, เหมอื นอยา่ งไม้ ๒ อันครูดสกี นั ย่อมเกดิ ไฟ, เพราะไม้ ๒ อันพรากกนั ไฟ
ย่อมไม่เกิดย่อมดับฉะนั้น, เม่ือรู้ท่ัวถึงฉะนี้ ก็เหลือแต่อุเบกขา (ความวางเฉยเป็นกลาง) อัน
บรสิ ทุ ธผ์ิ ดุ ผอ่ งสะอาดออ่ น ควรแกก่ ารงาน เหมอื นอยา่ งทองคำ� ในเบา้ ทหี่ ลอมไดท้ ดี่ แี ลว้ เปน็ ของ
สิ้นโทษ อ่อนควรแก่การงานและผุดผ่อง ควรเพ่ือจะท�ำทองรูปพรรณอย่างใดอย่างหน่ึงได้ตาม
ประสงค์ ผู้นนั้ ย่อมรทู้ ัว่ ถงึ วา่ ถ้าจะนอ้ มอุเบกขาทีบ่ ริสุทธ์สิ ะอาดเชน่ นี้ไปสอู่ รูปสมาบัติ อบรมจติ
ในอรูปสมาบัตินั้น อุเบกขาน้ี อาศัยยึดม่ันอยู่ในอรูปสมาบัตินั้น ก็พ่ึงต้ังอยู่ได้ตลอดกาลยึด
ยาวนาน, แต่วา่ ข้อน้กี ย็ งั เป็นสังขตะ๖ ผ้นู นั้ จึงไมป่ รงุ แตง่ เพือ่ ภพ๗ หรือเพ่อื วภิ พ๘ ไม่ยดึ ม่ัน
อะไร ๆ ในโลก, เมอื่ ไม่ยึดมั่นกไ็ ม่สะด้งุ กระเสอื กกระสน ย่อมดับ๙ เฉพาะตน.

๖ ธรรมทีป่ ัจจยั ปรุงซ่ึงมีเกดิ ดับและแปรปรวนเปน็ ธรรมดา
๗ ความเปน็ .
๘ ความไมเ่ ปน็ .

๙ ปรนิ ิพพาน.

62

อน่ึง ในพระสูตรน้ีท่านแสดงลักษณะของผู้ดับเฉพาะตน โดยความว่า ผู้นั้นเมื่อเสวย
เวทนาเป็นท่ีสุดชีวิต ย่อมรู้ทั่วถึงว่าเสวยเวทนาเช่นน้ัน และย่อมรู้ทั่วถึงว่าเมื่อชีวิตสิ้นไปเพราะ
กายแตกทำ� ลาย เวทนาทงั้ ปวงจักเยน็ สนิท คือดับในปัจจบุ ันน้นี ่ีแล เหมือนอยา่ งประทปี น้ำ� มนั ท่ี
อาศยั นำ�้ มนั และไสไ้ หมส้ วา่ งขนึ้ เมอื่ นำ้� มนั และไสส้ นิ้ ไป และไมเ่ พมิ่ เตมิ เขา้ ใหม่ ดวงไฟนนั้ กย็ อ่ ม
ดับไปฉะนั้น. ต่อจากนี้ท่านแสดงธรรม ๔ ข้อนั้น โดยอรรถอันประเสริฐอย่างย่ิงว่า ปัญญาคือ
ความหย่งั รใู้ นความสนิ้ ทุกข์ทั้งปวง สัจจะคอื นพิ พาน จาคะคอื ความสละอุปธทิ ั้งปวง อปุ สมะคือ
ความสงบระงบั ราคะ โทสะ โมหะ, ผตู้ ง้ั อยใู่ นธรรมเหลา่ นี้ ยอ่ มไมม่ มี านะ คอื ความสำ� คญั หมาย
อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ เป็นผู้รู้ทีเ่ รียกว่าผสู้ งบแล้วแล.

ตายเกดิ ตายสูญ

ตามนยั ปฏิจจสมุปบาท เม่ือมีอวชิ ชา ก็มีสังขาร มีวญิ ญาณเปน็ ต้นไป จนถึงมตี ณั หา มี
อปุ าทาน มภี พ มชี าติ, เมือ่ มีภพ มีชาติ กม็ ชี รา มีมรณะและโสกะ เปน็ ตน้ เปน็ เหตปุ ัจจัยของ
กนั และกนั ไปโดยลำ� ดบั , เพราะฉะนัน้ ปญั หาวา่ คนเกดิ อกี หรือสญู ไมเ่ กิดอีก จึงมีค�ำตอบตาม
หลกั ปฏจิ จสมุปบาทว่า เมื่อมีอวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน ก็มีภพมชี าติ คือ เกดิ อีก เม่ือไมม่ ีอวชิ ชา
ตณั หา อุปาทาน กไ็ มม่ ภี พ ไม่มีชาติ คอื ไมเ่ กิดอีก.
ถ้ามีปญั หาต่อไปว่า ถ้าไม่เกิดอกี เพราะไม่มอี วิชชา ตัณหา อุปาทาน (คอื พระอรหันต)์
ยอ่ มสูญหรอื ? ปัญหาน้ี ตอบได้ดว้ ยภาษติ ของพระสารบี ตุ รเถระ ท่กี ลา่ วแก่พระยมกะ๑๐ เกบ็
ความแสดงโดยย่อว่า พระยมกะเกิดทิฏฐิข้ึนว่า พระอรหันต์ขีณาสพตายสูญ คือ เบ้ืองหน้าแต่
ตายเพราะกายท�ำลายย่อมขาดสูญไป, ภิกษุทั้งหลายจึงขอให้ท่านพระสารีบุตรไปเปล้ืองทิฏฐินั้น
ทา่ นพระสารบี ตุ รจงึ เขา้ ไปหาพระยมกะกลา่ วถามและไดร้ บั ตอบวา่ มคี วามเหน็ เชน่ นน้ั แลว้ จงึ กลา่ ว
ถาม และพระยมกะไดก้ ลา่ วตอบดังต่อไปน.ี้
สา. ทา่ นเห็น รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ว่าเป็นพระตถาคต๑๑ หรือ ?
ย. ไมเ่ ห็นดังน้ัน.
สา. ท่านเห็นวา่ พระตถาคต (มี) ในรปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณหรือ ?
ย. ไมเ่ หน็ ดงั นน้ั .

๑๐ ส.ํ ขันธ. ๑๗/ ๑๓๓.
๑๑ ในที่นีห้ มายถึงพระอรหันต์.

63

สา. ทา่ นเห็นว่าพระตถาคต นอกจากรูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณหรอื ?
ย. ไมเ่ ห็นดังนั้น.
(ข้างตน้ น้ี ถามและตอบทลี ะขันธ์, ตอ่ ไปน้ี ถามและตอบรวม)
สา. ท่านเหน็ วา่ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ เป็นพระตถาคตหรอื ?
ย. ไมเ่ ห็นดังนั้น.
สา. ท่านเหน็ วา่ พระตถาคตไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไมม่ ีสญั ญา ไม่มีสังขาร
ไม่มวี ิญญาณหรือ ?
ย. ไมเ่ หน็ ดังนัน้ .
สา. เม่ือท่านไม่ไดพ้ ระตถาคตโดยจรงิ แท้ในทฏิ ฐธรรม๑๒ , ทา่ นควรจะกล่าวหรือวา่
พระอรหันต์ตายสญู ?
ย. เมื่อกอ่ นยงั ไมร่ ู้ จงึ มีทิฏฐิเช่นนัน้ กแ็ ตฟ่ ังธรรมของท่านพระสารบี ุตร
ละทิฏฐเิ สยี ไดแ้ ลว้ แลเขา้ ใจในธรรมแลว้ .
สา. ถ้าถูกถามว่าพระอรหันตต์ ายแล้วเปน็ อยา่ งไร จะพึงตอบวา่ อยา่ งไร ?
ย. จึงตอบอยา่ งน้วี ่า รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เทยี่ ง
สง่ิ ใดไมเ่ ที่ยง สิง่ น้นั เป็นทกุ ข์ สิ่งใดเปน็ ทกุ ข์ สงิ่ น้ันก็ดบั ถึงความไมต่ ง้ั อย่,ู
ถา้ ถูกถามก็พึงพยากรณอ์ ยา่ งน้ี.

ตามภาษติ ของพระสารบี ตุ รนแี้ สดงวา่ พระอรหนั ตไ์ มใ่ ชป่ ญั จขนั ธ์ เพราะฉะนนั้ จงึ ไมค่ วร
กล่าววา่ พระอรหนั ตต์ ายสญู , เพราะทเ่ี รียกวา่ ตายน้ัน หมายถงึ ปัญจขนั ธ์เทา่ น้ัน, ดังคำ� ทกี่ ล่าว
อธิบายมรณะว่า ขนฺธานํ เภโท ความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย, หรือดังค�ำที่เรียกในพระสูตรทั้ง
หลาย โดยมากว่า กายสฺส เภทา เพราะกายแตกท�ำลาย, และค�ำท่ีเรียกว่า พระอรหันต์
ขณี าสวะ หรอื พระตถาคต กเ็ ปน็ คำ� บญั ญตั อิ าศยั ปญั จขนั ธ์ ทา่ นจงึ แสดงโดยความวา่ พระอรหนั ต์
ไม่ใชป่ ญั จขนั ธ์ แตก่ ็ไม่นอกไปจากปญั จขนั ธ๑์ ๓ และพระอรหันต์ (ผยู้ ังมีชีวิต) ก็ยังมีปัญจขนั ธ,์
ปญั จขนั ธ์แตกทำ� ลายแลว้ พระอรหนั ต์กส็ ้ินบัญญตั วิ า่ อะไรสืบไป.

๑๒ ปจั จบุ ัน.
๑๓ จะเทียบไดก้ ับภาพถ่าย คือตัวภาพไมใ่ ชก่ ระดาษ (ทีบ่ นั ทึกภาพนน้ั ) แตก่ ไ็ มน่ อกไปจากกระดาษ,
หรอื เทียบกับถว้ ยลายคราม คือลายครามไม่ใชก่ ระเบอ้ื งถว้ ย แต่กไ็ มน่ อกไปจากกระเบื้องถว้ ย.

64


Click to View FlipBook Version