The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ชีวประวัติพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญญาคโม) แต่งโดย ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ และจักรกฤษณ์ มณีวรรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by panyabalo, 2021-07-18 11:45:54

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ชีวประวัติพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญญาคโม) แต่งโดย ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ และจักรกฤษณ์ มณีวรรณ์

Keywords: สรรนิพนธ์,คน,ศาสนา,คติธรรม,โลกกับธรรม,ชีวประวัติ,พระธรรมมงคลวุฒาจารย์,บุญยนต์ ปุญญาคโม,พระเทพสารเวที

ศาสนาและบ่อเกิดศาสนา

ศาสนา แปลวา่ คำ� สงั่ สอนหรอื คาํ สง่ั (ภายหลงั มที า่ นผชู้ า่ งคดิ แสดงวา่ คำ� สงั่ เปน็ พระวนิ ยั
คำ� สอนเปน็ ธรรมะ) และคงมมี าตงั้ แตแ่ รก มมี นษุ ยร์ วมอยดู่ ว้ ยกนั ตง้ั แตค่ รวั เรอื น ๑ ขน้ึ ไป. เพราะ
มารดาบิดาพึงสั่งสอนบุตรธิดา, ผู้ปกครองพึงสอนผู้อยู่ในปกครอง, ไม่ใช่เพ่ิงมีในภายหลังเมื่อ
มนษุ ย์อยู่ดว้ ยกันเป็นปกึ แผ่นแน่นหนาแลว้ , ศาสนาเช่นนน้ั ควรเรยี กว่า ศาสนาของมารดาบดิ า
หรอื ศาสนาของผปู้ กครอง, แตไ่ มไ่ ดเ้ รยี กกนั วา่ ศาสนา เพราะคงเหน็ วา่ เปน็ สามญั และเปน็ สว่ น
น้อย ๆ.
ศาสนาในเบอ้ื งตน้ กส็ อนธรรมดาโดยตรง ไมใ่ ชอ่ งิ ธรรมดา. ธรรมดานั้น กลา่ วโดยย่อก็
คือ ความเป็นไปตามเหตแุ ละผล, ส่วนคนจะรูถ้ ึงหรอื ไมก่ ต็ าม ธรรมดากค็ งเปน็ ไปตามธรรมดา
อยนู่ น่ั เอง. แตถ่ า้ ใครรถู้ งึ และทำ� ใหถ้ กู ตอ้ งตามธรรมดา กไ็ ดร้ บั ประโยชน,์ ถา้ ไมร่ ถู้ งึ ทำ� ไมถ่ กู ตอ้ ง
ก็เสอ่ื มประโยชน.์ ผู้สอนก็สอนธรรมดา ตามรตู้ ามเห็น ตามสามารถแหง่ ตน มีตวั อย่างทจี่ ะพงึ
เหน็ ได้ เชน่ มารดาบิดาหรือผู้ใหญไ่ ด้เคยรู้มาว่าไฟเปน็ ของร้อน และทำ� สง่ิ ที่ไฟเผาให้เปลยี่ นรส
และรปู เดมิ ได้ อาจเผาสง่ิ ทถี่ กู ตอ้ งไฟใหร้ อ้ นใหไ้ หมใ้ หล้ ะลายได้ เชน่ เผาเนอ้ื สตั วแ์ ละผลไมเ้ งา่ ไม้
(แตพ่ อเหมาะ) ให้สกุ เผาไม้ใหไ้ หม้เปน็ ถา่ นเถา้ เผาโลหะให้ละลาย ดงั น้ีเปน็ ตน้ . เพราะคนรู้
ธรรมดาเชน่ น้ี เมอื่ ตอ้ งการ จงึ เผาและหงุ ต้มเนอ้ื สตั ว์และผลไม้ ใบไม้ เง่าไม้ ให้เป็นอาหารบา้ ง
หลอมโลหะต่าง ๆ ให้ละลายแลว้ หล่อเป็นรปู ตา่ ง ๆ บา้ ง และส่ังสอนคนอนื่ ๆ ตอ่ ไปด้วยบอกให้
รู้บ้าง ด้วยท�ำให้เห็นเป็นตัวอย่างบ้าง. เพราะฉะน้ัน ค�ำสั่งสอนท่ีเป็นไปโดยตรงในช้ันต้น ก็คือ
สอนธรรมดานนั่ เอง ไม่ใช่อิงธรรมดา จงึ ใหส้ �ำเร็จประโยชนต์ ามสมควรแกภ่ าวะ.
ตอ่ มา เมื่อคนอยดู่ ว้ ยกันมากขึน้ ๆ เพราะอ�ำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มี
อยู่ และเพราะไมม่ คี วามละอายและสะดงุ้ หวาดตอ่ ความชวั่ จงึ เบยี ดเบยี นกนั และกนั ขึ้น มุ่งลา้ ง
ผลาญกนั บ้าง ท�ำรา้ ยกันบ้าง ถือเอาสง่ิ ของของกันบ้าง ประพฤติผดิ ประเพณใี นทางกามของกัน
บ้าง หลอกลวงกันให้เข้าใจผิดบ้าง เสพของเมาทำ� ตนเองใหเ้ ปน็ บา้ และไปเบยี ดเบียนผ้อู ่ืนเพราะ
ความเมาบา้ ง มีความประพฤตใิ กล้กับสตั วด์ ิรจั ฉานทไ่ี มม่ คี วามรผู้ ิดรูช้ อบ, เมอ่ื เป็นเช่นนี้ ก็เกิด
มีการตอบแทนและปอ้ งกนั กันและกันข้นึ ตา่ งกม็ ่งุ ร้ายจองเวรจองภัยต่อกนั ไป เบียดเบียนกนั ไป
เป็นอันไมอ่ ยู่ด้วยความสงบสขุ ตามสมควร. ท่านผูเ้ ปน็ หวั หน้าปกครองจงึ จำ� ต้องบัญญัตหิ า้ มการ

115

ฆา่ ตลอดถงึ ทำ� รา้ ยรา่ งกาย หา้ มการถอื เอาสงิ่ ของทเ่ี จา้ ของไมย่ นิ ยอมใหด้ ว้ ยพลการตนเอง หา้ ม
การประพฤตผิ ดิ ประเพณใี นทางกาม หา้ มการหลอกลวงกนั ใหเ้ ขา้ ใจผดิ หา้ มเสพของเมาทท่ี ำ� ผเู้ สพ
ใหม้ วั เมาประมาทเหลา่ นี้ ยง่ิ บา้ งหยอ่ นบา้ ง แลว้ แตค่ วามนยิ ม เพอื่ ระงบั ความมงุ่ รา้ ยเบยี ดเบยี น
กนั เพอื่ รกั ษาความสงบสขุ สำ� หรบั หม.ู่ เมอ่ื หมนู่ นั้ ๆ รวมกนั เขา้ เปน็ หมใู่ หญข่ นึ้ , การบญั ญตั หิ า้ ม
ความประพฤตชิ วั่ กข็ ยายออกไปตามอำ� นาจของผปู้ กครองทด่ี .ี ทา่ นกลา่ ววา่ พระเจา้ จกั รพรรดิ คอื
ทา่ นผปู้ กครองประชมุ ชนหมใู่ หญ่ กไ็ ดบ้ ญั ญตั สิ ง่ั สอนขน้ึ อนั ควรเรยี กวา่ จกั รพรรดศิ าสนา และ
เรยี กวา่ ศลี ๕ หมายความวา่ ความประพฤตเิ ปน็ ปกติ ไมเ่ บยี ดเบยี นตน เพราะไมท่ ำ� ตนใหเ้ ปน็
คนชวั่ ไมเ่ บยี ดเบยี นผอู้ น่ื เพราะทำ� ใหเ้ ขาเดอื ดรอ้ น ๕ ประการ. ถา้ นกึ อนมุ านดนู า่ จะสนั นษิ ฐาน
วา่ คำ� สงั่ สอนเชน่ นคี้ งมมี าตง้ั แตค่ นรวมกนั เปน็ หมหู่ นงึ่ ๆ กอ่ น ดงั กลา่ วแลว้ , แตอ่ าจจะยงิ่ หยอ่ น
กวา่ กนั ไมส่ มำ�่ เสมอ, เมอื่ หมนู่ น้ั ๆ รวมกนั เขา้ เปน็ หมใู่ หญท่ สี่ ดุ ทา่ นผเู้ ปน็ หวั หนา้ ใหญท่ ส่ี ดุ นน้ั จงึ
บญั ญตั ศิ าสนานน้ั ใหส้ มำ่� เสมอทวั่ ถงึ กนั . การบญั ญตั คิ ำ� สงั่ สอนนน้ั กม็ งุ่ เหตผุ ลคอื ธรรมดานน้ั เอง.
อนึ่ง เม่ือคนฉลาดมีปัญญาไตร่ตรองขึ้น ได้เห็นความเป็นไปของโลกท่ีอาศัยอยู่และของ
บคุ คล อนั เปน็ ไปตา่ ง ๆ นา่ พศิ วง เชน่ คงนกึ วา่ ทำ� ไมสงิ่ นน้ั จงึ เปน็ อยา่ งนนั้ สง่ิ นจี้ งึ เปน็ อยา่ งน้ี
ทำ� ไมคนนนั้ จงึ เปน็ อยา่ งนน้ั คนนจ้ี งึ เปน็ อยา่ งน.ี้ ขอ้ นก้ี ค็ งเปน็ เพราะรจู้ กั ธรรมดายงั ไมพ่ อ ธรรมดา
อนั ใดละเอยี ดเหน็ ยากเหลอื วสิ ยั กห็ มดสามารถ, แตก่ ค็ งอยากรู้ จงึ อาจมผี อู้ วดวา่ เปน็ ผรู้ ขู้ น้ึ เพราะ
หวงั จะใหเ้ ขานบั ถอื และหวงั ประโยชนอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ จงึ แสดงเรอ่ื งราวและความเปน็ ไปของโลก
ตลอดถงึ คนและสตั ว;์ ดว้ ยอา้ งวา่ มผี สู้ รา้ งและผบู้ นั ดาลเปน็ ตวั เปน็ ตน เทยี บตวั อยา่ งถงึ สงิ่ ของทคี่ น
สรา้ งขนึ้ วา่ ถา้ ไมม่ คี นทำ� สง่ิ ของนนั้ ๆ จะมขี น้ึ อยา่ งไร และอา้ งวา่ ตนเปน็ ผมู้ าแทนหรอื มาจาก
ท่านผู้สร้างผู้บันดาลน้ัน อาจส่ือศาส์นถึงท่าน ขอให้ท่านช่วยได้, ถ้าใครอยากได้ดีได้สุข ก็ต้อง
ออ้ นวอนพระผสู้ รา้ งผบู้ นั ดาล, ถา้ ทา่ นโปรดทา่ นกช็ ว่ ย และสอนใหท้ ำ� พธิ อี อ้ นวอนหรอื ปฏบิ ตั กิ าร
ตา่ ง ๆ ดว้ ยอา้ งวา่ ทา่ นผสู้ รา้ งผบู้ นั ดาลชอบอยา่ งนนั้ เกลยี ดอยา่ งน.ี้ ผฟู้ งั เมอ่ื ไมร่ ไู้ มเ่ หน็ อยา่ งอน่ื ยงิ่
ขน้ึ ไปกต็ อ้ งเชอ่ื , แมใ้ นชน้ั ตน้ มคี นเชอ่ื ถอื นอ้ ย แตเ่ มอ่ื สบื ตอ่ กนั ไปหลาย ๆ ชวั่ เขา้ กม็ ผี ถู้ อื ตาม ๆ
กนั มากขน้ึ และแพรห่ ลายไปถงึ คนพวกอน่ื . ในบดั น้ี จงึ มผี นู้ บั ถอื และแสดงเรอ่ื งศาสนาตา่ ง ๆ กนั
ไปเปน็ หลายพวก, ในพวกหนง่ึ ๆ กย็ งั แยกออกไปอกี เปน็ หลายนกิ าย, ผเู้ คยถอื ศาสนาและนกิ าย
ไหน กอ็ า้ งวา่ ศาสนาและนกิ ายนนั้ จรงิ แท,้ ศาสนาและนกิ ายอนื่ ผดิ , เปน็ อนั ลงกนั ไมไ่ ด,้ ตา่ งฝา่ ย
กต็ า่ งปรกั ปรำ� กนั และกนั . สว่ นศาสนาไหนจะถกู ตอ้ งตามธรรม อยา่ งไหนไมถ่ กู แลว้ แตผ่ มู้ ปี ญั ญา
จะวนิ จิ ฉยั . แตผ่ วู้ นิ จิ ฉยั ควรตง้ั ตนใหเ้ ปน็ กลางเสยี กอ่ น และควรวนิ จิ ฉยั ดว้ ยมงุ่ ธรรม คอื ความถกู
ตอ้ งตามเหตผุ ล ไมเ่ ชน่ นน้ั การวนิ จิ ฉยั อาจลำ� เอยี งไปตามความเชอื่ เดมิ .
116

แมจ้ ะผดิ หรอื ถกู อยา่ งไรกต็ าม คำ� สอนนนั้ ๆ กย็ อ่ มใหส้ ำ� เรจ็ ประโยชนแ์ กค่ นผนู้ บั ถอื ใน
ยคุ นนั้ ๆ ไดบ้ า้ ง เพราะยอ่ มทำ� ใหอ้ นุ่ ใจไมว่ า้ เหวท่ ง้ั ในเวลาเปน็ อยทู่ งั้ ในเวลาทจ่ี ะตาย. แมใ้ นบดั น้ี
มใี นบางประเทศบงั คบั ใหย้ กเลกิ การนบั ถอื ศาสนา (พระเจา้ ) แตก่ ย็ งั ใหน้ บั ถอื คำ� สงั่ สอนของหวั หนา้
ซงึ่ เปน็ ลทั ธกิ ารเมอื งอยา่ งหนงึ่ ซงึ่ กน็ บั วา่ เปน็ ศาสนาสว่ นหนงึ่ อยนู่ นั่ เอง. แตน่ า่ สงสยั วา่ การทยี่ งั
เปน็ อยเู่ ชน่ นน้ั ได้ กเ็ พราะยงั มกี ารปน่ั ใหเ้ กดิ อลหมา่ นกนั ขนึ้ อยทู่ งั้ การภายในทงั้ การภายนอก, ถา้
สงบลงเมอื่ ไร กน็ า่ จะมผี สู้ นใจคน้ หาศาสนาทเี่ หน็ วา่ จะชว่ ยใหไ้ ดส้ ขุ ในภายหนา้ ขน้ึ อกี และกป็ รากฏ
วา่ เปน็ เชน่ น,ี้ เพราะคนยงั เชอ่ื วา่ ตายแลว้ ตอ้ งเกดิ อกี เปน็ อนั มาก ถงึ มคี นเหน็ วา่ ตายสญู อยบู่ า้ ง ก็
มสี ว่ นนอ้ ย, จงึ มผี แู้ สวงหาทพ่ี ง่ึ และนบั ถอื ศาสนา.
ศาสนาแมไ้ มใ่ ชก่ ารอาชพี โดยตรง, แตศ่ าสนาทด่ี ี ยอ่ มเปน็ อปุ การะการอาชพี ใหด้ ำ� เนนิ ไป
ในทางทด่ี ี และทำ� คนใหเ้ ปน็ คนดี วางใจกนั ไดเ้ ปน็ ตน้ . คนทไี่ มม่ ศี าสนายากทจ่ี ะไวว้ างใจกนั เพราะ
ไมม่ หี ลกั ในใจเสยี เลย จงคดิ ดเู ถดิ .
ศาสนาแปลวา่ คำ� สง่ั สอน. พระพทุ ธศาสนา กค็ อื คำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธะ ทา่ นผรู้ แู้ ลว้
(ไมใ่ ชต่ นื่ เตน้ ) เพราะไมห่ ลงไปตามอารมณน์ น้ั ๆ ทมี่ าประสบ หมายเอาพระสมั มาสมั พทุ ธะ ทา่ น
ผรู้ ชู้ อบเองกอ่ นกวา่ ผอู้ นื่ ในยคุ นนั้ , ครสิ ตศาสนา กแ็ ปลวา่ คำ� สงั่ สอนของพระครสิ ต์ หรอื ไครสั ต์
ซง่ึ เปน็ นามของพระเยซ,ู โมหะมดั ศาสนา หรอื ศาสนาโมหะมดั กแ็ ปลวา่ คำ� สงั่ สอนของพระโมหะมดั
ซง่ึ พวกทนี่ บั ถอื ๆ วา่ เปน็ ผมู้ าจากพระเจา้ , และ ศาสนาพราหมณ์ กแ็ ปลวา่ คำ� สงั่ สอนของพวกที่
ถอื พระพรหมวา่ เปน็ พระเจา้ .
ในครสิ ตศาสนาแสดงวา่ ทา่ นผเู้ ปน็ สาวกวเิ ศษในศาสนาเขยี นขน้ึ ไว้ และอา้ งวา่ เขยี นขนึ้
ดว้ ยพระเจา้ ดลใจใหเ้ ขยี น. ทา่ นผเู้ ขยี นนน้ั หลายคนดว้ ยกนั ตา่ งคนกต็ า่ งเขยี น และตา่ งคนกอ็ า้ งวา่
พระเจา้ ดลใจใหเ้ ขยี นเหมอื นกนั แตข่ อ้ ความกไ็ มล่ งกนั บา้ ง, เชน่ พระคมั ภรี เ์ กา่ กลา่ ววา่ พระเจา้
เป็นตัวเป็นตน ร้องส่ังลงมาจากฟ้าให้ท�ำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พระคัมภีร์ใหม่แก้ว่า พระเจ้าเป็น
นามธรรม (Spirit) เปน็ ตน้ .
สว่ นศาสนาโมหะมดั นนั้ ดเู หมอื นแสดงวา่ พระโมหะมดั ฝนั ไปวา่ พระอลั ลา่ ห์ (Allah)
แสดงพระคมั ภรี อ์ นั ศกั ดส์ิ ทิ ธใ์ิ หเ้ หน็ , พระโมหะมดั จำ� มาจากฝนั แลว้ ใหจ้ ารกึ ไวเ้ ปน็ พระคมั ภรี เ์ ปน็
คราว ๆ.
สว่ นพระพทุ ธศาสนาแสดงวา่ ตง้ั แตพ่ ระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงธรรมสงั่ สอน, พระสาวกได้
ฟงั แลว้ จำ� ๆ ไว,้ ภายหลงั พระอานนทพ์ ทุ ธอปุ ฏั ฐากไดท้ ลู ขอพรแดพ่ ระพทุ ธเจา้ วา่ ถา้ ไดท้ รงแสดง
ธรรมอนั ใดในทล่ี บั หลงั พระอานนท์ ขอไดโ้ ปรดทรงแสดงธรรมนน้ั แกพ่ ระอานนทอ์ กี คราวหนงึ่ .

117

พระพทุ ธเจา้ กท็ รงรบั . เพราะฉะนน้ั พระอานนทจ์ งึ จำ� พระพทุ ธศาสนาสว่ นพระธรรมไวไ้ ด,้ ถงึ พระสาวก
อน่ื ๆ กท็ รงจำ� ไวไ้ ด้ แตไ่ มม่ ชี อ่ื ปรากฏเหมอื นพระอานนท.์ เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ นพิ พานแลว้ พระมหาเถระ
เกรงวา่ พระพทุ ธศาสนาจะฟน่ั เฟอื น จงึ พรอ้ มกนั ชว่ ยกนั ตรวจตรารอ้ ยกรองเขา้ เปน็ ระเบยี บ เรยี ก
สงั คายนาเปน็ คราว ๆ มา จนถงึ จารกึ ลงในใบลานทล่ี งั กาทวปี . สว่ นทม่ี าปรากฏในประเทศสยาม
ทา่ นนกั ปราชญท์ างโบราณคดสี นั นษิ ฐานวา่ สบื มาทางพระโสณะและพระอตุ ตระ ซง่ึ ทางศาสนประวตั ิ
กลา่ ววา่ มาแผพ่ ระพทุ ธศาสนาทางสวุ รรณภมู ิ
ศาสนาพราหมณก์ ม็ พี ระคมั ภรี ์ ไดค้ วามจากผถู้ อื พระพรหมเปน็ ใหญผ่ หู้ นง่ึ วา่ เมอ่ื พระพรหม
สรา้ งโลกและสง่ิ ตา่ ง ๆ เสรจ็ แลว้ ไดส้ รา้ งฤษี ๑๐ ตนเรยี กวา่ พรหมบตุ ร และเลา่ เรอื่ งการสรา้ งนนั้
ใหฤ้ ษี ๑๐ ตนนนั้ ฟงั เพอ่ื ไดน้ ำ� มาบอกเลา่ แกผ่ อู้ น่ื ในภายหลงั , ฤษี ๑๐ ตนนน้ั จะไดบ้ อกเลา่ เรอ่ื ง
นน้ั แกใ่ ครตอ่ ไป จนถงึ ไดเ้ รยี บเรยี งเปน็ ตำ� ราขนึ้ และใครเปน็ ผเู้ รยี บเรยี งคนแรก ผนู้ นั้ กไ็ มท่ ราบ.
สว่ นพวกทถ่ี อื พระศวิ ะเปน็ ใหญ่ กแ็ สดงวา่ พระศวิ ะสรา้ ง และพวกทถี่ อื พระพษิ ณเุ ปน็ ใหญ่ กแ็ สดง
วา่ พระพษิ ณสุ รา้ ง; แตพ่ วกทถี่ อื พระพรหมเปน็ ใหญ่ ทเี่ รยี กวา่ พราหมณ์ (หมายความวา่ เผา่ พนั ธ์ุ
แหง่ พรหม) อา้ งวา่ พระศวิ ะและพระพษิ ณุ ไมใ่ ชต่ วั พระเปน็ เจา้ เปน็ แตภ่ าคพระเดชและพระคณุ
ของพระพรหมเทา่ นน้ั , ผไู้ มเ่ ขา้ ใจภายหลงั ยกเอาพระเดชและพระคณุ ของพระพรหม ตง้ั ขน้ึ เปน็
พระเปน็ เจา้ อกี สอง จงึ เปน็ พระเปน็ เจา้ ทง้ั สาม. เรอื่ งนกี้ น็ า่ จะเปน็ ไปได้ เพราะเรอ่ื งราวทป่ี รากฎเกย่ี ว
เข้ามาในทางพุทธศาสนา ในข้ันต้นก็มีแต่กล่าวถึงพระพรหม ไม่ปรากฏว่ากล่าวถึงพระศิวะและ
พระพษิ ณุ พระศวิ ะและพระพษิ ณพุ งึ ปรากฏในภายหลงั .
เขา้ ใจวา่ ครสิ ตศาสนา ศาสนาโมหะมดั และศาสนาพราหมณห์ รอื พรหม ถงึ มนี ามพระเจา้
ตา่ ง ๆ กนั คอื ครสิ ตศาสนา แสดงวา่ พระยะโฮวาเปน็ พระเจา้ , ศาสนาโมหะมดั แสดงวา่ พระอลั ลา่ ห์
เป็นพระเจ้า, ศาสนาพราหมณ์ กล่าวว่าพระพรหมหรือพระศิวะหรือพระพิษณุด้วยเป็นพระเจ้า,
แตเ่ คา้ ความกค็ งเปน็ รอยเดยี วกนั คอื แสดงยนื ยนั วา่ พระเจา้ นนั้ ๆ เปน็ ผสู้ รา้ งโลก สรา้ งมนษุ ย์
สรา้ งสตั วต์ า่ ง ๆ ตลอดถงึ สง่ิ ตา่ ง ๆ เชน่ ภเู ขา ตน้ ไม้ เปน็ ตน้ และคอยปกครองรกั ษาสงิ่ ทท่ี า่ น
สรา้ งใหเ้ ปน็ ไปโดยเรยี บรอ้ ย คอยลงโทษผทู้ ำ� ผดิ ดว้ ยทรงบนั ดาลใหถ้ งึ ความทกุ ขต์ า่ งๆ คอยบำ� เหนจ็
รางวลั แกผ่ ทู้ ำ� ชอบถกู พระหฤทยั พระเจา้ ดว้ ยทรงบนั ดาลใหไ้ ดส้ งิ่ ทป่ี ระสงคส์ ำ� เรจ็ หรอื ไดค้ วามสขุ
ส�ำราญในปัจจุบันบ้าง ให้ไปตกนรกหรือไปขึ้นสวรรค์ในเมื่อตายแล้วบ้าง โปรดคนท่ีนับถือและ
อ้อนวอนพระองค์ กริ้วหรือเกลียดคนที่ไม่นับถือพระองค์, ถ้าคนที่นับถือพระองค์ไปเบียดเบียน
ขม่ เหงพวกถอื ศาสนาอนื่ เชน่ ฆา่ ทำ� รา้ ยรา่ งกาย หรอื ทำ� ลายทรพั ยส์ มบตั ขิ องเขา หรอื แยง่ เอา
เสยี พระองคก์ โ็ ปรด ผทู้ ำ� เชน่ นนั้ ไมผ่ ดิ , พระองคโ์ ปรดใหข้ น้ึ สวรรคไ์ ปอยกู่ บั พระองค,์ เหตกุ ารณ์
118

อะไรเปน็ ไปตา่ ง ๆ เชน่ โรคภยั ไขเ้ จบ็ หรอื ฝนตกฟา้ รอ้ ง นำ�้ มากนำ�้ นอ้ ย เปน็ ตน้ กว็ า่ เปน็ เพราะ
พระเจา้ ทรงบนั ดาลทงั้ นนั้ . พระเยซคู รสิ ตเ์ ปน็ ผมู้ าจาก หรอื มาแทนพระยะโฮวา พระโมหะมดั มา
จากหรอื มาแทนพระอลั ลา่ ห์ สว่ นในศาสนาพราหมณว์ า่ พระพษิ ณเุ ปน็ เจา้ ไดอ้ วตารมาเปน็ คนบา้ ง
สตั วบ์ า้ ง เพอ่ื ปราบปรามผทู้ ำ� ผดิ หลายคราว.
สว่ นในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธเจา้ ไมท่ รงแสดงเรอ่ื งโลกหรอื การสรา้ งโลกโดยตรงเลย
ทรงแสดงแตส่ ขุ ทกุ ขแ์ ละเหตแุ หง่ สขุ และทกุ ขม์ ปี ระการตา่ ง ๆ ใหผ้ ฟู้ งั ใชป้ ญั ญาตรองตามโดยเหตุ
และผล ใหไ้ ดค้ วามรู้ ความเขา้ ใจดว้ ยตนเองแลว้ จงึ เชอื่ ไมไ่ ดท้ รงบงั คบั กดขใ่ี หเ้ ชอื่ ดว้ ยไมเ่ ขา้ ใจ,
และทรงแสดงว่า ความดีหรือความช่ัวตนเองท�ำแก่ตนเอง พระองค์เป็นผู้บอกหนทางให้ด�ำเนิน
เทา่ นนั้ จะตกนรกหรอื ขน้ึ สวรรค์ กเ็ พราะกรรมทตี่ นทำ� ไว,้ พระองคไ์ มไ่ ดเ้ กลยี ดโกรธใครหรอื รกั
ใคร แตม่ พี ระกรณุ าหวงั สขุ ประโยชนแ์ กเ่ ขาทกุ ถว้ นหนา้ , ถงึ คนผนู้ บั ถอื พระองค์ ถอื ศาสนาของ
พระองค์ ไปขม่ เหงเบยี ดเบยี นคนถอื ศาสนาอน่ื ตลอดถงึ สตั วก์ ค็ งเปน็ บาปทงั้ นนั้ , เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ
ทเ่ี ปน็ ไปกเ็ ปน็ ไปตามเหตผุ ลและตามธรรมดา, พระองคไ์ มไ่ ดเ้ ปน็ ผมู้ าแทนใคร หรอื มาจากพระเจา้
องคใ์ ด, เมอ่ื กอ่ นแตต่ รสั รพู้ ระองคก์ เ็ ปน็ ผคู้ รองเรอื น ยงั ไมเ่ ปน็ พระพทุ ธเจา้ แตอ่ าศยั พระสตแิ ละ
พระปญั ญา จงึ ไดต้ รสั รจู้ รงิ เหน็ จรงิ ขน้ึ .
ในศาสนาโมหะมัดแสดงว่า คนท่ีเกิดมาแล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป และจะตายอย่างไร
เมอื่ ไร กม็ ปี ระวตั ลิ ขิ ติ ไวท้ พ่ี ระแทน่ หนิ อนั ใหญโ่ ตของพระอลั ลา่ หบ์ นสวรรค์ เสรจ็ แลว้ , ใครจะเปน็
อย่างไรผิดไปจากลิขิตนั้นไม่ได้เป็นอันขาด และดูเหมือนกล่าวว่า ตราไว้ท่ีหน้าผากด้วย. ถึงใน
ศาสนาพราหมณก์ ว็ า่ มี เรยี กวา่ พรหมลขิ ติ , แตด่ เู หมอื นหมายเอากำ� หนดทส่ี ดุ ชวี ติ และจะตราไว้
ทห่ี นา้ ผากหรอื ทไ่ี หนไมท่ ราบ.
เรอื่ งศาสนาอน่ื ๆ จกั ไมก่ ลา่ วละเอยี ด จกั กลา่ วจำ� เพาะพระพทุ ธศาสนา และเพยี งบาง
ประการ.
ในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงวา่ เหตแุ ละผลเนอื่ งถงึ กนั คอื เมอื่ เหตทุ ป่ี ระกอบ
เชน่ ไรกเ็ ผลด็ ผลเชน่ นนั้ กลา่ วคอื ทรงสงั่ สอนใหร้ ธู้ รรมดานน่ั เอง.
ธรรมดา นนั้ กค็ อื ความเปน็ ไปตามเหตแุ ละผลดงั กลา่ วแลว้ แตก่ แ็ ยกเปน็ ๒ คอื เปน็ สว่ น
ภายนอกสำ� หรบั โลกธาตกุ ม็ ี เปน็ สว่ นภายในสำ� หรบั บคุ คลกม็ :ี สว่ นทเ่ี ปน็ ภายนอกนน้ั ถา้ บคุ คล
รจู้ กั กอ็ าจประกอบเหตใุ หเ้ หมาะ และไดผ้ ลสมประสงค์ เชน่ ทำ� เครอื่ งจกั รกลใหส้ ำ� เรจ็ เปน็ ยาน
พาหนะเปน็ ตน้ ได.้ แตธ่ รรมดา คอื ความเปน็ ไปตามเหตผุ ลในภายนอกนนั้ ถงึ คนจะรแู้ ละประกอบ
ใหม้ ากขนึ้ เพยี งไร กเ็ ปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนส์ ขุ กไ็ ด้ เพอื่ โทษทกุ ขก์ ไ็ ด,้ จะกลา่ ววา่ เปน็ ไปเพอ่ื ประโยชน์

119

สขุ โดยส่วนเดียวหาไดไ้ ม่. เพราะถา้ บุคคลเป็นคนดี กพ็ ึงน�ำสง่ิ ทปี่ ระกอบขึน้ นัน้ ไปใช้ในทางที่ดี
ท่ีเป็นไปเพ่ือประโยชน์ตนและผู้อื่น, ถ้าบุคคลเป็นคนชั่ว ก็อาจน�ำไปใช้ในทางช่ัว ที่เป็นไปเพื่อ
เบยี ดเบยี นตนและผอู้ นื่ และไมม่ ที สี่ ดุ วา่ จะเปน็ ไปเพยี งไร ทง้ั ยงั ไมเ่ คยปรากฏวา่ เปน็ ไปเพอื่ ความ
สงบสุขได้เลย. เพราะเหตุน้ีกระมัง จึงมิได้เรียกค�ำส่ังสอนในธรรมดาส่วนนี้ว่า ศาสนา. ส่วน
ธรรมดาคอื ความเปน็ ไปตามเหตผุ ลภายในคือท่ีบุคคลน้นั กย็ งั เปน็ ๒ ประการ คือ เป็นสว่ นช่ัว
๑ เปน็ สว่ นดี ๑: ธรรมดาสว่ นชว่ั ยอ่ มเปน็ ไป เพือ่ ความไมส่ งบสขุ หรอื เป็นไปเพ่อื ทกุ ข์ ย่ิงบ้าง
หย่อนบ้าง ตามความที่บุคคลได้ประกอบท�ำข้ึนย่ิงหรือหย่อน; ธรรมดาส่วนดี ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความสงบสขุ ยิง่ บา้ งหยอ่ นบา้ ง ตามความท่ีบคุ คลประกอบทำ� ขึน้ กว่าจะถงึ ท่ีสุด, แตบ่ างอยา่ งก็
ลลี้ ับรเู้ หน็ ไดย้ าก. ธรรมดา คอื ความเป็นไปตามเหตุและผลภายในนั้นแลเป็นสำ� คัญ เพราะทำ�
บุคคลใหเ้ ป็นคนดหี รอื ใหเ้ ปน็ คนชัว่ ก็ได้ ใหเ้ ปน็ ไปเพือ่ ความสงบสขุ หรือเปน็ ไปเพอื่ โทษทกุ ขก์ ็ได้,
เพราะเหตนุ ีก้ ระมัง จงึ เรยี กคำ� สงั่ สอนในธรรมดาส่วนนว้ี ่า ศาสนา.
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงคำ� สงั่ สอน ซงึ่ เรยี กวา่ พทุ ธศาสนา กท็ รงแสดงธรรมดา
ภายในเป็นพ้ืน; ส่วนใดท่ีแม้เขาบัญญัติมาแล้ว ถ้าถูกต้องและเพื่อความสงบสุข พระองค์ก็ทรง
รบั รองไมค่ ดั คา้ น, แตถ่ า้ สว่ นใดไมถ่ กู ตอ้ งและเพอื่ โทษและทกุ ข์ พระองคก์ ท็ รงแกไ้ ขเปลย่ี นแปลง
และทรงบญั ญตั ใิ หม่ และทรงแนะนำ� ใหพ้ ยายามละธรรมดาสว่ นชว่ั เสยี ใหป้ ระกอบธรรมดาสว่ นดี
ต้ังแตเ่ บ้ืองตน้ เปน็ ล�ำดบั ขน้ึ ไปมปี ระการเปน็ อันมาก; และทรงแสดงว่าบคุ คลอาจทำ� ได้ ถ้าไม่อาจ
ทำ� ไดพ้ ระองคก์ ไ็ มท่ รงแสดง และเมอื่ ทำ� ตามไดก้ ย็ อ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความสงบสขุ ไมเ่ ปน็ ไปเพอื่ ทกุ ข์
ถ้าไมเ่ ชน่ น้ันกไ็ มท่ รงแสดง.
ในชน้ั ตน้ ทรงสง่ั สอนในประโยชนป์ จั จบุ นั , ในชนั้ กลาง ทรงสงั่ สอนในประโยชนภ์ ายหนา้ ,
ในชั้นสูง ทรงแสดงให้รู้เห็นตามเป็นจริง เพื่อปล่อยวางความยึดถือส่วนที่ไม่เป็นจริงเสีย. ผู้มุ่ง
ศกึ ษาจงึ อา่ นดใู นหนงั สอื ทที่ า่ นผรู้ เู้ รยี บเรยี งไว้ เชน่ หนงั สอื นวโกวาท เปน็ ตน้ และสดบั ฟงั ไตถ่ าม
ผู้รู้ตามกาล.

120

ศาสนากบั คน

เม่ือได้ออกช่ือถงึ คำ� ว่า “ศาสนา” มาแลว้ จงึ จะกลา่ วถงึ ความของคำ� ว่า “ศาสนา” นั้นสัก
เลก็ นอ้ ย พอให้เด็ก ๆ ท่ียงั ไมเ่ คยคิดไม่เคยนึก เข้าใจความบ้าง.
ศาสนาคอื “คาํ สัง่ สอน” ท่านผใู้ ดเป็นตน้ เดมิ เป็นผบู้ ญั ญัตสิ ัง่ สอน ก็เรยี กว่าศาสนาของ
ทา่ นผนู้ น้ั หรอื ทา่ นผบู้ ญั ญตั สิ งั่ สอนนนั้ ไดน้ ามพเิ ศษอยา่ งไร กเ็ รยี กชอ่ื ศาสนานน้ั อยา่ งนนั้ เพราะ
ฉะน้ันศาสนาจงึ มมี าก ค�ำสอนก็ตา่ งกัน:
บางศาสนาสอนใหป้ ระพฤตทิ รกรรมกาย ใหไ้ ดค้ วามลำ� บากตา่ ง ๆ อยา่ งแรงถงึ กบั เผาตวั
เพือ่ บชู าพระเปน็ เจา้ ซงึ่ เรียกวา่ “อตั ตกลิ มถานุโยค” เม่ือใครท�ำดังนั้น ถา้ พระเปน็ เจ้าโปรด ก็
ประทานพรใหไ้ ด้สำ� เร็จความปรารถนา; เม่อื ตายกไ็ ด้ไปสวรรค.์
บางศาสนาสอนให้อ้อนวอนพระเป็นเจ้าเพ่ือทรงช่วยให้พ้นทุกข์ และได้ประสบสุข:
ถงึ ผใู้ ดไดท้ ำ� ชวั่ รา้ ยหรอื ผดิ ตา่ ง ๆ อยา่ งไร เมอ่ื ไดล้ แุ กโ่ ทษ และออ้ นวอนขอใหพ้ ระผเู้ ปน็ เจา้ โปรด
ชว่ ยรบั บาปทตี่ นทำ� เสยี แลว้ กเ็ ปน็ อนั พน้ โทษ และถา้ ใครไดป้ ระทษุ รา้ ยศาสนาอน่ื ดว้ ยเหน็ วา่ เปน็
ศตั รแู กพ่ ระเปน็ เจา้ หรอื แกศ่ าสนาพระเปน็ เจา้ นนั้ แลว้ กเ็ ปน็ อนั ไดท้ ำ� ความชอบตอ่ พระเปน็ เจา้ ๆ
โปรดปราน. ผทู้ น่ี บั ถอื และทำ� ตามนนั้ ถา้ พระเปน็ เจา้ โปรด, เมอื่ ตายกโ็ ปรดใหไ้ ปอยบู่ นสวรรคก์ บั
พระผู้เป็นเจ้า.
บางศาสนาสอนใหป้ ระพฤตดิ ปี ระพฤตชิ อบดว้ ยกายวาจาใจ ละการประพฤตชิ ว่ั ประพฤตผิ ดิ ดว้ ย
กายวาจาใจ ไมใ่ หเ้ บยี ดเบยี นตนและผอู้ น่ื ; เมอ่ื ใครประพฤตดิ ปี ระพฤตชิ อบ กไ็ ดร้ บั ความสขุ , เมอ่ื ใคร
ประพฤตชิ ว่ั ประพฤตผิ ดิ กไ็ ดร้ บั ความทกุ ข์ ทงั้ ชาตนิ แ้ี ละชาตอิ น่ื ใครทำ� ดี กไ็ ดร้ บั ผลดี ใครทำ� ชวั่ กไ็ ด้
รบั ผลชว่ั จำ� เพาะตวั เอง, ใครจะชว่ ยรบั บาปและอำ� นวยบญุ เพอื่ ผอู้ นื่ ไมไ่ ด;้ และชที้ างดที างชอบใหด้ ำ� เนนิ
เพอื่ ไดป้ ระสบสขุ ชท้ี างชว่ั ทางผดิ ใหล้ ะเสยี เพอ่ื ไดพ้ น้ ทกุ ขแ์ กผ่ เู้ ชอื่ ฟงั และตรติ รองตาม.
ศาสนาทอี่ า้ งวา่ มพี ระผเู้ ปน็ เจา้ คอยประทานความชอบเมอ่ื โปรดและคอยลงโทษเมอ่ื กรวิ้ เปน็
ศาสนาทมี่ ผี สู้ รา้ ง คอื สรรพสง่ิ ตา่ ง ๆ ตลอดถงึ สตั วม์ ชี วี ติ และโลก เปน็ ของทพ่ี ระเปน็ เจา้ ทรงสรา้ งทงั้ นน้ั .
ศาสนาทแี่ สดงวา่ ใครทำ� ดกี ไ็ ดร้ บั ผลดี ใครทำ� ชวั่ กไ็ ดร้ บั ผลชว่ั เปน็ ศาสนาทไี่ มม่ ผี สู้ รา้ ง คอื
สรรพสงิ่ ตา่ ง ๆ สำ� หรบั โลก ตลอดถงึ สตั วม์ ชี วี ติ และโลก เปน็ ของทเี่ กดิ มขี นึ้ เองตามธรรมดา ตามเหต.ุ
การตัดสนิ วา่ “ศาสนาใดดี ศาสนาใดช่ัว ศาสนาใดถกู ศาสนาใดผิด” ไมส่ มควรมใี นที่น้ี
ดว้ ยผทู้ นี่ บั ถอื ศาสนามตี า่ ง ๆ กนั , ถา้ จะวา่ ศาสนาใดถกู และดี ผนู้ บั ถอื ศาสนาอน่ื ไมน่ บั ถอื ศาสนานนั้

121

ก็จะไม่เห็นด้วยและจะคัดค้าน; ถ้าจะช้ีแจงให้ยืดยาวก็จะเป็นอันไม่รู้จักจบได้ง่าย เพราะฉะน้ัน
จะกล่าวถึงแตผ่ ทู้ ่ีนบั ถอื ศาสนาดว้ ยอาการต่าง ๆ กนั :
โดยมาก คนถือศาสนาย่อมเป็นไปตามตระกลู และชาติ คือ ตระกูลและชาติของใครได้
ถือศาสนาอะไรสืบตอ่ กนั มา คนทเ่ี กิด ณ ตระกลู น้นั ณ ชาตนิ ้นั กน็ บั ถอื ศาสนานั้น.
บางพวกถือศาสนาดว้ ยไดต้ รกึ ตรองสอบสวนเทียบเคียงดศู าสนาตา่ ง ๆ ด้วยปญั ญาของ
เขา; เมอ่ื เขาเหน็ วา่ ศาสนาใดเปน็ ดเี ปน็ จรงิ ชอบใจเขา, เขากน็ บั ถอื ศาสนานนั้ ถงึ ตระกลู และชาติ
ของเขาจะเคยถือศาสนาอะไร กไ็ มเ่ ปน็ ประมาณ.
บางพวกไมถ่ อื ศาสนาอะไรหมด ดว้ ยเขาไดไ้ ตรต่ รองเทยี บเคยี งดดู ว้ ยปญั ญาเขาแลว้ เหน็
มเี หตขุ ดั ขอ้ งทจ่ี ะให้เขาเหน็ จริงไมไ่ ดอ้ ยู่ เขาจึงไว้ตวั เปน็ กลาง ๆ, เม่อื อยู่ ณ ประเทศใด เขาก็
ประพฤติตามกฎหมายบ้านเมืองของประเทศน้ัน ขนบธรรมเนียมแบบแผนในประเทศน้ันเป็น
อยา่ งไร ถ้าเขาเห็นสมควร เขาก็ถอื ตาม, แต่เขากไ็ มแ่ สดงอาการดูหมิ่นต่อศาสนาทต่ี ระกูลและ
ชาติของเขาได้เคยนับถือมา และบางทกี ็ศาสนาอื่นดว้ ย.
แต่อีกพวกหนึ่งไมเ่ ช่นนน้ั คอื จะวา่ เขาถอื ศาสนาอะไรก็ไมใ่ ชจ่ ะว่าไม่ถอื กไ็ มเ่ ชงิ , การที่
เขาเป็นเช่นน้ี ไม่ใช่เพราะเขาได้ตริตรองสอบสวนจนเห็นมีข้อท่ีไม่ควรเช่ือเช่นท่ีกล่าวแล้ว; แต่
กลับตรงกันข้าม คอื เขาไม่รวู้ ่าศาสนาใดเป็นอย่างไร ใจความของคำ� สอนในศาสนาไหนอยา่ งไร
แมศ้ าสนาท่ตี ระกูลเขามมี ารดาบดิ าเปน็ ต้น และชาติของเขาไดเ้ คยนับถือมา เขากไ็ มร่ ู้, ไมต่ อ้ ง
ป่วยกลา่ วถงึ ศาสนาอื่น เรยี กว่า “คนไมร่ ้จู กั เดยี งสาในศาสนา” ได,้ เม่อื เขาเป็นผู้ไม่รจู้ ักเดียงสา
ในศาสนาแลว้ , ถ้าเขาประพฤตติ นเป็นสุภาพบุรุษ หรอื เปน็ คนมีธรรมจรยิ าก็ยงั ช่วั นไ่ี มเ่ ชน่ นัน้ :
บางทเี ขากลบั แสดงอาการดหู มน่ิ ตอ่ ศาสนาทตี่ ระกลู และชาตขิ องเขาไดเ้ คยนบั ถอื มา (และเขาเอง
ก็ไม่รูว้ า่ ดชี ่วั อยา่ งไร) เสียอกี คนเชน่ นี้ มักจะเป็นด้วยไมเ่ คยได้รบั การศกึ ษาที่ดี. เพราะฉะนน้ั
เดก็ ๆ ควรมสี ตสิ อนตัวเอง ให้ประพฤติตนเป็นสุภาพบรุ ุษ และเปน็ คนมีธรรมจรยิ าถงึ ตนจะเป็น
คนถอื ศาสนาไหนอย่างไร เพราะไดไ้ ตร่ตรองเหน็ ดว้ ยปัญญา อันรอบคอบแล้วก็ตาม.
ตามความรสู้ กึ ทเ่ี หน็ วา่ ควรนน้ั คนเมอื่ ไดเ้ กดิ ในชาตใิ ด ควรรพู้ งศาวดารของชาตนิ นั้ และ
ศาสนาทค่ี นชาตนิ น้ั นบั ถอื กนั มา; และถา้ ไปอาศยั อยใู่ นประเทศอนื่ ใด ไดร้ พู้ งศาวดารของประเทศ
นนั้ และศาสนาทชี่ าวประเทศนั้นนบั ถือได้ดว้ ยเป็นด.ี
ในตอนท้ายน้ี จะกล่าวถึงพระพุทธศาสนาที่ชาวไทยโดยมากและชาวต่างประเทศบาง
ประเทศและบางเหลา่ นบั ถอื ดว้ ยไดต้ รติ รองเหน็ เปน็ ดเี ปน็ จรงิ เปน็ ถกู บา้ ง ไมไ่ ดต้ รติ รองบา้ ง สำ� หรบั
เดก็ ๆ ทย่ี งั ไมเ่ คยไดร้ มู้ า เขา้ ใจบา้ งสกั เลก็ นอ้ ย.
122

พระพทุ ธเจา้

พระพทุ ธเจา้ ซงึ่ เปน็ ตน้ เดมิ เปน็ ผบู้ ญั ญตั พิ ระพทุ ธศาสนานนั้ เมอื่ แรกกเ็ ปน็ ผคู้ รอบครอง
ฆราวาสสมบตั ิ (สมบัตขิ องผอู้ ยูค่ รองเรอื น) ยังบรบิ รู ณด์ ว้ ยยนิ ดยี นิ รา้ ยเหมือนคนสามัญอ่นื แต่
พระองค์เปน็ ผู้มีพระสติรอบคอบ และพระปญั ญาลึกซง้ึ กวา่ ชนสามญั อน่ื ๆ, ถึงมพี ระชนมายยุ ัง
อยูใ่ นปฐมวยั (วยั ที่ต้น คือกำ� ลังหนมุ่ ) และครอบครองฆราวาสสมบตั ิซ่ึงเป็นอย่างเลศิ อย่างยอด
คอื สถานทอ่ี ยู่ ของใช้สอย อาหาร ปรจิ าริกานารี (นางบำ� เรอ) และคนรับใช้ แต่ลว้ นไดเ้ ลือกคัด
จดั สรรเปน็ อย่างดีในเวลานัน้ และมากมายมใิ ชน่ อ้ ย, พระชายา (เมยี ) และพระโอรส (ลูกชาย)
กม็ ี ลกั ษณะและคณุ สมบตั อิ นั งามเลศิ แตฆ่ ราวาสสมบตั ถิ งึ ปานนนั้ ไมท่ ำ� ใหพ้ ระองคเ์ พลดิ เพลนิ
อยูเ่ สมอได;้ พระองคท์ รงเหน็ การทเ่ี ป็นอยู่เชน่ นั้นเปน็ โทษทุกข์ เพราะต้องทำ� การวนเวียนซำ�้ ๆ
ซาก ๆ อนั ไมร่ จู้ กั จบ ไมม่ ที ส่ี ดุ ซง่ึ ผใู้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาโดยรอบคอบจะเหน็ วา่ นา่ เบอื่ จนกวา่ ความ
ตายจะมาพรากไปเสยี และไมส่ ามารถจะปอ้ งกนั ทกุ ขต์ า่ ง ๆ อนั จะเกดิ มขี น้ึ ณ ระหวา่ ง ๆ ตลอด
ถึงความตายอันเป็นเหตุที่น่ากลัวใหญ่ได้ ทรงหมายมั่นในพระหฤทัยว่า คงจะได้ประสบการณ์ท่ี
ไม่ตอ้ งเป็นเชน่ นนั้ ได้ และเพราะความเบ่อื หน่ายหนักขึน้ เปน็ เหตุ จงึ ได้ทรงละฆราวาสสมบตั ินน้ั
ออกทรงบรรพชาแสวงหาคุณอันย่ิงใหญ่ ซ่ึงจะท�ำให้พระองค์ไม่ต้องวนเวียนซ�้ำซาก และไม่ต้อง
ประสบทกุ ขอ์ น่ื ๆ ตลอดถงึ ความตายได้ ซงึ่ เรยี กกนั วา่ “มหาภเิ นษกรมณ”์ หรอื “มหาภนิ ษิ กรมณ”์ ;
ทรงอุตสาหะศึกษาทดลองและพิจารณา ด้วยความเพียรอันแรงกล้า และพระปัญญาอันสุขุม
ลกึ ซงึ้ ไม่มีผอู้ ่ืนเสมอเหมือน อยู่ถงึ ๖ ปี กไ็ ด้บรรลพุ ระอนตุ ตรสัมมาสมั โพธิญาณ (ปญั ญาอัน
ตรัสรู้ พร้อมโดยชอบไม่มีอ่ืนย่ิงกว่า) ทรงทราบประจักษ์ชัดธรรมดาของส่ิงทั้งปวงหมด โดยไม่
วปิ รติ แปรผนั กลบั คนื คลาย, ไมท่ รงถอื มน่ั ยนิ ดยี นิ รา้ ยในสงิ่ ใดสง่ิ หนง่ึ มพี ระหฤทยั เบกิ บานบรสิ ทุ ธ;ิ์
แตเ่ ปน็ ผปู้ ระกอบดว้ ยพระเมตตากรณุ าตอ่ สตั วม์ ชี วี ติ เปน็ อยา่ งยงิ่ ไมม่ ผี อู้ น่ื เสมอ จงึ ไดท้ รงแสดง
ธรรมสง่ั สอนหมสู่ ตั ว์ เพื่อพน้ จากทกุ ข์ไดป้ ระสบสุข ตามควรแกค่ วามปฏิบัติและความสามารถ.

พระธรรม

ค�ำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าน้นั เรยี กวา่ “พระธรรม” จ�ำแนกออกไปเป็น ๓ คือ:
สว่ นทค่ี วรเลา่ เรยี นศกึ ษา ดว้ ยฟงั และอา่ นดใู นหนงั สอื แลว้ และไตรต่ รองตามใหเ้ ขา้ ใจเรยี ก
วา่ “ปรยิ ตั ธิ รรม” ๑.
การปฏิบัติดดั กายวาจาและจิต ตามปริยตั ิธรรม (เมอ่ื ไดเ้ ล่าเรยี นศกึ ษาและไตรต่ รองให้
เขา้ ใจแล้ว) เรียกว่า “ปฏปิ ัตตธิ รรม” ๑.

123

การรู้แจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา (เมื่อได้ปฏิบัติถูกต้องและถึงท่ีแล้ว) ไม่กลับเสื่อมถอย
คนื คลาย เรยี กวา่ “ปฏเิ วธธรรม” ๑.
ปริยัติธรรม ประกาศขอ้ ปฏิบตั ิเป็น ๓ คือ ศลี , สมาธิ, ปัญญา.
การป้องกนั ความชว่ั ร้ายเสียหาย ซง่ึ จะเกิดมีทางกายวาจาตลอดถงึ ใจ ด้วยได้ท�ำตามไม่
ล่วงละเมดิ สกิ ขาบทบญั ญตั ขิ องศาสนาและกฎหมายบา้ นเมอื ง ตลอดถงึ ธรรมเนยี มประเพณีของ
ชาติตระกูล อันเป็นเหตุให้เกิดโทษทุกข์อย่างร้ายแรง และการบ�ำเพ็ญความดี ด้วยได้ประพฤติ
ตามทางทน่ี ยิ มนบั ถอื กนั ตามศาสนาและตามธรรมเนยี มประเพณขี องชาตติ ระกลู อนั เปน็ เหตใุ ห้
เกิดความเจรญิ เรียกวา่ “ศลี ” มปี ระโยชน์ที่ป้องกันทกุ ข.์
การทรมานฝึกหัดใจ ให้ตง้ั มัน่ แน่แนว่ อยใู่ นอารมณ์ (ท่ยี ดึ หน่วง) ทีช่ อบอันเดยี ว ไม่ให้
ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ตา่ ง ๆ เรียกว่า “สมาธิ” มี ประโยชน์ทที่ ำ� ใจใหเ้ ป็นสขุ .
การรู้ย่งิ เห็นจรงิ สงิ่ ทง้ั ปวงตามธรรมดา ละการถอื มน่ั ยนิ ดยี ินรา้ ยไดข้ าด ไมแ่ ปรผันกลบั
คืนคลาย เรยี กวา่ “ปัญญา” มีประโยชนท์ ี่ท�ำใจใหผ้ ่องใสบริสทุ ธิ์ ไม่ขุ่นมัวเศรา้ หมอง เฉย ๆ อยู่
ซ่ึงเป็นสุขอย่างสงู .

พระสงฆ์

หม่คู นได้ฟงั ค�ำสั่งสอนของพระพทุ ธเจ้าแลว้ เช่ือนับถอื ได้ชอื่ ว่า “สาวก” ครนั้ เชือ่ นับถือ
และปฏิบัตติ าม จนถึงไดบ้ รรลคุ ณุ พิเศษอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ เรยี กวา่ “พระอริยสงฆ์”.
พระสงฆส์ าวกไดฟ้ งั จำ� ทรงและปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมแลว้ , มเี มตตากรณุ า ไดน้ ำ� พระธรรม
คำ� สัง่ สอนนัน้ มาประกาศแสดงแก่ผ้อู ื่นทย่ี ังไมร่ ไู้ ม่เห็น ให้ร้ใู หเ้ ห็นตามสืบ ๆ กันมา; พระธรรม
ค�ำสง่ั สอนจึงได้แพร่หลายปรากฏอยู่จนทุกวันนี.้
นเ้ี ปน็ ความยอ่ ถา้ ตอ้ งการทราบใหล้ ะเอยี ดพสิ ดาร เชญิ ดเู รอ่ื ง พทุ ธประวตั หิ รอื ปฐมสมโพธ์ิ
เพราะเป็นการสมควร.

124

พทุ ธศาสนาคืออะไร

พระพทุ ธเจ้า

พระพทุ ธเจา้ ซงึ่ เปน็ ตน้ เดมิ เปน็ ผบู้ ญั ญตั พิ ระพทุ ธศาสนานนั้ เมอ่ื แรกกเ็ ปน็ ผคู้ รอบครอง
ฆราวาสสมบตั ิ (สมบตั ขิ องผู้อยู่ครองเรอื น) ยงั บรบิ ูรณด์ ว้ ยยินดียนิ ร้ายเหมอื นคนสามญั อนื่ แต่
พระองค์เปน็ ผมู้ พี ระสตริ อบคอบ และพระปัญญาลึกซึง้ กวา่ ชนสามญั อ่ืน ๆ, ถงึ มีพระชนมายุยัง
อยใู่ นปฐมวยั (วัยที่ตน้ คอื กำ� ลังหนมุ่ ) และครอบครองฆราวาสสมบตั ิซงึ่ เปน็ อย่างเลิศอยา่ งยอด
คือ สถานทอ่ี ยู่ ของใช้สอย อาหาร ปรจิ ารกิ านารี (นางบำ� เรอ) และคนรบั ใช้ แต่ลว้ นไดเ้ ลือกคัด
จดั สรรเปน็ อยา่ งดใี นเวลานั้น และมากมายมิใช่น้อย, พระชายา (เมยี ) และพระโอรส (ลูกชาย)
กม็ ี ลกั ษณะและคณุ สมบตั อิ นั งามเลศิ แตฆ่ ราวาสสมบตั ถิ งึ ปานนน้ั ไมท่ ำ� ใหพ้ ระองคเ์ พลดิ เพลนิ
อยู่เสมอได;้ พระองคท์ รงเหน็ การทเี่ ป็นอยเู่ ชน่ นน้ั เปน็ โทษทกุ ข์ เพราะตอ้ งท�ำการวนเวียนซ้�ำ ๆ
ซาก ๆ อนั ไมร่ จู้ กั จบ ไมม่ ที ส่ี ดุ ซงึ่ ผใู้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาโดยรอบคอบจะเหน็ วา่ นา่ เบอ่ื จนกวา่ ความ
ตายจะมาพรากไปเสยี และไมส่ ามารถจะปอ้ งกนั ทกุ ขต์ า่ ง ๆ อนั จะเกดิ มขี นึ้ ณ ระหวา่ ง ๆ ตลอด
ถึงความตายอันเป็นเหตุที่น่ากลัวใหญ่ได้ ทรงหมายม่ันในพระหฤทัยว่า คงจะได้ประสบการณ์ท่ี
ไมต่ อ้ งเปน็ เชน่ นั้นได้ และเพราะความเบ่ือหนา่ ยหนักขึน้ เป็นเหตุ จงึ ได้ทรงละฆราวาสสมบัตินน้ั
ออกทรงบรรพชาแสวงหาคุณอันย่ิงใหญ่ ซ่ึงจะท�ำให้พระองค์ไม่ต้องวนเวียนซ้�ำซาก และไม่ต้อง
ประสบทกุ ขอ์ นื่ ๆ ตลอดถงึ ความตายได้ ซงึ่ เรยี กกนั วา่ “มหาภเิ นษกรมณ”์ หรอื “มหาภนิ ษิ กรมณ”์ ;
ทรงอตุ สาหะศกึ ษาทดลองและพจิ ารณา ดว้ ยความเพยี รอนั แรงกลา้ และพระปญั ญาอนั สขุ มุ ลกึ ซง้ึ
ไม่มีผู้อ่ืนเสมอเหมือน อยู่ถึง ๖ ปี ก็ได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ปัญญาอัน
ตรัสรู้พร้อมโดยชอบไม่มีอื่นยิ่งกว่า) ทรงทราบประจักษ์ชัดธรรมดาของส่ิงท้ังปวงหมด โดยไม่
วปิ รติ แปรผนั กลบั คนื คลาย, ไมท่ รงถอื มนั่ ยนิ ดยี นิ รา้ ยในสง่ิ ใดสง่ิ หนงึ่ มพี ระหฤทยั เบกิ บานบรสิ ทุ ธ;์ิ
แตเ่ ปน็ ผปู้ ระกอบดว้ ยพระเมตตากรณุ าตอ่ สตั วม์ ชี วี ติ เปน็ อยา่ งยง่ิ ไมม่ ผี อู้ น่ื เสมอ จงึ ไดท้ รงแสดง
ธรรมสัง่ สอนหมสู่ ตั ว์ เพอื่ พ้นจากทกุ ขไ์ ดป้ ระสบสุข ตามควรแก่ความปฏบิ ตั แิ ละความสามารถ.

125

พระธรรม

คำ� สั่งสอนของพระพุทธเจ้าน้นั เรยี กว่า “พระธรรม” จ�ำแนกออกไปเปน็ ๓ คือ:
สว่ นทคี่ วรเลา่ เรยี นศกึ ษา ดว้ ยฟงั และอา่ นดใู นหนงั สอื แลว้ และไตรต่ รองตามใหเ้ ขา้ ใจเรยี ก
ว่า “ปรยิ ัติธรรม” ๑.
การปฏิบัติดัดกายวาจาและจติ ตามปริยตั ธิ รรม (เมอ่ื ได้เล่าเรียนศกึ ษาและไตร่ตรองให้
เขา้ ใจแล้ว) เรยี กว่า “ปฏปิ ตั ติธรรม” ๑.
การรู้แจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา (เมื่อได้ปฏิบัติถูกต้องและถึงท่ีแล้ว) ไม่กลับเสื่อมถอย
คืนคลาย เรียกว่า “ปฏเิ วธธรรม” ๑.
ปรยิ ตั ธิ รรม ประกาศขอ้ ปฏิบัตเิ ปน็ ๓ คอื ศลี , สมาธิ, ปัญญา.
การป้องกันความช่วั ร้ายเสยี หาย ซงึ่ จะเกดิ มีทางกายวาจาตลอดถงึ ใจ ดว้ ยไดท้ ำ� ตามไม่
ลว่ งละเมิดสิกขาบทบญั ญตั ิของศาสนาและกฎหมายบ้านเมอื ง ตลอดถึงธรรมเนยี มประเพณีของ
ชาติตระกูล อันเป็นเหตุให้เกิดโทษทุกข์อย่างร้ายแรง และการบ�ำเพ็ญความดี ด้วยได้ประพฤติ
ตามทางทน่ี ยิ มนบั ถอื กนั ตามศาสนาและตามธรรมเนยี มประเพณขี องชาตติ ระกลู อนั เปน็ เหตใุ ห้
เกิดความเจริญ เรียกว่า “ศลี ” มีประโยชน์ทีป่ อ้ งกนั ทุกข.์
การทรมานฝกึ หัดใจ ให้ตั้งม่นั แนแ่ น่วอยู่ในอารมณ์ (ทย่ี ึดหน่วง) ทช่ี อบอนั เดียว ไมใ่ ห้
ฟงุ้ ซา่ นไปในอารมณ์ตา่ ง ๆ เรียกวา่ “สมาธิ” มี ประโยชนท์ ่ีทำ� ใจให้เปน็ สขุ .
การรู้ยง่ิ เหน็ จริงส่ิงท้งั ปวงตามธรรมดา ละการถือม่ันยนิ ดียนิ ร้ายไดข้ าด ไม่แปรผันกลับ
คืนคลาย เรยี กวา่ “ปัญญา” มปี ระโยชน์ทท่ี ำ� ใจใหผ้ อ่ งใสบรสิ ทุ ธิ์ ไมข่ ุ่นมัวเศร้าหมอง เฉย ๆ อยู่
ซง่ึ เปน็ สขุ อยา่ งสูง.

พระสงฆ์

หมคู่ นได้ฟงั คำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจ้าแลว้ เช่ือนบั ถอื ได้ชือ่ วา่ “สาวก” คร้นั เช่ือนับถือ
และปฏิบตั ติ าม จนถงึ ได้บรรลคุ ุณพเิ ศษอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เรยี กว่า “พระอริยสงฆ”์ .
พระสงฆส์ าวกไดฟ้ งั จำ� ทรงและปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมแลว้ , มเี มตตากรณุ า ไดน้ ำ� พระธรรม
ค�ำสั่งสอนนั้นมาประกาศแสดงแก่อื่นท่ียังไม่รู้ไม่เห็น ให้รู้ให้เห็นตามสืบ ๆ กันมา; พระธรรม
คำ� สัง่ สอนจึงได้แพรห่ ลายปรากฏอยู่จนทุกวนั น.้ี

126

จติ รกรรมปรศิ นาธรรม เรอื่ ง พระรตั นตรยั ณ พระอโุ บสถ วดั บวรนเิ วศวหิ าร
(ภาพซา้ ยลา่ ง) รปู บรุ ษุ ผชู้ ท้ี างดี กำ� ลงั ชม้ี รรคาไปสภู่ มู ทิ เ่ี กษมแกห่ มชู่ น มหี มชู่ นเดนิ ไปตามทางทชี่ นี้ น้ั เปน็ แถว
มคี วามหมายวา่ พระพทุ ธเจา้ เปรยี บดงั บรุ ษุ ผชู้ ที้ างดี พระธรรมเปรยี บดงั มรรคาและภมู ทิ เี่ กษม พระสงฆผ์ ไู้ ดไ้ ปยงั

มรรคานนั้ และไดถ้ งึ ภมู ทิ เี่ กษมแลว้ เปรยี บดงั หมชู่ นผไู้ ดไ้ ปยงั มรรคานนั้ แลว้ และไดถ้ งึ ภมู ทิ เี่ กษมแลว้
(ภาพกลางลา่ ง) มคี วามหมายวา่ พระพทุ ธเจา้ เปรยี บดงั คนใหท้ รพั ย์ พระธรรมเปรยี บดงั ทรพั ย์
พระสงฆผ์ ไู้ ดอ้ รยิ ทรพั ยโ์ ดยชอบแลว้ เปรยี บดงั ประชมุ ชนอนั ไดท้ รพั ยแ์ ลว้ ตามประสงค์

(ภาพขวาลา่ ง) รปู สำ� เภาใหญม่ นี ายสำ� เภาคมุ ใหแ้ ลน่ ไปกลางทะเลดว้ ยใบ ประชมุ ชนพรอ้ มดว้ ยสมบตั แิ ละผโู้ ดยสารได้
ถงึ ฝง่ั ดว้ ยสำ� เภานนั้ มคี วามหมายวา่ พระพทุ ธเจา้ เปรยี บดงั นายสำ� เภา พระธรรมเปรยี บดงั สำ� เภา พระสงฆพ์ รอ้ ม

ดว้ ยคณุ สมบตั ถิ งึ ฝง่ั นน้ั ดว้ ยพระธรรมนนั้ แลว้ เปรยี บดงั ประชมุ ชนพรอ้ มดว้ ยสมบตั ไิ ดถ้ งึ ฝง่ั นน้ั ดว้ ยสำ� เภานน้ั

127

ธรรมวินัย

พระธรรมที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงเรยี กวา่ ศาสนธรรม ธรรมคือค�ำส่งั สอน, ค�ำสง่ั สอนก็
ประกาศแสดงสจั จธรรม ธรรมทเี่ ปน็ ตวั จรงิ . ธรรมทเ่ี ปน็ ตวั จรงิ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ แสดงโดยตรงแสดง
ท่ีคน ไม่ไดแ้ สดงนอกจากคนออกไป, แตท่ ่ีมีแสดงเก่ียวกับโลกภายนอกบ้าง ก็เพอื่ แสดงให้เหน็
ว่าเก่ียวกับคนอย่างไร แต่โดยตรงแสดงท่ีคน. ในส่วนธรรม พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติหรือ
ก�ำหนดโทษ, ใครเรยี น ใครจำ� ใครพจิ ารณา ใครปฏิบตั ิ ก็ได้รับประโยชนต์ ามสมควรแก่กิจการ
ท่ีได้ท�ำ, ถ้าใครไม่ท�ำก็ไม่ได้รับประโยชน์เอง เป็นอันลงโทษอยู่ในตัว. แต่เม่ือมีผู้บวชมากขึ้น,
ผู้บวชในชั้นต้นนนั้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงกำ� หนดอาย,ุ เพราะฉะน้ัน ผบู้ วช บวชอายนุ ้อย ๆ ก็มี
และบวชไมใ่ ชด่ ้วยศรทั ธา ความเช่ือ ปสาทะ ความเล่ือมใสกม็ ี. เมอ่ื เป็นเชน่ นี้ กเ็ กดิ มีผ้บู วชซ่ึง
เรยี กวา่ บรรพชติ (ในชนั้ ตน้ มแี ตภ่ กิ ษเุ ทา่ นนั้ ) ประพฤตไิ มด่ ไี มช่ อบ, พวกภกิ ษดุ ว้ ยกนั พวกชาว
บา้ นบา้ ง ไดร้ เู้ หน็ เขา้ กต็ เิ ตยี นโพนทะนากนั ไป จนความทราบถงึ พระพทุ ธเจา้ . พระพทุ ธเจา้ กท็ รง
สอบสวน. เมอื่ ทรงทราบความแนน่ อนแลว้ กบ็ ญั ญตั พิ ระวนิ ยั . บญั ญตั ิ หมายความวา่ แตง่ ขน้ึ ดว้ ย
ก�ำหนดโทษแรงบ้าง อ่อนลงมาบา้ ง; อย่างแรงเช่นใหต้ ้องปาราชิกขาดจากความเปน็ ภิกษุ, หย่อน
ลงมากส็ งั ฆาทเิ สส, หยอ่ นลงมากอ็ าบตั ถิ ลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี ์ ปาฏเิ ทสนยี ะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ . เพราะ
ฉะน้ัน จงึ มพี ระวนิ ยั ขึ้นในพระพุทธศาสนาอกี ส่วนหน่ึง.
พระธรรม เปน็ คำ� ส่ังสอนท่ชี ี้แจง แสดงสัจจธรรม คอื ธรรมทีเ่ ปน็ จริง สำ� หรบั ใหผ้ ู้ศึกษา
ไดร้ ,ู้ ศัพทว์ า่ ศึกษา นี้ ทางบาลีหรอื ทางพระศาสนาใชค้ รอบมาตัง้ แตเ่ รียนจ�ำ เชน่ อยา่ งนั่งฟังกนั
อยู่ เชน่ นก้ี เ็ รยี กวา่ ศกึ ษา ทอ่ งบน่ กศ็ กึ ษา พจิ ารณาเนอ้ื ความกศ็ กึ ษา ปฏบิ ตั กิ ศ็ กึ ษา, เพราะฉะนนั้
คำ� ว่า ศึกษา หรอื ภาษาบาลวี ่า สิกขา ใช้ครอบมาตง้ั แตต่ น้ . ส่วนไทยเราเอามาใช้ เชน่ กระทรวง
ศกึ ษาธิการ หรอื กรมศึกษาธกิ าร เป็นจ�ำเพาะแตเ่ รียนเท่านนั้ ไมส่ ตู้ รงกนั นัก; เพราะฉะนน้ั การ
ศกึ ษาธรรมกเ็ พ่ือให้รูจ้ ักธรรมทมี่ ีอยใู่ นตนว่าเปน็ อย่างไรแล้ว ก็ปฏบิ ตั ธิ รรมไป เป็นปฏิบัตธิ รรม
จนบรรลุถึงผล ซึ่งเรียกว่า ปฏิเวธธรรม. ส่วนพระวินัยเป็นพระบัญญัติ คือ ข้อท่ีพระพุทธเจ้า
แตง่ ตง้ั ขน้ึ เปน็ กฎหมายสำ� หรบั บรรพชติ ผบู้ วชนนั้ เอง, เพราะฉะนนั้ จงึ มกี ารลงโทษกนั ตามหนกั
และเบา, รวมเขา้ กเ็ ปน็ ธรรม ๑ วนิ ัย ๑; พระพุทธศาสนาจึงแยกเปน็ ๒ คือ พระธรรมส�ำหรับ
ศึกษาปฏบิ ัตฝิ กึ หดั จติ อย่างหนงึ่ , วินัยสำ� หรับปฏิบัตกิ ายวาจาให้เรยี บรอ้ ยสม�่ำเสมอเหมือนๆกัน
อกี อยา่ งหนึง่ .

128

พระไตรปิฎก

คร้งั พุทธกาล พระพุทธศาสนาแยกออกไปเป็น ๒ คอื ธรรมกับวนิ ยั เท่านน้ั ยงั ไมม่ ศี พั ท์
ว่าไตรปฎิ ก หรือตปิ ฎิ ก ภาษาบาลวี ่า ตปิ ฎิ ก หรือ เตปฎิ ก; ติ หรอื เต แปลวา่ ๓, เอา ติ หรอื
เต เปน็ ไตร จงึ เรยี กว่า ไตรปฎิ ก แปลว่า ปฎิ ก ๓, ปิฎก หรือ ปฏิ กะ แปลว่า ตะกรา้ หรือ
กระจาด, ไตรปฎิ กกค็ อื ตะกรา้ ๓ ใบ. แตว่ า่ ความมงุ่ หมายของทา่ นไมใ่ ชเ่ ชน่ นน้ั มงุ่ หมายถงึ คำ� สงั่ สอน
ของพระพทุ ธเจา้ ซง่ึ เรยี กว่า พระพุทธศาสนา แยกออกเปน็ ๓, ที่แยกออกเปน็ ๓ กป็ รากฏใน
ตอนที่พระพุทธเจา้ นิพพานแล้ว. เมอื่ พระพทุ ธเจ้านพิ พานแลว้ พระสงฆ์รวมกนั เข้าประชุมกันท�ำ
สังคายนา. ท่วี ่าแยกออกเป็น ๓ เรียกวา่ ไตรปฎิ กนั้น เพราะท่านแยกพระธรรมออกเปน็ ๒ คือ
ส่วนทีม่ ีเร่อื งราว เชน่ คร้งั นัน้ พระพุทธเจ้าประทับท่ีนั่น ทรงแสดงธรรมชือ่ นั้น แกบ่ คุ คลน้นั หรือ
พวกนน้ั เหมือนดังแสดงธมั มจกั กัปปวตั ตนสูตรแก่พระปญั จวัคคีย์ ทีอ่ สิ ปิ ตนมฤคทายวนั เช่นนี้
เรยี กว่า พระสตู ร หรอื สุตตันตะ สว่ นที่เป็นพระสตู ร. ส่วนที่ไม่กล่าวถึงบคุ คล ไมก่ ลา่ วถงึ เรอ่ื ง
ราว กลา่ วแตพ่ ระธรรมล้วน ๆ เช่น ทา่ นแสดงไว้ว่า กุศลธรรม ธรรมทเี่ ป็นกุศลสว่ นดี, อกศุ ล
ธรรม ธรรมท่เี ป็นอกศุ ลส่วนชวั่ , อพั ยากตธรรม ธรรมท่ที ่านไม่ยนื ยันวา่ ดหี รือชัว่ , ท่านไม่พดู ถึง
คน พูดแต่ธรรมเท่านั้น เชน่ น้ีเรียกว่า อภิธรรม แปลวา่ ธรรมอย่างย่ิง หรือปรมัตถ์ หมายความ
ว่ามีเน้ือความเป็นอย่างยิ่ง ไม่กล่าวถึงบุคคลและเรื่องราวอะไรต่าง ๆ อีกส่วนหนึ่ง. จึงเป็น ๓
ปิฎก คือ พระวนิ ยั ๑ พระสูตร ๑ พระอภธิ รรม ๑ หรือพระปรมัตถอกี ๑. พระพทุ ธศาสนาเม่อื
พระพทุ ธเจา้ นพิ พานแลว้ ปรากฏเปน็ ๓ จงึ เรยี กวา่ ไตรปฎิ ก หรอื ตปิ ฎิ ก, เดยี๋ วนเ้ี รยี กวา่ ไตรปฎิ ก
เป็นพืน้ .
รวมความว่า แต่ครั้งพุทธกาล (คือ เวลาท่ีพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่) พระพุทธ
ศาสนาแยกเพยี ง ๒ คอื พระธรรม ๑ พระวนิ ัย ๑ ดังกล่าวมาแลว้ ปรากฏในพระพุทธภาษติ ท่ี
ตรัสแก่พระภิกษุมีพระอานนท์ เป็นต้น ความว่า “โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ธรรมและวินัยท่ีเรา
แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว เป็นศาสดาของท่านท้ังหลาย,” แต่เม่ือพระสาวกท�ำสังคายนา เม่ือ
พระพุทธเจา้ นพิ พานแล้ว จึงแยกออกเปน็ ๓ ดว้ ยแยกพระธรรมออกเปน็ ๒ คือ พระสตู ร หรอื
สุตตนั ตะ ๑ พระอภธิ รรม หรอื พระปรมตั ถอกี ๑.
พึงสงั เกตวา่ ศาสนาอ่นื ๆ ท่ีปรากฏ เช่น ศาสนาคริสต์ เมอื่ พระเยซูตายหรอื ข้ึนสวรรค์
ก็ตาม ไปแล้ว ก็มหี ัวหนา้ เป็นผ้แู ทนสืบมาจนบดั น้.ี ในศาสนาอสิ ลาม เม่อื พระมะหะหมัดตายไป
แลว้ ก็มีผูแ้ ทนเป็นล�ำดบั สบื มาซงึ่ เรยี กว่า “กาหลบิ .” แต่ทางพระพทุ ธศาสนา แมม้ พี ระสาวกที่
เป็นผ้ใู หญ่ เช่น พระมหากัสสป พระอานนท์ พระอนรุ ุทธ เปน็ ตน้ , พระพทุ ธเจ้าก็ไมท่ รงมอบให้

129

ใครเปน็ ผแู้ ทนพระองค,์ แตใ่ หธ้ รรมวนิ ยั ทพ่ี ระองคท์ รงแสดง ทรงบญั ญตั เิ ปน็ ศาสดาแทนพระองค,์
ถ้าพิจารณาก็จะเห็นไดว้ ่า ถ้าให้บคุ คลเป็นผู้แทนแล้ว กค็ งมีผูแ้ ทนต่อ ๆ กนั มาโดยล�ำดบั . ผ้แู ทน
ในช้นั ตน้ ถึงจะเปน็ คนดี เชน่ ในทางพระพทุ ธศาสนา พระมหากสั สปเปน็ พระอรหนั ต์ มคี วาม
มกั น้อยสันโดษ แตว่ า่ ทา่ นกค็ งอยไู่ ดช้ ั่วคราวและคงต้องนิพพานไป, กค็ งมผี ู้แทนตอ่ ๆ มา. ถ้า
ผแู้ ทนเปน็ คนชว่ั กจ็ ะนำ� หมบู่ รรพชติ ไปในทางชว่ั , ถา้ ผแู้ ทนเปน็ คนดกี จ็ ะนำ� หมบู่ รรพชติ ไปในทาง
ดี เปน็ การไมแ่ น่. แต่ถา้ ให้ธรรมและวินัยเป็นผู้แทนแล้ว แน่กว่า, เพราะเหตุไร ? เพราะธรรม
วนิ ยั คงยนื เปน็ หลกั อยใู่ นพระพทุ ธศาสนา, แมจ้ ะมผี เู้ รยี นพจิ ารณาเนอ้ื ความแยกกนั ไป หรอื แตก
ต่างกนั ไป น่ันก็เป็นความเห็นของบุคคล, แต่หลักพระพุทธศาสนา ซงึ่ แยกเปน็ ธรรม ๑ วินัย ๑
หรือต่อมาแยกเปน็ ไตรปิฎก ยังคงเป็นหลกั อย.ู่
ในประเทศตา่ ง ๆ ทถ่ี อื พระพทุ ธศาสนา แมม้ หี วั หนา้ ของบรรพชติ กเ็ ปน็ ไปในทางปกครอง
อยา่ งประชมุ ชนหมหู่ นงึ่ ๆ กต็ อ้ งมหี วั หนา้ ในทางปกครอง. หวั หนา้ จะบญั ชาการใหผ้ ดิ ไปจากหลกั
พระธรรม หลักพระวินัยไมไ่ ด.้ ถา้ บัญชาการใหผ้ ดิ ไป, เขาไม่เชอ่ื เขาไมฟ่ งั ก็ไม่มีอ�ำนาจทจ่ี ะไป
บงั คับเขาได้โดยธรรม, หลกั แหง่ การสืบมาของพระพทุ ธศาสนาเป็นอย่างนี้.

พระอภิธรรม

วา่ ถงึ เรอื่ งพระอภธิ รรม ทแี่ ยกออกจากพระธรรม เปน็ สว่ นหนงึ่ มเี รอื่ งเลา่ ไวน้ ทิ านธรรมบท
ว่า พระพุทธเจ้าเสด็จข้ึนไปแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์, เทวดามาฟัง,
ธรรมที่พระพทุ ธเจา้ แสดงแกเ่ ทวดาบนช้นั ดาวดงึ ส์แสดงแตจ่ �ำพวกอภิธรรมหรอื ปรมตั ถ์ ไม่แสดง
เรอื่ งพระสตู ร, ไมใ่ ชแ่ สดงในเมอื งมนษุ ย์ แตแ่ สดงบนสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ ส.์ นกั ปราชญท์ างพระพทุ ธ
ศาสนาบางทา่ นพจิ ารณาเห็นวา่ พระอภิธรรม หรอื พระปรมัตถ์ เดิมกอ็ ย่ใู นพระสูตรนน้ั ท่รี วม
เรียกว่าธรรมหรอื ธรรมะ. แต่ว่าทา่ นเก็บเอาแตธ่ รรมลว้ น ๆ ไมก่ ล่าวถึงเรือ่ งราว ออกมาไว้เปน็
พวกหนึง่ ต่างหาก ไม่ใช่ไปแสดงบนสวรรค์ชัน้ ดาวดงึ ส์ เปน็ แต่ทา่ นผรู้ คู้ รงั้ กอ่ น เมื่อพระพุทธเจา้
นิพพานแล้วเก็บข้อธรรมในพระสูตรแยกออกมาไว้เสียพวกหนึ่งไม่กล่าวถึงเร่ืองราว เรียกว่า
อภธิ รรม หรือ ปรมตั ถ์. แตจ่ ะแนน่ อนอย่างไร ก็แล้วแตจ่ ะพจิ ารณาเหน็ ความจรงิ . ในอภธิ รรม
แสดงว่า กุสลา ธมฺมา ธรรมที่เป็นส่วนดี, อกุสลา ธมฺมา ธรรมที่เป็นส่วนไม่ดี, อพฺยากตา
ธมฺมา ธรรมทีเ่ ป็นอพั ยากตะ ท่านไม่ยืนยันว่าเป็นดหี รอื ไมด่ ี, ก็อยู่ที่คน ไมใ่ ชท่ ีอ่ ื่น, ถ้าไม่มคี น
แลว้ กไ็ มม่ ธี รรมทเี่ ปน็ กศุ ล, ไมม่ ธี รรมทเ่ี ปน็ อกศุ ล, ถา้ จะมกี แ็ ตธ่ รรมทเี่ ปน็ อพั ยากตะ คอื ธรรมดา.
แตเ่ พราะมคี น คนทำ� ดี การทำ� ดกี เ็ ปน็ กศุ ล, คนทำ� ชวั่ การทำ� ชว่ั กเ็ ปน็ อกศุ ล. เพราะฉะนนั้ ธรรม

130

ท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงโดยตรงก็ทรงแสดงที่บุคคล ไม่ใช่แสดงที่อ่ืน ตั้งแต่ต้นข้ึนไปจนถึงเบื้อง
บน เบ้ืองสูง, พระนิพพานเป็นที่ช้ันสูง หรือวิชชาวิมุตติ ก็ทรงแสดงที่บุคคล ไม่ใช่แสดงที่อ่ืน
นอกจากบุคคล. เพราะฉะน้ัน ธรรมกับคนจึงเน่อื งกนั . ถ้าไมม่ ีคนในโลกนี้ท้ังหมด, ธรรมทเ่ี ปน็
กศุ ลกไ็ มม่ ,ี ธรรมทเี่ ป็นอกุศลกไ็ ม่มี, แตเ่ พราะมีคน จึงมีธรรมท่เี ปน็ กศุ ล และธรรมที่เปน็ อกศุ ล.

รวมธรรม ๓ ประเภท

วา่ ถงึ ธรรมรวมทงั้ หมด, เมอื่ พจิ ารณาแยกออกไป จะได้ ๓ ประการ คอื ธรรมทเ่ี ปน็ สว่ น
เหตุ จะเปน็ สว่ นเหตทุ ด่ี กี ต็ าม จะเปน็ สว่ นเหตทุ ช่ี ว่ั กต็ าม นน่ั เปน็ สว่ นเหตสุ ว่ นหนงึ่ , ธรรมทเี่ ปน็
สว่ นผล จะเปน็ ผลทด่ี กี ต็ าม จะเปน็ ผลทชี่ ว่ั กต็ าม กค็ งจะเปน็ ผลอกี สว่ นหนง่ึ , ธรรมทเ่ี ปน็ อปุ การะ
คอื อดุ หนนุ เหตุ อดุ หนนุ ทง้ั ใหท้ ำ� ดที ง้ั ใหท้ ำ� ชว่ั นอี่ กี สว่ นหนงึ่ ; เหมอื นดงั เชน่ คนจะทำ� ดี แมใ้ นทาง
โลก เชน่ เลา่ เรยี นศกึ ษาความรู้ หรอื ในทางพระพทุ ธศาสนาเลา่ เรยี นพระธรรมวนิ ยั และปฏบิ ตั ดิ ี
ปฏบิ ตั ชิ อบ ซง่ึ เปน็ สว่ นเหตุ ใหส้ ำ� เรจ็ ได้ กต็ อ้ งมอี ปุ การธรรม คอื ฉนั ทะ ความพอใจ วริ ยิ ะ ความ
บากบน่ั จติ ตะ ความสง่ ใจ วมิ งั สา พจิ ารณาสอบสวนเลอื กเฟน้ เพอ่ื ใหก้ จิ การดำ� เนนิ ไปดว้ ยด.ี เพราะ
ฉะนนั้ ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จติ ตะ วมิ งั สา จงึ เปน็ อปุ การะ. แตถ่ า้ ทำ� ชว่ั เชน่ ฆา่ สตั ว์ ลกั ทรพั ย์ ปลน้
สะดม อะไรตา่ ง ๆ อนั เปน็ กรรมทชี่ วั่ จะสำ� เรจ็ ไดก้ ด็ ว้ ยอปุ การะเหมอื นกนั คอื ตอ้ งพอใจจะทำ� ชวั่
ตอ้ งมคี วามบากบนั่ ในการทำ� ชว่ั ตอ้ งสง่ ใจไปในการทำ� ชวั่ ตอ้ งพจิ ารณาหาทางทำ� ชวั่ ใหส้ ำ� เรจ็ การ
ทำ� ชวั่ จงึ จะสำ� เรจ็ ไปได.้ ฉนั ทะ ความพอใจ วริ ยิ ะ ความบากบน่ั จติ ตะ ความสง่ ใจ วมิ งั สา ความ
เลอื กเฟน้ แตล่ ำ� พงั ตวั ธรรมเหลา่ นไ้ี มบ่ อกวา่ ดี ไมบ่ อกวา่ ชว่ั เชน่ นแี้ หละไดช้ อื่ วา่ อพั ยากตะ ธรรม
ทไ่ี มย่ นื ยนั วา่ ดหี รอื ชว่ั อยา่ งหนงึ่ , เพราะเอาไปใชท้ างดกี อ็ ดุ หนนุ ใหส้ ำ� เรจ็ การดี เอาไปใชท้ างชวั่ ก็
อดุ หนนุ ใหส้ ำ� เรจ็ การชวั่ , นกึ ดตู รวจดเู รา เราคงเคยทำ� ดมี า เชน่ เลา่ เรยี นศกึ ษาทำ� กจิ การงานทดี่ ,ี
และคงเคยทำ� ชว่ั มามากกต็ ามนอ้ ยกต็ าม, ทเ่ี ราทำ� ดสี ำ� เรจ็ มาไดเ้ พราะอะไร กเ็ พราะอปุ การธรรม
ธรรมทอี่ ดุ หนนุ , และทเ่ี ราทำ� ชว่ั สำ� เรจ็ เพราะอะไร เพราะอปุ การธรรมเหมอื นกนั .

การปฏิบตั ธิ รรม

วา่ ถงึ การปฏบิ ตั ธิ รรม การปฏบิ ตั ธิ รรมในทางพระพทุ ธศาสนา ทา่ นแยกเปน็ ๒: เบอื้ งตน้
คือ เรียนพระพุทธวจนะ หรือศาสนธรรม หรือธรรมวินัย หรือพระไตรปิฎก ก็อย่างเดียวกัน
เรียกอะไรก็ได้ เรียนให้ได้ความรูค้ วามเข้าใจตามหลักทที่ ่านทรงแสดงไว้ ฟงั มาก ทรงจำ� , สง่ั สม
ดว้ ยปาก คอื ทอ่ ง, เพง่ ดว้ ยมนะหรอื มนสั ขบหรอื เจาะดว้ ยทฏิ ฐ,ิ เพง่ ดว้ ยมนะหรอื มนสั หมายความ

131

ว่าพิจารณาจับเหตุจับผลสอบดูท่ีตน, ขบหรือเจาะด้วยทิฏฐิ คือความเห็น หมายความว่าตัดสิน
ด้วยใจ. ตามเร่อื งของคนก็มคี วามตดั สินอยูใ่ นใจดว้ ยกนั เช่น เม่ือเรยี นอะไรหรือทำ� อะไร ก็เกดิ
ความเขา้ ใจว่า อยา่ งนน้ั อย่างนี้ นเ่ี ป็นขบหรือเจาะด้วยทฏิ ฐ,ิ ผฟู้ งั มากคือทรงจำ� ตลอดถึงขบหรอื
เจาะด้วยทิฏฐิ ท่านจดั เปน็ พหูสตู นีอ่ ย่างหนึ่ง. อกี อย่างหนง่ึ ปฏบิ ตั ิธรรม คอื เม่อื ฟงั มากทรงจ�ำ
หรือถ้าเหน็ สมควร ก็ทอ่ งพจิ ารณาใหไ้ ด้เนอื้ ความ ขบหรือเจาะดว้ ยทฏิ ฐิ คือ ความเหน็ แลว้ จะ
ควรปฏบิ ัตอิ ย่างไรกป็ ฏบิ ัติไป การปฏิบัติน่นั แหละเปน็ ปฏปิ ตั ตธิ รรม ธรรมคอื การปฏิบตั .ิ
ปฏบิ ัติหมายความวา่ ดำ� เนนิ ไป ปฏบิ ตั ทิ างกายก็เรียกว่าด�ำเนนิ ทางกาย ปฏบิ ัตทิ างวาจา
ก็เรียกว่าด�ำเนินทางวาจา ปฏิบัติทางใจก็เรียกว่าด�ำเนินทางใจ, การปฏิบัติทางกายวาจาก็
สงเคราะห์เข้าในศีล, การปฏิบตั ทิ างใจจดั เขา้ ไดท้ ง้ั ในสมาธิ ทั้งในปญั ญา, ท�ำใจให้สงบดว้ ยมุ่งยึด
อารมณ์อันใดอันหน่ึงเป็นสมาธิ, พิจารณาให้เห็นไปตามเป็นจริง เป็นปัญญา. ค�ำหรือศัพท์ว่า
อารมณ์ ในทางพระพทุ ธศาสนาใชก้ นั มาก วา่ ถงึ ความหมาย หมายถงึ ทย่ี ดึ ทหี่ นว่ ง. ใจไปนกึ อะไร
อนั นัน้ แหละไดช้ ่อื วา่ เป็นอารมณข์ องใจ.

สมถะ-วปิ ัสสนา

คนเราไมค่ อ่ ยไดห้ ดั ทำ� ใจใหต้ งั้ มนั่ คงทอี่ ยู่ ปลอ่ ยใจใหเ้ ปน็ ไปตามอารมณท์ นี่ กึ , นกึ อารมณน์ นั้
อารมณ์นี้ อารมณโ์ น้น. อารมณท์ ีใ่ จยึดหน่วง ถ้าเปน็ อารมณท์ ี่ช่ัว ใจก็ไปมงุ่ อยกู่ ับอารมณท์ ีช่ ั่ว ก็
เปน็ ความช่ัวทางใจหรอื เป็นใจท่ีชวั่ และเกิดทุกข,์ ถ้าอารมณ์เปน็ เร่อื งท่ดี ี ใจไปมงุ่ อยูก่ ับอารมณ์
นนั้ กเ็ ปน็ ใจทีด่ ีและเกิดสุข, ถา้ อารมณเ์ ปน็ เรอ่ื งทไ่ี มด่ ีไมช่ ัว่ ใจไปมงุ่ อยู่กบั อารมณน์ ั้น กเ็ ป็นใจ
ไม่ดไี ม่ชัว่ และไมเ่ กดิ สขุ ไมเ่ กิดทกุ ข์, อารมณ์ทเี่ ป็นท่ยี ดึ หนว่ งของใจทีค่ วรก�ำหนดนกึ น้นั มีมาก
ในทางพระพุทธศาสนา. แตว่ ่าจำ� เพาะงา่ ย ๆ ทา่ นใหก้ ำ� หนดลมหายใจ คือลมหายใจออก กน็ กึ
ก�ำหนดอยู่กบั ลมหายใจออก, ลมหายใจกลับ กน็ กึ อย่กู บั ลมหายใจกลบั . แตค่ นท่ียงั ไมเ่ คยฝกึ หดั
การก�ำหนดทางใจ คอยแต่จะเผลอไป ก็ก�ำหนดไม่ค่อยได้, เพราะฉะนั้น พระอาจารย์แต่ก่อน
ท่านจงึ สอนให้นับเสียกอ่ น คือ เมอ่ื หายใจออกก็นบั ว่าหนง่ึ หายใจเขา้ กน็ ับว่าหนึง่ , หายใจออก
สอง หายใจเข้า สอง, หายใจออก สาม หายใจเข้า สาม, หายใจออก ส่ี หายใจเข้า ส่,ี หายใจ
ออก ห้า หายใจเขา้ หา้ , แลว้ ก็เริม่ ตน้ ใหม่ หน่งึ สอง สาม ส่ี ห้า จนถึงหก ถงึ เจด็ ถึงแปด ถงึ
เกา้ ถงึ สิบ แล้วกน็ ับหน่งึ สองไปใหม่ ถึงห้า แล้วกลับนบั ใหม่ นบั ไปจนถึงสบิ จนไม่ลืม ไม่เผลอ.
ทนี กี้ ห็ ยดุ นบั กำ� หนดดลู มหายใจออก กำ� หนดลมหายใจกลบั กำ� หนดไป แตอ่ ยา่ เรง่ อยา่ ฝนื ; ถา้
ไปเร่งไปฝืนเข้า อาจหอบเหนื่อย ท�ำไม่ไหว ต้องปล่อยไปตามเรื่องของเขา จะยาวหรือสั้นตาม

132

เรอ่ื งของเขา เปน็ แตก่ ำ� หนดใหร้ ,ู้ เมอื่ กำ� หนดเชน่ นน้ั ลมหายใจจะละเอยี ดเขา้ โดยลำ� ดบั จนถงึ รสู้ กึ
วา่ ไมห่ ายใจ แตท่ จี่ รงิ หายใจ หายใจอยา่ งละเอยี ด. นอี่ ยา่ งหนง่ึ เรยี ก สมถะ แปลวา่ สงบระงบั
เพราะระลกึ อยใู่ นอารมณอ์ นั เดยี ว. เมอื่ ระลกึ ลมหายใจออกกลบั อยู่ ใจกไ็ มฟ่ งุ้ ซา่ นซดั สา่ ย สงบ,
ทา่ นวา่ ใจทจี่ ะสงบนนั้ มรี ศั มรี งุ่ เรอื ง เสมอื นดงั เปลวเทยี นทจ่ี ดุ อยไู่ มถ่ กู ลมพดั กม็ แี สงสวา่ งถา้ เทยี น
ทจี่ ดุ ถกู ลมพดั วอบแวบไปทางโนน้ ทางนี้ แสงกไ็ มส่ วา่ ง. ทางพระพทุ ธศาสนาจงึ สอนใหห้ ดั ทำ� ใจให้
สงบ จะนกึ ถงึ สงิ่ อนื่ เปน็ อารมณก์ ไ็ ด้ แตใ่ หม้ งุ่ อยใู่ นสง่ิ นน้ั แตอ่ ยา่ บงั คบั ขม่ ขนื ใหท้ ำ� ไปตามเรอื่ ง.
อกี อยา่ งหนงึ่ พจิ ารณากายน,้ี การพจิ ารณากายนที้ า่ นแสดงไวห้ ลายอยา่ ง, พจิ ารณาโดย
อรยิ สจั ๔ กไ็ ด้ พจิ ารณาโดยไตรลกั ษณว์ า่ ไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตากไ็ ด,้ พจิ ารณาตามธาตุ ๔
กไ็ ด้ ตามอาการ ๓๑ กไ็ ด้ นน่ั แลว้ ถงึ จะพดู กนั ตอ่ ไป. วา่ ถงึ พจิ ารณารา่ งกายโดยไตรลกั ษณต์ ง้ั แต่
เกิดมา แล้วแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเสมอ น้ีเรียกว่าไม่เท่ียง, ทนอยู่อย่างใดอย่างหน่ึงก็ไม่ได้
ชอบใจอยากใหท้ นกท็ นไมไ่ ดต้ อ้ งดบั ไป แลว้ เกดิ ใหม่ แลว้ กด็ บั ไป นชี่ อ่ื วา่ เปน็ ทกุ ข์ ทนอยไู่ มไ่ ด,้
บงั คบั ใหเ้ ปน็ ตามทเี่ ราชอบไมไ่ ด้ เปน็ อนตั ตา เชน่ ตง้ั แตเ่ กดิ มาแลว้ จะใหเ้ ทย่ี งอยตู่ ามเดมิ กเ็ ทย่ี ง
อยไู่ มไ่ ด้ แปรปรวนเรอ่ื ยมาจนบดั นี้ แลว้ ยงั แปรปรวนตอ่ ไปอกี จะใหม้ นั ทนกท็ นอยไู่ มไ่ ด้ บงั คบั ให้
เปน็ ไปตามใจหวงั กไ็ มไ่ ด,้ เพราะฉะนนั้ ไตรลกั ษณท์ งั้ ๓ ทมี่ แี กก่ ายกค็ อื ไมเ่ ทยี่ ง สง่ิ ใดทไี่ มเ่ ทย่ี ง
สงิ่ นนั้ กเ็ ปน็ ทกุ ข์ สง่ิ ใดเปน็ ทกุ ข์ สง่ิ นนั้ กเ็ ปน็ อนตั ตา, พจิ ารณาจนผพู้ จิ ารณา เปน็ ผพู้ จิ ารณาสว่ น
กายกเ็ ปน็ กาย ใหเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ , นเ่ี ปน็ ทางวปิ สั สนา หมายความวา่ เหน็ แจง้ คอื เหน็ ตามเปน็
จรงิ . ในชนั้ ตน้ นย้ี งั จะเขา้ ใจไมไ่ ดด้ ี กฟ็ งั เพยี งใหร้ ไู้ ว้ แลว้ ตอ่ ไปจงึ คอ่ ยใหเ้ ขา้ ใจยงิ่ ขนึ้ .
รวมหลกั ทางปฏบิ ตั กิ ม็ ี ๒ คอื ทำ� ใจใหส้ งบ ทเ่ี รยี กวา่ สมถะ หรอื สมาธิ กบั พจิ ารณาให้
เหน็ จรงิ ใหเ้ หน็ แจง้ ทเ่ี รยี กวา่ วปิ สั สนา.

การส่ังสอนของพระพทุ ธเจ้า

อาการทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงสงั่ สอน หรอื แสดงธรรมสง่ั สอนตามหลกั พระพทุ ธศาสนา ทรง
แสดงธรรมสงั่ สอนดว้ ยอาการ ๓ อยา่ ง คอื
๑. สงั่ สอนเพอื่ ใหร้ ู้ หมายถงึ เขา้ ใจดว้ ย พระบาลแี สดงขอ้ นไี้ วว้ า่ อภญิ ฺ าย โข โส ภควา
ธมมฺ ํ เทเสติ โน อนภญิ ฺ าย พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงแสดงธรรมเพอ่ื รู้ ไมท่ รงแสดงธรรมเพอื่ ไมร่ .ู้
๒. พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมมเี หตุ ซงึ่ หมายความวา่ มเี หตมุ ผี ล ไมใ่ ชแ่ สดงสง่ ๆ ไป
ไมม่ เี หตมุ ผี ล ไดใ้ นภาษาบาลวี า่ สนทิ านํ ธมมฺ เทเสติ โน อนทิ านํ ทรงแสดงธรรมมนี ทิ าน ซง่ึ
แปลวา่ เหตุ หมายความวา่ เหตทุ จี่ ะใหผ้ ล ไมท่ รงแสดงธรรมไรเ้ หต.ุ ศพั ทว์ า่ นทิ านน้ี เราเอามาพดู กนั

133

หมายถงึ เรอื่ งตา่ ง ๆ แตก่ น็ บั วา่ เปน็ เหต,ุ เพราะเมอ่ื แสดงนทิ านหรอื เรอ่ื งตา่ ง ๆ ไปแลว้ ผฟู้ งั รเู้ รอ่ื ง กเ็ ขา้ ใจ
ถงึ ผลทมี่ ี เพราะเหตวุ า่ เปน็ อยา่ งไร. คนไมเ่ ขา้ ใจ กไ็ ปหมายเอานทิ านวา่ เรอื่ ง, ทจี่ รงิ กถ็ กู เพราะเรอื่ งนนั่
แหละเปน็ เหตทุ ใี่ หผ้ ล, เพราะเมอ่ื คนฟงั นทิ านเปน็ เหตแุ ลว้ รคู้ วามเขา้ ใจความเปน็ ผล, นอี่ กี ขอ้ หนงึ่ .
๓. เมือ่ ทรงแสดงธรรมเพือ่ ใหร้ ู้เพ่ือเข้าใจ และมเี หตุผลเชน่ นแี้ ลว้ , ผ้ฟู ังปฏิบตั ิตาม ยอ่ ม
ประสบผลดว้ ยตนเอง ไม่ตอ้ งรอใครมาหยิบยนื่ ใหไ้ ดใ้ นภาษาบาลวี ่า สปปฺ าฏหิ าริยํ ธมฺม เทเสติ
โน อปปฺ าฏหิ าริยํ ทรงแสดงธรรมมปี าฏหิ ารยิ ์ ไม่ทรงแสดงธรรมไรป้ าฏหิ ารยิ ์ เพราะปฏบิ ัติเหตุ
และได้ผลในชาตนิ ี้เอง ไมต่ ้องรอไปถึงชาตหิ นา้ เชน่ การเวน้ จากฆ่ากนั และกนั เป็นเหตุ กใ็ ห้ผล
เปน็ คนทมี่ ีใจเมตตากรุณา เป็นท่ไี ว้ใจของผูอ้ ื่นว่าจะไมฆ่ า่ เชน่ นเ้ี ปน็ ตน้ .
พระพทุ ธศาสนาแสดงธรรมดว้ ยอาการ ๓ อยา่ งนี้ ตรงกนั ขา้ มกบั บางศาสนาทเ่ี ปน็ แตส่ อนให้
เชอื่ เทา่ นน้ั ไมต่ อ้ งการใหร้ ใู้ หเ้ ขา้ ใจ เปน็ แตเ่ ชอื่ ตามคำ� สงั่ สอนกเ็ ปน็ แลว้ กนั และยงั เรยี กผทู้ ไ่ี มป่ ลงใจ
เชอื่ วา่ เปน็ ผเู้ ชอื่ นอ้ ย หรอื มคี วามเชอื่ นอ้ ยกม็ .ี เพราะพระพทุ ธเจา้ สอนใหร้ ู้ ไมใ่ ชส่ อนใหไ้ มร่ ู้ จนถงึ เขา้ ใจ
มเี หตมุ ผี ล, เมอ่ื บคุ คลมาปฏบิ ตั เิ อง กไ็ ดป้ ระสบผลในปจั จบุ นั นี้ ไมต่ อ้ งไปรอถงึ ชาตหิ นา้ ทง้ั สว่ นดที ง้ั
สว่ นชว่ั . เพราะเหตนุ แี้ หละ พระพทุ ธเจา้ เมอื ประกาศหรอื แผพ่ ระศาสนา ในชนั้ ตน้ จงึ ไดเ้ สดจ็ ไปสงั่ สอน
แกน่ กั บวชดว้ ยกนั เชน่ ทรงแสดงคำ� สงั่ สอนแกพ่ ระปญั จวคั คยี ,์ ตอ่ ไปกท็ รงแสดงสงั่ สอนแกช่ ฎลิ
๑,๐๐๐ องค.์ ตอ่ ไปกท็ รงสงั่ สอนแกป่ รพิ าชกเกา่ ทมี่ พี ระสารบี ตุ ร พระโมคคลั ลานะ เปน็ ตน้ , ตอ่ ไป
กท็ รงสงั่ สอนแกพ่ ระเจา้ แผน่ ดนิ อำ� มาตย์ และพราหมณ,์ ยงั ไมท่ รงแสดงคำ� สง่ั สอนแกค่ นสามญั หรอื
จะเรยี กวา่ ชน้ั ตำ่� กไ็ ด.้ ทำ� ไมจงึ เปน็ เชน่ นนั้ ? เพราะพระพทุ ธเจา้ สอนใหร้ มู้ เี หตผุ ล คนปฏบิ ตั ติ าม ยอ่ ม
ไดป้ ระสบผลไดด้ ว้ ยตนเอง จงึ จำ� ตอ้ งแสดงแกน่ กั บวชดว้ ยกนั ทม่ี งุ่ จะรมู้ งุ่ จะเขา้ ใจและตอ้ งการรเู้ หตุ
รผู้ ล ตอ้ งการปฏบิ ตั ,ิ ถงึ พระเจา้ แผน่ ดนิ อำ� มาตยแ์ ละพวกพราหมณก์ เ็ ปน็ ผคู้ งแกเ่ รยี น อาจจะพงึ รเู้ ขา้ ใจ
ไดง้ า่ ยกวา่ คนสามญั ทไ่ี มไ่ ดค้ งแกเ่ รยี น และจะรจู้ กั เหตผุ ลไดด้ ี จนถงึ ปฏบิ ตั ไิ ดป้ ระสบผลดว้ ยตนเอง.
สว่ นบางศาสนา สอนให้เช่อื ไมใ่ ช่สอนให้รู้ และก็ไม่มเี หตผุ ล สอนแตใ่ หเ้ ช่อื เทา่ นนั้ และ
อ้างวา่ ถา้ เชื่อแลว้ ตายไปจะไดไ้ ปเกิดในสวรรค,์ ถา้ ไมเ่ ช่ือ ตายไปจะไปเกิดในนรก, ไปอา้ งเอา
ชาติหน้าเทา่ น้ัน เพราะฉะนัน้ จงึ สอนคนสามญั หรือช้นั ต่�ำ ๆ ได้สะดวก เพราะเขาไมต่ ้องการใช้
ปญั ญาพจิ ารณา. แมว้ า่ เมอื่ คนทเ่ี ชอ่ื คำ� สงั่ สอนของศาสดาเชน่ นน้ั ในชนั้ ตน้ จะมนี อ้ ย แตต่ อ่ ๆ ไป
หลายชั่วอายคุ นเข้า ก็มีลูกหลานสืบ ๆ กันไป, คนทีเ่ ชอื่ ศาสนาของศาสดาเช่นนัน้ ก็มาก ๆ ออก
ไป, จนถึงบางศาสดาสอนไม่ให้พิจารณาค�ำสอนของศาสดาน้ัน. ตรงกันข้ามกับค�ำส่ังสอนของ
พระพทุ ธเจ้า พระพทุ ธเจา้ ไมไ่ ด้สอนให้เช่อื พระองค์ แตส่ อนใหร้ ู้และมเี หตุมีผล คนปฏิบตั ิตามได้
ประสบด้วยตนเอง ตง้ั แต่ชาติน้ีไปทเี ดียว.
134

ประโยชน์ ๓ ระดบั

เพราะฉะน้นั การแผศ่ าสนาของพระพทุ ธเจา้ จงึ ตา่ งกนั กบั ศาสนาอื่น คือทรงแผ่ไปในคน
ชั้นสูง หรือคนคงแก่เรียนก่อน และก็สอนด้วยปรมัตถ์ประโยชน์อย่างย่ิง คือ ให้รู้จริงเห็นจริง.
การสอนแสดงประโยชนอ์ ย่างยิ่ง จะไปแสดงแก่คนสามญั ไมใ่ ชค่ นคงแกเ่ รียน เขาจะรูจ้ ะเขา้ ใจได้
อยา่ งไร. แตถ่ งึ เชน่ นนั้ ศาสดาบางคนกย็ งั แสดงวา่ เพราะศาสนาของเขาแท้ แมแ้ สดงแกค่ นชนั้ ตำ่�
คนชนั้ ตำ�่ เชอ่ื , ตอ่ ไปคนคนชน้ั สงู กเ็ ชอื่ ตามไป. แตพ่ ระพทุ ธเจา้ สอนแกค่ นชนั้ สงู คอื คนคงแกเ่ รยี น
แล้วต่อไปถึงคนช้ันสามัญถึงคนชั้นต่�ำ. พระพุทธเจ้าสอนพระศาสนาแก่คนชั้นสูง และสอนด้วย
ปรมัตถ์ ประโยชน์อยา่ งย่งิ ก่อน, แตเ่ พราะถ้าทรงสอนเท่านัน้ กไ็ ม่ทั่วถงึ คนชนั้ ต�่ำลงมา, เพราะ
ฉะน้ัน จึงทรงพระกรุณาแสดงธรรมต�่ำลงมา ซ่ึงเรียกว่าสัมปรายกัตถ ประโยชน์ภายภาคหน้า,
แต่โดยตรง ก็ทรงแสดงประโยชน์ส�ำหรับหมู่นั่นเอง คือแสดงธรรมแก่คนท่ีอยู่ด้วยกันเป็น
หมวดหมู่ เพอ่ื ใหเ้ ขาประพฤตดิ ีประพฤติชอบต่อกนั เมื่อเขาตงั้ ใจประพฤติดปี ระพฤติชอบตอ่ กนั
แล้ว, น่ันเองเป็นบุญเป็นกุศล และจะให้ผลเป็นสุขในภายภาคหน้า คือ ตั้งแต่ตายไปแล้วด้วย,
เมอ่ื มุ่งถึงประโยชนช์ าติหนา้ จงึ เรยี กว่า สมั ปรายกิ ตั ถ ประโยชนใ์ นภายหน้า, แต่โดยตรง ก็เพือ่
ประโยชนแ์ กค่ นทอ่ี ยดู่ ว้ ยกนั เปน็ หมนู่ นั่ เอง. ถงึ เชน่ นน้ั กย็ งั มคี นเปน็ อนั มากทย่ี งั ตง้ั เนอื้ ตง้ั ตวั ไมไ่ ด้
ถา้ พระพทุ ธเจา้ ไมท่ รงแสดงธรรมสง่ั สอนสำ� หรบั คนเชน่ นน้ั คนเชน่ นน้ั กข็ าดประโยชนไ์ ป, เพราะ
ฉะนน้ั จึงทรงแสดงค�ำส่งั สอนเลื่อนลงมาอกี ชน้ั หนง่ึ เพอื่ จะให้คนที่ยงั ต้งั ตัวไมไ่ ด้ให้ตั้งตัวได้ด้วย
ดีในปัจจุบนั อนั เรยี กวา่ ทิฏฐธัมมกิ ตั ถ คือประโยชนใ์ นปจั จุบนั .
เพราะฉะนน้ั เมอ่ื รวมค�ำสง่ั สอนของพระพุทธเจา้ เขา้ แล้ว จงึ นบั เปน็ ๓ ชัน้ : ชัน้ สงู สอน
ปรมัตถ์ ประโยชน์อย่างย่ิง และสอนแก่คนที่คงแก่เรียน เช่น พวกนักบวช พระเจ้าแผ่นดิน
อ�ำมาตย์ พราหมณ์, ต่อมาจึงทรงสั่งสอนแก่คนชั้นกลางที่อยู่ด้วยกันเป็นหมวดหมู่ ให้ต้ังใจ
ประพฤตดิ ปี ระพฤตชิ อบต่อกนั , ต่อลงมาจงึ สอนให้คนทย่ี ังตัง้ ตัวไมไ่ ด้ ตั้งตัวได้ในปจั จบุ นั เพราะ
ฉะน้ัน จึงจัดประโยชน์เป็น ๓ คือ ปรมัตถประโยชน์ สัมปรายิกัตถประโยชน์ ทิฏฐธัมมิกัตถ
ประโยชน์ น่เี ป็นหลกั ทางพระพุทธศาสนา.
ถา้ พระพทุ ธเจา้ สอนปรมตั ถประโยชนแ์ กค่ นชน้ั ตำ่� หรอื คนสามญั ทไี่ มค่ งแกเ่ รยี น เขากไ็ มร่ ู้
ไมเ่ ขา้ ใจ, แมจ้ ะแสดงเหตผุ ลเขากไ็ มร่ ไู้ มเ่ ขา้ ใจอยนู่ นั่ เอง เมอ่ื เปน็ เชน่ น้ี เขาจะปฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ
อย่างไรได้ก็เป็นอันไม่ได้รับประโยชน์, ทรงแสดงธรรมส่ังสอนก็เสียประโยชน์เปล่า ทรงเหนื่อย
เปล่า, มคี นทลู ถามพระพทุ ธเจา้ ว่า ท�ำไมจงึ ทรงแสดงธรรมสง่ั สอนแกพ่ ระสาวกมาก ตอ่ ลงไปก็

135

แสดงแก่คนท่ีเป็นช้ันกลาง แสดงแก่คนสามัญน้อย, พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามเป็นค�ำเปรียบว่า
เหมอื นดงั คนมนี า ๓ อย่าง นาอยา่ งดี นาอย่างกลาง นาอย่างเลว, เจา้ ของนาจะท�ำนาอะไรก่อน
ก็ต้องท�ำนาอย่างดีก่อนเพ่ือให้ได้ผล, เมื่อท�ำนาอย่างดีเสร็จแล้ว ยังมีเวลาเหลืออยู่ก็ท�ำนาอย่าง
กลาง เพราะอยา่ งไร ๆ ก็ยงั ไดผ้ ลดกี วา่ ไม่ได้ เม่ือเหลือเวลาต่อไปอีก ก็ท�ำนาอยา่ งเลว เพราะถึง
อยา่ งไร ๆ ก็จะไดผ้ ลบา้ ง หรือไม่ได้ กย็ งั เป็นอาหารของสตั ว์ เช่น วัว ควาย.

ภาษากบั ธรรม

คำ� สั่งสอนทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง ๆ ดว้ ยพระโอษฐ์ คอื ปาก, ให้ผู้ฟังฟงั ด้วยหู แลว้ ก็
พจิ ารณาเนอื้ ความไปจนเกดิ ความเขา้ ใจ, เพราะในครง้ั นนั้ หนงั สอื ยงั ไมแ่ พรห่ ลาย คนเรยี นหนงั สอื
กย็ งั มนี อ้ ย และกใ็ ชท้ รงแสดงสง่ั สอนดว้ ยภาษามคธ คอื ภาษาของชาวมคธ, เพราะเวลานนั้ ประเทศ
มคธเปน็ ประเทศใหญ่มคี นมาก, เขาใชภ้ าษามคธเปน็ คำ� พูดกนั แพร่หลาย, เพ่อื ประโยชนท์ จี่ ะให้
คนฟังเขา้ ใจรกู้ นั ได้มาก ๆ หรอื เข้าใจได้ง่าย ๆ จึงทรงแสดงธรรมสง่ั สอนด้วยภาษามคธ.
ภาษาคอื คำ� พดู กบั ธรรมไมใ่ ชอ่ นั เดยี วกนั . ธรรมคอื ตวั สจั จธรรม ธรรมทเี่ ปน็ จรงิ มปี ระจำ�
อยใู่ นโลกไมว่ า่ งเวน้ แตว่ า่ ไมป่ รากฏแกค่ นทไ่ี มส่ นใจ ไมไ่ ดค้ น้ หา ไมไ่ ดป้ ฏบิ ตั ,ิ ตอ่ เมอ่ื บคุ คลสนใจ
คน้ หาปฏบิ ัติ จงึ จะไดพ้ บธรรม คือสจั จธรรม ธรรมทเ่ี ป็นจรงิ น่นั เอง, เช่น พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงมุ่ง
หมาย ทรงค้นและทรงปฏิบัติ เมื่อทรงแสดงค�ำสั่งสอนด้วยภาษามคธ ภาษามคธจึงเป็นภาษา
ศาสนา ซงึ่ แสดงสจั จธรรมทเ่ี ปน็ จรงิ . ในภายหลงั มาน้ี พระศาสนาทแ่ี สดงสจั จธรรมแพรห่ ลายไป
ในประเทศอ่ืน ๆ เช่นแพร่หลายไปในประเทศลังกา ชาวลังกาได้ความเช่ือความเลื่อมใสก็แสดง
ค�ำสั่งสอนธรรมน้ันไปด้วยภาษาลังกา, ครั้นแผ่มาถึงประเทศไทย ผู้เรียนธรรมคือสัจจธรรมได้
ความรคู้ วามเขา้ ใจ กแ็ สดงคำ� สงั่ สอนกนั ดว้ ยภาษาไทย, ตอ่ ไปในประเทศยโุ รป เขากแ็ สดงไปดว้ ย
ภาษาตา่ ง ๆ แตก่ ม็ ุ่งแสดงสัจจธรรม ธรรมที่เปน็ จรงิ นั้นเอง, สัจจธรรม ธรรมทีเ่ ปน็ จริงคงที่ จะ
แสดงใหร้ ดู้ ว้ ยภาษาอะไรกไ็ ด้ แตค่ รงั้ กอ่ นและทปี่ ระเทศลงั กา ทา่ นพระอาจารยม์ กั จะแสดงธรรม
ดว้ ยภาษามคธ ซง่ึ เราเรยี กวา่ ภาษาบาลใี นบดั นี้ เพราะคนลงั กาในครงั้ นนั้ รภู้ าษามคธ หรอื ภาษา
บาลีกันมาก. คนไทยเราเมื่อจะเรียนธรรมคือสัจจธรรม ก็ต้องเรียนภาษาบาลีที่ประกาศแสดง
สจั จธรรม ไมเ่ ชน่ น้ันกไ็ ม่ไดเ้ ปดิ ประตเู ขา้ ไปหาสจั จธรรม. แตภ่ ายหลงั มานี้ คนร้สู ัจจธรรมในชน้ั
ตน้ มาก และคนรภู้ าษาบาลหี รือภาษามคธน้อย จงึ มักแสดงประกาศสจั จธรรมกนั ด้วยภาษาไทย
ในลงั กาเขาก็แสดงด้วยภาษาลงั กา, ในยุโรปเขาก็แสดงกนั ดว้ ยภาษาของชาวยุโรปชาตหิ น่ึง ๆ.

136

สจั จธรรม ๒ ประเภท

สัจจธรรม ธรรมท่ีเป็นจริง แยกออกไปได้เป็น ๒ คือสัจจธรรมในทางโลกอย่างหนึ่ง
สจั จธรรมในทางธรรมอยา่ งหนงึ่ . สจั จธรรมในทางโลก กไ็ ดแ้ กเ่ หตผุ ลทม่ี ที เี่ ปน็ อยใู่ นโลก เชน่ ฝน
ตกดินเปียก แดดออก ดินแหง้ หรอื ฟา้ ผา่ สงิ่ ทถ่ี กู ฟ้าผ่าทลายหกั พัง, น่เี ป็นสจั จธรรม ธรรมที่
เปน็ จริงในทางโลก, เมอ่ื ผ้สู นใจจะรู้สัจจธรรมในทางโลก เขากเ็ รียนเหตุผลในทางโลกกนั จนจับ
ไดอ้ ยา่ งละเอยี ด นำ� มาทำ� ของทยี่ งั ไมม่ ไี มเ่ ปน็ ใหม้ ใี หเ้ ปน็ ขนึ้ เชน่ เรอื บนิ เรอื ดำ� นำ้� เปน็ ตน้ . สว่ น
สัจจธรรมท่ีเปน็ ในทางธรรมน้ัน กค็ อื สัจจธรรมทมี่ ีที่บุคคล.
บุคคลตามธรรมดา ว่าตามทางพระพุทธศาสนา ยังไม่เป็นคนดีคนชั่ว, เม่ือยังไม่ได้ท�ำ
อะไร ไมไ่ ดพ้ ดู อะไร ไมไ่ ดค้ ิดอะไรท่เี ปน็ ดหี รือเปน็ ชวั่ . พงึ นกึ ดูเด็ก ๆ เม่อื เขายงั ไมร่ ูจ้ ักดชี ่ัวผดิ
ถูก เขาก็ไมแ่ สดงอาการดอี าการชัว่ ออกมาใหป้ รากฏ เปน็ แตแ่ สดงอาการอย่างเด็ก ๆ ท่ไี ม่นิยม
ยอึ ถอื กันว่าเปน็ ดเี ป็นช่ัว, ต่อเมื่อบคุ คลน้ันแหละเป็นผ้ใู หญ่ขึน้ แล้วท�ำดีออกไปเป็นเหตุ ก็ปรากฏ
ผลให้เป็นคนดี, ท�ำชั่วออกไปเป็นเหตุ ก็ปรากฏเป็นคนช่ัว, นี่เป็นสัจจธรรมในภายใน หรือ
สจั จธรรมทางธรรม และมที บี่ คุ คล ตลอดจนถงึ มรรคผลนพิ พานอนั เปน็ สจั จธรรมชน้ั สงู กป็ รากฏ
ทบ่ี ุคคลนนั่ เอง ถา้ ไมม่ บี คุ คล มรรคผลนพิ พานกไ็ มป่ รากฏ ดชี วั่ จงึ ปรากฏทีบ่ ุคคล เหตผุ ลที่มีที่
บุคคลนแี้ หละ เปน็ สัจจธรรมทางธรรม. ถา้ ออกไปเก่ียวข้องกบั โลกธาตุ เปน็ สัจจธรรมทางโลก.
ทางพระพุทธศาสนามุ่งแสดงสัจจธรรมเก่ียวกับคนเป็นใหญ่ไม่ได้มุ่งสอนทางโลกหรือ
เหตผุ ลทางโลก. เพราะอะไร ? เพราะวา่ คนทแี่ มจ้ ะรจู้ กั เหตผุ ลทางโลกแลว้ นำ� มาประกอบใหเ้ ปน็
ส่ิงต่าง ๆ ขึ้น และน�ำมาใช้ในทางชั่ว เช่น ท�ำลายล้างกัน ก็ได้ผลช่ัวเป็นทุกข์. แต่ถ้าคนเป็น
คนดีแล้ว นำ� สง่ิ ของที่ทำ� ขึ้นมาทะนุบ�ำรุงกนั ดี ได้ผลดีเป็นสุข หลักส�ำคัญจึงอยู่ท่ีคน: ถ้าคนรจู้ กั
เหตุผลท้ังส่วนดีท้ังส่วนชั่วแล้ว ต้องการผลดี ไม่ต้องการผลช่ัว ก็จะได้ท�ำเหตุที่ดีเพื่อจะได้ผลดี
ไมท่ ำ� เหตทุ ช่ี ว่ั เพอื่ จะไมต่ อ้ งไดผ้ ลชวั่ ทงั้ สำ� หรบั ตวั ทงั้ สำ� หรบั คนทอ่ี ยดู่ ว้ ยกนั , เมอ่ื คนมงุ่ ทางธรรม
อยู่เช่นนี้อยู่ด้วยกัน แม้จะมีสิ่งของท่ีไม่ได้เกิดขึ้นใช้ทันสมัย ก็อยู่ด้วยกันเป็นสุข ไม่เบียดเบียน
กนั , แตถ่ า้ ไมม่ หี ลกั ธรรมในตนแลว้ อยดู่ ว้ ยกนั เปน็ ทกุ ขเ์ พราะเบยี ดเบยี นกนั . พระพทุ ธเจา้ มงุ่ สอน
คนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนช่ัว จึงทรงแสดงสัจจธรรมท่บี คุ คล ตัง้ แต่เบื้องตน้ ไปจนถงึ เบ้ืองสูง.

137

ความเป็นมาของพทุ ธศาสนา

ความเปน็ มาของพระพทุ ธศาสนาตอ่ เนอ่ื งกบั บรรพชติ คอื ผบู้ วชในพระพทุ ธศาสนา: เมอ่ื
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ประกาศพระพุทธศาสนาในช้ันต้น ก็ทรงแสดงธรรมอันเป็นสัจจธรรมช้ัน
ปรมัตถประโยชน,์ ครัน้ เมื่อมีผูเ้ ลือ่ มใสบวชข้นึ ในพระพุทธศาสนามากเขา้ และมผี ู้ประพฤติไม่ดี
ไม่ชอบ ก็ทรงบัญญัติวินัยเป็นข้อห้ามไว้อีกส่วนหน่ึง, พระพุทธศาสนาจึงแยกเป็น ๒ คือ เป็น
ธรรม ๑ วนิ ยั ๑. และเมือ่ พระพุทธเจ้าจวนจะปรนิ พิ พานก็ไดต้ รสั ไว้ว่า “โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
ธรรมะและวนิ ยั ทเ่ี ราไดแ้ สดงแลว้ ไดบ้ ญั ญตั แิ ลว้ เปน็ ศาสดาของทา่ นทงั้ หลาย.” เมอื่ พระพทุ ธเจา้
ปรนิ พิ พานแลว้ ความทราบไปถงึ สาวกทอี่ ยตู่ า่ งถน่ิ , มพี ระสาวกหมหู่ นง่ึ ซง่ึ รวมไปกบั พระมหากสั สป
ไดท้ ราบการปรนิ พิ พานของพระพทุ ธเจา้ . พระทง้ั หลายทยี่ งั เปน็ ปถุ ชุ นอยกู่ เ็ ศรา้ โศกเสยี ใจรอ้ งไห,้
ส่วนพระที่เป็นพระอรหันต์ก็ได้ธรรมสังเวช คือความสลดใจเป็นไปตามธรรม, แต่มีพระบวช
เมื่อแก่องค์หน่ึงชื่อสุภัททะ กลับชอบใจ กล่าวห้ามปรามพระท่ีเศร้าโศกเสียใจว่า อย่าร้องไห้
อย่าเศร้าโศกเลย, พระพุทธเจ้านิพพานเสยี ดแี ลว้ พน้ ทกุ ขพ์ น้ รอ้ น, เพราะเมอื่ ยงั ไมป่ รนิ พิ พาน
ทรงแสดงว่า สิ่งนั้นควรท�ำ ส่ิงนั้นไม่ควรท�ำ, พวกเราต้องจ�ำใจท�ำตาม เป็นการล�ำบากใจ,
พระพุทธเจ้านิพพานเสียแล้ว ไม่มีใครว่ากล่าวเราละท�ำได้ตามชอบใจ. พระมหากัสสปเถระ
ได้ทราบขา่ วเข้ากเ็ กิดสงั เวชว่า เพียงพระศาสดาปรินิพพานได้ ๗ วนั เทา่ นนั้ , ยังมีภกิ ษุท่ีเปน็ บาป
กล่าวล่วงเกินถึงเช่นนี้, แต่เพราะยังไม่เป็นเวลาสมควรท่ีจะพูดข้ึน ท่านก็เป็นแต่เพียงส่ังสอน
พระทั้งหลายไม่ให้เศร้าโศกเสียใจร้องไห้ และชวนกันเดินทางมาถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ.
คร้ันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเสร็จแล้ว, เม่ือพระมหาเถระประชุมกันอยู่ ท่านจึงเล่าเร่ือง
ท่ีเป็นมาใหฟ้ งั แล้วชักชวนกนั ทำ� สังคายนา.

สังคายนา

คำ� วา่ สงั คายนา ใชอ้ กี อยา่ งหนง่ึ วา่ สงั คตี ,ิ สงั คตี ิ และ สงั คายนา เปน็ ศพั ทเ์ ดยี วกนั แต่
ลงปจั จยั ตา่ งกนั ตามไวยากรณเ์ ทา่ นน้ั ความอยา่ งเดยี วกนั คอื เปน็ เค หรอื คี ธาตุ แปลวา่ กลา่ ว
เสยี งออกมาทางปาก คกู่ บั วาทติ ะ ใหส้ ง่ิ อน่ื ออกเสยี งแทน, เชน่ ในศลี ๘ ศลี ๑๐ วา่ นจั จคตี
วาทติ ะ, นจั จะ การฟอ้ น, คตี ะ การขบั รอ้ งทางปาก, วาทติ ะ ใหส้ งิ่ อน่ื ออกเสยี งแทน เชน่ เปา่ ป่ี
สซี อ, สงั คตี ิ หรอื สงั คายนา กเ็ ชน่ เดยี วกนั คอื กลา่ วออกมาทางปาก. วธิ ที ำ� สงั คายนาทำ� อยา่ งไร ?
อา่ นในเรอื่ งสงั คตี ิ หรอื สงั คายนาไมส่ ชู้ ดั , แตไ่ ดเ้ คยฟงั พวกนบั ถอื ศาสนาพราหมณพ์ วกหนง่ึ

138

เขานงั่ ลอ้ มกนั มคี นหนงึ่ นงั่ อยบู่ นเตยี งในทา่ มกลางวา่ นำ� ขนึ้ ผทู้ นี่ งั่ ลอ้ มอยกู่ ว็ า่ ตาม. จงึ ถามวา่ เขา
ท�ำอะไรกนั , มีผตู้ อบวา่ คีตะ, กแ็ ปลไดว้ า่ กริ ิยาทมี่ ผี ้วู ่านำ� และมีผู้วา่ ตามไปพรอ้ ม ๆ กนั น่ีคือ
คตี ะ, เม่ือตอ้ งการแสดงให้ชัดว่าออกเสียงพร้อม ๆ กนั ก็เพมิ่ สํ เข้าขา้ งหนา้ เป็น สังคีตะ แปล
ว่าออกเสียงพรอ้ ม ๆ กนั .
ในเรื่องสังคีติหรือสังคายนา แสดงว่า เม่ือท�ำปฐมสังคายนา พระมหากัสสปเป็นผู้ถาม
พระวินยั พระอุบาลเี ปน็ ผแู้ ก้ ด้วยถามว่า ปฐมปาราชกิ พระพุทธเจ้าบัญญตั ทิ ี่ไหน และปรารภ
ใคร เรอ่ื งอะไร. พระอบุ าลกี แ็ กไ้ ปเปน็ ตอน ๆ จนตลอดพระวนิ ยั . พระเถระทป่ี ระชมุ กนั นนั้ กส็ วด
ขน้ึ พรอ้ ม ๆ กนั . เรอื่ งทแี่ สดงถงึ สงั คตี หิ รอื สงั คายนานมี้ ใี นสามนตอ์ รรถกถาพระวนิ ยั ซงึ่ ทา่ นเกบ็
เอาความมาแสดง เมอ่ื พระพทุ ธศาสนาลว่ งไปแลว้ กวา่ ๔๐๐ ป,ี ดไู มน่ า่ จะเปน็ เชน่ นนั้ . ถา้ พจิ ารณา
ดนู า่ จะเหน็ วา่ ทา่ นเลอื กกนั วา่ ใครเปน็ ผทู้ รงจำ� วนิ ยั ไดช้ ำ� นาญ กน็ มิ นตท์ า่ นองคน์ นั้ ใหเ้ ปน็ ผแู้ สดง,
เชน่ ครง้ั ปฐมสงั คายนา พระอบุ าลเี ปน็ ผทู้ รงจำ� พระวนิ ยั ไดช้ ำ� นาญ พระมหากสั สปกน็ มิ นตใ์ หพ้ ระ
อบุ าลเี ปน็ ผแู้ สดง พระอบุ าลแี สดงตงั้ แตต่ น้ ไปจนจบ ไมน่ า่ จะมถี ามมแี กก้ นั , เมอ่ื พระอบุ าลแี สดง
ไปจบตอนหนง่ึ แล้ว พระที่ประชมุ กันก็หารอื สอบกันวา่ ถกู ตอ้ งหรือไม่, เมอ่ื เห็นว่าถกู ตอ้ งแลว้ ลง
กนั แล้ว กส็ วดขน้ึ พร้อม ๆ กัน ตามทพี่ ระอบุ าลีแสดงเป็นตอน ๆ ไปจนจบ เปน็ อนั ทอ่ งกันไปใน
เวลานนั้ . ในสว่ นพระธรรม ซงึ่ แยกเปน็ พระสตู รและพระอภธิ รรมหรอื ปรมตั ถ์ กเ็ ชน่ เดยี วกนั , แต่
วา่ พระอานนทเ์ ปน็ ผทู้ รงธรรม พระมหากสั สปจงึ นมิ นตใ์ หพ้ ระอานนทเ์ ปน็ ผแู้ สดง, ตามเรอื่ งสงั คตี ิ
หรอื สงั คายนากเ็ ลา่ ไวเ้ หมอื นกนั คอื พระมหากสั สปถามวา่ สตู รนน้ั พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงทไ่ี หน
และปรารภใครแสดงว่าอย่างไร พระอานนท์ก็แก้, แต่ดูไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น; พระอานนท์แสดง
พระสูตรต้ังแต่ต้น ท่านจะจับสูตรไหนก็ตาม แสดงไปตอนหน่ึงให้ฟัง, พระท่ีประชุมกันอยู่ก็ฟัง
แลว้ กพ็ จิ ารณากนั วา่ ถกู หรอื ไมถ่ กู ถา้ ถกู กท็ อ่ งตามกนั ไป ถา้ ไมถ่ กู กส็ อบสวนถามกนั วา่ อยา่ งไรถกู ,
เมอื่ ตกลงกนั วา่ อยา่ งไรถกู แลว้ กส็ วดพรอ้ ม ๆ กนั ไป ทอ่ งกนั ไปในเวลานนั้ ทเี ดยี ว. จบตอนหนงึ่ ๆ
ก็ท่องตอนหน่งึ ๆ. ถ้าดูเพยี งอาการเท่านจี้ ะเหน็ วา่ ยากนกั หนา จะทำ� อย่างไรไหว. แต่วา่ ถา้ ดตู าม
เรื่องแล้วไม่ใช่เป็นการยาก เพราะพระเถระทั้งน้ันท่านเป็นผู้ทรงวินัย ท่านเป็นผู้ทรงธรรมไว้ได้
ดว้ ยกนั ทวั่ ๆ กนั จำ� ขน้ึ ใจอยเู่ หมอื น ๆ กนั เปน็ แตว่ า่ ใครชำ� นาญทางไหนกม็ งุ่ ไปทางนน้ั , พระพทุ ธ
ศาสนาที่ทา่ นจ�ำกนั ไว้ เรยี กวา่ มขุ ปาฐ คือบาลีปาก หมายความว่าทา่ นท่องจำ� ไว้, เพราะฉะน้ัน
เมอื่ พระอบุ าลแี สดงวนิ ยั ใหฟ้ งั เมอื่ ตกลงกนั วา่ อยา่ งนถ้ี กู แลว้ กว็ า่ ตามกนั ไปเปน็ ตอน ๆ จงึ ไมย่ าก
เพราะจำ� กันได้ทง้ั นัน้ เป็นแต่สอบกนั ใหแ้ นน่ อนเทา่ นนั้ .

139

จติ รกรรมเร่อื ง การสงั คายนาพระไตรปฎิ กครั้งท่ี ๑ และคร้งั ท่ี ๒
ณ หอพระไตรปฎิ ก วดั บวรนเิ วศวิหาร

140

ต่อมาคร้ังที่ ๒ พระวัชชีบุตร เกิดลดพระวินัยลงมาหาคนท่ีท่านอ้างว่าแสดงวัตถุ ๑๐
หยอ่ นวนิ ยั ลงมาใหพ้ อประพฤตไิ ดส้ ะดวกมี ๑๐ อยา่ ง จงึ เรยี กวา่ วตั ถุ ๑๐ อยากจะรไู้ ปดใู นสงั คตี ิ
ได้. เพราะพระธรรมและพระวินัยท่านจ�ำได้ด้วยปากจนขึ้นใจ เมื่อมีพวกที่ย่อหย่อนต่อพระวินัย
ลดพระวนิ ัยลงมาหาคนเสยี ก็หย่อนลงไปชัน้ หนึง่ ถ้าปลอ่ ยลงไปเช่นนัน้ กจ็ ะหยอ่ นลงไปอีก. แต่
พระเถระครั้งกระน้ัน มีพระยสเถระกากัณฑกบุตร เป็นต้น ไม่เห็นด้วย ไม่ยอมท�ำตามพวกที่
หยอ่ นวินัยลงมาหาคน จงึ ชกั ชวนพระพวกทเ่ี คร่งครัด ใหร้ วมกันเขา้ ทำ� สงั คายนาอย่างท่ีกลา่ วมา
แล้ว คือ ให้ท่านผู้ช�ำนาญวินัย แสดงวินัยเป็นตอน ๆ แล้วพระท่ีประชุมกันก็ว่าตามกันเป็น
ตอนๆไปจนจบพระวินัย แล้วให้แสดงธรรมเป็นตอน ๆ ว่าตามกันไปจนจบ; เมื่อเป็นเช่นนี้
กพ็ ิสจู นไ์ ด้ว่า วนิ ยั ท่พี ระวชั ชบี ตุ รหยอ่ นลงมาหาคน ผิดพระบัญญัตทิ ี่พระพทุ ธเจ้าทรงบัญญัตไิ ว้
ใชไ้ มไ่ ด้ ทา่ นจงึ กำ� จดั พระวชั ชบี ตุ รออกจากหมอู่ อกจากพวก. ถา้ จะถอื วา่ พระยสเถระกณั ฑกบตุ ร
ท�ำสังฆเภท แยกสงฆ์ในเวลาน้ันให้แตกกัน ก็น่าจะหา, แต่ว่าท่านไม่หากัน กลับยกย่องว่า
ท่านท�ำดี ท่านได้ท�ำคุณแก่พระพุทธศาสนาหรือแก่คนท่ีนับถือพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งเสียอีก,
เพราะถ้าไม่ทำ� เชน่ นั้นแล้ว พระพุทธศาสนาจะเลอะเลอื นไปทุกที, ที่ท่านกำ� จดั พวกวชั ชีบตุ รออก
ไปก็คอื กำ� จดั พวกท่ยี อ่ หยอ่ นทางวินัย ไม่ให้เข้าพวก.

หีนยาน-มหายาน

ต่อมากถ็ งึ สงั คายนาคร้ังที่ ๓ มีเร่อื งแสดงวา่ เดยี รถีย์ปลอมบวชแยกออกเปน็ ๒ ชนดิ
คอื เขา้ มาบวชในหมภู่ กิ ษนุ นั่ เอง แตว่ า่ เมอ่ื บวชแลว้ ไมไ่ ดศ้ กึ ษาพระธรรมวนิ ยั ปฏบิ ตั ไิ ปตามลทั ธิ
เดมิ ของตวั บา้ ง, เขา้ มาปลอมตวั น่งุ หม่ อย่างภิกษใุ นพระพุทธศาสนา แลว้ ปฏบิ ตั ติ ามลทั ธเิ ดิมของ
ตนบา้ ง. พระโมคคลั ลบี ตุ รเถระเปน็ ผใู้ หญผ่ เู้ ครง่ ครดั ในเวลานนั้ เหน็ ไมด่ ี ไมช่ อบ ไมถ่ กู จงึ ชกั ชวน
พระเถระซึ่งเปน็ ผูห้ นักอยู่ในพระธรรมวนิ ยั ให้ท�ำสังคายนาอีกคราวหน่ึง, วธิ ีท�ำก็ท�ำชนดิ ที่กลา่ ว
มาแล้วคือ นิมนต์ให้ผู้ช�ำนาญทางพระวินัยว่าไป แล้วพระอื่นก็ว่าตาม, ในทางธรรมก็เป็นเช่น
เดียวกนั ; เม่อื สงั คายนาเช่นน้นั เสรจ็ แลว้ กร็ ไู้ ดว้ า่ พวกเดยี รถียเ์ ข้ามาปลอมบวช เพราะไมร่ ้พู ระ
วินัย ท่านจึงก�ำจัดพวกเดียรถีย์ออกไป, ตามเรื่องว่าพระเจ้าอโศกหรือธรรมราชาอโศก ให้พวก
เดยี รถยี ส์ กึ เสยี แตค่ งไมห่ มด, แตก่ อ็ ยไู่ มไ่ ด้ จงึ ตอ้ งหนอี อกไปทางเหนอื , ไปประสบอากาศหนาว
เขา้ นุ่งอนั ตรวาสกห่มอุตตราสงคไ์ มพ่ อ จึงต้องเปลี่ยนสบงเป็นกางเกง จวี รเป็นเสื้อ และมผี ้าห่ม
หนาวสวมรองเทา้ เขา้ ดว้ ยเปน็ ไปตามถนิ่ , เมอ่ื ไปแสดงธรรมแกพ่ ระเจา้ กนษิ กะทม่ี อี ำ� นาจทางเหนอื ,
พระเจา้ กนิษกะทรงเลอ่ื มใสกท็ รงอปุ ถมั ภ์ เป็นอัครศาสนปู ถมั ภก อดุ หนุนท่านพวกทีแ่ ตกแยก-

141

ออกไป, ครั้นพระเจ้ากนิษกะมีอ�ำนาจแผ่ลงมาทางใต้, พวกเหล่าน้ันท่ีแยกออกไปก็ลงมาอยู่ทาง
ใต้ไดอ้ กี . เพราะฉะนน้ั บรรพชิตในพระพุทธศาสนาจงึ แยกออกได้เป็น ๒ พวก พวกเหนือพวก
หนง่ึ พวกใตพ้ วกหนงึ่ . พวกเหนอื ต้ังชอื่ วา่ มหายาน คือ มยี านเคร่อื งไปอันกว้างขวาง และตั้งช่อื
พวกทางใต้ว่า หีนยาน คือมียานเครื่องไปอันคับแคบไม่ทันสมัย เพราะคงถือตามหลักเดิมไม่
เปล่ียนแปลง ส่วนพวกเหนือเปล่ียนแปลงไปตามกาลสมัย.
เม่ือพระถังซ�ำจั๋งหรือหลวงจีนฮวนฉ่าง ไปเรียนพระพุทธศาสนาที่มัธยมประเทศ ก็ไป
เลือกเรียนในส�ำนักมหายาน, ถ้านึกดู ก็น่าจะสม เพราะเป็นจีนและอยู่ทางจีนเหนือใช้สบงจีวร
สังฆาฏิเท่านั้นไม่พอ ต้องนุ่งกางเกง สวมเสื้อ สวมรองเท้า ซ�้ำยังสวมหมวกด้วย ก็เพราะหนาว
ทนไม่ไหว จะท�ำอย่างไร. เมื่อพระถังซ�ำจั๋งเรียนพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานกลับไปประเทศจีน
แล้ว ก็ได้รับท�ำนุบ�ำรุงให้แพร่หลายมาก, เพราะฉะน้ัน พวกมหายานจึงแผ่ออกไปมาก ไปทาง
ทิเบต ไซบีเรีย จีน เกาหลี ข้ามมาญี่ปุ่น และไปญวน.
ต่อจากตตยิ สังคายนา คือสงั คายนาคร้ังท่ี ๓ ออกไป ท�ำท่ลี ังกา มเี ร่ืองทที่ ่านเล่าไวว้ ่า
พระมหินท์ที่พระโมคคัลลีบุตรส่งออกไปประกาศศาสนาที่ลังกา ไปบวชคนชาวลังกาได้มาก,
พระลงั กาเลา่ เรยี นพระพทุ ธศาสนาจนถงึ จำ� พระพทุ ธศาสนาไดด้ ว้ ยกนั เปน็ อนั มาก ทา่ นจงึ ชกั ชวน
กนั ให้ทำ� สงั คายนาในลงั กา ให้ทา่ นองคห์ น่ึงท่ีทรงจ�ำเปน็ ผวู้ า่ น�ำขึ้นแล้ว พระองค์อื่นที่ประชมุ กนั
กว็ า่ ตาม. สงั คายนาครงั้ นไี้ มม่ เี รอื่ งอะไร แตว่ า่ ทา่ นใหท้ ำ� สงั คายนา กเ็ พอ่ื ประกาศพระพทุ ธศาสนา
ว่า ตั้งม่ันแล้วที่ลังกา เพราะมีพระในลังกาสามารถจ�ำพระพุทธศาสนาท้ังฝ่ายพระวินัย ท้ังฝ่าย
พระธรรม จนถงึ สามารถทำ� สงั คายนาได้ นีเ่ รยี กว่า สังคายนาครงั้ ท่ี ๔ หรือจตุตถสงั คายนา.

จารึกพระพทุ ธศาสนาเป็นตัวหนังสอื

ย่อจากนั้นไป พระเถระในรุ่นหลัง เห็นความทรงจ�ำของคนเสื่อมทรามลง และประเทศ
ลังกาเองกเ็ กิดข้าศกึ รุกราน พวกทมฬิ ข้ามฟากมารบบา้ ง เกิดกบฏในประเทศบา้ ง, เมอื่ บ้านเมือง
เรียบร้อยลงคราวหน่ึง ท่านก็ชวนกันจารึกพระพุทธศาสนาลงเป็นตัวหนังสือในใบลาน. แต่เมื่อ
พิจารณาดู กอ่ นทจ่ี ะจารลงไปเปน็ ตัวหนังสือในใบลาน กต็ อ้ งทำ� สังคายนา คอื ประชุมกนั ให้ท่าน
ผชู้ �ำนาญว่านำ� ขน้ึ และพิจารณาสอบสวนจนเหน็ ว่า ถกู ตอ้ งแลว้ กว็ ่าตามเป็นตอน ๆ จนจบ แล้ว
จงึ จารลงเปน็ ตวั หนังสือ เรียกว่า สงั คายนาครัง้ ท่ี ๕ หรอื ปัญจมสังคายนา.
142

ต่อจากน้ัน สังคายนาไม่มี, เพราะพระพุทธศาสนาปรากฏเป็นตัวหนังสือแล้ว, ใน
ประเทศไทยปรากฏว่า พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงให้ช�ำระพระไตรปิฎก ก็เป็นแต่เอาหนังสือมา
พิจารณาสอบสวนแลว้ ก็จารลงไป จนถงึ พมิ พ์ในกระดาษเป็นหนงั สอื พิมพ์ นไี่ มใ่ ช่สังคายนา เปน็
เพียงช�ำระหนงั สอื เทา่ นัน้ . กวา่ จะจารึกพระพทุ ธศาสนาลงเปน็ ตัวหนังสอื พระพทุ ธศาสนาก็ล่วง
ไปกวา่ ๔๕๐ ปี เม่อื เป็นเชน่ นี้กน็ า่ จะมเี รื่องท่ีมิใชพ่ ระพทุ ธศาสนาปลอมเขา้ มาอย่ดู ว้ ย เช่น สตู ร
ทแ่ี สดงว่า พระราหอู มพระอาทิตย์ อมพระจนั ทร์ นีม่ ีในพระไตรปิฎกเหมือนกัน, พระพุทธเจา้ ไม่
ทรงแสดงธรรมชนิดน้,ี จงึ สนั นษิ ฐานได้ว่าปลอมเข้ามา. แต่ถงึ อย่างนนั้ กย็ งั ดกี ว่าทจ่ี ะไมจ่ ารกึ ลง
ไว้, ถา้ ไม่จารกึ ลงไว้ จะเส่อื มสญู ไปเทา่ ไร ก็ไมร่ ู้.

143

สรรนิพนธ์ ว่าด้วย

๏ เร่อื งคติธรรม ๏

144

มงคลสตู ร

ค�ำวา่ มงคลไส้ ผู้ปราชญท์ ่านกลา่ วไว้ เพื่อรู้อรรถสาร ฯ
คือการเป็นเหตใุ ห้ ผกู้ อปร์ลุเจรญิ ได้ ดังนี้ มงคลแลนา.
ต้นเค้าเรอ่ื งแสดงความ วา่ เทพถามพระเจ้า ถึงเหตมุ งคลเค้า เพ่ือรูค้ วามตรง ดังนี:้
เทพมนษุ ยจ์ งมนัสคำ� นึง คิดถงึ มงคล เพราะมุ่งประสงค์

โปรดตรสั แกผ่ ูม้ นสั จำ� นง ถงึ มงคล อนั อดุลอุดม
พระบรมศาสดา ทรงพระกรุณาช้ัน ตรัสอรรถมงคลนัน้ เพ่ือร้รู าวการณ์ ดังนี้

๑. ไมค่ บพาลมุ่งสมานเป็นมิตร
คบบณั ฑิตร่วมสมคั สมาน
บูชาวัตถุควรบชู ามานน์
นี่มงคลการณ์อดลุ อดุ ม

๒. การอยู่ ณ ถ่ินประเทศท่ีเหมาะ
มีบญุ เพาะท�ำ ณ กาละตน้
ตั้งตน้ ชอบกิจมผิ ิดในกลล์
นแ่ี ลมงคลอดลุ อดุ ม

๓. ฟังมากและร้ใู นศลิ ปกิจ
ศึกษาทราบนิติ์วินยั ก�ำหนด
กล่าววาจาลว้ นสภุ าวะพจ
นี่บทมงคลอดลุ อดุ ม

๔. บำ� รุงบดิ าและมาตรุ งค์
สงเคราะหบ์ ุตรภริยาสมาน
ทำ� กจิ เรยี บร้อยมิรกมริ าน
นมี่ งคลการณอ์ ดลุ อดุ ม

145

๕. อวยทานแลพฤติธรรมขันธ์ ๘. อดทนท�ำตนสใิ ห้ว่าง่าย
สงเคราะหพ์ ันธุ์ญาตวิ งศส์ มาน หมายเหน็ สมณมิหน่ายมหิ นี
ทำ� กจิ ไร้โทษสธุ ที ดั ทาน สากัจฉาธรรมะตามกาลมี
นีม่ งคลการณ์อดลุ อดุ ม นี่มงคลการณ์อดลุ อุดม
๖. งดเว้นจากบาปมกิ อปร์กระทำ� ๙. เพยี รเผาชัว่ แลพรหมะจริยา
ส�ำรวมจากมชั ชะปานะผอง ทสั สนาริยสัจจ์ประจักษม์ ิผนั
ไมป่ ระมาทธรรมะทีป่ ราชญป์ อง รูแ้ จ้งนิพพานพระคณุ อนนั ต์
นี่กองมงคลอดุลอดุ ม น่สี รรพม์ งคลอดุลอดุ ม
๗. เคารพท่านท้งั ประพฤตอิ ่อนน้อม ๑๐. จิตใครอนั โลกะธรรมกระทบ
สนั โดษพรอ้ มร้พู ระคุณ ณ ท่าน คงสงบอยไู่ ด้มไิ หวมิหวัน่
ฟังธรรมตามกาละควรประมาณ มิโสกมิตดิ แลสิ้นประพนั ธ์
นมี่ งคลการณอ์ ดุลอดุ ม นม่ี งคลอนั อดุลอุดม
๑๑. ใครทำ� มงคลฉะนีน้ ี่แล้ว
146 กล้าแกล้วทกุ ถนิ่ ประเทศสถาน
ลสุ วสั ดที ุกประการประการ
เพราะมงคลมานอดลุ อดุ ม.

สุภาษิตเบ็ดเตลด็

๑. แทนทท่ี ี่จักเศร้า เสยี ใจ
เหน็ ว่าเราช่างกระไร ต�่ำช้า
แทนทที่ เี่ หิมไป เหตุเห่อ
เหน็ ว่าเราโอ่อ้า เลิสล้น เลยเขา
๒. ควรเหน็ เราทั่วถ้วน ทกุ พรรณ
มที รัพยเ์ ดมิ อยู่ครนั ครบแล้ว
คือกายกบั จติ อัน เอกเลศิ
ใชถ้ ูกอาจไมแ่ คล้ว คลาดตงั้ ตนเจริญ
๓. อยา่ เพลนิ ปมาทให ้ ทรพั ยส์ ูญ เปลา่ นา
ควรเร่งใชท้ รัพยพ์ ูล ประโยชนไ์ ว้
คนฉลาดอาจเกื้อกูล กอปร์กิจ
กอ่ ประโยชนย์ ิง่ ได ้ ดงั่ รู้ก่อไฟ
๔. เรายงั ไมห่ มดข้อ ควรทำ�
วัฑฒนะยังไมส่ มั ฤทธส์ นิ้
เพียงแตค่ มุ ไมด่ �ำ เนินต่อ
จักชงกั แลจกั หิน หดด้อยถอยทวน
๕. กิจทีค่ วรกอปรน์ นั้ นบั สอง
ละชวั่ กอ่ ดีปอง วัฒไว้
อกี ตั้งจิตปกครอง คมุ วัฒ ไว้นอ
อย่าปล่อยถอยเสอื่ มได้ ผพิ ลัง้ พลันทำ� อกี นา
๖. อกี กรรมทก่ี อปร์น้นั สองสาย
คือเพ่อื บำ� รงุ กาย เท่านัน้
อกี อยา่ งหน่ึงเพ่อื หมาย ปรงุ จติ
เป็นประโยชนย์ าวสนั้ ส่งใหผ้ ูท้ �ำ

147

๗. คนก�ำเนดิ กอ่ นแล้ว ล่วงมลาย ไปเฮย
ทั้งทรัพยน์ อกแลกาย กลน่ ไว้
เราเองกต็ ้องหมาย เหมอื นกับ เขานอ
เห็นอยูโ่ ตง้ โต้งได้ ดั่งร้องบอกกัน

๘. เพราะฉนัน้ ควรผมู้ ุ่ง หมายผล ยาวเฮย
มิมุง่ บ�ำรุงสกนธ์ เท่าน้ัน
ความมงุ่ มนัสปรน ปรงุ จิต ด้วยนา
คือกอ่ กองบุญซนั้ ส่งใหใ้ จงาม

๙. ถา้ ความใดเก่ียวดว้ ย ใครคน อื่นนา
กอ่ นแตก่ อปรต์ ้ังมน มุ่งไว้
เป็นกลางอยา่ เข้าตน อยา่ ออกใครนา
นกึ อกเขาเราให้ หา่ งพ้นอคดี

๑๐. อย่ามีฉันท์แล้วลว่ ง คลองธรรม
อยา่ โกรธแลว้ ปรกั ปรำ� ผดิ ให้
อยา่ กลวั แลกอปร์กรรม กลบั ผิด ชอบนา
อยา่ โมห์โลเลไร ้ สอบต้อนไตส่ วน

๑๑. อยา่ ควรเหน็ ผู้รว่ ม รวมกัน
ว่าพวกเขาเราปัน ป่นั ป้นั
ความจริงนั่นเราสรรพ รว่ มพวก เดียวนา
เพราะเผา่ ชาตศิ าสน์นัน้ เนือ่ งพอ้ งพวั พันธ์

๑๒. เห็นพวกกนั พลาดพลั้ง ผดิ ลง
ควรม่งุ การุญจง จิตเอ้ือ
ค่อยเตือนแต่โดยตรง ดว้ ยสุภาพ พจนา
อย่าล่อล้อลวงเกือ้ กอ่ รา้ ยรันทำ�

148

โคลงคติธรรม

ชนยนื ชพี ยิ่งรอ้ ย ปปี ลาย
ครา้ นกิจปลิดเพียรหาย ห่างไร้
คนหมนั่ มั่นคงหมาย มุง่ ประโยชน์
แมช้ ีพวันเดยี วได ้ ยง่ิ ผูเ้ พยี รทราม

รปู งามยามแนง่ น้อย สมบูรณ์
สมภพเนือ่ ง ณ สกูล ใหญ่กว้าง
ผิวสรรพพิทยาสญู เส่อื มไป่ งามเลย
ดจุ ดอกทองกวาวร้าง กล่ินล้ีสสี ลวย

กนิ นอนกลัวกบั ท้งั กิจคน คู่เฮย
ของสัตว์ของคนยล เยยี่ งพ้อง
ธรรมแลเทดิ นรชน ใหย้ ง่ิ สัตว์นา
เส่ือมจากธรรมคงต้อง แม่นแมน้ สัตวม์ วล

ควรพฤตสิ จุ รติ นอ้ ม เนืองนติ ย์ เทอญนา
ละทุจรติ ปลิด ปลดเปลื้อง
ผูป้ ระพฤติสุจริต ยอ่ มอยู่ สขุ นอ
ทง้ั โลกน้ีทงั้ เบ้ือง นา่ โนน้ เนืองนนท์

คนเขลายอ่ มยากแค้น เพราะเขลา คดิ นา
วา่ บุตรทรัพย์ของเรา ม่ันไว้
แต่ตนก็เปล่าเอา ใดอยู่ ไดฤ้ ๅ
บุตรทรพั ยจ์ ักมไี ด้ มั่นแท้แต่ไหน

149

ใครท่มี ัจจุจ้อง จบั สกนธ์ ชพี เนอ
หมดลูกหมดพ่อจน เผ่าพ้อง
ที่จะตอ่ ต้านขวน ขวายชว่ ย ชีพนอ
มวลญาติไปอ่ าจปอ้ ง ปัดได้โดยคนงึ

พงึ เห็นโลกเชน่ ด้วย ฟองชล
ฤๅดุจพยพั แดดดล ด่ังน้นั
ผู้เพ่งโลกจนยล อยอู่ ยา่ ง นีน้ อ
มจั จจุ กั ด้นด้นั พบไดไ้ ฉนหนา.
แจกเปน็ อสุภเฮย
วปิ ัลลาส ๔ อนิจจแ์ ท้
โลกว่างามพระเจา้ ญาณวา่ ทกุ ข์นอ
โลกวา่ เที่ยงพระเหน็ หมดลว้ นอนตั ตา.
โลกวา่ สขุ พระเพ็ญ-
โลกวา่ ตนพระแก้

150

ลิลิตคติธรรม

โคลง ๒ ตรัสแจกแจ้งแจงไว้
ธรรมะทีพ่ ระได้ ดหี นึง่ ชัว่ หนง่ึ แท้
แกผ่ ูพ้ งึ ประสงค์ พระตรัสบญั ญตั ิชี้
ยอ่ ลงนยั หนึ่งแล้ ดแี ละชั่วจักแคล้ว
หลกั นค้ี วรจำ�
ธรรมดีกับช่วั น้ี
ทผ่ี ู้คนเรา แลนา
ยกเอาคนออกแล้ว
คลาดสิ้นฤๅมี

โคลง ๓
เหตุน้ีควรคำ� นงึ ถงึ อาตมะทัว่ ถว้ น
เราแหละคอื ธรรมล้วน บอกทั้งชั่วดี แลนา
กายวจมี ะโน ถ้าโลภโทสะทง้ั
โมหะครอบง�ำรัง้ ลาภให้ไปตาม
ยามนัน้ ท�ำพดู คิด ทจุ รติ ยอ่ มตดิ ต้อย
จะมากฤๅจะนอ้ ย ตรวจไดท้ ต่ี น เองนา
ผลชวั่ ย่อมแทนทด ปรากฏเกดิ สง่ ซ้ัน
ถึงม่งุ จะปิดกั้น จกั ได้สมไฉน
เพราะคนไม่ดูตวั จึงมดื มัวไมร่ ู้
เหมอื นหลับตาคดุ ค ู้ มงุ่ หนา้ หาฝนั
ถึงฝนั กนั เหมอื นกนั กค็ วรหนั นึกบ้าง
พุทธสาสนท์ ี่พระอา้ ง ตรัสให้ฟงั จ�ำ.

151

โคลง ๔
พระสมั มาสมั พุทธเจา้ แจกธรรม
ก็เพอื่ ให้ฟังจ�ำ จดไว้
เพ่งด้วยมะนัสส�ำ- เหนียกขบ อีกนา
ดว้ ยทฏิ ฐเิ พอ่ื ให้ ทราบข้อความจริง
พึงองิ ธรรมสาสนน์ ัน้ น�ำมา
สอบท่ีตนใฝห่ า สจั แท้
จงึ อาจพบธรรมสา- ระที่ ตนเนอ
อาตมะนเี่ องแล ้ พระต้ังธรรมวนิ ัย.
วิวธิ มาลไี ม่เพง่ ธรรมจวบให้ เห็นตรง จริงนอ
ธรรมก็ห่างตนไป ไปพ่ อ้ ง
ส่วนตนสกิ ็คง เปน็ ส่วน หนงึ่ นา
ธรรมท่จี ริงแทต้ ้อง ลบั เหน็
จะเชน่ กระปจิ อ้ ง กระจกเงา
เอ้อื มหัตถค์ ว้าวา่ เปน็ อีกผู้
ไมพ่ บก็พาลเขลา คล�ำเสาะ อยูแ่ ล
แต่ก็คงไรร้ ู้ สัจจสาร
บางทา่ นแมเ้ ฉพาะคน้ ท่ตี น แลนอ
แต่คดิ จะใหพ้ าน พบรู้
ไม่หยุดเพง่ แต่รน เหมอื นไล่ เงานา
เหน่ือยนกั ก็ตอ้ งทู้ ทอดธรู
พระให้พูนใฝ่ข้อ ปริยัติ
ฟงั จดคดิ ขบพูน เพ่มิ ไว้
ถึงคราวเมอ่ื ปฏิบตั ิ พงึ เพง่ ดเู ทอญ
อย่ารบี อยา่ เร้าให้ เรง่ เห็น
พระทรงสอนเร่งสร้าง จรณะ
ตง้ั จติ ใหห้ ยุดเป็น หนึง่ ไว้
แลนอ้ มบริสทุ ธะ จิตส่อง สัจเทอญ
ธรรมสัจจักแจง้ ให ้ ห่างเขลา.

152

ธรรมประพันธ์

จะชี้แจงแถลงกจิ สภุ าษติ คดธี รรม์
คดีโลกคุณานนั ต์ สุเมธชนนพิ นธ์สอน
ประดาศิษย์ผคิ ดิ จำ� ประพฤตติ ามกมลวร
จะสบสุขสโมสร สราญอาตมส์ วสั ดี
ใครฝึกและศกึ ษา เสาะวิชาบแ่ หนงหนี
ความรูป้ ระสทิ ธี จะประมาณกม็ ากมวล
เลา่ เรียนวชิ าใด ประลไุ ด้สำ� เรจ็ ถ้วน
ข้อน้แี หละศษิ ยค์ วร ปฏิบัตพิ ยายาม
กอบกจิ ประการใด กป็ ระกอบมคิ ิดขาม
สามารถกระท�ำตาม มนะหมายบห่ ันหวน
ถูกตอ้ งเลบงแบบ กละแยบมแิ ปรปรวน
ข้อนแ้ี หละศิษย์ควร ปฏิบตั พิ ยายาม
วางตวั ประพฤติตน สมกลบห่ ยาบหยาม
รบู้ ทระเบียบงาม กป็ ระพฤติระเบยี บมวล
ใครยลกจ็ ักเยิร สระเสริญและชวนชม
ข้อนี้แหละศษิ ยค์ วร ปฏิบตั ิพยายาม
ชนใดสะอาดกาย จะสบายและวัยหลาม
จ�ำเริญมเิ ส่อื มทราม ก็เพราะจติ สะอาดนวล
กอบกจิ สะอาดการ และสคราญประพฤติถว้ น
ข้อน้ีแหละศิษย์ควร ปฏบิ ัติพยายาม
เป็นผปู้ ระพฤติดี ศภุ ศรีสงา่ งาม
ศลี ธรรมเจรญิ ตาม รจุ ผิ ลเจริญมวล
กอบกิจกศุ ลกรรม มนะมุ่งมิแปรปรวน
ขอ้ นแ้ี หละศิษยค์ วร ปฏิบตั ิพยายาม

153

ความรูเ้ ป็นเพือ่ นได้ ในยาม เปล่ยี วนา
เปน็ เครื่องอาภรณค์ ราว พูดโต้
เปน็ แรงเมอื่ คดิ ความ ควรตดั สินแฮ
เปน็ ทรพั ย์ทกุ เพลโ้ พล ้ พรุ่งงาย

โกงเกลยี ดความรขู้ ัด คอคน นะพอ่
ชอ่ื ชอบชมบว่ าย อยากได้
ฉลาดอาจชว่ งใช้ดล ประโยชน์ ปวงแล
เกยี จเกบ็ ความรู้ไว ้ ปว่ ยการ

ร้เู ขยี นคุม้ โทษแท ้ ทางหลง ลมื แฮ
รอู้ า่ นกนั วจิ ารณ ์ ผิดพล้งั
ร้เู ลขหลีกโง่งง ทรพั ยส์ า่ ย สูญเนอ
รปู้ ระพฤตพิ น้ ทง้ั ทุกข์ภัย

ศรสี งั ขโ์ สภาคย์อา้ ง อุณหสิ
กุมภค์ ทาไพจิตร ์ จกั รแก้ว
คชังคอ์ ุสุภพศิ ไพลาส
ไชยธวชั อฐั พิธแพร้ว เพริศพร้อมมงคล

เม่ือเราเนาดว้ ยทุกข์ ก็ทุกข์ หนาพ่อ
เมอ่ื แก่เข้าเคล้าคลกุ แกแ่ ท้
เมื่อตายกระหนาบรกุ ตายวอด วายเฮย
เมอ่ื ปลอ่ ยวาง ทุกขแ์ พ้ หมดสิน้ ทกุ ข์เอง

หนงึ่ หาความรู้ ไว้ชูเชดิ ชอื่ ขอ้ สองนนั้ คือ จักต้องมคี วาม สามารถทำ� งาน กิจการงดงาม
สืบตอ่ ขอ้ สาม ความเปน็ ระเบยี บดี
วางตนมีระเบียบ เรียบร้อยกิจการ ไม่สับสนงาน ผลได้มากมี ความสะอาดน้ันหนอ
จดั เป็นข้อสี่ กายใจตอ้ งมี ความสะอาดเสมอไป
ความประพฤติตนดี มากมีศีลธรรม กอบกิจกุศลกรรม มีอัธยาศัย ภาษิตทั้งห้า
ศิษยข์ ้าฯเอาไป เป็นสมบตั ใิ หญ่ ใหไ้ ว้ทกุ คน
154

เป็นคนคิดเช่นเช้ือ เกลือเคม็
ควรประคองคุณเต็ม ท่ีไว้
อย่าให้กลบั กลายเล็ม ลามจืด เสยี นา
แมร้ กั ษาบ่ได ้ ชว่ั รา้ ยเรว็ ถงึ
เป็นคนควรคบค้า บณั ฑิต
พาลอย่าเชยชมชดิ ช่วั ใกล้
คบพาลมักเห็นผดิ เป็นชอบ
คบมติ รบณั ฑิตได้ สุขแท้ทางบญุ

รปู รา่ งกายตายลงยงั คงแต ่ ชื่อและแซ่ยังอยู่ไม่รูห้ าย
ทำ� ชัว่ ชนพ่นดา่ นา่ อบั อาย ทำ� ดหี ลายโลกชมนิยมนาน
รา่ งกายเราเน่าแนป่ รวนแปรกลับ ปจั จัยดบั ก็พงั สิ้นสังขาร
เปน็ โพรงกลวงลวงให้อาลัยลาญ พวกคนพาลคิดหวังวา่ ยง่ั ยืน
ทำ� ดมี ากฝากชอื่ ให้ลือสรา้ น ชว่ั สามานยน์ านาอยา่ ฝ่าฝนื
อายุคอ่ ยนอ้ ยลงไมค่ งคนื จงรีบตน่ื จากเขลาอย่าเมามาย
อย่านยิ มชมชอบประกอบช่วั จะหมองมวั กล้ัวทุกขส์ ุขสูญหาย
ยึดหิรติ รธิ รรมประจ�ำกาย แกเ่ จบ็ ตายเสมอื นผเู้ ตือนเรา
เหน็ เขาตายหนา่ ยเบอ่ื แสนเหลอื ลน้ ราวกับตนไมต่ ายงมงายเขลา
ท�ำเซอ่ ซา่ ฮาเฮสรวลเสเมา พอโดนเข้าเศร้าโศกวโิ ยคใจ
นอนกลางคืนดืน่ ดึกตรึกกามหา ไฟราคาลุกติดเป็นนสิ สยั
ยง่ิ ปลอ่ ยนกั มกั เปดิ เตลดิ ไป เหมอื นวา่ วใหญ่ขาดปลวิ ละลว่ิ ลม
ได้ร่างกายชายหญงิ สิ่งประเสรฐิ แมก้ อ่ เกิดกรรมดเี ปน็ ศรสี ม
แมท้ ำ� ชั่วมวั เขลาโง่เง่างม ก็ตกหล่มเหมือนควายน่าอายครนั
รปู รา่ งเดน่ เป็นมนุษยส์ ุดสูงสม ไม่อบรมสรา้ งผลกุศลขันธ์
ก็เหมอื นหมูชแู กว้ ผอ่ งแผว้ พรรณ เพยี งคาบมนั เท่ียวไปมิให้คณุ
น�้ำไม่อาบฉาบโคลนโจนจมหัว แปดเปื้อนทั่วทง้ั อาตม์ชาติสกุล
กอปรแ์ ต่กรรมทำ� บาปหยาบทารณุ เพราะหมกมุน่ โมหันธอ์ นั ธการ

155

อายมุ ากหากดกี ม็ ีหลาย ทำ� ร่างกายให้แน่นด้วยแก่นสาร
ถึงตายจากฝากช่ือโลกลือนาน ก็เหมอื นปราณยงั อยูไ่ มร่ วู้ าย
อายุมากหากช่ัวตดิ ตวั แน่น ส่ิงเปน็ แกน่ สารหมดลงลดหาย
ถงึ เปน็ อยูค่ รเู ปรียบเทยี บคนตาย นา่ อับอายผไี หม ? เศรา้ ใจครัน
รา่ งกายนี้ท่ีชมุ แหง่ ขุมโรค ยดึ เศร้าโศกโลโภและโทสนั
ทงั้ มารยาสาไถยอ์ าศัยกัน สาระพรรณรกั หลงกต็ รงรวม
โลกก็สูญพูนผลทนชอกช�้ำ ท้ังทางธรรมปล่อยปละและหละหลวม
คนทงั้ ทดี่ ีสกั นดิ ไมค่ ดิ รวม ก็บดู บวม ศนู ย์ค่า ไม่น่าเลย
อย่าสำ� คัญม่นั หมายว่ากายเทยี่ ง แลว้ เปล่งเสยี งร่าเรงิ บันเทงิ เฉย
อนิจจงั ทงั้ น้นั โอท้ า่ นเอย ! อย่าเฉยเมยท�ำดีมปี ระจ�ำ
อยา่ มวั เมาเข้าใจว่า “วัยหนมุ่ ” ยงั กระชุ่มกระชวยสดุ สวยข�ำ
ไมป่ ่วยไข้ไรโ้ รคโศกระก�ำ อกี หลายฉนำ� จึงตาย” สบายเพลนิ

ไฮโลโปถวั่ พร้อม การพนนั
ชอบเล่นเห็นดีกนั แปลกแท้
ลูกเมียมเิ ปน็ อนั เป็นหว่ ง
ย่งิ เล่นย่งิ เสยี แก ้ เลห่ ์นฉ้ี ิบหาย
ใครไดค้ นอยา่ งน้ี เปน็ ผวั
เป็นเคราะหก์ รรมของตวั ยิ่งแลว้
ระวงั อย่าพนั พวั ดูผดิ
เลือกคู่ดนู อกแผว้ อย่าให้ ในหนอง
เรียน วชิ าน่ารู้ รอบตัว
นอ้ ยหน่งึ รำ� พึงกลวั ห่อนสู้
สอบไลไ่ ตถ่ ามทั่ว ตามทเี่ รยี นเฮย
ตกแนเ่ พราะไมร่ ู้ ถถ่ี ว้ นอรรถธรรม
ศิษย์ใดมนสั ต้ัง ฟังขาน
เช่อื พจนค์ รูอาจารย์ พร่�ำช้ี
ศษิ ยน์ ้นั จกั ไพศาล เรืองรงุ่
ดงั พระจนั ทร์หลบล้ ี หา่ งสน้ิ เมฆา

156

อาจารย์ผูก้ ลา่ วชี้ คุณโทษ
โดยทา่ นมุง่ ประโยชน์ ค�ำ่ เชา้
ศษิ ยจ์ งึ หย่งั ตง้ั โสต สดบั เพื่อ จำ� นา
แล้วรบี ปฏิบตั เิ ข้า อย่าช้าไกลถลำ�
สุวิชาโน ภวํ โหติ ผู้รูด้ มี ีแต่เจรญิ ทว่ั
ทวุ ชิ าโน ปราภโว ผู้รู้ชั่วฉบิ หายมลายศรี
ธมฺมกาโม ภวํ โหติ ผู้ใครธ่ รรมจ�ำเรญิ เนน่ิ นานดี
ธมมฺ เทสฺสี ปราภโว ผู้หนา่ ยหนีเกียดธรรมนำ� ประลยั
ปหตุ วติ โฺ ต ปรุ โิ ส เป็นเศรษฐมี ีทรพั ย์ไว้จบั จ่าย
สหริ ญโฺ  สโภชโน เงินโภชน์หลายใช้มนั มหิ วัน่ ไหว
เอโก ภญุ ชฺ ติ สาธูนิ กินคนเดียวเคย้ี วของดคี ลอ่ งไป
ตํ ปราภวโต มุขํ น่นั ทางไพร่เสอื่ มศูนยป์ ระยูรพนั ธ์
อสนตฺ สสฺ ปิยา โหนตฺ ิ ผู้ชอบเผา่ เหลา่ พาลสนั ดานร้าย
สนเฺ ต น กุรุเต ปิยํ คนดหี นา่ ยไม่ชิดพศิ มัย
อสตํ ธมมฺ ํ โรเจติ ธรรมคนชั่วตวั รา้ ยหมายชอบใจ
ตํ ปราภวโต มุขํ น่ันทางไพร่ฉบิ หายไมค่ ลายคลา

ฝูงชนก�ำเหนดิ คล้าย คลึงกนั
ใหญ่ยอ่ มเพศผิวพรรณ แผกบ้าง
ความร้อู าจเรียนทนั กันหมด
เวน้ แตช่ วั่ ดีกระด้าง อ่อนแก้ฤๅไหว
นานาประเทศลว้ น นบั ถือ
คนที่รหู้ นังสอื แตง่ ได้
ใครเกลียดอักษรคือ คนปา่
ใครเยาะกระวไี ซร้ แนแ่ ทค้ นดง

คนเห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน คนเห็นคนมิใชค่ นใชค่ นไม่
กำ� เนดิ คนตอ้ งเป็นคนทกุ คนไป จนหรือมีผู้ดไี พร่ ไม่พ้นคน.

157

ค�ำสอนโลก

จงระลึกรูต้ วั ไว้ว่า เรามเี คร่อื งมอื ทดี่ ีอยดู่ ้วยกนั ทุกคน คอื รา่ งกายทีม่ ใี จครองน้ี ส�ำหรับ
ใช้ทำ� การงานท่ดี ี ไม่ควรเสียใจเพราะเห็นว่าตัวไมเ่ สมอเขา และไม่ควรดูหม่ินผู้อน่ื เพราะเหน็ ว่า
ตวั เลศิ กว่าเขา.

(พระนิพนธ์ตา่ งเรอื่ ง)

ความเปน็ คนหเู บา ย่อมน�ำให้ลอุ �ำนาจอคติโดยไม่รสู้ ึก. (พระนิพนธต์ า่ งเรอ่ื ง)

คนหูเบา ถ้าเช่อื ถอื ในทางทด่ี ี กพ็ อเป็นไปได้ แตไ่ มม่ หี ลัก, ถา้ เชื่อถือในทางทผี่ ิด ก็จกั
ได้รับความเสอื่ มเสียมิใช่นอ้ ยเลย, ถา้ เกี่ยวข้องดว้ ยผอู้ น่ื กอ็ าจเกิดความเสือ่ มเสียถงึ ผ้อู ืน่ มาก
หรอื นอ้ ยตามฐานะ.

(พระนิพนธต์ ่างเร่อื ง)

ถ้าใครค่ รวญจรงิ ๆ ไม่ดว่ นเชอ่ื เสียกอ่ น ก็จักทราบได้ตามเป็นจรงิ เพราะเมอื่ ใครค่ รวญ
เพ่งพนิ จิ ความจริงเปน็ อย่างไร ย่อมปรากฏใหเ้ ห็นได.้

(พระนิพนธ์ตา่ งเรอ่ื ง)

อนั ความเคารพ คือความวางใจ ความตัง้ ใจม่นั เปน็ หลกั ส�ำคัญของบคุ คลทุกถว้ นหน้า,
ถ้าบุคคลไม่มคี วามวางใจในที่ใดทห่ี น่ึงแลว้ ก็ยอ่ มมีความวา้ เหวใ่ จ.

(พระนพิ นธต์ า่ งเรื่อง)
บคุ คล แม้เจรญิ ดว้ ยทรพั ยภ์ ายนอก แตข่ าดธรรมอันเปน็ ทรัพยภ์ ายใน ก็ไมพ่ น้ จาก
ความเปน็ ปศุสัตว์ไปได,้ เพราะผู้ขาดธรรมน้ัน ย่อมประพฤตอิ ย่างเดยี วกับปศสุ ตั ว์ มกี ารละเมิด
สิทธิในส่ิงของของผอู้ ่ืนท้งั ตอ่ หนา้ และลบั หลังโดยปราศจากความละอาย.

(พระนพิ นธ์ต่างเรือ่ ง)

158

เมอ่ื เป็นมนุษย์ แต่ไรธ้ รรม ย่อมถึงความเปน็ สตั ว์ เพราะคนและสัตวย์ อ่ มมีการกนิ การ
นอน และความกลัวเป็นต้น อยา่ งเดียวกัน แตเ่ พราะมนษุ ยป์ ระพฤติธรรม จึงพน้ จากความเปน็
สัตว์ แต่เปน็ มนุษย์มใี จสูงกวา่ สัตว.์

(พระนพิ นธต์ า่ งเรอื่ ง)

โลกจะอยู่ด้วยความสงบสุขได้ จ�ำต้องอาศัยการศึกษาให้บังเกิดปัญญาความรู้ ซึ่งเป็น
รากฐานอนั สำ� คญั , เพราะการศกึ ษาดี ยอ่ มเปน็ ปจั จยั ใหบ้ คุ คลรจู้ กั ผดิ รจู้ กั ชอบ สามารถทำ� ตนให้
หลีกเล่ยี งจากทางแหง่ ความเส่อื ม ด�ำเนนิ ไปแต่ในทางเจรญิ จนปกครองตนเองให้อยไู่ ด้ดว้ ยดี.

(พระนิพนธต์ ่างเรอ่ื ง)

ชีวิตของบคุ คลผู้มีการศึกษาดี นับวา่ เป็นชีวติ ทม่ี ีค่า. (พระนพิ นธ์ตา่ งเร่ือง)

ผหู้ วงั ความสขุ แตไ่ มท่ ำ� เหตแุ หง่ ความสขุ กลบั ทำ� เหตแุ หง่ ความทกุ ขใ์ หแ้ กต่ วั ชอ่ื วา่ ตนเอง
ทำ� ให้ถกู ใจตนเองไมไ่ ด้.

(ศาสนธรรม)

ความรเู้ พยี งแตเ่ พอ่ื ทำ� กจิ การงานใหส้ ำ� เรจ็ ตามประสงคเ์ ทา่ นนั้ จะจดั วา่ เปน็ ดหี รอื เปน็ ชว่ั
ยังไม่ได้. เพราะถ้าผู้ท�ำน�ำความรู้ไปใช้ในทางดีก็ให้ส�ำเร็จผลเป็นประโยชน์สุขแก่ตนและคนอ่ืน,
ถา้ น�ำไปใช้ในทางชัว่ ทางผดิ กใ็ ห้สำ� เรจ็ ผลเปน็ โทษทกุ ขแ์ ก่ตนและคนอนื่ . ผูจ้ ะน�ำความร้ไู ปใชใ้ น
ทางดที างชอบ อนั จะใหส้ ำ� เรจ็ ผลเป็นประโยชน์สุขแกต่ นและคนอื่นไดถ้ กู ต้องก็ตอ้ งเป็นผ้รู ูธ้ รรม.

(ศาสนธรรม)

ถ้าไม่สามารถท่ีจะท�ำได้ดีที่สุด ก็ควรท�ำให้เป็นลําดับรอง ๆ ลงมา อย่างต�่ำก็เป็นเพียง
รกั ษาอย่าให้ชอ่ื เสียงทีช่ ัว่ เกดิ มขี น้ึ เพราะทำ� ความช่ัวได้.

(ศาสนธรรม)

ผู้ได้เคยทำ� อะไร หรอื ทำ� อะไรไมส่ ำ� เรจ็ แลว้ ลงสนั นษิ ฐานการนนั้ วา่ ไม่จริง มีไมไ่ ด้ เป็น
ไมไ่ ด้ ไมส่ มควรแท.้ แตก่ ค็ วรพจิ ารณาใหร้ อบคอบ ไมค่ วรเชอ่ื งมงายดว้ ยโมหาคติ ดงั ทเ่ี ปน็ กนั อย.ู่

(ศาสนธรรม)

159

คนทำ� อะไรไมส่ ําเรจ็ ก็เพราะยอมเป็นทาสของความเกียจคร้านอดึ อดั ขดั ข้องนั้นเอง.
(ศาสนธรรม)

พุทธศาสนิกผู้นับถือพระพุทธศาสนา โดยตรงก็คือผู้ประพฤติพระพุทธศาสนา, เมื่อ
ประพฤตอิ ยู่ จะเข้าใจตนว่า เปน็ พทุ ธศาสนิกหรือไม่ก็ตาม กช็ ือ่ วา่ เปน็ “พทุ ธศาสนิก” โดยตรง
ด้วยความประพฤติ, ส่วนผทู้ ่แี สดงตนว่าเป็นพุทธศาสนกิ ด้วยวาจา แตไ่ มไ่ ด้ประพฤติพระศาสนา
แม้ท่ีเป็นข้นั ต้นข้นั หยาบ ไม่ชือ่ วา่ เป็นพุทธศาสนิกดว้ ยความประพฤต,ิ ฉะนนั้ พุทธศาสนิกเมื่อ
แสดงตนวา่ เปน็ ผนู้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนา กพ็ งึ ประพฤตพิ ระพทุ ธศาสนาโดยสามารถ และพงึ ชกั ชวน
ผู้อื่นให้ประพฤติด้วย เช่นน้ีจักได้ชื่อว่าประพฤติด้วยน�ำด้วย ในทางแห่งสันติอันจะหาได้ในทาง
เดยี วเทา่ นัน้ .

(พระโอวาทวิสาขบชู า)
เมื่อบคุ คลละธรรม กช็ อื่ วา่ ไดป้ ฏบิ ัติในพระโอวาทข้อวา่ “ไม่ทาํ บาปท้งั ปวง,” เม่ืออบรม
ธรรม ก็ได้ช่ือว่าปฏิบัติในพระโอวาทข้อว่า “ท�ำกุศลให้ถึงพร้อม,” และเมื่อช�ำระจิตของตนให้
บริสทุ ธิ์จากเครื่องเศรา้ หมองจิต คือ โลภ โกรธ หลง ใหป้ ระกอบดว้ ยเมตตากรณุ าเป็นต้น กช็ อื่
วา่ ไดป้ ฏบิ ัติตนในพระโอวาทขอ้ วา่ “ช�ำระจิตของตนใหผ้ อ่ งแผ้ว,” เม่ือไดป้ ฏบิ ตั ิไดด้ ังนี้ ยอ่ มชอ่ื วา่
เป็นพทุ ธศาสนกิ แปลว่าผู้นับถือปฏิบัตพิ ระพุทธศาสนาโดยแทจ้ รงิ .

(พระโอวาทมาฆบูชา)
ความสามคั คนี ี้ มใิ ชอ่ าจทำ� ใหม้ ีขึ้นได้ เฉพาะในพวกของตนเท่าน้นั , เมอ่ื ปฏิบตั ใิ ห้ถกู ทาง
แลว้ กอ็ าจทำ� ใหเ้ กดิ มขี น้ึ ไดแ้ มใ้ นพวกอน่ื , เชน่ หมบู่ รรพชติ กอ็ าจทำ� ความสามคั คกี บั หมคู่ ฤหสั ถ์
ได,้ หมผู่ นู้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนากอ็ าจทำ� ความสามคั คกี บั หมผู่ นู้ บั ถอื ศาสนาอน่ื เชน่ ศาสนาครสิ ต์
ศาสนามะหะหมัดได้ ดว้ ยการไมเ่ ข้าไปเกยี่ วข้องในกิจศาสนาของเขา.

(พระโอวาทพระคณาธกิ าร)
คนทกุ คนตา่ งมคี วามคดิ เหน็ ของตน, คนหนงึ่ หรอื หมหู่ นงึ่ อาจมคี วามคดิ เหน็ เปน็ อยา่ งอนื่
จากอกี คนหนง่ึ หรอื อกี หมหู่ นง่ึ , แตห่ ลกั สำ� คญั อยทู่ ไี่ มท่ าํ ตนใหเ้ ปน็ คนเลว ไมท่ ำ� ผอู้ น่ื ใหเ้ ดอื ดรอ้ น
ด้วยอธรรมและด้วยริษยา.

(พระโอวาทพระคณาธกิ าร)
160

161

ความมีชีวิตอยู่ด้วยความประพฤติร้ายเสียหาย เป็นทุชีวิตะ คือชีวิตช่ัว, แม้ละความ
ประพฤตชิ วั่ รา้ ยเสยี หายทางกาย ทางวาจา อนั เปน็ สว่ นหยาบหรอื ชน้ั ตน้ (สพพฺ ปาปสสฺ อกรณ)ํ ได,้
แตไ่ มป่ ระพฤติคุณความดี (กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา สจติ ปฺ ริโยทปนํ) กย็ ังเป็นโมฆชีวิตะ คือชวี ติ วา่ ง
เปลา่ , พระพุทธเจ้าเรียกคนเชน่ นว้ี า่ โมฆปุริสะคอื คนเปล่า, ต่อเมือ่ ละความประพฤตชิ ว่ั รา้ ยเสีย
หายไดแ้ ลว้ ประพฤตคิ ุณความดใี หเ้ กดิ มีย่งิ ข้นึ โดยลำ� ดบั จึงจะเปน็ สชุ ีวติ ะ คือชีวติ ด.ี

(พระโอวาทพระคณาธกิ าร)
การบรหิ ารพระศาสนา ท่ชี ่ือวา่ เป็นไปโดยชอบ ตอ้ งบริหารใหเ้ ป็นไปตามพระธรรมวินยั
ดว้ ยถอื พระธรรมวนิ ัยเป็นใหญ.่

(พระโอวาทพระคณาธกิ าร)
ในการบริหารให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยน้ัน ต้องบริหารปกครองตนเองให้ได้ก่อน จึง
อาจปกครองผอู้ น่ื ใหเ้ ปน็ ไปตามพระธรรมวนิ ยั ได,้ และพงึ อปุ ถมั ภผ์ ปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั พิ ระธรรมวนิ ยั
พ่ึงประกอบด้วยเมตตากายกรรม เมตตาวจกี รรม เมตตามโนกรรม เป็นต้น ตามหลกั สาราณิย
ธรรม, เชน่ น้ียอ่ มชอื่ วา่ เป็นผู้บรหิ ารด้วยด.ี

(พระโอวาทพระคณาธิการ)
ศาสนาท่ีดี ย่อมส่ังสอนคนทุกชั้นทุกเพศทุกชาติให้มีสามัคคีกัน อันเป็นเหตุเกิดสุข จึง
เปน็ มงิ่ ขวญั แหง่ ชาตบิ า้ นเมอื ง. บคุ คลผเู้ กดิ มาทกุ ชาติ ยอ่ มมศี าสนาอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เปน็ ทน่ี บั ถอื
อยเู่ ปน็ พนื้ เปน็ หลกั ยดึ เหนย่ี วใหป้ ระพฤตดิ ปี ระพฤตชิ อบ ตงั้ แตช่ น้ั ตน้ ชนั้ ตำ�่ ชน้ั สงู เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ
ความสงบสุขและความเจริญ อนั เป็นข้อประสงคแ์ หง่ การปกครอง.

(พระโอวาทพระคณาธิการ)
ธรรมมอี ยทู่ ค่ี น คนเปน็ ผแู้ สดงธรรมทมี่ อี ยนู่ น้ั ใหป้ รากฏ, คอื เมอ่ื คนมอี กศุ ลธรรมอยใู่ นตน
กแ็ สดงอาการออกมาเปน็ อกศุ ลธรรมหรอื บาปธรรม, เมอื่ คนมกี ศุ ลธรรมอยใู่ นตน กแ็ สดงอาการ
ออกมาเปน็ กศุ ลธรรม หรือกัลยาณธรรม, แตค่ นอาจไมร่ ู้ว่า ธรรมท่มี อี ยู่ในตนและแสดงออกมา
เปน็ ดบี ้างชว่ั บ้าง จงึ ได้รับผลดีบา้ งชว่ั บ้าง.

(พระโอวาทพระคณาธิการ)
162

พุทธศาสนิก คือผู้นับถือพระพุทธศาสนา, เมื่อใดได้ปฏิบัติธรรม เม่ือน้ันก็ได้ชื่อว่า
มีพระศาสดาหรือพระพุทธศาสนาประจ�ำอยู่ที่ตนส่วนหนึ่ง, เม่ือใดได้ปฏิบัติวินัย เมื่อน้ันก็ชื่อว่า
มีพระศาสดาหรือพระพุทธศาสนาประจําอยู่ท่ีตนส่วนหน่ึง, เมื่อใดได้ปฏิบัติท้ังธรรมท้ังวินัย
เม่ือนั้นก็ช่ือว่ามีพระศาสดาหรือพระพุทธศาสนาประจ�ำอยู่ที่ตนครบถ้วน, จะอยู่หรือไปในที่ใด
ก็ช่ือว่ามีพระศาสดาอยู่กับตนไปกับตน. แต่ถ้าเป็นไปตรงกันข้าม คือไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม
ไมป่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั วิ ินัย ก็ช่ือวา่ ไมม่ พี ระศาสดาหรือพระพทุ ธศาสนาอยูท่ ี่ตน, ถา้ ประพฤติปฏิบัติ
แต่ธรรมหรือแต่วินัย ก็ช่ือว่ามีพระศาสดาหรือพระพุทธศาสนาอยู่ท่ีตนกึ่งหนึ่ง, แม้จะเข้าใจว่า
ตนเปน็ ผ้นู ับถอื พระพุทธศาสนา กเ็ ปน็ แต่เพียงเปลอื กเท่านั้น.

(พระโอวาทพระคณาธิการ)
การปฏบิ ตั เิ ปน็ บญุ เปน็ กศุ ล ทงั้ แกต่ นทงั้ แกผ่ อู้ น่ื นนั้ จะมไี ดต้ อ้ งไมม่ อี จิ ฉาหรอื ความรษิ ยา,
ถา้ มคี วามรษิ ยาอยู่ ความรษิ ยานน้ั กค็ อยขดั ขวางไมใ่ หป้ ระพฤตเิ ปน็ บญุ เปน็ กศุ ล, เพราะรษิ ยาเปน็
เครือ่ งท�ำลายโลก ความไม่รษิ ยาเปน็ เคร่อื งอุปถัมภโ์ ลก.

(พระโอวาทพระคณาธกิ าร)
คำ� วา่ ศกึ ษา นนั้ ในพระพทุ ธศาสนาหมายความกวา้ ง ไมเ่ หมอื นในภาษาไทย. ทางพทุ ธศาสนา
หมายความว่า เม่ือยงั ไม่รู้ ใหเ้ รียนรู้ เม่อื ยงั ไม่เข้าใจ ใหพ้ จิ ารณาให้เขา้ ใจ เมื่อยงั ไม่ไดป้ ฏบิ ตั ิ ก็
ใหป้ ฏบิ ตั ใิ หไ้ ดผ้ ล รวมความเปน็ การศกึ ษาทงั้ หมด, และขอ้ ทศ่ี กึ ษากค็ อื สลี สกิ ขา จติ ตสกิ ขา และ
ปัญญาสกิ ขา.

(พระโอวาทพระคณาธกิ าร)
การทำ� ตนใหเ้ ปน็ บรรพชติ ทดี่ เี พอ่ื ประโยชนแ์ กต่ นสว่ นหนง่ึ เพอื่ ประโยชนแ์ กผ่ อู้ นื่ อกี สว่ น
หนงึ่ , ถา้ ทำ� เชน่ นแี้ ลว้ ชวี ติ ความเปน็ อยกู่ จ็ ะเปน็ ชวี ติ ทดี่ ี เปน็ สชุ วี ติ ะ ไมเ่ ปน็ โมฆชวี ติ ะ ชวี ติ เปลา่
หรือทชุ ชวี ิตะ มีชวี ติ ชั่ว จะได้ชอ่ื ว่าท�ำบญุ กุศลแก่ตวั , แตต่ รงกันขา้ มกเ็ ป็นบาป.

(พระโอวาทพระคณาธิการ)
นกิ ายทเ่ี กดิ ขน้ึ นนั้ กเ็ พราะการประพฤตปิ ฏบิ ตั นิ น่ั เอง, ถา้ ปฏบิ ตั ติ รงตามธรรมวนิ ยั เหมอื น
กันเท่ากัน ถึงจะต่างนิกายกันก็รวมกันเข้าได้, แต่ถ้าปฏิบัติไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน แม้จะเป็น
นกิ ายเดียวกัน คณะเดียวกัน กต็ อ้ งแยกจากกนั เปน็ นกิ ายไปตามความประพฤติปฏิบตั ิ.

(พระโอวาทพระคณาธกิ าร)

163

เมอื่ ไดศ้ กึ ษาจนมคี วามรสู้ ามารถดแี ลว้ พงึ นำ� ความรไู้ ปใชใ้ หป้ ระโยชนท์ ง้ั แกต่ นและผอู้ นื่ .
เมือ่ ปฏิบตั ไิ ดเ้ ชน่ น้ี การศึกษาจึงช่อื ว่าเป็นประโยชน.์

(สาสน์แก่มหาวิทยาลยั นาลนั ทา)
การฟงั ความเหน็ คนมาก ไมใ่ ชแ่ สดงวา่ โงเ่ ขลา ไมอ่ าจทำ� อะไรดว้ ยตวั เองได้ แตก่ ลบั แสดง
ความรอบคอบ ไม่ผลุนผลัน สมควรแก่ความเป็นผู้ใหญ่ จึงเป็นที่นิยมของผู้มุ่งความเจริญและ
ความถูกตอ้ ง.
(ค�ำตักเตอื นดว้ ยหวงั ด)ี
อย่าเช่ือว่า ความเห็นคราวแรก เป็นความถูกต้องเสมอไป, พึงใคร่ครวญให้รอบคอบ
สอบเหตุสอบผล ให้เหน็ ผลที่จะได้และผลทจี่ ะเสียเสียกอ่ น.

(คำ� ตกั เตือนด้วยหวังด)ี
อยา่ เหน็ ว่าตวั ทำ� ดที �ำถกู ในเมอ่ื ตวั ยงั ทำ� ชัว่ อยู่ และอย่าริษยา และดูหมิ่นผู้ประพฤติดี.

(คำ� ตักเตือนด้วยหวงั ดี)
ผมู้ โี ภคทรพั ยภ์ ายนอก มวั แตห่ วงไว้ ไมใ่ ชเ้ พอ่ื ประโยชนแ์ กต่ นและแกผ่ อู้ นื่ ตามควร กท็ ำ�
ทรพั ยใ์ หไ้ มม่ ปี ระโยชนเ์ หมอื นกอ้ นดนิ ในทส่ี ดุ กจ็ ะตอ้ งละทรพั ยน์ นั้ ไปดว้ ยตอ้ งตาย, ถา้ ใชใ้ นทาง
ทผี่ ิด กย็ ง่ิ ทําให้เกดิ โทษย่งิ ขึ้น, ไม่ใช้เสยี เลยยงั ดกี ว่า.

(ค�ำตกั เตือนดว้ ยหวงั ดี)
ความจรงิ ลาภต่าง ๆ เกิดแตท่ างท่ดี .ี ผู้ที่ขาดแคลนเปน็ ผ้ทู ่ีไม่หนักในธรรม, เวน้ แตพ่ วก
ทข่ี ลงั ต่าง ๆ ทเ่ี อาวชิ าภายนอกพระพุทธศาสนามาแสดง ผทู้ ห่ี ลงไปในทางน้นั ก็นับถอื บูชา.

(พระโอวาทภิกษุสามเณรวัดบวรนิเวศฯ)
ผทู้ ป่ี ระกอบเหตทุ ่ีดนี น้ั ชือ่ วา่ ได้บำ� เพญ็ บญุ เพราะบญุ แปลวา่ ช�ำระลา้ งความชัว่ .

(พระโอวาทแกห่ นงั สือราชบพิธสมโภช)
ความดแี ละความชวั่ ทมี่ อี ยใู่ นบคุ คลนน้ั บคุ คลอาจรไู้ ดด้ ว้ ยการพจิ ารณาตนของตนเอง, เมอื่
ตอ้ งการทราบวา่ ตวั เองเปน็ อยา่ งไร ตอ้ งพจิ ารณาดตู นของตนเอง, ถา้ ไมพ่ จิ ารณาดตู นกร็ ไู้ มไ่ ด.้

(พระโอวาทแก่หนงั สือราชบพิธสมโภช)
164


Click to View FlipBook Version