The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ชีวประวัติพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญญาคโม) แต่งโดย ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ และจักรกฤษณ์ มณีวรรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by panyabalo, 2021-07-18 11:45:54

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ชีวประวัติพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญญาคโม) แต่งโดย ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ และจักรกฤษณ์ มณีวรรณ์

Keywords: สรรนิพนธ์,คน,ศาสนา,คติธรรม,โลกกับธรรม,ชีวประวัติ,พระธรรมมงคลวุฒาจารย์,บุญยนต์ ปุญญาคโม,พระเทพสารเวที

พระอรหันตไ์ มม่ คี ติ

พระอรหันต์ไมม่ คี ตทิ ้ังทางสูญท้ังทางเกิด ทงั้ ทางอน่ื ท่ีเกย่ี วข้องกับทางทง้ั ๒ นนั้ ดงั ใน
อัคคิวัจฉโคตตสูตร๑๔ แสดงว่าพราหมณ์ชื่ออัคคิวัจฉโคตร กราบทูลถามถึงภิกษุผู้มีจิตวิมุตติว่า
เปน็ อย่างไร คอื : -
๑. เกิด
๒. ไมเ่ กิด
๓. ทั้งเกิด ท้ังไมเ่ กิด
๔. ไม่ใช่ทัง้ เกิด ไมใ่ ชท่ งั้ ไมเ่ กดิ

พระศาสดาไม่ตรสั พยากรณท์ ุกขอ้ , เมือ่ พราหมณ์มคี วามงนุ งง ไมเ่ ขา้ ใจ จงึ ตรัสอุปมาว่า
เหมือนไฟสว่างอยูเ่ บื้องหน้า กพ็ งึ รู้วา่ ไฟสวา่ ง และไฟสว่างเพราะมีเชอื้ , แต่ถา้ ไฟน้ีดับแลว้ ก็พึง
รวู้ า่ ไฟดบั และดบั เพราะสน้ิ เชอื้ และไมเ่ พม่ิ เชอื้ อนื่ เขา้ อกี แตไ่ มร่ วู้ า่ ไฟดบั แลว้ ไปทศิ ทางไหนฉนั ใด,
ตถาคต๑๕ กฉ็ นั นั้น, เมอื่ จะบัญญตั ๑ิ ๖ ก็พงึ บญั ญัตไิ ด้ด้วย รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ
ใด ๆ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณน้นั ๆ ตถาคตละเสียแล้ว ไมม่ ีเกดิ ขน้ึ ต่อไป, ตถาคต
วิมตุ ติหลดุ พ้นแล้วจากรปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณนนั้ ๆ จึงไมม่ ีวาทะจะพึงพูดถึงไดว้ ่า
เกิดไมเ่ กดิ เปน็ ตน้ .

พระพทุ ธภาษติ นแี้ สดงวา่ บญั ญตั ภิ าษา หรอื วาทะทงั้ หมดมที ป่ี ญั จขนั ธ์ พน้ จากปญั จขนั ธ์
ก็พ้นบัญญตั ,ิ ไม่มีปญั จขนั ธ์ก็ไมม่ บี ญั ญัต,ิ เมอื่ เป็นเช่นน้ี จะบญั ญัติ ว่าเกดิ ไมเ่ กิด ก็ตอ้ งหมาย
วา่ ปัญจขันธ์เกดิ ไมเ่ กิด, จะบญั ญัติวา่ ไม่ใช่ทัง้ ๒ ก็ต้องหมายถึงปญั จขนั ธ์อกี น่ันแหละ วา่ ไม่ใช่
เป็นเช่นน้นั , บญั ญัตเิ หลา่ น้ีจึงยังอาศัยเกี่ยวเกาะอยู่กับปญั จขันธ์ แสดงคติของปญั จขันธ์อย่างใด
อยา่ งหน่ึงทัง้ สนิ้ .

๑๔ ม. ม. ๑๓/ ๒๔๕.
๑๕ หมายถึงพระอรหันต์ทวั่ ไป ทง้ั พระอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจา้ ทัง้ พระอรหันตสาวก.
ตง้ั ภาษาพดู หมายรู้กนั .
๑๖ ตั้งภาษาพดู หมายรู้กนั .

65

พระพุทธภาษติ น้แี สดงว่า พระตถาคตทง้ั ปวง เม่ือดับขนั ธป์ รินิพพานแล้ว กห็ มดบัญญตั ิ
หมดถอ้ ยคำ� พดู ถงึ หมดเรอ่ื งพดู ถงึ วา่ เปน็ อะไร เปน็ อยา่ งไร ตอ่ ไปทงั้ สน้ิ , เหมอื นอยา่ งไฟสน้ิ เชอื้
ดบั ไป แตก่ ไ็ ม่สญู ท้งั ไมป่ รากฏ, เพราะพระตถาคต ลกึ ซ้ึง๑๗ ไมพ่ ึงประมาณได๑้ ๘ หยง่ั ถงึ ยาก๑๙
ลัทธิท่ีแสดงคติภายหลังปรินิพพานแล้ว จึงค้านกับพระพุทธภาษิตดังกล่าว, และถ้าแสดงคติท่ี
ย่งั ยนื นิรนั ดร กเ็ ข้าสสั สตทฏิ ฐิ.
น่าเป็นเพราะเหตุน้ี พระพุทธภาษิตบางแห่งที่แสดงภูมิธรรมในช้ันนี้ จึงแสดงในด้าน
ปฏเิ สธ เช่น พระพทุ ธภาษติ แปลว่า ภิกษุทงั้ หลายอายตนะนัน้ มีอยู,่ ในอายตนะไรเลา่ ไมใ่ ช่ดิน
ไมใ่ ช่นำ้� ไมใ่ ช่ไฟ ไมใ่ ชล่ ม๒๐ ฯลฯ

ส่งิ ท่ีไม่สญู อนั พ้นจากปัญจขนั ธ์

คำ� สำ� หรบั เรยี กสงิ่ ทไี่ มส่ ญู อนั พน้ จากปญั จขนั ธ์ โดยปคุ คลาธษิ ฐาน (ยกบคุ คลเปน็ ทตี่ ง้ั )
คือ ตถาคต หมายถึงพระอรหันต์ทั่วไป, โดยธรรมาธิษฐาน (ยกธรรมเป็นที่ต้ัง) คือวิสังขาร,
นพิ พาน หรอื อสงั ขตธรรม (ธรรมทไ่ี มม่ ปี จั จยั ปรงุ ), อมตธรรม (ธรรมทไี่ มต่ าย) หรอื คำ� วา่ อายตนะ
(ทตี่ อ่ ) ในพระบาลที ย่ี กมาขา้ งตน้ .
คำ� ทหี่ มายถึงหรือน�ำให้เขา้ ใจไปในทางสสั สตทิฏฐิ (ความเหน็ วา่ เทยี่ ง) และอุจเฉททฏิ ฐิ
(ความเห็นว่าขาดสญู ) ท่านเวน้ ไม่ใช้ เช่น:-
๑. วญิ ญาณ มนะ๒๑ เปน็ คำ� เกา่ ทมี่ กั เขา้ ใจกนั วา่ เปน็ สภาพทยี่ งั่ ยนื อาศยั อยใู่ นรา่ งสตั ว์
บคุ คล เมอื่ สัตว์บคุ คลตาย วญิ ญาณ หรือมนะกอ็ อกไปสรู่ ่างใหม,่ แต่ในพระพุทธศาสนาอธบิ าย
วา่ วญิ ญาณ คอื กริ ยิ าทรี่ สู้ กึ เหน็ รปู เปน็ ตน้ คอื วญิ ญาณขนั ธ์ ในขนั ธ์ ๕, มนะ คอื อายตนะภายใน
ข้อที่ ๖, ทัง้ วญิ ญาณท้งั มนะตกอยู่ในไตรลักษณ์.๒๒ ในมหาตณั หาสงั ขยสูตร ตอนตน้ ๒๓ แสดง
วา่ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ เกดิ มที ฏิ ฐวิ า่ วญิ ญาณนี้ มใิ ชอ่ น่ื ทอ่ งเทย่ี วไป, พระศาสดาทรงทราบตรสั เรยี กมา

๑๗ คมฺภโี ร.
๑๘ อปฺปเมยฺโย.
๑๙ ทปุ ฺปริโยคาโฬหฺ .
๒๐ อตถฺ ภกิ ฺขเว ตทายตน,ํ ยตฺถ เนว ปวี น อาโป น เตโช น วาโย ฯเปฯ (ขุ. อุ. ๒๕/ ๒๐๖)
๒๑ มกั เรยี กตามบททีป่ ระกอบดว้ ยวภิ ตั ตแิ ล้ววา่ มโน เรียกตามบทสนั สกฤตวา่ มนสั .
๒๒ ไมเ่ ทีย่ ง, เปน็ ทุกข,์ เปน็ อนัตตา.
๒๓ ม. ม. ๑๒/ ๔๗๖.

66

ทรงอธบิ ายดงั กลา่ วแลว้ ทรงชกั เขา้ ปฏิจจสมปุ บาท (ธรรมทอ่ี าศัยกนั เกดิ ขนึ้ ), แมธ้ าตรุ ู้ (มาจาก
ค�ำว่า วิญญาณธาตุ ในธาตุวิภังคสูตร) ซ่ึงมีความหมายพิเศษกว่าวิญญาณขันธ์ ท่านก็ใช้แต่ใน
ความตอนต้น, ท่านเปล่ยี นค�ำใชโ้ ดยล�ำดับดังน้ี:-

(๑) วิญญาณ (ธาตรุ ู)้ บรสิ ุทธิ์ เพราะรู้ธาตุ ๕.
(๒) อเุ บกขา บริสทุ ธิ์ เพราะรู้เวทนาด้วยธาตรุ นู้ ้นั .
(๓) ปรนิ ิพพาน (ดับกเิ ลสหมด) เพราะไมป่ รงุ แตง่ ดว้ ยอเุ บกขา
นัน้ ไมย่ ึดมน่ั อะไรในโลก.

๒. จติ คำ� น้ใี ชส้ ูงกวา่ วิญญาณ เชน่ ในอนตั ตลกั ขณสตู ร แสดงวญิ ญาณวา่ เป็นอนัตตา,
ในตอนทา้ ยแสดงวา่ จติ ของพระปญั จวคั คยี ์ วมิ ตุ ตหิ ลดุ พน้ จากอาสวะทง้ั หลาย. ในทอี่ น่ื แสดงวา่
วิสงขฺ ารคตํ จติ ตฺ ํ จติ ถงึ วสิ งั ขาร (นพิ พาน), และในทก่ี ลา่ วถงึ การอบรมภายใน กแ็ สดงวา่ อบรม
จิต ชำ� ระจติ เชน่ สจิตฺตปริโยทปนํ ชำ� ระจติ ของตนให้ผอ่ งแผว้ , แต่ไม่มีแสดงวา่ จติ เปน็ สภาพ
เท่ียงยั่งยืนในทางสัสสตทิฏฐิ. ย่ิงกว่าน้ัน ในกายจิตตสูตร๒๔ ตรัสสอนมิให้เห็นว่าจิตเป็นอัตตา,
อธิบายวา่ จิตเกิดๆ๒๕ ดบั ๆ๒๖ อยูเ่ สมอ เหมอื นวานรเทีย่ วไปบนตน้ ไม้ จับปลอ่ ย ๆ กิ่งไม้อยู่เสมอ,
ท่านไมอ่ ธิบายว่า จิต เป็นสภาพสัสสตะ (ยง่ั ยนื ) โดยปรยิ ายไร ๆ เลย.
๓. อัตตา โดยสมมติมรรค (ทางสมมติ) หรือ โดยสามญั โวหาร พระพทุ ธศาสนาแสดง
อตั ตา (ตวั ตน) เปน็ ผทู้ ำ� และเปน็ ผรู้ บั ผล ดงั เชน่ วา่ ทำ� บาปดว้ ยตน เศรา้ หมองดว้ ยตน ไมท่ ำ� บาป
ดว้ ยตน หมดจดด้วยตน๒๗
โดยทางสมมติน้ี ท่านใช้ค�ำว่าสัตว์บุคคล ตวั ตนเราเขา ในการแสดงธรรม, เพราะถ้าไม่
ใช้ กแ็ สดงธรรมใหเ้ ขา้ ใจกนั ไมไ่ ด้ แตท่ า่ นกแ็ สดงวา่ เปน็ เพยี งสมมตเิ ทา่ นนั้ ดงั คาถาแปลวา่ เพราะ
ประกอบส่วนรถตา่ งๆเข้า เสียงว่ารถกม็ ฉี นั ใด เมือ่ ขนั ธท์ ้งั หลายมีอยู่ สมมตวิ า่ สตั วก์ ม็ ี ฉนั น้นั ๒๘

๒๔ ส.ํ น.ิ ๑๖/ ๑๑๔.
๒๕ จบั อารมณ์.
๒๖ ปล่อยอารมณ.์
๒๗ อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกลิ ิสสฺ ต ิ
อตฺตนา อกตํ ปาป ํ อตฺตนา ว วิสชุ ฺฌติ. (ข.ุ ธมฺ. ๒๕/ ๓๗)
๒๘ ยถา หิ องฺคสมฺภารา โหติ สทโฺ ท รโถ อติ ิ
เอวํ สนเฺ ตสุ ขนฺเธสุ โหติ สตฺโตติ สมฺมต.ิ (ส. ส. ๑๕/ ๑๙๘)

67

โดยวิมุตติมรรค (ทางวิมุตติ) ซ่ึงมุ่งให้หลุดพ้นจากความยึดถือโดยประการท้ังปวง
พระพุทธศาสนาแสดงอนตั ตา ทงั้ โดยปริยาย คอื ช้ีส่ิงใดสง่ิ หน่ึงวา่ เป็นอนตั ตา ทง้ั โดยนิปปริยาย
(ส้ินเชงิ ) เชน่ สพฺเพ ธมมฺ า อนตตฺ า ธรรมทงั้ ปวงเป็นอนัตตา, บางแห่งปฏิเสธอัตตาตรง ๆ เชน่
อตฺตา หิ อตตฺ โน นตถฺ ิ ตนไมม่ ีแก่ตน. ค�ำวา่ อนตั ตา น้ี แปลงกันวา่ มิใช่ตน มไิ ด้แปลกนั ว่า
ไมม่ ตี น เพราะในการแสดงอนตั ตา ทา่ นยกสง่ิ ทเี่ ปน็ อนตั ตาขน้ึ แสดงดว้ ยเสมอ เชน่ ขนั ธ์ อายตนะ
ธาตุน้ัน ๆ เปน็ อนตั ตา, แตต่ ามความหมาย เมอ่ื ยกสิง่ ใดขนึ้ แสดงวา่ เป็นอนตั ตา ก็หมายความ
ว่า ไม่มีอัตตาอยู่ในส่ิงนัน้ ดงั เช่นอธิบายในความไมม่ แี ห่งสักกายทิฏฐิ (ความเห็นวา่ กายตน) ว่า
ไมต่ ามเหน็ ขนั ธ์โดยเป็นตน ไมเ่ ห็นว่าตนมขี ันธ์ ไมเ่ หน็ ขันธ์ในตน หรอื ตนในขันธ.์
แตก่ ย็ งั มีปญั หาว่าพ้นจากขนั ธ์ จะพึงมอี ตั ตาหรอื ไม่ ?
ปัญหานี้ จงึ ตอบอนุโลมตามท่ีกลา่ วมาแล้ววา่ พ้นจากขนั ธ์ กพ็ ้นจากสมมติบญั ญัติ ผู้พน้
ท่ีเรียกว่าพระตถาคตหรือพระอรหันต์ย่อมไม่สูญ แต่ไม่มีสมมติบัญญัติจะเรียกว่าอะไร เหมือน
อยา่ งไฟสน้ิ เชอ้ื ดบั ไปฉะนน้ั , สง่ิ ทไ่ี มส่ ญู จงึ มอี ยู่ แตไ่ มม่ สี มมตบิ ญั ญตั จิ ะเรยี ก, ถา้ มสี มมตบิ ญั ญตั ิ
เรียกส่ิงไม่สูญว่าเป็นอัตตาหรือเป็นอะไร ก็เข้าสัสสตทิฏฐิ เพราะเท่ากับรับว่า มีอัตตาที่ไม่สูญ,
ถ้าปฏเิ สธว่าไม่มีอะไรเลย คอื สญู ก็เขา้ อจุ เฉททิฏฐิ และผิดความจรงิ เพราะส่ิงทม่ี ี ก็ต้องมี สิ่ง
ทไี่ มส่ ูญ ก็ต้องไมส่ ูญเปน็ ธรรมดา, แตเ่ พราะพ้นจากขันธ์ จงึ พน้ จากสมมติบญั ญัติซึ่งอาศยั ขันธ์
ทุกอย่าง, ส่วนผู้ยังไม่พ้นย่อมมีสมมติบัญญัติอาศัยขันธ์ครบทุกอย่าง มิใช่เฉพาะแต่อัตตาอย่าง
เดยี ว, และส�ำหรบั ผู้พน้ แลว้ จะสมมตบิ ัญญัตเิ รยี กทา่ นว่าอย่างไร กแ็ ล้วแตจ่ ะแสดงไปตามนานา
มติ แต่ก็มักยืมสมมติบัญญัติเก่ามาเรียก เพื่อพูดกัน (ข้อส�ำคัญอย่าเข้าใจสมมติบัญญัติเก่าว่า
เป็นตวั จริง).

68

ศาสดา ๓ จ�ำพวก

ในปุคคลบญั ญัต๒ิ ๙ แสดงว่า ศาสดา (ผ้สู อน) มี ๓ จำ� พวก คอื : -
๑. ศาสดาผ้สู สั สตวาทะ (มีวาทะวา่ เทีย่ ง)
ได้แก่ ศาสดาผ้บู ัญญตั วิ ่ามอี ัตตาจริงแท้ท้ังภพนภี้ พหน้า.
๒. ศาสดาผอู้ จุ เฉทวาทะ (มวี าทะวา่ ขาดสญู )
ไดแ้ ก่ ศาสดาผบู้ ญั ญตั วิ า่ มอี ตั ตาจรงิ แทเ้ ฉพาะในภพน้ี แตไ่ มม่ อี ตั ตาจรงิ แทใ้ นภพหนา้ .
๓. ศาสดาผ้สู มั มาสมั พุทธะ (ผู้ตรสั ร้เู องชอบ)
ได้แก่ ศาสดาผู้ไม่บัญญัติเช่นนน้ั ทัง้ ๒ อยา่ ง.
ฉะนั้น ในพระพุทธศาสนา จึงไม่แสดงวาทะท้ัง ๒ นั้น, และถ้ามีปัญหาท่ีจะท�ำให้ผู้ฟัง
เขา้ ใจเขวไปในวาทะทง้ั ๒ นน้ั ซง่ึ ขดั กบั หลกั พระพทุ ธศาสนา พระบรมศาสดากไ็ มต่ รสั พยากรณ,์
ดังในสังยุตตนิกาย๓๐ แสดงว่า ปริพาชกช่ือวัจฉโคตร มาเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลถามว่า
อัตตามีหรอื ? พระบรมศาสดาทรงนิ่ง, ถามวา่ อตั ตาไม่มหี รือ ? ทรงนิ่งอกี . เมอ่ื ปรพิ าชกนั้น
กลบั ไปแลว้ พระอานนทเถระกราบทูลถามถงึ เหตทุ ท่ี รงนงิ่ ไมท่ รงพยากรณ์, ตรัสตอบว่า ถา้ ทรง
พยากรณว์ า่ อตั ตามี กจ็ ักเปน็ ฝา่ ยสสั สตวาทะ ถา้ ทรงพยากรณว์ ่าอตั ตาไม่มี กจ็ กั เปน็ ฝ่ายอุจเฉท
วาทะ, และตรัสถามพระอานนท์วา่ ถา้ ทรงพยากรณ์วา่ อัตตามี จักให้เกดิ ญาณอนุโลมขอ้ ว่าธรรม
ท้ังปวงเป็นอนตั ตาหรอื ? พระอานนท์กราบทลู ว่าไมเ่ ป็นดงั น้ัน, ตรสั ตอ่ ไปวา่ ถา้ ทรงพยากรณ์
วา่ อตั ตาไมม่ ี ปรพิ าชกกจ็ กั งนุ งงหลงใหลยงิ่ ขนึ้ วา่ เมอื่ กอ่ นเรามอี ตั ตา เดย๋ี วนไ้ี มม่ ี (อยา่ งไร) หนอ
ดงั น.ี้ และในทุฎฐฏั ฐกสูตร แสดงวา่ ความเห็นวา่ มีตน (หรือ) ความเหน็ ว่าไม่มตี น ไมม่ แี ก่ผู้นน้ั
เลย ผ้นู ้นั ได้ละความเห็นในโลกน้ี ทงั้ หมด๓๑ แล.

๒๙ อภ.ิ ปคุ . ๓๖/ ๑๘๐. อโธสิ โส ทิฏฺมิ ิเธว สพพฺ ํ
๓๐ ส.ํ สฬา, ๑๘/ ๔๘๗. (ขุ. สุตตฺ . ๒๕/ ๔๘๗)
๓๑ อตฺตํ นริ ตฺตํ น หติ สฺส อตถฺ ิ


69

อนปุ าทาน

ทางพระพทุ ธศาสนา มงุ่ มใิ หเ้ กย่ี วเกาะกบั วาทะทงั้ ๒ นน้ั เพราะถา้ เกย่ี วเกาะกเ็ ปน็ อปุ าทาน
(ความยดึ ถอื ) พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมเพอ่ื ไมย่ ดึ ถอื (อนปุ าทาน) ในทกุ ๆ สงิ่ , ฉะนน้ั
จงึ ทรงแสดงพยากรณ์ อรยิ สจั คอื ทกุ ข์ เหตเุ กดิ ทกุ ข์ ความดบั ทกุ ข์ ทางปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข,์
และโดยมาก ทรงแสดงช้ีทุกขสัจ เป็นพหุลานุสาสนี (วาจาพร่�ำสอนโดยมาก) คือทรงยกขันธ์
อายตนะ ธาตุ ขน้ึ แสดงโดยไตรลกั ษณะ ลกั ษณะ ๓ คอื อนจิ จะ ทกุ ขะ อนตั ตา) หรอื โดยทวิ
ลกั ษณะ (ลกั ษณะ ๒ คอื อนจิ จะ อนตั ตา เวน้ ทกุ ขะ เพราะทกุ ขเ์ นอื่ งในอนจิ จะ, อกี อยา่ งหนง่ึ
เพราะทกุ ขเ์ ปน็ ตวั ทกุ ขสจั ซงึ่ รวมลกั ษณะทง้ั ๒ นนั้ เขา้ ดว้ ยกนั ) เพอ่ื ละอปุ าทานในขนั ธ์ อายตนะ
ธาตุ อนั เปน็ ตวั ทกุ ขสจั เสยี , เมอ่ื ละอปุ าทานไดส้ นิ้ เชงิ แลว้ อะไรยงั มอี ยู่ กพ็ งึ รไู้ ดเ้ ฉพาะตน, แตใ่ น
เวลาปฏบิ ตั ไิ มต่ อ้ งพะวงเกย่ี วเกาะสงสยั เพราะถา้ พะวงถงึ เมอื่ ใด กต็ ้องคดิ ป้นั ตวั มตี ัวเปน็ เปน็
อัตตาข้นึ เม่ือนน้ั และนน่ั กเ็ ปน็ ความคดิ ซึ่งเป็นตักกะ, สิง่ ทค่ี ิด ก็ตอ้ งเป็นตวั สมมตบิ ัญญตั ิข้นึ ซ่งึ
ตอ้ งอาศยั ขนั ธอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ นนั่ เอง จงึ ไมอ่ าจพน้ จากอปุ าทาน (เพราะนนั่ เปน็ อปุ าทาน), และ
ถงึ ใชต้ กั กะเท่าไร ก็ไม่อาจรู้จรงิ ได้ว่าส่งิ ท่มี ีอย่นู ั่นคอื อะไร ดังพระบาลแี ปลว่า อายตนะ นนั้ มอี ยู่
ฯลฯ น่ันแหละ เป็นทส่ี ุดแหง่ ทกุ ข,์ ธรรมนลี้ กึ เห็นยาก รู้ยาก สงบ ประณตี ไมร่ ูไ้ ดด้ ้วยตักกะ
(ตรึกนกึ เอา) ละเอียด อนั บณั ฑิตพงึ รไู้ ด้.๓๒
อน่งึ เม่ือทรงแสดงธรรมช้ีทุกขสัจ ถา้ ผู้ฟังคิดพะวงไปถงึ ตวั มี ตัวเป็น (คอื อตั ตา) กช็ ่ือ
ว่าด�ำเนินไปผิดทาง, ดังในมหาปุณณมสูตร๓๓ แสดงว่าเมื่อพระบรมศาสดาก�ำลังทรงแสดง
ปญั จขนั ธว์ า่ เปน็ อนตั ตา เพอ่ื ละความสำ� คญั เหน็ วา่ เรา วา่ ของเรา, ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ เกดิ ความคดิ ขนึ้ วา่
ไดย้ นิ วา่ รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ เป็นอนตั ตาอย่างนี้ ๆ, ก็กรรมท่ีสิ่งทเี่ ป็นอนตั ตา
ท�ำแลว้ พึงถกู ต้อง (ส่งผล) อัตตาอะไร ? พระผู้มีพระภาคเจา้ ทรงทราบความคิดนน้ั แลว้ ตรัส
บอกภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ มฐี านะอยทู่ โ่ี มฆบรุ ษุ (คนเปลา่ ) บางพวกพงึ เขา้ ใจสตั ถศุ าสน์ (คำ� สอนของ
พระศาสดา) แล่นเตลิดไปอย่างน้ัน ดงั นี้แลว้ ทรงนำ� เข้ามาในทางเทศนาในทุกขสจั ตามเดมิ ด้วย
ตรสั สอนภกิ ษทุ ัง้ หลายในขอ้ ว่าปัญจขันธ์ เป็นอนัตตา เพ่ือละอุปาทานในปญั จขันธ์, ท่านแสดงวา่
เม่ือจิตของภิกษุทั้งหลายถูกน�ำเข้ามาในสัจจธรรมแล้ว ได้พ้นจากอาสวกิเลสท้ังหลาย เพราะไม่
ถือมั่นแล.

๓๒ อตถฺ .ิ .. ตทายตน.ํ ฯเปฯ เอเสวนโฺ ต ทกุ ขฺ สสฺ , คมภฺ โี ร จายํ ธมโฺ ม ททุ ทฺ โส ทรุ นโุ พโธ สนโฺ ต ปณโี ต
อตกกฺ าวจโร นปิ โุ ณ ปณฑฺ ติ เวทนโิ ย. (ขุ. อ.ุ ๒๕/๒๐๖)
๓๓ ม. อุ. ๑๔/ ๑๐๖.

70

พุทธวาทะเรื่องเชอ้ื น�ำเกิด

ในสังยตุ ตนกิ ายแสดงวา่ ๓๔ ปริพาชกชื่อ วจั ฉโคตร ได้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูล
วา่ ในวนั กอ่ น ๆ พวกสมณพราหมณล์ ทั ธอิ นื่ เปน็ อนั มาก ประชมุ พดู สนทนากนั ในกตุ หุ ลศาลา๓๕
อา้ งถึงคณาจารย์ เจา้ หมู่ เจ้าคณะทคี่ นนับถอื กนั นัน้ ๆ วา่ ลว้ นแต่พยากรณส์ าวกผบู้ รรลผุ ล
อย่างยิ่งของตน ๆ ว่า ตายไปเกิดในที่โน้น ๆ, ส่วนพระผมู้ พี ระภาคเจ้าทรงพยากรณ์พระสาวก
ผบู้ รรลถุ งึ ผลอยา่ งยงิ่ ของพระองคต์ า่ งออกไปวา่ พระสาวกนน้ั ๆ ไดต้ ดั ตณั หาปลดเปลอื้ งสงั โยชน์
(เครือ่ งผกู ) ไดท้ ำ� ท่ีสดุ ทกุ ข์ เพราะตดั มานะโดยเด็ดขาด ตนจงึ มีความสงสยั ลังเลใจ วา่ ธรรมของ
พระผมู้ พี ระภาคจึงรยู้ ง่ิ เห็นจริงอยา่ งไร ?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ควรที่จะสงสัยลังเลใจ แล้วจึงตรัสว่า ทรงบัญญัติความเกิด
(อุปบัติ) แก่ผู้มีอุปาทาน ไม่ทรงบัญญัติความเกิดแก่ผู้ไม่มีอุปาทาน เหมือนอย่างไฟท่ีมีเช้ือ
(อุปาทาน) กต็ ิดสวา่ ง ไม่มีเชื้อกไ็ ม่ติดสว่าง ฉะนน้ั .
ปรพิ าชกกราบทลู ถามวา่ ในสมยั ทเี่ ปลวไฟถกู ลมกระพอื พดั ไปแมไ้ กล พระองคท์ รงบญั ญตั ิ
วา่ อะไรเปน็ เชอื้ ของเปลวไฟนี้ ?
พระผมู้ พี ระภาคตรสั ตอบวา่ ทรงบญั ญตั วิ า่ เปลวไฟนน้ั มลี มเปน็ เชอ้ื เพราะวา่ ลมยอ่ มเปน็
เชอ้ื ในสมยั นน้ั .
ปริพาชกกราบทลู ถามว่า ในสมยั ที่ทอดทิ้งกายน้ี และสัตว์ยงั ไม่เขา้ ถงึ กายอน่ื พระองค์
บญั ญตั ิวา่ อะไรเป็นเชอ้ื (นำ� ใหเ้ ข้าถึงกายอื่น) ของสัตวน์ ี้ ?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า พระองค์ทรงกล่าวว่า สัตว์น้ันมีตัณหาเป็นเชื้อ เพราะว่า
ตณั หายอ่ มเปน็ เช้อื ในสมัยนั้น.
ตามพระพทุ ธภาษติ นี้ แสดงวา่ ทางพระพทุ ธศาสนา บญั ญตั วิ า่ เมอื่ มเี ชอ้ื คอื ตณั หา สตั ว์
กบ็ งั เกดิ เมอื่ สนิ้ เชอื้ คอื ตณั หาแลว้ กส็ น้ิ เกดิ อกี ตอ่ ไป. พระพทุ ธภาษติ นกี้ ม็ นี ยั อนั เดยี วกนั กบั หลกั
ปฏิจจสมปุ บาท ดงั กล่าวมาข้างตน้ .

๓๔ สํ. สฬา. ๑๘/ ๔๔๒.
๓๕ ศาลาประชมุ แสดงลทั ธติ ่างๆ ไม่จำ� กดั เป็นแหล่งบังเกิดขา่ ววา่ ใครพดู อะไร.

71

เราคนเดียวกัน

มปี ญั หาว่า เมอ่ื เกดิ อกี จะเกิดเป็นเราคนเดยี วกันหรือต่างคนไป ?
ปญั หาน้ี ตอบตามพระพทุ ธภาษติ ในทต่ี า่ ง ๆ วา่ เกดิ เปน็ เราคนเดยี วกนั ทกุ ชาติ มใิ ชต่ า่ ง
คนกนั ออกไป, ดังในพระบาลีแสดงบุพเพนิวาสญาณ คอื ความรู้ระลึกชาตใิ นหนหลังได้ ความวา่
ระลกึ ไดช้ าตหิ นงึ่ สองชาตเิ ปน็ ตน้ ขนึ้ ไปเปน็ อนั มากวา่ ในชาตโิ นน้ เรามชี อ่ื โคตรอยา่ งน้ี มวี รรณะ
มีอาหาร อย่างนี้ เสวยสุข ทุกข์ อย่างนี้ มีท่ีสุดอายุอย่างนี้. เรานั้นเคลื่อนจากชาตินั้นแล้วจึง
บังเกดิ ในชาติโน้น. แมใ้ นชาตินัน้ เรากม็ ชี ือ่ โคตรเป็นต้นอย่างน้ี ๆ. เราน้ันเคลื่อนจากชาตินนั้ แลว้
ก็บงั เกดิ ในชาตนิ ้ี ดังนี้. เพราะฉะนัน้ แมจ้ ะเกิดในชาติเท่าไรกต็ าม คงเป็นเรา คนเดยี วกันนเี้ อง
เหตฉุ ะน้ีจึงสามารถบ�ำเพญ็ บารมี หรือสะสมอาสวกิเลส สืบเนอื่ งกนั ไปได,้ แต่ย่อมเขา้ ถงึ กายใน
คตภิ พตา่ ง ๆ กันตามกรรม ดงั พระบาลใี นโกสลสงั ยตุ ต์ แสดงคตทิ เ่ี กดิ ไว้ แปลวา่ สตั วท์ งั้ หลายทงั้
ปวงจกั ตาย เพราะชวี ติ มคี วามตายเปน็ ทส่ี ดุ , สตั วท์ ง้ั หลายจกั ไปตามกรรม เขา้ ถงึ ผลของบญุ และ
บาป, ผมู้ กี รรมเปน็ บาป จะไปสนู่ ริ ยะ (คตทิ เี่ สอื่ ม) ผมู้ กี รรมเปน็ บญุ จะไปสสู่ คุ ติ (คตทิ ด่ี )ี .๓๖
อน่ึง ในโกสลสังยุตตน์ นั้ แหละ แสดงไว้ แปลว่า ผู้จะต้องตาย ทำ� บุญบาปทัง้ สองอันใดไว้
ในโลกนี้ บญุ บาปทั้งสองน้ันเปน็ ของเขา เขาพาบุญบาปทงั้ สองน้ันไป บญุ บาปท้ังสองนนั้ ตามเขา
ไปเหมอื นอยา่ งเงาทไ่ี มล่ ะตวั ตดิ ตามตวั ไปฉะนนั้ .๓๗ พระพทุ ธภาษติ นต้ี รสั เปรยี บกรรมเหมอื นเงา
แสดงว่าต้องมเี จ้าของเงาเป็นตวั ผไู้ ป (เกดิ ).
เมอ่ื คนตาย ย่อมทอดทิง้ รา่ งกายให้เน่าเปอ่ื ยอยใู่ นโลกน้ี จึงมีปัญหาวา่ อะไรไปเกิด ?
ปัญหานี้ ตอบตามทม่ี าตา่ ง ๆ วา่ ตามพระสูตรท่ัวไป แสดงโดย สามญั โวหาร วา่ สัตว์
บุคคลเปน็ ตน้ ท�ำกรรมน้ัน ๆ ไว้ ตายไปเกิดอย่างนัน้ ๆ, เมือ่ กลา่ วหมายถงึ ตนเอง กค็ อื เรา (อัน
หมายถงึ อตั ตา) ดงั พระบาลีแสดงบุพเพนิวาสญาณดังกล่าวแล้ว, ในท่บี างแห่งเรียกวา่ วญิ ญาณ

๓๖ สพเพ สตตฺ า มรสิ สฺ นติ มรณนตฺ ิ หิ ชีวติ ํ
ยถากมมฺ ํ คมิสฺสนตฺ ิ ปุญฺญบาปผลปู คา
นริ ยํ ปาปกมฺมนตฺ า ปญุ ฺญกมมฺ า จ สุคต.ึ
(ส.ํ ส. ๑๕/ ๑๔๒)
๓๗ อโุ ภ ปญุ ฺญญฺจ ปาปญฺจ ยํ มจฺโจ กุรเุ ต อิธ
ตํ หิ ตสฺส สกํ โหติ ตญจฺ อาทาย คจฉฺ ติ
ตญฺจสฺส อนคุ ํ โหติ ฉายาว อนปุ ายิน.ี
(ส.ํ ส. ๑๕/ ๑๐๔)

72

ตามที่เข้าใจกันทั่วไป เช่นในมารสังยุตต์๓๘ แสดงเร่ืองมารค้นหาวิญญาณของพระโคธิกะ ผู้ถึง
มรณภาพ ว่าไปสถติ อยใู่ นทไี่ หน, ไดม้ ีพระพทุ ธพยากรณว์ า่ พระโคธิกะปรนิ ิพพานแลว้ วญิ ญาณ
ไม่สถิตอยู่ และในอังคุตตรนิกาย๓๙ แสดงภูมิเป็นท่ีต้ังแห่งวิญญาณ เรียกว่า วิญญาณฐิติ.
ในองั คตุ ตรนกิ ายนนั้ นั่นแหละ๔๐ แสดงว่า กมมฺ ํ เขตตฺ ํ กรรมเหมอื นนา วญิ ฺาณํ พชี ํ วญิ ญาณ
เหมอื นพืช ตณหฺ า สิเนโห ตัณหาเหมอื นยางในพืช.
ตามที่มาที่อ้างมาน้ี ส่องความให้เข้าใจว่า สภาพอย่างหนึ่งที่ไม่ตาย มีอยู่ในสัตว์บุคคล
ทวั่ ไป เมอ่ื สงั ขารรา่ งกายกอ่ กำ� เนดิ ขนึ้ ตามหลกั ธรรมชาติ สภาพนนั้ กเ็ ขา้ สถติ (อปุ บตั )ิ เมอื่ สงั ขาร
ร่างกายแตกทำ� ลาย สภาพน้ันกเ็ คลื่อนออกไป (จุต)ิ เข้าร่างใหม่ตอ่ ไปตามกรรม จนกวา่ จะละ
อุปาทานได้ จึงไม่เขา้ ร่างใหม่อีกต่อไป ดงั ทเ่ี รียกวา่ ส้ินภพสิ้นชาติ, เพราะฉะนัน้ ที่เรียกวา่ ตาย
นั้น จึงได้แก่สังขารเท่าน้ัน แต่โดยที่แท้ไม่มีใครตาย (ท้ังไม่มีใครเกิดขึ้นใหม่) เพียงแต่เปลี่ยน
สงั ขารร่างกาย เหมือนอย่างเปลีย่ นเสื้อใหมเ่ ท่าน้นั .

ธรรมเป็นสภาพไมส่ ูญ

เมอ่ื สน้ิ ภพสน้ิ ชาติ กส็ น้ิ สมมตบิ ญั ญตั ทิ จี่ ะเรยี กสภาพนนั้ วา่ อะไรอกี ตอ่ ไป จงึ ไมม่ สี งิ่ อะไร
จะยกข้ึนพูดว่าเที่ยงย่ังยืนหรือขาดสูญ น่าจะเป็นเพราะเหตุน้ี พระบาลีที่กล่าวถึงสภาพนั้นโดย
ปรมตั ถ์ จงึ กลา่ วในทางปฏเิ สธ ดงั ทยี่ กมากลา่ วขา้ งตน้ แลว้ วา่ อายตนะนนั้ มอี ยู่ ในอายตนะไรเลา่
ไมใ่ ช่ดนิ ไม่ใช่นำ�้ ไม่ใชไ่ ฟ ไม่ใช่ลม ฯลฯ.
ค�ำว่า “อายตนะน้นั มีอยู”่ กเ็ ป็นเพียงภาษาทพี่ ดู เพอ่ื แสดงใหท้ ราบถงึ ความไมส่ ูญ, ความ
ไม่สูญนี้เป็นอรรถของค�ำว่าธรรม เพราะธรรมแปลว่าทรงไว้ หรือทรงอยู่, ธรรมจึงเป็นสภาพไม่
สูญ, ธรรมจงึ คงเป็นธรรม ดงั ทเี่ รียกว่า ธรรมฐติ ิ อยู่ตลอดนริ ันดร.
สพฺเพ ธมมฺ า อนตฺตา ธรรมทง้ั ปวงเปน็ อนตั ตา

๓๘ ส.ํ ส. ๑๕/๑๗๘.
๓๙ อง.ฺ สตตฺ ก ๒๓/ ๔๑.
๔๐ องฺ. ตกิ . ๒๐/ ๒๘๗.

73

74

ความรู้ของคน
ตามคตแิ ห่งพระพทุ ธศาสนา

คนคอื อะไร

คนเกิดมาในโลกท่านแสดงวา่ ประกอบดว้ ยธาตุ ๖ ดังพระพทุ ธภาษติ ในธาตุวภิ งั คสูตร
วา่ ฉ ธาตโุ ร...อยํ ปรุ โิ ส บรุ ษุ คอื คนนมี้ ธี าตุ ๖ คอื ปฐวธี าตุ ธาตดุ นิ อาโปธาตุ ธาตนุ ำ้� เตโชธาตุ
ธาตไุ ฟ วาโยธาตุ ธาตุลม อากาสธาตุ ธาตุอากาศ วิญญาณธาตุ ธาตุรู้ ดงั นี.้ ในธาตุเหลา่ นี้ ธาตุ
๕ ขา้ งตน้ คอื ธาตดุ นิ นำ้� ไฟ ลม อากาศ เปน็ ธาตไุ มม่ คี วามรใู้ นตวั สว่ นวญิ ญาณธาตุ เปน็ ธาตรุ ,ู้
ธาตุท้งั ๒ ส่วนน้ี ประกอบกันเขา้ เปน็ ปุรสิ หรอื บุรุษ คือ คน.
คนผเู้ กดิ มาดงั กลา่ ว จงึ มรี ปู กายอนั ประกอบขน้ึ ดว้ ยธาตไุ มม่ คี วามรใู้ นตวั สว่ นหนง่ึ จติ ดงั
ทเ่ี รียกวา่ วิญญาณธาตุ (ธาตุร้)ู ส่วนหนึง่ อาศยั กัน, มคี ำ� แสดงลกั ษณะของจติ วา่ คหู าสยํ มคี หู า
คอื รปู กาย เปน็ ท่อี าศยั , เมอื่ ทง้ั ๒ สว่ นประกอบกันอยู่ คนก็มชี วี ะ หรอื ชีวิต, เมอ่ื ทัง้ ๒ ส่วน
พรากกนั คนกส็ ิ้นชวี ะ หรือชีวิต.

คนรไู้ ด้อยา่ งไร

จติ แม้จะเปน็ ธาตุรู้ ก็ไมอ่ าจรูอ้ ะไรได้โดยล�ำพงั จิตเอง ต้องอาศยั รู้ทางรูปกายทีเ่ รยี กว่า
ผัสสายตนะ แปลว่า ท่เี กดิ ผสั สะ มี ๖ คอื จกั ษุ ตา, โสตะ หู, ฆานะ จมูก, ชิวหา ล้ิน, กายะ
กาย, มนะ ใจ (มนะ เดมิ เข้าใจว่าอยู่ทห่ี ทยั คือรปู หวั ใจ บดั นี้ บางทา่ นเห็นว่าอยทู่ ่มี ันสมอง); คอื
อาศัยจักษุ รู้รูป, อาศัยโสตะ รู้เสียง, อาศัยฆานะ รู้กล่ิน, อาศัยชิวหา รู้รส, อาศัยกายะ รู้
โผฏฐัพพะ คือสิง่ ทก่ี ายถูกต้อง, อาศยั มนะ รู้ธรรม คือเรอ่ื งตา่ ง ๆ มีเรอ่ื งรูปเปน็ ต้น ท่ีประสบมา
แล้ว, รวมเปน็ ๖ ดงั พระบาลีวา่ ฉ ผสฺสายตโน มผี ัสสายตนะ ทเ่ี กิดผัสสะ ๖, หรอื เรียกวา่
อายตนะภายใน ๖.

75

วถิ แี ห่งความรู้

วิถแี หง่ ความรูข้ องธาตรุ ู้ ตามทางเหลา่ นี้ ทา่ นแสดงไว้โดยลำ� ดบั คอื :-
๑. วญิ ญาณ ความรสู้ กึ ทแี รก มีอธิบายในอรรถกถาอภิธรรมว่า
เมอ่ื รปู กระทบจกั ษุ กล็ ว่ งเขา้ ไปถงึ มนะ จงึ เกดิ จกั ขวุ ญิ ญาณ (ความรสู้ กึ เหน็ รปู ทางจกั ษ)ุ .

เมอ่ื เสยี งกระทบโสตะ กล็ ว่ งเขา้ ไปถงึ มนะ จงึ เกดิ โสตวญิ ญาณ (ความรสู้ กึ ไดย้ นิ เสยี งทางโสตะ).
เมอื่ กลนิ่ กระทบฆานะ กล็ ว่ งเขา้ ไปถงึ มนะ จงึ เกดิ ฆานวญิ ญาณ (ความรสู้ กึ ไดส้ ดู กลน่ิ ทางฆานะ).
เมอ่ื รสกระทบชวิ หา กล็ ว่ งเขา้ ไปถงึ มนะ จงึ เกดิ ชวิ หาวญิ ญาณ (ความรสู้ กึ ไดล้ ม้ิ รสทางชวิ หา).
เมอ่ื โผฏฐพั พะกระทบกาย กล็ ว่ งเขา้ ไปถงึ มนะ จงึ เกดิ กายวญิ ญาณ (ความรสู้ กึ ถกู ตอ้ ง

โผฏฐพั พะทางกาย).
ความกระทบทั้ง ๕ ทางดังกลา่ ว ต้องเปน็ ความกระทบคู่ คอื ประสาทแตล่ ะประสาท กบั
มนะ จงึ เกดิ วิญญาณขนึ้ ตามประเภท, ท่านแสดงว่าเกิดข้นึ รวดเร็วเหมอื นอยา่ งนกบนิ มาจับทก่ี งิ่
ต้นไม้ เงาของนกก็ทอดลงไปถึงแผน่ ดินในขณะน้นั รูปเป็นตน้ กฉ็ นั นัน้ เมอื่ กระทบจกั ษเุ ป็นต้น
กล็ ่วงไปถงึ มนะในทนั ใด จงึ เกดิ วิญญาณข้ึนตามประเภท.
ส่วนธรรม คือเรื่องของรูปเป็นต้น จนถึงเร่ืองของธรรมนั้นเองท่ีเคยเห็นมาแล้วเป็นต้น
มากระทบ มนะได้โดยตรง เกิดมโนวิญญาณ (ความรู้สึกเรอ่ื งทางมนะ).
สว่ นในพระสูตรแสดงโดยหลักว่า อาศัยจกั ษุและอาศัยรปู เกิด จักขุวญิ ญาณ เปน็ ตน้ .
ต่อจากนเี้ กิดความรแู้ รงข้ึนโดยล�ำดับ คอื :-
๒. สมั ผสั สะ หรือ ผสั สะ๔๑ ความประจวบแห่งองค์ ๓ คอื อายตนะภายใน ๑ อายตนะ
ภายนอก ๑ วิญญาณ ๑, คำ� ว่าผสั สายตนะ ทีเ่ กดิ ผัสสะ เรียกด้วยยกผสั สะนีเ้ ป็นทต่ี งั้ .

๔๑ ความรขู้ นั้ ผสั สะนแี้ ฝงอยแู่ ละเขา้ ใจยาก เพราะมปี ญั หาวา่ เมอื่ อายตนะภายในและอายตนะภายนอก
กระทบกนั เปน็ วญิ ญาณขน้ึ แลว้ ทำ� ไมจงึ ตอ้ งมารวมกนั เปน็ ผสั สะเขา้ อกี จงึ เกดิ เปน็ เวทนา ? ปญั หานเ้ี คยตอบ
กนั ว่า เพียงวญิ ญาณยงั ออ่ น ต้องผสมกันเป็นผัสสะกอ่ น จงึ มีก�ำลังแรงให้เกิดเวทนา. ไดม้ ีผู้เทยี บกับหลัก The
3-F (๓ เอฟ) ซึ่งเปน็ ค�ำเรยี ก H-bomb ดงั น้:ี หลกั ระเบดิ ของวัตถรุ ะเบิดชนิดนั้น ทแี รก มอี าการที่เรียกวา่
fission คือระเบดิ ภายใน เทยี บกบั วิญญาณ, แล้วมอี าการ fusion คอื ผสมตัว เทียบกบั ผสั สะ, แล้วจึงมีอาการ
fission คือระเบิดวนิ าศ เทยี บกบั เวทนา, ผลระเบิด ๓ ข้ันน้ี เรว็ มาก, วนิ าทหี น่งึ แบง่ เป็นล้านสว่ น กนิ เวลา
เพียงสว่ นท้งั หลายของลา้ นสว่ นนนั้ . หลกั ปรากฏการณ์ของธาตรุ ู้ และของธาตุท่ีไม่มคี วามร้ใู นตวั เทียบกนั ได้
ดังน้.ี

76

๓. เวทนา ความรู้เสวยสขุ ทุกข์ หรอื กลาง ๆ มใิ ช่ทุกขม์ ใิ ชส่ ุข ตามสัมผัส.

๔. สญั ญา ความรู้จำ� หมายตามเวทนา.
๕. สงั ขาร ความปรงุ คดิ หรอื อภสิ ญั เจตนา ความคดิ ปรงุ รวมทงั้ วติ กวจิ าร ความตรกึ
ความตรอง เปน็ ตน้ ตามสญั ญา.
ทง้ั ๕ นี้ ยกสัมผัสซึ่งเป็นอาการผสมออกเสีย ก็เปน็ ๔ คือ วิญญาณ เวทนา สญั ญา
สังขาร เรียกรวมวา่ นาม หรือ นามกาย คืออาการทจี่ ติ นอ้ มไปรู้ รวม รูปกาย เข้าด้วยก็เป็น ๕,
เรียงวิญญาณไวท้ ้าย ดงั น้วี ่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ เรียกวา่ ปญั จขันธ์ แปลว่า
กองทงั้ ๕, ปัญจขนั ธ์น้ีเป็นทีย่ ดึ ถือด้วยอปุ าทาน (ความยดึ ถือ) ของคนว่า เอตํ มม นี่ของเรา,
เอโสหมสมฺ ิ เราเป็นน,่ี เอโส เม อตตฺ า น่เี ป็นตัวตนของเรา, จงึ เรยี กวา่ อปุ าทานขันธ์ แปลวา่
ขันธ์เปน็ ทย่ี ดึ ถอื แล.

ระดบั ของความรู้

ธาตุรู้น้ี เม่ือยังไม่มีอาการน้อมไปรู้ ท่านเรียกว่าตกภวังค์๔๒ เม่ือรูปเป็นต้น มากระทบ
จักษเุ ปน็ ตน้ กอ็ อกจากภวงั ค์ นอ้ มไปร้เู รือ่ งทีม่ ากระทบน้ัน ๆ แล้ว ก็กลบั ตกภวังค์เปน็ คราว ๆ
เป็นดังน้ีโดยปกติธรรมดา ตง้ั แตเ่ กิดจนตาย.
อาการทน่ี ้อมไปรู้ ทเี่ รยี กวา่ นามของธาตรุ ู้ ตอ้ งอาศัยรปู กาย หรือรูปขันธ์ ฉะน้ัน เมื่อรปู
กายออ่ น ความรกู้ อ็ อ่ น เมอ่ื รปู กายเจรญิ ความรกู้ เ็ จรญิ ขนึ้ โดยลำ� ดบั เปรยี บเหมอื นแสงไฟตะเกยี ง
เมอื่ จุดทแี รก แสงไฟก็ออ่ น เม่ือจุดตดิ ทวั่ แสงไฟก็แรงขึ้น, หรอื เม่ือหร่ีไส้ แสงไฟก็อ่อน เมือ่ ไข
ไส้ขึ้น แสงก็แรงข้ึน เมื่อกล่าวโดยสามัญ อาจแบ่งขั้นของความรู้ตามช้ันความเติบเจริญของรูป
กายไดด้ งั นี้:-
๑. ขนั้ ความรอู้ อ่ นทสี่ ดุ สมมตเิ รยี กวา่ พาลกพทุ ธิ (ความรเู้ ดก็ ออ่ น) ไดแ้ กค่ วามรอู้ ยา่ ง
เดก็ ออ่ น, อาการของเดก็ ออ่ นแสดงใหท้ ราบวา่ มคี วามรจู้ กั สขุ ทกุ ขข์ องรา่ งกาย เชน่ เมอื่ ไดบ้ รโิ ภค
ได้หลับนอนและไม่ไขเ้ จบ็ เดก็ ก็แสดงอาการว่าสบาย เมอื่ ไขเ้ จ็บกแ็ สดงอาการว่าไมส่ บาย, เมอ่ื

๔๒ ภวงั คะ แปลวา่ องค์แห่งภพ ท่านอธิบายวา่ ไดแ้ กป่ กติจิต เห็นแปลกันในภาษายุโรปวา่ subcon-
sciousness (จิตใต้ส�ำนึก) หรอื passive state of mind (ภาวะปกตแิ หง่ จิต), ค�ำน้เี ป็นภาษาใช้ในอภธิ รรม,
สว่ นในพระสูตร พบค�ำท่ีแสดงภาวะปกติแห่งจิตของผูป้ ฏิบัติธรรมอย่างสูงวา่ อเุ บกขา ซึ่งมีลักษณะทงั่ วางเฉย
ทงั้ รู้ นักธรรมบางทา่ นเห็นวา่ ภาวะปกติแห่งจิตของพระอรหันต์ คือวชิ ชาวมิ ุตติ ตามพระบาลวี ่า วชิ ชฺ าวมิ ตุ ฺติ
ผลานสิ ํโส โข...ตถาคโต วหิ รติ (สํ. มหา. ๑๙/ ๑๐๕) แปลว่า ตถาคตอยู่มวี ชิ ชาวิมตุ ตเิ ป็นผลานิสงสแ์ ล.

77

ปวดจะถา่ ยกถ็ า่ ย, อาการเหลา่ นแี้ สดงวา่ มคี วามรชู้ น้ั เวทนาโดยมาก เรมิ่ มคี วามรชู้ น้ั สญั ญาบา้ ง,
แตค่ วามร้ชู ้ันสังขาร (ปรุงคดิ ) นนั้ นา่ จะมีตรง ๆ ตามเวทนา หรอื ตามตอ้ งการของร่างกาย ยัง
ไมร่ จู้ กั ปรงุ คดิ ยงิ่ ขนึ้ ไป จงึ ไมม่ มี ายา ไมม่ กี ารปกปดิ ซอ่ นเรน้ ไมม่ คี วามคดิ เทยี บเคยี งตบแตง่ แกไ้ ข.
๒. ขน้ั ความรอู้ ย่างเดก็ สมมติเรยี กวา่ ทารกพุทธิ (ความร้เู ด็ก), ในข้ันน้ี มคี วามรมู้ าก
ขน้ึ แตก่ เ็ ปน็ ความรอู้ ยา่ งเดก็ รจู้ กั เลน่ ของเลน่ รจู้ กั สงสยั ทดลอง รจู้ กั อยากรอู้ ยากเหน็ รจู้ กั เทยี บ
เคยี งตบแตง่ แกไ้ ขบา้ ง แตก่ ย็ งั นอ้ ย, จงึ ยงั แสดงอาการตรง ๆ เชน่ คดิ อยา่ งไร กพ็ ดู อยา่ งนนั้ , บางที
ค�ำพดู ของเด็กเช่นนี้ เป็นเครือ่ งเตอื นผ้ใู หญก่ ม็ ี เชน่ มีเรอ่ื งเลา่ วา่ บิดาพาเด็กผเู้ ป็นบุตรไปยิงนก
นกถูกยิงตกลงมาแสดงอาการเจ็บปวด น่าสงสาร เด็กก็ถามขึ้นว่า มันท�ำอะไรให้พ่อจึงยิงมัน),
ฝา่ ยบดิ าไดฟ้ งั ก็ได้คดิ จึงเลิกยงิ สตั ว์แตน่ นั้ มา.
๓. ขนั้ ความร้อู ยา่ งหน่มุ สาว สมมติเรียกว่า ยุวพทุ ธิ (ความรู้หนมุ่ สาว), ในข้นั น้ี ความ
รเู้ ปลยี่ นไปจากความรอู้ ยา่ งเดก็ เปน็ รจู้ กั รกั สวยงาม รจู้ กั เทยี บเคยี ง ตบแตง่ แกไ้ ข รจู้ กั สรา้ งสรรค์
เป็นความร้ทู ่ีแล่นเรว็ เห็นแตใ่ นด้านวัฒนะ (เจรญิ ) โดยมาก.
๔. ขั้นความรอู้ ยา่ งผู้ใหญ่ สมมตเิ รยี กวา่ วุฑฒิพุทธิ (ความรู้ผู้ใหญ่), ในขั้นนี้ ความรู้
เปลี่ยนไปเป็นหนักแน่นแน่นอนยิ่งข้ึน เพราะได้ผ่านเหตุและผลต่าง ๆ มามากขึ้น จึงรู้จัก
เทยี บเคียงยับย้งั มองเห็นทง้ั ด้านวฒั นะ (เจรญิ ) ทัง้ ด้านหายนะ (เสอ่ื ม) มากขนึ้ บางทีมองเหน็
ทางหายนะมากกว่าทางวัฒนะ.
ข้ันความรู้เหลา่ น้ีมีแก่บคุ คลทกุ คน แตอ่ าจมาเรว็ หรือชา้ กว่ากนั , เชน่ บางคนมีอายุเป็น
เดก็ หรอื เปน็ หนมุ่ แตม่ คี วามคดิ ความรอู้ ยา่ งผใู้ หญ,่ บางคนมอี ายเุ ปน็ ผใู้ หญ่ แตม่ คี วามคดิ ความรู้
อยา่ งเดก็ หรอื อยา่ งหนมุ่ สาว, และอาจมนี อ้ ยหรอื มากกวา่ กนั ตามพน้ื ปญั ญาเฉพาะตน และตาม
การศึกษาอบรม, เปรียบเหมือนแสงไฟ จะสว่างมากหรือน้อย ก็สุดแต่ชนิดของตะเกียง หรือ
สดุ แตช่ นดิ ของหลอดไฟ. แตเ่ มอื่ ความรเู้ ลอื่ นชน้ั ขน้ึ ไปกพ็ น้ (วมิ ตุ ต)ิ จากความรเู้ ดมิ เลอื่ นขน้ึ ไป
โดยลำ� ดบั , เมอ่ื ความรเู้ ลอ่ื นขนึ้ ไปแลว้ จะทำ� เหมอื นอยา่ งเกา่ ยอ่ มไมไ่ ด้ และจะทำ� ใหย้ ง่ิ ขน้ึ ไปกไ็ ม่
ได้ เช่น เด็กในวยั เลน่ ไม่ยอมนอนเบาะวันยงั ค�่ำเหมือนเดก็ แดง, หนมุ่ สาวไม่ประพฤติและเล่น
อย่างเด็ก ๆ, ผูใ้ หญก่ ็ไม่ทำ� อยา่ งหนุ่มสาว, ลักษณะทีร่ แู้ ละพน้ จากขนั้ ต่�ำเล่อื นขน้ึ ไปสขู่ นั้ สูงโดย
ล�ำดับน้ี เป็นลกั ษณะของวชิ ชา (ความร)ู้ และวิมุตติ (ความหลุดพน้ ) โดยสามญั ทัว่ ไป.

78

คนเกดิ มาเพ่ือรู้

ตน้ เดมิ ของความรขู้ น้ั ตา่ ง ๆ ดงั กลา่ ว คอื ธาตรุ ู้ ธาตรุ นู้ แ้ี มอ้ าศยั รา่ งกาย แตก่ ม็ ใิ ชร่ า่ งกาย
(จึงมใิ ชม่ นั สมอง แต่ก็อาศัยร่างกาย รวมทัง้ มันสมองดว้ ยส�ำหรับร้)ู , เปรยี บเหมือนไฟฟา้ อาศัย
หลอดไฟ, แต่กม็ ิใชห่ ลอดไฟ และเพราะเป็นธาตรุ ู้ จึงด�ำเนนิ ไปเพ่ือร้อู ย่เู สมอ ดังจะสังเกตไดว้ า่
คนอยากรูอ้ ะไร ๆ ตั้งแต่พอรู้เดยี งสา เมอื่ อยากรู้ ก็ท�ำให้ใฝศ่ กึ ษาสำ� เหนยี กเพือ่ จะร้.ู ฉะนั้น จึง
อาจกลา่ วไดว้ า่ คนเกดิ มาเพอื่ ศกึ ษาสำ� เหนยี กใหร้ ู้ เพราะคนมธี าตรุ ทู้ ท่ี ำ� ใหอ้ ยากรู้ ทำ� ใหใ้ ฝศ่ กึ ษา
สำ� เหนียกเพอ่ื รนู้ น้ั เอง.

ประเภทของความรู้

ความรู้นนั้ ย่อมมอี าการตา่ งกันตามช้นั หรอื ภูมิ:
ในชั้นตน้ รู้ตามอายตนะ ถ้าไม่มอี ายตนะ ความรูจ้ ะเกดิ ขึน้ ไม่ได,้ ความรใู้ นช้นั นี้ เกิด
แลว้ ดบั ๆ เปน็ ไปชั่วขณะ ๑ ๆ เทา่ นน้ั , แต่ก็เป็นเหตุใหผ้ ล คอื ความรูอ้ ันติดอยเู่ ปน็ พ้ืนเพ.
ในชั้นที่ ๒ ความรู้ทเี่ นื่องมาจากความรู้ชั้นท่ี ๑ (เกดิ ดบั ) นัน้ ทีย่ ังคงตดิ อยเู่ ปน็ พื้นเพ
(ภูมหิ รือภพ) มไิ ดด้ ับสญู ไป อันเปล่ยี นคนทมี่ ีความรอู้ ยู่ช้นั ๑ ใหเ้ ลอื่ นเป็นอกี ชัน้ ๑ เช่น ความ
ร้ขู องเด็กของผู้ใหญ่ เป็นต้น (ไม่หมายความถงึ เพียงรปู กาย หมายถึงความร,ู้ เพราะบางคนถงึ มี
รูปกายเป็นผู้ใหญ่ แต่ความรู้เป็นช้ันเด็กก็มี). คนเรียนหนังสือหรือวิทยาอื่น ๆ ความรู้ (ตาม
อายตนะ) ในเวลาเรยี น คงเกิดดับ ๆ อย่เู สมอ, แตค่ วามรู้อกี ชั้น ๑ ซงึ่ ให้ผลเป็นความเข้าใจถกู
หรือผิดคงเหลืออยู่, เพราะฉะนั้น คนท่ีเรียนหนังสือรู้อ่านออกแล้ว จึงไม่จ�ำต้องเรียนใหม่ คงรู้
อา่ นออกเป็นพืน้ เพอย่,ู แต่เม่อื ไม่ได้ใชอ้ า่ น ก็ไมแ่ สดงออกมาใหป้ รากฏ, ถา้ เกิดดับ ๆ หมด คน
อ่านหนังสือออกหรือรู้ศิลปวิทยาอื่น ๆ ก็คงไม่มีในโลก, ถึงเช่นนั้นก็ยังต่างกันตามส่วนที่หยาบ
อันเป็นเพียงตามสมมติ เช่น รู้อ่านหนังสือออก เป็นต้น กับส่วนที่ละเอียดอันเป็นภพหรือภูมิ.
ส่วนท่ีหยาบที่เป็นเพียงตามสมมติของชาติของภาษา ย่อมติดอยู่ได้อย่างนานก็เพียงในชีวิต ๑
เทา่ น้นั , แต่ส่วนที่ละเอยี ด เชน่ พนื้ เพดี พน้ื เพช่ัว ฉลาดโง่ อันอาจเป็นเหตใุ หไ้ ปเรยี นตามสมมติ
ใหม่ไดง้ า่ ยหรือยากเปน็ ตน้ ย่อมติดเป็นทางบารมหี รืออาสวะไปกวา่ จะถงึ ทส่ี ุด: ส่วนทดี่ ี ท่ชี อบ
ทถี่ กู ตามคลองธรรม ที่เปน็ ไปทางปัญญาชอบ อันสตั วไ์ ดท้ �ำใหเ้ กดิ ข้ึน อบรมท�ำให้มาก เปน็ ทาง
บารมี และท่านแสดงว่าตดิ ไป, แตส่ ว่ นที่ชั่วทผี่ ดิ เปน็ ทางอาสวะ และทา่ นก็แสดงว่าอาจตดิ ไปดจุ
กนั .

79

พึงตรวจดูคน ตลอดถึงดิรัจฉานที่เกิดมา บางคนมีพื้นเพดี บางคนมีพ้ืนเพชั่ว บางคน
ฉลาด บางคนโง,่ ดว้ ยเหตนุ ที้ า่ นจงึ แสดงว่าพระโพธสิ ตั ว์สร้างบารมีตา่ ง ๆ ในชาตติ า่ ง ๆ เปน็ อัน
มาก จนบริบูรณ์ จึงบรรลุถึงสัมโพธิอันสูงสุด ดังนี้เป็นตัวอย่าง. แต่ส่วนใดท่ีเป็นของโลกน้ี จ�ำ
ตอ้ งละไวใ้ นโลกน้ีหมด, เมอื่ เพง่ ตรวจดใู หถ้ อ่ งแท้ก็แลเห็นได้ว่า ทกุ ๆ คนทีเ่ กิดมาชอื่ ว่ายอ่ มตง้ั
หนา้ มงุ่ ไปหาทรดุ โทรมและความตาย เหมอื นกนั หมด, ถงึ ทรพั ยส์ นิ ตา่ ง ๆ ทต่ี า่ งคนตา่ งมงุ่ แสวงหา
และหวงแหนไว้ ก็ได้ชั่วคราวเท่าน้ัน ในท่ีสุดต่างก็พากันละทรัพย์สินน้ัน ๆ ท้ังหมด ตลอดถึง
รา่ งกายไปตาม ๆ กนั , ตอ้ งทงิ้ ทรพั ยน์ น้ั ๆ ไวใ้ หแ้ กค่ นในภายหลงั ตอ่ ๆ กนั ไป ไมม่ ใี ครเอาอะไร
ไปไดแ้ มส้ กั น้อย นอกจากภพดภี พชวั่ ท่ีตนได้ทาํ ให้เปน็ ข้นึ . ใครจะรเู้ ท่าหรือไมก่ ต็ าม กค็ งเป็น
เชน่ นอ้ี ยู่ตามธรรมดา ดูน่าสังเวช. พระบรมศาสดาจงึ ตรัสเตือนพุทธบรษิ ัทใหพ้ ิจารณา เพ่อื ให้รู้
ตามเปน็ จรงิ ว่า “เรามคี วามแก่...เจบ็ ..ตายเป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพ้นไปได้ และจกั ตอ้ งพลดั พราก
จากสงิ่ ทร่ี กั ทชี่ อบใจทงั้ หมดไป เหมอื นกนั หมด.” แตถ่ งึ เชน่ นนั้ กย็ งั ตา่ งกนั ดว้ ยบางคนทำ� ดี บาง
คนท�ำช่วั อันจะใหผ้ ลเป็นภพต่อไป, คนฉลาดหรอื ในคราวทฉี่ ลาดย่อมท�ำดที �ำถูก (บญุ ), คนโง่
หรือในคราวที่โง่ยอ่ มท�ำชั่วท�ำผดิ (บาป).
ความทำ� ดที ำ� ถกู ยอ่ มปรงุ แตง่ ใหเ้ ปน็ ผมู้ ภี พดี ความทำ� ชว่ั ทำ� ผดิ ยอ่ มปรงุ แตง่ ใหเ้ ปน็ ผมู้ ภี พ
ช่วั , ไมใ่ ช่แต่ในชาตหิ นา้ ถึงชาตนิ เ้ี องก็ปรุงแตง่ ใหเ้ ป็นอยแู่ ล้ว, พึงเหน็ ในคน ๆ เดยี วกัน : ถ้าใน
คราวท่ีมีเมตตาย่อมมีจิตแช่มชื่นผ่องใส สีหน้าและผิวพรรณก็ผ่องใสงดงาม เสียงท่ีแสดงออกก็
อ่อนหวานไพเราะเป็นท่ีนิยมรักใคร่นับถือของคนอ่ืน, ถ้าในคราวที่มีความโกรธจัด ย่อมมีสีหน้า
วิปรติ ดวงตาขุ่นมัว เสียงที่แสดงออกก็กา้ วร้าว หยาบคาย เผ็ดร้อน เปน็ ทเ่ี กลยี ดกลัวไมช่ อบใจ
ของคนอน่ื , ในปจั จบุ นั นย้ี งั เหน็ ได้ แลว้ ในชาตหิ นา้ ตอ่ ไปกค็ วรสนั นษิ ฐานเหน็ เชน่ เดยี วกนั . เพราะ
ฉะนน้ั พระบรมศาสดาจงึ ตรสั เตอื นใหพ้ จิ ารณาอกี วา่ “เราเปน็ ผมู้ กี รรมเปน็ ของตน...จกั ทำ� กรรม
อันใดไว้ ดีหรือช่ัวก็ตาม จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น.” ผู้ต้องการเป็นคนสวยงามและสุคติ
พึงตง้ั ใจทำ� ดี อย่าใหม้ ีความโกรธแค้นเป็นตน้ . ถึงพระบรมศาสดาได้ทรงสัง่ สอนไว้เช่นนัน้ ผไู้ ม่รู้
ตามเปน็ จรงิ ยังกลับอาศยั รา่ งกายบ้าง ทรัพยบ์ ้าง ท�ำชั่ว เป็นไปเพอ่ื เบยี ดเบียนตนเองบา้ ง ผูอ้ นื่
บา้ ง เพอ่ื ใหไ้ ดส้ ว่ นทตี่ นหวงั ตนตอ้ งการอนั ตนเองกจ็ กั ตอ้ งพรากไปในไมส่ ชู้ า้ นกั ดว้ ยอำ� นาจโลภะ
โทสะ โมหะ ชื่อว่าอาศัยสังขารก่อกิเลสอาสวะให้มากขึ้นโดยล�ำดับ. ส่วนผู้รู้ตามเป็นจริง ย่อม
อาศัยร่างกายบ้าง ทรัพย์บ้าง ท�ำประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนบ้าง แก่ผู้อื่นบ้าง ด้วยอ�ำนาจอโลภะ
อโทสะ อโมหะ ชือ่ ว่าอาศยั สงั ขารก่อบารมีธรรมใหม้ ากมนู ข้ึนโดยล�ำดับ, ควรนับวา่ เป็นผฉู้ ลาด
รีบใช้เครอ่ื งมอื ที่ยมื เขามา และจะตอ้ งสง่ คนื ในไม่สูช้ า้ นกั ให้เปน็ ประโยชนโ์ ดยตรง คอื ความดี

80

ความตรง ความฉลาด ความถกู ตอ้ งตามคลองธรรม, ไมห่ ลงเก็บไว้เปลา่ ๆ หรือน�ำไปใชใ้ นทาง
ที่ผดิ ทใี่ หเ้ กิดโทษ เส่ือมจากประโยชนโ์ ดยตรงท่ีควรได้ควรถึง.
ในชนั้ ที่ ๓ ความรทู้ ป่ี ลอดโปรง่ ไมต่ ดิ ขอ้ งในสงั ขาร, ยากทจ่ี ะแสดง เพราะเกนิ วสิ ยั ทส่ี ามญั
ชนจะรู้ถึงและแสดงให้ถูกต้องได้ ต้องอาศัยข้อความในพระพุทธศาสนา ที่พระบรมศาสดาทรง
แสดงไว้ในพระสูตรตา่ ง ๆ ดงั ที่ได้ยกขึ้นอา้ งในตอนทีก่ ลา่ วถงึ ตน้ แหง่ ปัญจขนั ธ์ เป็นหลักวิจารณ์
หาความจรงิ ความถกู แต่จะจรงิ จะถูกแทห้ รือไม่ กแ็ ล้วแต่ผอู้ า่ นจะคดิ เห็น:
ในอนัตตลักขณสูตรแสดงว่า “ปัญจขันธ์ เป็นอนัตตา...ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ มีความ
แปรปรวนไปเปน็ ธรรมดา, ไมค่ วรเห็นว่า ปัญจขนั ธเ์ ป็นของเรา เราเปน็ ปญั จขนั ธ์ ปัญจขนั ธ์เป็น
จริง ๆ จัง ๆ (อตั ตา) ของเรา, (และแสดงอานสิ งส์ว่า) ผู้ฟงั แลว้ เมื่อเห็นอยูอ่ ย่างน้ี ท่านท่เี ปน็
อรยิ สาวกยอ่ มเบอื่ หนา่ ยในปญั จขนั ธ์ เมอ่ื เบอ่ื หนา่ ยยอ่ มปลอ่ ยวาง เพราะปลอ่ ยวางยอ่ มหลดุ พน้
เมื่อหลุดพน้ กเ็ กดิ ญาณ (รู)้ ว่าหลุดพน้ แล้ว...”, นีแ้ สดงว่า ปัญจขนั ธ์สว่ น ๑ ผเู้ หน็ ผู้พ้นส่วน ๑.
ในอาทติ ตปรยิ ายสตู รกเ็ ชน่ เดยี วกนั , ในวมิ ตุ ตายตนสตู รแสดง (ถอื เอาความโดยยอ่ ) วา่
“อายตนะคอื ความหลดุ พน้ (หรอื อายตนะทเี่ ปน็ ทห่ี ลดุ พน้ ) ๕ ประการทเี่ มอ่ื ภกิ ษไุ มป่ ระมาทแลว้
มเี พยี รเผากเิ ลสมตี นสง่ ไป จติ ทยี่ งั ไมห่ ลดุ พน้ ยอ่ มหลดุ พน้ ได,้ หรอื อาสวะทงั้ หลายทย่ี งั ไมส่ นิ้ สดุ
ยอ่ มถงึ ความสน้ิ สดุ ได้ หรอื ความสน้ิ จากโยคะ (กเิ ลสทผ่ี กู สตั วไ์ ว)้ อนั ไมม่ อี น่ื ยงิ่ กวา่ ทย่ี งั ไมบ่ รรลุ
ย่อมบรรลุได้. คือ ๑. ภิกษุเป็นผู้รู้แจ้งอรรถ เป็นผู้รู้แจ้งธรรม ในธรรมที่พระศาสดาหรือ
สพรหมจารที เ่ี ปน็ ทค่ี ารวะแสดงแกต่ น ฟงั ..., ๒. ภกิ ษเุ ปน็ ผรู้ แู้ จง้ อรรถ เปน็ ผรู้ แู้ จง้ ธรรม ในธรรม
ท่ีตนไดแ้ สดงแก่ผอู้ ่นื ตามท่ีได้ฟงั มาแลว้ ตามทไี่ ด้เรียนมาแล้ว (แสดง)...., ๓. ภิกษเุ ป็นผู้รแู้ จ้ง
อรรถ เป็นผู้รู้แจ้งธรรม ในธรรมท่ีตนท่อง ตามท่ีได้ฟังมาแล้วตามที่ได้เรียนมาแล้ว (ท่อง)
๔. ภิกษเุ ป็นผูร้ แู้ จง้ อรรถ เปน็ ผูร้ ู้แจง้ ธรรม ในธรรมทีต่ นไดต้ รึกตาม ตรองตามดว้ ยจิต เพ่งพินจิ
ดว้ ยใจ ตามท่ไี ดฟ้ ังมาแลว้ ตามทไี่ ดเ้ รียนมาแลว้ (ตรึกตรองเพง่ )..., ๕. ภกิ ษุเปน็ ผู้รู้แจง้ อรรถ
เป็นผู้รู้แจ้งธรรม ในธรรมคือสมาธินิมิต อันตนถือเอาดีแล้ว ท�ำในใจดีแล้ว จ�ำทรงไว้ดีแล้ว
ขบดีแล้วด้วยปัญญา, (เม่อื ภกิ ษไุ ดท้ �ำเชน่ นน้ั อย่าง ๑ ๆ) ปราโมทย์ ความเบกิ บานใจยอ่ มเกดิ ,
เมอ่ื เกดิ ปราโมทย์ ปิติ ความอ่ิมใจย่อมเกดิ , เมอ่ื ใจมีปตี ิ กายก็สงบ, ผู้มีกายสงบย่อมเสวยสขุ
(สขุ เวทนา), เม่ือมีสุข จิตย่อมตั้งมัน่ , นวี้ มิ ุตตายตนะ (อายตนะคือความหลุดพ้น หรอื อายตนะ
ทเ่ี ปน็ ทหี่ ลดุ พน้ แตน่ า่ จะวา่ อายตนะเปน็ เครอื่ งหลดุ พน้ กระมงั ).” นแ้ี สดงวา่ เมอื่ ภกิ ษรุ แู้ จง้ ธรรม
จติ ท่ยี งั ไมว่ ิมตุ ติ (หลุดพ้น) อาจวมิ ุตตไิ ด้.

81

ในวนิ ยั มหาวภิ งั ค์ แสดงวา่ “เมอ่ื เรา (พระบรมศาสดา) รเู้ หน็ อยอู่ ยา่ งน้ี จติ ไดว้ มิ ตุ ติ (หลดุ พน้ )
แลว้ แมจ้ ากกามาสวะ...แมจ้ ากภวาสวะ...แมจ้ ากอวชิ ชาสวะ...” นก้ี แ็ สดงความเชน่ เดยี วกนั .
ควรเห็นว่าความรู้แจ้งที่เป็นตัวปัญญาน้ันเป็นเหตุ จิตวิมุตติเป็นผล จิตวิมุตติเพราะ
ปัญญา, เม่ือจิตเป็นผู้หลุดพ้นเพราะปัญญา ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยแห่งวิชชา, ปัญญาหรือวิชชา ก็
ต้องอยู่ท่ีจิต เป็นความรู้ของจิต, เหมือนดังแสงสว่างเกิดที่ไหน ก็ก�ำจัดมืดที่นั่น, เพราะฉะนั้น
ค�ำว่า “เจโตวิมุตฺต”ิ จงึ นา่ จะแปลวา่ ความหลุดพ้นของจิต ไมใ่ ช่ด้วยจติ , “ปญฺ าวมิ ตุ ติ” จงึ น่า
จะแปลวา่ ความหลุดพน้ ดว้ ยปญั ญา, แสดงผลก่อนแลว้ จึงแสดงเหตุ
ควรสนั นษิ ฐานเหน็ ตามกระแสพระพทุ ธภาษติ วา่ ตามธรรมดาปญั จขนั ธต์ ลอดถงึ อายตนะ
เป็นของเกดิ แลว้ ดับ ๆ อยู่เสมอ (อุปปฺ ชชฺ ิตวฺ า นิรุชฺฌนฺติ เกิดแลว้ ดับ), นึกดูก็ได้ ต้งั แตจ่ ำ� ความ
ได้มาจนบัดนี้ รูปเก่าดับไป รูปใหม่เกิดขึ้นแทน เปล่ียนแปลงมาเท่าไรแล้ว, นามท้ัง ๔ ก็เช่น
เดยี วกนั และต่อไปอกี กค็ งเป็นเช่นนี้, ใครจะรู้เท่าหรือไมก่ ต็ าม ก็คงเป็นเชน่ นอี้ ยเู่ สมอ. ความรู้
ผดิ ไมใ่ ชร่ ตู้ ามเปน็ จรงิ เปน็ เหตใุ หย้ ดึ ถอื จงึ ตดิ อยู่ ไมห่ ลดุ พน้ ไปได.้ ทกุ ขห์ รอื สขุ กเ็ ปน็ เวทนาขนั ธ์
อนั เป็นความรสู้ กึ ของจิตกับรปู ท่ีอาศัยกัน เป็นไปช่วั คราวเทา่ นน้ั แล้วกด็ ับไป ยงั คงเหลืออยแู่ ต่
ความรู้ทจ่ี ำ� เกบ็ ไว,้ เหมอื นดังฝนั เหน็ เมื่อตนื่ ข้นึ อารมณ์นั้น ๆ ท่ีฝนั เหน็ ก็ดับหมด ยังคงเหลือ
แตค่ วามรทู้ จ่ี �ำเกบ็ ไวเ้ ทา่ นั้น. ปัญญาทรี่ ู้ตามเปน็ จริง โดยกระแสพระพุทธภาษิตนั้น ๆ เป็นเหตุ
ใหจ้ ติ หลดุ พ้นจากความยึดถือปัญจขันธ์เปน็ ตน, เมอ่ื ไม่ยึดถือปัญจขนั ธ์เปน็ ตน อิฏฐารมณ์อันใด
มาประสบกไ็ มย่ ินดี, อนฏิ ฐารมณอ์ นั ใดมาประสบกไ็ ม่ยนิ ร้าย, เพราะไม่เหน็ ว่ามตี น จึงไม่เห็นว่า
ตนได้ ตนเสยี ตลอดถึงตนไม่ได้เกดิ ไม่ได้แก่ ไม่ได้เจ็บ ไมไ่ ดต้ าย, เพราะนน่ั เปน็ เรอ่ื งของโลก
ของขนั ธ์ต่างหาก ดังพระพทุ ธภาษติ ท่ีแสดงแกโ่ มฆราชมาณพวา่

“ สุญฺ โต โลกํ อเวกฺขสสฺ ุ
โมฆราช สทา สโต
อตฺตานทุ ิฏฺ ึ อหู จฺจ
เอวํ มจฺจุตโร สยิ า,

โมฆราช ท่านจงเปน็ ผู้มสี ติ ถอนความตามเห็นว่าตนเสยี , พึงพนิ จิ เห็นโลก โดยความ
เป็นของสญู ทกุ เม่อื กจ็ ะพงึ เปน็ ผู้ขา้ มพ้นความตายเสยี ได้อยา่ งนี้.

เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจรุ าชา น ปสสุ ติ
มัจจุราชยอ่ มไม่เหน็ ผ้เู ห็นโลกอยู่อยา่ งนี.้ ”

82

ปัญญาอันเกิดข้ึนท�ำหน้าที่ตัดความรู้ไม่จริงให้ขาดไป เหมือนมีดท่ีตัดไม้ให้ขาด แล้วก็
แล้วไป จงึ กล่าววา่ ดับ เพราะหมดกิจ, แตค่ วามหลดุ พ้นจากความยดึ ถือขนั ธท์ ไ่ี มใ่ ชเ่ ปน็ ของจริง
ทป่ี รากฏแจม่ แจง้ เปน็ ชดั ขนึ้ เปน็ พน้ื เพ ไมด่ บั ไป, เหมอื นความขาดของไมท้ ถี่ กู มดี ตดั แลว้ กป็ รากฏ
ขาดอยเู่ สมอไม่ดบั คอื ไมก่ ลบั ติดกันเข้าอีก ฉะน้นั . น้กี ลา่ วโดยธรรมาธษิ ฐาน. เม่ือกลา่ วโดย
ปุคคลาธิษฐาน หมายเอาความรู้เป็นบุคคล (ให้ลงรูปกันกับรู้ข้องรู้ติดซ่ึงเป็นสัตว์) ท่านผู้รู้เช่น
นัน้ ก็เป็น พทุ โฺ ธ ผู้รผู้ ูต้ น่ื (ไมห่ ลง), ถา้ ทา่ นผ้รู ้นู ้ัน รเู้ อง ไม่มีครู ก็เปน็ สมฺพุทฺโธ ผรู้ เู้ อง, ถา้
ทา่ นผรู้ นู้ นั้ ตอ้ งอาศยั ฟงั แตท่ า่ นผรู้ อู้ น่ื กอ่ น คอื ตอ้ งมคี รจู งึ รไู้ ด้ กเ็ ปน็ สาวกพทุ โฺ ธ ผรู้ ทู้ เ่ี ปน็ สาวก
หรอื อนุพุทโฺ ธ ผรู้ ู้ตาม, ถา้ ท่านผูร้ ู้น้ันถงึ ร้เู อง แตไ่ มไ่ ดส้ อนใหผ้ อู้ น่ื รู้ตามได้ ก็เป็น ปจฺเจกพุทฺโธ
ผรู้ ู้จ�ำเพาะตวั . ตามศพั ท์ว่า พุทฺธิ หรอื โพธิ ซึง่ แปลว่า ปญั ญาเคร่อื งรู้ เคร่ืองต่ืน หรอื ความรู้
ความตื่น.

รูจ้ �ำ รทู้ นั รทู้ ่วั

ความรู้นั้น (ในสว่ นนี้) ก็ตา่ ง ๆ กัน: ในชั้นตน้ รูจ้ ำ� รู้ต้ังช่ือ และร้ตู ามเรื่อง เป็นสว่ น
ปรยิ ตั ,ิ รทู้ ันกเิ ลสท่ีเกดิ ขึ้น และสงบเสียได้ไมใ่ ห้ฟ้งุ ซา่ นไป เปน็ ส่วนปฏบิ ตั ,ิ รู้ทวั่ รูถ้ ึง รรู้ อบ จน
กำ� จดั กเิ ลสเสยี ไดข้ าด ไมเ่ กดิ ขนึ้ อกี ไดต้ ามชนั้ ของความรู้ เปน็ สว่ นปฏเิ วธ. ไมร่ เู้ ลย อาจใหร้ ปู้ รยิ ตั ิ
ได้ ดว้ ยต้ังใจเรียน, รู้เพียงปรยิ ตั ิ อาจใหร้ ู้ถึงปฏบิ ตั ิได้ ดว้ ยมสี ตติ ง้ั ใจปฏบิ ัติตามปรยิ ัติ, รูเ้ พยี ง
ปฏิบตั ิ อาจใหร้ ู้ถึงปฏิเวธได้ ด้วยต้งั ใจปฏบิ ัตอิ บรมทำ� ใหม้ าก ใหบ้ ่อย ๆ เขา้ ใหม้ กี ำ� ลงั ยง่ิ ข้นึ ๆ
ด้วยประการ ฉะนี้.

รยู้ ึด รูป้ ล่อย

อน่งึ ความรทู้ ่เี ป็นไปอยูน่ ้ัน แยกออกเป็น ๒ คือ ร้ยู ดึ ๑, ปลอ่ ยวาง ๑. ถ้าไมร่ ู้ ก็ไม่ยดึ
และก็ไมป่ ล่อยวาง เช่นเดก็ ๆ ยังไมร่ ู้จกั ดี ชั่ว ผิด ถกู ก็ยงั ไม่สามารถท�ำตนให้เลวทราม และ
ไมส่ ามารถจะท�ำตนให้ดีย่งิ ข้ึนไปได้ ตอ่ เมอื่ ความรนู้ ั้นเจริญยิ่งข้นึ ไป; และถา้ รู้ผดิ จากความจรงิ ก็
ยึดถือสง่ิ ที่ร,ู้ ความยึดถอื ส่ิงทร่ี ้ทู เี่ ปน็ สว่ นหยาบ กย็ ึดอารมณท์ ี่มาประสบ, ละเอียดเขา้ กย็ ดึ ตวั
ยดึ ตนตามอำ� นาจของกิเลส คอื ความยนิ ดยี ินรา้ ย และความหลงงมงาย; แต่ถา้ รดู้ ้วยพจิ ารณา
เหน็ ตามเปน็ จรงิ ตามเหตผุ ล แมย้ งั ยดึ อยู่ กไ็ มย่ อมประพฤตชิ วั่ ประพฤตผิ ดิ ทจี่ ะทำ� ตนใหเ้ ปน็ คน
เลว เป็นบาปชน มุ่งที่จะท�ำตนให้ดียิ่งขึ้นไป เป็นกัลยาณชน, ถึงเช่นนั้นก็ยังรู้ยึดอยู่แต่ยึดดียึด
ชอบ. ความรทู้ ีย่ ดึ จงึ แยกออกเปน็ ๒ คอื ร้ยู ดึ ชัว่ ยึดผดิ อนั ทำ� ตนให้เป็นคน ชว่ั คนผดิ อย่างหน่ึง

83

รยู้ ดึ ดยี ดึ ชอบ อนั ทาํ ตนใหเ้ ปน็ คนดคี นถกู อยา่ งหนงึ่ . แตถ่ า้ ยงั ยดึ อยู่ กย็ งั ไดช้ อ่ื วา่ มอี ปุ าทาน, เมอ่ื
มีอปุ าทานกม็ ภี พ, เมอื่ มภี พก็มีชาติ, เมอื่ มีชาตกิ ็มชี รา มรณะ เป็นต้นไป. ตอ่ เมื่อร้นู น้ั รูถ้ กู ตาม
เปน็ จรงิ จึงปล่อยความยึดถอื เสียได้ คงเปน็ ผรู้ ูต้ ามเป็นจรงิ , แตว่ ่าบุคคลจะรูถ้ ูกตอ้ งตามเปน็ จริง
จนถงึ ปลอ่ ยวางได้ ซงึ่ เรยี กวา่ รปู้ ลอ่ ยรวู้ าง ดว้ ยลำ� พงั ความรขู้ องตนเอง เปน็ อนั ยาก. แมพ้ ระสมั มา
สมั พุทธเจ้า ซึง่ เปน็ พระบรมศาสดาของเราทง้ั หลาย ทีท่ า่ นแสดงวา่ มี บารมี คือเก็บสว่ นดสี ว่ น
ชอบไวเ้ ป็นอันมาก กย็ ังยากท่ีจะทำ� ความรปู้ ล่อยใหเ้ กิดขน้ึ ได้, ตอ้ งทรงอาศยั ความเพียรพยายาม
ปฏบิ ตั ทิ ำ� จติ ใหส้ งบจากอารมณท์ งั้ หลาย แลว้ นอ้ มจติ ทตี่ งั้ มนั่ สงบลงไปพจิ ารณา จงึ รเู้ หน็ ตามเปน็
จรงิ และกช็ า้ นาน ทา่ นแสดงวา่ ถงึ ๖ ป,ี เมอื่ ไดต้ รสั รู้ แลว้ จงึ ทรงแสดงคำ� สงั่ สอนประกาศสจั ธรรม.
สว่ นเราท้งั หลายเมอ่ื มุ่งหมายท่ีจะให้รถู้ กู ต้องตามเปน็ จรงิ จึงสมควรอย่างยงิ่ ท่จี ะเรียนคำ� สัง่ สอน
ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ใหไ้ ดค้ วามรคู้ วามเขา้ ใจในธรรม และอรรถคอื เนอ้ื ความแลว้ และปฏบิ ตั ดิ ี
ปฏบิ ตั ชิ อบ, ถา้ ไมเ่ ชน่ นนั้ ถงึ มธี าตรุ อู้ ยู่ กไ็ มส่ ามารถจะใหธ้ าตรุ ู้ รถู้ กู ตอ้ งตามเปน็ จรงิ ตามกระแส
ของธรรมได.้ ปฏปิ ทาทางปฏบิ ตั ทิ จ่ี ะทำ� ใหบ้ คุ คลประณตี ยงิ่ ขนึ้ ไป เมอื่ รวมลงกค็ อื ใหบ้ คุ คลผเู้ คย
ปลอ่ ยใจออกไปรบั อารมณต์ า่ ง ๆ ใหก้ ำ� หนดอยใู่ นอารมณอ์ นั เดยี ว ซ่งึ เรียกว่า กมั มฏั ฐาน ที่ต้งั
ของการงานทางใจ คอื ท�ำใจให้ตัง้ มน่ั อยใู่ นอารมณอ์ นั เดยี ว กำ� จดั ความฟุ้งซ่านของจติ หรอื ใจใน
เบื้องตน้ .

รู้และเชอ่ื ๓ ประเภท

อนงึ่ อนั ความรคู้ วามเชอ่ื ทมี่ แี กบ่ คุ คลนนั้ ยอ่ มเปน็ ตา่ ง ๆ กนั : บางคนรแู้ ละเชอื่ ดว้ ยไดย้ นิ
ไดฟ้ งั จ�ำ ๆ กนั มาเท่าน้นั ชื่อวา่ รู้เพราะฟัง; บางคนรูแ้ ละเช่อื ดว้ ยพิจารณาจบั เหตุจบั ผล แตก่ ็คิด
ออกไป ร้อู อกไป และเชอ่ื ออกไปทง้ั นั้น จะชื่อวา่ เปน็ อนั รแู้ น่ไมไ่ ด,้ ทา่ นจงึ เปรียบความไว้เหมอื น
ดังคนไลจ่ บั เงาตนเอง ยอ่ มไมอ่ าจจบั ได้ ฉะนัน้ , รเู้ ชน่ นช้ี ือ่ ว่า รู้เพราะคิด; บางทา่ นก�ำหนดดู
ความคิดความเหน็ และเรอ่ื งท่ีคดิ ที่เหน็ อันเปน็ ปัจจบุ นั นนั้ ไม่กา้ วไปข้างหน้า ไมถ่ อยไปขา้ งหลัง รู้
หยุดอยู่ และรจู้ กั ความรู้ หรือร้จู ักผู้รู้อ่ืน, เชน่ นี้ ย่อมเป็นผรู้ ู้ ผู้เชอื่ ที่ใกลช้ ิดและแน่นอนได้ จงึ
หมดความสงสัย ในเรือ่ งชาตหิ น้าและภพหน้า เพราะเหน็ จรงิ ในปจั จบุ นั , รู้เชน่ น้ี ชื่อวา่ รู้หยุด;
รูแ้ ละเชอ่ื เปน็ ๓ ประเภท ด้วยประการฉะน.ี้

84

ความรู้และผรู้ ู้ในพทุ ธศาสนา

ทางพระพทุ ธศาสนา มงุ่ ใหร้ ลู้ ว่ งชน้ั ขน้ึ ไป เพราะเมอื่ รลู้ ว่ งชน้ั ขนึ้ ไป กล็ ว่ งทกุ ขเ์ ปน็ ขน้ั ๆ ดงั
ความรทู้ เี่ กดิ ขนึ้ อาศยั รา่ งกายดงั กลา่ ว เปน็ ความรลู้ ว่ งชนั้ ขน้ึ ไปโดยลำ� ดบั เชน่ เดก็ โต กร็ ลู้ ว่ งชน้ั เดก็
เลก็ ขนึ้ ไป เปน็ ตน้ , แตค่ วามรทู้ ลี่ ว่ งชน้ั ขนึ้ ไปเอง เปน็ ไปโดยปกตธิ รรมดา, คนมธี าตรุ ู้ อาจจะศกึ ษาให้
รลู้ ว่ งชน้ั ยงิ่ ๆ ขนึ้ ไปไดด้ ว้ ยปญั ญาเปน็ เครอื่ งกำ� หนดรคู้ วามรนู้ น้ั หรอื กำ� หนดรใู้ นสง่ิ ทร่ี นู้ น้ั เอง, เชน่
ไดเ้ หน็ รปู ไดย้ นิ เสยี ง ไดด้ มกลน่ิ ไดล้ มิ้ รส ไดถ้ กู ตอ้ งโผฏฐพั พะ ไดร้ เู้ รอ่ื งทง้ั หลาย กก็ ำ� หนดในรปู
เสยี ง กลนิ่ รส และโผฏฐพั พะนนั้ ๆ, หรอื เมอื่ ยกขนั ธ์ ๕ ขน้ึ กลา่ วกก็ ำ� หนดอยใู่ นรปู เวทนา สญั ญา
สงั ขาร วญิ ญาณ, กำ� หนดใหร้ จู้ กั ลกั ษณะหนา้ ตาของสงิ่ ทรี่ นู้ น้ั , จะยกเพยี งขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ ขน้ึ กำ� หนด
กไ็ ด;้ ดงั เชน่ ในธาตวุ ภิ งั คสตู ร ทา่ นสอนใหก้ ำ� หนดธาตคุ อื ดนิ นำ�้ ไฟ ลม อากาศ ตามประเภทตาม
ลกั ษณะของธาตนุ น้ั ๆ ทปี่ ระกอบกนั เขา้ เปน็ รปู กายน;ี้ ตอ่ จากนี้ กก็ ำ� หนดพจิ ารณาใหเ้ หน็ ลกั ษณะ
ทไ่ี มเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์ มคี วามแปรปรวนไปเปน็ ธรรมดา และเปน็ อนตั ตา ไมใ่ ชต่ น ของสงิ่ เหลา่ นน้ั จน
เหน็ ตามเปน็ จรงิ , เมอ่ื เหน็ ตามเปน็ จรงิ กย็ อ่ มละความยนิ ดยี นิ รา้ ย, รทู้ วั่ ถงึ วมิ ตุ ติ ซงึ่ เปน็ ทด่ี บั ของ
อกศุ ลบาปธรรมโดยไมเ่ หลอื ตามเปน็ จรงิ , เมอ่ื เสวยเวทนาอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ กไ็ มย่ นิ ดเี พลดิ เพลนิ ยดึ ถอื
เปน็ เหตใุ หด้ บั ทกุ ขต์ า่ ง ๆ ไดต้ ามชนั้ ของความร,ู้ เมอ่ื ละไดด้ งั น้ี กก็ ำ� หนดรคู้ วามละนน้ั ใหร้ จู้ กั ตามเปน็
จรงิ , จะกำ� หนดรดู้ งั กลา่ วไดก้ ด็ ว้ ยปญั ญา ทที่ กุ คนอาจศกึ ษาอบรมใหเ้ กดิ ขนึ้ ไดด้ ว้ ยความไมป่ ระมาท.
เพราะฉะนน้ั ในธาตวุ ภิ งั คสตู ร ทา่ นจงึ สอนวา่ ปญฺ ํ นปปฺ มชเฺ ชยยฺ ไมค่ วรประมาทปญั ญา,
เพราะเมอ่ื ไมป่ ระมาท อบรมปญั ญาใหเ้ กดิ ขน้ึ ในความรู้ หรอื สงิ่ ทรี่ ทู้ างอายตนะนนั้ แหละ ยอ่ มได้
ปญั ญารทู้ ว่ั ถงึ สจั จะ คอื ความจรงิ ของความรหู้ รอื สงิ่ ทร่ี นู้ นั้ เมอื่ ประสบความจรงิ กค็ วรรกั ษาความ
จรงิ นนั้ ไว,้ ทา่ นจงึ สอนตอ่ ไปวา่ สจจฺ มนรุ กเฺ ขยยฺ ควรตามรกั ษาสจั จะ และเมอ่ื รคู้ วามจรงิ ดว้ ยปญั ญา
ยอ่ มเปน็ เหตใุ หล้ ะหรอื สละความเกยี่ วเกาะเปน็ ตน้ อนั รวมเรยี กวา่ อปุ ธิ ทมี่ เี มอ่ื ยงั ไมร่ คู้ วามจรงิ ดงั
กลา่ ว. การสละนนั้ ควรพอกพนู ใหม้ ากขน้ึ เสมอ ทา่ นจงึ สอนวา่ จาคมนพุ รฺ เู หยยฺ ควรพอกพนู ความ
สละ, เมอื่ สละไดเ้ ทา่ ใด กย็ อ่ มไดส้ นั ตคิ อื ความสงบเทา่ นน้ั , สนั ตนิ น้ั ควรศกึ ษาสำ� เหนยี ก ทา่ นจงึ
สอนตอ่ ไปวา่ สนตฺ เิ มว สสุ กิ เฺ ขยยฺ ควรศกึ ษาสนั ติ ดงั น.ี้ ธรรม ๔ ขอ้ คอื ปญั ญา สจั จะ จาคะ
อปุ สมะ หรอื สนั ติ ดงั กลา่ ว เปน็ อธษิ ฐานธรรม คอื ธรรมทคี่ วรตง้ั ไวใ้ นใจ เพราะทำ� ใหก้ ำ� หนดรคู้ วาม
รหู้ รอื สงิ่ ทรี่ ู้ (ญาตปรญิ ญา), แลว้ พจิ ารณาจนรตู้ ามเปน็ จรงิ (ตรี ณปรญิ ญา), แลว้ สละหรอื ละความ
เกย่ี วเกาะได้ (ปหานปรญิ ญา) เปน็ เหตใุ หร้ ลู้ ว่ งชน้ั ขนึ้ ไป, เมอื่ รลู้ ว่ งชน้ั ขน้ึ ไป กล็ ว่ งทกุ ขข์ นึ้ ไปไดโ้ ดย
ลำ� ดบั จนสน้ิ ทกุ ขด์ ว้ ยประการทง้ั ปวง. ความรลู้ ว่ งชนั้ ดงั กลา่ ว จดั เปน็ วชิ ชา, ความลว่ งชน้ั ขนึ้ ไป
ดว้ ยความรนู้ น้ั จดั เปน็ วมิ ตุ ตติ ามชนั้ แล.

85

บรุ ษุ คอื คน เมอื่ ยงั ประมาทปญั ญา ไมใ่ ชป้ ญั ญากำ� หนดรคู้ วามรู้ หรอื สงิ่ ทร่ี ตู้ ามเปน็ จรงิ
ธาตุรู้ย่อมไม่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว, ต่อเม่ือไม่ประมาทปัญญา อบรมปัญญาให้เกิดขึ้น และใช้ปัญญา
ก�ำหนดให้รู้ตามเปน็ จริงดงั กลา่ ว ธาตรุ ู้ย่อมบรสิ ุทธ์ิผ่องแผ้ว, สมดังคำ� ท่ีพระผ้มู ีพระภาคเจ้าตรสั
แสดงไว้ในธาตวุ ิภงั คสูตร โดยใจความว่า “เมื่อคนพิจารณาเห็นธาตดุ นิ นำ้� ไฟ ลม อากาศ ด้วย
ปัญญาชอบตามเปน็ จรงิ ว่า น่ีไม่ใช่ของเรา เราไมเ่ ป็นนี่ นไี่ มเ่ ป็นอัตตาตวั ตนของเรา ดงั น้ีแล้วจติ
ยอ่ มหนา่ ย ยอ่ มส้นิ ยนิ ดีตดิ ใจในธาตุเหลา่ นั้น; เมอื่ เป็นเชน่ นจี้ งึ เหลอื แต่ธาตุรู้ทบี่ รสิ ุทธ์ผิ อ่ งแผ้ว
ยอ่ มรู้อะไร ๆ ดว้ ยธาตุรู้น้ัน, เม่อื นอ้ มออกมารู้ เป็นวิญญาณ ผัสสะ เวทนา เปน็ ต้น ดงั กล่าว
ขา้ งตน้ , เม่อื เสวยเวทนาอยา่ งใด เป็นสุขก็ตาม เป็นทกุ ขก์ ต็ าม เปน็ กลาง ๆ ไมท่ กุ ข์ไม่สขุ ก็ตาม
ยอ่ มรทู้ วั่ ถงึ วา่ เราเสวยเวทนาอยา่ งนนั้ และยอ่ มรทู้ ว่ั ถงึ วา่ เวทนาอาศยั ผสั สะเกดิ ขน้ึ , เพราะผสั สะ
ดับเวทนาก็ดับก็สงบ, เหมือนอย่างไม้สองอันครูดสีกัน ย่อมเกิดไฟ, เพราะไม้สองอันพรากกัน
ไฟยอ่ มไม่เกดิ ย่อมดับ ฉะนนั้ ; เมอ่ื ร้ทู ั่วถงึ ฉะน้ี กเ็ หลอื แตอ่ ุเบกขา (ความวางเฉยเป็นกลาง)
อันบริสุทธ์ิผุดผ่องสะอาดอ่อนควรแก่การงาน เหมือนอย่างทองค�ำในเบ้าท่ีหลอมได้ที่ดีแล้วเป็น
ของสน้ิ โทษ ออ่ นควรแกก่ ารงานและผดุ ผอ่ ง ควรเพอื่ จะทำ� ทองรปู พรรณอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ไดต้ าม
ประสงค,์ ผนู้ น้ั ย่อมรทู้ ่ัวถึงว่า ถา้ จะนอ้ มอเุ บกขาที่บริสุทธส์ิ ะอาดเชน่ นี้ไปส่อู รปู สมาบตั ิ อบรม
จิตในอรูปสมาบตั นิ ั้น, อเุ บกขาน้ี อาศัยยึดม่ันอยใู่ นอรูปสมาบตั นิ น้ั กพ็ ง่ึ ตั้งอยู่ไดต้ ลอดกาลยืด
ยาวนาน, แต่ว่าข้อน้ีกย็ ังเปน็ สังขตะ (ธรรมท่ีปจั จยั ปรงุ ซง่ึ มีเกดิ ดับและแปรปรวนเป็นธรรมดา),
ผู้นั้นจึงไมป่ รงุ แต่งเพื่อภพ (ความเป็น) หรือเพอ่ื วภิ พ (ความไมเ่ ป็น) ไม่ยึดม่ันอะไร ๆ ในโลก,
เม่ือไมย่ ึดมันก็ไม่สะดุ้งกระเสือกกระสน ยอ่ มดับ (ปรินิพพาน) เฉพาะตน.”
อน่ึง ในพระสูตรน้ีท่านแสดงลักษณะของผู้ดับเฉพาะตนในเวลาสิ้นชีวิต โดยความว่า
“ผู้นั้น เม่ือเสวยเวทนาเป็นที่สุดชีวิต ย่อมรู้ทั่วถึงว่า เสวยเวทนาเช่นน้ัน และย่อมรู้ท่ัวถึงว่า
เมอ่ื ชวี ติ สนิ้ ไป เพราะกายแตกทำ� ลาย เวทนาทง้ั ปวงจกั เยน็ สนทิ คอื ดบั ในปจั จบุ นั นน้ี แ่ี ล, เหมอื น
อย่างประทีปน้�ำมันท่ีอาศัยน�้ำมัน และไส้ไหม้สว่างขึ้น เม่ือน�้ำมันและไส้ส้ินไป และไม่เพ่ิมเติม
เขา้ ใหม่ ดวงไฟนน้ั กย็ อ่ มดบั ไป ฉะนนั้ .” ตอ่ จากนท้ี า่ นแสดงธรรม ๔ ขอ้ นน้ั โดยอรรถอนั ประเสรฐิ
อยา่ งยงิ่ วา่ ปญั ญาคอื ความหยง่ั รใู้ นความสน้ิ ทกุ ขท์ งั้ ปวง, สจั จะคอื นพิ พาน, จาคะคอื ความสละอปุ ธิ
ทง้ั ปวง, อุปสมะคือความสงบระงับราคะ โทสะ โมหะ, ผู้ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่มีมานะ
คือความสำ� คญั หมายอย่างใดอยา่ งหนง่ึ เป็นผ้รู ้ทู ่ีเรยี กว่าผ้สู งบแล้วแล.
86

มนุษย์
ตามคตแิ ห่งพระพทุ ธศาสนา

ท่านจัด มนุษย์ เป็น ๕ ประเภท แตว่ ่าไมป่ รากฏวา่ มีในพระบาลที เ่ี ปน็ พระพทุ ธภาษิต
ท้ังศัพทท์ ่ผี ูกเข้าไว้กไ็ มเ่ ป็นไปตามลกั ษณะ, ภาษาบาลีคลา้ ย ๆ ภาษาไทย.
จำ� พวกที่ ๑ หรอื ประเภทท่ี ๑ เรยี กวา่ มนสุ สฺ เนรยโิ ก หรอื มนสุ สฺ เนรยกิ , มนสุ สฺ หมาย
เอาคน, เนรยโิ ก แปลว่าเกิดอยู่ในนรก. หมายความว่า คนที่ตอ้ งเดอื ดร้อนต่าง ๆ อยู่ไมเ่ ปน็ สุข,
แมจ้ ะมงั่ มเี งนิ ทองมากมายเทา่ ไรกต็ ามกไ็ มเ่ ปน็ สขุ เดอื ดรอ้ นอยเู่ สมอ ๆ โกรธคนนี้ โกรธคนโนน้
ด่าว่าคนโนน้ เหน็ อะไร ๆ ไม่ถูกใจ ไมช่ อบ ตลอดจนถงึ คนตกยากล�ำบาก นเ่ี ป็นชนดิ ตกนรก,
เพราะท่านแสดงว่า สัตว์นรกต้องถูกทรกรรม ด้วยอาการต่าง ๆ อยู่ไม่เป็นสุข. มนุษย์ท่ีอยู่ไม่
เป็นสขุ ท�ำตนใหล้ ำ� บากยากเขญ็ ตา่ ง ๆ กเ็ ป็นชนดิ นน้ั , นีจ่ �ำพวกหนง่ึ .
ประเภทที่ ๒ มนสุ สฺ ตริ จฺฉาโน มนุษย์ดิรจั ฉาน หรอื คนดิรจั ฉาน หมายความวา่ คนที่
มีความประพฤตเิ หมือนอยา่ งสัตวด์ ิรจั ฉาน ไมม่ ยี างอาย ไม่มหี ิริ โอตตัปปะ จะทำ� อะไรกท็ ำ� ได้
ชว่ั รา้ ยเสียหายอยา่ งไร กท็ �ำได้ เพราะสตั ว์ดิรจั ฉานไม่มีหริ ิ โอตตัปปะ, นอี่ กี จ�ำพวกหนึง่ ,
ประเภท ๓ มนสุ สฺ เปโต มนษุ ยเ์ ปรต หมายความวา่ คนทมี่ คี วามอยาก ความหวิ อยเู่ สมอ
ไมร่ จู้ กั อมิ่ ไมร่ จู้ กั พอ จะหาอะไรไดเ้ ทา่ ไร กไ็ มห่ ายอยาก ไมร่ จู้ กั จบสนิ้ , เพราะทา่ นแสดงวา่ เปรต
มันมปี ากเลก็ ท้องโต และไดข้ ้าวน�ำ้ ไมพ่ อ ต้องหวิ ระหายอยู่เสมอ ไม่ร้จู กั อม่ิ , นี่อกี จำ� พวกหน่ึง.
ประเภทท่ี ๔ มนสุ สฺ มนสุ โฺ ส มนษุ ย์มนษุ ย์ หรอื คนคน หมายความว่าคนที่เปน็ มนษุ ย์
โดยชาติ และก็ประพฤติปฏิบัติธรรมของมนุษย์ ให้เป็นมนุษย์ที่ดี ตรงกันกับมนุษย์ ที่แสดงใน
พระพุทธคณุ ว่า พระพทุ ธเจ้าเปน็ ศาสดาของเทวดา และมนษุ ย์, น่ีจ�ำพวกหนงึ่ .
ประเภทที่ ๕ มนุสสฺ เทโว มนุษยเ์ ทวดา หรอื มนุษยเทพ หมายความว่า คนเป็นมนษุ ย์
แต่ประพฤตดิ ปี ระพฤติชอบ ทำ� ตนให้เปน็ เทพโดยสมมติ และทำ� ตนให้เปน็ เทพโดยอปุ บัติ จนถงึ
ประพฤติตนให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเรียกวา่ วสิ ุทธเิ ทพ, รวมทงั้ ๓ เรยี กว่า มนุสสฺ เทโว มนุษย์เทพ
หรือ มนุษยเ์ ทวดา, นจ่ี ำ� พวกหนง่ึ .

87

ถ้าเรยี งให้ถูกตามภาษาบาลี นา่ จะเรยี กว่า เนรยิกมนสุ โฺ ส หรอื เนรยกิ มนสุ สฺ ขอ้ ต้น,
ตริ จฉฺ านมนสุ ฺโส หรือ ติรจฉฺ านมนสุ สฺ ข้อ ๒, เปตมนสุ โฺ ส หรอื เปตมนุสสฺ ข้อ ๓, มนุสสฺ
มนุสโฺ ส ข้อ ๔, เทวมนสุ โฺ ส หรือ เทวมนสุ ฺส ขอ้ ๕. มนษุ ย์ ๕ จำ� พวกเหลา่ น้ี ถงึ จะไมป่ รากฏ
ในพระบาลีท่ีเป็นพระพุทธภาษิต แต่ดูก็เข้าทีอยู่, เพราะมนุษย์อาจจะจัดแยกออกได้เป็น ๕
ประเภทดังกล่าวแล้ว, เม่ือรู้เช่นนี้แล้ว เราก็ควรตรวจดูเราเองว่า เราเป็นมนุษย์ชนิดไหน หรือ
ชอบเปน็ มนษุ ยช์ นดิ ไหน, เมอื่ ตรวจดเู หน็ วา่ เปน็ มนษุ ยช์ นดิ ไหน แลว้ ถา้ เหน็ วา่ ไมด่ ี กพ็ ยายามละ
ความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ที่ ำ� ตนใหไ้ มด่ เี สยี , ถา้ เหน็ วา่ ดแี ลว้ กร็ กั ษาไว้ และทำ� ดใี หย้ ง่ิ ขน้ึ ไป, เมอ่ื เปน็
เชน่ น้ไี ด้ กจ็ ะเปน็ ประโยชน์แก่ตนและคนอ่ืน.
อีกปรยิ ายหนึ่ง อนั บุคคลผ้เู กิดมาเป็นมนษุ ย์โดยชาติ ย่อมมีความประพฤติ ความปฏบิ ตั ิ
คือด�ำเนินทางกาย ทางวาจา ทางใจ ประพฤติปฏิบัติท�ำตนให้เป็นผู้อยากที่ไม่รู้จักจบไม่รู้จักส้ิน
อยากอยเู่ สมอไม่มเี วลาลืม คนเช่นนี้ทา่ นเปรยี บดว้ ยเปรต, เพราะท่านแสดงไวว้ ่า เปรตมที อ้ งอนั
ใหญม่ ปี ากเลก็ ดมื่ นำ�้ หรอื กนิ อาหารไมพ่ อทจี่ ะอมิ่ ได้ จงึ กระหายหวิ อยเู่ สมอ ไมร่ จู้ กั จบสน้ิ , บคุ คล
ทเี่ กดิ มาโดยชาตเิ ปน็ มนษุ ย์ ถา้ ยอมตนใหเ้ ปน็ ผอู้ ยใู่ ตอ้ ำ� นาจของความอยาก ความกระหาย ความ
หวิ ความไมร่ ู้จกั จบจกั ส้ิน กเ็ ปรยี บได้กบั เปรต, นอ้ี ยา่ งหนง่ึ .
อีกชนิดหนึ่ง บุคคลที่เดือดร้อนกระวนกระวายไม่มีสุข ได้ประสบอะไรก็ไม่ชอบใจเดือด
รอ้ น โกรธแคน้ ขดั เคอื งอยเู่ สมอ ใจกไ็ มเ่ ปน็ สขุ ใจเดอื ดรอ้ นกระวนกระวาย, คนเชน่ นท้ี า่ นเปรยี บ
ไวเ้ หมือนดงั สัตวน์ รก เพราะท่านแสดงไวว้ ่าสตั วน์ รกไมม่ คี วามสขุ เดือดร้อนกระวนกระวายอยู่
เสมอ, คนที่เดือดร้อนกระวนกระวายอยู่ด้วยโกรธแค้น ขัดเคือง ไม่มีความสุข จึงเปรียบได้กับ
สัตวน์ รก, นอ้ี ีกอีกอย่าง.
อกี ชนดิ หนง่ึ บคุ คลไมม่ ยี างอาย ไมม่ คี วามหวาดกลวั ตอ่ ความชวั่ หรอื ไมร่ จู้ กั ความละอาย
ไม่รู้จักความช่ัว ท�ำอะไรก็ได้ ท�ำทางกายช่ัวอย่างไร ท�ำทางวาจาพูดชั่วอย่างไร คิดทางใจช่ัวอยู่
อย่างไร ไม่มีรู้สึก ไมม่ ีสำ� นึกตนเองได,้ เม่อื เปน็ เชน่ นกี้ ย็ อ่ มท�ำ ย่อมพดู ยอ่ มคดิ ในทางช่วั ใน
ทางผดิ ท�ำตนใหเ้ ปน็ คนเลว ทำ� ผูอ้ ืน่ ใหเ้ ดอื ดรอ้ น, ทา่ นจึงเปรยี บเหมอื นดงั สัตวด์ ริ จั ฉาน สตั ว์
ดริ จั ฉานไม่มคี วามอาย หรอื ไมร่ จู้ ักความอาย ไม่มีความหวาดกลวั ต่อความชั่วตา่ ง ๆ จะท�ำอะไร
กท็ �ำได้ จะพูดอะไรตามภาษาของเขากพ็ ดู ได้ จะคิดอะไรก็คดิ ได,้ คนเชน่ นี้ ย่อมประพฤติ ย่อม
ปฏบิ ัติตนให้เปน็ ไปคลา้ ยกับสัตวด์ ริ ัจฉาน, นีอ้ กี จำ� พวกหนงึ่ .

88

ท้ังสามจ�ำพวกนี้ ได้ชื่อว่าท�ำตนให้เป็นคนเลว เพราะความประพฤติของตนท�ำผู้อื่นที่
เกย่ี วขอ้ งกบั ตนใหเ้ ดอื ดรอ้ น ไมม่ คี วามสขุ ตนเองกไ็ มม่ คี วามสขุ , ความทเี่ ปน็ เชน่ นี้ กเ็ พราะโมหะ
คือความหลง ไมม่ สี ติ ไมร่ ะลึก ไมพ่ จิ ารณาดูความประพฤติความปฏบิ ตั ขิ องตนเอง, จงมีกระแส
พระพทุ ธภาษติ แสดงในอาทติ ตปรยิ ายสตู รวา่ ราคะ โทสะ โมหะ ยอ่ มเผาบคุ คลใหเ้ ปน็ ผรู้ อ้ น คน
เปน็ ผรู้ อ้ น ดว้ ยราคะ โทสะ โมหะ นอ้ี ยา่ งหนง่ึ . อกี อยา่ งหนง่ึ ตามธรรมดารปู กายยอ่ มมลี กั ษณะ
ทง้ั ๓ คือ ไม่เทยี่ ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา เผาอยู่เสมอ, เพราะฉะน้ัน ผู้ทเ่ี กดิ มานี้ แรกก็เล็ก
และกแ็ ปรเปน็ เดก็ ใหญ่ เปน็ หนมุ่ เป็นสาว เปน็ ผใู้ หญ่แกเ่ ฒา่ แลว้ กต็ าย, น้ไี ดช้ อ่ื ว่าไมเ่ ที่ยงทนอยู่
ไม่ได้ ไดช้ ือ่ ว่าเปน็ ทุกข์, แมอ้ ยา่ งใดอย่างหน่ึง บังคบั ไมไ่ ด้ จึงเรียกวา่ อนตั ตา, นเี้ ผารูปกายอยู่
เสมอ. เมื่อบุคคลไปยึดถอื รูปกายวา่ เอตํ มม นั่นเปน็ ของเรา เอโสหมสฺมิ เรากเ็ ป็นน่ัน เอโส
เม อตฺตา นนั่ เป็นตวั ตนของเรา ก็ต้องพลอยถกู ลักษณะทัง้ ๓ เผา ใหไ้ มเ่ ท่ยี ง เป็นทุกข์ บังคบั
ไมไ่ ดไ้ ปดว้ ย, เมอ่ื ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาเหน็ ลกั ษณะทงั้ ๓ เผากายอยเู่ สมอ ไมย่ ดึ กายนน้ั เปน็ ตวั ตน
ของเราดงั นี้ ก็ไมพ่ ลอยแปรปรวนเปลีย่ นแปลง ทนไม่ได้ บงั คบั ไมไ่ ดไ้ ปดว้ ย.
เมอื่ บคุ คลร้ตู ามเปน็ จริงเชน่ นีว้ า่ ราคะ โทสะ โมหะ เผาอยเู่ สมอ อีกอยา่ งหน่ึง ลกั ษณะ
๓ เผาอยู่เสมออยา่ งนี้ ดงั นี้ และด�ำรงจิตตง้ั จติ ไวด้ ว้ ยดี ปล่อยใหค้ วามแปรปรวน เปลี่ยนแปลง
ของกายไปตามเรื่อง, แต่ก็อาศัยกาย ท�ำดี ท�ำชอบ ประพฤติตนให้เป็นคนดีให้เป็นมนุษย์ด้วย
ความประพฤติ ใหส้ มกบั ทไี่ ดเ้ กดิ มาโดยชาตเิ ปน็ มนษุ ยเ์ ชน่ นี้ ทา่ นเรยี กชอื่ วา่ คนเปน็ มนษุ ย์ หรอื
มนษุ ย์; คนที่จะเป็นมนุษยก์ ต็ ้องมี มนุษยธรรม คอื ธรรมของมนุษย์, ธรรมของมนุษย์กไ็ ดแ้ กศ่ ลี
๕ ประการ ซึ่งเรียกวา่ มนุสฺสปฏิปทา ขอ้ ปฏิบตั ิอนั เป็นไปส�ำหรบั มนษุ ย์ นี้อยา่ งหนงึ่ .
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลที่เกิดมาโดยชาติเป็นมนุษย์นั้นแหละ เมื่อได้อบรม ได้ฟังธรรม ที่
แสดงเหตุผลท้ังดีท้ังช่ัว และพยายามปฏิบัติตนตามธรรมที่ดี ละส่วนที่ชั่วให้ย่ิงขึ้นไปกว่าพื้นเพ
ของมนษุ ย์ ทา่ นเรยี กวา่ เปรยี บดว้ ย เทวดา คอื มนษุ ยเ์ ทวดา. เทวดานนั้ ทา่ นแสดงไวเ้ ปน็ ๓ ชนดิ
คือ สมมติเทวดา เทวดาโดยสมมติ ได้แก่ บุคคลผู้เป็นหัวหน้าหมู่ตลอดถึงผู้อยู่ในหมู่ท่ีอยู่ใน
ปกครองของหวั หนา้ เมือ่ ตง้ั ใจประพฤติดีประพฤตชิ อบ กล่าวคือ มที านการให้ เออ้ื เฟือ้ เผอื่ แผ่
ไม่เหนียวแน่นหวงไว้ส�ำหรับแต่จ�ำเพาะตนหรือส�ำหรับพวกพ้องหมู่ตนเท่านั้น เฉลี่ยไปถึงผู้อื่นท่ี
สมควรเฉลีย่ เผื่อแผ่ เรียกวา่ ทาน, ต้งั ใจประพฤติกาย วาจา ใจ ใหด้ ี ใหง้ าม เป็น ศลี , ส่งิ ใดท่ี
แมม้ ีอยหู่ รอื ไม่มีประโยชน์แกต่ น ไดต้ ง้ั ใจสละบรจิ าค เปน็ จาคะ, ประพฤติตนให้เปน็ คนซอื่ ตรง
ไมต่ ลบตะแลงหลอกลวงผอู้ นื่ ใหเ้ ขา้ ใจผดิ เปน็ อาชชวะ, ความเปน็ คนซอ่ื ตรง ประพฤตติ นใหเ้ ปน็

89

คนอ่อนโยน ไม่ด้ือกระด้าง เป็น มัททวะ, ตั้งใจประพฤติปฏิบัติกิจการงานที่ดีท่ียังไม่ได้ปฏิบัติ
ประพฤตใิ หเ้ ปน็ ไป ทป่ี ฏิบตั อิ ยู่แลว้ ยงั ยอ่ หย่อนอยู่กใ็ ห้ปฏบิ ตั ิย่ิงขน้ึ ไปได้ชอ่ื ว่า ตปะ, ต้ังใจสะกด
ความโกรธ ไมใ่ หค้ วามโกรธเกดิ ขน้ึ ครอบงำ� ใจเรยี กวา่ อกั โกธะ, กรณุ าสงสารแกผ่ อู้ น่ื สตั วอ์ น่ื ไม่
เบียดเบยี นท�ำเขาใหเ้ ดอื ดรอ้ น เห็นเปน็ สนกุ เรียกวา่ อหิงสา, รู้ว่าผิดแล้ว ไม่ท�ำผิดไปด้วยความ
รเู้ รยี กวา่ อวโิ รธนะ, เมอื่ ประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยเู่ ชน่ นไี้ ดช้ อ่ื วา่ ทำ� ตนใหเ้ ปน็ เทวดาโดยสมมต,ิ เมอ่ื เปน็
อยูด่ ว้ ยกนั เช่นน้ี กจ็ ะอยูด่ ว้ ยกันเป็นสขุ ทง้ั ผูป้ กครองและผูอ้ ยู่ในปกครอง อีกอยา่ งหนงึ่ .
อุปบัติเทวดา คือเทวดาโดยอุปบัติ คือด้วยความเกิด ท่านแสดงไว้ในเทวธรรมว่า หิริ
ความละอาย โอตตัปปะ ความหวาดกลัวต่อความช่ัวทีเ่ กิดขึ้นในใจเปน็ เหตุใหไ้ ม่ประพฤติชัว่ ด้วย
ความหวาดกลัว ประพฤติขาวสะอาด คือไม่ทำ� ชั่วร้ายเสียเลย ช�ำระตนด้วยความดีความงาม,
สันติ ความสงบระงับ คือสงบระงับใจไม่ให้ใจกระวนกระวายแส่ส่ายไปในทางชั่วทางผิด เมื่อใจ
สงบระงบั ไมแ่ สส่ า่ ยไปในทางชว่ั ทางผดิ กายวาจากส็ งบระงบั เปน็ สนั ตอิ กี อยา่ งหนงึ่ ; รวมเขา้ กค็ อื
ความถงึ พร้อมดว้ ยหริ ิและโอตตปั ปะ, ความตั้งอย่ใู น สกุ กธรรม ธรรมทสี่ ะอาดและสันติ ความ
สงบ นเี้ ปน็ ธรรมของเทวดา, บคุ คลประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นธรรมเหลา่ นแี้ ลว้ กช็ อ่ื วา่ ทำ� ตนใหเ้ ปน็ เทวดา
อยใู่ นปจั จบุ นั , เมอ่ื รา่ งกายอนั นท้ี ำ� ลายไป จติ ทปี่ ระกอบดว้ ย เทวธรรม กจ็ ะนำ� ไปสู่ เทวโลก เปน็
เทวดาด้วยความสุขซ่งึ เรียกวา่ อุปบตั .ิ
อีกชนิดหนึ่ง วิสุทธิเทพ เทพด้วยความบริสุทธิ์ ได้แก่บุคคลท่ีท�ำจิตให้สงบระงับ ไม่
ประพฤติชั่วดว้ ยกายดว้ ยวาจา มคี วามตั้งใจมน่ั สงบใจ จากความฟุง้ ซา่ นไมใ่ หแ้ สส่ ่ายไป ท�ำใจให้
มอี ารมณเ์ ปน็ อนั เดยี ว. อกี อยา่ งหนง่ึ พจิ ารณาใหร้ เู้ หน็ ตามเปน็ จรงิ ในกายตนกายผอู้ นื่ สงิ่ อนื่ ใหเ้ หน็
ตามเป็นจริงว่า เป็นของท่ีเกิดข้ึนมาแล้ว ก็แปรปรวนเปล่ียนแปลงไป ทนอยู่ไม่ได้ บังคับไม่ได้
พจิ ารณาดว้ ยจติ จนเหน็ ตามเปน็ จรงิ จนจติ ประกอบดว้ ยปญั ญา คอื ความรตู้ ามเปน็ จรงิ , ไมเ่ ปน็ สง่ิ ทร่ี ู้
เพราะรู้กับสง่ิ รู้ ย่อมเป็นของคกู่ นั มแี ต่รู้แต่ไมม่ ีส่ิงที่รู้ ก็ไมร่ วู้ ่าจะรอู้ ะไรได้ มแี ตส่ ิ่งที่รแู้ ต่ไม่มีรู้
รกู้ ไ็ มป่ รากฏแกใ่ คร, ตอ่ เมอื่ มสี ง่ิ รแู้ ละมรี ู้ ๒ อยา่ งผสมกนั รนู้ น้ั จงึ ประกอบกบั สงิ่ ทรี่ ู้ รตู้ ามเปน็ จรงิ ,
แยกส่งิ ทีร่ อู้ อกเป็นส่วนหนึง่ ผู้รเู้ ปน็ สว่ นหนง่ึ เป็นผู้รู้ เปน็ ผพู้ ิจารณาจนเกดิ ความรตู้ ามเปน็ จริง
ไม่เก่ียวข้องพัวพันในส่ิงท่ีรู้นี้, ได้ช่ือว่าท�ำ จิตให้บริสุทธิ์, หรืออีกนัยหนึ่ง ท่านแสดงแนะน�ำให้
พิจารณาความรู้ที่มีอยู่ด้วยกันทุก ๆ คนนั้นแหละ ในบัดน้ีก็พิจารณาดูได้ ดูรู้ว่ารู้เป็นอย่างไร
ก็ดูให้รู้ไปตามเป็นจริงว่า เป็นอย่างน้ัน เมื่อรู้อยู่กับรู้ไม่ซัดส่ายไป รู้น้ันก็ประณีตและละเอียด
ยิ่งขึ้นได้ คงเป็นผู้รู้ ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่รู้, น้ีก็ท�ำจิตให้บริสุทธ์ิผ่องใส แม้จะเห็นอะไรด้วย ตา

90

ไดย้ นิ อะไรดว้ ยหู เปน็ ตน้ . แตว่ า่ บคุ คลผปู้ ฏบิ ตั ใิ หร้ อู้ ยกู่ บั รเู้ ชน่ นนั้ กย็ อ่ มสงบระงบั ไมไ่ ปเกยี่ วขอ้ ง
พัวพันกับสิ่งที่รู้, ท�ำเช่นน้ีได้แม้สักครู่ก็เป็น วิสุทธิเทพ หรือ วิสุทธิเทวดา ในช่ัวครู่
ชั่วขณะท่ที ำ� น้ัน ถ้าทำ� ได้เสมอไปก็เปน็ วสิ ุทธเิ ทพตลอดไป.
การฝกึ หดั ตนใหเ้ ปน็ ไปในทางดี ถกู ชอบ ตง้ั ตน้ แตใ่ หเ้ ปน็ มนษุ ย์ ใหเ้ ปน็ เทวดาโดยสมมติ
ใหเ้ ปน็ เทวดาโดยอปุ บตั ิ ใหเ้ ปน็ เทวดาดว้ ยความบรสิ ทุ ธเ์ิ ชน่ นี้ ไดช้ อ่ื วา่ ฝกึ หดั ตนดว้ ยด;ี เมอื่ เปน็
เช่นนี้ ก็จะรู้จักโลก ท้ังโอกาสโลก สังขารโลกตามเป็นจริง, แต่ไม่เป็นสัตวโลก โลกคือสัตว์ท่ี
เกี่ยวข้องพัวพันกับโอกาสโลก กับสังขารโลก คงเป็นผู้รู้จักโอกาสโลก และสังขารโลกอยู่,
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงแนะนำ� ใหร้ จู้ กั โลกตามความเปน็ จรงิ โลกนเี้ ปน็ ทตี่ ดิ อยขู่ องผไู้ มร่ ู้
แตไ่ มเ่ กยี่ วขอ้ งกบั ผรู้ ,ู้ เพราะฉะนน้ั จงึ มพี ระพทุ ธภาษติ แนะนำ� ใหด้ โู ลกวา่ “เอถ ปสสฺ ถมิ ํ โลกํ
จิตฺตํ ราชรถูปมํ ท่านท้ังหลายจงมาดูโลกน้ี อันวิจิตรด้วยอาการต่าง ๆ เปรียบเหมือนราชรถ,
ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ ท่ีคนไม่รู้ตกจมอยู่, นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ ความข้องในโลกของท่านผู้รู้
ยอ่ มไมม่ ”ี ดงั น.ี้
เม่ือร้จู ักโลกตามเปน็ จรงิ แลว้ ปฏิบัติตาม ฝกึ ตนให้ดีให้ชอบ ไม่ยอมตนให้อยใู่ ตอ้ �ำนาจ
ของกิเลสท่เี ป็นมารเช่นน้ี เป็นการประพฤติปฏิบตั ทิ �ำตนใหเ้ ปน็ คนดี เปน็ คนงามย่งิ ขน้ึ โดยล�ำดับ,
เมอ่ื เปน็ เช่นนี้ กไ็ ด้ช่ือว่าถือเอาประโยชนจ์ ากชาตทิ เ่ี กิดมาเป็นมนุษยไ์ ด้, การฝึกตนใหไ้ ด้ดี เป็น
ไปได้ด้วยดี ก็ได้ช่ือว่าเป็นการช�ำระความช่ัว อันเป็นอกุศลจิตของตน. เม่ือท�ำเช่นนี้ ในปัจจุบัน
โลกน้ีก็จะอย่ดู ว้ ยดมี ีความสุข ละโลกน้ไี ปแล้วก็จะได้ประสบสุขในโลกเบือ้ งหนา้ ตามสมควรแก่
ความปฏิบัติ.

91

ตายเกิด ตายสญู

ปญั หาเรอื่ งตายแลว้ เกดิ หรอื ตายแลว้ สญู เปน็ เรอื่ งทม่ี มี านานแลว้ ดจู ะกอ่ นพทุ ธกาลอกี
ในบดั นก้ี ม็ อี ยู่ และคงจกั มตี อ่ ไปอกี ในอนาคต เรยี กวา่ เปน็ ปญั หาประจำ� โลกกไ็ ด้ จงึ มคี ำ� (ศพั ท)์
สำ� หรบั เรยี กความเหน็ เหลา่ นว้ี า่ สสั สตทฏิ ฐิ เหน็ วา่ เทย่ี ง ซง่ึ หมายความวา่ ชาตนิ เ้ี กดิ เปน็ อยา่ งไร
ตายแลว้ เกดิ อีกตอ่ ไป กเ็ ปน็ เชน่ น้ีอกี ๑, อจุ เฉททิฏฐิ เห็นว่าขาด ซงึ่ หมายความว่า ตายแลว้ สญู
๑, (แตท่ างพระพทุ ธศาสนาไมร่ บั ความเหน็ เชน่ นท้ี งั้ ๒ อยา่ ง, เพราะแสดงกรรมและผลของกรรม
และความท่ีสัตว์มีกรรมเป็นของตน). บางคนเห็นวา่ สว่ นรูปกาย คอื ธาตดุ นิ น้ำ� ไฟ ลม หรือเติม
อากาศเขา้ ดว้ ยเทา่ นนั้ เปน็ สำ� คญั เปน็ ใหญ,่ ถา้ ธาตเุ หลา่ นนั้ ประชมุ กนั ถกู ตอ้ งไดส้ ว่ นกเ็ กดิ วญิ ญาณ
เวทนา สัญญา สงั ขาร รวมเปน็ นามและรปู เป็นกายอันนี,้ เม่อื ธาตุเหลา่ น้ันสลายแยกจากกนั ไป
วญิ ญาณ เวทนา สญั ญา สงั ขาร กด็ บั ไปตาม แตไ่ มส่ ญู ไปทเี ดยี ว, เพราะธาตเุ หลา่ นน้ั ไมส่ ญู อาจ
ไปรวมกันเข้าถกู ตอ้ งตามสว่ นอีก กเ็ กิดวญิ ญาณ เวทนา สญั ญา สังขาร ขน้ึ อกี แลว้ กส็ ลายไป
อกี , แตถ่ ึงเกิดใหม่ กไ็ ม่ใช่เรา (เปน็ อกี คน ๑ ต่างหาก) กรรมดกี รรมชั่วท่ที ำ� ไว้ในโลกนี้ ตลอด
ถงึ พระอรยิ บุคคล ก็มีเพยี งในโลกน้ีเท่าน้ัน, เมื่อรปู กายสลายแล้ว ปุถชุ นหรอื พระอรยิ บคุ คล ก็
สญู สนิ้ ไปเหมอื นกันหมด. แต่บางคนแสดงว่าธาตทุ ้งั ๔ หรือ ๕ เปน็ เพียงส่วนประกอบเป็นรูป
กายเท่าน้ัน และก็เป็นของตายอยู่แล้วตามธรรมดา เช่น อาหารก็เป็นของตายอยู่ตามธรรมดา
แลว้ , แตท่ ป่ี รากฏวา่ เปน็ ของเปน็ กเ็ พราะมธี าตเุ ปน็ หรอื ธาตรเู้ ขา้ รกั ษาอยู่ จงึ ทำ� ใหธ้ าตตุ ายเหลา่
นน้ั แสดงอาการเปน็ ของเป็นอยู่ช่วั คราว, เมื่อธาตเุ ป็นหรอื ธาตุรู้พรากไปเสียแลว้ ส่วนรูปกายอนั
เปน็ ของตาย กแ็ สดงอาการตายใหป้ รากฏทนั ท;ี เพราะฉะนนั้ ธาตเุ ปน็ หรอื ธาตรุ นู้ น้ั แหละ เปน็
ทตี่ ัง้ เปน็ ส�ำคัญ, และถ้าเกิดอีกกเ็ ปน็ เราทุกท,ี (มีพระพทุ ธภาษติ ในธาตุวิภงั คสตู รวา่ “ฉ ธาตโุ ร
อยํ ปรุ โิ ส คนมีธาตุ ๖”) และเป็นไปตามเหตุผล (กรรมวิบาก). แตก่ ม็ คี นอกี มาก ไมค่ ำ� นงึ ถงึ
เรอื่ งตายเกดิ หรอื ตายสญู จะเปน็ ไปอยา่ งไรกช็ า่ งมนั , เดยี๋ วนเ้ี ขาเองเปน็ อะไรเขากไ็ มร่ ,ู้ เมอ่ื เปน็
เชน่ นี้ เขาจะคิดว่า ตายเกดิ หรือ ตายสญู อยา่ งไรได.้
พดู กันในทนี่ ้ี ในบดั นี้ กเ็ พือ่ คนทีส่ นใจเร่ืองตายเกดิ หรอื ตายสญู เทา่ นน้ั .
คนท่ีเห็นว่าตายแล้วเกิดก็ตาม เห็นว่าตายแล้วสูญก็ตาม ดูจะเห็นตามที่ได้ยินได้ฟังมา
เปน็ พืน้ , สว่ นผ้พู ิจารณาสอบสวนด้วยตนเอง ดจู ะมีน้อย, ถงึ เชน่ น้นั ผ้เู หน็ วา่ ตายสญู นา่ จะได้
พิจารณามากกวา่ เสียอกี แตพ่ ิจารณาเหน็ สนั้ ๆ ไม่พิจารณาสอบสวนโดยละเอยี ดรอบคอบ.
92

หนังสือนี้ ไม่ลงความเห็นช้ีว่าเป็นอย่างไร เป็นแต่น�ำเร่ืองที่ปรากฏมาแสดง เพื่อผู้อ่าน
และปรารถนาจะไดพ้ ิจารณาพสิ จู น์ด้วยตนเอง และสนั นษิ ฐานหรือตดั สินด้วยตนเอง ดงั ต่อไปน:้ี
๑. นกึ พจิ ารณาดตู นเอง : ตง้ั แตเ่ กดิ และจำ� ความไดม้ าจนบดั น,้ี รปู กายของเราเองเปลย่ี น
แปรไปแลว้ เทา่ ไร และยงั จะเปลยี่ นแปรไปอกี จนถงึ ตาย, ถา้ เอารปู ถา่ ยเมอื่ ยงั เดก็ มา และไมม่ ใี คร
บอกวา่ เปน็ รปู เราเอง เราคงจ�ำไมไ่ ด;้ ความรสู้ ึกทางตาในเมอ่ื ไดเ้ ห็นรปู , ร้สู ึกทางหูในเมอื่ ไดย้ นิ
เสยี ง, รสู้ กึ ทางจมูกในเมือ่ ไดด้ มกล่ิน, รูส้ กึ ทางลิน้ ในเมอื่ ไดล้ ิ้มรส, รสู้ กึ ทางกายในเม่อื ได้กระทบ
สง่ิ ทมี่ าถูกกาย, รสู้ ึกทางใจ (นึกคดิ ) ในเมอ่ื ได้นึกคดิ เรอ่ื ง, ความรูท้ ุกข์ รสู้ ุข ร้ไู มใ่ ชท่ กุ ข์ไมใ่ ช่
สขุ , ความรจู้ ำ� , ความนกึ คดิ ประกอบกบั เรอ่ื งตา่ ง ๆ, ทม่ี แี กเ่ ราอยเู่ สมอ (แมใ้ นเวลาทอ่ี า่ นหนงั สอื
น้ี) เหล่าน้ี เกิดข้ึนแล้วก็ดับไป แลว้ กเ็ กดิ ขน้ึ ใหม่และดบั ไป นบั ไม่ถ้วนวา่ เทา่ ไรแลว้ นกึ ดูในบดั น้ี
ก็เหน็ ได้. แตเ่ ราเคยรสู้ ึกว่าเราเปน็ ๒ คนบา้ งหรอื ไม่ ตง้ั แตจ่ �ำความไดจ้ นบดั น้,ี แม้ส่วนตา่ ง ๆ
ของกายและความเป็นไปเม่ือครั้งเป็นเด็กกับเด๋ียวนี้ต่างกันมากมาย, เราก็ไม่เคยรู้สึกว่าเราเป็น
๒ คนเลย. ไม่ต้องกลา่ วถงึ ๓-๔ คน. อะไรเป็นเรา น่าพจิ ารณา.
๒. เมอ่ื เรานอนหลับฝนั : ในฝนั นน้ั เราไปในที่ต่าง ๆ ไปทำ� อะไร ไปพูดอะไรตา่ ง ๆ
อาจฝนั ไปนรกกไ็ ด้ ไปสวรรคก์ ไ็ ด้ รอ้ งไหก้ ไ็ ด้ หวั เราะกไ็ ด้ ฝนั วา่ ตายกไ็ ด,้ ในเวลาฝนั เรารวู้ า่ เรา
เปน็ เชน่ ทฝ่ี ันจรงิ ๆ ไม่ร้วู ่าฝัน (แต่บางคราวรวู้ ่าฝันในฝนั ก็ม)ี , ต่อเมื่อตน่ื ขึ้นจึงรวู้ ่าฝนั คือตน่ื
จากฝัน ในเวลาฝนั น้นั รา่ งกายเรานอนอยทู่ ที่ น่ี อน ไมไ่ ด้ไปไหน ไม่ไดท้ ำ� อะไร, แต่เราในฝนั ไป
ทำ� อะไร ๆ ในทต่ี ่าง ๆ, คดิ ดู เราเป็นรา่ งกายอันนห้ี รือ หรืออื่นจากกายอันน้ี.
ท้งั ๒ อยา่ งน้ี เพยี งเพ่อื พจิ ารณาสนั นษิ ฐานเท่านนั้ .
๓. ทา่ นผเู้ คยเหน็ วา่ ตายสญู มาแลว้ กลา่ ววา่ ถา้ จะใหเ้ หน็ แน่ ตอ้ งทำ� กมั มฏั ฐาน : คอื
สง่ ใจใหไ้ ปอยู่กบั อารมณ์ คือ ท่มี ่งุ ทย่ี ึด ทหี่ มาย อยา่ งใดอย่างหนง่ึ แล้วแต่จะชอบอารมณอ์ ะไร,
ทำ� ใจใหไ้ ปมงุ่ อยกู่ บั อารมณน์ นั้ จนแนว่ แน่ ปลอ่ ยความยดึ ถอื กายนี้ ทเี่ คยยดึ ถอื เสยี ชวั่ คราว, (และ
ควรท�ำจรงิ ๆ เพราะเป็นการหัดให้ใจอยูน่ ิ่งในทีเ่ ดียว, เมือ่ ทำ� ได้ จะรูส้ ึกว่า แปลกจากใจท่ีฟุ้งซา่ น
ไปรับอารมณ์ต่าง ๆ อนั เป็นเหตใุ หย้ นิ ดบี า้ ง ยนิ รา้ ยบ้าง หลงเลอะเลือนบ้าง) จักได้พบความสงบ
อนั เปน็ สขุ อยา่ งละเอยี ด ประณตี ทนี่ กึ คดิ เอาไมถ่ กู ไมใ่ ชส่ ขุ โลดโผนอยา่ งสขุ ทางกาม อนั เปน็ สขุ
เผด็ ร้อน ท่คี นสามัญแมส้ ตั วด์ ริ ัจฉานก็ไดป้ ระสบอยู่ และอาจนกึ คาดเอาได้ และอาจใหท้ กุ ข์สบื
ต่อไป เหมือนดื่มน�้ำผ้ึงเจือยาพิษ. หญิงชาวฝร่ังเศสคน ๑ ก็ได้เคยท�ำ จนถึงได้เขียนเป็นต�ำรา
แนะน�ำพวกเขาไว้ และคนไทยไดแ้ ปลมาสภู่ าษาไทยแล้วก็มี.

93

การท�ำกัมมัฏฐานนี้ จะใช้ตามหนังสือสมถกัมมัฏฐานท่ีท่านได้พิมพ์ไว้แล้วก็ได้ หนังสือ
วิสุทธิมรรคตอนสมาธินิเทศก็ได้ แต่ท่านเรียงไว้ยืดยาว, ถ้าพยายามอ่านได้ตลอดจะเข้าใจได้ดี,
หนงั สอื ทห่ี ญงิ ชาวฝรง่ั เศสเรยี บเรยี งไวก้ ไ็ ด้ แตห่ นงั สอื นพ้ี ดู ซำ้� ๆ วนๆ อยบู่ า้ ง, หรอื อา่ นเรอ่ื งกมั มฏั ฐาน
ในทา้ ยหนงั สอื นี้ (เรอ่ื งนไี้ มไ่ ดน้ ำ� มารวมพมิ พไ์ วใ้ นทนี่ ด้ี ว้ ย) ทแ่ี สดงพอเปน็ เคา้ ของการปฏบิ ตั กิ ไ็ ด,้
และควรอา่ นหนงั สอื หวั ใจสมถกมั มฏั ฐาน และไตรสกิ ขา ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยา
วชริ ญาณวโรรสดว้ ย. ถา้ ยงิ่ เรยี นตอ่ ครกู ย็ ง่ิ ด,ี แตใ่ หเ้ ปน็ ครทู ร่ี จู้ กั เหตผุ ล ไมใ่ ชเ่ พยี งแตเ่ รยี นๆ จำ� ๆ
กนั มาเทา่ นนั้ .

๔. เรอื่ งผี และทา่ นผเู้ คยพบผ:ี
ก. พระศาสนโศภน (จตตฺ สลฺโล) วัดมกฎุ กษตั ริย์ฯ เคยเลา่ ว่า วัน ๑ (ยงั ไมไ่ ด้
ตัดถนนประชาธิปตั ย์ไปขา้ งวดั ๔๓) เวลากลางวัน (ดเู หมอื นจะบ่าย) ท่านเองกบั พระอนื่ อกี หลาย
รปู ไดไ้ ปน่ังอยู่ขา้ งโบสถ์ (ทท่ี �ำอโุ บสถ) ต่อจากขา้ งโบสถอ์ อกไปมีกำ� แพงวัดและมีประตทู ีอ่ อกไป
สู่ป่าช้าหลังวัด, เวลาท่ีอยู่ท่ีนั่นด้วยกัน, ประตูท่ีออกไปสู่ป่าช้า ซึ่งปิดอยู่น้ัน เปิดเข้ามา
และมีหญิงคนหน่ึงเอามือจับบานประตู ผลักเข้ามา แล้วดึงกลับออกไป ท�ำเช่นนี้หลายหน.
พระศาสนโศภนเห็นแล้ว จ�ำได้ว่าหญิงนั้นเป็นคนท่ีตายแล้ว เขาน�ำมาฝังไว้ท่ีป่าช้า, ผ้านุ่งห่ม
กส็ ำ� รับนั้น (เมอื่ ฝงั ครั้งกระน้นั ฝงั ลงในดนิ , ใส่โลงหรือไม่ ไม่ได้ถาม), พระรูป ๑ (เหน็ จะกลา้
หน่อย) ไปดูท่ีประตู กไ็ ม่เห็นใคร เลยรีบกลบั กฏุ .ิ
ข. พระสังกจิ คุณ วดั ตรที ศเทพ เคยเล่าว่า ในคราว ๑ (ยงั ไมไ่ ดต้ ัดถนนไปทาง
หลงั วดั ) เวลากลางคนื มเี สยี งรอ้ งดงั อยสู่ งู ๆ เสมอ, คนขา้ งวดั และคนในวดั ไดย้ นิ ดว้ ยกนั . ในคนื ๑
พระสังกิจคุณชวนพระ (ดูเหมือนคฤหัสถ์ด้วย จ�ำไม่ได้แน่) หลายคนด้วยกันไปดูในบริเวณท่ีมี
เสียงร้องน้ัน, ในชั้นต้นเสียงนั้นดังอยู่สูง แล้วค่อยต�่ำลง ๆ จนเห็นเป็นคนยืนพิงต้นไม้อยู่
พระสังกิจคุณหาว่าเป็นคนท่ีเคยอยู่ในวัดนั้น ชื่อกล้าย แต่ตายไปแล้ว, เพราะลักไก่วัดกิน
จึงตายไปเป็นเปรต, (น่าจะพากันเข้าไปจับตัวดูให้รู้ว่าเป็นอย่างไรแน่, แต่ก็ไม่มีใครเข้าไปจับดู.
ข้าพเจ้าทราบเรือ่ งนีก้ ็ตอ่ เสียงนี้ไดห้ ายไปเสียแล้ว จงึ ไม่ไดไ้ ปพสิ ูจน)์ .

๔๓ถนนประชาธปิ ไตยเรมิ่ ตดั ขน้ึ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๒

94

พระศาสนโสภณ (แจม่ จตตฺ สลฺโล)
อดตี เจ้าอาวาสวดั มกฎุ กษตั ริยาราม

ท่มี าภาพ : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ

พระสงั กิจคณุ (ขำ� อินฺทวโํ ส)
อดีตเจา้ อาวาสวดั ตรที ศเทพ

ท่ีมาภาพ : หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ

95

หม่อมเจ้าขจรปรีดี วิสทุ ธิ
เม่ือครั้งทรงผนวชเปน็ พระภกิ ษุ

สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
กรมพระสวสั ดิวัดนวศิ ษิ ฎ์

ทมี่ าภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ

96

ค. หมอ่ มเจ้าขจรปรดี ี ในพระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ เมอ่ื ผนวชอยู่เลา่ วา่ เม่อื ยงั เป็นเดก็ ได้
เข้าไปอยู่กับพระองค์เจ้าหญิง ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ในวังหน้า (ดูเหมือนจะเป็น
พระองคจ์ นั ทรฯ์ จำ� ไมไ่ ดแ้ น)่ ครง้ั ยงั มเี จา้ นายในพระราชวงั บวรประทบั อย.ู่ คนื วนั ๑ พระองคเ์ จา้
พระองคน์ นั้ จะเสดจ็ ไปเยยี่ มพระองคเ์ จา้ อกี พระองค์ ๑ (จำ� พระนามไมไ่ ด)้ ทปี่ ระทบั อยอู่ กี ตำ� หนกั
๑ จึงให้คนถือโคมลานน�ำและมีคนตามเสดจ็ อีกหลายคน, หม่อมเจา้ ขจรปรีดกี ับหม่อมเจ้ากมลฯ
(มารดา) กไ็ ปดว้ ย. เมอ่ื ไปต้องเดนิ ผา่ นพระทน่ี งั่ (อะไรจ�ำไมไ่ ด้) ไป, พบผหู้ ญงิ แกค่ น ๑ หม่ ผา้
ขาวนงั่ อยขู่ า้ งทาง, คนถอื โคมเอาโคมสอ่ งดู กเ็ หน็ ดว้ ยกนั หมด. พระองคเ์ จา้ พระองคน์ นั้ ทรงเรยี ก
ออกมาดงั ๆ วา่ “ยายจอ้ ย ๆ” แลว้ กเ็ ดนิ เลยไป. หมอ่ มเจา้ ขจรฯ เขา้ ใจวา่ เปน็ คน เพราะเหน็ ดว้ ย
กันหมด, ต่อมาภายหลังจึงทราบวา่ ยายจ้อยน้ัน ตายไปนานแลว้ . บัดนหี้ ม่อมเจา้ กมลฯ กย็ ังอย่.ู

ฆ. คราว ๑ สมเดจ็ กรมพระสวสั ดวิ ดั นวศิ ษิ ฎ์ ทรงเลา่ ถวายสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรม
พระยาวชิรญาณวโรรสว่า มผี ีมาเล่นกบั คน (ไม่ทรงบอกว่าคนนน้ั เปน็ ใครและอยูท่ ี่ไหน, แตภ่ าย
หลังทราบว่า คนนั้นคือลูกหญงิ ของพระยาราชานปุ ระพันธ์ “เปยี ” อยฝู่ ง่ั ธนบุรี. แรกที่ผมี าเล่น
มาท�ำอย่างไรก่อน ไมไ่ ด้ทรงเลา่ ). ผนี ัน้ บอกว่าเปน็ คนในสกลุ นัน้ เองทตี่ าย ๆ ไปแล้ว เป็นผใู้ หญ่
บา้ ง เป็นเด็กบา้ ง ตอบค�ำถามของผู้ถามได้ ดว้ ยใหน้ ำ� กระดาษดินสอใส่ลงในหีบแล้ว ให้หญิงคน
นนั้ นำ� เขา้ ไปตงั้ ไวบ้ นโตะ๊ รมิ ฝาผนงั ขา้ งประต.ู ผนี น้ั จะเขยี นตอบในกระดาษ. ถา้ คนอนื่ นำ� ไปตงั้ ,
ผีไมต่ อบ. คำ� ถามน้นั ถามด้วยปากกไ็ ด้ เขยี นด้วยหนังสือถามกไ็ ด้ นกึ ถามในใจกไ็ ด,้ กำ� ลงั ทรง
พิสูจน์อย่ใู นเวลานนั้ . ทรงแสดงวา่ พระองค์ไม่ทรงเชื่อว่าผมี ,ี ถึงพ่อของหญิงนัน้ ก็ไมเ่ ช่ือ, แต่ใน
เวลาน้ัน ออกจะทรงเชื่อว่าผีมีแล้ว. ทรงเล่าวา่ วนั ๑ เสดจ็ ไปทดลอง ทรงนกึ ในพระหทยั ถามวา่
“คนทยี่ งั เปน็ อยกู่ บั คนตายไปแลว้ จะตดิ ตอ่ กนั ไดอ้ ยา่ งไร” และใหห้ ญงิ นนั้ ถอื หบี ใสก่ ระดาษดนิ สอ
เข้าไปวางที่โต๊ะตามเคย, แต่ก่อนที่ให้หญิงน�ำหีบเข้าไปนั้น ได้เสด็จเข้าไปตรวจในห้องนั้นจนท่ัว
ไม่มีที่ ๆ ใครจะซ่อนเร้นอยู่ได้ ทรงตรวจดหู นา้ ต่างทกุ บาน ก็ไม่ทรงเหน็ มีทางทคี่ นจะขน้ึ ลงได้,
เมอื่ ให้หญงิ น้นั น�ำหีบไปตั้งก็ทรงถือหีบไปเอง ทรงสง่ ใหห้ ญงิ ท่ีประตู และทรงดูอยจู่ นหญงิ นน้ั วาง
หบี แล้วกลบั ออกมา, สักครู่ ๑ หญิงนั้นก็บอกว่าคงเขยี นตอบแลว้ จงึ เดินเขา้ ไปเพ่อื จะยกหีบออก
มา. สมเด็จกรมพระสวัสด์ิฯ ไดเ้ สดจ็ ตามไปถงึ ประตู และทรงคอยรบั อยู่ ไม่มีเวลาพอทหี่ ญิงนัน้
จะเปดิ หบี ขนึ้ เขยี นหนงั สอื ได,้ ทงั้ คำ� ถามกถ็ ามดว้ ยพระหทยั , เมอื่ หญงิ นนั้ นำ� หบี มาถวาย, ทรงรบั
แล้วน�ำมาเปิดดู เหน็ หนังสอื เขยี นอยบู่ นกระดาษนั้นวา่ “ใจ”. คราว ๑ ผี บอกว่าในคืน ๑ จะมี
ผู้ร้ายเขา้ บา้ น และหญงิ นั้นจะยงิ ผูร้ ้าย. พอ่ ของหญงิ นนั้ ถามว่า จะเข้ามาวนั ไหน เวลาไร ?

97

ผตี อบวา่ บอกได้หรอื จะได้คอยดักท�ำรา้ ยเขา, และว่าเขามีเวรกัน. ต่อมาคนื วัน ๑ พ่อของหญงิ
นั้น ไปธุระไม่อยู่บ้าน ก็มีผู้ร้ายเข้ามาในบ้าน และหญิงน้ันก็ยิงจริง ๆ. แต่เพราะเป็นเวลาดึก
กวา่ คนในบา้ นนนั้ จะตน่ื และมาชว่ ยกนั ตรวจคน้ กไ็ มเ่ หน็ ผรู้ า้ ยแลว้ เหน็ แตก่ องเลอื ด. ยงั ทรงแสดง
พระมตวิ า่ เห็นจะถูกปอดเพราะเลอื ดออกมาก กองโต, แต่กไ็ ม่มใี ครนกึ ที่จะถามผี. ต่อเม่ือล่วง
วันไปแล้ว จึงนึกถึงผีและถาม. ผีบอกว่า พวกของเขาช่วยกันหามเอาไปซ่อนไว้ในบ่อน้�ำแห้งใน
บา้ นนน้ั กอ่ น, ตอ่ เมอื่ คนทอ่ี อกมาหาไมพ่ บแลว้ กลบั ไปนอนหมด, พวกของเขาจงึ ชว่ ยกนั หามออก
ไป. ในการตรวจหาผู้ตายนั้นก็เผอิญไม่มีใครไปตรวจค้นที่บ่อน้ัน. ต�ำรวจก็ได้มาและสืบหาตัว
คนรา้ ยก็ไมร่ ้วู า่ ใครจนแล้วจนรอด.
๕. คนระลึกชาตไิ ด้
ก. พระราชมนุ ี (สสุ มาจาร) วดั บวรนเิ วศฯ เมือ่ เปน็ ผู้อำ� นวยการศึกษามณฑล
ราชบรุ ี เล่าวา่ ไดเ้ คยพบเด็กมี ๒ พ่อ ๒ แม่; เด็กนั้นเลา่ วา่ เมอื่ ชาติก่อนเขาเกดิ อยูท่ บี่ ้าน ๑
(มารดาบิดายังอย่เู มือ่ เขาเล่า) พอเปน็ หนมุ่ เขาไปในทเี่ ปลย่ี วแห่งหนงึ่ อยู่ริมลาํ น�้ำ ถกู ผรู้ ้ายตลี ้ม
ลง, เขาก็นอนคิดวา่ ถ้าผู้รา้ ยไปแล้วกจ็ ะกลับบา้ น. แต่ผ้รู า้ ยไม่หยดุ เพยี งเทา่ นนั้ เอาไมท้ ่อน ๑
กระแทกลงไปท่ีหูจนตาพราย, เขารู้สึกว่าตัวออกจากกายนั้น เห็นกายท่ีนอนอยู่ และก็นึกว่า
ถ้าผู้ร้ายไปแล้ว ก็จะกลับเข้าร่างแล้วกลับบ้าน, แต่ผู้ร้ายลากเอาร่างเขาทิ้งลงในน�้ำไปเสีย,
สว่ นตวั เขาเองอยบู่ นฝง่ั (จะกว่ี นั กค่ี นื ไมไ่ ดถ้ าม), ตอ่ มามเี รอื ทอดแหลำ� ๑ มคี น ๒ คน (ผวั เมยี )
ทอดแหเร่อื ย ๆ มา จนเรือใกลฝ้ ง่ั ที่เขาอย่,ู เขาจึงกระโดดลงไปนงั่ อยกู่ ลางเรอื . ส่วนคนทอดแห
(ไมเ่ ห็นเขา) ทอดแหไป จนถงึ เวลากก็ ลบั บา้ น, เม่อื ถงึ บ้าน เขา ๒ คนน้ันชว่ ยกันเข็นเรือข้นึ ฝัง่ ,
พอเรือเล่ือนข้ึนปรูด, เขาตกใจจนลืมตัว มารู้ตัว ก็เม่ือเกิดเป็นลูกของ ๒ คนผัวเมียน้ันแล้ว,
เมอ่ื พดู ไดร้ คู้ วามแลว้ เขาบอกพอ่ แมใ่ หมน่ นั้ และรบเรา้ ใหพ้ าไปหาพอ่ เกา่ แมเ่ กา่ , เมอื่ พอ่ แมใ่ หม่
พาไปหาพอ่ แมเ่ กา่ , เขาจ�ำสง่ิ ของต่าง ๆ ได้ และเลา่ เรื่องของเขาให้พอ่ แม่เกา่ ฟงั พอ่ แมเ่ กา่ ก็เช่อื
และรกั อยา่ งลกู จึงมี ๒ พอ่ ๒ แม่ ๒ บ้าน จะอยบู่ า้ นไหนก็ได้.

ข. พระครปู ระสทิ ธิพ์ ทุ ธมนต์ (ธมมฺ คุตฺโต) วดั บวรนเิ วศฯ ไปรกั ษาการอยู่ทว่ี ดั
พระแทน่ ศิลาอาสน์ เมอื งอตุ รดิตถ์ เลา่ วา่ ได้พบเด็กคน ๑ บา้ นอย่ใู กลว้ ดั พระแทน่ ระลกึ ชาติ
ก่อนได้. แม่ของเด็กเล่าว่า เม่ือก่อนแต่เด็กน้ีเกิด คืนวัน ๑ เขาฝันว่าได้เดินไปท่ีวัดพระแท่น
พบพระอาจารยห์ รม่ิ (เจา้ อาวาสวดั พระแทน่ ตายไปแลว้ และเผาศพแลว้ ). พระอาจารยห์ รมิ่ เดนิ
เขา้ มาหา บอกว่าจะไปอย่บู า้ นดว้ ย, เขาก็ตอบวา่ ท่านเปน็ พระจะไปอยู่บ้านอยา่ งไร แล้วเขากร็ บี
98

พระราชมนุ ี (ชม สุสมาจาโร)
ผูช้ ว่ ยเจ้าอาวาสวดั บวรนเิ วศวิหาร

เดินกลับบ้าน. พระอาจารยห์ รมิ่ กเ็ ดนิ ตามมา. เขากร็ บี เดนิ จนถงึ บา้ น และขน้ึ บนั ไดถงึ ชานเรอื น
กเ็ หน็ พระอาจารยห์ รม่ิ ขน้ึ บนั ไดตาม, เขาจงึ ผลกั บนั ไดและตกใจตน่ื , ตอ่ มากม็ คี รรภแ์ ละคลอดบตุ ร
คนน.ี้ เมอื่ เดก็ คนนโี้ ตขน้ึ จนพดู ได้ มกั พดู ถงึ อาจารยห์ รมิ่ เสมอ ๆ. พอ่ แมก่ ค็ อยหา้ มปราม เพราะ
เกรงวา่ ผอี าจารยห์ รมิ่ จะมาเขา้ , เมอ่ื เดก็ พบพระมหาแปรง วดั พระแทน่ ฯ กเ็ รยี กพระมหาแปรงวา่
นอ้ งชาย, (เมอื่ พระอาจารยห์ รมิ่ ยงั ไมต่ าย เรยี กพระมหาแปรงวา่ นอ้ งชายเสมอ) จงึ พากนั ถามขน้ึ
วา่ เดก็ นน้ั เปน็ ใคร, เดก็ นนั้ กบ็ อกวา่ “หรมิ่ อยา่ งไงละ่ ,” และตอ่ มากใ็ หผ้ ใู้ หญพ่ าไปทว่ี ดั , เขาชบ้ี อก
วา่ ทตี่ รงนเ้ี ปน็ ทเี่ ผาศพ ทตี่ รงนเ้ี ปน็ ทเ่ี ลน่ มหรสพถกู ทกุ อยา่ ง.
ค. อบุ าสกหงวน วดั เสนาสนาราม พระนครศรอี ยธุ ยา เลา่ วา่ เมอ่ื อยทู่ จ่ี งั หวดั ปทมุ ธานี
มนี า้ คน ๑ ชื่อ ทอง พอโตเป็นหนุ่มก็ถูกตีตาย. ต่อมามีเด็กคนหน่ึงเกิดขึ้นท่ีบ้านใกล้ ๆ กัน,
พอเดก็ คนน้ันโตข้นึ พูดไดร้ ูค้ วามกบ็ อกวา่ เมื่อชาตกิ อ่ นเขาชื่อทอง อยู่ทบี่ ้านโนน้ (ที่บ้านอุบาสก
หงวนอยู่) และรบเรา้ ใหพ้ อ่ แม่พาไป, เมือ่ เขาไปถึงก็บอกว่า เม่ือชาติก่อน เขาชือ่ ทอง เป็นน้อง
ของมารดาอบุ าสกหงวน, เขาถกู ตีตาย กอ่ นตาย เขามไี กอ่ ยู่ ๑ ตัว มผี า้ นงุ่ ๒ ผนื เอาไวใ้ นหบี ,
เขาจะมาเอาของเขา. แม่และปา้ อุบาสกหงวนกร็ ับว่ามจี ริง แตไ่ ก่ตายเสยี แลว้ เหลอื แตผ่ า้ .
เรือ่ งเชน่ นี้ ดจู ะคา้ นกบั ทางแพทยศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร,์ แต่อย่างไรแน่ นา่ พจิ ารณา.

99

๖. เรอ่ื งกายอกี ส่วนหนง่ึ ทมี่ ผี ู้พบ:
ก. พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ ววิ ธิ วรรณปรชี า ทรงเลา่ วา่ เมอ่ื ทรงแตง่ หนงั สอื
ท่ีทรงตั้งช่ือว่า “เพชรในหิน” คราวหนึ่งทรงเขียนไปไม่ได้ต้องติดอยู่ ก็ทรงหยุดคิดข้อความ
ที่จะทรงเขียน คร้ันทรงคิดได้ ทรงเขียนก็เขียนไม่ไปอีก เป็นเช่นนี้ราว ๓ หน ก็ทรงหยุดน่ิงดู
ทรงรู้สึกว่ามสี ว่ น ๑ ออกจากพระกายหา่ งออกไปทีละน้อย ๆ แล้วกลบั เขา้ มารวมกันอกี เชน่ เดมิ
ทรงสะอน้ื เหมอื นร้องไห้, เมื่อทรงนึกถึงขึน้ มาก็ยงั ทรงสะอื้นอีก เป็นเชน่ นีอ้ ยรู่ าว ๓ วัน, แต่นัน้
กท็ รงเชอื่ แนว่ ่าเราไม่ได้ตาย, สว่ นที่ตายนนั้ เป็นรูปกาย เป็นของตายอยตู่ ามธรรมดา.
ข. นายฉงิ่ แรงเพชร (เดย๋ี วนย้ี ังอยู)่ เล่าว่าเมอ่ื เขาบวชอย่ทู ี่วัดบวรนิเวศฯ และ
อยู่ท่ีกุฏิคณะสูง, คืนวันหน่ึง ไปฟังเขาพูดกันเร่ืองอานาปานสติ กลับมาถึงกุฏิแล้ว ก็ปิดประตู
ลงกลอนขึ้นบนเตยี งนอนตามเคย กำ� หนดดูลมหายใจไป, ลมหายใจกอ็ ่อนละเอียดเขา้ ๆ จนถงึ
รู้สกึ วา่ ไมห่ ายใจ จงึ นึกว่าตาย แตก่ ไ็ มต่ กใจ และนกึ ว่าคนตายนเ่ี ป็นอย่างน้ีเอง; ครนั้ แลว้ รู้สกึ
วา่ ตัวเองลกุ จากเตียงไปทปี่ ระตู ไปมองดูท่ีช่องกญุ แจ กร็ ู้สึกว่าตัวออกไปอยนู่ อกประตู และเดิน
ไปเดินมาท่ีเฉลยี งหน้ากฏุ ิน้ัน; (เฉลียงกุฏิคณะสูงในคราวน้ัน เดินได้ตลอดถงึ กัน) เห็นเดก็ นอน
อยู่ท่ีเฉลียงนั้นนอนเท่าไรก็เห็นหมด และเห็นสิ่งอ่ืน ๆ อีก; แสงสว่างในเวลาน้ันเป็นสีขาว ๆ
เหมอื นเวลาเชา้ ท่ีพระอาทติ ยย์ ังไมข่ ้ึน. ในเวลาที่เดินอยนู่ ้ันนกึ ขนึ้ ว่า เวลาน้ีเปน็ เวลานอน ไม่ใช่
เวลาเดิน จงึ เดนิ ไปท่ปี ระตู จะเข้ากเ็ ขา้ ไม่ได้ จงึ ไปมองที่ช่องกญุ แจ ก็รู้สกึ ว่าตัวเข้าไปแล้ว เดิน
ไปทเี่ ตยี งนอน ใกลเ้ ขา้ ไปยงั ไมท่ นั ถงึ กก็ ลบั เขา้ รวมกนั กบั กายเดมิ ; พอรสู้ กึ ตวั จงึ ลกุ ขนึ้ จากเตยี ง
เดนิ ไปทปี่ ระตู ถอดกลอนออกไปเดนิ ตรวจดทู เ่ี ฉลยี งนนั้ กเ็ หน็ เหมอื นกนั ทกุ อยา่ ง, เดก็ นอนกคี่ น
นอนในท่าไหนก็เหน็ เหมือนกันหมด.
ค. พระศาสนโศภน (ภาณโก) วัดราชบพิธ เล่าว่า คราวหนึ่งเป็นฝีข้ึนที่กลาง
กระหม่อม, ปวดศีรษะมาก จนนึกว่าจะแตกต้องเอาผ้ารัดไว้ มีผู้ไปตามหมอมาผ่าจึงค่อยทุเลา
ปวด, เมอ่ื หมอผา่ แลว้ เอายาใส:่ ในเวลาทหี่ มอใสย่ านนั้ แสบปลาบเขา้ ถงึ หวั ใจลมื ตวั , รสู้ กึ วา่ ตวั ยนื
อยู่ที่หน้ากุฏิ, มองลงไปเห็นเด็กเล่นอยู่ท่ีพื้นข้างล่าง ไม่รู้สึกเกี่ยวข้องกับกายท่ีเจ็บนั้น, เขาท�ำ
อยา่ งไรกันบ้างก็ไมท่ ราบ มาร้สู ึกตัวอีกตอนหนง่ึ ก็เป็นตวั คนเจ็บตามเดมิ .

100

พระศาสนโศภน (ภา ภาณโก)
อดีตเจา้ อาวาสวดั ราชบพิธสถติ มหาสมี าราม

ที่มาภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ

พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ
กรมหมื่นวิวธิ วรรณปรชี า

ทีม่ าภาพ : หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ

101

พระพรหมมนุ ี (ผนิ สวุ โจ)
อดตี เจา้ อาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ลำ� ดบั ท่ี ๕

พระเจา้ วรวงศ์เธอ
กรมหมื่นอนุพงศจ์ กั รพรรดิ์

ท่มี าภาพ : หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ

102

ฆ. พระธรรมปาโมกข์ (สุวโจ)๔๔ วัดบวรนิเวศฯ เขียนเล่าไว้ในเร่ืองกาย ๓
เก็บความโดยย่อว่า เม่ือพระธรรมปาโมกข์ (เป็นพระราชาคณะใหม่) ไปพักอยู่ท่ีวัดมหาธาตุ
จงั หวดั เพชรบรุ ี ไดเ้ หน็ เดก็ หลายคน ศษิ ยข์ องอาจารยส์ มุ น, อาจารยส์ อนทางกมั มฏั ฐาน, บางคน
ถึงดูเหตุการณ์ และดูไปในที่ต่าง ๆ ได้, พระธรรมปาโมกข์ได้เรียกเด็กคนหน่ึงมาถามว่า
พระธรรมปาโมกขจ์ ะกลบั กรงุ เทพฯ ในบา่ ยวนั นน้ั จะไปไดห้ รอื ไม่ ? เดก็ นน้ั นง่ั หลบั ตาดแู ลว้ ตอบ
ว่า ถา้ ไดข้ น้ึ รถไฟแลว้ ก็ไมม่ ีขอ้ ขัดข้อง ถึงกรุงเทพฯ โดยสะดวก และจะไดพ้ บกับบุคคลทีม่ รี ปู ร่าง
อยา่ งนนั้ ๆ, แต่จะไม่ได้กลับ. ถาม : เพราะเหตไุ ร ? ตอบ: เพราะไม่ได้ขึ้นรถ. เด็กบอกได้เพียง
เทา่ น.้ี เมอื่ ดเู สรจ็ แลว้ มผี มู้ าหาเพอื่ สง่ นง่ั พดู กนั อยู่ มผี คู้ อยดนู าฬกิ า ถงึ เวลากข็ น้ึ รถไปถงึ สถานี
พอเขาไปถงึ หนา้ หอ้ งขายตว๋ั รถไฟก็ออก, ต้องกลบั วดั มหาธาตุอกี . พระธรรมปาโมกขป์ ระสงค์
จะสอบสวนต่อไปอีก จึงถามเด็กนั้นว่า เคยไปกรุงเทพฯ หรือไม่ ? เด็กนั้นตอบว่า ไม่เคยไป,
จึงบอกให้เด็กน้ันดูวัตถุต่าง ๆ ในวัดบวรนิเวศฯ เช่น โบสถ์ กุฏิของพระธรรมปาโมกข์เอง
และบคุ คล เปน็ ตน้ วา่ เปน็ อย่างไร. เดก็ นัน้ นงั่ หลบั ตาดูแลว้ ตอบได้ถกู ตอ้ ง, พระธรรมปาโมกข์
ถามว่า น่ังอยู่ที่นี่ มองเห็น หรือตัวไป ? ตอบ: ตัวไป. ถาม: ไปอย่างไร ? ตอบ: ต้ังใจ
อธษิ ฐานวา่ จะไปทว่ี ัดบวรนเิ วศฯ กไ็ ปถงึ .
ง. คราวหนงึ่ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ อนพุ งศจ์ กั รพรรด์ิ ไดเ้ สดจ็ มาและทรง
เล่าว่า เมอื่ ประชวรหนักคราวหน่ึง (ไมใ่ ชค่ ราวส้นิ พระชนม์) ตอ้ งมีคนคอยพยาบาล, วนั หนึ่งเม่อื
บรรทมอยู่ ได้ทรงเห็น พระยาไกรโกษาก�ำลังออกจากบ้าน ทรงรู้สึกแน่ว่าเขาจะมาเยี่ยม
จึงทรงบอกแก่ผู้พยาบาล เพื่อให้เขาจัดการรับรอง, แต่ผู้พยาบาลเฉยเสีย, ต่อมาอีก ทรงเห็น
พระยาไกรโกษาเดินมาตามทางก็ทรงบอกอีก, ผู้พยาบาลก็เฉยเสียอีก, ต่อมาอีก ทรงบอกว่า
พระยาไกรโกษามาถึงประตูบ้านแล้ว, เขาก็เฉยเสียอีก, ประเด๋ียวพระยาไกรโกษาข้ึนบันไดเดิน
มาจรงิ ๆ, ทรงเล่าวา่ เห็นจริง ๆ แตไ่ มท่ รงทราบว่าเห็นไดอ้ ยา่ งไร.

๔๔พระพรหมมนุ ี (ผิน สุวโจ)

103

๗. เรอ่ื งญาณ ๓ ของพระพทุ ธเจ้าตามพทุ ธประวัต:ิ
ตามพุทธประวัติแสดงว่า เม่ือพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ได้ทรงบรรลุญาณ ๓ คือ
๑ ปุพเพนิวาสานสุ สติญาณ ร้รู ะลึกได้ถงึ ท่อี ยู่อาศยั ในกาลกอ่ น ต้งั แตช่ าติ ๑-๒-๓-๔-๕ เปน็ ต้น
วา่ ในชาตนิ น้ั ๆ ไดม้ ชี อ่ื โคตร ผวิ พรรณ อาหาร เสวยสขุ เสวยทกุ ขอ์ ยา่ งนนั้ ๆ มอี ายเุ ทา่ นนั้ ๆ,
จุตจิ ากชาตนิ ัน้ ๆ แลว้ ได้เกดิ ในชาติโนน้ ๆ เปน็ อยา่ งนั้น ๆ จนถึงชาตินี้. ๒ จตุ ปู ปาตญาณ รูจ้ ุติ
คอื เคลอ่ื นจากภพ ๑ และอุบตั ิความเข้าถงึ คือ เกิดอกี ภพ ๑ ของสตั ว์ทง้ั หลาย ทีม่ คี วามเปน็ ไป
ตา่ ง ๆ กนั ว่า เปน็ ไปเพราะกรรมท่ตี นท�ำไว้. ๓ อาสวักขยญาณ รสู้ น้ิ อาสวะ, และพระพทุ ธเจา้
ทรงแสดงวา่ ทา่ นผไู้ ด้อภิญญากย็ อ่ มร้เู หน็ เชน่ นัน้ .
104

ปฏจิ จสมปุ บาท

ศัพทว์ ่า ปฏิจจสมุปบาท: ปฏิจจ แปลวา่ อาศยั , อปุ ปาทะ แปลวา่ เกดิ ขึน้ , สํ บวก
อปุ ปาทะ แปลว่า เกิดขน้ึ พร้อม, รวมเป็น ปฏจิ จสมุปบาท อาศัยเกิดขนึ้ พรอ้ มกนั หมายความ
ว่าอาศยั กนั คอื อาศยั ปัจจัยจงึ เกิดขน้ึ จงึ เรียกว่า ปฏิจจสมปุ บาท: เช่น สังขารเกิดเพราะอาศัย
อวชิ ชา, วิญญาณเกิดเพราะอาศัยสังขาร, นามรูปเกดิ เพราะอาศยั วญิ ญาณ เป็นลำ� ดับไป.
พระอาจารยแ์ ตป่ างกอ่ น แสดงไวต้ า่ ง ๆ กนั เชน่ ใน วภิ งั คปกรณ์ ทา่ นแสดงวา่ วญิ ญาณ ๖
คอื จักขวุ ญิ ญาณ โสตวญิ ญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวญิ ญาณ,
แตใ่ นอรรถกถา แสดงว่า ปฏิสนธวิ ิญญาณ วิญญาณที่สบื ต่อมา, นีท่ ่านเถยี งกันมาแล้ว, เพราะ
ท่านไม่แน่ว่าอย่างไรจึงจะแสดงให้เข้าใจ ท่านก็ต้องแยกออกไปเป็น อัทธา คือ กาล ๓ ได้แก่
อตตี อัทธา กาลทลี่ ่วงมาแลว้ คืออวิชชา สงั ขาร นตี่ อนหนงึ่ ; ปัจจุปนั นอัทธา ต้งั แต่วญิ ญาณไป
จนถงึ ภพ, ภพ กแ็ ยกเปน็ ๒ คอื กมั มภพ ภพคอื กรรม คอื กจิ การทส่ี ตั วท์ ำ� อยา่ งหนงึ่ อปุ ปตั ตภิ พ
ภพคอื ความเกดิ ขน้ึ หรอื ภพทเี่ กดิ ขนึ้ อกี อยา่ งหนง่ึ , ทา่ นจดั วญิ ญาณจนถงึ กมั มภพเปน็ ปจั จปุ นั นอทั ธา
คือกาลปจั จบุ ัน นตี่ อนหน่งึ ; ท่านจัดอุปปตั ติภพ และชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ
โทมนสั สะ อปุ ายาส เปน็ อนาคตอัทธา กาลอนาคต ท่านแบง่ เป็น ๓ กาลดงั นี้ เมื่อเปน็ เช่นน้ี
แลว้ อวชิ ชากบั สงั ขารกล็ ่วงมาแลว้ มแี ต่ในชาตกิ ่อน, ในปจั จุบันน้ี สตั วก์ ม็ ีตั้งแต่วิญญาณไปจน
ถงึ กมั มภพ ยงั ไมม่ อี ปุ ปตั ตภิ พ คอื ความเกดิ , ตอ่ ชาตหิ นา้ จงึ จะมอี ปุ ปตั ตภิ พ ภพคอื ความเกดิ แลว้
กม็ ีชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส.
และทา่ นแสดง สนธิ คอื หวั ตอ่ ไว้ ๓ คอื เหตอุ ดตี ไดแ้ กอ่ วชิ ชา สงั ขาร ซง่ึ ตอ่ กบั วญิ ญาณ
เปน็ ตน้ อันมปี ัจจบุ ัน นีเ้ รยี กวา่ สนธิ ๑, ในปจั จบุ ันนี้ก็มีสนธิ คอื กายอันน้ี ทม่ี วี ญิ ญาณเปน็ ตน้ จน
ถงึ กัมมภพ แบ่งเปน็ สว่ นผล มมี าจากเหตุเก่าส่วนหนึ่ง เป็นส่วนเหตุทีเ่ กดิ ข้ึนใหมอ่ นั ไดแ้ กก่ รรม
อีกส่วนหน่ึง, ผลเก่ากับท�ำเหตุใหม่นี้ต่อกัน เรียกว่าสนธิ ๑. กรรมท่ีท�ำในปัจจุบันนี้อันเรียกว่า
เหตใุ หม่ จะให้ผลต่อไปในอนาคตเปน็ อุปปัตติภพ และชาติ ชรา มรณะ เป็นตน้ น่เี ปน็ สนธิอีก
๑, จงึ มีสนธิ ๓. นีแ่ บบเกา่ ทา่ นแสดงไวเ้ ช่นน้ี

105

แต่ถ้าเป็นเช่นนี้จริงแล้ว อวิชชา สังขารเป็นอตีตอัทธาไม่ใช่ปัจจุบัน ใครจะประพฤติดี
ประพฤติชอบเทา่ ไร ก็ละไมไ่ ด้ เพราะเปน็ อดตี ลว่ งมาแลว้ , เหมอื นอยา่ งเมอื่ วานนีเ้ ราทำ� อะไรไว้
แล้ว จะมาละในวันนี้ ละไม่ได้ และปจั จปุ ันนอทั ธา คือ ต้งั แต่วญิ ญาณจนถึงกมั มภพเป็นปจั จบุ นั ,
ถ้าเชน่ นัน้ ตัง้ แตอ่ ปุ ปัตติภพ จนถงึ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั สะ อุปายาส
เปน็ อนาคตยงั ไมม่ าถงึ เมอื่ เปน็ เชน่ นใ้ี นปจั จบุ นั นใ้ี ครกล็ ะไมไ่ ด้ เพราะยงั ไมม่ าถงึ จะไปละอยา่ งไร,
เหมือนดังพรุ่งนจี้ ะมอี ะไรข้ึน เราจะละในวนั นไี้ ม่ได้ จะละไดต้ อ่ เม่ือมาถงึ เขา้ , คา้ นกันอย่เู ช่นน.้ี
และถา้ แบ่งแยกออกไปเป็น ๓ กาล, ชาตนิ ี้ เรากไ็ มม่ อี วชิ ชา สังขาร เพราะนน่ั เป็นเหตุอดตี ลว่ ง
มาแล้ว ท้งั ไมม่ ีชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อปุ ายาส เพราะเปน็ อนาคต
ยงั ไม่มาถึง.
นึกถงึ พระอรหันต์ : พระอรหนั ต์ละอวิชชา สังขารได,้ อวชิ ชา สงั ขาร เป็นอดีตหรือ ?
กจ็ ะเห็นไดว้ า่ ไมใ่ ช่อดตี ปจั จุบันน้ีแหละ ทา่ นจงึ ละได,้ และอปุ ปตั ตภิ พ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ
ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั สะ อปุ ายาส ทา่ นละเมอ่ื ไร ? ทา่ นกล็ ะในปจั จบุ นั นเี้ อง ไมใ่ ชล่ ะในอนาคต.
เมอื่ เป็นเชน่ นกี้ เ็ ห็นได้ว่า ปฏจิ จสมุปบาทไมใ่ ชแ่ บง่ เปน็ อดีต เปน็ ปัจจบุ นั เปน็ อนาคต. เปน็ อดีต
ก็อดีตทงั้ สาย, เปน็ ปจั จบุ นั ก็ปัจจบุ ันท้งั สาย, เปน็ อนาคต ก็อนาคตทง้ั สาย, เชน่ ในอดตี ทเี่ ราได้
เกดิ มาแลว้ เรากม็ ตี ง้ั ตน้ แตอ่ วชิ ชา สงั ขารไปจนถงึ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั สะ
อุปายาส. มาถึงปัจจบุ นั นี้ เราก็มีอวิชชา สงั ขาร วิญญาณ นามรูป ไปจนถึงชรา มรณะ โสกะ ปริ
เทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส ในปัจจุบันน้ีแหละ, ถ้าจะมีต่อไปในอนาคตก็มีเต็มที่ท้ังสาย
ตง้ั แตอ่ วชิ ชาไป. เพราะฉะนนั้ ในบดั นเี้ ราตอ้ งมตี งั้ ตน้ แตอ่ วชิ ชา สงั ขาร จนถงึ ชรา มรณะ โสกะ
ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนสั สะ อปุ ายาส, พระอรหนั ตล์ ะกเิ ลส กล็ ะอวชิ ชา สงั ขาร จนถงึ ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ ทกุ ขะ โทมนัสสะ อปุ ายาส ในปจั จุบนั นเี้ อง
ปฏิจจสมุปปาท ธรรมทอี่ าศัยกนั เกิดขนึ้ พร้อม แยกเปน็ ๒ คือ ปฏิโลม จบั ผลสาวข้นึ
ไปหาเหตุ ซง่ึ ในปฏจิ จสมปุ บาททา่ นเรยี กวา่ ปจั จยั คอื จบั ผลสาวขน้ึ ไปหาปจั จยั โดยลำ� ดบั , อนโุ ลม
จบั เหตุหรือปจั จัยสาวลงไปหาผลโดยล�ำดบั จึงเป็น ๒, ถ้าจะเรียกวา่ อรยิ สัจ ๒ กไ็ ด้ คอื สาย
หนึ่งทุกข์กับทุกขสมุทยั อีกสายหนงึ่ ทกุ ขนิโรธกับมรรค. ตามแบบเก่าแยกออกเปน็ ๓ กาล คือ
อวิชชา สงั ขาร เป็นอดีต ตั้งแต่วิญญาณ มาถึงภพ จัดเป็นปัจจบุ นั , ตัวภพยังแยกออกเป็น ๒ คอื
กมั มภพ ภพคอื กรรม, อปุ ปตั ติภพ ภพคอื อุปบตั ิ ความเขา้ ถงึ หรอื ความเกดิ ขนึ้ , ทา่ นแสดงวา่
ตงั้ แตว่ ญิ ญาณจนถงึ กมั มภพเปน็ ปจั จบุ นั ตง้ั แตอ่ ปุ บตั ภิ พไปเปน็ อนาคต. ถา้ เชน่ นแ้ี ลว้ อวชิ ชากบั

106

สงั ขารกล็ ว่ งมาแลว้ มมี าแตช่ าตกิ อ่ น, ตงั้ แตอ่ ปุ ปตั ตภิ พไปยงั ไมม่ มี าถงึ , เมอื่ เปน็ เชน่ น้ี ในปจั จบุ นั
น้กี ต็ อ้ งมีแต่วญิ ญาณจนถงึ กมั มภพเทา่ นน้ั , ชาติก็ไม่มี ชรา พยาธิ มรณะ กไ็ ม่มี, แต่ว่าพจิ ารณา
ดูไม่นา่ จะเปน็ เช่นนั้น เพราะอวชิ ชา สงั ขาร เปน็ อดตี พระอรหนั ตจ์ ะละส่งิ ที่เปน็ อดีตไม่ได้ ต้อง
ละได้แตท่ เี่ ป็นปัจจุบนั , สว่ นทเ่ี ป็นอนาคตก็ละไม่ได้ เพราะยังไม่มาถึง, มีพระบาลใี นภทั เทกรัตต
คาถาแสดงไวว้ า่
“อตตี ํ นานวฺ าคเมยฺย นปปฺ ฏกิ งฺเข อนาคตํ ไม่ควรตามคิดถึงอดีต ไม่ควรหวังอนาคต
ยทตีตมฺปหีนนฺตํ อปฺปตฺตญฺจ อนาคตํ (เพราะ) ส่วนที่เป็นอดีต ก็ได้ละเสียแล้ว, ส่วนท่ีเป็น
อนาคตก็ยงั ไม่มาถึง. ปจจฺ ปุ ปฺ นนฺ ญจฺ โย ธมฺม ตตถฺ ตตถฺ วปิ สฺสติ อสํหิรํ อสงกฺ ุปปฺ ํ ตํ วทิ ฺธา
มนพุ รฺ หู เย ผ้ใู ดเหน็ แจ้งธรรมทีเ่ ปน็ ปจั จุบนั ในทน่ี ั้น ๆ ในกาลนั้น ๆ ไมง่ อ่ นแง่นไมค่ ลอนแคลน,
ผ้นู น้ั ครัน้ รธู้ รรมนน้ั แลว้ กพ็ ึงเจริญเนอื ง ๆ”
เมอื่ จบั หลกั พทุ ธประวตั ิ คอื เรอื่ งของพระพทุ ธเจา้ เมอ่ื ตอนตรสั รู้ ทา่ นแสดงวา่ พระพทุ ธเจา้
จับผลสาวไปหาเหตุ คอื จบั ต้ังแต่ ชรา มรณะ ไปวา่ มีเพราะอะไร ก็สาวขน้ึ ไปหาเหตไุ ปจนถึง
อวชิ ชา ไมไ่ ดป้ รากฏวา่ ปนั เปน็ ๓ กาล คือ อดตี ปจั จบุ นั อนาคต. เพราะฉะนั้น จึงเหน็ ไดว้ า่
ที่ท่านปันปฏิจจสมปุ บาทออกเปน็ ๓ กาล ไม่สมกับพระพทุ ธประวตั ,ิ ถ้าอดีตกต็ ้องอดตี ทงั้ หมด
สาย ปัจจุบนั กต็ ลอดสาย อนาคตก็ตลอดสาย เหมือนกนั .
ทนี ถ้ี ึงปฏิจจสมปุ บาทท่ีไม่ปันเปน็ ๓ กาล, แต่ท่วี ่านี้ว่าตามทศั นะคอื ความเหน็ หรอื ตาม
มตคิ วามรู้ แตก่ ร็ เู้ พียงธรรมและอรรถคอื เน้อื ความ.
เม่ือพิจารณาดู ต้องไปจับหลักพระบาลีที่แสดงในธาตุวิภังคสูตร ว่า ฉ ธาตุโร ปุริโส
คนมธี าตุ ๖ คอื ดนิ น้�ำ ไฟ ลม อากาศ อนั รวมเขา้ เป็นรปู กาย กายที่เป็นส่วนรูปไมม่ ีความรู้
กับวิญญาณธาตุ ธาตรุ ู้ อีกสว่ น ๑ รวมเป็น ๖; ถา้ ล�ำพังแตด่ นิ น�้ำ ไฟ ลม อากาศ ไมม่ วี ญิ ญาณ
ธาตุ ธาตรุ ู้ เข้าผสมดว้ ย ก็ไม่เปน็ คน, ถา้ มแี ตว่ ิญญาณธาตุ ไม่มี ดิน นำ�้ ไฟ ลม อากาศ ที่เป็น
ทอี่ าศยั ของวญิ ญาณธาตุ ๆ กไ็ มป่ รากฏ เหมอื นไฟไมต่ ดิ เชอื้ . เพราะฉะนนั้ เราตรวจดเู ราในบดั นวี้ า่
เรามอี ะไรบา้ ง จะเหน็ ไดว้ า่ กายอนั นท้ี แี่ ยกออกเปน็ ดนิ นำ้� ไฟ ลม อากาศ สว่ น ๑ มธี าตรุ ู้ อีก
ส่วน ๑ ผสมกันอยู่, ธาตุรู้น้ันแหละออกมาทางจักษุคือตาก็มาประสบรูป ออกมาทางโสตะ
คือหู กม็ าประสบเสยี ง ออกมาทางฆานะคอื จมกู กม็ าประสบกลน่ิ ออกมาทางชิวหาคือลิ้น ก็มา
ประสบรส ออกมาทางกาย ก็มาประสบโผฏฐัพพะ ออกมาทางมนะหรอื มโน กม็ าประสบธรรม

107

คือเร่ือง ก็เกิดจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโน
วญิ ญาณ, นตี่ รวจดเู ราเองเปน็ อยเู่ ชน่ นี้ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก กบั วญิ ญาณ ๓ อยา่ ง
รวมประชุมกันเข้า กเ็ ปน็ ผสั สะ ความกระทบ, ต่อจากผัสสะกใ็ ห้เกดิ เวทนาเป็นสขุ เป็นทกุ ข์ หรือ
ไมใ่ ช่ทกุ ข์ไม่ใช่สขุ , ตรวจดเู ราเองอาจเหน็ ได้. ถา้ เปน็ อยเู่ พยี งเทา่ นี้ เราจะพูดกันไมไ่ ด้ ฟงั กันไมร่ ู้
เรอ่ื ง, เพราะขาดสัญญาความจำ� พูดไม่ตอ่ กนั ฟังไมร่ ู้เร่อื ง, ต้องมีสญั ญาความจ�ำ, เมื่อมสี ญั ญา
ความจำ� เกดิ ขนึ้ ตอ่ ไปกเ็ ปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ สงั ขาร. สงั ขาร ในทน่ี ี้ ไมม่ งุ่ สว่ นทเ่ี ปน็ บญุ คอื ดี ไมม่ งุ่ สว่ น
ท่ีเป็นบาปคือช่วั แต่มุ่งถงึ สว่ นที่เปน็ กลาง ๆ, เพราะฉะน้นั สังขารโดยปรยิ ายคอื ทางหนง่ึ ทา่ นจงึ
แสดงไว้ ๓ ได้แก่ ลมหายใจเป็น กายสังขาร คือปรุงกาย หมายความว่า กายจะเป็นอยู่ได้
ก็เพราะลมหายใจ ถา้ ไม่มลี มหายใจ กายเป็นอยูไ่ ม่ได้ ลมหายใจจงึ กลายเปน็ สงั ขาร ปรงุ กายนี่
อย่าง ๑, วิตก ตรึกนกึ วิจาร ตรอง รวมกนั เรยี กวา่ วิตกวจิ าร เปน็ วจสี ังขาร คือปรุงค�ำพดู
เพราะคนเราจะพูดอะไร ตอ้ งตรึกตอ้ งตรอง กอ่ นว่าจะพดู เร่อื งอะไร จะพูดอยา่ งไร วิตกวจิ ารจึง
เปน็ วจสี งั ขาร, เมอ่ื เปลง่ คำ� ออกมากเ็ ปน็ วจกี รรม กจิ การทที่ ำ� ทางวาจา, พจิ ารณาดไู มใ่ ชว่ ติ กวจิ าร
จะปรงุ เพยี ง วจกี รรม ยอ่ มปรงุ กายกรรม คอื กจิ การทท่ี ำ� ทางกายดว้ ย เชน่ คนจะทำ� การงานอะไร
ต้องตรึกก่อน ต้องตรองก่อน รวมกันไปแล้วจึงท�ำ, เพราะฉะนั้น วิตกวิจารก็เป็นสังขารปรุง
กายกรรมดว้ ย. นีส่ ่วน ๑, สัญญา กริ ยิ าทจี่ �ำ เวทนา กิรยิ าทเ่ี สวยสุขทุกข์ ไม่ใช่ทุกขไ์ มใ่ ช่สุข ทัง้
สองนีเ้ ป็น จติ ตสงั ขาร ปรุงแตง่ จติ , เพราะจติ ทจ่ี ะนึกคดิ อะไร ตอ้ งอาศัยสัญญากิรยิ าทีจ่ ำ� และ
อาศยั เวทนากริ ยิ าทไ่ี ดเ้ สวยแลว้ จงึ คดิ จงึ นกึ ตวั คดิ ตวั นกึ เรยี กวา่ มโน, จติ เปน็ ตน้ เดมิ , สญั ญา
เวทนา ปรุงจิต ปรงุ ออกมาเป็น มโน คอื มาเป็นตวั คดิ , มโนออกมาคดิ เร่ืองทเ่ี รียกวา่ ธรรม น่ีอีก
ส่วน ๑; เพราะฉะนั้น ลมหายใจจึงเป็นกายสังขาร ปรุงแต่งกาย, วิตกวิจารเป็นวจีสังขาร
ปรงุ แตง่ วาจาใหเ้ ปน็ วจกี รรม ตลอดถงึ ปรงุ แตง่ กายกรรม, สญั ญา เวทนาเปน็ จติ ตสงั ขาร ปรงุ แตง่ จติ ,
เพียงเท่าน้ี มีท่ัวไปหมดทั้งแก่พระอรหันต์ ทั้งแก่สามัญชน. นึกดูตามเร่ืองพระอรหันต์
มีพระพุทธเจา้ เปน็ ตน้ ก็มี ดิน น้�ำ ไฟ ลม อากาศ ท่เี ปน็ ธาตุไมร่ เู้ ปน็ ส่วนรูป มีวิญญาณธาตุ
ธาตุรู้ผสมกันอยู่ และธาตุรู้ก็ออกมาทางอายตนะ มาประสบ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
และธรรมคือเร่ือง แล้วก็เกิดเวทนา แล้วก็ถึงสัญญา แล้วก็ถึงสังขาร, สังขารในท่ีน้ีน่าจะมุ่งถึง
ความนกึ คิดของจิต เพราะสืบตอ่ จากเวทนา สัญญา, พระอรหนั ต์ก็มีเชน่ นี้ คนสามัญก็มเี ชน่ น,ี้
เพราะฉะน้นั สังขาร ๓ ดังกลา่ วมานกี้ ็ไมเ่ ปน็ บญุ คอื ปญุ ญาภิสงั ขาร, ไมเ่ ปน็ บาป คืออปุญญา
ภิสังขาร, ไม่เป็นอเนญชาภสิ ังขาร, เปน็ ไปตามเรอื่ งของสรรี ยนต์ เคร่ืองยนต์คอื สรีระ.
108

อวชิ ชาเปน็ ปัจจยั ใหเ้ กดิ สงั ขาร

ถา้ จะถามวา่ ทำ� ไมธาตรุ คู้ อื วญิ ญาณธาตุ จงึ มาผสมกบั ดนิ นำ�้ ลม ไฟ อากาศ ซงึ่ เปน็ ธาตุ
ไมร่ เู้ ลา่ ? พระบาลไี มไ่ ดแ้ สดงไว,้ แตถ่ า้ จะพจิ ารณาดสู บื เขา้ ไปกส็ นั นษิ ฐานวา่ เพราะธาตรุ ถู้ งึ เปน็ ธาตุ
รกู้ จ็ รงิ แตว่ า่ เปน็ ธาตรุ ทู้ ไ่ี มบ่ รสิ ทุ ธมิ์ กี เิ ลสเขา้ ผสม, กเิ ลสกม็ อี วชิ ชาเปน็ ตน้ อวชิ ชา กค็ อื รไู้ มถ่ กู ตาม
เปน็ จรงิ . เหมอื นดงั ทองคำ� ทองคำ� แทเ้ ปน็ ธาตบุ รสิ ทุ ธอ์ิ ยตู่ ามธรรมดา แตว่ า่ ไมบ่ รสิ ทุ ธเิ์ พราะมธี าตอุ น่ื
เขา้ มาผสม จงึ ทำ� ใหเ้ นอื้ ทองตำ่� ไป, ธาตอุ น่ื เขา้ มาผสมมาก เนอื้ ทองกต็ ำ่� มาก ธาตอุ น่ื มาผสมนอ้ ย เนอ้ื
ทองกต็ ำ่� นอ้ ย ธาตรุ กู้ เ็ หมอื นกนั ถา้ กเิ ลสมาผสมมาก ธาตรุ กู้ ร็ ตู้ ำ่� รทู้ ราม, ถา้ กเิ ลสมาผสมนอ้ ย ธาตุ
รกู้ ร็ มู้ ากรลู้ ะเอยี ดมากขน้ึ ไป.
ทา่ นผบู้ ำ� เพญ็ เพยี รใชป้ ญั ญารพู้ จิ ารณาจนเหน็ จรงิ ถงึ ทส่ี ดุ บรรลวุ ชิ ชาและวมิ ตุ ตแิ ลว้ กพ็ น้
จากปญุ ญาภสิ งั ขาร อปญุ ญาภสิ งั ขาร อเนญชาภสิ งั ขาร คงมแี ตก่ ายสงั ขาร วจสี งั ขาร จติ ตสงั ขาร อนั
เปน็ ผลของเหตเุ กา่ ซงึ่ ยงั คงเหลอื อยกู่ วา่ จะถงึ ทสี่ ดุ . ถงึ มปี ระวตั ปิ รากฏวา่ พระอรหนั ตเ์ ขา้ ฌาน นน่ั
เพยี งเปน็ การหยดุ พกั ของทา่ น แตท่ า่ นไมไ่ ดต้ ดิ ในฌานนน้ั .
สว่ นสำ� หรบั ปถุ ชุ นนนั้ เมอื่ กเิ ลสมาผสมกบั ธาตรุ ู้ กท็ ำ� ใหร้ ผู้ ดิ จากความจรงิ เปน็ อวชิ ชา ดงั
พระบาลวี า่ “ปภสสฺ รมทิ ํ ภกิ ขฺ เว จติ ตฺ ,ํ ตญจฺ โข อาคนตฺ เุ กหิ อปุ กเิ ลเสหิ อปุ กติ ฏิ ฺ ํ แปลวา่ ภกิ ษทุ งั้
หลาย, จติ นเี้ ปน็ ธรรมชาตปิ ภสั สรคอื ผดุ ผอ่ ง, แตจ่ ติ นน้ั แลเศรา้ หมองแลว้ เพราะอปุ กเิ ลสคอื เครอ่ื งเศรา้
หมองทง้ั หลายทจ่ี รมา” เมอ่ื รผู้ ดิ จากความจรงิ กค็ ดิ ดี เปน็ ปญุ ญาภสิ งั ขารบา้ ง คดิ ชว่ั เปน็ อปญุ ญาภสิ งั
ขารบา้ ง คดิ อยใู่ นอารมณเ์ ดยี ว เปน็ อเนญชาภสิ งั ขารบา้ ง. อกี สว่ น ๑ (นอกจาก กายสงั ขาร วจสี งั ขาร
จติ ตสงั ขารทแี่ สดงมาแลว้ ) มอี วชิ ชาเปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ สงั ขาร, เมอ่ื คดิ เรอื่ งทด่ี ี ทเ่ี ปน็ ปญุ ญาภสิ งั ขาร ก็
ปรงุ แตง่ จติ ใหด้ ี ภพกด็ ไี ปตาม, คดิ เรอ่ื งทช่ี วั่ เปน็ อปญุ ญาภสิ งั ขาร กป็ รงุ แตง่ จติ ใหช้ ว่ั ภพกเ็ ปน็ ภพชว่ั ไป
ตาม, คดิ อยใู่ นเรอ่ื งเดยี วทด่ี ี จนแนว่ แนม่ นั่ คงเปน็ อเนญชาภสิ งั ขาร กป็ รงุ แตง่ จติ ใหแ้ นว่ แน่ ภพกต็ งั้ มน่ั
เปน็ อเนญชภพไปตาม. แตว่ า่ ปรงุ แตง่ ภพทงั้ นนั้ ไมใ่ ชท่ ำ� ลายภพ, นอี่ วชิ ชาเปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ สงั ขาร.

สงั ขารเปน็ ปจั จยั ให้เกิดวิญญาณ สายสมทุ ัย

เมอ่ื สงั ขารเกดิ ขน้ึ วญิ ญาณ ความรสู้ กึ ทเ่ี กดิ ตอ่ เนอื่ งกนั ไป: เราตรวจดทู เ่ี รา เราคดิ อะไร ชว่ั
กต็ าม ดกี ต็ าม หรอื เราตง้ั ใจกำ� หนดอารมณใ์ หแ้ นน่ อนซงึ่ เรยี กวา่ สมถกมั มฏั ฐาน กต็ าม, ความรสู้ กึ
ซงึ่ เรยี กวา่ วญิ ญาณกเ็ กดิ ขนึ้ , ถา้ ไมม่ สี งั ขาร คอื คดิ นกึ ดนิ นำ�้ ไฟ ลม อากาศ และธาตรุ ถู้ งึ มปี ระจำ�

109

อยู่ แต่ไม่ทำ� การงานอะไร ก็สงบอย;ู่ เหมอื นดังคนนอนหลับ รา่ งกายสว่ นรูป คือ ดนิ น้�ำ ไฟ ลม
อากาศ ก็มี วญิ ญาณธาตุ ธาตุรู้ก็มี แตถ่ ึงมกี ไ็ มไ่ ดท้ �ำงาน จงึ ไม่เกิดวิญญาณความรู้สกึ , ตอ่ เม่อื
ตื่นข้ึน ธาตุไม่รู้กับธาตุรู้ที่ผสมกันท�ำงาน คือนึกคิด ก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณความรู้สึก, น่ี
สงั ขารเปน็ ปจั จยั ให้เกิดวิญญาณ.

วิญญาณเป็นปัจจัยใหเ้ กิดนามรูป
เม่ือมวี ญิ ญาณเกิดขึ้นสืบมาจากสังขาร นาม คือ เวทนา สัญญา สงั ขาร ซึง่ ตอ่ เน่ืองกบั
วิญญาณ และรูปคอื รา่ งกายท่มี ปี ระจำ� อยู่ ก็พรอ้ มกันท�ำหนา้ ท.่ี

นามรูปเปน็ ปัจจยั ให้เกดิ อายตนะ ๖
เมื่อนามรูปเตรียมพร้อมท่ีจะทำ� หน้าท่ี อายตนะท้ัง ๖ ก็ท�ำหน้าท่ีทีเดียว คือ ตา ก็มี
หนา้ ทเ่ี หน็ , หู กม็ หี นา้ ทไ่ี ดย้ นิ , จมกู กม็ หี นา้ ทไี่ ดก้ ลน่ิ , ลน้ิ กม็ หี นา้ ทล่ี ม้ิ , กาย กม็ หี นา้ ทถ่ี กู ตอ้ ง,
มนะ กม็ หี น้าท่นี ึกคิดประกอบกันไป, น่นี ามรปู เปน็ ปจั จยั ให้เกดิ อายตนะ ๖.

อายตนะ ๖ เปน็ ปัจจัยให้เกดิ ผสั สะ
เมื่อนามรูปเตรยี มพรอ้ มเป็นปจั จัยให้เกดิ อายตนะภายใน ๖ ตอ่ กับอายตนะภายนอก ๖
ดงั นี้ กเ็ ป็นปัจจัยให้เกิด ผสั สะ คือความกระทบ หรือ สัมผสั สะ ความกระทบพรอ้ ม

ผสั สะเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดเวทนา
เมอ่ื ผสั สะเกดิ ขนึ้ กเ็ ปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ เวทนา สขุ บา้ ง ทกุ ขบ์ า้ ง ไมใ่ ชท่ กุ ขไ์ มใ่ ชส่ ขุ บา้ ง, เชน่
น้ีเกิดแก่พระอรหันต์ก็ได้ เกิดแก่ปุถุชนก็ได้ แต่ท่ีเกิดแก่พระอรหันต์ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา
เพราะสืบเนื่องมาจากวิชชา จงึ เปน็ เรอ่ื งของสรีรยนต์เทา่ นนั้ .

เวทนาเปน็ ปจั จัยใหเ้ กิดตณั หา
แตว่ า่ ในปฏจิ จสมปุ บาทนที้ า่ นแสดงวา่ เวทนาเปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ ตณั หา เพราะสบื เนอ่ื งมาจาก
อวชิ ชา จงึ หมายถงึ เวทนาทเ่ี กดิ แกป่ ถุ ชุ น, ถา้ สขุ เวทนาเกดิ ขน้ึ กต็ อ้ งการได,้ ทกุ ขเวทนาเกดิ ขนึ้ กต็ อ้ งการ
เสยี , ไมใ่ ชท่ กุ ขไ์ มใ่ ชส่ ขุ เกดิ ขนึ้ กห็ ลงไมร่ ตู้ ามเปน็ จรงิ จงึ เกดิ ความรำ� คาญ, เวทนาจงึ เปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ ตณั หา.

110

ตณั หาเป็นปัจจยั ให้เกดิ อุปาทาน
เม่อื ตณั หาเกดิ ขึ้นแล้ว ตณั หาไมใ่ ช่เกิดคงทอี่ ยูเ่ สมอ; เกิดข้ึนช่ัวขณะแลว้ ก็ดบั แตไ่ ม่ดับ
สูญไปหมดทเี ดียว เพราะมี อุปาทาน ความยดึ ถือต่อเนือ่ งจากตณั หา, เพราะฉะน้นั ท่านจึงวา่
เวทนาเป็นปจั จัยให้เกิดตัณหา ตณั หาเป็นปจั จัยใหเ้ กดิ อุปาทานความยดึ ถือ.

อปุ าทานเปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ ภพ
เพราะยึดถอื นั้นแหละจึงเกดิ ภพ คอื ตวั เป็น หรือ ความเป็น, ยึดถอื อยา่ งไร ภพคือตวั
เป็นหรอื ความเป็น กเ็ ปน็ อย่างน้นั , เหมือนเช่นมือเรามีอยู่ แตเ่ ราไม่ยึดอะไร ก็เปน็ มืออยูเ่ ฉย ๆ
ไมต่ ดิ กบั อะไร, แตถ่ า้ เราไปยดึ ส่ิงใดเขา้ ความตดิ กับสิ่งนั้นกเ็ กดิ มีข้ึน. เพราะฉะน้ัน อปุ าทาน จึง
เป็นปจั จยั ให้เกิดภพ, ภพก็คือตวั เป็นหรอื ความเปน็ เปน็ ไปตามอปุ าทาน คอื ความยดึ ถอื , ท่าน
แสดงไว้วา่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ.

ภพเปน็ ปัจจัยใหเ้ กดิ ชาติ
เมอื่ เปน็ เช่นนั้นแล้ว ต่อไปภพก็เป็นปัจจยั ให้เกดิ ชาติ คอื เกิด เป็นโนน่ เปน็ น่ี เป็นนนั่
เชน่ เปน็ คนชาตนิ ี้ ชาตนิ น้ั เปน็ ชาย เปน็ หญงิ เปน็ เศรษฐี เปน็ คนจน เปน็ ตน้ เปน็ ไปตา่ ง ๆ, ทเี่ ปน็ โนน่
เปน็ นี่ เปน็ นั้นตา่ ง ๆ กเ็ พราะภพ คือ ตัวเป็น คือเป็นตวั เป็นเรามาก่อน จงึ จะเป็นนนั่ เปน็ นี่
เปน็ ตวั เปน็ เรา กเ็ พราะยดึ ถอื . นภี่ พเป็นปจั จัยให้เกดิ ชาติ, เม่อื พจิ ารณาดนู า่ จะเหน็ วา่ ชาตกิ ็คอื
องคอ์ ันหนึ่งของภพ.

ชาตเิ ป็นปจั จัยใหเ้ กิดชรา มรณะ ฯลฯ
เมื่อมชี าติเป็นอะไรข้ึนแลว้ ชรา มรณะ กเ็ กิดมสี ืบต่อ, เพราะฉะนัน้ ชาตจิ ึงเป็นปจั จยั
ใหเ้ กิด ชรา มรณะ, และเกิด โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกขะ โทมนสั สะ อปุ ายาสะ ด้วย. น่เี ป็นสาย
สมุทยั คือ สายเกดิ .
เมอ่ื ทา่ นผบู้ �ำเพญ็ เพยี ร ไดบ้ ำ� เพ็ญเพยี รไปจนเหน็ แจง้ รจู้ กั อวชิ ชา ตามเป็นจริง อวิชชา
กด็ บั , วชิ ชาทตี่ รงกนั ขา้ มกเ็ กดิ เหมอื นดงั มดื กบั สวา่ ง: อวชิ ชาเหมอื นมดื วชิ ชาเหมอื นสวา่ ง, เมอื่
วชิ ชาเกิดขึ้น กก็ �ำจัดอวิชชาคอื มดื ให้ดบั ไป, เม่อื ดับอวชิ ชาเพราะร้เู หน็ ตามเป็นจริง แลว้ ทีน้ี เหน็
อะไรกร็ ตู้ ามเปน็ จรงิ หมด ไมต่ อ้ งนกึ ตอ้ งคดิ ทเ่ี ปน็ สงั ขารอนั ปรงุ แตง่ ภพชาตติ อ่ ไป เพราะเหน็ ตาม

111

เปน็ จรงิ ก็ดบั สังขาร, เมอื่ ดบั สงั ขารกด็ บั วญิ ญาณอนั สืบมาจากอวิชชา, เมอื่ ดบั วญิ ญาณกด็ บั นาม
รปู เป็นลำ� ดับไป จนถึงดบั ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนัสสะ อปุ ายาสะ, นี่
เปน็ สายนิโรธ คอื ความดบั .
ปฏจิ จสมปุ บาท ทา่ นแสดงสายสมทุ ัย คือ ทกุ ข์กบั สมทุ ัยสาย ๑. สายนิโรธ คือ นิโรธ
กบั มรรคอกี สาย ๑ เป็นค่กู ัน. ถ้าดบั สายสมทุ ยั ก็ต้องดับอวิชชาเป็นต้นเพราะวชิ ชาเกดิ ขน้ึ และ
กด็ บั ตอ่ กนั ไปโดยลาํ ดบั , แตว่ า่ ธาตไุ มร่ กู้ บั ธาตรุ ทู้ ร่ี วมกนั และอายตนะ ๖ วญิ ญาณ ผสั สะ เวทนา
และสังขาร คือ กายสังขาร วจีสงั ขาร จิตตสงั ขาร ยงั คงมอี ยู่กวา่ จะถึงท่ีสดุ เพราะสืบเนือ่ งมาแต่
กรรมเกา่ , เพราะฉะนน้ั พระอรหนั ต์ดบั อวชิ ชา เพราะวชิ ชาเกิดข้ึน แต่กย็ งั เป็นอยู่ ไปบิณฑบาต
กไ็ ด้ ถ่ายอจุ จาระปสั สาวะกไ็ ด้ ร่างกายเจ็บก็ได้, เพราะน่นั เปน็ เรือ่ งของสรีรยนต์ ไม่ใชบ่ ญุ ไมใ่ ช่
บาป. แตส่ ่วนคนสามญั เพราะอวชิ ชาเป็นตน้ เดมิ มีอยู่ จงึ เป็นปจั จัยให้เกิดสงั ขารปรงุ แต่ง, ปรงุ
แตง่ ก็ปรงุ แต่งชัว่ บา้ งดบี ้าง ปรงุ แตง่ อเนชญะบ้าง แลว้ ก็เกิดภพ น่วี ่าข้ามไปทีเดยี ว, ถ้าไม่ขา้ มก็
เกิดสงั ขารเกิดวญิ ญาณ แลว้ กเ็ กดิ นามรูป ดงั ทีแ่ สดงมาแลว้ น่ีเปน็ สายสมทุ ยั . ว่าถงึ สายนโิ รธซำ�้
อีกกค็ ือ ทา่ นผู้รตู้ ามเป็นจรงิ ดบั อวชิ ชาได้ วิชชาเกิดข้ึน ดงั พระบาลวี ่า อวชิ ชฺ า วหิ ตา อวชิ ชาทา่ น
กำ� จดั เสยี ได,้ วชิ ชฺ า อปุ ปฺ นนฺ า วชิ ชาเกดิ ขน้ึ , ตโม วหิ โต มดื ทา่ นกำ� จดั เสยี ได,้ อาโลโก อปุ ปฺ นโฺ น
แสงสวา่ งเกดิ ขนึ้ , นเ่ี ปน็ สายนโิ รธ. ถา้ ยงั ดบั อวชิ ชาไมไ่ ด้ กเ็ ดนิ สายสมทุ ยั กองทกุ ขท์ งั้ ปวงกเ็ กดิ อยู่
เสมอ, ตอ่ เมอ่ื ดบั อวชิ ชาได้ กองทกุ ขท์ งั้ ปวงกด็ บั , สว่ นสรรี ยนตก์ เ็ ดนิ ไปตามเรอื่ ง กวา่ จะถงึ ทส่ี ดุ
แตว่ า่ เปน็ เรอ่ื งของสรรี ยนต์ ไมเ่ ปน็ บาป ไมเ่ ปน็ บญุ ไมเ่ ปน็ อเนญชะ แตเ่ ปน็ ทกุ ขสจั .

112

113

สรรนิพนธ์ ว่าด้วย

๏ เรื่องศาสนา ๏

114


Click to View FlipBook Version