The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ชีวประวัติพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญญาคโม) แต่งโดย ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ และจักรกฤษณ์ มณีวรรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by panyabalo, 2021-07-18 11:45:54

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม

สรรนิพนธ์ ว่าด้วยเรื่องคน ศาสนา คติธรรม และโลกกับธรรม พระนิพนธ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ชีวประวัติพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญญาคโม) แต่งโดย ดร.ศรัณย์ มะกรูดอินทร์ และจักรกฤษณ์ มณีวรรณ์

Keywords: สรรนิพนธ์,คน,ศาสนา,คติธรรม,โลกกับธรรม,ชีวประวัติ,พระธรรมมงคลวุฒาจารย์,บุญยนต์ ปุญญาคโม,พระเทพสารเวที

เพราะคนไม่ดตู วั จงึ มืดมวั ไมร่ ู้
เหมอื นหลับตาคุดคู้ มงุ่ หน้าหาฝนั .
ถึงฝันกนั เหมือนกัน กค็ วรหันนกึ บา้ ง
พทุ ธศาสน์ท่ีพระอา้ ง ตรสั ใหฟ้ ังจำ� .
ความรู้น้ัน กต็ า่ ง ๆ กัน: ในชน้ั ตน้ รู้จ�ำ รู้ต้ังชือ่ และรู้ตามเรอ่ื ง เป็นสว่ นปริยัติ, รู้ทัน
กิเลสท่ีเกดิ ข้นึ และสงบเสยี ได้ ไม่ใหฟ้ ุง้ ซ่านไป เป็นปฏิบตั ิ, รู้ท่วั รู้ถึง ร้รู อบ จนกำ� จดั กิเลสเสีย
ไดข้ าด ไมเ่ กิดขึน้ อีกได้ ตามช้ันของความรู้ เป็นสว่ นปฏิเวธ.

(ขันธโลกวิจาร)
ไม่รู้เลย อาจใหร้ ปู้ ริยัตไิ ด้ ดว้ ยตง้ั ใจเรียน, รู้เพยี งปรยิ ตั ิ อาจให้รถู้ ึงปฏิบัตไิ ด้ ด้วยมีสติ
ต้ังใจปฏิบตั ติ ามปรยิ ัติ, ร้เู พียงปฏิบัติ อาจให้รูถ้ งึ ปฏเิ วธได้ ด้วยตัง้ ใจปฏบิ ตั อิ บรมทำ� ให้มาก ให้
บอ่ ย ๆ เข้า ให้มีกำ� ลงั ยง่ิ ขน้ึ ๆ.

(ขนั ธโลกวิจาร)
เจตนาความคดิ ทม่ี ่งุ และท�ำดีเช่นนนั้ เปน็ บุญ เพราะก�ำจดั ความช่ัว (คือบาป), เป็นกศุ ล
เพราะเปน็ กจิ ของคนดหี รอื คนฉลาดดี (ไม่ใช่ฉลาดโกง), เป็นสจุ รติ เพราะเป็นความประพฤตดิ ี
(ตรงกนั ขา้ มกบั ทจุ ริต ประพฤติชัว่ ), คอื คดิ ถูกทำ� ถกู พูดถูกเปน็ ความดี ดังน้ี

(ธมั มาธัมมวิบาก)
คิดถูกและท�ำถูกพูดถูกน้ัน จะมีได้ก็เพราะรู้ถูก, รู้ถูกจะเกิดข้ึน เพราะฟังถูกหรือเรียน
เป็นเบือ้ งต้น แล้วพิจารณาสาวเหตสุ าวผลและทำ� ใหเ้ ป็นขึ้น, ใครพยายามทำ� อยา่ งมากกไ็ ดค้ วาม
รอู้ ย่างนน้ั มาก.

(ธมั มาธมั มวิบาก)
ถ้าบุคคลไม่ปฏิบัติด้วยดี ไม่มีหิริและโอตตัปปะในใจ กลับอาศัยกายประพฤติเหตุท่ีช่ัว
แมไ้ มม่ คี นอื่นรู้ กท็ ำ� ภพคือความเป็นของตนใหเ้ ป็นภพชั่ว ยงิ่ และหย่อนแลว้ แต่เหตทุ ่ีได้ทำ� ควร
ได้ช่อื ว่าเป็นอันธพาล.

(ธัมมจริยา)
165

ถา้ มผี ไู้ มอ่ าศัยกายทำ� เหตุท่ชี ัว่ แต่ปล่อยใหช้ ีวิตของกายล่วงไปเสียเปล่า ไมท่ ำ� เหตทุ ่ดี ี ก็
ไม่ทำ� ภพให้ดขี ึ้นได้ แตก่ ็ยงั ดกี วา่ อาศยั กาย ทำ� เหตุท่ีชวั่ ทราม ควรไดช้ ือ่ ว่าพาล.

(ธัมมจรยิ า)
สว่ นผูท้ มี่ ีปัญญา ถ้าตัง้ ใจศึกษา ต้ังใจพจิ ารณา รจู้ กั ความจริงทั้ง ๔ สถาน และได้ต้งั ใจ
ปฏิบตั ิตาม คือละเหตทุ ีช่ ว่ั ท�ำเหตทุ ด่ี ใี ห้เกดิ ข้ึน แม้ไม่มใี ครรู้ ก็ท�ำภพของตนใหเ้ ปน็ ภพท่ีดี ย่ิง
และหยอ่ นแล้วแตเ่ หตุทไี่ ด้ท�ำ ควรไดช้ ่อื ว่า บณั ฑิต.

(ธมั มจรยิ า)
อยา่ เชือ่ ตนเองวา่ ท�ำถูกหมดจนเกนิ ไป เพราะอาจกลายเป็นท�ำผิดก็ได,้ เพราะฉะนน้ั ถ้า
มีผคู้ วรหารอื จงหารอื กนั ดูใหเ้ หน็ ด้วยพรอ้ มกนั หรือโดยมากกอ่ น จึงทำ� ไป.

(คำ� ตกั เตือนดว้ ยหวังด)ี
เมอื่ ฝา่ ยผปู้ กครองประพฤตดิ เี อง เปน็ เครอื่ งนำ� ประชาชนดว้ ยทำ� การปกครองใหป้ ระชาชน
ไดร้ บั การปกครองทดี่ ดี ว้ ย และฝา่ ยผอู้ ยใู่ นปกครอง กย็ นิ ดยี อมรบั การปกครองโดยธรรมดว้ ย ทง้ั
๒ ฝา่ ยยอ่ มอยูด่ ้วยกนั เป็นสุข และรัฐก็เจริญ.

(พระโอวาทแกย่ ทุ ธโกษ)
ความเห็นน้ันที่เป็นส่วนเฉพาะตน ย่อมมีต่าง ๆ กัน แต่ที่เป็นส่วนใหญ่เป็นหลักเป็น
ประธาน ควรทำ� ใหเ้ สมอกนั และควรเลอื กแต่ที่เปน็ สว่ นดีชอบ.

(พระโอวาทแกย่ ทุ ธโกษ)
จริงตามสมมติ ไมแ่ นน่ อน แต่กต็ อ้ งรไู้ ว้ เพอ่ื สะดวกแกก่ ารเป็นไปในโลก และเพอ่ื ช่วย
ในการแสวงหาความจรงิ ตามธรรม.

(ศาสนาโดยประสงค)์
คนทีเ่ ห็นว่ามารดาบดิ าไมม่ คี ณุ แกต่ น และไม่ร้จู กั บุญคณุ ทา่ นผมู้ ีบุญคุณแก่ตน ไม่ต้งั ใจ
สนองบุญคุณท่านในทางที่ชอบตามสมควร ก็เท่ากบั ยอมตนลงไปเสมอกบั ดิรจั ฉาน.

(ศาสนาโดยประสงค์)
166

ตนเองท�ำให้ถูกใจตนเองไม่ได้ จะไปหวังให้คนอ่ืนท�ำให้ถูกใจตนเองแทนน้ัน จะเป็นการ
ยากสักเพียงไร, ตนเองยงั ท�ำให้ถูกใจตนเองไมไ่ ด้แล้ว ใครเลา่ จะทำ� ใหถ้ ูกใจตนเองไดด้ กี วา่ .

(ศาสนาโดยประสงค)์
การฝนั ในเวลาหลบั นนั้ ไมส่ สู้ ำ� คญั เพราะไมน่ านและไมถ่ งึ กบั จะทำ� รา้ ยผอู้ นื่ ไดม้ าก, สว่ น
การฝันตนื่ นน่ั แลส�ำคัญนัก เพราะเปน็ ไปนานมาก อาจไมร่ ู้จักตน่ื ตลอดชีวติ และอาจทำ� รา้ ยแก่
ผอู้ น่ื ไดม้ ากมาย.

(ศาสนาโดยประสงค)์
บางทา่ นกลา่ ววา่ ความตน่ื ของชวี ติ กค็ อื ทส่ี ดุ ของชวี ติ หรอื ทสี่ ดุ ของชวี ติ กค็ อื ความตนื่ ของ
ชวี ติ , แต่ขา้ พเจา้ อยากจะกล่าววา่ ถงึ ที่สุดของชวี ิตอาจไม่เป็นความตนื่ ของชีวิตก็ได้ ผู้หวงั จะเปน็
ใหญเ่ ป็นโตในโลกมากบ้างนอ้ ยบา้ ง ก็เพราะฝันตนื่ ๆ น่นั เอง.

(ศาสนาโดยประสงค์)
ศาสนา แมไ้ มใ่ ชก่ ารอาชีพโดยตรง แต่ศาสนาที่ดี ยอ่ มเปน็ อุปการะการอาชีพใหด้ ำ� เนนิ
ไปในทางท่ีดี และท�ำคนให้เป็นคนดีวางใจกันได้เป็นต้น, คนที่ไม่มีศาสนา ยากท่ีจะวางใจกันได้
เพราะไมม่ ีหลกั ในใจเสียเลย.

(ศาสนาโดยประสงค์)
ทกุ คนผู้หวังความเจรญิ จึงมคี วามสามัคคีกันโดยธรรม และพึงประพฤติดีเฉพาะตนดว้ ย
ประพฤติดีต่อกันตามหน้าที่ด้วย ท้ังฝา่ ยผูป้ กครองท้ังฝา่ ยผอู้ ยูใ่ นปกครอง.

(พระโอวาทแกย่ ทุ ธโกษ)
ใคร่จะรวู้ า่ พระพทุ ธศาสนาดอี ยา่ งไร กต็ ้องศึกษา และจะรูว้ า่ มปี ระโยชนอ์ ย่างไร กต็ ้อง
ใชค้ อื ปฏิบตั ิดีตามสมควร; เหมือนดงั ต้องการร้ศู ิลปะอะไร กต็ อ้ งศึกษา, ต้องการทรัพย์ ก็ตอ้ ง
แสวงหา, จะรู้ประโยชน์ ก็ต้องใชต้ ามสมควร.

(พระพทุ ธศาสนา)
ผู้ปฏิบัติดี ไม่ใช่ดีตามเขาว่า ไม่ใช่ดีตามที่ตนคิดเห็นเอาเอง ต้องดีตามคลองธรรม
อยา่ งต�ำ่ กป็ ฏบิ ัติไมเ่ บยี ดเบยี นตนเอง คอื ไม่ท�ำตนเอง ใหเ้ ปน็ คนชวั่ ไมเ่ บยี ดเบยี นผู้อนื่ คือไม่ทำ�
คนอืน่ ให้เดือดร้อน.

(พระพทุ ธศาสนา)

167

ความดแี ละความชวั่ เปน็ คกู่ นั มปี ระจำ� อยู่ ใครทำ� อยา่ งไรเทา่ ไร กไ็ ดอ้ ยา่ งนน้ั เทา่ นน้ั ความ
ดคี วามชวั่ ไมร่ จู้ กั หมด ชงิ กนั ไมไ่ ด้ ใหก้ นั ไมไ่ ด้ นอกจากบอกอบุ ายใหผ้ ตู้ อ้ งการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง.

(พระพุทธศาสนา)
ในหมูค่ นทีอ่ ยดู่ ้วยกัน เมอื่ มีผคู้ ดิ ช่ัว ทำ� ช่วั พดู ช่ัว ข้ึนในหมู่ ย่อมทำ� หมู่ให้เดอื ดร้อน, แต่
ถา้ บุคคลคิดดี ท�ำดี พดู ดี บคุ คลน้ันก็เปน็ คนดี สุขกเ็ ป็นไปตามบคุ คลนน้ั , ไมใ่ ช่แตจ่ �ำเพาะเป็น
ไปตามบคุ คลนน้ั สว่ นเดยี ว ยอ่ มแผไ่ ปถงึ บคุ คลผอู้ นื่ ทอ่ี ยดู่ ว้ ยกนั ดว้ ย, ยง่ิ บคุ คลผนู้ น้ั เปน็ ผปู้ กครอง
หมู่ ถ้าคดิ ดี พดู ดี ทำ� ดี สขุ กม็ ีแก่ทุกคนทอ่ี ยูใ่ นปกครองดว้ ยกนั .

(วชริ ญาณวงศเทศนา)
บคุ คลจะคดิ ชวั่ พดู ชวั่ ทำ� ชวั่ หรอื จะคดิ ดี ทำ� ดี พดู ดี กต็ อ้ งอาศยั ความร:ู้ ถา้ ความรชู้ วั่ รผู้ ดิ
กเ็ ปน็ เหตใุ หบ้ คุ คลคดิ ชว่ั ทำ� ชว่ั พดู ชว่ั , ถา้ ความรดู้ ี รถู้ กู กเ็ ปน็ เหตใุ หบ้ คุ คลคดิ ดี ทำ� ดี พดู ด.ี

(วชิรญาณวงศเทศนา)
ความรถู้ ูกรู้ตรง เปน็ ปัจจยั แหง่ บารม,ี ความรู้ผดิ รูพ้ ลาด เป็นปัจจัยแห่งอาสวะ.

(วชริ ญาณวงศเทศนา)
ความสามัคคขี องหม่จู ะเป็นได้ยดื ยาว ก็เพราะคนในหม่ตู ่างประพฤตธิ รรมเปน็ หลกั ถ้า
ปราศจากธรรมเปน็ เคร่ืองควบคุมเสียแลว้ สามัคคกี เ็ ป็นไปไมไ่ ด.้

(วชิรญาณวงศเทศนา)
รูปงามยามแน่งน้อย สมบูรณ์
สมภพเน่ือง ณ สกูล ใหญก่ วา้ ง
ผิวสรรพพทิ ยาสูญ เส่ือมไป่ งามเลย
ดจุ ดอกทองกวาวร้าง กลิ้นสี้สีสลวย.
การแผไ่ มตรีจิตใหเ้ ขาเปน็ สุข ได้ชอื่ ว่าเมตตา เป็นเครอื่ งป้องกนั และจ�ำกดั พยาบาท.

(วชิรญาณวงศเทศนา)
168

อนั สามคั คี ความพรอ้ มเพรยี งกนั ในภายในนน้ั เปน็ กำ� ลงั ยงิ่ ใหญข่ องประชมุ ชนทกุ หมเู่ หลา่ .
(วชริ ญาณวงศเทศนา)

ความพร้อมเพรียงช่วยกันท�ำของหมู่น้ัน ๆ ก็ต้องเป็นไปเหมาะคือเหมาะแก่คราวเวลา
เหมาะแก่ถ่นิ ประเทศ เหมาะแก่บคุ คล จงึ จะไดผ้ ลดี.

(วชริ ญาณวงศเทศนา)

ทรัพย์ ควรหมายถึงส่ิงของที่จะให้ส�ำเร็จประโยชน์และความสุขส�ำหรับการน้ีและในโลก
น้ี คือ ปัจจัยอนั เป็นเคร่ืองอุดหนุนภายนอกอย่าง ๑, คณุ ความดีอันเป็นปจั จัยอดุ หนนุ ในภายใน
ใหเ้ กดิ ความสงบสขุ ทัง้ ส�ำหรบั ตนทงั้ ส�ำหรับหมู่ในโลกนี้ และเพอ่ื ประโยชน์ตนในโลกภายหน้าอกี
อย่าง ๑.

(วชิรญาณวงศเทศนา)

กศุ ลและอกศุ ลน้ี เป็นของคูก่ ัน เปน็ อยตู่ ามธรรมดา เป็นไปอยสู่ �ำหรบั บุคคลทุก ๆ คน
ไมใ่ ชแ่ ปลกจากกัน แตว่ ่าเมอ่ื ไมพ่ จิ ารณาดกู ไ็ มร่ ู้ ตอ่ พิจารณาดจู งึ รู้

(วชริ ญาณวงศเทศนา)

ความสขุ เกดิ แตส่ ามคั คี สามคั คเี กดิ แตย่ ตุ ธิ รรม ยตุ ธิ รรมเกดิ แตค่ วามเปน็ ผมู้ สี ตริ อบคอบ
คอยตรวจตราความประพฤติของตนท่เี ปน็ ไปอยู่เสมอ ๆ และแกไ้ ขความประพฤตทิ ี่ไม่สมควรให้
กลับสมควร.

(ธรรมดาปรารมภ์)

กนิ นอนกลวั กบั ท้ัง กจิ คน ค่เู ฮย
ของสตั ว์ของคนยล เยย่ี งพอ้ ง
ธรรมแลแลเทดิ นรชน ให้ยิ่ง สัตว์นา
เส่อื มจากธรรมคงต้อง แมน่ แม้นสตั วมวล.

การมุ่งฝกึ เพยี งทำ� กิจท่ปี ระสงคใ์ ห้สำ� เร็จเทา่ นนั้ ไมม่ งุ่ ฝึกใหร้ ดู้ หี รือชว่ั ผิดหรอื ถูก จึงจัด
เป็นคดีโลก, ถ้าเปน็ กันอยู่เช่นนี้ โลกจะเปน็ สขุ ไดอ้ ยา่ งไร.

(คนกับธรรม)

169

ผู้มุ่งธรรม จึงสมควรศึกษาธรรมใหร้ ู้ธรรม ควรพิจารณาธรรม ใหร้ ู้อรรถ และควรปฏิบตั ิ
ธรรมให้เปน็ ธรรมานุธรรมปฏิบัติ ปฏิบัตธิ รรมสมควรแก่ธรรม.

(กระทูธ้ รรม)
พระพุทธศาสนาดูเหมอื นไม่ปฏเิ สธผู้สร้าง แตต่ ่างจากศาสนาอืน่ ก็คือ ในที่สดุ ใหก้ ำ� จัด
ผูส้ ร้าง ไม่ใช่ให้ออ้ นวอน เพราะผสู้ รา้ งถงึ จะสร้างอย่างไร กไ็ มพ่ น้ ทุกขค์ อื แก่ เจบ็ ตาย.

(กระทูธ้ รรม)
คนที่ไม่รักตนและไม่คิดท�ำประโยชน์แก่ตน ในเวลาท่ีเขาเองยังมีความรักและความ
ตอ้ งการบริบูรณอ์ ยู่ แลว้ จะใหไ้ ว้ใจเขาไดห้ รือว่า เขาจะไมป่ ระทุษรา้ ยเรา, เพราะตัวเขาเอง เขา
ยงั ไมร่ ักและไม่ทำ� ประโยชน์ให้แล้ว เขาจะมนี ำ้� ใจรักและทำ� ประโยชน์ให้แกผ่ อู้ ่นื อย่างไรได.้

(ธรรมดาปรารมภ์)
ปถุ ชุ น ยอ่ มมผี ดิ และถูกดว้ ยกันทั่วหนา้ แตว่ ่าบางคนมผี ดิ มากถูกนอ้ ย บางคนมีถูกมาก
ผดิ นอ้ ย, ใครจะประมาทหมน่ิ ถอื ใจเสยี วา่ ตนทำ� อะไรไมผ่ ดิ เลย หรอื ไมค่ อ่ ยผดิ ไมส่ มควร, เพราะ
บางทีเขาจะกลบั เปน็ ผทู้ �ำผดิ มากกว่าถกู ไปกไ็ ด.้

(ธรรมดาปรารมภ์)
ความวิวาทบาดหมางแตกร้าวจากผู้อ่ืนนั้น มีในคนใดมากเพียงไร คนน้ันก็ได้ชื่อว่าท�ำ
ประโยชน์และสุขของตัวให้เส่ือมเสียไปเพียงน้ัน, เพราะว่าเมื่อมีกิจธุระอันใดที่จะต้องอาศัยการ
ชว่ ยจากผู้อน่ื กจ็ ะหาผอู้ ื่นชว่ ยไดย้ าก จะไมม่ ใี ครมาเกย่ี วขอ้ งด้วย.

(ธรรมดาปรารมภ)์
ผทู้ ผี่ กู ใจเจบ็ คดิ ปองรา้ ยเขา กจ็ ะมใี จขนุ่ มวั ไมเ่ ปน็ สขุ และทำ� เวลาของชวี ติ ใหเ้ ปลอื งไปใน
การทมี่ ัวคดิ หาอบุ ายจะท�ำรา้ ยเขา ซ่ึงถา้ จะเอาไปใช้ในการอ่นื ๆ จะมปี ระโยชน์กวา่ , ถ้าทำ� รา้ ย
เขาได้กจ็ ะต้องไดร้ ับโทษ หรอื หวาดกลวั ไปว่าจะเป็นเช่นนน้ั ท้ังจะเปน็ อันกอ่ เวรภัยไม่รจู้ ักจบ.

(ธรรมดาปรารมภ)์

170

เมอ่ื ไมม่ สี ตแิ ละไมม่ หี ริ โิ อตตปั ปะแลว้ กไ็ มม่ ยี ตุ ธิ รรม, เมอ่ื ไมม่ ยี ตุ ธิ รรมแลว้ กไ็ มส่ ามารถ
จะรกั ษาความสามคั คใี หเ้ ปน็ ไปได้ โดยทสี่ ดุ แมใ้ นครอบครวั ทต่ี นปกครองเทา่ นนั้ ไมต่ อ้ งปว่ ยกลา่ ว
ถึงการปกครองหม่คู ณะท่ีมาก ๆ คนออกไป.

(ธรรมดาปรารมภ)์
ทุก ๆ คนต่างปรารถนาใหช้ วี ิตของตน และของผทู้ ีห่ วังดีตอ่ กนั ดำ� เนนิ ไปโดยสวัสดีมีสุข
แตค่ วามสวสั ดแี ละความสขุ นน้ั มใิ ชเ่ กดิ เพราะความหวงั เทา่ นน้ั แตเ่ กดิ จากเหตุ คอื การปฏบิ ตั ดิ ี
อนั ตรงกนั ขา้ มกบั การปฏบิ ตั ชิ วั่ ทง้ั สว่ นตวั เองทงั้ สว่ นรวม. ความดเี ปน็ อรยิ ทรพั ยห์ รอื อนคุ ามกิ ทรพั ย์
เพราะฉะนัน้ ผูท้ จี่ ะหวังความสขุ จงึ ควรพจิ ารณาใหร้ ทู้ ้ังเหตุของความสุข ท้งั เหตขุ องความทุกข์
แลว้ ต้งั ใจเว้นเหตขุ องความทุกข์ ปฏิบัตใิ นเหตขุ องความสขุ กย็ อ่ มจกั ไดส้ ุขตามสมควร.

(พระโอวาทวันข้ึนปใี หม)่
พงึ เห็นโลกเชน่ ด้วย ฟองชล
ถาดุจพยบั แดดดล ดง่ั นั้น
ผูเ้ พง่ โลกจนยล อย่อู ย่าง น้นี อ
มัจจจุ ักดน้ ดัน้ พบได้ไฉนหนา.
คนเป็นสุคโต ไม่เป็นทุคโต ถึงไม่แสดงตนว่านับถือพระพุทธศาสนา ก็เป็นผู้นับถือ
พระพุทธศาสนาเพราะความประพฤติ.

(คตทิ างเดินสอง)
บคุ คลผฟู้ งั ควรมปี ญั ญาพจิ ารณาถอ้ ยคำ� ทฟ่ี งั นนั้ ๆ วา่ มเี หตผุ ลควรเชอ่ื ถอื หรอื ไม่ เพยี งไร
คร้นั แลว้ เลอื กเชอื่ ถือแต่คำ� ท่ีควรเชือ่ ถือเท่านัน้ ไม่ควรขาดปญั ญาพจิ ารณาเชน่ สตั วด์ ิรจั ฉาน.

(มหิฬามุขชาดกเทศนา)
ผเู้ ชอ่ื งา่ ยขาดปญั ญาใครค่ รวญ เรยี กกนั วา่ คนหเู บา, ถา้ เชอ่ื ถอื ในทางทด่ี ี กพ็ อเปน็ ไปได้ แต่
ไมม่ หี ลกั , แตถ่ า้ เชอื่ ถอื ในทางทผ่ี ดิ กจ็ กั ไดร้ บั ความเสอื่ มเสยี ไมใ่ ชน่ อ้ ยเลย ถา้ เกยี่ วขอ้ งดว้ ยผอู้ น่ื กอ็ าจ
เกดิ เสอ่ื มเสยี ถงึ ผอู้ นื่ มากหรอื นอ้ ยตามฐานะ, ความเปน็ คนหเู บายอ่ มนำ� ใหล้ อุ ำ� นาจอคติ โดยไมร่ สู้ กึ .

(มหฬิ ามุขชาดกเทศนา)
171

เมื่อฟงั ถอ้ ยค�ำของใคร ๆ จึงใช้ปญั ญาใครค่ รวญพิจารณาให้รอบคอบกอ่ นแล้ว จึงเชือ่ ถอื ,
อย่าเช่อื ถืองา่ ยดายไปโดยปราศจากปญั ญา ดงั เชน่ สตั วด์ ริ ัจฉาน.

(มหฬิ ามุขชาดกเทศนา)
พึงเว้นถ้อยค�ำสุภาษิตของคนชั่ว เพราะจักชักนําไปเป็นคนช่ัวได้, พึงฟังค�ำสุภาษิตของ
คนดี เพราะจักชักนำ� ใหเ้ ป็นคนดไี ด้

(วชริ ญาณวงศเทศนา)
คบหาสมาคมกับคนพาล ๆ ก็อาจชักน�ำไปในทางชั่วเช่นตน ถึงผู้คบคนพาลน้ันจะเป็น
ผมู้ ั่นคงรักษาตนได้ดี ไม่เปน็ ไปตามคติของคนพาล กย็ งั ชือ่ ว่าคบคนพาล.

(วชริ ญาณวงศเทศนา)
คบหาสมาคมกับบัณฑิต ๆ ก็จะชักน�ำไปในทางที่ดีเช่นตน ถึงผู้คบบัณฑิตจะไม่ตั้งใจ
ประพฤตติ นดตี าม แตก่ ารคบนน้ั กไ็ มม่ ภี ยั ไมม่ เี วร ไมม่ โี ทษ และจะทำ� ผคู้ บใหไ้ ดช้ อื่ วา่ คบบณั ฑติ .

(วชิรญาณวงศเทศนา)
ชวี ติ ของผทู้ ท่ี ำ� กจิ ใหส้ ำ� เรจ็ เปน็ ไปไดต้ ามหนา้ ท่ี และใหเ้ ปน็ ไปในทางดที างชอบ ไมเ่ ปน็ ไป
ในทางชวั่ ทางเสื่อม เป็นชีวติ ทเี่ ป็นประโยชนใ์ นชวี ิตทด่ี ,ี ชีวิตของคนที่ปลอ่ ยใหล้ ว่ งไปเปลา่ ๆ ไม่
เป็นประโยชนเ์ ป็นชวี ิตเปล่า ชีวติ ของผูท้ �ำกจิ ให้เป็นไปในทางชัว่ ทางผดิ เปน็ ชวี ติ ทีช่ ่วั .
(วชริ ญาณวงศเทศนา)
การฝกึ ตนเองเพอื่ ใหเ้ ปน็ คนดคี นงาม เปน็ การสมควรแกบ่ คุ คลทเี่ กดิ มาโดยชาตเิ ปน็ มนษุ ย์
ถ้าไมฝ่ กึ ตนเองใหเ้ ปน็ คนดีคนงาม ก็ไม่สมกบั ความท่ีได้มาเปน็ มนษุ ย์โดยชาติ.

(วชริ ญาณวงศเทศนา)
บุคคลผู้ร่วมกันเป็นหมวดหมู่ ถ้าปฏิบัติไม่ตรงในการงานตามหน้าท่ี ไม่ซื่อตรงต่อกัน
และกนั กจ็ ะเกดิ ความระแวงไมเ่ ชอื่ ถอื ไวว้ างใจกนั จะกระดา้ งกระเดอ่ื งแตกรา้ วกนั แมใ้ นหมญู่ าติ
และหมมู่ ติ รกเ็ ชน่ กนั , แตถ่ า้ ปฏบิ ตั ติ รงตอ่ กนั กจ็ ะไวว้ างใจและกลมเกลยี วกนั อยเู่ ปน็ สขุ ดว้ ยกนั .

(วชริ ญาณวงศเทศนา)
172

เลขก็ดี หนงั สอื กด็ ี เปน็ ตน้ , เมอื่ ใครรู้เพยี งไหน และไมไ่ ด้พยายามเรยี นต่อไปแล้ว ก็พอ
จะก�ำหนดคาดความร้กู ันได,้ แต่ความคิดความรู้ถงึ ทันนนั้ คาดกันยาก ดูหมิน่ กนั ง่าย ๆ ไมไ่ ด,้
ถ้าใครขืนดูหมิ่นด้วยไม่ไตร่ตรองให้ละเอียดก่อนแล้ว บางทีก็จะได้รับความดูหม่ินน้ันย้อนกลับ,
เม่ือเขารู้เท่าแล้ว แต่ทำ� ไม่รเู้ ท่าเสยี .

(ธรรมดาปรารมภ์)
ความดแี ละความช่ัวนั้น บางทีเมื่อผู้ท�ำยังมีชวี ติ อยู่ ก็ยังไมค่ ่อยปรากฏแพร่หลายไปดว้ ย
เหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง, แต่คร้ันผู้ท�ำน้ันล่วงไปแล้ว จึงปรากฏแพร่หลายไปมาก, เพราะฉะนั้น
ทกุ ๆ คนเมอ่ื สามารถอย่คู วรหรือทจ่ี ะไมท่ ำ� การซ่งึ จะเป็นชื่อเสียงของตัวใหเ้ กดิ ขน้ึ

(ธรรมดาปรารมภ์)
ชอื่ เสยี งนัน้ เป็นเครื่องประกาศความดีและชว่ั ของคนไปได้นาน แม้เขาลว่ งลบั ไปแลว้ .

(ธรรมดาปรารมภ์)
คนทมี่ ที รพั ยส์ มบตั มิ ากมาย เมอ่ื ไมม่ คี วามอารเี ผอ่ื แผ่ และไมท่ ำ� ชอ่ื เสยี งของตนใหด้ ี มวั
แต่ว่นุ อยดู่ ว้ ยการหาเงินทอง และการบำ� รุงตนดว้ ยการซ�ำ้ ๆ ซาก ๆ นัน้ ถ่ายเดียวไมร่ จู้ กั จบ ท�ำ
ชอื่ เสยี งของตนใหเ้ สยี ไป (ดว้ ยเหตนุ นั้ หรอื ดว้ ยประการใดประการหนงึ่ ), แมจ้ ะมชี อื่ เสยี งเลา่ ลอื ไป
กเ็ ลา่ ลอื ไปสำ� หรบั ตเิ ตยี น หาไดเ้ ลา่ ลอื ไปสำ� หรบั สรรเสรญิ ไม.่ ถา้ จะไมม่ ชี อ่ื เสยี งปรากฏไปเลยยงั
จะดกี วา่ เพราะจะไดไ้ มเ่ ปน็ การประจานตวั เองและบางทตี ลอดถงึ บตุ รหลาน และจะไมเ่ ปน็ ตวั อยา่ ง
ที่ช่วั แกผ่ ู้อน่ื บางคน.
(ธรรมดาปรารมภ์)
ทกุ ๆ คนควรทำ� ในใจในธรรมดาของโลกอยู่เสมอ ๆ เพอ่ื ไดม้ สี ติผ่อนผันไมใ่ หร้ ะเริงหลง
จนลมื ตวั ในเวลาทไี่ ดป้ ระสบสว่ นทน่ี า่ ปรารถนา และไมน่ า่ ปรารถนานนั้ ๆ. ความเปน็ ผมู้ สี ตริ กั ษาใจ
ให้สงบระงับได้ ไม่ปล่อยให้ยินดียินร้ายไปตามส่วนที่น่าปรารถนาและไม่ปรารถนาซ่ึงมาประสบ
นนั้ เปน็ คุณอันประเสริฐ.

(ธรรมดาปรารมภ)์

ความสุขสำ� ราญนัน้ มิใชจ่ ะมีแตแ่ กค่ นมีลาภมากหรือมั่งมีเสมอ ไดโ้ ดยส่วนเดยี ว.
(ธรรมดาปรารมภ์)

173

เมอื่ บคุ คลไมม่ ใี จสงบระงบั แลว้ ชอื่ เสยี งกด็ ี อสิ รยิ ยศกด็ ี ทต่ี อ้ งการนน้ั ถงึ จะเปน็ อยา่ งสงู
ตามความคาดคะเนของเขา และเขาได้รับน้ัน ก็ไม่สามารถจะป้องกันทุกข์อันเกิดมีแก่เขาใน
ระหวา่ ง ๆ ตามธรรมดาได้.

(ธรรมดาปรารมภ)์

เมื่อได้คิดดูโดยรอบคอบแล้วก็จะรู้สึกได้ว่า เพียงแต่ช่ือเสียงน้ัน ไม่สามารถจะท�ำคนให้
เป็นสุขอยู่ได้เสมอ ส�ำหรับตัวเขาเอง, แต่ถ้าส�ำหรับผู้อื่นแล้วมีประโยชน์มาก. เพราะผู้ที่ท�ำการ
ดว้ ยมงุ่ ชอื่ เสียงทดี่ ี และทำ� ถกู ตอ้ ง ย่อมเป็นประโยชนแ์ ก่ประชุมชนและบ้านเมืองมาก.

(ธรรมดาปรารมภ์)

ผทู้ ยี่ งั ไมไ่ ดใ้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาตามเหตผุ ลใหร้ อบคอบ จนออกรสู้ กึ เหน็ จรงิ ในใจแลว้ กย็ งั
ไม่มีความเชอ่ื พอ, เม่อื ยงั ไม่มีความเชอื่ พอกย็ ่อมไมม่ คี วามอตุ สาหะพอ, เมอ่ื ไมม่ ีอตุ สาหะพอ ก็
ยอ่ มไมป่ ฏิบตั ิพอ เมือ่ ไมป่ ฏบิ ัติพอ กย็ อ่ มไม่ไดค้ วามรอบรู้ธรรมดาทแี่ ท้จรงิ โดยไม่แปรปรวน

(ธรรมดาปรารมภ)์

ทกุ ๆ คนควรทำ� ในใจในธรรมดาของโลกอยเู่ สมอ ๆ เพอื่ ไดม้ สี ตผิ อ่ นผนั ไมใ่ หล้ ะเลงิ หลง
จนลมื ตวั ในเวลาทไี่ ดป้ ระสบสว่ นทนี่ า่ ปรารถนา และไมน่ า่ ปรารถนานน้ั ๆ ความเปน็ ผมู้ สี ตริ กั ษาใจ
ให้สงบระงับได้ ไม่ปล่อยให้ยินดียินร้ายไปตามส่วนท่ีน่าปรารถนา และไม่น่าปรารถนา ซ่ึงมา
ประสบน้นั เปน็ คณุ อนั ประเสรฐิ เมอ่ื ใครท�ำได้เพยี งใด ก็ไดร้ บั ความสุขเพยี งนัน้ .

(พระคตพิ จน)์
ทางเดินของสงั ขาร ตามธรรมดาย่อมเดนิ ไปเพ่ือดับทัง้ หมด ต่างกนั เพียงชา้ หรอื เรว็ ได้
ในพระบาลีวา่ ยงฺกญิ ฺจิ สมุทยธมมฺ ํ สิ่งใดส่งิ หน่งึ มคี วามเกดิ เปน็ ธรรมดา สพฺพนตฺ ํ นิโรธธมฺมํ
ส่งิ น้ันทั้งหมดมีความดบั เปน็ ธรรมดา ไม่นับว่าเปน็ สคุ ตหิ รอื ทุคติ

(พระคติพจน์)
174

ทางเดินของคน (ตลอดถึงสัตว์ท้ังหมด) ย่อมมุ่งเดินไปเพ่ือความเป็นอยู่ (เว้นแต่ผู้ที่
คบั แค้น มคี วามคดิ ความส�ำคัญ ความเห็นวิปลาส) เพราะเดินไปเพือ่ ความเปน็ อยู่ จงึ มงุ่ ให้ได้
สงิ่ ทีต่ นชอบ มุ่งพน้ จากสิ่งท่ตี นไมช่ อบ; ถ้าเดนิ ไปในทางดี เปน็ สจุ ริต คติก็เปน็ สุคติ ผู้เดนิ ก็เปน็
สคุ โต, ถา้ เดนิ ไปในทางชั่ว เปน็ ทจุ ริต คตกิ ็เป็นทคุ ติ ผู้เดนิ ก็เป็นทคุ คโต. สุคโตมีทไี่ หน สุขกม็ ีท่ี
นั้น, ทุคคโตมที ีไ่ หน ทุกข์ก็มีที่นัน่ ยงิ่ หรอื หยอ่ นตามช้นั ของคติ.

(พระคติพจน์)
บุคคลที่มใี จกระวนกระวาย เดอื ดรอ้ นมัวหมอง จะอย่บู นปราสาท หรอื ในสถานใด ๆ ก็
ไมม่ สี ขุ และถา้ ละโลกนไี้ ปในเวลาทจี่ ติ เปน็ เชน่ นนั้ กน็ า่ จะไปสทู่ ไ่ี ปทช่ี วั่ . ถา้ บคุ คลผมู้ จี ติ ปราศจาก
ความอยากได้อันแรงกล้า ปราศจากความมุ่งร้ายผู้อ่ืน เห็นชอบถูกต้องตามคลองธรรมคือ
ทางท่ีถูก และประกอบด้วย อโลภะ อโทสะ อโมหะ ซ่ึงเป็นมูล ย่อมมีใจสงบแช่มช่ืน ผ่องใส
เป็นผลดี เปน็ ทางสขุ ใจท่ไี ด้รับ.

(พระคติพจน)์
คนทีอ่ ยูด่ ว้ ยกนั เปน็ คณะเปน็ หมู่ ตง้ั แต่หมู่นอ้ ยถงึ หม่ใู หญ่ ยอ่ มมคี นดบี ้าง มีคนชัว่ บ้าง,
แมใ้ นคนเดยี วกนั กม็ ีดีบางอยา่ ง มชี ว่ั บางอยา่ ง ปรากฏอย,ู่ ถ้าสืบสาวหาเหตกุ ็จะเห็นไดว้ า่ คนดี
กเ็ พราะทำ� ดเี ปน็ เหตุ เหตแุ ลผลนนั้ ยอ่ มปรากฏทบี่ คุ คล บคุ คลเปน็ ผแู้ สดง, ถา้ ไมม่ บี คุ คล เหตผุ ล
กไ็ มป่ รากฏ, ความเชื่อเหตแุ ละผลรวมลงที่บุคคล.

(พระคติพจน)์
ผตู้ งั้ ใจประพฤตสิ มั ปรายกิ ตั ถะกต็ าม ประพฤตสิ าราณยี ธรรมกต็ าม ชอ่ื วา่ ทำ� ประโยชนแ์ ก่
หมู่ เปน็ คณโสภณะ ผทู้ ำ� หมใู่ หง้ ามหรอื ผงู้ ามในหมู่ เหน็ ปรากฏไดใ้ นปจั จบุ นั . การตง้ั ใจทำ� ดเี ชน่ น้ี
เปน็ บญุ เปน็ กศุ ล จกั ใหผ้ ลเปน็ สขุ ในภายหนา้ จงึ ชอ่ื วา่ สมั ปรายกิ ตั ถะ ประโยชนใ์ นภายหนา้ .
ผไู้ มป่ ระพฤตเิ ชน่ นนั้ แตไ่ มถ่ งึ ประพฤตชิ ว่ั ตรงขา้ ม ชอ่ื วา่ คณปรู กะ ผพู้ อเตม็ ในหมู่ คอื พอ
ทำ� หมใู่ หม้ ากขนึ้ เทา่ นน้ั , ผไู้ มป่ ระพฤตเิ ชน่ นนั้ แตก่ ลบั ประพฤตชิ วั่ อนั ตรงกนั ขา้ ม ชอื่ วา่ คณปโทสะ
ผปู้ ระทษุ รา้ ยหม.ู่ ทกุ ๆ คนควรตรวจดตู นวา่ ตนเปน็ คนเชน่ ไร เพอ่ื ไดท้ ำ� ตนใหเ้ ปน็ คณโสภณะ
เปน็ ผไู้ มร่ กโลก.

(พระคตพิ จน์)
175

สรรนิพนธ์ วา่ ด้วย

๏ เรอ่ื งโลกกบั ธรรม ๏

176

ภาคโลก

โลก กับ ธรรม

อะไรเปน็ โลก อะไรเปน็ ธรรม?
มผี แู้ สดงว่า โลกเกดิ ขึน้ กอ่ นนมนาน, ธรรมเกดิ ข้นึ ภายหลัง, ธรรมเปน็ ยอดโลก.
พิจารณาดู ยากทจี่ ะเข้าใจและเหน็ ความได.้
มพี ระพทุ ธภาษติ แสดงไวใ้ น ธมั มนยิ ามสตู ร มเี นอื้ ความวา่ เพราะพระตถาคตเกดิ ขนึ้ หรอื
ไมเ่ กดิ ขึน้ กต็ าม ธาตุน้ันคือความตง้ั อยูต่ ามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา กค็ งตั้งอยู่อยา่ ง
นัน้ (ข้อน้ีคอื ) สงั ขารท้งั หลายไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทุกข์ ธรรมท้ังหลายเป็นอนตั ตา, แต่พระตถาคตย่อม
รถู้ ึงธาตนุ น้ั , ครน้ั แล้ว ย่อมบอก ยอ่ มแสดง ย่อมบัญญตั ิ แต่งต้งั เปิดเผย จำ� แนกท�ำให้ต้นื ว่า
สงั ขารทง้ั หลายไม่เที่ยง เป็นทกุ ข์ ธรรมท้ังหลายเป็นอนัตตา ดงั น้ี.
ถือเอาความตามนัยน้ี และตามนัยอื่นเข้าประกอบ: สังขารที่เป็นส่วนผลที่ปรากฏอยู่
ชว่ั คราว ชา้ บา้ ง เรว็ บา้ ง เหน็ ได้ ฟงั ได้ ดมได้ ลม้ิ ได้ ถกู ตอ้ งได้ เปน็ โลก กลา่ วสนั้ กค็ อื ธาตทุ ง้ั ๔
ทัง้ ที่ไม่ได้แยกออก ท้งั ทีแ่ ยกออกมาเป็นสง่ิ ตา่ ง ๆ อันเป็นสังขาร เปน็ โลก, ปัจจยั ที่ปรุงแตง่ โลก
หรอื สงั ขารใหเ้ ปน็ ไปตา่ ง ๆ เปน็ ธรรม คอื ธรรมดานนั่ เอง. โลกเปน็ สง่ิ ทป่ี รากฏ ธรรมหรอื ธรรมดา
เป็นผู้ปรงุ แต่ง, ภูเขา ต้นไม้ เปน็ โลก, ปัจจัยท่ีปรุงแตง่ ให้เปน็ ภเู ขา ต้นไม้เป็นธรรม, ถ้วยชามท่ี
เป็นมาจากดิน เป็นโลก, การปั้น เป็นธรรม. เมื่อเช่นนี้ โลกกับธรรมจะเกิดก่อนและหลังกัน
อย่างไร. แม้กายท่ีเป็นอุปาทินนกสังขาร ก็คงเป็นโลก, กรรม อันเป็นผู้ปรุงแต่ง เป็นธรรม.
น้ธี รรมทเ่ี กี่ยวกับโลก หรอื โลกยิ ธรรม.
(ข้อความทัง้ น้ี กล่าวพอเปน็ ทางทจี่ ะพึงพจิ ารณาเท่านน้ั ).
สว่ นธรรมทเี่ หนอื โลกหรือพ้นโลก คอื โลกตุ ตรธรรม ท่านผ้ตู ้องการทราบเร่ือง พึงศึกษา
ในแบบทที่ า่ นร้อยกรองไว้ นน้ั ๆ เถดิ .

177

ขันธโลกวจิ าร

นโม พุทธสสฺ
ปัญจขันธ์ เป็นส่วนท่ีผู้ถือพระพุทธศาสนา หรือแม้ไม่ถือควรรู้เร่ือง เพราะเป็นดัง
เคร่ืองยนต์, เมื่อผู้ศึกษาได้วิจารณ์ด้วยตนเองดีแล้ว จะพึงเข้าใจได้, และจักได้อาศัยเพ่ือปฏิบัติ
ธรรม และการงานอืน่ ๆ แมฝ้ ่ายคดโี ลกโดยสมควร.
ปัญจขนั ธ์นน้ั พระบรมศาสดาทรงยน่ แสดงโดยนัย ๑ เป็น ๒ คอื นาม ๑ รูป ๑ ดงั
พระพุทธภาษติ วา่ “เทวฺ ธมมฺ า อภิญฺา ปริญเฺ ยฺยา : นามญจฺ รูปญฺจ, ธรรม ๒ อย่าง รู้แลว้
ควรกำ� หนด คอื นามและรปู ”. แตจ่ กั แสดงรปู กอ่ น เพราะเปน็ สว่ นหยาบ เหน็ งา่ ยกวา่ นาม. กอ่ น
แต่แสดงเร่อื งปัญจขนั ธ์ หรอื นามรปู ควรกลา่ วถึง โลก ซ่ึงเปน็ ส่วนควรรู้ในเบื้องตน้ กอ่ น :
โลกน้ัน ท่านแสดงจำ� แนกไว้เป็น ๓ (โดยนัย ๑) คือ ๑. โอกาศโลก, ๒. สังขารโลก,
๓. สตั ตโลก (หรอื สตั วโลก).

โอกาศโลก
พภิ พอนั เปน็ ทอ่ี าศยั วจิ ติ รไปดว้ ยอาการหรอื เอกเทศตา่ ง ๆ เหลอื ทจ่ี ะพรรณนาใหล้ ะเอยี ด
สน้ิ เชงิ ได้ (ผใู้ ครร่ บู้ า้ ง พงึ ดใู นหนงั สอื ธรรมวจิ ารณ์ ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ
ญาณวโรรส) แตเ่ มอ่ื รวมเขา้ โดยลกั ษณะตามทางพระพทุ ธศาสนา พระบรมศาสดาทรงแสดงแยก
เปน็ ๔ อยา่ ง คอื สว่ นทมี่ ลี กั ษณะแขน้ แขง็ เรยี ก ปฐวธี าตุ (เราแปลวา่ ธาตดุ นิ ) ๑, สว่ นทม่ี ลี กั ษณะ
เหลวไหล ซมึ ซาบและเปน็ ไอไปได้ เรยี ก อาโปธาต๑ุ (เราแปลวา่ ธาตนุ ำ้� ) ๑, สว่ นทม่ี ลี กั ษณะอนุ่
รอ้ นเผา เรยี ก เตโชธาตุ (เราแปลวา่ ธาตไุ ฟ) ๑, สว่ นทมี่ ลี กั ษณะพดั ไปมาขนึ้ ลง (และสงบอยใู่ น
เมอ่ื ไมม่ เี หต)ุ เรยี ก วาโยธาตุ (เราแปลวา่ ธาตลุ ม) ๑, ทงั้ ๔ อยา่ งนี้ อาศยั กนั และกนั เปน็ ไป
ประมวลกนั อยู่ นค้ี อื โอกาศโลก หรอื ธาตโุ ลกภายนอก.

๑ อาโปธาตนุ น้ั นกั ปราชญใ์ หมท่ างโลกยศาสตรแ์ สดงวา่ ไมใ่ ชธ่ าตแุ ท้ เปน็ ธาตผุ สม คอื ธาตุ ๒ อยา่ งรวม
กนั เขา้ เมอ่ื เอาอาโปมาแยกออกจากกนั จกั ไดธ้ าตุ ๒ อยา่ ง, เพราะฉะนน้ั จงึ เปน็ เหตใุ หพ้ วกตอ้ งการคา้ นพระพทุ ธ
ศาสนา คา้ นวา่ พระสมั มาสมั พทุ ธะทรงแสดงไมถ่ กู เอาธาตผุ สมมาเปน็ ธาตแุ ท,้ เพราะมงุ่ แตจ่ ะคดั คา้ นเทา่ นนั้ จงึ
ไมว่ จิ ารณใ์ หเ้ หน็ วา่ ทางพระพทุ ธศาสนา ไมไ่ ดป้ ระสงคแ์ สดงธาตโุ ดยละเอยี ด อยา่ งนกั ปราชญท์ างโลก ประสงคแ์ ต่
เพยี งแสดงใหเ้ หน็ สว่ นทปี่ รากฎเหน็ ไดง้ า่ ย อนั เปน็ ทางสมั มาปฏบิ ตั ใิ นทางธรรม เทา่ นน้ั . ผวู้ จิ ารณพ์ งึ เหน็ ได.้

178

สังขารโลก
ส่วนหนึ่ง ๆ หรือเอกเทศของโอกาศโลก ทแี่ ยกออกมาจากโอกาศโลก เปน็ สง่ิ ต่างๆ เชน่
ภเู ขา จอมปลวก ตกึ เรือน ลําน้�ำ ตน้ ไม้ ดิรจั ฉาน มนษุ ย์ เปน็ ตน้ ด้วยอ�ำนาจธรรมดาปรุงแตง่
ตามฤดูบา้ ง ตามพชื บ้าง ตามธรรมดาบ้าง ดว้ ยอำ� นาจมนุษย์และสัตว์ปรุงแตง่ ตามจิตบา้ ง ตาม
กรรมบ้าง, กล่าวโดยย่อ สงิ่ นน้ั ๆ ตลอดถงึ มนษุ ย์ เป็นสว่ นผล เปน็ มาเพราะปัจจยั ปรงุ แตง่ และ
เปน็ อยชู่ วั่ คราว เรว็ บา้ ง ชา้ บา้ ง ตามกำ� ลงั ของเหตกุ อ่ นผปู้ รงุ แตง่ และตามกำ� ลงั ของเหตภุ ายหลงั
อปุ ถมั ภ์หรอื ตัดรอน. แยกออกได้ อกี เปน็ ๒ คอื ส่วนที่ไม่มีผู้ครอง (อนปุ าทนิ นกสงั ขาร) ๑,
สว่ นที่มผี คู้ รอง (อปุ าทินนกสงั ขาร) ๑, (หรือส่วนทไี่ ม่รเู้ ปน็ ไม่รู้ตายได้ ๑, ส่วนทร่ี ู้เปน็ รตู้ ายได้
๑, แต่ถ้าแสดงเชน่ นี้ มปี ัญหาเรอ่ื งต้นไม)้ .
สว่ นที่ไมม่ ผี ูค้ รอง คอื ไมม่ ผี ู้เขา้ แทรกสิงอาศยั อยใู่ นตวั ทธ่ี รรมดาบ้าง สตั ว์บ้าง ปรงุ แต่ง
ขน้ึ เชน่ ภเู ขา กอ้ นหนิ ตกึ เรอื น และของใชต้ า่ ง ๆ มลี กั ษณะเครอ่ื งหมาย คอื ทำ� อะไรใหส้ ำ� เรจ็
ด้วยตวั เองไม่ได้ และไมต่ ้องกนิ ไมต่ อ้ งถา่ ย, แม้รถยนต์ เรอื ยนต์ท่พี รอ้ มเสร็จ อาจแลน่ ไปได้ แต่
ถา้ ไม่มผี ใู้ ช้ คือ เปดิ เคร่อื งใหเ้ ดนิ กไ็ ปไม่ได,้ ถึงมีผ้ใู ช้เปิดเคร่ืองให้เดินแลว้ ถ้าไมม่ ผี ูก้ ำ� กบั บงั คบั
ให้ไปถูกทาง ก็คงเดินเรื่อยไป ไม่รู้จักผิดไม่รู้จักถูก อาจไปชนอะไรต่ออะไรต่าง ๆ น้ีเรียก
อนุปาทินนกสังขาร (สงั ขารทไ่ี มม่ ีผคู้ รอง คือ ไมม่ ผี ู้เขา้ สิงอาศยั อยใู่ นตวั ).
สว่ นทม่ี ผี คู้ รอง คอื มผี เู้ ข้าแทรกสงิ อาศัยอยใู่ นตัว เช่น ร่างกายของสตั ว์ ท้งั มนุษย์ ทงั้
ดิรัจฉาน ท่ียังเป็นอยู่ (ต้องวิจารณ์ให้ดี ไม่เช่นน้ัน จะเอาอุปาทินนกสังขารกับสัตว์ปนกันเสีย)
ในเวลาที่ผู้ครองยังครองอยู่ ยังอาศัยกันและกันเป็นไปอยู่ เช่น ร่างกายสัตว์ท่ียังเป็นนี้เรียก
อุปาทนิ นกสงั ขาร (สังขารทมี่ ผี ูค้ รอง คอื มผี ูเ้ ขา้ สิงอาศัยอย่ใู นตัว).
ส่วนร่างกายของสัตว์ทต่ี าย (เพราะผู้ครองออกไปเสยี ) กก็ ลับเปน็ อนุปาทนิ นกสังขารไป
ไมต่ า่ งอะไรกบั พสั ดอุ นื่ ๆ. เพราะฉะนน้ั รา่ งกายของสตั ว์ (มนษุ ยแ์ ละดริ จั ฉาน) ในเวลาทย่ี งั เปน็
อยู่ จงึ เปน็ อปุ าทินนกสงั ขาร (เพราะยงั มีผคู้ รองอย)ู่ และถ้าตายลงไปในบดั เดีย๋ วนน้ั ก็กลับเป็น
อนุปาทินนกสังขารไปในบัดเดีย๋ วนัน้ เอง (เพราะผู้ครองออกไปเสยี ). พงึ พจิ ารณาดูตวั เราเอง ใน
เวลาเดยี๋ วน้ี รา่ งกายเราเปน็ อปุ าทนิ นกสงั ขาร (เพราะมผี คู้ รองอยู่ คอื เรา) แตเ่ มอ่ื ตายลง รา่ งกาย
กก็ ลับเป็นอนุปาทนิ นกสังขาร (เพราะปราศจากผ้คู รอง คอื เรา), ถ้ายังไมเ่ ห็นชดั พงึ ดคู นเปน็
กับตายเทียบกัน กอ็ าจเหน็ ต่างกนั ได.้

179

เพราะฉะนนั้ เมอ่ื วจิ ารณใ์ หล้ ะเอยี ด จะพงึ เหน็ ไดว้ า่ สงั ขาร คอื รา่ งกายอนั เปน็ สว่ นรปู
นนั้ ตามธรรมดายอ่ มเปน็ อนปุ าทนิ นกสงั ขาร เพราะแบง่ สว่ นมาจากโอกาศโลกชว่ั คราวเหมอื นสง่ิ
อื่น ๆ, แต่ที่เป็นอุปาทินนกสังขารข้ึน ก็เพราะมีผู้ครองยังครองอยู่, ถ้าผู้ครองพรากไปเสียแล้ว
กก็ ลบั เปน็ อนปุ าทนิ นกสงั ขารไปตามเดมิ และเปอ่ื ยเนา่ ผไุ ป, ทเี่ ปน็ อาหารของสตั ว์ กก็ ลายเปน็
รา่ งกายของสตั วไ์ ปบา้ ง ทก่ี ลบั ไปทด่ี นิ และเปน็ อาหารของตน้ ไม้ กก็ ลายเปน็ ตน้ ไมไ้ ปบา้ ง, รา่ งกาย
ของสตั วแ์ ละตน้ ไม้ กก็ ลบั เปน็ อาหารของคนบา้ ง ของสตั วอ์ น่ื บา้ ง, และกลบั เขา้ รวมในโอกาศโลก
อกี และแยกออกมาอกี วนเวยี นไปดว้ ยอำ� นาจวฏั ฏะ. ถงึ ทรพั ยส์ นิ อนื่ ๆ เชน่ เงนิ ทอง เพชร นลิ
สามี ภรยิ า บตุ ร ธดิ า ขา้ ทาส สง่ิ ของใชต้ า่ ง ๆ ทตี่ า่ งคนตา่ งเสาะแสวงหามาได้ โดยทางสจุ รติ
กต็ าม โดยทางทจุ รติ กต็ าม และตา่ งหวงแหนไว้ ในทส่ี ดุ กต็ อ้ งละไปดว้ ยกนั หมด ตอ้ งทงิ้ สว่ นนนั้ ๆ
ไวใ้ หแ้ กค่ นในภายหลงั , คนภายหลงั ทไี่ ดไ้ ว้ อยา่ งนานกช็ ว่ั อายุ ๑ แลว้ กต็ อ้ งละทง้ิ ไปอกี , เพราะ
รา่ งกายและทรพั ยเ์ หลา่ นนั้ เปน็ สว่ นหนงึ่ ๆ ของโอกาศโลก ใครจะถอื เอาไปเปน็ สทิ ธใิ์ หข้ าดจากโลก
ไมไ่ ดเ้ ลย, เพราะเชน่ นแี้ ล โลกจงึ คงเปน็ โลกอยไู่ ด้ และเปน็ เคราะหด์ ขี องคนในภายหลงั ๆ, ถา้ คน
กอ่ น ๆ พาเอารา่ งกายและทรพั ยท์ หี่ าไดไ้ ปเสยี ดว้ ยแลว้ , โลกกจ็ ะเลก็ ลง ๆ และทรพั ยก์ จ็ ะหมดไป ๆ,
คนในภายหลงั จะไมม่ ที อี่ าศยั และไมม่ ที รพั ยใ์ ชส้ อย ดนู า่ จะเดอื ดรอ้ นมาก.
สังขารทง้ั ๒ ประเภทน้ี เรียกสงั ขารโลก.

สตั ตโลก หรือสตั วโลก
ผคู้ รองสงั ขาร คอื ผสู้ งิ อาศยั อยใู่ นรปู สงั ขาร ทำ� อนปุ าทนิ นกสงั ขารใหเ้ ปน็ อปุ าทนิ นกสงั ขาร
ขึ้นชั่วคราว ในเม่ือยังครองอยู่ท�ำให้เป็นอนุปาทินนกสังขารไปตามสภาพในเม่ือพรากไปเสีย
นีเ้ รยี กสตั ตโลก หรือสตั วโลก.
ถา้ ลำ� พงั แตส่ ตั ว์ ไมอ่ าศยั สงั ขาร กไ็ มป่ รากฏวา่ สตั ว,์ ถา้ ลำ� พงั แตส่ งั ขาร ไมม่ สี ตั วส์ งิ อาศยั
กไ็ มเ่ รยี กอปุ าทนิ นกสงั ขาร, ตอ่ เมอ่ื สตั วก์ บั สงั ขารอาศยั กนั และกนั เปน็ ไป จงึ ปรากฏสมมตวิ า่ เปน็
มนุษย์ เปน็ ดิรจั ฉาน.
ค�ำว่าโลกน้ัน ท่านหมายความว่า ต้องทรุดโทรมเปล่ียนแปลงไม่คงท่ี, บางท่านแปลว่า
สว่ นท่เี หน็ หรือท่ปี รากฎฯ พิภพ สังขาร และสัตวก์ ็ตอ้ งเปลยี่ นแปลง ไมค่ งท่ี ตา่ งกนั กเ็ พียงเรว็
และชา้ เทา่ นั้น, เพราะฉะนน้ั ทา่ นจงึ รวมเรียกว่า โลก ดจุ กนั .

180

อะไรเลา่ ทเี่ รยี กวา่ สตั ว์ ผคู้ รองสงั ขารนนั้ ?
ขอ้ นย้ี ากทจี่ ะเหน็ ไดช้ ดั ตามมตขิ องบางทา่ นและตามสนั นษิ ฐานนา่ จะไดแ้ กค่ วามรทู้ ไ่ี มแ่ จง้
ชดั รไู้ มแ่ จม่ แจง้ รไู้ มถ่ กู ถว้ น คอื อวชิ ชา (อวชิ ชา ไมร่ แู้ จง้ หรอื รไู้ มแ่ จง้ , ไมใ่ ชไ่ มร่ ทู้ เี ดยี ว เพราะถา้
ไมร่ ทู้ เี ดยี ว กเ็ ทา่ กบั กอ้ นหนิ และทอ่ นไม)้ และยดึ ถอื สว่ นทรี่ ตู้ ามความรนู้ น้ั (อปุ าทาน) คอื รอู้ ยา่ งไร
ยดึ ถอื อยา่ งนนั้ , กลา่ วยอ่ วา่ รตู้ ามอายตนะ คอื จกั ขุ (ดวงตา) เหน็ รปู , โสตะ (ห)ู ไดย้ นิ เสยี ง,
ฆานะ (จมกู ) ดมกลน่ิ , ชวิ หา (ลน้ิ ) ลม้ิ รส, กายะ (กาย) ถกู ตอ้ ง โผฏฐพั พะ (สว่ นทก่ี ายถกู ตอ้ ง),
มนะ (ใจนกึ ) รเู้ รอื่ ง, เกดิ รสู้ กึ ขน้ึ เรยี กวญิ ญาณ, รเู้ สวยสขุ (เพราะชอบ) รเู้ สวยทกุ ข์ (เพราะไมช่ อบ)
รเู้ สวยไมใ่ ชท่ กุ ขไ์ มใ่ ชส่ ขุ (เพราะเปน็ กลาง ๆ ไมใ่ ชช่ อบ ไมใ่ ชไ่ มช่ อบ) เรยี กเวทนา, รจู้ กั กำ� หนดหมาย
เรยี กสญั ญา, คดิ นกึ เรอื่ งดบี า้ ง ชว่ั บา้ ง ไมด่ ไี มช่ วั่ บา้ ง เรยี กสงั ขาร (ปรงุ แตง่ จติ ). จกั ขุ โสตะ ฆานะ
ชวิ หา กายะ หรอื มนะดว้ ย (ตามบางมต)ิ เปน็ สว่ นรปู (แตบ่ างมตวิ า่ มนะเปน็ นาม), เพราะเปน็ ที่
ตอ่ กบั อายตนะภายนอกใหเ้ กดิ ความรขู้ นึ้ ทา่ นจงึ เรยี กวา่ อายตนะภายใน, เพราะเปน็ ทางใหเ้ กดิ ความ
รู้ ทา่ นจงึ เรยี กวา่ ทวาร, เพราะเปน็ ใหญใ่ นหนา้ ทขี่ องตน ๆ เชน่ จกั ขเุ ปน็ ใหญใ่ นการเหน็ เปน็ ตน้
ทา่ นจงึ เรยี กวา่ อนิ ทรยี ,์ รวมรปู ๑ นาม ๔ (คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ) นเี้ รยี กปญั จขนั ธ์
ยน่ เปน็ ๒ คอื นามสว่ น ๑ รปู สว่ น ๑. รตู้ ามอายตนะเหลา่ น้ี และยดึ ถอื สว่ นทรี่ นู้ นั้ ๆ วา่ เปน็ ตน
จงึ ขอ้ งอยตู่ ดิ อยู่ เชน่ เดก็ เลก็ ๆ เมอื่ เขายงั ไมต่ ง้ั ชอ่ื เรยี ก กย็ งั ไมย่ ดึ ถอื ชอ่ื อะไรวา่ เปน็ ตน, เมอ่ื เขา
เรยี กชอื่ วา่ หนหู รอื วา่ แดง รเู้ ขา้ กย็ ดึ ถอื คำ� วา่ หนหู รอื แดงเปน็ ตน, เมอ่ื เขาเปลยี่ นตง้ั ชอื่ ใหว้ า่ ก. หรอื
ข. รู้เข้าก็ยึดถือค�ำว่า ก. หรือ ข. เป็นตน, เมื่อท่านต้ังแต่งให้เป็นขุน ค. หลวง ง. พระ
จ. พระยา ฉ. รเู้ ขา้ กย็ ดึ ถอื วา่ ขนุ ค. หลวง ง. พระ จ. พระยา ฉ. เปน็ ตน, ถา้ ไมร่ กู้ ไ็ มย่ ดึ ถอื ไม่
เปน็ , ถงึ ใครจะดา่ วา่ หรอื ชมชอื่ นนั้ ๆ กไ็ มค่ ดิ นกึ วา่ เขาดา่ วา่ หรอื ชมตน หรอื เหมอื นคน ๑ ซง่ึ เปน็
ราชโอรส แตบ่ งั เอญิ พลดั ไปอยกู่ บั ชาวบา้ นปา่ แตเ่ ลก็ ไมร่ ู้ เรอ่ื งกค็ งเขา้ ใจวา่ ตนเปน็ ชาวบา้ นปา่ นน่ั เอง,
แตถ่ า้ มใี ครไปบอกใหร้ เู้ รอ่ื งและตนเชอ่ื แน่ (ตามอายตนะ) กย็ ดึ ถอื และเปน็ ราชโอรสขน้ึ ทนั ท,ี ถงึ
อยา่ งอน่ื ๆ ทง้ั ทช่ี อบและไมช่ อบกเ็ ปน็ ไปโดยนยั น.้ี ความทเี่ ปน็ เชน่ นี้ กเ็ พราะรตู้ ามอายตนะ และ
ยดึ ถอื นนั่ เอง.
เพราะฉะนนั้ ความรแู้ ละยดึ ถอื รปู วญิ ญาณ เวทนา สญั ญา สงั ขาร จงึ เปน็ สตั วเ์ ปน็ ภพ เพราะ
เปน็ เหตใุ หข้ อ้ งตดิ อยู่ ดงั พระพทุ ธภาษติ ในมหาวจั ฉโคตรสตู รวา่ “เมอ่ื บญั ญตั ิ ตถาคตพงึ บญั ญตั ดิ ว้ ย
รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อนั ใด...” ดงั น,ี้ เมอ่ื ยงั ตดิ อยใู่ นขนั ธเ์ พยี งไร กค็ งเปน็ สตั วเ์ ปน็ ภพ
อยเู่ พยี งนนั้ ถงึ ขนั ธน์ แ้ี ตกทำ� ลาย กค็ งถอื เอาขนั ธใ์ หมต่ ามสมควรแกค่ วามดหี รอื ความชวั่ ทตี่ นไดท้ ำ� ไว้
อนั เปน็ ตวั กรรมตวั เหตุ ผปู้ รงุ แตง่ สงั ขารใหม.่ เรอื่ งหรอื สง่ิ ทร่ี กู้ ไ็ มพ่ น้ ไปจากปญั จขนั ธ.์

181

อะไรเลา่ เปน็ ตน้ ของปญั จขนั ธ์ ?
สว่ นรปู ไดแ้ กธ่ าตทุ งั้ ๔ ทเ่ี ปน็ เอกเทศ คอื สว่ นหนง่ึ ๆ ของโอกาศโลกทแี่ ยกมาชวั่ คราว. สว่ น
นามนนั้ เหน็ ยาก ตอ้ งอาศยั วจิ ารณต์ ามนยั แหง่ พทุ ธภาษติ ในทตี่ า่ ง ๆ เปน็ หลกั ใน อนตั ตลกั ขณสตู ร๒
แสดงวา่ “ปญั จขนั ธ์ (มวี ญิ ญาณอยดู่ ว้ ย) ไมใ่ ชต่ น ไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์ มคี วามแปรปรวนไปเปน็ ธรรมดา”
ในทา้ ยพระสตู รแสดงวา่ “จติ ของพระปญั จวคั คยี พ์ น้ จากอาสวะทง้ั หลาย,” ในอาทติ ตปรยิ ายสตู ร๓ แสดง
วา่ “อายตนะภายใน (มมี โนอยดู่ ว้ ย) เปน็ ตน้ เปน็ ของรอ้ น” ในทา้ ยพระสตู รแสดงวา่ “จติ ทงั้ หลายของ
ภกิ ษพุ นั องคน์ น้ั พน้ จากอาสวะทงั้ หลาย,” ใน วตั ถปู มสตู ร๔ แสดงวา่ “เมอื่ จติ เศรา้ หมองแลว้ ทคุ ตกิ เ็ ปน็
หวงั ได้ เมอื่ จติ ไมเ่ ศรา้ หมอง สคุ ตกิ เ็ ปน็ หวงั ได,้ ” ในวมิ ตุ ตายตนสตู ร๕ แสดงวา่ “...จติ ทย่ี งั ไมห่ ลดุ พน้ จาก
กเิ ลสยอ่ มหลดุ พน้ ได.้ ..”, ใน เอกนบิ าต องั คตุ ตรนกิ าย๖ แสดงวา่ “จติ เปน็ ธรรมชาตปิ ระภสั สร (ผดุ ผอ่ ง),
และจติ นนั้ เศรา้ หมองไปเพราะอปุ กเิ ลสทจ่ี รมา...หลดุ พน้ แลว้ จากอปุ กเิ ลสทจ่ี รมา,” ในวนิ ยั มหาวภิ งั ค๗์
แสดงวา่ “...เมอื่ เรา (บรมศาสดา) รเู้ หน็ อยอู่ ยา่ งนี้ จติ หลดุ พน้ แลว้ แมจ้ ากกามาสวะ.. แมจ้ ากภวาสวะ...
แมจ้ ากอวชิ ชาสวะ” ดงั นี้ เปน็ ตน้ .
โดยนยั เหลา่ นแ้ี สดงวา่ จติ ทงั้ นน้ั เศรา้ หมองหรอื ไม่ หลดุ พน้ หรอื ไม่ จงึ ควรสนั นษิ ฐานเหน็ วา่ จติ
(อนั เปน็ ธรรมชาตทิ มี่ หี นา้ ทค่ี ดิ และถงึ ไมไ่ ดค้ ดิ เชน่ ในเวลาหลบั กค็ งชอื่ วา่ จติ อยนู่ น่ั เอง) กบั รปู คอื ธาตทุ งั้ ๔
อนั เปน็ เอกเทศของโอกาศโลกทแี่ ยกมาชวั่ คราว คมุ กนั เขา้ อาศยั กนั และกนั เปน็ ไป จงึ แสดงอาการตา่ ง ๆ
ออกมา ใหด้ วงตาเหน็ รปู หยู นิ เสยี ง จมกู สดู ดมกลนิ่ ลนิ้ ลมิ้ รส กายถกู ตอ้ งโผฏฐพั พะ มนะนกึ รเู้ รอ่ื งได,้
วญิ ญาณ เวทนา สญั ญา สงั ขาร จงึ เกดิ . เพราะปญั จขนั ธเ์ ปน็ แตเ่ พยี งอาการ ไมใ่ ชข่ องจรงิ จงึ ตอ้ ง
เปลย่ี นแปลงอยเู่ สมอ (อนจิ จฺ )ํ ทนอยไู่ มไ่ ดแ้ ละทนยากลำ� บากตา่ ง ๆ (ทกุ ข)ํ บงั คบั ใหเ้ ปน็ ไปตามหวงั
อนั ผดิ ธรรมดาไมไ่ ด้ ไมเ่ ปน็ จรงิ เปน็ จงั (อนตตฺ า) ดงั ขอ้ ความทพ่ี ระบรมศาสดาทรงแสดงในอนตั ตลกั ขณสตู ร;
แตผ่ ไู้ มร่ ตู้ ามเปน็ จรงิ ไปยดึ ถอื มน่ั เขา้ วา่ เปน็ ของเราบา้ ง (เอตํ มม), เราเปน็ ปญั จขนั ธบ์ า้ ง (เอโสหมสมฺ )ิ ,
ปญั จขนั ธเ์ ปน็ จรงิ ๆ จงั ๆ ของเรา ไมใ่ ชเ่ ปน็ เพยี งอาการบา้ ง (เอโส เม อตตฺ า), ถา้ ไมม่ ธี าตทุ งั้ ๔ กบั
จติ รปู (ทเ่ี ปน็ อปุ าทนิ นกะ) เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อนั เปน็ อาการ กม็ ไี มไ่ ด.้

๒ ว.ิ มหา. ๔/๒๔/๒๐.
๓ ว.ิ มหา. ๔/๖๒/๕๕.
๔ ม. ม.ู ๑๒/๖๔/๙๒.
๕ อง. ปญจฺ ก. ๒๒/๒๒/๒๖.
๖ อง.ฺ เอก. ๒๐/๑๑/๕๒.
๗ ว.ิ มหา. ๑/๙/๓.

182

ความรนู้ น้ั ยอ่ มมอี าการตา่ งกนั ตามชนั้ หรอื ภมู ิ :
ในชน้ั ตน้ รตู้ ามอายตนะ ถา้ ไมม่ อี ายตนะ ความรจู้ ะเกดิ ขน้ึ ไมไ่ ด,้ ความรใู้ นชน้ั นี้ เกดิ แลว้ ดบั ๆ
เปน็ ไปชว่ั ขณะหนง่ึ ๆ เทา่ นนั้ , แตก่ เ็ ปน็ เหตใุ หผ้ ล คอื ความรอู้ นั ตดิ อยเู่ ปน็ พน้ื เพดงั แสดงแลว้ ในตอนสตั ว.์
ในชนั้ ที่ ๒ ความรทู้ เี่ นอ่ื งมาจากความรชู้ นั้ ท่ี ๑ (เกดิ ดบั ) นนั้ ทย่ี งั คงตดิ อยเู่ ปน็ พนื้ เพ (ภมู หิ รอื
ภพ) มไิ ดด้ บั สญู ไป อนั เปลย่ี นคนทมี่ คี วามรอู้ ยชู่ น้ั ๑ ใหเ้ ลอ่ื นเปน็ อกี ชน้ั ๑ เชน่ ความรขู้ องเดก็ ของผใู้ หญ่
เปน็ ตน้ (ไมห่ มายความถงึ เพยี งรปู กาย หมายถงึ ความร,ู้ เพราะบางคนถงึ มรี ปู กายเปน็ ผใู้ หญ่ แตค่ วาม
รเู้ ปน็ ชน้ั เดก็ กม็ )ี . คนเรยี นหนงั สอื หรอื วทิ ยาอน่ื ๆ ความรู้ (ตามอายตนะ) ในเวลาเรยี น คงเกดิ ดบั ๆ
อยเู่ สมอ, แตค่ วามรอู้ กี ชนั้ ๑ ซงึ่ ใหผ้ ลเปน็ ความเขา้ ใจถกู หรอื ผดิ คงเหลอื อย,ู่ เพราะฉะนนั้ คนทเี่ รยี น
หนงั สอื รอู้ า่ นออกแลว้ จงึ ไมจ่ ำ� ตอ้ งเรยี นใหม่ คงรอู้ า่ นออกเปน็ พน้ื เพอย,ู่ แตเ่ มอื่ ไมไ่ ดใ้ ชอ้ า่ น กไ็ มแ่ สดงออก
มาใหป้ รากฏ, ถา้ เกดิ ดบั ๆ หมด คนอา่ นหนงั สอื ออกหรอื รศู้ ลิ ปวทิ ยาอนื่ ๆ กค็ งไมม่ ใี นโลก. ถงึ เชน่ นน้ั
กย็ งั ตา่ งกนั ตามสว่ นทห่ี ยาบอนั เปน็ เพยี งตามสมมติ เชน่ รอู้ า่ นหนงั สอื ออกเปน็ ตน้ กบั สว่ นทลี่ ะเอยี ดอนั
เปน็ ภพหรอื ภมู .ิ
สว่ นทห่ี ยาบทเ่ี ปน็ เพยี งตามสมมตขิ องชาตขิ องภาษา ยอ่ มตดิ อยไู่ ดอ้ ยา่ งนานกเ็ พยี งในชวี ติ ๑
เทา่ นน้ั , แตส่ ว่ นทล่ี ะเอยี ด เชน่ พน้ื เพดี พน้ื เพชวั่ ฉลาด โง่ อนั อาจเปน็ เหตใุ หไ้ ปเรยี นตามสมมตใิ หม่
ไดง้ า่ ยหรอื ยากเปน็ ตน้ ยอ่ มตดิ เปน็ ทางบารมหี รอื อาสวะไปกวา่ จะถงึ ทส่ี ดุ . สว่ นทดี่ ี ทช่ี อบ ทถ่ี กู ตาม
คลองธรรม ทเ่ี ปน็ ไปทางปญั ญาชอบ อนั สตั วไ์ ดท้ ำ� ใหเ้ กดิ ขน้ึ อบรม ทำ� ใหม้ าก เปน็ ทางบารมี และทา่ น
แสดงวา่ ตดิ ไป, แตส่ ว่ นทช่ี วั่ ทผ่ี ดิ เปน็ ทางอาสวะ และทา่ นกแ็ สดงวา่ อาจตดิ ไปดจุ กนั .
พงึ ตรวจดคู นตลอดถงึ ดริ จั ฉานทเี่ กดิ มา บางคนมพี นื้ เพดี บางคนมพี น้ื เพชว่ั บางคนฉลาด บาง
คนโง,่ ดว้ ยเหตนุ ้ี ทา่ นจงึ แสดงวา่ พระโพธสิ ตั วส์ รา้ งบารมตี า่ ง ๆ ในชาตติ า่ ง ๆ เปน็ อนั มากจนบรบิ รู ณ์
จงึ บรรลถุ งึ สมั โพธอิ นั สงู สดุ ดงั นี้ เปน็ ตวั อยา่ ง. แตส่ ว่ นใดทเ่ี ปน็ ของโลกนี้ จำ� ตอ้ งละไวใ้ นโลกนห้ี มด. เมอ่ื
เพง่ ตรวจดใู หถ้ อ่ งแทก้ แ็ ลเหน็ ไดว้ า่ ทกุ ๆ คนทเ่ี กดิ มา ชอ่ื วา่ ยอ่ มตงั้ หนา้ มงุ่ ไปหาทรดุ โทรมและความตาย
เหมอื นกนั หมด, ถงึ ทรพั ยส์ นิ ตา่ ง ๆ ทตี่ า่ งคนตา่ งมงุ่ แสวงหาและหวงแหนไว้ กไ็ ดช้ วั่ คราวเทา่ นน้ั ในทสี่ ดุ
ตา่ งกพ็ ากนั ละทรพั ยส์ นิ นนั้ ๆ ทง้ั หมด ตลอดถงึ รา่ งกายไปตาม ๆ กนั ตอ้ งทง้ิ ทรพั ยน์ น้ั ๆ ไวใ้ หแ้ กค่ นใน
ภายหลงั ตอ่ ๆ กนั ไป ไมม่ ใี ครเอาอะไรไปไดแ้ มส้ กั นอ้ ย นอกจากภพดภี พชว่ั ทตี่ นไดท้ ำ� ใหเ้ ปน็ ขน้ึ . ใคร
จะรเู้ ทา่ หรอื ไมก่ ต็ าม กค็ งเปน็ เชน่ นอ้ี ยตู่ ามธรรมดา ดนู า่ สงั เวช. พระบรมศาสดาจงึ ตรสั เตอื นพทุ ธบรษิ ทั
ใหพ้ จิ ารณาเพอ่ื ใหร้ ตู้ ามเปน็ จรงิ วา่ “เรามคี วามแก.่ ..เจบ็ ...ตายเปน็ ธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ไปได้ และจกั ตอ้ ง
พลดั พรากจากสง่ิ ทร่ี กั ทช่ี อบใจทง้ั หมดไป เหมอื นกนั หมด.” แตถ่ งึ เชน่ นน้ั กย็ งั ตา่ งกนั ดว้ ยบางคนทำ� ดี
บางคนทำ� ชว่ั อนั จะใหผ้ ลเปน็ ภพตอ่ ไป, คนฉลาดหรอื ในคราวทฉี่ ลาดยอ่ มทำ� ดที ำ� ถกู (บญุ ), คนโงห่ รอื

183

ในคราวที่โง่ย่อมท�ำชว่ั ทำ� ผิด (บาป). ความท�ำดีทำ� ถกู ย่อมปรงุ แต่งใหเ้ ป็นผูม้ ีภพดี ความท�ำช่ัว
ท�ำผิดย่อมปรุงแต่งให้เป็นผู้มีภพชั่ว, ไม่ใช่แต่ในชาติหน้า ถึงชาตินี้เองก็ปรุงแต่งให้เป็นอยู่แล้ว,
พึงเห็นในคน ๆ เดียวกัน ถ้าในคราวที่มีเมตตา ย่อมมีจิตแช่มชื่นผ่องใส สีหน้าและผิวพรรณ
ก็ผอ่ งใสงดงาม เสียงทแ่ี สดงออก กอ็ ่อนหวาน ไพเราะ เป็นทนี่ ยิ มรกั ใคร่นบั ถอื ของคนอื่น, ถ้าใน
คราวท่มี คี วามโกรธจัด ยอ่ มมีสีหนา้ วปิ รติ ดวงตาขนุ่ มวั เสยี งทีแ่ สดงออกมาก็กา้ วรา้ วหยาบคาย
เผ็ดร้อน เป็นท่ีเกลียดกลัวไม่ชอบใจของคนอ่ืน, ในปัจจุบันนี้ยังเห็นได้แล้ว ในชาติหน้าต่อไป
ก็ควรสันนิษฐานเห็นเช่นเดียวกัน. เพราะฉะน้ัน พระบรมศาสดาจึงตรัสเตือนให้พิจารณาอีกว่า
“เราเปน็ ผู้มีกรรมเปน็ ของตน...จกั ท�ำกรรมอันใดไวด้ ีหรือชว่ั ก็ตาม จกั เป็นผู้รับผลของกรรมนน้ั .”
ผูต้ อ้ งการเปน็ คนสวยงามและสุคติ พงึ ต้งั ใจทำ� ดี อย่าให้มีความโกรธแค้นเป็นต้น.
ถงึ พระบรมศาสดาไดท้ รงสงั่ สอนไว้เช่นนน้ั ผู้ไม่รู้ตามเปน็ จริง ยงั กลับอาศัยร่างกายบ้าง
ทรพั ยบ์ า้ งทำ� ชว่ั เปน็ ไปเพอ่ื เบยี ดเบยี นตนเองบา้ ง ผอู้ น่ื บา้ งเพอ่ื ใหไ้ ดส้ ว่ นทตี่ นหวงั ตนตอ้ งการอนั
ตนเองกจ็ กั ตอ้ งพรากไปในไม่สูช้ า้ นัก ดว้ ยอำ� นาจโลภะ โทสะ โมหะ ชือ่ วา่ อาศัยสังขารก่อกเิ ลส
อาสวะใหม้ ากขน้ึ โดยลำ� ดบั . สว่ นผรู้ ตู้ ามเปน็ จรงิ ยอ่ มอาศยั รา่ งกายบา้ ง ทรพั ยบ์ า้ ง ทำ� ประโยชน์
เก้ือกูลแก่ตนบ้าง แก่ผู้อ่ืนบ้าง ด้วยอ�ำนาจอโลภะ อโทสะ อโมหะ ชื่อว่าอาศัยสังขารก่อบารมี
ธรรมใหม้ ากมลู ขนึ้ โดยลำ� ดบั , ควรนบั วา่ เปน็ ผฉู้ ลาด รบี ใชเ้ ครอ่ื งมอื ทยี่ มื เขามา และจะตอ้ งสง่ คนื
ในไม่สู้ช้านัก ให้เป็นประโยชน์โดยตรง คือ ความดี ความตรง ความฉลาด ความถูกต้องตาม
คลองธรรม ไม่หลงเก็บไว้เปล่า ๆ หรือน�ำไปใช้ในทางท่ีผิด ท่ีให้เกิดโทษ เสื่อมจากประโยชน์
โดยตรงทคี่ วรไดค้ วรถงึ .
ในชนั้ ที่ ๓ ความรทู้ ป่ี ลอดโปรง่ ไมต่ ดิ ขอ้ งในสงั ขาร, ยากทจ่ี ะแสดง เพราะเกนิ วสิ ยั ทสี่ ามญั ชน
จะรถู้ งึ และแสดงใหถ้ กู ตอ้ งได้ ตอ้ งอาศยั ขอ้ ความในพระพทุ ธศาสนา ทพี่ ระบรมศาสดาทรงแสดง
ไวใ้ นพระสตู รตา่ ง ๆ ดงั ทไี่ ดย้ กขน้ึ อา้ งในตอนทก่ี ลา่ วถงึ ตน้ แหง่ ปญั จขนั ธเ์ ปน็ หลกั วจิ ารณห์ าความ
จรงิ ความถกู แตจ่ ะจรงิ จะถกู แทห้ รอื ไม่ กแ็ ลว้ แตผ่ อู้ า่ นจะคดิ เหน็ : ในอนตั ตลกั ขณสตู รแสดงวา่
“ปญั จขนั ธเ์ ปน็ อนตั ตา... ไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์ มคี วามแปรปรวนไปเปน็ ธรรมดา ไมค่ วรเหน็ วา่ ปญั จ
ขนั ธเ์ ปน็ ของเรา เราเปน็ ปญั จขนั ธ์ ปญั จขนั ธเ์ ปน็ จรงิ ๆ จงั ๆ (อตั ตา) ของเรา, (และแสดงอานสิ งส์
วา่ ) ผฟู้ งั แลว้ เมอ่ื เหน็ อยอู่ ยา่ งนี้ ทา่ นทเี่ ปน็ อรยิ สาวกยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยในปญั จขนั ธ์ เมอื่ เบอื่ หนา่ ย
ยอ่ มปลอ่ ยวาง เพราะปลอ่ ยวาง ยอ่ มหลดุ พน้ เมอื่ หลดุ พน้ กเ็ กดิ ญาณ (ร)ู้ วา่ หลดุ พน้ แลว้ ...”,
นแ้ี สดงวา่ ปญั จขนั ธส์ ว่ น ๑ ผเู้ หน็ ผพู้ น้ สว่ น ๑. ในอาทติ ตปรยิ ายสตู รกเ็ ชน่ เดยี วกนั . ใน วมิ ตุ ตายตน
สตู รแสดง (ถอื เอาความโดยยอ่ ) วา่ “อายตนะคอื ความหลดุ พน้ (หรอื อายตนะทเ่ี ปน็ ทห่ี ลดุ พน้ )
184

๕ ประการ ทเี่ มอ่ื ภกิ ษไุ มป่ ระมาทแลว้ มคี วามเพยี รเผากเิ ลสมตี นสง่ ไป จติ ทย่ี งั ไมห่ ลดุ พน้ ยอ่ มหลดุ
พน้ ได,้ หรอื อาสวะทง้ั หลายทยี่ งั ไมส่ น้ิ สดุ ยอ่ มถงึ ความสนิ้ สดุ ได,้ หรอื ความสน้ิ จากโยคะ (กเิ ลสท่ี
ผกู สตั วไ์ ว)้ อนั ไมม่ อี นื่ ยงิ่ กวา่ ทย่ี งั ไมบ่ รรลยุ อ่ มบรรลไุ ด,้ คอื ๑ ภกิ ษเุ ปน็ ผรู้ แู้ จง้ อรรถ เปน็ ผรู้ แู้ จง้
ธรรม ในธรรมทพี่ ระศาสดาหรอื สพรหมจารที เ่ี ปน็ ทค่ี ารวะแสดงแกต่ น (ฟงั )..., ๒ ภกิ ษเุ ปน็ ผรู้ แู้ จง้
อรรถ เป็นผู้รู้แจ้งธรรม ในธรรมท่ีตนได้แสดงแก่ผู้อื่นตามท่ีได้ฟังมาแล้ว ตามท่ีได้เรียนมาแล้ว
(แสดง)... ๓ ภกิ ษเุ ปน็ ผรู้ แู้ จง้ อรรถ เปน็ ผรู้ แู้ จง้ ธรรม ในธรรมทต่ี นทอ่ ง ตามทไี่ ดฟ้ งั มาแลว้ ตาม
ทไี่ ดเ้ รยี นมาแลว้ (ทอ่ ง)..., ๔ ภกิ ษเุ ปน็ ผรู้ แู้ จง้ อรรถ เปน็ ผรู้ แู้ จง้ ธรรม ในธรรมทต่ี นไดต้ รกึ ตาม
ตรองตามดว้ ยจติ เพง่ พนิ จิ ดว้ ยใจ ตามทไ่ี ดฟ้ งั มาแลว้ ตามทไ่ี ดเ้ รยี นมาแลว้ (ตรกึ ตรอง เพง่ )...,
๕ ภกิ ษเุ ปน็ ผรู้ แู้ จง้ อรรถ เปน็ ผรู้ แู้ จง้ ธรรม ในธรรมคอื สมาธนิ มิ ติ อนั ตนถอื เอาดแี ลว้ ทำ� ในใจดแี ลว้
จำ� ทรงไวด้ แี ลว้ ขบดแี ลว้ ดว้ ยปญั ญา, (เมอื่ ภกิ ษไุ ดท้ ำ� เชน่ นนั้ อยา่ ง ๑ ๆ) ปราโมช ความเบกิ บาน
ใจยอ่ มเกดิ เมอ่ื เกดิ ปราโมช ปตี ิ ความอมิ่ ใจยอ่ มเกดิ เมอื่ ใจมปี ตี ิ กายกส็ งบ ผมู้ กี ายสงบ ยอ่ ม
เสวยสขุ (สขุ เวทนา) เมอ่ื มสี ขุ จติ ยอ่ มตง้ั มน่ั นี้ วมิ ตุ ตายตนะ (อายตนะ คอื ความหลดุ พน้ หรอื
อายตนะทเี่ ปน็ ทห่ี ลดุ พน้ แตน่ า่ จะวา่ อายตนะเปน็ เครอ่ื งหลดุ พน้ กระมงั ). นแ้ี สดงวา่ เมอ่ื ภกิ ษรุ แู้ จง้
ธรรม จติ ทย่ี งั ไมว่ มิ ตุ (หลดุ พน้ ) อาจวมิ ตุ ได.้
ในวินัยมหาวิภังค๘์ แสดงว่า “...เมื่อเรา (พระบรมศาสดา) รู้เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้วิมุต
(หลุดพ้น) แล้วแม้จากกามาสวะ... แม้จากภวาสวะ... แม้จากอวิชชาสวะ. นี้ก็แสดงความเช่น
เดยี วกนั . ควรเหน็ วา่ ความรแู้ จง้ ทเี่ ปน็ ตวั ปญั ญานน้ั เปน็ เหตุ จติ วมิ ตุ เปน็ ผล จติ วมิ ตุ เพราะปญั ญา.
เมอื่ จติ เปน็ ผหู้ ลดุ พน้ เพราะปญั ญา ซงึ่ นา่ จะเปน็ ปจั จยั แหง่ วชิ ชา, ปญั ญาหรอื วชิ ชากต็ อ้ งอยทู่ จ่ี ติ
เปน็ ความรขู้ องจติ , เหมอื นดงั แสงสวา่ งเกดิ ทไี่ หน กก็ ำ� จดั มดื ทนี่ นั่ , เพราะฉะนน้ั คำ� วา่ “เจโตวมิ ตุ ต”ิ ๙
จงึ นา่ จะแปลวา่ ความหลดุ พน้ ของจติ ไมใ่ ชด่ ว้ ยจติ , “ปญฺ าวมิ ตุ ตฺ ”ิ จงึ นา่ จะแปลวา่ ความหลดุ พน้
ดว้ ยปญั ญา, แสดงผลกอ่ นแลว้ จงึ แสดงเหต.ุ
ควรสนั นษิ ฐานเหน็ ตามกระแสพระพทุ ธภาษติ วา่ ตามธรรมดาปญั จขนั ธต์ ลอดถงึ อายตนะ
เปน็ ของเกดิ แลว้ ดบั ๆ อยเู่ สมอ (อปุ ปฺ ชชฺ ติ วฺ า นริ ชุ ฌฺ นตฺ ิ เกดิ แลว้ ดบั ) นกึ ดกู ไ็ ด้ ตงั้ แตจ่ ำ� ความ
ไดม้ าจนบดั น้ี รปู เกา่ ดบั ไป รปู ใหมเ่ กดิ ขน้ึ แทน เปลย่ี นแปลงมาเทา่ ไรแลว้ นามทงั้ ๔ กเ็ ชน่ เดยี วกนั
และตอ่ ไปอกี กค็ งเปน็ เชน่ น,้ี ใครจะรเู้ ทา่ หรอื ไมก่ ต็ าม กค็ งเปน็ เชน่ นอี้ ยเู่ สมอ. ความรผู้ ดิ ไมใ่ ชร่ ตู้ าม
เปน็ จรงิ เปน็ เหตใุ หย้ ดึ ถอื จงึ ตดิ อยไู่ มห่ ลดุ พน้ ไปได.้


๘ วิ. มหา. ๑/๙/๓.
๙ เจตะ ถา้ หมายถงึ จติ กค็ งเปน็ เชน่ ทแ่ี สดงไวน้ นั้ ถา้ หมายถงึ ความคดิ ของจติ กน็ า่ จะแปลวา่ พน้ ดว้ ยเจตะ.

185

ปัญจขันธ์พระบรมศาสดาทรงแสดงว่าเป็นทุกข์ เพราะชาติ ชรา มรณะ และทุกข์กาย
เบยี ดเบยี นอยเู่ สมอ (ตามนยั แหง่ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร), และมคี วามแปรเปลย่ี นไป (อนจิ จฺ )ํ ,
ทนอยู่ คงทไี่ มไ่ ด้ และตอ้ งลำ� บากยากแคน้ (ทกุ ขฺ )ํ , บงั คบั ใหเ้ ปน็ ไปผดิ ธรรมดาไมไ่ ด้ (อนตตฺ า)
ประจำ� อยเู่ สมอ (ตามนยั แหง่ อนตั ตลกั ขณสตู ร) จงึ ชอ่ื วา่ เปน็ ทกุ ขอ์ ยตู่ ามธรรมดา ฯ ผไู้ มร่ ตู้ ามเปน็ จรงิ
ยดึ ถอื เอาเปน็ ตน กช็ อื่ วา่ ยดึ ทกุ ขม์ าเปน็ ตน, เมอ่ื ยดึ ทกุ ขม์ าเปน็ ตน ไฉนจกั พน้ ทกุ ขไ์ ดเ้ ลา่ , เหมอื นดงั
เชอื้ ทไี่ ฟเผาตามธรรมดากต็ อ้ งรอ้ น คนไมร่ ไู้ ปยดึ เขา้ กต็ อ้ งรอ้ นเอง จะโทษใคร.
อนง่ึ การทถ่ี อื ปญั จขนั ธเ์ ปน็ ตนกเ็ ทา่ กบั ถอื การยนื เดนิ นอน นงั่ พดู คดิ ซงึ่ เปน็ อาการ
ของคนวา่ เปน็ คน (จะถกู หรอื ), การยนื เดนิ นอน นง่ั พดู คดิ เหลา่ นจี้ ะเทย่ี งและจะเปน็ คนหรอื
ตนไดห้ รอื และถา้ ไมม่ คี น การยนื เดนิ นอน นง่ั พดู คดิ ซงึ่ เปน็ อาการกม็ ไี มไ่ ด้ ขอ้ นฉ้ี นั ใด, ธาตุ
ทงั้ ๔ กบั จติ อาศยั กนั เปน็ ไป จงึ แสดงอาการออกมาเปน็ ปญั จขนั ธ์ จะเทย่ี งและเปน็ ตนไดห้ รอื , และ
ถา้ ไมม่ ธี าตทุ ง้ั ๔ กบั จติ รปู (ทเ่ี ปน็ อปุ าทนิ นกะ) เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อนั เปน็ อาการ
กม็ ไี มไ่ ด้ ฉนั นน้ั .
สขุ สำ� ราญอนั ใด อนั เกย่ี วเนอื่ งกบั ปญั จขนั ธท์ สี่ ตั วต์ อ้ งประสงคน์ กั นนั้ กเ็ ปน็ ดว้ ยแกท้ กุ ขใ์ ห้
หลดุ ไปไดค้ ราว ๑ ๆ เทา่ นนั้ ไมใ่ ชส่ ขุ จรงิ , ถา้ ไมม่ ที กุ ข์ หรอื ไมก่ อ่ ทกุ ขใ์ หเ้ กดิ ขน้ึ กอ่ นแลว้ จงึ แกก้ ็
ไมร่ สู้ กึ วา่ เปน็ สขุ ถา้ ไมห่ วิ ยงั อม่ิ อยขู่ น้ึ กนิ เขา้ ไป อาจรสู้ กึ เปน็ ทกุ ขเ์ สยี อกี , เมอื่ ไดป้ ระสบรอ้ นชอื่ วา่
เปน็ ทกุ ข์ อาบนำ้� หรอื เอาพดั ๆ ไดป้ ระสบเยน็ จงึ รสู้ กึ เปน็ สขุ แตถ่ า้ ไมร่ อ้ นหรอื หนาวอยู่ อาบนำ้�
หรอื พดั เขา้ กลบั ไดท้ กุ ขเ์ สยี อกี , อยากไดท้ รพั ยช์ อ่ื วา่ เปน็ ทกุ ข์ เมอ่ื ไดท้ รพั ยม์ า จงึ รสู้ กึ เปน็ สขุ ถา้
ไมอ่ ยากได้ ถงึ ไดม้ ากไ็ มเ่ กดิ สขุ , อยากไดต้ า่ ง ๆ เปน็ ทกุ ข์ แกอ้ ยากไดต้ า่ ง ๆ ใหห้ ลดุ พน้ ไปได้
เปน็ สขุ . ทกุ ขห์ รอื สขุ กเ็ ปน็ เวทนาขนั ธ์ อนั เปน็ ความรสู้ กึ ของจติ กบั รปู ทอ่ี าศยั กนั เปน็ ไปชว่ั คราว
เทา่ นนั้ แลว้ กด็ บั ไป ยงั คงเหลอื อยแู่ ตค่ วามรทู้ จ่ี ำ� เกบ็ ไว้ เหมอื นดงั ฝนั เหน็ , เมอ่ื ตนื่ ขน้ึ อารมณน์ น้ั ๆ
ทฝี่ นั เหน็ กด็ บั หมด ยงั คงเหลอื แตค่ วามรทู้ จี่ ำ� เกบ็ ไวเ้ ทา่ นน้ั .
ปญั ญาทร่ี ตู้ ามเปน็ จรงิ โดยกระแสพระพทุ ธภาษติ นน้ั ๆ เปน็ เหตใุ หจ้ ติ หลดุ พน้ จากความ
ยึดถือปัญจขันธ์เป็นตน, เม่ือไม่ยึดถือปัญจขันธ์เป็นตน อิฏฐารมณ์อันใดมาประสบ ก็ไม่ยินดี,
อนฏิ ฐารมณอ์ นั ใดมาประสบ กไ็ มย่ นิ รา้ ย, เพราะไมเ่ หน็ วา่ มตี น จงึ ไมเ่ หน็ วา่ ตนได้ ตนเสยี ตลอด
ถงึ ตนไมไ่ ดเ้ กดิ ไมไ่ ดแ้ ก่ ไมไ่ ดเ้ จบ็ ไมไ่ ดต้ าย, เพราะนน่ั เปน็ เรอ่ื งของโลกของขนั ธต์ า่ งหาก ดงั
พระพทุ ธภาษติ ทแ่ี สดงแกโ่ มฆราชมาณพวา่

186

“สญุ ฺ โต โลกํ อเวกขฺ สสฺ ุ โมฆราช สโต สทา
อตตฺ านทุ ฏิ ฺ ี อหู จจฺ เอวํ มจจฺ ตุ ตฺ โร สยิ า,
โมฆราช ทา่ นจงเปน็ ผมู้ สี ติ ถอนความตามเหน็ วา่ ตนเสยี พงึ พนิ จิ เหน็ โลกโดยความเปน็
ของสญู ทกุ เมอื่ กจ็ ะพงึ เปน็ ผขู้ า้ มพน้ ความตายเสยี ไดอ้ ยา่ งน.้ี
เอวํ โลกํ อเวกขฺ นตฺ ํ มจจฺ รุ าชา น ปสสฺ ติ
มจั จรุ าชยอ่ มไมเ่ หน็ ผเู้ หน็ โลกอยอู่ ยา่ งน.ี้ ”
ในอคั ควิ จั ฉโคตรสตู ร๑๐ ตอน ๑ วา่ “วจั ฉโคตรปรพิ พาชกไดท้ ลู ถามพระบรมศาสดาวา่ ..
ภกิ ษผุ มู้ จี ติ หลดุ พน้ แลว้ อยา่ งน้ี ยอ่ มเกดิ ทไี่ หน. พระบรมศาสดาตรสั ตอบวา่ คำ� ทพี่ ดู วา่ ‘เกดิ ’ ‘ไม่
เกดิ ’ ‘เกดิ บา้ ง ไมเ่ กดิ บา้ ง’ ‘เกดิ กไ็ มใ่ ช่ ไมเ่ กดิ กไ็ มใ่ ช’่ เหลา่ นไ้ี มส่ มควร.” นแี้ สดงวา่ ไมค่ วรพดู ถงึ
ทา่ นผรู้ ตู้ ามเปน็ จรงิ ถงึ ทส่ี ดุ วา่ ‘เกดิ ’ ทเี ดยี ว, เพราะเรอื่ งเกดิ เรอื่ งตายเปน็ เรอ่ื งของขนั ธ์ เมอื่ ทา่ น
ไมย่ ดึ ถอื ขนั ธเ์ ปน็ ตนแลว้ เรอื่ งเกดิ เรอื่ งตายกเ็ ปน็ อนั หมด.
อนงึ่ ในอคั ควิ จั ฉโคตรสตู รนน้ั เอง พระบรมศาสดาตรสั ตอ่ ไปวา่ “เมอื่ บญั ญตั ิ ตถาคตพงึ
บญั ญตั ดิ ว้ ย รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อนั ใด, รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณอนั
น้ัน อันพระตถาคตละขาดแล้ว..., พระตถาคตพ้นจากความนัยว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วญิ ญาณ เปน็ สภาพอนั ลกึ อนั ประมาณมไิ ด้ อนั หยง่ั ถงึ ไดย้ าก..., เหมอื นมหาสมทุ ร ไมค่ วรวา่
‘เกดิ ’ ‘ไมเ่ กดิ ’ ‘เกดิ บา้ ง ไมเ่ กดิ บา้ ง’ ‘เกดิ กไ็ มใ่ ช่ ไมเ่ กดิ กไ็ มใ่ ช’่
เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ดงั นแี้ ลว้ วจั ฉโคตรปรพิ พาชกไดท้ ลู (สรรเสรญิ ธรรมเทศนา
เปรยี บความ) วา่ “เหมอื นตน้ รงั ใหญ่ มกี ง่ิ ใบ เปลอื ก สะเกด็ และกระพ้ี หลดุ รว่ งและกระเทาะ
หมดแล้ว เพราะความเป็นของไม่ย่ังยืน ยังคงเหลือแต่แก่นอันบริสุทธิ์ฉันใด, ศาสนธรรมของ
พระโคดมกม็ กี ง่ิ ใบเปลอื ก สะเกด็ และกระพี้ ไปปราศแลว้ ยงั เหลอื อยแู่ ตแ่ กน่ อนั บรสิ ทุ ธ์ิ ฉนั นนั้ .”
ปญั ญาอนั เกดิ ขน้ึ ทำ� หนา้ ทต่ี ดั ความรไู้ มจ่ รงิ ใหข้ าดไป เหมอื นมดี ทต่ี ดั ไมใ้ หข้ าด แลว้ กแ็ ลว้ ไป
จงึ กลา่ ววา่ ดบั เพราะหมดกจิ , แตค่ วามหลดุ พน้ จากความยดึ ถอื ขนั ธท์ ไี่ มใ่ ชเ่ ปน็ ของจรงิ ทป่ี รากฏ
แจม่ แจง้ เปน็ ชดั ขนึ้ เปน็ พน้ื เพ ไมด่ บั ไป เหมอื นความขาดของไมท้ ถี่ กู มดี ตดั แลว้ กป็ รากฏขาดอยู่
เสมอไมด่ บั คอื ไมก่ ลบั ตดิ กนั เขา้ อกี ฉะนน้ั . นก้ี ลา่ วโดยธมั มาธษิ ฐาน.

๑๐ ม. ม. ๑๓/๒๔๕/๒๔๘-๒๕๒.

187

เมอ่ื กลา่ วโดยปคุ คลาธษิ ฐาน หมายเอาความรเู้ ปน็ บคุ คล (ใหล้ งรปู กนั กบั รขู้ อ้ งรตู้ ดิ ซง่ึ เปน็
สตั ว)์ ทา่ นผรู้ เู้ ชน่ นน้ั กเ็ ปน็ พทุ โฺ ธ ผรู้ ผู้ อู้ น่ื (ไมห่ ลง) ถา้ ทา่ นผรู้ นู้ นั้ รเู้ อง ไมม่ คี รู กเ็ ปน็ สมพฺ ทุ โฺ ธ
ผรู้ เู้ อง. ถา้ ทา่ นผรู้ นู้ นั้ ตอ้ งอาศยั ฟงั แตท่ า่ นผรู้ อู้ นื่ กอ่ น คอื ตอ้ งมคี รจู งึ รไู้ ด้ กเ็ ปน็ สาวกพทุ โฺ ธ ผรู้ ทู้ ่ี
เปน็ สาวก หรอื อนุพทุ ฺโธ ผู้รู้ตาม, ถา้ ท่านผูร้ นู้ น้ั ถงึ รู้เอง แตไ่ ม่ได้สอนใหผ้ ู้อื่นรูต้ ามได้ ก็เป็น
ปจเฺ จกพทุ โฺ ธ ผรู้ จู้ าํ เพาะตวั , ตามศพั ทว์ า่ พทุ ธฺ ิ หรอื โพธิ ซง่ึ แปลวา่ ปญั ญาเครอื่ งรู้ เครอ่ื งตน่ื หรอื
ความรู้ ความตน่ื .
ความรนู้ น้ั (ในสว่ นน)้ี กต็ า่ ง ๆ กนั ในชน้ั ตน้ รจู้ ำ� รตู้ ง้ั ชอ่ื และรตู้ ามเรอ่ื ง เปน็ สว่ นปรยิ ตั ,ิ
รทู้ นั กเิ ลสทเี่ กดิ ขน้ึ และสงบเสยี ได้ ไมใ่ หฟ้ งุ้ ซา่ นไป เปน็ สว่ นปฏบิ ตั ,ิ รทู้ วั่ รถู้ งึ รรู้ อบ จนกำ� จดั
กเิ ลสเสยี ไดข้ าด ไมเ่ กดิ ขนึ้ อกี ไดต้ ามขน้ั ของความรเู้ ปน็ สว่ นปฏเิ วธ. ไมร่ เู้ ลย อาจใหร้ ปู้ รยิ ตั ไิ ด้ ดว้ ย
ตงั้ ใจเรยี น, รเู้ พยี งปรยิ ตั ิ อาจใหร้ ถู้ งึ ปฏบิ ตั ไิ ด้ ดว้ ยมสี ตติ ง้ั ใจปฏบิ ตั ติ ามปรยิ ตั ,ิ รเู้ พยี งปฏบิ ตั ิ อาจ
ใหร้ ถู้ งึ ปฏเิ วธได้ ดว้ ยตง้ั ใจปฏบิ ตั อิ บรม ทำ� ใหม้ าก ใหบ้ อ่ ย ๆ เขา้ ใหม้ กี ำ� ลงั ยง่ิ ขนึ้ ๆ ดว้ ยประการ
ฉะน.้ี
188

วฏั ฏะ
การวนเวยี นซ้�ำซาก

นโม พทุ ธสสฺ
วนั กบั คืนหน่ึงแบ่งเป็น ๒๔ ชั่วโมง เมอ่ื คิดปนั ออกเปน็ สว่ น ๆ ส�ำหรบั การน้นั ๆ ท้ังที่
เปน็ เหตุให้เกิดผล ทัง้ ทีเ่ ป็นผลของคนตา่ งชาติ ต่างช้ันต่างชนดิ ทุกคนหรือพวก, ยอ่ มเหลอื วิสัย
ท่ีจะกล่าวให้ถูกถ้วนโดยละเอียดได้, จึงกล่าวถึงการเป็นไปของคนบางคนหรือบางพวก ส�ำหรับ
เวลา ๒๔ ช่ัวโมง พอเป็นตวั อย่างให้เห็นความไดเ้ ท่าน้ัน :
ตามธรรมดาสามญั ชน ต่ืนนอนเช้า ลา้ งหน้าหรอื อาบนำ้� (ซง่ึ เป็นเครือ่ งช�ำระ) แตง่ ตัว
บ้าง เล่น (อย่างผ่อนผัด) หรือท�ำการบริโภคอาหาร ถ่าย (ถ้ามีที่ท�ำการก็ไป) ท�ำการบริโภค
อาหาร พัก อาบน้�ำ เล่น และอน่ื ๆ ทไี่ มจ่ �ำต้องกล่าวถึง และเวน้ การบางอย่างสำ� หรบั คนบาง
จำ� พวก กบั นอน (นงั่ นอนยนื เดนิ ไมต่ อ้ งกลา่ วถงึ ดงั กลา่ วแลว้ ) ดงั นี้ เปน็ ระยะ ๆ ตลอดเวลา ๒๔
ชั่วโมง. ครัน้ รุ่งขึน้ เวลาเชา้ อกี ก็ตอ้ งเปน็ ดงั นั้นอีกเสมอ ๆ. ถงึ บางวนั หรือบางคนจะเปล่ียนแปลง
ไปบา้ ง ก็คงอยู่ในต่ืนนอน ชำ� ระ แตง่ ตวั บรโิ ภคอาหาร ด่ืม ถ่าย ทำ� การ เล่น พกั หลบั บำ� รุง
กาย เป็นต้น เหลา่ น้ีเอง ไม่พ้นไปได้, แม้ผู้ใดมชี าติเป็นอย่างไร จะท�ำการในหน้าทไ่ี หน ๆ ก็ตาม
เมอื่ คิดรวมเวลาส�ำหรบั ๒๔ ชวั่ โมงแลว้ ก็อยู่ในต้องเปน็ ดงั กลา่ วแลว้ นน้ั ทุก ๆ วัน.
ถา้ จะให้เหน็ ง่าย ๆ ทกุ ๆ คนลองคดิ ดู หรอื ตีตารางทแ่ี ผ่นกระดาษ ท�ำให้เป็นชอ่ ง ๆ
สำ� หรบั เขยี นกรอกเวลากบั การทตี่ นทำ� (เอาจำ� เพาะแตก่ ารทเ่ี หน็ วา่ เปน็ ประโยชนท์ ชี่ อบใจอนั เปน็
ผล หรือทั้งการทถ่ี ้าจะตอ้ งทำ� อันเป็นเหตดุ ว้ ยก็ได้) : ต้งั แตเ่ วลายำ่� รุ่ง หรือตื่นนอนเชา้ ไป เวลา
ไหนได้ท�ำอะไร ก็คดิ หรือจดลงในชอ่ งตารางทข่ี ดี ไว้นั้น ทกุ ๆ อย่างของการ และทกุ ๆ ระยะของ
เวลา จนถงึ ยำ�่ รงุ่ หรอื ตน่ื นอนเชา้ วนั ใหมเ่ ปน็ ทส่ี ดุ . เมอื่ ไดค้ ดิ หรอื จดลงตารางบญั ชลี องดสู กั ๓ วนั
แลว้ ก็จะรู้สกึ ไดว้ ่าตนตอ้ งท�ำการซ�้ำ ๆ ซาก ๆ อันรู้สกึ รสซึมซาบอยแู่ ลว้ ไมร่ จู้ กั หยดุ หยอ่ น ทุก
รอบวันกบั คนื หน่งึ เสมอ ถงึ ผู้อน่ื ก็เหมอื นกนั .
นี้สังสารวฏั ฏ์ (เวียนวนไป) ส�ำหรับเวลา ๒๔ ชว่ั โมง ถา้ ว่าคิดใหย้ าวออกไปอกี สำ� หรบั
เวลา ๑ เดอื น หรอื ๑ ปี เป็นต้น ก็จะรูส้ กึ ได้ว่า ตนต้องทำ� การซำ�้ ๆ ซากๆ อยู่ ทกุ รอบเดอื น
และปีเสมอไป คือในเดือนนีไ้ ด้ทำ� อยา่ งไร ในเดือนหน้าเปน็ ตน้ ก็คงต้องทำ� อยา่ งน้นั อีก. ในปนี ีไ้ ด้

189

ทำ� อยา่ งไร ในปหี นา้ เปน็ ตน้ กค็ งตอ้ งทำ� อยา่ งนน้ั อกี . แมจ้ ะมใี ครคดิ มงุ่ หมายวา่ ตอ่ ไปเขาจะไดร้ บั
สว่ นทตี่ อ้ งการนน้ั ยงิ่ ขน้ึ อกี สกั เทา่ ไรกต็ าม. เพราะวา่ การหรอื สว่ นทเี่ ขาเหน็ วา่ เปน็ ประโยชนเ์ ปน็
ท่ตี อ้ งการของเขา ซ่ึงเขาไดป้ ระสบมาแล้ว กจ็ ะไม่ต่างอะไรจากท่เี ขาคาดว่าจะได้ต่อไปข้างหน้า :
เช่นกับคนหน่ึง ในเวลาที่ล่วงมา แล้วได้มีเงินทองทรัพย์สมบัติน้อย แต่ต่อไปเขาจะมีได้มากข้ึน
อกี หลายพนั หลายหม่นื เทา่ ดังน้,ี ถา้ เขาใช้ปญั ญาพจิ ารณาตรติ รองตามเหตผุ ลแล้ว กค็ งจะไม่
เหน็ ตา่ งอะไรกนั นกั . เพราะประโยชนท์ เี่ ขาตอ้ งการนนั้ กเ็ พยี งการกนิ เปน็ ตน้ ซงึ่ ไดเ้ คยมาแลว้ ซำ้� ๆ
ซาก ๆ นั้นเองเหมือนกนั . ถึงว่า ความทเี่ ขามีมากน้นั เปน็ เหต,ุ เขาจะไดม้ ีโอกาสย่วั ให้เกดิ ความ
ยนิ ดี และไดบ้ ริโภคมากข้นึ กต็ าม, เม่ือคิดดใู ห้ดี ก็ไมเ่ หน็ แปลกประหลาดอะไรเลย. เมื่อมีความ
ตอ้ งการหรอื อยากมากกบ็ รโิ ภคมาก, เมอ่ื มคี วามตอ้ งการหรอื อยากนอ้ ยกบ็ รโิ ภคนอ้ ย. ผลคอื อม่ิ
หรอื พอประสงคช์ ั่วครงั้ ก็เท่ากนั : ช้างไดก้ นิ อาหารมากเพราะตวั ใหญ,่ หนกู นิ อาหารนอ้ ยเพราะ
ตวั เล็ก, ผลท่ีอ่มิ กไ็ ม่ตา่ งกัน. ไมใ่ ชว่ ่าชา้ งกนิ อาหารมากกว่าหนู จะรู้สึกอิม่ กว่าหนู, หนกู นิ อาหาร
น้อยกว่าช้าง, จะรูส้ ึกทอ้ งพร่อง ไม่พออิ่มเหมือนช้างเม่อื ไร, ถ้าเขาใช้ปญั ญาพจิ ารณาดูสกั หน่อย
แลว้ , เขาก็คงจะเห็นจรงิ ไดโ้ ดยไม่ต้องสงสัย.
เม่ือไดร้ ูส้ ึกว่า ทกุ ๆ คนตอ้ งทำ� การ (ถงึ จำ� เพาะแตท่ ีเ่ หน็ วา่ เป็นท่ตี ้องการดงั กล่าวแลว้
ขา้ งต้น) ซ�ำ้ ๆ ซาก ๆ อยู่ดังนี้ ทุกรอบวัน ทุกรอบเดือน ทุกรอบปแี ลว้ นา่ จะนึกเบอื่ หรือไม.่
ถา้ วา่ มีใครถกู ใชใ้ ห้ท�ำการขุดหลุมสกั ๔-๕ หลมุ แต่ว่าเมือ่ ขุดหลมุ หนึง่ แลว้ ขดุ หลมุ อืน่ ๆ ตอ่ ๆ
ไป, พอแล้วเสร็จ หลมุ เหล่าน้นั ก็กลับเตม็ ขนึ้ มา, เขาตอ้ งกลับขดุ ซ้ำ� วนตอ่ ไปใหม่, แต่พอขุดแล้ว
หลมุ เหล่าน้ันก็กลับเตม็ เสยี อีก, เขาต้องขุดต่อไปอกี , เป็นการซ้�ำ ๆ ซาก ๆ ไม่ร้จู กั จบ ดังนีท้ ุก
วนั ๆ. เขาจะนึกเบอ่ื สกั ปานไรหรือไม่. การทตี่ อ้ งขดุ หลมุ ซ�ำ้ ๆ ซาก ๆ ทุกวันไมร่ ้จู กั จบ ก็ไม่ต่าง
กบั การท่สี ามัญชนท�ำ (แม้ด้วยเห็นว่าเปน็ ทต่ี อ้ งการนั้น) ซ�้ำ ๆ ซาก ๆ ทกุ วนั และคนื ไมร่ ูจ้ ักจบ
เหมอื นกัน : นาฬกิ าทเ่ี ดินวนเวยี นไป ทุกรอบ ๑๒ ช่วั โมง เมื่อถงึ ระยะก็ตี ๑ แลว้ , ๒ แลว้ , ๓
แล้ว, ๔ แลว้ , ๕ แลว้ , ๖ แลว้ , ๗ แล้ว, ๘ แล้ว, ๙ แล้ว, ๑๐ แล้ว, ๑๑ แล้ว, ๑๒, พอครบ
รอบแลว้ กต็ ้องตี ๑ ไปใหมท่ กุ ๆ รอบ. ถ้าลองคิดดูว่า ถ้านาฬกิ ามีจิตมใี จเหมอื นมนุษย์ หรอื
นาฬกิ าเป็นคนแลว้ , นาฬิกาหรือคนผนู้ นั้ จะร้สู กึ ได้ว่า ตนต้องทำ� การซ�ำ้ ๆ ซาก ๆ น่าเบอ่ื เสยี
เหลือเกินไม่ใช่หรอื . ความทนี่ าฬิกาตอ้ งทำ� การซำ้� ๆ ซาก ๆ อยทู่ กุ รอบ ๑๒ ชวั่ โมง เพราะตอ้ ง
ตี ๑ เปน็ ต้น จนถงึ ๑๒ เปน็ ท่สี ดุ แลว้ กลบั เวียนไปใหมอ่ กี ไม่รจู้ ักจบก็ไมต่ ่างกับความท่สี ามัญ
ชนผูห้ วงั อยู่เพยี งการซำ้� ซากทาํ (แมด้ ว้ ยเหน็ ว่าเปน็ ทตี่ อ้ งการเปน็ ท่ีชอบใจ) อยูท่ ุกรอบวนั กับคนื
เหมือนกัน. เพราะสามัญชนมกั จะมุ่งประโยชน์เพียงโลกยี สขุ เช่นกลา่ วแลว้ (คือบรโิ ภคกามคุณ)
190

เปน็ พนื้ . ถงึ จะบำ� เพญ็ บญุ กศุ ลตามศาสนาทเี่ ขานบั ถอื กม็ กั หวงั ผลเพยี งเทา่ นน้ั . ถา้ บางคนจะกลา่ ว
ว่า ในชีวิตของเขา เขาต้องการบ�ำเพ็ญบุญกุศลให้ยิ่งขึ้นไป, เมื่อดังนั้นก็สมควรอยู่. ก็แต่ถ้าเขา
บำ� เพญ็ บาปพว่ งขา้ งไปดว้ ย กเ็ ทา่ นนั้ เอง. เพราะเปน็ อนั แลกดแี ลกชวั่ กนั ไปเสมอ ๆ. ไมต่ อ้ งกลา่ ว
ถงึ คนทท่ี ำ� บาปโดยมาก, ผใู้ ชค้ วามคดิ คงเหน็ ได.้ ถา้ เปน็ ดงั นนั้ คำ� กลา่ วของเขา กจ็ ะเปน็ แตส่ ำ� หรบั
อา้ งเลศเทา่ นนั้ เอง, ดว้ ยเขาไมเ่ คยใชป้ ญั ญาตรติ รองสอบสวนทบปลายหาตน้ จนรสู้ กึ ดว้ ยใจ (สว่ น
ผู้ทห่ี วังผลอืน่ ย่งิ ข้นึ ไป ยังไมก่ ลา่ วถึงในตอนน)้ี .
ถ้าจะมปี ญั หาข้ึนว่า “ไฉนคนโดยมากจงึ ได้อุตสาหะท�ำการงานแมท้ เ่ี ขาไม่อยากท�ำ มาก
บ้างน้อยบา้ ง บางทีถงึ เหนอื่ ยออ่ นเหง่ืออาบหนา้ ด้วยหวังผลกเ็ พียงซ�้ำ ๆ ซาก ๆ ซงึ่ เคยมาแลว้
และไม่รจู้ กั จบอยู่ทุกรอบนน่ั เอง ไม่คดิ เบ่อื หน่ายเลย” ดงั นี้. ท่านท่ีเคยคดิ คงตอบไดว้ ่า “เพราะ
เขาไม่ไดค้ ดิ เห็นไปโดยจรงิ ๆ จงั ๆ วา่ เขาต้องทำ� การซ�้ำ ๆ ซาก ๆ ซ่ึงนา่ เบอ่ื อย่ทู กุ รอบน้ัน ตาม
บงั คบั ของนาย คอื ความตอ้ งการหรอื ความอยาก, เขาเหน็ แตเ่ พยี งวา่ การเหลา่ นน้ั เปน็ ประโยชน์
แกเ่ ขา เขาต้องการ” เทา่ นน้ั .
ถ้าจะคิดว่า คนที่ตอ้ งทำ� การขดุ หลุมวนเวียนไมร่ ูจ้ ักจบ เพราะมีผู้บังคบั คอื ผู้มอี ำ� นาจ
เหนือ, นาฬกิ าต้องเดนิ วนเวยี นไปไมร่ ้จู กั จบ เพราะมผี ูบ้ งั คบั คือ ลานทค่ี ลายออกแลว้ , คนตอ้ ง
ท�ำการซ้�ำ ๆ ซาก ๆ วนเวยี นไปไม่ร้จู กั จบ กเ็ พราะมผี ้บู ังคบั คอื ความต้องการหรอื ความอยาก
น่นั เอง เหมอื นกนั . แตเ่ ขาไม่คอ่ ยรสู้ กึ เช่นน้ัน เพราะความต้องการหรือความอยากนัน้ อาศยั อยู่
ในตวั เขาเอง ไมม่ ตี วั ตนทเ่ี ขาจะเหน็ ได้ด้วยดวงตา. แต่ถ้าเขาใช้ปญั ญาคดิ ยกเอาความตอ้ งการ
หรือความอยากนัน้ ออกไวเ้ สยี สว่ นหน่งึ ต่างหาก จนรสู้ กึ ได้จริง ๆ แล้ว, เขาจะเห็นไดท้ ีเดียวว่า
ความตอ้ งการหรอื ความอยากนน้ั เปน็ นายผ้บู งั คบั เขา, เขาตอ้ งท�ำการซำ้� ๆ ซาก ๆ ไม่ร้จู ักหยุด
หยอ่ น ไมร่ ้จู ักจบ ก็เพราะความตอ้ งการหรอื ความอยากนนั้ เองบังคับ. ความต้องการหรือความ
อยากนี้ ถ้าเป็นคนแล้ว โลกควรจะสรรเสรญิ แท้ ๆ ว่า “เป็นผู้ฉลาดเหลอื เกินในการใชบ้ ่าว จน
ไมร่ สู้ ึกตวั ได้.”
อนึง่ บางคนมักหาอุบายย่ัวความต้องการหรอื ความอยากให้เกิดมากขน้ึ เพือ่ ประสงค์จะ
ได้บริโภคส่วนท่ีต้องการน้ันให้มากข้ึน, ก็เท่ากับหาเหตุอะไรมาย่ัวโทสะนาย ท�ำให้นายฉุนเฉียว
ข้ึน จึงได้ใช้ให้เขาท�ำการ (จ�ำเพาะสิ่งที่นายต้องการน้ัน) หนักมากขึ้น. ส่วนผู้ท่ีมิได้ท�ำเช่นนั้น
(มิได้หาอุบายย่ัวความต้องการหรืออยากให้เกิดมากขึ้น) เขาจึงได้บริโภคโดยปกติหรือน้อย, ก็
เท่ากับเขาไม่หาเหตุอะไรมายั่วโทสะนาย ซึ่งจะท�ำให้นายฉุนเฉียวถึงกับใช้เขาให้ท�ำการหนักข้ึน
เขาจึงไดท้ �ำการเรือ่ ย ๆ ไป.

191

การณ์ (ท่ีหาอุบายย่ัวให้เกิดความต้องการหรือความอยาก) น้ีเอง ท�ำให้บุคคลต้อง
ขวนขวายท�ำการงานของโลกหนักขนึ้ แตส่ ่วนประโยชน์ทต่ี ้องการนนั้ กเ็ พียงการซ�้ำ ๆ ซากๆ ซงึ่
เคยมาแลว้ วนเวยี นไป รอทา่ ความตายอนั จะมาถงึ เขา้ เมอ่ื ไรเทา่ นน้ั . พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผเู้ ปน็
ยอดนกั ปราชญ์ กไ็ ดท้ รงแสดงไว้วา่
“ปุปผฺ านิ เหว ปจินนฺตํ พฺยาสตตฺ มนสํ นรํ
อติตตฺ ํ เยว กาเมสุ อนฺตโก กุรุเต วสํ
(แปลวา่ ) ผ้ทู �ำท่ีสดุ คอื ความตาย ย่อมท�ำคนผกู้ �ำลังมีใจมนุ่ อย่ใู นอารมณ์ตา่ ง ๆ ไม่รจู้ กั
เบอื่ ในกาม เหมอื นก�ำลังเพลนิ เก็บดอกไม้ให้อยใู่ นอำ� นาจ.”
อนงึ่ การกนิ เปน็ ตน้ หรอื กามคณุ (ซง่ึ เปน็ ทตี่ อ้ งการของชนสามญั ผหู้ วงั อยเู่ พยี งกามสขุ )
น้นั บุคคลจะขวนขวายบำ� รงุ ตนให้มากสักปานใดก็ตาม ก็ไมส่ ามารถจะท�ำใหเ้ ขารู้สึกอิม่ หรอื พอ
ทุเลาขนึ้ ได้ในเวลาหลัง, เม่ือเขาได้ประสบแลว้ กเ็ ลยไป ไม่คงอยู่, เหมือนน�ำ้ ท่ตี กลงบนใบบวั ไม่
สามารถจะติดอยู่ได้ฉะนั้น. ลองคิดดูก็ได้ว่า เม่ือสัก ๔-๕ ปีมาแล้ว, ส่วนท่ีต้องการ ที่บุคคล
ประสบน้ัน อะไรยังท�ำให้เขารู้สึกอิ่มหรือพอทุเลาเหลืออยู่ จนบัดนี้ได้บ้าง ไม่มีเลย, เม่ือเช่นน้ี
ควรหรือท่ีจะเห็นวา่ ประโยชน์เพยี งการซำ�้ ซาก ซงึ่ ถ้าคดิ แลว้ ก็นา่ เบือ่ อนั ไม่เป็นชอ่ื เสยี งนั้น จะ
เป็นผลที่หวังทีส่ ุดในชีวติ ของคนทใ่ี ช้ความคิดรอบคอบ ประกอบด้วยยกุ ติธรรม และสามารถจะ
ทำ� ประโยชน์อื่นใหย้ ิ่งกว่าได.้
ข้อความท่ีกล่าวมาแล้วแต่ต้นน้ัน ถ้าจะแยกเป็นไตรวัฏฏ์ (วัฏฏะ ๓ คือ กรรม กิเลส
วิบาก) การยึดถือม่ันว่าตัว และหวังประโยชน์แก่ตัวด้วยความรัก จัดเป็นกิเลสวัฏฏ์, การท�ำ
ประโยชนแ์ กต่ วั จดั เปน็ กรรมวฏั ฏ,์ ผลคอื ประโยชนท์ ต่ี อ้ งการ อนั ทำ� ใหเ้ กดิ ขนึ้ จดั เปน็ วปิ ากวฏั ฏ,์
และผลทเ่ี กดิ ข้ึน (เพราะไดท้ ำ� กรรมหรือการงาน) อันเปน็ วปิ ากวฏั ฏ์น้นั ก็เป็นเหตใุ ห้เกิด (ความ
คิดความตอ้ งการ หรือความปรารถนาอันเป็น) กเิ ลสวัฏฏ์ ขน้ึ อกี และใหท้ ำ� (กรรมหรือการงาน
อนั เปน็ ) กรรมวฏั ฏต์ อ่ ไป จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ วปิ ากวฏั ฏข์ นึ้ อกี วนเวยี นกนั อยู่ ประดจุ กงเกวยี น อนั หมนุ
ไปฉะน้ัน.
รูปํ ชรี ติ มจฺจานํ นามโคตตฺ ํ น ชีรติ
รปู (คอื รา่ งกาย) ของผู้ตอ้ งตายทงั้ หลาย ยอ่ มย่อยยับไป แตช่ ื่อและโคตร (ของเขา)
ยังมไิ ดย้ อ่ ยยบั (สญู ) ไปด้วย.
192

คนทีไ่ ดเ้ คยอ่านหนงั สือเรือ่ งต่าง ๆ เชน่ พงศาวดารและเรอ่ื งศาสนา ซึ่งได้ลงความเห็น
วา่ เปน็ เรื่องจริง คงจะได้เคยพบเห็นพระนามและนามของท่านผู้น้นั ผ้นู ีเ้ ป็นอนั มาก, เมือ่ สง่ ใจไป
ตาม ก็ดนู ่าสนุกสนานเพลดิ เพลินบา้ ง น่าเศรา้ โศกและน่ากรุณาบา้ ง นา่ ศรัทธาเลือ่ มใสบ้าง นา่
สรรเสรญิ บา้ ง นา่ ตเิ ตยี นบา้ ง ตามความรสู้ กึ ใจของตนในความเปน็ ไปของทา่ นนน้ั ๆ. แตท่ า่ นนน้ั ๆ
ไม่ได้มีรปู กายคงอยูใ่ ห้เราเห็นไดใ้ นชั้นหลัง ๆ น้ีสกั ผเู้ ดยี ว. แม้แต่ทา่ นทเ่ี ปน็ ตน้ ๆ สกลุ ของเรา
เราก็มไิ ดเ้ ห็นรูปกายของทา่ นทุก ๆ คนได้ จะเหน็ ไดบ้ ้างกแ็ ตบ่ างทา่ น. ถงึ ดงั นัน้ ก็เป็นแตใ่ นชั้น
ต้น ๆ ครนั้ ต่อ ๆ มาก็ไม่ไดเ้ ห็นอีก, ถึงท่านนนั้ ๆ จะเป็นคนสามัญหรอื พิเศษอย่างไรกต็ าม.
นน่ั เปน็ เพราะเหตไุ ร. ทกุ ๆ คนคงตอบได้ (ใช้ศัพท์อยา่ งสามญั หรือท่ัวๆไป) ว่า “ตาย.” ไมม่ ใี คร
เหลืออย่ไู ด้สักคนเดยี ว. นี่เปน็ ธรรมดา. เพราะฉะนนั้ เราควรรสู้ ึกทำ� ในใจไว้เสมอวา่ “ทุกคนและ
สตั วท์ เี่ กดิ มาแลว้ ตอ้ งจำ� ตายดว้ ยกนั ทง้ั สนิ้ ไมม่ ใี ครอาจทนอยไู่ ดเ้ กนิ กวา่ สมยั .” พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ผู้เปน็ ยอดนกั ปราชญ์ กไ็ ด้ทรงแสดงไวว้ ่า
“สพฺเพ สตฺตา มริสฺสนฺติ มรณนฺตํ หิ ชวี ิตํ.
(แปลวา่ ) สตั วท์ ้ังหลายทงั้ หมดจักตาย, เพราะชีวติ มคี วามตายเปน็ ทส่ี ุด.”
แต่ช่ือเสียงที่ดีและชั่ว เพราะได้ท�ำดีและช่ัวไว้ ยังคงเหลืออยู่ให้ผู้อ่ืนรู้ได้, ถึงใครจะหวัง
หรอื มิหวังกต็ าม.
ชอื่ เสยี งทปี่ รากฏไปนน้ั ไมจ่ ำ� เพาะแตข่ องคนทม่ี หี นา้ ทสี่ งู หรอื ใหญ,่ ถงึ พลทหาร ของชาวสวน
ชาวนา ของพอ่ คา้ กย็ อ่ มปรากฏไปใหผ้ อู้ น่ื ทราบไดด้ ว้ ยทวั่ กนั ทง้ั นน้ั . กแ็ ตว่ า่ คนทที่ ำ� หนา้ ทสี่ งู หรอื
ใหญ่ กย็ อ่ มมชี อ่ื เสยี งปรากฏไปมาก, คนทม่ี หี นา้ ทต่ี ำ�่ หรอื เลก็ นอ้ ยกย็ อ่ มมชี อ่ื เสยี งปรากฏไปนอ้ ย.
หรอื คนทท่ี ำ� ดหี รอื ชว่ั ใหญ่ กย็ อ่ มมชี อ่ื เสยี งปรากฏไปมาก คนทท่ี ำ� ดหี รอื ชวั่ นอ้ ย กย็ อ่ มมชี อื่ เสยี ง
ปรากฏไปนอ้ ย. ใครจะถอื ใจเสยี วา่ คนนน้ั ๆ ซง่ึ อยใู่ นปกครองของตวั , ตวั ไดเ้ คยเหน็ มาแตเ่ ลก็ แต่
นอ้ ย มคี วามรศู้ ลิ ปวทิ ยากเ็ พยี งเทา่ นน้ั ๆ ไฉนจะรถู้ งึ ทนั ตนไดด้ งั น้ี ไมถ่ กู แท.้ เลขกด็ ี หนงั สอื กด็ ี
เปน็ ตน้ , เมอ่ื ใครรเู้ พยี งไหน และไมไ่ ดพ้ ยายามเรยี นตอ่ ไปแลว้ กพ็ อจะกำ� หนดคาดความรกู้ นั ได,้
แตค่ วามคดิ ความรถู้ งึ ทนั นน้ั คาดกนั ยาก ดหู มนิ่ กนั งา่ ย ๆ ไมไ่ ด.้ ถา้ ใครขน้ึ ดหู มนิ่ ดว้ ยไมไ่ ตรต่ รอง
ใหล้ ะเอยี ดกอ่ นแลว้ บางทกี จ็ ะไดร้ บั ความดหู มน่ิ นนั้ ยอ้ นกลบั , เมอื่ เขารเู้ ทา่ แลว้ แตท่ ำ� ไมร่ เู้ ทา่ เสยี .
อนง่ึ ความดแี ละความชวั่ นน้ั บางทเี มอ่ื ผทู้ ยี่ งั มชี วี ติ อยู่ กย็ งั ไมค่ อ่ ยปรากฏแพรห่ ลายไป
ดว้ ยเหตอุ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ , แตค่ รนั้ ผทู้ ำ� นน้ั ลว่ งไปแลว้ จงึ ปรากฏแพรห่ ลายไปมาก, จนถงึ กบั ไดจ้ ด
ลงไวใ้ นหนงั สอื เชน่ ทเ่ี รา ๆ ไดพ้ บเหน็ มาแลว้ สำ� หรบั เปน็ เรอื่ งใหค้ นในภายหลงั จำ� ไวส้ อนใจและ
อา้ งถงึ ในเวลาชต้ี วั อยา่ ง.

193

เพราะฉะน้ัน ทกุ คน ๆ เมอื่ สามารถอยูค่ วรหรอื ท่ีจะไม่ทำ� การ ซ่ึงจะเปน็ ช่อื เสยี งของตัว
ให้เกิดข้ึน. แต่ช่ือเสียงนี้ ต้องเข้าใจว่า เป็นช่ือเสียงท่ีดี ที่ได้อุตสาหะท�ำให้เกิดขึ้น ด้วยน้�ำพัก
น้�ำแรง ซ่ึงประชุมชนผู้รู้จักผิดชอบ ประกอบด้วยยุกติธรรม ได้ยกย่องสรรเสริญ คือท�ำกิจการ
งานท่ีดี อันเป็นหน้าที่ของตนให้ดี มีความอารีเผื่อแผ่ช่วยอุดหนุนการและผู้ที่ควรอุดหนุน
ใหเ้ จรญิ ยงิ่ ๆ ขนึ้ ตามสามารถของตน ๆ และตามหนา้ ทข่ี องมนษุ ยซ์ ง่ึ ควรมตี อ่ กนั โดยยกุ ตธิ รรม,
ถา้ เปน็ ทช่ี อ่ื เสยี งทชี่ ว่ั กย็ ง่ิ ซำ้� รา้ ย. เพราะชอื่ เสยี งนน้ั เองเปน็ เครอื่ งประกาศความดแี ละชวั่ ของคน
ไปไดน้ าน แม้เขาล่วงลบั ไปแลว้ .
คนทมี่ ที รพั ยสมบตั มิ ากมาย เมอ่ื ไมม่ คี วามอารเี ผอื่ แผ่ และไมท่ ำ� ชอื่ เสยี งของตนใหด้ ี มวั
แตว่ ุ่นอยดู่ ้วยการหาเงินทอง และการบ�ำรุงตนด้วยการซำ�้ ๆ ซาก ๆ นนั้ ถา่ ยเดยี ว ไมร่ ูจ้ ักจบ ทำ�
ชือ่ เสยี งของตนให้เสียไป ด้วยเหตนุ น้ั หรือดว้ ยประการใดประการหนงึ่ , แม้จะมชี ื่อเสยี งเล่าลือไป
ก็เล่าลือไปส�ำหรับติเตียน หาได้เล่าลือไปส�ำหรับสรรเสริญไม่. ถ้าจะไม่มีช่ือเสียงปรากฏไปเลย
ยังจะดีกว่า เพราะจะได้ไม่เป็นการประจานตัวเอง และบางทีตลอดถึงบุตรหลานและจะไม่เป็น
ตวั อย่างทช่ี ัว่ แก่ผ้อู ่ืนบางคน, เปรียบเหมือนดอกไม้ ถึงจะไม่หอมเลย กย็ ังดกี ว่าเหม็น.
เม่ือบคุ คลได้ทราบแล้ววา่ “ทกุ ๆ คนจะตอ้ งมชี อื่ เสยี งปรากฏไป ใหผ้ ูอ้ ื่นรู้ไดท้ ั้งดแี ละชั่ว
อยา่ งน้อยเพยี งในครอบครวั ของตนเอง” ดังน,ี้ ถา้ สามารถอยู่ ควรหรอื ท่จี ะไมพ่ รากเวลาส�ำหรับ
ท�ำการซ�้ำและแบ่งทรัพย์จากทรัพย์ส�ำหรับบ�ำรุงท�ำการซ้�ำ ซึ่งถ้ามีควรจะแบ่งได้มาท�ำการดีตาม
หน้าท่ีตามสามารถ ซ่ึงจะเป็นชื่อเสียงที่ดี ให้คนท่ีใช้ความคิดรอบคอบ ประกอบด้วยยุกติธรรม
สรรเสรญิ และเป็นสงา่ เป็นตวั อย่างทด่ี ีแกบ่ ุตรและหลานในช้ันหลัง ๆ. ถา้ ไม่สามารถท่จี ะทำ� ได้ดี
ทส่ี ดุ กค็ วรทำ� ใหเ้ ปน็ ลำ� ดบั รอง ๆ ลงมา อยา่ งตำ่� กเ็ พยี งรกั ษาอยา่ ใชช้ อ่ื เสยี งทชี่ ว่ั เกดิ มขี น้ึ เพราะ
ทำ� ความชวั่ ได้ คนทม่ี ชี อ่ื เสยี งปรากฏในเรอื่ งหนงั สอื นนั้ บางคนกน็ า่ ติ บางคนกน็ า่ สรรเสรญิ , นนั่
เปน็ เพราะเหตุไร ไมใ่ ช่เพราะการณ์ทไี่ ดท้ �ำชวั่ และดไี ว้หรือ.
อนงึ่ ความสขุ หรอื สนกุ นนั้ อยทู่ ไ่ี หน เมอื่ มคี วามพอใจในสง่ิ ใด ไดป้ ระสบสงิ่ นนั้ สมประสงค์
จะไมเ่ ปน็ สขุ หรอื . เมอ่ื เชน่ นี้ ควรหรอื ทบ่ี คุ คลผมู้ สี ตริ อบคอบและสามารถอยู่ จะไมท่ ำ� ความพอใจ
ใหเ้ กดิ มใี นคณุ ความดตี า่ ง ๆ มที ำ� ชอ่ื เสยี งทด่ี ใี หเ้ กดิ ขน้ึ เปน็ ตน้ จะมวั วนุ่ กงั วลอยแู่ ตใ่ นการซำ�้ ซาก
ไม่รู้จักหยุดหย่อน จนกว่าความตายหรือความไม่สามารถจะมาตัดเสีย. ถ้าคิดโดยรอบคอบ
ประกอบดว้ ยเหตุผลแล้ว ทุก ๆ คนคงรสู้ กึ ได้เอง และควรรสู้ กึ ธรรมดาของโลกดว้ ย.
194

โลกธรรม

ธรรมทีเ่ กดิ แก่สตั วโลกตามธรรมดา

ตามธรรมดา ทุก ๆ คน ในระหว่างเวลาทยี่ ังมชี วี ิตเปน็ ไปอยจู่ ำ� เพาะตวั เขาเอง เขาตอ้ ง
ไดร้ ับรสของส่วนทน่ี ่าปรารถนา คอื ลาภบา้ ง ยศบา้ ง สรรเสริญบ้าง สุข (สบายกายสบายใจ)
บ้าง ซ่ึงจะท�ำให้เขายินดีเพลิดเพลินได้เป็นคร้ังเป็นคราว และก็ต้องได้รับรสของส่วนที่ไม่น่า
ปรารถนา คอื เสือ่ มลาภบ้างเสื่อมยศบา้ ง นินทาบ้าง ทุกข์ (ไมส่ บายกายไมส่ บายใจ) บา้ ง ซง่ึ จะ
ทำ� ใหเ้ ขาเศรา้ โศกเสยี ใจเปน็ ครง้ั เปน็ คราวไปดว้ ยเหมอื นกนั . เพราะสว่ นทน่ี า่ ปรารถนา และไมน่ า่
ปรารถนาทั้งสองน้ันเป็นคู่กันไป ใครจะปรารถนาให้มีแต่ส่วนเดียวไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเป็น
ธรรมดาของโลก, เช่นกับมีเกิดแล้ว จะไม่ให้มีตายไม่ได้. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นยอด
นักปราชญ์ จึงได้ทรงแสดงไว้ว่า “ส่วนทน่ี า่ ปรารถนา คอื ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ และสว่ นท่ี
ไม่น่าปรารถนา คอื ไม่ใช่ลาภ ไมใ่ ช่ยศ นนิ ทา ทกุ ข์ ซึ่งเรียกว่า โลกธรรม ย่อมมีแกส่ ตั วโลก
ทวั่ หนา้ ทง้ั แกป่ ถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ฟงั ทงั้ แกอ่ รยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั ฟงั แลว้ . แตป่ ถุ ชุ นผไู้ มเ่ คยไดฟ้ งั ยอ่ ม
ไม่รู้สกึ ตามเปน็ จริงว่า ‘ส่วนนั้น ๆ ท่ไี ดเ้ กดิ ข้นึ ไม่เทีย่ ง เป็นทกุ ข์ มคี วามแปรปรวนเปน็ ธรรมดา’
จึงยินดีในส่วนที่น่าปรารถนาและยินร้ายในส่วนท่ีไม่น่าปรารถนา, เมื่อยังประกอบด้วยการยินดี
และการยนิ รา้ ยอยู่ เขาจงึ ไม่พน้ จากทกุ ข์. สว่ นพระอริยสาวกผู้ได้เคยฟงั ย่อมรู้สกึ ตามเป็นจรงิ วา่
‘สว่ นนั้น ๆ ทไ่ี ด้เกิดขึน้ ไม่เทย่ี ง เปน็ ทุกข์ มคี วามแปรปรวนเป็นธรรมดา’ จงึ มไิ ด้ยินดใี นสว่ นท่ี
น่าปรารถนาและไม่ยินดียินร้ายในส่วนท่ีไม่น่าปรารถนา, เม่ือไม่ประกอบด้วยความยินดีและ
ย นิ รา้ ยแลว้ ทา่ นจึงพน้ จากทกุ ขไ์ ด้,”
อนงึ่ โลกยิ ชนสามญั ในเวลาไดป้ ระสบสว่ นทนี่ า่ ปรารถนากบั เสอ่ื มเสยี (ซงึ่ เปน็ คกู่ นั ) ยอ่ มรสู้ กึ
รสไมเ่ ทา่ กนั เชน่ ในเวลาทไ่ี ดเ้ งนิ ทองกด็ ี ภรยิ าหรอื สามี บตุ รหรอื ธดิ า ทร่ี กั ใครก่ ด็ ี กร็ สู้ กึ ยนิ ดี แตไ่ ม่
เทา่ ถงึ กบั เศรา้ โศกเสยี ใจ ในเวลาทเ่ี งนิ ทองกด็ ี ภรยิ าหรอื สามกี ด็ ี บตุ รหรอื ธดิ ากด็ ี เปน็ ตน้ ทรี่ กั ใคร่
นนั้ ถงึ ความวบิ ตั ไิ ป, และถา้ ไมม่ สี ตอิ ยบู่ า้ งแลว้ เมอื่ ไดป้ ระสบสว่ นทนี่ า่ ปรารถนาเขา้ กม็ กั แสดงอาการ
วปิ ลาส ซง่ึ ถา้ ตวั เขาเองรสู้ กึ ไดก้ จ็ ะเหน็ นา่ เกลยี ด ไมต่ อ้ งกลา่ วถงึ ผอู้ นื่ ๆ แตค่ รนั้ เมอ่ื เสอื่ ม เสยี สว่ นที่
นา่ ปรารถนา หรอื ไดป้ ระสบสว่ นทไี่ มน่ า่ ปรารถนา กเ็ ศรา้ โศกเสยี ใจ ถงึ คลง่ั เพอ้ และทรกรรมตนเองบา้ ง
บางทถี งึ ผลาญชวี ติ ตนเสยี กม็ .ี เพราะเหตนุ ้ี ทกุ ๆ คนจงึ ควรทำ� ในใจในธรรมดาของโลกอยเู่ สมอ ๆ

195

เพื่อได้มีสติผ่อนผันไม่ให้ละเลิงหลงจนลืมตัว ในเวลาที่ได้ประสบส่วนที่น่าปรารถนาและไม่น่า
ปรารถนานน้ั ๆ. ความเปน็ ผมู้ สี ตริ กั ษาใจใหส้ งบระงบั ได้ ไมป่ ลอ่ ยใหย้ นิ ดยี นิ รา้ ยไปตามสว่ นทน่ี า่
ปรารถนาและไม่น่าปรารถนา ซง่ึ มาประสบนน้ั เปน็ คุณอนั ประเสริฐ. เมื่อใครท�ำได้เพียงใด กไ็ ด้
รับความสุขเพียงนั้น. ความสุขส�ำราญนั้น มิใช่จะมีแต่แก่คน มีลาภมาก หรือม่ังมีเสมอได้โดย
ส่วนเดียว.
196

มรณนตฺ ิ หิ ชีวิตํ
ชีวิตมคี วามตายเป็นทส่ี ดุ
ทุก ๆ คนและสัตว์ทีเ่ กิดมาแล้ว จำ� เป็นต้องตาย คอื จ�ำต้องละรา่ งกายอนั นเี้ หมอื นกัน
หมดทั่วหน้า จะต่างกันก็เพียงช้าหรือเร็ว และในเวลาท่ีก�ำลังกังวลห่วงใยอาลัยหรือไม่เท่านั้น.
เพราะชีวิตมคี วามตายเปน็ ทีส่ ดุ .
ถ้าในชีวิตนี้ ใครหวังประโยชน์อยู่ก็เพียงการกินเป็นต้น ซึ่งกล่าวมาแล้วเท่านั้น เม่ือจะ
ต้องตายหรือป่วยหนัก จนถึงสงสัยในชีวิตจะเศร้าโศกเสียใจท�ำไม เพราะเหตุไร, มิต้องตอบว่า
“เพราะเสียดายการซ�้ำซากท่ีเคยท�ำ (ตามบังคับของนาย) นั้นด้วย จะต้องละท้ิงไปเสีย” หรือ.
เมื่อเช่นน้ี, ถ้าผู้ใช้ปัญญาไตร่ตรองตามสมควรแก่เหตุผล จะเห็นว่าเป็นการถูกต้องสมควรหรือ.
คนทตี่ อ้ งขดุ หลมุ ซำ้� ซากวนเวยี นไปทกุ วนั ไมร่ จู้ กั จบ ตามบงั คบั ของผมู้ อี ำ� นาจเหนอื กด็ ี นาฬกิ าซง่ึ
ถา้ มีใจรสู้ ึกสุขทุกขเ์ ป็นตน เหมอื นคน ต้องเดนิ วนเวยี นซำ�้ ซากไปทุกรอบ ๑๒ ชั่วโมง ไม่รจู้ ักจบ
ตามบังคับของนาย (คอื ลาน) กด็ ี เมอ่ื เวลาจะได้หยุดงาน คือขุดและเดนิ ตีนนั้ , เขาควรมีความ
เศรา้ รำ� พนั เพอ้ เพราะอาลยั ถงึ การท่ีตอ้ งทำ� ซ�ำ้ ซากน้นั หรือ.
ถึงคนท่ีหวังประโยชน์อย่างอื่น นอกจากที่กล่าวแล้วน้ี ก็ควรมีสติรู้สึกธรรมดาของชีวิต
ซงึ่ มีความตายเป็นทีส่ ุด ไม่ควรเศรา้ โศกรำ� พันเพ้อ เพราะเหตแุ ห่งความตาย. ดว้ ยวา่ ความเศร้า
โศกร�ำพนั เพ้อหรอื แสดงอาการวิปลาสต่าง ๆ เพราะอาลัยถึงชีวิต ของตนกด็ ี ของผ้อู ืน่ ก็ดี ถึงจะ
มากมายสกั เทา่ ไร กไ็ มส่ ามารถจะทำ� ใครใหไ้ มต่ ายได.้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผเู้ ปน็ ยอดนกั ปราชญ์
กไ็ ดท้ รงแสดงไวว้ ่า
“น สนตฺ ิ ปตุ ตฺ า ตาณาย น ปิตา นปิ พนธฺ วา
อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส นตฺถิ าตีสุ ตาณตา.
(แปลว่า) เม่ือบุคคลอันความตายถึงเข้า ไม่มีบุตร ไม่มีบิดา ไม่มีเผ่าพันธุ์จะป้องกันได้,
ความปอ้ งกนั ในญาติ (คนร้จู กั กนั ) ทง้ั หลายไมม่ ี”

ความตายนน้ั ยอ่ มครอบงำ� สตั วโลก ไมไ่ ดน้ ยิ มกาลเวลาวา่ เมอื่ ไร, ไมไ่ ดน้ ยิ มกำ� หนดอายุ
ว่าเท่าไร, ไมไ่ ด้นิยมชนั้ หรือชาติว่าเป็นอย่างไร, ไมไ่ ดน้ ิยมคณุ วฒุ ิวา่ โงห่ รือฉลาดอยา่ งไร, ไม่ได้
นยิ มสถานที่ ว่าที่ไหน. เมอื่ ความตายมาถงึ เขา้ , ไม่มใี ครปอ้ งกนั ต้านทานตอ่ สไู้ ดด้ ว้ ยกำ� ลังทรัพย์
ก�ำลังกายและก�ำลังความคิด หรือด้วยอุบายประการใดประการหน่ึงเลย. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นยอดนกั ปราชญก์ ไ็ ดท้ รงแสดงไวว้ า่

197

“อนมิ ติ ฺตมนญฺาตํ มจฺจาน อิธ ชีวติ .ํ
ชีวติ ของผจู้ ำ� ต้องตายทง้ั หลายในโลกน้ี ไม่มีอะไรเปน็ เครอื่ งกำ� หนดหมาย, ใคร ๆ ทราบ
ไมไ่ ด้ (ว่าจะดับเมื่อไร).

ทหรา จ มหนตฺ า จ เย พาลา เย จ ปณฑฺ ิตา
สพเฺ พ มจฺจุวสํ ยนตฺ ิ สพเฺ พ มจฺจปุ รายนา.

ชนทงั้ หลาย ทงั้ เดก็ ทง้ั ผใู้ หญ่ ทง้ั โงท่ ง้ั ฉลาด ลว้ นไปสอู่ ำ� นาจมฤตยู (ความตาย) มมี ฤตยู
เป็นเบ้ืองหนา้

น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชเฺ ฌ
น ปพพฺ ตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วชิ ชฺ เต โส ชคตปิ ปฺ เทโส
ยตรฺ ฏฺติ ํ นปฺปสเหยยฺ มจจฺ ุ.
คนไป ณ อากาศก็ดี ณ ท่ามกลางมหาสมทุ รกด็ ี สถู่ �้ำหรือเหวก็ดี ไม่พึงพ้นจากมฤตยู
ได.้ เพราะวา่ สถานท่ี ๆ บคุ คลได้อยู่ ซึง่ มฤตยูจะบีบคนั้ ไมไ่ ด้ ไม่ม.ี

ทมู ปฺผลาเนว ปตนตฺ ิ มานวา
ทหรา จ วฑุ ฒฺ า จ สรรี เภทา
น มยี มานสสฺ ภวนตฺ ิ ตาณา
าตี จ มิตตฺ า อถ วา สหายา
มนษุ ยท์ งั้ หลาย ทง้ั เดก็ ทง้ั ผใู้ หญ่ ยอ่ มลว่ งไปเพราะสรรี ะแตกเหมอื นผลไมห้ ลน่ . ไมม่ ญี าติ
และมติ รหรอื สหาย เปน็ ผู้ปอ้ งกนั ผตู้ ายไว้ได้.

ทกุ ๆ คนเมอ่ื ไดร้ วู้ า่ เราจำ� ตอ้ งตายดว้ ยกนั หมด ดงั นี้ แลว้ ควรรบี ทำ� กจิ การ ซงึ่ จะเปน็
ประโยชน์เก้ือกูลแก่ตนและผู้อ่ืนโดยชอบธรรมเสีย ไม่ควรแฉะช้าให้เวลาล่วงไปเสียเปล่า ด้วย
ปราศจากประโยชน์ ใหต้ อ้ งตามคำ� ตกั เตอื นดว้ ยกรณุ าของพระบรมศาสดาผเู้ ปน็ ยอดนกั ปราชญว์ า่
“อชฺเชว กิจฺจมาตปฺป,ํ โก ชญฺ า มรณํ สเุ ว.

(แปลวา่ ) ควรทำ� ความเพยี รเสยี ในวนั นนี้ แ่ี หละ, ใครจะรวู้ า่ ความตายจะมตี อ่ วนั รงุ่ ขน้ึ ” เปน็ ตน้ .

198

ถงึ การของโลกยิ ชน จะตดิ ตอ่ ยดื ยาวไปเสมอ ไมม่ เี วลาสนิ้ สดุ ในชวี ติ นเี้ ปน็ ธรรมดากต็ าม
ก็ควรขวนขวายจัดให้ลงระเบียบเรียบร้อยไว้ ไม่ควรปล่อยทิ้งให้อากูลเกล่ือนกล่นสับสนยุ่งเหยิง
จะได้ไม่เดือดร้อนร�ำคาญ ทั้งงานการที่จัดดีลงระเบียบน้ี พระบรมศาสดาผู้เป็นยอดนักปราชญ์
ก็ไดท้ รงแสดงไว้วา่ เปน็ มงคลอยา่ งหนึง่ .
ขอ้ ความทไี่ ดก้ ลา่ วมาแลว้ ตงั้ แตต่ น้ นนั้ เมอื่ ทา่ นไดพ้ จิ ารณาดโู ดยรอบคอบแลว้ จะนำ� ชวี ติ
ของท่านให้เปน็ ไป หรอื จะท�ำเวลาทำ� ชีวิตของท่านใหล้ ่วงไปด้วยอบุ ายประการใด, กแ็ ลว้ แตค่ วาม
ด�ำรเิ ห็นสมควรเทอญ.

199

ภาคธรรม

ธมั มะ กบั ธรรม

คนไทยทถี่ อื พทุ ธศาสนาหรอื แมไ้ มถ่ อื มกั จะไดย้ นิ คำ� วา่ ธรรม มาตงั้ แตย่ งั เลก็ , แตเ่ มอื่ ไม่
ได้ศึกษาก็ไม่รู้ว่าแปลหรือหมายความว่าอย่างไร และอาจไม่รู้ตลอดไป, แม้จะรู้บ้าง ก็รู้เพียง
หมายความว่าดี ไม่รูถ้ งึ ศพั ท์และความทัว่ ๆ ไป.
ศพั ท์ว่า ธมั มะ หรอื ธรรม นนั้ คิดว่ามาจาก “ธร” ธาตุ ทีแ่ ปลวา่ “ทรง” หมายความ
ว่า ทรงตนเองไว้ คือ ถา้ ดี กท็ รงความดอี ยูเ่ สมอ ไมก่ ลายเปน็ ชวั่ , ถ้าชวั่ กท็ รงความช่ัวอยู่เสมอ
ไม่กลายเป็นดี, ถ้าไม่ดีไม่ชั่ว (ตามอภิธรรมนัย) ก็ทรงความไม่ดีไม่ชั่วอยู่เสมอ ไม่กลายเป็นดี
หรือเป็นชั่ว, และทรงคนให้เป็นดีหรือเป็นช่ัว หรือไม่ดีไม่ชั่วด้วย, เพราะดีหรือช่ัวย่อมปรากฏท่ี
บุคคล ไม่ปรากฏทอี่ ื่น นอกจากบุคคล.
แต่ในพระพทุ ธภาษติ บางแห่งแสดงว่าธรรมหมายถึงส่วนดีค่กู บั อธรรม หรืออาธรรม ซ่งึ
หมายถึงส่วนไม่ดีก็มี ดังพระบาลี แปลว่า “ธรรมกับอธรรมมีผลไม่เหมือนกัน อธรรมย่อมน�ำ
(บคุ คล) ไปสนู่ ิรยะ ส่วนธรรม ใหถ้ ึงสคุ ติ.”
อกี อยา่ งหนง่ึ ธรรมหมายถงึ สจั จธรรม สภาพทจ่ี รงิ และจรงิ อยเู่ สมอ ไมเ่ ปลย่ี นแปลง จงึ เปน็
อกาลโิ ก ไมป่ ระกอบดว้ ย กาลเวลา ๑, ศาสนธรรม ธรรมคอื คำ� สอนอนั ประกาศแสดงสจั จธรรมนน้ั ๑.
ธรรมนน้ั แสดงโดยปรยิ าย ๑ ตามพระพทุ ธภาษติ วา่ เย เต ธมมฺ า อาทกิ ลยฺ าณา มชเฺ ฌกลยฺ าณา
ปรโิ ยสานกลยฺ าณา ธรรมเหลา่ ใดงามในเบอื้ งตน้ งามในทา่ มกลาง งามในทส่ี ดุ กลา่ วพรหมจรรยพ์ รอ้ ม
ทงั้ อรรถ คอื เนอ้ื ความ พรอ้ มทงั้ พยญั ชนะ คอื ถอ้ ยคำ� บรบิ รู ณบ์ รสิ ทุ ธโ์ิ ดยสนิ้ เชงิ ดงั น.ี้
ศพั ทว์ า่ “ธรรม” ในทนี่ ้ี ควรหมายถงึ ศาสนธรรม คอื คำ� สง่ั สอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
อนั ประกาศแสดงสจั จธรรม, ทวี่ า่ งามในเบ้ืองต้น กเ็ พราะพระสมั มาสมั พุทธเจ้าทรงแสดง เพือ่ ให้
ผฟู้ งั ไดค้ วามรู้ตามเป็นจรงิ ไดใ้ นพระพุทธภาษิตวา่ “อภญิ ฺ าย โข โส ภควา ธมมฺ ํ เทเสติ โน
อนภิญฺาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม เพื่อให้รู้ ไม่ทรงแสดงธรรมเพ่ือให้ไม่รู้” ดังน้ี
ท่ีวา่ งามในทา่ มกลาง ก็คือ ช้ีเหตผุ ลให้บุคคลผสู้ นใจพิจารณาจบั เหตุสาวหาผล จับผลสาวหาเหตุ
เขา้ ใจเนื้อความด้วยตนเอง ไดใ้ นพระพทุ ธภาษติ ว่า “สนทิ านํ ธมมฺ ํ เทเสติ โน อนทิ านํ พระผมู้ ี
พระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมมีเหตุ ไม่ทรงแสดงธรรมไร้เหตุ” ดังนี้, ท่ีว่ามีคุณหรืองามในท่ีสุด
200

ก็คือเม่ือบุคคลผู้สนใจฟังเข้าแล้ว จับเหตุจับผล จนเห็นจริงด้วยใจตน จนถึงได้ปฏิบัติตามตาม
สมควร คอื สว่ นใดควรละ กล็ ะ, สว่ นใดควรบำ� เพญ็ กบ็ ำ� เพญ็ , จนปรากฎผลอนั เกดิ แตก่ ารปฏบิ ตั ิ
นั้น ได้ในพระบาลวี า่ “สปฺปาฏหิ ารยิ ํ ธมมฺ ํ เทเสติ โน อปปฺ าฏิหารยิ ํ พระผ้มู ีพระภาคเจา้ ทรง
แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประสบผลด้วยตนเอง ไม่ต้องมีใครมาบ�ำเหน็จ
รางวัล หรอื หยิบยกยน่ื ใหเ้ หมอื นวัตถุตา่ ง ๆ ไม่ทรงแสดงธรรมไรป้ าฏหิ าริย”์ ดังน้.ี
ศาสนธรรมคือค�ำส่ังสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นย่อมกล่าวพรหมจรรย์ บริบูรณ์
บริสุทธ์ิโดยสิ้นเชิง. ศัพท์ว่า “พรหมจรรย์” น้ี เม่ือแปลตามรูปศัพท์ ก็แปลว่า ความประพฤติ
เหมอื นดงั พรหม ซงึ่ นา่ จะได้แกพ่ รหมวิหารทงั้ ๔ คือ เมตตา กรณุ า มทุ ิตา อุเบกขา, แต่ว่าเมอื่
ระลึกถึงพระพุทธภาษิตที่ทรงแสดงถึงพระองค์เองไว้ว่า “วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ พรหมจรรย์ได้อยู่
จบแล้ว คือปฏิบตั ิแล้ว, กตํ กรณยี ํ กิจทีค่ วรท�ำ ได้ท�ำแล้ว, นาปรํ อติ ฺถตตฺ าย กิจอืน่ อกี เพ่ือ
ความเป็นอย่างน้ี หรือเช่นนี้ มิได้มี” ดังน้ี. พรหมจรรย์ก็หมายถึงความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
(ซ่ึงตรงกันขา้ มกับการปฏิบัติชัว่ ปฏบิ ตั ผิ ิด) อันเปน็ สว่ นเหต.ุ การปฏบิ ตั ิดี ปฏิบตั ิชอบ ซึง่ เรยี ก
วา่ พรหมจรรย์ ย่อมใหผ้ ลเป็นความรู้ตามเป็นจรงิ เป็นความสงบสขุ (แตถ่ า้ ถือเอาความตรงกัน
ข้าม คือ อพรหมจรรย์ ความประพฤติไม่ดีไม่ชอบเป็นส่วนเหตุ ก็ให้ผลเป็นความรู้ผิดจาก
ความเปน็ จรงิ และเปน็ ไปเพอ่ื ทุกข์ นอ้ ยบา้ ง มากบ้าง แล้วแตค่ วามประพฤต)ิ . พรหมจรรย์ คือ
ความประพฤติดปี ระพฤติชอบ ท่เี ป็นสว่ นเหตุนั้น ต้ังแต่สมาทานคือ รบั ศลี ๕ และปฏิบัตไิ ปใน
ศีล ๕ นั้นเป็นเบือ้ งตน้ และเลอื่ นขึน้ ไปโดยลำ� ดบั จนถงึ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ มสี มั มาทิฏฐิเป็นต้น.
การปฏบิ ตั ิดี ปฏบิ ัตชิ อบ อันเปน็ ส่วนเหตุ ซึ่งเรยี กว่าพรหมจรรยน์ น้ั จะใหผ้ ลเป็นทกุ ข์หรอื ให้ผล
เปน็ สขุ บคุ คลผใู้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาสามารถจะเหน็ ไดด้ ว้ ยตนเอง, สว่ นอพรหมจรรยก์ เ็ ชน่ เดยี วกนั
เมอ่ื บคุ คลใชป้ ญั ญาพจิ ารณา กจ็ ะเหน็ ไดว้ า่ ใหผ้ ลเปน็ ทกุ ข์ หรอื ใหผ้ ลเปน็ สขุ ดว้ ยตนเอง, เปน็ อยู่
เช่นนตี้ ัง้ แต่กาลกอ่ นและในปจั จุบัน และจะมตี ่อไปในภายหน้า มไิ ด้ผดิ พลาดจากความจรงิ .
ศาสนธรรม ธรรมคือค�ำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันประกาศแสดงสัจจธรรม
บรบิ รู ณบ์ รสิ ทุ ธโิ์ ดยสน้ิ เชงิ นน้ั อนั บคุ คลผสู้ นใจฟงั มาก ซงึ่ เรยี กวา่ พหสุ ตู ทรงไว้ คอื จำ� ไวใ้ นใจ
สงั่ สมดว้ ยปาก คอื ทอ่ งใหค้ ลอ่ งปากขนึ้ ใจ เพยี งเทา่ น้ี เปน็ ปรยิ ตั ธิ รรมแท้ ยงั ไมใ่ หส้ ำ� เรจ็ ประโยชน์
ดว้ ยดี คอื ไมถ่ งึ ความเขา้ ใจ, ตอ้ งอาศยั เพง่ ดว้ ยมนะหรอื มนสั คอื พจิ ารณาธรรมทฟ่ี งั ไว้ ทที่ รงไว้
ที่ท่องจ�ำไว้ ให้เข้าใจเน้ือความของธรรมน้ัน, เช่นน้ี ศาสนธรรมอันประกาศสัจจธรรม จะมีรส
ซมึ ซาบเขา้ ไปถงึ จติ หรอื ใจของบคุ คลไดบ้ า้ งในชนั้ ตน้ , ตอ่ เมอ่ื ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาใหเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ

201

ตามเหตแุ ละผล แลว้ ขบเจาะธรรมนน้ั ดว้ ยทฏิ ฐคิ อื ความเหน็ อนั หมายความถงึ ความเหน็ ชอบ ซงึ่ เรยี ก
วา่ สมั มาทฏิ ฐ,ิ เมอ่ื เชน่ นี้ รสของสจั จธรรมยอ่ มซมึ ซาบเขา้ ไปถงึ ใจมากยง่ิ ขนึ้ ไป ปรากฏแกใ่ จของบคุ คล
ผพู้ จิ ารณาดว้ ยมนะหรอื มนสั และขบดว้ ยทฏิ ฐนิ นั้ เอง ไมต่ อ้ งมใี ครมาบอกหรอื มาหยบิ ยกยนื่ ให.้
สจั จธรรม ธรรมที่เป็นจริง หรอื สภาพที่เป็นจริง ทีพ่ ระพุทธเจา้ ประกาศด้วยศาสนธรรม
นัน้ บุคคลตอ้ งสนใจนำ� เข้ามาในใจซงึ่ เรียกว่า โยนโิ สมนสกิ าร และพิจารณาใหเ้ หน็ ตามเป็นจรงิ .
สจั จธรรม จงึ จะปรากฎเกดิ ขนึ้ ทต่ี วั เอง เหน็ ดว้ ยตวั เอง ไมใ่ ชเ่ พยี งแตผ่ อู้ น่ื บอกเลา่ , ไดใ้ นธรรมคณุ
คณุ ของพระธรรม ซง่ึ ทา่ นแสดงไวว้ า่ “สวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม ธรรมอันพระผูม้ พี ระภาคเจ้า
กลา่ วแลว้ ด”ี สัจจธรรม ธรรมทเ่ี ปน็ จรงิ นน้ั โดยตรง พระพทุ ธเจา้ ประกาศแสดงทบ่ี คุ คลทกุ ๆ คน
ดว้ ยกนั เพราะฉะนน้ั บคุ คลทกุ ๆ คนจงึ สามารถพจิ ารณาดสู จั จธรรม ทตี่ นเองใหเ้ หน็ ไดต้ ามเปน็
จริง อันเป็นไปตามศาสนธรรม.
เมอื่ ว่าถึงสจั จธรรม ธรรมทีเ่ ป็นจริงโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ก็แยกได้เป็น ๒ คอื สจั จธรรม อนั
เป็นภายนอก คือนอกจากคน อันมีอันเป็นไปในโลกส่วน ๑, สัจจธรรมอันมีท่ีบุคคล ปรากฏที่
บคุ คล อนั เปน็ ภายในอีกสว่ น ๑. สัจจธรรมภายนอก อันเป็นไปปรากฏอยใู่ นโลกนน้ั ยอ่ มเปน็
เหตผุ ลในภายนอก, เมอ่ื บคุ คลสนใจคน้ ควา้ แสวงหา กส็ ามารถจะนำ� มาประกอบใหส้ ำ� เรจ็ เปน็ สง่ิ
ท่ีตนประสงค์ ท�ำสง่ิ ท่ียังไมม่ ใี หม้ ีให้ปรากฏขึน้ ได้ เช่น ส่ิงของทัง้ หลายต่าง ๆ อันยงั ไม่เคยมี ไม่
เคยเปน็ , ถ้าบุคคลไม่รู้ สจั จธรรมตามเหตแุ ละผล กไ็ ม่สามารถจะนำ� มาประกอบใหป้ รากฏ ให้
เกิดข้ึนใหมไ่ ด้. แต่สงิ่ เหล่านั้นไปใชใ้ นทางดีก็ได้ ไปทางชัว่ กไ็ ด้ : ถา้ นำ� ไปใช้ในทางดี กใ็ หเ้ กดิ ผล
เปน็ สขุ , ถ้าน�ำไปใชใ้ นทางชั่ว ก็ใหเ้ กิดผลเปน็ ทกุ ข์, ดังทีป่ รากฎเห็นกนั อยู่ในปัจจุบนั น.้ี
สว่ นสจั จธรรมทมี่ ใี นภายใน คอื ทต่ี นเองนน้ั เปน็ หลกั สำ� คญั เพราะเมอ่ื บคุ คลสนใจคน้ ควา้
แสวงหาให้ร้ตู ามเป็นจริงวา่ นเี้ ป็นเหตุผลสว่ นดี นเี้ ป็นเหตุผลส่วนชั่ว, พยายามท�ำเหตทุ ด่ี ใี ห้เกดิ
ข้นึ ให้บรรลุถึงผล คือความเปน็ คนดี พยายามละเหตทุ ช่ี ว่ั ทเ่ี กิดข้ึนแล้วไม่ให้มีอยู่ และระวงั เหตุ
ทช่ี ว่ั ทยี่ งั ไมเ่ กดิ ไมใ่ หเ้ กดิ กจ็ ะพน้ จากผลคอื ความเปน็ คนชว่ั . บคุ คลทบี่ รรลถุ งึ ผลคอื ความเปน็ คนดี
พ้นจากผลคือความเป็นคนชั่ว เช่นนี้ แม้ในช้ันต้น ก็ย่อมท�ำตนให้เป็นคนดี ไม่ท�ำให้ผู้อ่ืนเดือด
ร้อนเป็นทกุ ข,์ เพราะฉะนัน้ ทางพระพทุ ธศาสนาจงึ มุง่ ประกาศแสดงสัจจธรรมท่ีบคุ คลให้บุคคล
คน้ คว้าแสวงหา ใหร้ ู้จักว่าอะไรเปน็ ส่วนดี อะไรเปน็ ส่วนชัว่ , เม่อื รูต้ ามเปน็ จรงิ แล้ว ท�ำสว่ นทด่ี ีให้
เกดิ ละสว่ นทชี่ ว่ั เสยี , เมอื่ นำ� สงิ่ ทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ ขนึ้ ไปใชก้ จ็ ะนำ� ไปใชใ้ นทางดที างชอบ ใหเ้ กดิ สขุ แกต่ น
และแก่บุคคลอ่ืน, ไมน่ ำ� ไปใชใ้ นทางช่วั ทางผิด ซึง่ ให้เกดิ ทกุ ข์แกต่ นและแกบ่ คุ คลอนื่ , ส่วนทด่ี ีที่
ชอบอันสงู ขึน้ ไปโดยลำ� ดับ ก็เรียกวา่ พรหมจรรย์ แต่เปน็ ไปตามชัน้ .

202

สจั จธรรม ธรรมทเ่ี ปน็ จรงิ นน้ั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงประกาศโดยปรยิ ายเปน็ อนั มาก,
กลา่ วตามสาราณยี ธรรม ธรรมเปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความระลกึ ถงึ กนั ในทางดที างชอบ สองขอ้ เบอ้ื งปลาย
ก็ได้แก่ศีลสามัญตา ความเป็นผู้มีความประพฤติกายวาจาใจให้เป็นไปในทางดีเสมอกัน ไม่ให้
ลอุ ำ� นาจของโลภะ โทสะ โมหะ เรยี กวา่ ศลี .
ศลี นี้ อยา่ งสงู ตอ้ งเปน็ ไทแกต่ วั คอื ไมเ่ ปน็ ทาสของศลี อนั หมายความวา่ บคุ คลตงั้ ใจรบั
ศลี เพราะเหน็ วา่ เปน็ บญุ แตก่ ย็ งั ไมเ่ หน็ โทษของการลว่ งศลี จรงิ ๆ จงึ ตอ้ งรกั ษาศลี กลวั ศลี จะขาด,
เมอื่ เปน็ เชน่ น้ี ผรู้ กั ษาศลี หรอื ศลี ทบี่ คุ คลรกั ษา กไ็ มเ่ ปน็ ไทแกต่ วั , ตอ่ เมอื่ ไดท้ ำ� ศลี ใหเ้ กดิ มี จน
ไมต่ อ้ งรกั ษา, ศลี เปน็ ตวั เอง ตวั เองเปน็ ศลี , เชน่ น้ี ไดช้ อื่ วา่ ศลี เปน็ ไท ไมเ่ ปน็ ทาส คอื ไมต่ อ้ งระวงั
รกั ษาเพราะกลวั จะขาด และเปน็ ศลี ทท่ี า่ นผรู้ สู้ รรเสรญิ เปน็ อปรามฏั ฐะ คอื ไมต่ อ้ งยดึ ถอื . บคุ คล
ที่ยังยึดถืออยู่ศีลอาจจะหลุดขาดได้, เหมือนดังบุคคลผู้เดินทางน�ำเสบียงอาหารไป ก็ต้องรักษา
เสบยี งอาหารนนั้ ไว้ กลวั จะตกจะหลน่ และถา้ เผลอกอ็ าจจะตกหลน่ ได,้ แตถ่ า้ บคุ คลผนู้ ำ� อาหารนนั้
ไปบรโิ ภคอาหารนน้ั เขา้ ไปเสยี ใหร้ สอาหารซมึ ซาบเขา้ ไปในรา่ งกาย เชน่ นไ้ี ดช้ อื่ วา่ ทำ� ศลี ใหเ้ ปน็ ตวั
ของตวั เอง หรอื ทำ� ตวั เองใหเ้ ปน็ ศลี ไมต่ อ้ งไปมวั ยดึ ถอื จงึ ไมข่ าดตกบกพรอ่ ง, ศลี กไ็ ดช้ อ่ื วา่ เปน็
ศลี โดยตรง ซง่ึ แปลวา่ เปน็ ปกติ หมายความวา่ ปกตกิ าย ปกตวิ าจา ปกตใิ จ, เพราะความประพฤติ
ทางกายทางวาจาทางใจนนั้ ไมเ่ ปน็ ไปตามอำ� นาจของโลภะ โมหะ โมหะ, เมอ่ื ศลี เปน็ ศลี แทเ้ ปน็
ปกตเิ ชน่ นแี้ ลว้ กเ็ ปน็ ไปเพอื่ ใหไ้ ดค้ วามสงบของจติ ซง่ึ ทา่ นเรยี กวา่ สมาธสิ งั วตั ตนกิ ะ เปน็ ไปเพอื่
สมาธิ คอื ความสงบจติ , เมอื่ ทำ� สมาธใิ ห้เกดิ ข้นึ ไดก้ เ็ ปน็ ไปเพื่อปัญญา ปญั ญาอบรมจติ จติ ก็จะ
หลุดพ้นจากความไม่รู้ตามเป็นจริง, เพราะฉะนั้น จึงมีพระบาลีแสดงไว้ว่า “สีลปริภาวิโต
สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส สมาธิ อันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่,
สมาธปิ รภิ าวติ า ปญฺ า มหปผฺ ลา โหติ มหานสิ สํ า ปญั ญาอนั สมาธอิ บรมแลว้ ยอ่ มมผี ลใหญม่ ี
อานสิ งสใ์ หญ,่ ปญฺ า ปรภิ าวติ ํ จติ ตฺ ํ สมมฺ เทว อาสเวหิ วมิ จุ จฺ ติ จติ อนั ปญั ญาอบรมแลว้ ยอ่ ม
หลดุ พน้ จากความไมร่ ู้ และหลดุ พน้ จากการเขา้ ไปเกยี่ วขอ้ งพวั พนั .”
ศลี นแี้ หละ แมต้ งั้ ตน้ แตศ่ ลี ทย่ี งั ตอ้ งถอื ยงั ตอ้ งยดึ ยงั ตอ้ งระวงั กย็ งั เปน็ เหตใุ หบ้ คุ คลผรู้ กั ษา
ศลี อยดู่ ว้ ยกนั เปน็ สขุ ไมเ่ บยี ดเบยี นกนั และกนั . แตถ่ า้ บคุ คลทอี่ ยดู่ ว้ ยกนั นนั้ ตา่ งฝา่ ยตา่ งไมม่ ศี ลี
อยดู่ ว้ ยกนั กย็ อ่ มจะเบยี ดเบยี นกนั ทำ� ใหล้ ำ� บาก เดอื ดรอ้ นทงั้ ตวั เอง เดอื ดรอ้ นทงั้ ผอู้ นื่ , เชน่ คนท่ี
มงุ่ ฆา่ เขา มงุ่ ทำ� รา้ ยรา่ งกายเขา ตวั เองกเ็ ดอื ดรอ้ น ผทู้ ถ่ี กู มงุ่ และรเู้ รอ่ื งกเ็ ดอื ดรอ้ น. เมอ่ื เขามงุ่ ฆา่
มงุ่ ทำ� รา้ ยรา่ งกายเรา ผมู้ งุ่ กเ็ ดอื ดรอ้ น, เราเองทถ่ี กู มงุ่ เมอ่ื รอู้ ยกู่ เ็ ดอื ดรอ้ นไมเ่ ปน็ สขุ , ถา้ ตา่ งฝา่ ย
ต่างมีศีลอยู่ด้วยกัน ไม่คิดฆ่าไม่คิดร้ายกันเป็นต้น อยู่ด้วยกันก็เป็นสุข เพราะไว้วางใจกันได้,

203

แมศ้ ลี องคอ์ น่ื ๆ กเ็ ปน็ เชน่ นแ้ี หละ. ถงึ จติ ทฟี่ งุ้ ซา่ นไมส่ งบกเ็ ปน็ ทกุ ขส์ ำ� หรบั ผนู้ น้ั , ถา้ จติ ไมฟ่ งุ้ ซา่ นก็
ใหผ้ ลเปน็ สขุ .
สว่ นทิฏฐคิ วามเห็นหรือสมั มาทฏิ ฐิความเห็นชอบ อันพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าทรงแสดงใน
สาราณยี ธรรมนน้ั กค็ อื “ยายํ ทฏิ ฺ ิ อรยิ า ทฏิ ฐอิ นั ใดประเสรฐิ , นยิ ยฺ านกิ า เปน็ เครอื่ งนำ� ออก คอื นำ�
ออกจากทกุ ข,์ นยิ ยฺ าติ ตกกฺ รสสฺ สมมฺ าทกุ ขฺ กขฺ ยาย ยอ่ มนำ� ออกเพอ่ื ความสนิ้ ทกุ ขโ์ ดยชอบแกผ่ ทู้ ำ�
ทฏิ ฐนิ น้ั หรอื นำ� ผมู้ ที ฏิ ฐเิ ชน่ นน้ั ออกไปเพอ่ื ความสน้ิ ทกุ ขโ์ ดยชอบ.” โดยนยั นี้ ทกุ ขเ์ ปน็ หลกั , ทฏิ ฐคิ วาม
เหน็ ใดทน่ี ำ� ออกจากทกุ ข,์ ทฏิ ฐอิ นั นนั้ กเ็ ปน็ อรยิ ะประเสรฐิ เปน็ เครอ่ื งนำ� ออก, ทฏิ ฐอิ นั ใดทนี่ ำ� เขา้ ไป
ประกอบกบั ทกุ ข,์ ทฏิ ฐอิ นั นน้ั กเ็ ปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิ (ไมใ่ ชน่ ำ� ออกจากทกุ ข์ แตก่ ลบั นำ� เขา้ ไปขอ้ งกบั ทกุ ข)์ .
แมบ้ คุ คลบางคนมงุ่ จะใหไ้ ดส้ ง่ิ ทตี่ นปรารถนาจากผอู้ น่ื ไมเ่ ลอื กทางดชี ว่ั ผดิ ถกู หรอื บคุ คลมงุ่
รา้ ยผอู้ น่ื ไมเ่ ลอื กทางทชี่ วั่ ผดิ ถกู หรอื บคุ คลผเู้ หน็ ผดิ จากคลองธรรม ตอ้ งการจะเบยี ดเบยี นผทู้ ต่ี น
เหน็ วา่ เปน็ เครอื่ งกดี ขวางใหเ้ ดอื ดรอ้ นเหลา่ น้ี ถงึ ทำ� สำ� เรจ็ ได้ ไดท้ รพั ยม์ าสมประสงคก์ ำ� จดั คนทโ่ี กรธ
แคน้ ขดั เคอื งออกไปได้ กำ� จดั คนทเี่ หน็ วา่ จะกดี ขวางตอ่ การปฏบิ ตั ขิ องตนไดส้ ำ� เรจ็ อาจเขา้ ใจวา่ ตนได้
ความสขุ , แมจ้ ะไดค้ วามสขุ สว่ น ๑ กจ็ รงิ แตก่ ก็ อ่ ทกุ ขอ์ กี สว่ น ๑ ใหต้ น เพราะกลวั เขาจะตอบแทน
ลา้ งแคน้ ทงั้ กก็ อ่ ทกุ ขใ์ หบ้ คุ คลอนื่ คอื บคุ คลผเู้ ปน็ เจา้ ของทรพั ย์ บคุ คลผถู้ กู ปองรา้ ย บคุ คลผเู้ กยี ดกนั
จากความขดี ขวาง, ทรพั ยห์ รอื อำ� นาจทบี่ คุ คลผนู้ นั้ ทำ� ใหเ้ กดิ มขี น้ึ แกต่ น กไ็ มใ่ ชจ่ ะอยยู่ ดื ยาวไปเทา่ ไร
อยา่ งชา้ กเ็ พยี งสนิ้ ชวี ติ เทา่ นนั้ แลว้ กท็ งิ้ ทรพั ยส์ นิ ไวใ้ นโลกนไ้ี มม่ ใี ครนำ� ไปไดแ้ มส้ กั นดิ เดยี ว จนกระทง่ั
ถงึ รปู กายทย่ี ดึ ถอื รกั ใคร่ กไ็ มอ่ าจจะนำ� ไปได้ ตอ้ งไวใ้ หเ้ ขาฝงั ใหเ้ ขาเกบ็ ใหเ้ ขาเผาไปตามเรอื่ ง. สว่ น
ความเดอื ดรอ้ นกระวนกระวายใจทม่ี อี ยใู่ นใจนน้ั ไมไ่ ดท้ งิ้ ไว้ ยอ่ มตดิ ตามบคุ คลผนู้ น้ั ไปตลอดจนถงึ ภาพ
เบอ้ื งหนา้ , ดงั พระพทุ ธภาษติ วา่ “ยถากมมฺ ํ คมสิ สฺ นตฺ ิ ปญุ ฺ ปาปผลปู คา สตั วท์ ง้ั หลายเปน็ ผเู้ ขา้ ถงึ
ผลของบญุ และบาป จกั ไปตามกรรม, นริ เย ปาปกมมฺ นตฺ า ผมู้ กี รรมคอื การงานทท่ี ำ� ทางกาย ทาง
วาจา ทางใจ เปน็ บาป ยอ่ มไปในนรก, ปญุ ฺ กมมฺ า จ สคุ ตึ ผมู้ กี รรมอนั เปน็ บญุ ยอ่ มไปสสู่ คุ ติ คอื
ทไ่ี ปอนั ดอี นั งาม” ดงั น.ี้
ชาตหิ นา้ จงยกไว,้ วา่ เฉพาะชาตินกี้ ็เหน็ ได้ ดว้ ยใช้ปญั ญาพิจารณา ให้เหน็ ตามเปน็ จริง,
น้ีกเ็ ปน็ สัจจธรรม ธรรมท่ีเป็นจริง หรอื สภาพท่เี ป็นจริงอันปรากฏ, บคุ คลใช้ปญั ญาพิจารณายอ่ ม
เหน็ ได้ในปัจจุบันบัดน้ีเอง, นก้ี เ็ ป็นสจั จธรรม ธรรมทเ่ี ปน็ จริงที่ปรากฎเหน็ อยู่. เพราะฉะนนั้ จึงมี
พระคุณของพระธรรมอกี บท หนงึ่ วา่ “สนทฺ ฏิ ฺ โิ ก อนั ผศู้ กึ ษาเหน็ เอง คอื เหน็ ดว้ ยตนเอง” คนอนื่
จะเหน็ แทนไม่ได้ และเห็นดว้ ยปัญญาอนั ชอบตามความเป็นจรงิ , สจั จธรรม ธรรมท่ีเปน็ จรงิ จะ
สำ� เร็จประโยชนแ์ กบ่ คุ คล กเ็ พราะบคุ คลเห็นสจั จธรรมน้นั ตามเป็นจรงิ .
204

สจั จธรรมกบั ศาสนธรรมเปน็ คกู่ นั ศาสนธรรมยอ่ มประกาศแสดงสจั จธรรม. แมส้ จั จธรรม
ธรรมทเี่ ปน็ จรงิ นน้ั อนั ศาสดาผแู้ สดงกแ็ สดงแตเ่ พยี งเรอื่ งของสจั จธรรม ไมใ่ ชต่ วั สจั จธรรมเอง เพราะ
ตวั สจั จธรรม บคุ คลนนั้ เองตอ้ งเหน็ ดว้ ยตวั เอง, เหมอื นดงั บคุ คลไปเหน็ สงิ่ ใดสง่ิ หนง่ึ ทเ่ี ปน็ จรงิ มาแลว้
นำ� มาเลา่ ใหบ้ คุ คลทยี่ งั ไมเ่ หน็ ฟงั , ผยู้ งั ไมเ่ หน็ ไดแ้ ตฟ่ งั คำ� บอกเลา่ เทา่ นน้ั ยงั ไมเ่ หน็ จรงิ ดว้ ยตนเอง
ตอ้ งดใู หเ้ หน็ ดว้ ยตนเองจงึ จะได้ เพราะฉะนน้ั สจั จธรรมจงึ แยกไดเ้ ปน็ สอง คอื ตวั สจั จธรรมอยา่ งหนงึ่
เรอื่ งของสจั จธรรมอยา่ งหนง่ึ .
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงสจั จธรรม กท็ รงแสดงเรอ่ื งของสจั จธรรม, สว่ นตวั สจั จธรรม
นน้ั บคุ คลนนั้ เองตอ้ งเหน็ ดว้ ยตนเอง และตอ้ งเหน็ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบ ไมเ่ ชน่ นนั้ กอ็ าจจะเหน็ ผดิ ไป,
เชน่ บคุ คลเหน็ ทางรถไฟอนั ยดื ยาวไปไกล เหน็ เรยี วเลก็ , เมอื่ เปน็ เชน่ น้ี ตามทต่ี าเหน็ รถไฟกแ็ ลน่
ไปตาม ทางนน้ั ไมไ่ ด,้ ตอ้ งอาศยั ปญั ญาพจิ ารณาประกอบกบั ตาทเ่ี หน็ ดว้ ยกนั ไป จงึ จะเหน็ ตามเปน็
จรงิ ฉะนนั้ . เพราะฉะนนั้ พระธรรมคณุ คณุ ของพระธรรมบทหนงึ่ จงึ ไดช้ อ่ื วา่ “สนทฺ ฏิ ฺ โิ ก อนั
ผศู้ กึ ษาพงึ เหน็ เอง” ดว้ ยประการฉะน.ี้ การเหน็ สจั จธรรมนน้ั กไ็ มป่ ระกอบดว้ ยกาล ไมป่ ระกอบดว้ ย
เวลา, ใครทำ� เวลาไหนเทา่ ใด กไ็ ดผ้ ลเทา่ นน้ั ไมม่ กี ำ� หนดกาล ไมม่ กี ำ� หนดเวลา.
มอี าจารยบ์ างทา่ นแสดงไวว้ า่ พระพทุ ธศาสนาเมอื่ ลว่ งไปได้ ๑๐๐ ปี จะไมม่ พี ระอรหนั ต,์
ลว่ งไปอกี ๑๐๐ ปี จะไมม่ พี ระอนาคาม,ี ลว่ งอกี ๑๐๐ ปี จะไมม่ พี ระสกทาคาม,ี ลว่ งไปอกี ๑๐๐
ปี จะไมม่ พี ระโสดาบนั . ในบดั น้ี พระพทุ ธศาสนาลว่ งมา ๒๕๐๐ ปแี ลว้ กเ็ ปน็ อนั ไมม่ พี ระอรยิ ะ.
ทา่ นทแ่ี สดงเชน่ น้ี คา้ นกบั พระพทุ ธภาษติ ทแี่ สดงพระธรรมคณุ ไวว้ า่ “อกาลโิ ก ไมป่ ระกอบดว้ ยกาล”
คอื ใครประพฤตเิ มอื่ ไรกไ็ ดผ้ ลเมอ่ื นน้ั ตามสมควรแกป่ ฏบิ ตั ิ แมพ้ ระพทุ ธภาษติ ตอนทแี่ สดงไวใ้ นเวลา
จะปรินิพพานก็แสดงว่า “เม่ืออริยมรรคมีองค์ ๘ ยังมีอยู่เพียงไร, โลกก็จะไม่ว่างเปล่าจาก
พระอรหนั ต.์ ” นคี้ วรหมายความวา่ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ มที บี่ คุ คลผใู้ ด ในเวลาใด ในเวลานนั้ โลกก็
ไมว่ า่ งเปลา่ จากพระอรหนั ต.์ อยา่ วา่ ถงึ พระพทุ ธศาสนาทย่ี งั มอี ยเู่ ลยแมส้ นิ้ พระพทุ ธศาสนาแลว้ ,
ทา่ นกย็ งั แสดงวา่ พระปจั เจกโพธิ ทา่ นผตู้ รสั รเู้ องโดยชอบ และรเู้ ฉพาะตน กย็ งั ปรากฏเกดิ ขน้ึ ได.้
ดว้ ยเหตนุ แ้ี หละ คนทเ่ี ขา้ ใจวา่ ศาสนาลว่ งมาเทา่ นน้ั หมดพระอรยิ ชนชน้ั นน้ั , จนบดั นหี้ มด
พระอริยะดังน้ี เป็นความเห็นที่ค้านพระพุทธศาสนา คือค�ำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีว่า
“สจั จธรรมเปน็ อกาลโิ ก ไมป่ ระกอบดว้ ยกาล” ดงั น.้ี
เพราะฉะนนั้ พทุ ธศาสนกิ เมอ่ื สนใจในพระพทุ ธศาสนา อนั ประกาศแสดงสจั จธรรม จงึ ควรระลกึ
ถงึ นำ� เขา้ มาในใจ พจิ ารณาใหเ้ ขา้ ใจและปฏบิ ตั ิ ตามสามารถ, ความปฏบิ ตั กิ เ็ ปน็ สปุ ฏบิ ตั ิ ปฏบิ ตั ดิ ตี รงกนั
ขา้ มกบั ความปฏบิ ตั ชิ ว่ั ยอ่ มใหผ้ ลแกบ่ คุ คล ผปู้ ฏบิ ตั ทิ งั้ ในปจั จบุ นั นี้ ทงั้ ในภายภาคหนา้ ดว้ ยประการฉะน.้ี

205

ธรรมเป็นเครอ่ื งเจรญิ ยศ

คนเรา แมอ้ ยูต่ า่ งถิน่ ต่างชาติ ตา่ งภาษากนั แต่เมื่อได้พน้ จากความเป็นชาวปา่ เถ่อื น ถึง
ความเจริญมาโดยล�ำดับจนถึงบัดนี้ และก็ได้ศึกษารู้ความเป็นไปของกันและกันอยู่ จึงน่าจะ
ประพฤตชิ อบตอ่ กันและกนั ให้ได้ความสขุ อยูด่ ้วยกนั ไปกว่าจะตายจากกันไป. แต่กไ็ มเ่ ป็นเชน่ นี้
ได,้ เพราะมบี างคนบางหมู่ กลบั ประพฤตชิ ว่ั ตอ่ กนั กอ่ ความทกุ ขแ์ กก่ นั และกนั มากบา้ งนอ้ ยบา้ ง
จึงไดผ้ ลเป็นทกุ ขม์ ากบา้ งนอ้ ยบ้างดงั ท่ีปรากฏเหน็ กนั อยู่.
ผปู้ ระพฤตชิ วั่ กอ่ ความทกุ ขใ์ หแ้ กก่ นั น้ี แยกตามหลกั พระพทุ ธภาษติ เรยี กวา่ ทโิ ส หรอื ทสิ ะ
ซง่ึ หมายความวา่ ผรู้ า้ ยทแ่ี สดงตวั ใหป้ รากฎเหน็ กนั อยู่ ไมไ่ ดซ้ อ่ นเรน้ เชน่ โจรปลน้ เปน็ ตน้ ๑,
(ถอื เอาความตรงกนั ขา้ ม) เรยี กวา่ อทโิ สหรอื อทสิ ะ ซง่ึ หมายความวา่ ผรู้ า้ ยทไ่ี มแ่ สดงใหป้ รากฏ
ไมใ่ หเ้ หน็ ซอ่ นเรน้ ทำ� ความชวั่ เชน่ ผรู้ า้ ยยอ่ งเบาเปน็ ตน้ ๑, มพี ระพทุ ธภาษติ แสดงถงึ ผซู้ อ่ นประพฤติ
ชว่ั ไวว้ า่
“โย เว ธมฺมทฺธชํ กตฺวา นคิ คฺ ยุ ฺโห ปาปมาจเร
วิสาลยติ ฺวา ภูตานิ พิฬารนนฺ าม ตํ วตํ
แปลวา่ ผใู้ ดทำ� ธรรมใหเ้ ปน็ ธง ลวงชนทง้ั หลายใหเ้ ชอ่ื ถอื แลว้ ซอ่ นประพฤตชิ ว่ั , ความประพฤตนิ น้ั
กเ็ หมอื นความประพฤติของแมว ดังน้ี.
แต่ทง้ั ๒ พวกน้ี ก็เป็นคนช่วั ท้งั นน้ั .
ความช่ัวที่บุคคลทำ� แล้ว ย่อมเป็นของผู้น้ันเอง, แม้ผู้ทำ� ช่ัวจะพยายามปิดบังผู้อ่ืน แต่ก็
ปิดบงั ตัวเองไมไ่ ด,้ เพราะท่ีลล้ี บั ส�ำหรับผู้ท�ำความชั่วย่อมไมม่ ี, เพราะฉะนัน้ จงึ มีพระพทุ ธภาษติ
แสดงวา่
นตถฺ ิ โลเก รโห นาม ปาปกมฺม ปกุพพฺ โต
ช่ือท่วี า่ ท่ีลลี้ บั ย่อมไม่มแี ก่ผูท้ ำ� ชั่ว.
อตตฺ า เต ปรุ ิส ชานาติ สจฺจํ วา ยทวิ า มุสา
กลยฺ าณํ วต โภ สกขฺ ิ อตตฺ านํ อติมญฺ สิ
โย สนฺตํ อตตฺ นิ ปาปํ อถ นํ ปริคูหสิ
ตนของทา่ น (คอื ผทู้ ำ� บาป) ยอ่ มรวู้ า่ จรงิ หรอื ไมจ่ รงิ . ทา่ นผปู้ ดิ บงั บาปนน้ั ซง่ึ มอี ยใู่ นตน ยอ่ มสำ� คญั
ผ่านเลยตนทเ่ี ป็นพยานอย่างดีไปเสีย.
206

ความชว่ั ที่บคุ คลท�ำแลว้ ยอ่ มเผาผนู้ น้ั ให้เดือดร้อนอยู่ภายใน, แม้ผ้ทู ำ� ชว่ั จะแสดงออกมา
ภายนอกว่าเป็นสุข ก็เป็นทุกข์อยู่ภายใน, เพราะมาระลึกถึงกรรมชั่วที่ตนท�ำ, จิตก็เศร้าหมอง,
ทางดำ� เนนิ กเ็ ปน็ ทคุ ต,ิ ดงั พระพทุ ธภาษติ วา่ จติ เฺ ต สกํ ลิ ฏิ เฺ  ทคุ คฺ ติ ปาฏกิ งขฺ า เมอื่ จติ เศรา้ หมอง
ทคุ คติกห็ วังได้, และมพี ระพทุ ธภาษติ แสดงไวว้ า่
ทิโส ทสิ ํ ยนฺตํ กยิรา เวรี วา ปน เวรินํ
มจิ ฉฺ า ปณหิ ติ ํ จติ ตฺ ํ ปาปิโย นํ ตโต กเร
แปลว่า จิตซึ่งตั้งไว้ผิด พึงท�ำบุคคลให้เลวทรามย่ิงกว่าความพินาศท่ีโจร หรือคนจองเวรพึงท�ำ
แก่กนั เสียอีก.
ชวี ติ ความเป็นอยูข่ องผเู้ ช่นน้นั ก็เปน็ ทุชชวี ิตะ ชีวติ ช่วั . เมอ่ื ผู้นัน้ รวมอยูใ่ นหมู่ กท็ �ำหมู่
ใหเ้ ดือดรอ้ น ชอื่ วา่ คณปโทสะ ประทุษร้ายหมู่ มีโทษโดยสว่ นเดยี ว.
แตก่ ม็ บี างคนบางหมปู่ ระพฤตดิ ีตอ่ กนั กอ่ ความสุขแก่กันและกนั มากบา้ งน้อยบ้าง จงึ ได้
ผลเปน็ สขุ มากบา้ งนอ้ ยบา้ ง ดงั ทปี่ รากฏเหน็ กนั อย,ู่ ความดยี อ่ มเปน็ ของผนู้ น้ั เองไมต่ อ้ งมใี ครแตง่
ตั้งมอบให้ เม่ือผู้ประพฤติดี ระลึกถึงการท�ำความดีของตน, จิตใจก็ย่อมผ่องใสเบิกบานไม่เศร้า
หมอง, ทางดำ� เนนิ กเ็ ป็นสุคติ ดงั พระพทุ ธภาษิตว่า จิตฺเต อสงกฺ ิลิฏเฺ  สุคติ ปาฏิกงขฺ า เมอ่ื จิต
ไมเ่ ศรา้ หมอง สุคติกห็ วงั ได้, และมีพระพุทธภาษิตแสดงไวว้ ่า
น ตํ มาตาปิตา กยิรา อญเฺ  วาปิจ าตกา
สมฺมาปณหิ ติ ํ จติ ฺตํ เสยยฺ โส นํ ตโต กเร
แปลวา่ จติ ทตี่ ง้ั ไวช้ อบ พงึ ทำ� ผนู้ น้ั ใหป้ ระเสรฐิ กวา่ ทมี่ ารดาบดิ าหรอื ญาตเิ หลา่ อนื่ กท็ ำ� ใหไ้ มไ่ ด้ ดงั น.ี้
ชีวติ ความเป็นอย่ขู องผูเ้ ช่นนน้ั ก็เป็นสุชีวติ ชวี ติ ด.ี ผู้ประพฤตดิ ีน้นั เมือ่ รวมอยู่ในหมู่ ก็
ท�ำหมใู่ ห้ดีงาม จงึ ชื่อว่า สังฆโสภณ ผทู้ ำ� หมู่ให้งาม มีประโยชนโ์ ดยส่วนเดียว.
ความดีและชั่วท่ีบุคคลท�ำแล้วนั้น ไม่ใช่ว่าอ�ำนวยผลให้เป็นคนดีคนชั่วในปัจจุบันเท่าน้ัน
ยังเป็นชนกกรรม อำ� นวยผล แก่ผู้ท�ำในภพตอ่ ๆ ไปอกี ดังมีพระพุทธภาษติ แสดงว่า
นิรยํ ปาปกมฺมนฺตา ปญุ ฺ กมมฺ า จ สุคตึ
ผู้ท�ำกรรมชวั่ ไปสนู่ รก, สว่ นผูท้ �ำกรรมดี ไปสู่สุคต.ิ

207

เพราะฉะนน้ั สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ตรสั สอนใหค้ นทำ� ความดี ดว้ ยพระพทุ ธภาษติ วา่
ตสมฺ า กเรยฺย กลฺยาณํ นิจยํ สมปฺ รายกิ ํ
ปญุ ฺ านิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฐฺ า โหนตฺ ิ ปาณนิ ํ
ฉะน้ัน เม่อื บุคคลสัง่ สมกรรมอนั จะใหผ้ ลในภายหน้า จึงควรทำ� กรรมดีคือบญุ , (เพราะ) บุญเปน็
ทพ่ี ง่ึ ของสตั วท์ ้งั หลายในโลกหน้า ดังน.ี้
ความชว่ั ทบี่ คุ คลทำ� และใหผ้ ลใหผ้ ทู้ ำ� เปน็ คนชวั่ นนั้ เปน็ อยศ, สว่ นความดที บี่ คุ คลทำ� ใหผ้ ล
ใหผ้ ทู้ ำ� เปน็ คนดนี นั้ เปน็ ยศ. เพราะศพั ทว์ า่ ยศ ทา่ นหมายถงึ คณุ ความดี ทงั้ ยศทง้ั อยศกม็ ที บี่ คุ คล
ไมไ่ ดม้ ที อี่ น่ื . เมอ่ื บคุ คลใชป้ ญั ญาทม่ี อี ยพู่ จิ ารณาดทู ตี่ นกอ็ าจเหน็ ได.้ ทา่ นผพู้ จิ ารณาเหน็ คณุ ความดี
ท่มี ีในพระพุทธเจา้ จึงถวายพระนามตามพระคุณวา่ ยสสฺสี ผ้มู พี ระยส.
ยศและอยศนั้น ในโลกธรรมสูตร สูตรที่แสดงโลกธรรม อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
แสดงประกาศไว้ ก็เพ่ือให้รู้ตามเป็นจริง ไม่ยินดีในยศ ไม่ยินร้ายในอยศ. แต่พระสาวกของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อธรรมท่ีพระอริยะบรรลุถึง ปฏิบัติ
ชอบย่งิ กท็ ำ� ยศคือคณุ ความดใี หเ้ กดิ มีขึ้นในตนนั่นเอง จึงเป็นอาหุเนยยะผ้คู วรบูชา ปาหเุ นยยะ
เปน็ ผู้ควรตอ้ นรับ ทักขเิ ณยยะ ผู้ควรทักขณิ า อญั ชลีกรณยี ะ ผูค้ วรทำ� อัญชล,ี ถา้ ถอื ความตรง
กันขา้ ม ผปู้ ฏบิ ัติช่วั ผปู้ ฏบิ ัติคด ผู้ปฏิบตั ิเพ่ืออธรรม ผู้ปฏบิ ตั ิไมช่ อบ กท็ �ำอยศให้เกิดมีขึน้ ในตน
น้นั เอง จงึ เปน็ ผไู้ ม่ควรบูชา ไมค่ วรต้อนรบั ไมค่ วรทกั ขิณา ไม่ควรทำ� อญั ชล,ี ตามนยั น้ี ยศ คือ
คณุ ความดีท่เี กิดมขี ึ้น กเ็ พราะเหตุคอื การปฏิบัตดิ ี. แตอ่ ีกนัยหนง่ึ พระพทุ ธเจ้าแสดงยศว่าเปน็
ผลเหมือนกัน แต่แสดงเหตุท่ีให้เกิดยศเป็นอีกส่วนหน่ึง, เม่ือถือเอาใจความ ก็เป็นอันลงกันน้ัน
เอง, พระบาลที ่ีแสดงยศตามพระคาถานีว้ า่
อฏุ ฺานวโต สตมี โต
สจุ กิ มมฺ สสฺ นสิ มมฺ การิโน
สญฺ ตสสฺ จ ธมมฺ ชวี ิโน
อปปฺ มตตฺ สฺส ยโสภิวฑฺฒติ.
ยศ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความเพียรอย่างหน่ึง ผู้มีสติอย่างหนึ่ง ผู้มีการงานที่ท�ำอัน
สะอาดหมดจดอย่างหนึง่ ผใู้ คร่ครวญแลว้ จงึ ท�ำอย่างหนึ่ง ผสู้ �ำรวมระวังความช่วั อยา่ งหนงึ่ ผเู้ ป็น
อยู่โดยธรรมหรือด้วยธรรม คอื เปน็ อยู่ดว้ ยความดีความชอบอยา่ งหนง่ึ ผู้ไม่ประมาท คอื เลินเลอ่
อีกอยา่ งหนึ่ง.

208

โดยนัยน้ี อุฏฐานะ ความหมั่น สติ ความระลึกได้ สุจิกรรม การงานท่ีท�ำอันสะอาด
นสิ ัมมกรณะ การใคร่ครวญแล้ว จงึ ทำ� สญั ญมะ ความสำ� รวมระวัง ธรรมชวี ะ หรอื ธรรมชวี ิต
เป็นอยโู่ ดยธรรม หรือเปน็ อยดู่ ้วยธรรม อปั ปมาท ความไมป่ ระมาทเลนิ เลอ่ เหลา่ นี้ เปน็ เหตทุ ่ี
ใหไ้ ดย้ ศ หรือเป็นเหตุทท่ี �ำยศใหเ้ กดิ ข้นึ .
ยศคือคุณความดีนั้น ตามหลักพระพุทธศาสนา ท่านแสดงแยกออกโดยปริยายคือทาง
หน่ึง เปน็ ๓ คอื อิสริยยศ ยศคอื ความเป็นใหญ่อยา่ ง ๑, กติ ติ หรอื เกียรติยศ ยศคือเสยี งที่
เล่าลอื อยา่ ง ๑, ปริวารยศ ยศคอื คนผู้นิยมนับถืออกี อยา่ ง ๑, นีแ้ สดงเปน็ กลาง ๆ. ถ้าจะให้ชดั
ออกไป มุ่งถึงยศที่นยิ มทางพระพทุ ธศาสนา หรือท่พี ระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าได้พระนามว่า เปน็ ผู้มี
พระยศน้นั หมายเอายศในทางดที างชอบ คืออสิ รยิ ยศ ยศคอื ความเปน็ ใหญน่ นั้ หมายถึงความ
เปน็ ใหญเ่ หนอื ความชว่ั ตรงกนั ขา้ มกบั ความเปน็ ใหญใ่ ตค้ วามชว่ั หรอื ใตอ้ ำ� นาจของความชวั่ . อะไร
เป็นความชั่ว ? ความช่ัวนนั้ ทางพระพทุ ธศาสนา ทา่ นกแ็ สดงไวเ้ ปน็ ชั้น ๆ : ช่ัวอย่างหยาบ, ชัว่
อยา่ งกลาง, ช่วั อย่างละเอียด.
ความชว่ั อยา่ งหยาบไดแ้ กอ่ ภชิ ฌา ความโลภอยา่ งแรงกลา้ มงุ่ ทจ่ี ะใหไ้ ดข้ องผอู้ นื่ มาเปน็ ของ
ตนไมเ่ ลอื กทาง, พยาบาทมงุ่ จองลา้ งจองผลาญผทู้ ต่ี นเกลยี ด, มจิ ฉาทฏิ ฐิ ความเหน็ ผดิ จากคลองธรรม
เพราะไมใ่ ชป้ ญั ญาพจิ ารณา จบั เหตจุ บั ผลใหเ้ หน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบ. ทา่ นผใู้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณารจู้ กั
อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ วา่ เปน็ โทษความชว่ั แลว้ ไมย่ อมเปน็ ทาส อยใู่ ตอ้ ำ� นาจของอภชิ ฌา
พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ ขม่ อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐนิ น้ั ไว,้ เมอื่ ทำ� อะไร พดู อะไร คดิ อะไร กไ็ มย่ อม
ใหเ้ ปน็ ไปตามอำ� นาจของอภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ นไ้ี ดช้ อ่ื วา่ เปน็ ใหญเ่ หนอื ความชวั่ ชนั้ ตน้ .
สว่ นบคุ คลอกี ฝา่ ยหนงึ่ ทตี่ รงกนั ขา้ ม แมไ้ ดเ้ ปน็ ใหญ่ กเ็ ปน็ ใหญใ่ ตค้ วามชว่ั คอื ใตอ้ ภชิ ฌา
ใตพ้ ยาบาท ใตม้ จิ ฉาทฏิ ฐิ อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐิ เกดิ ขนึ้ ครอบงำ� บงั คบั ใหท้ ำ� ชว่ั ทาง กาย
ทางวาจา ทางใจ, แม้จะไดบ้ รรลถุ งึ ผล คือความเป็นใหญเ่ ปน็ โต กเ็ ปน็ ใหญ่เปน็ โตใต้ความช่วั ถูก
ความชวั่ เปน็ นายเปน็ เจา้ ใช้ให้ท�ำความช่วั จงึ ปรากฏผลเปน็ คนชว่ั , นี้ช้ันหน่งึ .
โลภะ ความโลภอยากได้ แต่ยังไม่ถึงมุ่งหมายท�ำเหตุให้เกิดผลท่ีตนปรารถนา อันเป็น
อภิชฌา, โทสะ ความโกรธทป่ี ระทุษร้ายใจทำ� ใจให้เดือดรอ้ น และอาจจะแสดงออกไปใหค้ นอน่ื รู้
ได้ แตย่ งั ไมแ่ สดงออกไปเปน็ พยาบาท, โมหะ ความหลง ไมร่ จู้ กั ทางดชี ว่ั ผดิ ถกู เพราะไมใ่ ชป้ ญั ญา
พิจารณาจบั เหตุจับผล แต่ยังไมถ่ งึ มจิ ฉาทิฏฐิ, นเ้ี ป็นความชัว่ อกี ช้นั หน่งึ . ทา่ นผู้มุ่งความดี ความ
ชอบ พิจารณารูจ้ กั โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นครอบงำ� ใจ, แม้เกดิ ข้ึนครอบง�ำใจ กม็ ีสตริ ะลกึ ได้
มีปัญญาพิจารณารู้เห็นตามเป็นจริงแล้วก�ำจัดเสีย, เมอื่ จะทำ� อะไรดว้ ยกาย ดว้ ยวาจา ดว้ ยใจ

กท็ ำ� ดว้ ยอโลภะ อโทสะ อโมหะ, นช้ี อื่ วา่ เปน็ ใหญเ่ หนอื ความชว่ั , ตรงกนั ขา้ มกบั ผมู้ ปี ญั ญาชวั่ หรอื ไมใ่ ช้
ปญั ญาพจิ ารณายอมใหโ้ ลภะ โทสะ โมหะ เกดิ ขนึ้ ครอบงำ� ใจ และชกั นำ� ไปเพอื่ ใหท้ ำ� กจิ การงาน ทางกาย
ทางวาจา ทางใจ ดว้ ยอำ� นาจ โลภะ โทสะ โมหะ, นไ้ี ดช้ อ่ื วา่ เปน็ ใหญใ่ ตค้ วามชวั่ , นอ้ี กี ชนั้ หนงึ่ .
ความฟงุ้ ซา่ นของจติ คอื ปลอ่ ยจติ ใหฟ้ งั ซา่ นไปรบั อารมณต์ า่ ง ๆ เพราะอารมณค์ อื ทยี่ ดึ หนว่ งมี
มากมายจนเหลอื ทจี่ ะนบั แตร่ วมลงกเ็ ปน็ ๖ คอื รปู ทเ่ี หน็ ทางตา เสยี งทไ่ี ดย้ นิ ทางหู กลนิ่ ทไ่ี ดด้ มทาง
จมกู รสทไ่ี ดล้ ม้ิ ทางลน้ิ โผฏฐพั พะทไี่ ดถ้ กู ตอ้ งทางกาย ธรรมคอื เรอื่ งราวทไี่ ดน้ กึ คดิ ทางมนะ นไ้ี ดช้ อื่ วา่
เปน็ อารมณค์ อื เปน็ ทยี่ ดึ หนว่ ง. (ความยดึ หนว่ งในอารมณน์ น้ั ๆ เรยี กวา่ อารมณก์ ไ็ ดต้ ามรปู ศพั ท)์ , ความ
ยดึ หนว่ งซง่ึ เปน็ ภายในออกไปยดึ รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมทเี่ ปน็ อารมณภ์ ายนอกนแี้ หละเปน็
เหตทุ ำ� ใหจ้ ติ ฟงุ้ ซา่ นไมส่ งบระงบั . ผใู้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาดจู ติ ทฟี่ งุ้ ซา่ นไปรบั อารมณต์ า่ ง ๆ อนั ยว่ั ใหเ้ กดิ ยนิ ดี
บา้ ง ยนิ รา้ ยบา้ ง หลงงมงายบา้ ง, เทยี บกบั จติ ทส่ี งบไมฟ่ งุ้ ซา่ นไปรบั อารมณต์ า่ ง ๆ จะเหน็ ไดว้ า่ ตา่ งกนั .
ความฟงุ้ ซา่ นของจติ กเ็ ปน็ โทษอกี ชน้ั หนงึ่ แตล่ ะเอยี ดยง่ิ ขน้ึ ไป. ทา่ นผพู้ จิ ารณาเหน็ ตามเปน็ จรงิ แลว้ ไม่
ยอมใหจ้ ติ ฟงุ้ ซา่ นออกไปรบั อารมณ์ สงบระงบั ไว้ ดว้ ยตงั้ ใจกำ� หนดอยใู่ นอารมณท์ ดี่ ใี หม้ อี ารมณอ์ นั เดยี ว
หรอื พจิ ารณาดคู วามรทู้ ม่ี อี ยทู่ จ่ี ติ ใหเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ แลว้ อยกู่ บั ความรไู้ มอ่ ยกู่ บั ความฟงุ้ ซา่ น, นก้ี ไ็ ดช้ อื่ วา่
เปน็ ใหญเ่ หนอื ความชว่ั . สว่ นผไู้ มร่ ะลกึ ไมพ่ จิ ารณาใหเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ กอ็ ยใู่ ตอ้ ำ� นาจของความฟงุ้ ซา่ น
แหง่ จติ , จติ กไ็ มส่ งบ, นเ้ี ปน็ อกี ชน้ั หนง่ึ .
ความไมร่ ตู้ ามเปน็ จรงิ อนั เปน็ เหตยุ ดึ ถอื สงิ่ ทปี่ ระสบ ตงั้ ตน้ แตย่ ดึ อตั ภาพ หรอื ปญั จขนั ธน์ ว้ี า่
เอตํ มม นน่ั เปน็ ของเรา, เอโสหมสมฺ ิ เราเปน็ นนั่ , เอโส เม อตตฺ า นน่ั เปน็ ตวั ตนของเรา, นไี้ ดช้ อ่ื วา่
เปน็ โทษอกี ชน้ั หนงึ่ และละเอยี ดยง่ิ ขนึ้ . ทา่ นผพู้ จิ ารณารเู้ หน็ ตามเปน็ จรงิ แลว้ ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาใหร้ จู้ กั
อตั ภาพ อนั แยกเปน็ ปญั จขนั ธ์ คอื รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ และรวู้ า่ รปู เวทนา สญั ญา
สงั ขาร วญิ ญาณ นน้ั เปน็ ตวั ทกุ ขสจั จะ สภาพทจี่ รงิ คอื ทกุ ข,์ เพราะเกดิ ขน้ึ แลว้ กแ็ ปรปรวนไป ในทสี่ ดุ
กส็ ลายไป, ทา่ นจงึ ไมย่ อมอยใู่ ตอ้ ำ� นาจของอตั ภาพ หรอื ของปญั จขนั ธ์ คงเปน็ ผรู้ จู้ กั อตั ภาพ หรอื เปน็
ผรู้ จู้ กั ปญั จขนั ธอ์ ย.ู่ สว่ นผไู้ มพ่ จิ ารณารตู้ ามเปน็ จรงิ ยงั อยใู่ ตอ้ ำ� นาจของความไมร่ ตู้ ามเปน็ จรงิ , นอี้ กี
ชน้ั หนง่ึ (นลี้ ะเอยี ดมาก แสดงโดยนยั แหง่ อนตั ตลกั ขณสตู ร).
เมอื่ ยศคอื ความเปน็ ใหญเ่ หนอื ความชวั่ อนั บคุ คลทำ� ใหเ้ กดิ มขี นึ้ โดยลำ� ดบั เปน็ อสิ รยิ ยศตาม
ภมู ชิ นั้ , กติ ตหิ รอื เกยี รตยิ ศ ยศคอื เสยี งทส่ี รรเสรญิ กเ็ ปน็ กลั ยาณเกยี รติ เกยี รตทิ ด่ี ที ง่ี าม, คนทนี่ ยิ ม
นบั ถอื เพราะอสิ รยิ ยศนนั้ กเ็ ปน็ ปรวิ ารยศทด่ี ที งี่ าม หรอื บรวิ ารทดี่ ที งี่ าม, ตรงกนั ขา้ มกบั ยศคอื ความเปน็
ใหญใ่ ตค้ วามชว่ั , เสยี งทเ่ี ลา่ ลอื เพราะความเปน็ ใหญใ่ ตค้ วามชวั่ กเ็ ปน็ ปาปเกยี รติ เกยี รตทิ ชี่ ว่ั , บรวิ ารคอื
คนที่จะนิยมนับถือ ก็เป็นบริวารท่ีชั่ว คือนิยมนับถือความชั่วของบุคคลผู้มีอิสริยยศใต้ความชั่ว
210

มปี าปเกยี รต,ิ บคุ คลใชป้ ญั ญาพจิ ารณาดว้ ยดี จะเหน็ ไดต้ ามเปน็ จรงิ อสิ รยิ ยศทดี่ เี ปน็ ใหญเ่ หนอื ความชว่ั
กลั ยาณเกยี รติ และบรวิ ารทนี่ บั ถอื ความดคี วามชอบเหลา่ นี้ รวมเรยี กวา่ ยศ จะเกดิ มไี ดก้ เ็ พราะอฏุ ฐานะ
ความเพยี รทำ� ดลี ะชวั่ มสี ตริ ะลกึ ไดถ้ งึ การทท่ี ำ� คำ� ทพ่ี ดู แมล้ ว่ งแลว้ นานจนถงึ ปจั จบุ นั เลอื กทำ� การงาน
แตท่ ดี่ ที ช่ี อบอนั เปน็ การงานอนั สะอาด ใครค่ รวญพจิ ารณาเสยี กอ่ นจงึ ทำ� สำ� รวมระวงั ความชว่ั ทยี่ งั ไมเ่ กดิ
ไมใ่ หเ้ กดิ ขนึ้ เปน็ อยโู่ ดยธรรมหรอื เปน็ อยดู่ ว้ ยธรรม คอื ทำ� ความดใี หเ้ กดิ มขี น้ึ ไมใ่ หค้ วามชว่ั แทรกแซง
เขา้ มาได้ ไมป่ ระมาทเลนิ เลอ่ ในวยั ในความไมม่ โี รคในชวี ติ . อฏุ ฐานะ ความหมนั่ สติ การงานอนั สะอาด
ใครค่ รวญแลว้ จงึ ทาํ ระวงั ความชว่ั เปน็ อยโู่ ดยธรรมไมป่ ระมาท วา่ นเี้ ปน็ เหต,ุ ยศเปน็ ผล. เมอ่ื บคุ คล
ทำ� เหตใุ หเ้ กดิ มขี นึ้ และประสบยศเปน็ ผลมปี ระจำ� อยทู่ ต่ี วั นนั้ เองไดด้ งั น,ี้ ใครตง้ั ใหก้ ไ็ มไ่ ด,้ ใครถอดถอน
กไ็ มไ่ ด,้ ยอ่ มตดิ ตามตนไปเปน็ บญุ เปน็ กศุ ลอยใู่ นปจั จบุ นั นที้ ใี่ จ, และถา้ ยงั มภี พชาตติ อ่ ไป กจ็ ะเปน็
ชนกกรรมนำ� ใหเ้ กดิ ในคตภิ พทดี่ ี และเปน็ อปุ ถมั ภกกรรม อดุ หนนุ ใหท้ ำ� ดที ำ� ชอบยง่ิ ขนึ้ ไป กวา่ จะไดบ้ รรลุ
ถงึ ยศสงู สดุ ตามพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ .
เพราะฉะนนั้ พทุ ธศาสนกิ ผนู้ บั ถอื พทุ ธศาสนา เมอื่ ระลกึ ถงึ คำ� สง่ั สอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ผเู้ ปน็ พระบรมศาสดา กค็ วรนอ้ มนำ� เขา้ มาในตน พจิ ารณาตนสอบกบั ธรรมแลว้ ปฏบิ ตั ติ นไปตามธรรม
ใหเ้ ปน็ ธรรมานธุ รรมปฏปิ นั นะ ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ่ รรม. เมอ่ื เชน่ นกี้ จ็ ะทำ� ตนใหเ้ ปน็ ผมู้ ยี ศทงั้ ใน
ปจั จบุ นั นี้ ทง้ั ในภพตอ่ ไปจนถงึ ทสี่ ดุ .

211

ธรรมเป็นเคร่อื งปลกุ ใหต้ ่นื

ศาสนธรรมแสดงความจรงิ

คนเราตอ้ งการความจรงิ , เมอ่ื ไมเ่ ชอ่ื แน่ จงึ ใหส้ าบานกนั . ศาสนธรรม ธรรมคอื คำ� สงั่ สอน
ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ซง่ึ เปน็ พระบรมศาสดาของเราทงั้ หลาย ลว้ นแสดงความจรงิ , เปน็ ทตี่ ง้ั
แห่งสติ คอื ความระลึกถึง อนั ไดแ้ กค่ วามฉวยเอามาไว้ในใจ และเป็นทีต่ ัง้ แหง่ ปญั ญาคือพิจารณา
เพอ่ื ใหร้ ใู้ หเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ อนั เปน็ ไปเพอ่ื ผลคอื ความอยดู่ ว้ ยความสงบสขุ , ตงั้ แตส่ ำ� หรบั ตนจนถงึ
คนท่เี กย่ี วขอ้ งท่ีอยดู่ ว้ ยกันเป็นหมวดหมู่ ต้ังแต่หมนู่ อ้ ย จนถงึ หม่ใู หญ่ ตลอดจนถึงประเทศชาต,ิ
เพราะธรรมคอื คำ� สง่ั สอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทพี่ ระองคท์ รงแสดงนน้ั แสดงทคี่ นเพอ่ื ปลกุ ใจ
ใหบ้ คุ คลผฟู้ งั ไดร้ ไู้ ดเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ จนเปน็ ผตู้ น่ื อยู่ ไมห่ ลงไปในธรรมทง้ั หลายทม่ี ที เ่ี ปน็ ไปในโลก.
ความหลงไป แมแ้ ตเ่ พยี งหลงทางเทา่ นนั้ ยงั ทำ� ใหบ้ คุ คลผเู้ ดนิ ทางหลงจนไปไมถ่ งึ ถน่ิ ทต่ี นประสงค์
ได้. ถ้าความหลงเป็นความหลงทั่วไปในอารมณ์ท่ีมีท่ีเป็นไปอยู่ในโลกแล้ว ก็ยิ่งจะท�ำให้บุคคลผู้
หลงนั้นวนเวียนอยู่ ไม่รู้จักท่ีจะหาทางด�ำเนินออกไปให้พ้นจากความยุ่งเหยิงอากูลเดือดร้อน
กระวนกระวายได้, ท่านจึงเปรียบไว้ว่า เหมือนดังพายเรืออยู่ในอ่าง เพราะหลงไม่รู้จักทางท่ีจะ
ออกไป กว็ นเวียนอยู่นั้นเอง จนตายกันไปแลว้ เกิดข้นึ ใหม่ตายไปอกี กห็ ลงวนเวยี นในนน้ั แหละ.
ถ้าหลงวนเวยี นอย่เู ช่นน้ัน ได้ความสขุ ความสงบจรงิ ๆ ก็ไมส่ ู้กระไร, นี่หาเปน็ เช่นนัน้ ไม่ ยง่ิ หลง
วนเวยี นอยู่เท่าไร ก็ย่งิ ทำ� ใจใหเ้ ดือดรอ้ นกระวนกระวายไม่เปน็ สขุ อยูเ่ พียงนนั้ .
พงึ พจิ ารณาดผู หู้ ลงโลก หรอื หลงความเปน็ ไปอยใู่ นโลกของบคุ คลทมี่ ตี า่ งๆ กนั ตง้ั ตน้ แต่
พจิ ารณาดูตวั เอง, เม่อื หลงอยู่เพยี งไรกว็ นเวียนไปเพยี งน้ัน, สว่ นผู้อน่ื ก็คงเป็นเชน่ นั้น แต่ถ้าหลง
ไปในทางทีช่ วั่ ทผี่ ิด กท็ �ำความเดือดร้อนให้เกดิ ขนึ้ แก่ตนด้วยแกบ่ คุ คลอนื่ ดว้ ย, ตนเองกไ็ มว่ างใจ
วา่ ตวั เองจะปลอดภยั ตอ้ งจดั ผพู้ ทิ กั ษร์ กั ษาใหถ้ งึ เชน่ นนั้ กว็ างใจไมไ่ ดไ้ มเ่ ปน็ สขุ . แตถ่ า้ บคุ คลเปน็ ผู้
ไม่หลง ตรงกนั ขา้ ม เพราะรู้ตามเปน็ จรงิ อยา่ งไร แมอ้ ยู่ล�ำพงั คนเดยี วกจ็ ะปลอดโปรง่ ใจ ไม่ตอ้ ง
มีใครมาช่วยพิทักษ์รักษา ไปทางไหนก็สะดวกแก่ใจ. ถ้าเป็นอยู่ด้วยกันเช่นน้ันท้ังหมด จะเป็น
อยา่ งไร ก็จะได้เหน็ โดยแน่ชดั วา่ ยอ่ มเปน็ สุขอยู่ดว้ ยกนั ท้งั หมด ตลอดถึงชาตหิ รือตลอดถึงโลก.

212

พระพทุ ธเจ้าทรงปลกุ พระองค์เองใหต้ นื่

พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรม เพอ่ื ปลกุ บคุ คลใหเ้ ปน็ ผตู้ น่ื เพราะรคู้ วามเปน็ ไปของ
โลกตามเปน็ จริงเชน่ น้ี กเ็ พราะพระองค์ไดท้ รงปลุกพระองค์มากอ่ นแล้ว ตง้ั ต้นแต่ตรัสรเู้ ปน็ พระ
สัมมาสมั พทุ ธเจ้า.
ตามพระประวตั ิ ทรงปลกุ พระองคเ์ องจากความหลงในการเลน่ อยา่ งเดก็ ๆ ใหเ้ ปน็ ผตู้ นื่ อยู่
จงึ ไดท้ รงเรยี นรเู้ รอื่ งทจี่ ะควรเรยี น และมคี วามสามารถในกจิ การงาน, เมอ่ื ทรงปกครองประชมุ ชน
ก็ทรงฝึกพระองค์ให้เป็นผู้ต่ืน เพราะไม่หลงไปในอารมณ์ที่ได้ประสบ อันล้วนแต่ท�ำให้เกิดความ
สุขท้ังกลางวันกลางคืน จึงเปน็ ผู้ตนื่ เพราะไดป้ ฏบิ ตั ดิ ีปฏบิ ตั ชิ อบตามหนา้ ท,่ี แม้เชน่ นั้นแล้ว ก็ยัง
ทรงปลุกพระองค์ให้เป็นผู้ต่ืนต่อไปอีก กล่าวตามนัยที่มีปรากฏในทางพระพุทธศาสนา ทรงรู้จัก
โลก คอื โลกธาตทุ เี่ ปน็ ไปอยู่ อนั แยกออกเปน็ เหตสุ ว่ นหนงึ่ เปน็ ผลสว่ นหนงึ่ เชน่ นไ้ี ดท้ รงชอื่ วา่ ทรง
รโู้ ลกในภายนอก และก็ไม่หลงไปตามโลก จึงเป็นผ้ตู น่ื .
เมอ่ื ทรงเหน็ ความเปน็ ไปของคนทเี่ ปน็ ไปต่าง ๆ กัน ตา่ งโดยภมู โิ ดยชัน้ เช่น ดว้ ยความ
มรี ปู พรรณสณั ฐานตา่ งกนั ดว้ ยความเป็นผู้มภี มู หิ รอื พ้ืนเพโงฉ่ ลาดต่างกัน ก็ทรงพิจารณาเหน็ ว่า
คนท่เี ปน็ ไปเช่นนัน้ กเ็ พราะกรรม คือกจิ การงานท่ที ำ� ด้วยกายดว้ ยวาจาด้วยใจนน้ั เองเปน็ เหตุ จึง
ใหผ้ ลแกบ่ คุ คลผู้ทำ� เปน็ ไปตา่ ง ๆ กันตามภมู ติ ามชั้นตามชนดิ น้ีไดช้ ่อื ว่าเปน็ ผตู้ ่นื จากความไม่รู้
โลกคือหมูค่ นทเ่ี ปน็ ไปอย.ู่

กิเลสและอารมณ์

เมอื่ มาทรงพจิ ารณาดพู ระองคว์ า่ เปน็ อยา่ งไร กท็ รงเหน็ พระองคท์ เี่ ปน็ ไปอยตู่ ามพน้ื เพเดมิ
อันแยกออกได้เป็นสองส่วนคือกิเลสหน่ึง อารมณ์หน่ึง, กิเลสก็ได้แก่เครื่องเศร้าหมองของจิตที่
เปน็ ไปอยู่ในภายใน นอนเนือ่ งอยกู่ ับจติ , เม่ือกเิ ลสนัน้ ออกมาประสบอารมณ์ คือ รปู เสียง กล่นิ
รส โผฏฐพั พะ และเรอื่ งราวทงั้ หลาย กเิ ลสทม่ี อี ยใู่ นภายในกอ็ อกมาไปหลงอารมณ์ คอื รปู เสยี ง
กล่ิน รส โผฏฐัพพะ และธรรมะคือเร่ืองราวท่ีเป็นไปอยู่ในภายนอก จึงท�ำให้พระองค์ต้องทรง
หมกมุ่นวุ่นวาย อากูลอยู่กบั อารมณท์ ัง้ หลาย และทรงยึดวา่ นัน่ เป็นของเรา เราเปน็ น่ัน, น่นั เปน็
ตัวตนของเรา, เมื่อทรงพิจารณาดูพระองค์ เห็นความเป็นไปเช่นน้ัน ก็ทรงกําหนดกิเลสที่อยู่ใน
ภายในจนทรงรจู้ ักกเิ ลสกับอารมณ์เหลา่ นนั้ .

213

อาสวะ

ตามทที่ า่ นแสดงไวว้ า่ ทรงรจู้ กั อาสวะ อนั ไดแ้ กก่ ามคอื ความใคร่ ภวะอนั ไดแ้ กภ่ พคอื ความ
เป็น อวิชชาอันได้แก่ความไม่รู้หรือความมืด เหมือนดังคนเข้าอยู่ในห้องมืด ไม่เห็นอะไรน้ีเป็น
ตัวเดมิ เป็นพ้ืนเพ, แต่เมอื่ มอี ารมณเ์ ข้ามาประสบ คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ และธรรมะ
คือเร่ืองราวเขา้ ประสบทางตา หู จมกู ล้ิน กาย มนะ ก็รอู้ ารมณ์นน้ั แตร่ ูผ้ ิดจากความจรงิ ไปไม่รู้
ท่วั ถึง ร้แู ตเ่ พยี งเอกเทศคอื บางส่วน ; เหมือนดังคนอยใู่ นทม่ี ืด เมื่อมีแสงสวา่ งเขา้ ไปเป็นช่อง ๆ
ก็ให้เห็นส่ิงที่อยู่ในทางของแสงสว่าง และก็เข้าใจว่า มีอยู่เท่าน้ัน เท่าท่ีตาเห็น แสงสว่างส่อง
เขา้ มา แตว่ า่ ไมร่ ทู้ ว่ั ถงึ เชน่ รเู้ กดิ แตไ่ มร่ จู้ กั สลายคอื ทำ� ลาย หรอื รจู้ กั ทาํ ลาย แตไ่ มร่ วู้ า่ สงิ่ ทที่ ำ� ลาย
มีเพราะเกดิ , เชน่ บุคคลได้ประสบส่ิงท่ีเกิดข้นึ มา และชอบใจ กย็ ินดหี มกมนุ่ ต้องการให้มีใหเ้ ป็น
อยูต่ อ่ ไป ไม่นกึ ถึงว่าสง่ิ ทเี่ กดิ มานั้นในที่สุดกต็ ้องสลายเหมือนกนั หมด คร้นั สิ่งท่ไี มช่ อบใจเกิดข้ึน
กเ็ ดอื ดรอ้ นกระวนกระวาย ตอ้ งการทำ� ลายล้างผลาญให้เสือ่ มไป ไม่รู้ว่าสงิ่ ท่เี กิดขึน้ แล้วไมต่ ้องมี
ใครท�ำอะไร ในที่สุดเขาก็สลายไปเอง, ดังสุภาษิตของท่านผู้รู้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น
ท่ีแสดงไวว้ า่ ยงฺกญิ ฺจิ สมทุ ยธมมฺ ํ สง่ิ ใดสิ่งหน่งึ มคี วามเกดิ ข้นึ เป็นธรรมดา สพพฺ นฺตํ นโิ รธธมมฺ ํ
สง่ิ นนั้ ทั้งหมดทมี่ คี วามเส่ือมสลายไปเป็นธรรมดา ดงั นี้. รู้เกดิ ได้ชอ่ื ว่ารู้สว่ นหนึง่ แตไ่ ม่ร้ดู ับหรือ
รู้สลาย, รู้ดับหรือรู้สลาย แต่ไม่รู้ว่ามีมาจากเกิด เพราะฉะนั้นจึงยินดีส่วนท่ีชอบ ยินร้ายส่วนที่
ไมช่ อบ ผลัดเปลีย่ นกันไปไม่รู้จักจบ.

อาสวสมุทยั

กเิ ลสทอ่ี อกไปประสบอารมณ์ และรจู้ กั อารมณแ์ ตร่ ผู้ ดิ จากความจรงิ ไป จงึ เปน็ ความหลง
งมงายซ่ึงเรียกวา่ โมหะ, และก็ตอ้ งการไดส้ ว่ นทช่ี อบอันเป็นกามะ ตอ้ งการเป็นภพทชี่ อบอันเป็น
ภวะ. เพราะฉะนั้น กามตัณหา ความดิ้นรนไปเพราะความใคร่หรือเพ่ือความใคร่ท่ีจะให้ได้
ภวตัณหา ความด้ินรนไปเพื่อ ภพคือความเปน็ หรอื ด้นิ รนไปเพือ่ จะให้เปน็ ภพที่ชอบ, วิภวตณั หา
ความดนิ้ รนไปเพอ่ื ให้สง่ิ ทไ่ี มช่ อบซงึ่ มาประสบเส่อื มสูญไป จนถึงมุ่งล้างผลาญ นเี้ ปน็ อาสวสมุทัย
เหตุให้เกิดอาสวะ, เพราะโมหะความหลงงมงายเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว แม้ดับไปไม่คงอยู่ แต่ความ
ยดึ ถอื เปน็ ไปตามความดน้ิ รนของใจ ยงั เกบ็ อยยู่ งั หมกั หมมอยู่ เปน็ อนั เขา้ ไปซอ้ นอาสวะคอื ความ
มืดให้มีอาการมีรูปร่างแปลกออกไปจากความมืด: เหมือนดังบุคคลเมื่อไม่รู้จักทองคําเพชรนิล
จินดา ก็ไม่มีความปรารถนาจะให้ได้ และได้มาแล้วก็ไม่มีความปรารถนาจะให้คงอยู่ แต่เพราะ

214


Click to View FlipBook Version