รวู้ า่ ทองคาํ เพช็ รนลิ จนิ ดามคี า่ คนนยิ มนบั ถอื กนั จงึ ปรารถนาตอ้ งการได,้ ความปรารถนาตอ้ งการ
น้ันไม่ใช่มีอยู่เสมอไป เกิดชั่วคราวแล้วก็ดับ แต่ความที่รู้สึกว่าเพ็ชรนิลจินดาหรือทองค�ำมีค่ายัง
ชอบใจยงั ตอ้ งการอยเู่ สมอ แมน้ อนหลบั ฝนั กค็ งเปน็ ไปเชน่ นนั้ , นไี้ ดช้ อ่ื วา่ อาสวสมทุ ยั เหตใุ หเ้ กดิ
อาสวะ คอื กอ่ กามะ ภวะ อวชิ ชา ให้เกิดขึ้น ทับ กามะ ภวะ อวิชชาเดมิ ใหซ้ อ้ น ๆ ขนึ้ ไป จงึ เป็น
คณุ ะคอื กเิ ลสทซ่ี อ้ นกันและทับอย่ใู นใจสัตว์.
อาสวนิโรธ
เม่ือทรงรู้จักกามอนั เป็นกิเลสนน้ั แลว้ ทรงพิจารณาดู รจู้ กั หน้าตาของอาสวสมุทัยวา่ เป็น
อยา่ งไร, อาสวสมทุ ัย เหตุใหเ้ กิดอาสวะ เกดิ เพราะความไมร่ เู้ ท่าตามเปน็ จรงิ , เมือ่ มผี ดู้ ูให้รู้เทา่
ตามเป็นจริงแล้วอาสาสมุทัยที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิด ท่ีเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมสูญไป. ไม่ใช่เฉพาะ
พระพทุ ธเจ้าซึ่งยังเป็นพระโพธิสตั ว์ แมส้ �ำหรับเรา ๆ กเ็ หมือนกัน ถา้ ตงั้ ใจคอยดอู าสวสมุทยั อยู่
อาสวสมุทัยท่ียังไม่เกิดก็ไม่เกิด ท่ีเกิดขึ้นแล้วก็ทนอยู่ไม่ได้ต้องหลบหน้าไป. พระสัมมาสัมพุทธ
เจา้ กอ่ นตรสั รทู้ รงพจิ ารณารจู้ กั หนา้ คา่ ตาของอาสวสมทุ ยั อาสวสมทุ ยั ทนอยไู่ มไ่ ดก้ เ็ สอื่ มสนิ้ หาย
หมดไป เป็นอาสวนโิ รธความดบั อาสวสมุทยั .
อาสวนิโรธคามนิ ีปฏิปทา
ปัญญาที่พิจารณาเห็นตามเป็นจริง เป็นอาสวนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติเป็นเครื่อง
ด�ำเนินไปถงึ ความสนิ้ อาสวะ หรือเรียกส้ัน ๆ ว่า มรรค.
อรยิ สจั จส์ ายอาสวะ
เพราะฉะนน้ั อรยิ สจั จ์ อยา่ งหนงึ่ คอื อาสวะ อาสวสมทุ ยั อาสวนโิ รธ อาสวนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา
หรือ มรรค จึงปรากฏเกิดขึ้นแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเวลาท่ีทรงปลุกพระองค์เพ่ือให้เป็นผู้
ตนื่ , เมอ่ื อาสวสมทุ ยั ดบั ไปแลว้ อาสวะทเี่ ปน็ พน้ื เพเดมิ ทนอยไู่ มไ่ ด้ ยอ่ มดบั ไปดว้ ย. เพราะฉะนนั้
อาสวะ อาสวสมุทัย จึงไม่มีที่พระองค์ คงมีแต่อาสวนิโรธ อันเกิดแต่อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา
หรอื มรรค ท่พี ระองคไ์ ด้ทรงบ�ำเพ็ญ, เพราะฉะนนั้ พระองค์จงึ ทรงเป็นพทุ โธ ผู้ตนื่ อยเู่ พราะไม่
หลงไป.
215
รูข้ องพระพทุ ธเจา้
รขู้ องผ้อู นื่ เพราะรตู้ ามเปน็ จริงอย่างไร ยากทบ่ี ุคคลเรา ๆ อันยงั ไม่ตืน่ จะพงึ ไดร้ ้ไู ด้ตาม
เปน็ จรงิ แต่เมอ่ื กลา่ วตามทางพุทธศาสนาทีพ่ ระสัมมาสมั พุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ทัง้ โดยรวบยอดก็
คือ ทรงรจู้ กั สงั ขตธรรม ธรรมทป่ี ัจจยั ปรงุ แตง่ ใหเ้ กิดใหม้ ใี หเ้ ป็นข้นึ อย่างหนง่ึ , รู้อสงั ขตธรรรม
ธรรมทป่ี จั จยั ไมไ่ ดป้ รงุ ไมไ่ ดแ้ ตง่ มอี ยเู่ ปน็ พนื้ เพเดมิ อยา่ งหนงึ่ . สว่ นนกั วทิ ยาศาสตรท์ คี่ น้ แสวงหา
ความรเู้ ปน็ ไปแตท่ างรปู ธรรม ธรรมะทเ่ี ปน็ สว่ นรปู , ถงึ เชน่ นนั้ กร็ แู้ คธ่ รรม ทเี่ ปน็ สงั ขตธรรม ธรรม
ทปี่ จั จยั ปรงุ แตง่ เทา่ นนั้ และกเ็ ปน็ ไปแตใ่ นทางโลก จงึ เปน็ ผขู้ วนขวาย และฉลาดในทางทจ่ี ะประกอบ
สงั ขตธรรมทางโลก ใหเ้ ป็นส่งิ ต่าง ๆ ขึ้นใหม่ตามความรู้ตามความเขา้ ใจ ความสามารถ, แตไ่ ม่
ได้หันเข้ามาดูสังขตธรรมธรรมท่ีปัจจัยปรุงแต่ง และอสังขตธรรมท่ีเป็นภายใน, ถ้าเปรียบตาม
กระแสพระพทุ ธภาษติ ทท่ี รงแสดงไว้ กไ็ ดช้ อ่ื วา่ มตี าขา้ งเดยี วเหน็ แตท่ างโลก ไมม่ ตี าทจ่ี ะเหน็ ธรรม.
ความตืน่
เม่ือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงปลุกพระองค์จนเป็นผู้ต่ืนเพราะรู้ตามเป็นจริงเช่นน้ัน
จึงไม่ทรงหลงไปในอารมณ์ทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงรู้, ถ้าจะเปรียบกับบุคคลสามัญที่เป็นไปอยู่
บคุ คลยอ่ มมกี ารนอนซงึ่ เรยี กวา่ นทิ ราคอื นอนหลบั หลบั ไมร่ อู้ ะไรทเี ดยี ว นเี้ ปน็ ความมดื , อกี อยา่ ง
หนงึ่ หลับเจอื ตื่น หรือหลับ ๆ ต่นื ๆ ซ่งึ เป็นเหตุให้เกิดความฝันเหน็ อารมณ์ต่าง ๆ ในความฝนั
ซง่ึ เรยี กวา่ สบุ นิ , ในเวลาทฝ่ี นั นน้ั กเ็ ขา้ ใจวา่ เรอ่ื งทเี่ หน็ หรอื สงิ่ ทเี่ หน็ นนั้ เปน็ จรงิ หมด จงึ ยนิ ดชี อบใจ
ในส่วนทฝี่ ันดี ยินรา้ ย เศรา้ โศกเสยี ใจโกรธแคน้ ขดั เคอื งในเรือ่ งทฝี่ นั ร้าย, ครั้นต่ืนจากฝันขึน้ มา
ร้วู า่ เรือ่ งทเี่ หน็ ในฝันนัน้ ไมเ่ ป็นจรงิ ทัง้ หมด ท้ังส่วนร้ายทั้งสว่ นดี, กไ็ มห่ ลงไปในความฝัน, น้เี ปน็
ความตน่ื ของคนสามญั , เมอื่ นำ� มาเทยี บกบั คนตน่ื ๆ ทเ่ี ปน็ คนสามญั กม็ ที างทจ่ี ะพงึ เทยี บได:้ คน
ไม่รเู้ รอ่ื งราวอะไรทัง้ หมดกเ็ หมอื นดังคนนอนหลับสนทิ ไมฝ่ ัน, เมื่อรอู้ ะไรทมี่ ีทีเ่ ปน็ ไปอันเก่ียวกับ
โลกธาตกุ ็ตาม อนั เกย่ี วกับบุคคลกต็ าม เมื่อแยกออกไปกค็ ือ เรอื่ งที่ใหเ้ กดิ ความยนิ ดี รเู้ ร่อื งให้
เกิดความยินร้าย รเู้ ร่อื งทใ่ี ห้เกิดความหลงงมงาย, เมือ่ ร้เู ชน่ น้ีแลว้ ก็ยนิ ดยี นิ รา้ ยหลงงมงาย นีไ่ ด้
ชอ่ื วา่ ฝนั ตน่ื ๆ ฝนั กนั อยเู่ สมอตงั้ แตร่ คู้ วามมาจนอาจจะถงึ ตาย กไ็ มร่ จู้ กั ตน่ื จากฝนั , และเมอื่ เกดิ
ขนึ้ ใหมก่ ็ฝนั ไปใหมจ่ นกระทัง่ ตายไปแลว้ เกดิ ขึน้ ใหม่ กว่าจะรู้ตามเปน็ จริงวา่ เรื่องราวเหล่านน้ั ท่ี
มที เ่ี ปน็ ไปอยใู่ นโลก กม็ ปี ระจำ� อยใู่ นโลก เปน็ เรอ่ื งเหมอื นดงั ฝนั เหน็ ยว่ั ใหเ้ กดิ ยนิ ดบี า้ ง ยนิ รา้ ยบา้ ง
216
หลงงมงายบา้ ง เทา่ น้นั . เมอื่ รูข้ ึน้ มาแมเ้ พียงเปน็ เคา้ กย็ ังความต่ืนให้เกิดขึ้นเป็นเงา ๆ พอรเู้ หน็
ไดบ้ า้ ง แตถ่ า้ พจิ ารณาจนเหน็ ตามเปน็ จรงิ แมช้ ว่ั ครชู่ ว่ั ขณะ กอ็ าจจะทำ� ตนใหเ้ ปน็ ผตู้ น่ื จากฝนั คอื
ฝันตื่น ๆ ได้ชอื่ ว่าปลุกตนใหต้ น่ื ข้นึ จากฝนั ช่วั ครชู่ วั่ ขณะฉะนนั้ .
ทรงแสดงธรรมเพอื่ ปลกุ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรม มปี รยิ ายคอื ทรงเปน็ อนั มาก แมจ้ ะมากมายเทา่ ไรก็
รวมความลงไดว้ า่ ทรงแสดงธรรม เพอ่ื ปลกุ บคุ คลผฟู้ งั ใหต้ น่ื เมอื่ บคุ คลไมส่ ามารถจะตนื่ ไดด้ ว้ ย
ประการทงั้ ปวงกท็ รงปลกุ ใหต้ น่ื มาเปน็ ชน้ั ๆ โดยลำ� ดบั กวา่ จะตน่ื ถงึ ทสี่ ดุ .
บคุ คลทอ่ี ยดู่ ว้ ยกนั เปน็ หมวดหมนู่ ี้ มตี ง้ั แตห่ มนู่ อ้ ยจนถงึ ใหญอ่ อกไปโดยลำ� ดบั จนถงึ ประเทศ
ชาติ ถงึ โลก ยอ่ มมคี วามเกยี่ วขอ้ งพวั พนั กนั อยเู่ สมอ. พจิ ารณาเพยี งตวั เราเองกจ็ ะเหน็ ได้ เราอยู่
ลำ� พงั คนเดยี วไมไ่ ด้ ตอ้ งเกย่ี วขอ้ งกบั ผอู้ น่ื นเ้ี ปน็ ไปตามธรรมดา, ถงึ เชน่ นนั้ กย็ งั ตา่ งกนั : ถา้ เราไป
เกยี่ วขอ้ งกบั ผอู้ น่ื ดว้ ยความดคี วามชอบ เราเองกอ็ ยเู่ ปน็ สขุ ผอู้ นื่ กอ็ ยเู่ ปน็ สขุ แตถ่ า้ เราไปเกยี่ วขอ้ ง
กบั ผอู้ น่ื ดว้ ยความชวั่ รา้ ย เรากอ็ ยไู่ มเ่ ปน็ สขุ ผอู้ นื่ กอ็ ยไู่ มเ่ ปน็ สขุ พจิ ารณาดจู ะเหน็ ไดต้ ามเปน็ จรงิ .
พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรม ประกาศสจั จธรรม ธรรมทเี่ ปน็ จรงิ และกท็ ม่ี ที เ่ี ปน็ ไปอยนู่ แี้ หละ เพอ่ื
ใหเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ จนเปน็ ผตู้ น่ื . เพราะสจั จธรรม ธรรมทเี่ ปน็ จรงิ มอี ยทู่ ว่ั รอบตวั เตม็ โลก, แตบ่ คุ คล
นนั้ แหละรจู้ กั สจั จธรรมผดิ จากความเปน็ จรงิ ไป เมอื่ ประกอบกจิ การงานอนั ใด กป็ ระกอบกจิ การงาน
อนั นนั้ ใหผ้ ดิ จากความจรงิ ไป, นค่ี วามเทจ็ เกดิ ขนึ้ แกบ่ คุ คล ไมใ่ ชค่ วามเปน็ ไปของโลกเปน็ เทจ็ , ความ
เปน็ ไปของโลกเปน็ จรงิ อยเู่ สมอ คนนนั่ แหละเมอื่ รผู้ ดิ จากความเปน็ จรงิ กไ็ ดช้ อื่ วา่ รเู้ ทจ็ , ยง่ิ ประกอบ
กจิ การงานขนึ้ หลอกลวงผอู้ นื่ ใหเ้ ขารผู้ ดิ จากความเปน็ จรงิ กไ็ ดช้ อ่ื วา่ ประกอบเทจ็ แกบ่ คุ คลผอู้ น่ื , เมอื่
เปน็ เชน่ นอ้ี ยดู่ ว้ ยกนั จะเปน็ อยา่ งไร กจ็ ะเหน็ ไดต้ ามเปน็ จรงิ วา่ อยดู่ ว้ ยกนั ไมเ่ ปน็ สขุ . แตถ่ า้ อยดู่ ว้ ย
กนั ดว้ ยความจรงิ แลว้ เรากจ็ รงิ กบั เขา เขากจ็ รงิ กบั เราเชน่ นี้ เรากเ็ ปน็ สขุ เขากเ็ ปน็ สขุ .
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรม เพอื่ ปลกุ บคุ คลใหเ้ ปน็ ผตู้ นื่ ตงั้ ตน้ แตป่ ลกุ บคุ คลหนงึ่ ๆ
จนถงึ ปลกุ หมคู่ นใหเ้ ปน็ ผตู้ นื่ ทว่ั ถงึ กนั . ธรรมทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง ประกาศนนั้ แมร้ วมลงเพอ่ื
ปลกุ บคุ คลใหเ้ ปน็ ผตู้ นื่ กจ็ รงิ แตก่ ย็ งั มตี า่ งกนั : คอื บางอยา่ งทรงแสดงเหตทุ ช่ี ว่ั อนั ไดแ้ กก่ รรมชวั่
ทบี่ คุ คลทำ� ใหเ้ กดิ ขนึ้ ทางกายทางวาจาทางใจ อนั จะใหผ้ ลชวั่ , บางอยา่ งทรงแสดงเหตทุ ด่ี ี คอื กรรม
ทที่ ำ� ทางกายทางวาจาทางใจอนั เปน็ สว่ นดี ซงึ่ จะใหผ้ ลด,ี บางอยา่ งแสดงทง้ั เหตผุ ลทช่ี ว่ั แสดงทงั้
เหตผุ ลทด่ี ี เพอ่ื ใหบ้ คุ คลรตู้ ามเปน็ จรงิ แลว้ จะไดป้ ลกุ ตนใหต้ นื่ ขนึ้ ปฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ. แตใ่ นบดั นี้
จะนำ� พทุ ธภาษติ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงไวใ้ นสาราณยี ธรรมสตู ร มาพรรณนาตามสมควร.
217
สาราณยี ธรรม
สาราณียธรรมสูตร๑๑ สูตรซึ่งแสดงธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันน้ี โดยตรง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่บรรพชิต คือผู้บวชเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา แต่ว่า
พระพทุ ธภาษติ นน้ั ไมใ่ ชเ่ ฉพาะแตบ่ รรพชติ ยอ่ มสาธารณะทวั่ ไปถงึ บคุ คลทกุ ถว้ นหนา้ ไมม่ วี า่ งเวน้ .
สาราณยี ธรรมนแ้ี ปลวา่ ธรรม เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความระลกึ ถงึ กนั ปยิ กรณา ทำ� ความรกั กนั ครกุ รณา
ท�ำความเคารพนบนอบกนั สงฺคหาย อววิ าทาย สามคฺคยิ า เอกีภาวาย สวํ ตฺตนตฺ ิ เปน็ ไปเพ่ือ
สงเคราะหก์ ันและกัน เป็นไปเพอื่ ไมว่ ิวาทเกี่ยงแย่งกนั และกนั จนถึงทะเลาะเบาะแวง้ กัน เป็นไป
เพื่อความสามคั คกี นั เปน็ ไปเพื่อความเปน็ หมวดหมเู่ ดยี วกัน หรอื รวมกนั เป็นหมวดหมูเ่ ดียว, นี้
เปน็ อาการสาราณยี ธรรม.
ถา้ สาราณยี ธรรม ธรรมเปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความระลกึ ถงึ กนั นี้ มใี นบคุ คลใด มใี นหมใู่ ด, บคุ คล
น้นั และหมู่นน้ั ก็จะระลึกถึงกันด้วยความดีความชอบ ทำ� ความรักกนั ท�ำความเคารพนบนอบกนั
เปน็ ไปเพ่อื สงเคราะห์กนั เป็นไปเพือ่ ไม่ววิ าทแกง่ แย่งกัน เป็นไปเพอื่ ความสามัคคีกัน เป็นไปเพ่ือ
ความเปน็ พวกเดยี วหมเู่ ดยี วกนั . แตถ่ า้ สาราณยี ธรรม ธรรมเปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ความระลกึ ถงึ กนั น้ี ไมม่ ี
ในผู้ใด ในหมู่ใด แต่กลับมีตรงกันข้าม : บุคคลแม้จะระลึกถึงกัน ก็ระลึกกันด้วยความมุ่งร้าย
ไมใ่ ชม่ งุ่ ดตี อ่ กนั ไมท่ ำ� ความรกั กนั แตท่ ำ� ความโกรธกนั , ไมท่ ำ� ความเคารพนบนอบกนั แตท่ ำ� ความ
ดูหม่ินดูแคลนเย่อหยิ่งต่อกันและกัน, ไม่เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กัน แต่เป็นไปเพ่ือความ
ทะเลาะเบาะแว้งกัน วิวาทกัน, ไม่เป็นไปเพื่อความสามัคคีกัน แต่เป็นไปเพื่อความแตกสามัคคี
ไมเ่ ปน็ ไปเพอื่ ความเปน็ หมวดหมเู่ ดยี วกนั แตเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความแตกแยกจากกนั และกนั นเ้ี ปน็ คณุ
ของสาราณยี ธรรม.
สาราณยี ธรรม ธรรมะเปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ การระลกึ ถงึ กนั น้ี พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงเพอ่ื
ปลกุ บุคคลทอี่ ยดู่ ้วยกันเป็นหมวดหมู่ เพอ่ื ให้เป็นหมูท่ ่ีอย่ดู ว้ ยกนั ดว้ ยดี มี ๖ อย่าง คอื :
๑. เข้าไปตั้งเมตตาปรารถนาสุขปรารถนาดีต่อกันและกัน ประกอบกิจการงานทางกาย
แกก่ นั และกนั อยา่ งหนง่ึ .
๒. เขา้ ไปตั้งเมตตาปรารถนาดีปรารถนาสขุ แกก่ ันและกัน ประกอบกิจการงาน ทจ่ี ะพงึ
ท�ำทางวาจา คอื พูดแกก่ ันหรอื แนะนำ� กัน เพ่ือให้เราได้รแู้ ละท�ำกจิ การงานที่ดีที่ชอบ อยา่ งหนึง่ .
๑๑ ม. มู ๑๒/๕๘๑/๕๔๐-๕๕๐.
218
๓. เขา้ ไปตงั้ เมตตาปรารถนาสขุ ปรารถนาดตี อ่ กนั ประกอบกจิ การงานทจี่ ะพงึ ทำ� ทางใจ คอื
ใจมงุ่ ทจี่ ะใหค้ นทง้ั หลายอยเู่ ปน็ สขุ จนถงึ ชว่ ยคดิ กจิ การทจี่ ะพงึ ทาํ ใหด้ าํ เนนิ ไปในทางดที างชอบ อยา่ งหนง่ึ .
รวมความก็คือเข้าไปต้ังเมตตากายกรรม เข้าไปต้ังเมตตาวจีกรรม เข้าไปตั้งเมตตา
มโนกรรม ต่อกนั และกนั ทงั้ ในทีต่ อ่ หน้าทง้ั ในทล่ี ับหลงั เปน็ ๓.
๔. เฉล่ียลาภท่ีได้มาโดยชอบธรรมให้แก่กันและกันตามสมควร ด้วยเจตนาอันเป็นบุญ
กศุ ล มงุ่ ความเฉลยี่ เผอื่ แผด่ ว้ ยตนเอง ไมใ่ ชไ่ ปรดี ใหใ้ ครเขาตอ้ งออกทรพั ยใ์ หต้ น และใชใ้ หบ้ คุ คล
อื่นท�ำกิจการงานอย่างทาสเพราะน่ันเป็นเจตนาอันทารุณโหดร้าย มุ่งหมายแต่ความดีความสุข
จ�ำเพาะตน, แต่การเฉล่ียลาภให้แก่กันในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
แสดงแนะน�ำ ให้บุคคลมใี จประกอบดว้ ยเมตตากรุณาแก่กนั และกัน และเตม็ ใจเฉล่ียเผือ่ แผ่ลาภ
ทไ่ี ดม้ าแกก่ นั และกนั , สำ� หรบั บรรพชติ ทรงแสดงวา่ แมบ้ ณิ ฑบาตทไ่ี ดม้ า กเ็ ฉลยี่ เผอ่ื แผแ่ กก่ นั ตาม
สมควร ดงั น้ี อีกขอ้ หนงึ่ .
๕. มศี ลี คือความประพฤติดีทางกายทางวาจาด้วยความตงั้ ใจให้สมำ�่ เสมอกนั เพราะคน
ท่อี ยดู่ ว้ ยกนั เป็นหมวดหม่ตู ้งั ต้น แต่หมู่อุบาสกอุบาสกิ า หมสู่ ามเณร หม่ภู กิ ขุ หรือหมฤู่ ษีชีไพร
ตา่ ง ๆ ถา้ มคี วามประพฤตทิ างกายทางวาจาดว้ ยความตงั้ ใจสมำ�่ เสมอกนั และสมำ่� เสมอกนั ในทาง
ดีแล้ว จะอยู่ด้วยกันเป็นสุข. พิจารณาดูในบัดน้ีจะเห็นได้. แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างมีศีลช่ัว คือความ
ตัง้ ใจประพฤตกิ าย ประพฤตวิ าจาด้วยความต้งั ใจเป็นไปในทางชวั่ แกก่ ันและกนั แล้ว หมทู่ ี่อยู่ด้วย
กันกไ็ มเ่ ป็นสขุ ไม่ใช่แตไ่ มเ่ ป็นสขุ เปลา่ ๆ อาจอยู่ดว้ ยกนั เปน็ หมไู่ ม่ได,้ เพราะต่างฝ่ายตา่ งกม็ งุ่
ร้ายตอ่ กนั และกันอยเู่ สมอ จะไมเ่ ป็นสุขได้เลย, แมค้ นสองคนต่างฝา่ ยตา่ งประพฤตชิ ว่ั คือมศี ลี
ชวั่ ต่อกันและกันแล้ว กอ็ ยูไ่ มเ่ ปน็ สขุ พงึ เห็นตัวอย่างในบดั นี้ : คนทอ่ี ยดู่ ้วยกันในธรรมสภาน้ใี น
เวลาน้ีล้วนมีศีล คือต้ังใจประพฤติดีปฏิบัติชอบ ต่อกันและกัน จึงอยู่ด้วยกันด้วยความสงบ
เรยี บรอ้ ย, แตใ่ นหมนู่ แี้ หละตา่ งมงุ่ ประพฤตชิ ว่ั ตอ่ กนั และกนั แลว้ จะเกดิ อากลู วนุ่ วายขนึ้ เทา่ ไร จะ
อยสู่ งบเชน่ นไ้ี มไ่ ด.้ เพราะฉะนนั้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ทรงแสดงแนะนำ� ใหเ้ ปน็ ผมู้ ศี ลี คอื ตงั้ ใจ
ประพฤตดิ ีประพฤติชอบตอ่ กนั และกัน น่ีขอ้ หน่งึ .
๖. อีกข้อหน่ึง ทรงแนะน�ำให้มีทิฏฐิ คือความเห็นเหมือน ๆ กันหรือเสมอกัน, แต่ว่า
คนเราแม้เพียงสองคนจะให้มีความเห็นเหมือนกันไปทุกอย่างย่อมไม่ได้, เพราะฉะน้ัน
พระสมั มาสมั พุทธเจ้าจงึ ทรงแสดงข้อท่ีจะพงึ ก�ำหนดมุ่งหมายไวว้ ่า ทฏิ ฐิคอื ความเหน็ นั้นต้องเปน็
ทิฏฐิอันประเสริฐ น�ำออกจากทุกข์ ด�ำเนินไปถึงความส้ินทุกข์โดยชอบแก่บุคคลท่ีประกอบด้วย
ทิฏฐนิ น้ั นเี้ ปน็ อีกข้อหนง่ึ .
219
รวมเปน็ ๖ ขอ้ คอื ตงั้ เมตตากายกรรม ตง้ั เมตตาวจกี รรม ตง้ั เมตตามโนกรรม ตอ่ กนั และกนั
ทั้งในทล่ี ับและท่แี จ้ง, เฉลีย่ ลาภทไ่ี ดม้ าโดยชอบธรรมแกก่ นั และกนั ตามสมควร, ตงั้ ใจประพฤติ
ดีประพฤติชอบให้เสมอ ๆ กันตามภูมชิ น้ั , มงุ่ ท�ำความเห็นอนั ประเสรฐิ คือความเหน็ ท่ีจะด�ำเนิน
ไปเพ่อื ความสิ้นทุกขเ์ หมอื น ๆ กนั , จึงรวมเปน็ ๖ ข้อ ดว้ ยประการฉะนี้.
ค�ำเตือน
เมอ่ื พทุ ธศาสนกิ ผนู้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนา ทง้ั บรรพชติ ทง้ั ฆราวาสระลกึ ถงึ และฉวยเอาคำ�
สั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาไว้ในใจ และใช้ปัญญาพิจารณาตรวจตราจับเหตุจับผลสอบ
กบั ตนดู ใหเ้ หน็ วา่ ดชี ว่ั ผดิ ถกู อยา่ งไรทตี่ นเอง เมอ่ื เหน็ วา่ อยา่ งไรดกี ป็ ระพฤตไิ ป อยา่ งไรชว่ั กล็ ะเสยี ,
ท�ำเช่นน้ีจึงได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือส่วนใดควรบ�ำเพ็ญก็บ�ำเพ็ญ ส่วนใดควรละ
กล็ ะ, เมอ่ื เชน่ น้ี กไ็ ดช้ อื่ วา่ ปลกุ ตนเองใหร้ จู้ กั ธรรมทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดง และไดช้ อ่ื วา่
เปน็ ผปู้ ลกุ ตนใหต้ นื่ ตามค�ำสงั่ สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ตามสามารถทจ่ี ะพงึ ท�ำได,้ เมอื่ เช่น
นี้ก็จะได้ช่ือว่าปลุกตน : เม่ือน�ำเข้ามาระลึกได้ และพิจารณาและปฏิบัติตามน้อย ก็ปลุกตนได้
นอ้ ย เมอื่ ระลกึ และพจิ ารณาและปฏบิ ตั ติ ามยง่ิ ๆ ขน้ึ ไปกไ็ ดช้ อ่ื วา่ ปลกุ ตนใหย้ ง่ิ ๆ ขนึ้ ไปโดยลำ� ดบั ,
การปลุกคนเชน่ น้ชี ่ือวา่ บุญ เพราะเป็นเคร่อื งช�ำระความชว่ั ชอื่ ว่าเปน็ กศุ ล เพราะเปน็ กิจของคน
ฉลาด ได้ชอ่ื ว่า ทำ� ชีวติ ของตนให้เป็นชีวิตดี ไมเ่ ปน็ ชวี ติ ชัว่ ไมเ่ ปน็ ชวี ิตเปลา่ แล.
220
ธรรมเป็นเครือ่ งพยุงตนใหห้ ลุดพน้
ธรรมกับการปฏบิ ตั ธิ รรม
ธรรมะท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงน้ัน ล้วนเป็นความจริง หรือสภาพที่จริง ต้ังต้น
แต่จริงตามเหตุผล จนถึงจริงท่ีอยู่เหนือเหตุเหนือผล และทรงแสดงแก่บุคคลทั่วไป เพ่ือให้รู้ตาม
เป็นจริงทั่วถึงกัน, แม้เช่นน้ัน ก็มีบุคคลเป็นอันมากที่ไม่สนใจฟัง หรือเพียงสนใจแต่ไม่พิจารณา
เนอื้ ความทเี่ รยี กวา่ อรรถะของธรรมะนน้ั หรอื พจิ ารณาเนอื้ ความแตไ่ มพ่ จิ ารณาฝกึ หดั ปฏบิ ตั ดิ ว้ ย
กายวาจาใจ ธรรมท่ีทรงประกาศแสดงไว้ ก็เป็นเหมือนดังลมท่ีพัดผ่านตาข่ายล่วงเลยไปไม่ติด
อยู่ฉะนั้น.
ตามธรรมดาบุคคล ทุกคนต้องการให้ตนเป็นคนดี ที่จะเป็นคนดี ก็เพราะประพฤติตน
ให้พ้นจากภูมิหรือพื้นเพที่ช่ัวโดยล�ำดับ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้ตรัสรู้ธรรมที่เป็นจริง และทรง
แสดงส่ังสอนแต่ธรรมน้ันก็ไม่ส�ำเร็จประโยชน์แก่บุคคลทั่วไปโดยท่ัวถึง เพราะบุคคลไม่สนใจท่ี
จะปฏิบัติตาม.
มีผู้ทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ธรรมที่เป็นส่วนผลหรือความรู้แจ้งและพ้นจากส่ิงที่
ช่ัวท่ีผิดมีอยู่ ทางที่จะด�ำเนินไปสู่ธรรมน้ันก็มีอยู่ พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้บอกหนทางก็มีอยู่ ท�ำไม
บุคคลจึงไม่บรรลุถึงธรรมท่ีดีน้ัน. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสถามผู้ทูลถามว่า เมื่อทางไปเมือง
ราชคฤหม์ ีอยู่ ท่านซึง่ เปน็ ผูช้ �ำนาญในทางเปน็ ผบู้ อกทางน้ันมีอยู่ แต่ท�ำไมบุคคลทีม่ งุ่ จะไปสเู่ มือง
ราชคฤหจ์ งึ ไปไมถ่ ึงหรือไมไ่ ป, ผทู้ ลู ถาม กท็ ลู ตอบวา่ เมอื่ เขาไม่สนใจทจ่ี ะฟงั คำ� บอกและไมส่ นใจ
ที่จะเดินทาง ข้าพระเจ้าจะท�ำอย่างไรได้. พระพุทธเจ้า ก็ตรัสตอบว่า ธรรมที่ดีท่ีชอบมีอยู่, ทาง
ที่ด�ำเนินไปถึงธรรมท่ีดีที่ชอบก็มี, พระองค์ซ่ึงเป็นผู้บอกก็มี, แต่บุคคลไม่สนใจและไม่เดินไปตาม
ทางที่บอก, พระองค์จะท�ำอย่างไรได้ ดังน้ี.
โดยนัยน้ีแสดงว่า ธรรมที่ดีมีอยู่ ทางท่ีด�ำเนินไปถึงธรรมที่ดีก็มี, แต่บุคคลนั้นแหละ ไม่
สนใจที่จะเรียนทางให้รู้จัก ไม่สนใจที่จะเดินทาง ก็ไม่ได้บรรลุถึงผลที่ตนประสงค์ ท้ัง ๆ ท่ีบุคคล
ทุกคนมุ่งจะเป็นคนดีคนงาม เป็นคนชอบอยู่ด้วยกัน.
221
ความประมาทกับคตธิ รรมดา
ขอ้ นเี้ พราะอะไร. ทางพระศาสนา ทา่ นแสดงไวว้ า่ เพราะความประมาท คอื ความมวั เมา
หรือความเลินเล่อในวัย ในความไม่มีโรคในชีวิต, เมื่อประมาทในวัย ในความไม่มีโรคในชีวิตอยู่
ก็ไม่ประกอบกิจท่ีดีที่ชอบ คือไม่สนใจที่จะเรียนธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม ก็ไม่ได้บรรลุผลที่ดีท่ีชอบ.
ความประมาทน้ัน เม่ือครอบง�ำจิตของผู้ใดก็ท�ำให้ผู้นั้นมีจิตใจเลินเล่อเผลอเพลิน, แต่จะมีจิตใจ
เลินเล่อเผลอเพลินไปอย่างไร ความเป็นไปของกาย หรือของรูปกาย ก็ไม่เลินเล่อเผลอเพลินไป
ตาม คงด�ำเนินไปตามคติธรรมดา คือว่า เมื่อเกิดมาแล้ว ก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ
ไมห่ ยดุ ยง้ั แมส้ กั ชว่ั ขณะหนง่ึ , ทนอยอู่ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ทงั้ ทช่ี อบทง้ั ทไ่ี มช่ อบกไ็ มไ่ ด,้ ใครจะบงั คบั
ให้เป็นไปตามใจหวังว่าให้เป็นอย่างนั้น หรือให้เป็นอย่างน้ี อย่าเป็นอย่างโน้นก็ไม่ได้. พิจารณา
ดูคนทุก ๆ คน ไม่ได้ท�ำอะไรให้ร่างกายบอบช้�ำช�ำรุดทรุดโทรม มีแต่จะคอยท�ำนุบ�ำรุงให้เพลิน
ให้งอกงาม ให้เปล่งปล่ังอยู่เสมอ แต่ร่างกายก็ไม่ยอมตามความประสงค์แปรปรวนเปลี่ยนแปลง
ไป ทนอยู่ไม่ได้ บังคับไม่ได้. เพราะฉะน้ัน ร่างกายของคนท้ังหลายจึงเปลี่ยนแปลงมาโดยล�ำดับ
ตงั้ แตต่ น้ จนบดั น,้ี พจิ ารณาดว้ ยดจี ะเหน็ ไดต้ ามเปน็ จรงิ , นคี้ วามเปน็ ไปของรปู กายดำ� เนนิ ไปตาม
คติธรรมดา, ในท่ีสุดร่างกายก็สลายไป จะมีอะไรติดตามไปได้, มีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ว่า
ยถากมฺมํ คมิสฺสนฺติ ปุญฺปาปผลูปคา สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้เข้าถึงผลบุญบาป จักไปตามกรรม,
นิรเย ปาปกมฺมนฺตา ผู้มีกรรม คือ การงานท่ีท�ำอันชั่วท่ีเรียกว่าบาป ย่อมไปสู่ที่ ๆ ไม่มีความ
เจริญที่เรียกว่า นรก ปุญฺกมฺมา จ สุคตึ ส่วนผู้มีกรรมเป็นบุญหรือมีกรรมท่ีท�ำอันดีงาม จะ
ไปสู่สุคติ คือ คติที่ดี ท่ีชอบ ดังน้ี. ส่วนที่บุคคลจะน�ำไปไม่ได้ แม้ปรารถนาขวนขวายเท่าใด ก็
นำ� ไปดว้ ยไมไ่ ด้ ไดแ้ กโ่ ภคทรพั ยท์ งั้ หลายทมี่ หี รอื แสวงหาไดม้ า หรอื ไดม้ าในทางใดทางหนง่ึ กต็ าม
ตลอดจนถึงรูปกายที่เป็นที่หวงแหนรักใคร่ของบุคคลเหล่านี้ ไม่มีใครน�ำไปด้วยได้. อย่าว่าแต่ถึง
ในเวลาตาย เพียงในเวลาฝัน บุคคลที่นอนหลับและฝันไปในที่ต่าง ๆ ไม่ได้น�ำเอาโภคทรัพย์ท่ีมี
อยู่ไปด้วยได้ แม้ร่างกายก็นอนอยู่ที่ท่ีนอน, แต่ความรู้สึกมีร่างกายอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ไป ไม่ใช่
ร่างกายที่นอนอยู่, นี้แสดงให้เห็นตามเป็นจริง, แม้เช่นน้ี บุคคลก็ยังคงประมาทอยู่.
สุคติ สคุ โต
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ซง่ึ เปน็ พระบรมศาสดาของเราทง้ั หลาย แมท้ รงถงึ พรอ้ มดว้ ย ชาติ
สมบัติ รูปสมบัติ คุณสมบัติ และปัญญาสมบัติอีกส่วนหน่ึง ตามภูมิตามชั้น แม้เช่นน้ัน พระองค์
222
ก็ไม่ทรงประมาทเลินเล่อมัวเมา ถึงคราวท่ีควรท�ำอย่างไร ก็ทรงท�ำไปอย่างนั้น ไม่ปล่อยให้ชีวิต
ความเปน็ อยขู่ องรา่ งกายลว่ งไปเปลา่ , แมท้ รงบรบิ รู ณด์ ว้ ยพระชายา และพระโอรส ไดร้ บั คำ� ทำ� นาย
วา่ จะไดเ้ ปน็ พระเจา้ จกั รพรรดใิ นเบอื้ งหนา้ , แตเ่ มอื่ ทรงพจิ ารณาเหน็ วา่ รปู กาย จะตอ้ งดำ� เนนิ ไป
ตามคตธิ รรมดา คอื แปรปรวนเปลยี่ นแปลงทนอยไู่ มไ่ ด้ บงั คบั ไมไ่ ด้ ในทส่ี ดุ ตอ้ งสลาย, ทรพั ยส์ นิ
ทงั้ หลายทง้ั ทปี่ ระกอบดว้ ยวญิ ญาณ ทง้ั ทไี่ มป่ ระกอบดว้ ยวญิ ญาณมอี ยเู่ ทา่ ไรกเ็ ปน็ อนั ตอ้ งทง้ิ ทง้ั หมด,
จงึ ทรงสงั เวชสลดจติ ทรงคดิ มงุ่ ทจ่ี ะแสวงหาคณุ ความดใี หย้ งิ่ ๆ ขน้ึ ไป จงึ ไดท้ รงสละสมบตั ขิ อง
ผคู้ รองเรอื นออกไปแสวงหาโมกขธรรม คอื ธรรมเปน็ เครอ่ื งพน้ ทกุ ข,์ ทรงพยายามดว้ ยกาย ดว้ ย
วาจา ดว้ ยใจ ในทางทที่ รงเหน็ วา่ จะเปน็ ทางทดี่ ำ� เนนิ ไปถงึ ความสนิ้ ทกุ ขโ์ ดยชอบ ทรงปฏบิ ตั ไิ ปใน
ทางนน้ั จนถงึ ทสี่ ดุ จงึ ไดท้ รงบรรลวุ ชิ ชาวมิ ตุ ตเิ ปน็ สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ ตรสั รเู้ องโดยชอบ. ทางดำ� เนนิ
ของพระองคอ์ นั เรยี กวา่ คติ กเ็ ปน็ สคุ ติ คอื ทางดำ� เนนิ ทดี่ ,ี ทางดำ� เนนิ กเ็ ปน็ สคุ ตอิ กี อยา่ งหนงึ่ .
สคุ โต หรือ สุคติ ตรงกนั ขา้ มกบั ทุคคโต หรอื ทุคคติ คนเข้าใจว่าทคุ คโต คอื คนยากจน
ขัดสน เม่ือเป็นเช่นนี้ สคุ โต กห็ มายความว่า คนมงั่ ม.ี พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เปน็ สคุ โต มง่ั มีถึง
ท่สี ุด จนไม่ต้องการอะไรอีก. สว่ นคนทยี่ ังต้องการอยู่ไมร่ ู้จกั จบ แมจ้ ะมีเงนิ มีทรพั ยส์ ินตง้ั โกฏิ ก็
ยังอยากได้ ยงั แสวงหา ไมไ่ ด้ในทางท่ีดี ก็มุ่งในทางทช่ี ว่ั ทำ� ตวั ใหเ้ ป็นคนเลว ทำ� ร้อู ่ืนใหเ้ ดือดร้อน
แม้ในปัจจุบันนี้ก็เป็นกันอยู่, ทรัพย์ที่แสวงหามาได้ ท�ำความอ่ิมใจให้แก่บุคคลผู้น้ันว่ามีเท่าน้ัน
เท่านี้ แต่ไม่ท�ำความอม่ิ ใจให้มตี ่อไปในภพภายหน้า, เพราะว่าทุก ๆ คน กร็ ู้อยู่แล้วว่า เมอื่ ตาย
นำ� อะไรไปด้วยไม่ได้. ผมู้ งุ่ หมายทรัพย์สนิ อนั เปน็ โภคทรพั ย์ ไม่รู้จักจบส้ิน และมมี ากเท่าไรก็ไม่
พอ นไ้ี ดช้ ่ือว่า ทุคฺคโต ทางด�ำเนนิ กเ็ ปน็ ทคุ ฺคติ คอื ยากจน และอาจจะยากจนไปตลอด ชวี ิตน้ี
และชวี ติ อน่ื ตอ่ ๆ ไป, จนเมอื่ ไรรเู้ หน็ ตามเปน็ จรงิ ปลอ่ ยวางความยดึ ถอื นน่ั แหละ จงึ จะเปน็ สคุ โต
ผมู้ ่ังมี หรือผูพ้ อดงั นี้.
โดยนยั นี้ สาธุชนคนดี จงึ สมควรพิจารณาดูความประพฤติ ความปฏบิ ัตขิ องตน วา่ เปน็
อยา่ งไร. เมอื่ พจิ ารณาดเู หน็ วา่ ความดำ� เนนิ ทางกาย คอื ทำ� ดำ� เนนิ ทางวาจา คอื พดู ความดำ� เนนิ
ทางใจ คือคดิ ของตนเป็นไปในทางท่ีช่วั ทผ่ี ดิ เช่นน้แี ล้ว กพ็ จิ ารณาดูตนว่าเป็นอยา่ งไร, กจ็ ักเหน็
ได้วา่ ตนเปน็ คนชัว่ เปน็ ทคุ คฺ โต ผไู้ ปชวั่ , เพราะท�ำผูอ้ ืน่ ใหเ้ ดอื ดรอ้ น เพราะความด�ำเนินของตวั
ได้ช่ือว่าท�ำลายตัวด้วย ท�ำลายผู้อื่นด้วย. แต่ถ้าบุคคลพิจารณาเห็นตนด�ำเนินไปดี ก็รู้ว่าตนเป็น
สุคโตตั้งแต่เบื้องต้นข้ึนไป และไม่ท�ำผู้อื่นให้เดือดร้อน หรือท�ำนุบ�ำรุงผู้อ่ืนที่สมควรท�ำนุบ�ำรุง,
เช่นนี้ ได้ชื่อว่าพยุงตนให้สูงขึ้นจากพ้ืนเพเดิม โดยล�ำดับ การปฏิบัติเช่นนี้ เป็นการปฏิบัติดี
ปฏิบัติงาม.
223
ธรรมที่ทรงส่งั สอน
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงปฏบิ ตั พิ ระองคใ์ นทางดที างชอบตง้ั แตเ่ บอ้ื งตน้ ขน้ึ ไปจนถงึ สงู สดุ
จึงเป็นสุคโต ผู้ไปดี หรือคนม่ังมีอย่างสูงสุดเป็นสุขเอิบอิ่มอยู่ในพระหฤทัยด้วยธรรมปีติ ความ
เอิบอ่ิมในธรรม ดังนี้แล้ว, ไม่ทรงหวงแหนธรรม อันพระองค์ได้ทรงประสบไว้เสวยแต่พระองค์
ผู้เดียว ทรงพระกรุณาแสดงค�ำสั่งสอนแก่บุคคลอ่ืน ๆ ไม่ทรงเห็นแก่ความยากล�ำบากของ
พระกายด้วยมุง่ หมายใหบ้ ุคคลท้งั หลายเป็นสุคโต ไปดี ถงึ ดกี ว่าจะถึงที่สุด, แตเ่ พราะบคุ คลเปน็
อนั มาก ยงั เปน็ ผมู้ วั เมาอยู่ จงึ ทรงแสดงคำ� สงั่ สอนและไมใ่ หป้ ระมาทในเบอื้ งตน้ ดงั พระพทุ ธภาษติ วา่ :
อปปฺ มาทรตา โหถ สจุ ิตตฺ มนรุ กฺขถ
ทคุ ฺคา อทุ ธฺ รถตตฺ านํ ปงเฺ ก สนโฺ นว กญุ ชฺ โร
ทา่ นทง้ั หลาย จงยนิ ดใี นความไมป่ ระมาท จงรกั ษาจติ ของตน จงถอนตนจากหลม่ คอื ความชว่ั
เหมอื นดังชา้ งทต่ี กหล่ม และถอนตนข้ึนจากหลม่ ได้ฉะน้นั .
ในพระพทุ ธภาษติ น้ี เมอื่ เกบ็ เนอื้ ความโดยยอ่ ไดเ้ นอ้ื ความเพยี ง ๓ ขอ้ : ขอ้ ตน้ ทรงสงั่ สอน
ใหย้ ินดใี นความไม่ประมาท, ขอ้ ท่ี ๒ ใหร้ ักษาจติ ของตน, ข้อท่ี ๓ ใหถ้ อนตนข้ึนจากหลม่ คือ
ความชวั่ .
ความไมป่ ระมาท
ความไมป่ ระมาท ตรงกนั ข้ามกับความประมาท, ความประมาท คอื ความเลนิ เลอ่ ในวยั
ในความไมม่ โี รค ในชวี ติ ดว้ ยไมค่ ดิ วา่ จะตอ้ งตาย ระเรงิ ใจไปไมม่ ที ส่ี ดุ , ความไมป่ ระมาทกค็ อื ความ
ไมเ่ ลนิ เลอ่ หรอื เผอเรอ รสู้ กึ วา่ จะตอ้ งตายเรว็ บา้ ง ชา้ บา้ ง ถงึ จะชา้ อยา่ งไร ในทสี่ ดุ กต็ อ้ งตาย, กอ่ น
แต่ตายก็ต้องแปรปรวน เปล่ยี นแปลง ทนอยูไ่ ม่ได้. มกี ระแสพระพุทธภาษติ แสดงไว้ ซึ่งเรยี กว่า
พหุลานุสาสนี ใหผ้ ูส้ นใจพจิ ารณา และสวดกนั ในเวลาไหวพ้ ระเสร็จแล้ว เช่น รปู ํ อนิจฺจํ เวทนา
อนจิ จฺ า สญฺ า อนจิ ฺจา เป็นตน้ ก็เพอื่ เตือนใหบ้ คุ คลรวู้ ่า รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ
ไม่เท่ยี ง เปน็ ทกุ ข์ บงั คับไมไ่ ด,้ เมอ่ื พจิ ารณาจนเห็นจรงิ ดว้ ยใจ มคี วามสงั เวชสลดใจ ปลอ่ ยวาง
หรอื บรรเทาความยึดถือ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ ซง่ึ เป็นกายอนั นี้ เพราะเห็นว่ากาย
อันน้ีที่แยกออกเป็นปัญจขันธ์ไม่คงท่ีอยู่ได้ ในที่สุดก็ต้องสลาย, เมื่อสังเวชสลดใจบรรเทาความ
ยึดถือกายนเี้ สยี ได้ แมช้ ัว่ ครู่ ชว่ั ขณะเชน่ น้ี ชื่อวา่ ไมป่ ระมาท และยนิ ดีในความไมป่ ระมาทนั้น.
224
การรักษาจติ
เมอื่ ยนิ ดใี นความไมป่ ระมาทแลว้ พระพทุ ธภาษติ กแ็ สดงแนะนำ� ใหร้ กั ษาจติ ของตน. จติ เปน็
อยา่ งไร? ตามพระพทุ ธภาษติ แสดงไวว้ า่ จติ ตงั้ อยใู่ นภมู ิ ๓ คอื ตงั้ อยใู่ นกาม เปน็ กามาวจรจติ อยา่ ง ๑,
ตงั้ อยใู่ นรปู นมิ ติ เปน็ รปู าวจรจติ อยา่ ง ๑, ตง้ั อยใู่ น อรปู นมิ ติ เปน็ อรปู าวจรจติ อกี อยา่ ง ๑, รวม
เปน็ ๓ ภมู ,ิ สว่ นทจี่ ติ ทป่ี ระกอบดว้ ยอรยิ มรรค ไมอ่ ยใู่ นภมู เิ หลา่ นนั้ เพราะอรยิ มรรคเปน็ เครอ่ื งทำ� ลาย
ไมใ่ ชก่ อ่ , กามาวจรเกดิ ขน้ึ ในจติ กก็ อ่ ใหเ้ กดิ ภมู ชิ นั้ ทเ่ี ปน็ กาม, รปู าวจรเกดิ ขน้ึ ในจติ กก็ อ่ ใหเ้ กดิ รปู
ภพหรอื รปู ภมู ,ิ อรปู าวจรเกดิ ขน้ึ ในจติ กก็ อ่ ใหเ้ กคิ อรปู ภพหรอื อรปู ภมู ิ ลว้ นกอ่ ลว้ นสรา้ งทงั้ นนั้ .
แต่กามาวจรจติ ยงั เปน็ ไปต่างกัน บางคนมกี ามาวจรจิตเป็นไปในส่วนชัว่ ซง่ึ เรียกวา่ บาป
กป็ รงุ แตง่ ภพหรอื ภมู ิ ใหเ้ ปน็ ภพภมู ทิ ชี่ วั่ , ถา้ กามาวจรจติ เปน็ กศุ ล กป็ รงุ แตง่ สว่ นทด่ี ที ชี่ อบ ใหเ้ ปน็
ภูมิหรือภพทดี่ ี ; พจิ ารณาดูคนหรอื ตนเอง ก็จะเหน็ ได้วา่ ในคราวใดทป่ี ลอ่ ยให้ความช่วั เกิดขน้ึ
พอกพนู ในคราวนน้ั ตนเองกต็ กอยใู่ นกามภมู หิ รอื กามภพทช่ี ว่ั , ในคราวใด ปรงุ แตง่ สว่ นทดี่ ที ชี่ อบ
ซึ่งเป็นบุญเป็นกุศล ในคราวน้ัน ตนเองก็ตกอยู่ในกามภพ หรือกามภูมิเป็นส่วนดีส่วนชอบ
พจิ ารณาทตี่ นจะเหน็ ได.้ สว่ นสงู ขนึ้ ไป เชน่ รปู าวจรภพหรอื ภมู ิ อรปู าวจรภพ หรอื ภมู ิ เมอื่ พจิ ารณาดู
ตนได้ถงึ แคไ่ หน ก็จะรไู้ ดต้ ามเปน็ จริง.
แตอ่ รยิ มรรค ยอ่ มทำ� ลายภพ ทำ� ลายภมู ิ เพราะวา่ ภพเกดิ จากอปุ าทาน ความยดึ ถอื เมอ่ื
มีภพ กม็ ชี าติ กม็ ีชรา พยาธิ มรณะ, อรยิ มรรค ท�ำลายภพ กเ็ ปน็ อันท�ำลายชาติ เมอื่ ไม่มชี าติ
กม็ ชี รา พยาธิ มรณะ. ท่านผ้ปู ฏิบตั ิเชน่ น้นั กเ็ ป็นผ้รู ู้ รู้ตนื่ จากความหลง รตู้ ามเปน็ จริง, เพราะ
ฉะน้ัน พระสัมมาสมั พุทธเจา้ จงึ เปน็ ผรู้ ู้ ผ้ตู ่ืน คอื พน้ จากความแก่ ความเจบ็ ความตาย จนถงึ
ความเกิด. จะเปน็ เช่นนไ้ี ด้ ก็ต้องอาศัยการรกั ษาจติ .
ตวั จติ เอง คนสามญั รไู้ มไ่ ด้ เหมอื นดงั คนเกดิ ในตระกลู ตา่ ง ๆ ถา้ ยงั ไมไ่ ดท้ ำ� ไมไ่ ดพ้ ดู ไม่
ไดค้ ดิ อะไร จดั วา่ เปน็ คนดี คนชวั่ ไมไ่ ด,้ ตอ่ เมอ่ื ทำ� เมอ่ื พคู เมอื่ คดิ นนั่ แหละ ถา้ ทำ� พดู คดิ ชว่ั ก็
เปน็ คนชว่ั ถา้ ทำ� พดู คดิ ดี กเ็ ปน็ คนด.ี จติ กเ็ ปน็ เชน่ นนั้ เมอื่ ยงั ไมไ่ ดท้ ำ� อะไร ยงั ไมไ่ ดค้ ดิ อะไร ก็
ยงั ไมจ่ ดั วา่ เปน็ ดหี รอื เปน็ ชว่ั , แตเ่ มอื่ ยงั ไมร่ ถู้ กู ตามเปน็ จรงิ จะไมใ่ หจ้ ติ ทำ� การงาน คอื คดิ หาไดไ้ ม.่
พจิ ารณาดจู ติ ของตนวา่ เปน็ อยา่ งไร กจ็ ะเหน็ ไดว้ า่ คดิ อยเู่ สมอ แตค่ ดิ ชวั่ บา้ ง คดิ ดบี า้ ง. ผมู้ จี ติ ทค่ี ดิ
เชน่ นนั้ กเ็ พราะไมร่ ตู้ ามเปน็ จรงิ ตนไมอ่ ยากจะโลภกโ็ ลภ ตนไมอ่ ยากจะโกรธกโ็ กรธ ตนไมอ่ ยาก
จะหลงกห็ ลง, เชน่ นเี้ พราะอะไร? ความอยากเปน็ ไปอยา่ ง ๑ การประพฤตหิ รอื การกระทำ� เปน็ ไป
อย่าง ๑ การท�ำนั่นแหละ เป็นเหตุที่จะให้ผล. เพื่อจะรักษาจิตของตน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จงึ ทรงแสดงวา่ สจติ ตฺ มนรุ กขฺ ถ จงึ ตามรกั ษาจติ ของตน ดงั นี้
225
แสดงตามนัยแห่งสติปัฏฐาน พระสัมมาสมั พุทธเจ้าให้ก�ำหนดดูจิตทปี่ ระกอบด้วยอาการ
คือ จิตประกอบด้วยราคะ หรือโทสะ หรอื โมหะ กใ็ ห้ร้,ู จิตสงบจากราคะ จากโทสะ หรอื โมหะ
กใ็ หร้ ,ู้ จิตประกอบดว้ ยราคะ ก็เพราะมกี ามฉันท์ ความพอใจในกามเข้ามาครอบง�ำอนั เป็นนวิ รณ์
จติ ประกอบดว้ ยโทสะ กเ็ พราะมโี กรธขนึ้ หรอื โทสะเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ พยาบาทตอ่ เนอื่ งกนั . วจิ กิ จิ ฉา
สลี พั พตปรามาส ถนี มทิ ธะ อทุ ธจั จกกุ กจุ จะเหลา่ นี้ เมอ่ื เกดิ ขน้ึ ทจี่ ติ กท็ ำ� ใหจ้ ติ ประกอบดว้ ย โมหะ
ความหลง, ความหลงนั้นแหละแสดงออกไปให้เป็นถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา.
พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าทรงแสดงแนะน�ำให้พิจารณาดูจติ วา่ ประกอบด้วย ราคะ โทสะ โมหะ หรอื
สงบจากราคะ โทสะ โมหะ กใ็ หร้ ู้, เม่อื รู้ตามเปน็ จรงิ อย่างไรแล้ว ก็ดไู ป เมอื่ จติ ประกอบดว้ ย
ราคะ โทสะ โมหะ ตนดูไป ดูใหเ้ ห็นตามเปน็ จรงิ , ราคะ โทสะ โมหะ เปน็ ส่วนชัว่ ทนปญั ญา
ท่ีพิจารณาดูไม่ได้ ก็สงบไป, กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา เป็น
สว่ นชวั่ เปน็ นวิ รณ,์ เมอื่ ปญั ญาไดพ้ จิ ารณาเหน็ ตามเปน็ จรงิ นวิ รณเ์ หลา่ นนั้ กท็ นปญั ญาทพ่ี จิ ารณา
อยไู่ มไ่ ด้ กส็ งบไป. เมอื่ โลภะ โทสะ โมหะ กามฉนั ท์ พยาบาท ถนี มทิ ธะ อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ วจิ กิ จิ ฉา
สงบไปจากจิต จติ ก็ถงึ ความสงบผ่องใส, ดจู ิตทีส่ งบผอ่ งใสเชน่ นั้นไป ความสงบก็จะเกิดมีข้นึ โดย
ลำ� ดับ, เม่อื สงบยิ่งข้ึนโดยล�ำดับแล้ว ความเอบิ อม่ิ ใจซงึ่ เรียกว่าปตี ิ ก็ย่อมเกิดขนึ้ , เม่ือปีทีเ่ กิดข้ึน
ปสั สัทธกิ เ็ กิดขนึ้ ผสมรวมกนั , สมาธิ ความตั้งมน่ั กบ็ งั เกิด, อุเบกขา ความวางใจเปน็ กลางกเ็ กิด,
เม่อื เปน็ เชน่ นี้ ก็ช่อื วา่ รกั ษาจิตของตน.
พยงุ ตนให้หลุดพ้น
เมอื่ รกั ษาจติ ของตนอยกู่ ไ็ ดช้ อื่ วา่ พยงุ ตนใหพ้ น้ จากพน้ื เพหรอื ภมู ภิ พทช่ี วั่ ขน้ึ มาโดยลำ� ดบั
จนถงึ สงบจากภมู ิ สงบจากภพ เพราะปัญญาทพี่ จิ ารณา, เม่อื เปน็ เช่นนี้ ตนเองกเ็ ป็นคนดี เป็น
ผู้หลุดพน้ จากหลม่ , เม่ือแผ่ความดเี ชน่ นั้นไปถงึ ผู้อ่ืน ๆ กเ็ ป็นสุข เชน่ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ทรง
แผ่ความจริงของพระองคไ์ ปถงึ ผ้อู ื่น ๆ กเ็ ป็นสุขไปดว้ ย ดงั น้ี.
ค�ำเตือน
เพราะฉะนน้ั ผนู้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนา เมอื่ ระลกึ ถงึ คำ� สงั่ สอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
จงึ สมควรปฏบิ ตั ติ าม ดว้ ยทำ� ตนใหเ้ ปน็ ผยู้ นิ ดใี นความไมป่ ระมาท ตง้ั ใจรกั ษาจติ ของตน ถอนตน
ขนึ้ จากหลม่ คอื ความชวั่ ขนึ้ มาเปน็ ชนั้ ๆ จนถงึ เบอื้ งสงู , ทำ� เชน่ นน้ั แมใ้ นภมู ติ น้ ภมู ติ ำ�่ กย็ งั เปน็ ดี
เพราะทำ� ตนใหเ้ ปน็ กลั ยาณชนคนงาม, หรอื ถา้ ทำ� ใหป้ ระณตี ยง่ิ ขน้ึ จะเลอ่ื นขนึ้ เปน็ พระอรยิ ชนกไ็ ด.้
การทำ� เชน่ นนั้ เปน็ บญุ เปน็ เครอ่ื งชำ� ระความชว่ั เปน็ กศุ ล เปน็ กจิ ของคนฉลาดในทางธรรม ใหผ้ ล
เปน็ สขุ ทงั้ ในปจั จบุ นั น้ี ทงั้ ในภายภาคหนา้ มแี กต่ นมแี กผ่ อู้ น่ื ดงั พรรณนามาดว้ ยประการฉะน.ี้
226
คนกบั ธรรม
พระพทุ ธศาสนาเปน็ ธรรมอยา่ งหนงึ่ เรยี กวา่ ศาสนธรรม (ธรรมคอื คำ� สง่ั สอน), พระพทุ ธ
ศาสนานนั้ ยอ่ มประกาศแสดงสจั จธรรม ธรรมทเ่ี ปน็ จรงิ ตามธรรมดา, โดยตรงทรงบญั ญตั ทิ บ่ี คุ คล
นนั้ เอง ไม่ได้ทรงบัญญตั ิท่ีอน่ื , เหตนุ น้ั ทุกคนก็คือธรรม ธรรมก็อยทู่ ่ตี น มใิ ช่อยูท่ ีอ่ นื่ . เพราะ
ฉะนน้ั การเรยี นธรรมกเ็ พอ่ื ประโยชนค์ อื ฝกึ ใหร้ ถู้ กู กำ� จดั ความรผู้ ดิ , ใหร้ คู้ วามจรงิ กำ� จดั ความรู้
ไมจ่ รงิ ของบคุ คลน้ันเอง อนั เปน็ ประโยชนอ์ ย่างส�ำคญั ของคน, เปรียบเหมือนประทานกระจกเงา
แก่บุคคลให้ส่องดูตัวเองให้เห็นว่าเป็นอย่างไรแล้ว แก้ตนเองให้ดีน่ันเอง. แต่บางคนเข้าใจผิดคิด
ว่า “ธรรมอย่ทู อ่ี นื่ นอกจากตน, คนทตี่ อ้ งการธรรมก็แสวงหาธรรมไปตามต้องการ, ส่วนตนไม่
ต้องการธรรม, ธรรมก็ไม่เกี่ยวข้องกับตน,” น้ีเป็นความเข้าใจผิดแท้. เพราะค�ำสั่งสอนของ
พระพทุ ธเจ้าทแี่ สดงความจริง กแ็ สดงทบ่ี ุคคล ดังกล่าวแล้ว.
ธรรมนน้ั กลา่ วตามศพั ท์ ทา่ นแสดงวา่ สว่ นทที่ รงตวั เองไว้ : ทเ่ี ปน็ สว่ นดี กท็ รงตวั เปน็ ดี
อยเู่ สมอ ไมเ่ ปลยี่ นเปน็ ชวั่ และเปน็ ไปตามชนั้ , สว่ นทช่ี วั่ กค็ งทรงตวั เปน็ ชว่ั อยเู่ สมอ ไมเ่ ปลย่ี น
เปน็ ดี และเปน็ ไปตามชน้ั , ธรรมทที่ า่ นไมย่ นื ยนั วา่ เปน็ ดหี รอื เปน็ ชวั่ กค็ งทรงตวั เปน็ ไมด่ เี ปน็ ไมช่ วั่
อยนู่ นั่ เอง โดยนยั แหง่ อภธิ รรมสงั คณ.ี เพราะธรรมเหลา่ นี้ มใี นบคุ คลนนั่ เอง ไมไ่ ดม้ ที อี่ นื่ จงึ ทรง
บคุ คลใหเ้ ปน็ ดบี า้ ง ใหเ้ ปน็ ชว่ั บา้ งตา่ ง ๆ กนั ดงั ทป่ี รากฏเหน็ กนั อย,ู่ คนทปี่ รากฏเปน็ คนดตี า่ ง ๆ
จะมีคนอ่ืนรู้หรือไม่รู้ก็ตาม, ก็เพราะท�ำท่ีเป็นเหตุ จึงปรากฏเป็นคนดีเป็นผล, คนที่ปรากฏเป็น
คนชวั่ ตา่ ง ๆ กเ็ พราะทำ� ชว่ั เปน็ เหตุ จงึ ปรากฏเปน็ คนชวั่ เปน็ ผล. นเี้ ปน็ ดหี รอื เปน็ ชว่ั ตามคลองธรรม
ไมใ่ ชด่ หี รอื ชวั่ ตามความเหน็ ของหมหู่ รอื ของตวั เอง, เชน่ คนทท่ี ำ� รา้ ยเขาไดม้ าก หรอื ถอื เอาของ
ของเขาไดม้ าก, พวกหรอื หมขู่ องเขากว็ า่ ดี หรอื ตนเองกว็ า่ ด,ี แตถ่ า้ พวกนน้ั หรอื ผนู้ น้ั ถกู เขาทำ� เชน่
น้ีแก่ตน ก็กลับเห็นว่าไม่ดี. เพราะบุคคลไม่ตรวจพิจารณาตนเอง จึงไม่เห็นตัวเอง. คนที่ได้ผล
สมประสงค์แล้วเห่อเหิม และคนที่ไม่ได้ผลสมประสงค์แล้วเศร้าโศก คับแค้นใจ ก็เพราะหลง
โลกธรรม, เพราะฉะนนั้ ผรู้ กั ตวั ตอ้ งการรถู้ กู รจู้ รงิ และทำ� ถกู จรงิ จงึ สมควรยง่ิ ทจี่ ะฟงั คำ� สงั่ สอน
ของพระพทุ ธเจา้ และนำ� มาพจิ ารณาสอบดทู ต่ี วั ใหเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ วา่ เปน็ อยา่ งไรแน.่ เมอื่ เหน็ วา่
ชวั่ กจ็ กั ไดแ้ กไ้ ขคอื ละความประพฤตชิ วั่ เสยี , เมอื่ เหน็ วา่ ดกี ร็ กั ษาไว,้ และปฏบิ ตั ดิ ใี หส้ งู ยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป,
โดยตรงก็คือฝึกตัวหรือแต่งตัวน่ันเอง ให้พ้นจากความเป็นคนช่ัว ให้บรรลุถึงความเป็นคนดี.
227
คนผปู้ รารถนาจะทำ� กิจอย่างใดอยา่ งหน่งึ เม่ือยังไมส่ ามารถกต็ อ้ งเรียน, ถา้ เรยี นในประเทศเหน็
วา่ ยังไมพ่ อ และมีกำ� ลังสามารถ กไ็ ปเรยี นและฝกึ หัดในตา่ งประเทศ ยอมเสียเงิน ยอมเสยี เวลา
ของชีวิตเป็นตน้ . นี้เพราะเหตุไร? กเ็ พราะต้องการให้เป็นคนดี ดว้ ยสามารถทำ� กิจทตี่ นตอ้ งการ
ใหเ้ ปน็ คนดดี ว้ ยสามารถทำ� กจิ ทต่ี นตอ้ งการใหส้ ำ� เรจ็ และกไ็ ดส้ มประสงคม์ ากบา้ ง นอ้ ยบา้ ง หรอื
ไมส่ �ำเร็จกม็ .ี การม่งุ ทำ� กจิ ท่ตี อ้ งประสงค์ให้ส�ำเร็จนี้ แม้ส�ำเรจ็ ไดต้ า่ ง ๆ ดังทเ่ี ห็นปรากฏ, แต่ถ้า
บุคคลน�ำสิ่งที่ท�ำส�ำเร็จน้ันไปใช้ในทางเบียดเบียนกัน รุกรานกัน ก็ท�ำความเดือดร้อนแก่กันและ
อยดู่ ว้ ยกนั ไมเ่ ปน็ สขุ ดงั ทเี่ หน็ กนั อย.ู่ เพราะฉะนน้ั การมงุ่ ฝกึ เพยี งทำ� กจิ ทป่ี ระสงคใ์ หส้ ำ� เรจ็ เทา่ นน้ั
ไมม่ งุ่ ฝกึ ใหร้ ดู้ ี หรอื ชวั่ ผดิ หรอื ถกู จงึ จดั เปน็ คดโี ลก ถา้ เปน็ กนั อยเู่ ชน่ น้ี โลกจะเปน็ สขุ ไดอ้ ยา่ งไร,
ลองพจิ ารณาดจู ะเหน็ ได,้ ทงั้ การงานของโลกนนั้ ตงั้ แตต่ น้ มาจนบดั น้ี ไมท่ ราบแนว่ า่ กพ่ี นั กหี่ มนื่ ปี
มาแลว้ ยงั ไมเ่ คยปรากฏวา่ แลว้ กนั ไดเ้ ลย, ผทู้ ำ� กอ่ นกต็ ายไป, ผทู้ ำ� ใหมก่ ท็ ำ� สบื กนั และตายไป, ไม่
ทราบวา่ ก่ีชว่ั กันมาแล้ว, จะไมท่ ำ� ก็ไม่ได้ เพราะถ้าไมท่ �ำ ก็ไม่ทันกนั และจะถูกบบี คัน้ รบกวนให้
เดอื ดร้อนต่าง ๆ ทงั้ ทีร่ ูเ้ หน็ กันอยู.่
พระสัมมาสัมพทุ ธะ เม่อื ตรัสรพู้ ระอนตุ ตรสัมมาสมั โพธญิ าณแลว้ ได้ทรงประกาศแสดง
สัจจธรรม ทรงฝึกผู้ยงั ไมร่ ู้ผดิ ไมร่ ูช้ อบ ให้ได้รู้จักผดิ ร้จู กั ชอบ และทรงฝึกผูย้ งั ไมป่ ฏบิ ัตชิ อบ ให้
ปฏบิ ัตชิ อบตามเปน็ จรงิ ต้งั แตช่ ้นั ต�่ำจนถงึ ชนั้ สงู สดุ จนมผี ู้รบั ฝกึ จากพระองค์ได้บรรลถุ งึ คุณอนั
สูงสุด เช่นพระองค์บ้าง หย่อนบ้าง ตามสามารถ, ไม่มีศาสดาอื่นจะฝึกได้เสมอเหมือน จึงได้
พระคณุ นามพเิ ศษวา่ อนตุ ตฺ โร ปรุ สิ ทมสฺ ารถิ ผฝู้ กึ คนทคี่ วรฝกึ อยา่ งยอดเยย่ี ม, สว่ นผไู้ มย่ อมรบั
ฝกึ จากพระองค์ กไ็ มไ่ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากพระองคด์ ว้ ยตนเอง ชอ่ื วา่ เปน็ ผถู้ กู ฆา่ เสยี จากคำ� สง่ั สอน
ของพระองค์, ความเป็นเช่นน้ี ไม่ใช่ความผิดของพระองค์ ไม่ใช่ความผิดของธรรมที่ทรงแสดง
ไมใ่ ชค่ วามผดิ ของปญั ญาทที่ กุ คนมอี ย,ู่ แตเ่ ปน็ ความผดิ ของบคุ คลเอง. เปรยี บเหมอื นพระอาทติ ย์
ส่องแสงสวา่ งใหป้ รากฏในโลก เพอื่ ประโยชน์แกผ่ ้มู ดี วงตา จกั ไดเ้ หน็ รูป, เมือ่ บคุ คลมีดวงตาอยู่
มแี สงสว่างจากดวงอาทิตยอ์ ยู่ มีรปู อย,ู่ แต่หลบั ตาเสยี ไมล่ ืมตาขึน้ ดกู ไ็ ม่เห็นรปู , จะโทษดวงตา
ก็ไม่ถกู จะโทษดวงอาทิตยก์ ็ไม่ถกู จะโทษรปู ก็ไมถ่ ูก, ต้องโทษบุคคลนนั้ เองฉะนั้น. มีผไู้ ด้รับฝกึ
จากพระองค์ ได้รู้เห็นจริงแล้วแสดงค�ำสรรเสริญด้วยค�ำเปรียบไว้ว่า เหมือนหงายของท่ีคว่�ำไว้
เหมอื นเปดิ ของทปี่ ดิ ไว้ เหมอื นบอกทางแกผ่ หู้ ลงทาง เหมอื นสอ่ งไฟในทมี่ ดื ดว้ ยหวงั วา่ คนมจี กั ษุ
จักไดเ้ ห็นรูป ฉะนัน้ .
228
วธิ ที พี่ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงฝกึ นน้ั ตามนยั แหง่ เกสสี ตู ร๑๒ แสดงวา่ ทรงฝกึ อยา่ งหยาบ
บ้าง อย่างละเอยี ดบ้าง ท้งั หยาบทัง้ ละเอยี ดบา้ ง : อยา่ งหยาบน้นั ทรงแสดงเหตชุ ่วั คือ ความ
ประพฤตชิ ว่ั ทางกาย วาจา ใจของบคุ คล, ผลคอื ความเปน็ คนชว่ั ยอ่ มปรากฏ, บคุ คลเขา้ ถงึ อบายภมู ิ
ทง้ั ๔ คอื นรก วิสัยแห่งเปรต ก�ำเนิดดริ ัจฉาน และอสรุ กาย๑๓ เพราะเหตนุ .้ี
เปรียบมนุษยก์ บั สัตว์ในอบายภมู ิ
ผไู้ มพ่ จิ ารณาใหเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาชอบ ยอมตนลงอยใู่ ตอ้ ำ� นาจของความชวั่ (กเิ ลส)
อนั เปน็ มารผทู้ ำ� ลายลา้ งความยอมตนใหก้ เิ ลสชกั นำ� ไปใหป้ ระพฤตชิ ว่ั ทางกาย วาจา ใจ กดตนใหต้ ำ�่
เลวทรามลงจากพนื้ เพเดมิ คอื ความเปน็ มนษุ ยโ์ ดยชาติ กอ่ อบายภมู ใิ หม้ ใี นตนทง้ั ทย่ี งั มชี วี ติ อยใู่ น
ชาตนิ ี้ ภพนน้ี นั่ เอง ไมใ่ ชแ่ ตเ่ พยี งแตใ่ นชาตหิ นา้ ภพหนา้ :
มนษุ ยผ์ ถู้ กู ไฟกเิ ลส คอื โทสะประทษุ รา้ ยใจตนเองกอ่ น ถา้ แรงขน้ึ กแ็ สดงออกเปน็ พยาบาท
ปองรา้ ย จองเวร คดิ ลา้ งผลาญผอู้ นื่ ยอ่ มเผาตนเองใหเ้ รา่ รอ้ นอยเู่ สมอ ไมม่ คี วามสขุ เปน็ การถกู
เผาทง้ั เปน็ , มนษุ ยช์ นดิ นช้ี อ่ื วา่ เปน็ เนรยกิ มนสุ โฺ ส มนษุ ยน์ รก เพราะถกู ไฟโทสะเผาใหเ้ ดอื ดรอ้ น.
มนษุ ยผ์ ไู้ มม่ ยี างอายและไมม่ คี วามหวาดกลวั ตอ่ ความชวั่ ยอ่ มประพฤตชิ ว่ั เสยี หาย ในทลี่ บั
บา้ ง ในทแ่ี จง้ บา้ ง ทง้ั ในทล่ี บั ทง้ั ในทแ่ี จง้ บา้ ง ดว้ ยปราศจากหริ แิ ละโอตตปั ปะ, เพราะถอื ตนวา่ แม้
ผอู้ น่ื รกู้ ไ็ มอ่ าจทำ� อนั ตรายแกต่ นได้ เปน็ ผเู้ คยชนิ กบั ความชว่ั จนกลมกลนื กบั ความชว่ั นน้ั ๆ และ
ยอ่ มทำ� ชวั่ ไดท้ กุ ขณะ เพราะเหน็ เปน็ ธรรมดา, มนษุ ยช์ นดิ นช้ี อื่ วา่ ตริ จฉฺ านมนสุ โฺ ส มนษุ ยด์ ริ จั ฉาน.
มนษุ ยผ์ มู้ คี วามโลภอยากได้ ถงึ มมี ากเทา่ ไรกไ็ มร่ จู้ กั พออยา่ งแรงถงึ มงุ่ ไดใ้ นทรพั ยส์ มบตั ขิ อง
ผอู้ น่ื ทง้ั ทตี่ นเองกร็ วู้ า่ เปน็ ทางทไ่ี มช่ อบดว้ ยอาศยั ความเปน็ ผมู้ อี ำ� นาจเปน็ ตน้ ยงั ความอยากใหเ้ จรญิ
ยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป หวิ ระหายอยเู่ สมอไมร่ จู้ กั อมิ่ ไมร่ จู้ กั พอ, มนษุ ยช์ นดิ นชี้ อ่ื วา่ เปตมนสุ โฺ ส มนษุ ยเ์ ปรต.
มนษุ ยผ์ ไู้ มก่ ลา้ แสดงความชว่ั ของตนใหป้ รากฏโดยเปดิ เผยซอ่ นประพฤตชิ ว่ั ตา่ ง ๆ หรอื ถงึ
แม้ปรากฏกายแต่ก็แอบแฝงความช่ัวไว้ภายใน ไม่เป็นที่ไว้วางใจของผู้อื่น, มนุษย์ชนิดนี้ชื่อว่า
อสรุ กายมนสุ โฺ ส มนษุ ยอ์ สรุ กาย. (นเี้ ตมิ เพอื่ ใหค้ รบอบายภมู ิ ๔).
มนษุ ยเ์ หลา่ นี้ ยอ่ มมปี รากฏอยแู่ มใ้ นชาตนิ ภ้ี พนี้ ดงั ทเ่ี หน็ กนั อยรู่ กู้ นั อย.ู่
๑๒ อง. จตกุ ก. ๒๑/๑๕๐/๑๑๑.
๑๓ พระบาลแี สดงดกี อ่ น, แตท่ แ่ี สดงนแี้ สดงชว่ั กอ่ น.
229
พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทรงฝกึ บุคคลใหพ้ น้ จากภูมิทั้ง ๔ ด้วยอุบายอย่างหยาบ คือ ทรง
แสดงถงึ เหตุช่วั และผลท่ีชว่ั ดังน้ี.
เพ่อื ใหบ้ ุคคลเป็นมนษุ ย์ (คน) โดยสมบูรณ์ และใหไ้ ด้เลอื่ นภมู ิชั้นสูงยงิ่ ๆ ขึน้ ไป จงึ ทรง
แสดงอบุ ายท่ีละเอยี ด คือ ความประพฤติดที างกาย วาจา และใจของคน, ผลคอื ความเป็นคนดี
ย่อมปรากฏตามภมู ชิ น้ั :
เทยี บมนุษยก์ ับผู้ถึงสคุ ติเป็นสุคโต
มนษุ ยผ์ ลู้ ะชวั่ ประพฤตดิ ี ตามสมควรแกค่ วามเปน็ มนษุ ยส์ ามญั สมาทานประพฤตติ นอยู่
ในเบญจศีล เบญจกัลยาณธรรม อันเป็นมนุสสปฏิปทา ข้อปฏิบัติท่ีท�ำคนให้เป็นมนุษย์ ช่ือว่า
มนุสฺสมนสุ โฺ ส มนุษย์สมมนุษย์.
มนษุ ยผ์ มู้ หี ริ คิ วามละอาย โอตตปั ปะความเกรงกลวั ตอ่ ความชว่ั อนั เปน็ บาปทจุ รติ แมไ้ มม่ ผี อู้ น่ื
รเู้ หน็ กไ็ มก่ ลา้ ทำ� เพราะมจี ติ ประกอบดว้ ยความละอาย และความเกรงกลวั ตอ่ ความชวั่ เปน็ ปกตวิ สิ ยั
ตง้ั อยใู่ นธรรมขาวสะอาด คอื กายสจุ รติ วจสี จุ รติ และมโนสจุ รติ ชอ่ื วา่ เปน็ เทวมนสุ โฺ ส คอื มนษุ ยเ์ ทพ.
มนุษยผ์ ู้ต้ังอยูใ่ นคณุ ธรรมอันประเสริฐ อันเปน็ ภูมธิ รรม ชัน้ สูงยง่ิ ขนึ้ ไปตามนัยแหง่ อรยิ
ปฏปิ ทา ชื่อว่า อรยิ มนสุ ฺโส มนษุ ย์อรยิ หรอื อารยมนุษย์
มนุษยเ์ หลา่ น้ี ยอ่ มมีปรากฏอยู่ในชาตนิ ี้ภพน.ี้
บุคคลผ้มู ีอบายภมู ิ ๔ อยู่ในตน เมอื่ พิจารณาดูตนเอง จะรู้ได้ดว้ ยตนเอง. บุคคลจะเปน็
มนุษย์ไดโ้ ดยสมบูรณ์จนเลอ่ื นช้ันใหส้ งู ข้ึนไป เมือ่ พิจารณาดตู นเองจะรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง.
บคุ คลจะปฏบิ ตั ติ นใหด้ ไี ด้ กเ็ พราะการฝกึ ฝนอบรมจติ , เพราะฉะนนั้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
จงึ ทรงสอนใหอ้ บรมฝึกหัดดัดจติ ขม่ จิต มพี ระพทุ ธภาษิตแสดงถึงอานสิ งสก์ ารฝึกจิตไว้วา่
ทนุ นฺ คิ คฺ หสสฺ ลหโุ น ยตถฺ กามนปิ าตโิ น
จติ ตฺ สสฺ ทมโถ สาธุ จติ ตฺ ํ ทนตฺ ํ สขุ าวหํ
แปลวา่ การฝกึ จติ ทข่ี ม่ ไดย้ าก เรว็ มกั ตกไปในอารมณอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ตามใคร่ เปน็ การด,ี
จติ ทฝ่ี กึ แลว้ นำ� สขุ มาให.้
การฝกึ จติ นน้ั กต็ อ้ งพจิ ารณาดอู าการของจติ ใหร้ วู้ า่ เปน็ อยา่ งไรกอ่ น, เมอ่ื เหน็ วา่ จติ เกยี่ วเกาะ
ในวตั ถกุ าม จนถงึ มงุ่ ใหไ้ ดถ้ า่ ยเดยี ว ไมเ่ ลอื กวา่ ผดิ หรอื ชอบ กพ็ จิ ารณาเหน็ วา่ เปน็ โทษ ทงั้ แกต่ นทงั้ แก่
ผอู้ นื่ แลว้ เจรญิ จาคเจตนา ความคดิ ปลอ่ ยวางอยา่ งสงู จนไมค่ ดิ พวั พนั , เมอื่ เหน็ วา่ จติ มอี าการคดิ มงุ่ ทำ�
และพดู ชว่ั กพ็ จิ ารณาใหเ้ หน็ วา่ เปน็ โทษทงั้ แกต่ วั ทง้ั แกผ่ อู้ นื่ แลว้ ตง้ั ใจงดเว้นอย่างสูงจนไม่คิดล่วง,
230
เมอ่ื เห็นว่าจิตมอี าการฟ้งุ ซา่ น กพ็ ิจารณาใหเ้ ห็นวา่ เปน็ โทษแลว้ ตั้งจติ ไว้ในอารมณท์ ี่ดอี ยา่ งเดียว
จนแนแ่ นว่ ตง้ั มนั่ ไมฟ่ งุ้ ซา่ น, ครนั้ แลว้ ใชจ้ ติ นนั้ พจิ ารณาสจั จธรรมใหเ้ หน็ ตามเปน็ จรงิ จนความรนู้ นั้
ดบั ความดนิ้ รน เพอ่ื จะใหไ้ ด้ เพอ่ื จะใหเ้ ปน็ เพอ่ื จะใหเ้ สยี แมค้ รหู่ นงึ่ กเ็ ปน็ การด,ี เพราะมสี ขุ ทเ่ี กดิ
แตค่ วามสงบปรากฏ เปน็ สขุ อยา่ งประณตี ละเอยี ด ทคี่ นสามญั ไมไ่ ดป้ ระสบ. มพี ระพทุ ธภาษติ สง่ั สอน
ภกิ ษุ ใหบ้ ำ� เพญ็ สมาธกิ ารตงั้ ใจมนั่ และแสดงคณุ ไวว้ า่ สมาธึ ภกิ ขฺ เว ภาเวถ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ทา่ นทงั้ หลาย
จงบ�ำเพ็ญสมาธิเถิด, สมาหโิ ต ยถาภตู ํ ปชานาติ ผู้ตงั้ มน่ั แลว้ ยอ่ มรูต้ ามเปน็ จรงิ ดงั นี.้
เหตุน้ี ผู้รักตนต้องการให้เป็นคนดีทั้งในปัจจุบันนี้ ท้ังในภายหน้า จึงสมควรฝึกตนให้รู้
ธรรมะ เปน็ ธัมมัญญ, ฝึกใหพ้ ิจารณารู้เน้อื ความแห่งธรรมะ เปน็ อตั ถญั ญ,ู ฝึกใหพ้ จิ ารณาดูตน
สอบกบั ธรรมะและอรรถะ ใหร้ วู้ า่ เป็นอย่างไร เป็นอัตตญั ญู, คร้ันแล้วฝกึ ตนใหป้ ฏิบตั ิชอบ เป็น
ธมั มานธุ มั มปฏปิ นั นะ ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ่ รรม. คนเชน่ น้ี ยอ่ มถอื เอาสาระประโยชนจ์ ากกาย
ท่ีเกิดมาแล้วอันจักต้องแก่เจ็บตายได้ ตามควรแก่ความปฏิบัติ, ชีวิตคือความเป็นอยู่ของตน
กจ็ ะไม่เป็นชวี ติ ชัว่ จะไมเ่ ป็นชีวิตเปล่า แตจ่ ักเป็นชีวติ ดี ดว้ ยประการฉะน้ี.
231
นตถฺ ิ สนฺติปรํ สขุ ํ
สุขอ่นื จากความสงบไมม่ ี
จรงิ อยู่ คนทแี่ มจ้ ะมง่ั มสี กั เทา่ ไร ๆ กต็ าม แตเ่ มอื่ ไมม่ คี วามสงบระงบั จะไดช้ อ่ื วา่ เปน็ ผมู้ ี
สขุ หรอื . คนทพ่ี อหาพอกนิ แตเ่ มอ่ื มคี วามสงบระงบั จะไดช้ อื่ วา่ เปน็ ผมู้ คี วามทกุ ขห์ รอื . พระนพิ นธ์
ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส (เมอ่ื ครงั้ ยงั ทรงดำ� รงพระยศ เปน็ พระเจา้
นอ้ งยาเธอ กรมหมน่ื ) ในหนงั สอื มนษุ ยวทิ ยาเลม่ ๑ ตอนท่ี ๒ ซง่ึ วา่ ดว้ ยความสำ� เรจ็ แทแ้ ละความ
สำ� เรจ็ เทยี ม กม็ วี า่ “...ธรรมดามไิ ดแ้ ตง่ ใหเ้ ราเกดิ มาสำ� หรบั หาเงนิ ถา่ ยเดยี ว, ถา้ เรามพี อแกค่ วาม
ขาดแคลนของเราแลว้ และรอู้ ยวู่ า่ ความหวาดหวนั่ และความทะยานอนั หาทส่ี ดุ มไิ ด้ มกั เปน็ เงา
หอ้ มลอ้ มกองเงนิ อนั เปลง่ ปลงั่ อย,ู่ ควรหรอื ทเ่ี ราจะพรา่ ความสำ� ราญ ความสงบ ความรจู้ กั ผดิ และ
ชอบของเราลง เพอื่ จะอวดสมบตั ขิ องเราหลาย ๆ แสน. ความรจู้ กั หลบจากโทษผดิ ความมหี นา้ หนั
ไปไมส่ ลด เพราะไดฟ้ งั เสยี งเขาตเิ ตยี น ความมอี กไมเ่ ตน้ เพราะกลวั แตอ่ นั ตราย และความไมเ่ ลง็
เหน็ ไฝปาน คอื การเสยี ชอื่ เสยี งของตน ไมเ่ ปน็ สมบตั อิ ยา่ งดหี รอื . นกั ปราชญท์ งั้ หลายไดพ้ จิ ารณา
เหน็ โดยถอ่ งแทแ้ ลว้ วา่ ความมลี าภอยา่ งใหญท่ ส่ี ดุ ทำ� คนใหเ้ ปน็ สขุ โดยถา่ ยเดยี วไมไ่ ด้ และความ
หาลาภมไิ ดจ้ ะทำ� คนผรู้ จู้ กั ผดิ รจู้ กั ชอบ และมใี จอนั ซอื่ สตั ย์ ใหเ้ ปน็ ทกุ ขโ์ ดยประการทง้ั ปวงกไ็ มไ่ ด.้ ..”
เมอ่ื คดิ ดกู พ็ อจะรสู้ กึ . เพราะฉะนน้ั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ไดท้ รงแสดงไวว้ า่ “ความสขุ อนื่ จาก
ความสงบระงบั ไมม่ ”ี และวา่ “อปุ สนโฺ ต สขุ ํ เสติ (แปลวา่ ) ผสู้ งบระงบั ยอ่ มอยเู่ ปน็ สขุ .” เมอื่ บคุ คล
ไมม่ ใี จสงบระงบั แลว้ ชอื่ เสยี งกด็ ี อสิ รยิ ยศกด็ ี ทต่ี อ้ งการนนั้ ถงึ จะเปน็ อยา่ งสงู ตามความคาดคะเน
ของเขา และเขาไดร้ บั นน้ั กไ็ มส่ ามารถจะปอ้ งกนั ทกุ ขอ์ นั เกดิ มแี กเ่ ขาในระหวา่ ง ๆ ตามธรรมดาได.้
ทงั้ ในเวลาทเ่ี ปน็ ไปนนั้ เขากต็ อ้ งทำ� การงานของโลก ซง่ึ เปน็ การลำ� บาก (ทถ่ี า้ คดิ แลว้ จะรสู้ กึ ได)้ มาก
บา้ ง นอ้ ยบา้ งไปดว้ ย. สว่ นทน่ี า่ ปรารถนานนั้ ๆ ทถี่ งึ เขาจกั ไดป้ ระสบนน้ั จะทำ� ใหเ้ ขายนิ ดแี ปลก
ประหลาดอยสู่ กั กคี่ ร.ู่ เมอื่ ไดค้ ดิ ดโู ดยรอบคอบแลว้ กจ็ ะรสู้ กึ ไดว้ า่ เพยี งแตช่ อ่ื เสยี งนน้ั ไมส่ ามารถ
จะทาํ คนใหเ้ ปน็ สขุ อยไู่ ดเ้ สมอ สำ� หรบั ตวั เขาเอง, แตถ่ า้ สำ� หรบั ผอู้ น่ื แลว้ มปี ระโยชนม์ าก. เพราะ
ผทู้ ที่ ำ� การดว้ ยมงุ่ ชอ่ื เสยี งทด่ี แี ละทำ� ถกู ตอ้ ง ยอ่ มเปน็ ประโยชนแ์ กป่ ระมขุ และบา้ นเมอื งมาก.
แตม่ อี ยู่ คนทหี่ วงั ประโยชนจ์ ากชวี ติ คอื คนทเี่ ปน็ อยดู่ ว้ ยเพยี รพยายามเพอ่ื แสวงหาประโยชนท์ ี่
ตนยงั ไมเ่ คยประสบ, เมอ่ื กำ� ลงั เขาตงั้ ใจเพยี รพยายามตามคำ� สอนในศาสนา ทเ่ี ขาไดต้ รติ รองเหน็ จรงิ แลว้
นบั ถอื หรอื ทนี่ กั ปราชญไ์ ดไ้ ตรต่ รองตามเหตผุ ลดว้ ยปญั ญาแลว้ เชอ่ื โดยมนั่ คง. ในพระพทุ ธศาสนากค็ อื
ขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั เปน็ สว่ นเหตทุ ด่ี ี (ถา้ ตอ้ งการทราบ กค็ วรดใู นหนงั สอื ทท่ี า่ นผรู้ เู้ รยี บเรยี งไวห้ รอื ฟงั แตท่ า่ นผรู้ )ู้ ,
เขายงั ไมบ่ รรลสุ ำ� เรจ็ ความประสงค์ ยงั เพยี รพยายามตง้ั หนา้ อยเู่ พยี งไร กย็ งั ไมน่ า่ จะตายเสยี กอ่ นเพยี งนน้ั ,
232
หากจำ� เปน็ จะตอ้ งตาย กน็ า่ เสยี ดายชวี ติ จรงิ ๆ เพราะเขายงั ไมบ่ รรลถุ งึ ประโยชน์ คอื ผลทปี่ รารถนา ซงึ่
เขายงั ไมเ่ คยรู้ ในพระพทุ ธศาสนากค็ อื มรรคผล นพิ พาน ซงึ่ เปน็ ทด่ี บั ทกุ ขท์ งั้ ปวงหมด, ถงึ วา่ ในเวลาที่
เขาเพยี รพยายาม (เพอื่ บรรลผุ ลทย่ี งั ไมเ่ คยไดน้ นั้ ) อยู่ เขาตอ้ งทำ� การซำ้� ซากเชน่ กลา่ วมาแลว้ บางอยา่ ง
กจ็ รงิ แตเ่ ขากท็ ำ� เพราะจำ� เปน็ เพอ่ื จะใหร้ า่ งกายพอเปน็ ไปไดย้ งั ไมใ่ หต้ ายเสยี จะไดม้ กี ำ� ลงั ทำ� ความเพยี ร.
ในเวลาทเ่ี ขาทำ� ความเพยี รอยนู่ น้ั ถา้ ทา่ นไดใ้ ชป้ ญั ญาไตรต่ รองดว้ ยดแี ลว้ , ทา่ นคงจะเหน็ วา่ เขาทำ� การ
ดว้ ยมงุ่ หาประโยชนท์ ยี่ งั ไมเ่ คยได,้ เขาไมไ่ ดท้ ำ� ดว้ ยมงุ่ ประโยชนแ์ ตเ่ พยี งการซำ้� ซาก ซง่ึ ไดเ้ คยรรู้ สซมึ ซาบ
มาแลว้ และไมม่ เี วลาสดุ สนิ้ นนั้ . ถา้ เขาพยายามไปจนบรรลถุ งึ ประโยชนท์ ตี่ อ้ งการเปน็ ทส่ี ดุ ดว้ ยไมม่ ผี ล
ประโยชนอ์ น่ื อนั ใดทห่ี วงั อกี กด็ ี ไปหยดุ อยไู่ มม่ งุ่ ตอ่ ไปดว้ ยสนิ้ อตุ สาหะเสยี กด็ .ี ตง้ั แตน่ นั้ ความเปน็ อยู่
สำ� หรบั เขาเอง กส็ ำ� หรบั แตท่ ำ� การซำ�้ ซากทเ่ี คยรรู้ สมาแลว้ เทา่ นนั้ ไมแ่ ปลกประหลาดอะไร.
เพราะฉะนนั้ ทา่ นผไู้ ดป้ ญั ญารจู้ รงิ เหน็ จรงิ ดว้ ยไดเ้ พยี รพยายามถงึ ทส่ี ดุ หมดกจิ ทจ่ี ะตอ้ ง
ทำ� ตอ่ ไปเพราะไมม่ ผี ลประโยชนอ์ ะไร ทจี่ ะหวงั สำ� หรบั ตวั ตอ่ ไปแลว้ จงึ ไดไ้ มม่ อี าลยั ในสงิ่ ทงั้ ปวง แต่
เปน็ ผบู้ รบิ รู ณด์ ว้ ยเมตตากรณุ า ดว้ ยไมต่ อ้ งปรารภตนเปน็ เหตเุ ดมิ เปน็ ใหญก่ อ่ น, เพราะความยดึ ถอื
มนั่ กายวา่ ตน ทา่ นละไดข้ าดแลว้ . แตใ่ นสว่ นประโยชนส์ ำ� หรบั ผอู้ น่ื นนั้ ทา่ นผบู้ รรลปุ ระโยชนเ์ ปน็
ทสี่ ดุ หรอื เพยี งเอกเทศ หรอื เพยี งรหู้ นทางและอธบิ ายตามคำ� สอนในศาสนาทนี่ บั ถอื แลว้ มกี รณุ า
แกเ่ พอ่ื นมนษุ ยด์ ว้ ยกนั ไดแ้ สดงแนะนำ� ใหผ้ อู้ น่ื ดำ� เนนิ เพอ่ื ประสบประโยชนอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ กด็ ี
ทา่ นผแู้ นะนำ� ใหร้ จู้ กั เหตอุ นั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ ละเหตอุ นั จะใหเ้ สอ่ื มเสยี ตามสามารถทงั้ ทางโลก
ท้ังทางธรรมก็ดี แม้อย่างต่�ำ ย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่ืนแท้ และเป็นบุญกุศลเป็นช่ือเสียงแก่ตัว
(ผแู้ นะนำ� ) ดว้ ย แมจ้ ะไมห่ วงั กต็ าม. เพราะฉะนนั้ ประชมุ ชนจงึ ควรบชู านบั ถอื สรรเสรญิ ทา่ น
(ผมู้ เี มตตากรณุ าแนะนำ� สง่ั สอน) โดยแท.้ ถา้ ไดใ้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาโดยรอบคอบ ประกอบดว้ ยเหตผุ ล
แลว้ ถงึ ใครจะเปน็ ผตู้ อ้ งการประโยชนเ์ พยี งแคไ่ หนกต็ าม กค็ งจะคดิ เหน็ ไดต้ ามเหตผุ ล.
อนง่ึ ตามธรรมดา ผทู้ ย่ี งั ไมไ่ ดใ้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาเหตผุ ลใหร้ อบคอบ จนออกรสู้ กึ เหน็ จรงิ
ในใจ ชักให้เบ่ือหน่ายแล้ว ก็ยังไม่มีความเชื่อพอ, เม่ือยังไม่มีความเช่ือพอ ก็ย่อมไม่มีความ
อุตสาหะพอ, เม่ือไม่มีอุตสาหะพอ ก็ย่อมไม่ปฏิบัติพอ, เมื่อไม่ปฏิบัติพอ ก็ย่อมไม่ได้รับความ
รอบรู้ธรรมดาท่ีจริงแท้ โดยไม่แปรปรวน. เพราะฉะน้ัน คนโดยมากจึงยังยึดถือม่ันตัวตน และ
ตอ้ งการหรอื พอใจอยใู่ นความวนเวยี นซำ้� ซาก ไมร่ จู้ กั จบนน่ั เอง. แตถ่ งึ ดงั นนั้ การทคี่ ดิ ไตรต่ รองไว้
ก็ยงั เปน็ เคร่ืองเตือนใจใหม้ สี ติอยู่บ้าง ดกี ว่าไม่เคยคดิ ร้สู ึกเลย เมอื่ ถงึ คราวจะไดใ้ ชไ้ ด้.
233
รวมพระธรรมเทศนา
ในการบ�ำเพญ็ พระราชกศุ ลสตั ตมวาร
ปัญญาสมวาร และสตมวาร พระราชทานศพ
พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์
(บญุ ยนต์ ปุญฺ าคโม)
ณ ห้องประชุมชน้ั ๑ อาคารฉลองพระชนั ษา ๙๖ ปฯี
วัดบวรนิเวศวิหาร กรงุ เทพมหานคร
234
กิตตกิ ถา
ในการบ�ำเพญ็ พระราชกศุ ลสตั ตมวาร
พระราชทานศพพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺาคโม)
ณ หอ้ งประชมุ ชนั้ ๑ อาคารฉลองพระชนั ษา ๙๖ ปฯี วดั บวรนเิ วศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร
วนั พุธที่ ๒๘ ตุลาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓
พระธรรมเจดีย์ (สมคดิ เขมจารี ป.ธ.๙)
วดั ทองนพคณุ กรุงเทพมหานคร
แสดง
นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สสฺ ๚
พหสุ สฺ ตุ ํ สลี วตปู ปนนฺ ํ ธมเฺ ม ต ํ น วชิ หาติ กติ ตฺ ิ ๚
บดั น้ี จกั รบั พระราชทานถวายวสิ ชั นาพระธรรมเทศนาในกติ ตกิ ถา ฉลองพระเดชพระคณุ
ประดบั พระปญั ญาบารมี อนรุ ปู แกพ่ ระราชกศุ ลปจั โจปการกจิ ธมั โมทศิ ทกั ษณิ านปุ ทาน อนั สมเดจ็
บรมบพิตรพระราชสมภารพระองค์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
พระราชทานพระบรมราชานเุ คราะหใ์ นการบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลครบสตั ตมวารศพพระธรรมมงคล
วฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) อดตี ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร และอดตี ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี
เลขานกุ าร สมเดจ็ พระสงั ฆราช ดว้ ยพระมหากรณุ าธคิ ณุ อนั มบี รบิ รู ณใ์ นพระราชหฤทยั ตามวสิ ยั
แหง่ สปั ปรุ สิ บณั ฑติ หากพระธรรมมงคลวฒุ าจารยไ์ ดห้ ยงั่ ทราบดว้ ยญาณวถิ ที างใดทางหนง่ึ จะพงึ
บงั เกดิ ความซาบซง้ึ ไดป้ ตี ิ มโี สมนสั และจกั สำ� นกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ เปน็ อยา่ งยงิ่
พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ ตามประวตั โิ ดยสงั เขปนามเดมิ วา่ บญุ ยนต์ นามสกลุ เสนเคน
ภายหลงั เปลย่ี นเปน็ ปญุ ญาคมานนต์ เกดิ เมอ่ื วนั พฤหสั บดที ี่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ตรงกบั
วนั ขนึ้ ๕ คำ�่ เดอื น ๒ ปกี นุ ทบ่ี า้ นหนองไห่ ตำ� บลพระลบั อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่ เปน็ บตุ ร
คนท่ี ๑ ของคณุ พอ่ เป คณุ แมส่ ยี า มพี น่ี อ้ งรว่ มบดิ ามารดา ๗ คน บรรพชาเมอื่ อายุ ๑๘ ปี วนั ที่
๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๔ ทวี่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร โดยมสี มเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณ
วงศ์ เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ อปุ สมบทเมอื่ อายุ ๒๐ ปี วนั ท่ี ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ โดยมี
สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์ เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ การศกึ ษาจบชนั้ ประถมศกึ ษา
235
ปที ่ี ๔ ประโยคครพู เิ ศษมลู นกั ธรรมชน้ั โท พ.ศ. ๒๕๕๙ ไดร้ บั พระราชทานเลอื่ นสมณศกั ดเ์ิ ปน็ พระ
ราชาคณะชน้ั ธรรมท่ี พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ หนา้ ทก่ี ารงานเปน็ อดตี ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศ
วหิ าร เปน็ อดตี ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทเ่ี ลขานกุ ารสมเดจ็ พระสงั ฆราช ทา่ นไดถ้ งึ แกม่ รณภาพเมอ่ื วนั ท่ี ๒๒
ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๔๐ น. ณ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ สริ อิ ายุ ๙๗ ปี พรรษา ๗๗
พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ เปน็ พระมหาเถระผรู้ ตั ตญั ญู ผหู้ ลกั ผใู้ หญ่ เปน็ ผทู้ รงศลี เปน็
ผทู้ รงธรรม เปน็ ผทู้ รงฤทธิ์ เปน็ ผทู้ รงเดช ทรงวาสนาบารมี เปน็ นกั บรหิ าร เปน็ นกั ทำ� งาน เปน็ นกั
พฒั นา เปน็ พระผยู้ นิ ดใี นการให้ พอใจในการเสยี สละ เปน็ ตน้ บคุ คลผปู้ ฏบิ ตั ดิ งั กลา่ วน้ี ชชี้ ดั วา่
เปน็ ผมู้ อี ปุ การะ สรา้ งฐานะ สรา้ งหลกั เพอ่ื เปน็ ทพี่ งึ่ พงิ องิ อาศยั จงึ ดำ� รงอยใู่ นฐานะเปน็ ผสู้ รา้ งและ
เสรมิ สรา้ งคอื ทำ� สง่ิ ทยี่ งั ไมม่ ใี หม้ ี เสรมิ คอื การตอ่ เตมิ สง่ิ ทม่ี อี ยแู่ ลว้ ใหด้ ี ใหส้ งู ขนึ้ ทางพระศาสนา
เรยี กวา่ “ปฏริ ปู ” คอื เสรมิ ใหด้ ี เสรมิ ใหส้ วย เสรมิ ใหร้ วย เสรมิ ใหม้ นั่ คงหนกั แนน่ ตรงกบั คำ� วา่
เสรมิ ฐานใหก้ วา้ ง เสรมิ ยอดใหส้ งู
พระเดชพระคณุ หลวงพอ่ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ เปน็ ผดู้ ำ� เนนิ การปฏบิ ตั ภิ าระหนา้ ท่ี
สรา้ งคนดี เสรมิ คนเกง่ คอยชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู อนเุ คราะห์ สงเคราะห์ และเปน็ ผเู้ ปน็ แบบอยา่ งทาง
ดำ� เนนิ ชวี ติ ทด่ี ี ทถ่ี กู ตอ้ ง ถกู ทาง โดยการแนะใหท้ ำ� นำ� ใหด้ ู อยใู่ หเ้ หน็ เขน็ ใหร้ อด ตามประวตั ิ
โดยสงั เขปน้ี ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ทา่ นเปน็ บคุ คลผมู้ เี กยี รติ มคี ณุ ธรรม มขี นบธรรมเนยี มจารตี ประเพณี มี
ภมู ริ ู้ ภมู ฐิ านและภมู ธิ รรม เปน็ เครอื่ งนำ� หนา้ และรกั ษายดึ มน่ั อยใู่ นระเบยี บแบบแผน ประเพณี
เชอ้ื ชาติ ตระกลู วงศเ์ ปน็ องคป์ ระกอบ จงึ ไดร้ บั บำ� เหนจ็ รางวลั ความชอบมาประดบั เกยี รตคิ ณุ โดย
มหี ลกั ศลี หลกั ธรรม นำ� หนนุ ใหป้ ระสบความเจรญิ รงุ่ เรอื งไพบลู ยใ์ นชวี ติ หนา้ ทก่ี ารงาน
เพอ่ื เปน็ การยกยอ่ งเชดิ ชบู คุ คลผมู้ เี กยี รตปิ รากฏ มยี ศลอื ชา จงึ ขอพระราชทานอญั เชญิ
พระพทุ ธภาษติ มาตงั้ เปน็ หวั ขอ้ แหง่ พระธรรมเทศนาวา่ “พหสุ สฺ ตุ ํ สลี วตปู ปนนฺ ํ ธมเฺ ม ต ํ น วชิ หาติ
กติ ตฺ ”ิ แปลความวา่ เกยี รตยิ อ่ มไมล่ ะบคุ คลผเู้ ปน็ พหสู ตู ผเู้ ขา้ ถงึ ศลี และพรต ผตู้ ง้ั อยใู่ นธรรม ดงั น้ี
พทุ ธภาษติ นมี้ หี วั ขอ้ ธรรมทร่ี บั พระราชทานถวายวสิ ชั นา ๓ ประการ คอื เกยี รตยิ อ่ มไม่
ละบคุ คลผเู้ ปน็ พหสู ตู ๑ เกยี รตยิ อ่ มไมล่ ะบคุ คลผเู้ ขา้ ถงึ ศลี และพรต ๑ เกยี รตยิ อ่ มไมล่ ะบคุ คลผู้
ตงั้ อยใู่ นธรรม ๑
คำ� วา่ “เกยี รต”ิ หมายถงึ เกยี รตยิ ศชอ่ื เสยี ง คณุ งามความดี ภาษาบาลวี า่ “กติ ตฺ ”ิ ดงั คำ�
วา่ “กลยฺ าโณ กติ ตฺ สิ ทโฺ ท อพภฺ คุ คฺ โต” เกยี รตยิ ศชอ่ื เสยี งอนั ดงี าม ยอ่ มฟงุ้ ขจรไป สว่ นฝา่ ยทไ่ี มด่ เี รยี ก
วา่ “ปาปกติ ตฺ ”ิ ดงั คำ� วา่ “ปาปโก กติ ตฺ สิ ทโฺ ท อพภฺ คุ คฺ จฉฺ ต”ิ ชอ่ื เสยี งอนั ไมด่ ยี อ่ มลอื กระฉอ่ นไป
236
ประการแรกคอื “พหสู ตู ” พหสู ตู แปลวา่ ผไู้ ดย้ นิ ไดฟ้ งั มามาก หรอื ผคู้ งแกเ่ รยี น บคุ คลผเู้ ปน็
พหสู ตู จงึ หมายถงึ ผทู้ รี่ บั ฟงั และรบั รจู้ ากบคุ คลอน่ื เปน็ สว่ นใหญ่ เปน็ ไปในลกั ษณะถา่ ยเทมา เมอ่ื รบั
ฟงั มากเ็ กดิ สญั ญา ความรจู้ ำ� ดงั คำ� บาลวี า่ “สสุ สฺ สู ํ ลภเต ปญฺ ํ ” ฟงั ดว้ ยดยี อ่ มใหเ้ กดิ ปญั ญา ความรู้
ในระดบั นเี้ ปน็ ความรใู้ นระดบั พน้ื ฐาน สบื สานสบื ตอ่ กนั อนั ไดน้ ามวา่ “สตุ มยปญั ญา” การไดค้ วามรู้
มาจากสตุ ะคอื การฟงั สว่ นวญิ ญาณ หมายถงึ ความรแู้ จง้ เปน็ ความรรู้ ะดบั สงู ขนึ้ จากปกตสิ ามญั ชน้ั ตน้
ความรรู้ ะดบั นจี้ ะเกดิ จะมขี น้ึ ได้ จงึ ไมใ่ ชเ่ พยี งความรจู้ ำ� อยา่ งเดยี ว ถา้ รบั รมู้ าอยา่ งใด เทา่ ใด กท็ รงจำ� ไว้
ไดเ้ กบ็ งำ� ไวไ้ ดอ้ ยา่ งนนั้ เทา่ นน้ั ไมแ่ ตกกาบแตกกอ ไมต่ อ่ คดิ ตอ่ อา่ น ยอ่ มไมต่ ง้ั อยใู่ นฐานเปน็ พหสู ตู
แตถ่ า้ ไมส่ ะดดุ หยดุ ยง้ั อยเู่ พยี งเทา่ นนั้ ตอ้ งมาทำ� ใหแ้ ตกกาบแตกกอ ตอ่ คดิ ตอ่ อา่ น วจิ ยั วจิ ารณถ์ งึ ความ
รทู้ จี่ ำ� มาอนั ไดน้ ามวา่ “จนิ ตามยปญั ญา” การไดค้ วามรมู้ าจากจนิ ตะ คอื การนกึ คดิ ตรกึ ตรอง พนิ จิ
พจิ ารณา วจิ ารณว์ จิ ยั ใหเ้ หน็ แจง้ เหน็ จรงิ เมอ่ื มคี วามรแู้ จง้ เหน็ จรงิ แลว้ สง่ิ ทจ่ี ะเกดิ ตามมากค็ อื ปรญิ ญา
ความรรู้ อบ ปญั ญาความรู้ จงึ ประกอบดว้ ยสญั ญา ความรจู้ ำ� วญิ ญาณ ความรจู้ รงิ ปรญิ ญา ความรู้
รอบ ความรทู้ งั้ ๓ ระดบั นมี้ ปี รากฏในบคุ คลใด บคุ คลนนั้ ยอ่ มไดน้ ามวา่ พหสุ สตุ บคุ คล คอื บณั ฑติ ชน
ปญั ญาชน โดยแทแ้ ล
ประการท่ี ๒ “ผเู้ ขา้ ถงึ ศลี และพรต” คำ� วา่ ศลี “หมายถงึ ” ขอ้ บญั ญตั ทิ างพระพทุ ธศาสนา
เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ างกายและวาจา กลา่ วคอื การรกั ษากายและวาจาใหเ้ รยี บรอ้ ย เชน่ ศลี ๕ และศลี ๘
เปน็ ตน้ ศลี แปลวา่ ปกติ บคุ คลผเู้ ขา้ ถงึ ศลี กค็ อื บคุ คลผปู้ กติ มกี ายปกติ มวี าจาปกติ ถา้ ลว่ งละเมดิ
ศลี กผ็ ดิ ปกติ ลว่ งละเมดิ ทางกายกเ็ ปน็ กายไมป่ กติ ลว่ งละเมดิ ทางวาจากเ็ ปน็ วาจาไมป่ กติ เปน็ กายวาจา
ทไี่ มเ่ รยี บรอ้ ย เปน็ เหตใุ หค้ วามเดอื ดรอ้ นวนุ่ วายเกดิ ขนึ้ มคี วามเปน็ อยไู่ มป่ กติ กลา่ วคอื อยรู่ อ้ นนอน
ทกุ ข์ ไมม่ คี วามอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ในชวี ติ ประจำ� วนั ศลี นนั้ จดั เปน็ มนษุ ยธรรม เปน็ พน้ื เพแหง่ ความเปน็
มนษุ ย์ และเปน็ ทพี่ ง่ึ อนั สำ� คญั ดงั วจนประพนั ธว์ า่ “ปตฏิ ฺ า กลุ ปฺ ตุ ตฺ านํ นตถฺ ิ สลี ํ วนิ า อธิ ” เวน้ ศลี
เสยี แลว้ ทพ่ี ง่ึ ของบคุ คลทงั้ หลายในศาสนานยี้ อ่ มไมม่ ี อกี ทงั้ ศลี นี้ จดั เปน็ หลกั จรรยาบรรณอนั สำ� คญั
ทง้ั ทางคดโี ลก ทง้ั ทางคดธี รรม หากมปี ระจำ� อยใู่ นพน้ื ใจของบคุ คลใดแลว้ ยอ่ มทำ� บคุ คลผนู้ นั้ ใหเ้ ปน็ คน
ดแี ละเปน็ ทรี่ กั ใคร่ เชอ่ื ถอื ไวว้ างใจของบคุ คลผทู้ ำ� การเสวนาสมาคมดว้ ย กบั ทง้ั อำ� นวยอานสิ งั สผลแก่
บคุ คลผสู้ มาทานรกั ษา ดงั คำ� วา่ “สเี ลน สคุ ตึ ยนตฺ ”ิ บคุ คลจะถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรคไ์ ดก้ เ็ พราะศลี “สเี ลน
โภคสมปฺ ทา” บคุ คลจะถงึ พรอ้ มดว้ ยโภคสมบตั กิ เ็ พราะศลี “สเี ลน นพิ พฺ ตุ ึ ยนตฺ ”ิ บคุ คลจะถงึ พระ
นพิ พานคอื ความอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ พน้ จากความอยรู่ อ้ นนอนทกุ ขไ์ ดก้ เ็ พราะศลี “ตสมฺ า สลี ํ วโิ สธเย”
เพราะฉะนนั้ จงึ ควรรกั ษาศลี ใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ ดงั นี้ แมใ้ นทางคดโี ลกกค็ อื พระราชกำ� หนด กฎหมาย ระเบยี บ
คำ� สงั่ กฎกตกิ า ทตี่ ราไวเ้ พอ่ื หา้ มมใิ หบ้ คุ คลกระทำ� และขอ้ อนญุ าตใหก้ ระทำ� เปน็ ตน้ สว่ นคำ� วา่ พรต
237
หรอื วตั ร นน้ั หมายถงึ ขนบธรรมเนยี ม จารตี ประเพณี วฒั นธรรมทเ่ี คยประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ปน็ ประจำ�
สบื สานไมข่ าดสาย ขยายออกไปเปน็ อาจาระ สมาจาระ กริ ยิ ามารยาทประจำ� ตวั ประจำ� ครอบครวั
ประจำ� สงั คม ประจำ� หมบู่ า้ น ประจำ� เมอื ง ประจำ� ชาตศิ าสนาทคี่ วรศกึ ษาและประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ จดั
เปน็ แบบแผนคอื แนวทาง แบบอยา่ งคอื ทางดำ� เนนิ ตาม แบบฉบบั คอื หลกั ฐานอา้ งองิ หรอื ตน้ ฉบบั
ตำ� รบั ตำ� รา ทม่ี า ทไี่ ป ประการท่ี ๓ “คอื ผตู้ งั้ อยใู่ นธรรม” คำ� วา่ ธรรมะ คอื สอนคกู่ บั ศลี อนั
เปน็ หลกั คำ� สง่ั ดงั ทกี่ ลา่ วกนั วา่ ศลี ธรรม หมายถงึ หลกั แหง่ คำ� สง่ั และคำ� สอน แมค้ ำ� วา่ ธรรมวนิ ยั ก็
มนี ยั เหมอื นกนั อนั วา่ ธรรมะนนี้ น้ั มคี วามหมายไดห้ ลายอยา่ ง อาทเิ ชน่ ธรรมะคอื หนา้ ที่ ธรรมะ
คอื ความถกู ตอ้ ง ธรรมะคอื เหตผุ ล ธรรมะคอื ความเปน็ จรงิ แตใ่ นทางปฏบิ ตั แิ ลว้ ธรรมะกค็ อื ความ
ถกู ความดี คอื ถกู ดว้ ย ดดี ว้ ย ตรงกนั ขา้ มกบั อธรรม ซง่ึ หมายถงึ ความผดิ ความเสยี ความผดิ ก็
คอื ความไมถ่ กู ความเสยี กค็ อื ความไมด่ ี ยกตวั อยา่ งความโหดรา้ ย ความประมาท ความเกยี จครา้ น
เปน็ ตน้ เปน็ ฝา่ ยอธรรม ความเมตตากรณุ า ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ความไมป่ ระมาท เปน็ ตน้ เปน็
ฝา่ ยธรรมะ ธรรมะและอธรรมน้ี มผี ลไมเ่ หมอื นกนั “อธมโฺ ม นริ ยํ เนต”ิ อธรรมยอ่ มนำ� บคุ คลผู้
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ปสนู่ รก “ธมโฺ ม ปาเปติ สคุ ต”ึ สว่ นธรรมะยอ่ มนำ� บคุ คลผปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ปสู่
สุคติโลกสวรรค์ บุคคลผู้ต้ังอยู่ในธรรมะนั้น กล่าวให้ส้ันก็คือคนมีธรรมะ หรือคนประพฤติตาม
ธรรมะ ลกั ษณะแหง่ ความประพฤตนิ น้ั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ผลประโยชนท์ ง้ั ทางคดโี ลก ทงั้ ทางคดธี รรม ผล
ทางคดโี ลกนน้ั หมายถงึ ความรกั ความสามคั คี ความสงบและความสขุ อนั เปน็ ความเรยี บรอ้ ยดี
งามในสังคม ส่วนผลในทางคดีธรรม บุคคลผู้ต้ังอยู่ในธรรมะ ในทางพระพุทธศาสนายกย่องว่า
เปน็ คนดี ไมว่ า่ จะเปน็ สตรหี รอื บรุ ษุ คฤหสั ถห์ รอื บรรพชติ ถา้ มจี ติ ประกอบดว้ ยธรรมะแลว้ กน็ บั
วา่ เปน็ คนดที ง้ั นนั้ ชน้ั ทส่ี ดุ แมแ้ ตโ่ จรผรู้ า้ ย ถา้ กลบั ตวั เปน็ คนดมี ธี รรมะเมอ่ื ไร ยอ่ มจะไดร้ บั การให้
อภยั ในความผดิ พลาดในเบอ้ื งหลงั ยงั ใหก้ ารยกยอ่ งชมเชยวา่ เปน็ คนดที ก่ี ลบั เนอ้ื กลบั ตวั ไดใ้ นเบอ้ื ง
ปลาย คนดนี น้ั ผคู้ นทงั้ หลายมคี วามตอ้ งการ ทง้ั ในระดบั ผนู้ ำ� และผตู้ าม เมอื่ ผนู้ ำ� ดผี ตู้ ามกย็ อ่ มดี
ไปดว้ ย คนดอี ยทู่ ไี่ หน ทนี่ นั้ ไมว่ า่ คน สถานที่ และสงิ่ แวดลอ้ มอนื่ ๆ กพ็ ลอยดไี ปดว้ ย ผปู้ ระพฤติ
ตามธรรมะในลกั ษณะหนง่ึ กค็ อื การปฏบิ ตั หิ นา้ ทใี่ หถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม ไมว่ า่ จะเปน็ หนา้ ทท่ี ป่ี ระจำ�
ตวั คอื หนา้ ทโ่ี ดยตรง เชน่ หนา้ ทขี่ องพอ่ แม่ หนา้ ทขี่ องบตุ รธดิ า เปน็ ตน้ หรอื หนา้ ทปี่ ระจำ� งาน คอื
หนา้ ทที่ ไี่ ดร้ บั มอบหมายในฐานะตำ� แหนง่ ตา่ ง ๆ ตวั อยา่ งเชน่ เปน็ ขา้ ราชการ ทหาร ตำ� รวจ ครู
อาจารย์ เป็นต้น ตนมีหน้าที่ใดก็ท�ำหน้าที่นั้นให้ดี ให้เต็มท่ี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ท�ำด้วยใจ
สมคั ร ไมส่ กั แตว่ า่ ทำ� ทำ� ดว้ ยความขยนั ขนั แขง็ หนกั เอา เบาสู้ มคี วามซอื่ สตั ยส์ จุ รติ เปน็ ทต่ี ง้ั มี
สตกิ ำ� กบั มปี ญั ญาหาเหตผุ ล เมอ่ื ทำ� ไดอ้ ยา่ งนี้ งานกไ็ ดผ้ ล บคุ คลกไ็ ดด้ ี
238
ทา่ นเจา้ คณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ ทา่ นไดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทมี่ าดว้ ยดโี ดยตลอด จงึ ไดร้ บั
เกยี รติคณุ เปน็ เกียรติประวัตอิ ันสูงสดุ สมดังพระพทุ ธภาษิตทีล่ ขิ ิตเป็นหัวขอ้ พระธรรมเทศนาวา่
“พหสุ สฺ ตุ ํ สลี วตปู ปนนฺ ํ ธมเฺ ม ต ํ น วชิ หาติ กติ ตฺ ”ิ แปลวา่ เกยี รตยิ อ่ มไมล่ ะบคุ คลผเู้ ปน็ พหสู ตู ผเู้ ขา้
ถงึ ศลี และพรต ตง้ั อยใู่ นธรรม ดงั น้ี
แตโ่ ดยทบ่ี คุ คลผอู้ บุ ตั มิ าในโลกน้ี มสี งิ่ ทจ่ี ะหลกี หนไี มพ่ น้ ทกุ ตวั ตน กค็ อื ความตาย ความตาย
เปน็ ดา่ นสดุ ทา้ ยของชวี ติ “มรณนฺ ตํ หิ ชวี ติ ”ํ ชวี ติ ของสตั วท์ ง้ั หลายมคี วามตายเปน็ ทสี่ ดุ ความเกดิ
เปน็ ตน้ ของชวี ติ ความแก่ ความเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยเปน็ ทา่ มกลางของชวี ติ ความตายเปน็ ปลายของชวี ติ
“เอวํ ภาโว” ทกุ ชวี ติ จะตอ้ งเปน็ อยา่ งนี้ “เอวํ อนตโี ต” ทกุ ชวี ติ จะหนคี วามเปน็ อยา่ งนไ้ี ปไมไ่ ด้ แมจ้ ะไป
อยู่ ณ ถน่ิ ฐานแหง่ ใดกย็ อ่ มจะเปน็ ไปเหมอื นกนั อนั สถานทใ่ี ดไปอยแู่ ลว้ ไมต่ าย แมเ้ ทา่ ปลายผม ปลาย
เขม็ กไ็ มม่ ี ในพนื้ ปฐพนี ้ี มเี กดิ เทา่ ใดกม็ ตี ายเทา่ นนั้ ตา่ งกนั กแ็ ตว่ า่ กอ่ นหรอื หลงั กบั ทงั้ บางคนกต็ าย
เปน็ บางคนกเ็ ปน็ ตาย ตายเปน็ กบั เปน็ ตาย จงึ มคี วามหมายตา่ งกนั ตายเปน็ คอื ตายแตส่ งั ขารรา่ งกาย
แตผ่ ลงานชอ่ื เสยี ง เกยี รตคิ ณุ สกลุ วงศ์ ไมต่ าย ตามความหมายของสภุ าษติ วา่ “รปู ํ ชรี ติ มจจฺ านํ นาม
โคตตํ น ชรี ต”ิ แปลความวา่ รปู กายของสตั วท์ งั้ หลาย ยอ่ มยอ่ ยยบั ดบั สญู ไป แตช่ อ่ื เสยี งเกยี รตคิ ณุ
ตระกลู วงศ์ หายอ่ ยยบั ดบั สญู ไปไม่ สว่ นเปน็ ตายนนั้ คอื ตายกอ่ นตาย แมส้ งั ขารรา่ งกายจะยงั ไมต่ าย
แตช่ อื่ วา่ ตายทงั้ เปน็ มชี วี ติ อยกู่ เ็ พยี งลมหายใจเขา้ ออก รอคอยวนั ตาย ไมไ่ ดส้ รา้ งคณุ ประโยชนอ์ นั ใด
ไวป้ ระดบั ชวี ติ มชี วี ติ อยอู่ ยา่ งกาฝาก แมต้ ายจากไปกไ็ ปอยา่ งเรอื จร ยนื เดนิ นงั่ นอน ดว้ ยความ
ประมาทมวั เมา เขา้ ทำ� นองวา่ “เย ปมตตฺ า ยถา มตา” ความเปน็ คนผปู้ ระมาทยอ่ มเปน็ เหมอื นคนตาย
แลว้ หรอื เปน็ ตายเทา่ กนั
ทา่ นเจา้ คณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ ทา่ นดำ� เนนิ ชวี ติ มา แมท้ า่ นจะละสงั ขารตายไป แตช่ อ่ื
เสยี งเกยี รตคิ ณุ ความดขี องทา่ นยงั ปรากฏอยู่ ทา่ นตราไวใ้ นโลกนี้ เหมอื นกบั นกั ปราชญท์ ง้ั หลายกลา่ ววา่
ววั ควายตายเหลอื ไวแ้ ตเ่ ขาหนงั ชา้ งตายยงั เหลอื งาเปน็ สกั ขี
คนเราตายเหลอื ไวแ้ ตช่ วั่ ดี บรรดามปี ระดบั ไวใ้ นโลกา
“อมิ นิ า กตปญุ เฺ น” ดว้ ยอำ� นาจของทกั ษณิ านปุ ทานกจิ อนั สมเดจ็ พระบรมบพติ รพระราชสมภาร
พระองค์ ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ทรงพระกรณุ าโปรดพระราชทานบำ� เพญ็ กศุ ลสตั ตมวาร ครบ ๗ วนั
ศพทา่ นเจา้ คณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) ในวาระน้ี ขอจงสำ� เรจ็ เปน็ บญุ ราศี อำ� นวย
สขุ สมบตั ใิ นสคุ ตสิ มั ปรายภพ สมดงั พระราชปรารภทกุ ประการ ในอวสานแหง่ พระธรรมเทศนาน้ี พระสงฆ์
239
จตรุ วรรคไดส้ วดคาถาธรรมบรรยายเพอื่ เพมิ่ พนู ศรทั ธา สมั มาปฏบิ ตั ยิ งิ่ ๆ ขนึ้ ไป
รบั พระราชทานถวายวสิ ชั นาพระธรรมเทศนายตุ ลิ ง
เอวงั กม็ ดี ว้ ยประการฉะนี้
ขอถวายพระพร
ผถู้ อดพระธรรมเทศนา : พรี พนั ธ์ วรชาตเิ ดชชยั
240
ทกุ ขธัมมกถา
ในการบ�ำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร
พระราชทานศพพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญฺาคโม)
ณ หอ้ งประชมุ ชน้ั ๑ อาคารฉลองพระชนั ษา ๙๖ ปฯี วดั บวรนเิ วศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร
วันพธุ ท่ี ๙ ธันวาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓
พระธรรมดลิ ก (สมาน สุเมโธ ป.ธ.๙)
วัดป่าแสงอรุณ จังหวดั ขอนแกน่
แสดง
นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สสฺ ๚
ตณหฺ าย อฑุ ฑฺ โิ ต โลโก ชราย ปรวิ ารโิ ต
มจจฺ นุ า ปหิ โิ ต โลโก ทกุ เฺ ข โลโก ปตฏิ ฐฺ โิ ตติ ๚
บัดนี้จะรับพระราชทานถวายวิสัชนาพระธรรมเทศนาในทุกขธัมมกถา ฉลองพระเดช
พระคณุ ประดบั พระปญั ญาบารมี โดยสมควรแกพ่ ระราชกศุ ลทกั ษณิ านปุ ทานกจิ ทส่ี มเดจ็ บรม
บพติ รพระราชสมภารพระองค์ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดี พระวชริ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ธรรมกิ ราชาธริ าชเจา้ ผทู้ รงพระคณุ ประเสรฐิ ทรงพระกรณุ าโปรดบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลครบปญั ญา
สมวาร ๕๐ วัน พระราชทานอุทิศถวายพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมมงคลวุฒาจารย์
(บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) อดตี ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร นบั เปน็ พระมหากรณุ าธคิ ณุ ยง่ิ แก่
พระเดชพระคณุ ทา่ นเจา้ คณุ ผมู้ รณภาพ แกค่ ณะสงฆ์ คณะศษิ ย์ อบุ าสกอบุ าสกิ าของวดั บวรนเิ วศ
วหิ าร และแกญ่ าตมิ ติ รผทู้ เ่ี คารพนบั ถอื ดว้ ยวา่ การทไี่ ดร้ บั เครอื่ งสกั การะบชู าเชน่ น้ี เปน็ ผลดจี าก
การทพี่ ระเดชพระคณุ ทา่ นเจา้ คณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารยไ์ ดบ้ ำ� เพญ็ ประโยชนต์ นและประโยชน์
เพอื่ ผอู้ นื่ เปน็ อนั มาก สมควรแกก่ ารดำ� รงอายสุ งั ขารมาเกอื บ ๑๐๐ ปี หรอื ๑ ศตวรรษ ดว้ ยอำ� นาจ
กตญั ญกู ตเวทติ าธรรม
พระเดชพระคณุ ทา่ นเจา้ คณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ มนี ามเดมิ วา่ บญุ ยนต์ นามสกลุ
เสนเคน ภายหลงั เปลยี่ นเปน็ ปญุ ญาคมานนต์ เกดิ เมอ่ื วนั พฤหสั บดที ่ี ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๐
241
ตรงกบั วนั ขนึ้ ๕ คำ�่ เดอื น ๒ ปกี นุ ทบ่ี า้ นหนองไห่ ตำ� บลพระลบั อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่
เปน็ บตุ รของคณุ พอ่ เป คณุ แมส่ ยี า เสนเคน มพี นี่ อ้ งรว่ มบดิ ามารดารวม ๗ คน พระเดชพระคณุ
ทา่ นเจา้ คณุ เปน็ บตุ รคนแรก เนอื่ งจากมอี ปุ นสิ ยั นอ้ มไปในทางธรรมตง้ั แตเ่ ยาวว์ ยั ครน้ั เรยี นจบชนั้
ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ แลว้ บดิ าจงึ ไดน้ ำ� ไปฝากพระมหาจนั ทรศ์ รี จนทฺ ทโี ป เปรยี ญธรรม ๔ ประโยค
ตอ่ มาไดร้ บั พระราชทานเลอื่ นสมณศกั ดเิ์ ปน็ พระราชาคณะเจา้ คณะรองชนั้ หริ ณั ยบตั รที่ พระอดุ ม
ญาณโมลี วดั โพธสิ มภรณ์ พระอารามหลวง จงั หวดั อดุ รธานี ไดอ้ ยอู่ บรมอปุ สมบทบรรพชานาน
ถึง ๓ ปี คือต้ังแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ ถึงปีพุทธศักราช ๒๔๘๔ ตามวิธีการของพระสาย
กรรมฐาน เพือ่ ใหเ้ กดิ ความมน่ั ใจและมน่ั คงในการดำ� รงตนในเพศบรรพชิต วันที่ ๑๔ เมษายน
พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๔ บรรพชาเปน็ สามเณรทว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร ขณะอายไุ ด้ ๑๘
ปี มสี มเดจ็ พระวชริ ญาณวงศเ์ ปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ วนั ที่ ๑๖ กรกฎาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๖ ไดร้ บั
การอปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษทุ วี่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร ขณะอายไุ ด้ ๒๐ ปบี รบิ รู ณ์ มี
สมเด็จพระวชิรญาณวงศเ์ ป็นพระอุปชั ฌาย์ ต่อมาไดร้ บั การสถาปนาเปน็ สมเด็จพระสังฆราชเจา้
กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระเทพญาณวิศิษฏ์ พระมหานายก (เติม โกสลฺโล) ในขณะน้ันเป็น
พระกรรมวาจาจารย์ พระญาณวโรดม (สนธ์ิ กจิ จฺ กาโร) เปน็ พระอนสุ าวนาจารย์ หลงั จากบรรพชา
หรืออุปสมบทแล้ว ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม สอบได้นักธรรมชั้นโท สอบได้
ประกาศนยี บตั รการบญั ชี สอบไดป้ ระโยคครพู เิ ศษมลู ตามลำ� ดบั ขณะเดยี วกนั ไดม้ โี อกาสเปน็
พระอุปัฏฐากรับใช้สมเด็จพระสังฆราชสองพระองค์ คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง
วชริ ญาณวงศ์ ตง้ั แตป่ พี ทุ ธศกั ราช ๒๕๐๑ จนกระทงั่ พระองคส์ นิ้ พระชนมเ์ มอ่ื วนั ท่ี ๑๑ พฤศจกิ ายน
พุทธศักราช ๒๕๐๑ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ ได้อยู่ปฏิบัติรับใช้ใน
สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก จนกระทัง่ สนิ้ พระชนมเ์ ม่อื
วนั ที่ ๒๔ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ ณ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์
พระเดชพระคณุ ทา่ นเจา้ คณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ ไดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทซ่ี ง่ึ ไดร้ บั มอบหมาย
มใิ หบ้ กพรอ่ งในฐานะผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร เชน่ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทเ่ี ลขานกุ ารสมเดจ็
พระสังฆราช เป็นเลขานุการเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุติรูปท่ี ๑ เป็นประธานกรรมการวัด
บวรนเิ วศวหิ าร เปน็ ครสู อนศลี ธรรมประจำ� ศาสนศกึ ษาวดั บวรนเิ วศวหิ าร เปน็ เจา้ หนา้ ทคี่ วบคมุ
ศษิ ยว์ ดั บวรนเิ วศวหิ าร เปน็ เจา้ หนา้ ทเ่ี ขตพทุ ธาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร และยงั เปน็ กรรมการสนามหลวง
แผนกธรรมอยดู่ ว้ ย ตลอดระยะเวลา ๕๕ ปที ผ่ี า่ นมายงั ไดใ้ ชเ้ วลาเดนิ ทางไปพฒั นาวดั สวา่ งหนองไห่
ภูมิล�ำเนาถ่ินก�ำเนิด ติดต่อกันมามิได้ขาดสาย จนวัดแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าม่ันคง
242
มถี าวรวตั ถเุ กดิ ขนึ้ เปน็ อนั มาก เชน่ อโุ บสถ ศาลาการเปรยี ญ วหิ าร กฏุ ิ เจดยี พ์ ทุ ธโคดมมงคล
หอระฆงั ฌาปนสถาน หอ้ งนำ�้ เปน็ ตน้ นบั เปน็ การแสดงความกตญั ญกู ตเวทตี อ่ ถนิ่ กำ� เนดิ อยา่ ง
นา่ อนโุ มทนา
พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมมงคลวุฒาจารย์ ได้รับประทานสมณศักดิ์และรับ
พระราชทานสมณศกั ดติ์ ามควรแกโ่ อกาสและผลการปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ดงั นี้
๒๕ ตลุ าคม ๒๔๙๓ เปน็ พระครฐู านานกุ รมในสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์
ทพ่ี ระครใู บฎกี า
๑๖ มนี าคม ๒๔๙๙ เปน็ พระครฐู านานกุ รมในสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์
ทพ่ี ระครพู ทิ กั ษธ์ รุ กจิ
๕ ธนั วาคม ๒๕๑๒ เปน็ พระครสู ญั ญาบตั รชนั้ เอกท่ี พระครพู ทุ ธมนตป์ รชี า
๕ ธนั วาคม ๒๕๒๓ เปน็ พระราชาคณะชน้ั สามญั ที่ พระมงคลรตั นมนุ ี
๕ ธนั วาคม ๒๕๓๔ เปน็ พระราชาคณะชนั้ ราชที่ พระราชรตั นมงคล
๕ ธนั วาคม ๒๕๔๕ เปน็ พระราชาคณะชน้ั เทพท่ี พระเทพสารเวที
๑๒ สงิ หาคม ๒๕๕๙ เปน็ พระราชาคณะชนั้ ธรรมที่ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์
พระธรรมมงคลวฒุ าจารยโ์ ดยปกตเิ ปน็ ผมู้ สี ขุ ภาพดี ไมค่ อ่ ยมปี ญั หาเรอ่ื งการอาพาธเจบ็ ปว่ ย
เทา่ ใดนกั แตเ่ มอ่ื รา่ งกายเขา้ สวู่ ยั ชรามาก ใชก้ ารมานาน เปน็ ธรรมดาตอ้ งมชี ำ� รดุ ทรดุ โทรมรว่ ง
โรยไป และไดถ้ งึ มรณภาพดว้ ยภาวะตบั วายเมอื่ วนั พฤหสั บดที ี่ ๒๒ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓
เวลา ๑๘.๔๐ น. ณ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ แขวงปทมุ วนั เขตปทมุ วนั กรงุ เทพมหานคร สริ ิ
อายไุ ด้ ๙๗ ปี พรรษา ๗๗
พระสงฆร์ ตั ตญั ญู เกยี รตเิ ฟอ่ื งฟเู ปน็ มงคล
เกอื บรอ้ ยบรรลดุ ล เกา้ สบิ เจด็ ชาตกิ าล
เปน็ ผลแหง่ เมตตา กรณุ ามาประสาน
อายมุ นั่ ยนื นาน เพราะมหี ลกั ประจกั ษใ์ จ
เพมิ่ บญุ หนนุ ชวี ติ ใหต้ ามจติ เปน็ นสิ ยั
บญุ ใหมเ่ ปน็ ปจั จยั เออ้ื อวยสขุ ทกุ กาลมา
สน้ิ ลมจงสนิ้ ใจ กศุ ลใหญย่ งิ่ หนกั หนา
ความดเี ปน็ ตำ� รา ใหศ้ กึ ษาตลอดไป
243
เพอื่ ใหเ้ ปน็ การเกดิ ธมั มสั สวนานสิ งสท์ งั้ สองฝา่ ย ควรขยายความพทุ ธศาสนสภุ าษติ ทต่ี รสั
ไวใ้ นสงั ยตุ นกิ าย สคาถวรรค ทอี่ ญั เชญิ ไว้ ณ เบอื้ งตน้ วา่ “ตณหฺ าย อฑุ ฑฺ โิ ต โลโก” เปน็ อาทิ
แปลวา่ โลกถกู ตณั หากอ่ ขน้ึ ถกู ชราลอ้ มไว้ ถกู มฤตยปู ดิ ไว้ จงึ ตง้ั อยใู่ นทกุ ข์ อธบิ ายวา่
คำ� วา่ “โลก” แปลวา่ สภาวะทตี่ อ้ งชำ� รดุ บา้ ง สภาวะทสี่ วา่ งบา้ ง เพราะมปี รากฏทง้ั สอง
อาการ โดยมบี ทวเิ คราะหว์ า่ “วจุ จฺ ตโิ ลโก” สง่ิ ทตี่ อ้ งสลายคอื แปรปรวนเปลย่ี นแปลงและดบั ไปชอ่ื
วา่ โลก
โดยตรง ไดแ้ ก่ แผน่ ดนิ เปน็ ทอ่ี าศยั
โดยออ้ ม ไดแ้ ก่ หมสู่ ตั วผ์ อู้ าศยั แผน่ ดนิ
ทา่ นกลา่ วไวว้ า่ โลกมี ๓ คอื สงั ขารโลก โลกคอื สงั ขาร สตั วโลก โลกคอื หมสู่ ตั ว์ โอกาสโลก
โลกคอื แผน่ ดนิ
แตใ่ นพระคาถานหี้ มายความถงึ สตั วโ์ ลก คอื หมสู่ ตั วท์ อี่ บุ ตั ขิ น้ึ มาโดยทวั่ ไป สตั วโ์ ลกมไิ ด้
เกิดขน้ึ มาลอยๆ หรือเกดิ ขึน้ มาโดยไมม่ ีสาเหตุ แต่ถูกตัณหาความอยากกอ่ ข้ึน โดยเฉพาะกค็ ือ
ภวเนตตติ ณั หา ความอยากนำ� ไปสภู่ พ คอื ใหเ้ กดิ ใหม้ ขี นึ้
ตณั หา มี ๓ อยา่ งคอื กามตณั หา ภวตณั หา และวภิ วตณั หา
พระพทุ ธศาสนาสอนไวว้ า่ หมสู่ ตั วท์ ย่ี งั มตี ณั หาความอยากอยใู่ นใจ ยงั ตดั ขาดไมไ่ ด้ ยงั
อยากเกดิ อยากมภี พมชี าตติ อ่ ไป ยงั ดน้ิ รนกระวนกระวายแสวงหาทเ่ี กดิ เมอื่ โอกาสประจวบเหมาะ
กเ็ กดิ ขน้ึ ทนั ที ดงั พระบาลวี า่ “ตณหฺ า ชเนติ ปรุ สิ ”ํ ตณั หาทำ� ใหค้ นเกดิ และมพี ระพทุ ธดำ� รสั ตรสั
ตอบเรอ่ื งนกี้ บั พระอานนทเถระวา่ “วญิ ฺ าณํ พชี ”ํ วญิ ญาณเปน็ เหมอื นพชื “กมมฺ ํ เขตตฺ ”ํ กรรม
คอื การกระทำ� เปน็ เหมอื นพนื้ ท่ี “ตณหฺ า สเิ นโห” ตณั หาเปน็ เหมอื นยางเหนยี วหรอื เปน็ เชอื้ ทท่ี ำ� ให้
เกดิ เมอ่ื ประกอบดว้ ยองคท์ ง้ั ๓ ประการนี้ ยอ่ มทำ� ใหเ้ กดิ รำ่� ไป สมดว้ ยนยั พระพทุ ธพจนท์ ต่ี รสั
ไวใ้ นธรรมบท ขทุ ทกนกิ ายวา่
“อเนกชาตสิ สํ ารํ สนธฺ าวสิ สฺ ํ อนพิ พฺ สิ ํ
คหการกํ คเวสนโฺ ต ทกุ ขฺ า ชาติ ปนุ ปปฺ นุ ํ ๚”
แปลวา่ เราแสวงหาชา่ งผทู้ ำ� เรอื น เมอ่ื ไมป่ ระสบจงึ ไดท้ อ่ งเทยี่ วไปสสู่ งสารมชี าตเิ ปน็ เอนก
ความเกดิ เปน็ ทกุ ขร์ ำ่� ไป เปน็ อนั ไดค้ วามวา่ หมสู่ ตั วท์ เ่ี กดิ มาในโลกนท้ี ง้ั หมด เพราะถกู กเิ ลสตณั หา
กอ่ ขนึ้ กอ่ ขน้ึ ดว้ ยกเิ ลสตณั หา ตราบใดทยี่ งั โคน่ รากเหงา้ ไมไ่ ด้ กย็ งั ตอ้ งผดุ เกดิ อยรู่ ำ�่ ไปไมม่ วี นั จบ
สน้ิ นคี่ อื การเกดิ เบอ้ื งตน้ ของหมสู่ ตั ว์
244
ตามความในพระพทุ ธภาษติ บาทพระคาถาที่ ๑ วา่ “ตณหฺ าย อฑุ ฑฺ โิ ต โลโก” โลกอนั
ตณั หากอ่ ขนึ้ ครนั้ ใหเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ กม็ ชี ราความแกต่ ามแวดลอ้ ม คอื ลอ้ มหนา้ ลอ้ มหลงั ลอ้ มทกุ ดา้ น
ลอ้ มโดยรอบ แมก้ ระทง่ั เวลาหลบั นอนกล็ อ้ มอยอู่ ยา่ งนนั้ มใิ ชล่ อ้ มอยเู่ ฉย ๆ ยงั ทำ� ใหช้ ำ� รดุ ผพุ งั
แตกหกั และยอ่ ยยบั เปน็ ผยุ ผงไปในทสี่ ดุ อนั ความแกช่ รานม้ี ที ง้ั ในระดบั ทม่ี องเหน็ ไมไ่ ด้ ทท่ี า่ น
เรยี กวา่ “ปฏจิ ฉนั นชรา” ความแกท่ ปี่ กปดิ ทงั้ ทใี่ นระดบั ทมี่ องเหน็ ได้ ทที่ า่ นเรยี กวา่ “อปั ปฏจิ ฉนั นชรา”
ความแกท่ ไี่ มป่ กปดิ บา้ ง จะเหน็ ไดต้ อ้ งอาศยั ปญั ญาจกั ษุ คอื ตาทางปญั ญา คดิ พจิ ารณารเู้ หน็ ดว้ ย
ใจ ใหเ้ หน็ ถกู ตอ้ งตามความเปน็ จรงิ เพราะปกตคิ นเราตดิ อยใู่ นสมมตสิ จั จะ เขา้ ใจความชราความ
แกแ่ คภ่ ายนอก เชน่ ผมหงอก หนงั เหย่ี วยน่ ยาน ตาฝา้ ฝาง หหู นวก ฟนั หกั ผพุ งั รา่ งกายแกห่ งอ่ ม
เปน็ ตน้ วา่ เปน็ ความแกช่ รา อนั ทจ่ี รงิ พอเรม่ิ เกดิ กเ็ รม่ิ แกช่ ราในทนั ที ไมม่ คี ำ� วา่ หยดุ อยไู่ ด้ มคี ำ�
ปรศิ นาของคนโบราณกลา่ วไวใ้ หข้ อ้ คดิ วา่ “สคี่ นหาม สามคนแห่ คนหนง่ึ นงั่ แคร่ สองคนพาไป”
มคี ำ� วนิ จิ ฉยั วา่ สคี่ นหาม ไดแ้ ก่ ธาตทุ ง้ั ๔ ดนิ นำ้� ไฟ ลม เมอ่ื ประชมุ กนั ดว้ ยดกี ท็ ำ� ใหส้ งั ขาร
รา่ งกายยนื เดนิ นง่ั และนอนไดต้ ามตอ้ งการ สามคนแห่ ไดแ้ ก่ พระไตรลกั ษณท์ ง้ั ๓ คอื อนจิ จงั
ทกุ ขงั อนตั ตา ตดิ ตามไปทกุ หนทกุ แหง่ ไมว่ า่ จะไปทใี่ ด จะอยใู่ นอริ ยิ าบถใดกถ็ กู ความแกช่ รารวม
ไปถงึ ความเจบ็ ปว่ ย เปน็ ตน้ ตามราวบี ฑี าอยทู่ กุ เมอ่ื สงั ขารรา่ งกายกถ็ กู สง่ ซดั ทอดตอ่ ไปตามลำ� ดบั
สมดงั พระพทุ ธภาษติ ทตี่ รสั ไวใ้ นธรรมบท ขทุ ทกนกิ ายวา่
“ยถา ทณเฺ ฑน โคปาโล คาโว ปาเชติ โคจรํ
เอวํ ชรา จ มจจฺ ุ จ อายํุ ปาเชนตฺ ิ ปาณนิ ํ ๚”
แปลวา่ คนเลย้ี งววั ยอ่ มตอ้ นฝงู ววั ไปสทู่ หี่ ากนิ ดว้ ยไมพ้ ลองฉนั ใด ความแกแ่ ละความตาย
ยอ่ มตอ้ นอายขุ องสตั วท์ ง้ั หลายไป ฉนั นนั้ นค่ี อื “ชราย ปรวิ ารโิ ต” โลกถกู ชราแวดลอ้ มไว้ เมอ่ื
อตั ภาพรา่ งกายดำ� รงคงอยมู่ าได้ แตก่ ไ็ ปไมไ่ ดถ้ งึ ไหนกนั จะเกนิ ๑๐๐ ปนี น่ั กจ็ ะมไี ดแ้ สนยาก จะ
เอาแค่ ๑๐๐ ปกี แ็ ทบจะหาไมค่ อ่ ยจะได้ เพราะอายขุ ยั ของหมสู่ ตั วน์ บั วนั จะถดถอยลงทกุ วนั เพราะ
เหตปุ จั จยั ทจี่ ะทำ� ใหห้ มสู่ ตั วม์ อี ายสุ นั้ ลงมมี ากขน้ึ โดยลำ� ดบั
อนั ทจ่ี รงิ ความตายน้ี ทา่ นกลา่ วไวว้ า่ มี ๓ ระดบั คอื
๑) ขณกิ มรณะ คอ่ ย ๆ ตายไป คอื ตายทกุ ลมหายใจเขา้ ออก ตายทกุ วนิ าที ทกุ นาที
คนมปี ญั ญาเทา่ นน้ั จงึ จะเหน็ ได้
๒) สมมติมรณะ ตายแบบสมมุติ อย่างที่เห็นกันอยู่ทั่วไป คือ ตายแบบสิ้นลมหายใจ
แตห่ ากยงั มกี เิ ลสตณั หาอยู่ กย็ งั จะตอ้ งสรา้ งภพสรา้ งชาตอิ ยอู่ กี ตอ่ ไปไมส่ ดุ สน้ิ
245
๓) สมทุ เฉทมรณะ ตายแบบถอนรากถอนโคน ตายแบบสนิ้ กเิ ลสตณั หา ไมต่ อ้ งเกดิ แก่
เจบ็ ตายอกี ตอ่ ไป เพราะกเิ ลสตณั หาอนั เปน็ เชอ้ื ทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ไดถ้ กู ทำ� ลายหายหมดสนิ้ แลว้ ถงึ
ความเปน็ พระอรหนั ต์ ตดั เครอื่ งผกู พนั ไดห้ มดสน้ิ
อนั ทจ่ี รงิ หมสู่ ตั วจ์ ะเปน็ มนษุ ยห์ รอื สตั วเ์ ดรจั ฉานกต็ าม จะถกู ปดิ กน้ั ไวด้ ว้ ยมฤตยคู อื ความ
ตายโดยตลอด ในชน้ั ตน้ ถกู ตณั หาความอยากชกั นำ� ทำ� ใหเ้ กดิ ครนั้ เกดิ มาแลว้ กถ็ กู ความแกช่ รา
ตามแวดลอ้ ม สดุ ทา้ ยกถ็ กู ความตายสกดั กนั้ ไมใ่ หม้ ที างดำ� เนนิ ตลอดไป จะตอ่ สหู้ รอื ยอมจำ� นนก็
ไมม่ ที างทจี่ ะหลดุ พน้ ไปได้ สมดว้ ยนยั ทต่ี รสั ไวใ้ นปพั พโตปมคาถา ทว่ี า่
“ยถาปิ เสลา วปิ ลุ า นภํ อาหจจฺ ปพพฺ ตา
สมนตฺ า อนปุ รเิ ยยยฺ ํุ นปิ โฺ ปเถนตฺ า จตทุ ทฺ สิ า
เอวํ ชรา จ มจจฺ ุ จ อธวิ ตตฺ นตฺ ิ ปาณโิ น
ขตตฺ เิ ย พรฺ าหมฺ เณ เวสเฺ ส สทุ เฺ ท จณฑฺ าลปกุ กฺ เุ ส
น กญิ จฺ ิ ปรวิ ชเฺ ชติ สพพฺ เมวาภมิ ททฺ ติ ๚”
ความวา่ ภเู ขาหนิ ใหญส่ งู จรดฟา้ กลง้ิ บดสตั วม์ าโดยรอบทงั้ สท่ี ศิ แมฉ้ นั ใด ความแกแ่ ละ
ความตายยอ่ มทว่ มทบั สตั วท์ งั้ หลาย ฉนั นนั้ เปน็ กษตั รยิ ก์ ต็ าม เปน็ พราหมณก์ ต็ าม เปน็ พลเมอื ง
กต็ าม เปน็ ไพรก่ ต็ าม เปน็ ครงึ่ ชาตกิ ต็ าม เปน็ กลุ เี ทขยะหยากเยอ่ื กต็ าม มไิ ดเ้ วน้ สงิ่ ไร ๆ ไวเ้ ลย
ยอ่ มยำ�่ ยสี ตั วท์ งั้ ปวงทเี ดยี ว
มรณภัย คือความตาย นับเป็นภัยอันใหญ่หลวงที่ปวงสัตว์ พากันหวาดหวั่นกลัวยิ่งนัก
เพราะความตายทำ� ใหส้ มบตั ทิ กุ อยา่ งใหม้ ลายหายสญู สน้ิ ไปทนั ทที ส่ี น้ิ ลมหายใจ สมดว้ ยนยั ทต่ี รสั
ไวใ้ นนธิ กิ ณั ฑสตู รวา่ “ยทา ปญุ ฺ กขฺ โย โหติ สพพฺ เมตํ วนิ สสฺ ต”ิ เมอื่ ใดสน้ิ บญุ ไป คอื ตาย
ทกุ อยา่ งทมี่ ยี อ่ มพนิ าศหายไปหมดสน้ิ เพราะเหตนุ ้ี “สพเฺ พ ภายนตฺ ิ มจจฺ โุ น” สตั วท์ งั้ ปวงจงึ กลวั
ต่อความตาย เพราะเป็นห่วงอาลัยในทรัพย์สินสมบัติ แม้กระทั่งร่างกายตนเองก็ต้องล่วงลับดับ
สญู ไป ไมม่ อี ะไรเปน็ สาระแกน่ สารอยไู่ ดเ้ ลย นค่ี อื “มจจฺ นุ า ปหิ โิ ต โลโก” โลกถกู ความตายปดิ
กนั้ ไวไ้ มใ่ หม้ ที จ่ี ะดำ� เนนิ ตอ่ ไป
เมอื่ เปน็ ดงั นี้ โลกจงึ ตง้ั อยใู่ นทกุ ข์ สมดว้ ยพระบาลวี า่
“ทกุ ขฺ เมว หิ สมโฺ ภติ ทกุ ขฺ ํ ตฏิ ฺ ติ เวติ จ
นาญฺ ตรฺ ทกุ ขฺ า สมโฺ ภติ นาญฺ ตรฺ ทกุ ขฺ า นริ ชุ ฌฺ ติ ๚”
246
ก็ทุกข์น่ันแลย่อมเกิดข้ึน ทุกข์ย่อมต้ังอยู่ด้วย เส่ือมส้ินไปด้วย นอกจากทุกข์ไม่มีอะไร
เกดิ นอกจากทกุ ขไ์ ม่มอี ะไรดับ
“ทุกข์” เปน็ ความจริงอันประเสริฐ จดั เปน็ อริยสจั ข้อตน้ ในอรยิ สัจ ๔ ประการ มคี วาม
หมายว่า ลำ� บาก ทนได้ยาก มที ้ังหมด ๑๑ ประการ ดงั น้ี สภาวทกุ ข์ ทุกข์ประจ�ำสงั ขาร ได้แก่
ชาตทิ กุ ข์ ความเกดิ เปน็ ทกุ ข์ ชราทกุ ข์ ความแกเ่ ปน็ ทกุ ข,์ มรณทกุ ข์ ความตายเปน็ ทกุ ข์ ปกณิ ณก
ทกุ ข์ ทุกข์จร ได้แก่ โสกะ ความเศร้าใจ เสยี ใจ ปรเิ ทวะ ความรำ� พันบ่นเพ้อ ตดั อาลยั ไม่ขาด
ทุกขะ ความไม่สบายกายเจ็บป่วย โทมนัสสะ ความน้อยใจ อุปายาสะ ความคับใจ ตรอมใจ
สัมปโยคะ ความประสบสงิ่ ทเ่ี กลียด วปิ โยคะ ความพลัดพรากจากสิง่ ท่รี กั อลาภะ ความผดิ หวงั
ไมไ่ ด้ส่ิงทต่ี นอยากได้
ทุกข์เป็นเญยยธรรม เป็นปริญเญยยธรรม คือธรรมที่ควรก�ำหนดรู้ เมื่อเกิดข้ึนควร
พิจารณาด้วยความเข้าใจโดยโยนิโสมนสิการ ไม่ต้องฝึกฝนเพ่ือปฏิบัติเพ่ือการละ ไม่ต้องฝึกฝน
ปฏบิ ตั เิ พอ่ื การทำ� ใหแ้ จ้ง ไม่ตอ้ งฝกึ ฝนปฏิบัติเพอ่ื ให้มหี รอื ให้เจรญิ ข้นึ
ทุกข์เป็นธรรมะท่ีเป็นส่วนผล เกิดจากธรรมะที่เป็นส่วนเหตุคือ “สมุทัย” อันได้แก่
กามตัณหา อยากได้ ภวตัณหา อยากมี อยากเป็น วิภวตัณหา อยากไมม่ ี อยากไม่เป็น เมือ่
ตอ้ งการทจี่ ะดบั ทกุ ข์ ตอ้ งดบั ทต่ี น้ เหตุ จะดบั เพยี งปลายเหตอุ ยา่ งทนี่ ยิ มทำ� กนั อยทู่ วั่ ไปยอ่ มดบั ไม่
ได้
แนวทางปฏบิ ตั เิ พอื่ ใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ทรงแสดงวา่ “ทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา” ไดแ้ ก่ ขอ้
ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ คือมรรคมีองค์ ๘ ประการ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ ยน่ ลงทไี่ ตรสกิ ขา
คอื ศลี สกิ ขา จติ ตสกิ ขา และปญั ญาสกิ ขา โดยยอ่ ไดแ้ ก่ ศลี สมาธิ ปญั ญานนั่ เอง นค่ี อื “ทกุ เฺ ข
โลโก ปติฏฺ ิโต” โลกต้งั อยใู่ นทกุ ข์
คาถาพระพุทธภาษติ น้ที รงแสดงถึงเรอ่ื งของความเกิด ความแก่ และความตาย อนั เปน็
สภาวะทกุ ข์ คือทุกขป์ ระจ�ำสงั ขารของหมสู่ ัตวโ์ ดยทว่ั ไป โดยมีตณั หาความอยากเป็นตวั ชกั น�ำกอ่
ใหเ้ กดิ ขึน้ มีชราความแกต่ ามแวดลอ้ ม และมีความตายสกดั กัน้ ไว้ในทส่ี ุด สัตวโ์ ลกทว่ั ไปจึงตอ้ ง
ตกอยใู่ นความทุกข์ ดังที่ได้แสดงมา
247
พระเดชพระคณุ ทา่ นเจา้ คณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) เปน็ พระสงฆ์
รตั ตญั ญผู มู้ ปี ระสบการณใ์ นชวี ติ มากมาย ไดบ้ ำ� เพญ็ ประโยชนเ์ พอ่ื ตนและประโยชนเ์ พอ่ื คนอน่ื สมบรู ณ์
เพยี บพรอ้ มทกุ ประการ สรา้ งตำ� นานแหง่ พระสงฆผ์ ทู้ รงคณุ คา่ ทงั้ โดยอายุ ทงั้ โดยคณุ ธรรม สามารถ
นอ้ มนำ� ไปเปน็ ทฏิ ฐานคุ ตเิ ปน็ แบบแผนและเปน็ แบบฉบบั อนั ควรแกก่ ารดำ� เนนิ ตาม เพอ่ื ใหเ้ กดิ ผลดี
งามแกต่ น และแกป่ ระเทศชาติ พระศาสนาสบื ไป
“อมิ นิ า กตปญุ เฺ น” ขออำ� นาจพระราชกศุ ลทส่ี มเดจ็ พระบรมบพติ รพระราชสมภารพระองค์
ผู้ทรงพระคุณประเสริฐ ทรงพระกรุณาโปรด พระราชทาน พระบรมราชานุเคราะห์บ�ำเพ็ญ
พระราชกุศล ปัญญาสมวาร ๕๐ วัน พระราชทานอุทิศถวายพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ
พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) อดตี ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ ารในวนั นี้
จงเปน็ ผลสมั ฤทธป์ิ ระสทิ ธคิ ณุ มนญู ผล แกพ่ ระเดชพระคณุ ทา่ นเจา้ คณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์
(บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) ผมู้ รณภาพโดยฐานนยิ ม
ทสี่ ดุ แหง่ พระธรรมเทศนานี้ พระสงฆจ์ ตรุ วรรคจะไดส้ วดคาถาธรรมบรรยาย เพม่ิ พนู อปั ปมาท
ธรรมแกส่ มาคมนส้ี บื ตอ่ ไป รบั พระราชทานถวายพระธรรมเทศนาในทกุ ขธมั มกถา ฉลองพระเดช
พระคณุ ประดบั พระปญั ญาบารมมี า ยตุ ดิ ว้ ยเวลา
เอวงั กม็ ดี ว้ ยประการฉะนี้
ขอถวายพระพร
ผถู้ อดความพระธรรมเทศนา : พรี พนั ธ์ วรชาตเิ ดชชยั
248
สมั ปรายิกมิตตกถา
ในการบ�ำเพ็ญพระราชกศุ ลสตมวาร
พระราชทานศพพระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปุญฺาคโม)
ณ หอ้ งประชมุ ชนั้ ๑ อาคารฉลองพระชนั ษา ๙๖ ปฯี วดั บวรนเิ วศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร
วันพฤหสั บดที ี่ ๒๘ มกราคม พุทธศกั ราช ๒๕๖๔
พระราชธรรมวาที (ชัยวฒั น์ ธมฺมวฑฒฺ โน)
วัดประยรุ วงศาวาส กรงุ เทพมหานคร
แสดง
นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สสฺ ๚
สตโฺ ถ ปสวโต มติ ตฺ ํ มาตา มติ ตฺ ํ สเก ฆเร
สหาโย อตถฺ ชาตสสฺ โหติ มติ ตฺ ํ ปนุ ปปฺ นุ ตํ ตี ิ ๚
บดั นี้ จะรบั พระราชทานถวายวสิ ชั นาพระธรรมเทศนาในสมั ปรายกิ มติ ตกถา พรรณนาถงึ
เรอื่ งกลั ยาณมติ รทจี่ ะตดิ ตาม สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหบ้ คุ คลไดอ้ ยสู่ ขุ และเยน็ ใจ ทงั้ ในโลกนแี้ ละในโลก
หน้า ฉลองพระเดชพระคุณประดับพระปัญญาบารมี เพิ่มพูนพระราชกุศลบุญราศีส่วน
ทักษิณานุปทานกิจ อันสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
ทรงพระกรณุ าโปรดบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลรอ้ ยวนั พระราชทานศพพระเดชพระคณุ พระธรรมมงคล
วฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม) อดตี ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร และอดตี ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ที่
เลขานุการในสมเด็จ พระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ซ่ึงได้ถึงแก่มรณภาพ เมื่อ
วนั ท่ี ๒๒ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓ ณ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ สริ อิ ายไุ ด้ ๙๗ ปี สถติ มนั่ ใน
สมณเพศนานถงึ ๗๗ พรรษา
ประเพณกี ารบำ� เพญ็ กศุ ล เพอ่ื อทุ ศิ แดท่ า่ นผวู้ ายชนมน์ น้ั นยิ มบำ� เพญ็ เปน็ พเิ ศษใน ๔ สมยั
กลา่ วคอื เมอ่ื จากไปได้ ๗ วนั เรยี กวา่ “สตั ตมวารสมยั ” เมอ่ื จากไปได้ ๑๕ วนั เรยี กวา่ “ปณั รสม
วารสมยั ” เมอ่ื จากไปได้ ๕๐ วนั เรยี กวา่ “ปญั ญาสมวารสมยั ” และเมอื่ จากไปได้ ๑๐๐ วนั เชน่
วาระนี้ เรยี กวา่ “สตมวารสมยั ”
249
ถามวา่ ทำ� ไมจะตอ้ งบำ� เพญ็ กศุ ล เพอ่ื อทุ ศิ แดท่ า่ นผวู้ ายชนม์ ไมว่ า่ ผนู้ น้ั จะเปน็ คฤหสั ถห์ รอื
บรรพชติ กต็ าม
ขอ้ น้ี พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงแสดงไวป้ รากฎใน ตโิ รกฑุ ฑสตู ร วา่
“น หิ ตตถฺ กสิ อตถฺ ิ โครกเฺ ขตถฺ น วชิ ชฺ ติ
วณชิ ชฺ า ตาทสิ ี นตถฺ ิ หริ ญเฺ น กยากยํ
อโิ ต ทนิ เฺ นน ยาเปนตฺ ิ เปตา กาลกตา ตหึ ๚”
แปลความวา่ เนอื่ งจากในสมั ปรายภพภายภาคหนา้ นน้ั ไมม่ กี ารประกอบสมั มาอาชพี อนื่ ใด
ไมว่ า่ จะเปน็ กสกิ รรม การทำ� ไร่ ทำ� นา ทำ� สวน โครกั ขกรรม การเลย้ี งปศสุ ตั ว์ เชน่ โค กระบอื
พาณชิ ยกรรม การทำ� มาคา้ ขาย หริ ณั ยกรรม การแลกเปลยี่ นดว้ ยทรพั ยส์ นิ เงนิ ตราใด ๆ ไมม่ ี
ทง้ั สนิ้ สรรพสตั วท์ ง้ั หลายทลี่ ะจากโลกนไี้ ปแลว้ จะอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ในสมั ปรายภพได้ เพราะอำ� นาจ
บุญกุศลท่ีตนได้บ�ำเพ็ญไว้ส่วนหนึ่ง ท่านผู้อยู่ภายหลังร�ำลึกนึกถึงบ�ำเพ็ญอุทิศไปให้อีกส่วนหน่ึง
จงึ เปน็ เหตเุ ปน็ ประเพณใี หม้ กี ารบำ� เพญ็ บญุ กศุ ลอทุ ศิ แดท่ า่ นผวู้ ายชนม์ เปน็ ลำ� ดบั เรอ่ื ยมา
นอกจากนี้ องคส์ มเดจ็ พระบรมศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ยงั ไดต้ รสั ถงึ อานภุ าพของบญุ ไวว้ า่
“ปญุ ฺ านิ ปรโลกสมฺ ึ ปตฏิ ฐฺ า โหนติ ปาณนิ ”ํ
บญุ เปน็ ทพ่ี งึ่ ของสรรพสตั วท์ ง้ั หลาย ทง้ั ในโลกนแี้ ละในโลกหนา้
“สยํ กตานิ ปญุ ฺ านิ ตํ มติ ตฺ ํ สมปฺ รายกิ ”ํ
บญุ กศุ ลทบ่ี คุ คลไดบ้ ำ� เพญ็ ไวด้ ว้ ยตนเองกด็ ี ทา่ นผอู้ ยภู่ ายหลงั รำ� ลกึ นกึ ถงึ บำ� เพญ็ อทุ ศิ ไป
ใหอ้ กี กด็ ี จะเปน็ กลั ยาณมติ ร ตามตดิ ไปสง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหไ้ ดอ้ ยสู่ ขุ และเยน็ ใจไดถ้ งึ โลกหนา้
“ฉายา ว อนปุ ายนิ ”ี
เปรยี บเสมอื นเงาทเี่ ฝา้ ตดิ ตามไปในทกุ ทที่ กุ สถาน ตอ้ งดว้ ยวจนประพนั ธท์ ว่ี า่
บญุ เปน็ เงาเฝา้ ตามตดิ บญุ เปน็ มติ รในทกุ ท ่ี
คอยชว่ ยเหลอื เออื้ อาร ี หา่ งราคปี ลอดโภยภยั
บญุ พทิ กั ษบ์ ญุ รกั ษา บญุ นำ� พาพบสขุ ใส
แมช้ พี ลบั ดบั ลว่ งไป บญุ สง่ ใหถ้ งึ สขุ าวดี
250
รวมความวา่ คือ บุญ คอื ทุนหนนุ ชวี ิต คือ หนุนใหย้ ามอยู่ก็มคี นรกั หนุนใหย้ ามจากกม็ ี
คนอาลัย หนุนให้ยามอยู่มผี ู้อปุ ฏั ฐาก หนุนใหย้ ามพลดั พรากมผี ้อู ุปถมั ภ์ หนุนให้ยามอย่มู ผี ูเ้ ลย้ี ง
กาย หนนุ ให้ยามตายมีผเู้ ล้ยี งวญิ ญาณ
อนั ทนุ ทีส่ ำ� คญั มี ๒ ทนุ ดว้ ยกนั ทุนแรก ไดแ้ ก่ บุญกศุ ล คุณงามความดี บารมธี รรม
และบารมกี รรมทบี่ คุ คลไดบ้ ำ� เพญ็ ไวด้ ว้ ยตนเอง อยา่ งนเี้ รยี กวา่ “ตน้ ทนุ ” อยา่ งทสี่ อง เมอื่ สน้ิ ชพี
วายชนมไ์ ปแล้ว ทา่ นผอู้ ยภู่ ายหลงั ร�ำลึกนึกถงึ บ�ำเพ็ญอทุ ศิ ไปให้อกี อยา่ งนเ้ี รียกวา่ “สมทบทุน”
ผทู้ ม่ี ีทั้งตน้ ทนุ และสมทบทนุ จะชว่ ยใหอ้ ยู่กส็ บาย ไปกส็ ะดวก อยู่กไ็ ม่ลำ� บาก จากกไ็ ม่ล�ำเค็ญ
ชว่ ยให้มองขา้ งหนา้ ก็มหี วัง ช่วยให้มองข้างหลงั กม็ สี ขุ เปน็ เครอ่ื งยนื ยนั ว่า ยามใดท่ีไฟฟ้าดบั ส่งิ
ทส่ี ำ� คญั และจำ� เปน็ กไ็ ดแ้ ก่ เทยี นและไฟฉาย ตอ่ เมอื่ ถงึ คราวทช่ี วี ติ วางวาย สง่ิ ทสี่ ำ� คญั และจำ� เปน็
ก็ได้แก่ บุญกุศล
พธิ บี ำ� เพญ็ กศุ ลเพอื่ อทุ ศิ แดท่ า่ นผวู้ ายชนมน์ นั้ เปน็ พธิ ที มี่ คี วามสำ� คญั ทงั้ มคี วามแปลกแตกตา่ ง
กวา่ พธิ บี ำ� เพญ็ กศุ ลอนื่ ๆ หลายหลากมากประการ เนอื่ งจากเปน็ ประเพณที เี่ นอื่ งดว้ ยกจิ ทง้ั ๓ ธรรมทง้ั ๔
กจิ ทัง้ ๓ ธรรมท้ัง ๔ เปน็ ไฉน
กิจทง้ั ๓ นัน้ คอื สงั คหกิจ อปจายนกจิ และปชู นียกิจ
ธรรมทง้ั ๔ คอื เสยี สละ สามคั คี กตัญญูกตเวที และความเปน็ ผมู้ นี ำ�้ ใจ
ทง้ั ปวงน้ี ขอรับพระราชทานวสิ ัชนาถวายโดยสังขิตนัยว่า
๑. สงั คหกจิ ไดแ้ ก่ การสงเคราะห์ การอนเุ คราะหใ์ หท้ า่ นผลู้ ะจากโลกนไี้ ปแลว้ ไดอ้ ยเู่ ยน็
เปน็ สขุ ไดป้ ระสบแตท่ พิ ยสขุ ทพิ ยสมบตั ใิ นสมั ปรายภพ ขอ้ นี้ องคส์ มเดจ็ พระชนิ สหี บ์ รมศาสดา
สัมมาสัมพทุ ธเจา้ ได้ทรงแสดงเอาไวว้ ่า “อยญจฺ โข ทกขฺ ณิ า ทินนา สงฆฺ มหฺ ิ สุปตฏิ ตา” เปน็
อาทิ แปลความวา่ บญุ กุศลทกั ษิณานุประทาน ทท่ี า่ นเจ้าภาพได้บำ� เพญ็ ใหเ้ ป็นไปและต้งั ไว้ดีแลว้
ในพระสงฆ์ จกั เปน็ เครื่องอ�ำนวยอวยประโยชนเ์ ก้อื กลู ให้ได้ส�ำเร็จประโยชน์ในสัมปรายภพ ดว้ ย
ประการฉะน้ี
๒. อปจายนกจิ ไดแ้ ก่ การแสดงคารวะอปจายนธรรมตอ่ ทา่ นผเู้ ปน็ วฒุ บคุ คลทง้ั ๓ กลา่ ว
คือ ประการที่ ๑ ชาติวุฒะ ผู้เจรญิ โดยชาติกำ� เนดิ ผเู้ จรญิ โดยชาติก�ำเนดิ นน้ั มีองค์สมเดจ็ พระ
จอมธรรม์ บรมศาสดาสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระราชามหากษัตริย์ เป็นอาทิ พระเดช
พระคณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ เป็นพระมหาเถระผู้เจริญด้วยชาตวิ ุฒะ กล่าวคือ เป็นผถู้ อื
กำ� เนดิ ถงึ สองครง้ั สองวาระ ครงั้ แรกนน้ั ถอื กำ� เนดิ เปน็ มนษุ ยชาติ ครงั้ ทสี่ องถอื กำ� เนดิ เปน็ อรยิ ชาติ
จึงชอื่ ว่าเป็นผู้เจริญดว้ ยชาติวฒุ ะโดยแท้
251
ประการที่ ๒ คณุ วฒุ ะ เปน็ ผเู้ จรญิ โดยคณุ คำ� วา่ “คณุ ” ในทน่ี ี้ หมายถงึ คณุ ประโยชน์
ทไี่ ดส้ รรคส์ รา้ งและคณุ ความดที ไ่ี ดบ้ ำ� เพญ็ มาตลอดชวี ติ อนั คนดมี คี ณุ นนั้ นกั ปราชญท์ า่ นกลา่ ว
วา่ จะตอ้ งบรบิ รู ณด์ ว้ ยคณุ ทง้ั ๕ กลา่ วคอื คณุ วฒุ ิ คณุ สมบตั ิ คณุ ประโยชน์ คณุ ภาพ และคณุ ธรรม
ประการท่ี ๓ วัยวุฒะ เป็นผู้เจริญโดยวัย พระเดชพระคุณพระธรรมมงคลวุฒาจารย์
เปน็ ผมู้ อี ายวุ ฒั นาสถาพร ตง้ั แตต่ น้ จนอวสานแหง่ ชวี ติ ไดถ้ งึ ๙๗ ปี และมพี รรษาถงึ ๗๗ พรรษา
นบั วา่ เปน็ ผเู้ จรญิ โดยวยั โดยแทจ้ รงิ
๓. ปชู นยี กจิ ไดแ้ ก่ การบชู า คำ� วา่ “บชู า” ไดแ้ ก่ การยกยอ่ ง การใหเ้ กยี รติ การถวาย
เกยี รติ ในทางพระพทุ ธศาสนา เรยี กสงิ่ อนั บคุ คลยกยอ่ งเชดิ ชบู ชู าวา่ “ปชู นยี ” ทา่ นแสดงไวเ้ ปน็
๓ ลกั ษณะคอื ปชู นยี วตั ถุ ปชู นยี สถาน และปชู นยี บคุ คล
ในมงคลสตู ร พระผพู้ ระภาคเจา้ ทรงแสดงไวป้ ระการหนง่ึ วา่ “ปชู า จ ปชู นยี านํ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ
การบูชาบุคคลผู้ที่ควรบูชา เป็นอุดมมงคล ถามว่าบูชาด้วยอะไร และบูชาด้วยลักษณะอย่างไร
ขอ้ น้ี ขอรบั พระราชทานถวายวสิ ชั นาวา่ บชู าใน ๔ ลกั ษณะ
๑) บชู าดว้ ยการกราบไหว้ ดว้ ยดอกไมธ้ ปู เทยี น อยา่ งนเ้ี รยี กวา่ “สกั การบชู า”
๒) บชู าดว้ ยการนอ้ มจติ รำ� ลกึ นกึ ถงึ คณุ ประโยชนค์ ณุ ความดที ที่ า่ นไดบ้ ำ� เพญ็ ไว้ อยา่ งน้ี
เรยี กวา่ “สมั มานบชู า”
๓) บูชาด้วยการประกาศเกียรติคุณให้ปรากฏ ประกาศเกียรติยศให้ลือชา อย่างนี้
เรยี กวา่ “ปคั คณั หบชู า”
๔) บชู าดว้ ยการทำ� บญุ กศุ ลอทุ ศิ ไปให้ อทุ ศิ ถวาย อยา่ งนเ้ี รยี กวา่ “ทกั ขณิ าบชู า”
คำ� วา่ ทกั ขณิ า หรอื ทกั ษณิ า จงึ เปน็ ชอ่ื ของพธิ บี ำ� เพญ็ กศุ ล เพอื่ อทุ ศิ แกเ่ ปตชน องคส์ มเดจ็
พระทศพลบรมศาสดา ไดต้ รสั เอาไวว้ า่ “เปตานํ ทกขฺ ณิ ํ ทชชฺ า ปพุ เฺ พ กตมนสุ สฺ ร”ํ แปลความวา่
เมอื่ หวนรำ� ลกึ นกึ ถงึ อปุ การะ หรอื คณุ ความดที ท่ี า่ นมแี กต่ น หรอื ไมม่ แี กต่ นโดยตรง กม็ ตี อ่ สว่ น
รวม สงั คม ประเทศชาติ พระพทุ ธศาสนา วดั วาอาราม ตลอดถงึ วงศต์ ระกลู กจ็ ดั การบำ� เพญ็ บญุ
บำ� เพญ็ กศุ ล อทุ ศิ ไปให้
นเี้ ปน็ สว่ นแหง่ กจิ ทงั้ ๓
ในสว่ นแหง่ ธรรมทงั้ ๔ ไดแ้ ก่ เสยี สละ สามคั คี กตญั ญกู ตเวที และความเปน็ ผมู้ นี ำ้� ใจ
๑. เสยี สละ นนั้ ไดแ้ ก่ เสยี สละโอกาส เสยี สละเวลา เสยี สละกำ� ลงั กาย เสยี สละกำ� ลงั ใจ
และเสยี สละกำ� ลงั ทรพั ย์ มารว่ มในพธิ บี ำ� เพญ็ กศุ ล ตงั้ แตต่ น้ จนถงึ ปจั จบุ นั สมยั และจกั ไดบ้ ำ� เพญ็
ในโอกาสตอ่ ไป
252
๒. สามคั คี ค�ำวา่ “สามคั ค”ี แปลว่า พร้อมเพรยี ง แปลวา่ รว่ มด้วยชว่ ยกัน
อานภุ าพแหง่ สามคั คนี นั้ เรอ่ื งทหี่ นกั กจ็ ะกลายเปน็ เบา เรอ่ื งทยี่ าวกจ็ ะกลายเปน็ สน้ั เรอ่ื ง
ที่ไกลกจ็ ะกลายเปน็ ใกล้ เรือ่ งท่ีไม่ไหวก็จะกลายเป็นไหว เร่อื งทห่ี มดหวงั ก็จะกลายเปน็ มีหวงั
ความสามคั คี เปน็ คณุ ธรรมทส่ี รา้ งสรรคค์ วามเจรญิ กลา้ ทจ่ี ะเผชญิ กบั อปุ สรรค หาญหกั
ศัตรู และเป็นอยู่ด้วยความสวัสดี องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัส
รบั รองเอาไวว้ า่ “สขุ า สงฆฺ สสฺ สามคคฺ ”ี ความสามคั คหี รอื ความพรอ้ มเพรยี งของหมคู่ ณะนำ� ความ
สขุ มาให้
คำ� วา่ “น�ำความสุขมาให”้ เพราะทำ� ใหส้ งั คมเป็นปึกแผ่นแนน่ หนา ไมแ่ บ่งพวก ไม่แบง่
พรรค ไมแ่ บง่ ฝกั ไมแ่ บง่ ฝา่ ย มคี วามสมคั รสมานเปน็ นำ�้ หนง่ี ใจเดยี วกนั สงั คมมคี วามเปน็ เอกภาพ
เพราะฉะนั้น สามคั คี จงึ หมายถงึ ความเป็นนำ�้ หนึง่ ใจเดียวกนั ที่ปจั จุบันเรียกวา่ ความ
เปน็ เอกภาพ
๓. กตญั ญกู ตเวที ค�ำว่า กตญั ญู นัน้ คู่กบั ค�ำว่า กตเวที
“กตัญญู” แปลว่ารู้ แปลว่าระลึก แปลว่านึกถงึ
“กตเวท”ี แปลวา่ หาโอกาสปฏิการะตอบแทนความดขี องทา่ น
คุณธรรมทั้งกตัญญแู ละกตเวที เป็นคณุ ธรรมทเ่ี ป็นตราประทบั รบั ประกนั ความเป็นคนดี
เปน็ เคร่ืองหมาย เปน็ สญั ลักษณ์ หรอื เปน็ แบรนดเ์ นม (Brand Name) ของความเป็นคนดี
เหตนุ ี้ จะรวู้ า่ ใครเปน็ คนดหี รอื ไมด่ ี ทา่ นจงึ ใหเ้ อาความกตญั ญกู ตเวทมี าเปน็ เครอื่ งวดั ขอ้ นี้
ต้องด้วยบาลีธรรมภาษิตว่า “นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา” ความกตัญญูกตเวทีเป็น
เครอื่ งหมายของความเปน็ คนดี
อน่งึ คำ� ว่า “กตัญญู” ที่แปลว่ารู้ แปลวา่ ร�ำลกึ แปลว่านกึ ถงึ
ถามวา่ รอู้ ยา่ งไรจงึ จะเปน็ กตญั ญู ขอ้ นี้ ผรู้ เู้ ฉลยวา่ ตอ้ งรใู้ หไ้ ด้ ๔ รู้ คอื ๑) รจู้ กั แผน่ ดนิ
ถ่นิ กำ� เนดิ ๒) รู้เทดิ องค์กษตั ริย์ของรฐั า ๓) ร้จู ักค�ำสั่งสอนขององค์สมเดจ็ พระบรมศาสดา
และ ๔) รซู้ ง้ึ ถงึ ค�ำว่าบุพการี
รูไ้ ด้ ๔ ประการนีช้ ื่อว่าเปน็ กตัญญู ดังทา่ นประพันธเ์ ชดิ ชูไว้ว่า
กตัญญรู คู้ ุณทา่ นสำ� คญั นกั นีเ้ ป็นหลกั คนดีมคี รบถว้ น
ตอบแทนทา่ นใหง้ ามตามสมควร คนดีลว้ นใจมน่ั กตัญญู
ผู้ใดเคยเอือ้ เฟ้อื และเก้อื หนุน จงแทนคุณจนกวา่ จะอาสัญ
แม้นไมม่ ีสงิ่ ใดจะใหป้ นั ก็จงหมนั่ สรรเสรญิ เจรญิ คณุ
253
พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไดท้ รงแสดงไวอ้ กี วา่ นอกจากรแู้ ลว้ ตอ้ งรำ� ลกึ ตอ้ งนกึ ถงึ อยใู่ นใจไวเ้ สมอ
ถามว่านึกอยา่ งไรจงึ จะเป็นกตัญญู ท่านผู้รเู้ ฉลยวา่ ต้องนึกให้ได้ ๔ ช้นั คอื ๑) นกึ ถึง
ความรัก ความเมตตาทท่ี ่านเคยมี ๒) นึกถึงคณุ ความดีที่ท่านได้กระทำ� ๓) นกึ ถึงคุณธรรมที่
ทา่ นได้บำ� เพ็ญ และ ๔) นึกถงึ ความร่มเย็นท่ีท่านไดเ้ คยประทานใหแ้ ก่เรา นกึ ได้ ๔ อย่างน้ี ชอ่ื
ว่าเป็นกตญั ญู
พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไดท้ รงแสดงไวอ้ กี แหง่ หนงึ่ วา่ “ยสสฺ รกุ ขฺ สสฺ ฉายาย นสิ เี ทยยฺ สเยยยฺ วา”
เป็นอาทิ แปลความว่า “บคุ คลได้เคยพึง่ พาอาศัยรม่ ไมช้ ายคาใด ไมค่ วรไปหกั ก้านรานกิง่ เพราะ
ผู้ประพฤติเช่นน้ัน ช่ือว่าเป็นผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนบาป หรือเป็นคนเลวโดยแท้” เหตุน้ี
คนกตัญญูกตเวที จึงไม่ลืมคุณความดีของผู้ท่ีเคยมีคุณแก่ตน ส่วนคนไม่ดีย่อมจะไม่ร�ำลึก
ย่อมจะไม่นกึ ถึง ทีเ่ รียกว่า ลมื
ลมื บญุ คณุ ทที่ า่ นช่วยเหลอื ก็สน้ิ ศักดิ์ ลมื คณุ ท่เี คยฟมู ฟักรกั นกั หนาก็สิ้นคา่
ลืมสจั จะทใ่ี หไ้ วก้ ็ไรร้ าคา ลืมพ่อแม่ ครอู ุปัชฌาย์ ก็ส้นิ ดี
๔. ความเปน็ ผมู้ นี ำ้� ใจ พธิ บี ำ� เพญ็ กศุ ลอทุ ศิ แกผ่ วู้ ายชนมเ์ ปน็ การแสดงออกถงึ ความเปน็ ผมู้ นี ำ�้ ใจ
ค�ำว่า “นำ้� ใจ” หมายถึงน้�ำท่หี ลัง่ ออกมาจากใจ เปน็ นำ้� แห่งเมตตากรณุ าธรรม เกดิ ขึน้ มา
เองไม่มีใครบังคบั ดังพระราชนิพนธ์ใน ลน้ เกล้ารัชกาลที่ ๖ บทหน่ึงทวี่ ่า
“อันความกรณุ าปราณ ี จะมีใครบังคบั ก็หาไม่
หล่งั มาเองเหมอื นฝนอนั ชืน่ ใจ จากฟากฟ้าสรุ าลยั สแู่ ดนดิน”
นำ�้ ใจจงึ เปน็ นำ�้ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เปน็ นำ�้ มฤี ทธ์ิ บนั ดาลทกุ สง่ิ ทกุ ประการได้ โบราณจงึ วา่ ไวว้ า่ นำ้� บอ่
น�้ำคลอง เป็นรองน�้ำใจ น�ำ้ ท่ีไหน ๆ กส็ ู้นำ้� ใจไมไ่ ด้
ถามอกี ว่าและยามไหนบ้างทบี่ ุคคลในสังคมควรแสดงน�้ำใจตอ่ กนั และกนั
ขอ้ นีท้ า่ นเฉลยวา่ ยามทส่ี �ำคัญมีอยู่ ๓ ยาม คอื ยามจน ยามเจบ็ และยามจาก
ยามจน ยามเจ็บ ยามจาก ส�ำคัญมาก เปน็ ยามทีบ่ ่งบอกความมีนำ�้ ใจใหเ้ ปน็ ทป่ี ระจักษ์
ตอ้ งด้วยวลีท่วี า่
“ยามเจบ็ ไข้ จะรูไ้ ดว้ า่ ใครรัก ยามล�ำบาก จะรไู้ ด้ใครสงสาร
ยามไมม่ ี จะร้ไู ด้ใครให้ปนั ยามเบิกบาน จะรไู้ ด้ใครยนิ ดี
ยามทกุ ข์หนัก จะรไู้ ดใ้ ครชว่ ยแก้ ยามพ่ายแพ้ จะรไู้ ด้ใครหน่ายหนี
ยามยากจน จะรไู้ ด้ใครปรานี ส้นิ ชวี ี จะรไู้ ด้ น้�ำใจคน”
254
ทงั้ ความเสยี สละ ความสามคั คี ความกตญั ญกู ตเวที และความมนี ำ้� ใจ จะเกดิ ขนึ้ ไดเ้ พราะอาศยั
ประการสดุ ทา้ ย คอื มติ รธรรม ในมติ ตสตู ร พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงไว้ ดงั พทุ ธพจนบ์ ททไี่ ดอ้ ญั เชญิ มา
รบั พระราชทานถวายเปน็ อเุ ทศ เทศนา ณ เบอื้ งตน้ วา่ “สตโฺ ถ ปสวโต มติ ตฺ ”ํ เปน็ อาทิ แปลความวา่
ยวดยานพาหนะเปน็ มติ รของคนเดนิ ทาง บดิ ามารดาเปน็ มติ รในเคหสถานบา้ นเรอื นของตน สหายบรวิ าร
พวกพ้องน้องพี่เป็นมิตรของผู้ท่ีมีกิจเกิดขึ้นเนืองๆ ส่วนบุญกุศลเป็นมิตรท่ีจะติดตามบุคคลไปถึง
สมั ปรายภพภายภาคหนา้
อนั บญุ กศุ ลนน้ั มมี ากมายหลายสถาน แตโ่ ดยสงั เขป ทา่ นจำ� แนกบญุ ไวเ้ ปน็ ๔ ประการ
บญุ ๔ ประการนเี้ ปน็ ไฉน
๑) บญุ สมทุ ยั ไดแ้ ก่ เหตแุ หง่ บญุ คอื อโลภะ อโทสะ อโมหะ
๒) บญุ กรยิ า ไดแ้ ก่ กรยิ าบญุ คอื ทานมยั ศลี มยั และภาวนามยั
๓) บญุ เขต คอื เนอ้ื นาบญุ ไดแ้ ก่ พระอรยิ สงฆ์ ผสู้ ปุ ฏบิ ตั ิ อชุ ปุ ฏบิ ตั ิ ญายปฏบิ ตั ิ
และสามจี ปิ ฏบิ ตั ิ
๔) บญุ วบิ าก ไดแ้ ก่ ผลแหง่ บญุ คอื ความสขุ ความสบาย ความสำ� เรจ็
ความสมปรารถนา ตามทป่ี ระสงค์
อนง่ึ คำ� วา่ “บญุ ” เปน็ ศพั ทศ์ าสนาวา่ โดยเหตุ ไดแ้ ก่ คณุ ความดี บารมธี รรม และบารมกี รรม
ทบ่ี คุ คลไดบ้ ำ� เพญ็ ตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั
บญุ ในอดตี ทา่ นเรยี กวา่ บพุ เพกตปญุ ญตา
บญุ ในปจั จบุ นั เรยี กวา่ อตั ถจรยิ า และอตั ตสมั มาปณธิ ิ
บญุ ในอนาคตภายภาคหนา้ ไดแ้ ก่ ทาน ศลี และภาวนา
บญุ นนั้ วา่ โดยผล คอื ความสขุ ความสำ� เรจ็ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั เอาไวว้ า่
“สโุ ข ปญุ ฺ สสฺ อจุ โย” การสง่ั สมบญุ นำ� มาซง่ึ ความสขุ ดว้ ยประการฉะน้ี
พระเดชพระคณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ ไดบ้ ำ� เพญ็ บญุ บารมี มาครบทงั้ ๓ สมยั ทง้ั ใน
อดตี ปจั จบุ นั และอนาคต เปน็ เหตใุ หเ้ ปน็ พระเถระผมู้ ดี ใี นชวี ติ แบบครบวงจร คำ� วา่ ดคี รบวงจร คอื ดี
ค รบ ๓ ดี ไดแ้ ก่ มาดี อยดู่ ี แลว้ กไ็ ปดี ตอ้ งดว้ ยบทกวที วี่ า่
“มาใหด้ มี ธี รรมประจำ� จติ ดจี ะตดิ ตอ่ ตง้ั เมอ่ื ยงั อยู่
ไปใหด้ มี ธี รรมเขา้ คำ้� ชู ดจี ะอยแู่ ทนซากทจ่ี ากไป”
255
ขยายความอกี ชนั้ หนง่ึ วา่ ทว่ี า่ มาดี อยดู่ ี และไปดนี น้ั คอื อบุ ตั มิ าดเี พราะมบี ญุ ดำ� รงอยดู่ ี
เพราะมคี ณุ และจากไปดเี พราะมที นุ
“อมิ นิ า กตทกขฺ ณิ านปุ ทาเนน” ขออำ� นาจพระราชกศุ ลทกั ษณิ านปุ ระทานกจิ อนั สมเดจ็
พระบรมบพติ ร พระราชสมภารเจา้ ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ไดท้ รงบำ� เพญ็ ใหเ้ ปน็ ไป แลว้ พระราชทาน
แดพ่ ระเดชพระคณุ พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ ผถู้ งึ แกม่ รณภาพ
ขออานภุ าพแหง่ พระราชกศุ ลนน้ั ๆ จงเปน็ ตบะ เดชะ พลวปจั จยั สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ให้
พระเดชพระคณุ ไดป้ ระสบแดท่ พิ ยสขุ ทพิ ยสมบตั ิ ในสมั ปรายภพ สมพระราชประสงคจ์ งทกุ ประการ
“เทสนา ปรโิ ยสาเน” ในอวสานแหง่ พระธรรมเทศนาน้ี อาตมภาพ ขอรบั พระราชทานอญั เชญิ
อานภุ าพแหง่ คณุ พระศรรี ตั นตรยั อนั เปน็ นริ ตั ศิ ยั บญุ เขต ทงั้ ทวยเทพผทู้ รงมหทิ ธเิ ดชา โปรดอภบิ าล
บำ� รงุ รกั ษา สมเดจ็ บรมบพติ ร พระราชสมภารเจา้ ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ พรอ้ มดว้ ยพระบรมราช
จกั รวี งศท์ กุ ๆ พระองค์ ใหท้ รงพระเกษมสำ� ราญ ทง้ั พระวรกาย และพระราชหฤทยั ขอบรรดาสรรพ
โรคาพาธ อปุ ทั วนั ตรายใด ๆ อยา่ ไดม้ ากลำ้� กรายใหร้ ะคายเคอื งเบอ้ื งพระยคุ ลบาท ขอสมเดจ็ บรมบพติ ร
ทรงสถติ ในมไหสรุ ยิ ราชสมบตั ิ เปน็ ฉตั รแกว้ กนั้ เกศใหช้ าวไทยทงั้ ประเทศ บำ� ราศทกุ ขน์ ริ ภยั และขอ
พระบารมไี ดป้ กปอ้ งคมุ้ ครองชาตไิ ทยใหป้ ระสบแตส่ วสั ดี ขอพระบรมราชจกั รวี งศจ์ งสถติ อยคู่ ฟู่ า้ แผน่ ดนิ
ไทย เปน็ จริ ฐั ติ กิ าล
รบั พระราชทานถวายวสิ ชั นาพระธรรมเทศนาในสมั ปรายกิ มติ ตกถา สบสมยั ไดเ้ วลา ขอยตุ ิ
พระธรรมเทศนาลงคงไวแ้ ตเ่ พยี งเทา่ นี้
เอวงั กม็ ดี ว้ ยประการฉะน้ี
ขอถวายพระพร
ผถู้ อดความพระธรรมเทศนา : กลั ยา พรเพมิ่ พนู
256
อนุโมทนากถา
เนื่�องในพิิธีบี ำำ�เพ็็ญกุุศลออกเมรุุพระราชทานเพลิิงศพพระธรรมมงคลวุุฒาจารย์์
(บุุญยนต์์ ปุุญฺฺาคโม) ผู้้�ช่่วยเจ้้าอาวาสวััดบวรนิิเวศวิิหาร ระหว่่างวัันที่� ๑๐-๑๑-๑๒
กรกฎาคม พุุทธศัักราช ๒๕๖๔ ดร.ศุุลีีมาศ สุุทธิิสััมพััทน์์ ได้้มีีกุุศลจิิตบริิจาคทุุน
ในการจัดั พิมิ พ์ห์ นังั สือื “ประวัตั ิพิ ระธรรมมงคลวุฒุ าจารย์์ - สรรนิพิ นธ์์ ว่า่ ด้ว้ ย คน ศาสนา
คติธิ รรม และ โลกกัับธรรม” น้อ้ มถวายเป็็นอาจาริิยบููชาแด่่ พระธรรมมงคลวุฒุ าจารย์์
(บุญุ ยนต์์ ปุญุ ฺฺ าคโม) เป็็นจำำ�นวน ๒,๐๐๐ เล่ม่
คณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหาร ขออนุโมทนาและขออ�ำนวยพร ขออ�ำนาจคุณ
พระศรรี ตั นตรยั และทานมยั บญุ ราศรี อำ� นวยให้ ดร.ศลุ มี าศ สทุ ธสิ มั พทั นแ์ ละครอบครวั
เจริญด้วยจตุรพิธพรชัยอันประกอบไปด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ และประสบสิ่ง
พงึ ประสงคโ์ ดยธรรมตลอดเป็นนิจกาล
257
อาจริยบูชา “พระธรรมมงคลวฒุ าจารย”์
พระเดชพระคุณ พระธรรมมงคลวุฒาจารย์ (บุญยนต์ ปุญฺาคโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส
วดั บวรนเิ วศวหิ าร อดีตผู้ปฏิบตั ิหน้าท่เี ลขานกุ ารสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชริ ญาณสังวร
เปน็ พระมหาเถระทด่ี ฉิ นั และครอบครวั ถวายความเคารพนบั ถืออย่างยิ่งรปู หนงึ่ ด้วยศลี าจารวตั ร
อนั งดงามของพระเดชพระคณุ ทา่ นประกอบกบั ปฏปิ ทาทมี่ งุ่ มนั่ แนว่ แน่ ในการดำ� เนนิ ตามรอยธรรม
ของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ นำ� มาซง่ึ ความเลอ่ื มใสศรทั ธาของศษิ ยานศุ ษิ ยเ์ สมอมา
ย้อนไปเมื่อ ๒๐ ปีก่อน เม่ือคร้ังท่ีดิฉันจัดสร้างอาคารเอนกประสงค์เฉลิมพระเกียรติ
๗๒ พรรษา มหาราชินี ณ พทุ ธสถานเฉลมิ พระเกียรติ โรงพยาบาลตลุ าการเฉลิมพระเกยี รติ
สังกัดส�ำนักงานศาลยุติธรรม ต.คลองโยง อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อเป็นศูนย์กลาง
การจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาให้แก่เด็กและเยาวชนท่ีอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมพินิจ
และคมุ้ ครองเดก็ และเยาวชน กระทรวงยตุ ธิ รรม ในครง้ั นน้ั พระเดชพระคณุ ทา่ นกเ็ มตตามาเปน็
ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ และนับจากนั้นเป็นต้นมา พระเดชพระคุณก็เมตตารับเป็น
พระอุปัชฌาย์ให้การบรรพชาแก่เด็กและเยาวชนที่อยู่ในการควบคุมเหล่านั้น กับทั้งยังช่วย
สนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมแก่เยาวชน ให้ได้เรียนรู้หลักธรรมทาง
พระพุทธศาสนา สามารถน�ำมาประยุกต์ใช้ในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน และสามารถปรับตัวใน
การใชช้ วี ติ หลงั จากทพ่ี น้ การควบคมุ อยา่ งมคี วามสขุ ไมเ่ ปน็ ภาระตอ่ สงั คม ซงึ่ ทา่ นใหค้ วามเมตตา
กรุณากบั เดก็ และเยาวชนเหล่านม้ี าโดยตลอด
แม้พระเดชพระคุณจะเจริญอายุเข้าสู่วัยชรา แต่ในทุกคร้ังที่ดิฉันไปกราบนิมนต์ให้ท่าน
ไปฉลองศรัทธาในศาสนกิจไม่ว่าจะเป็นที่บริษัท หรืองานการกุศลใดใด หากท่านไม่อาพาธ
หรือติดกิจอื่น ท่านก็โปรดเมตตาเดินทางมาเป็นประธานให้เสมอ ภาพรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
แววตา และค�ำสอน ของพระเดชพระคุณแสดงออกมาพร้อมพรหมวิหารธรรมที่เต็มเปี่ยม
อยู่ในใจของทา่ นอยา่ งทที่ กุ คนสมั ผสั ได้
พระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บุญยนต์ ปญุ ฺ าคโม)และ ดร.ศลุ มี าศ สทุ ธิสัมพัทน์
บดั น้ี พระเดชพระคณุ ทา่ นไดม้ รณภาพจากไปแลว้ ตามธรรมดาของโลก แตพ่ ระคณุ ทที่ า่ น
ไดเ้ มตตามอบใหแ้ กด่ ฉิ นั และครอบครวั ตลอดจนเดก็ และเยาวชนเหลา่ นน้ั ยงั คงสวา่ งไสวในใจเสมอ
และจะเป็นประทีปส่องทางแห่งธรรมให้ศิษยานุศิษย์ได้เดินตามต่อไปขออานิสงส์ท่ีดิฉันและ
ครอบครวั ไดเ้ ปน็ เจา้ ภาพจดั พมิ พห์ นงั สอื “สรรนพิ นธ์ วา่ ดว้ ยเรอื่ ง คน ศาสนา คตธิ รรม และโลกกบั ธรรม
และประวตั พิ ระธรรมมงคลวฒุ าจารย์ (บญุ ยนต์ ปญุ ฺ าคโม)” เพอื่ เปน็ อนสุ รณ์ ในพธิ พี ระราชทาน
เพลิงศพในครั้งนี้ น้อมถวายเป็นอาจริยบูชาแด่พระเดชพระคุณ พระธรรมมงคลวุฒาจารย์
(บญุ ยนต์ ปญุ ฺาคโม) ผูช้ ่วยเจา้ อาวาสวัดบวรนเิ วศวหิ าร อดีตผู้ปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีเลขานกุ ารสมเดจ็
พระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณสังวร พระมหาเถระท่ีเคารพยิ่งรูปนี้ ตามควรแก่คติวิสัยใน
สัมปรายภพตลอดกาลนาน
ดร.ศุลมี าศ สทุ ธิสัมพทั น์
ประธานมูลนธิ ิ สถานฝกึ อบรมเดก็ และเยาวชนสิรินธร
259