ไทยธรรมสังเค็ด พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้วถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก แล้วบรรพชิต
ฝา่ ยอนมั นกิ ายและจนี นกิ ายจะไดส้ วดตามพธิ กี งเตก๊ แลว้ ทรงทอดผา้ ไตรบรรพชติ ฝา่ ยอนมั นกิ าย
และจีนนิกาย สดับปกรณเ์ สร็จแลว้ ทรงจดุ เทียนบชู าธรรม พระสงฆส์ วดพระอภธิ รรม เสด็จ
พระราชดำ�เนนิ กลับ
193
พระราชมุนี เจา้ อาวาสวดั ประยรุ วงศาวาส
ภายหลังด�ำ รงสมณศักดทิ์ ่ี พระธรรมไตรโลกาจารย์
194
ขบวนรถยนต์พระท่ีนั่ง
วนั เสารท์ ่ี ๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๕
วนั นเ้ี วลาบา่ ย พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ โดยรถยนต์
พระท่ีนั่งแต่พระราชวังพญาไทถึงยังตำ�หนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงจุดเทียนทรงธรรม
พระสรภาณกวี (เทยี บ) วดั อนงคาราม ถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ ๑ จบ ทรงจดุ เทยี น
เตยี งสวดพระสงฆ์ ๔ รปู สวดธรรมบรรยายตามเทศนแ์ ลว้ ทรงประเคนพดั เครอื่ งไทยธรรมและ
ทรงทอดไตรสดับปกรณแ์ ล้ว พระถวายอนุโมทนา ถวายอดเิ รกแล้ว เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ กลบั
195
พระสรภาณกวี (เทยี บ) วัดอนงคาราม
วันอาทิตย์ท่ี ๙ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๕
วันนี้ เป็นวันกำ�หนดพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา
วชิรญาณวโรรส
เวลา ๖.๐๐ น. เจา้ พนักงานเปลือ้ งเครื่องพระโกศทองใหญอ่ อก เชญิ พระลองพระศพ
ลงจากชั้นแว่นฟ้า ข้ึนเสลย่ี งแวน่ ฟ้าที่หน้าตำ�หนกั เพช็ ร แลว้ เชิญข้นึ ส่รู ถวิมานจากวัดบวรนเิ วศ
วิหาร ไปหยุดหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เชิญพระลองพระศพจากรถวิมานข้ึนเหนือ
เกรนิ เวชยันตราชรถ ประกอบพระโกศทองใหญ่ ประดบั พ่มุ เฟอื่ งพระโกศ เล่อื นพระโกศเข้าสู่
บษุ บกเวชยนั ตราชรถ
196
รถวอวิมาน
พระโกศทองใหญ่ทรงพระศพ 197
สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ประดิษฐานภายในบุษบกเวชยันตราชรถ
เวลา ๑๕.๐๐ น. พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชด�ำ เนนิ โดย
รถยนต์พระท่ีน่ังแต่พระราชวังพญาไท เสด็จทรงรถม้าพระที่นั่งที่ข้างพระท่ีนั่งอนันตสมาคม
เสดจ็ เปน็ กระบวนรถมา้ แตพ่ ระราชวงั ดสุ ติ ไปตามถนนราชด�ำ เนนิ ไปประทบั พระทน่ี งั่ ทรงธรรม
ทอ้ งสนามหลวง โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ดนิ กระบวนแหพ่ ระศพจากถนนสนามไชย ถนนราชด�ำ เนนิ ใน
เล้ียวถนนพระจันทร์ ประทบั ราชรถตรงถนนเข้าส่พู ระเมรดุ ้านเหนือ เชญิ พระโกศลงทางเกริน
ขึ้นพระยานมาศสามคานแล้ว กระบวนหลวงเวยี นพระเมรุ เป็นกระบวนนอ้ ย พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดําเนินตามพระศพเวียนพระเมรุ พร้อมด้วยพระบรม
วงศานุวงศ์ ข้าราชการ ศษิ ยานุศษิ ย์ครบ ๓ รอบแลว้ เทยี บยานมาศเข้ายงั มุขเหนือพระเมรุ
ประดษิ ฐานยงั พระจติ กาธาน
198
199
ริว้ กระบวนพระอิสริยยศแหพ่ ระศพ
ร้วิ กระบวนพระอิสรยิ ยศแห่พระศพ
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
จากหนา้ วัดพระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม ไปสูพ่ ระเมรุท้องสนามหลวง
กระบวนหนา้ ๒
ทหารบก ๒ กองพัน ๑๖๐
กระบวนราชอสิ รยิ ยศ ๘๐
ธง ๓ สาย ๑
คแู่ ห่ นุ่งสมปกั ลายสวมเสอ้ื ครุยลอมพอก ๑
กลองชนะ ๒
200 จา่ ปี่ ๑๖
จา่ กลอง ๒๐
สารวัตรกลอง ๑
แตรฝรง่ั ๑
แตรงอน
สารวตั รแตร
สงั ข ์
เครอ่ื งสูง ๕ ช้นั พระอ่านพระธรรมนำ� ๑๐
บังแทรก ๖
บงั สูรย ์ ๑
สังฆการี เชิญพดั ยศพระน�ำ ๑
กลดกำ�มะลอ ๑
เครอ่ื งสูง ๗ ชน้ั พระศพ ๔
เครือ่ งสงู ๕ ชน้ั ๑๐
บงั แทรก ๖
บงั สูรย ์ ๑
พระกลดหกั ทองขวาง ๑
พระแสงหวา่ งเครอื่ งหน้า ๖
พระแสงหวา่ งเครอ่ื งหลงั ๔
กรมวังคุมเคร่อื งเวชยันตราชรถ ทรงพระศพ ๔
ภษู ามาลา ประคองพระโกศ ๒
คูเ่ คียง ชน้ั พระยา ๑ คู่
คเู่ คยี ง ชนั้ พระ ๗ คู่
อนิ ทรเ์ ชิญจามร ๘
พรหมเชิญจามร ๘
มหาดเลก็ เชญิ เคร่ืองยศ ตาม
นาลิวัน ตาม ๖
มหาดเล็ก ตาม 201
พระสงฆ์สมณศกั ด์ิ ตาม
202
รถพระน�ำ
พระญาณวราภรณ์อา่ นพระอภธิ รรมน�ำ พระศพ
203
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หัวประทับรถม้าพระทน่ี ่ัง
ถงึ ยังบริเวณพระเมรทุ ้องสนามหลวง
204
205
เจ้าพนกั งานเชิญพระโกศลงทางเกรินบนั ไดนาคขึ้นประดษิ ฐาน
บนพระยานมาศสามล�ำ คาน
206
พระญาณวราภรณอ์ า่ นพระอภธิ รรมน�ำ พระศพ
207
พระโกศทองใหญ่
ทรงพระศพประดิษฐานบนพระยานมาศสามล�ำ คาน
เวยี นพระเมรุ
208
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยูห่ ัวและพระบรมวงศานวุ งศ์
เสด็จพระราชดําเนนิ ตามพระศพเวยี นพระเมรุ
209
210
พระโกศทองใหญ่
ทรงพระศพประดิษฐานบนพระยานมาศสามล�ำ คาน
เวียนพระเมรุ
211
เจ้าพนักงานเทียบพระยานมาศสามล�ำ คานทรงพระโกศทองใหญท่ รงพระศพ
ณ หอเปลอื้ ง บริเวณมขุ ด้านทศิ เหนอื ของพระเมรุ
212 พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หัวทอดพระเนตรการเปลื้องพระโกศ
ณ มขุ กระสันพระเมรุดา้ นทศิ เหนือ
213
พระโกศพระศพประดษิ ฐานบนพระจิตกาธาน
214 พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ประทบั บนพระท่นี งั่ ทรงธรรม
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำ�เนินข้ึนประทับพระที่น่ัง
ทรงธรรม ทรงจุดเทียนทรงธรรม โปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืน
ชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ๖๓ ถวายพระธรรมเทศนากณั ฑ์ ๑ จบแลว้ พระราชาคณะ
๓๐ รูปสวดศราทธพรต แล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประเคนไทยธรรม
กณั ฑเ์ ทศนแ์ ละทรงทอดผา้ ไตรสดบั ปกรณ์ พระสงฆท์ งั้ นน้ั สดบั ปกรณ์ พระสงฆถ์ วายอนโุ มทนา
ถวายอดิเรก เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำ�เนินจาก
พระท่ีน่ังทรงธรรมสู่พระเมรุทางบันไดมุขใต้ พระราชทานเพลิงแล้วเสด็จฯ ประทับพระท่ีน่ัง
ทรงธรรม พอสมควรจึงประทบั รถยนต์พระทนี่ ัง่ กลบั พระราชวังพญาไท
๖๓ ภายหลังทรงได้รับการสถาปนาขึ้นที่ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหลวงชินวรสริ ิวฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้
215
ผแู้ ทนรฐั บาลตา่ งประเทศแลข้าทูลละอองธุลีพระบาท
ในการน้ี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าฝ่ายใน ผู้แทน
รัฐบาลต่างประเทศ พระสงฆ์ และข้าทลู ละอองธลุ ีพระบาทขนึ้ ถวายพระเพลงิ ตามลำ�ดบั
๑) พระบรมวงศานวุ งศ์แลข้าทลู ละอองธลุ ีพระบาทฝา่ ยใน ขึน้ ทางบันไดมขุ ตะวันตก
ลงทางบันไดมุขใตฝ้ า่ ยหน้า
๒) พระบรมวงศานุวงศฝ์ า่ ยหน้า ข้ึนแลลงทางเดยี วกับฝ่ายใน
๓) สตรบี รรดาศักด์นิ อกพระราชฐานต่อจากพระราชวงศฝ์ ่ายหนา้
๔) ผู้แทนรัฐบาลตา่ งประเทศแลข้าทลู ละอองธุลพี ระบาท ขนึ้ ทางบนั ไดมขุ ตะวนั ออก
ลงทางบนั ไดมุขกระสนั ตะวันออก
สนิ้ กระบวนนแ้ี ลว้ หยดุ ขน้ึ ตอน ๑ ตอ่ ไปใหข้ นึ้ ตง้ั แตเ่ วลา ๒๐.๐๐ น. ทรงพระกรณุ าโปรด
ใหพ้ ระสงฆส์ มณศกั ด์ิ ตลอดถงึ ประชาชนผมู้ คี วามเคารพสกั การะทว่ั ไป ขนึ้ ถวายพระเพลงิ เปน็
ลำ�ดบั ตอ่ เนื่องกนั ไปจนถงึ เวลา ๒๒.๐๐ น. จึงเสรจ็ ส้ินการถวายพระเพลิง
ต่อนี้ไปเจ้าพนักงานจะได้สุมพระอัฐิไว้คืนหน่ึง แลในระหว่างตั้งแต่เชิญพระศพสู่
พระเมรุ พระสงฆจ์ ะไดป้ ระจำ�ซ่าง ผลดั เปลย่ี นกนั สวดพระอภธิ รรม แลมีเครอ่ื งประโคมตาม
พระเกยี รติยศประจ�ำ ยามตามเวลา จนกว่าจะไดเ้ ชิญพระอัฐิจากพระเมรุ
ส่วนพระบุพโพของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ โปรดให้ถวายพระเพลิงที่เมรุบุพโพ
ซ่ึงต้ังอยู่ที่วัดมหาธาตุใกล้กับมณฑปซึ่งจัดไว้ สำ�หรับพระราชทานเพลิงพระบุพโพพระศพ
พระบรมวงศานวุ งศท์ ่ีออกเมรทุ ที่ ้องสนามหลวง
216 พระราชทานเพลิงพระบุพโพพร้อมกับเวลาท่ีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ
ทอ้ งสนามหลวง โดยใชไ้ ฟทีท่ รงจดุ เลีย้ งไว้ไปพระราชทาน
ศราทธพรตเทศนา 217
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมนื่ ชินวรสิรวิ ัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
ถวายทพ่ี ระเมรทุ อ้ งสนามหลวง
ในงานถวายพระเพลิงพระศพ
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
วันท่ี ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕
นมตถฺ ุ สคุ ตสฺส
ชราธมโฺ มมหฺ ิ ชรํ อนตีโต ๚ พฺยาธิธมโฺ มมหฺ ิ พฺยาธึ อนตโี ต ๚ มรณธมฺโมมหฺ ิ มรณํ
อนตโี ต ๚ สพเฺ พหิ เม ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว ๚ กมฺมสสฺ โกมฺหิ กมฺมทายาโท
กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมมฺ ปฏสิ ฺสรโณ ยํ กมมฺ ํ กรสิ ฺสามิ กลยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาโท
ภวิสสฺ ามีติ ๚
บดั นี้ สมเด็จบรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ พรอ้ มด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ขา้ ราชการ
อาณาประชาชน ตลอดจนบรรพชิต ทรงบำ�เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน อุทิศ
พระราชกุศลถวายสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โดยปรุ พเปตพลีธรรม
บรรณาการ สนองพระคุณเนื่องในงานถวายพระเพลิงอันเป็นอวสานกิจ สมเด็จบรมบพิตร
พระราชสมภารเจา้ ไดท้ รงบ�ำ เพญ็ พระราชกศุ ลถวายในกาลพเิ ศษคอื สตั ตมวารท่ี ๑ ปญั ญาสมวาร
สตมาห ทุกคราว จนถงึ โปรดเกล้าฯ ใหเ้ ชญิ พระศพมาประดิษฐานในพระเมรทุ อ้ งสนามหลวง
เสร็จการบำ�เพญ็ พระราชกุศลในดิถีสตั ตมวารที่ ๒ เปน็ ต้น โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรม
ราชานุญาตให้พระบรมวงศานวุ งศ์ ข้าราชการ ตลอดจนบรรพชิต อนั เป็นพระญาตวิ งศ์ หรอื
ศษิ ยานศุ ษิ ย์ ไดม้ โี อกาสบ�ำ เพญ็ ตามความเลอ่ื มใส เคารพรกั ใครน่ บั ถอื ในสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ
โดยฐานพระราชานเุ คราะห์อีกส่วนหนง่ึ ดว้ ย สมเดจ็ บรมบพิตรพระราชสมภารเจา้ ทรงเคารพ
สกั การะในพระองค์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ เปน็ อย่างยง่ิ ส�ำ เรจ็ ด้วยพระกตัญญกู ตเวทติ า
ธรรม หากเปน็ ไปในพระราชหฤทัยเนืองนติ ย์ โดยบณั ฑิตวสิ ยั สัมมาปฏบิ ัติทกุ ประการ
218
พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ กรมหมื่นชนิ วรสริ ิวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
ภายหลังทรงไดร้ บั การสถาปนาขึน้ ที่
พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ กรมหลวงชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้
แทจ้ รงิ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ พระองคเ์ ปน็ อคั รปชู นยี บคุ คลควรบชู าของประชมุ ชน 219
ท่ัวไป ท้งั คฤหัสถแ์ ลบรรพชิต เพราะพระองคเ์ ปน็ พระบรมวงศผ์ ู้ใหญพ่ ระองค์หน่ึง และเป็น
พระราชอุปัธยาจารย์ ทรงพระคุณธรรมเป็นอเนกประการ ท้ังฝ่ายศาสนกิจ ท้ังฝ่ายราชกิจ
ซง่ึ จะพรรณนาไมส่ นิ้ สดุ จกั ยกพระคณุ สมบตั ขิ นึ้ พรรณนาแตบ่ างประการ พอเปน็ อนสุ สรณฐาน
ที่ตั้งแห่งความระลึกถึงพระองค์ตามควรแก่กาลเวลา สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ นั้น
มพี ระอภณิ หปัจจเวกขณธรรมในพระหฤทัย คือ
ทรงเห็นชัดอยู่เป็นอารมณ์ว่า พระองค์มีความชราอยู่เป็นปกติ บุคคลเขลาไม่ได้
สดบั สทั ธรรม ก็มวั เมาในวยั วา่ ยังหนุ่มยังสาว กป็ ระพฤตเิ พลดิ เพลินในทางทจุ รติ สมเด็จพระ
มหาสมณเจ้าฯ หาเป็นเช่นน้ันไม่ แม้พระองค์ยังดำ�รงอยู่ในประถมวัย กำ�ลังเจริญข้ึนเเห่ง
พระสกลกาย อนั ยากทจ่ี ะเหน็ วา่ มคี วามชรา พระองคก์ ไ็ มท่ รงมวั เมาในวยั นนั้ เมอ่ื ด�ำ รงพระชนม์
ล่วงเข้ามัชฌมิ วัย ก็ทรงรู้สึกพระองค์ชดั เช่นว่าสถิตอยู่ในมชั ฌมิ วัยแลว้ คร้ันล่วงเขา้ ปจั ฉิมวยั
ย่งิ ทรงเห็นประจักษ์ทเี ดยี ววา่ สถิตอยู่ในวยั ทส่ี ุดแลว้ ทรงต้งั อยใู่ นวยั ทงั้ ๓ ก็มีพระอธั ยาศยั
ควรแก่วัยนั้น ๆ ล้วนแต่ทรงประกอบกรณียกิจที่เป็นประโยชน์แก่พุทธจักรแลราชอาณาจักร
มไิ ดท้ รงประกอบสิ่งทีห่ าประโยชนม์ ไิ ด้หรอื สง่ิ ทม่ี ปี ระโยชนน์ ้อย แมจ้ ะมีบา้ งกไ็ ม่ถึงยกขึ้นกล่าว
ตำ�หนิ ย่อมมีพระหฤทัยหวังอยู่แต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แลเป็นประโยชน์มากเป็นประโยชน์
ยงิ่ ใหญแ่ ด่พระองค์แลบุคคลอื่น ด้วยอ�ำ นาจทรงเห็นว่า แมพ้ ระองค์ตกอยูใ่ นวิสัยแห่งชราธรรม
กจ็ �ำ ตอ้ งรบี ประกอบแตป่ ระโยชน์ ไมค่ วรทง้ิ ไวใ้ หท้ นั ชราทพุ พลภาพท�ำ อะไรไมไ่ ดม้ าถงึ เขา้ ตาม
พระจรยิ านก้ี ป็ รากฏเปน็ จรงิ เชน่ นนั้ ทรงมงุ่ ตรงตอ่ ประโยชนโ์ ดยล�ำ ดบั เสมอตน้ เสมอปลาย ไมม่ ี
ละวางทอ้ ถอยตอ่ ประโยชนก์ จิ จนถงึ อวสานกาล ยอ่ มเปน็ ทสี่ รรเสรญิ ของนกั ปราชญ์ เปน็ พระคณุ
ธรรมอันประเสรฐิ ประการ ๑
อนง่ึ ทรงเหน็ ชดั วา่ พระองค์ตกอยใู่ นอำ�นาจแห่งพยาธธิ รรม หลีกเล่ยี งไม่พน้ แมร้ ักษา
พระองค์ไว้ไดด้ ้วยดไี ม่มีพระโรคอย่างน้ี พระโรคอยา่ งอ่นื กค็ งมารันท�ำ ย�่ำ ยีอกี เพราะโรคาพาธ
มีมากมายหลายหลาก แลอาจมมี าโดยไมร่ ู้ลว่ งหนา้ ก็มี หรอื พอจะรไู้ ด้กอ่ นกม็ ี แต่เป็นขึ้นแลว้
ก็เหลอื วิสยั ทจ่ี ะแกไ้ ขได้ แม้แกไ้ ขได้คร้งั น้ีกย็ งั จะมีมาอกี ไมร่ จู้ ักหมดส้ิน แลทรงทราบชัดยิ่งกว่า
นี้วา่ เบญจขนั ธเ์ ปน็ ท่ตี งั้ ทเี่ กดิ แห่งโรคาพาธ เชน่ ตอ้ งบรโิ ภคภัตตาหารอยูท่ ุกวนั แสดงให้เหน็
วา่ โรคประจำ�อย่ใู นเบญจขันธ์ ๆ เป็นโรคอยู่เสมอ แตเ่ ปน็ โรคที่ไมถ่ งึ ลม้ หมอนนอนเสือ่ อาจท�ำ
กจิ การได้ ถา้ เยยี วยาใหเ้ ปน็ ไปตามปรกติกาล พยาธอิ ีกชนิดหน่งึ เชน่ เปน็ ไขถ้ งึ ต้องหยุดกิจการ
ทำ�การงานไม่ได้ เพราะทรงทราบชัดอย่างน้ี เวลาทรงพระสำ�ราญมิได้ประชวรพระโรคที่ทำ�
กิจการไม่ได้ ก็ไม่ทรงปล่อยเวลาทรงพระสำ�ราญให้ล่วงเลยไปเสียเปล่า ย่อมทรงประกอบกิจ
ที่เปน็ ประโยชนย์ ่งิ เสมอมา อาศัยไม่ทรงมัวเมาในความไม่มโี รค หากทรงการไมไ่ ดจ้ รงิ ๆ จึง
ทรงมอบใหผ้ ้อู น่ื ทำ�แทนพระองค์ ถงึ อย่างนั้นกไ็ มว่ ายวางพระหฤทัย ก�ำ ลังทรงประชวร ผู้รบั
ทำ�การแทนพระองค์หรอื ผู้อน่ื ๆ พอจะหาโอกาสกราบทลู เรยี นพระปฏบิ ัติในขอ้ ความทข่ี ัดขอ้ ง
ได้ กป็ ระทานพระอนุญาต ตรัสชแี้ จงให้ทราบทางแกค้ วามขดั ขอ้ งนนั้ การทท่ี รงพจิ ารณาเหน็
220 วา่ พระองคม์ พี ยาธธิ รรมอยเู่ ปน็ ปรกติ เมอื่ เวลาทรงพระส�ำ ราญกท็ รงประกอบกจิ ทเ่ี ปน็ ประโยชน์
น้ีย่อมเป็นทสี่ รรเสรญิ ของนักปราชญ์ เป็นพระคุณธรรมอนั ประเสรฐิ ประการ ๑
อนงึ่ พระองคท์ รงทราบแนน่ อนวา่ พระองคม์ มี รณธรรมอยเู่ ปน็ ปรกติ เมอื่ เชน่ นก้ี ไ็ มท่ รง
หวาดหวน่ั พรน่ั พรงึ ตอ่ มรณภยั อนั จะมมี าโดยไมร่ ตู้ วั ความทผี่ อู้ น่ื มาถงึ มรณะเสยี แตใ่ นประถมวยั
กม็ ี ในมชั ฌมิ วยั กม็ ี อย่ไู ปจนถงึ ปจั ฉิมวัยจงึ ทาํ กาลกิรยิ ากม็ ี ได้ทรงทราบอยเู่ ป็นอารมณแ์ ล้ว
เมอื่ เชน่ นี้ พระองคย์ ิ่งรบี รอ้ นทรงประกอบกจิ อนั เปน็ ประโยชน์เนือง ๆ ในระหวา่ งยังมพี ระชนม์
อยู่ จนถงึ อวสานกาล ทรงท�ำ ไม่ได้ สรรพกิจการฝ่ายพระพุทธศาสนา ท้งั ปริยัติทั้งบรหิ ารท่ี
ได้ทรงไวเ้ ป็นหลกั ฐานมีเปน็ อเนกประการ ศาสนธรรมได้ถงึ เจริญข้ึนโดยล�ำ ดับ คณะสงฆ์ผ้ยู งั
ปกครองกนั อยตู่ อ่ มากไ็ ดร้ บั ไวเ้ ปน็ ธรรมทายาท รกั ษาการคณะสบื ไปโดยสะดวก การทท่ี รงเหน็
มรณธรรมอนั จะพงึ มแี กพ่ ระองคเ์ ปน็ ธรรมดา ไมป่ ลอ่ ยใหเ้ วลาทม่ี รณภยั ยงั ไมม่ าถงึ พระองคล์ ว่ ง
ไปโดยมิใช่เหตุ ไดท้ รงประกอบกิจที่เปน็ ประโยชน์ย่ิงใหญไ่ พศาล ก็เพราะทรงสถติ อยู่ในความ
ไม่ประมาทต่อชวี ติ วา่ ยงั จะอยไู่ ปอีกนาน ยงั ไกลตอ่ มรณภัย ยอ่ มเป็นที่สรรเสริญของนกั ปราชญ์
เปน็ พระคณุ ธรรมอันประเสริฐประการ ๑
อนึ่ง พระองคท์ รงตระหนักแนอ่ ยวู่ ่า พระองค์จำ�ตอ้ งวิโยคพลัดพรากจากส่ิงทั้งปวงซ่ึง 221
เปน็ ทรี่ กั ทเี่ จรญิ ใจ ครน้ั เมอ่ื มาประสบวปิ โยคทกุ ขบ์ างคราวบางสมยั กไ็ มม่ พี ระอาการเศรา้ โศก
ทุรนทุรายเกินไปกว่าเหตุ แลเห็นได้ด้วยกิจการท่ีทรงทำ�ดำ�เนินไปโดยปรกติ เม่ือเหตุการณ์
อนั จะพงึ เสอ่ื มเสยี เกดิ ขนึ้ ในคณะสงฆ์ เฉพาะผทู้ ที่ รงพระเมตตาโปรดปรานจะคงบรหิ ารไวก้ ม็ ใิ ช่
เหตุ ครั้นจะก�ำ จัดเสยี ก็จะตอ้ งหา่ งเหินจากกนั ไป แต่ก็หาไดท้ รงรำ�พงึ ถงึ ข้อนีเ้ ปน็ ประมาณไม่
ยอ่ มทรงบ�ำ บดั เสยี ดว้ ยพระปรชี า ใหเ้ ปน็ ไปตามโทษานโุ ทษของผนู้ นั้ โดยเตม็ พระอ�ำ นาจทกุ ครง้ั
ทกุ คราวเมอ่ื ผนู้ นั้ ตอ้ งเหนิ หา่ งไปแลว้ กห็ าทรงโทมนสั จนเกนิ ไปไม่ เพราะทรงตง้ั อยใู่ นยตุ ธิ รรม
แลทรงเหน็ ปยิ วปิ โยควา่ มเี ปน็ ธรรมดา ในอวสานกาลใกลจ้ ะสนิ้ พระชนม์ ทรงทราบวา่ พระองค์
จะตอ้ งวโิ ยคจากพระประยรู ญาตแิ ลศษิ ยานศุ ษิ ยห์ รอื ผทู้ รงคนุ้ เคยชอบอธั ยาศยั กห็ าไดท้ รงแสดง
พระอาการของผอู้ าลยั ในเรอ่ื งนจี้ นเกนิ ไปไม่ ทรงท�ำ ในพระหฤทยั ยง่ิ ขน้ึ โดยพระไตรลกั ษณ์ ตาม
นยั พระพทุ ธโอวาทจนเสรจ็ สนิ้ พระชนม์ หาไดม้ พี ระอาการกระสบั กระสา่ ยไม่ นา่ จะมสี คุ ตเิ ปน็
ที่ไป ณ เบอื้ งหนา้ ทรงเจรญิ พระไตรลกั ษณ์มิใชจ่ ะพึงมใี นมรณาสนั นกาล ปรากฏวา่ ได้ทรง
อบรมมามากแลนานแลว้ อนั การเจรญิ พระไตรลกั ษณ์ ถา้ ยงั ไมเ่ คยเจรญิ พง่ึ มาเจรญิ เมอ่ื ใกลจ้ ะ
ดบั จิต ยากทจ่ี ะเจรญิ ได้ แท้จรงิ พระองค์หยัง่ พระปัญญาเห็นวา่ พระองค์มชี ราธรรมอยเู่ ปน็
ปรกตนิ น้ั ตามวปิ ัสสนาภาวนา กช็ อื่ ว่าทรงเจรญิ อนจิ จลักษณะ ทรงเห็นประจกั ษ์ว่า พระองคม์ ี
พยาธธิ รรมอยเู่ ปน็ ปกติ กช็ อื่ วา่ ทรงเจรญิ ทกุ ขลกั ษณะ ทรงทราบชดั วา่ พระองคม์ มี รณธรรมอยู่
เปน็ ปรกติ กเ็ ชอื่ วา่ ทรงเจรญิ อนตั ตลกั ษณะ การทที่ รงบรรเทาสราคะเสยี ไดเ้ ปน็ ครงั้ เปน็ คราวมา
หรือในอวสานกาลน้ี กโ็ ดยทรงพจิ ารณาเหน็ วปิ โยคธรรม อนั จำ�ต้องมอี ยูเ่ ปน็ ธรรมดา แลโดย
ตลิ กั ษณานปุ ัสสนาน้ี ยอ่ มเป็นทสี่ รรเสริญของนักปราชญ์ เป็นคุณธรรมอนั ประเสริฐประการ ๑
อนง่ึ ทรงทราบโดยกมั มสั สกตาญาณวา่ ถา้ พระองคไ์ ดป้ ระสบสขุ ส�ำ ราญหรอื ทกุ ขร์ �ำ คาญ
พระหฤทยั กเ็ ป็นไปเพราะพระองค์ทรงประพฤตคิ วามดคี วามชอบหรอื ความช่วั ความเลวไว้แต่
ในปางหลงั หรอื ในปัจจุบันนี้ เปน็ เพราะพระองคเ์ อง หาใช่เพราะผ้ไู รหรือสิ่งใดมาเป็นเหตุให้
ถึงสุขหรือทุกข์ไม่ จำ�เดิมแต่กัมมัสสกตาญาณปรากฏในพระหฤทัยดังน้ันแล้ว ก็ทรงบำ�เพ็ญ
แตใ่ นอนวัชชกจิ เสมอมา ไดท้ รงรับพระอิสริยยศฐานันดรศกั ดิฝ์ ่ายราชสกุลแลสมณะ ตลอดชัน้
สงู สุดเป็นสนั ทิฏฐิกผล เปน็ ธรรมดาอยเู่ อง บุคคลผฉู้ ลาด เมื่อทราบว่า สขุ หรอื ทุกข์ทไี่ ดเ้ สวย
เพราะตัวเองทำ�ดหี รอื ทำ�ชวั่ ไว้ เมื่อเป็นเช่นน้ี ไฉนบคุ คลผู้ฉลาดจะท�ำ ชัว่ เลา่ พระองค์ทรงสถิต
อยู่ในกัมมัสสกตาญาณนี้ ย่อมเป็นท่ีสรรเสริญของนักปราชญ์ เป็นพระคุณธรรมอันประเสริฐ
ประการ ๑
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ทรงพระคณุ ธรรมอนั ประเสรฐิ ตามทถี่ วายวสิ ชั นามานี้ ส�ำ เรจ็
ประโยชน์ส่วนพระองค์แล้ว ยังได้มีพระมหากรุณาทรงสั่งสอนให้ประชุมชนดำ�เนินในคุณธรรม
นั้น เป็นอันทรงยังประโยชน์ให้สำ�เร็จแก่ผู้อ่ืนด้วย พระคุณธรรมท่ีสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ
ทรงอยูเ่ ปน็ อารมณ์น้นั สมตามพระพุทธภาษติ ตรสั สอนใหส้ ตรีบรุ ษุ คฤหัสถบ์ รรพชิต พิจารณา
ทกุ วนั เป็นอารมณ์ว่า
ชราธมโฺ มมฺหิ ชรํ อนตโี ต ๚ เรามีความชราเป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งความชราไปได้
พฺยาธิธมโฺ มมหฺ ิ พฺยาธึ อนตีโต ๚ เรามพี ยาธเิ ปน็ ธรรมดา ไม่ล่วงพน้ พยาธิไปได้
มรณธมฺโมมหฺ ิ มรณํ อนตีโต ๚ เรามมี รณะเปน็ ธรรมดา ไม่ล่วงมรณะไปได้
สพเฺ พหิ เม ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วนิ าภาโว ๚ เราจะต้องพลดั พรากจากของ
222 รกั ของเจรญิ ใจทงั้ ปวง
กมฺมสฺสโกมฺหิ กมมฺ ทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมมฺ ปฏิสสฺ รโณ ๚ เรามีกรรมคือ
บญุ แลบาปเป็นของตน มีกรรมเป็นมรดก มกี รรมเป็นกำ�เนิด มีกรรมเปน็ เผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็น
ท่รี ะลึกอาศัย
ยํ กมฺมํ กรสิ สฺ ามิ กลยาณํ วา ปาปกํ วา ตสสฺ ทายาโท ภวสิ ฺสามิ ๚ เราจกั ทำ�กรรม
อันใดไว้ ดหี รือชวั่ จักเปน็ ผรู้ บั ผลของกรรมน้ัน
การพิจารณาถงึ ชราธรรมขอ้ ตน้ กเ็ พอ่ื จะบรรเทาความประมาทในวยั การพจิ ารณาถงึ
พยาธิธรรมขอ้ ๒ ก็เพื่อจะบรรเทาความประมาทในความไม่มีโรค การพิจารณาถงึ มรณธรรม
ขอ้ ๓ กเ็ พอ่ื จะบรรเทาความประมาทในชวี ติ การพจิ ารณาถงึ วปิ โยคธรรมขอ้ ๔ กเ็ พอ่ื จะบรรเทา
ความประมาทในสราคะ การพจิ ารณาถงึ กัมมสั สกตาธรรมข้อที่ ๕ กเ็ พอื่ จะละทจุ ริตประพฤติ
สุจริต เป็นสมถภาวนาประเภทหนงึ่ ควรที่คฤหัสถ์แลบรรพชติ ทกุ หมู่เหลา่ จะพิจารณาเนือง ๆ
ให้เป็นจิตภาวนา เปน็ ประโยชน์ทงั้ ฝา่ ยโลกทั้งฝ่ายธรรม
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงสถิตอยู่ในพระคุณธรรมต้องตามพระพุทธโอวาท
แมเ้ สด็จลว่ งวยั ไปแลว้ พระคณุ สมบัตทิ ั้งปวงกย็ งั ปรากฏอยู่ไมเ่ ส่อื มสญู เปน็ อนั มพี ระชนม์อยู่
ดว้ ยปญั ญาสขุ มุ คมั ภรี ภาพตลอดกาล สน้ิ พระชนมแ์ ลว้ ยงั ประทานพระจรยิ าอนั ดงี ามไวเ้ ปน็ เนติ
แบบอย่าง ให้ปจั ฉมิ ชนตาชนเกิดภายหลงั ไดร้ ะลึกถึงพระคณุ แลกำ�หนดมนสกิ ารดำ�เนินตาม
เพื่อบรรลุความดีความชอบประกอบด้วยประโยชน์ตนแลบุคคลผู้อ่ืนในภพนี้แลภพหน้า
ด้วยประการฉะน้ี
แตน่ ้ี พระสงฆร์ าชาคณะ (๓๐ รปู ) จะไดร้ บั พระราชทานสวดศราทธพรตธรรมบรรยาย เพอื่
เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ความสงั เวช แลอปั ปมาทธรรมแหง่ สมาคม มสี มเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้
เป็นประมุข ณ กาลบัดนี้ ขอถวายพระพร ๚ะ
223
ศราทธพรตธรรมบรรยาย
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธฺ สสฺ ๚
๑. ภาสิตา โข เตน ภควตา ชานตา ปสฺสตา อรหตา สมมฺ าสมฺพุทเฺ ธน อยํ ปจฺฉิมวาจา
หนทฺ ทานิ ภิกขฺ เว อามนตฺ ยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถาติ ๚
๒. เย ธมฺมา เหตปุ ฺปภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต (อาห)
เตสจฺ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ๚
๓. อวชิ ฺชาทีหิ สมภฺ ตู า รปู ญฺจ เวทนา ตถา
อโถ สญฺ า จ สงขฺ ารา วญิ ฺาณญจฺ าปิ ปญฺจิเม ๚
๔. อปุ ปฺ ชชฺ นตฺ ิ นิรชุ ฺฌนฺติ เอวํ หุตวฺ า อภาวโต
เอเต ธมฺมา อนจิ จฺ าถ ตาวกาลกิ ตาทิโต ๚
๕. สพฺเพ สงขฺ ารา อนิจจฺ าติ ยทา ปญฺาย ปสฺสติ
224 อถ นพิ ฺพนิ ฺทติ ทกุ ฺเข เอส มคโฺ ค วิสุทธฺ ยิ า ๚
๖. ปนุ ปปฺ ุนํ ปฬี ิตตฺตา อุปฺปาเทน วเยน จ
เต ทุกฺขาว อนจิ จฺ า เย อถ สนฺตตฺตตาทิ โต ๚
๗. สพเฺ พ สงขฺ ารา ทุกขฺ าติ ยทา ปญฺาย ปสสฺ ติ
อถ นิพพฺ นิ ฺทติ ทกุ ฺเข เอส มคโฺ ค วิสุทธฺ ยิ า ๚
๘. วเส อวตตฺ นาเยว อตตฺ วปิ กฺขภาวโต
สุญฺ ตฺตสสฺ ามกิ ตตฺ า จ เต อนตฺตาติ ายเร ๚
๙. สพฺเพ ธมฺมา อนตตฺ าติ ยทา ปญฺาย ปสฺสติ
อถ นิพพฺ ินทฺ ติ ทุกเฺ ข เอส มคฺโค วสิ ุทธฺ ยิ า ๚
๑๐. วสิ ุทธฺ สิ พพฺ เกลฺ เสหิ โหติ ทกุ เฺ ขหิ นิพฺพุติ
เจตโส โหติ สา สนฺติ นพิ พฺ านมีติ วจุ ฺจติ ๚
๑๑. เย จ โข สมฺมทกุ ขฺ าเต ธมเฺ ม ธมมฺ านุวตตฺ โิ น
เต ชนา ปารเมสสฺ นฺติ มจจฺ ุเธยยฺ ํ สทุ ุตตฺ รํ ๚
๑๒. อปปฺ มาโท อมตํ ปทํ ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
อปปฺ มตฺตา น มียนฺติ เย ปมตตฺ า ยถา มตา ๚
๑๓. ปมาทํ อปปฺ มาเทน ยทา นุทติ ปณฑฺ ิโต
ปญฺา ปาสาทมารุยฺห อโสโก โสกินึ ปชํ
ปพพฺ ตฏฺโ ว ภุมมฺ ฏฺเ ธีโร พาเล อเวกขฺ ติ ๚
๑๔. อปฺปมตโฺ ต อุโภ อตฺเถ อธคิ ณหฺ าติ ปณฑฺ โิ ต
ทิฏฺเ ธมเฺ ม จ โย อตฺโถ โย จตฺโถ สมฺปรายิโก
อตถฺ าภิสมยา ธโี ร ปณฺฑิโตติ ปวุจจฺ ติ ๚
๑๕. เอตตฺ กานมฺปิ ปาานํ อตฺถํ อญฺ าย สาธกุ ํ
ปฏิปชเฺ ชถ เมธาวี อโมฆํ ชีวติ ํ ยถาติ ๚
225
ค�ำ แปลศราทธพรตธรรมบรรยาย
ขอนมัสการสมเด็จพระผ้มู พี ระภาค พระอรหันตสมั มาสัมพทุ ธเจา้ พระองค์นนั้ ๚
๑. พระวาจาทีส่ ดุ นี้ สมเดจ็ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ ้ัน ผรู้ ู้ ผ้เู ห็น เปน็ พระอรหนั ต์
ตรสั รชู้ อบเองแลว้ ตรสั ไวว้ า่ ภกิ ษทุ งั้ หลาย บดั นเ้ี ราเตอื นทา่ นทง้ั หลาย สงั ขารมคี วามเสอ่ื ม
ส้ินเป็นธรรมดา ท่านท้ังหลาย จงยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้บริบูรณ์ด้วยความ
ไมป่ ระมาทเถิด ๚
๒. ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้าตรัสเหตุเกิดแลเหตุดับของธรรม
เหล่านัน้ พระมหาสมณะ มีปกติตรัสเช่นน้ี ๚
๓. ปญั จขนั ธ์ คอื รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณเกดิ ขน้ึ เพราะเหตมุ อี วชิ ชา เปน็ ตน้ ๚
๔. ธรรมเหล่านี้ ย่อมเกดิ ย่อมดับ เพราะเป็นอยา่ งนั้นแล้วก็หาไม่ อนงึ่ ช่อื ว่าเปน็ สภาพ
ไม่เทย่ี ง เพราะเหตุมคี วามเป็นไปชวั่ คราวเปน็ อาทิ ๚
226 ๕. ในกาลใด ปราชญ์ย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายล้วนไม่เท่ียง ในกาลนั้น
ยอ่ มเบือ่ หน่ายในทกุ ข์ นนั่ เปน็ ทางแหง่ ความบรสิ ทุ ธิ์ ๚
๖. สภาพอนั ไมเ่ ทย่ี ง ชื่อวา่ เปน็ ทกุ ข์แท้ เพราะอนั ความเกดิ แลความสิ้นบีบค้นั แล้วเนือง ๆ
แลเพราะอาการมีความเปน็ สภาพเร่ารอ้ นเปน็ อาทิ ๚
๗. ในการใด ปราชญ์ย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายล้วนเป็นทุกข์ ในกาลน้ัน
ย่อมเบอ่ื หนา่ ยในทุกข์ นน่ั เป็นทางแหง่ ความบริสุทธิ์ ๚
๘. สภาพนน้ั ยอ่ มรกู้ ันอยูว่ า่ เปน็ อนัตตา เพราะอนั ไมเ่ ป็นไปในอ�ำ นาจ เพราะเปน็ ปฏปิ ักษ์
แกอ่ ตั ตา เพราะเป็นสภาพสูญเปล่า แลเพราะเปน็ สภาพหาเจา้ ของมิได้ ๚
๙. ในกาลใด ปราชญ์ย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งหลายล้วนเป็นอนัตตา ในกาลนั้น
ยอ่ มเบอ่ื หน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแหง่ ความบรสิ ุทธ์ิ ๚
๑๐. ความบริสุทธ์ิจากสรรพกิเลส เป็นความดับจากทุกข์ ความดับจากทุกข์นั้น เป็นความ
สงบแห่งจิต ทา่ นกลา่ วว่าพระนพิ พาน ๚
๑๑. ชนเหล่าใด ประพฤตสิ มควรแก่ธรรม ในธรรมอันท่านกลา่ วดีแลว้ ชนเหลา่ นนั้ จักข้าม
เสยี ไดซ้ ง่ึ กระแสแหง่ มฤตยู อันข้ามได้ดว้ ยยากนกั แล้วถึงฝ่ัง ๚
๑๒. ความไมป่ ระมาทเปน็ ทางไมต่ าย ความประมาทเปน็ ทางแหง่ ความตาย ชนทง้ั หลายผไู้ ม่
ประมาทแลว้ ชอ่ื วา่ ยอ่ มไมต่ าย ชนทง้ั หลายผปู้ ระมาทแลว้ ยอ่ มเปน็ เหมอื นชนตายแลว้ ๚
๑๓. ในกาลใด บัณฑิตย่อมบรรเทาความประมาทเสียได้ด้วยความไม่ประมาท ในกาลน้ัน
ขึ้นสู่ปราสาทคือปัญญา หาโศกเศร้ามิได้ ย่อมพิจารณาเห็นประชาชนผู้โศกเศร้าอยู่
ชนผู้มีปัญญา ย่อมเล็งเห็นเหล่าชนเขลาเหมือนชนผู้ยืนบนยอดเขาแลเห็นเหล่าชนผู้ยืน
ท่พี นื้ ถนัด ฉะนั้น ๚
๑๔. ชนผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยึดได้ซึ่งประโยชน์ท้ังสองประการ ท้ังประโยชน์ในภพนี้ ท้ัง
ประโยชนใ์ นภพหนา้ เพราะมาได้ซงึ่ ประโยชน์ เขาจึงกลา่ วผู้มีปัญญาวา่ บณั ฑติ ๚
๑๕. ปราชญ์รถู้ ึงเนอ้ื ความแหง่ ปาฐะเหลา่ นด้ี ีแลว้ พึงปฏบิ ัตโิ ดยทางน้ี ชวี ิตจกั ไมเ่ ปล่า ๚
227
วันจนั ทร์ท่ี ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๕
เวลาเชา้ เจา้ พนกั งานถวายภตั ตาหารพระสงฆ์ที่ประจำ�ซ่าง ๓๒ รปู แล้วเจา้ พนกั งาน
ภูษามาลาดับพระเพลิง ประมวลพระอัฐิ ถวายคลุมไว้ ต้ังเคร่ืองพระสุคนธ์ ขันสรง และ
พระโกศทองลงยาสำ�หรับทรงพระอฐั ิ
เวลา ๗.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำ�เนินด้วย
กระบวนรถยนตพ์ ระทีน่ ั่งจากพระราชวังพญาไท ประทับรถยนตพ์ ระที่นง่ั ทถี่ นนหนา้ พระธาตุ
เสด็จพระราชดำ�เนินจากรถขึ้นพระท่ีนั่งทรงธรรมและขึ้นพระเมรุทางบันไดด้านตะวันตก
เจ้าพนักงานเปิดคลุม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานน้ำ�พระสุคนธ์
สรงพระอัฐิ แล้วเจา้ พนักงานแจงและแปรพระรปู ถวายคลมุ ไว้
228
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยหู่ วั
เสด็จพระราชดำ�เนนิ ขน้ึ พระเมรดุ ้านทิศตะวนั ตก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอย่หู วั สรงพระอัฐดิ ว้ ยนำ้�พระสคุ นธ์ 229
เจา้ พนักงานถวายคลมุ พระอัฐิ แลว้ ทรงจุดเคร่ืองทองนอ้ ย
และทรงทอดผา้ ไตรถวายพระ ภายในพระเมรุ
พระสงฆ์ขนึ้ สดบั ปกรณพ์ ระอฐั ิ
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ประทบั พระราชอาสนม์ ขุ ใตแ้ หง่ พระเมรุ
โปรดใหข้ า้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาทซงึ่ เปน็ ราชสกลุ แลราชนิ กิ ลู เดนิ สามหาบ ๒ ส�ำ รบั รวม ๖ หาบ
บาญชสี ามหาบหลวงประกอบไปดว้ ย ส�ำ รบั ท่ี ๑ พระยามหานามราช (หมอ่ มราชวงศจ์ �ำ นง นพวงศ)์
ถือไตร และหลวงสมุทโคจร (หม่อมราชวงศ์เล็ก สุประดิษฐ) หาบสาแหรก สำ�รับที่ ๒
พระยาชาตเิ ดชอุดม (หมอ่ มราชวงศ์โป๊ะ มาลากลุ ) ถอื ไตร และนายขัน (หม่อมราชวงศ์มาณพ
เกษมสันต์) หาบสาแหรก สำ�รบั ท่ี ๓ พระยานวิ ัทธอิศรวงศ์ (หมอ่ มราชวงศ์กมล นวรตั น)
ถอื ไตร และนายจา่ ยง (เตม็ บนุ นาค) หาบสาแหรก ทงั้ ยงั มสี �ำ รบั สามหาบของเจา้ ภาพ ประกอบ
ดว้ ยพระญาตขิ องสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส เม่อื เวยี นพระเมรุโดย
อตุ ราวฏั ๓ รอบ แลว้ เสดจ็ ประทบั ในพระเมรุ ทรงทอดไตรแพรสามหาบ พระราชาคณะ ๖ รปู
ข้ึนสู่พระเมรุทางบันไดด้านตะวันออก สดับปกรณ์แล้ว ทรงเก็บพระอัฐิสรงด้วยนำ้�พระสุคนธ์
ประมวลลงพระโกศทองลงยาและพระเจดีย์โมรา แล้วเจ้าพนักงานเชิญพระโกศทองลงยา
จากพระเมรุขึ้นประดิษฐานเหนือพานทองสองชั้น เชิญจากพระเมรุทางบันไดด้านตะวันตก
ขนึ้ พระทนี่ งั่ ทรงธรรมประดษิ ฐานในบษุ บก ณ พระทน่ี งั่ ทรงธรรม สว่ นพระองั คารนน้ั ประมวล
230 ลงผอบ ประดษิ ฐานเหนอื พานทองพกั ไวใ้ นพระเมรกุ ับพระเจดียโ์ มรา
231
ขา้ ทูลละอองธลุ ีพระบาทซ่ึงเปน็ ราชสกุลแลราชนิ ิกลู เดนิ สามหาบ
232
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อย่หู ัวประทับทอดพระเนตร
เดนิ เวียนสามหาบ
ณ พลบั พลายก ดา้ นทิศใต้ของพระเมรุ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำ�เนินจากพระเมรุทางบันได
มขุ ตะวนั ตก ข้ึนประทับยังพระทีน่ ัง่ ทรงธรรม ทรงบำ�เพญ็ พระราชกศุ ลตามราชประเพณี ทรง
ประเคนภัตตาหารเคร่ืองสามหาบ พระสงฆ์ ๖ รูปรับพระราชทานฉันแล้วถวายอนุโมทนา
ถวายอดิเรกกลับจากท่ีน้ัน แล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ เสร็จแล้วโปรดเกล้าฯ
ใหเ้ ชิญพระโกศพระอฐั ิจากพระที่นง่ั ทรงธรรมขึ้นรถมา้ เทียม ๔ คนั หน่ึง เชิญพระเจดยี ์โมรา
233
เจ้าพนกั งานเชญิ พระโกศทองลงยาจากพระเมรุทางบนั ไดด้านตะวันตก
ขน้ึ ประดิษฐานในบษุ บก ณ พระท่ีน่ังทรงธรรม
บรรจพุ ระอฐั กิ บั ผอบพระองั คารขน้ึ รถมา้ คอู่ กี คนั หนง่ึ ตงั้ เปน็ กระบวนรถมา้ ออกประตรู าชวตั ร
พระเมรดุ า้ นเหนอื เลย้ี วถนนพระจนั ทร์ ถนนราชด�ำ เนนิ ใน ถนนราชด�ำ เนนิ กลาง เลย้ี วถนนตะนาว
ถนนบวรนิเวศน์ ถนนพระสุเมรุ หยุดรถหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร เชิญพระโกศพระอัฐิแล
พระเจดยี ์โมราลงจากรถ ขึ้นประดิษฐานบนพระแทน่ ฉตั ร ๕ ชั้นในต�ำ หนักเพ็ชร
234
พระโกศทองลงยาทรงพระอัฐิ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
235
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว
เสดจ็ พระราชด�ำ เนินลงจากพระเมรุทางบนั ไดมขุ ตะวนั ตก
ขนึ้ ประทับยงั พระท่ีนั่งทรงธรรม
236
เจ้าพนกั งานเชิญพระโกศพระอัฐิพระท่ีน่งั ทรงธรรมขนึ้ รถม้าเทยี ม
จากพระเมรมุ ายงั ตำ�หนักเพ็ชร วดั บวรนเิ วศวิหาร
237
กระบวนรถม้าเชิญพระโกศทองลงยา พระเจดีย์โมรา และผอบพระอังคาร
จากพระเมรุมาประดษิ ฐาน ณ ต�ำ หนักเพ็ชร วดั บวรนิเวศวหิ าร
238
พระโกศทองลงยา พระเจดยี ์โมรา และผอบพระอังคาร
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
ประดษิ ฐานบนม้าหมู่ ภายใตเ้ ศวตฉตั ร ๕ ชนั้
ณ ต�ำ หนักเพช็ ร วัดบวรนิเวศวหิ าร
เวลา ๑๗.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำ�เนินด้วย
กระบวนรถยนต์พระท่ีน่ังแต่พระราชวังพญาไท เสด็จข้ึนยังตำ�หนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร
ทรงกระท�ำ สกั การะพระอฐั แิ ลว้ ทรงจดุ เทยี นเครอ่ื งนมสั การ พระสงฆ์ ๑๐ รปู สวดพระพทุ ธมนต์
จบแลว้ พระพนิ ติ พนิ ยั (ชน้ั กมาธิโก)๖๔ วัดมกุฏกษตั ริยาราม ถวายพระธรรมเทศนากณั ฑ์ ๑
จบแลว้ ทรงประเคนไทยธรรมบชู ากณั ฑแ์ ลทรงทอดผา้ ไตร พระสงฆส์ วดมนตส์ ดบั ปกรณ์ ถวาย
อนโุ มทนา ถวายอดเิ รก เสร็จแล้วเสด็จฯ กลับ
239
พระพนิ ิตพินยั (ช้ัน กมาธโิ ก) วัดมกฏุ กษัตรยิ าราม
ภายหลงั ดำ�รงสมณศักดท์ิ ่ี พระราชวฒุ าจารย์
๖๔ ภายหลังดำ�รงสมณศกั ดท์ิ ่ี พระราชวฒุ าจารย์
240
วนั อังคารท่ี ๑๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๕
เวลา ๑๑.๐๐ น. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าพนักงาน
เล้ยี งอาหารบิณฑบาตแก่พระสงฆ์ทีส่ วดพระพทุ ธมนต์วานน้ี ๑๐ รปู แลว้ พระเมธาธรรมรส
ถวายพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
241
พระเมธาธรรมรส (เสาร์ โสรโิ ย)
อดีตเจ้าอาวาสวัดพชิ ยญาติการาม
คร้นั เวลา ๑๗.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระมงกฏุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสด็จพระราชดำ�เนนิ
ด้วยรถยนต์พระท่ีน่ังแต่พระราชวังพญาไท เสด็จข้ึนประทับตำ�หนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร
ทรงกระท�ำ สกั การะพระอฐั สิ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ แลว้ ทรงทอดผา้ ไตร พระสงฆส์ ดบั ปกรณ์
แล้วถวายอนโุ มทนา ถวายอดเิ รก แล้วโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ชิญผอบพระอังคารข้ึนเสลย่ี งไปหลงั
วหิ ารพระศาสดา
เวลา ๑๗.๓๐ น. ทรงบรรจพุ ระองั คารเข้าในฐานพระพทุ ธไสยา มปี ระโคมกลองชนะ
สังขแ์ ตร แลว้ ทรงเคร่อื งสักการะ เสรจ็ แล้วเสด็จฯ กลบั
242
เจ้าพนกั งานเชิญผอบพระองั คารข้นึ เสล่ยี ง
ไปยงั วหิ ารพระศาสดา