143
พระพุทธชนิ สีหป์ ระดบั พระรัศมลี งยาราชาวดี
ในการพระราชพิธีถวายผา้ พระกฐิน
144
145
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
การบำ�เพ็ญพระราชกศุ ลสตมาห 147
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงาน
ต้ังการบำ�เพ็ญพระราชกุศลสตมาห ครบ ๑๐๐ วัน ณ ตำ�หนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร
เปน็ สว่ นการหลวง มกี �ำ หนดตอ่ ไปน้ี
วนั ท่ี ๒๑ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๖๔ เจา้ พนกั งานไดเ้ ตรยี มการทต่ี �ำ หนกั เพช็ รและการ
กงเตก็ ทศ่ี าลาแดงฝง่ั ตะวนั ออก วดั บวรนเิ วศวหิ ารไวพ้ รอ้ มสรรพ
เวลา ๑๗.๓๐ น. พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเครอ่ื งภษู าขาว พรอ้ ม
ดว้ ยพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ลกั ษมลี าวณั เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ โดยรถยนตพ์ ระทน่ี ง่ั จาก
พระราชวงั พญาไทมายงั วดั บวรนเิ วศวหิ าร เสดจ็ ขน้ึ ประทบั ณ ต�ำ หนกั เพช็ ร ทรงวางพวงมาลา
และทรงจดุ เทยี นเครอ่ื งทองนอ้ ยสกั การะพระศพ แลว้ ทรงจดุ เทยี นเครอ่ื งนมสั การ พระราชาคณะ
๑๐ รปู มพี ระพรหมมนุ ี (แพ ตสิ สฺ เทโว)๔๓ เจา้ อาวาสวดั สทุ ศั นเทพวราราม เปน็ ประธาน สวด
พระพทุ ธมนตจ์ บ ทรงทอดผา้ ไตร พระสงฆท์ ส่ี วดพระพทุ ธมนตส์ ดบั ปกรณแ์ ลว้ พระพรหมมนุ ี
ถวายอดเิ รกเสรจ็ ทรงจดุ เทยี นเครอ่ื งนมสั การทรงธรรม พระสาสนโสภณ (เจรญิ าณวโร)๔๔
เจา้ อาวาสวดั เทพศริ นิ ทราวาส ถวายศลี แสดงพระธรรมเทศนากณั ฑห์ นง่ึ จบแลว้ พระราชาคณะ
๒๐ รปู ทง้ั พระทส่ี วดพระพทุ ธมนต์ มสี มเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (หมอ่ มราชวงศเ์ จรญิ าณฉนโฺ ท)
เปน็ ประธานสวดศราทธพรตธรรมบรรยายจบ ทรงทอดไตรเทศนแ์ ลไตรพระสวดสดบั ปกรณแ์ ลว้
ทรงประเคนย่ามบรรจุหมากพลูธูปเทียนและใบวัตถุปัจจัยเคร่ืองไทยธรรมกัณฑ์เทศน์แล้ว
พระสงฆถ์ วายอนโุ มทนา สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารยถ์ วายอตเิ รกเสรจ็
๔๓ ภายหลงั ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเปน็ สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก
๔๔ ภายหลงั ดำ�รงสมณศักดิ์ที่ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์
148
พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าลกั ษมลี าวัณ
ภายหลงั โปรดเกลา้ ฯ สถาปนาขึ้นเป็น
พระนางเธอ ลกั ษมีลาวณั
เวลา ๑๘.๔๐ น. พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยหู่ วั เสดจ็ พระราชดำ�เนนิ กลบั
ข้าราชการฝ่ายจีน มีพระยาโชฎึกราชเศรษฐีเป็นต้น ได้เชิญเครื่องสังเวยข้ึนไปตั้ง บรรพชิต
ฝา่ ยอนมั นกิ ายและจีนนิกายได้ตามวธิ ีกงเตก๊ ตงั้ เคร่ืองสังเวยเสร็จแลว้ กลับไปสวดกงเตก๊ ต่อ ณ
ศาลาแดง
วนั ท่ี ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระบรมวงศานวุ งศ์แลเจ้าพนักงานเลยี้ งอาหารบณิ ฑบาตแก่พระทส่ี วดพระพุทธมนตว์ านนี้
๑๐ รูป
พระพรหมมนุ ี (แพ ตสิ สฺ เทโว) 149
เจา้ อาวาสวดั สทุ ศั นเทพวราราม พระสาสนโสภณ (เจรญิ าณวโร)
ภายหลงั ทรงไดร้ บั การสถาปนาขน้ึ เปน็
สมเดจ็ พระอรยิ วงศาคตญาณ เจา้ อาวาสวดั เทพศริ นิ ทราวาส
สมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ภายหลงั ด�ำ รงสมณศกั ดท์ิ ่ี
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์
เวลา ๑๑.๓๐ น. พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำ�เนิน
โดยรถยนต์พระท่ีน่ังจากพระราชวังพญาไท
มายังวัดบวรนิเวศวิหาร เสด็จข้ึนประทับ ณ
ตำ�หนักเพ็ชร ทรงจุดเทียนเคร่ืองทองน้อย
สกั การะพระศพ และทรงเทยี นเครอ่ื งนมสั การ
พระ แลว้ ทรงประเคนใบวตั ถปุ จั จยั ไทยธรรมแก่
พระสงฆ์ ๑๐ รูป ท่สี วดพระพุทธมนต์วานน้ี
พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา พระพรหมมุนีถวาย
อตเิ รกเสรจ็ ทรงจดุ เทยี นเครอ่ื งนมสั การทรงธรรม
พระธรรมไตรโลกาจารย์(เฮง เขมจารี)๔๕
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิ แสดงพระธรรม
เทศนาถวายจบแลว้ ทรงทอดไตรเทศนแ์ ลจวี ร
150 แกพ่ ระเปรยี ญ ๔ รปู ทร่ี บั สพั พสี ดบั ปกรณแ์ ลว้
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เฮง เขมจารี) ทรงประเคนยา่ มบรรจหุ มากพลธู ปู เทยี นใบวตั ถุ
ภายหลงั ด�ำ รงสมณศกั ดิ์ท่ี ปจั จยั เครอ่ื งไทยธรรมกณั ฑเ์ ทศน์ พระธรรมไตร
สมเดจ็ พระวนั รัต โลกาจารยถ์ วายอตเิ รกเสรจ็ ขา้ ราชการฝา่ ยจนี
เชิญเคร่อื งสังเวยข้นึ ไปต้งั บรรพชิตอนัมนิกาย
และจนี นกิ ายสวดตามวธิ กี งเตก๊ ตง้ั เครอ่ื งสงั เวยเสรจ็ แลว้ มานง่ั ยงั อาสน์ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ
สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงนครราชสมี า ทรงทอดผา้ เครอ่ื งบรโิ ภคนงุ่ หม่ อยา่ ง
บรรพชติ อนมั นกิ ายและจนี นกิ าย บรรพชติ ทง้ั สองนกิ ายนน้ั สวดกงเตก๊ สดบั ปกรณแ์ ลว้
เวลา ๑๒.๔๐ น. พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชดำ�เนนิ กลับ
บรรพชติ อนมั นกิ ายและจนี นกิ ายไดไ้ ปสวดทง้ิ กระจาด และเผาเครอ่ื งกระดาษแลว้ เปน็ เสรจ็ การ
๔๕ ภายหลังด�ำ รงสมณศกั ดิท์ ่ี สมเด็จพระวนั รตั
ในการน้ี พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงพรหมวรานรุ กั ษ์ โปรดใหพ้ มิ พห์ นงั สอื “ธรรมวภิ าค
ตอ่ ปรจิ เฉทท่ี ๒ หมวด อตเิ รกทสกะ” ซง่ึ เปน็ พระนพิ นธใ์ นสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ พระองคน์ น้ั
เพอ่ื เปน็ หนงั สอื ทร่ี ะลกึ ในการบ�ำ เพญ็ พระราชกศุ ลสตมาหนด้ี ว้ ย
151
ธรรมวิภาค ตอ่ ปรจิ เฉทที่ ๒ หมวด อติเรกทสกะ
หนงั สอื ทร่ี ะลึกในการบำ�เพญ็ พระราชกศุ ลสตมาห
152
พระเจา้ วรวงศ์เธอ กรมหมืน่ ชินวรสิรวิ ฒั น์ สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้
ภายหลงั ทรงไดร้ บั สถาปนาขึ้นเปน็
พระเจา้ วรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิรวิ ัฒน์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจ้า
ภายหลงั จากทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ กลบั แลว้ นน้ั
ในภาคบา่ ย พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ๔๖ โปรดใหท้ าง
คณะสงฆร์ ว่ มกนั บ�ำ เพญ็ กศุ ลอทุ ศิ ถวายสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ พระองคน์ น้ั ตอ่ มา ดงั ปรากฏ
ความในรายงานการบ�ำ เพญ็ กศุ ลถวายพระศพสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมหลวงวชริ ญาณวโรรส
ของคณะสงฆ์ ทว่ี า่
๔๖ ภายหลังทรงไดร้ บั สถาปนาข้นึ เปน็ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสริ ิวฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจ้า
รายงานการบ�ำ เพญ็ กศุ ลถวายพระศพ 153
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
ของคณะสงฆ์
ดว้ ยพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ ทรงพระด�ำ รวิ า่
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ซง่ึ ทรงเปน็ พระมหาสงั ฆปรณิ ายก ปกครอง
พระสงฆท์ ว่ั ทง้ั พระราชอาณาจกั ร ไดท้ รงมพี ระอปุ การะแกค่ ณะสงฆเ์ ปน็ อนั มาก ในการทไ่ี ดท้ รง
จดั การพระศาสนาใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งขน้ึ เปน็ อยา่ งดี ทง้ั ในสว่ นปรยิ ตั ิ ทง้ั ในสว่ นปฏบิ ตั ิ ทง้ั ในสว่ น
การปกครองคณะสงฆ์ เมอ่ื พระองคม์ าเสดจ็ สน้ิ พระชนมไ์ ปเสยี แลว้ เชน่ น้ี เปน็ เหตใุ หค้ ณะสงฆ์
รสู้ กึ วา้ เหวใ่ จ ยอ่ มระลกึ ถงึ พระอปุ การคณุ ของพระองคอ์ ยมู่ วิ ายทว่ั หนา้ กนั จงึ ทรงพระด�ำ รเิ หน็
สมควรทค่ี ณะสงฆจ์ ะรวมก�ำ ลงั กนั ท�ำ การกศุ ลฉลองพระเดชพระคณุ ในทางใดทางหนง่ึ ซง่ึ จะ
เปน็ ทร่ี ะลกึ อยชู่ ว่ั กาลนาน ทรงเหน็ วา่ ถา้ ไดส้ รา้ งถาวรวตั ถขุ น้ึ ในวดั บวรนเิ วศวหิ าร ถวายเฉลมิ
พระนามของพระองค์ คงจะเปน็ อนสุ าวรยี ท์ ป่ี ระดบั พระเกยี รตยิ ศอยชู่ ว่ั กาลนาน จงึ ไดโ้ ปรดให้
แจง้ พระด�ำ รขิ อ้ นแ้ี กค่ ณะสงฆท์ ว่ั ไป ทง้ั ฝา่ ยมหานกิ าย ทง้ั ฝา่ ยธรรมยตุ กิ นกิ าย ทง้ั ฝา่ ยรามญั
นกิ าย ทง้ั ในกรงุ ทง้ั ในหวั เมอื งใหท้ ราบทว่ั กนั พระสงฆใ์ นจงั หวดั ตา่ ง ๆ เมอ่ื ไดท้ ราบพระด�ำ ริ
ข้อน้ีแล้วต่างปีติยินดีอนุโมทนาในพระดำ�ริท่ัวหน้ากัน ต่างได้บริจาคปัจจัยส่งมาร่วมภายใน
“มนษุ ยนาคนธิ ”ิ มากบา้ งนอ้ ยบา้ ง ตามก�ำ ลงั และฐานะของตน ๆ ดงั มรี ายชอ่ื แจง้ ในบญั ชที จ่ี ะ
ไดน้ �ำ ลงประกาศ ในหนงั สอื แถลงการณค์ ณะสงฆเ์ ปน็ คราว ๆ ไป สว่ นการทไ่ี ดด้ �ำ รไิ วเ้ ดมิ วา่
คณะสงฆ์จะรวมกันมาบำ�เพ็ญกุศลถวายตามธรรมเนียมท่ีทำ�กัน คือ มีการสวดมนต์เทศนา
และเลย้ี งพระนน้ั ทรงเหน็ เปน็ การไมส่ ะดวก เรอ่ื งการขบฉนั ของพระสงฆผ์ เู้ ปน็ เจา้ ภาพ ซง่ึ มี
จ�ำ นวนนบั ดว้ ยรอ้ ยรปู ขน้ึ ไป จงึ โปรดใหง้ ดเสยี ทรงก�ำ หนดการทค่ี ณะสงฆจ์ ะพงึ ท�ำ โดยวธิ อี น่ื
ดงั มแี จง้ ในรายการดงั ตอ่ ไปน้ี
วนั ท่ี ๒๒ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๖๔ เวลา ๑๖.๐๐ น. พระสงฆธ์ รรมยตุ กิ นกิ าย ประชมุ
พรอ้ มกนั ในพระอโุ บสถวดั บวรนเิ วศวหิ าร พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็
พระสงั ฆราชเจา้ ทรงเปน็ ประธาน ทรงน�ำ พระสงฆน์ มสั การพระแลว้ สวดมนตส์ งั เขป จบแลว้
ทรงน�ำ พระสงฆไ์ ปประชมุ พรอ้ มกนั ทห่ี นา้ พระศพ ณ ต�ำ หนกั เพช็ ร ท�ำ สกั การะพระศพแลว้ โปรด
ใหพ้ ระสาสนโสภณ (เจรญิ าณวโร) อา่ นค�ำ อทุ ศิ สว่ นกศุ ล ถวายในนามของพระสงฆธ์ รรมยตุ กิ
นกิ าย ทง้ั ในภาษาบาลี ทง้ั ในภาษาไทย จบแลว้ พรอ้ มกนั ถวายบงั คมพระศพ เปน็ เสรจ็ การ
154
พระอโุ บสถวัดบวรนเิ วศวิหาร
ค�ำ แสดงคณุ านุสรณ์และถวายพระปตั ตทิ าน 155
ในสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
ของคณะสงฆธ์ รรมยุตกิ นกิ าย
วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๔
ณ ต�ำ หนกั เพ็ชร วดั บวรนิเวศวิหาร
ในโอกาสน้ี เป็นท่ีเตือนจิตแห่งเราท้ังหลาย ฝ่ายคณะธรรมยุติกา ให้หวนคิดถึง
พระมหากรณุ าธคิ ณุ แหง่ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ซง่ึ ไมม่ พี ระองค์
ปรากฏแลว้ ยงั เหลอื อยแู่ ตพ่ ระเดชพระคณุ ทฝ่ี งั อยใู่ นใจของเราทง้ั หลายแทนพระองค์ โดยท่ี
ไดท้ รงพระอตุ สาหะวริ ยิ ภาพอนั ยง่ิ ใหญ่ ในขอ้ ทท่ี รงจดั กจิ การเพอ่ื บรหิ าร ปอ้ งกนั ท�ำ นบุ �ำ รงุ
พระพทุ ธศาสนา ใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งทนั สมยั อปุ ตั ตเิ หตใุ ด ๆ ซง่ึ จะน�ำ ใหเ้ กดิ อนตั ถะไมเ่ ปน็ ผล
อนั ดี ทย่ี งั ไมเ่ กดิ มกี ท็ รงจดั การระวงั เมอ่ื พลาดพลงั้ เกดิ ขน้ึ มาแลว้ กท็ รงขมกั เขมน้ เพอ่ื จกั ทรง
ระงับให้รอบคอบ ข้อเสียหายท่หี ยาบและละเอียดอันมีอยู่ ก็ต้งั พระหฤทัยตรวจตรา เพ่อื จะ
เลกิ ถอนผอ่ นปรนใหห้ มดสน้ิ ไป การใด ๆ เปน็ ทางแหง่ ความเจรญิ แมจ้ ะส�ำ เรจ็ ยากเทา่ ยาก
สกั ปานไร กไ็ มท่ รงทอดพระอาลยั ทง้ิ พระธรุ ะ เมอ่ื เปน็ กาละกท็ รงจดั ขน้ึ สว่ นทไ่ี ดท้ รงจดั ไวแ้ ลว้ กม็ ี
พระประสงคจ์ ะรกั ษาใหย้ นื ยงคงท่ี ทรงสอดสอ่ งตรวจตราพระกรณยี ะอยเู่ ปน็ นติ ย์ แกบ่ รษิ ทั ทง้ั ผอง
ท�ำ นองแมไ่ กร่ กั ลกู คอยระวงั มใิ หก้ กุ กฏุ โปดกตกไปสอู่ �ำ นาจแหง่ อนั ตราย คอยปอ้ งกนั มใิ หเ้ หยย่ี วกา
เปน็ ตน้ มากล�ำ้ กรายบฑี าได้ ฉะนน้ั
การปรยิ ตั ซิ ง่ึ เปน็ มลู รากส�ำ คญั ของพระพทุ ธศาสนา ไดท้ รงแกไ้ ขเปลย่ี นแปลงวธิ รี ะเบยี บ
การศกึ ษาและการสอบไลใ่ หง้ า่ ยแลสะดวก รวดเรว็ ไมเ่ สยี เวลา ทรงแตง่ ต�ำ ราทง้ั ธรรมทง้ั วนิ ยั
แลทรงตง้ั หลกั สตู รบรรจวุ ชิ าใหเ้ จรญิ มากขน้ึ สมสว่ นแหง่ ชน้ั นน้ั ๆ ทง้ั ความรทู้ เ่ี ปน็ หลกั แลความรู้
เบด็ เตลด็ รวมเขา้ ดว้ ยกนั ไดท้ รงจดั สรรขยายการเรยี น ธรรมวนิ ยั ซง่ึ เปน็ บรุ พภาคปฏบิ ตั ิ ใหแ้ ผ่
ไพศาลออกไป ในจงั หวดั หวั เมอื ง ซง่ึ ยงั ไมเ่ คยมมี าแตเ่ กา่ กอ่ น ใหเ้ จรญิ แพรห่ ลายไดร้ วดเรว็
ทว่ั พระราชอาณาเขตสกวสิ ยั ตง้ั ขน้ึ ในทใ่ี ด กเ็ หน็ ผลในทน่ี น้ั บ�ำ บดั กเิ ลสทห่ี ยาบ ปราบปราม
อธั ยาศยั ทเ่ี ลวทรามใหส้ งบระงบั ไป เปน็ ประโยชนอ์ นั ยง่ิ ใหญแ่ มแ้ กพ่ ระราชอาณาจกั ร โดยเปน็
ความสงบทง้ั ภายนอกแลภายใน ทง้ั คฤหสั ถแ์ ลบรรพชติ มจี ติ ศรทั ธาเลอ่ื มใสในพระธรรมวนิ ยั
ทเ่ี สอ่ื มทรามในหวั เมอื ง กใ็ หร้ งุ่ เรอื งแจม่ ใสไพโรจนช์ ชั วาล ดจุ การท�ำ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั
อนง่ึ ทรงแนะน�ำ เพาะปลกู อธั ยาศยั คฤหสั ถแลบรรพชติ ใหม้ จี ติ นยิ มปสนั นาการ ในเรอ่ื ง
บรหิ ารปฏสิ งั ขรณถ์ าวรวตั ถุ ในสงั ฆกิ าวาสทช่ี �ำ รดุ ทรดุ โทรมเสอ่ื มทราม ใหร้ งุ่ เรอื งแจม่ ใสงดงาม
เรยี บรอ้ ยขน้ึ ทง้ั ในกรงุ แลหวั เมอื งทว่ั ไป
อกี อยา่ งหนง่ึ ทรงบ�ำ เพญ็ ความสามคั คใี หม้ ใี นพระสงฆต์ า่ งนกิ ายใหส้ นทิ สนมกลมเกลยี ว
ย่ิงข้ึน ตลอดจนถึงนิสัยใจคอไม่เหินห่างหมางเมินเหมือนแต่แรก คงเหลือแยกกันแต่โดยลัทธิ
ช่วยดำ�ริตริตรองทำ�กิจพระศาสนาให้สำ�เร็จลุล่วงมาอย่างน่าดูน่าชม ทรงอบรมให้ได้รับการ
ศึกษา มีวทิ ยาสามารถทกุ นกิ ายทั่วไป เป็นกำ�ลงั ใหญไ่ ดช้ ว่ ยในการทรงประกอบศาสนกิจ ทรง
สง่ พระสงฆไ์ ปในทศิ านทุ ศิ ใหส้ �ำ เรจ็ ประโยชนกจิ หติ สขุ นานปั การ โปรดประทานพระอนศุ าสนี
ประคองพระพทุ ธจกั รแลพระราชอาณาจกั รใหส้ ามคั คสี นทิ สนมกลมเกลยี วไมแ่ ตกรา้ วเปน็ ขา้ ศกึ
ศตั รูกนั อันเป็นคณุ ส�ำ คัญย่งิ
156
คราวเสด็จตรวจการคณะสงฆ์ มณฑลปักษใ์ ต้
อน่ึง ได้เสด็จทรงตรวจตราการคณะ โปรดประทานพระธรรมเทศนาแก่บรรพชิตแล 157
คฤหสั ถ์ ทั้งในกรงุ และจังหวดั หวั เมอื งโดยมาก ทรงพระอตุ สาหะทนลำ�บากตรากตรำ� เสดจ็
ชนบทจารกิ ไปสู่นครคามนคิ ม ท�ำ ใหเ้ กิดความนยิ มเคารพนับถอื เล่อื มใสอยา่ งยง่ิ แก่ประชานิกร
ในกาลก่อนแต่จะเสด็จไป มหาชนทราบข่าว ก็มีใจยินดีปีติปราโมทย์ ครั้นเสด็จไปโปรดก็
สมาทานอาจหาญรน่ื เรงิ บนั เทงิ ในธรรมปฏบิ ตั ทิ ว่ั หนา้ มไิ ดเ้ สดจ็ ไปรา้ ยเสดจ็ มารา้ ย ทรงด�ำ เนนิ
มาตามมรรคอบุ ายแหง่ พระบรมสคุ ตเจา้ พระคณุ ขอ้ นนี้ บั วา่ เปน็ พระอจั ฉรยิ พั ภตู ธรรมอนั วเิ ศษ
เป็นเหตุเชิดชพระเกียรติให้ปรากฏสืบไปสิ้นกาลนาน เป็นคุณาลังการของท่านผู้เป็นบุรุษรัตน์
เปน็ ความประพฤติปฏิบตั ใิ ห้เป็นประโยชนแ์ ก่ประชาราษฎร์ แลแผ่นดินอนั เปน็ ถ่ินฐาน จัดเปน็
โลกตั ถจรยิ า คอื ทรงประพฤตปิ ระโยชนแ์ กโ่ ลก นบั วา่ เปน็ สตั ตปู การสมั ปทา คอื ทรงถงึ พรอ้ มดว้ ย
อปุ การะแก่เวไนยสตั ว์ ชอื่ ว่าได้ทรงปฏบิ ัติโดยเสด็จสมเด็จพระบรมศาสดาสมั มาสัมพุทธเจ้า
อนงึ่ ไดท้ รงเปน็ หลกั แหง่ พระราชาคณะเถรานเุ ถระ ช�ำ ระพระไตรปฎิ กใบลาน ประทาน
ระเบียบแบบวธิ ี สอบสวนถ้วนถใี่ ห้ถกู ต้องถ่องแท้แล้ว พมิ พ์เป็นอกั ษรไทย ในรชั สมยั ท่ี ๕ ซงึ่
ไม่เคยมีมาแต่เก่าก่อน นับเป็นคร้ังแรก พระราชทานแจกไปไว้ในอารามต่าง ๆ ทั้งในกรุง
ทั้งหัวเมือง แลพระราชทานไปในนานาประเทศปรวิสัย นับว่าได้ทรงทำ�ประโยชน์อันยิ่งใหญ่
แกพ่ ระพทุ ธศาสนา ควรสงเคราะหว์ า่ สงั คายนาครง้ั ท่ี ๑๐ แตพ่ ระพทุ ธปรนิ พิ พาน ส�ำ เรจ็ หติ านหุ ติ
ประโยชนเ์ ป็นแก่นสารสืบตอ่ ไป แต่นัน้ มา ได้ทรงชำ�ระอรรถกถาทเี่ ปน็ หลกั สตู รแหง่ การเรียน
พระปรยิ ตั ธิ รรม ทรงเปน็ ประมขุ แหง่ พระราชาคณะเถรานเุ ถระ แลราชบณั ฑติ ผชู้ �ำ ระอรรถกถา
อันมปี ระโยชนอ์ านสิ งสแ์ พร่หลาย แลเปน็ พระเกยี รติอนั พเิ ศษไพศาล
อกี ประการหนง่ึ ทรงบรบิ รู ณด์ ว้ ยจตพุ ธิ พรพรหมวหิ ารแลสงั คหวตั ถสุ ่ี ทรงบ�ำ เพญ็ ใหเ้ ปน็
ไปด้วยดี ในพระประยรู ญาติ แลบรรพชติ คฤหัสถ์ ตามสมควรแกบ่ รษิ ทั ฐานะกาละแลบุคคล
นนั้ ๆ ทรงสมบรู ณด์ ว้ ยมติ รธรรมญาตธิ รรม อนั พระกศุ ลนนั้ หากอปุ ถมั ภใ์ หไ้ ดท้ รงรบั พระผลานสิ งส์
มพี ระเกยี รตยิ ศอนั สงู สดุ ในพระบรมวงศานวุ งศ์ เปน็ มนษุ ยน์ าคอาชาไนยอตชิ าตใิ นวงศส์ กลุ เปน็
ท่พี ง่ึ พ�ำ นักของพระประยรู ญาติ แลบรรพชิตคฤหสั ถ์ เสด็จอบุ ัติมายงั ประโยชนแ์ ลสขุ ให้ส�ำ เรจ็
แกป่ ระชมุ ชนท่ัวไปทกุ ช้นั ทั้งพระราชวงศ์เสวกามาตย์ราษฎร ตลอดถงึ รัฐมณฑล
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เป็นนาถะของสกลพุทธบริษัท ทรงบริรักษ์สังฆมณฑล
สมณบรวิ าร ทรงตง้ั อยใู่ นฐานเปน็ สงั ฆบดิ าสงั ฆปรณิ ายก ทรงปกครองใหไ้ ดร้ บั ความรม่ เยน็ เปน็ สขุ
กำ�จดั ทุกข์พิบตั ิภยนั ตราย ทรงแนะนำ�พรำ่�สอนให้ประพฤตสิ งบกายวาจาใจ สมควรแก่ความ
เปน็ พทุ ธบรษิ ทั ทรงนเิ คราะหก์ �ำ จดั อลชั ชปี าปชน ผปู้ ระพฤตติ นไมต่ ง้ั อยใู่ นธรรม ทรงปเคราะห์
ยกย่องอุปถัมภ์ผู้ประพฤติชอบดีงามมีความรู้แลสามารถให้รุ่งเรืองไพโรจน์ ทรงพร่าประโยชน์
แลพระเกยี รติส่วนพระองคบ์ างประการ เพือ่ ทรงรักษาหลักฐานระเบียบพระศาสนาให้เปน็ ไป
ดว้ ยดตี ามคลองธรรม
อนงึ่ ทรงแนะน�ำ ประชมุ ชนใหป้ ฏบิ ตั ติ าม ไดร้ บั ความงามความดี สขุ ประโยชนท์ เี่ ปน็ ผล
เหน็ ประจกั ษ์ ไดท้ รงเปน็ ดงั เกาะทพ่ี งึ่ พ�ำ นกั แหง่ พระประยรู ญาตแิ ลมติ รทงั้ บรรพชติ แลคฤหสั ถ์
ท่ัวสยามเมทนีดล นับว่าเป็นโชคชัยลาภผลอันประเสริฐสุดของพุทธบริษัทผู้ได้พระองค์เป็น
สังฆบิดา เอกอัครสังฆปรณิ ายก เป็นขตั ติยบรรพชิตในขัตตยิ พงศส์ ุขมุ าลชาติ ได้ทรงแนะนำ�
พรำ่�สอนมรรยาทอากัปปาจาร ขนบธรรมเนียมแลวิทยาศิลปศาสตร์มาโดยอนุกรม แลทรง
158 อบรมอัธยาศัยได้ระเบียบเรียบรอ้ ยประณตี สขุ ุมยง่ิ ข้นึ กวา่ สามญั ชน บัดน้เี ป็นพระเดชพระคณุ
ลน้ เกลา้ ฯ
พระคณุ สมบตั ทิ ไ่ี ดร้ �ำ พนั มานเี้ ปน็ แตเ่ อกเทศ สว่ นพระคณุ พเิ ศษ ยงั มอี ยอู่ กี โดยอเนกนยั
เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ล่วงไป เป็นเหตุให้เราท้ังหลายรู้สึกว้าเหว่เงียบเหงาเปล่าเปล่ียว
ปราศจากท่ีพ่ึง ซ่งึ เปน็ หลกั ฐานที่อนุ่ ใจอนั ส�ำ คัญ ปรารภเหตนุ ี้ เราทัง้ หลายจึงไดม้ ีสมานฉันท์
สามคั คพี ร้อมเพรยี งกัน บ�ำ เพ็ญกุศลดว้ ยกำ�ลังกายและกำ�ลงั ความคดิ เพอ่ื อทุ ิศถวายพระกุศล
แดส่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส สนองพระเดชพระคณุ ดว้ ยก�ำ ลงั กตญั ญู
กตเวทติ าโดยปัตตทิ านคาถา ดังจะเปล่งวาจาต่อไป ณ กาลบดั นี้
วชริ าณวโรรสมหาสมณสสฺ ปตฺตทิ านคาถา
มนุ นิ โฺ ท มหาสมโณ มนสุ สฺ นาคมานโว 159
อติ ิ ปพุ พฺ าภเิ ธยเฺ ยน วสิ สฺ โุ ตวธิ สาสเน
สริ นิ ธฺ โร มนุ สิ โี ห วนิ ายโก คณตุ ตฺ โม
ธมมฺ ชฌฺ าสยสมปฺ นโฺ น คณํ ปาเลสิ ธมมฺ โต
ธมมฺ ยตุ ตฺ กิ วาทนี ํ โย โน ปพุ พฺ งคฺ โม อหุ
วเหสิ ธมมฺ ภารญจฺ พทุ ธฺ สาสนวฑฒฺ โก
โลกโิ ยเจว โย อตโฺ ถ โย จตโฺ ถ ธมมฺ โิ ย มโต
นปิ ผฺ าเทสิ อโุ ภเปยฺ เต นจิ จฺ ํ หติ สเุ ขสโก
อหติ านิ อปเนสิ หติ านิ อปุ เนสิ จ
ตํ นสิ สฺ าย มยํ สพเฺ พ สขุ ติ า อกโุ ต ภยา
วฑุ ฒฺ ึ วริ ฬุ หฺ ึ เวปลุ ลฺ ํ ปปโฺ ปม พทุ ธฺ สาสเน
ภกิ ขฺ สุ งโฺ ฆ อยนทฺ าน ิ ตสโฺ สปการโจทโิ ต
ตคคฺ ณุ านสุ สฺ รเณน สมาคนตฺ วฺ าน เอกโต
พทุ ธฺ ํ ธมมฺ ญจฺ สงฆฺ ญจฺ อตุ ตฺ มํ รตนตตฺ ยํ
วนทฺ ติ วฺ า ปชู ยติ วฺ าน ยถาสตตฺ ิ ยถาพลํ
สญจฺ นิ ติ วฺ า ตโต ปญุ ฺ ํ ววิ ฏฏฺ ภาคยิ ํ กตํ
ตสสฺ อาทสิ สฺ เต ปตตฺ ึ กลยฺ าเณเนว เจตสา
ยญจฺ ญฺ ํ ภกิ ขฺ สุ งเฺ ฆน ปญุ ฺ ํ กาเลน สญจฺ ติ ํ
จตนุ นฺ ํ สงฆฺ กมมฺ านํ สกกฺ จจฺ กรเณนปิ
ลาภํ ยสํ อคเณตวฺ า ธมมฺ านวุ ตตฺ เนนปิ
สลี านํ ปรุ เณนาปิ อนิ ทฺ รฺ ยิ -ทมเนนปิ
สวณณฺ โนปเทสาย สทธฺ มมฺ ปรยิ ตตฺ ยิ า
ปาธารณสชฌฺ าย อตถฺ วจิ ารเณหปิ ิ
ปเรสํ อตถฺ ธมมฺ านํ วาจนากถเนหปิ ิ
นพิ ทธฺ ํ พทุ ธฺ เจเตยฺ สุ ปชู าทกิ รเณนปิ
ธมมฺ สสฺ วนกาเลสุ เทสนาสวเนหปิ ิ
สมาธิ าณสาเธยฺ สุ กมมฺ ฏฺ าเนสุ เกสจุ ิ
อาโยคมนสกิ าร- วายามภาวนาหปิ ิ
อโถ สพรฺ หมฺ จารนี ํ ปจจฺ ยานคุ คฺ เหนปิ
พทุ ธฺ เทสติ มคเฺ คน สยํ คนตฺ วฺ า ยถาพลํ
อญเฺ เปยฺ ตถฺ นยิ ญุ ชฺ ติ วฺ า สทธฺ มมฺ ทปี เนนปิ
ปญุ ฺ นธิ นี ธิ าเนน ถาวเรนาปิ สพพฺ ทา
อจิ เฺ จวรปู กมเฺ มห ิ สกุ เฺ ขตเฺ ต พทุ ธฺ สาสเน
สญจฺ นิ ตฺ วฺ าน ตมปฺ ญุ ฺ ํ ภกิ ขฺ สุ งโฺ ฆ สคารโว
ปณฑฺ โิ ต วชริ าโณ วโี ร อคคฺ พหสุ สฺ โุ ต
ธมมฺ ยตุ ตฺ กิ วาทนี ํ โย โน ปพุ พฺ งคฺ โม อหุ
วเหสิ ธมมฺ ภารญจฺ พทุ ธฺ สาสนวฑฒฺ โก
160 โลกโิ ย เจว โย อตโฺ ถ โย จตโฺ ถ ธมมฺ โิ ย มโต
นปิ ผฺ าเทสิ อโุ ภเปยฺ เต นจิ จฺ ํ หติ สเุ ขสโก
อหติ านิ อปเนสิ หติ านิ อปุ เนสิ จ
ตสสฺ อาทสิ สฺ เต ปตตฺ ึ กลยฺ าเณเนว เจตสา
ทฆี รตตฺ ํ หติ ายสสฺ านโส อปุ กปปฺ ตุ ฯ
คณสสฺ ธมโฺ ม จ อยํ นทิ สสฺ โิ ต
ตสเฺ สว ปชู า จ วรา ถริ า กตา
อนปุ ปฺ ทนิ นฺ ญจฺ คณุ สสฺ ทิ ํ พลํ
อเมหฺ หิ ปญุ ฺ ํ ปสตุ ํ อนปปฺ กนตฺ ิ ฯ
ค�ำ แปลคาถาถวายพระกศุ ลแดส่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส 161
ของคณะสงฆธ์ รรมยุตกิ นกิ าย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ผู้เป็นจอมแห่งมุนี ทรงปรากฏโดยพระนามาภิไธยเดิมว่า
มนุษยนาคมานพ ทรงพระศรีวิลาศดุจราชสีห์แห่งมุนี เป็นนายกพิเศษ สูงสุดในคณะ ทรง
บรบิ ูรณ์ด้วยพระอธั ยาศยั เปน็ ธรรม ได้ทรงบริหารคณะโดยธรรม
ทา่ นพระองคใ์ ดเล่า ได้เปน็ ประธานแหง่ พวกเราผ้ธู รรมยุติกา แลได้ทรงน�ำ ธรรมภาระ
ยงั พระพทุ ธศาสนาใหจ้ �ำ เรญิ ไดท้ รงยงั ประโยชนเ์ ปน็ ไปในคดโี ลกแลประโยชนเ์ ปน็ ไปในคดธี รรม
แม้ท้ังสองประการให้สำ�เรจ็ แลว้
แลทรงน�ำ สง่ิ ทไี่ มเ่ ปน็ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู ออกไปเสยี ทรงนอ้ มสงิ่ ทเี่ ปน็ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู เขา้
มาในพระศาสนานี้ เราท้งั ปวงทัง้ หลายเปน็ สุขสบาย ไม่มภี ยั แต่ที่ไหน ๆ ยอ่ มบรรลุความเจรญิ
งอกงามไพบลู ย์ในพระพุทธศาสนา เพราะอาศัยท่านพระองค์ใดเลา่
บดั น้ี ภิกษุสงฆห์ มู่น้ี อนั พระคุณูปการของท่านเตอื นใจแลว้ ได้มาประชมุ พร้อมกนั โดย
ความระลกึ ถงึ พระคณุ ของทา่ น ไดอ้ ภวิ าทบชู า พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ซงึ่ เปน็ พระรตั นตรยั
อันอุดมตามสติกำ�ลัง ส่ังสมบุญทำ�ให้เป็นส่วนวิวัฏฏคามีกุศล แด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
พระองค์นนั้
อนึ่ง บุญอันใดอย่างอ่ืนจากนี้ ที่ภิกษุสงฆ์ได้ส่ังสมมาโดยกาล ด้วยกระทำ�สังฆกรรม
ทง้ั สโ่ี ดยเคารพกด็ ี ดว้ ยมไิ ดเ้ หน็ แกล่ าภยศ ตงั้ ใจประพฤตติ ามธรรมกด็ ี ดว้ ยรกั ษาศลี ใหบ้ รบิ รู ณ์
กด็ ี ด้วยรักษาอนิ ทรยี ์เป็นการฝึกใจกด็ ี ด้วยเรียนพระสทั ธรรม พร้อมทั้งคำ�อธบิ ายในอรรถกถา
กด็ ี ดว้ ยเลา่ จ�ำ พระบาลสี วดทอ่ งแลพจิ ารณาเนอ้ื ความกด็ ี ดว้ ยบอกแลกลา่ วอรรถธรรมแกผ่ อู้ นื่ กด็ ี
ดว้ ยกระทำ�กิจวัตรมบี ชู าเปน็ ต้นท่ีพระพุทธเจดยี เ์ นอื งนติ ย์ก็ดี ด้วยเทศนาแลสดับธรรมในกาล
เปน็ ทพี่ ง่ึ ธรรมกด็ ี ดว้ ยหมน่ั ประกอบกระท�ำ ในใจ พากเพยี รเจรญิ ภาวนาในกมั มฏั ฐานบางอยา่ ง
ทจ่ี ะพงึ บ�ำ เพญ็ ใหส้ �ำ เรจ็ สมาธแิ ลวปิ สั สนากด็ ี ดว้ ยอนเุ คราะหแ์ กเ่ พอื่ นสพรหมจารดี ว้ ยปจั จยั ลาภ
กด็ ี ดว้ ยปฏบิ ตั ิตามทางทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงแสดงไวด้ ้วยตนเองตามก�ำ ลงั แลแสดงธรรมส่ังสอน
ประกอบผ้อู ่ืนไวใ้ นทางน้ันด้วยก็ดี ด้วยการสัง่ สมไว้ซงึ่ บุญนธิ ิอันสถาพรในกาลทุกเมือ่ กด็ ี ภิกษุ
สงฆ์มีความเคารพได้ส่ังสมบุญน้ัน ในพระพทุ ธศาสนาอันเปน็ เขตดี ด้วยกิจทัง้ หลายมปี ระการ
อย่างนนั้ แลว้ อทุ ศิ ส่วนกศุ ลถวายดว้ ยนำ้�ใจอันงาม แดส่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ผู้เป็นบัณฑิต
แกลว้ กลา้ มพี ระญาณปรชี าดงั เพชร เปน็ อคั รพหุสตู บุคคล เปน็ ประมขุ ของเราผู้ธรรมยตุ กิ า แล
ได้ทรงน�ำ ธรรมภาระ ยังพระพทุ ธศาสนาให้จำ�เริญ ได้ทรงยังประโยชนเ์ ป็นไปในคดีโลก แล
ประโยชน์เปน็ ไปในคดธี รรม แมท้ งั้ สองประการให้สำ�เร็จแล้ว แลทรงน�ำ สิ่งที่ไมเ่ ปน็ ประโยชน์
เกือ้ กูลออกไปเสีย ทรงน้อมสิง่ ท่เี ปน็ ประโยชน์เกือ้ กลู เขา้ มา
ขอส่วนกศุ ลทอ่ี ทุ ิศถวายน้ี จงส�ำ เร็จแต่พระองค์โดยฐานอันจะพงึ เปน็ ได้ เพอ่ื ประโยชน์
เก้อื กลู ตลอดกาลนาน
162 อนึง่ พวกเราได้ช่ือวา่ ส�ำ แดงคณะธรรม คอื กจิ ทคี่ ณะจะตอ้ งทำ�ประการ ๑ ไดท้ ำ�บูชา
ใหย้ นื ยาวอยา่ งประเสรฐิ แดส่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ พระองคน์ นั้ ประการ ๑ ไดเ้ พม่ิ ใหก้ �ำ ลงั
แก่คณะประการ ๑ ได้สัง่ สมบุญไวไ้ มน่ อ้ ยประการ ๑ ดว้ ยประการฉะนแ้ี ล
163
พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เฮง เขมจารี)
ภายหลังดำ�รงสมณศักดิ์ท ่ี
สมเด็จพระวันรตั
วนั ท่ี ๒๓ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๖๔ เวลา ๑๖.๐๐ น. พระสงฆม์ หานกิ ายและรามญั นกิ าย
ประชมุ พร้อมกนั ในพระอุโบสถวดั บวรนิเวศวหิ าร สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ (หมอ่ มราชวงศ์
เจริญ าณฉนฺโท) เป็นประธาน นำ�พระสงฆ์ไปไหวพ้ ระสวดมนตแ์ ลว้ ไปประชมุ พรอ้ มกันท่ี
หนา้ พระศพ ณ ต�ำ หนกั เพช็ ร ท�ำ สกั การะพระศพแลว้ พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เฮง เขมจาร)ี
อา่ นค�ำ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลถวาย ในนามของพระสงฆส์ องนกิ ายนนั้ ทงั้ ในภาษาบาลี ทงั้ ในภาษาไทย
จบแล้ว พร้อมกันถวายบงั คมพระศพ เป็นเสร็จการ
วชริ าณมหาสมณสฺส ปตฺติทานคาถา
ของพระสงฆ์คณะมหานิกาย
วนั ที่ ๒๓ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๖๔
ณ ต�ำ หนกั เพช็ ร วัดบวรนิเวศวิหาร
โย โส วชริ าโณติ วสิ สฺ โุ ต สมโณ มหา
มนุ นิ โฺ ทติ จ ปญฺ าโต ขตตฺ โิ ย จกกฺ วิ สํ โิ ก
สทุ โฺ ธว สทุ ธฺ พทุ ธฺ สสฺ สาสเนเยว ปพพฺ ชิ
สทธฺ าสเี ลน สมปฺ นโฺ น ปเู รนโฺ ต ปฏปิ ตตฺ ยิ า
หญฺ มาโนปิ ทกุ เฺ ขน ขนตฺ ยิ าว ตติ กิ ขฺ ติ
จตนุ นฺ ํ สงฆฺ กมมฺ านํ สกกฺ จจฺ ํ การโก สมํ
นพิ ทธฺ ํ พทุ ธฺ เจเตยฺ สุ ปชู าทนี ญจฺ การโก
ธมมฺ สสฺ วนกาเลสุ สวโน จาปิ เทสโิ ก
164 สมาธิ าณสาเธยฺ สุ กมมฺ ฏฺ าเนสุ เกสจุ ิ
โยนโิ ส มนสกิ ารํ ภาวนญจฺ ปยญุ ชฺ ยํ
อโถ สพรฺ หมฺ จารนี ํ ปจจฺ เยหิ อนคุ คฺ โห
สกิ ขฺ ากาโม หเิ ตสี จ สาสนสเฺ สว วฑุ ฒฺ ยิ า
สวณณฺ โนปเทสาย สทธฺ มมฺ ปรยิ ตตฺ ยิ า
ปาสสฺ ธารโณ เจว อตถฺ สสฺ จ วจิ ารโณ
อตเฺ ถ ธมเฺ ม จ นรี ตุ ตฺ -ิ ปฏภิ าเณ วสิ ารโท
พยฺ ตโฺ ต สเก วเิ ทเส จ สมเยถ พหสุ สฺ โุ ต
อตถฺ ธมมฺ รสานมปฺ ิ ปฏเิ วธิ สเุ มธโส
ปเรสํ อตถฺ ธมมฺ านํ กถโก จาปิ วาจโก
พทุ ธฺ เทสติ มคเฺ คน สยํ คนตฺ วฺ า ยถาพลํ
อญเฺ เปตถฺ นยิ ญุ ชฺ ติ วฺ า สทธฺ มมฺ สเฺ สว ทปี โก
เทสนากสุ โล เจว อกขฺ เรน ปกาสโก
ววิ โฏ จ ปฏจิ ฉฺ นนฺ ํ อวภิ ตตฺ ํ วภิ ชชฺ โก
วชิ ฏานตุ ตฺ นตถฺ ํ ว โชตตุ ตฺ านญจฺ การโก 165
อนธฺ กาเร ยถา ทโี ป มฬุ หฺ สสฺ มคคฺ เทสโก
ลาภํ ยสํ อคเณตวฺ า ธมมฺ สสฺ อนวุ ตตฺ โก
อจิ เฺ จวรปู กมเฺ มหิ มนุ นิ โฺ ท สมณตุ ตฺ โม
ยํ ยํ สาสนกจิ จฺ ํ ว โลกสสฺ จ สขุ าวหํ
ตํ ตํ เตน กตํ สพพฺ ํ อนโุ มทาม สพพฺ โส
มนุ นิ โฺ ท โส มหานาโค สามานํ สงฆฺ วฑฒฺ โน
สาสนํ พทุ ธฺ เสฏฺ สสฺ ปคคฺ เหสิ วโิ รจนํ
อธิ ธมมฺ ํ จรนโฺ ต โส ทวฺ าสฏฺ โ กว ชาตยิ า
โอสาเน สนตฺ มิ ารพภฺ สนตฺ จติ เฺ ตน นพิ พฺ โุ ต
ปชโฺ ชตสเฺ สว นพิ พฺ านํ นพิ พฺ ตุ ิ เจตโส อหุ
ภกิ ขฺ สุ งโฺ ฆ อยนทฺ านํ สมาคนตฺ วฺ าน เอกโต
พทุ ธฺ ํ ธมมฺ ญจฺ สงฆฺ ญจฺ อตุ ตฺ มํ รตนตตฺ ยํ
วนทฺ ติ วฺ า ปชู ยติ วฺ าน ลทธฺ า ปญุ ฺ มหณณฺ วํ
ตสสฺ อาทสิ โต ปตตฺ ึ กลยฺ าเณเนว เจตสา
ยญจฺ ญฺ ํ ภกิ ขฺ สุ งเฺ ฆน ธมเฺ มน ธมมฺ จารนิ า
ยถาพลญจฺ กาเยน วาจาย อทุ เจตสา
สขุ ปู นสิ สฺ ยภี ตู ํ ปญุ ฺ ํ กาเลน สญจฺ ติ ํ
ตสสฺ อาทสิ โต ปตตฺ ึ กลยฺ าเณเนว เจตสา
ทฆี รตตฺ ํ หติ ายสสฺ านโส อปุ กปปฺ ตตู ิ
ค�ำ แปลคาถาถวายพระกศุ ลแดส่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
ของคณะสงฆม์ หานกิ าย
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ พระองคน์ น้ั ใด ปรากฏโดยพระนามาภไิ ธยวา่ สมเดจ็ กรมพระยา
วชริ ญาณวโรรส แลปรากฏโดยพระคณุ สมบตั วิ า่ เปน็ จอมปราชญห์ าผเู้ ทยี บไดย้ าก พระองคเ์ ปน็
กษตั รยิ เ์ สดจ็ อบุ ตั ใิ นจกั รบี รมราชวงศ์ ผบู้ รสิ ทุ ธท์ิ ง้ั พระจรยิ าสมบตั แิ ลพระคณุ สมบตั ิ ทรงผนวช
ในพระศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้บริสุทธ์ิหาผู้เทียมมิได้ ทรงสมบูรณ์ด้วย
พระศรทั ธา แลศลี าจารวตั รบ�ำ เพญ็ ขอ้ ปฏบิ ตั บิ รบิ รู ณไ์ มบ่ กพรอ่ ง แมอ้ นั ทกุ ขก์ ระทบกระทง่ั ก็
ทรงอดกลน้ั ดว้ ยพระขนั ตไิ มท่ อ้ ถอย ทรงท�ำ สงั ฆกรรมทง้ั ๔ โดยเคารพสม�ำ่ เสมอ ทรงท�ำ กจิ วตั ร
มบี ชู าเปน็ ตน้ ทพ่ี ระพทุ ธเจดยี เ์ นอื งนติ ย์ ทรงสดบั ธรรมแลประทานเทศนาในกาลเปน็ ทฟ่ี งั ธรรม
แลประกอบโยนิโสมนสิการ เจริญภาวนาในกรรมฐานบางอย่างท่จี ะพึงบำ�เพ็ญให้สำ�เร็จสมาธิ
แลวปิ สั สนา ทรงอนเุ คราะหส์ พรหมจารบี รษิ ทั ดว้ ยปจั จยั ลาภ ทรงมงุ่ ตอ่ การศกึ ษาหาประโยชน์
เพ่อื ความเจรญิ แห่งพระศาสนา มิไดเ้ หน็ แกล่ าภยศ ทรงจ�ำ พระบาลแี ลทรงวิจารณอ์ รรถแห่ง
166 พระปรยิ ตั สิ ทั ธรรม พรอ้ มทง้ั ค�ำ อธบิ ายในอรรถกถา ทรงเปรอ่ื งปราดทง้ั ในอรรถแลธรรมพรอ้ มดว้ ย
นริ กุ ตปิ ฏภิ าณ ทรงพระปรชี าเฉยี บแหลมเปน็ พหสุ ตุ ไดท้ รงสดบั มาก ทง้ั ในสกสมยั แลปรสมยั
มพี ระปรชี าเลง็ ตลอดแทงตลอดทง้ั อรรถรสแลธรรมรส ทรงบอกแลแนะน�ำ อรรถธรรมแกผ่ อู้ น่ื ใหม้ ี
ความรคู้ วามสามารถ ทรงปฏบิ ตั ติ ามทางทส่ี มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงไวด้ ว้ ยพระองค์
เอง แลทรงแสดงธรรมสง่ั สอนประกอบผอู้ น่ื ไวใ้ นทางนน้ั ดว้ ย สดุ แตจ่ ะทรงได้ ทง้ั เปน็ พระมหา
ธรรมกถกึ ฉลาดในเทศนาวธิ ี แลทรงประกาศดว้ ยอกั ษรเปน็ แบบแผนส�ำ หรบั อา่ นส�ำ หรบั เรยี น
ของกุลบุตรด้วย ท่ลี ้ลี ับทรงเปิดเผยให้กระจ่าง ท่ยี ังมิได้จำ�แนกก็ทรงแยกขยายให้เข้าใจ ท่มี ี
อรรถอนั ฟน่ั เฝอื แลลกึ กท็ รงกระท�ำ ใหก้ ระจา่ งแลตน้ื พระองคเ์ ปน็ ดจุ ดวงประทปี อนั แผดแสง
ในทม่ี ดื แลชท้ี างแกค่ นทห่ี ลงแลว้ ทรงประพฤตติ ามธรรมไมเ่ หน็ แกล่ าภยศ เพราะทรงพระคณุ
สมบตั ดิ งั พรรณนามาน้ี จงึ สมเปน็ สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ผจู้ อมปราชญ์ กลั ยาณกรรมทพ่ี ระองค์
ทา่ นทรงท�ำ แลว้ นน้ั ๆ ลว้ นเปน็ กจิ พระศาสนาแลอ�ำ นวยสขุ แกโ่ ลกดว้ ย ขา้ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย
ขออนโุ มทนาโดยประการทง้ั ปวง สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ผเู้ ปน็ มหานาคจอมปราชญพ์ ระองคน์ น้ั
ทรงบ�ำ รงุ สงั ฆบรษิ ทั ของชาวสยามรฐั ใหเ้ จรญิ ดว้ ยความรแู้ ลความปฏบิ ตั ิ ทรงอปุ ถมั ภพ์ ระศาสนา 167
ของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผปู้ ระเสรฐิ สดุ ใหไ้ พโรจนช์ ชั วาลย์ พระองคท์ รงบ�ำ เพญ็ สมณธรรม
ณ โลกนอ้ี ยจู่ นพระชนมายุ ๖๒ โดยปี ในอวสานทรงปรารภสนั ตวิ รบท เสดจ็ นพิ พานดว้ ยอาการ
อนั สงบ การนพิ พานของพระองคท์ า่ นดจุ ความดบั แหง่ ดวงประทปี ฉะนน้ั
บดั น้ี พระภกิ ษสุ งฆห์ มนู่ ม้ี าประชมุ พรอ้ มกนั อภวิ าทบชู าพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์
๓ รตั นะอนั สงู สดุ ไดบ้ ญุ ดจุ หว้ งน�ำ้ ใหญ่ แลว้ ขออทุ ศิ สว่ นบญุ นน้ั ดว้ ยน�ำ้ ใจอนั เปน็ กศุ ลถวายแด่
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ พระองคน์ น้ั อนง่ึ บญุ อนั ใดอน่ื จากน้ี อนั เปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ สขุ อนั ภกิ ษุ
สงฆผ์ ปู้ ระพฤตธิ รรมตามธรรม สง่ั สมมาโดยกาล ดว้ ยกายหรอื ดว้ ยวาจาหรอื ดว้ ยใจตามก�ำ ลงั
พระภกิ ษสุ งฆข์ ออทุ ศิ สว่ นแหง่ บญุ นน้ั ดว้ ยน�ำ้ ใจอนั เปน็ กศุ ล ถวายแดส่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้
พระองคน์ น้ั ขอผลแหง่ บญุ นน้ั จงส�ำ เรจ็ แดส่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ พระองคน์ น้ั เพอ่ื ประโยชน์
เกอ้ื กลู สน้ิ กาลนาน โดยฐานะทจ่ี ะพงึ มไี ดเ้ ทอญ
ครน้ั แลว้ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ เสดจ็ ประทบั
ณ ต�ำ หนกั เพช็ ร เพอ่ื ทรงบ�ำ เพญ็ พระกศุ ลถวายอนั เปน็ สว่ นของพระองค์
เวลาย�ำ่ ค�ำ่ พระสงฆ์ ๑๐ รปู มพี ระธรรมปาโมกข์ (แยม้ อปุ วกิ าโส) วดั ราชประดษิ ฐ
สถติ มหาสมี าราม๔๗ เปน็ ประธาน น�ำ พระสงฆส์ วดมนตจ์ บแลว้ พระอมรโมลี (อาบ อปุ คตุ โฺ ต)
วดั บวรนเิ วศวหิ าร๔๘ ถวายเทศนา ๑ กณั ฑ์ จบแลว้ ทรงทอดผา้ ไตรสดบั ปกรณ์ และทรงประเคน
เครอ่ื งไทยธรรมกณั ฑเ์ ทศน์ เสรจ็ แลว้ จงึ เสดจ็ กลบั
๔๗ ภายหลังดำ�รงสมณศกั ด์ทิ ่ี พระพรหมมนุ ี
๔๘ ภายหลังดำ�รงสมณศกั ดิท์ ี่ พระราชกวี
168 พระธรรมปาโมกข์ (แยม้ อุปวกิ าโส) พระอมรโมลี (อาบ อุปคตุ โฺ ต)
วัดราชประดษิ ฐสถติ มหาสีมาราม วัดบวรนเิ วศวหิ าร ภายหลังดำ�รง
ภายหลังดำ�รงสมณศกั ด์ิท่ี พระพรหมมุนี สมณศักดิ์ที่ พระราชกวี
วนั ท่ี ๒๔ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ น. พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื
ชนิ วรสริ วิ ฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ เสดจ็ ประทบั ณ ต�ำ หนกั เพช็ ร พระสงฆ์ ๑๐ รปู ทส่ี วดมนต์
วานนถ้ี วายพรพระจบแลว้ โปรดใหอ้ งั คาสพระสงฆด์ ว้ ยอาหารบณิ ฑบาต พระสงฆฉ์ นั เสรจ็ แลว้
ทรงประเคนเคร่ืองไทยธรรม พระสงฆ์ถวายอนุโมทนาเป็นเสร็จการบำ�เพ็ญกุศลถวาย
ทง้ั สว่ นคณะสงฆ์ และสว่ นพระองค์
169
แจง้ ความเพ่มิ เติม เรอื่ งบ�ำ เพญ็ กุศลถวาย
สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
ตามค�ำ แจง้ ความในเรอ่ื งน้ี ลงวนั ท่ี ๒๘ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๖๔ มขี อ้ ความแจง้ อยู่
แลว้ นน้ั
บดั น้ี เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ความสะดวกแกก่ ารสง่ เงนิ ยง่ิ ขน้ึ อกี สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้
กรมหลวงนครราชสมี า ผซู้ ง่ึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหร้ บั หนา้ ทเ่ี ปน็ ผอู้ �ำ นวยการ โปรดให้
เลอ่ื นเวลารบั เงนิ และปดิ บาญชี ไปจนถงึ สน้ิ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๔๖๔
แจง้ ความมา ณ วนั ท่ี ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๔
(ลงนาม) พระยาจกั รปาณศี รศี ลี วสิ ทุ ธ์ิ
170
171
สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจ้าฟา้ กรมหลวงนครราชสมี า
ภายหลังดำ�รงพระอิสรยิ ยศท่ี
สมเด็จพระอนุชาธริ าช เจา้ ฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา
แถลงการณเ์ ร่ืองบำ�เพญ็ กุศลถวาย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ตามค�ำ แจ้งความในเรื่องน้ี ลงวนั ท่ี ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๔ มีความว่า จะทำ�บญุ
ถวายพระศพ สรา้ งสง่ิ ทเี่ ปน็ ถาวรวตั ถถุ วายสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ เพอื่ เปน็ อนสุ าวรยี ท์ รี่ ะลกึ
ถงึ พระเกยี รตคิ ณุ ยนื ยาวชวั่ กาลนานนน้ั การท�ำ บญุ ถวายพระศพเสรจ็ ไปตอนหนงึ่ แลว้ สว่ นการ
กศุ ลถาวรวตั ถุ เหรญั ญกิ ๔๙ทรงบาญชวี า่ ไดร้ บั เงนิ รวมทงั้ สนิ้ ๖๓,๖๘๗ บาท ๐๑ สตางค์ จา่ ยไป
แลว้ เป็นเงิน ๓๖๘ บาท ๗๒ สตางค์ คงเหลอื เงินเปน็ ทนุ เพียงวนั ที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๕
เป็นจ�ำ นวนเงนิ ๖๓,๓๑๘ บาท ๒๙ สตางค์
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา ผู้ทรงอำ�นวยการ ทรงเห็น
ควรปรึกษาดำ�เนินการ จึงได้ทรงนัดพระสงฆ์และคฤหัสถ์บางท่าน๕๐ที่ทรงเห็นว่าเหมาะแก่
การ มาประชุมทว่ี ัดบวรนเิ วศวิหาร เมื่อวันพธุ ที่ ๒ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ ตกลงวา่ โรงเรียน
172 ที่จะสร้างน้นั จะสรา้ งขน้ึ ทหี่ น้าวดั รังษีสุทธาวาส โดยใช้ทุนประมาณ ๖๐,๐๐๐ บาท และให้มี
พระรูป พระตราของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองคน์ นั้ ประดับไว้เปน็ ทร่ี ะลกึ ด้วย พร้อมทงั้
นามท่านผู้ท่ีออกเงินเร่ียไร ซ่ึงได้ออกเงินต้ังแต่ ๘๐ บาทขึ้นไปจะได้จารึกนามลงในแผ่นศิลา
ติดไว้ทโ่ี รงเรยี น ก�ำ หนดใหแ้ ล้วในวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ อนั ตรงกบั วนั สน้ิ พระชนม์
ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ พระองคน์ นั้ ใหพ้ ระราชกวเี ปน็ ผดู้ แู ลการสรา้ ง อยใู่ นความชว่ ยเหลอื
ของพระยาบรบิ ูรณร์ าชสมบตั ิ อธบิ ดีกรมพระคลงั ขา้ งที่
๔๙ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจนั ทบรุ นี ฤนาถ
๕๐ ได้แก่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชนิ วรสิริวฒั น์ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ พระญาณวราภรณ์ (หม่อมราชวงศช์ นื่ สจุ ิตโฺ ต) พระธรรมวโรดม
(จา่ ย ปณุ ณฺ ทตฺโต) พระพรหมมุนี (แพ ตสิ สฺ เทโว) พระสาสนโสภณ (เจริญ าณวโร) พระอุบาลคี ณุ ูปมาจารย์ (เขม้ ธมมฺ สโร) พระธรรม
ไตรโลกาจารย์ (เฮง เขมจารี) พระเทพโมลี (เซ่ง อตุ ฺตโม) พระราชกวี (มณี ฉนโฺ น) สมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงพรหมวรานรุ ักษ์ พระยาจักรปาณีศรีศลี วิสุทธิ์ (ลออ ไกรฤกษ)์ และพระยาบรบิ ูรณ์ราชสมบัติ (หม่อมราชวงศ์
มูล ดารากร)
โดยมผี ลู้ าประชมุ ไดแ้ ก่ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (หมอ่ มราชวงศเ์ จรญิ าณฉนโฺ ท) อาพาธ และพระเจา้ พย่ี าเธอ กรมพระจนั ทบรุ นี ฤนาถ
ตามรายการน้ี ทา่ นทง้ั หลายคงเหน็ ไดว้ า่ เงนิ ทนุ นน้ั อยขู่ า้ งจะยอบแยบ เพราะนอกจาก
ตวั ตกึ แลว้ กย็ งั มเี ครอ่ื งประกอบอยา่ งอน่ื ๆ อกี เพราะฉะนน้ั ทา่ นผใู้ ดมศี รทั ธาในการน้ี ทย่ี งั
ไมไ่ ดอ้ อกเงนิ ฤๅออกแลว้ ไมถ่ งึ ๘๐ บาท มคี วามปรารถนาจะเพม่ิ ขน้ึ กย็ งั สง่ เงนิ ไดท้ พ่ี ระราชกวี
วดั บวรนเิ วศ.
ณ วนั ท่ี ๙ สงิ หาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๖๕
(ลงนาม) พระยาจกั รปาณศี รศี ลี วสิ ทุ ธ์ิ
173
พระยาจกั รปาณีศรศี ลี วสิ ุทธิ์
(ลออ ไกรฤกษ์) ภายหลงั มบี รรดาศักดท์ิ ่ี
เจา้ พระยามหธิ ร
การออกแบบสถาปัตยกรรมพระเมรุ 175
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๔ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอย่หู ัว ทรงพระ
กรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ �ำ พระเมรพุ ระราชทานเพลงิ พระศพสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยา
วชริ ญาณวโรรสท่ที อ้ งสนามหลวง เมื่อแรกก�ำ หนดไว้ในเดอื นมนี าคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ภายหลงั
เลอ่ื นกำ�หนดการออกไปอกี เดอื นหนง่ึ คือ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕
ครง้ั นน้ั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ จา้ พระยาธรรมาธกิ รณาธบิ ดี (หมอ่ มราชวงศป์ มุ้
มาลากลุ ) เปน็ ผกู้ �ำ กบั การ เจา้ พระยาธรรมาธกิ รณไ์ ดก้ �ำ หนดคา่ ใชจ้ า่ ยในการท�ำ พระเมรแุ ลการ
พระราชกศุ ลตา่ ง ๆ ประกอบดว้ ย
๑) การท�ำ พระเมรแุ ลพลับพลาทรงธรรม คด ซา่ ง แลสถานทีต่ า่ ง ๆ ตลอดเครอ่ื ง
พระราชทานเพลงิ รวมเปน็ เงนิ ๑๑๒,๕๘๒ บาท กบั ท�ำ ทบี่ รรจพุ ระองั คาร ณ ฐานพระพทุ ธไสยา
พระวหิ ารพระศาสดา ท�ำ ปะร�ำ พกั ขา้ ราชการแลพระสงฆ์ กบั หลอ่ พระพทุ ธรปู ฉลองพระองค๕์ ๑
ซึ่งจะประดษิ ฐานไว้ที่พระวหิ ารเก๋ง วัดบวรนิเวศวหิ าร รวมเปน็ เงนิ ๔,๗๗๑ บาท
๒) ซ่อมพระโกศทองใหญ่ ทำ�โกศทองคำ�ลงยาบรรจุพระอัฐิแลการพระราชกุศล
มีเคร่ืองสังเค็ด แลไตรผ้าขาวสดับปกรณ์ กับพิมพ์หนังสือพระราชทานในการพระศพ เงิน
๔๒,๗๐๐ บาท
๓) ซอ่ มเวชยนั ตราชรถทรงพระศพ ท�ำ พลบั พลาแลซอ่ มพลบั พลายกของเกา่ แลคา่ แรง
ท�ำ การต่าง ๆ รวมทง้ั ค่าสง่ิ ของตกแตง่ พร้อม เงนิ ๒๑,๔๕๐ บาท
รวมทง้ั ส้นิ เปน็ เงิน ๑๗๙,๗๗๓ บาท๕๒
๕๑ ภายหลงั มีการจัดสร้างตอ่ มาในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัว แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๗๑
๕๒ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, ร.๖ ว.๒๐/๒๓, “งานพระเมรุ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส,” ๘ พ.ย. – ๓๑ ม.ี ค. ๒๔๖๔.
ในสว่ นพระเมรสุ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสนน้ั สมเดจ็ พระเจา้
บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์๕๓ ทรงรับสนองพระบรมราชโองการท่ีทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้ออกแบบ กำ�หนดผังบริเวณ พระเมรุ พระท่ีน่ังทรงธรรม
ทับเกษตร และส้าง สำ�หรับเสาและร้ัวน้ันจะเป็นการออกแบบของพระยาจินดารังสรรค๕์ ๔
(ปล่งั วิภาตะศิลปิน)
โดยในส่วนของการกำ�หนดผังบริเวณของพระเมรุน้ัน กำ�หนดตำ�แหน่งการก่อสร้างอยู่
บรเิ วณทอ้ งสนามหลวงฝง่ั ใต้ โดยกอ่ สรา้ งอยตู่ รงมมุ ใกลถ้ นนหนา้ พระธาตตุ ดั กบั ถนนพระจนั ทร์
ทั้งนี้แนวกึ่งกลางของพระเมรุและพระท่ีน่ังทรงธรรมจะเย้ืองกับแนวก่ึงกลางของตึกหอพระ
สมดุ วชริ ญาณส�ำ หรับพระนคร หรือตกึ ถาวรวตั ถมุ าทางดา้ นทิศเหนอื พอสมควร เพอื่ ประโยชน์
ในการทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จะสามารถทอดพระเนตรกระบวนพระอสิ รยิ ยศ
พระศพ นบั แตก่ ระบวนเขา้ สลู่ านพระเมรจุ นจบสนิ้ พระราชพธิ ี ดงั ความในลายพระหตั ถท์ สี่ มเดจ็
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีถึงพระยาอาทรธุรศิลป์ อธิบดี
176 กรมศิลปากร วา่ “...ทต่ี ้งั พระเมรุ ฉานวางเล่ือนจากทเ่ี ก่าไปทางถนนพระจนั ทร เอาสูญไปตรง
ประตหู อพระสมดุ คอื ตรงนา่ วัดมหาธาตุ ด้วยประสงค์จะให้ประทับท่เี ดียว แตท่ อดพระเนตร
เหนการไดต้ งั้ แต่ตน้ กระบวนแห่ แลเอาพระสพลงจากรถ ตลอดจนเวยี นพระเมร.ุ ..” ๕๕
๕๓ ภายหลังด�ำ รงพระอิสริยยศที่ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ตวิ งศ์
๕๔ สุรศักดิ์ เจริญวงศ,์ สมเด็จฯ เจ้าฟา้ กรมพระยานริศรานวุ ัดติวงศ์ (กรุงเทพฯ : มตชิ น, ๒๕๔๙), หนา้ ๑๐๘.
๕๕ หมอ่ มราชวงศโ์ ต จติ รพงศ,์ พระประวตั แิ ละฝพี ระหตั ถข์ องสมเดจ็ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ (พระนคร : พระจนั ทร,์ ๒๔๙๓),
หนา้ ๖๗. (พิมพใ์ นงานพระราชทานเพลงิ พระศพสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ณ พระเมรทุ ้องสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๙๓).
ผงั บริเวณพระเมรุ 177
พระเมรุสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นกุฎาคาร
เรือนยอด สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ลักษณะเป็นพระเมรุทรงปราสาทจัตุรมุขย่อมุม
ไมส้ บิ สองยอดมณฑป เครอ่ื งยอดท�ำ เปน็ ปลอ้ งไฉนแบบพระเจดยี ์ ยอดบนสดุ ประดบั ฉตั ร ๕ ชน้ั
ตามที่หลวงวิศาลศิลปกรรม (เชื้อ ปัทมจินดา) ได้บันทึกไว้ว่า สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระ
นริศรานวุ ัดตวิ งศ์ทรงเคยรบั สง่ั วา่ “เป็นพระเมรพุ ระ เปน็ เมรุมณฑปยอดนภศลู เรียบ ๆ แต่
ทรวดทรงตอ้ งดว้ ยศิลปะลกั ษณะอย”ู่ ๕๖
๕๖ หมอ่ มราชวงศแ์ นง่ นอ้ ย ศกั ดศ์ิ รี และคณะ, สถาปตั ยกรรมพระเมรใุ นสยาม เลม่ ๒ (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พก์ รงุ เทพ (๑๙๘๔), ๒๕๕๕), หนา้ ๑๐๘ - ๑๑๓.
178
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟา้ กรมพระนรศิ รานุวัดตวิ งศ์
ภายหลงั ดำ�รงพระอสิ ริยยศท่ี สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ัดตวิ งศ์
พระเมรุดา้ นทศิ ตะวันออก
179
พระเมรุด้านทิศเหนอื
180
พระเมรุด้านทิศใต้
ผังพ้ืนอาคารพระเมรุเป็นรูปจัตุรมุขย่อมุมไม้สิบสอง ฐานช้ันล่างสุด คือฐานไพที
เป็นฐานหน้ากระดานเกล้ียง ท่ีมุมฐานช้ันนี้ประดับเสาโคมไฟฟ้า ส่วนฐานพระเมรุเป็นฐาน
ปทั มซ์ อ้ นสองชน้ั ฐานปทั มช์ นั้ ลา่ งเปน็ ชนั้ พาไล ฐานปทั มช์ นั้ บนเปน็ ฐานขององคพ์ ระเมรุ พระเมรมุ ี
มขุ ยน่ื ออกมาในทศิ ทง้ั ๔ มขุ แนวทศิ เหนอื และทศิ ใตย้ าวกวา่ มขุ แนวทศิ ตะวนั ออกและตะวนั ตก
ทมี่ ขุ ทศิ เหนอื มหี อเปลอื้ งตอ่ เนอื่ งจากหลงั คามขุ ลดชนั้ ลา่ ง โดยหอเปลอื้ งมลี กั ษณะเปน็ อาคารโถง
ขนาด ๒ ห้อง ทรงจัตุรมขุ มขุ ทศิ เหนอื ของหอเปลื้องมเี กยส�ำ หรบั รบั พระโกศพระศพ ซงึ่ จะ
เชิญมาโดยพระยานมาศสามลำ�คาน มุขทิศตะวันออกและตะวันตกของหอเปล้ืองมีผนังและ
เจาะชอ่ งหนา้ ตา่ ง โดยหอเปลือ้ งมีหน้าทส่ี �ำ หรับใช้เปลอ้ื งพระโกศทองใหญ่ ก่อนจะอญั เชิญข้นึ
ประดษิ ฐานบนพระจิตกาธานท่อี งค์พระเมรุ
181
รปู ด้านทศิ ตะวนั ตกของพระเมรุ
ฝีพระหตั ถ์สมเด็จฯ เจา้ ฟา้ กรมพระนรศิ รานวุ ัดตวิ งศ์
ด้านซา้ ย ตรงกับทิศเหนือของพระเมรุ เป็นหอเปลื้องเทียบพระยานสามลำ�คานอัญเชิญ
พระโกศส่พู ระเมรุ
ด้านขวา ตรงกับทิศใต้ของพระเมรุ เป็นพลับพลายกสำ�หรับประทับทอดพระเนตรพิธี
สามหาบ
182
ผงั พนื้ พระเมรุ
ตรงกลางเปน็ ผังรปู จัตุรมขุ ขององคพ์ ระเมรุ
ดา้ นซ้าย ตรงกับทิศเหนือของพระเมรุ เป็นหอเปลื้องเทียบพระยานสามลำ�คานอัญเชิญ
พระโกศสู่พระเมรุ
ด้านขวา ตรงกับทิศใต้ของพระเมรุ เป็นพลับพลายกสำ�หรับประทับทอดพระเนตรพิธี
สามหาบ
183
รูปตัดพระเมรุ
แสดงระดับพ้นื และฝา้ เพดานภายในพระเมรุ
ผนงั องคพ์ ระเมรกุ รทุ บึ ดว้ ยไมส้ งิ คโปร๕์ ๗ กงึ่ กลางฐานยกพนื้ ภายในองคพ์ ระเมรเุ ปน็ ทตี่ งั้
พระจติ กาธาน มชี ่องคหู าเปิดโล่งเขา้ พระเมรุจากมขุ ทศิ ทง้ั ส่ี กรอบคูหาตอนบนประดับไมฉ้ ลุ
เปน็ ซุ้มย่อมุมไมส้ บิ สอง เหนือชอ่ งคหู าดา้ นในองคพ์ ระเมรตุ กแต่งเป็นซุม้ ทรงปะรำ� ระหว่าง
ชว่ งเสามขุ ทัง้ สต่ี ดิ ต้ังฉากบังเพลิง และม่าน
หนา้ บนั มุขลดขององคพ์ ระเมรุทง้ั ๓ ด้าน คือ ทิศตะวันตก ทศิ ใต้ และทิศตะวันออก
ประดบั ด้วยอกั ษรขอม เป็นบทพระบาลที ส่ี มเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
๕๗ ไม้สงิ คโปร์ คอื ไมเ้ นอ้ื อ่อนทีน่ �ำ เขา้ มาจากเมอื งสิงคโปร์นบั แตส่ มัยรชั กาลที่ ๕ นิยมใช้ท�ำ ลงั ไมบ้ รรจุสนิ ค้า
ทรงพระนพิ นธข์ น้ึ และทรงมนสกิ ารภาวนาอยใู่ นพระไตรลกั ษณเ์ ปน็ อารมณต์ ราบจนสน้ิ พระชนม์
เรยี งลำ�ดับดังน้ี
หนา้ บนั มขุ ลดดา้ นทศิ ตะวนั ตก ประดบั พระบาลวี า่ “สงขฺ ารา อนจิ จฺ า วปิ ปฺ รณิ ามธมมฺ า
สนตฺ ตปิ ฏพิ ทธฺ า” แปลวา่ “สงั ขารทง้ั หลายไมเ่ ทยี่ ง มคี วามเปลยี่ นแปลงไปเปน็ ธรรมดา เนอ่ื งดว้ ย
สันตติ คอื ความสบื ตอ่ ”
หนา้ บนั มขุ ลดดา้ นทศิ ใต้ ประดบั พระบาลวี า่ “สงขฺ ารา ทกุ ขฺ า ตํ กเุ ตตถฺ ลพภฺ า” แปลวา่
“สงั ขารทง้ั หลายเปน็ ทกุ ข์ ข้อทจ่ี ะเปน็ สุข จะพงึ ได้ในสงั ขารนนั้ แตท่ ่ีไหน”
หนา้ บนั มขุ ลดดา้ นทศิ ตะวนั ออก ประดบั พระบาลวี า่ “สงขฺ ารา อนตตฺ า ยถาปจจฺ ยํ ปวตตฺ นตฺ ”ิ
แปลวา่ “สงั ขารท้งั หลายเป็นอนัตตา เปน็ ไปตามเหตปุ ัจจัย” ดังน้ี
184 โดยบทพระไตรลกั ษณท์ ป่ี ระดบั มขุ ลดหนา้ บนั องคพ์ ระเมรนุ ี้ ประดบั อยภู่ ายใตส้ ญั ลกั ษณ์
ประจ�ำ พระองค์ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ดังความในลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระนรศิ รานวุ ัดตวิ งศ์
ทรงมถี งึ พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เจรญิ าณวโร) วดั เทพศริ นิ ทราวาส๕๘ ความวา่ “...พระเมรุ
ที่ถวายพระเพลิง พระสรีรสมเดจพระมหาสมณเจ้า เกล้าผมคิดอยู่ว่าพระเมรุคราวนี้ควร
จะเล่นหนังสือแทนท่ีลาย จะเปนการสมควร เมื่อได้พระปัจฉิมวาจาน้ีก็คิดทันทีว่าจะเอาข้ึน
นา่ บรรพ ทุกขํ มขุ หนงึ่ อนจิ จํ มุขหน่ึง แลอนัตตา มุขหน่งึ ยงั มีอีกมุขหนงึ่ เอาพระตราของ
ท่าน ฤๅพระนามกจ็ ะเขา้ กันดี บางทีจะตอ้ งการหนังสอื ปัญจบุ นั ในทีอ่ ืน่ อกี ขอเจา้ คณุ ไดโ้ ปรด
ช่วยนึกเลอื กไว้ด้วย อไรจะใชไ้ ด้อีกบ้าง ควรจะเปนคำ�ส้นั ๆ เพราะจะได้หนงั สอื ตัวโต อา่ นง่าย
ไดค้ วามเขา้ ใจเร็ว แลควรจะเปนธรรมทยี่ กพระเกียรตคิ ุณของพระองคท์ า่ น...” ๕๙
๕๘ ภายหลังดำ�รงสมณศักด์ิที่ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์
๕๙ หมอ่ มราชวงศโ์ ต จิตรพงศ์, พระประวัติและฝพี ระหตั ถ์ของสมเดจ็ เจ้าฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ,์ หน้า ๖๘.
นอกจากนย้ี ังปรากฏคาถาอกั ษรขอมภาษาบาลีบนหนา้ บันหอเปล้อื ง ประกอบดว้ ย 185
หน้าบันหอเปลื้องมุขด้านทิศตะวันตกประดับพระบาลีซึ่งเป็นพระปัจฉิมวาจาของพระ
สมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทวี่ า่ “อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ” แปลวา่ “ทา่ นทง้ั หลาย จงยงั ความไมป่ ระมาท
ให้ถึงพรอ้ ม”
หน้าบันหอเปลอ้ื งมขุ ดา้ นทิศเหนือประดบั พระบาลที ี่มาในพระไตรปฎิ กวา่ “ปญฺาชวี ี
ชวี ติ มาหุ เสฏ€ฺ ”ํ แปลวา่ “คนทเี่ ปน็ อยดู่ ว้ ยปญั ญา นกั ปราชญท์ งั้ หลายกลา่ ววา่ มชี วี ติ ประเสรฐิ ”
หน้าบันหอเปลื้องมุขด้านทิศตะวันออกประดับพระบาลีซ่ึงเป็นบทพระนิพนธ์ในสมเด็จ
พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสท่ีวา่ “สขุ ํ สุปติ พทุ ฺโธ จ เยน เมตตฺ า สุภาวิตา”
แปลว่า “ผเู้ จริญเมตตาดแี ลว้ ย่อมหลบั และต่ืนเป็นสขุ ”
เคร่ืองบนหลังคาพระเมรุเป็นทรงมณฑปที่มีช้ันเชิงกลอน ๕ ชั้น แต่ละช้ันเจาะเป็น
ช่องระบายควนั ในระหว่างชั้นเชิงกลอนทุกชน้ั ถดั ข้ึนไปเปน็ องคร์ ะฆงั บัลลงั ก์ แต่ที่ต่างไปจาก
หลงั คาทรงมณฑปคอื สว่ นทเ่ี ปน็ เหมและบวั กลมุ่ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระนรศิ รานวุ ดั ตวิ งศท์ รง
ออกแบบให้มีรูปทรงคลา้ ยปล้องไฉนของพระเจดยี ์ ยอดบนสดุ ปกั ฉตั ร ๕ ชัน้ ตามพระอสิ รยิ ยศ
พลบั พลายก เปน็ อาคารทส่ี รา้ งบนฐานไพทดี า้ นทศิ ใต้ ใชเ้ ปน็ สถานทส่ี �ำ หรบั พระบาท
สมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประทบั ทอดพระเนตรพธิ เี ดนิ สามหาบ มลี กั ษณะเปน็ อาคารโถง
ผงั อาคารเป็นรปู สเ่ี หล่ยี มผืนผ้า หน้าบัน ประดับพระบาลี อักษรขอม ภายใต้ฉตั ร ๓ ชั้น โดย
หนา้ บนั ด้านทิศตะวันตกจารกึ ว่า “นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺ”ํ แปลว่า “พระนพิ พานเป็นความดับ
อยา่ งยิง่ ” สว่ นหน้าบันด้านทศิ ตะวันออกจารกึ ว่า “รปู ํ อนจิ จฺ ”ํ แปลว่า “รูปไมเ่ ทีย่ ง”
พระท่ีนั่งทรงธรรม เป็นอาคารประกอบพระเมรุ ใช้เป็นที่ประทับและประกอบ
พระราชพธิ ีทรงบ�ำ เพ็ญพระราชกุศลในการพระราชทานเพลงิ พระศพสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตง้ั อยทู่ างทิศตะวนั ตกของพระเมรุ หน้าบันทปี่ ระดับตราอณุ าโลม
ภายใต้พระมหาพชิ ยั มงกฎุ
186
รปู ด้านทศิ ตะวนั ออกของพระท่ีนง่ั ทรงธรรม
ผงั พื้นพระทนี่ ั่งทรงธรรม
187
พระราชอาสน์ และบุษบกประดิษฐานพระโกศ
พระอัฐภิ ายในพระทน่ี ัง่ ทรงธรรม
ผงั พนื้ พระทนี่ งั่ ทรงธรรมน้ี อยใู่ นผงั แบบจตั รุ มขุ ยาว ๘๐ เมตร กวา้ ง ๔ เมตร แตเ่ นอ่ื งดว้ ย
การขยายพ้นื ทขี่ องชั้นลดตลอดแนวอาคารดา้ นตะวันออก จึงทำ�ใหผ้ ังมีลักษณะคล้ายตรีมุข
พระทน่ี ง่ั หลงั กลางใชเ้ ปน็ ทปี่ ระทบั และบ�ำ เพญ็ พระราชกศุ ล โดยมขุ ดา้ นทศิ ตะวนั ตกใช้
เปน็ ท่ีบำ�เพ็ญพระราชกุศล ท่สี �ำ ราญพระอิริยาบถ และห้องทรงเคร่อื ง มขุ ดา้ นทิศตะวนั ออกท่ี
เป็นประทับหนั หนา้ ไปส่พู ระเมรุ ปีกขวาของพระท่ีนงั่ เป็นท่เี ฝา้ ของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน
และปกี ซา้ ยของพระท่ีนง่ั เปน็ ท่เี ฝ้าของพระบรมวงศานุวงศ์ฝา่ ยหนา้
ทบั เกษตร เป็นอาคารท่สี ร้างขึน้ ทางด้านทศิ ตะวนั ออกของพระเมรเุ พยี งฝง่ั เดยี ว ใช้
เป็นสถานที่สำ�หรับฟังสวดพระอภิธรรมในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ มีลักษณะ
เป็นอาคารโถง ๒ หลังติดกับแนวราชวตั ิ บริเวณดา้ นทิศเหนือและทิศใตข้ องทับเกษตรแต่ละ
หลังนน้ั เปน็ ทต่ี ้ังของซา่ ง
ซา่ ง หรือส�ำ สา้ ง เป็นสถานทส่ี �ำ หรบั พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม รวม ๔ หลัง
ส�ำ หรบั พระพธิ ธี รรม ๔ ส�ำ รบั นง่ั ประจ�ำ แตล่ ะซา่ งโดยผลดั กนั สวดทลี ะซา่ งเวยี นกนั ไป ลกั ษณะ
เป็นอาคารแบบปอ้ มปราการมผี งั รูปสี่เหลย่ี ม มหี ลังคาลาดซอ้ นสองช้นั สว่ นบนของผนงั ซ่าง
ทำ�ด้วยไม้สิงคโปร์ ในลักษณะของการจำ�ลองการประดับใบเสมาต่อเน่ืองกับแนวราชวัติ
ด้านตะวนั ออก ที่ประดับใบเสมาเช่นกัน
188
ซา่ ง หรอื สำ�ส้าง
ดว้ ยการออกแบบพระเมรขุ องสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระนรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ 189
น้ัน ทรงมีแบบแผนเฉพาะพระองค์ที่จะต้องใส่อาคารประเภททับเกษตรและสำ�ส้างประกอบ
เข้าไปกับพระเมรุด้วยเสมอ แม้จะมีลักษณะที่เป็นการโอบล้อมเพียงซีกเดียวก็ตาม ทั้งนี้เป็น
เพราะในความคิดและความเข้าพระทยั ของพระองคน์ ัน้ ทรงมพี ระวนิ จิ ฉัยว่างานพระศพทจ่ี ะ
เรียกว่าเป็นพระเมรุได้น้ัน ต้องมีสำ�ส้างและทับเกษตรอยู่ห้วย หากไม่มีจะเรียกเป็นพระเมรุ
ไม่ได้ ต้องเรียกเป็นชื่ออื่นว่า “โรงทึม”๖๐ ดังความในลายพระหัตถ์ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอ เจา้ ฟ้ากรมพระนริศรานวุ ดั ตวิ งศ์ ทรงมถี ึงพระยาอนมุ านราชธน ลงวนั ที่ ๑๙ กมุ ภาพนั ธ์
พ.ศ. ๒๔๘๒ ทวี่ า่ “...แตป่ ลูกโดดเดย่ี วเปนโรงทมึ และถ้ามอี ะไรลอ้ มก็เปน เมรุ นั่นเปนถกู แล้ว
ตามลักษณ...” ๖๑
ราชวัติ ชักร้ัวล้อมรอบองค์พระเมรุและพระท่ีน่ังทรงธรรม โดยราชวัติด้านทิศเหนือ
ทิศตะวันตก และทิศใต้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบราชวัติทึบในอดีตท่ีทำ�ด้วยไม้ไผ่ กลายเป็น
ราชวตั ทิ ที่ บึ เฉพาะตอนลา่ ง สว่ นตอนบนเปน็ รวั้ โปรง่ มเี สาสงู ตรงประตทู างเขา้ หวั เสาท�ำ เปน็
ซมุ้ ตะเกยี งยอดแหลมภายในตดิ ไฟฟา้ ใหแ้ สงสวา่ ง ส�ำ หรบั ราชวตั ทิ ศิ ตะวนั ออกท�ำ เปน็ ระเนยี ด
ที่มียอดเปน็ ใบเสมา
คร้ันภายหลังเสร็จการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรสแลว้ พระเมรอุ งค์น้ไี ดใ้ ช้สืบมาอกี ๒ งาน ไดแ้ ก่ งานเมรพุ ระยา
ศิรริ ตั นมนตรี (หงส์ สุจรติ กลุ ) และทา้ ววนดิ าพิจารณิ ี (เหม สจุ ริตกลุ ) เมอ่ื วันท่ี ๑๗ เมษายน
พ.ศ. ๒๔๖๕ และงานเมรเุ จ้าพระยาบดนิ ทรเดชานุชิต (หมอ่ มราชวงศ์อรุณ ฉัตรกลุ ) และ
เจา้ พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เมอื่ วนั ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕
๖๐ สมคิด จิระทัศนกุล, งานออกแบบสถาปัตยกรรมไทยฝีพระหัตถ์สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ภาคปลาย (กรุงเทพฯ :
อมรินทร์พรน้ิ ตงิ้ แอนดพ์ บั ลชิ ชง่ิ , ๒๕๕๖), หนา้ ๘๑๔.
๖๑ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ัดตวิ งศ์ และพระยาอนมุ านราชธน, บันทกึ เรื่องความรตู้ า่ ง ๆ เล่ม ๓ (พระนคร :
สมาคมสังคมศาสตรแ์ ห่งประเทศไทย, ๒๕๐๖), หนา้ ๓๑๐.
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำ�เนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง
ถึงยังบริเวณตำ�หนกั เพ็ชร
พระราชพธิ พี ระราชทานเพลงิ พระศพ 191
สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งพระเมรุ
ข้นึ ท่ที อ้ งสนามหลวง ส�ำ หรับพระราชทานเพลงิ พระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา
วชิรญาณวโรรส พระราชอุปัธยาจารย์ และโปรดให้มีการบําเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ
ณ ตําหนักเพช็ ร วดั บวรนิเวศวิหาร รวม ๒ วนั ระหว่างวันท่ี ๗ - ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕
วนั ศกุ รท์ ี่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๕
เปน็ วนั เรม่ิ งานพระราชทานเพลงิ พระศพสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณ
วโรรส โปรดใหต้ ั้งการบ�ำ เพ็ญพระราชกุศลทว่ี ดั บวรนิเวศวิหาร
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยหู่ ัว โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานพระโกศทองใหญ่
ประกอบพระศพ ประดบั พุ่งเฟื่องเต็มพระอสิ ริยยศ ในคราวออกพระเมรุ
โดยในเวลา ๑๗.๓๐ น. พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์
ภษู าขาว ประดบั เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณจ์ ลุ จอมเกลา้ ชนั้ ปฐมจลุ จอมเกลา้ เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ
โดยรถยนตพ์ ระทน่ี ง่ั จากพระราชวงั พญาไทถงึ ยงั ต�ำ หนกั เพช็ ร วดั บวรนเิ วศวหิ าร ทรงสกั การะ
พระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส โปรดเกล้าฯ ให้พระราช
มุนี (อยู่ อตุ ตฺ รภทโฺ ท)๖๒ เจ้าอาวาสวดั ประยรุ วงศาวาส ถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ ๑ จบ
แล้ว ทรงจุดเทียนบูชาธรรมทเ่ี ตียงสวด พระสงฆ์ ๔ รูปสวดพระธรรมบรรยายตามเทศน์ จบ
แลว้ ทรงประเคนเครื่องไทยธรรมบูชา กณั ฑเ์ ทศน์ และทรงทอดผา้ ไตร ทรงประเคนพัดเป็น
๖๒ ภายหลงั ดำ�รงสมณศกั ดิ์ที่ พระธรรมไตรโลกาจารย์
ตำ�หนักเพ็ชร และศาลาเครื่องสงั เค็ดเนอื่ งในพระราชพิธี
พระราชทานพระเพลิงพระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
192
เคร่อื งสงั เวยในพธิ ีกงเตก๊ ณ ศาลาแดง หน้าพระอโุ บสถ