รายงาน สรุรุ รุ ป รุ ปการอบรมทางวิวิวิชวิาการ วัวัวันวัที่ที่ ที่ที่ 12 สิสิสิงสิหาคม - 1 กักันกักัยายน 2566 นันั นั ก นั กวิวิวิชวิาการสาธารณสุสุ สุ ข สุ ข รุ่รุ่น รุ่ นที่ที่ ที่ที่ 11 ณ สถาบับันบับัพัพัพัพัฒนาบุบุคบุลากรท้อท้งถิ่นถิ่คบุลากรท้อท้งถิ่น ตำตำตำตำบลคลองหนึ่นึ่ง นึ่ ง นึ่ อำอำอำอำเภอคลองหลวง จัจัจังจัหวัวัวัดวั ปทุทุทุมทุธานีนีนีนี
คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นเอกสารทางวิชาการที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรม หลักสูตร นักวิซาการสุข รุ่นที่ 11 ระหว่างวันที่ 12 สิงหาคม – 1 กันยายน 2566 ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย โดยคณะผู้จัดทำได้จัดทำสรุปเนื้อหา ทางวิชาการจาก การบรรยายโดยวิทยากร จำนวน 120 ชั่วโมง และการศึกษาดูงานนอกสถานที่ จำนวน 2 วัน และได้ศึกษาเอกสาร วิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรม เช่น ความรู้ว่าด้วยกฎหมายสาธารณสุข การบริหารจัดการกองทุน หลักประกันสุขภาพ พระราชบัญญัติด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ผลจากการฝึกอบรม หลักสูตร นักวิชาการสาธารณสุข ทำให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ ทักษะ วิสัยทัศน์ และทัศนคติ ที่ถูกต้องและเหมาะสม ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเอกสารทางวิชาการฉบับนี้ จักเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้ารับการศึกษา อบรม หรือผู้ที่สนใจสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการ และการศึกษาคันคว้าเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุง พัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ได้เป็นอย่างดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการตลอดจนนำไปขยายผล หรือจัดทำ คู่มือ กิจกรรม หรือโครงการเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ ปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการ ท้ายนี้ ขอขอบคุณคณะกรรมการนักศึกษา รวมทั้งเพื่อนนักศึกษา หลักสูตรนักวิชาการสาธารณสุข รุ่นที่ 11 ทั้ง 76 คน ท่านผู้อำนวยการโครงการฯ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ และคณะทำงานทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการอำนวย ความสะดวกในการศึกษาอบรม การจัดทำรายงาน ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะ มาตรการและแนวทางการแก้ไข ปัญหา ซึ่งส่งผลต่อการฝึกอบรมฯ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นักวิชาการสาธารณสุข รุ่นที่ 11 1 กันยายน 2566
สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข สรุปสาระสำคัญรายวิชา การพัฒนาบุคลิกภาพและการสมาคม 1 การป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคพิษสุนัขบ้า และการจัดสวัสดิภาพสัตว์ 4 จิตอาสาพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 16 การวิเคราะห์ปัญหาการปฏิบัติงานในหน้าที่ 24 ระบาดวิทยา การควบคุม และส่งเสริมการป้องกันโรค 28 การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต และการสื่อสารในยุคดิจิทัล 43 การควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 46 โครงสร้างอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายจัดตั้ง 50 บทบาท อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายกระจายอำนาจ 59 การป้องกันและควบคุมโรคอุบัติใหม่หรือโรคติดต่อ 64 แนวทางในการปฏิบัติการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ 71 การวางแผนครอบครัว 78 ความรู้ว่าด้วยกฎหมายสาธารณสุข 79 การคุ้มครองผู้บริโภคและอนามัยสิ่งแวดล้อม 105 แนวทางการขับเคลื่อนอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 118 การส่งเสริมและป้องกันแก้ปัญหาสุขอนามัยตามกลุ่มวัย 119 การส่งเสริมสุขภาพชุมขน และการมีส่วนร่วม 123 การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในยุค Thailand ๔.๐ 126 การปฐมพยาบาลเบื้องต้น 130 การวางแผน ติดตาม และนิเทศงานสาธารณสุข 137 สถิติการวิจัยและประชากรศาสตร์เบื้องต้นเพื่อส่งเสริมการสาธารณสุขชุมชน 140 มาตรการส่งเสริมและป้องกันคุณภาพชีวิตประชากรในพื้นที่ (มาตรการจัดการโควิด - ๑๙) 145 สิทธิประโยชน์และการคุ้มครองประชาชนตามหลักประกันสุขภาพ 150 การบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพในท้องที่หรือพื้นที่ 156 การส่งเสริมภาวะโภชนาการ 160 การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น และการประสานแผนพัฒนาท้องถิ่น 165 การขับเคลื่อนภารกิจ่ถายโอน “โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)” 170 การบริการอนามัยแม่และเด็ก 171
สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า กฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ความผิดทางละเมิดและข้อมูลข่าวสารของทาง ราชการ 173 การจัดทำแผน/โครงการ และการบริหารโครงการ 179 การเสริมสร้างแรงจูงใจ และทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติงาน 184 ภารกิจด้านสาธารณสุขขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 189 แนวทางการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของ บ้านเมือง 197 กิจกรรมศึกษาดูงาน นอกสถานที่ ระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ 202 ภาพกิจกรรม 214 ผลงานการออกแบบ infographic สรุปกิจกรรมประจำวัน 218
1 วิชา การพัฒนาบุคลิกภาพและการสมาคม โดย ผศ.ดร.จินตนา ติยะรังสีนุกูล นักวิชการอิสระ ความหมายของบุคลิกภาพ เป็นลักษณะโดยรวมของบุคคล ทั้งรูปลักษณ์ทางกาย อารมณ์ สังคม พฤติกรรมและสติปัญญา ซึ่งทำให้มีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล การพัฒนาบุคลิกภาพ Personality Development คำว่า “บุคลิกภาพ” (Personality) มาจากภาษาลาตินว่า “Persona” ซึ่งแปลว่า หน้ากากที่ตัวละคร สมัยกรีกและโรมันสวมใส่เพื่อแสดงบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกัน ให้ผู้เห็นได้ในระยะไกล ๆ นักจิตวิทยาได้ให้ ความหมายของคำว่า “บุคลิกภาพ” ไว้ต่าง ๆ ดังนี้ บุคลิกภาพ หมายถึง สภาวะทุกอย่างที่ ประกอบกันขึ้นเป็นตัวบุคคล โดยหมายรวมถึงคุณสมบัติ หรือคุณลักษณะทาง จิตใจ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการกระทำของบุคคล ในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นหน่วยรวมของระบบ ทางกายและจิตภายในตัวบุคคล ซึ่งกำหนดลักษณะการปรับตัวเป็นแบบเฉพาะของบุคคลนั้นต่อสิ่งแวดล้อมของเขา บุคลิกภาพของแต่ละบุคคลจะเห็นได้ชัดเจนจากลักษณะนิสัยในการคิดและการแสดงออกรวมทั้งทัศนคติและความ สนใจต่าง ๆ กิริยาท่าทาง ตลอดจนปรัชญาชีวิตที่บุคคลนั้นยึดถือ ตัววัดบุคลิกภาพ ๓ ประการ ประกอบด้วย ประการที่ ๑ คำพูดที่สื่อความรู้สึกนึกคิด ประการที่ ๒ อากัปกริยาที่แสดงออก ประการที่ ๓ การเปลี่ยนแปลงทางสรีระ ความสำคัญของการมีบุคลิกภาพดี การมีบุคลิกภาพที่ดี นั้นจะเป็นผลให้ บุคคลนั้นมีลักษณะ สำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ในแง่มุมต่าง ๆ ดังนี้ ๑. มีความสามารถในการรับรู้และเข้าใจในสภาพความจริงได้อย่างถูกต้อง ๒. การแสดงอารมณ์จะอยู่ในลักษณะและขอบเขตที่เหมาะสม ๓. มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและสังคมได้ดี ๔. มีความสามารถในการทำงานที่อำนวยประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคมได้ ๕. มีความรัก และความผูกพันต่อผู้อื่น ๖. มีความสามารถในการพัฒนาตนเอง และพัฒนาทางการแสดงออกของตนต่อผู้อื่นได้ดีขึ้น การพัฒนาบุคลิกภาพกับการสร้างความสำเร็จในชีวิต การพัฒนาบุคลิกภาพเป็นหนทางสำคัญที่จะนำบุคคลไปสู่ความสำเร็จ ในชีวิตเพราะการที่คนเราจะสร้าง ความสำเร็จในชีวิตได้ จำเป็นต้องพัฒนาความสามารถสำคัญ ๓ ประการ ๑. ความสามารถในการครองตน คือ จะต้องดูแลตนเองให้กินดีอยู่ดีมีความพอใจในชีวิตและลิขิตชีวิต ตัวเองได้ ๒. ความสามารถในการครองคน คือ สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี เป็นที่รักใคร่ ของญาติมิตร รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้ความสำคัญกับผู้อื่นจนชนะใจผู้อื่นได้
2 ๓. ความสามารถในการครองงาน คือ สามารถทำงานให้ประสบความสำเร็จในงานอาชีพ มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ มีความก้าวหน้าในงานที่รับผิดชอบ ปัญหาการขาดความสามารถในการปรับตัว เมื่อบุคคลไม่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาวการณ์และบุคคลอื่นที่แวดล้อมจะเป็นผลให้บุคคลนั้น มีลักษณะที่ไม่เป็นผลดีต่อตนเองในการดำเนินชีวิต ดังนี้ ๑. เป็นคนที่มีอาการเคร่งเครียด ๒. ทำให้มีอาการเจ็บป่วยทางกาย จากสาเหตุของความเครียด ๓. หย่อนสมรรถภาพในการดำเนินชีวิต การยืน ๗ ท่วงท่าอันตราย : สัญญาณร้ายของบุคลิกภาพ ๑. เวลายืนศีรษะ และหน้าท้องยื่น ๒. ไหล่ห่อ ก้มมองไปข้างหน้า ๓. ห่อหมกห่อ หน้าอกโค้งงอเข้าไป หลังงอ ๔. หน้าท้องยื่น ๕. ก้นยื่นไปข้างหลัง ๖. เขาทั้งสองไม่ตึง งอ อยู่ไม่ถูกที่ถูกทาง ๗. ปลายเท้าชี้ออกหรือชี้เข้า การเดินที่มีประสิทธิภาพ เดินปล่อยไหล่สบายๆไหล่ไม่ห่องุ้มไม่ก้มจนเกินไปสายตามองตรงไปข้างหน้าประมาณ ๕ - ๖ เมตร เดินลงน้ำหนักด้วยส้นเท้าแล้วค่อยวางเท้าลงจนเต็มฝ่าเท้ากดปลายเท้า และยกส้นเท้าขึ้นเพื่อส่งน้ำหนักไปที่เท้า ส่วนหน้านิ้วเท้าจะช่วยผลักให้ก้าวเดินต่อไปได้อย่างสมดุล การนั่งที่ถูกต้อง ไม่ควรนั่งในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ สลับจากท่านั่งเป็นยืนบ้าง ขณะนั่งสะโพกต้องอยู่สูงกว่าเข่า เท้าทั้งสองข้างต้อง วางบนพื้น ลงน้ำหนักที่สะโพกเท่ากันบนเบาะนั่งตัวตรงให้หลังและไหล่แนบกับพนักพิง ผ่อนคลายไหล่ วางข้อศอกและแขนบนที่วางแขน การแต่งกาย การแต่งกายเป็นมารยาททั่ว ๆ ไป ซึ่งทุกคนต้องปฏิบัติเหมือนกันตามแต่โอกาสที่เหมาะสม เช่น แต่งกายไปทำงาน ไปวัด ทำบุญ ไปเล่นกีฬา และงานพิธีต่าง ๆ หรือการแต่งกายที่อยู่ในเครื่องแบบของนักเรียน นักศึกษา ทหาร ตำรวจ บริษัทห้างร้านที่กำหนดให้พนักงานแต่งกาย เป็นต้น หากบุคคลใดสามารถปฏิบัติได้ตาม กฎระเบียบที่กำหนดถือว่าเป็นผู้มีมารยาทในการแต่งกายที่ดีช่วยสร้างความประทับใจให้เกิดแก่ผู้พบเห็น เพราะการแต่งกายที่ดีนั้นเป็นสิ่งแรกที่จะสร้างความพอใจ ความสนใจ ความเชื่อถือ ความศรัทธาและความไว้วางใจได้ ความสำคัญของการแต่งกาย มีดังนี้ ๑. ช่วยบงบอกถึงอุปนิสัยของผู้แต่ง ๒. ช่วยบอกถึงระดับการศึกษา ๓. ช่วยบอกถึงฐานะความเป็นอยู่ ๔. ช่วยบอกถึงเชื้อชาติและวัฒนธรรมประจำชาติ
3 การแต่งกายในสถานที่ราชการ ควรใส่สีสุภาพ เรียบร้อย รองเท้าเป็นรองเท้าหุ้มส้น รองเท้าและกระเป๋าควรเป็นสีที่เข้ากัน ไม่ควรสวม เสื้อปล่อยชายออกนอกกระโปรง กางเกง กลัดกระดุมทุกเม็ด ไม่ควรสวมรองเท้าแตะ การแต่งกายไปพบผู้ใหญ่ ๑. ควรแต่งกายให้สุภาพไม่สวมแว่นตาดำ ๒. การเลือกเครื่องแต่งกายทั้งชายและหญิง ไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับมากเกินไป ๓. ชาย : ควรมีนาฬิกา เนคไท เข็มกลัดเนคไท แหวนแบบเรียบ ๆ แหวนรุ่น แว่นกันแดด ๔. หญิง : ควรมีสร้อยคอ สร้อยข้อมือ นาฬิกา แหวนทอง แหวนเพชรแบบเรียบ ๆ กำไล ต่างหู การแต่งกายที่สุภาพเมื่อมาวัด (งานบุญ) - ควรสวมเสื้อผ้าสีขาวทั้งชุดหรืออย่างน้อยก็เสื้อสีขาวเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย - ไม่ควรสวมเสื้อผ้าโปร่งบาง หรือหรูหราราคาแพงเกินไป - ไม่ควรสวมเสื้อผ้ารัดรูป - ไม่ควรสวมกางเกงรัดรูป ไม่ควรนุ่งกระโปรงสั้นหรือผ่าหน้าผ่าหลัง ควรนาผ้าคลุมเข่าไปด้วยเพื่อใช้ คลุมเข่าขณะนั่งพับเพียบหรือนั่งสมาธิ - ควรเว้นการประพรมน้ำหอม - ไม่ควรแต่งหน้า เขียนคิ้ว ทาปาก ทาเล็บ ฯลฯ จนเกินงาม - ไม่ควรสวมเครื่องประดับราคาแพง เช่น แหวนเพชร นาฬิกาเรือนทอง หรือสร้อยทองคาเส้นโต ๆ ฯลฯ การแต่งกายที่สุภาพเมื่อมาวัด (งานศพ) - หญิงสวมเสื้อคอปิดสีดำ สีขาวดำ รองเท้าหุ้มส้น ไม่สวมเครื่องประดับมากเกินไป ไม่ใส่เครื่องประดับที่ มีสีสัน - ชายสวมชุดสีเข้มหรือสูท รองเท้าคัทชู ถ้าสวมชุดสากลจะติดแขนทุกที่ข้างซ้ายเหนือศอก การแต่งกายร่วมงานมงคล งานแต่งงาน งานเลี้ยงต้อนรับ งานเต้นรา งานวันเกิด ซึ่งเป็นงานรื่นเริง งานมงคล ควรสวมเสื้อผ้า ที่หรูหราเล็กน้อย รองเท้าหุ้มส้นหรือสวมสูท (สาหรับท่านผู้ชาย)
4 วิชา การป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคพิษสุนัขบ้า และการจัดสวัสดิภาพสัตว์ โดย นายปุริษ ออคูณสวัสดิ์ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดปทุมธานี พระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ สัตว์ควบคุม : สุนัขหรือสัตว์อื่นที่กำหนดในกระทรวง เจ้าของ : รวมถึงผู้ครอบครองด้วย วัคซีน : วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าสำหรับสัตว์ เครื่องหมายประจำตัวสัตว์ : เครื่องหมายประจำตัวสัตว์ควบคุม อาการของโรคพิษสุนัขบ้า : ในกรณีของสัตว์ อาการที่สัตว์นั้นดุร้าย วิ่งเพ่นพ่านกัดสิ่งกีดขวางหรือเซื่องซึม ซุกตัวในที่มืด ปากอ้า ลิ้นห้อยและสีแดงคล้ำ น้ำลายไหล ตัวแข็ง หรือขาอ่อนเปลี้ย เดินโซเซ และในกรณีของสัตว์ ควบคุมอื่น อาการตามที่อธิบดีประกาศกำหนด ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ : ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการบำบัด โรคสัตว์ สัตว์แพทย์ : สัตวแพทย์ของกรมปศุสัตว์หรือของราชการส่วนท้องถิ่น และหมายความรวมถึงผู้ซึ่งมีวุฒิ ไม่ต่ำกว่าประกาศนียบัตรวิชาสัตวแพทยศาสตร์ซึ่งปฏิบัติงานในหน่วยงานอื่นของรัฐ ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็น สัตวแพทย์เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่ : สัตว์แพทย์และผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ เจ้าพนักงานท้องถิ่น : หมายความว่า (๑) นายกเทศมนตรีสำหรับในเขตเทศบาล (๒) ประธานกรรมการสุขาภิบาลสำหรับในเขตสุขาภิบาล (๓) ผู้ว่าราชการจังหวัดสำหรับในเขตองค์การบริหารส่วนส่วนจังหวัด (๔) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร (๕) ปลัดเมืองพัทยาสำหรับในเขตเมืองพัทยา (๖) หัวหน้าผู้บริหารท้องถิ่นขององค์การปกครองท้องถิ่นที่กฎหมายกำหนดให้ อธิบดี : อธิบดีกรมปศุสัตว์ รัฐมนตรี : รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๒๘ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้ง สัตวแพทย์และพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ ลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียม และกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
5 โรคพิษสุนัขบ้า โรคพิษสุนัขบ้า หรือโดยทั่ว ๆ ไปนิยมเรียกว่า “โรคกลัวน้ำ” (Hydrophobia) เป็นโรคติดเชื้อของระบบ ประสาทส่วนกลางที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ในประเทศไทยสัตว์พาหะนำโรคที่ สำคัญ คือ สุนัขและแมว (สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์, ๒๕๕๙) ส่วนในต่างประเทศมักเกิดจากสัตว์ป่า เช่น สุนัขจิ้งจอก สุนัขป่า ตัวแรคคูณ เป็นต้น (กรมควบคุมโรค, ๒๕๕๔) และสำหรับในประเทศทวีปอเมริกานั้น พาหะที่สำคัญ คือ ค้างคาว (WHO, ๒๐๑๖) สาเหตุและการติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้า โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากเรบี่ส์ไวรัส (Rabies virus) ซึ่งเป็นอาร์ เอ็น เอ ไวรัส (RNA virus) มีการติดต่อ จากสัตว์ป่วยที่มีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกายไปสู่มนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวอื่นผ่านทางน้ำลาย ๑. ผ่านทางการกัด โดยเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าที่อยู่ในน้ำลายจะเข้าสู่บาดแผลและผ่านเข้าสู่เส้นประสาท ส่วนปลายผ่านไขสันหลัง และเข้าสู่สมองจากนั้นเชื้อไวรัสจะแบ่งตัวในสมองและปล่อยเชื้อไวรัสไปตามแขนง เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย รวมทั้งต่อมน้ำลายและเพิ่มจำนวนในเซลล์ของต่อมน้ำลาย โดยในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สัตว์แสดงอาการป่วยออกมาให้เห็น ๒. ผ่านทางการข่วน ๓. ผ่านทางการเลีย เชื้อจะผ่านเข้าทางบาดแผล ระยะฟักตัวของโรคพิษสุนัขบ้า ระยะฟักตัวของโรคพิษสุนัขบ้าเป็นระยะเวลานับตั้งแต่เชื้อโรคไวรัสเข้าสู่ร่างกายจนก่อให้แสดงอาการ ของโรคโดยสามารถพบได้นานถึง ๖ เดือน ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนิดสัตว์ ดังนี้ ประเภทสัตว์ ระยะฟักตัว สุนัข ๓ - ๘ สัปดาห์ อาจจะอยู่ระหว่าง ๑๐ วันถึง ๖ เดือน แมว ๔ วันถึง ๑๒ สัปดาห์ โค กระบือ ๒ – ๑๐ สัปดาห์ แพะ แกะ ๒ - ๙ สัปดาห์ ม้า ลา ๓ – ๑๒ สัปดาห์ สุกร ๑๐ สัปดาห์
6 ระยะฟักตัวของโรคพิษสุนัขบ้าในคน ระยะฟักตัวของโรคพิษสุนัขบ้าในคนจะใช้เวลาประมาณ ๒ - ๘ สัปดาห์ หรืออาจจะสั้นเพียง ๕ วัน แต่ในบางรายก็อาจยาวนานเป็นปีได้ โดยระยะฟักตัวจะสั้นหรือยาวนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ ๑. ความรุนแรงของบาดแผล ถ้ามีบาดแผลหลายแห่งก็อาจจจะได้รับเชื้อมากขึ้นด้วย ๒. บริเวณที่ถูกกัดหากมีเส้นประสาทมาก เช่น แขน ขา มือ เท้า อาจทำให้เชื้อมีโอกาสเข้าสู่ระบบ ประสาทมากขึ้น ๓. ระยะห่างของบาดแผลกับสมองถ้าบริเวณที่โดนกัดอยู่ใกล้กับสมองมากเชื้อก็อาจเข้าสู่สมองได้อย่าง รวดเร็ว ระยะฟักตัวก็จะสั้น ๔. เชื้อจากสัตว์ป่าอันตรายกว่าสัตว์เลี้ยงทั่วไป อาการของโรคพิษสุนัขบ้า ๑. สุนัข อาการในสุนัขแบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ แบบดุร้ายและแบบซึม โดยแบบดุร้ายจะพบได้บ่อยกว่าแบบซึม แบ่งเป็น ๓ ระยะ คือ อาการระยะเริ่มแรก สุนัขจะมีนิสัยหรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ เช่น จากที่เคยร่าเริงแจ่มใส ชอบคลุกคลีกับเจ้าของ มักจะมีอาการหงุดหงิด ไม่อยากเข้าใกล้เจ้าของ สุนัขจะแสดงอาการระยะเริ่มแรกนี้ ประมาณ ๒ - ๓ วัน อาการระยะตื่นเต้น สุนัขจะมีอาการลุกลี้ลุกลน กระวนกระวาย พยายามจะหลบหนีจากที่อยู่เดิม หากหลบหนีออกมาได้จะวิ่งอย่างไม่มีจุดหมาย มักแสดงอาการแปลกๆ เช่น งับลมหรือกัดกินสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ลิ้นห้อยออกนอกปาก น้ำลายไหล ลำตัวจะแข็ง หางตก ขาหลังเริ่มอ่อนเปลี้ย ซึ่งเป็นอาการที่เริ่มเข้าสู่ระยะอัมพาต สุนัขจะแสดงอาการระยะตื่นเต้นอยู่ ๑ - ๗ วัน อาการระยะอัมพาต เป็นอาการระยะสุดท้ายของโรค สุนัขจะแสดงอาการขาหลังอ่อนเปลี้ย ในที่สุดจะ ล้มลงลุกไม่ได้ อาการอัมพาตจะเกิดจากส่วนท้ายของลำตัวไปยังส่วนหัว สุนัขจะตายด้วยระบบหายใจล้มเหลว ตั้งแต่เริ่มสังเกตเห็นอาการมักอยู่ได้ไม่เกิน ๑๐ วัน สุนัขที่แสดงอาการระยะตื่นเต้นชัดเจนมักเรียกกันว่า “บ้าแบบดุร้าย” ซึ่งเป็นอาการที่พบเห็นได้มากกว่า “บ้าแบบซึม” (ประเสริฐ, ๒๕๒๓) ๒. แมว การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้าในแมวมักเกิดจากการได้รับเชื้อทางน้ำลายของแมวหรือสัตว์อื่นที่เป็น โรคพิษสุนัขบ้า เชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าจะเริ่มถูกขับออกมาทางน้ำลายของแมวในช่วงระยะ ๑ - ๕ วันก่อนแสดง อาการ (The Center for Food Security & Public Health, ๒๐๑๒) และจะมีอยู่ในน้ำลายตลอดจนกระทั่งแมว ตาย อาการของโรคพิษสุนัขในแมวแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ดังนี้ อาการระยะเริ่มแรก แมวที่ชอบคลุกคลีกับเจ้าของอาจกัดหรือข่วนเจ้าของโดยแสดงอาการอารมณ์ฉุนเฉียว ฉับพลันหรืออาจหลบซ่อนตัวในที่มืดอาการระยะนี้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆไม่เกิน ๑ วัน อาการระยะตื่นเต้น แมวจะเริ่มมีอาการกล้ามเนื้อสั่น ตามด้วยอาการทางระบบประสาท ดุร้าย และมี อาการกลืนลำบาก น้ำลายไหลเนื่องจากเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยวและการกลืน จะแสดงอาการ ประมาณ ๒ – ๔ วัน
7 อาการระยะอัมพาต แมวจะเริ่มแสดงอาการเกิดอัมพาตที่ส่วนท้ายของลำตัวก่อนแล้วขยายไปยังส่วนลำตัว และหัว จนเกิดอัมพาตทั้งตัวอย่างรวดเร็วแล้วและตายในที่สุด 3. สัตว์อื่นๆ โค-กระบือ อาการที่พบคือจะไม่กินหญ้า กระสับกระส่าย ตื่นเต้น กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก อาจวิ่งไล่ชน สิ่งต่าง ๆ แสดงอาการคันบริเวณที่เคยถูกกัดมีอาการคล้ายมีสิ่งแปลกปลอมติดคอ มีน้ำลายไหล กัดฟัน ชอบขึ้นขี่ตัว อื่น ท้องโตเนื่องจากมีแก๊สสะสมในกระเพาะมาก หางบิด ขาอ่อน อัมพาต และตายภายใน ๑ - ๖ วันหลังแสดง อาการ แพะ-แกะ อาการที่พบคือจะไม่กินหญ้า กระวนกระวาย ตื่นเต้น ดุร้าย ชอบขี่ตัวอื่น ตาเบิกกว้าง จ้องนิ่ง ชอบเอาเท้าโขกพื้น เลียบริเวณถูกกัดบ่อย ๆ อัมพาตล้มลงตายภายใน ๕ - ๖ วันหลังแสดงอาการ ม้า-ลา มักพบมีอาการตื่นเต้น ดุร้าย กัดคนหรือสัตว์อื่น คันบริเวณเคยถูกกัด สัตว์จะเอาบริเวณนั้นถูไถ คอก หรืออาจกัดจนเป็นแผลหรือเนื้อหลุดได้ ไวต่อเสียงมาก เอาเท้าโขกพื้นกัดรางอาหาร กินอุจจาระ ตาแดง จ้องนิ่ง ท้องโตเนื่องจากมีแก๊สสะสมในกระเพาะมาก ชัก อัมพาตล้มลงตายภายใน ๕ - ๘ วันหลังแสดงอาการ สุกร อาการที่พบคือจะมีนิสัยเปลี่ยนไป บางรายดุร้ายขึ้น ตื่นเต้น ส่งเสียงร้อง เจ็บปวด น้ำลายไหลมาก กระวนกระวาย ไวต่อการตอบสนองสิ่งแวดล้อม อาการที่พบบ่อยคือการกระโดดขึ้นทันทีเมื่อตกใจ และอาจไล่กัด สุกรตัวอื่นภายในคอก หลังจากแสดงอาการจะตายภายใน ๓ - ๔ วัน 4. คน จำแนกได้เป็น ๓ ลักษณะคือ อาการแบบคลุ้มคลั่ง อาการระยะนี้จะดำเนินโรคอย่างรวดเร็ว โดยเฉลี่ยมักเสียชีวิตใน ๕ วัน โดยการ วินิจฉัยอาการแบบคลุ้มคลั่งต้องมีอาการครบทั้ง ๓ ประการ - มีอาการสลับระหว่างภาวะปกติและภาวะกระวนกระวายต่อสิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นเสียงแสง อาการจะ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนผู้ป่วยอาละวาด แต่ในภาวะแสดงอาการผิดปกติผู้ป่วยจะพูดไม่ได้หรือไม่เข้าใจตนเอง - อาการกลัวน้ำ กลัวลม ซึ่งจะเห็นได้ชัดขณะที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวเท่านั้น เมื่อผู้ป่วยเริ่มแสดงอาการซึม อาการเหล่านี้ก็จะหายไป แต่ยังคงมีอาการถอนหายใจเป็นพักๆ ซึ่งเป็นอาการสำคัญ - อาการขนลุกเป็นบางส่วนหรือทั้งตัว เฉพาะที่ตรงถูกสัตว์กัดหรืออาจจะปวดแสบปวดร้อน ปวดลึก ๆ ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วแขน ขา หรือเฉพาะบริเวณที่ถูกกัด มีอาการคันน้ำลายมากผิดปกติ จะต้องบ้วน หรือถ่มเป็น ระยะ อาการแบบอัมพาต จะสังเกตเห็นอาการอ่อนแรงของแขนขา จากนั้นความรุนแรงของโรคจะเพิ่มขึ้นจน ผู้ป่วยเสียชีวิต เนื่องจากระบบหายใจล้มเหลว โดยเฉลี่ยเสียชีวิตในระยะเวลาประมาณ ๑๓ วัน กลุ่มที่ไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ไม่สามารถวินิจฉัยได้จากอาการ ถือเป็นกลุ่มที่มีความยากลำบาก ที่สุดในการวินิจฉัย มีทางเดียวเท่านั้นที่จะวินิจฉัยได้ คือ การตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ การตรวจด้วย คอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของสมอง (MRI) อาจพบความผิดปกติของสมอง การรักษาโรคพิษสุนัขบ้า โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ไม่ว่าจะในสัตว์หรือคน ส่วนใหญ่จะสียชีวิตในเวลา ต่อมาหลังจากถูกกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนหากถูกกัดแนะนำให้ทำการการุณฆาต เพราะถึงแม้ว่าจะทำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่สัตว์ภายหลังถูกสัตว์ที่เป็นบ้ากัดผลที่ได้มักจะไม่ แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สัตว์ได้รับวัคซีนหลังจากถูกกัด โ ปรแกรมวัคซีนของสัตว์ตัวนั้น
8 ความรุนแรงของบาดแผล ตำแหน่งของบาดแผล สุขภาพสัตว์หรือชนิดของสัตว์ที่ได้รับเชื้อ สำหรับการใช้ แอนติเรบีส ซีรั่ม ฉีดภายหลังถูกกัดนั้น พบว่าผลการรักษายังไม่แน่นอนและมีราคาแพง การปฏิบัติต่อสัตว์ที่สงสัยสัตว์ที่ติดโรคพิษสุนัขบ้ากัด ๑. พาสุนัขหรือสัตว์ของเราไปหาหมอพร้อมแจ้งประวัติให้คุณหมอทราบด้วย ๒. แจ้งสัตว์แพทย์ของกรมปศุสัตว์หรือสัตวแพทย์เทศบาลภายใน ๒๔ ชั่วโมง เกี่ยวกับสัตว์ที่สงสัยว่า จะเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ๓. กักสัตว์นั้นเพื่อเฝ้าดูอาการ ๖ เดือน กักสัตว์ไว้แล้วตายทำอย่างไร เมื่อสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงถูกกัดควรกักสัตว์นั้นไว้ดูอาการอย่างน้อย ๑๐ วัน เพื่อสังเกตว่าสัตว์นั้นเป็น โรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่ ไม่ควรฆ่าสัตว์ให้ตายในทันที ยกเว้นสัตว์นั้นดุร้าย ไม่สามารถจับขังไว้ดูอาการได้เมื่อสัตว์ กักไว้ตายให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนำซากหรือตัดหัวสัตว์ใส่ถุงพลาสติกซ้อนหลาย ๆ ชั้น มัดปากถุงให้แน่นแช่น้ำแข็ง แล้วส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้าภายใน ๒๔ ชั่วโมง พร้อมแนบประวัติของสัตว์ที่กัด และผู้ถูกกัด ไปด้วย การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ๑. ทำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่สัตว์เลี้ยงเป็นประจำ ๒. ควรเลี้ยงสัตว์ในบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิด ๓. ไม่นำสุนัขจรจัด สัตว์ป่า หรือสัตว์ที่ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาเลี้ยงในบ้าน ๔. ทำหมันสุนัขเพื่อลดจำนวนประชากรสุนัขที่เป็นพาหะนำโรค ๕. เลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ปล่อยไปเป็นสุนัขจรจัด ๖. พบเห็นสัตว์สงสัยเป็นโรคพิษสุนัขบ้าต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ทันที การทำลายเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า เชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าเมื่อออกจากร่างกายสัตว์ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานจะถูกทำลายได้ง่ายเมื่อ ถูกความร้อน แสงแดด ยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ ฟอร์มาลีน แอลกอฮอล์ ๗๐% ไลโซล กรดหรือด่างอย่างแรง หรือไฮเปอร์คลอไรท์ 10% (น้ำผสมคลอรีนไฮเตอร์หรือคลอร็อคในอัตราส่วน ๑ ส่วนต่อน้ำ ๙ ส่วน) การเก็บรักษาและการขนส่งวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า ๑. การเก็บวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าในตู้เย็น ให้จัดเรียงวัคซีนไว้ในตู้เย็นตรงช่องธรรมดาซึ่งจะมีอุณหภูมิ อยู่ระหว่าง ๒ องศาเซลเซียส ถึง ๘ องศาเซลเซียสเท่านั้น (ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง) โดยจัดเรียงวัคซีนให้ความเย็นไหลเวียนได้ทั่วถึง ติดตั้ง เทอร์โมมิเตอร์ไว้ในตู้เย็นเพี่อใช้ตรวจสอบอุณหภูมิของตู้เย็น ๒. การขนส่งวัคซีนเพื่อนำไปปฏิบัติงาน ให้ใช้กระติกหรือกระเป๋าเก็บความเย็นโดยใส่น้ำแข็งหรือวัสดุเก็บ ความเย็น (ice pack) ลงในกระติกหรือกระเป๋าวัคซีนเพื่อรักษาความเย็นและใช้ปริมาณที่เหมาะสมกับจำนวนวัคซีน ๓. การเก็บรักษาวัคซีนไม่ถูกต้องจะทำให้วัคซีนเสื่อมคุณภาพ เนื่องจากวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าสามารถ ถูกทำลายด้วยการสัมผัสแสงอัลตราไวโอเลต (UV) แสงไฟฟลูออเรสเซนต์ และการเก็บในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ ต่ำว่า ๒ องศาเซลเซียส (เก็บในช่องแช่แข็ง) หรือเก็บที่อุณหภูมิสูงกว่า ๘ องศาเซลเซียส
9 การบังคับสัตว์เพื่อฉีดวัคซีน (สุนัข) ๑. การเข้าหาสุนัข ควรเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล ยื่นมือไประดับหน้ากับสุนัข เพื่อให้สุนัขดมกลิ่น ห้ามยื่นมือ เข้าไปเหนือหัวสุนัขเพราะเป็นลักษณะของการท้าทาย ถ้าสุนัขแสดงท่าทีเป็นมิตรก็สามารถลูบคลำหรือตบเบา ๆ ที่คอได้ ห้ามตบหัวสุนัขเพราะเป็นการแสดงอำนาจเหนือกว่า ซึ่งสุนัขที่ไม่คุ้นเคยอาจไม่ยอมรับ ๒. การควบคุมและการผูกปากสุนัข ๑) การผูกปากสุนัขให้ใช้แถบผ้าหรือเชือกที่ไม่คมผูกเป็นบ่วง ๒) สวมปากสุนัข แล้วดึงให้ตึงพอประมาณ โดยให้ปมที่ผูกอยู่บนดั้งจมูก ๓) พันแถบผ้าหรือเชือกลงมาผูกใต้คางอีกปม อย่าให้แน่นเกินไปแล้วอ้อมใต้ใบหูและผูกเป็นเงื่อนไว้ บนหนังคอ การบังคับสัตว์เพื่อฉีดวัคซีน (สุนัขขนาดใหญ่) การบังคับสุนัขในท่านั่ง ให้ใช้แขนโอบรอบใต้คอสุนัข เพื่อแขนยึดหัวของสุนัขกับร่างกายผู้จับบังคับสุนัข ใช้แขนและมืออีกข้าง หนึ่งจับยึดบริเวณสะโพก และขาหลังของสุนัขเพื่อป้องกันไม่ให้สุนัขยืนหรือนอนลงในระหว่างดำเนินการพยายามดึง สุนัขให้ใกล้กับหน้าอกเพื่อช่วยลดการเคลื่อนตัวของสุนัข การบังคับสุนัขในท่ายืน วางแขนข้างหนึ่งใต้คอสุนัขเพื่อให้แขนยึดหัวของสุนัขให้อยู่กับที่ เพื่อลดโอกาสที่สุนัขจะไปกัด ผู้ดำเนินการคนอื่น ๆ วางแขนอีกข้างหนึ่งใต้ท้องสุนัขเพื่อป้องกันไม่ให้สุนัขนั่งหรือนอนลงในช่วงดำเนินการ พยายามดึงสุนัขให้ใกล้กับร่างกายเพื่อช่วยลดการเคลื่อนตัวของสุนัข การบังคับสุนัขในท่านอนตะแคง ทำโดยเมื่อสุนัขอยู่ในท่ายืน ให้เอื้อมมือข้ามจากด้านหลังของสุนัขมาจับขาหน้า และขาหลังของสุนัข พยายามให้ลำตัวสุนัขใกล้กับตัวของผู้บังคับมากที่สุด ค่อยๆยกขาของสุนัขออกจากโต๊ะ (หรือพื้น) โดยให้ร่างกาย ของสุนัขค่อยๆเลื่อนออกจากตัวผู้บังคับจนกระทั่งนอนลง และขาทั้ง ๔ ข้าง ชี้ออกนอกตัวผู้จับบังคับ ใช้แขนทั้ง ๒ ข้างในการกด ควบคุมการเคลื่อนไหวของสุนัข การบังคับสัตว์เพื่อฉีดวัคซีน (สุนัขขนาดเล็ก) อาจใช้วิธีการอุ้มสุนัขแต่ต้องแน่ใจว่าสุนัขไม่อยู่ในสภาพที่ตื่นกลัว แล้วใช้มือข้างหนึ่งสอดเข้าระหว่าง ขาหน้า ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งโอบรอบขาหลังและสะโพก เพื่อไม่ให้สุนัขบิดตัวหรือถีบยกสุนัขขึ้นมือข้างหนึ่งอยู่ที่ หน้าอกและมืออีกข้างหนึ่งอยู่ที่บั้นท้ายจะป้องกันไม่ให้สุนัขกระโดดลงได้ การบังคับสัตว์เพื่อฉีดวัคซีน (แมว) ใช้มือข้างหนึ่งจับบริเวณหนังคอแมวระหว่างหูทั้ง ๒ ข้าง ซึ่งเป็นส่วนที่ผิวหนังหลวมสามารถจับยึด ได้ง่าย และเป็นตำแหน่งที่แมวไม่สามารถหันหัวแว้งกัดได้ มืออีกข้างหนึ่งจับยึด ๒ ขาหลังของแมว และดึงให้แมว เหยียดตัวออกโดยให้ขาทั้ง ๔ ข้างออกนอกตัวผู้บังคับ พยายามให้แขนที่จับ ๒ ขาหลัง กดแมวให้ติดกับพื้น หรือโต๊ะ เพื่อลดโอกาสเคลื่อนไหวของแมว
10 ขั้นตอนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ๑. วางแผนกำหนดการการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามที่นัดหมาย หรือประชาสัมพันธ์กับประชาชน หรือเจ้าของสัตว์ ๒. เตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน เช่น วัคซีน เข็ม กระบอกฉีดยา สำลี แอลกอฮอล์บัตรวัคซีน กระติกน้ำแข็ง ไอซ์แพคหรือน้ำแข็ง ถุงขยะ กระบอกใส่เข็มที่ใช้แล้ว ๓. จัดเรียงวัคซีนตามคำแนะนำการจัดเรียงวัคซีนลงในกระติกหรือกระเป๋าวัคซีน ๔. สอบถามประวัติสัตว์จากเจ้าของสัตว์ เช่น ชื่อ อายุ เพศ พันธ์ ประวัติการฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีน ครั้งสุดท้าย และอาการสุนัข - แมว ณ ปัจจุบัน ๕. ตรวจสุขภาพสุนัข-แมว พื้นฐาน เช่น วัคอุณหภูมิ (อุณหภูมิปกติ ๑๐๑ - ๑๐๒ องศาฟาเรนไฮน์) สอบถามการรับประทานอาหาร สัตว์ที่จะสามารถฉีดวัคซีนได้จะต้องมีสุขภาพดี ไม่แสดงอาการป่วย ๖. เตรียมวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโดยดูดวัคซีนออกจากขวดวัคซีน ๗. ให้เจ้าของหรืออาสาสมัครร่วมทีมจับบังคับสุนัข หรือแมว ๘. ดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า - ใช้วิธีการฉีดเข้าใต้หนัง ซึ่งสามารถฉีดได้ง่าย และสะดวกกว่าการฉีดเข้าทางอื่น ๆ ทำให้สุนัข แมว เจ็บน้อยกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ แม้ว่าการดูดซึมทางผิวหนังจะช้ากว่าการฉีดเข้าทางอื่น แต่จัดเป็นวิธีการ ที่เหมาะสมต่อการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า - ตำแหน่งที่ฉีดส่วนใหญ่คือบริเวณหนังคอที่มีความยืดหยุ่น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ๑. ใช้มือข้างที่ถนัดถือกระบอกยาที่เตรียมวัคซีนไว้และใช้มืออีกข้างหนึ่งเช็ดบริเวณที่จะฉีดด้วยสำลี ชุบแอลกอฮอล์ ๗๐ % ๒. จากนั้นใช้มืออีกข้างหนึ่งดึง หรือขยุ้มผิวหนังขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้ใต้ผิวหนังเกิดเป็นโพรง ๓. แทงเข็มเข้าบริเวณดังกล่าวโดยก่อนฉีดวัคซีนเข้าไปควรดึงก้านกระบอกฉีดถอยหลังเล็กน้อย เพื่อตรวจสอบว่าปลายเข็มฉีดยาไม่ได้แทงเข้าหลอดเลือดในบริเวณนั้น หากไม่พบมีเลือดไหลย้อนกลับให้ฉีดยา เข้าตัวสุนัข แมวได้ เมื่อฉีดยาเสร็จแล้วควรนวดบริเวณนั้นเพื่อให้ยากระจายตัว และดูดซึมได้ดี ๔. บันทึกข้อมูลการฉีดในใบรับรองการฉีดวัคซีนและชี้แจงกำหนดการฉีดครั้งต่อไป
11 โปรแกรมการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ในสุนัขและแมว ชนิดสัตว์ เริ่มต้นการฉีดในลูกสุนัขหรือ แมว (อายุ < 1 ปี) เริ่มต้นการฉีดในสุนัขหรือแมว โตเต็มวัย (อายุ > 1 ปี) การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ประจำปี สุนัข เริ่มต้นอายุประมาณ 12 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน กรณีฉีดก่อนอายุ 3 เดือน ให้ฉีดซ้ำที่อายุ 12 เดือน ในกรณีพื้นที่เสี่ยง* ให้ กระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยการฉีด วัคซีนซ้ำที่ 2 - 4 สัปดาห์หลัง การทำวัคซีนเข็มแรก สามารถฉีดได้ทันที ในกรณีพื้นที่ เสี่ยง *ให้กระตุ้นภูมิคุ้มกันโดย การฉีดวัคซีนซ้ำที่ 2-4 สัปดาห์ หลังการทำวัคซีนเข็มแรก กระตุ้นวัคซีนป้องกันโรค พิษสุนัขบ้าปีละ 1 ครั้ง แมว เริ่มต้นอายุประมาณ 12 สัปดาห์ และกระตุ้นซ้ำ 1 เดือน หลังจาก นั้น สามารถฉีดได้ทันที และกระตุ้น ซ้ำ 1 เดือนหลังจากนั้น กระตุ้นวัคซีนป้องกันโรค พิษสุนัขบ้าปีละ 1 ครั้ง หมายเหตุ: *ประเทศไทยจัดเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ ข้อควรทราบก่อนใช้วัคซีน ๑. ทำวัคซีนให้แก่สัตว์ที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และไม่เป็นโรคเท่านั้น ๒. ศึกษารายละเอียด การเก็บรักษาและการทำวัคซีน ตามคำแนะนำเฉพาะของวัคซีนแต่ละชนิด เพื่อให้วัคซีน มีประสิทธิภาพสูงสุด ๓. ให้ใช้วัคซีนตามคำแนะนำของสัตวแพทย์เท่านั้น ๔. ต้องให้วัคซีนซ้ำเมื่อหมดระยะความคุ้มโรคของวัคซีนแต่ละชนิด ๕. ห้ามนำวัคซีนที่เสื่อมสภาพ หมดอายุ มีการปนเปื้อน หรือสีของวัคซีนเปลี่ยนมาใช้ ๖. การใช้วัคซีนในแม่พันธุ์ สามารถถ่ายทอดภูมิคุ้มกันให้ลูกได้ในระยะแรกเกิด ๗. ต้องทราบว่าวัคซีนใช้ป้องกันก่อนเกิดโรค มิใช่ยาที่รักษาเมื่อเป็นโรคแล้ว ๘. ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ เช็ดจุกยางและคอขวดวัคซีนและขวดน้ำยาละลายก่อนแทงเข็มเพื่อ ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ๙. ใช้เข็มและกระบอกฉีดยาพลาสติกปราศจากเชื้อสำเร็จรูปพร้อมใช้ ๑๐. อย่าให้วัคซีนถูกความร้อนและแสงแดด การปฏิบัติหลังใช้วัคซีน - หลังจากใช้วัคซีนแล้ว นำเข็มและกระบอกฉีดยาไปเผาหรือแช่น้ำยาฆ่าเชื้อก่อนนำไปทิ้ง - สัตว์บางตัวอาจเกิดการแพ้วัคซีนหลังฉีดวัคซีน จึงควรรอสังเกตอาการประมาณ ๑ ชั่วโมง ภายหลังฉีดวัคซีน ถ้ามีอาการแพ้ให้รักษาด้วยแอดรีนาลีนหรือแอนติฮีสตามีน - ล้างมือให้สะอาดภายหลังทำวัคซีน
12 แนวทางการดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ การเฝ้าระวังโรค ๑. พื้นที่ตำบลที่เกิดโรค ให้ดำเนินการเฝ้าระวังโรคต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย ๖ เดือน กรณีที่พบสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นแสดงอาการสงสัยเป็นโรคพิษสุนัขบ้าจะต้องส่งหัวสัตว์ หรือซากสัตว์ทั้งตัว เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคทางห้องปฏิบัติการทุกครั้ง 2. พื้นที่ตำบลที่ไม่เกิดโรคให้ดำเนินการเก็บตัวอย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งอาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่า ส่งตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อรับรองเป็นพื้นที่ปลอดโรค 3. ให้ดำเนินการสร้างเครือข่ายการเฝ้าระวังโรคในพื้นที่ เช่น เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข สถานพยาบาลสัตว์ กลุ่มคนรักสัตว์ NGOs และผู้เกี่ยวข้องอื่น เพื่อประสาน การเก็บตัวอย่างและเฝ้าระวังโรคให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยให้สำนักงานปศุสัตว์อำเภอทุกแห่งจุดประสานงานหลัก ในการเฝ้าระวังโรคในพื้นที่ การป้องกันโรค 1. ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เพื่อจัดหาวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าสำหรับฉีดตามรอบ รณรงค์ของทุกปี โดยจำนวนวัคซีนจะต้องสอดคล้องกับปริมาณสัตว์ของท้องถิ่นที่สำรวจและขึ้นทะเบียนในระบบ Thai Rabies Net 2. ให้พิจารณายกเลิกการฉีดยาคุมกำเนิดให้กับสุนัขและแมว เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวจะเป็น การเพิ่มความเสี่ยงทำให้สัตว์เกิดมดลูกอักเสบ (Pyometra) และจะส่งผลให้สัตว์เสียชีวิตในเวลาต่อมา 3. ประสานหน่วยงานด้านสาธารณสุขในการประชาสัมพันธ์ และเตือนภัยให้ประชาชนไม่เกิดความประมาท และดูแลตัวเองให้มีความปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า 4. ให้มีการรณรงค์ผ่าตัดทำหมันสุนัขและแมวเพื่อควบคุมจำนวนประชากรสุนัขและแมว โดยให้เน้นสัตว์ ที่ไม่มีเจ้าของเป็นหลัก พร้อมทั้งให้ทำเครื่องหมายเพื่อบ่งชี้ว่าสัตว์ดังกล่าวได้ผ่านการทำหมันแล้ว เช่น การสัก เป็นตัวเลขระบุปีที่ทำหมันที่ใบหูด้านใน หรือการตีตราเย็นเป็นตัวเลขระบุปีที่ทำหมันบริเวณสะโพกหรือวิธีการอื่น ๆ ที่เหมาะสม และไม่ทำให้สัตว์ทุกข์ทรมาน - จัดทำโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้เป็นไป ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2559 การควบคุมโรค พื้นที่ที่ได้รับรายงานผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการพบโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ให้ดำเนินการดังนี้ 1. ประกาศเขตโรคระบาดสัตว์ชั่วคราวตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 2. ประสานการดำเนินงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมโรค 3. ดำเนินการสอบสวนโรคทางระบาดวิทยาเพื่อให้ได้ข้อมูลดังนี้ 3.1 สอบสวนหาพื้นที่เสี่ยง สัตว์กลุ่มเสี่ยง และสัตว์ที่สัมผัสโรค 3.2 สอบสวนหาสาเหตุของโรค 3.3 บันทึกข้อมูลลงในระบบ Thai Rabies Net
13 4. ดำเนินการควบคุมโรคตามผลการสอบสวน ดังนี้ 4.1 สัตว์กลุ่มเสี่ยงให้ดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงทั้งหมด หรือให้ ครอบคลุมในรัศมีไม่น้อยกว่า 3 กิโลเมตร จากจุดเกิดโรค โดยใช้วัคซีนจากกรมปศุสัตว์ 4.2 สัตว์สัมผัสโรคทุกตัวให้แยกสัตว์นั้น และนำไปกักเพื่อสังเกตอาการในสถานที่ที่เหมาะส มแล้ว ดำเนินการฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำครั้งละ 1 โด๊ส ทุก 4 วัน รวม 4 ครั้ง และเฝ้าระวังทางอาการ 6 เดือน 4.3 ดำเนินการเฝ้าระวังโรคในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน พร้อมรายงานความก้าวหน้าแจ้ง กรมปศุสัตว์ทราบอย่างต่อเนื่องหากพบสัตว์แสดงอาการสงสัยให้เก็บตัวอย่างส่งตรวจทุกครั้ง 4.4 สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดจะต้องกำกับติดตามการควบคุมโรคจนกว่าโรคจะสงบ 4.5 ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ได้แก่ พระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมสัตว์และการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๗ มาตรา 3 สัตว์ : สัตว์ที่เลี้ยงไว้เป็นสัตว์บ้าน สัตว์เลี้ยงเพื่อใช้งาน สัตว์เลี้ยงเพื่อใช้เป็นพาหนะ สัตว์เลี้ยงที่ไว้เป็น เพื่อน สัตว์เลี้ยงเพื่อไว้เป็นอาหาร สัตว์เลี้ยงที่ไว้ในการแสดงหรือสัตว์เลี้ยงเพื่อใช้ในการอื่นใด ทั้งนี้ ไม่ว่าจะมีเจ้าของ หรือไม่ก็ตาม และ รวมถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติตามที่รัฐมนตรีประกาศ การทารุณกรรม : การกระทำหรืองดเว้นการกระทำใดๆ ที่ทำให้สัตว์ได้รับความทุกข์ทรมานไม่ว่าทาง ร่างกายหรือจิตใจ ได้รับความเจ็บปวด ความเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรืออาจมีผลทำให้สัตว์นั้นตาย และให้ความ หมายถึงการใช้สัตว์พิการ สัตว์เจ็บป่วย สัตว์ชราหรือสัตว์ที่กำลังตั้งท้องเพื่อแสวงหาประโยชน์ ใช้สัตว์ประกอบกาม กิจ ใช้สัตว์ทำงานเกินสมควร หรือใช้สัตว์ทำงานอันไม่สมควร เพราะเหตุนั้นสัตว์จึง เจ็บป่วย ชรา หรืออ่อนแอ การจัดสวัสดิภาพสัตว์ : การเลี้ยงหรือดูแลสัตว์ให้อยู่ในสภาวะการดูแลที่เหมาะสม มีสุขอนามัยที่ดี มีที่อยู่ อาหาร และน้ำอย่างเพียงพอ เจ้าของสัตว์ : เจ้าของกรรมสิทธิ์ และให้ความหมายรวมถึงผู้ครอบครองสัตว์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย ให้ดูแล ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้ดูแล องค์กรจัดสวัสดิภาพสัตว์ : คณะบุคคลหรือนิติบุคคล ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นองค์กรจัดสวัสดิภาพสัตว์ตาม พระราชบัญญัตินี้ สถานสงเคราะห์สัตว์ : สถานที่สำหรับใช้เลี้ยงสัตว์ หรือสถานที่สำหรับใช้ในการให้ความช่วยเหลือหรือ อภิบาลสัตว์ที่ถูกทอดทิ้ง สัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ หรือ สัตว์ที่ถูกกระทำการทารุณกรรม คณะกรรมการ : คณะกรรมการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ สัตวแพทย์ : ผู้ประกอบวิชาชีพทางสัตวแพทย์ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการสัตวแพทย์ พนักงานเจ้าหน้าที่ : ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพราบัญญัตินี้ นายทะเบียน : ผู้ซึ่งอธิบดีแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียน อธิบดี : อธิบดีกรมปศุสัตว์ รัฐมนตรี : รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ
14 มาตรา 20 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร มาตรา 21 การกระทำต่อไปนี้ ไม่ถือเป็นการทารุณกรรมสัตว์ - การฆ่าสัตว์เพื่อให้ใช้เป็นอาหาร - การฆ่าสัตว์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ - การฆ่าสัตว์เพื่อควบคุมโรคระบาดตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ - การฆ่าสัตว์ในกรณีที่สัตวแพทย์เห็นว่าสัตวป่วย พิการ หรือบาดเจ็บและไม่สามารถเยียวยา หรือรักษา เพื่อให้มีชีวิตรอดได้โดยปราศจากความทุกข์ทรมาน - การฆ่าสัตว์ตามพิธีกรรมหรือความเชื่อทางศาสนา - การฆ่าสัตว์ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อป้องกันอันตรายแก่ชีวิตหรือร่างกายของมนุษย์หรือสัตว์อื่น หรือป้องกันความเสียหายที่จะเกิดแต่ทรัพย์สิน - การกระทำใด ๆ ต่อร่างกายสัตว์ซึ่งเข้าลักษณะของการประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์โดยผู้ประกอบ วิชาชีพการสัตวแพทย์หรือผู้ซึ่งได้รับยกเว้นให้กระทำได้โดยไม่ต้องขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุณาติเป็นผู้ประกอบ วิชาชีพการสัตวแพทย์จากสัตวแพทยสภากฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการสัตวแพทย์ - การตัด หู หาง ขน เขา หรืองาโดยมีเหตุอันสมควรและไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์หรือการดำรงชีวิต - การจัดให้มีการต่อสู้ขอสัตว์ตามประเพณีท้องถิ่น - การกระทำอื่นใดที่มีกฎหมายกำหนดให้สามารถกระทำได้เป็นการเฉพาะ - การกระทำอื่นใดที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ มาตรา 25 พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจต่อไปนี้ ๑) มีหนังสือเรียกเจ้าของสัตว์ ผู้แทนองค์กรจัดสวัสดิภาพสัตว์ ผู้ดูแลสถานสงเคราะห์สัตว์ หรือผู้ซึ่ง เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณา ๒) เข้าไปในสถานที่ใด ๆ เพื่อดำเนินการตรวจสอบ เมื่อได้รับแจ้งหรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการทารุณ กรรมสัตว์ ๓) สั่งให้หยุดซึ่งยานพาหนะเพื่อดำเนินการตรวจสอบ เมื่อได้รับแจ้งหรือมีเหตุอันอันควรเชื่อได้ว่ามีการ ทารุณกรรมสัตว์ ๔) ยึดหรืออายัดสัตว์หรือซากของสัตว์ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าถูกฆ่าหรือถูกทารุณกรรมรวมทั้งเอกสาร หลักฐาน ยานพาหนะ เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เพื่อเป็นพยานในการ ดำเนินคดี ๕) นำสัตว์ที่ถูกทารุณกรรมไปตรวจรักษาหรือช่วยเหลือสัตว์ที่ตกอยู่ในภยันตราย ในกรณีที่ปรากฏสัตว์ นั้นไม่มีผู้ใดให้การรักษาหรือช่วยเหลือ มาตรา 26 กรณีที่พบสัตว์ถูกปล่อย ละทิ้ง หรือไม่มีเจ้าของ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดสวัสดิภาพสัตว์ให้แก่ สัตว์ตามความสมควร
15 มาตรา 27 ในกรณีที่พบสัตว์ตกอยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บสาหัสและสัตวแพทย์เห็นว่า การให้สัตว์มีชีวิตอยู่ต่อไปจะได้รับความทุกข์ทรมานจนเกินสมควรให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจให้ฆ่าสัตว์นั้นได้ มาตรา 28 ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 25 ให้เจ้าของสัตว์หรือผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอำนวย ความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ตามสมควร แนวทางการตรวจประเมินโรงฆ่าสัตว์เพื่อต่ออายุใบอนุญาตและขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการฆ่าสัตว์ การตรวจประเมินโรงฆ่าสัตว์ของคณะกรรมการประจำจังหวัด 1. การตรวจประเมินโรงฆ่าสัตว์เพื่อต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการฆ่าสัตว์ 2. การตรวจประเมินโรงฆ่าสัตว์เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการฆ่าสัตว์ แบบตรวจประเมินโรงฆ่าสัตว์เพื่อต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการฆ่าสัตว์ ประกอบด้วยสาระสำคัญจากกฎกระทรวง 2 ฉบับ ภายใต้ พระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อ การจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2559 ได้แก่ 1. กฎกระทรวงการประกอบกิจการฆ่าสัตว์ พ.ศ. 2564 2. กฎกระทรวงการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ พ.ศ. 2564 กฎกระทรวงการประกอบกิจการฆ่าสัตว์ พ.ศ. 2564 กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และมาตรฐานในการประกอบกิจการฆ่าสัตว์ ๑) ที่ตั้ง เนื้อที่ แผนผัง และการก่อสร้างโรงฆ่าสัตว์ ๒) การฆ่าสัตว์ การชำแหละและตัดแต่งเนื้อสัตว์ที่ถูกสุขลักษณะ ๓) การดูแลรักษาความสะอาดเรียบร้อยภายในโรงฆ่าสัตว์และโรงพักสัตว์เพื่อให้ถูกต้องตามสุขลักษณะ ๔) การจัดให้มีการรวบรวมหรือกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล ๕) การระบายน้ำทิ้ง ๖) การระบายอากาศ ๗) การป้องกันการระบาดของโรคติดต่อหรือโรคระบาดจากสัตว์ ๘) สุขลักษณะของผู้ปฏิบัติงานในโรงฆ่าสัตว์และโรงพักสัตว์ กฎกระทรวงการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ พ.ศ. 2564 หลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์เพื่อประโยชน์ใน การตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลของเนื้อสัตว์ตลอดกระบวนการผลิตและการเรียกคืนเนื้อสัตว์ และเพื่อให้ ผู้บริโภค
16 วิชา จิตอาสาพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดย นายนิพนธ์ คชกาญจน์ สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น ศาสตร์พระราชา จากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที ศาสตร์พระราชา เมื่อพิจารณาแยกคำเพื่อค้นหาความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พบว่า มี 3 คำ คือ คำว่า “ศาสตร์” “พระ” และ “ราชา” มีความหมายดังนี้ (สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, 2564) ศาสตร์หมายถึง น. ระบบวิชาความรู้ พระ หมายถึง (4) น. ใช้ประกอบหน้าคำอื่นแสดงความยกย่อง (7) น. โดยปริยายหมายถึงผู้ที่มีเมตตา กรุณาทรงคุณงามความดีเหมือนพระ ราชา หมายถึง น. พระเจ้าแผ่นดิน, พระมหากษัตริย์ เมื่อรวมคำทั้ง 3 คำ “ศาสตร์พระราชา หมายถึง ระบบวิชาความรู้แห่งพระมหากษัตริย์” ตลอด 70 ปีแห่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระองค์ ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ ก่อเกิดเป็นโครงการในพระราชดาริ 4,741 โครงการ ตามบท สัมภาษณ์ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาในหัวข้อ “ศาสตร์แห่งกษัตริย์นักพัฒนา” สิ่งที่ พระองค์พระราชทานให้กับคนไทยยังอยู่ นั่นคือ “ความรู้” องค์ความรู้เกี่ยวกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ ยังมีอยู่ครบ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงไม่ได้ทรงจากไปไหน (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2561) ด้วยความเชี่ยวชาญทั้งด้านศาสตร์และศิลป์ในการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้นตาม ภูมิภาคต่างๆ จำนวน 6 ศูนย์ทั่วประเทศศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นโครงการที่ทรงใช้ หลักการของการพัฒนาที่ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน และคำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และสังคมวิทยา ของแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกัน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของราษฎร ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจาก พระราชดำริจึงนับเป็นแหล่งรวมศาสตร์ต่างๆ ของพระราชา ที่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย ผ่านโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดำริทั่วประเทศ โดยทรงมีหลักในการพัฒนา 3 ขั้นตอน ได้แก่ หลักคิด คือเป้าหมายในการ ทรงงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน หลักทฤษฎี คือ แนวคิดและทฤษฎีที่ได้มีการทดสอบและพิสูจน์แล้วและ ได้พระราชทานสู่การปฏิบัติจริง และหลักปฏิบัติ คือ ขั้นตอนของการดำเนินงานโครงการอย่างมีประสิทธิภาพและ มีประสิทธิผลในการดำเนินโครงการได้พระราชทานหลักการ “เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา” เข้าใจ คือ เข้าใจสภาพ
17 ภูมิประเทศและมนุษย์ เข้าถึง คือ เข้าถึงภูมิสังคมและข้อมูลเพื่อให้การสร้างสรรค์นั้นตอบสนองความต้องการ ของประชาชน และพัฒนา คือ กำหนดเป็นแนวทางการพัฒนาด้วยความรู้และภูมิปัญญาที่ไม่จำกัดอยู่เพียงมิติใด มิติหนึ่ง รวมถึงการทดลองและปรับปรุงจนได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและประยุกต์ใช้ได้ไม่รู้จบ (คณะกรรมการโครงการ เฉลิมพระเกียรติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติรวบรวมกฎหมายที่สนับสนุนในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ, 2560) ศาสตร์พระราชา เป็นศาสตร์ที่ประกอบด้วยองค์ความรู้หลายอย่างสำคัญที่สุดคือ ประกอบด้วย หลักปรัชญาแห่งเศรษฐกิจพอเพียง (พระครูสุนทรเขมาภินันท์และคณะ, 2562) ศาสตร์พระราชา หมายถึง บรรดาองค์ความรู้และภูมิปัญญาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ได้พระราชทานผ่านวิธีการต่าง ๆ ด้วยความมุ่งหมายที่จะป้องกันหรือแก้ไข ปัญหาเพื่อ สร้างวิถีชีวิตสังคมที่มีความปกติสุขให้แก่เหล่าพสกนิกรและมนุษยชาติทั้งปวง ให้สามารถดารงชีวิตได้ อย่างมั่นคง สันติสุขและยั่งยืน (คณะกรรมการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ , 2560) ศาสตร์พระราชา หรือที่เรียกว่า คำสอนของพระองค์ จึงเปรียบเสมือนวิชาของพ่อ ที่ช่วยพัฒนาให้คนไทย ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน คือของขวัญล้ำค่าและกลายเป็นตำราของแผ่นดินไทย (การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย (ททท.), 2560). ศาสตร์พระราชา หมายถึง ศาสตร์แห่งการพัฒนาในสังคมไทย ซึ่งมีสามศาสตร์ คือ ศาสตร์ชาวบ้าน ศาสตร์สากล และศาสตร์พระราชา ศาสตร์อันที่สามประเทศอื่นไม่มี ซึ่งศาสตร์พระราชา คือ โครงการตาม พระราชดำริสี่พันกว่าโครงการ ทั้งการจัดการดิน การจัดการน้ำ การเกษตรกรแปรรูป พลังงานทางเลือก สิ่งแวดล้อมชุมชน การปลูกป่า ปลูกต้นไม้ ปลูกพืชผักสวนครัว โครงการพระราชดำริมีทุกอย่าง (เกษม วัฒนชัย, 2558) มนัส สุวรรณ (2563) ได้อธิบายคำว่า “ศาสตร์พระราชา” คือ แนวคิดและแนวปฏิบัติที่สามารถนำพาให้ สังคมโลกเป็นสังคมที่มีความสงบสุขอย่างยืนได้ ศาสตร์พระราชามิใช่แนวคิดหรือหลักการที่ “คิดใหญ่ ทำใหญ่” แต่ เป็นแนวคิดและหลักการที่คิดใหญ่ แต่เริ่มจากระดับครอบครัว ชุมชน ไปสู่สังคมประเทศ โดยเน้นการบูรณาการ แบบองค์รวม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “ศาสตร์พระราชา” เน้นความเป็นธรรมชาติที่ก่อเกิดระบบความสมดุลและยั่งยืน ตามมา ซึ่งศาสตร์พระราชา จัดว่าเป็นศาสตร์หรือเป็นองค์ความรู้ที่ผ่านกระบวนการศึกษา ค้นคว้าและทดลอง ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ฉลาดรู้ในการบรูณาการอย่างลงตัวระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือ “ศาสตร์ชาวบ้าน” เข้ากับศาสตร์สมัยใหม่ที่เรียกว่าเป็น “ศาสตร์สากล” จนได้เป็นแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best practices) จนนำไปสู่การดำรงชีวิตอย่างมีความสุข พอเพียงและยั่งยืน นอกจากนี้ความสำเร็จของการพัฒนาตามหลักการและ แนวคิด “ศาสตร์พระราชา” ที่เกิดจากวิเคราะห์และสรุป ศาสตร์พระราชา ในเอกสารทางวิชาการ สืบสานศาสตร์ พระราชา ฉบับที่ 6 ศูนย์ศึกษาศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ไว้อย่าง น่าสนใจ ดังนี้ - ศาสตร์พระราชา เป็นหลักการและแนวคิดที่สามารถสร้างความสุขอย่างยั่งยืนให้เกิดได้จริง สำหรับผู้ที่ น้อมนำไปปฏิบัติ มิใช่หลักการที่เพ้อฝันแต่เป็นหลักการที่เป็นจริง - ศาสตร์พระราชา เป็นหลักการและแนวคิดที่ไม่มีความสลับซับซ้อน เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ - ศาสตร์พระราชา เป็นหลักการและแนวคิดที่ไม่เน้นการเปลี่ยนแปลงวิถีดั้งเดิมของท้องถิ่น
18 - ศาสตร์พระราชา เป็นหลักการและแนวคิดที่ไม่เน้นการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง - ศาสตร์พระราชา เป็นหลักการและแนวคิดที่มุ่งเน้นการสร้างความสมดุล ยั่งยืน - ศาสตร์พระราชา เป็นหลักการและแนวคิดการพัฒนาที่เริ่มต้นจากระดับล่างคือครอบครัว เมื่อประมวลข้อมูลดังกล่าวข้างต้นผู้เขียนจึงสรุปความหมายของคำว่า “ศาสตร์พระราชา” หมายถึง “ความรู้วิชา ภูมิปัญญาของพระเจ้าแผ่นดิน: พระปรีชาญาณ” ที่เกิดจากการประมวลสรรพสิ่งของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ประกอบด้วย 7 หลักศาสตร์พระราชา ดังนี้ (1) หลักคิด ปณิธานเพื่อปวงชนชาวไทย (2) หลักครองราชย์ (3) หลักการทรงงาน (4) หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (5) หลักทฤษฎีใหม่ (6) หลักวิธีการปฏิบัติ (7) หลักวิถีแบบอย่าง ผ่านกระบวนวิธีการศึกษา ค้นคว้าว วิจัย ทดลอง ด้วยกระบวนวิธีทาง วิทยาศาสตร์นำองค์ความรู้ไปสู่การพัฒนา แก้ปัญหา อุ้มชู เกื้อกูล แบ่งปันของประชาชนใน ระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศ บูรณการทั้งสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี ให้คนอยู่ ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ชีวิตมั่นคง สังคมยั่งยืน ศาสตร์พระราชา คือ แนวทางการพัฒนาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีความลุ่มลึก รอบด้าน มองการณ์ไกล และเน้นความยั่งยืนยาวนาน ก่อนที่ประชาคมโลกจะตื่นตัวในเรื่องนี้ เป็นแนวทางการพัฒนาที่มุ่งยกระดับคุณภาพ ชีวิตของคนไทยทุกหมู่เหล่า องค์ประกอบของศาสตร์พระราชา คือ การศึกษาและสุขภาพ การเพิ่มการผลิต การค้นคว้าวิจัยการบริหารความเสี่ยง การอนุรักษ์ธรรมชาติ และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่ละองค์ประกอบ ล้วนมีส่วนช่วย ยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกผู้ทุกคน โดยเฉพาะ คนจนผู้ยากไร้ หลักการทำงาน ตามศาสตร์พระราชา เข้าใจ–เข้าถึง-พัฒนา เป็นวิธีการแห่งศาสตร์พระราชาเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืน ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงใช้เป็นวิธีการทรงงานมาตลอดรัชสมัย ศาสตร์พระราชา มีนัยยะกว้างขวางมาก ศาสตร์แปลว่า ความรู้ที่เป็นระบบ เชื่อถือได้ผ่านการพิสูจน์ มาแล้ว ความรู้ของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ มีทั้งด้านที่เป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมีทั้งวิทยาศาสตร์ประยุกต์มีทั้ง
19 สังคมศาสตร์มีทั้งมานุษยวิทยา มนุษยศาสตร์ คือ มีทุกมิติ ถ้าเราติดตาม/ดูงานที่พระองค์ท่านทรงงานมากว่า 70 ปีพระองค์ทรงทำเป็นตัวอย่างมาให้ดูทั้งหมด 1,500 กว่าแห่ง มีทุกศาสตร์ มีทั้งจริยธรรมศาสตร์ ศาสนา มีทุกมิติ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนามนุษย์ที่สำเร็จที่สุดในโลก มีศาสตร์ว่าด้วย การเกษตร ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องดิน ศาสตร์เรื่องน้ำ เรื่องดินพระองค์ท่านทรงมีความเชี่ยวชาญ จนทั่วโลกยกย่อง ให้วันเกิดพระองค์ท่าน คือวันที่ 5 ธันวาคม เป็น “วันดินโลก” หรือแม้แต่น้ำ ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องน้ำ “ฝนหลวง” ที่ทรงศึกษาวิจัยในการให้เมฆรวมตัวกันเป็นก้อนโต แล้วทำให้เป็นฝนตกลงมาได้พระองค์ทรงทำสำเร็จจนได้รางวัล การสร้างเขื่อนฝายชะลอน้ำ ศาสตร์เรื่องป่าไม้ที่เป็น “พื้นที่ต้นน้ำ” ช่วยสร้างความชุ่มชื่น ศาสตร์เรื่องการจัดการ ดิน การป้องกันชะล้างหน้าดิน เก็บความสมบูรณ์ของดินบนเขา บนพื้นที่ลาดชันด้วย “หญ้าแฝก ที่เปรียบเสมือน กำแพงที่มีชีวิต” พระองค์เข้าใจเรื่องการใช้หญ้าแฝก อย่างลึกซึ่งในการป้องกันความเสื่อมโทรมของดิน เก็บน้ำและ ความอุดมสมบูรณ์ ให้คงอยู่ตลอดไป แม้แต่น้ำที่ไหลบ่าท่วมบ้านเรือน ทรงคิดวิธีกักเก็บด้วยโครงการ “แก้มลิง” การบำบัดน้ำเสียด้วยเครื่องกลเติมอากาศ “กังหันชัย พัฒนา” ทรงทำงานวิจัยทั้งในวังและในไร่นาเกษตรกร ทรงคิดค้น “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” และ“เกษตรทฤษฎีใหม่” ที่มีการปรับใช้ทั้งในพื้นที่ราบลุ่มและบนพื้นที่ สูงชัน บางคนก็เรียกศาสตร์พระราชาศาสตร์ว่าเป็นศาสตร์แห่งการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ทรงให้ความสำคัญกับทุกปัญหา ทุกความทุกข์ของพสกนิกร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทาน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็น แนวทางในการดำเนินชีวิต แก่พสกนิกรชาวไทย มาตั้งแต่ พ.ศ. 2517 ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อ วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 ได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไข เพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลก อยู่ตลอดเวลา ทรงชี้แนะแนวทางการ ดำเนินชีวิตและการปฏิบัติแก่ประชาชน โดยยึดหลัก “ทางสายกลาง” สรุป ความหมายเศรษฐกิจพอเพียง ออกเป็น หลักสำคัญ คือ ปรัชญา/หลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ดังนี้ปรัชญา/หลัก 3 ห่วง คือ 1. หลักความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยไป และไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเอง และ ผู้อื่น เช่น การผลิต การบริโภค การใช้จ่าย ฯลฯ ที่อยู่ในระดับพอประมาณ 2. หลักความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียง นั้น จะต้องเป็นไปอย่าง มีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัย ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ 3. หลักการสร้างภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีเงื่อนไข ของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมให้อยู่ในระดับพอเพียง ๒ ประการ คือ 1. เงื่อนไขความรู้ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน เพื่อจะนำ ความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และระมัดระวังในการปฏิบัติ 2. เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความอดทน มีความเพียร และมีการแบ่งปัน ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
20 หลักในการทรงงานของในหลวง(ศาสตร์พระราชา) 23 ข้อ หลักในการทรงงาน ข้อที่ 1 จะทำอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้เป็นระบบ อดีตทำอะไรมาบ้าง ทั้งเอกสารสอบถามเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ จริงๆ ข้อที่ 2 ระเบิดจากภายใน สร้างความเข้มแข็งจากภายในให้เกิดความเข้าใจ และอยากทำ ข้อที่ 3 แก้ปัญหาจากจุดเล็ก มองภาพรวมก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ ไม่เริ่มทีเดียวใหญ่ๆ ข้อที่ 4 ทำตามลำดับขั้น เริ่มทำจากความจำเป็นก่อน สิ่งที่ขาดคือสิ่งที่จำเป็น ข้อที่ 5 ภูมิสังคม ภูมิศาสตร์ สังคมศาสตร์ การทำงานทุกอย่าง ต้องคำนึงถึงภูมิศาสตร์ว่า อยู่แถบไหน อากาศเป็น อย่างไร ติดชายแดน ติดทะเล และ สังคมของเราเป็นอย่างไร นับถือศาสนาอะไร คนนิสัยใจคอเป็นอย่างไร รวม ไปถึงพวกเรากันเองด้วย ข้อที่ 6 ทำงานแบบองค์รวม โดยคิดความเชื่อมโยง ทรงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีแนวโน้มทางแก้ไขอย่าง เชื่อมโยง องค์รวม <-------> ครบวงจร เชื่อมโยง “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ข้อที่ 7 ไม่ติดตำรา ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด บางครั้งเรายึดทฤษฎีจนเกินไปทำอะไรไม่ได้เลย ข้อที่ 8 ประหยัด เรียบง่าย ใช้เงินน้อย แต่ได้ประโยชน์สูงสุด ทำได้เอง หาได้เองในท้องถิ่น ใช้เทคโนโลยีง่ายๆ ข้อที่ 9 ทำให้ง่าย ทำอะไรให้ง่ายๆ ทำให้ชีวิตง่าย โปรดทำสิ่งยากๆ ให้กลายเป็นสิ่งที่ง่ายๆ ข้อที่ 10 การมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็น ข้อที่ 11 ต้องยึดประโยชน์ส่วนรวม จากพระราชดำรัส ใครต่อใครชอบบอกให้นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม ให้ส่วนรวมคือ การช่วยตัวเองด้วย เพราะเมื่อส่วนรวมได้ประโยชน์ เราเองก็ได้ประโยชน์ ข้อที่ 12 บริการที่จุดเดียว วันนี้เราพูด วันสต๊อปเซอร์วิส แต่ในหลวงตรัสไว้เกิน 20 ปีมาแล้ว ข้อที่ 13 ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติมองธรรมชาติให้ออก กักน้ำตามลำธารช่วยให้ป่าสมบูรณ์ช่วยให้ชาวเขามีอาชีพ ข้อที่ 14 ใช้อธรรมปราบอธรรม เช่น เอาผักตบชวาที่เป็นปัญหาของเราในประเทศ มากำจัดน้ำเสีย ข้อที่ 15 ปลูกป่าในใจคน ต้องปลูกป่าที่จิตสำนึกก่อน ต้องให้เห็นคุณค่า ก่อนที่จะลงมือทำ
21 ข้อที่ 16 ขาดทุนคือกำไร อย่ามองที่กำไรขาดทุนที่เป็นตัวเงินมากจนเกินไป บางครั้งเราได้กำไรจากการขาดทุน - ลงทุนมหาศาล ได้ธรรมชาติกลับคืนมา - ลงทุนมหาศาล ได้ลูกคืนมา - ลงทุนมหาศาล ได้คนดีๆ กลับมา - ลงทุนมหาศาล ได้ความรู้ไว้คอยช่วยเหลือ ข้อที่ 17 การพึ่งตนเอง ในหลวงทรงสอนให้พวกเราพึ่งตนเอง เพราสังคมบริโภค จะเป็นทาสของผู้ผลิต การพึ่งตนเองได้ ทำให้ไม่ต้อง เป็นทาสใคร เมื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้วพยายามพึ่งตนเองให้ได้ ข้อที่ 18 พออยู่พอกิน พออยู่พอกินก่อน แล้วค่อยพัฒนา เราขอให้ บำบัดให้ได้ก่อน==> ประคับประคอง==> เป็นที่ปรึกษา==>เป็น ผู้ช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป ข้อที่ 19 เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการต่อสู้รับมือความเปลี่ยนแปลงของโลก การขจัดความหิวโหย ที่ต้องคำนึงถึงเรื่อง ความพอดีโดย อาศัยหลักเศรษฐกิจพอเพียง ข้อที่ 20 ความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจต่อกัน คนที่มีความรู้มาก แต่โกง สู้คนที่ไม่เก่ง แต่ดีไม่ได้ วีรบุรุษ วีรสตรีคือคุณธรรม ที่ทำประโยชน์เพื่อ ผู้อื่น พวกเราที่ทำงานยาเสพติด คือ วีรบุรุษ วีรสตรีผู้หนึ่ง ข้อที่ 21 ทำงานอย่างมีความสุข “ ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ ฉันมีแต่ความสุข ที่ร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นเท่านั้น” ทำอะไรต้อง มีความสุขด้วย ข้อที่ 22 ความเพียร กว่า 60 ปีที่ทรงงาน ในหลวงไม่เคยทรงท้อถอย ไม่มีการลาพักร้อน หยุดงานสักเวลาเดียว ข้อที่ 23 รู้ รัก สามัคคี คิดเพื่องาน รู้ = ต้องรู้ปัจจัย รู้ปัญหา รู้ทางออก ของปัญหา รัก = เมื่อรู้แล้ว ต้องเกิดความอยาก สามัคคี= ร่วมมือ ลงมือปฏิบัติเพื่อเกิดพลัง พระบรมราโชบายด้านการศึกษา พระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทร มหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “....งานของครูนั้น ถือได้ว่าเป็นงานสร้างสรรค์อย่างแท้จริง เพราะ เป็นการวางรากฐานความรู้ ความดี และความสามารถทุก ๆ ด้านแก่ ศิษย์ เพื่อช่วยให้สามารถดำรงตนเป็นคนดี มีอาชีพเป็นหลักฐานและเป็น ประโยชน์ต่อสังคม เพราะเหตุที่งานของครูเป็นงานที่หนักและเป็นงาน สร้างสรรค์ที่บริสุทธิ์ ผู้เป็นครูจึงต้องปฏิบัติ หน้าที่ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ ด้วยความพากเพียร อดทน และด้วยความเมตตากรุณาอย่างสูง ทั้งต้อง สำรวมระวัง ตนในเรื่องความประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ปล่อยตัว ปล่อยใจไปตามความต้องการที่ไม่สมควรแก่ฐานะและ เกียรติภูมิของครู …”
22 พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะกรรมการ คุรุสภา คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ และคณะกรรมการมูลนิธิช่วยครูอาวุโสในพระบรมราชูปถัมภ์นำครูอาวุโส ประจำปี๒๕๕๙ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ และเงินช่วยเหลือครูอาวุโสเข้า รับ พระราชทานเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ และรับพระราชทานเงินช่วยเหลือ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ “...การศึกษา คือ ความมั่นคงของประเทศ... การศึกษาต้องสร้างให้คนไทยมีทัศนคติที่ดีและถูกต้อง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคงเข้มแข็ง มีอาชีพ มีงานทำ และมีความเป็นพลเมืองดี มีระเบียบวินัย...” คุณลักษณะคนไทยที่พึงประสงค์ 1. มีทัศนคติที่ดีและถูกต้อง (1) มีความรู้ความเข้าใจต่อชาติบ้านเมือง (2) ยึดมั่นในศาสนา (3) มั่นคงในสถาบันพระมหากษัตริย์ (4) มีความเอื้ออาทรต่อครอบครัวและ ชุมชนของตน 2. มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคงเข้มแข็ง (1) รู้จักแยกแยะสิ่งที่ผิด – ชอบ / ชั่ว – ดี (2) ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ดีงาม (3) ปฏิเสธสิ่งที่ผิด สิ่งที่ชั่ว (4) ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง 3. มีอาชีพ มีงานทำ (1) การเลี้ยงดูลูกหลานในครอบครัว หรือ การฝึกฝนอบรมในสถานศึกษาต้องมุ่ง ให้เด็กและ เยาวชนรักงาน สู้งาน ทำจนงานสำเร็จ (2) การฝึกฝนอบรมทั้งในหลักสูตรและ นอกหลักสูตรต้องมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนทำงานเป็น และมีงานทำในที่สุด (3) ต้องสนับสนุนผู้สำเร็จหลักสูตรมีอาชีพ มีงานทำ จนสามารถเลี้ยงตัวเองและ ครอบครัว 4. เป็นพลเมืองดี มีวินัย (1) การเป็นพลเมืองดีเป็นหน้าที่ของทุกคน (2) ครอบครัว – สถานศึกษา และสถาน ประกอบการ ต้องส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสทำหน้าที่ เป็นพลเมืองดี (3) การเป็นพลเมืองดีคือ “เห็นอะไรที่จะ ทำเพื่อบ้านเมืองได้ก็ต้องทำ” เช่น งานอาสาสมัคร งาน บำเพ็ญประโยชน์งานสาธารณกุศล ให้ทำด้วยความมีน้ำใจและความเอื้ออาทร
23 ภาพแสดงพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทร มหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
24 วิชา การวิเคราะห์ปัญหาการปฏิบัติงานในหน้าที่ โดย นางสาวรมิดา คุณธรักษ์ เทศบาลตำบลลำลูกกา ปัญหา เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับทุกคน ทุกองค์กรแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะปัญหาคือ โอกาส สิ่งท้าทาย ให้เราได้ฝึก วิชา ความสามารถ และทำให้มีทักษะในการแก้ไขปัญหามากขึ้น เทคนิคการแก้ไขปัญหาในการทำงาน เข้าใจปัญหา ปัญหาคืออะไร ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรคือปัญหา ซึ่งอาจจะได้จากการสังเกตด้วย ตัวเอง สอบถามผู้เกี่ยวข้อง หรือสังเกตจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร จะได้ วางแผนแก้ไขปัญหาต่อไป การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะเป็นแนวทางของการแก้ปัญหา ได้อย่างเหมาะสม และทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การคิดวิเคราะห์นั้น ถ้าวิเคราะห์ผิดพลาด ผลลัพธ์จากการ แก้ปัญหาก็จะผิดพลาดไปด้วย องค์กรจะประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างยั่งยืน จะต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง “คุณภาพ” ในผลิตภัณฑ์สูงขึ้น และต้องมีกลยุทธ์หรือวิธีการในการพัฒนาบุคลากร รวมถึงต้องมีขั้นตอนการแก้ไขปัญหาและ ปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างเป็นรูปธรรม หรือมีลักษณะของการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ (Systematic Problem Solving) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ “ลดต้นทุนในกระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์”ดังนั้นแนวคิดเกี่ยวกับ วงจร PDCA หรือ “วงจรเด็มมิ่ง” (Deming Cycle) ซึ่งถูกคิดค้นโดย Dr. Edwards W. Deming เป็นอีก เครื่องมือหนึ่งที่สำคัญสำหรับการวางแผนแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นที่นิยมใช้เป็นอย่างมากหลักว่าหลักการ PDCA สามารถนำมาใช้เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาระบบการทำงานขององค์กรให้ดีขึ้นได้แม้กระทั่งองค์กรนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการผลิตในอุตสาหกรรม เพราะหลักการ PDCA Plan-Do-Check-Act สามารถนำมาประยุกต์ใช้ ได้กับทุกงานแม้กระทั่งการดำเนินชีวิตประจำวันก็ตาม
25 เริ่มต้นการพัฒนาประสิทธิภาพด้วยการวางแผน (P) และกำหนดแนวทาง (D) ▪ หลักการกำหนดเป้าหมายเพื่อการปรับปรุง/พัฒนาคุณภาพงานที่มีประสิทธิภาพตามหลัก SMART ▪ ปัจจัย/สาเหตุที่ทำให้งานมักจะไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ ▪ P : Plan เครื่องมือช่วยการวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น 5W1H 4M เป็นต้น ▪ D : Do หลักการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานเพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่วางแผนไว้ พัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องมือตรวจสอบ (C) และปรับปรุง (A) ▪ หลุมพรางทางความคิดและเทคนิคในการเอาชนะหลุมพรางทางความคิด ▪ C : Check หลักการตรวจสอบและการรายงานผลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง และมีนัยสำคัญเพื่อ นำไปปรับปรุง/พัฒนาให้ดีขึ้นต่อไป ▪ เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา เช่น แผนภูมิก้างปลา Why Why Analysis (5Why) เป็นต้น ▪ A : Act หลักการกำหนดขั้นตอน/วิธีปฏิบัติเพื่อการแก้ไข/พัฒนาผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง กระบวนการปรับปรุงคุณภาพ (PDCA) คือ การแก้ปัญหาเรื้อรังด้วยการวางแผนอย่างอย่างเป็นระบบ – กระบวนการเริ่มต้นที่การวางแผน แก้ปัญหา (P - Plan) ซึ่งมีรายละเอียด 4 ข้อ ได้แก่ 1) การนิยามปัญหาคุณภาพ หมายถึง การกำหนดปัญหาให้ชัดเจนและมีลักษณะเฉพาะเจาะจง 2) การวิเคราะห์ปัญหาและตั้งเป้าหมาย หมายถึง การทำความเข้าใจกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นว่า ปัญหามีลักษณะอย่างไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมาจากกระบวนการใด เมื่อมีความชัดเจนกับปัญหาแล้ว จึงกำหนดเป้าหมายแก้ปัญหา 3) การวิเคราะห์สาเหตุรากเหง้าของปัญหา หมายถึง การค้นรากสาเหตุด้วยเทคนิคการถามทำไม 5 ครั้ง (5 Why Technique) เครื่องมือที่สนับสนุนการวิเคราะห์สาเหตุคือ แผนผังก้างปลา (Fish Bone Diagram) หรืออาจใช้ Why – Why Diagram ก็ได้ และที่สำคัญรากสาเหตุที่เจอต้องนำไปสู่ “การแก้ปัญหาและป้องกันไม่ให้ ปัญหานั้นเกิดซ้ำขึ้นอีก”
26 3.1 แผนภูมิก้างปลา หรือ Fish Bone Diagram เป็นแผนภูมิที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ผลกระทบ และสาเหตุ โดยแบ่งเป็น สาเหตุหลัก สาเหตุรอง และสาเหตุย่อย ด้วยโครงสร้างที่ชัดเจนในการ วิเคราะห์ระบุปัจจัยพื้นฐานของสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ 3.2 Why Why Analysis เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กันมากโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นเทคนิค การวิเคราะห์หาปัจจัยที่เป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์ หรือปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ได้พบต้นตอ หรือรากเหง้าที่ แท้จริง และที่สำคัญคือ เพื่อนำไปสู่การแก้ไข และป้องกันการเกิดซ้ำต่อไป วิธีการคิดปัจจัยที่อยู่หลังสุด จะต้องเป็นปัจจัยที่สามารถพลิกกลับกลายเป็นมาตรการที่มี ประสิทธิภาพ (เป็นมาตรการป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำอีก) 4) การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหา หมายถึง การนำรากสาเหตุมากำหนดมาตรการแก้ไขที่สมเหตุสมผล เพื่อการป้องกันการเกิดซ้ำของปัญหา โดยมาตรการแก้ไขต้องพิจารณา 3 ประเด็นต่อไปนี้ประกอบด้วย ▪ ผลกระทบ (Effect) คือ ผลลัพธ์ของการแก้ปัญหามีประสิทธิภาพสูงหรือต่ำ ▪ ความเป็นไปได้ (Feasibility) คือ มาตรการแก้ไขมีความเป็นไปได้ในแง่เทคโนโลยี งบประมาณ และความพร้อมของบุคลากรหรือไม่
27 ▪ ความคุ้มค่า (Economy) คือ การพิจารณาถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในเงินลงทุนกับ มาตรการแก้ไขกระบวนการวางแผนแก้ปัญหา (P – Plan) เสร็จสิ้นแค่นี้ หลังจากนั้นต้องเข้าสู่ กระบวนการ D C และ A ดังนี้ 5) การนำมาตรการแก้ไขไปใช้ (Do) หมายถึง การนำมาตรการแก้ไขไปดำเนินการตามแผนที่วางไว้ 6) การวัดผลและการยืนยันผลลัพธ์ (C – Check) หมายถึง การตรวจสอบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็น อย่างไรโดยการเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7) การป้องกันการเกิดซ้ำด้วยการจัดทำมาตรฐาน (A – Act) หมายถึง ปัญหาที่ได้รับการแก้ไขแล้วต้อง ได้รับการป้องกันการเกิดซ้ำ โดยการปรับปรุงหรือจัดทำมาตรฐานวิธีการทำงาน (Work Instruction – WI) และการจัดทำมาตรฐานการควบคุม เพื่อให้ทราบถึง “สภาวะปกติ” ของกระบวนการโดยสรุปการบริหาร เพื่อคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management – TQM) มีจุดมุ่งหมายคือการประกันคุณภาพโดยรวมให้แก่ ลูกค้า (Quality Assurance – QA) ให้ลูกค้าเกิดพึงพอใจในสินค้าและบริการ เกิดการซื้อซ้ำ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจอยู่ รอดและเติบโตขึ้น เมื่อมีปัญหาคุณภาพ (ปัญหาชั่วคราวหรือปัญหาเรื้อรัง) เกิดขึ้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าสู่ กระบวนการรักษาคุณภาพ (วงจร SDCA) หรือกระบวนการปรับปรุงคุณภาพ (วงจร PDCA) เพื่อทำให้ระดับของ คุณภาพกลับเข้าสู่สภาพดีดังเดิม
28 วิชา ระบาดวิทยา การควบคุม และส่งเสริมป้องกันโรค โดย นางสาวกาญจนวรรณ บัวจันทร์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี คำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง ระบาดวิทยา : กองระบาดวิทยา , กลุ่มระบาดวิทยา, งานระบาดวิทยา, นักระบาดวิทยา วิทยาการระบาด : สาขาวิชา,ภาควิชา Epidemiology ระบาดวิทยา วิทยาการระบาด มาจากรากศัพท์ภาษากรีก epi = “บน” Demos = “ประชากร” logos = “การศึกษา นิยามของระบาดวิทยา (Epidemiology) การศึกษาเกี่ยวกับการกระจาย และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรค/สภาวะสุขภาพในประชากรที่สนใจ และประยุกต์ผลการศึกษาเพื่อใช้ในการควบคุมโรค • ศาสตร์ว่าด้วยสารสนเทศเพื่อการกำหนดนโยบายหรือการตัดสนใจ • ศาสตร์ของการบอกการกระจาย และตัวสะท้อนสถานภาพ เกี่ยวกับสุขภาพของประชากร • ศาสตร์ของการหาความหมายจากข้อมูล • ศาสตร์ของการหาความสัมพันธ์ เหตุ-ผล ระบาดวิทยา เป็นการศึกษาเรื่องโรคหรือสถานะสุขภาพหรือเหตุการณ์ที่สัมพันธ์กับสุขภาพอนามัยของประชาชนในด้าน การเกิดโรค การกระจาย และสิ่งกำหนด • การเกิด (occurrence) : ทราบได้ด้วย นิยาม ขนาดและความรุนแรง • ตามแปรตาม (distribution) : ตามตัวแปร บุคคล เวลา และสถานที่่ • สิ่งกำหนด (determinants) : พบในองค์ประกอบ Agent Host และ Environment
29 วัตถุประสงค์การศึกษาทางระบาดวิทยา 1. เพื่อทราบขนาดและการกระจายของโรคในชุมชน บุคคล เวลา สถานที่ 2. เพื่อทราบสาเหตุของโรค 3. เพื่อทราบธรรมชาติของการเกิดโรค ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค และวิธีการถ่ายทอดโรค 4. เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนการควบคุมและ ป้องกันการเกิดโรคใน ครั้งนี้และครั้งต่อๆไป บทบาทระบาดวิทยาในงานสาธารณสุข 1. การเฝ้าระวังทางสาธารณสุข (Public Health Surveillance) 2. การสอบสวนการระบาดของโรค (Outbreak Inverstigation) 3. การศึกษาทางระบาดวิทยา (Epidemiological Study) ระบาดวิทยากับการป้องกันโรค ระบาดวิทยา การป้องกันควบคุมโรค โรคอะไร เท่าไร กระจายอย่างไร ปัญหา กลุ่มเป้าหมาย เกิดขึ้นได้อย่างไร ปัจจัยสาเหตุที่ต้องควบคุม มาตรการที่เหมาะสมคืออะไร กิจกรรมที่ ต้องดำเนินการ จะดำเนินมาตรการอย่างไร ประเมินผลกิจกรรม ปัจจัยสามทางระบาดวิทยา ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญทางระบาดวิทยา ประกอบด้วย 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. สิ่งที่ทำให้เกิดโรค (Agent) ได้แก่ Physical • Chemical • Biological 2. มนุษย์ (Host) ได้แก่ Age, Sex , Genotype, Health status, Behaviour , Nutritional status 3. สิ่งแวดล้อม (Environment) ได้แก่ Weather, Housing , Geography,Occupation , Air quality , Food quality ,Socio-economic, culture หากทั้ง 3 ปัจจัยขาดความสมดุลจะส่งผลให้เกิดโรค นอกจากนี้ยังพบว่าการที่โรคเกิดการกระจาย มีปัจจัย ที่เกี่ยวข้องอีก 3 ประการ คือ บุคคล เวลา สถานที่
30 ปัจจัยสามทางระบาดวิทยา 1. ภาวะที่มีความสมดุลระหว่างปัจจัยทั้งสาม จะไม่มีโรคเกิดขึ้นในชุมชน (stage of equilibrium) ๒. ในภาวะที่ไม่มีความสมดุลระหว่างปัจจัยทั้งสาม จะมีโรคเกิดขึ้นในชุมชน (stage of equilibrium) ๒.๑ สิ่งที่ทำให้เกิดโรค (agent) มีการเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น หรือการมี agent ชนิดใหม่ เกิดขึ้น หรือ agent ชนิดเก่า เกิดการผ่าเหล่า (mutation) ทำให้เชื้อมีความรุนแรงมากขึ้น ๒.๒ โฮสท์ หรือ มนุษย์ (host) มีการเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคมากขึ้น ได้แก่ การมีเด็กเล็ก อยู่เป็นจำนวนมากในชุมชน จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ มากกว่ากลุ่มอายุอื่น หรือการที่มี คนสูงอายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคนเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง เบาหวาน ๒.๓ สิ่งแวดล้อม (environment) มีการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเกิดได้ใน ๒ กรณี คือ กรณีที่ ๑ สิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนให้ agent มีการเพิ่มมากขึ้น ผลก็คือมี host ป่วยมากขึ้น กรณีที่ ๒ สิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนให้มี susceptible host เพิ่มมากขึ้น ผลก็คือมีการป่วยเป็นโรคมากขึ้น เช่น การเกิด อุทกภัย วาตภัย ทำให้ประชาชนขาดอาหาร ที่อยู่อาศัย และอื่น ๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีพ A E H A E H H E A A E H A E H แสดงความไม่สมดุลระหว่างปัจจัยทั้งสาม ของสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนให้มีสิ่งที่ ก่อให้เกิดโรคมีมากขึ้น แสดงความสมดุลระหว่างปัจจัยทั้งสามของ สิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนให้โฮสท์เพิ่มมากขึ้น
31 กระบวนการเกิดโรค ธรรมชาติของการเกิดโรคและการกระจายของโรค (The natural history of disease) กระบวนการเกิดโรค หมายถึง การดำเนินโรคที่เกิดขึ้นในคนโดยที่ไมมีการรักษาหรือการแทรกแซงใดๆ การเกิดโรคเริ่มจากการสัมผัสปัจจัยที่เป็นสาเหตของโรค ถ้าไม่มีการรักษา โรคอาจจะจบลงด้วยการหาย การพิการ หรือการตาย ภาพแสดงวงจรกระบวนการเกิดโรค วงจรการเกิดโรคตามธรรมชาติ 1. ระยะไวต่อการรับเชื้อ (Stage of Susceptibility) เป็นระยะที่ยังไม่ปรากฏอาการ แต่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเพิ่มโอกาสที่จะเกิดโรค 2. ระยะก่อนเกิดอาการ (Stage of Presymptomatic Disease) ระยะนี้ยังไม่มีอาการแสดงของ โรคผ่านระยะปฏิกิริยาของการเปลี่ยนแปลงทางพยาธสิภาพแล้ว แต่ยังไม่มีอาการใดๆ 3. ระยะเกิดอาการ (Stage of Clinical Disease) เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงที่อวัยวะและพบว่า มีอาการ และอาการแสดง 4. ระยะพิการ (Stage of Disability) เป็นระยะที่โรคได้ดำเนินการมาจนถึงระยะสุดท้าย โดยอาจจะ ฟื้นหมดหรือมีความพิการหลงเหลืออยู่ ภาพแสดงวงจรการเกิดโรคตามธรรมชาติทั้ง 4 ระยะ
32 ระยะที่สำคัญของการเกิดโรค - ระยะพัก (Latent period) ในกรณีโรคติดเชื้อหมายถึง ระยะที่เริ่มติดเชื้อ จนกระทั่ง สามารถเริ่มแพร่เชื้อได้ - ระยะฟักตัว (Incubation period) - กรณีโรคติดเชื้อ หมายถึง ระยะเวลาที่เริ่มติดเชื้อจนจนกระทั่งเริ่มมีอาการของโรค - กรณีโรคไร้เชื้อ หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่ไม่มีอาการจนกระทั่งมีอาการนั้นคือตั้งแต่ระยะพัก (latent) ดังนั้น Latent period กรณีโรคไร้เชื้อ - ระยะติดต่อ (Infectious period) ระยะเวลาที่ผู้ป่วยสามารถแพร่โรคให้ กับคนอื่นได้ ธรรมชาติของโรค เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ในมหาสมุทร ส่วนที่มองเห็นจะมีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับ ส่วนที่อยู่ใต้น้ำ กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการหรือกลุ่มที่ไม่มีอาการไม่ไปรับการรักษามีจำนวนมาก ในการศึกษา ทางวิทยาการระบาดและการป้องกนัโรคต้องตระหนักถึงกลุ่มนี้ด้วย
33 โรคหรือสภาวะทางสุขภาพ เป็นประเด็นที่นักระบาดวิทยาต้องศึกษาโดยละเอียด เพื่อประกอบ การศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ซึ่งจำดป็นต้องมีการศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในประเด็นต่างๆ ได้แก่ นิยามโรค (Definition) ขนาดปัญหา (Magnitude) และความรุนแรง (Severity) 1. นิยามโรค (Case definition) • จำเป็นต้องมีเพื่อให้เข้าใจปัญหาตรงกัน • ปรับปรุงได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เช่น มีความรู้ใหม่ เทคโนโลยีการตรวจดีขึ้น • แบ่งตามระดับของโอกาสในการเป็นโรค • สงสัย (Suspected): ประวัติ อาการ ตรวจร่างกาย • น่าจะเป็น (Probable): ระดับสงสัยที่มีผล Lab เบื้องต้น • ยืนยัน (Confirmed): ระดับสงสัยหรือน่าจะเป็นที่ มีผล Lab ยืนยัน 2. ขนาดปัญหา (Magnitude) แสดงได้ 2 ลักษณะ 1. จำนวนผู้ป่วย (หรือจำนวนผู้เสียชีวิต) - เข้าใจง่ายแต่ไม่สะท้อนขนาดปัญหาโดยเปรียบเทียบกับประชากรที่ขนาดแตกต่างกัน 2. อัตราป่วย (หรืออัตราตาย) – ใช้เปรียบเทียบระหว่างประชากรแต่ละกลุ่ม – ตัวตั้ง คือ จำนวนผู้ป่วย (หรือตาย) – ตัวหาร คือ จำนวนประชากรผู้มีโอกาสเกิดโรค (Population at risk) – นิยมแสดงเป็นจำนวน ต่อ 100,000 ประชากร (เพื่อให้เป็นจำนวนเต็ม) ชนิดของการบอกขนาดปัญหา - อุบัติการณ์ (Incidence) - ผู้ป่วยใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง - มักใช้กับโรคเฉียบพลัน (เป็นเร็วหายเร็ว) - เช่น อัตราป่วยโรคอุจจาระร่วง เท่ากับ 10 ต่อแสนประชากร - ความชุก (Prevalence) - ผู้ป่วย(ทั้งเก่าและใหม่) ที่ยังป่วยอยู่ ณ เวลาขณะหนึ่ง - มักใช้กับโรคเรื้อรัง (เป็นช้าหายช้า) - เข่น อัตราการป่วยโรคเบาหวาน ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีเท่ากับร้อยละ 20 3. ความรุนแรง (Severity) 1. อัตราป่วยตาย (Case Fatality Rate; CFR) 2. อัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน 3. ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
34 การกระจายของโรค (Distribution) การกระจายของโรคไม่ได้หมายถึง การกระจาย (แพร่) ของโรคจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ซึ่งมักใช้คำว่า การถ่ายทอดโรค (Transmission) แทน ซึ่งในทางระบาดวิทยาดูลักษณะการกระจายตาม เวลา (Time), สถานที่ (Place), บุคคล (Person) 1. เวลา Time - เกิดทุกปีหรือไม่ หรือหลายๆ ปีเกิดครั้งหนึ่ง (Secular trend) - มีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงของปีหรือไม่ (Seasonal variation) - รูปแบบของการเกิดโรคบางครั้งสามารถอธิบายได้โดยการศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า การเกิดโรค ถ้าใช้กราฟ (Histogram) แสดงจำนวนผู้ป่วยแยกตามวันเริ่มป่วย จะเรียกว่า Epidemic Curve ภาพแสดงตัวอย่าง Epidemic Curve 2. สถานที่ (Place) - เกิดในพื้นที่เมือง หรือ ในชนบท - เกิดในพื้นที่ที่เคยเกิดโรคมาก่อน หรือ พื้นที่ใหม่ - เกิดใกล้ๆสิ่งที่อาจเป็นแหล่งโรคหรือไม่ แสดงด้วย Spot map หรือ Area map ภาพแสดงตัวอย่างSpot map หรือ Area map
35 3. บุคคล (Person) - อายุ เพศ อาชีพ ศาสนา การศึกษา เศรษฐกิจ - พฤติกรรม เช่น อาหารที่กิน กิจกรรมร่วม ฯลฯ แสดงด้วย อัตราป่วยแยกตามกลุ่ม (Specific attack rate) ภาพแสดงตัวอย่างอัตราป่วยแยกตามกลุ่ม (Specific attack rate) แหล่งรังโรค (Reservoirs) ➢ มนุษย์ (Human Reservoirs) - ผู้ป่วย (Patients) - พาหะ (carrier) ➢ สัตว์ (Animal Reservoirs) ➢ สิ่งแวดล้อม (Environmental Reservoirs) กลไกการถ่ายทอดโรค Direct ทางตรง - Direct contact การสัมผัส การจูบ การร่วมเพศ - Droplet spread ละอองขนาดใหญ่ (การไอ จาม ละอองกระจาย 2-3 ฟุต) Indirect ทางอ้อม - Airborne ฝุ่น ละอองขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน - Vehicle borne สื่อนำโรค เช่น นม น้ำ อาหาร สิ่งของเครื่องใช้ ต่างๆ - Vector borne พาหะนำโรค เช่น แมลงและสัตว์นำโรค Mechanical Biologic
36 การระบาด (Outbreak) การระบาด คือ การมีผู้ป่วยจำนวน มากกว่าปกติ จำนวนปกติที่คาดหมาย ณ สถานที่หรือในประชากร ที่ช่วงเวลาหนึ่ง ผู้ป่วยเกิดขึ้นในลักษณะ Cluster และเชื่อมโยงได้ว่าว่าจาก Exposure เดียวกัน มีผู้ป่วยด้วย โรคที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หรือเคยมีในอดีตและเกิดในปัจจุบันอีก 1. โดยทั่วไปใช้วิธีเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของ จำนวนผู้ป่วยย้อนหลัง 3-5 ปี ในช่วงเวลา เดียวกันของ พื้นที่เดียวกัน “ค่าเฉลี่ยของจำนวนผู้ป่วย” อาจใช้ ค่ามัธยฐาน (median) หรือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (mean) + 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. ผู้ป่วยหนึ่งราย แต่ป่วยด้วยโรคที่ไม่เคย พบมาก่อน เช่นวันที่ 8 มกราคม 2563 ชายไทย อายุ 36 ปีได้รับการวินิจฉัยว่าป่วย ด้วยโรคไข้หวัด covid-19 ซึ่งเป็นโรคที่ไม่เคยเกิดมากก่อน 3. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไปในระยะเวลาอันสั้น หลังจาก ร่วมกิจกรรมด้วยกันมา (Outbreak) เช่น เหตุการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในกลุ่มผู้เดินทางไปสนามมวย เดือนมีนาคม พ.ศ.2563 ลักษณะการเกิดโรคในชุมชน Endemic disease : โรคที่พบอยู่ได้บ่อยๆในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง Sporadic : โรคที่เกิดขึ้นกระจัดกระจายไม่เฉพาะที่และมักจะเกิดทีละราย เช่น โรคบาดทะยัก ไอกรน Epidemic : ปรากฏการณ์การเพิ่มขึ้นของโรคอย่างผิดปกติในชุมชนและไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ในสถานที่หนึ่งและในช่วงเวลาหนึ่ง Pandemic : ลักษณะของโรคที่เกิดขึ้นในวงกว้าง เช่น เกิดทั่วประเทศ ระหว่างประเทศ ประเภทของโรคติดเชื้อจำแนกตามขนาดของการแพร่ระบาดในเชิงภูมิศาสตร์
37 ชนิดของการระบาด (Outbreak patterns) 1. ชนิดแหล่งโรคร่วม (Common source outbreak) - Point - Intermittent - Continuous 2. ชนิดแหล่งโรคแพร่กระจาย ( Propagated source outbreak) 3. Mix ประโยชน์ของการทราบชนิดของการระบาด คือ การบอกถึงวิธีการควบคุมโรค แหล่งรังโรคร่วม กำจัดแหล่งรังโรค แหล่งรังโรคแพร่กระจาย ให้สุขศึกษาปรับปรุงสุขาภิบาล
38 การค้นหาการระบาด 1. ข้อมูลในระบบเฝ้าระวัง การวิเคราะห์ที่เป็นประจำสมำ่เสมอ ทันเวลา เช่น การรายงานโรคราย สัปดาห์รายเดือน พบจำนวนผู้ป่วยมากผิดปกติ หรือ มีกลุ่มผู้ป่วยในบางสถานที่ 2. ข้อมูลนอกระบบการเฝ้าระวัง แพทย์ สื่อสารมวลชน อินเตอร์เน็ต การแจ้งโดยหน่วยงานเอกชน การแจ้งโดยไม่เป็นทางการ การสอบสวนการระบาดของโรค การสอบสวนโรค เป็นการค้นหาข้อเท็จจริง ของเหตุการณ์การระบาดโดยการ รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ อธิบายรายละเอียดของปัญหา ค้นหาสาเหตุเพื่อนำไปสู่การ ควบคุม ป้องกันปัญหาการระบาดครั้งนั้น ๆ และครั้งต่อไป ตอบคำถาม : What, Who, Where, When, Why, How ปัญหาพื้นฐานเมื่อศึกษาโรค/ปัญหาสุขภาพ ปัญหาอะไร? (What) โรค -ปัญหาใหญ่แค่ไหน (How much) ขนาดปัญหา -ปัญหารุนแรงแค่ไหน (How serious) ความรุนแรงของปัญหา ปัญหาเกิดกับผู้ใด? (Who) บุคคล ปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน? (Where) สถานที่ ปัญหาเกิดได้อย่างไร? (Why/How) บุคคล โรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โรคติดต่อ หมายถึง โรคที่เกิดจากเชื้อโรคหรือพิษของเชื้อโรคซึ่งสามารถแพร่โดยทางตรง หรือทางอ้อม ทางตรงหรือทางอ้อมมาสู่คน โรคติดต่อตาม พรบ.โรคติตต่อ จำแนกเป็น 3 ปรเภท ได้แก่ โรคติดต่ออันตราย โรคระบาดตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ และโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง 1. โรคติดต่ออันตราย (Dangerous communicable) ➢ เป็นโรคที่มีความรุนแรง และสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว ➢ มีความรุนแรงสูง อัตราตายสูง , มีผลกระทบสูง ➢ ไม่มียารักษา ➢ ไม่มีวัคซีน ➢ รายงานให้กรมควบคุมโรคทราบทันที (กรณีผู้ป่วยสงสัย หรือ มีเหตุอันควรให้สงสัย ) ไม่เกิน 3 ชั่วโมง
39 ➢ ผู้แจ้งได้แก่ เจ้าบ้าน, โรงพยาบาล, ห้องปฏิบัติการ, เจ้าของสถานประกอบการ ➢ ผู้สัมผัสใกล้ชิด (Closed contact) ต้องกักกัน ≥ 1 เท่าระยะฟักตัวที่ยาวที่สุด ➢ ไม่รายงานโรค หรือผู้สัมผัส หรือขัดขวางการปฏิบัติงาน มีความผิด ➢ โรคติดต่ออันตราย มี 13 โรค 1.1 กาฬโรค (Plague) โรคติดต่อที่มีพาหะมาจากหมัดของสัตว์ฟันแทะจำพวกหนู กระรอก กระแต กระต่าย ที่เมื่อเกิดการติดเชื้อ จากการที่โดนหมัดกัด จะทำให้เกิดอาการอักเสบ บวม โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ รักแร้ ทำให้มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต และเชื้ออาจจะลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง จนหัวใจวาย และอาจเสียชีวิต 1.2 ไข้ทรพิษหรือฝีดาษ (Smallpox) โรคนี้จะมีตุ่มขึ้นตามผิวหนังทั่วร่างกายและหากตุ่มเหล่านี้แตกก็จะทำให้ติดต่อกันได้ผ่านระบบ ทางเดินหายใจ และการสัมผัสทางผิวหนัง ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษาโรคนี้แต่สามารถป้องกันโรคนี้ ได้ด้วยการฉีดวัคซีน หรือที่เรียกว่า การปลูกฝี 1.3 ไข้เลือดออกไครเมียนคองโก (Crimean – Congo hemorrhagic fever) ไข้เลือดออกชนิดนี้มีจุดกำเนิดอยู่ที่แหลมไครเมียและในคองโกและยังพบการระบาดในแถบ แอฟริกา แถบคาบสมุทรบอลข่าน ตะวันออกกลาง และเอเชีย โดยมีพาหะเป็นแมลงที่มีเชื้อไนโรไวรัส (Nairovirus) ซึ่งหากได้รับเชื้อนี้เข้าสู่ร่างกาย จะมีอาการป่วยที่เฉียบพลันและรุนแรง มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ มึนงง ปวดคอร่วมกับคอแข็ง ปวดศีรษะ ใบหน้าแดง กลัวแสง และบางรายอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน สับสน ก้าวร้าว มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ปัสสาวะเป็นเลือด หรือมีเลือดออก จากเหงือก และอาจพบภาวะตับอักเสบร่วมด้วย 1.4 ไข้เวสต์ไนล์ (West Nile Fever) ไข้เวสต์ไนล์เป็นโรคติดต่อที่มียุงเป็นพาหะ แล้วนำเชื้อไวรัสเวสต์ไนล์มาติดต่อสู่คน พบได้ทั่วไป ในแอฟริกา เอเชียตะวันตก ตะวันออกกลาง ยุโรป และหากติดเชื้อนี้เข้าไปจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ หนาวสั่น มีเหงื่อออก มีผื่นที่ผิวหนัง อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ซึม ปวดข้อ และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ หรือถ้ามีอาการรุนแรง จะมีอาการสมองอักเสบ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ 1.5 ไข้เหลือง (Yellow Fever) เป็นโรคที่มียุงเป็นพาหะ และเกิดจากเชื้อไวรัส ที่ทำให้เกิดอาการตัวเหลืองหรือดีซ่าน ร่วมกับ อาการไข้สูง ชีพจรเต้นช้าผิดปกติ ปวดกล้ามเนื้อร่วมกับปวดหลัง ปวดศีรษะ หนาวสั่น เบื่ออาหาร ต่อมาจะมีอาการเลือดออกปาก ออกจมูก ตา กระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการอาเจียนและถ่ายเป็นเลือด จนถึงไตวาย 1.6 โรคไข้ลาสซา (Lassa fever) ไข้ลาสซาเป็นไข้เลือดออกที่มีหนูเป็นพาหะ ติดต่อได้จากการสัมผัสละอองฝอยลมหายใจ หรืออุจจาระของหนูที่ติดเชื้อ อาการแสดงจะคล้ายๆ อาการโรคไข้เลือดออก คือ มีไข้ ปวดศีรษะ เจ็บคอ ไอ อาเจียน ท้องร่วง เจ็บหน้าอก และเป็นหนอง หากอาการหนักจะมีเลือดออก ช็อก และมีภาวะเกล็ดเลือด ลดลงผิดปกติ
40 1.7 โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ (Nipah virus disease) เป็นโรคติดต่อที่ระบาดครั้งแรกในหมู่บ้านสุไหงนิปาห์ ประเทศมาเลเซีย พาหะจากสัตว์อย่างค้างคาวผลไม้ สุกร ม้า แมว แพะ หรือแกะ โดยเชื้อตัวนี้จะก่อให้เกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรงในทางเดินระบบหายใจ เกิดภาวะสมองอักเสบ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ 1.8. โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก (Marburg virus disease) เป็นหนึ่งในโรคไข้เลือดออกที่มีต้นเชื้อมาจากลิงและค้างคาวมักจะระบาดหนักในแถบอูกันดา โดยเชื้อนี้อาจมีความรุนแรงกว่าเชื้ออีโบลา อาการแสดงคือ มีไข้สูงเฉียบพลัน อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะมาก ตามมาด้วยอาการเจ็บคอ ท้องเสีย มีผื่นนูนแดงตามตัว และมีอาการเลือดออกง่าย ซึ่งมักเกิดร่วมกับ ภาวะตับถูกทำลาย ไตวาย ช็อก และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมาก 1.9 โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease – EVD) โรคอีโบลามีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสอีโบลา โดยมีแหล่งรังโรคอยู่ในลิงป่าและค้างคาวกินผลไม้ ส่วนการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลานั้นจะติดจากคนสู่คนโดยการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย และการปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการ โรคนี้มีความรุนแรงค่อนข้างมาก และยังแพร่กระจายได้รวดเร็ว 1.10 โรคติดเชื้อไวรัสเฮนดรา (Hendra virus disease) มีแหล่งกำเนิดเชื้อจากม้าและค้างคาวกินผลไม้ โดยอาการของโรคนี้จะเริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะ เจ็บคอ วิงเวียน ซึม สับสน และมักจะพบอาการปอดอักเสบ ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจมีภาวะ ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ 1.11 โรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome – SARS) โรคซาร์สหรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสซาร์ส สามารถ แพร่กระจายจากคนสู่คนได้ผ่านสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ อาการที่สามารถสังเกตได้คือ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดกล้ามเนื้อ ไอ หายใจลำบาก ท้องเสีย (ในบางราย) ปอดอักเสบ และอาจเสียชีวิตได้ 1.12 โรคเมอร์ส (Middle East Respiratory Syndrome – MERS) โรคเมอร์สก็เกิดจากโคโรนาไวรัสเช่นเดียวกัน แต่โรคนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศแถบแถบตะวันออกกลาง โดยมีอูฐและค้างคาวเป็นพาหะของโรค ดังนั้นชื่อของโรคเมอร์สอีกชื่อหนึ่งจึงเรียกกันว่า โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางนั่นเอง ส่วนอาการแสดงของโรคนี้จะเริ่มจากอาการไข้ ไอ หอบ บางรายอาจมีอาการท้องเสีย อาเจียน หรือถ้าเป็นหนักจะมีภาวะปอดอักเสบ ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว อวัยวะล้มเหลว ไตวาย เสี่ยงต่อการเสียชีวิต 1.13. วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (Extensively drug–resistant tutuberculosis XDR-TB) โรควัณโรคที่มีการดื้อยา 4 ขนานร่วมกัน ได้แก่ ไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) กลุ่มยาฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones) และกลุ่มยาทางเลือกที่สอง ที่เป็นยาชนิดฉีด (Second-line injectable drugs) ซึ่งหมายความว่า วัณโรคชนิดนี้จะไม่สามารถใช้ยาดังกล่าวรักษาให้หายได้ ดังนั้น ผู้ป่วยมีโอกาสในการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆได้ง่ายแถมตัวเองยังมีความเสี่ยงที่อาการป่วยจะรุนแรงถึงขั้น เสียชีวิตได้ด้วย
41 2. โรคระบาด ตาม พรบ. (Communicable diseases Atc,BE 2558) ➢รายงานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ➢รายงานภายใน 24 ชั่วโมง ➢ทุกโรงพยาบาลทั้งรัฐ และเอกชนต้องรายงาน ➢อธิบดีกรมฯ ประกาศ ชื่อโรคระบาด เขตโรค ลงในราชกิจจา ➢ยังไม่มีการประกาศโรคระบาด ➢หากมีการประกาศโรคใดเป็นโรคระบาด ผู้สัมผัสจะโดนกักกัน 3. โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง (Communicable disease under surveillance) ➢รายงานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ➢รายงานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ➢ทุกโรงพยาบาล และห้องแล๊ปทั้งรัฐ และเอกชนต้องรายงาน ➢ไม่มีมาตรการกักกันในผู้สัมผัส ยกเว้นอธิบดีกรมควบคุมโรค ประกาศให้เป็นโรคระบาดตาม พ.ร.บ. ➢ไม่รายงานมีความผิด การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา นิยามของการเฝ้าระวัง กระบวนการจัดเก็บ วิเคราะห์ และแปลผลข้อมูล ทางสาธารณสุขที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีระบบ รวมถึงนำข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ไปเผยแพร่และใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้านการวางแผนกำหนดมาตรการป้องกันควบคุม ปัญหาสาธารณสุข และการประเมินผลมาตรการอย่างทันท่วงที
42 ชนิดของการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา 1. การเฝ้าระวังเชิงรับ (Passive surveillance) : การรายงานเป็นปกติประจำ (ต่อเนื่อง) ตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น ระบบเฝ้าระวัง 506 2. การเฝ้าระวังเชิงรุก (Active surveillance) : เป็นการค้นหาเชิงรุก เพื่อเพิ่มโอกาสในการรับข้อมูลการ เกิดโรคมากขึ้น หรือเพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการเฝ้าระวังปกติ เน้นโรคที่พบนอย หรือช่วงที่มีการระบาดของโรค 3. การเฝ้าระวังเฉพาะกลุ่มเฉพาะพื้นที่ (Sentinel surveillance) : การเฝ้าระวังกลุ่มตัวอย่างที่เป็น ตัวแทนของกลุ่มประชากรท่ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่สนใจ 4. การเฝ้าระวังพิเศษ (Special surveillance) 5. การเฝ้าระวังกลุ่มอาการ (Syndromic surveillance) 6. การเฝ้าระวังเหตุการณ์ (Event-based surveillance) ขอบเขตของการเฝ้าระวัง 1. การเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยง : การเฝ้าระวังปัจจัยภายในและภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรค ในร่างกายมนุษย์ สามารถหาประชากรที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรค เช่นการเฝ้าระวังการเจริญเติบโตของเด็ก การเฝ้าระวังทางโภชนาการ เป็นต้น 2. การเฝ้าระวังการเจ็บป่วย : ได้จากรายงานการป่วย ซึ่งเป็นรายงานจากสถานบริการสาธารณสุขหรือ โรงพยาบาล ทำให้เห็นภาพการกระจายของโรค และแนวโน้มของโรค 3. การเฝ้าระวังการเสียชีวิต : ได้จากใบมรณบัตร ซึ่งกฎหมายบังคับให้แจ้งการตายภายใน 24 ชม. 4. การเฝ้าระวังการระบาด : มีโรคเกิดขึ้นจำนวนมากผิดปกติ แห่งรายงานการระบาดอาจเป็นหน่วยงาน ทางการแพทย์ และสาธารณสุข หรือหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นระบบการเฝ้าระวังโรคที่ดีสามารถพยากรณ์ การระบาดของโรคได้ ทำให้สามารถสอบสวนโรคและควบคุมการระบาดของโรคได้อย่างทันเวลา 5. การเฝ้าระวังการใช้วัคซีน เซรุ่ม หรือยา ประโยชน์จากการเฝ้าระวัง 1. ใช้คาดประมาณขนาดปัญหา 2. ทราบการกระจายทางภูมิศาสตร์ของโรค 3. แสดงธรรมชาติการเกิดโรค 4. ตรวจจับการระบาด/แสดงปัญหา 5. ทำให้เกิดสมมุติฐานการวิจัย 6. ประเมินมาตรการควบคุมโรค 7. ติดตามการเปลี่ยนแปลงของเชื้อ 8. ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของการปฏิบัติทางสุขภาพ 9. ช่วยในการวางแผน 10. พยากรณ์การเกิดโรค
43 วิชา การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต โดย นายเดชรัตน์ ไตรโภค นักวิชาการอิสระ Application Line ผลิตโดยประเทศ ญี่ปุ่น ข้อดีคือ หากพิมพ์หรือส่งข้อมูลในไลน์กลุ่ม LINE ระบบจะไม่สนใจข้อความ, รูป, คลิปวิดีโอ และไฟล์ที่ส่ง (ไม่มีArtificial Intelligence (AI) วิเคราะห์ข้อมูล) แต่สิ่งที่เราพิมพ์ หรือส่งในห้องแชททั้งหมดจะเก็บข้อมูลลงบน หน่วยความจำของโทรศัพท์มือถือ ทำให้เปลืองเนื้อที่หน่วยความจำ Application Facebook เวลาพิมพ์ หรือโพสที่ Timeline ของเฟซบุ๊ก ตอนกดส่ง จะมี AI วิเคราะห์สิ่งที่เราพิมพ์ หรือ โพสต์วิดีโอ ข้อดี คือ สิ่งที่โพสต์จะไม่เก็บบนมือถือ ข้อเสีย คือ มีAI วิเคราะห์ ถ้าพิมพ์คำหยาบจะถูกบล็อก 30 วัน วิธีการล้างรูปภาพ, คลิปวิดีโอ, ไฟล์ PDF ในไลน์ ที่หมดอายุแล้ว 7 วันขึ้นไป (ประวัติการแชทไม่หาย) อัลบั้ม รูป หรือโน้ต ที่อยู่ในไลน์กลุ่มก็ไม่หาย จะได้เนื้อที่กลับมาเป็นเนื้อที่เหลือ (ขั้นตอนนี้ให้ทำ 2 เดือนครั้ง) * ต้องตรวจสอบก่อนว่า App LINE เป็น Version ใหม่หรือยัง * เข้าที่ App Store, Play Store หรือ Google Play * พิมพ์ ชื่อ App ว่า LINE * ทำการ Update เสร็จแล้ว กลับมาหน้าจอปกติ * เข้า Application LINE * ด้านล่าง ซ้าย กดคำว่า “หน้าหลัก” * ด้านบน ขวา กดปุ่ม “ฟันเฟือง” ตั้งค่า * เลื่อนลงมา และหาคำว่า “แชท” * ลงมาแตะคำว่า “ลบข้อมูล” อินโฟกราฟกส (Infographics) Infographics มาจากคําวา Information + graphics อินโฟกราฟกส (Infographics) หมายถึง การนําข้อมูลหรือความรู้มาสรุปเป็นสารสนเทศ ในลักษณะของ ข้อมูลและกราฟกที่อาจเป็นนลายเสน สัญลักษณ์กราฟ แผนภูมิไดอะแกรม แผนที่ ฯลฯ ที่ออกแบบเป็นภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหว ดูแลวเข้าใจง่ายในเวลารวดเร็วและชัดเจน สามารถสื่อให้ผู้ชมเขาใจความหมายของข้อมูล ทั้งหมดได้โดยไม่จำเป็นตองมีผู้นําเสนอมาช่วยขยายความเขาใจอีก หัวใจหลักในการทำ Infographic คือ “เปลี่ยนข้อมูลที่ยาก ให้เข้าใจง่ายได้ อย่างรวดเร็วที่สุด” รวมถึง ความสวยงามที่ตองดีไซด์ให้คนอ่านเขาใจได้ และสื่อสารกับคนอ่านได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด
44 1. วัตถุประสงคการใชงาน Infographic วัตถุประสงคการนํา Infographic มาใชงาน สามารถจัดหมวดหมูใหญ่ๆ ได้ดังนี้ 1.1. ใช้หรับการอธิบายข้อมูล Infographic แบบนี้มักจะใชกับจุดประสงคในการอธิบายผลิตภัณฑ์สินคา วิธีการใชต่างๆ วิธีการใช แอพพลิเคชั่น รวมถึงข้อมูลที่เป็นความรูเรื่องราวต่างๆ ที่ตองการบอกเล่า หรือข้อมูลเชิงสถิติต่างๆ แม้กระทั่งแผนที่ การเดินทาง เอกสารที่ใชในพิพิธภัณฑ์สื่อสำหรับใชภายในองคกรก็สามารถนําเอา Infographic ไปประยุกตใชได้ ซึ่งควรพยายามทำใหดูเป็นมิตรกับผู้อ่าน นาสนใจและเขาใจง่าย เนื่องจากข้อมูลเหลานี้หลายๆ อย่างอาจเป็นข้อมูล ที่ ผู้อ่านไม่ได้ตองการที่จะรู้ไม่ควรใสเนื้อหาที่ไม่จำเป็นลงไป เนื่องจากจะทำใหการสื่อสาร ข้อมูลต่างๆ นั้นไม่ ชัดเจน ควรเล่าข้อมูลเนื้อหาเพียงเรื่องเดียว ซึ่งมันช่วยกําจัดความยุงยากสำหรับผู้อ่าน และช่วยใหผู้อ่านมีสมาธิกับ เรื่องที่เล่าได้ดีมากกวา 1.2 ใช้สำหรับการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ปจจุบันเราสามารถเห็นตัวอย่างงาน infographic ประเภทนี้มากขึ้น เชน การทำเพื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ใหเห็นจุดเดน ขอดีของสินคา หรือวาเปรียบเทียบใหเห็นวาสินคาดีอย่างไร ทําไมถึงตองใช้ สินค้านี้ Infographic ทำใหงานดูมีเอกลักษณและมีความหลากหลาย และช่วยใหคนจดจําสินคได้ง่ายขึ้น โดยรูปแบบจะเหมือนการทำ infographic ในการอธิบายข้อมูล คือ ตองเขาใจง่ายและดึงดูดสายตาคนอ่านเพื่อให้ งานนาสนใจและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.3 ใช้การอธิบายข้อมูลผสมกับการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ บางกรณีงานออกแบบ จำเป็นตองทำหน าที่ทั้ง 2 อย่าง คือ “การอธิบายข้อมูล” และ “การโฆษณาประชาสัมพันธ์” ไปพรอมกัน เชน infographic ที่ใชอธิบายสรรพคุณ วิธีการใชของสินคา และโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ขอดีหรือจุดแตกต่างของผลิตภัณฑ์ไปด้วยว่าทำไมต้องใชสินคาชิ้นนั้น หรือในระดับบุคคลสามารถ นํามาประยุกตใชได้ เชน การใช infographic ทำ resume เพราะสามารถเพิ่มความน่าสนใจของเนื้อหาแสดง ความคิดสร้างสรรค ความสามารถในการนําเสนอ และความสามารถในการทำงานได้ทั้งการอธิบายขอมูลของตัวเอง และโฆษณา ประชาสัมพันธ์ใหผู้ว่าจ้างได้เห็นไปด้วยในตัว 1.4 ใช้เป็นสื่อการสอน Infographic สามารถบอกเล่าข้อมูลต่างๆ ได้ดีและเขาใจง่าย การนํา infographic ไปประยุกตใชกับ สื่อการสอนนั้นจึงเป็นสิ่งที่สามารถทำได้เช่นกัน และการนําไปใชในสื่อการสอนนั้นช่วยให การสอน มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ด้วยการที่ช่วยอธิบายเรื่องที่เขาใจยากใหเห็นภาพชัดเจน ช่วยใหผู้สอนและผู้เรียน เขาใจตรงกัน ผู้เรียนมีอารมณร่วมกับการสอนได้มากกวาการบรรยายปากเปลาเพียงอย่างเดียว 2. เว็บไซต์ในการสร้าง Infographic CANVA Canva เป็นเครื่องมือออกแบบออนไลน์ฟรีที่ดีมากที่สุดตัวหนึ่ง เราสามารถทำกราฟฟกได้หลากหลาย ตั้งแต่ตเอกสารสิ่งพิมพ ไปจนถึง Web Banner, Facebook Ads, Youtube Thumbnail, Instagram Post, ปกหนังสือ ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีเทมเพลตสวยๆ ใหเลือกหลายแบบ และสามารถบันทึกออกมาเป็นรูป PNG, JPG หรือ PDF หากเสียค่าสมัครสมาชิกเป็นรายเดือนให Canva จะได้ฟเจอรเพิ่มในเรื่องของการทำแบนเนอรที่ Resize อัตโนมัติได้และมีรูป Photo Stock ฟรีใหใช ซึ่งสำหรับการใชงานทั่วไป
45 ขอเสียของ Canva คือ ภาษาไทยจะแสดงผลไม่สวย จะแกปญหาได้โดย Export แบบไม่มีText แลวมาเติมเองใน Photoshop หรือ Sketch แทน 3. การออกแบบอินโฟกราฟก (Infographic Design) การนําข้อมูลที่เขาใจยากหรือข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือจำนวนมากมานำเสนอในรูปแบบต่างๆ อย่างสร้างสรรค ใหสามารถเล่าเรื่องได้ด้วยตัวเอง มีองคประกอบที่สำคัญ คือ หัวขอที่นาสนใจ ภาพและเสียง ซึ่งจะตองรวบรวมข้อมูลต่างๆ ใหเพียงพอ แลวนำมาสรุป วิเคราะห์ เรียบเรียง แสดงออกมาเป็นภาพ จึงจะดึงดูด ความสนใจได้ดี ช่วยลดเวลาในการอธิบายเพิ่มเติม กราฟกที่ใชอาจเป็นภาพ ลายเสน สัญลักษณ์กราฟ แผนภูมิ ไดอะแกรม ตาราง แผนที่ ฯลฯ จัดทำใหมีความสวยงาม นาสนใจ เขาใจง่าย สามารถจดจำได้นาน ทำให้ การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น การออกแบบอินโฟกราฟก (Infographics) แบงเป็น 2 สวน คือ 1. ด้านข้อมูล ข้อมูลที่จะนำเสนอ ตองมีความหมาย มีความน่าสนใจ เรื่องราวเปิดเผย เป็นจริง มีความถูกตอง 2. ด้านการออกแบบ การออกแบบตองมีรูปแบบ แบบแผน โครงสรง หนาที่การทำงาน และ ความสวยงาม โดยออกแบบใหเขาใจง่าย ใชงานง่าย และใชได้จริง 3.1 องคประกอบในการออกแบบ Infographic มี 3 องคประกอบหลักที่ขาดไม่ได้ คือ 1. Simplicity (ความง่าย) Infographic คือ เครื่องมือ ที่ใชแปลงเรื่องเขาใจยาก ใหเขาใจได้ง่ายขึ้น ถาหากจะทำInfographic แต่ไม่สามารถทำใหเขาใจได้ง่าย ก็อาจจะไม่ใช่ Infographic ที่ดีนัก เพราะฉะนั้น ความง่าย คือ สิ่งที่ควรเนนมาก ที่สุด 2. Interestedness (ความน่าสนใจ) เนื้อเรื่องที่เลือกมาทำตองนาสนใจ ดึงคนใหอยากอ่าน แต่ถาจำเป็นตองนำเสนอเรื่องที่ไม่น่าสนใจ Infographic ก็เป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยได้แต่เราตองปรับวิธีเล่า ใหนาสนใจ เชน ผูกเรื่องที่ไม่นาสนใจเขากับสิ่งที่คน อ่านสนใจ หรือ สิ่งที่กําลังเป็นกระแส 3. Beauty (ความสวยงาม) เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะความสวยจะช่วยดึงคนใหอยากอ่านอ่านจนจบ และเพิ่ม การจดจำได้อีกด้วย 3.2 หลักการออกแบบ Infographic การสร้างอินโฟกราฟกใหมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากออกแบบแลวละเลย โดยเนนแต่ ความสวยงามอย่างเดียว อ่านแลวเขาใจยาก อาจทำใหผู้อานเลือกที่จะไม่อ่านต่อ ดังนั้น อาจควรออกแบบใหใสใจ ผู้อ่านมากที่สุด โดยสามารถถ่ายทอดข้อมูลได้ ตามองค ประกอบ 3 ประการ คือ ดูง่าย (Simplicity), นาสนใจ (Interestedness) และสวยงาม (Beauty)
46 วิชา การควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดย นายกานต์ เจิมพวงผล กรมอนามัย กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หมายถึง กิจการที่มีกระบวนการผลิตหรือกรรมวิธีการผลิตที่ก่อให้เกิด มลพิษหรือสิ่งที่ทำให้เกิดโรค ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณข้างเคียงไม่ว่า จะเป็นมลพิษทางอากาศ ทางน้ำ ทางเสียง แสง ความร้อน ความสั่นสะเทือน รังสี ฝุ่นละออง เขม่า เถ้า ฯลฯ ปัจจุบันการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในกระบวนการผลิต หรือบริการที่ก่อให้เกิดมลพิษหรือของเสียจากกระบวนการผลิตหรือการให้บริการมากขึ้นป้องกันหรือควบคุมดูแล สถานประกอบกิจการให้เหมาะสมย่อมมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียงหรือ ผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบกิจการ จากข้อมูลการร้องเรียนเหตุรำคาญและปัญหาด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมพบว่า สาเหตุหลักมาจากการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุข ภาพจึง จำเป็นต้องได้รับการควบคุมกำกับให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อมิให้ก่อปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมและปัญหาเหตุ รำคาญที่อาจส่งผลกระทบสุขภาพอนามัยและสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของประชาชน การควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 (หมวด 7 โดยมีบทบัญญัติสำคัญตามมาตรา 31 มาตรา 32 และ มาตรา 33) มาตรา 31 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยคำแนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข มีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้กิจการใดเป็นกิจการที่ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ปัจจุบัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 13 กลุ่มกิจการ รวม 142 ประเภท ภายใต้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้ 1. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. 2558 2. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (ฉบบที่ 2) พ.ศ. 2560 3. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาตรา 32 ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่น (1) กำหนดประเภทของกิจการตามมาตรา 31 ที่ต้องมีการควบคุมภายในท้องถิ่น (2) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้ผู้ดำเนินกิจการดูแลสภาพหรือสุขลักษณะของสถานที่ที่ใช้ดำเนิน กิจการและมาตรการป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ มาตรา 33 เมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ข้อบัญญัติท้องถิ่นตามมาตรา 32 ใช้บังคับห้ามมิให้ผู้ใด ดำเนินกิจการตามประเภทที่มีข้อบัญญัติท้องถิ่นกำหนดให้เป็นกิจการที่ต้องมีการควบคุมตามมาตรา 32 ใน ลักษณะที่เป็นการค้า เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นทั้งนี้ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มีลักษณะกระจายอำนาจไปสู่ราชการส่วนท้องถิ่น ดังนั้น บทบาทหน้าที่ในการควบคุมกิจการที่เป็นอันตราย ต่อสุขภาพ จึงเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานท้องถิ่นและราซการส่วนท้องถิ่นเป็นสำคัญ โดยมีกลไกการควบคุมกิจการ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข ดังนี้