The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปการอบรม นวก. สาธารณสุข รุุ่นที่ 11

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kmlbt18, 2023-08-30 09:50:33

สรุปการอบรม นวก. สาธารณสุข รุุ่นที่ 11

สรุปการอบรม นวก. สาธารณสุข รุุ่นที่ 11

197 วิชา แนวทางการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดย นายวิเชษฐ จินานุรักษ์ เทศบาลตำบลเชียงรากน้อย เจตนารมณ์ของกฎหมาย ฉบับที่ 1 : กำหนดหน้าที่ให้ประชาชนต้องช่วยกันรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ฉบับที่ 2 : บูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่รับผิดชอบหลายหน่วยงาน : กำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย : กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการ : กำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจนำสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยที่จัดเก็บไปใช้ประโยชน์หรือหาประโยชน์ได้ การบังคับใช้กฎหมาย หมวด ๑ การรักษาความสะอาดในที่สาธารณะและสถานสาธารณะ มาตรา 6 - เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารมีหน้าที่ ดูแลรักษาความสะอาดทางเท้าที่อยู่ติดกับอาคารหรือบริเวณของ อาคาร - เจ้าของตลาดมีหน้าที่ ดูแลรักษาความสะอาดทางเท้าที่อยู่ติดกับตลาด มาตรา 8 เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือที่ดินผู้ใด (1) วางกระถางต้นไม้บนทางเท้าหรือปลูกต้นไม้ที่บริเวณภายนอกอาคารที่ตนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง และปล่อยปละละเลยให้ต้นไม้เหี่ยวแห้งหรือมีสภาพรกรุงรัง หรือปล่อยปละละเลยให้มีสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยในกระถาง ต้นไม้หรือที่บริเวณภายนอกของอาคาร (2) ปล่อยปละละเลยให้ต้นไม้หรือธัญพืชที่ตนปลูกไว้หรือที่ขึ้นเองในที่ดินของตนให้เหี่ยวแห้งหรือมีสภาพ รกรุงรังหรือปล่อยปละละเลยให้มีการทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยในบริเวณที่ดินของตนถ้าการปล่อยปละละเลยตาม (2) มีสภาพที่ประชาชนอาจเห็นได้จากที่สาธารณะ เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารมีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 9 ห้ามมิให้ผู้ใดอาบน้ำหรือซักล้างสิ่งใด ๆ บนถนน หรือในสถานสาธารณะซึ่งมิได้จัดไว้เพื่อการนั้น หรือในบริเวณ ทางน้ำที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ประกาศห้ามไว้ มาตรา 13 เจ้าของรถซึ่งใช้บรรทุกสัตว์ กรวด หิน ดิน เลน ทราย สิ่งปฏิกูล มูลฝอยหรือสิ่งอื่นใด ต้องจัดให้ รถนั้นอยู่ในสภาพที่ป้องกันมิให้มูลสัตว์ หรือสิ่งดังกล่าวตกหล่น รั่วไหลปลิว ฟุ้งกระจายลงบนถนนในระหว่างที่ใช้รถนั้น รวมทั้ง ต้องป้องกันมิให้น้ำมันจากรถรั่วไหลลงบนถนน เจ้าหน้าที่ยึดรถได้จนกว่าจะชำระค่าปรับ มาตรา 14 ห้ามมิให้ผู้ใด (1) ปล่อยสัตว์ นำสัตว์หรือจูงสัตว์ไปตามถนนหรือเข้าไปในบริเวณที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ประกาศห้ามไว้ (2) ปล่อยให้สัตว์ถ่ายมูลบนถนนและมิได้ขจัดมูลดังกล่าวให้หมดไปเว้นแต่ มีหนังสืออนุญาตจากเจ้าพนักงาน ท้องถิ่น หมวด 2 การดูแลรักษาสนามหญ้าและต้นไม้ในถนนและสถานสาธารณะ มาตรา 26 ห้ามมิให้ผู้ใดทิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอย หรือเท หรือกองกรวด หินดิน เลน ทราย หรือสิ่งอื่นใดใน บริเวณที่ได้ปลูกหญ้าหรือต้นไม้ซึ่งราชการส่วนท้องถิ่นราชการส่วนอื่นหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ


198 มาตรา 27 ห้ามมิให้ผู้ใดโค่นต้นไม้ ตัด เด็ด หรือกระท าด้วย ประการใด ๆ ให้เกิดความเสียหายหรือน่าจะ เป็นอันตรายแก่ต้นไม้ หรือใบ ดอก ผล หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นไม้ที่ปลูก ไว้หรือขึ้นเองตามธรรมชาติในที่สาธารณะ หรือสถานสาธารณะ มาตรา 28 ห้ามมิให้ผู้ใดปล่อยหรือจูงสัตว์เข้าไปในบริเวณที่ราชการส่วนท้องถิ่น ราชการส่วนอื่น หรือ รัฐวิสาหกิจได้ปลูก หรืออนุญาตให้ผู้อื่นปลูกหญ้าหรือต้นไม้ไว้ และได้ปิดประกาศ หรือปักป้ายห้ามไว้ หมวด 3 การห้ามทิ้งสิ่งปฏิกูลมูลฝอยในที่สาธารณะและสถานสาธารณะ มาตรา 29 ห้ามมิให้ผู้ใดถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะลงในที่สาธารณะหรือสถานสาธารณะซึ่งมิใช้สถานที่ที่ ราชการส่วน ท้องถิ่นได้จัดไว้เพื่อการนั้น มาตรา 30 ห้ามมิให้ผู้ใดเท ปล่อยหรือระบายอุจจาระหรือ ปัสสาวะจากอาคารหรือยานพาหนะลงในทางน้ำ มาตรา 31 ห้ามมิให้ผู้ใด (1) บ้วนหรือถ่มน้ำลาย เสมหะ บ้วนน้ำหมากสั่ง น้ำมูก เทหรือทิ้งสิ่งใด ๆ ลงบนถนนหรือบนพื้นรถหรือ พื้นเรือโดยสาร (2) ทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยในสถานสาธารณะนอกภาชนะหรือที่ที่ราชการส่วนท้องถิ่นได้จัดไว้ มาตรา 32 ห้ามมิให้ผู้ใด (1) ทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยลงบนที่สาธารณะ (2) ปล่อยปละละเลยให้มีสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยในที่ดินของตนในสภาพที่ประชาชนอาจเห็นได้จากที่สาธารณะ มาตรา 33 ห้ามมิให้ผู้ใดเทหรือทิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอย น้ำโสโครกหรือสิ่งอื่นใดลงบนถนนหรือในทางน้ำความใน วรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือหรืออาคารประเภทเรือนแพ ซึ่งจอดหรืออยู่ในท้องที่ที่เจ้า พนักงานท้องถิ่นยังไม่ได้จัดส้วมสาธารณะหรือภาชนะสำหรับทิ้งสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย มาตรา 34 ห้ามมิให้ผู้ใดเทหรือระบายอุจจาระหรือปัสสาวะจากอาคารหรือยานพาหนะลงในที่สาธารณะหรือใน สถานสาธารณะ หมวด 4 การรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย มาตรา 35 ห้ามมิให้ผู้ใดกระท าด้วยประการใด ๆ ให้โคมไฟ ป้าย ศาลาที่พัก ม้านั่งส้วม หรือสิ่งอื่นใด ที่ราชการส่วนท้องถิ่น ราชการส่วนอื่นหรือรัฐวิสาหกิจได้จัดทำไว้เพื่อสาธารณชน เกิดความเสียหายหรือใช้ประโยชน์ ไม่ได้ มาตรา 36 ห้ามมิให้ผู้ใดปีนป่าย นั่ง หรือขึ้นไปบนรั้ว กำแพง ต้นไม้หรือสิ่งค้ำยันต้นไม้ในที่สาธารณะ มาตรา 37 ห้ามมิให้ผู้ใดยืน นั่ง หรือนอนบนราวสะพานสาธารณะหรือนอนในที่สาธารณะ มาตรา 38 ห้ามมิให้ผู้ใดเล่นว่าว ฟุตบอล ตะกร้อ หรือกีฬาใด ๆ บนถนน หรือในสถานสาธารณะหรือ ส่วนหนึ่งส่วนใดของสถานสาธารณะ ที่มีประกาศของเจ้าพนักงานท้องถิ่นห้ามไว มาตรา 39 ห้ามมิให้ผู้ใดติดตั้ง ตาก วาง หรือแขวนสิ่งใด ๆ ในที่สาธารณะ เว้นแต่ได้รับหนังสืออนุญาตจาก เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นการกระท าของราชการส่วนท้องถิ่นราชการส่วนอื่นหรือรัฐวิสาหกิจ หรือของหน่วยงานที่มีอำนาจกระทำได้ หรือเป็นการวางไว้เพียงชั่วคราว มาตรา 40 ห้ามมิให้ผู้ใดติดตั้ง ตาก วาง หรือแขวนสิ่งใด ๆ ที่อาคาร ในลักษณะที่สกปรกรกรุงรังหรือไม่เป็น ระเบียบเรียบร้อย และมีสภาพที่ประชาชนอาจเห็นได้จากที่สาธารณะ


199 มาตรา 41 เจ้าของอาคารซึ่งตั้งอยู่ในระยะไม่เกินยี่สิบเมตรจากขอบทางเดินรถที่มีผิวจราจรกว้างไม่ต่ำกว่า แปดเมตร และที่ผู้สัญจรไปมาอาจเห็นอาคารหรือบริเวณของอาคารได้จากถนนนั้นต้องดูแลรักษาอาคารนั้นมิให้สกปรก รกรุงรัง หมวด 5 อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือ พนักงานเจ้าหน้าที่ 1. โฆษณาให้ประชาชนได้ทราบถึงหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ 2.สอดส่องและกวดขันไม่ให้มีการฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้โดยเคร่งครัด 3. ตักเตือน หรือสั่งให้ผู้กระท้าความผิดแก้ไขหรือขจัดความสกปรก หรือความไม่เป็น ระเบียบหรือ ความไม่เรียบร้อยให้หมดไป 4. จับกุมผู้กระท้าความผิดซึ่งไม่เชื่อฟังค้าตักเตือนและดำเนินคดีตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อมีการกระทำ ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เกิดขึ้นในท้องที่ใดและเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ไม่อาจทราบตัวผู้กระท้าผิดให้เจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของท้องถิ่นนั้นทุกคน รวมกันขจัดหรือแก้ไขไม่ให้สิ่งที่ผิดกฎหมายปรากฏอยู่ในที่สาธารณะหรือสถาน สาธารณะต่อไป


200 ศึกษาดูงานนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ วัดตะโก อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศึกษาดูงาน ด้านการบริการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม การจัดการรักษาความสะอาดวัดอย่างมีประสิทธิภาพ ********************* วัดตะโก เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายตั้งอยู่ในหมู่ที่ 2 บ้านตะโก ตำบลดอนหญ้านาง อำเภอภาชีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันมีเจ้าอาวาสคือ พระครูปลัดสุวัฒนเถรคุณ (ธรรมทส ขนฺติพโล - พระ อาจารย์แก้ว) ท่านเจ้าคุณพระมงคลสิทธาจารย์ (รวย ปาสาทิโก) พระราชาคณะชั้นสามัญยก วัดตะโกสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2345 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เริ่มก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์เมื่อปี พ.ศ. 2557 ผู้ออกแบบเจดีย์คือ วนิดา พึ่งสุนทร (ศิลปินแห่งชาติ) และ ตะวัน วีระกุล วิศวกร บัญชา ชุ่มเกษร และองอาจ หุดากร เจดีย์มี 2 ชั้นร่วมสมัยมีลิฟต์และบันไดภายใน ชั้นล่างเป็น เป็น ห้องโล่งกว้าง ชั้นบนประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและรูปหล่อบูรพาจารย์[2] มีโลงแก้วบรรจุสังขารหลวงพ่อ รวย ซึ่งไม่เน่าเปื่อย ยังมีประติมากรรมรูปเหมือนหลวงพ่อรวยองค์ใหญ่[3] พระอุโบสถ์หลังใหม่ประดิษฐานองค์พระ ประธาน ภายในมีภาพเขียนพุทธประวัติสวยงาม ถัดไปเป็นศาลาประดิษฐานหลวงพ่อทองคำ หลวงพ่อบุญญาฤทธิ์ และหลวงพ่อรวย นอกจากนี้ภายในบริเวณ วัดตะโก ยังมีศาลากลางน้ำ หลวงพ่อรวยเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดัง ท่านได้สร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อรวยที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง มาก ด้วยพุทธคุณมากมายหลายด้าน ประวัติหลวงพ่อรวย ปาสาทิโก เกจิดังวัดตะโก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แม้ท่านได้มรณภาพไป ตั้งแต่ปี พ.ศ.2560 แต่ก็ยังมีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อรวย แวะเวียนมาที่วัดตะโก เพื่อดำเนินกิจกรรมทาง พระพุทธศาสนาไม่ขาดสายด้วยความเลื่อมใส ประวัติหลวงพ่อรวย ปาสาทิโก ประวัติหลวงพ่อรวย ปาสาทิโก เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2464 มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 8 คน (ผู้ชาย 3 ผู้หญิง 5) เป็นบุตรคนที่ 6 บิดาชื่อ มี มารดาชื่อ สินลา อาศัยอยู่บ้านตะโก หมู่ 2 ตำบลดอนหญ้านาง อำเภอ ภาชีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บิดามารดาของหลวงพ่อรวย มีอาชีพเกษตรกร เมื่อครั้งยังเป็นเด็กท่านก็ได้ช่วง บิดามารดาเลี้ยงสัตว์ อาทิ วัว ควาย เป็นต้น และเมื่ออายุได้ 12 ปี ก็ได้บวชเรียนที่วัดตะโก เมื่ออายุถึงเกณฑ์ ก็อุปสมบทโดยมีเจ้าอาวาสวัดภาชีเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อรวยอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2484 ได้รับฉายาว่า “ปาสาทิโก” ภายหลังได้จำพรรษาอยู่ที่วัดตะโกเรื่อยมา และได้เรียนรู้พระปริยัติธรรมสอบได้นักธรรมชั้นโท ใน พ.ศ.2485 และสอบได้นักธรรมชั้นเอกใน พ.ศ.2487 เมื่อจบนักธรรมเอก ท่านก็คิดว่าได้ศึกษาเพียงพอสำหรับด้านคันถธุระแล้ว จึงได้เดินทางไปเรียน กรรมฐาน ฝากตัวเป็นศิษย์กับพระครูเก่งๆ ในสมัยนั้น เช่น หลวงพ่อแจ่ม วัดแดงเหนือ ผู้เชี่ยวชาญด้านคาถา วิทยาอาคม และหลวงพ่อรวยได้เริ่มสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2512 วัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงคือ เลสหลวงพ่อรวย ทำมาจากเงินแท้และ “เหรียญหลวงพ่อรวย รุ่นชนะจน” ที่มีศิลปินนำไปแต่งเป็นเพลง “วอน หลวงพ่อรวย” วัตถุมงคล หลวงพ่อรวย ชนะจน หลวงพ่อรวย ปาสาทิโก มีชื่อเสียงเกี่ยวกับวัตถุบูชา ได้แก่ เหรียญหลวงพ่อรวยชนะจน และเลสเงิน หลวงพ่อรวย


201 เลสเงินหลวงพ่อรวย เลสเงินหลวงพ่อรวย ทำจากเงินแท้ลงยา ลักษณะเป็นแผ่นเงินจารึกคำบูชาด้านหลัง และด้านหน้า ออกแบบให้เป็นรูปต่างๆ มีใบหน้าของหลวงพ่อ ทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวาระต่างๆ บางรุ่นราคาสะสมเช่าบูชา สูงหลายหมื่นบาท เหรียญหลวงพ่อรวย ชนะจน เหรียญหลวงพ่อรวย ชนะจน ทำจากเนื้อและบล็อกต่างๆ เป็นที่สะสมของลูกศิษย์ลูกหา นิยมนำไปใส่ กรอบบูชาหลวงพ่อรวย หรือพระครูสุนทรธรรมนิวิฐ มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2560 แต่สังขารไม่เน่าเปื่อย ลูก ศิษย์จึงตั้งร่างของท่านเก็บรักษาไว้ในโลงแก้ว ที่วัดตะโก ปัจจุบันวัดนี้เป็นแหล่งรวมความศรัทธาหลวงพ่อรวย มีศาสนสถานที่สวยงาม เปิดให้เข้าชม 8.00 - 16.00 น.


202 ศึกษาดูงานนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ วัดตะโก อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศึกษาดูงาน ด้านการบริการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม การจัดการรักษาความสะอาดวัดอย่างมีประสิทธิภาพ


203 ศึกษาดูงานนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่ม มีดอรัญญิกวินัยรวยเจริญ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศึกษาดูงาน ด้านการบริหารจัดการทีมงานวิสาหกิจชุมชนที่มีประสิทธิภาพ ********************* หมู่บ้านอรัญญิก ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 และ 7 ตำบลท่าช้าง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แท้จริง แล้วหมู่บ้านอรัญญิกมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่สองหมู่บ้าน ได้แก่ บ้านต้นโพธิ์ และบ้านหนองไผ่ ทั้งสองหมู่บ้าน มีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะเป็นเเหล่งผลิตมีดที่ใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสันมาเกือบสองร้อยปี ย้อนกลับไปในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ชาวบ้านต้นโพธิ์และชาวบ้านไผ่หนอง รกรากถิ่นฐานเป็นชาว เวียงจันทน์ ประเทศลาว ได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยซึ่งชาวเวียงจันทน์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพทางช่าง มีช่างทำ เครื่องประดับทองกับช่างตีเหล็กซึ่งเน้นตีมีด ครั้นต่อมาในราวพ.ศ.2365 อาชีพช่างทองก็ได้เลิกลาสลายตัวไป คงเหลือเเต่อาชีพตีมีดประเภทเดียว ชาวบ้านจึงยึดอาชีพตีมีดเป็นอาชีพหลัก ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นปะปนเลย ส่วนที่มาของคำว่า “มีดอรัญญิก” นั้น ในสมัยก่อนมีตลาดร้านค้า มีโรงบ่อน อยู่ที่บ้านอรัญญิก ตำบล ปากท่า อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านต้นโพธิ์เเละหมู่บ้านไผ่หนองมากนัก ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร มีผู้คนนำสินค้ามาซื้อขายเเลกเปลี่ยนกันมากในยุคนั้นชาวบ้านก็นำเอามีดไปขาย เมื่อคนที่ซื้อไปใช้เห็นว่าคุณภาพดีจึงบอกต่อๆกันไปว่ามีดคุณภาพต้องมีดอรัญญิก เลยเรียกติดปากไปหาซื้อมีดต้อง ไปที่อรัญญิก ที่จริงเเล้วทำที่หมู่บ้านต้นโพธิ์ หมู่บ้านไผ่หนองเเละหมู่บ้านอื่นๆ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “มีดอรัญญิก” ปัจจุบัน มีดอรัญญิกยังคงเป็นความภาคภูมิใจของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะมีดอรัญญิกนั้นขึ้นชื่อเรื่อง ความแข็งแรงทนทาน มีดบางชนิดสามารถใช้ได้นานตลอดชั่วอายุคน อีกทั้งงานใบมีดยังสวยงามประณีต นับเป็นภูมิ ปัญญาท้องถิ่นอันล้ำค่าที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ณ หมู่บ้านอรัญญิก นักท่องเที่ยวสามารถเข้าพักโฮมสเตย์ภายใน ท้องถิ่น ชมหัตถกรรมการตีมีด และลองลงมือตีมีดด้วยตนเอง พร้อมเลือกซื้อมีดคุณภาพกลับไปเป็นที่ระลึก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จทอดพระเนตรการทำมีดอรัญญิก การสงครามป้องกันกรุงศรีอยุธยานั้น อาวุธที่ใช้ในการสู้รบคือดาบจากหมู่บ้านอรัญญิก ด้วยความคมและ เหนียวแข็งนั้น จึงทำให้ชื่อดาบอรัญญิกเป็นที่รู้จักกันทั่วไป อาทิตย์นี้ ได้ตามรอย ศูนย์อยุธยาศึกษาไปที่บ้านต้นโพธิ์ และบ้านไผ่หนอง ตามหาความเป็นอรัญญิก ว่าเป็นแหล่งขายมีด หรือชุมนักรบในอยุธยา เมื่อมีการสร้าง ปราสาทนครหลวงขึ้นนั้น ก็เสมือนเป็นพระราชฐานที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางไปนมัสการพระพุทธบาท ดังนั้น หมู่บ้านที่อยู่นอกเขตสำคัญนี้จึงถือเป็นเขตอรัญญิก ด้วยอยู่ที่ปากท่าของแม่น้ำป่าสัก ซึ่งใช้เป็นเส้นทางน้ำสายหลัก สำหรับเรือสินค้าจากอีสานใช้ขึ้นล่องไป-มา ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เป็นชุมชนค้าขายใหญ่ ครั้นเมื่อมีการเปิดให้ชาวลาว ข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาสร้างบ้านแปลงเมืองในรัชกาลที่ ๑ ด้วยเหตุมีผู้คนอยู่จำนวนน้อยนั้น ชาวลาวส่วนหนึ่งจึง เดินทางล่วงเลยเข้ามาอยู่ที่ริม แม่น้ำป่าสักและตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านต้นโพธิ์และบ้านไผ่หนองของตำบลท่าช้าง ห่างจากบ้านอรัญญิก ๓ กม.ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าชาวลาวกลุ่มนี้ได้อพยพเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวแต่ครั้ง รัชกาลที่ ๒ ประมาณ พ.ศ.๒๓๖๕ ด้วยเวียงจันทน์เกิดอัตคัดขาดแคลน และโจรผู้ร้ายชุกชุม จึง ตัดสินใจเดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินโดยการทำมีดดังกล่าว ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ ออกมาตั้งวังสีทาและป้อมขึ้นที่บริเวณแก่งคอย สระบุรี เพื่อเป็นต้นทางเฝ้าระวังศึกจากแม่น้ำป่าสัก ดาบอรัญญิก น่าจะมีบทบาทในการใช้ป้องกันข้าศึกแถบลุ่มน้ำป่าสักด้วย การตีดาบตีมีดครั้งแรกนั้นน่าจะเกิดจากชาวจีนที่มีความ ชำนาญมาแต่เดิม ส่วนชาวลาวนั้นได้เรียนรู้การทำตีดาบตีมีดจากบ้านอรัญญิกที่มีอยู่ก่อนแล้ว หรือว่า ชาว


204 เวียงจันทน์อพยพเข้ามานั้นได้นำเครื่องมือเครื่องใช้มาตีมีดตีดาบนั้นเป็นได้ทั้งนั้น ซึ่งเล่าต่ออีกว่าการอพยพครั้งนั้นมี ช้าง๒ เชือก ขนสัมภาระมากับขบวนอพยพนั้นด้วย อีกทั้งยังมีช่างทองรูปพรรณตามมาด้วย หากศึกษาถึงมีด อรัญญิกแล้วดูจะเกิดขึ้นในต้นสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง ในรัชกาลที่ ๕ นั้น พระนางสุขุมาลยศรีพระมาตุฉาเจ้า พระมเหสี พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จมา ทอดพระเนตรการทำมีดของชาวบ้านหนองไผ่ที่วัดมเหยงค์ ครั้งนั้นนายเทา(ต้นตระกูล พันธุ์หนอง) หัวหน้าชาวลาว เวียงจันทน์ในขณะนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนราบริรักษ์ เพื่อทำหน้าที่ดูแลปกครองลูกบ้านนั้นอยู่ทำมาหากินด้วย ความสามัคคีและรักษาจารีตประเพณีที่ดีงาม หลังสุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนชาวท่าช้าง ที่มี การผลิตเครื่องมือจากเหล็กตามชื่ออรัญญิก เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๙ ครั้งนั้นพระองค์ได้ทอดพระเนตร การตีมีดและมีพระราชดำริให้เริ่มต้นทำในสิ่งที่บรรพบุรุษได้ทำไว้เป็นสมบัติของชาติ และขอให้มีการพัฒนาให้ดำรง อยู่เป็นเอกลักษณ์ไทยตลอดไป


205 ศึกษาดูงานนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่ม มีดอรัญญิกวินัยรวยเจริญ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศึกษาดูงาน ด้านการบริหารจัดการทีมงานวิสาหกิจชุมชนที่มีประสิทธิภาพ


206 ศึกษาดูงานนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ ศูนย์การแพทย์บึงยี่โถ เทศบาลเมืองบึงยี่โถ จังหวัดปทุมธานี ศึกษาดูงาน ด้านการพัฒนางานการบริหารจัดการ รพ.สต. ที่มีประสิทธิภาพ ********************* แม้ พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2542 รวมทั้ง ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2549 จะมีผลบังคับใช้มาสิบกว่าปี แต่จนถึงปัจจุบันมีสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ถูกถ่ายโอนจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มาอยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพียงไม่กี่สิบแห่งเท่านั้น ในบรรดาหน่วยบริการเหล่านี้ มีอีกหลายแห่งที่เมื่อออกจากการกำกับดูแลของ สธ.แล้ว การดำเนินงานมี ประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างมาก สามารถพัฒนาโครงสร้างอาคารสถานที่ เครื่องไม้เครื่องมือ บุคลากรตลอดจนความ หลากหลายในการให้บริการชนิดที่เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ อย่างเช่นศูนย์การแพทย์และฟื้นฟูบึงยี่โถ สังกัดเทศบาลเมืองบึงยี่โถ จ.ปทุมธานี ก็เป็นหนึ่งใน Success case ที่ถ่ายโอนมาอยู่กับ อปท. แล้วประสบ ความสำเร็จอย่างงดงาม เป็นแหล่งเรียนรู้ให้หน่วยงานจากทั้งในและต่างประเทศมาดูงานเป็นจำนวนมาก สำหรับศูนย์การแพทย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.บึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี มีพื้นที่รับผิดชอบ 28 ชุมชน ประชากร 26,890 คน เดิมทีคือสถานีอนามัยบึงยี่โถ เริ่มดำเนินการในปี 2527 ก่อนจะเปลี่ยนสังกัดมาอยู่กับกอง สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองบึงยี่โถ ในปี 2550 แล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็นศูนย์บริการสาธารณสุขที่ 3 วัด เขียนเขต ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น ศูนย์การแพทย์และฟื้นฟูบึงยี่โถ ในปัจจุบัน ขวัญใจ แจ่มทิม ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองบึงยี่โถ กล่าวว่า หากเทียบ สภาพของหน่วยบริการแห่งนี้กับในอดีตตอนยังอยู่กับ สธ. กับสิ่งที่เทศบาลให้การสนับสนุนเพิ่มเติมน่าจะมีกว่า 90% ทั้งเรื่องการปรับปรุงอาคารเดิม สร้างอาคารใหม่ จ้างบุคลากรเพิ่มเติม ตลอดจนยาและเครื่องมือต่างๆ แต่ เดิมเทศบาลอยากสนับสนุนสถานีอนามัย อยากสร้างตึกให้ อยากซื้อยูนิตทำฟันให้ก็ทำไม่ได้เพราะอยู่คนละ กระทรวง เมื่อถ่ายโอนมาอยู่กับ อปท.แล้ว ท้องถิ่นก็สามารถนำเงินมาสนับสนุนหน่วยบริการได้โดยตรงเพื่อถือว่า เป็นหน่วยงานเดียวกันแล้ว


207 ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองบึงยี่โถ ยกตัวอย่างเช่น อาคารสถานที่ต่างๆ เมื่อถ่ายโอน มาแล้วเทศบาลได้เข้ามาช่วยปรับปรุง ทาสีตกแต่งอาคารเดิม สร้างอาคารใหม่อีก 2 หลัง มีการตกแต่งเหมือนสถาน บริการเอกชน เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ถ้าท้องถิ่นมีเงินก็ซื้อได้เรื่อยๆ เฉพาะแค่เครื่องมือที่ใช้ทำกายภาพบำบัด ตั้งแต่รับถ่ายโอนมาก็มียอดซื้อสะสมกว่า 60 ล้านบาทแล้ว ทำให้คลินิกกายภาพบำบัดของศูนย์การแพทย์และฟื้นฟู บึงยี่โถมีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าโรงพยาบาลใหญ่ ทางโรงพยาบาลธัญบุรี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์จึงส่งตัว ผู้ป่วยมาทำกายภาพที่นี่เสมอ ขวัญใจ กล่าวอีกว่า ข้อดีอีกประการของการโอนย้ายมาอยู่กับ อปท. คือท้องถิ่นสามารถตั้งกรอบ อัตรากำลังเพิ่มขึ้นได้อีกเยอะ แต่เดิมตอนเป็นสถานีอนามัยมีบุคลากร 5 คน ทำแผลเย็บแผลก็หมออนามัย จ่ายยา ก็หมออนามัย อะไรๆ ก็หมออนามัย แต่พอถ่ายโอนมาอยู่กับ อปท. ทางเทศบาลได้ตั้งกรอบอัตรากำลังเพิ่มจน ขณะนี้มีบุคลากรกว่า 30 คน มีทั้งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการ สุขาภิบาล นักกายภพบำบัด ฯลฯ เมื่อมีบุคลากรเพิ่มก็สามารถขยายการให้บริการ โดยปัจจุบันแบ่งออกเป็น 4 คลินิกคือ 1.คลินิกทันตกรรม 2.คลินิกผู้ป่วยนอก 3.คลินิกกายภาพ และ 4.คลินิกแพทย์แผนไทย “เรารับถ่ายโอนมาปี 2550 ผ่านมา 11 ปี หน่วยบริการแห่งนี้มีพัฒนาการมากมาย แต่เดิมมีผู้ป่วยนอกแค่ 10 คน/วัน ตอนนี้เป็น 200 คน/วัน คนไข้โรคเรื้อรัง เบาหวาน ความดันก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาลอำเภอแล้ว มาหา หมอที่นี่ได้เลย แล้วถ้าใช้สิทธิบัตรทอง ไม่ว่าจะอยู่ตำบลไหน ถ้าใช้สิทธิที่โรงพยาบาลธัญบุรีก็มาที่เราได้หมด คนไข้ก็ เลยมาเยอะ ยูนิตทำฟันจากเดิม 1 เตียงก็มีเป็น 4 เตียง มีทันตแพทย์ที่รักษารากฟันก็ได้ ชาวบ้านในพื้นที่ไม่ต้องไป โรงพยาบาลใหญ่ และเนื่องจากเรามีแพทย์ประจำ พวกยาต่างๆ เราก็ซื้อได้หมด หมอสั่งซื้อได้ สั่งจ่ายได้ ซึ่งหากเป็น สถานีอนามัยหรือ รพ.สต. ยาบางอย่างหมออนามัยสั่งจ่ายไม่ได้” ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม กล่าว ขวัญใจ สรุปว่า การโอนย้ายมาอยู่กับ อปท. ช่วยให้หน่วยบริการมีงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ท้องถิ่นสนับสนุน หน่วยบริการได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ สามารถพัฒนาศักยภาพและความหลากหลายของบริการ รวมทั้งการ บริหารจัดการก็ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนได้รวดเร็ว แต่ละปีเทศบาลจะทำประชาคมปีละหลายครั้ง ประชาชนจะใช้โอกาสนี้สื่อสารความต้องการของตัวเอง เช่น อยากให้ตรวจมะเร็งปากมดลูกในชุมชน ศูนย์ การแพทย์ฯ ก็จะเข้าไปตรวจให้ถึงที่ ไม่ได้ตั้งรับอยู่แต่ในออฟฟิศ หรือถ้าบริการไม่ดี ชาวบ้านก็โทรหา นายกเทศมนตรีได้เลย ไม่ต้องมีขั้นตอนการร้องเรียนหลายทอดเหมือนตอนสังกัดกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม แม้จะโอนมาสังกัด อปท.แล้ว แต่หน่วยบริการก็ไม่ได้ตัดขาดจาก สธ. ศูนย์การแพทย์ฯ ทุกวันนี้ก็ยัง รับนโยบายจาก สธ. หากกระทรวงต้องการให้ทำเรื่องใดก็มีหนังสือแจ้งมาตลอด เช่น ตรวจคัดกรองคนไข้เบาหวาน ความดัน ปีละ 10,000 คน ตรวจมะเร็งปากมดลูกปีละ 1,000 เคส ไม่ว่าจะเอาตัวชี้วัดอะไรทางหน่วยบริการก็ ดำเนินการให้หมดเหมือนหน่วยบริการอื่นๆ ที่อยู่ในสังกัด สธ. ด้าน รังสรรค์ นันทกาวงศ์นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบึงยี่โถ กล่าวว่า การถ่ายโอน รพ.สต. มาอยู่กับ อปท.มีข้อดีอย่างไรคงขึ้นอยู่กับความพร้อมของท้องถิ่นนั้นๆ หากเป็นท้องถิ่นในชนบท มีงบประมาณน้อย ตรงจุด นั้นอาจมีความจำเป็นน้อย อย่างไรก็ดี โดยส่วนตัวคิดว่ายังมีท้องถิ่นอีกจำนวนมากที่มีความพร้อมและอยากรับโอน รพ.สต.มาดำเนินการ เพียงแต่ สธ. ไม่ยอมปล่อยออกมา ตอน พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2542ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2549 ออกมาในตอนแรก มี รพ.สต.ที่ถูกปล่อย ออกมาเพียง 22 แห่ง ผ่านไป 10 ก็มีเพิ่มเป็นไม่กี่สิบแห่งจากจำนวน รพ.สต.ทั้งหมดเกือบ 1 หมื่นแห่ง นอกจากนี้


208 ประเมินผลออกมามาทีไรก็ตกทุกที ทั้งๆ ที่มีหลายแห่งที่ทำสำเร็จ ดังนั้นจึงอยากให้ สธ. ลองปล่อยให้ท้องถิ่นที่มี ความพร้อมได้ลองทำดู“อย่างของเรามีความพร้อม เรื่องบุคลากรก็ไม่มีปัญหา เรามีงบประมาณเพียงพอที่จะจ้าง บุคลากรมารองรับ ต่อมาเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือเราก็ทุ่มไปกับเครื่องมือแพทย์ไปหลายสิบล้านบาท เราสามารถ ปรับปรุงสถานีอนามัย ถ้าได้เดินเข้าไปดูข้างในจะเห็นเลยว่าเป็นเหมือนคลินิกเอกชนดีๆ แห่งหนึ่ง ถามว่าเราทำเพื่อ ความโก้เก๋ไหม ไม่ใช่ เราทำเพื่อให้คนมาใช้บริการรู้สึกเชื่อมั่นว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่อนามัยในอดีต แต่เป็นคลินิกดีๆ แห่งหนึ่ง พอประชาชนมีความเชื่อมั่นแล้ว หมอพูดอะไรก็เชื่อฟัง มีกำลังใจกินยาตามที่หมอสั่ง สุขภาพคนก็ดีขึ้น อีก ทางหนึ่งเมื่อท้องถิ่นพัฒนาหน่วยบริการให้มีขีดความสามารถเพิ่ม ก็จะมีคนมารักษามากขึ้น ช่วยลดความแออัดที่ โรงพยาบาลได้อีกทางหนึ่ง” นายรังสรรค์ กล่าว นอกจากนี้ ประเด็นที่สำคัญอีกประการเมื่อถ่ายโอน รพ.สต.มาอยู่กับท้องถิ่นคือความมีอิสระในการบริหาร จัดการ มีความยืดหยุ่นสามารถคิดแล้วทำกับชุมชนได้เลยโดยไม่ต้องรอหน่วยเหนือสั่งซึ่งอาจไม่ทันการ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบึงยี่โถ กล่าวอีกว่า ในส่วนของผู้บริหารท้องถิ่นเอง เนื่องจากงานด้านสังคมโดยเฉพาะ ด้านสาธารณสุขเป็นงานที่มีหลายมิติทั้งรักษา ป้องกัน ส่งเสริมสุขภาพ พอมีภารกิจเยอะ นายกฯ หลายคนอาจไม่ อยากทำหรือทำแล้วท้อ หรือคิดว่าเป็นเรื่องที่เปลืองเงิน แต่จากประสบการณ์ทำงานด้านนี้แล้ว พบว่างานด้าน สาธารณสุขอาจไม่ใช่เรื่องที่เปลืองงบประมาณอย่างที่หลายพื้นที่คิด ยกตัวอย่างเช่น การจ่ายยา ต้นทุนยาเม็ดละ 75 สตางค์ ขายในราคา 1 บาท ได้กำไร 25% ก็เอาเงินนี้ไปจ้างเภสัชกร หรือค่ารักษาที่ศูนย์แพทย์เรียกเก็บคนละ 100-200 บาท แต่ละวันได้ประมาณ 4,000-5,000 บาท เงินส่วนนี้ก็เอาไปจ่ายเป็นค่าหมอ ทำไปทำมาทุกวันนี้ เทศบาลจ่ายแค่ค่า facility ค่าน้ำ ค่าไฟเท่านั้นเอง บางเดือนมีเงินเหลือด้วยซ้ำ “เพราะฉะนั้นถ้าผู้บริหารท้องถิ่นเปลี่ยน mind set ว่าเรื่องสาธารณสุขไม่ใช่ภาระแต่เป็นบริการที่มีค่าตอบแทน เพียงแต่ต้องเป็นค่าตอบแทนที่ชาวบ้านจ่ายได้ แล้วถ้ารักษาดี ถามว่าชาวบ้านจะเลือกให้เป็นนายกฯ ไหม” นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบึงยี่โถ กล่าวทิ้งท้าย


209 ศึกษาดูงานนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ ศูนย์การแพทย์บึงยี่โถ เทศบาลเมืองบึงยี่โถ จังหวัดปทุมธานี ศึกษาดูงาน ด้านการพัฒนางานการบริหารจัดการ รพ.สต. ที่มีประสิทธิภาพ


210 ศึกษาดูงานนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ ศูนย์บริการวิชาการเกษตรของมูลนิธิชัยพัฒนา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ศึกษาดูงาน ด้านการส่งเสริมการเกษตรอินทรีย์ การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแนวคิดการใช้ชีวิตที่พ่อสอนเศรษฐกิจพอเพียง ********************* ความเป็นมา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ให้รับที่จำนวน 252 ไร่ 36 ตารางวา ซึ่งนางพเยาว์ และนางสาวผุสนา พนมวัน ณ อยุธยา คชาชีวะ ได้ น้อมเกล้าถวายไว้นามมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งที่ดินดังกล่าวมีถนนตัดผ่าน ตั้งอยู่ระหว่างคลองรังสิต 10-11 ตำบลบึง ทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี มีราษฎรเช่าอาศัยและทำนาอยู่ 8 ครอบครัว พระราชดำริ/ พระราชดำรัส 1. ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยที่ทรงมีพระราชประสงค์จะใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงทรงมีพระราชกระแสกับพลเอกเทียนชัย จั่นมุกดา รองสมุหราชองครักษ์ “ให้มูลนิธิชัยพัฒนาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมในการ จัดตั้งศูนย์บริการวิชาการเกษตรรวมทั้งจัดการระบบชลประทาน” และเพื่อมิให้ราษฎรที่เช่าที่ทั้ง 8 รายอยู่เดิมต้อง เดือดร้อนจึงให้จัดแปลงที่ดินที่เช่าอยู่ในลักษณะแปลงทฤษฎีใหม่แล้วนำราษฎรทั้ง 8 รายเข้ามาอยู่และทำกิน สำนักงานเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา จึงได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น จังหวัด ปทุมธานี กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมวิชาการเกษตร และบริษัทบางจากปิโตรเลียมจำกัด ศึกษาแนวทางการจัดตั้งศูนย์บริการวิชาการเกษตรดังกล่าว โดยยึดแนว พระราชดำริในเรื่องของความประหยัดและเรียบง่าย 2. ตำบลบึงชำอ้อ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน พระราชดำริให้ดำเนินกิจกรรมจัดทำแปลงสาธิตด้านการเกษตรแบบผสมผสานระหว่างพืช – พืช โดยเน้นที่การทำ นาในพื้นที่ทั้งสิ้น 24 ไร่ 1 งาน เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่เกษตรกรนำไปพัฒนาและปรับปรุงในพื้นที่ของตนเอง 3. ตำบลท่าไข่ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน พระราชดำริให้ใช้พื้นที่จำนวน 15 ไร่ 1 งาน 51 ตารางวา ที่ตำบลท่าไข่ดำเนินการรวบรวม อนุรักษ์ และผลิตพันธุ์ มะม่วงแก้วในระบบเกษตรผสมผสานเพื่อเป็นแบบอย่างสำหรับผู้มีอาชีพเกษตรกรรมทั่วไป วัตถุประสงค์โครงการ/เป้าหมาย 1. เป็นแหล่งบริการวิชาการด้านการผลิตพืชในรูปแบบจัดทำแปลงตัวอย่างได้แก่ การผลิตข้าวพืชสวน และพืชไร่ ตามหลักการเกษตรดีที่เหมาะสม และเป็นแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสาน 2. เป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีให้แก่เกษตรกร 3. เป็นแหล่งผลิตกิ่งพันธุ์ไม้ผลจำหน่ายเกษตรกร 4. เป็นแหล่งผลิตปาล์มน้ำมัน 5. เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์มะม่วงแก้ว


211 6. เป็นแหล่งผลิตกิ่งพันธุ์มะม่วงแก้ว เป็นพันธุ์พระราชทานแก่เกษตรกร 7. เป็นแหล่งจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป 8. แปรรูปผลผลิตทางการทางเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า 9. เป็นศูนย์กลางการจำหน่ายผลผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางเกษตร ลักษณะโครงการ / กิจกรรม กิจกรรมในโครงการฯ แบ่งกิจกรรมในโครงการออกเป็นกิจกรรม ดังนี้ - กิจกรรมข้าว จัดทำแปลงสาธิตการผลิตข้าวตามหลักการเกษตรดีที่เหมาะสมในพื้นที่ 65 ไร่ ทั้งฤดูนาปี และฤดูนาปรัง โดยผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีที่มีคุณภาพจำหน่ายให้แก่เกษตรกรและเป็นแปลงตัวอย่างการผลิต เมล็ดพันธุ์ข้าวให้เกษตรกรนำไปผลิตใช้เอง หรือจำหน่ายให้เพื่อนเกษตรกรด้วยกัน - กิจกรรมไม้ผล แบ่งออกเป็น 2 ส่วนดังนี้ 1) แปลงไม้ผลแบบยกร่องสวน ปลูกไม้ผลหลัก คือไม้ผลที่มีอายุยาวนานให้ผลผลิตช้า พืชที่คัดเลือกมา ปลูกเช่น มะม่วง ฝรั่ง และกระท้อน เป็นต้น 2) ไม้ผลตามคันคูน้ำ เพื่อใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงได้ปลูกมะเฟืองทับทิม และกล้วย ตามคันคูน้ำ รอบบริเวณโครงการฯเพื่อความหลากหลายและถ่ายทอดวิธีการปฏิบัติดูแลรักษาและขยายพันธุ์ให้เกษตรกรและ ผู้สนใจทั่วไปเลือกนำไปพิจารณาปรับใช้ในพื้นที่ของตนเอง - กิจกรรมพืชผัก เป็นการผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษ ตลอดฤดูกาลโดยยึดถือความปลอดภัยของผู้บริโภค เป็นหลักโดยทำการผลิตทั้งผักกินใบ เช่น คะน้า ผักบุ้งจีน ฮ่องเต้ ผักกินยอด เช่น ชะอม ผักหวาน และผักกินผล เช่น มะเขือ บวบ แตงกวา เป็นต้น โดยหมุนเวียนการปลูกผักแต่ละชนิดตามฤดูกาล - กิจกรรมปาล์มน้ำมัน เป็นแปลงสาธิตการปลูกปาล์มน้ำมันตามหลักการเกษตรดีที่เหมาะสม และจำหน่าย ผลผลิตปาล์มน้ำมัน - กิจกรรมเกษตรผสมผสาน เป็นการดำเนินการผสมผสานระหว่างพืช –สัตว์-ประมง ลักษณะ “เกษตร ยังชีพ” เหมาะสำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่จำกัดโดยยึดหลัก “อยากกินอะไร ก็ปลูกอย่างนั้น ที่เหลือจึงนำไปขาย” โดยได้ดำเนินการในพื้นที่ประมาณ 550 ตารางเมตร ปลูกทั้งผักกินใบ กินยอดและกินผล ซึ่งบริเวณตามแนวขอบ รั้วได้ปลูกพืชในลักษณะรั้วกินได้และรั้วใช้ประโยชน์ เช่น ชะอม ดอกแค มะขาม อ้อยคั้นน้ำ อัญชันและชมจันทร์ นอกจากนี้ทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพไว้ใช้เอง ส่วนในเรื่องการบำรุงดิน ยังเลี้ยงไส้เดือนเพื่อปรับปรุงสภาพดิน ตลอดจนเลี้ยงปลาชนิดต่างๆและไก่ไข่เพื่อเสริมสร้างรายได้อีกด้วย - กิจกรรมแปรรูป เป็นการแปรรูปผลผลิตทางด้านการเกษตร และสมุนไพรที่คุณภาพอยู่ในระดับรองลงมา โดยนำมาเป็นผลิตภัณฑ์ 3 ประเภท ได้แก่ เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยวและเครื่องสำอาง ซึ่งเครื่องสำอางได้รับเลขที่จด แจ้งจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นที่เรียบร้อย - กิจกรรมการตลาดและจัดจำหน่าย จัดหาตลาดในการจำหน่ายผลผลิต รวมถึงออกร้านประชาสัมพันธ์ ตามคำเชิญของหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน แล้วมีการพัฒนาผลผลิตออกสู่ตลาดสากลภายใต้มาตรฐาน GAP - กิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยี เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิตพืชและการแปรรูปผลผลิตด้าน การเกษตรแก่ กลุ่มแม่บ้าน เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไปในรูปแบบจัดฝึกอบรม ประชุม สัมมนาแก่เจ้าหน้าที่ จัด นิทรรศการ จัดพิมพ์เอกสารเพื่อเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์และต้อนรับคณะศึกษาดูงาน


212 - บริการพัฒนา (Social Services) เป็นการช่วยเหลือและติดตามผลของเกษตรกร ที่ได้นำองค์ความรู้ที่รับ จากทางศูนย์ฯ หรือช่วยการเข้ามาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการเกษตรแล้วนำกลับไปปรับใช้ให้เข้ากับการดำรงชีวิตของ ตนเองเพื่อให้คงดำรงชีวิตอย่างมีความสุข


213 ศึกษาดูงานนอกสถานที่ ระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ ศูนย์บริการวิชาการเกษตรของมูลนิธิชัยพัฒนา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ศึกษาดูงาน ด้านการส่งเสริมการเกษตรอินทรีย์ การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแนวคิดการใช้ชีวิตที่พ่อสอนเศรษฐกิจพอเพียง


214 ภาพกิจกรรม


215 ภาพกิจกรรม


216 ภาพกิจกรรม


217 ภาพกิจกรรม


218 ผลงานการออกแบบ infographic สรุปกิจกรรมประจำวัน


219 ผลงานการออกแบบ infographic สรุปกิจกรรมประจำวัน


220 ผลงานการออกแบบ infographic สรุปกิจกรรมประจำวัน


221 ผลงานการออกแบบ infographic สรุปกิจกรรมประจำวัน


Click to View FlipBook Version