97 ต่อสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของประชาชน หรือจะเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต้องแก้ไขโดย เร่งด่วน ให้เจ้าพนักงานสาธารณสุขมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้กระทำการไม่ถูกต้องหรือฝ่าฝืนแก้ไขหรือระงับเหตุนั้น แล้วให้แจ้งเจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ มาตรา 47 ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงานสาธารณสุข และผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้ง จากเจ้าพนักงานท้องถิ่น เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และเพื่อประโยชน์ในการจับกุมหรือ ปราบปรามผู้กระทำผิดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นและผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเป็นพนักงานฝ่าย ปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หมวด 11 หนังสือรับรองการแจ้ง มาตรา 48 - มาตรา 53 สถานที่จำหน่ายอาหารและสะสมอาหาร พื้นที่ไม่เกิน 200 ตรม. ต้องแจ้งต่อ เจ้าพนักงานท้องถิ่นโดยไม่ต้องขออนุญาต เพียงแต่แจ้งก็สามารถดำเนินกิจการได้เลยตามนโยบายให้โอกาส ประกอบกิจการโดยสุจริตได้อิสระมากขึ้น ผู้ประกอบการ แจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ - ออกใบรับแจ้งเป็นหลักฐานในการประกอบกิจการในระหว่างที่รอหนังสือรับรองการแจ้ง เจ้าพนักงานตรวจความถูกต้องของการแจ้ง - แจ้งถูกต้อง ต้องออกหนังสือรับรองการแจ้งภายใน 7 วัน - แจ้งไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ เจ้าพนักงานต้องแจ้งให้ผู้แจ้งทราบภายใน 7 วันทำการ ให้แก้ไขให้ ถูกต้องภายใน 7 วัน ถ้าไม่แก้ไขภายในเวลา เจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้การแจ้งเป็นอันสิ้นสุด กรณีที่ผู้ดำเนินกิจการ มิได้แจ้งต่อ เจ้าพนักงานท้องถิ่นและเคยได้รับโทษที่ฝ่าฝืนมิได้แจ้งมาแล้วครั้งหนึ่ง และยังฝาฝืนเช่นนั้นอีก ให้ เจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้ผู้นั้นหยุดกิจการ จนกว่าจะดำเนินการแจ้ง ถ้ายังฝ่าฝืนอีกมีอำนาจสั่งห้ามดำเนินกิจการ นั้นไว้ตามเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่เกิน 2 ปี (มาตรา ร2) - ห้ามขาย 2 ปี - ปรับไม่เกิน 50,000 บาท/จำคุก 6 เดือน - ปรับเพิ่ม วันที่ยังฝ่าฝืน 25,000 บาท/วัน หมวด 12 ใบอนุญาต มาตรา 54 - มาตรา 62 พระราชบัญญัตินี้บัญญัติให้การประกอบกิจการใด ต้องได้รับใบอนุญาตจาก เจ้าพนักงานท้องถิ่น ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อกำหนดของท้องถิ่นกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและ เงื่อนไขการขอและการออกใบอนุญาตในเขตอำนาจของราชการส่วนท้องถิ่น บรรดาใบอนุญาตที่ออกให้ตาม พระราชบัญญัตินี้ให้มีอายุหนึ่งปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต ให้ใช้ได้เพียงในเขตอำนาจของราชการ ส่วนท้องถิ่นที่ เป็นผู้ออก การขอต่อใบอนุญาตจะต้องยื่นคำขอก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุ พร้อมกับเสียค่าธรรมเนียม ถ้าเจ้าพนักงาน ท้องถิ่นจะสั่งไม่ต่ออายุใบอนุญาต ต้องหยุดประกอบกิจการ มาตรา 54 - มาตรา 62 พระราชบัญญัตินี้บัญญัติให้การประกอบกิจการใด ต้องได้รับใบอนุญาตจาก เจ้าพนักงานท้องถิ่น ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อกำหนดของท้องถิ่นกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและ
98 เงื่อนไข การขอและการออกใบอนุญาตในเขตอำนาจของราชการส่วนท้องถิ่น บรรดาใบอนุญาตที่ออกให้ตาม พระราชบัญญัตินี้ให้มีอายุหนึ่งปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต ให้ใช้ได้เพียงในเขตอำนาจของราชการ ส่วนท้องถิ่นที่ เป็นผู้ออก การขอต่อใบอนุญาตจะต้องยื่นคำขอก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุ พร้อมกับเสียค่าธรรมเนียม ถ้าเจ้าพนักงาน ท้องถิ่นจะสั่งไม่ต่ออายุใบอนุญาต ต้องหยุดประกอบกิจการ เมื่อได้รับคำขอรับใบอนุญาตหรือคำขอต่ออายุ ใบอนุญาต ถ้าคำร้องดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ตามหลักเกณณ์ ให้แจ้งให้ผู้ขอทราบภายใน 15 วันนับแต่ วันได้รับคำขอต้องออกใบอนุญาต ภายใน 30 วัน หรือมีหนังสือแจ้งคำสั่งไม่อนุญาตพร้อมด้วยเหตุผล มีเหตุจำเป็น ที่ไม่อาจออกใบอนุญาตหรือมีคำสั่งไม่อนุญาตได้ภายใน 30 วัน ให้ขยายเวลาออกไปได้อีกไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละ ไม่เกิน 15 วัน ผู้รับใบอนุญาต ต้องแสดงใบอนุญาตไว้โดยเปิดเผย ตลอดเวลาที่ประกอบกิจการ ใบอนุญาตสูญหาย ถูกทำลายหรือชำรุดในสาระสำคัญ ยื่นคำขอรับใบอนุญาตเเทน ภายใน 15 วัน ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ ในใบอนุญาตเกี่ยวกับการประกอบกิจการ เจ้าพนักงานท้องถิ่น มีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตได้ภายในเวลา ที่ เห็นสมควร แต่ไม่เกิน 15 วัน การควบคุมกิจการที่ต้องขอใบอนุญาต (1) ต้องขอใบอนุญาต - ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น (2) ต้องขอต่ออายุใบอนุญาต (ม.45) สั่งให้แก้ไขปรับปรุงได้ (ม.59) ถ้าไม่แก้ไข สั่งพักใช้ใบอนุญาต ได้ภายในเวลาที่เห็นสมควรแต่ต้องไม่เกิน 15 วัน (ม.60) สั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้ ผู้ถูกเพิกถอนห้ามทำกิจการนั้นจนกว่าจะพ้น 1 ปี สั่งให้หยุดดำเนินกิจการชั่วคราวได้ (ม.48) ในกรณี - ถูกพักใช้แล้ว 2 ครั้งและถูกพักใช้อีก - ต้องคำพิพากษาว่าผิด - เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพผู้ประกอบการ (3) ผู้ประกอบกิจการต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติกฎกระทรวงข้อบัญญัติท้องถิ่น เงื่อนไขใน ใบอนุญาต -ถ้าไม่ปฏิบัติ จพง.ท้องถิ่น มีอำนาจ ขั้นตอนการขอใบอนุญาต 1. ยื่นคำขอพร้อมหลักฐานตามที่ราชการส่วนท้องถิ่นกำหนดต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น 2. เจ้าพนักงานท้องถิ่นพิจารณาคำขอถูกต้องครบถ้วน กรณีไม่ถูกต้อง (แจ้งผู้ประกอบการภายใน 15 วัน เพื่อทราบและแก้ไข เมื่อแก้ไขถูกต้อง หากกรณีไม่แก้ไขให้ถูกต้อง ถือเป็นการสละสิทธิ์การยื่นคำขอ 3. เจ้าพนักงานท้องถิ่นมอบให้จพง.สาธารณสุข ตรวจสถานที่ด้านสุขลักษณะ กรณีผ่านเกณฑ์ - เจ้าพนักงานท้องถิ่นออกใบอนุญาต กรณีไม่ผ่านเกณฑ์- เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งไม่อนุญาต (ภายใน 30 วัน ขยายเวลาได้ 2 ครั้งๆ ละไม่เกิน 15 วัน)
99 การควบคุมกิจการที่ไม่ต้องขออนุญาตหรือต้องแจ้ง ผู้ประกอบกิจการ ต้องปฏิบัติตาม ถ้าไม่ปฏิบัติตามเจ้าพนักงานท้องถิ่น ตามพรบ./กฎกระทรวง/ประกาศ กระทรวง/ข้อบัญญัติท้องถิ่นและคำสั่งของ เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจ - กรณีปกติ สั่งให้แก้ไข/ปรับปรุงภายในกำหนดเวลาแต่ต้องไม่น้อยกว่า 7 วัน - กรณีที่เกิดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชน และถ้าผู้ประกอบการ ไม่แก้ไข สั่งให้หยุดกิจการทันทีเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะปราศจากอันตรายนั้น หมวด 13 ค่าธรรมเนียมและค่าปรับ มาตรา 63 ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา 64 บรรดาค่าธรรมเนียมและค่าปรับตามพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นรายได้ของราชการส่วนท้องถิ่น มาตรา 65 ผู้แจ้งหรือผู้ที่ได้รับใบอนุญาตมีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามอัตราและตามระยะเวลาที่ กำหนดไว้ในข้อบัญญัติท้องถิ่นตลอดเวลาที่ดำเนินกิจการ หากไม่ได้ชำระตามระยะเวลาที่กำหนดให้เสียค่าปรับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ของจำนวนที่ค้างชำระ กรณีที่ผู้แจ้งค้างชำระค่าธรรมเนียมติดต่อกันเกินกว่า 2 ครั้ง เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้หยุด กิจการไว้จนกว่าจะเสียค่าธรรมเนียมและค่าปรับจนครบตามจำนวน ข้อสังเกต - ค่าธรรมเนียม จะได้รับจากผู้ขอใบอนุญาตต่าง ๆ ตามที่ท้องถิ่นกำหนดในข้อบัญญัติ - ค่าปรับ จะได้รับจาก 2 กรณี ดังนี้ 1) จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่ค้างชำระ ร้อยละ 20 (ยกเว้นผู้แจ้งได้มีการขอผ่อนผันการชำระเงิน โดย มีการขอชำระเงินบางส่วนก่อนได้ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าปรับร้อยละ 20 ข้างต้น) 2) จากการกระทำความผิดตามพรบ. ข้อกำหนดท้องถิ่นฝ่าฝืนคำสั่ง ข้อกำหนดอื่น ๆ ของเจ้าพนักงาน ท้องถิ่น การเปรียบเทียบคดี สามารถดำเนินการ ดังนี้ 1. คณะกรรรมการเปรียบเทียบ กรณีความผิดที่เห็นว่าไม่ควรรับโทษถึงจำคุก หรือไม่ควรถูกฟ้องร้อง ให้ คณะกรรมการเปรียบเทียบ - เขตกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ผู้แทนกทม. ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ เป็นกรรมการ และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้งข้าราชการในสังกัด เป็นผู้ช่วยเลขานุการอีกไม่เกิน 2 คน - เขตจังหวัดอื่น ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด อัยการจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด เป็นกรรมการ และให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแต่งตั้งข้าราชการในสังกัดเป็นผู้ช่วยเลขานุการอีกไม่เกิน 2 คน
100 2. เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือผู้ซึ่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นมอบหมาย กรณีความผิดที่มีโทษ ได้แก่ โทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ การเปรียบเทียบปรับ มีเงื่อนไขดังนี้ 1) พบผู้กระทำความผิด 2) ผู้กระทำความผิดยอมรับผิด 3) ผู้กระทำความผิดยินดีเสียค่าปรับ ขั้นตอนการเปรียบเทียบปรับและการดำเนินคดี เมื่อพบการกระทำความผิด เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินคดี โดยการรวบรวมหลักฐาน 4 ประการ ได้แก่ 1) รายงานการตรวจของเจ้าหน้าที่ 2) คำสั่งทางปกครองของเจ้าพนักงานท้องถิ่น 3) พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) 4) ตรวจสอบตัวผู้กระทำความผิด แล้วเรียกตัวผู้กระทำความผิดมาพบ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา แต่หากไม่มา พบให้เจ้าหน้าที่ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เมื่อผู้กระทำความผิดยินยอมรับผิดตามข้อกล่าวหา ให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อกล่าวหา สอบปากคำหรือสรุป สำนวน เสนอต่อเจ้าหนักงานท้องถิ่น หรือ คณะกรรมการเปรียบเทียบ ชำระค่าปรับ หากไม่ยินยอมให้ปรับให้ ดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ถ้าชำระค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบแล้วภายใน 30 วันถือว่าคดี สิ้นสุด การดำเนินคดีทางศาล เมื่อมีการฝ่าฝืนหรือกระทำความผิด ผู้เสียหายฟ้องเอง หรือร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานสอบสวน โดยมี เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือผู้รับมอบหมายให้ข้อมูลและเป็นพยาน หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือผู้รับมอบหมาย ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานสอบสวน ดำเนินการสืบสวนสอบสวน เจ้าพนักงานอัยการ สั่งฟ้องต่อศาล และศาลไต่สวน มูลฟ้อง มีการสืบพยานและพิพากษา หรือยกฟ้องแล้วแต่กรณี หมวด 14 การอุทธรณ์ มาตรา 66 ในกรณีที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งเรื่องการไม่ออกใบอนุญาต หรือไม่อนุญาตให้ต่ออายุ ใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาต หรือกรณีเจ้าพนักงานสาธารณสุขออกคำสั่ง ซึ่งผู้รับคำสั่งไม่พอใจในคำสั่งนั้น มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง มาตรา 66/1 ให้มีคณะกรรมการอุทธรณ์ ประกอบด้วย (1) อธิบดีกรมอนามัย เป็นประธานกรรมการ (2) ผู้แทนกรมควบคุมมลพิษ ผู้แทนกรมปศุสัตว์ ผู้แทนกรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้แทนกรม
101 โรงงานอุตสาหกรรม ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด เป็น กรรมการ รวม 6 คน (3) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รัฐมนตรีแต่งตั้งโดยคำแนะนำของคณะกรรมการจากผู้มีความรู้ ความสามารถ หรือประสบการณ์ในด้านการสาธารณสุขและการอนามัยสิ่งแวดล้อมอีกไม่เกิน 3 คน เป็น กรรมการ (4) ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนอย่างน้อย 1 คน (5) รองอธิบดีกรมอนามัยซึ่งอธิบดีกรมอนามัยมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ (6) อธิบดีกรมอนามัยแต่งตั้งข้าราชการในสังกัดกรมอนามัยจำนวน 2 คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ มาตรา 66/2 ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (1) พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งตามมาตรา 66 (2) มีหนังสือเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือสั่งให้บุคคลดังกล่าวส่งเอกสารหรือหลักฐานอื่นที่ เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ (3) สอบถามข้อเท็จจริงหรือกระทำการใด ๆ เท่าที่จำเป็น เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ มาตรา 67 ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้น ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับรับอุทธรณ์ โดยให้ถือคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นที่สิ้นสุด หมวด 15 บทกำหนดโทษ มาตรา 68[28] ผู้ใดฝ่าฝืนกฎกระทรวงซึ่งออกตามมาตร 6 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่น มาตรา 68/1[29] ผู้ใดฝ่าฝืนกฎกระทรวงซึ่งออกตามมาตรา 6 ในกรณีที่เกี่ยวกับมูลฝอยติดเชื้อ หรือมูล ฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือ ทั้งจำ ทั้งปรับ มาตรา 69[30] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของอธิบดีกรมอนามัยตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง โดยไม่มีเหตุ หรือ ข้อแก้ตัวอันสมควร หรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานสาธารณสุขตามมาตรา 8 วรรคสอง หรือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ตามมาตรา 8 วรรคสาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้า หมื่น บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 70[31] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการตามมาตรา 17 คณะกรรมการสาธารณสุขจังหวัดหรือคณะกรรมการสาธารณสุขกรุงเทพมหานครตามมาตรา 17/3 (8) หรือ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา 66/2 (2) โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่ เกิน หนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 71[32] ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 19 มาตรา 33 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 34 ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 72[33] ผู้ใดจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารตามมาตรา 38 ซึ่งมีพื้นที่ เกินสองร้อยตารางเมตรโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
102 ผู้ใดจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารตามวรรคหนึ่ง ซึ่งมีพื้นที่ไม่เกินสองร้อย ตาราง เมตร โดยไม่มีหนังสือรับรองการแจ้ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นห้าพันบาท มาตรา 73[34] ผู้ใดฝ่าฝืนข้อบัญญัติท้องถิ่นซึ่งออกตามความในมาตรา 20 (5) มาตรา 32 (2) มาตรา 35 (1) หรือ (4) หรือ มาตรา 40 (2) หรือ (3) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดฝ่าฝืนข้อบัญญัติท้องถิ่นซึ่งออกตามความในมาตรา 29 มาตรา 35 (2) หรือ (3) หรือมาตรา 40 (1) (4) (5) (6) หรือ (7) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นห้าพันบาท มาตรา73/1[35] ผู้ใดฝ่าฝืนข้อบัญญัติท้องถิ่นซึ่งออกตามความในมาตรา20(1)(2)(3) หรือ(6) ในกรณี ที่เกี่ยวกับมูลฝอยติดเชื้อหรือมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ ปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 73/2[36] ผู้รับอนุญาตผู้ใดฝ่าฝืนข้อบัญญัติท้องถิ่นซึ่งออกตามความในมาตรา 20 (5) ใน กรณี เกี่ยวกับมูลฝอยติดเชื้อ หรือมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับ ไม่ เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ [คำว่า “ข้อบัญญัติท้องถิ่น” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560] มาตรา 74[37] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 28 วรรคหนึ่งหรือวรรคสาม หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศที่ออกตามมาตรา 28/ 1 วรรคสอง โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร หรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 23 มาตรา 27 วรรคสอง หรือมาตรา 28 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสอง หมื่นห้าพัน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 75[38] เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 24 วรรคสอง ต้องระวางโทษ ปรับไม่ เกินห้าพันบาท และปรับอีกไม่เกินวันละสองพันห้าร้อยบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน มาตรา 76[39] ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำหนดไว้ใน ใบอนุญาต ตามมาตรา 33 วรรคสอง หรือมาตรา 41 วรรคสาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท มาตรา 77[40] ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 41 วรรคสอง หรือฝ่าฝืนประกาศของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา 42 (1) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท มาตรา 78[41] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 36 หรือฝ่าฝืนประกาศของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา 42 (2) หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามมาตรา 43 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท มาตรา 79[42] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหนังสือเรียก หรือไม่ยอมแจ้งข้อเท็จจริงหรือไม่ส่งเอกสารหรือ หลักฐาน หรือขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงาน สาธารณสุข หรือผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 44 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 80[43] ผู้ดำเนินกิจการผู้ใดดำเนินกิจการในระหว่างที่มีคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ หยุด ดำเนินกิจการ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 45 มาตรา 52 หรือมาตรา 65 วรรค
103 สอง โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้ง จำ ทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละสองหมื่นห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง มาตรา 81[44] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานสาธารณสุขตามมาตรา 46 วรรคสองโดย ไม่มี เหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร หรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานสาธารณสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน สามเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 82[45] ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา49 หรือมาตรา 50 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันห้าร้อย บาท มาตรา 83[46] ผู้รับใบอนุญาต ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 57 หรือมาตรา 58 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสอง พันห้าร้อยบาท มาตรา 84[47] ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดดำเนินกิจการในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต ต้องระวางโทษ จำคุก ไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละสองหมื่นห้าพันบาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน มาตรา 84/1[48] ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคล นั้นเกิด จากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของ นิติ บุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการ และละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการ จนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย มาตรา 85[49] ให้มีคณะกรรมการเปรียบเทียบ (1) ในเขตกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ผู้แทนกรุงเทพมหานคร ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ และให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้งข้าราชการในสังกัด กรุงเทพมหานครเป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการอีกไม่เกินสองคน (2) ในเขตจังหวัดอื่น ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด อัยการจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด เป็นกรรมการ และให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นเลขานุการ และให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด แต่งตั้ง ข้าราชการในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้ช่วยเลขานุการอีกไม่เกินสองคน บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าเห็นว่าผู้ต้องหาไม่ควรได้รับโทษถึงจำคุก หรือไม่ควรถูก ฟ้องร้อง ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบมีอำนาจเปรียบเทียบ สำหรับความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกิน สองหมื่นห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คณะกรรมการเปรียบเทียบอาจมอบหมายให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือผู้ซึ่ง เจ้าพนักงานท้องถิ่นมอบหมายมีอำนาจเปรียบเทียบได้ด้วย การเปรียบเทียบของคณะกรรมการเปรียบเทียบและเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือผู้ซึ่งเจ้าพนักงาน ท้องถิ่น มอบหมาย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของ คณะกรรมการ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อผู้ต้องหาได้ชำระเงินค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเปรียบเทียบ แล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
104 หมวด 16 บทเฉพาะกาล มาตรา 86 ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการใดตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข ซึ่งถูกยกเลิกโดย พระราชบัญญัตินี้อยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและกิจการนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับกิจการที่จะต้อง ได้รับ ใบอนุญาตหรือต้องแจ้งและได้รับหนังสือรับรองการแจ้งตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ผู้นั้นประกอบกิจการนั้น ต่อไปได้ เสมือนเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตหรือเป็นผู้ที่ได้แจ้งและได้รับหนังสือรับรองการแจ้งตามพระราชบัญญัตินี้ แล้ว แต่เมื่อ ใบอนุญาตดังกล่าวสิ้นอายุและผู้นั้นยังคงประสงค์จะดำเนินกิจการต่อไป ผู้นั้นจะต้องมาดำเนินการ ขอรับใบอนุญาต หรือแจ้งตามพระราชบัญญัตินี้ก่อนการดำเนินการ มาตรา 87 ผู้ซึ่งประกอบกิจการใดที่ไม่ต้องแจ้งและได้รับหนังสือรับรองการแจ้งตามกฎหมายว่า ด้วยการ สาธารณสุขซึ่งถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัตินี้ แต่เป็นกิจการที่จะต้องแจ้งและได้รับหนังสือรับรองการแจ้ง ตาม พระราชบัญญัตินี้ และมิใช่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตอยู่แล้วตามมาตรา 86 ให้ยังคงประกอบกิจการได้ต่อไป แต่จะต้อง มาดำเนินการแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นภายในกำหนดเวลาเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มาตรา 88 ผู้ซึ่งประกอบกิจการใดที่มิได้เป็นกิจการที่ต้องได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการ สาธารณสุขซึ่งถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัตินี้ แต่เป็นกิจการที่จะต้องได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ ยังคง ประกอบกิจการได้ต่อไป แต่จะต้องมายื่นคำขอรับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ภายในกำหนดเวลาเก้าสิบ วันนับ แต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เมื่อได้ยื่นคำขอแล้วให้ยังคงประกอบกิจการได้ต่อไปจนกว่าจะมีคำสั่งไม่ ออก ใบอนุญาตให้ประกอบกิจการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 89 บรรดากิจการต่าง ๆ ที่กำหนดให้เป็นกิจการค้าซึ่งเป็นที่รังเกียจหรืออาจเป็นอันตราย แก่ สุขภาพตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติสาธารณสุข พุทธศักราช 2484 และการแต่งตั้งตามมาตรา 31 แห่ง พระราชบัญญัติสาธารณสุข พุทธศักราช 2484 ให้ถือว่าเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งนี้ ภายใต้บังคับ มาตรา 31 หรือมาตรา 32 มาตรา 90 บรรดากฎกระทรวง ประกาศ ข้อบัญญัติ เทศบัญญัติ ข้อบังคับ หรือคำสั่งของเจ้า พนักงาน ท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงานสาธารณสุขซึ่งได้ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขซึ่งถูก ยกเลิก โดยพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะได้มี กฎกระทรวง ประกาศ ข้อบัญญัติท้องถิ่น หรือคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงานสาธารณสุขที่ออกตาม พระราชบัญญัตินี้ [คำว่า “ข้อบัญญัติท้องถิ่น” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับ ที่ 3) พ.ศ. 2560]
105 วิชา การคุ้มครองผู้บริโภคและอนามัยสิ่งแวดล้อม โดย นายธวัชชัย จันทร์แจ่มศรี นักวิชาการอิสระ 1. การสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ย่อมากจาก สุข คือ สุขสบาย อภิบาล คือ การบำรุงรักษา ดังนั้นแล้วการสุขาภิบาล คือ การระวังรักษา เพื่อความสุขปราศจากโรค การสุขาภิบาลอนามัยสิ่งแวดล้อม จึงหมายถึง การควบคุมองค์ประกอบต่างๆที่เป็น สิ่งแวดล้อมทางกายภาพของมนุษย์ ซึ่งทำให้หรืออาจทำให้เกิดเป็นพิษเป็นภัยต่อสุขภาพต่อการเจริญเติบโตและ ต่อการดำรงชีวิตปลอดภัยของมนุษย์ 2. ปัจจัยกำหนดสุขภาพ ประกอบด้วย 1) ปัจจัยด้านปัจจเจกบุคคล เช่น วิถีชีวิต พฤติกรรมความเชื่อ พันธุกรรม จิตวิญญาณ 2) ระบบบริการสุขภาพ เช่น ความเท่าเทียม/ความครอบคลุม/ชนิดและระดับการบริการ คุณภาพและ ประสิทธิภาพ บริการสาธารณะ/บริการเอกชน 3) สิ่งแวดล้อม เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กายภาพ/ ชีวภาพ เศรษฐกิจ/การเมือง วัตนธรรม/ศาสนา ประชาการ การศึกษา ความมั่นคงปลอดภัย การขนส่ง 3.หลักการบริหารงานอนามัยสิ่งแวดล้อม 1) ทำคนเดียวไม่ได้ 2) ทำด้านเดียวไม่ได้ 3) ทำชั่วคราวไม่ได้ 4) ไม่เข้าใจ ทำไม่ได้ 4. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถานที่จำหน่ายอาหาร ประกอบด้วย 1) พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 2) กฎหมายแพ่ง 3) พ.ร.บ.อาหาร 4) พ.ร.บ. รักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบ้านเมือง 4) พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 5) กฎหมายอาญา 6) พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 5. พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ประกอบด้วย 1) กำหนดเขตห้ามจำหน่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2) กำหนดวันห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3) กำหนดการจำหน่าย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5.1 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถานที่จำหน่ายอาหาร 1) ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัน /เวลา ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ถ้าฝ่าฝืนมีโทษ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน / ปรับไม่เกิน 10,000 บ. / ทั้งจำทั้งปรับ 2) ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลดังต่อไปนี้(ม. 29) - บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ - บุคคลที่มีอาการมึนเมาจนครองสติไม่ได้ฝ่าฝืน จำคุกไม่เกิน 1ปี/ ปรับไม่เกิน 20,000 บ./ ทั้งจำทั้งปรับ 6. พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบ้านเมือง พ.ศ. 2535 ประกอบด้วย 1) การรักษาความสะอาดในที่สาธารณะและสถานสาธารณะ 2) การดูแลรักษาสนามหญ้า และต้นไม้ในถนนและสถานสาธารณะ 3) การห้ามทิ้งสิ่งปฏิกูลมูลฝอยในที่สาธารณะและสถานสาธารณะ
106 6.1 มาตรา 20 ห้ามผู้ใด 1) ปรุงอาหาร/ขาย/จำหน่าย สินค้าบนถนน / ในสถานสาธารณะ 2) ใช้ รถยนต์/ล้อเลื่อนเป็นที่ปรุงอาหารเพื่อขาย/จำหน่าย ให้แก่ ประชาชน บนถนน/ ในสถานสาธารณะ เว้นแต่กระทำ ในถนนส่วนบุคคล/บริเวณที่ จพถ. หรือ พนง.จนท. ประกาศผ่อนผันให้กระทำได้ในระหว่างวัน เวลาที่กำหนด ด้วย ความเห็นชอบของ จพง.จราจร 6.2 มาตรา 24 เจ้าของร้านจำหน่ายอาหารและหรือเครื่องดื่มซึ่งจัดสถานที่ไว้สำหรับบริการลูกค้าใน ขณะเดียวกันไม่ต่ำกว่า 20 คน ต้องจัดให้มีส้วมที่ต้องด้วยสุขลักษณะตามที่กำหนดใน กฎกระทรวง เพื่อให้ลูกค้าใช้ ระหว่างเปิดทำการค้า เว้นแต่เป็นการจัดให้มีขึ้นในงานเทศกาล/งานใดเป็นการเฉพาะชั่วคราว 7. พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 ห้ามมิให้ผู้ใด นำเข้า เพื่อจำหน่าย ผลิต จำหน่ายอาหารปลอม อาหารผิดมาตรฐาน อาหารไม่บริสุทธิ์ หรืออาหารที่ รมว.สธ ประกาศ 8. พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1) ออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ได้แก่ สิ่งปฏิกูล / มูลฝอย กิจการที่เป็น อันตรายต่อสุขภาพ ควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ ตลาด สถานที่จำหน่าย สถานที่สะสมอาหาร จำหน่ายสินค้าใน ที่/ทางสาธารณะ 2) จพง.ท้องถิ่นพิจารณา อนุญาต และตรวจตรา ดูแล กิจการต่าง ๆ 3) ควบคุม ดูแล เกิดเหตุ รำคาญ ผิดสุขลักษณะอาคาร ฝ่าฝืนข้อกำหนดฯ 4) ใช้มาตรการทางปกครองปรับปรุง/แก้ไข/หยุดกิจการ พักใช้/ เพิกถอน
107 8.1 การควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 8.2 ตลาด คือ สถานที่ซึ่งปกติจัดไว้ให้ผู้ค้าใช้เป็นที่ชุมนุมเพื่อจำหน่ายสินค้าประเภท สัตว์ เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ หรืออาหารที่มีสภาพเป็นของสด ประกอบ หรือปรุง แล้ว หรือ ของเสียง่าย ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีการจำหน่ายสินค้า ประเภทอื่น หรือไม่ก็ตาม และ หมายความรวมถึงบริเวณซึ่งจัดไว้สำหรับผู้ค้าใช้เป็นที่ชุมนุมเพื่อจำหน่ายสินค้า ประเภทดังกล่าวเป็นประจำ หรือเป็นครั้งคราวหรือตามวันที่กำหนด การพิจารณาว่าการประกอบกิจการในลักษณะใดจึงจะถือว่าเป็น “ตลาด” ตามกฎหมายสาธารณสุข นั้น ต้องยึดถือองค์ประกอบตามนิยามคำว่า “ตลาด” เป็นสำคัญโดยไม่ต้องพิจารณา จำนวนแผงของการจำหน่าย
108 อาหารสดว่าต้องมีเท่าใด หากลักษณะและองค์ประกอบของการประกอบกิจการเป็นตามนิยามย่อมถือว่าเป็น “ตลาด” ตามกฎหมายสาธารณสข จากมติคณะกรรมการสาธารณสุข ในการประชุมครั้งที่ 40- 4/2548 ขั้นตอนการขออนุญาตจัดตั้งตลาด 9. สถานที่จําหน่ายอาหาร – สถานที่สะสมอาหาร 9.1 สถานที่จําหน่ายอาหาร : อาคาร สถานที่ หรือบริเวณใดๆ ที่ไม่ใช่ที่หรือทางสาธารณะที่จัดไว้เพื่อ ประกอบอาหาร หรือปรุงอาหารจนสําเร็จและจําหน่ายให้ผู้ซื้อสามารถบริโภคได้ทันที ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการ จําหน่ายโดยจัดให้มีบริเวณไว้สําหรับการบริโภค ณ ที่นั้น หรือนําไปบริโภคที่อื่นก็ตาม 9.2 สถานที่สะสมอาหาร : อาคาร สถานที่ หรือบริเวณใดๆ ที่ไม่ใช่ที่หรือทางสาธารณะ ที่จัดไว้สําหรับ เก็บอาหารอันมีสภาพเป็นของสดหรือของแห้ง หรืออาหารในรูปลักษณะอื่นใด ซึ่งผู้ซื้อต้องนําไปทํา ประกอบ หรือ ปรุง เพื่อบริโภคภายหลัง
109 ขั้นตอนการขอใบอนุญาต-หนังสือการแจ้งสถานที่จําหน่ายอาหาร – สถานที่สะสมอาหาร 9.3 หลักเกณฑ์การปฏิบัติ ประกอบด้วย 1) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ การควบคุมคุณภาพและการจัดการ สุขลักษณะของการจำหน่ายอาหาร ประเภทปรุงสำเร็จ ในสถานที่จำหนายอาหาร พ.ศ. 2565 2) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ การควบคุมคุณภาพและการจัดการ สุขลักษณะของการจำหน่ายอาหารประเภท ปรุงสำเร็จ ในสถานที่จำหน่ายอาหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2565 3) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดอุณหภูมิในการเก็บรักษา อาหารสด พ.ศ. 2561 4) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดค่าความเข้มของแสงสว่างในสถานที่จำหน่ายอาหาร พ.ศ. 2561 9.4 หลักเกณฑ์การอบรม 1) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอบรมผู้ประกอบกิจการและผู้สัมผัส อาหาร พ.ศ. 2561 2) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดการอบรมผู้ประกอบกิจการและผู้ สัมผัสอาหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 3) ประกาศกรมอนามัย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดการอบรมผู้ประกอบกิจการและผู้สัมผัส อาหาร ผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัล พ.ศ. 2565 4) ประกาศกรมอนามัย เรื่อง กำหนดหัวข้อวิชาการใช้กัญชาหรือกัญชงในการทำ ประกอบหรือปรุง อาหารที่ปลอดภัยในการจัดอบรม ผู้ประกอบกิจการและผู้สัมผัสอาหาร พ.ศ. 2565 - การจำหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะมีขั้นตอน ดังนี้
110 ผู้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาต ได้แก่ กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ, การจำหน่ายสินค้าในที่หรือทาง สาธารณะ, ตลาด, สถานที่จำหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหาร (พื้นที่เกิน 200 ตารางเมตร) - การปฏิบัติของผู้ประกอบกิจการที่ต้องขอหนังสือรับรองการแจ้ง ได้แก่ สถานที่จำหน่ายอาหารหรือ สถานที่สะสมอาหาร (พื้นที่ไม่เกิน 200 ตารางเมตร)
111 หลักในการพิจารณา เพื่อจัดการเหตุรำคาญ มีดังนี้ ท้องถิ่นมีอำนาจในการออกคำสั่งให้ผู้ประกอบกิจการทำการปรับปรุง หากเพิกเฉยให้หยุดชั่วคราว เพื่อแก้ไขปรับปรุง พักใช้ (ใบอนุญาต) เพิกถอน (ใบอนุญาต) และการเปรีบเทียบดคี - การอบรมหลักสูตรผู้ประกอบกิจการและผู้สัมผัสอาหาร (ประกาศกรมอนามัย เรื่อง การกำหนดหัวข้อ วิชา การใช้กัญชา หรือกัญชงในการทำประกอบหรือปรุงอาหารที่ปลอดภัย ในการจัดอบรมผู้ประกอบกิจการ และผู้สัมผัสอาหาร พ.ศ. 2565) มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติ ดังนี้ 1. แสดงข้อความหรือป้ายสัญลักษณ์ว่าเป็นสถานที่จำหน่ายอาหารที่มีการใช้กัญชา หรือกัญชง เป็น ส่วนประกอบในอาหาร ประเภทปรุงสำเร็จ 2. แสดงรายการอาหารที่มีการใช้กัญชา หรือกัญชง เป็นส่วนประกอบในอาหาร ประเภทปรุงสำเร็จ ทั้งหมด 3. แสดงข้อแนะนำความปลอดภัยในการบริโภคอาหารที่มีกัญชา หรือกัญชงเป็นส่วนประกอบ โดยแสดง ข้อความ ดังต่อไปนี้ - บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร ควรงดเว้นรับประทาน - ถ้ามีอาการผิดปกติ ควรหยุดรับประทานทันที และถ้ามีอาการรุนแรงให้ปรึกษาหรือพบแพทย์ โดยเร็ว - ผู้ที่แพ้กัญชา หรือกัญชง ควรงดเว้นรับประทาน - รับประทานและเกิดการง่วง ซึม ให้หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล - ข้อความอื่นที่กฎหมาย หรือทางราชการกำหนด
112 - มาตรการทางบังคับทางปกครอง แบ่งเป็น 1. ความผิดไม่สำเร็จ = ออกคำสั่งแก้ไข หยุดชั่วคราว พักใช้ใบอนุญาต เพิกถอนใบอนุญาต หากฝ่าฝืน เปรียบเทียบคดี/ดำเนินคดี 2. ความผิดสำเร็จ = ฝ่าฝืน พ.ร.บ. กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่นเปรียบเทียบคดี/ ดำเนินคดี - การฝ่าฝืนกฎกระทรวง/ประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ออกตามกฎกระทรวง ปรับไม่เกิน 50,000 บาท - การฝ่าฝืนข้อบัญญัติท้องถิ่น เรื่อง สถานที่จําหน่ายอาหาร (๑) กำหนดประเภทของสถานที่จำหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารตามประเภทของอาหารหรือ ตาม ลักษณะของสถานที่ประกอบกิจการหรือตามวิธีการจำหน่าย (๒) กำหนดเวลาจำหน่ายอาหาร (๓) กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสุขลักษณะส่วนบุคคลของผู้จำหน่ายอาหาร ผู้ปรุงอาหารและผู้ให้บริการ (๔) กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสุขลักษณะของอาหาร กรรมวิธีการจำหน่าย ทำ ประกอบ ปรุง เก็บ รักษา หรือสะสมอาหาร ปรับไม่เกิน 25,000 บาท - หากไม่ปฏิบัติตาม 1. กรณีหนังสือรับรองการแจ้ง = ประกอบการโดยไม่แจ้ง และได้รับโทษมา 1 ครั้งแล้วยังฝ่าฝืน ประกอบการ เจ้าพนักงานท้องถิ่นออกคำสั่งให้ผู้นั้นหยุดประกอบการจนกว่าจะแจ้ง หากยังฝ่าฝืนอีก เจ้าพนักงาน ท้องถิ่นออกคำสั่งห้ามประกอบการไม่เกิน 2 ปี 2. กรณีใบอนุญาต = ประกอบการโดยไม่ขออนุญาต เจ้าพนักงานท้องถิ่นออกคำสั่งให้ผู้นั้นหยุด ประกอบการและมีโทษตามกฎหมายทันที - SOP ของ EHA - เป็นการยึดหลักกฎหมาย ระเบียบ และข้อบัญญัติต่างๆ - การใช้หลักวิชาการเป็นแนวทาง - การใช้หลักการบริหารจัดการ - EHA ประกอบด้วย EHA 1000 คือ ระบบสุขาภิบาลอาหาร EHA 2000 คือ ระบบคุณภาพน้ำบริโภค
113 EHA 3000 คือ ระบบสิ่งปฏิกูล EHA 4000 คือ ระบบมูลฝอย EHA 5000 คือ ระบบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ EHA 6000 คือ ระบบเหตุรำคาญ EHA 7000 คือ ระบบภัยพิบัติและสาธารณภัย EHA 8000 คือ ระบบการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ EHA 9000 คือ ระบบกฎหมายสาธารณสุข - ปัจจัยในการเลือกขอรับรองระบบ EHA - ผู้บริหาร - องค์กร - ผู้ปฏิบัติงาน - ประชาชน - อื่น ๆ - หลักสำคัญของการดำเนินงาน EHA - ค้นหาปัญหาและสะท้อนภาพที่แท้จริงของค์กรได้ - พบประเด็นพัฒนา - กระตุ้นและสร้างแรงจูงใจในการทำงาน - การพัฒนาคุณภาพระบบบริการอนามัยสิ่งแวดล้อม - EHA 4001 การจัดการมูลฝอยทั่วไป - EHA 4002 การจัดการมูลฝอยติดเชื้อ - EHA 4003 การจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน มาตรฐานการปฏิบัติงานระบบบริการอนามัยสิ่งแวดล้อมสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การจัดการมูลฝอยตาม พรบ. การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มูลฝอยทั่วไป หมายถึง เศษกระดาษ เศษผ้า เศษสินค้า เศษวัสดุ ถุงพลาสติก ภาชนะที่ใส่อาหาร เถ้า มูล สัตว์ ซากสัตว์ หรือสิ่งอื่นใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ที่เลี้ยงสัตว์ หรือที่อื่น ประเภทมูลฝอยทั่วไป ได้แก่ มูลฝอยนำกลับมาใช้ใหม่ มูลฝอยอินทรีย์ และมูลฝอยอื่นๆ การจัดการขยะอย่างครบวงจร ๑. การจัดการขยะต้นทาง เช่น คัดแยกมูลฝอยตั้งแต่ต้นทาง เพื่อลดการเกิดขยะ ๒. การจัดการขยะกลางทาง มีระบบการขนส่งมูลฝอยไปยังแหล่งกำจัดอย่างถูกต้อง ๓. การจัดการขยะที่ปลายทาง มีระบบการกำจัดมูลฝอยที่ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล
114 กฎกระทรวงสุขลักษณะการจัดการมูลฝอยทั่วไป พ.ศ. 2560 มาตรฐานการปฏิบัติงานสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น EHA 4003 การจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน มูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน หมายความว่ามูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายที่เกิดจากกิจกรรม ต่างๆ ในชุมชน ที่เป็นวัตถุหรือปนเปื้อนสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารพิษ สารไวไฟ สารออกซไดซ์ สารระคายเคือง สาร กัดกร่อน สารที่เกิดระเบิดได้ หรือสิ่งอื่นใดที่อาจก่อหรือมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม
115 บทบาทอำนาจหน้าที่การจัดการมูลฝอยที่มีความเป็นพิษหรืออันตรายชุมชน ขั้นตอนการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายชุมชน หลักเกณฑ์และสุขลักษณะของผู้ปฏิบัติงาน ๑. ผ่านการอบรมหลักสูตรฝึกปฏิบัติงานในการเก็บขนหรือกำจัดมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน ๒. สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) ๓. ได้รับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เช่น เอ็กซเรย์ปอด ตรวจผิวหนัง ตรวจการทำงานของ ตับและไต
116 การจัดการมูลฝอยติดเชื้อ : EHA 4002 กฎหมายเกี่ยวกับการจัดการมูลฝอยติดเชื้อ บทบาทหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. 2545 มูลฝอยติดเชื้อ มูลฝอยที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่ในปริมาณหรือมีความเข้มข้น ซึ่งถ้ามีการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับมูลฝอยนั้นแล้ว สามารถทำให้เกิดโรคได้ เช่น - ซากหรือชิ้นส่วนของมนุษย์หรือสัตว์ที่มาจากการผ่าตัด การชันสูตรศพ การใช้สัตว์ทดลอง - วัสดุมีคม เช่น ใบมีด เข็ม หลอดแก้ว สไลด์ - วัสดุซึ่งสัมผัสหรือสงสัยว่าจะสัมผัสกับเลือด - มูลฝอยทุกชนิดที่มาจากห้องรักษาผู้ป่วยติดเชื้อร้ายแรง การเก็บมูลฝอยติดเชื้อ ต้องคัดแยกมูลฝอยติดเชื้อ แบ่งออกเป็น มีคม และไม่มีคม
117 การเก็บรวบรวมมูลฝอยติดเชื้อ การขนมูลฝอยติดเชื้อ จำเป็นต้องจัดให้มีพาหนะอุปกรณ์และสถานที่ มีที่พักรวมมูลฝอยติดเชื้อ และ วิธีการที่ถูกต้องในการขนมูลฝอยติดเชื้อ การกำจัดมูลฝอยติดเชื้อต้องมีสุขลักษณะในการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ เช่น จัดให้มีสถานที่และอุปกรณ์ เครื่องมือในการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ ที่พักรวมมูลฝอยติดเชื้อที่แยกจากอาคารอื่น การกำจัดมูลฝอยติดเชื้อด้วยวิธีที่ ถูกต้อง กฎกระทรวงสุขลักษณะการจัดการสิ่งปฏิกูล พ.ศ. 2561 ลักษณะรถสูบสิ่งปฏิกูล - ส่วนของรถที่ใช้บรรจุสิ่งปฏิกูลต้องปกปิดมิดชิดไม่รั่วซึม ป้องกันกลิ่นและสัตว์แมลงนำโรค - ท่อหรือสายที่ใช้สูบสิ่งปฏิกูล ต้องอยู่ในสภาพดี ไม่รั่วซึม - มีปั๊มสูบสิ่งปฏิกูลชนิด Heavy Duty - มีอุปกรณ์ทำความสะอาดประจำรถ เช่น ถังใส่น้ำ น้ำยาฆ่าเชื้อโรค - ชุดปฏิบัติงานประกอบด้วย เสื้อคลุม ถุงมือยาง รองเท้าหุ้มแข้ง และชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น
118 วิชา แนวทางการขับเคลื่อนอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นเพื่อดูและผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดย นางขวัญใจ แจ่มทิม ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองบึงยี่โถ อาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น ผู้ให้บริการดูแลผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เต็มที่หรือผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยมีการบริการ ครอบคลุมด้านอนามัยพื้นฐานการฟื้นฟูสมรรถภาพและกายภาพบำบัด ตามประเภทและกิจกรรมบริการที่กระทรวง สาธารณสุขกำหนด ทั้งนี้ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในระยะยาว หน้าที่ของอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น ๑) ช่วยดูแลสุขภาพ สำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ๒) ช่วยเหลือดูแลการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน สำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ๓) บริการให้การดูแลตามแผนการดูแลรายบุคคล (care plan) ๔) ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงด้านสุขภาพพื้นฐานการฟื้นฟูสมรรถภาพและกายภาพบำบัดอื่นๆ ๕) ให้บริการด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานภายใต้การกำกับดูแลของบุคลากรวิชาชีพ ด้านสุขภาพในพื้นที่ ๖) ประเมินปัญหาในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงเบื้องต้น และประสานงานในการส่งต่อได้อย่างถูกต้อง ค่าตอบแทนอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นมีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทน ดังนี้ ๑. ปฏิบัติหน้าที่ตามแผนการดูแลรายบุคคลไม่น้อยกว่าวันละ 8 ชั่วโมงไม่น้อยกว่าเดือนละ 20 วันโดย อาสาสมัครที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นกลางจำนวน 70 ชั่วโมงจะได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 5,000 บาท ๒. อาสาสมัครที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นกลางจำนวน 70 ชั่วโมงและผ่านการอบรม หลักสูตรฝึกอบรมเพิ่มเติมรับบริบาลท้องถิ่นจำนวน 50 ชั่วโมงของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติจากหน่วยงาน ภาครัฐภาคเอกชน หรืออปท.จัดให้มีการอบรม โดยอนุมัติใช้หลักสูตรจากกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุขจะได้รับ เงินค่าตอบแทน เดือนละ 6,000 บาท เป็นต้น พร้อมทั้งให้มีการประเมินผลการดำเนินงานรับฟังปัญหาและ อุปสรรคตลอดจนแลกเปลี่ยนผลการปฏิบัติงานเป็นต้น ความคาดหวังที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่ออาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น อาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นจะเป็นผู้ช่วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุในพื้นที่และ ชุมชนที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงให้ได้รับการบริการด้านสาธารณสุขในทุกด้าน ตอบรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aging Society) ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน
119 วิชา การส่งเสริมและแก้ไขปัญหาสุขอนามัยตามกลุ่มวัย โดย นางขวัญใจ แจ่มทิม ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองบึงยี่โถ การสร้างเสริมสุขภาพ หมายถึง ผลรวมของการสนับสนุนทางด้านการศึกษาร่วมกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดผล ต่อการปฏิบัติในสภาวะการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งจะนำไปสู่สุขภาพที่สมบูรณ์การกระทบ หรือการปฏิบัติระดับ บุคคลชุมชน หรือกลุ่มบุคคลย่อมส่งผลต่อสภาวะสุขภาพของบุคคลและชุมชนโดยรวม การส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) หมายถึง กระบวนการเพิ่มความสามารถของคนเราในการ ควบคุมดูแลและพัฒนาสุขภาพของตนเองให้ดีขึ้น ในการที่จะบรรลุสุขภาพที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย สังคม และจิตใจ ปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มบุคคลจะต้องมีความสามารถที่จะบ่งบอกและตระหนักถึงความปรารถนาของตนเอง ที่จะสนองความต้องการต่าง ๆ ของตนเอง และสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปรับตนให้เขารับสิ่งแวดล้อม แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ กฎบัตรออตตาวา เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ (Ottawa Charter for Health Promotion) มีกลยุทธ์ การ สร้างเสริมสุขภาพ ตามกฎบัตรออตตาวา มี 3 ประการดังนี้ 1. Advocate เป็นการให้ข้อมูลข่าวสารแก่สาธารณชน เพื่อสร้างกระแสทางสังคมและสร้างแรงกดดัน ให้แก่ผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ มีการกำหนดนโยบายในเรื่องการส่งเสริมสุขภาพ 2. Enable เป็นการดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี กำหนดให้มีสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพประชาชนได้รับข้อมูลอย่างทั่วถึงมีทักษะในการดำเนินชีวิตและ มีโอกาสที่จะเลือกทางเดินที่มีคุณภาพ เพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น 3. Medicate เป็นสื่อกลางในการประสานงานระหว่างกลุ่มหรือหน่วยงานต่าง ๆ ในสังคมทั้งภาครัฐและ ภาคเอกชนทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์และสาธารณสุข รวมไปถึงหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ สังคมและ สื่อมวลชน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการมีสุขภาพที่ดีของประชาชน รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพ 1) ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ ( health responsibility) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลมีความสนใจเอาใจใส่ ต่อภาวะสุขภาพของตนเอง โดยการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสุขภาพและปฏิบัติตน เพื่อให้มีสุขภาพดี มีการสังเกต อาการและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของร่างกายและไปรับการตรวจสุขภาพ เมื่อมีอาการผิดปกติตลอดจนขอ คำปรึกษาหรือคำแนะนำจากบุคลากรด้านสุขภาพ 2) โภชนาการ ( nutrition ) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกต้องเหมาะสมกับ ความต้องการของร่างกาย 3) การทำกิจกรรมทางกาย ( physical activity) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลปฏิบัติโดยให้มีการเคลื่อนไหว ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำให้ร่างกายมีการใช้พลังงาน ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ซึ่งเป็นการออกกำลังกาย เช่น การเดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์การทำงานบ้าน เป็นต้น
120 4) การจัดการความเครียด (stress management) เป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงวิธีการจัดการกับ ความเครียดของบุคคลในภาวะแวดล้อมต่าง ๆ เช่น การแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม การพักผ่อนนอนหลับ การผ่อนคลาย การกระทำกิจกรรมที่คลายเครียด หรือการกระทำกิจกรรมที่ขจัดความเมื่อยล้าของร่างกาย 5) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (interpersonal relations) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงถึงการมี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น มีการให้และการรับยอมรับและให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีการปรึกษาหารือและร่วมกันแก้ไข ปัญหา 6) การพัฒนาทางจิตวิญญาณ (spiritual growth) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงถึงการมีความเชื่อที่มี ผลต่อการดำเนินชีวิตที่ดีมีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีความรักและความจริงใจต่อบุคคลอื่น มีความสงบและพึงพอใจ ในชีวิตสามารถช่วยเหลือตนเองและบุคคลอื่นให้ประสบความสำเร็จเป็นความสามารถในการพัฒนาศักยภาพ ทางด้านจิตวิญญาณ การส่งเสริมสุขภาพในวัยรุ่น แบ่งกลุ่มวัยรุ่นออกเป็น ๓ ระยะ คือ ๑) วัยรุ่นตอนต้น อายุระหว่าง ๑๐ - ๑๕ ปี ๒) วัยรุ่นตอนกลาง อายุระหว่าง ๑๖ - ๑๙ ปี ๓) วัยรุ่นตอนปลาย อายุระหว่าง ๒๐ - ๒๔ ปี ปัญหาสุขภาพในวัยรุ่น ๑) ปัญหาการติดเกม ๒) ปัญหาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ ๓) ปัญหาเกี่ยวกับสารเสพติด ๔) ปัญหาพฤติกรรมทางเพศและการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ๕) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การส่งเสริมสุขภาพในวัยรุ่น ๑) การป้องกันระดับปฐมภูมิเป็นการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันก่อนเกิดปัญหาได้แก่การเลี้ยงดู เพื่อให้เด็กมีความภาคภูมิใจในตนเอง การสอนทักษะชีวิตการให้ความรู้และผู้ฟังทัศนคติที่ถูกต้องเหมาะสม ๒) การป้องกันระดับทุติยภูมิเป็นการวินิจฉัยและค้นหาที่มีพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยง เช่นการจัดตั้ง เครือข่าย หรือชมรมให้คำปรึกษาวัยรุ่นในโรงเรียนโรงพยาบาล เพื่อทำการคัดกรองเด็กที่มีแนวโน้มมีพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำตามปัญหาเฉพาะในรูปแบบต่าง ๆแก่วัยรุ่นและครอบครัว เพื่อลดโอกาสเกิดปัญหา ๓) การป้องกันระดับตติยภูมิเป็นการฟื้นฟูสภาพร่างกายจิตใจอารมณ์และสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติให้ ได้โดยเร็วไม่ให้ผู้ประสบปัญหารู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งให้เผชิญปัญหาเพลงลำพัง โดยเฉพาะปัญหาการตั้งครรภ์ก่อน วัยอันควร ซึ่งจะมีผลกระทบต่อวัยรุ่นเป็นอย่างมากจำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์และสังค ม เพื่อให้ สามารถดูแลตนเองและบุตรต่อไปได้
121 การส่งเสริมสุขภาพในวัยผู้ใหญ่ ๑) วัยผู้ใหญ่ตอนต้นหรือวัยหนุ่มสาว อายุ 25 ถึง 40 ปีวัยนี้มีพัฒนาการเต็มที่ของร่างกายวุฒิภาวะ ทางจิตใจอารมณ์พร้อมที่จะมีบทบาทที่จะเลือกแนวทางในการดำเนินชีวิตของตนในเรื่องอาชีพคู่ครองและ ความสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ อย่างมีความหมาย ๒) วัยผู้ใหญ่ตอนกลางหรือวัยกลางคน อายุ 40 ปีถึง 60 ปีเป็นวัยที่ผ่านชีวิตครอบครัวและชีวิตการ งานมาระยะหนึ่งมีความมั่นคงและความสำเร็จในชีวิต ๓) วัยผู้ใหญ่ตอนปลายหรือวัยสูงอายุอายุ 60 ถึง 65 ปีขึ้นไป เป็นวัยของความเสื่อมถอยของร่างกาย สภาพจิตใจและบทบาททางสังคมการปรับตัวต่อความเสื่อมถอยและการเผชิญชีวิตในบั้นปลายเป็นสิ่งสำคัญ ในการ ดำรงชีวิตของวัยนี้ ปัญหาที่พบในวัยผู้ใหญ่ 1. ด้านร่างกาย ๑.๑ ปัญหาการมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม การรับประทานอาหารไม่เหมาะสม การขาดการออกกำลังกาย การพักผ่อนไม่เพียงพอ ๑.๒ ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการประกอบอาชีพ - เกิดจากสิ่งคุกคามสุขภาพทางกายภาพ เช่น ความร้อน ความเย็น แสง เสียงการสั่นสะเทือน - เกิดจากสิ่งคุกคามสุขภาพทางชีวภาพ เช่น โรคแอนแทรกซ์ โรคปอดชานอ้อย - เกิดจากสิ่งคุกคามสุขภาพทางเคมีเช่น พิษจากตะกั่ว ปรอท แคดเมี่ยม ฝุ่นแร่ใยหิน ฝุ่นซิลิกา เบนซีน 2. ด้านจิตใจ - วิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เสื่อมลง - วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ - มีภาวะเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัว - วิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตสมรส - ปัญหาเกี่ยวกับปัญหาของบุตร 3. ด้านสังคม - ปัญหาการปรับตัวในการประกอบอาชีพ - ปัญหาเรื่องการเลือกคู่ครอง - ปัญหาชีวิตสมรส - ปัญหาการปรับตัวให้เข้ากับบทบาทใหม่ - ปัญหาสัมพันธภาพกับเพื่อนใหม่ 4. ด้านจิตวิญญาณ มีความกดดันเนื่องจากไม่สามารถแสดงศักยภาพด้านสติปัญญาได้อย่างเต็มที่เนื่องจากขาดโอกาส ในสังคมและที่ทำงาน ขาดการยอมรับ ขาดที่พึ่งทางจิตวิญญาณ เนื่องจากไม่สามารถจัดสรรเวลาไปปฏิบัติศาสนกิจได้
122 แนวทางการสร้างเสริมสุขภาพวัยผู้ใหญ่ ด้านร่างกาย สร้างเสริมความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ควรให้ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้น สาเหตุอาการและอาการแสดง เช่น ปัญหา ความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ปัญหาหมดประจำเดือนหรือชายวัยทอง ควรแนะนำการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง นั้นและวิธีการชะลอความเสื่อมถอยของร่างกาย โดยการเลือกอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อนและการผ่อนคลาย ความตึงเครียด ด้านความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย การออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 - 60 นาทีควรเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย และสุขภาพ การรับประทานอาหาร เช่น การรับประทานอาหารคอเลสเตอรอลให้น้อยลง เช่น ไข่นกกระทา ไข่แดง อาหารทะเล พวกกุ้ง หอย ปลาหมึก อาหารมัน เช่น หมูเนื้อของทอด ควรเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่ย่อยง่ายแทน เช่น รับประทานปลาให้ย่อยง่ายขึ้น และการปรับเปลี่ยนกระบวนการปรุงอาหารจากการทอด เป็นการปิ้ง ย่าง ต้ม นึ่ง ตุ๋น แทน รับประทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้นทั้งผักใบเขียวและผลไม้เพิ่มอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาเล็กปลาน้อย น้ำต้มกระดูก นม เพื่อป้องกันกระดูกเปราะบางหักง่าย โดยเฉพาะในหญิงวัยหมดประจำเดือน ด้านการสนับสนุนให้มีการตรวจสุขภาพประจำปี อายุ 35 - 59 ปีได้แก่ วัดความดันโลหิต วัดส่วนสูงน้ำหนัก เพื่อค้นหาภาวะโภชนาการ ตรวจไขมันในเลือด ในชายอายุ 35 ปีหญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป ตรวจน้ำตาลในเลือดในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ในหญิงต้องตรวจมะเร็ง ปากมดลูกโดยทำ Pap smear และตรวจมะเร็งเต้านม แนวทางการสร้างเสริมสุขภาพวัยผู้ใหญ่ ด้านจิตอารมณ์ - พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับตนและในส่วนที่สัมพันธ์กับผู้อื่น -สร้างเสริมเทคนิคการจัดการความเครียด -สร้างเสริมสุขภาพจิตหญิงวัยหมดประจำเดือนและชายวัยทอง -ส่งเสริมการแก้ปัญหาอย่างถูกวิธีและให้กำลังใจในการเผชิญปัญหา แนวทางการสร้างเสริมสุขภาพวัยผู้ใหญ่ ด้านสังคม ส่งเสริมการปรับตัวเข้ากับแบบแผนชีวิตแบบใหม่และบทบาทในสังคม เช่นการเตรียมตัวมีชีวิตคู่การปรับตัว เข้ากับคู่ครอง ส่งเสริมความผูกพันของพ่อแม่กับลูกวัยทารก และส่งเสริมการบริหารเวลาที่เหมาะสม การส่งเสริมสุขภาพในวัยผู้สูงอายุ วัยสูงอายุมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป อวัยวะทุกระบบในร่างกายมีการเสื่อมถอยตามวัยปัญหาทางกาย ที่พบบ่อยในผู้สูงอายุประกอบด้วย การเคลื่อนที่ไม่คล่องตัว และการกลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้ข้อกระดูกเสื่อม ท้องผูก ตาเป็นต้อกระจก หูตึง และนอนไม่หลับ การดูแลสุขภาพในช่วงวัยก่อนถึงวัยสูงอายุ และวัยสูงอายุจะช่วยลด ปัญหาดังกล่าวได้และส่งผลให้เกิดผลดีต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุสิ่งที่บุตรหลานสามารถ ช่วยดูแลด้านสุขภาพกายทำได้โดยการพาญาติผู้ใหญ่ไปตรวจสุขภาพประจำปีการดูแลอาหารการกิน การจัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัยต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
123 วิชา การส่งเสริมสุขภาพชุมชนและการมีส่วนร่วม โดย นางขวัญใจ แจ่มทิม ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองบึงยี่โถ การส่งเสริมสุขภาพ เป็นทั้งกระบวนการ กิจกรรม และแนวทาง สำหรับการดำเนินงานเกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อส่งเสริมและเกื้อหนุนให้บุคคลได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชนในทุกด้านแบบองค์รวม อย่างเป็นระบบ เนื่องจากสุขภาพนั้นมาจากส่วนประกอบหลาย ๆ ประการ อาทิสังคม สิ่งแวดล้อม ระบบบริการ สุขภาพ และวิถีการดำเนินชีวิตของบุคคล ดังนั้นเพื่อสนับสนุน ยับยั้ง หรือกำหนดพฤติกรรมสุขภาพ ไปสู่การปฏิบัติ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ในการดูแลสุขภาพของตนเอง และการปรับปรุงสังคมในด้านต่าง ๆ เช่น สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา และอื่น ๆ โดยให้สอดคล้องกับความต้องการและความเป็นไปได้ในแต่ ละท้องถิ่น โดยคำนึงถึงระบบสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ที่แตกต่างกันของชุมชน และเน้นการทำงานร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนอย่างเต็มที่ การประชุมแพทยศาสตร์ (2542) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมสุขภาพ จึงเสนอแนะระบบบริการสุขภาพ ที่จะสนับสนุนการมีส่วนร่วม ของประชาชนไว้3 ประการ คือ 1. การสร้างความเข้มแข็งให้กับบุคคลและชุมชน ในการควบคุมปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพ เพราะ ความเข้มแข็งของประชาชนและชุมชนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดบริการสุขภาพ มากขึ้น 2. การจัดบริการในชุมชน (community-based health services) เป็นบริการในระดับปฐมภูมิ (primary care) เพื่อให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมได้มากที่สุด 3. การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการพัฒนานโยบายเพื่อสุขภาพ (public health policy) ที่จะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพต่อไป ขั้นตอนการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพของชุมชน 1. ขั้นตอนการสร้างทีมงาน การสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเจ้าหน้าที่สุขภาพกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในสาขาต่าง ๆ เช่น ครูพัฒนาชุมชน เกษตรชุมชน และองค์กรต่าง ๆ ในชุมชน โดยการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของ ชุมชน เช่น งานทำบุญทอดกฐิน ปลูกต้นไม้ในชุมชน งานวันเด็กของโรงเรียน งานบวช และงานศพ เป็นต้น เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจที่มีต่อชาวบ้านในชุมชน ถ้าหากเป็นคนในท้องถิ่นและสามารถพูดภาษาท้องถิ่นได้ ก็จะยิ่งเป็นการดีที่จะทำให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับชาวบ้านมากขึ้น จนกลายเป็นความไว้วางใจที่ จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของหน่วยงาน การสร้างแกนนำของชาวบ้านหรือ"ทีมส่งเสริมสุขภาพชุมชน" ด้วยการจัดประชุมอาสาสมัครสาธารณสุข กรรมการชุมชน กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มเยาวชน หรือกลุ่มอื่น ๆ ที่มีอยู่ในชุมชน รวมทั้งชาวบ้าน เพื่อเปิดกว้าง ให้กับคนในชุมชนทุกคน ได้เข้ามามีส่วนร่วม
124 2. ขั้นตอนการสร้างความตระหนัก การสร้างความตระหนักถึงปัญหาสุขภาพของชุมชน สามารถทำได้หลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น วิธีการใช้ ปัญหาเป็นหลัก (problem based) คือ ในการศึกษาวิเคราะห์ปัญหาของชุมชน โดยเริ่มจากการที่ประชาชน ได้มีส่วนร่วมในการสำรวจชุมชน เพื่อให้ชุมชนได้รู้ถึงสภาพของปัญหาในชุมชนด้วยตนเอง 3. ขั้นตอนการวางแผน ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของชุมชน ให้ประชาชนในชุมชนได้ร่วมกันเสนอความคิดและกำหนดกิจกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพของชุมชนร่วมกับเจ้าหน้าที่สุขภาพบนพื้นฐานของชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งการกำหนดกิจกรรมและวางแผนนั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จสิ้นในครั้งเดียว แต่อาจกำหนดให้เป็นอย่างค่อยเป็น ค่อยไป 4. ขั้นตอนการดำเนินการของชุมชน มีการจัดตั้งกลุ่มทำงานของแต่ละกิจกรรมและดำเนินงานตามแผน โดยมีเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพเป็น ผู้ให้การสนับสนุนและช่วยประสานงาน ให้คณะทำงานสามารถดำเนินการได้มีการประชุมและประเมินผล การทำงานเป็นระยะ เพื่อปรับปรุงแผนงานอย่างต่อเนื่อง 5. ขั้นตอนการประเมินผลและการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง หลังจากการดำเนินงานไปแล้ว 1 ปีควรมีการประเมินภาวะสุขภาพของชุมชน ในประเด็นต่าง ๆ เช่น อัตราการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพเป็นอย่างไร และ สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพของชุมชนเกิดขึ้นหรือไม่ และจัดทำรายงานการประเมินผล พร้อมทั้งชี้แจงและเผยแพร่ ให้ประชาชนในชุมชนได้รับทราบถึงผลการดำเนินงาน ปัญหา และอุปสรรค เพื่อให้ประชาชนสามารถนำไปพัฒนา แก้ไขและดำเนินงานต่อไป บทบาทของเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพต่อการส่งเสริมสุขภาพ การแสดงออกของเจ้าหน้าที่สุขภาพ มีส่วนทำให้ประชาชนนั้นเกิดความรู้และจิตสำนึกในการดูแลสุขภาพ และรู้จักแสวงหาความรู้เพื่อการตัดสินใจและการปฏิบัติในการส่งเสริมสุขภาพของตนเองและชุมชน 1. สร้างความมั่นใจให้กับชุมชน การทำให้ประชาชนในชุมชนเกิดความมั่นใจนั้น นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับ การร่วมงานกับชุมชน เพราะทำให้ประชาชนในชุมชนเกิดความไว้วางใจ ที่จะทำงานร่วมกันต่อไป วิธีการ ที่ช่วยให้ประชาชนในชุมชนเกิดความเข้าใจและไว้วางใจ คือ การแสดงออกถึงความจริงใจ ที่ต้องการดูแลสุขภาพ ของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ 2. เสริมสร้างพลังอำนาจแก่ชุมชน เป็นการเพิ่มสมรรถนะ (enabling) ให้กับประชาชนนั้น สามารถควบคุมสภาวะสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ด้วยตนเอง รู้จักคิด รู้จักแก้ปัญหา โดยมีเจ้าหน้าที่สุขภาพทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้
125 ด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้แก่ การให้ข้อมูลข่าวสารที่เอื้อต่อสุขภาพของคนในชุมชน เช่น การนัดหมายประชุมชี้แจง การ จัดอบรม และการประกาศทางหอกระจายข่าว เป็นต้น การพัฒนาการทำงานเป็นทีม ด้วยการกระตุ้นให้ชาวบ้านร่วมกันคิดและร่วมกันลงมือทำกิจกรรม ด้วย ตนเอง (Community Action) โดยยึดหลักการพึ่งตนเอง (Self-Reliance) และการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น(Local Wisdom) 3. ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพชุมชน เป็นการช่วยให้ชุมชนเรียนรู้การอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างเกื้อกูล และสมดุล ทั้งด้านกายภาพ ชีวภาพ และสังคม ซึ่งถือว่า เป็นหน้าที่ของทุกคน 4. ปรับเปลี่ยนระบบบริการสุขภาพ โดยส่งเสริมการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ด้วยการผสมผสานความรู้ทางด้านการแพทย์มาให้เข้ากับภูมิ ปัญญาท้องถิ่นและการกระตุ้นให้คนในชุมชนมาร่วมคิด และทำกิจกรรมกับเจ้าหน้าที่สุขภาพ 5. ประสานความร่วมมือ โดยการประสานงานกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งในและนอกชุมชน เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล ชมรมสุขภาพต่าง ๆ คลินิกแพทย์แผนไทย และชุมชนเครือข่ายต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาชุมชน สำหรับเป็นที่ศึกษาดูงาน และเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรในชุมชน บทบาทของประชาชนในชุมชน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน เป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบของคนในชุมชนต่อ การดูแลสุขภาพของชุมชน ซึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วม คือ สัมพันธภาพที่ดีความไว้วางใจ และการ ยอมรับซึ่งกันและกัน รวมทั้งการแสดงออกถึงความจริงใจของเจ้าหน้าที่สุขภาพนั้น ก็อาจส่งผลให้คน ในชุมชนอยากเข้าร่วมในโครงการด้วยความสมัครใจ รวมถึงบรรยากาศในการทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น ดังนั้น การมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพชุมชนนั้น เจ้าหน้าที่สุขภาพมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมความร่วมมือ ซึ่งจะเห็นว่ากิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ได้มุ่งเน้นแต่การแก้ปัญหา สุขภาพเท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม โดยใช้ชุมชนเป็นฐานในการพัฒนาและประชาชนเป็นส่วน สำคัญในการร่วมดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย เพราะฉะนั้นประชาชนและเจ้าหน้าที่สุขภาพ จึงต้องมี การส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ในชุมชนอย่างต่อเนื่อง (Community Learning) เพราะเมื่อเกิดการเรียนรู้และการ แลกเปลี่ยนจนเป็นวงจรต่อเนื่องไม่รู้จบ จะส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมร่วมกันในสังคมและผลที่ได้นั้น จะทำให้ประชาชนในชุมชนสามารถนำความรู้ไปสู่การตัดสินใจ เลือกแนวทางการแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับ วัฒนธรรม และวิถีการดำเนินชีวิตต่อไป และที่สำคัญควรมีการพัฒนาแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า บุคคลมีศักยภาพและสามารถเรียนรู้ที่จะดูแล พึ่งพิงตนเองได้เพราะจะเป็นหนทางในการนำไปสู่การพัฒนาชุมชน ให้เข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตของชุมชนที่ดีต่อไป
126 วิชา การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในยุค Thailand ๔.๐ โดย ดร.ศิริวรรณ หัสสรังสี “ไทยแลนด์๔.๐” เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย หรือ โมเดลพัฒนา เศรษฐกิจของรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความ สงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เข้ามาบริหารประเทศบนวิสัยทัศน์ที่ว่า “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ที่มีภารกิจสำคัญ ในการ ขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ เพื่อปรับแก้ จัดระบบ ปรับทิศทาง และสร้างหนทางพัฒนาประเทศให้เจริญ สามารถรับมือกับโอกาสและภัยคุกคามแบบใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วรุนแรงในศตวรรษที่ ๒๑ ได้ ไทยแลนด์๔.๐ มีลักษณะอย่างไร “ประเทศไทย ๔.๐” เป็นความมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ “Value–Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” โดยมีฐานคิดหลัก คือ เปลี่ยนจาก การผลิตสินค้า “โภคภัณฑ์” ไปสู่สินค้าเชิง “นวัตกรรม” เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตสินค้า ไปสู่ การเน้นภาคบริการมากขึ้น ดังนั้น “ประเทศไทย ๔.๐” จึงควรมีการเปลี่ยนวิธีการทำที่มีลักษณะสำคัญ คือ เปลี่ยนจากการเกษตร แบบดั้งเดิมในปัจจุบันไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ ที่เน้นการบริหารจัดการและเทคโนโลยี (Smart Farming) โดยเกษตรกรต้องร่ำรวยขึ้น และเป็นเกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) เปลี่ยน จาก Traditional SMEs หรือ SMEs ที่มีอยู่และรัฐต้องให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลาไปสู่การเป็น Smart
127 Enterprises และ Startups บริษัทเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เปลี่ยนจาก Traditional Services ซึ่งมีการสร้างมูลค่า ค่อนข้างต่ำไปสู่ High Value Services และเปลี่ยนจากแรงงานทักษะต่ำไปสู่แรงงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และทักษะสูง การพัฒนาระบบราชการไปสู่ระบบราชการ ๔.๐ มีองค์ประกอบ ๓ ประการ ได้แก่ ๑. ภาครัฐที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงถึงกัน หมายถึง การทำงานของภาครัฐจะต้องเปิดเผยและโปร่งใส โดยบุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางราชการที่ไม่เป็นความลับ และสามารถเข้ามาตรวจสอบ การทำงานได้ มีการแบ่งปันข้อมูลระหว่างส่วนราชการด้วยกัน มีการเชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงานราชการ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ๒. ภาครัฐที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง หมายถึง ส่วนราชการต้องทำงานเชิงรุก มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหา ให้กับประชาชน ตอบสนองความต้องการของประชาชนโดยไม่ต้องรอให้เข้ามาติดต่อหรือร้องขอ ๓. ภาครัฐมีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย หมายถึง ต้องมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า มีการวิเคราะห์ ความเสี่ยง สร้างนวัตกรรมและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันเวลา การยกระดับหน่วยงานภาครัฐไปสู่การเป็นระบบราชการ ๔.๐ ที่ยึดหลักธรรมาภิบาล และรองรับ ยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ให้สามารถเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจ และเป็นที่พึ่งของประชาชนโดยแท้จริงนั้นต้องอาศัย คุณลักษณะสำคัญ ๑๐ ประการ ประกอบด้วย ๑. ทำงานอย่างเปิดเผย โปร่งใส เอื้อให้บุคคลภายนอก และประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ ๒. ทำงานเชิงรุก แก้ไขปัญหา ตอบสนองความต้องการของประชาชน และสร้างคุณค่า ๓. แบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เชื่อมโยงการทำงานเข้าด้วยกันอย่างเป็นเอกภาพ เบ็ดเสร็จ ในจุดเดียว
128 ๔. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการมีฐานข้อมูลที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนการวางแผนยุทธศาสตร์ และการตัดสินใจในการทำงาน ๕. ปรับรูปแบบการทำงานให้คล่องตัว รองรับการประสานงานแนวระนาบและในลักษณะเครือข่าย ๖. ทำงานอย่างเตรียมการไว้ล่วงหน้า ตอบสนองต่อสถานการณ์ ทันเวลา มีการวิเคราะห์ความเสี่ยง ทั้งในระดับองค์การและในระดับปฏิบัติการ ๗. เปิดกว้างให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม ถ่ายโอนภารกิจให้เอกชนไปดำเนินการแทนได้ ๘. ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรม ความคิดริเริ่ม และการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในการทำงานที่ทันต่อ การเปลี่ยนแปลง ๙. บุคลากรทุกระดับพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงตัวเองสู่องค์การที่มีความทันสมัยและมุ่งเน้นผลงานที่ดี ๑๐. ให้ความสำคัญกับบุคลากร ดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพสูง พัฒนาอย่างเหมาะสม ตามบทบาทหน้าที่ สร้างความผูกพัน สร้างแรงจูงใจ มีแผนเชิงรุกรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลากร ดัชนีความก้าวหน้าของคน (Human Achievement Index: HAI) วัดผลลัพธ์การพัฒนาคนในระดับจังหวัด ประกอบด้วย ๘ ดัชนีย่อย ได้แก่ ๑. ด้านสุขภาพ ๕. ด้านที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อม ๒. ด้านการศึกษา ๖. ด้านชีวิตครอบครัวและชุมชน ๓. ด้านชีวิตการงาน ๗. ด้านการคมนาคมและการสื่อสาร ๔. ด้านรายได้ ๘. ด้านการมีส่วนร่วม ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform: TPMAP) แสดงข้อมูล “คนจนเป้าหมาย” โดยใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งมายืนยันซึ่งกันและกัน เบื้องต้นใช้ข้อมูลจาก ๒ แหล่งข้อมูล ดังนี้ - ข้อมูล จปฐ. จากกรมการพัฒนาชุมชน - ข้อมูลผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ จากกระทรวงการคลัง
129 ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform: TPMAP) วัดความยากจนโดยใช้ดัชนีความยากจนหลายมิติ (Multidimensional Poverty Index: MPI) จำนวน 5 มิติ ได้แก่ - สุขภาพ - ความเป็นอยู่ - การศึกษา - รายได้ - การเข้าถึงบริการภาครัฐ
130 วิชา ฝึกปฏิบัติการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดย ศูนย์การแพทย์และฟื้นฟูบึงยี่โถ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นและช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน การปฐมพยาบาล หมายถึง การให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ ณ สถานที่เกิดเหตุ โดยใช้อุปกรณ์ เท่าที่จะหาได้ในขณะนั้น ก่อนที่ผู้บาดเจ็บจะได้รับการดูแลรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือส่งต่อไปยัง โรงพยาบาล โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ - เพื่อช่วยชีวิต - เพื่อเป็นการลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย - เพื่อทำให้บรรเทาความเจ็บปวดทรมาน และช่วยให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว - เพื่อป้องกันความพิการที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง แนวทางการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การประเมินสถานการณ์ ก่อนการเข้าไปให้การช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ช่วยเหลือต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง และบุคคลที่อยู่ ณ จุดเกิดเหตุ โดยการประเมินสถานการณ์ ณ จุดเกิดเหตุว่ามีความปลอดภัย สำหรับตนเอง และทีมที่จะเข้าไปให้ ความช่วยเหลือหรือไม่ หากสำรวจความปลอดภัยของสถานที่ หรือจุดเกิดเหตุแล้ว พบว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัย เช่น มีไฟไหม้ ไฟฟ้ากำลังช็อต ตึกกำลังจะถล่ม แผ่นดินไหว ห้ามเข้าไปช่วยเหลือ ให้รีบร้องขอความช่วยเหลือทันที การประเมินผู้ป่วย คือการตรวจประเมินอาการของผู้ป่วย เพื่อวางแผนให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ต้อง ดำเนินการอย่าง รวดเร็ว (ไม่ควรใช้เวลานานเกิน ๑ นาที) มุ่งการประเมินภาวะคุกคามต่อชีวิต ได้แก่ ระบบหายใจ ระบบไหลเวียน เลือด กรณีที่ผู้ช่วยเหลือต้องทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ผู้ป่วยต้องมีภาวะดังนี้คือ หมดสติ หยุดหายใจหรือหายใจ เฮือก หัวใจหยุดเต้น กรณีที่ผู้ช่วยเหลือประเมินสภาพทั่วไปของผู้ป่วย พบภาวะที่ต้องให้การปฐมพยาบาลแต่ไม่ต้อง ช่วยฟื้นคืนชีพ ได้แก่ ผู้ป่วยกระพริบตา พูด หรือไอ หน้าอกหน้าท้องกระเพื่อมขึ้นลง ขยับตัว แสดงว่า ผู้ป่วยรู้สึกตัว และหายใจ (ให้การปฐมพยาบาลตามอาการที่พบ) การปฐมพยาบาลผู้ป่วยชัก ๑. ปกป้องผู้ป่วย จับให้ผู้ป่วยนอนลง บอกให้อยู่นิ่งๆ และให้กำลังใจ เปิดทางเดินหายใจ และป้องกัน การบาดเจ็บจากการกระแทก กับวัตถุจัดพื้นที่ให้โล่ง จดเวลาที่ชัก ๒. ป้องกันศีรษะ และคลายเสื้อผ้าให้หลวม ถ้าเป็นไปได้ให้หาเบาะ หรือของนุ่มๆ มารอง ศีรษะ หาของนุ่มๆ มากันไว้รอบๆ เพื่อป้องกัน การบาดเจ็บ ๓. จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าพักฟื้น ทันทีที่ผู้ป่วย หยุดชักผู้ป่วยอาจจะหลับลึก ให้เปิดทาง เดินหายใจและ ตรวจการหายใจ ถ้าผู้ป่วย หายใจได้ดีให้จัดอยู่ในท่าพักฟื้น ๔. โทรแจ้ง ๑๖๖๙ เพื่อขอความช่วยเหลือ ให้กำลังใจกับครอบครัวของผู้ป่วยหรือผู้ดูแลติดตาม อาการ และบันทึกสัญญาณชีพ การหายใจ ชีพจร ระดับการตอบสนอง และ วัดอุณหภูมิในขณะที่รอรถพยาบาล ข้อควรระวัง ๑. ห้ามผูกมัดผู้ป่วย ๒. ห้ามยัดสิ่งของใด ๆ เข้าไปในปากขณะผู้ป่วยชัก
131 การปฐมพยาบาลเมื่อถูกไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โดยมากมักจะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุ อาการบาดเจ็บจะมีความรุนแรงมากน้อย เพียงใดขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาที่ผิวหนังสัมผัสกับความร้อน อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ ดีกรีความลึกของ บาดแผล และขนาดความกว้างพื้นที่ของบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ๑. ล้างด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิปกติ ๒. หลังจากนั้นซับด้วยผ้าแห้งสะอาด แล้วสังเกตว่าถ้าผิวหนังมีรอยถลอก มีตุ่มพองใส หรือมีสีของผิวหนัง เปลี่ยนไป ควรรีบไปพบแพทย์ ๓. ไม่ควรใส่ตัวยา/สารใดๆ ทาลงบนบาดแผล ถ้าไม่แน่ใจในสรรพคุณที่ถูกต้องของยาชนิดนั้น เพราะ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อบาดแผล เพิ่มโอกาสการเกิดบาดแผลติดเชื้อ และทำให้รักษาได้ยากขึ้น และไม่ควรเจาะตุ่มน้ำด้วยตนเอง การปฐมพยาบาลสำสักสิ่งแปลกปลอม (แล้วติดคอหรือหายใจไม่ออก) เมื่อพบเด็กหรือผู้ใหญ่มีอาการสำลักหรือสิ่งแปลกปลอมติดคอ. ถ้ายังไอ แรงๆ ได้ พูดได้ และหายใจเป็น ปกติ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แต่ควรรีบนำ ผู้ป่วยไปหาหมอทันทีอย่าพยายามให้ความช่วยเหลือใดๆ เช่น ใช้นิ้วล้วง คอ เพื่อเอาสิ่งแปลกปลอมออก เพราะอาจดันสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอุดกั้นทางเดินหายใจจนเกิดอันตรายได้ แต่ถ้า ผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่ได้ หน้าเขียว เล็บเขียว ไอไม่ออก พูดไม่ออก ควรรีบให้ความช่วยเหลือดังนี้ กรณีที่ผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดี ให้ทำการช่วยเหลือดังนี้ ก. ผู้ใหญ่และเด็กโต ให้ใช้ "วิธีรัดท้องอัดยอดอก" หรือ "รัดอัดท้อง" โดย ๑. ผู้ช่วยเหลือยืนข้างหลังผู้ป่วย ใช้แขน ๒ ข้าง โอบรอบเอวผู้ป่วย ๒. ผู้ช่วยเหลือกำหมัดข้างหนึ่งวางบริเวณเหนือสะดือผู้ป่วยเล็กน้อยใต้ต่อกระดูกอ่อน "ลิ้นปี่" (ดังรูป ก.) ๓. ผู้ช่วยเหลือใช้มืออีกข้างจับมือที่กำหมัดไว้แล้ว (ดังรูป ก.๒) ทำการอัดเข้าท้องแรงๆ เร็วๆ ขึ้นไปข้างบน (ทำคล้ายกับจะพยายามยกผู้ป่วยขึ้น) ๔. อัดหมัดเข้าท้องซ้ำๆ กัน หลายๆ ครั้งจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา หรือจนกว่าผู้ป่วยจะหมดสติ รูป ก. วิธีรัดท้องอัดยอดอก (อัดท้อง) โดยใช้กำหมัดอัดแรงๆ เร็วๆ ใต้ลิ้นปี่ เพื่อให้ลม ในปอดเกิดแรงดันขึ้นไป ดันให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา หมายเหตุ สำหรับคนอ้วนลงพุง (ท้องโต) หรือหญิงตั้งครรภ์ ให้ใช้วิธี “อัดอก” โดยกำหมัดวางไว้กลางอกบริเวณราวนม แล้วใช้มือ อีกข้างจับมือที่กำหมัดไว้ แล้วอัดอกแรงๆ เพื่อกระแทกมือที่กำหมัดไว้ให้กดกระดูกกลางอก เข้าไปในทรวงอกตรง ๆ ทำซ้ำหลายๆ ครั้ง จนสิ่งแปลกปลอมหลุดหรือผู้ป่วยหมดสติ (ดังรูป ข)
132 รูป ข. วิธีอัดอกในการช่วยเหลือคนท้องโต กรณีอยู่ตามลำพัง ให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองดังนี้ ๑. กำหมัดข้างหนึ่งวางตรงเหนือสะดือ (ดังรูป ค.). ๒. ใช้มืออีกข้างจับมือที่กำหมัดไว้แล้วก้มหัวให้มือพาดขอบแข็งๆ เช่น พนักเก้าอี้ ขอบโต๊ะ เป็นต้น ๓. ก้มตัวลงแรงๆ เพื่อกระแทกหมัดอัดเข้าท้องในลักษณะดันขึ้นข้างบน ทำซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง จนกว่า สิ่งแปลกปลอมหลุด รูป ค. วิธีการช่วยเหลือตัวเอง ข. สำหรับทารกอายุต่ำกว่า ๑ ปี ให้ทำการช่วยเหลือดังนี้ ๑. จับทารกนอนควํ่าบนแขน ให้ศีรษะตํ่าลงเล็กน้อย. ๒. ใช้ฝ่ามือตบลงตรงกลางหลังของทารก (ระหว่างกลางของสะบัก ๒ ข้าง) เร็วๆ ๕ ครั้ง (ดังรูป ง.) ๓. ถ้าไม่ได้ผล จับทารกนอนหงายบนแขนให้ศีรษะตํ่า แล้วใช้นิ้วชี้กับ นิ้วกลางวางบนกระดูกหน้าอก เหนือกระดูกลิ้นปี่ แล้วกดอกลง (สักครึ่งถึง ๑ นิ้ว) เร็วๆ ๕ ครั้ง (ดังรูป จ.) ๔.ถ้าไม่ได้ผล ให้ทำการ "ตบหลัง" ๕ ครั้ง สลับกับ "กดหน้าอก" ๕ ครั้ง จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุด หรือทารกหมดสติ รูป ง. วิธีการตบหลัง รูป จ. วิธีการกดหน้าอก รูป ฉ. วิธีเปิดทางหายใจและตรวจ การหายใจ
133 กรณีที่ผู้ป่วยหมดสติ ให้ทำการช่วยเหลือดังนี้ ๑. จับผู้ป่วยนอนหงายบนพื้น ๒. เปิดทางหายใจให้โล่ง โดยใช้มือยกปลายคางขึ้น (นิ้วแตะที่กระดูกปลายคางไม่ใช่ที่เนื้อที่นุ่มๆ ใต้คาง) และกดศีรษะลง (ดังรูป ฉ.) นี่คือวิธี "เงยหน้า เชยคาง" (head tilt-chin lift) ๓. ตรวจในช่องปาก ถ้ามองเห็นสิ่งแปลกปลอมชัดเจน ให้ใช้นิ้วชี้ค่อยๆเขี่ยและเกี่ยวออกมา (ดังรูป ช.) แต่ต้องระวังอย่าทำแรง หรือลึกเกินไป อาจทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดลึกเข้าไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมัก เกิดกับเด็กเล็ก (ถ้าสิ่งแปลกปลอมอยู่ลึกเกินไป หรือมองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอม ห้ามใช้นิ้วล้วง เพราะจะเกิดอันตราย ได้) ๔. ลองช่วยหายใจโดยการเป่าปาก ๒ ครั้ง ครั้งละ ๑ วินาที (ดัง รูป ซ.) ถ้าเป่าแล้ว หน้าอกผู้ป่วยยกขึ้น ให้เป่าลมหายใจให้ ผู้ป่วย ๑๐ - ๑๒ ครั้ง/นาทีในผู้ใหญ่ ๑๒ - ๒๐ ครั้ง/นาทีในเด็กโต หรือ ๒๐ - ๒๔ ครั้ง/นาทีใน เด็กเล็ก) ถ้าหน้าอกไม่ยกขึ้นให้ทำข้อ ๕ ๕. ทำการอัดท้อง ๖ - ๑๐ ครั้ง ในท่านอนหงาย สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุ มากกว่า ๑ ปี (ดังรูป ฌ.) หรือทำการตบหลัง ๕ ครั้ง สลับกับกดหน้าอก ๕ ครั้ง สำหรับทารกอายุตํ่ากว่า ๑ ปี ทำจนสิ่งแปลกปลอมหลุด หรือ ผู้ป่วยหายใจเองได้ ๖. ตรวจดูช่องปาก ทำการเขี่ยและเกี่ยวสิ่งแปลกปลอมออก ตามข้อ ๓ ๗. ถ้าสิ่งแปลกปลอมยังไม่หลุดออกมาหรือผู้ป่วยยังหายใจด้วยตัวเองไม่ได้ ให้ทำตามข้อ ๔-๖ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล ๘. ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่หายใจและไม่กระดุกกระดิกเลยให้เป่าปากและนวดหัวใจแทน จนกว่าจะถึง โรงพยาบาล (การนวดหัวใจโดยการ กดหน้าอก อาจช่วยให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาได้อย่าลืมคอยตรวจเช็ค ช่องปากตามข้อ ๓. เป็นระยะ รูป ช. วิธีใช้นิ้วเกี่ยวสิ่งแปลกปลอมในปาก รูป ซ. วิธีเป่าปากช่วยหายใจ รูป ฌ. วิธีการอัดท้องโดยกำหมัดเข้า ใต้อัดยอดอกในท่านอนหงาย
134 การปฐมพยาบาลกระดูกหัก ๑. พยายามไม่ให้ผู้บาดเจ็บขยับอวัยวะส่วนที่หัก ๒. หากต้องถอดเสื้อผ้า ควรใช้กรรไกรตัดตรงตะเข็บ ๓. ใช้ผ้าพยุง หรือหาวัสดุมาดามส่วนที่หัก โดยหลักการการ “ดามกระดูก” หรือการทำ “เฝือกชั่วคราว” มีดังนี้ - เฝือกชั่วคราวต้องยาวกว่าส่วนที่หัก โดยต้องยาวพอจะล็อกข้อต่อที่อยู่ติดกับส่วนที่หักไม่ให้สามารถ ขยับได้ เช่น ถ้าแขนหัก เฝือกชั่วคราว ต้องดามยาวถึงข้อมือและข้อศอก - นำผ้า สำลี หรือวัสดุอ่อนนุ่มมาวางกั้นระหว่างผิวหนังกับเฝือกชั่วคราว ไม่ควรให้เฝือกกดโดน ผิวหนังโดยตรง เพราะอาจทำให้ช้ำจากการกดทับได้ - มัดเฝือกชั่วคราวให้แน่นแค่พอประคอง ห้ามแน่นเกินไปเพราะเลือดจะไม่ไหล - จัดเฝือกให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด ห้ามฝืนให้กระดูกเข้ารูปปกตินะครับ เพราะอาจทำให้กระดูกหัก รุนแรงขึ้น ๔. ประคบบริเวณที่หักด้วยความเย็น ๕. นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลอย่างระมัดระวัง หากอาการรุนแรงให้ผู้บาดเจ็บอยู่นิ่ง ๆ แล้วโทรเรียก หน่วยฉุกเฉิน (๑๖๖๙) ให้มารับ ไม่ควรขยับเขยื้อนผู้ป่วยรุนแรง การช่วยฟื้นคืนชีพ (Cardiopulmonary Resuscitation : CPR) ปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (Cardiopulmonary Resuscitation : CPR) คือ การช่วยเหลือ ผู้ที่หยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้น ทำให้ผู้ป่วยกลับมาหายใจ หรือมีการนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย และเกิดการไหลเวียนเลือดไป เลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะสมองกับหัวใจ จนกระทั่ง ระบบต่างๆ กลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติเป็น การป้องกันการเสียชีวิต หรือเนื้อเยื่อได้รับ ความเสียหายอย่างถาวรจากการขาดออกซิเจน ขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ๑. ประเมินความปลอดภัย ณ จุดเกิดเหตุ เมื่อพิจารณาว่าปลอดภัยแล้วจึงเข้าไปหาผู้ป่วย ๒. การประเมินผู้ป่วย โดยการปลุกเรียกผู้ป่วย ถ้ารู้จักชื่อให้เรียกชื่อ แต่ถ้าไม่รู้จักชื่อให้เรียก “คุณๆ” ด้วยเสียงดัง พร้อมกับใช้มือตบที่บ่าทั้ง ๒ ข้าง ๓ ครั้ง ๒ รอบ ขณะที่ ตาจ้องมองไปที่ใบหน้าของผู้ป่วย ดูว่าผู้ป่วยมี การกระพริบตาหรือไม่ หากผู้ป่วยไม่มีอาการตอบสนอง ให้ตะโกนขอความช่วยเหลือ ตามข้อ ๓ ๓. ขอความช่วยเหลือ โทรศัพท์แจ้ง ๑๖๖๙ ขอเครื่องเออีดี ๔. ประเมินการหายใจ โดยการตรวจสอบการหายใจ ให้มองไปที่หน้าอก หน้าท้อง ว่ามีการขยับขึ้นลง หรือไม่ ใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๕ วินาทีแต่ไม่เกิน ๑๐ วินาที ๕. การกดหน้าอก วิธีการกดหน้าอก ให้ใช้ส้นมือข้างหนึ่งวางลงบนกึ่งกลางหน้าอก แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่ง วางทับด้านบน ใช้นิ้วมือ ทั้งสองข้างล็อกกันไว้แขนทั้งสองข้างเหยียดตรง ไหล่ของผู้ช่วยเหลือตั้งฉากกับหน้าอก ของ ผู้ป่วย ให้ใช้น้ำหนักจากไหล่กดลงมา แขนเหยียดตรง กดลงในแนวแรงตั้งฉากกับพื้น ใช้ข้อสะโพกเป็นจุดหมุน เวลา ในการกดและปล่อยมือขึ้นต้องเท่ากัน แรงและเร็ว เป็นจังหวะให้ได้คุณภาพสูง ดังนี้ - กดลึกลงไป ๕ – ๖ เซนติเมตร หรือ ๒ นิ้ว
135 - อัตราเร็วในการกดหน้าอก ๑๐๐ ครั้งต่อนาที - กดหน้าอก ๓๐ ครั้ง สลับกับการเป่าปาก ๒ ครั้ง นับเป็นหนึ่งรอบ ประเมินซ้ำทุก ๕ รอบ หมายเหตุ : ในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์ช่วยหายใจ หรือผู้ช่วยเหลือไม่ทำการเป่าปาก ให้กดหน้าอก อย่างเดียว ต่อเนื่อง ๒๐๐ ครั้ง หรือประมาณ ๒ นาที แล้วประเมินซ้ำ ๖. การช่วยหายใจ (การเป่าปาก) ผู้ช่วยเหลือมีความเสี่ยงต่อการติดโรค เช่น โรคโควิด-๑๙ ไวรัส ตับอักเสบเอ ผู้ช่วยเหลือจึงสามารถ เลือกการช่วยฟื้นคืนโดยการกดหน้าอกอย่างเดียว ในกรณีที่ท่านมั่นใจว่า สามารถ ช่วยการหายใจได้ครบถ้วนตามหลักการช่วยฟื้นคืนชีพ การช่วยหายใจมีวิธีการ ดังนี้ - หลังจากกดหน้าอกครบ ๓๐ ครั้ง แล้วให้เปิดทางเดินหายใจ โดยใช้วิธีการกดหน้าผาก เชยคาง โดยใช้ นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของมือข้างที่กดหน้าผาก บีบจมูกผู้ป่วยให้สนิท ส่วนมือข้างที่เชยคาง ขึ้นมาช่วยเปิดปาก แล้วก้มลง ไปประกบปากผู้ป่วย (ปากต่อปาก) เป่าลมเข้าใช้เวลาครั้งละประมาณ ๑ วินาทีขณะเป่าลมเข้าให้ชำเลืองมองไปที่ หน้าอกของผู้ป่วย ต้องมองเห็นหน้าอกขยับขึ้นชัดเจน แล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อปล่อยให้ผู้ป่วยหายใจออกทางปาก แล้ว เป่าปากซ้ำเป็นครั้งที่ ๒ - ถ้าเป่าลมไม่เข้าให้รีบเปิดทางเดินหายใจใหม่ทันทีโดยการกดหน้าผากเชยคางให้มากขึ้น แล้วเป่าปาก ครั้งที่ ๒ หลังจากนั้นให้รีบกดหน้าอกต่อทันที - ไม่เป่าลมช่วยหายใจโดยเป่าลมเข้ามากเกินไป ๗. ช่วยฟื้นคืนชีพต่อเนื่อง หลังจากช่วยหายใจแล้ว ให้รีบกลับมากดหน้าอกต่อทันทีอย่างต่อเนื่อง หยุด กดหน้าอกให้น้อยที่สุด ไม่เกิน ๑๐ วินาทีโดยให้กดหน้าอก ๓๐ ครั้ง สลับกับการเป่าปาก ๒ ครั้ง หรือ ๓๐ : ๒ ไปจนครบ ๕ รอบแล้วประเมินซ้ำ ให้ทำการ ช่วยฟื้นคืนชีพไปจนกว่าผู้ป่วยจะกลับมามีสัญญาณชีพ (ตากระพริบ ไอ หน้าอกหน้าท้องกระเพื่อม ตามจังหวะการหายใจ หรือมีการเคลื่อนไหวของแขน ขา) การใช้เครื่องเออีดี (AED) เครื่องเออีดี(Automatic External Defibrillator:AED) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาที่สามารถ วินิจฉัย ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติที่อันตรายแก่ชีวิต (ชนิด Ventricular Fibrillation หรือหัวใจห้องล่างเต้นแผ่นระรัว ที่ไม่มีสัญญาณชีพ และ Ventricular Tachycardia) ได้โดย อัตโนมัติและสามารถ ให้การรักษา โดยปล่อยไฟฟ้าไป ช็อก หรือกระตุกหัวใจเพื่อหยุดภาวะหัวใจ เต้นผิดปกตินั้นให้หัวใจกลับมาเต้นใหม่ในจังหวะที่ถูกต้อง หลักการใช้งานของเครื่องเออีดีมีดังนี้ ๑. เปิดเครื่อง กดปุ่มเปิดเครื่อง ในขณะที่เครื่องเออีดีบางรุ่นจะทำงานทันทีเมื่อเปิดฝาครอบออก เมื่อเปิด เครื่องแล้วจะมีเสียงบอกให้รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ให้ปฏิบัติตามที่เครื่องสั่งทันที ๒. ติดแผ่นนำไฟฟ้าที่หน้าอกของผู้ป่วย ตรวจสอบหน้าอกของผู้ป่วยว่าแห้งสนิท หากพบว่า เปียกน้ำ หรือไม่แห้งสนิทให้ใช้ผ้าเช็ดบริเวณหน้าอกของผู้ป่วยให้แห้งก่อน แล้วลอกแผ่นพลาสติก การปฐมพยาบาลฉุกเฉิน และการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน Emergency First Aid and Basic CPR ๑๑ ด้านหลังแผ่นนำไฟฟ้าออก แปะแผ่นนำไฟฟ้า แผ่นที่หนึ่งที่ใต้กระดูกไหปลาร้าด้านขวา และแปะ แผ่นที่สองที่บริเวณใต้แนวราวนมซ้ายด้านข้างลำตัวตรวจดูให้ แน่ใจว่าสายไฟฟ้าจากแผ่นนำไฟฟ้า ต่อเข้ากับตัวเครื่องเรียบร้อย หากผู้ป่วยเป็นเด็กตัวเล็ก หรือทารก อาจจำเป็นต้องแปะแผ่นนำไฟฟ้า ที่บริเวณด้านหน้าและด้านหลังของลำตัว
136 ๓. เครื่องเออีดีทำการวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ เครื่องเออีดีส่วนมากจะเริ่มวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้า หัวใจ ทันทีเมื่อแปะแผ่นนำไฟฟ้าเสร็จ เครื่องบางรุ่นต้องกดปุ่ม “วิเคราะห์” ก่อน ระหว่างนั้น ห้ามสัมผัสถูกตัวผู้ป่วยให้ ร้องเตือนดังๆว่า“ทุกคนถอย!!!”เครื่องเออีดีจะใช้เวลาสั้นๆ ประมาณ ๕ – ๑๐ วินาทีในการวิเคราะห์ระหว่างนั้น อาจจะได้ยินเสียงการส่งสัญญาณวิเคราะห์ ๔. เมื่อเครื่องเออีดี ตรวจพบคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่จำเป็นต้องทำการช็อก เครื่องจะบอกว่า “แนะนำให้ ทำการช็อก ถอยออกจากผู้ป่วย กดปุ่ม “ช็อก” แต่ก่อนที่ผู้ช่วยเหลือจะกดปุ่มช็อกต้องตรวจสอบ ให้แน่ใจว่า ไม่มีใครสัมผัสถูกตัวของผู้ป่วย ด้วยการตะโกนบอกดังๆ ว่า “ทุกคนถอย!!!” พร้อมกับ การปฐมพยาบาลฉุกเฉินและ การกู้ชีพขั้นพื้นฐาน Emergency First Aid and Basic CPR ๑๒ กางแขนออกเพื่อกันผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามา มองซ้ำอีกครั้งเพื่อเป็นการตรวจสอบครั้งสุดท้ายว่า ไม่มีผู้ใดสัมผัสผู้ป่วยอยู่แล้วจึงกดปุ่ม “ช็อก” เมื่อกดปุ่มช็อกแล้วให้เริ่มกดหน้าอกต่อทันที๓๐ ครั้ง สลับกับช่วยหายใจ (การเป่าปาก) ๒ ครั้ง หรือกด หน้าอกอย่างเดียวในกรณีที่ท่านไม่ต้องการที่จะเป่าปาก ไปจนกว่าเครื่องเออีดีจะวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ำอีก ครั้งเมื่อครบทุกๆ ๒ นาทีให้ทำการกดหน้าอกและช่วยหายใจ หรือกดหน้าอกอย่างเดียวร่วมกับการใช้เครื่องเออีดี ไปจนกว่าผู้ป่วยจะฟื้น หรือหน่วยกู้ชีพจะมาถึง และรับผู้ป่วยส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล
137 วิชา การติดตามประเมินผลโครงการด้านสาธารณสุข โดย นายประกาศ เปล่งพานิชย์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี การประเมินผลโครงการ ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญประการหนึ่ง โครงการซึ่งหลังจากได้ผ่านกระบวนการ วางแผนและการปฏิบัติตามแผนการติดตามและประเมินผล ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวัดความสำเร็จของผล การดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1. การติดตามผล เป็นการติดตามตรวจสอบความก้าวหน้าในการดำเนินงานการจัดสรรทรัพยากรเป็นการพิจารณา ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ทรัพยากรในโครงการกับผลผลิตของโครงการร่วมกับปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบ ต่อการดำเนินงาน การติดตามผลเป็นเครื่องมือในช่วงการปฏิบัติงานของโครงการเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการส่งมอบปัจจัย การผลิตกำหนดการทำงาน การผลิตผลผลิตและการดำเนินงานต่าง ๆ ได้ดำเนินงานไปตามแผนที่กำหนดไว้ 2. การประเมินผล เป็นการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการติดตามการปฏิบัติงาน เพื่อประเมินความก้าวหน้าของ โครงการหรือแผนงานว่ามีการใช้ทรัพยากร/ปัจจัยต่างๆ อย่างไร มีการดำเนินงานเป็นไปตามแผน ตามขั้นตอน ตามกฎเกณฑ์และตามเวลาที่กำหนดหรือไม่ตลอดจนมีผลงานเป็นไปตามแผนวัตถุประสงค์ และเป้าหมายหรือไม่ อาจเป็นการประเมินผลระหว่างการดำเนินงาน เป็นการประเมินถึงผลผลิต และผลลัพธ์ หรือ การประเมินผลภายหลังการดำเนินงาน ประโยชน์ของการประเมินผล 1. ช่วยทำให้การกำหนดวัตถุประสงค์และมาตรฐานของการดำเนินงานมีความชัดเจนขึ้น และสามารถ ที่จะนำไปปฏิบัติได้อย่างได้ผล 2. ช่วยให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างคุ้มค่าหรือเกิดประโยชน์เต็มที่ 3. ช่วยให้แผนงานบรรลุวัตถุประสงค์ 4. มีวนช่วยในการแก้ปัญหาอันเกิดจากผลกระทบ (Impact) ของโครงการและทำให้โครงการมีข้อที่ทำ ให้เกิดความเสียหายลดน้อยลง 5. มีส่วนในการสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติตามโครงการ 6. ช่วยในการตัดสินใจในการบริหารโครงการ สาระสำคัญของการประเมิน 1. การติดตามเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณ 2. การติดตามแผนกิจกรรมประจำทุก 3 เดือน 3. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ 4. การประเมินประโยชน์ของแผนปฏิบัติการ การประเมินโครงการที่ดี 1. โครงการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้มากน้อยเพียงใด 2. ผลที่เกิดคุ้มค่าหรือไม่ (Cost - Effective)
138 3. โครงการมีผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายผู้ร่วมโครงการอะไรบ้าง (ผลกระทบระยะยาวหรือหลังสิ้นสุด โครงการ (Impact) ผลกระทบระหว่างดำเนินโครงการ (Effect)) 4. ควรตัดสินใจอย่างไรเกี่ยวกับโครงการ การกำหนดขอบข่ายของการประเมิน • การประเมินก่อนเริ่มดำเนินโครงการ : เป็นการประเมินเพื่อวางแผนโครงการ นับตั้งแต่การกำหนด หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และวิธีดำเนินโครงการ ประกอบด้วย - การประเมินบริบท หรือสภาวะแวดล้อม (Context evaluation) เป็นการประเมินความ ต้องการจำเป็นเพื่อกำหนดโครงการและเป็นการประเมินว่าโครงการที่จะดำเนินการสอดคล้อง กับนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ขอกระทรวง - การประเมินปัจจัยป้อน (Input evaluation) เป็นการตรวจสอบความพร้อมทั้งด้านปริมาณ (ความเพียงพอ) และคุณภาพ (ความเหมาะสม) ของทรัพยากรที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ • การประเมินระหว่าดำเนินโครงการ : เป็นการประเมินกระบวนการ (Process evaluation) ซึ่งเป็น การประเมิน เกี่ยวกับประเด็นต่อไปนี้ - วิธีการจัดกิจกรรมของโครงการตามแผนที่ได้วางไว้ - ความก้าวหน้าของโครงการ - กิจกรรมที่จัดทำได้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการที่กำหนดไว้หรือไม่ หรือเกิดประสิทธิผลมาก น้อยเพียงใด มีปัญหาอุปสรรคใดเกิดขึ้น • การประเมินหลังสิ้นสุดโครงการ : เป็นการประเมินกระบวนการ(Process evaluation) ซึ่งเป็นการ ประเมินเกี่ยวกับประเด็นต่อไปนี้ - การประเมินทันทีที่สิ้นสุดโครงการ เป็นการประเมินผลผลิต (Product evaluation) หรือ ผลลัพธ์ของโครงการโดยมุ่งตอบคำถามว่าโครงการประสบความสำเร็จตามแผนที่วางไว้หรือไม่ ผลผลิตของโครงการเป็นไปตามวัตถุประสงค์/เป้าหมาย หรือไม่ คุ้มค่าเพียงใด - การประเมินภายหลังสิ้นสุดโครงการแล้วช่วงระยะเวลาหนึ่ง เป็นการประเมินผล กระทบ (Impact evaluation) ของโครงการอันเป็นผลที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากผลผลิตของโครงการหรือ ผลผลิตของโครงการก่อให้เกิดผลอื่นๆ ตามมา ซึ่งเป็นผลที่มิได้ระบุไว้ในวัตถุประสงค์หรือ เป้าหมายของโครงการ วิธีการประเมินผลโครงการ ๑. การศึกษาข้อมูล เอกสารหลักฐานต่างๆ : บันทึกข้อความขออนุมัติโครงการ, โครงการ, ภาพถ่าย กิจกรรม, แบบสอบถาม, ผลการประเมินโครงการ/รายงานการประชุม, การนำผลการจัดโครงการไปพัฒนาเป็น องค์ความรู้ ๒. การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆ : ผู้รับผิดชอบโครงการ, ผู้ร่วมโครงการ, ผู้ได้รับผลกระทบ โครงการ ๓. แต่งตั้งคณะกรรมการ/คณะทำงาน : เพื่อติดตามประเมินผลโครงการต่างๆ โดยให้รายงานผลการ ประเมินต่อคณะกรรมการ ทุกๆ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย
139 การประเมินตามรูปแบบ CIPP
140 วิชา สถิติการวิจัยและประชากรศาสตร์เบื้องต้นเพื่อส่งเสริมการสาธารณสุขชุมชน โดย นายประกาศ เปล่งพานิชย์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี ประเภทของสถิติ ๑. สถิติพรรณนา (descriptive statistics) 1.1 ร้อยละ (percentage) 1.2 การแจกแจงความถี่ (frequency) 1.3 การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง (central of tendency) • ตัวกลางเลขคณิต (Arithmetic Mean) • ฐานนิยม (Mode) • มัธยฐาน (Median) • ควอไทล์ (Quartiles) • เดไซล์ (Deciles) • เปอร์เซ็นไทล์ (Percentiles) ๑.๔ การวัดการกระจาย (dispersion) • พิสัย (range) • ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) • ค่าแปรปรวน (variance) ๒. สถิติอนุมาน (inference statistics) ๒.๑ การอนุมานแบบมีพารามิเตอร์ (parametric inference) • เป็นการนำค่าที่ได้จากตัวอย่าง (sample) ซึ่งเป็นค่าสถิติ (statistics) ไปอธิบาย คุณลักษณะประชากร (population) ซึ่งเป็นค่าพารามิเตอร์ (parameter) ดังนั้น การอนุมาน แบบมีพารามิเตอร์ จึงเป็นการนำค่าสถิติที่ได้ศึกษาจากบางส่วนของข้อมูลมาอธิบายลักษณะข้อมูล เหมือนกับว่า ค่านั้นมาจากข้อมูลทั้งหมด • ค่าของประชากรควรมีการแจกแจงแบบปกติ (normal distribution) • การเลือกตัวอย่าง (sampling) เป็นไปอย่างอิสระ และไม่มีความเอนเอียง (unbiased) • ค่าของข้อมูลที่วัดได้ควรอยู่ในระดับช่วง (interval scale) หรือ ระดับอัตราส่วน (ratio scale) ๒.๒ การอนุมานแบบไม่มีพารามิเตอร์ (non-parametric inference) เป็นวิธีการอนุมานข้อมูลจาก ตัวอย่างไปอธิบายลักษณะของประชากร ในกรณีที่ข้อมูลไม่เป็นไปตามเงื่อนไขหรือข้อกำหนดตามวิธีการอนุมาน แบบพารามิเตอร์ เช่น ไม่ทราบค่าข้อมูลของประชากร ไม่ทราบว่ามีการแจกแจงแบบใด และข้อมูลอยู่ในระดับนาม บัญญัติ (nominal scale) หรือระดับเรียงอันดับ (ordinal scale) โดยเฉพาะกลุ่มตัวอย่างที่เลือกมามีขนาดเล็ก
141 การทดสอบค่าทางสถิติ ๑. การทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับหนึ่งกลุ่มตัวอย่าง (One Sample T - Test) เป็นการทดสอบว่าค่าเฉลี่ย ของประชากรหรือกลุ่มตัวอย่าง ทีค่าแตกต่างไปจากค่าที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งอาจจะมีการทดสอบแบบสองทาง (Two-Tail) หรือการทดสอบแบบทางเดียว (One-Tail) ๒. การทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับสองกลุ่มตัวอย่าง • กลุ่มตัวอย่างที่เป็นอิสระจากกัน • กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระจากกัน เป็นการทดสอบว่าค่าเฉลี่ยของประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน มีค่าแตกต่างกัน หรือไม่ ซึ่งอาจจะมีการทดสอบแบบสองทาง (Two-Tail) หรือการทดสอบแบบทางเดียว (One-Tail) ๓. การทดสอบค่าเฉลี่ยสำหรับหลายกลุ่มตัวอย่าง เป็นการทดสอบค่าเฉลี่ยจากข้อมูลที่ได้จากกลุ่ม ตัวอย่างหลายๆ กลุ่มตัวอย่าง คือมากกว่าสองกลุ่มตัวอย่าง โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวน โดยค่าสถิติ F-test การหาความสัมพันธ์(Relationships) ๑. การหาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มีค่าไม่ต่อเนื่อง • เป็นการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลสองชุดหรือมากกว่าสองชุดขึ้นไป โดยจะดูว่า มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ การหาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่อง (discrete data) ดังกล่าว มักจะเป็นข้อมูลระดับบัญญัติ (Nominal Scale) และระดับเรียงอันดับ (Ordinal Scale) ซึ่งการหาความสัมพันธ์จะใช้วิธีการแจงนับเป็นสำคัญ • การหาความสัมพันธ์สำหรับข้อมูลที่มีค่าไม่ต่อเนื่องจะเรียกว่าเป็นการหา Association • เป็นการหาความสัมพันธ์โดยใช้วิธีการแจงนับจำนวนข้อมูล หรือความถี่ข้อมูล และนำเสนอ ในรูปของตารางแจกแจงความถี่แบบสองทาง • สำหรับการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัวแปรนั้น นิยมใช้สถิติ ไค-สแควร์ (Chi-Squares: 2 ) ๒. การหาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มีค่าต่อเนื่อง • เป็นการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลสองชุดหรือมากกว่าสองชุดขึ้นไป โดยจะดูว่า มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ การหาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ต่อเนื่อง (Continuous data) ดังกล่าว มักจะเป็นข้อมูล ระดับช่วง (Interval Scale) และระดับอัตราส่วน (Ratio Scale) ซึ่งการหาความสัมพันธ์จะใช้วิธีการคำนวณเป็นสำคัญ • การหาความสัมพันธ์สำหรับข้อมูลที่มีค่าต่อเนื่องจะเรียกว่าเป็นการหา Correlation การสุ่มตัวอย่าง การสุ่มตัวอย่าง (Sampling)
142 กระบวนการสุ่มตัวอย่าง 5 ขั้นตอน ๑. กำหนดประชากรเป้าหมาย การกำหนดเป้าหมายจะต้องนิยามคำจำกัดความของประชากรที่จะศึกษาให้ชัดเจน โดยพิจารณาจาก ปัญหาที่ต้องการทำการวิจัย รวมถึงวัตถุประสงค์และขอบเขตของการทำวิจัย ซึ่งจะทำให้ทราบว่าต้องวิเคราะห์ ข้อมูลจากประชากรกลุ่มใด ๒. สร้างกรอบของการสุ่มตัวอย่าง ๑) ทำบัญชีรายชื่อทั้งหมดของประชากร และจัดเรียงรายชื่อของประชากรแบบไม่ลำเอียง ๒) ให้หมายเลขประจำตัวหน้ารายชื่อเหล่านั้น ๓) ในบัญชีรายชื่อควรระบุที่อยู่ หรือสถานที่ติดต่อได้สะดวก ๓. กำหนดขนาดของตัวอย่าง ขั้นตอนนี้ผู้วิจัยจะต้องตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวน หรือ ขนาดของตัวอย่างให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของ การวิจัยและประชากรเป้าหมายการกำหนดขนาดตัวอย่างผู้วิจัยจะต้องใช้ทฤษฎีและวิจารณญาณเข้ามาช่วยในการ ตัดสินใจ เช่น ขนาดของความ คลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกิดขึ้น งบประมาณ ระยะเวลาในการวิจัย ๔. เลือกเทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่าง ขั้นตอนนี้ผู้วิจัยจะต้องตัดสินใจเลือกเทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่าง ที่เหมาะสม เพื่อนำไปใช้เป็นตัวแทนของ ประชากรได้ ซึ่งมีอยู่หลายวิธีได้แก่ ๔.๑ การสุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น : การสุ่มตัวอย่างโดยไม่ทราบโอกาสที่หน่วยต่าง ๆ ของ ประชากรจะถูกสุ่มไปเป็นกลุ่มตัวอย่าง • การสุ่มตัวอย่างแบบตามความสะดวกหรือแบบบังเอิญ (Convenience or Accidental Sampling) : เป็นการสุ่มตัวอย่างที่อาศัยความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือสุ่มตัวอย่างโดยบังเอิญ หรือไม่ได้ตั้งใจ ตัวอย่างที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบนี้จะไม่สามารถนำไปเป็นตัวแทนของ ประชากรได้ เพราะไม่ได้มีการควบคุมการสุ่มตัวอย่างให้เป็นไปอย่างสุ่ม จึงอาจเกิดความ ลำเอียงในการเลือกตัวอย่างขึ้นได้ • การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) : เป็นการสุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยต้องใช้ วิจารณญาณ หรือใช้ประสบการณ์ในการเจาะจงสุ่มหน่วยตัวอย่างนั้น ๆ • การสุ่มตัวอย่างแบบกำหนดจำนวนตัวอย่าง (Quota Sampling) : เป็นการสุ่มตัวอย่างแบบ กำหนดจำนวนตัวอย่างที่มีคุณลักษณะบางประการไว้ก่อนที่จะทำการสุ่มตัวอย่าง • การสุ่มตัวอย่างแบบลูกหิมะ (Snowball sampling) : เหมาะกับประชากรที่ไม่มีการเปิดเผย รายชื่ออย่างเป็นทางการ ๔.๒ การสุ่มตัวอย่างแบบใช้ความน่าจะเป็น • การสุ่มตัวอย่างโดยทราบโอกาสที่หน่วยต่างๆ ของประชากรเป้าหมายจะถูกสุ่มมาเป็นหน่วย ตัวอย่าง ถ้าใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบนี้ได้อย่างถูกต้อง ผู้วิจัยสามารถกล่าวได้ว่ากลุ่มตัวอย่างที่ สุ่ม (random sample) มาเป็นตัวแทนของประชากร
143 • วิธีการสุ่มแบบนี้ใช้ในกรณีที่ประชากรมีขนาดใหญ่ (จำนวนมาก) ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสุ่ม (Randomization) เพื่อให้ลักษณะของหน่วยต่าง ๆ ที่สุ่มมานั้นเหมือนกับลักษณะของ ประชากรมากที่สุด เรียกว่า ตัวอย่างสุ่ม (Random Sample) ๕. ดำเนินการสุ่มตัวอย่าง เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ผู้วิจัยจะดำเนินการเลือกตัวอย่างตามวิธีการสุ่มตัวอย่างที่ได้เลือกไว้จากกรอบ ตัวอย่างที่ได้จัดทำไว้และตามจำนวนตัวอย่างที่ได้กำหนดไว้ การสุ่มตัวอย่างแบบสุ่ม แบ่งได้ 5 วิธี 1. Simple Random Sampling : การสุ่มตัวอย่างแบบนี้เหมาะสมกับประชากรที่มีขนาดเล็ก และ มีกรอบของการสุ่มตัวอย่าง (Sampling Frame) ที่สมบูรณ์ 2. Systematic Random Sampling : การสุ่มตัวอย่างโดยวิธีนี้ช่วย ประหยัดเวลา ในการสุ่มตัวอย่าง ควรใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบนี้กับประชากรที่มีขนาดเล็ก และมีกรอบของการสุ่มตัวอย่างที่สมบูรณ์ และหน่วยต่าง ๆ ของประชากรไม่อยู่กระจัดกระจายกันมาก 3. Cluster Random Sampling : การสุ่มตัวอย่างวิธีนี้เหมาะกับประชากรที่แบ่งออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ แต่ละกลุ่มมีความคล้ายคลึงกัน และหน่วยต่างๆ ที่อยู่ภายในกลุ่มมีความแตกต่างกัน ในทางปฏิบัติ วิธีการสุ่มแบบนี้เป็นที่นิยมมาก เนื่องจากประชากรมีขนาดใหญ่ จึงทำให้ไม่สามารถสร้างกรอบของ การสุ่มตัวอย่างที่สมบูรณ์ได้ ประชากร สุ่มกลุ่มตัวอย่าง สุ่มหน่วยตัวอย่าง 4. Stratified Random Sampling : การสุ่มตัวอย่างวิธีนี้ เหมาะสำหรับประชากรที่แบ่งเป็นระดับชั้น (Strata) โดยแต่ละระดับชั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่หน่วยต่าง ๆ ที่อยู่ภายในระดับชั้นจะมีความ เป็นเอกพันธ์ (Homogenous) หรือมีลักษณะที่เหมือนกัน 5. Multi Stage Random Sampling : การสุ่มตัวอย่างวิธีนี้ เหมาะสำหรับ ประชากรที่มีขนาดใหญ่ มาก หรือประชากรที่มีอยู่กระจัดกระจาย หรือผู้วิจัย ไม่สามารถสร้างกรอบของการเลือกตัวอย่างได้ การสุ่มตัวอย่างแบบนี้จะต้องทำการสุ่มตั้งแต่ 2 ขั้นตอนขึ้นไป โดยแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ แล้วแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงกลุ่มย่อยที่เล็กที่สุด
144 สถิติพาราเมตริก (Parametric statistics) คือ อนุมานสถิติในลักษณะที่มีการอ้างอิงค่าสถิติ ซึ่งเป็นค่าที่คำนวณได้จากกลุ่มตัวอย่างกลับไปสู่ ค่าพารามิเตอร์ ซึ่งเป็นค่าของกลุ่มประชากร ซึ่งมีข้อตกลงเบื้องต้น ดังนี้ • กลุ่มตัวอย่างของข้อมูลมีการแจกแจงเป็นโค้งปกติ • ความแปรปรวนของกลุ่มประชากรทุกกลุ่มต้องเท่ากัน • ข้อมูลแต่ละตัวมีความเป็นอิสระต่อกันทั้งภายในกลุ่ม และระหว่างกลุ่ม • ข้อมูลเป็นชนิดอันตรภาค (Interval data) ขึ้นไป สถิตินอนพาราเมตริก (Nonparametric statistics) คือ อนุมานสถิติในลักษณะที่มีการอ้างอิงค่าสถิติ ซึ่งเป็นค่าที่คำนวณได้จากกลุ่มตัวอย่างกลับไปสู่ ค่าพารามิเตอร์ ซึ่งเป็นค่าของกลุ่มประชากร ซึ่งมีข้อตกลงเบื้องต้น ดังนี้ • กลุ่มตัวอย่างของข้อมูลไม่มีการแจกแจงเป็นโค้งปกติ • ข้อมูลแต่ละตัวมีความเป็นอิสระต่อกันทั้งภายในกลุ่ม และระหว่างกลุ่ม • ข้อมูลเป็นชนิดนามบัญญัติ (Nominal data) และเรียงอันดับ (Ordinal data) ความหมายของประชากรศาสตร์ Demography เป็นคำที่มาจากภาษากรีก 2 คำ Demos = people ประชากร Graphie = describing การพรรณนาหรือบรรยาย ดังนั้น ประชากรศาสตร์ (Demography) จึงเป็นการ พรรณนาหรือบรรยายเกี่ยวกับคน หรือประชากร แหล่งข้อมูลทางประชากร (Source of demographic data) • ส่วนใหญ่มักเป็นข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) โดยมีหลายหน่วยงานที่ได้รวบรวมข้อมูลทาง ประชากรไว้ และเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ประชากรสามารถเข้าถึงและนำมาใช้ในการศึกษาทางประชากรศาสตร์ได้ • ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) ในบางกรณีนักประชากรอาจต้องเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การสำมะโนประชากร (Census of population) • เป็นการสำรวจข้อมูลด้วยการแจงนับประชากรทังหมด ของพื้นที่หนึ่ง หรือประเทศหนึ่ง ในทุก ลักษณะเฉพาะ ของประชากร เช่น อายุ เพศ สถานภาพสมรส จำนวนบุตรเกิดรอด สถานที่เกิด สัญชาติ ศาสนา อาชีพ ระดับการศึกษา เป็นตน • ข้อมูลจากส่ามะโนเป็นแหล่งสำคัญในการศึกษาวิจัย ทางประชากร • เป็นตัวเลขพื้นฐานในการวางแผนพัฒนาหรือปรับปรุง งานในด้านต่าง ๆ • การจัดทำส่ามะโนประชากรจะทำทุก 5 ปี หรือ 10 ปีโดยมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้จัดทำ
145 วิชา มาตรการส่งเสริมและป้องกันคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ (มาตรการการจัดการโควิด-19) โดย นายประกาศ เปล่งพาณิชย์ และนางสาวสุภัทรานิษฐ์ นันชัยวงศ์ การจัดการภาวะฉุกเฉินในประเทศไทย “สาธารณภัย” หมายความว่า อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาดในมนุษย์ โรคระบาดสัตว์ โรคระบาดสัตว์น้ำ การระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนภัยอื่น ๆ อันมีผลกระทบต่อสาธารณชน ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติ มีผู้ทำให้เกิดขึ้น อุบัติเหตุ หรือเหตุอื่นใด ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือความเสียหายแก่ ทรัพย์สินของประชาชน หรือของรัฐ และให้หมายความรวมถึงภัยทางอากาศ และการก่อวินาศกรรมด้วย ขอบเขตสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข “ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข” (Public Health Emergency) ถือเป็น “สาธารณภัย” ที่ก่อให้เกิด อันตรายต่อชีวิต สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน และเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งมีลักษณะเข้าได้ กับเกณฑ์อย่างน้อย 2 ใน 4 ประการดังนี้ ● ทำให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพที่มีความรุนแรง (seriousness of the public health impact) ได้แก่ โรคหรือภัยที่ทำให้เกิดการป่วยและการตายจำนวนมาก หรือมีอัตราป่วยตายสูง ● เป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติหรือคาดไม่ถึงมาก่อน (unusual or unexpected nature of the event) ● มีโอกาสที่จะแพร่ไปได้สู่พื้นที่อื่น (potential for the event to spread) หมายถึง โรคมีศักยภาพหรือ แนวโน้มที่จะแพร่ไปสู่อำเภออื่น จังหวัดอื่น หรือระบาดข้ามประเทศ ● อาจต้องมีการจำกัดการเคลื่อนที่ของผู้คนหรือสินค้า (the risk that restrictions to travel or trade)
146 ลักษณะโดยทั่วไปของภาวะฉุกเฉิน • มักเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด • ต้องมีการตอบสนองโดยเร่งด่วน มิฉะนั้นอาจก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรง • ทรัพยากรที่ใช้ในการทำงานระดับปกติมักจะไม่เพียงพอที่จะรับมือ • อาจมีบุคลากรหรือทรัพยากรที่หลากหลายเข้ามาเกี่ยวข้อง มีความเข้าใจในสถานการณ์ ทักษะและ ความรู้แตกต่างกัน • เป็นภาวะที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภัยอันตรายกับผู้ปฏิบัติงานสูงกว่าการทำงานในภาวะปกติ แผนการเตรียมความพร้อมระดับชาติ • แผนระดับชาติไม่ได้เตรียมไว้รองรับเหตุการณ์รุนแรงขนาดใหญ่มากๆ • เมื่อมีสถานการณ์ ไม่สามารถติดต่อประสานงานหน่วยงานในการช่วยเหลือได้ • ระบบการสั่งการณ์ระดับชาติ ไม่มีประสิทธิภาพ • หน่วยงานในระดับต่างๆ มีความสับสน และซ้ำซ้อน ในเรื่องของหน้าที่และความรับผิดชอบ • งานเอกสารและแบบฟอร์มต่างๆ ขวางกั้นงานปฏิบัติงานแบบฉับพลันทันทีและเจ้าหน้าที่ไม่คุ้นเคย กับแผนมาก่อน ภาพปัญหาของการทำงาน • หน่วยงานขาดการเตรียมความพร้อม ไม่มีผู้รับผิดชอบงานภาวะฉุกเฉินในภาพรวม • หากไม่มีการเตรียมระบบที่ดีไว้รองรับ หน่วยงานมักตอบโต้ภาวะฉุกเฉินใน 2 รูปแบบ คือ - ใช้บุคลากรหรือทรัพยากรในระดับปกติต่อการรับมือกับภาวะฉุกเฉิน (ไม่เพียงพอ) - มีการระดมทรัพยากรเข้ามาช่วย แต่ขาดการจัดการที่ดี ชัดเจน เป็นระบบ และอาจไม่ได้ คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่