47 มาตรการควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของราชการส่วนท้องถิ่น 1. การออกข้อบัญญัติท้องถิ่น บทบัญญัติมาตรา 32 (1) กำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นควบคุมกิจการ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยการกำหนดประเภทของกิจการตามมาตรา 31 บางกิจการหรือทุกกิจการให้เป็น กิจการที่ต้องควบคุมในท้องถิ่น ซึ่งหมายความว่ากิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพที่รัฐมนตรีประกาศจะมีผลใช้บังคับ ในท้องถิ่นใด ราชการส่วนท้องถิ่นนั้นจะต้องออกข้อบัญญัติของท้องถิ่นกำหนดให้เป็นกิจการที่ต้องควบคุมในท้องถิ่น นั้นเสียก่อน ซึ่งไม่จำเป็นต้องกำหนดทุกประเภทกิจการจะกำหนดกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งหมดหรือเพียง บางส่วนเป็นกิจการที่ต้องควบคุมในท้องถิ่นนั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ากิจการนั้นเป็นปัญหาในเขตท้องถิ่นนั้นหรือไม่ บทบัญญัติมาตรา 32 (2) ยังให้อำนาจแก่ราชการส่วนท้องถิ่นในการควบคุม กำกับ ดูแลการประกอบกิจการเป็น อันตรายต่อสุขภาพในด้านสุขลักษณะ การป้องกันอันตรายและความปลอดภัยด้วย โดยให้อำนกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขทั่วไป สำหรับให้ผู้ดำเนินกิจการปฏิบัติเกี่ยวกับการดูแลสภาพหรือสุขลักษณะของสถานที่ ที่ใช้ดำเนิน กิจการและมาตรการป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ ได้แก่ (1) การดูแลสภาพหรือสุขลักษณะของสถานที่ที่ใช้ดำเนินกิจการ ซึ่งหมายถึง สภาวการณ์สุขาภิบาล สิ่งแวดล้อมของสถานประกอบการ ทั้งในด้านการดูแสรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบของอาคาร การรักษา สภาพการใช้งานของเครื่องมืออุปกรณ์ ระบบการระบายอากาศ แสง เสียง ระบบการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย ให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีและถูกสุขลักษณะ (2) มาตรการป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งหมายถึง ระบบป้องกันอุบัติเหตุ อัคคีภัย ระบบ การกำจัดมลพิษ ระบบการป้องกันการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหาร รวมทั้งระบบป้องกันตนเองของผู้ปฏิบัติใน สถานประกอบการนั้นด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ป ระกอบกิจการ ผู้ปฏิบัติงานและ ประชาชน นอกจากนี้ราชการส่วนท้องถิ่นอาจกำหนดขนาดของกิจการแต่ละประเภทที่ต้องการควบคุมภายใน ท้องถิ่น โดยให้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั่วไป โดยคำนึงถึงความจำเป็น ความเหมาะสม ของสภาพพื้นที่และสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชนในท้องถิ่นนั้นด้วย รวมถึงสามารถ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอ การออก การต่อใบอนุญาต และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตป ระกอบ กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง 2. การออกใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการเป็นมาตรการที่จะป้องกันควบคุมปัญหาตั้งแต่เบื้องต้น บทบัญญัติมาตรา 33 กำหนดว่า "เมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ข้อกำหนดของท้องถิ่นตามมาตรา 32 (1) ใช้บังคับ ห้ามมิให้ผู้ใดดำเนินกิจการตามประเภทที่มีข้อบัญญัติท้องถิ่นกำหนดให้เป็นกิจการที่ต้องมีการควบคุมตาม มาตรา 32 (1) ในลักษณะที่ เป็นการค้า เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น..." ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกอบกิจการใดที่เข้าข่ายเป็นกิจการที่ต้องควบคุมในท้องถิ่นตามที่ราชการส่วนท้องถิ่นกำหนดตามมาตรา 32 (1) ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ประกอบกิจการก่อนที่ข้อบัญญัติท้องถิ่นจะมีการบังคับใช้ หรือเป็นกรณีที่ประกอบกิจการ ภายหลังที่ข้อบัญญัติท้องถิ่นมีผลบังคับใช้ผู้ประกอบกิจการจะต้องขออนุญาตต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ข้อบัญญัติของท้องถิ่นมีผลใช้บังคับสำหรับการต่อหรือไม่ต่อใบอนุญาตนั้น เจ้าพนักงานจะต้อง มีการตรวจสอบกิจการว่าปฏิบัติถูกต้องด้วยสุขลักษณะ เป็นไปตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวงประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น หรือเงื่อนไขที่ระบุในใบอนุญาต
48 3. การควบคุมกำกับกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การควบคุมกำกับกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นมาตรการตรวจสอบว่ากิจการมีสภาพที่ ถูกสุขลักษณะ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งควรตรวจสอบเป็นประจำทุกปี โดยเจ้าพนักงานต้องมีการตรวจสอบอาคารสถานที่ประกอบกิจการ เครื่องมืออุปกรณ์ ความเสี่ยงด้านอนามัย สิ่งแวดล้อม ระบบป้องกันอันตรายหรืออุบัติภัย ระบบกำจัดสิ่งปฏิกูล มูลฝอย และอื่น ๆ ที่จำเป็น เมื่อพิจารณาเห็น ว่าสถานประกอบกิจการถูกต้องด้วยสุขลักษณะ เป็นไปตามกฎหมาย ก็อนุญาตให้ประกอบกิจการ หากเห็นว่า ไม่ถูกต้องแต่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ก็อาจให้เวลาในการปรับปรุงแก้ไขก่อนอนุญาต ส่วนกรณีไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ไม่อาจแก้ไขได้ สามารถมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการได้ทั้งนี้ การพิจารณาว่าสถานประกอบ กิจการปฏิบัติถูกต้องด้วยสุขลักษณะเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ให้พิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด ในข้อบัญญัติท้องถิ่นและกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ - กฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. 2560 - ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดประเภทหรือขนาดของกิจการ และหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่ผู้ขออนุญาตจะต้องดำเนินการก่อนพิจารณาออกใบอนุญาต พ.ศ. 2561 - ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2561 - กฎหมายอื่น เช่น กฎหมายว่าด้วยผังเมือง กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วย โรงงาน กฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. 2560 กฎกระทรวงควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. 2560 ประกาศขึ้น เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรการควบคุมสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพให้เหมาะสมกับ สภาวการณ์ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2560 มีสาระสำคัญสรุป ดังนี้ 1) ผู้ดำเนินกิจการในสถานประกอบกิจการประเภทที่ราชการส่วนท้องถิ่นได้ออกข้อกำหนดให้เป็น กิจการที่ต้องควบคุมและมีผลใช้บังคับในท้องถิ่นนั้นแล้ว ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกระทรวง 2) สถานประกอบกิจการที่ตั้งอยู่ในท้องที่ที่กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง หรือกฎหมายว่าด้วย การควบคุมอาคารมีผลใช้บังคับ สถานประกอบกิจการที่เป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน หรือ สถานประกอบกิจการที่มีการประกอบกิจการเกี่ยวกับวัตถุอันตราย ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น และ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย แล้วแต่กรณี 3) สถานประกอบกิจการต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามค่ามาตรฐาน หลักเกณฑ์ หรือวิธีการตาม ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดเพิ่มเติม ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศของรัฐมนตรีเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ตาม กฎกระทรวงนี้ในเรื่องใด ให้นำหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรการควบคุมสถานประกอบกิจการตามกฎหมายอื่น ที่เกี่ยวข้องมาปรับใช้โดยอนุโลม 4) สถานประกอบกิจการต้องปฏิบัติถูกต้องด้วยสุขลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวงฯ
49 4. การออกคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ดำเนินกิจการไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติ ไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น หรือเงื่อนไขที่ระบุในใบอนุญาต เจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถออกคำสั่งได้ ดังนี้ (1) การออกคำสั่งให้แก้ไขหรือปรับปรุง เป็นมาตรการกำกับดูแลผู้ดำเนินกิจการที่ได้รับอนุญาตแล้ว ปรากฏว่าปฏิบัติไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่งให้แก้ไขหรือปรับปรุงให้ถูกต้องได้ โดยให้กำหนด ระยะเวลาที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งไว้ตามสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่า 7 วัน (2) การออกคำสั่งให้หยุดดำเนินกิจการ ถ้าผู้ดำเนินกิจการไม่ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามคำสั่ง เจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือถ้าการดำเนินกิจการนั้นจะก่อให้เกิดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเกิดอันตราย อย่างร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชน เจ้าพนักงานท้องถิ่นสามารถออกคำสั่งให้หยุดดำเนินกิจการนั้นไว้ทันที เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะปราศจากอันตรายแล้วก็ได้ (3) การสั่งพักใช้ใบอนุญาต เป็นมาตรการควบคุมผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้วไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติ ไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง หรือข้อบัญญัติท้องถิ่น หรือเงื่อนไขที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตได้ภายในเวลาที่เห็นสมควรแต่ต้องไม่เกิน 15 วัน (4) การสั่งเพิกถอนใบอนุญาต เป็นมาตรการที่จะมิให้ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตได้ประกอบกิจการต่อไปเป็น เวลาอย่าน้อย 1 ปี หากเกิดกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ 1) การไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น และเหตุนั้นก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพหรือสภาวะความเป็นอยู่ของประชาชน 2) กรณีที่เคยถูกพักใช้ใบอนุญาตตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป และมีเหตุที่จะต้องถูกพักใช้ อีกหมายความว่าเมื่อต้องถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตครั้งที่ 3 จะสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้ 3) กรณีที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมี อำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้ ผู้ที่ถูกเพิกถอนจะขอรับใบอนุญาตสำหรับกิจการที่ถูกเพิกถอนอีกไม่ได้จนกว่าจะ พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ถูกสั่งเพิกถอนทั้งนี้ ในกรณีที่เจ้าพนักงานสาธารณสุขตรวจพบเหตุที่ไม่ถูกต้องหรือมี การกระทำใดๆ ที่ผ่าฝืนพระราชบัญญัติ กฎกระทรวงข้อบัญญัติท้องถิ่นหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ และเห็นว่าจะมีผลกระทบต่อสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชน หรือจะเป็นอันตราย อย่างร้ายแรง ต่อสุขภาพของประชาชนเป็นส่วนรวม ซึ่งสมควรจะต้องดำเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน ให้เจ้าพนักงาน สาธารณสุขมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้กระทำการไม่ถูกต้องหรือฝ่าฝืน แก้ไขหรือระงับเหตุ หรือดำเนินการใด ๆ เพื่อ แก้ไขหรือระงับเหตุนั้นได้ ตามสมควรแล้วแจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ
50 วิชา โครงสร้างอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายจัดตั้งและกฎหมายกระจายอำนาจ โดย ว่าที่ ร.ต. ณรงค์ศักดิ์ ชมนาวัง และอาจารย์ปิยรัตน์ สุภาพงษ์ กองกฎหมายและระเบียบท้องถิ่น สถ. โครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย มาตรา 4 ให้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้ (๑) ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง (๒) ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค (๓) ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น บริบทของ อปท.ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560
51 อำนาจและหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๔๙ ภายใต้บังคับมาตรา ๑ ให้มีการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักแห่ง การปกครอง ตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามวิธีการและรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กฎหมาย บัญญัติ การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบใดให้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่นและ ความสามารถในการปกครองตนเองในด้านรายได้ จำนวนและความหนาแน่นของประชากร และพื้นที่ที่ต้อง รับผิดชอบ ประกอบกัน มาตรา ๒๕๐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจ ๑. ดูแลและจัดทำบริการสาธารณะ บริการสาธารณะ (Public service) หมายถึง บริการที่นิติบุคคลในกฎหมายมหาชน เช่น ฝ่าย ปกครองจัดให้มีเพื่อตอบสนองความต้องการอันเป็นประโยชน์ของสังคมและปัจเจกชนของสังคม ตัวอย่างบริการ สาธารณะ อาทิ การจัดให้มีทหาร ตำรวจ ตำรวจดับเพลิง การสร้างสาธารณูปโภค เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปาโทรศัพท์ เป็นต้น ๒. กิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น การจัดกิจกรรมสาธารณะ หมายความว่า การจัดกิจกรรมเพื่อประโยชน์ทั่วไปที่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หรือกิจกรรมเพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม เพื่อสาธารณะประโยชน์ร่วมกัน เช่น การพัฒนาชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิต การสาธารณสุขและอนามัย การ อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะวัฒนธรรมประเพณี ทั้งในกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเอง หรือจัด ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น หรือจัดร่วมกับหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานอื่นตามมาตรา 4 แห่ง ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงานการจัดกิจกรรมสาธารณะ การส่งเสริมกีฬา และ การแข่งขันกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓. ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น เนื่องจากการศึกษาเป็นสิทธิ ขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคนที่รัฐต้องจัดให้เพื่อพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัยให้มีความเจริญงอกงามทุกด้าน เพื่อเป็นต้นทุนทางปัญญาที่สำคัญในการพัฒนาทักษะ คุณลักษณะ และสมรรถนะในการประกอบสัมมาชีพ และ การดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างเป็นสุข อันจะนำไปสู่เสถียรภาพ และความมั่นคงของสังคมและ ประเทศชาติที่ต้องพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศในเวทีโลกท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วของโลก
52 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นนิติบุคคล 1. พรบ.อบจ. มาตรา ๘ ให้อบจ.เป็นนิติบุคคลและเป็นราชการส่วนท้องถิ่นเขตของอบจ.ได้แก่ เขตจังหวัด 2. พรบ.เทศบาล (พรบ. ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่ง ป.ป.พ. ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕) มาตรา ๗ ให้องค์กรหรือหน่วยงานที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นทบวงการเมือง ตามความหมายของมาตรา ๗๒ แห่ง ป.พ.พ. ซึ่งถูกยกเลิกโดยมาตรา ๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัตินี้คงมีฐานะเป็นนิติบุคคลต่อไป 3. พรบ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล มาตรา ๔๓ องค์การบริหารส่วนตำบลมีฐานะเป็นนิติบุคคล และเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น โครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การได้มาซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภา ท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด ผู้บริหารท้องถิ่น มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภา ท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ม.9 ม. 35 พ.ร.บ. อบจ./ ม.15 ม. 48 ทวิ พ.ร.บ. เทศบาลฯ/ ม.45 ม.58 พ.ร.บ. อบต.ฯ)
53 อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ตามภารกิจตามกฎหมาย) ๑.กฎหมายทั่วไป 2.กฎหมายกระจายอำนาจ 3. กฎหมายเฉพาะ ๔. ตามนโยบาย พรบ. อบจ. พรบ. เทศบาล พรบ. สภาตำบลและ องค์การบริหารส่วน ตำบล (ต้องทำ/อาจทำ) พรบ. ก าหนดแผนและ ขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ ภารกิจที่จะต้องถ่ายโอน ๖ ด้าน จำนวน ๒๔๕ ภารกิจ การทะเบียนพาณิชย์ ถ่ายโอนถนนทางหลวง สถานีขนส่ง รพ.สต. นมโรงเรียน/อาหารกลางวัน (อานาจตามที่ส่วนราชการถ่าย โอน) พรบ. ควบคุมอาคาร พรบ. ขุดดินถมดิน พรบ. หอพัก พรบ. การสาธารณสุข พรบ. รักษาความสะอาดฯ พรบ. ภาษีที่ดินและสิ่ง ปลูกสร้าง พรบ. การจัดระเบียบ การจอดรถฯ พรบ. อานวยความสะดวก ในการพิจารณาอนุญาตฯ พรบ. ผังเมือง (อำนาจตามที่กฎหมาย กำหนด) รัฐบาล (ครม./มท.) ภารกิจด้านเศรษฐกิจ -การใช้จ่ายเงินสะสม -การใช้น้ำยางพาราทำ ถนน ภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม -การบริหารจัดการขยะ องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น -ภารกิจตามนโยบาย ของผู้บริหาร -ภารกิจตามความ ต้องการของประชาชน (อำนาจที่มีกฎหมาย รองรับ) อำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบล หน้าที่ต้องทำ 1. จัดให้มีและบำรุงรักษาทางน้ำและทางบก 2. รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย การดูแลการจราจรและส่งเสริมสนับสนุนหน่วยงานอื่นในการปฏิบัติ หน้าที่ดังกล่าว 3. รักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดิน และที่สาธารณะ รวมทั้งกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล 4. ป้องกันโรคและระงับโรคติดต่อ 5. ป้องกันและบรรเทาสารธารณภัย 6. จัดการ ส่งเสริม และสนับสนุน 7. การจัดการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรมและการฝึกอบรมให้แก่ประชาชน รวมทั้งการจัดการและ สนับสนุนการดูแล และพัฒนาเด็กเล็กตามแนวทางที่เสนอแนะจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 8. ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุและผู้พิการ 9. คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 10. บำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น 11. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ทางราชการมอบหมายโดยจัดสรรงบประมาณหรือบุคลากรให้ตามความ จำเป็น และสมควร
54 หน้าที่อาจทำ 1. ให้มีน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคและการเกษตร 2. ให้มีและบำรุงการไฟฟ้าหรือแสงสว่างโดยวิธีอื่น 3. ให้มีและบำรุงรักษาทางระบายน้ำ 4. ให้มีและบำรุงสถานที่ประชุมการกีฬาการพักผ่อนหย่อนใจ และสวนสาธารณะ 5. ให้มีและส่งเสริมกลุ่มเกษตรกร และกิจการสหกรณ์ 6. ส่งเสริมให้มีอุตสาหกรรมในครอบครัว 7. บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพของราษฎร 8. การคุ้มครองดูแลและรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน 9. หาผลประโยชน์จากทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนตำบล 10. ให้มีตลาด ท่าเทียบเรือ และท่าข้าม 11. กิจการเกี่ยวกับการพาณิชย์ 12. การท่องเที่ยว 13. การผังเมือง อำนาจหน้าที่ของเทศบาลตำบล หน้าที่ต้องทำ 1. รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน 2. ให้มีและบำรุงทางบกและน้ำ 3. รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย การดูแลการจราจร และสนับสนุน 4. ส่งเสริม หน่วยงานอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว 5. รักษาความสะอาดของถนนหรือทางเดินและที่สาธารณะรวมทั้งการกำจัดมูลฝอย และสิ่งปฏิกูล 6. ป้องกันและระงับโรคติดต่อให้มีเครื่องใช้ในการดับเพลิง 7. จัดการ ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา ศาสนา และการ ฝึกอบรมให้แก่ประชาชน รวมทั้งการ จัดการหรือสนับสนุนการดูแลและพัฒนาเด็กเล็ก 8. ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุและผู้พิการ 9. บำรุงศิลปะ จารีตประเพณี 10. ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น 11. หน้าที่อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของเทศบาล หน้าที่อาจทำ ๑. ให้มีน้ำสะอาดหรือการประปา ๒. ให้มีโรงฆ่าสัตว์ ๓. ให้มีตลาด ท่าเทียบเรือ และท่าข้าม 4. ให้มีสุสานและฌาปนสถาน 5. บำรุงและส่งเสริมการทำมาหากินของราษฏร
55 6. ให้มีและบำรุงสถานที่ทำการพิทักษ์รักษาคนเจ็บไข้ 7. ให้มีและบำรุงการไฟฟ้า หรือแสงสว่างโดยวิธีอื่น 8. ให้มีและบำรุงทางระบายน้ำ 9. เทศพาณิชย์ อำนาจหน้าที่ของเทศบาลเมือง หน้าที่ต้องทำ 1. กิจการตามที่ระบุไว้ในเทศบาลตำบล 2. ให้มีน้ำสะอาดหรือการประปา 3. ให้มีโรงฆ่าสัตว์ 4. ให้มีและบำรุงสถานที่ทำการพิทักษ์และรักษาคนเจ็บไข้ 5. ให้มีและบำรุงทางระบายน้ำ 6. ให้มีและบำรุงส้วมสาธารณะ 7. ให้มีและบำรุงการไฟฟ้าหรือแสงสว่างโดยวิธีอื่น 8. ให้มีการดำเนินกิจการโรงรับจำนำ หรือสถานสินเชื่อท้องถิ่น 9. จัดระเบียบการจราจร หรือร่วมมือกับหน่วยงานอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว หน้าที่อาจทำ 1. ให้มีตลาด ท่าเทียบเรือ และท่าข้าม 2. ให้มีสุสานและฌาปนสถาน 3. บำรุงและส่งเสริมการทฎมาหากินของราษฏร 4. ให้มีและบำรุงการสงเคราะห์มารดาและเด็ก 5. ให้มีและบำรุงโรงพยาบาล 6. ให้มีการสาธารณูปการ 7. จัดทำกิจการซึ่งจำเป็นเพื่อการสาธารณสุข 8. จัดตั้งและบำรุงโรงเรียนอาชีวศึกษา 9. ให้มีและบำรุงสถานที่ สำหรับการกีฬาและพลศึกษา 10. ให้มีและบำรุงสวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ 11. ปรับปรุงแหล่งเสื่อมโทรม และรักษาความสะอาดเรียบร้อยของท้องถิ่น 12. เทศพาณิชย์ อำนาจหน้าที่ของเทศบาลนคร หน้าที่ต้องทำ 1. กิจการตามที่ระบุไว้ในเทศบาลเมือง 2. ให้มีและบำรุงการสงเคราะห์มารดาและเด็ก 3. กิจการอื่นซึ่งจำเป็นเพื่อการสาธารณสุข 4. การควบคุมลักษณะและอนามัยในร้านจำหน่ายอาหาร โรงมหรสพ และ สถานบริการอื่น 5. จัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยและการปรับปรุงแหล่งเสื่อมโทรม
56 6. จัดให้มีและควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือท่าข้าม และที่จอดรถ 7. การวางผังเมืองและการควบคุมการก่อสร้าง 8. การส่งเสริมกิจการท่องเที่ยว หน้าที่อาจทำ เทศบาลนครอาจจัดทำกิจการอื่น ๆ ตามเทศบาลเมือง อำนาจหน้าที่ของ อบจ. ตาม พรบ. อบจ. 1. ตราข้อบัญญัติโดยไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย 2. จัดทำแผนพัฒนา อบจ. และประสานการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรี กำหนด 3. สนับสนุนสภาตำบลและราชการส่วนท้องถิ่นอื่นในการพัฒนาท้องถิ่น 4. ประสานและให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ของสภาตำบลและราชการส่วนท้องถิ่นอื่น 5. แบ่งสรรเงินซึ่งตามกฎหมายจะต้องแบ่งให้แก่สภาตำบลและราชการส่วนท้องถิ่นอื่น 6. อำนาจหน้าที่ของจังหวัดตาม พ.ร.บ. อบจ. เฉพาะภายในเขตสภาตำบล 7. ให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุนในการดูแลการจราจรและการรักษาความสงบเรียบร้อย 8. คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 9. บำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น 10. จัดการ ส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการศึกษารวมทั้งการจัดการหรือสนับสนุนการดูแลและ พัฒนาเด็กเล็ก 11. จัดทำกิจการใด ๆ อันเป็นอำนาจหน้าที่ของราชการส่วนท้องถิ่นอื่นที่อยู่ในเขต อบจ.และกิจการ นั้นเป็นการสมควรให้ราชการส่วนท้องถิ่นอื่นร่วมกันดำเนินการหรือให้อบจ. จัดทำ ทั้งนี้ ตามที่กำหนด ในกฎกระทรวง 12. จัดทำกิจการอื่นใดตามที่กำหนดไว้ใน พรบ.นี้หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ อบจ. **บรรดาอำนาจหน้าที่ใดซึ่งเป็นของราชการส่วนกลาง หรือราชการส่วนภูมิภาค อาจมอบให้องค์การบริหารส่วน จังหวัดปฏิบัติได้ ทั้งนี้ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง กิจการนอกเขต (อบจ. ม. ๔๖ + ตามกฎกระทรวง (ฉบับที่ 2), เทศบาล ม. 57 ทวิ, อบต. ม. 73, หนังสือ กระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0804.3/ว 0315 ลว. 17 ม.ค. 2562) ได้วางหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 1.1 การนั้นจำเป็นต้องกระทำและเป็นการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการที่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ องค์การบริหารส่วนจังหวัดและเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1.2 ได้รับความยินยอมจากสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ 1.3 ได้รับความยินยอมจากสภาแห่งราชการส่วนท้องถิ่นหรือสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี
57 2. เทศบาล 2.1 การนั้นจำเป็นต้องกระทำและเป็นการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการที่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของตน 2.2 ได้รับความยินยอมจากสภาสภาเทศบาล คณะกรรมการสุขาภิบาล สภาจังหวัด หรือสภาตำบล แห่งท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง 2.3 ได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 3. องค์การบริหารส่วนตำบล 3.1 ได้รับความยินยอมจากสภาสภาองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือหน่วย การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง และ 3.2 การนั้นจำเป็นต้องกระทำและเป็นการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการที่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของตน อำนาจหน้าที่ของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล ตามกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ 1. การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง 2. การจัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ 3. การจัดให้มีและควบคุมตลาด ท่าเทียบ และที่จอดรถ 4. การสาธารณูปโภคและการก่อสร้างอื่น ๆ 5. การสาธารณูปการ 6. การส่งเสริมการฝึก และประกอบอาชีพ 7. การพาณิชย์ และการส่งเสริมการลงทุน 8. การส่งเสริมการท่องเที่ยว 9. การจัดการศึกษา 10. การสังคมสงเคราะห์ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และ ผู้ด้อยโอกาส 11. การบำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น 12. การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดและการจัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย 13. การจัดให้มีและบำรุงรักษาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ 14. การส่งเสริมกีฬา 15. การส่งเสริมประชาธิปไตย ความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพของประชาชน 16. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการพัฒนาท้องถิ่น 17. การรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 18. การกำจัดมูลฝอย สิ่งปฏิกูล และน้ำเสีย 19. การสาธารณสุข การอนามัยครอบครัว และการรักษาพยาบาล 20. การจัดให้มีและควบคุมสุสานและฌาปนสถาน 21. การควบคุมการเลี้ยงสัตว์ 22. การจัดให้มีและควบคุมการฆ่าสัตว์
58 23. การรักษาความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการอนามัย โรงมหรสพ และ สาธารณสถานอื่น ๆ 24. การจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม 25. การผังเมือง 26. การขนส่งและการวิศวกรรมจราจร 27. การดูแลรักษาที่สาธารณะ 28. การควบคุมอาคาร 29. การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 30. การรักษาความสงบเรียบร้อย การส่งเสริมและ สนับสนุนการป้องกันและรักษาความปลอดภัยใน ชีวิตและทรัพย์สิน 31. กิจการอื่นใดที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด กฎหมายควบคุมการปฏิบัติงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1. พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ 2. พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 3. พระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 4. พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 5. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ 6. พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 7. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 8. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 9. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
59 วิชา บทบาท อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายกระจายอำนาจ โดย ว่าที่ ร.ต. ณรงค์ศักดิ์ ชมนาวัง และอาจารย์ปิยรัตน์ สุภาพงษ์กองกฎหมายและระเบียบท้องถิ่น สถ. อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญ ๑. ดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตาม หลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๒. ส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ๓. พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ๔. จัดบริการสาธารณะที่ใกลชิดกับประชาชน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิต เช่น การคมนาคม การป้องกันโรค การป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย การรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ฯลฯ หลักการกระจายอำนาจทางปกครอง (Decentralization) รัฐมอบอำนาจปกครองบ้างส่วนใหองค์กรอื่นนอกจากองค์กรราชการบริหารส่วนกลาง จัดทำบริการ สาธารณะบางอย่างโดยมีความเป็นอิสระตำมสมควร ไม่ขึ้นอยู่กับการบังคับบัญชาของราชการบริหารส่วนกลาง เพียงแต่อยู่ในกำกับเท่านั้น ลักษณะของการกระจายอำนาจทางปกครอง ๑. มีการแยกหน่วยงานออกไปเป็นองคการนิติบุคคลอิสระจากองค์การของราชการบริหารส่วนกลาง ๒. นิติบุคคลเหล่านี้มีฐานะเป็นนิติบุคคลในกฎหมายมหาชน ๓. มีการเลือกตั้ง ๔. มีความเป็นอิสระที่จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้เอง โดยไม่ต้องรับคำสั่งหรืออยู่ใต้บังคับ ๕. งบประมาณและเจ้าหน้าที่ของตนเอง ที่มาของพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 78 กำหนดว่า “รัฐจะต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพึ่งตนเอง และตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นได้เอง พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ ในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น” มาตรา 284 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติให้มีกฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอน การกระจายอำนาจเพื่อพัฒนาการกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ การกำหนดอำนาจหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะ และการจัดสรรสัดส่วนภาษีและอากรขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น และให้มีคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยผู้แทนของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ทรงคุณวุฒิ มีจำนวนฝ่ายละเท่ากันเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว
60 พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดอำนาจและหน้ที่ในการจัดบริการสาธารณะระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และระหว่าง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเอง โดยพยายามถ่ายโอนภารกิจหน้าที่หลายประการที่รัฐดำเนินการอยู่ ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็สามารถรับผิดชอบในการดำเนินการได้ รวมทั้งกำหนด ให้มีการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เหมาะสมกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายตามระเบียบบริหาร ราชการแผ่นดินของประเทศไทย แนวทางการดำเนินการตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น - แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฉบับที่ 1 (ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2545) - แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฉบับที่ 2 (ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2551) ได้จัดแบ่งกรอบการให้บริการสาธารณะออกเป็น 6 ด้าน 1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2. ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต 3. ด้านการจัดระเบียบชุมชน สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย 4. ด้านการวางแผน การส่งเสริมการลงทุน พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว 5. ด้านการบริหารจัดการ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม 6. ด้านศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 1.1 การคมนาคมและการขนส่ง 1. ทางบก อาทิ การก่อสร้างและบำรุงรักษาถนนและสะพาน การดูแล จัดตั้งสถานีขนส่ง และ การจัดการจราจรในเขตพื้นที่ 2. ทางน้ำ เช่น การบำรุงรักษาทางน้ำ การก่อสร้างและดูแลสถานีขนส่งทางน้ำ (ท่าเทียบเรือ) 1.2 สาธารณูปโภค 1. แหล่งน้ำ / ระบบประปาชนบท อาทิ การดูแล รักษา พัฒนา ซ่อมบำรุงแหล่งน้ำ และระบบ ประปาชนบท 1.3 สาธารณูปการ 1. การจัดให้มีตลาด อาทิ การจัดให้มีและการควบคุมตลาด 2. การจัดตั้งและดูแลตลาดกลาง 3. การผังเมือง อาทิ การจัดทำผังเมืองรวมจังหวัด และการวางและปรับปรุงผังเมืองรวม 4. การควบคุมอาคาร อาทิ การควบคุมอาคาร และการเปรียบเทียบปรับคดีความผิดตามกฎหมาย ว่าด้วยการควบคุมอาคาร
61 2. ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต 2.1 การส่งเสริมอาชีพ อาทิ การฝึกอบรม ส่งเสริม พัฒนากลุ่มอาชีพต่าง ๆ 2.2 งานสวัสดิการสังคม 1. การสังคมสงเคราะห์พัฒนาคุณภาพชีวิต เด็ก สตรี คนชรา ผู้ด้อยโอกาส อาทิ งานศูนย์พัฒนา เด็กเล็ก การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพคนพิการ และการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้ป่วย เอดส์ เป็นต้น 2.3 นันทนาการ 1. การส่งเสริมการกีฬา อาทิ การจัดหาอุปกรณ์กีฬา การก่อสร้าง บำรุงรักษาสนามกีฬา ๒. การจัดให้มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อาทิ การบริหารจัดการ ดูแล บำรุง รักษาสวนสาธารณะ 2.4 การศึกษา 1. การจัดการศึกษาในระบบ อาทิ การจัดการศึกษาก่อนวัยเรียน หรือปฐมวัย การจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐาน และการจัดการศึกษาสงเคราะห์ 2. การศึกษานอกระบบ อาทิ การบริการการศึกษานอกโรงเรียนระดับอำเภอ และการจัด การศึกษาระดับเขต งานห้องสมุดประชาชน เป็นต้น 2.5 การสาธารณสุข 1. การสาธารณสุขและการรักษาพยาบาล อาทิ การส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหา สุขภาพจิต และการส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็ก การพัฒนาอนามัยบนพื้นที่สูง 2. การป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อ อาทิ การควบคุมโรคติดต่อ งานสนับสนุนเงินอุดหนุนในการ สงเคราะห์ผู้ป่วยโรคเรื้อน ค่าสังคมสงเคราะห์และค่าฌาปนกิจ 3. ด้านการจัดระเบียบชุมชน สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย 1. การส่งเสริมประชาธิปไตยความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพของประชาชน อาทิ งานตรวจมาตรา ชั่ง ตวง วัด และการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคแก่ผู้บริโภค 2. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น อาทิ การป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล 3. การป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย อาทิ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเบื้องต้น 4. การรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อาทิ การทะเบียนราษฎร และบัตรประจำตัวประชาชน และงานจัดทะเบียนสัตว์พาหนะ 4. ด้านการวางแผน การส่งเสริมการลงทุน พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว 1. การวางแผนพัฒนาท้องถิ่น อาทิ การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น การประสานจัดทำแผนพัฒนา จังหวัด และการจัดระบบข้อมูลเพื่อการวางแผน 2. การพัฒนาเทคโนโลยี อาทิ การบริการ และถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรชุมชน 3. การส่งเสริมการลงทุน อาทิ งานบริการข้อมูลนักลงทุน และงานเผยแพร่และชักจูงการลงทุน 4. การพาณิชยกรรม อาทิ งานทะเบียนพาณิชย์
62 5. การพัฒนาอุตสาหกรรม อาทิ การกำกับ ดูแลโรงงาน การอนุญาตให้ตั้งโรงงาน 6. การท่องเที่ยว อาทิ การวางแผนการท่องเที่ยว การปรับปรุงดูแล บำรุงรักษาสถานที่ท่องเที่ยว และจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ 5. ด้านการบริหารจัดการ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม 1. การคุ้มครองดูแล บำรุงรักษา ใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาทิ งานพัฒนาป่าชุมชน การควบคุมไฟป่า เป็นต้น 2. การจัดการสิ่งแวดล้อมและมลพิษต่าง ๆ อาทิ การติดตาม ตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและ มลพิษ งานสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม งานตรวจสอบคุณภาพน้ำ งานตรวจสอบคุณภาพอากาศและเสียง และ การบำบัด น้ำเสีย 3. การดูแลรักษาที่สาธารณะ อาทิ การดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่สาธารณะประโยชน์ 6. ด้านศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. การจัดการดูแลโบราณสถาน โบราณวัตถุ อาทิ การบำรุงรักษาโบราณสถาน 2. การจัดการดูแลพิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุ รูปแบบการดำเนินการ มีการถ่ายโอนงานบริการสาธารณะที่เป็นการดำเนินการซ้ำซ้อนระหว่างรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือภารกิจที่รัฐจัดให้บริการในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือภารกิจที่รัฐจัดให้บริการในเขตองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นและส่งผลกระทบกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นหรือภารกิจที่เป็นการดำเนินการตามนโยบาย รัฐบาล ภารกิจทั้งหมดนี้ต้องถ่ายโอนภายใน 4 ปี (พ.ศ. 2544 - 2547) และอาจให้แตกต่างกันได้แต่ไม่เกิน 10 ปี (พ.ศ. 2553) พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 30 แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ดำเนินการ ดังนี้ (1) ให้ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจการให้บริการสาธารณะที่รัฐดำเนินการอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในกำหนดเวลา ดังนี้ (ก) ภารกิจที่เป็นการดำเนินการซ้ำซ้อนระหว่างรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือภารกิจที่รัฐ จัดให้บริการในเขตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในสี่ปี (ข) ภารกิจที่รัฐจัดให้บริการในเขตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและกระทบถึงองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นอื่น ให้ดำเนินกรให้เสร็จสิ้นภายในสี่ปี (ค) ภารกิจที่เป็นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในสี่ปี (2) กำหนดขอบเขตความรับผิดชอบในการให้บริการสาธารณะของรัฐและขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น และระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเองตามอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
63 ให้ชัดเจน โดยในระยะแรกอาจกำหนดภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้แตกต่างกันได้ โดยให้เป็นไปตาม ความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่ง ซึ่งต้องพิจารณาจากรายได้และบุคลากรขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นนั้น จำนวนประชากร ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ตลอดจนคุณภาพในการให้บริการที่ประชาชนจะ ได้รับ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินระยะเวลาสิบปี (3) กำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ให้รัฐทำหน้าที่ประสานความร่วมมือและช่วยเหลือการดำเนินงาน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ (4) กำหนดการจัดสรรภาษีและอากร เงินอุดหนุน และรายได้อื่นให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภทอย่าง เหมาะสม โดยตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้นไป ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้ คิดเป็นสัดส่วน ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้า และโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีรายได้เพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละสามสิบห้า โดยการจัดสรร สัดส่วนที่เป็นธรรมแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และคำนึงถึงรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นด้วย การเพิ่มสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลตามวรรคหนึ่งให้ เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่เหมาะสมแก่การพัฒนาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินกิจการบริการ สาธารณะได้ด้วยตนเอง และให้เป็นไปตามภารกิจที่ถ่ายโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ถ่ายโอนเพิ่มขึ้น ภายหลังปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป แต่ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้ต้องมีจำนวน ไม่น้อยกว่าเงินอุดหนุนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 (5) การจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในส่วนที่เกี่ยวกับ การบริการสาธารณะในเขตองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ให้รัฐจัดสรรเงินอุดหนุนให้เป็นไปตามความจำเป็นและความต้องการขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นนั้น รูปแบบการดำเนินการให้บริการสาธารณะ 1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะดำเนินการเอง 2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการร่วมกับรัฐ 3) ภารกิจที่รัฐยังดำเนินการอยู่ แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้
64 วิชา การป้องกันและควบคุมโรคอุบัติใหม่หรือโรคติดต่อ โดย นางฉวีวรรณ นาคอุไร นักวิชาการอิสระ การป้องกันควบคุมโรคติดต่อ โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (Emerging Infectious Diseases) หมายถึง โรคติดเชื้อชนิดใหม่ๆ ที่มีรายงาน ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา หรือ โรคติดเชื้อที่มีแนวโน้มที่จะพบมากขึ้นในอนาคต โรคที่เกิดขึ้นใหม่ในที่ใดที่หนึ่ง หรือ โรคที่เพิ่งจะแพร่ระบาดเข้าไปสู่อีกที่หนึ่ง โรคติดเชื้อที่เคยควบคุมได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่เกิดการดื้อยา เช่น SARS โรคเอดส์ ไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีกหรือไข้หวัดนก และวัณโรคดื้อยา โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ (Re-Emerging Infectious Diseases) คือ โรคติดเชื้อที่เคยแพร่ระบาดในอดีต และ สงบไปแล้วเป็นเวลานานหลายปี แต่กลับมาระบาดขึ้นอีก เช่น วัณโรค ไข้เลือดออก และมาลาเรีย เป็นต้น นิยาม : องค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นโรคติดต่อที่มีอุบัติการณ์ในมนุษย์เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงที่เพิ่งผ่านมา หรือ มีแนวโน้ม ความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่มโรค ๑. โรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อใหม่ (New Infectious Diseases) ๒. โรคติดต่อที่พบในพื้นที่ใหม่ (New Geographical Areas) เช่น ซาร์ส ๓. โรคติดต่ออุบัติซ้ำ (Re-Emerging Infectious Diseases) เช่น กาฬโรค ๔. เชื้อโรคดื้อยา (Antimicrobial Resistant Organism) ๕. อาวุธชีวภาพ (Deliberate use of bio-weapons) ใช้เชื้อโรคหลายชนิดผลิตเป็นอาวุธ เช่น เชื้อแอนแทรกซ์ ไข้ทรพิษ 1. โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส (MERS) สาเหตุ : เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา (MERS-COV) ระยะพักตัว 2-14 วัน มีอูฐและค้างคาว เป็นพาหะ นำโรค ซึ่งสามารถติดต่อได้จากการแพร่เชื้อระหว่างคนสู่คน โดยผ่านทางเสมหะของผู้ป่วยจากการไอ และการให้ การดูแลสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วย โดยไม่มีการป้องกันตนเอง การแพร่เชื้อระหว่างสัตว์สู่คน โดยการสัมผัสสัตว์ และดื่มน้ำนมดิบจากสัตว์โดยเฉพาะน้ำนมดิบจากอูฐ และสัตว์จำพวกตระกูลอูฐ เช่น อัลปาก้า
65 อาการ : มีไข้ไอ หรือน้ำมูก บางรายมีอาการท้องเสีย อาเจียน และในรายที่มีอาการรุนแรง จะมี อาการหายใจลำบาก หอบ ปอดอักเสบ ไตวาย เสียชีวิตได้ การรักษา : เป็นการรักษาตามอาการแบบประคับประคอง ยังไม่มีวัคซีน และยารักษาที่จำเพาะ ความเสี่ยงของการพบโรคเมอร์สในคนของประเทศไทย 1. ผู้ป่วยจากต่างประเทศที่เดินทางเข้ามารับการรักษาอย่างต่อเนื่องในไทยตามนโยบายศูนย์กลาง บริการด้านสุขภาพนานาชาติ (Medical hub) 2. ประชาชนชาวไทยเดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนา 3. นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าพื้นที่ที่มีการระบาดและที่เดินทางเข้าไทย ความเสี่ยงของการพบโรคเมอร์สในสัตว์ของประเทศไทย 1. ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด แต่สัตว์ที่เลี้ยงใน private sector (petting zoo) อาจมีความเสี่ยงสูงกว่า สัตว์ในกลุ่มอื่น 2. ความเสี่ยงของการติดต่อโรคจากคนสู่สัตว์ มาตรการการป้องกันควบคุมโรค - มาตรการการประเมินความเสี่ยง และการป้องกัน การติดตามสถานการณ์ และวิเคราะห์การระบาด อย่างต่อเนื่อง - มาตรการการวินิจฉัยดูแลรักษา/การส่งต่อ/การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยดำเนินการตามแนว ทางการรักษา/ระบบป้องกันการติดเชื้อ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยมีศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 เขต ทั่วประเทศ - มาตรการสื่อสารความเสี่ยง เป็นการสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนทั่วไป ผู้เดินทางกลับจากแสวง บุญ ผู้ป่วยสงสัยในรูปแบบต่างๆ ทั้งภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ พร้อมทั้งจัดทำข่าว เพื่อประชาสัมพันธ์/ เตรียมแผนการ สื่อสารความเสี่ยง - มาตรการ การบริหารจัดการ ประชุม ติดตาม สั่งการ การเตรียมพร้อมการบริหารจัดการ EOC ในกรมควบคุมโรค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผน (Business Continuity Plan : BCP) พิจารณาประกาศ เป็นโรคติดต่ออันตราย โดยประเมินจากความรุนแรงของสถานการณ์ คำแนะนำ สำหรับผู้เดินทาง/นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด 1. ควรหลีกเสี่ยงการเข้าไปในสถานพยาบาลในช่วงที่มีการระบาดของโรค 2. หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจหรือผู้ที่มีอาการไอหรือจาม 3. หลีกเลี่ยงการเข้าไปหรือสัมผัสฟาร์มสัตว์หรือสัตว์ป่าต่างๆ หรือดื่มน้ำนมดิบ โดยเฉพาะ น้ำนมอูฐ 4. ปฏิบัติตามสุขอนามัย กินร้อน ข้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสบู่ 5 ถ้ามีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ควรหลีกเสี่ยงการสัมผัสคลุกคลีกับบุคคลอื่น และรีบไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ 6. หลังกลับจากการเดินทาง หากภายใน 14 วัน มีอาการไข้ ไอ หรือเจ็บคอ หรือมีน้ำมูก ให้รีบไปพบ แพทย์ทันที หรือโทร 1669 พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง
66 2. โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease) สาเหตุ : เกิดจาก เชื้อ Ebolavirus ระยะฟักตัว 2 - 21 วัน มีพาหะนำโรค คือ ลิง ซึ่งมีการติดต่อ จากสัตว์ โดยการสัมผัสตัวสัตว์สารคัดหลั่ง กับเลือดหรือเครื่องในของสัตว์ป่าที่ติดเชื้อและจากการชำแหละสัตว์เลี้ยง ลูกด้วยนมที่ตายจากการติดเชื้อ และมีการติดต่อจากคนสู่คน สัมผัสกับเลือด หรือสารคัดหลั่ง ได้แก่ น้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำอสุจิ (นาน 2 เดือน) และสัมผัสโดยตรงกับร่างกายของผู้เสียชีวิต อาการ : ไข้สูงเฉียบพลัน อ่อนเพลียมาก ปวดศีรษะและเจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อมาก อาเจียน ท้องเสีย มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ ผื่นเลือดออกที่ผิวหนังตับ และไตทำงานบกพร่อง การรักษา : ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคอีโบลา และยารักษาจำเพาะ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ มาตรการ การป้องกัน ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ดำเนินการสอดคล้องกับ WHO ตามประกาศ PHEIC ดังนี้ 1. การจัดระบบเฝ้าระวังโรคในคน ดำเนินการติดตามสถานการณ์ร่วมกับ WHO ประเมินความเสี่ยง อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดและติดตามเฝ้าระวังในผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีโรคระบาด มีคัดกรอง ที่ด่านควบคุมโรคที่สนามบินนานาชาติทุกแห่งและติดตามอาการจนครบ 21 วัน 2. การจัดระบบเฝ้าระวังโรคในสัตว์ กรมปศุสัตว์ ชะลอการนำเข้าสินค้า (สัตว์/ซากสัตว์) จากประเทศ ที่มีรายงานการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา รวมทั้งเฝ้าระวังการนำเข้า ทั้งทางท่าอากาศยาน ท่าเรือ และ ชายแดน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชะลอการรับคำขออนุญาตให้นำเข้า หรือนำผ่าน ซึ่งสัตว์ป่าและซากของสัตว์ป่าจากประเทศที่มีการรายงานการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา พร้อมทั้งเฝ้าระวัง สัตว์นำเข้าจากต่างประเทศ ๓. การดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล สถานพยาบาลมีห้องแยก ความดันลบ ทุกจังหวัด และให้ปฏิบัติตามหลักการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลเหมือนผู้ป่วยโรคติดต่ออันตรายสูงอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งให้คำแนะนำการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสอีโบลาสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และติดตามการใช้และจัดหาชุดพร้อมอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ สำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อปฏิบัติงาน ในโรงพยาบาลและในพื้นที่ การรักษาผู้ป่วยให้ปฏิบัติตามแนวทางการวินิจฉัย ดูแลรักษา และควบคุมป้องกัน การติดเชื้อจากกรมการแพทย์ ทั้งนี้มีการให้คำปรึกษาแก่แพทย์ พยาบาลในการรักษา ตลอด 24 ชั่วโมง 4. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงาน เครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อให้มีการเตรียมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ต้องมีห้อง เป็นแบบห้องชีวนิรภัยระดับ 3+ ขึ้นไป ใช้กับเชื้อที่แพร่ทางเลือด ปาก และผิวหนัง และประตูห้องปิด-เปิดอัตโนมัติ มีเครื่องอบฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำความดันสูง คำแนะนำสำหรับประชาชนและผู้เดินทาง 1. หลีกเลี่ยงหรือชะลอการเดินทางไปในประเทศที่มีการระบาด 2. หากจำเป็นต้องเดินทางไปประเทศที่มีการระบาด ต้องไม่รับประทานเนื้อสัตว์ป่าทุกชนิด หรือ อาหารเมนูพิสดารที่ใช้สัตว์ป่า หรือสัตว์แปลกๆ มาประกอบอาหาร 3. ไม่สัมผัสสัตว์ป่าทุกชนิด โดยเฉพาะสัตว์จำพวก ลิง หรือค้างคาว
67 4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น เลือด น้ำเหลือง หรือสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยที่อาจ ปนเปื้อนกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย หรือศพของผู้ป่วยที่เสียชีวิต 5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย หากมีความจำเป็นให้สวมอุปกรณ์ป้องกันร่างกาย และล้างมือ บ่อยๆ ด้วยน้ำ และสบู่ให้สะอาด 6. ไม่ล้วง แคะ แกะ เกา และขยี้ตา ด้วยมือที่ยังไม่ได้ล้างให้สะอาด 7. ไม่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่นอน หรือคู่รัก 8. ไม่ซื้อยากินเอง เวลาเจ็บป่วยด้วยอาการไข้ 9. หากมีอาการป่วย เช่น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสียและมี ผื่นนูนแดงตามตัว ให้รีบพบแพทย์ทันทีพร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง 3. โรคไข้หวัดนก (Avian Influenza) สถานการณ์ในประเทศไทย พบผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดนกรายแรก เมื่อกรกฎาคม ปี 2547 และผู้ป่วยราย สุดท้าย ในปี 2549 มีผู้ป่วยสะสม 25 ราย เสียชีวิต 17 ราย ข้อมูลจากสำนักควบคุมและบำบัดโรคสัตว์ รายงาน เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 สถานการณ์ไข้หวัดนก และสัตว์ปีกป่วยตายผิดปกติในประเทศไทย ไม่มีโรคไข้หวัด นก เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นเวลา 13 ปี (นับจากทำลายสัตว์ปีกรายสุดท้าย วันที่ 12 พฤศจิกายน 2551) สาเหตุ : เชื้อ Avian Influenza virus มี 3 ชนิด คือ A, B และ C โดยเชื้อไข้หวัดนกนั้น จัดอยู่ใน ชนิด A ซึ่งขณะนี้มีเชื้อไข้หวัดนกติดต่อผ่านสัตว์สู่คน ได้แก่ H5N1 HZN9 HIN6 มีระยะฟักตัว 2 – 8 วัน คนสามารถติดเชื้อจากสัตว์ได้โดยจากการสัมผัสกับสัตว์ป่วยโดยตรง จากการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งจากสัตว์ที่เป็นโรค เช่น อุจจาระ น้ำมูก น้ำตา น้ำลายของสัตว์ที่ป่วย โดยเมื่อสัมผัสสัตว์ที่ป่วยแล้วมักเอามือมาสัมผัสกับหน้า จมูก หรือปากตนเอง ทำให้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย อาการ : มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ บางครั้งพบว่ามีอาการ ตาแดงร่วมด้วย อาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวม ระบบหายใจล้มเหลว โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ การรักษา : ยาโอลเซลทามิเวียร์ โดยยาจะแบ่งออกเป็น 3 ขนาด สำหรับผู้ใหญ่ เด็กโต และเด็กเล็ก มาตรการรับมือป้องกันโรคไข้หวัดนก 1. การเฝ้าระวังโรคในคน เป็นการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และวิเคราะห์ ความเสี่ยงการเกิดโรคระบาด การเฝ้าระวังผู้ป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ (Influenza-like illness (ILI) surveillance) การเฝ้าระวังเหตุการณ์ (Event-based surveillance) สอบสวนโรคผู้ป่วยที่มีการสัมผัสสัตว์ปีกก่อนป่วยในช่วง 2 สัปดาห์ และแนวทางการคัดกรองโรค 2. การเฝ้าระวังโรคในสัตว์ เป็นการซ้อมแผนการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในทุกจังหวัด รณรงค์ฉีดพ่นยา ฆ่าเชื้อโดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวชายแดนที่มีการเลี้ยงสัตว์ปีกหนาแน่นพื้นที่สนามชนไก่ ตลาดค้า สัตว์ปีกมีชีวิต เป็ดไล่ทุ่ง และไก่พื้นเมือง ที่เลี้ยงปล่อยหลังบ้าน ด่านกักกันสัตว์ตรวจสอบการลักลอบสัตว์ปีกเข้า ออกตามแนว ชายแดน และการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีก ต้องมีใบอนุญาตทุกครั้ง พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชน และผู้เดินทางเข้า ออกประเทศไทย หากประชาชนพบสัตว์ปีกป่วยตายผิดปกติ ห้ามนำไป ประกอบอาหารโดยเด็ดขาด และให้ฝังกลบทำลายซากสัตว์ที่ตาย และขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ หรือ สายด่วนกรมปศุสัตว์โทร 0-9630-11946
68 คำแนะนำ 1. คำแนะนำผู้บริโภคไก่ และผลิตภัณฑ์จากไก่ สำหรับเนื้อไก่/เป็ด ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดในขณะนี้ มีความปลอดภัย สามารถบริโภคได้ตามปกติ แต่ต้องปรุงให้สุกก่อนรับประทาน ผู้บริโภคไก่และผลิตภัณฑ์จากไก่ ควรรับประทานเนื้อที่ปรุงสุกเท่านั้น และงดรับประทานเนื้อไก่/เป็ดที่กึ่งสุกกึ่งดิบ 2. คำแนะนำผู้ประกอบอาหาร (เพื่อการจำหน่ายและเตรียมอาหารในครัวเรือน) ควรเลือกซื้อไก่ เป็ด สดที่ไม่มีลักษณะบ่งชี้ว่าอาจตายด้วยโรคติดเชื้อ เช่น เนื้อมีสีคล้ำ มีจุดเลือดออก เป็นต้น ไข่ ควรเลือกฟองที่ดูสด ใหม่ และไม่มีมูลไก่ติดเปื้อนที่เปลือกไข่ ก่อนปรุงควรนำมาล้างให้สะอาดก่อน ไม่ใช้มือที่เปื้อนมาจับต้องจมูก ตา และปาก และหมั่นล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจับต้องเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์และเปลือกไข่ที่มีมูลสัตว์ เปื้อน และแยกเขียงสำหรับหั่นอาหารที่ปรุงสุกแล้ว หรือ ผักผลไม้โดยเฉพาะ ไม่ใช้เขียงเดียวกัน 3. คำแนะนำ ผู้ขนย้ายสัตว์ปีก ให้งดซื้อสัตว์จากฟาร์มที่มีสัตว์ตายมากผิดปกติ เมื่อขนส่งสัตว์เสร็จใน แต่ละวัน ต้องรีบล้างทำความสะอาดรถให้สะอาด สำหรับกรงขังสัตว์ควรราดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อซ้ำอีกครั้ง และควร ดูแลระมัดระวังตนเอง โดยใช้อุปกรณ์ป้องกันร่างกาย เช่น ผ้าปิดปากจมูก ถุงมือ รองเท้าบู๊ท และต้องหมั่นล้างมือ บ่อย ๆ ควรรีบอาบน้ำชำระร่างกายด้วยน้ำและล้างให้สะอาด และต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกครั้งหลังปฏิบัติเสร็จ ส่วน เสื้อผ้าชุดเดิม พลาสติกหรือผ้ากันเปื้อน ผ้าปิดปากจมูก ถุงมือ แว่นตา ควรนำไปซักหรือล้างให้สะอาด และผึ่งกลาง แดดให้แห้งสนิท ก่อนนำมาใช้อีกครั้ง 4. คำแนะนำเกษตรกร หากมีไก่ เป็ดป่วยหรือตาย ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ให้รีบปรึกษาเจ้าหน้าที่ ปศุสัตว์ในพื้นที่ทันที ต้องไม่นำไก่ เป็ด ที่ป่วยหรือตายออกมาจำหน่าย และทำลายตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด และเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อมาสู่สัตว์อื่น หรือคน เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ต้องป้องกันสัตว์ปีก ของตนเองไม่ให้ติดเชื้อไข้หวัดนก โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่าง เคร่งครัด ๔. โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) สาเหตุ : Influenza virus มี 3 ชนิด คือ A, B และ C ชนิด A เป็นชนิดที่ทำให้เกิดการระบาดอย่าง กว้างขวางทั่วโลก ชนิด B ทำให้เกิดการระบาดในพื้นที่ระดับภูมิภาค และชนิด C มักเป็นการติดเชื้อที่แสดงอาการ อย่างอ่อนหรือไม่แสดงอาการ และไม่ทำให้เกิดการระบาด ในเชื้อไวรัสชนิด A แบ่งเป็นชนิดย่อย (subtype) ตาม ความแตกต่างของโปรตีนของไวรัสที่เรียกว่า hemagglutinin (H) และ neuraminidase (N) ได้แก่ A (HIN1), A (HIN2), A (H3N2), A (H5N1) และ A (H9N2) ระยะฟักตัว 1-4 วัน เฉลี่ย 2 วัน สามารถติดต่อ ได้ทางไอ จาม หรือหายใจเอาฝอยละอองเข้าไป และได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือ หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ อาการ : ไข้ ปวดศีรษะ เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอแห้งๆ คัดจมูก น้ำมูกไหล อาการต่าง ๆ เหล่านี้ มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอยู่นาน 6-10 วัน การรักษา : ให้การรักษาตามอาการและจะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส คือ ยาโอลเซลทามิเวียร์(oseltamivir) ตามการวินิจฉัยของแพทย์ประชาชนกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มเด็ก กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และกลุ่มผู้สูงอายุ มาตรการการป้องกัน รับมือไข้หวัดใหญ่ ทางการแพทย์ และสาธารณสุข - การเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และวิเคราะห์ความเสี่ยงการเกิดโรคระบาด
69 - เตรียมพร้อมทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็วทั่วประเทศและควบคุมโรคเบื้องต้น - การให้ยาต้านไวรัสกับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง - การฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้เร็วขึ้น และครอบคลุมกลุ่มเสี่ยง - เตรียมพร้อมและสนับสนุนเวชภัณฑ์ที่จำเป็น เช่น ยาต้านไวรัส หน้ากากอนามัย - ประชาสัมพันธ์มาตรการป้องกันโรคพื้นฐาน สื่อสารความเสี่ยงให้กับประชาชนตามช่องทางสื่อสาร ต่าง ๆ - จัด Call center สายด่วน 1422 สำหรับการบริการตอบคำถาม และข้อแนะนำทางสังคม - การให้คำแนะนำในการอยู่รวมกันกับคนหมู่มากในสถานที่ต่าง ๆ - การให้สุขศึกษาในการป้องกันโรคกับประชาชน การให้คำแนะนำ คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย หากมีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูง ไม่ซึม และรับประทานอาหารได้สามารถ รักษาตามอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ควรใช้พาราเซตามอล เพื่อลดไข้(ห้ามใช้ยา แอสไพริน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมาก ๆ และควรหยุดเรียน หยุดงานจนกว่าจะหายเป็นปกติ และ หลีกเสี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น ซึ่งหากมีอาการ เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม ควรรีบไปพบแพทย์ ควรปิดปากปิดจมูกทุกครั้งด้วยผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชูทุกครั้งเมื่อไอจาม และทิ้งลงในถังขยะ หรือสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่กับผู้อื่น และล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำ และสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจล ทำความสะอาดมือโดยเฉพาะหลังจากการไอ จาม ๕. โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่กระจาย จากคนสู่คนได้ระบาดครั้งแรก ณ พื้นที่ตลาด เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อเดือนธันวาคม 2562 และผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้จะแสดง อาการภายใน 2 วัน หรืออาจใช้เวลานานถึง 2 สัปดาห์หลังจากรับเชื้อไวรัส มีไข้อุณหภูมิสูงมากกว่า 37.5 องศา เซลเซียส ไอ เจ็บคอ หายใจติดขัด หายใจลำบาก จมูกไม่ได้กลิ่น ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่ - ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป - ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคเบาหวาน ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ - สตรีมีครรภ์ มาตรการการป้องกัน 1. มีมาตรการคัดกรองวัดไข้และอาการเสี่ยงก่อนเข้าสถานศึกษา 2. สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ๓. จัดจุดล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์อย่างเพียงพอ 4. จัดระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1-2 เมตร 5. ทำความสะอาดห้องเรียน/พื้นผิวสัมผัสร่วม เปิดหน้าต่าง-ประตู ระบายอากาศ 6. ไม่จัดกิจกรรมรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เหลื่อมเวลา ลดเวลาทำกิจกรรม
70 แผน/มาตรการการบริหารจัดการสถานการณ์โรคโควิด 19 ในระยะต่อไป ด้านสาธารณสุข - เร่งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น มากกว่าหรือเท่ากับ 60% - ปรับระบบการเฝ้าระวัง เน้นการระบาดเป็นกลุ่มก้อนและผู้ป่วยปอดอักเสบ - ผ่อนคลายมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ - ปรับแนวทางแยกกักผู้ป่วย และกักกันผู้สัมผัส - ปรับแนวทางการดูแลรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ด้านการแพทย์ - ดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงอาการรุนแรง และมีอาการรุนแรง รวมทั้งภาวะ Long COVID ด้านกฎหมายและสังคม - บริหารจัดการด้านกฎหมายในทุกหน่วยงาน ให้สอดคล้องกับการปรับตัว เข้าสู่ Post pandemic - ผ่อนคลายมาตรการทางสังคม ลดการ "จำกัดการเดินทางและการรวมตัวของคนหมู่มาก" - ทุกภาคส่วนส่งเสริมมาตรการ UP COVID Free Setting ด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ - ทุกภาคส่วนร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจ และพฤติกรรม ให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตร่วมกับ โควิด 19 อย่างปลอดภัย (Living with COVID-19) - สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างครอบคลุม ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และสร้างความร่วมมือของ ประชาชนในแต่ละช่วงเวลา 5. โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) ทั่วโลก แนวโน้มพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากอาทิตย์ก่อนที่ 959 ราย เป็น 3,149 ราย ในสัปดาห์นี้ โดยจำนวน ผู้เสียชีวิตทั่วโลกยังอยู่ในลักษณะคงตัว เมื่อคำนวนอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อทั่วโลก คิดเป็นอัตราป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 0.04 ของจำนวนผู้ป่วยทั่วโลก ในประเทศไทย พบผู้ป่วยแล้ว 12 ราย ส่วนใหญ่ ของผู้ติดเชื้อยืนยัน มีอาชีพขายบริการทางเพศ หรือมีคู่นอนหลายคน โดยผู้ติดเชื้อ 4 ใน 10 ราย ที่มีประวัติขาย บริการ โดยผู้ป่วยที่ขายบริการที่ต่างประเทศมีการแสดงอาการก่อนที่จะเดินทางมาที่ประเทศไทย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ช่องทางการติดต่อหลัก คือ ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลขององค์การอนามัยโลก และนอกจากนี้ จำนวนการรายงานผู้ป่วยสงสัยโรคฝีดาษวานรลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มความเข้มข้นของ การติดตามสถานการณ์อาจสื่อสารให้โรงพยาบาลทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนทั่วประเทศ รายงานกรณีพบผู้ป่วย สงสัยฝีดาษวานร ควรเน้นการสื่อสารความเสี่ยงของการติดเชื้อฝีดาษวานร ว่าส่วนใหญ่ติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ และส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อ มีเพศสัมพันธ์ในรูปแบบหลายคู่นอน เพื่อให้ประชาชนป้องกันตนเอง
71 วิชา แนวทางในการปฏิบัติการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ โดย นางฉวีวรรณ นาคอุไร นักวิชาการอิสระ กลุ่มโรคไม่ติดต่อ กลุ่มโรคไม่ติดต่อ ไม่เกิดจากเชื้อโรค ไม่แพร่กระจาย เป็นพฤติกรรมนิสัยการดำเนินชีวิต ดำเนินโรค ไปช้าๆ สะสมอาการต่อเนื่อง เมื่อมีอาการจะเรื้อรัง จึงจัดเป็นกลุ่มโรค NCD กลุ่มโรค NCD มีอัตราป่วยและเสียชีวิต สูงสุด 7 โรค ได้แก่ 1. เบาหวาน 2. ความดันโลหิตสูง 3. โรคหลอดเลือดสมอง 4. โรคหลอดหัวใจ 5. โรคถุงลมโป่งพอง 6. โรคมะเร็ง 7. โรคไขมันในเส้นเลือด 1. เบาหวาน เป็นความผิดปกติ ที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ทำให้มีระดับ น้ำตาลในเลือดสูง จึงทำให้ผู้ป่วยเพลีย การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ปกติ น้อยกว่า 100 มก./ดล. เสี่ยงเป็นเบาหวาน 100-125 มก./ดล. เป็นโรคเบาหวาน ตั้งแต่ 126 มก./ดล. ขึ้นไป อาการเบื้องต้นของโรคเบาหวาน 1. น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ 2. กระหายน้ำ หิวน้ำบ่อย 3. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง 4. กินจุ หิวบ่อย 5. ปัสสาวะกลางคืนมากกว่า 2 ครั้ง 6. สายตาพร่ามัว มองไม่ชัดเจน 7. ชาปลายมือ ปลายเท้า 8. เป็นแผลง่าย แผลหายยาก คันตามผิวหนัง เกณฑ์ประเมินความเสี่ยงโรคเบาหวานในผู้ใหญ่ 1. ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป 2. เพศชาย หญิง 3. BMI ตั้งแต่ 23 กก/ม2 ขึ้นไป 4. เส้นรอบเอว ผู้ชาย ตั้งแต่ 90 ซม.ขึ้นไป ผู้หญิง ตั้งแต่ 80 ซม.ขึ้นไป
72 5. โรคความดันโลหิตสูง 6. มีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัว ข้อแนะนำป้องกันโรคเบาหวาน 1. รับประทานอาหาร ข้าว 1 ส่วน ผัก 2 ส่วน โปรตีนและไขมัน 1 ส่วน 2. ควบคุมน้ำหนักตัว 3. ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์หรือ 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ 2. ค่าตับ ตับ เป็นอวัยวะเดียวของร่างกายที่สามารถแบ่งตัวสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่เสียหายได้เสมอ เมตาบอลิซึมมากมายของร่างกายที่ผ่านตับ เช่น ตับเป็นด่านแรกที่ดักจับและกรองเชื้อโรคก่อนปล่อยเลือด ไปสู่หัวใจ เป็นแหล่งรวมการเผาผลาญสารอาหารวิตามิน แร่ธาตุทุกชนิด กำจัดสารพิษทุกชนิด (ทำงานคู่กับไต) ค่าตับ ปกติมีค่า SGOT และ SGPT ต้องไม่ถึง 40 IU/L กิจกรรมหรือสิ่งที่ทำให้ตับเสื่อมเร็ว - ดื่มแอลกอฮอล์ - ผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง - รับประทานอาหารแปรรูป หรือมีสารปนเปื้อน สิ่งที่ดีต่อตับ - ฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ (เอ บี) - ไม่สร้างภาระให้ตับ อย่างการกินยาบำรุง การกินยาสมุนไพร หรือการล้างพิษตับ 3. ค่าไต ไต อวัยวะที่ควบคุมเมตาบอลิซึมของร่างกาย ผ่านการทำหน้าที่กำจัดและขับสารพิษออกจากร่างกาย รักษาปริมาตรน้ำ และความดันโลหิต สร้างฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง และควบคุมสมดุลกรด-ด่าง ของร่างกาย ค่าไต ปกติCreatinine (ครีอะตินีน) ต้องไม่ถึง 1 มก.% และมีอัตราการกรองเกิน 90% งดการกินหรือทำสิ่งที่ทำให้ไตต้องการทำงานหนัก - สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ - กินโปรตีนเสริมมากเกินอย่างต่อเนื่อง - ออกกำลังกายหนักเกิน - กินสมุนไพรเป็นประจำ - กินยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเซด สิ่งที่ดีต่อไต - น้ำเปล่าตามน้ำหนักตัว (33 ซีซี: 1 กก.) - โปรตีนจากพืชตามน้ำหนักตัว (1 กรัม : 1 กก.)
73 4. ค่ายูริค กรดยูริค เป็นของเสียจากกลไกเมตาบอลิซึม หากมีค่า > 7 มก.% จะถือว่ามีภาวะกรดยูริคในเลือดสูง หากสูงมากกว่าเท่ากับ 9 มก.% ยูริคส่วนเกินอาจตกผลึกแล้วกระตุ้นอาการปวดบวมแดงร้อน เช่น ที่ข้อนิ้วโป้งเท้า เรียก เกาต์เฉียบพลัน คนอ้วนเสี่ยงข้ออักเสบจากเกาต์ได้ง่ายกว่าคนผอม อาหารที่ควรลด - อาหารพิวรีนสูง - เบียร์ - น้ำซุปกระดูก น้ำตาลฟรุกโตส (Fructose) น้ำผลไม้ น้ำอัดลม อาหารที่ช่วยลดยูริค - นมไขมันต่ำ กาแฟ 5. ไขมันคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ไขมันส่วนเกิน จะถูกเม็ดเลือดขาวกลืนกินและก่อตัวเป็นเซลล์โฟมที่มีไขมันเกาะติดที่ผนังเส้นเลือด สาเหตุ ของโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ค่าไขมัน LDL ปกติต้องไม่ถึง 100 มก.% อาหารไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนื้อแดง นมเต็มรูป ไข่แดง ควรทดแทนด้วยอาหารไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ถั่ว เมล็ด ธัญพืช น้ำมันพืช 6. ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันและน้ำตาลส่วนเกิน จะเปลี่ยนเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ และเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน สะสมอยู่ตาม ช่องท้อง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน ค่าไตรกลีเซอไรด์ ปกติต้องไม่ถึง 150 มก.% ลดอาหารที่อุดมด้วยไขมันและน้ำตาลที่ไม่ดี ทดแทนด้วยอาหารไขมันอิ่มตัว เช่น ปลาทู ถั่วอัลมอนด์ น้ำมันพืช 7. ความดันโลหิต ค่าความดันโลหิต ปกติต้องไม่ถึง 120/80 มม.ปรอท หากความดันโลหิตสูง 140/90 มม.ปรอท ต้องพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย หากมีความเครียดจะทำให้หลอดเลือดไม่ยึดหยุ่น ตึงตัว และปริแตกจากการปั๊มเลือดผ่าน แรงต้านของหลอดเลือด ซึ่งจะกระตุ้นแคลเซียมและไขมันมาสะสมจนตีบแข็ง ทำให้ค่าความดันโลหิตสูงขึ้น นำไปสู่ ภาวะหัวใจล้มเหลว และเพิ่มความเสี่ยงของอาการ Stroke หรือสมองขาดเลือดกะทันหัน ลดอาหารโซเดียมสูง ทดแทนด้วยอาหารโซเดียมต่ำ ดูแลหัวใจด้วยอาหารที่มีโปแตสเซียม 8. โรคหัวใจขาดเลือด เกิดจากการที่หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบหรือตัน ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างเพียงพอ ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือด - สูบบุหรี่ - เครียด - ไม่ออกกำลังกาย - รับประทานอาหารไขมันสูง - ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ - เบาหวาน/ความดันโลหิตสูง - ไขมันในเลือดสูง - อ้วนลงพุง
74 อาการเตือนโรคหัวใจขาดเลือด - หน้ามืด ขาดเลือด - เจ็บร้าวไปที่หัวไหล่ซ้าย แขน หรือ กราม - เจ็บแน่นบริเวณกลางหน้าอกหรือค่อนมาทางซ้าย - จุกแน่นลิ้นปี่ - ใจสั่น - เหงื่อแตก - คลื่นไส้ อาเจียน ข้อปฏิบัติป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด - บริโภคอาหารไขมันต่ำและอาหารที่มีกากใย - ฝึกสมาธิ ทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่เครียด พักผ่อนให้เพียงพอ - ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ - ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ - มีกิจกรรมทางกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ - หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี ทุกๆ 1 ปี - ไม่สูบบุหรี่ 9. โรคหลอดเลือดสมอง คือ ภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้มีอาการชาที่ใบหน้า ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แขน ขา อ่อนแรงด้านใด ด้านหนึ่ง หรือเคลื่อนไหวไม่ได้ทันที่ทันใด อาจเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ ตัน หรือแตก ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง - ความดันโลหิตสูง - โรคหัวใจ - โรคเบาหวาน - การสูบบุหรี่ - ไขมันในเลือดสูง - ดื่มสุรา - ภาวะหลอดเลือดคาโรติดที่คอตีบ การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง - งดสูบบุหรี่ - มีกิจกรรมทางกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ - ทานอาหารที่ดี ลดหวาน มัน เค็ม - ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ - เลี่ยงความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ - งดดึ่มสุรา - ตรวจสุขภาพประจำปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวควรพบแพทย์สม่ำเสมอ
75 10.โรคไต สัญญาณเตือนโรคไตเรื้อรัง - เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซีด - ความดันโลหิตสูง ที่ควบคุมไม่ได้ - ปัสสาวะผิดปกติ บ่อยฟองมาก ขุ่น มีลือด แสบขัด - ปวดหลัง บั้นเอว ท้องน้อย - บวมตามตัว หนังตา หน้าขา และเท้าทั้งสองข้าง ข้อแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงโรคไต - เลี่ยงรับประทานอาหารรสเค็ม - ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ 8-10 แก้ว/วัน - ลดการใช้เครื่องปรุงขณะปรุงอาหาร - เลี่ยงการกินยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเซด - ควบคุมน้ำหนักและรอบเอวให้อยู่เกณฑ์ปกติ - หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ - ตรวจสุขภาพประจำปี - ข้อแนะนำ - ไม่ควรรับประทานเกลือเกิน 1 ช้อนชา/วัน - ไม่ควรรับประทานน้ำปลาเกิน 4 ช้อนชา/วัน - ไม่ควรรับประทานโซเดียมเกิน 2,000 มก./วัน 11. ระดับไขมันในเลือด - ไขมันดี (HDL) มากกว่า 40 มก./ดล. (ผู้ชาย) - ไขมันดี (HDL) มากกว่า 50 มก./ดล. (ผู้หญิง) - ไขมันไม่ดี (LDL) น้อยกว่า 130 มก./ดล. (ผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัว) - ไขมันไม่ดี (LDL) น้อยกว่ากว่า 100 มก./ดล. (ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน) - ไตรกลีเซอไรด์ (TG) น้อยกว่ากว่า 150 มก./ดล. - ไขมันรวม (TC) น้อยกว่า 200 มก./ดล. 12. การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุของโรคหัวใจและมะเร็งปอด ในบุหรี่ 1 มวน มีสารพิษกว่า 4,000 ชนิด ควันบุหรี่ประกอบด้วยสารพิษสำคัญ คือ 1. นิโคติน มีอยู่ในใบยาสูบตามธรรมชาติ เป็นสารพิษอย่างแรง สามารถดูดซึมเข้าทางผิวหนังและเยื่อบุร่างกายได้ เป็นสารที่มีฤทธิ์เสพติด สูบแล้วติด เมื่อสูดควันบุหรี่เข้าไป นิโคตินจะเข้าสู่สมองภายใน 6-10 วินาที ระยะแรกออก ฤทธิ์กระตุ้นสมอง ทำให้รู้สึกสบายใจคลายเครียด ระยะต่อมาจะกดระบบประสาท ทำให้รู้สึกเครียด ๒. ทาร์ หรือน้ำมันดิน เป็นคราบเหนียว ที่ทำให้เล็บมีสีเหลือง เป็นสารก่อมะเร็ง ร้อยละ 50 ของทาร์จะจับอยู่ที่ปอด
76 ๓. คาร์บอนไดซัลไฟด์ ทำให้ผนังเส้นเลือดแดงหนาและแข็งขึ้น ๔. คาร์บอนมอนนอกไซด์ เหมือนควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ทำให้เลือดข้นและหนืดมากขึ้น เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหัวใจ ๕. ไนโตรเจนไดออกไซด์ ทำลายเยื่อบุถุงลม เป็นสาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง ๖. ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ทำให้ไอ มีเสมหะ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ๗. ฟอร์มาลดีไฮด์ ใช้ดองศพ เป็นสารก่อมะเร็งอย่างแรง โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ - แก่ก่อนวัย - สูบแล้วจะมีกลิ่นปาก - สูบแล้วเป็นมะเร็ง ร้อยละ 90 ของมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ - โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ - หลอดเลือดในสมองแตก - โรคถุงลมโป่งพอง - หญิงมีครรภ์สูบบุหรี่ เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย - ผู้ที่ได้รับควันบุหรี่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด เช่น สตรีที่มีสามีสูบบุหรี่ในบ้าน เทคนิคการเลิกสูบบุหรี่ 1. สร้างแรงจูงใจ 2. กำหนดวันที่จะลงมือเลิกสูบบุหรี่ ไม่ควรเกิน 7 วัน ควรเป็นวันนี้ 3. ไม่รอช้า ลงมือทำ หักดิบ ทิ้งบุหรี่และอุปกรณ์ 4. ถือคำมั่น ไม่หวั่นไหว 5. หลีกเลี่ยงสิ่งต่อไปนี้ ได้แก่ แอลกอฮอล์ กาแฟ อาหารรสจัด สภาพแวดล้อมที่เคยสูบบุหรี่ คนสูบบุหรี่ ทำอย่างไรเมื่อมีอาการขณะเลิกบุหรี่ - เครียด ให้หยุดพักสมอง เดินออกไปคุยกับคนอื่น ทำสมาธิ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ จำไว้ว่าคนไม่ สูบบุหรี่ก็มีความเครียดเช่นกัน - หงุดหงิด ให้ดื่มน้ำ อาบน้ำ ออกกำลังกาย เลี่ยงสิ่งที่ทำให้หงุดหงิด - ปวดหัว มึนหัว ซึม ง่วงนอน ให้ล้างหน้า ใช้ผ้าเย็น ยาดม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - ท้องผูก ดื่มน้ำ 2 แก้ว เข้าห้องน้ำเวลาเดิม รับประทานผัก ผลไม้ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - อยากสูบบุหรี่ น้ำลายเหนียว เปรี้ยวปาก ให้อมน้ำ หรือบ้วนปาก แปรงฟัน รับประทานผลไม้ รสเปรี้ยว หลีกเลี่ยงสถานที่ทำให้อยากสูบ นึกถึงเหตุผลที่อยากเลิก - นอนไม่หลับ ให้ทำสมาธิ นับหายใจ จัดสภาพแวดล้อมให้สงบ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
77 - เห็นคนอื่นสูบก็อยากสูบ เลี่ยงคนสูบบุหรี่และสถานที่ที่มีการสูบบุหรี่ - เหงา ว่าง เบื่อ ให้ทำอะไรที่เพลิดเพลิน ทำงานบ้าน ฟังเพลง - ทำอย่างไรดี ถ้าเพลอใจ ให้คิดถึงความตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ กล้าปฏิเสธเพื่อนที่ยื่นให้ - ถ้าหันกลับไปสูบอีก ไม่ได้หมายความว่าล้มเหลว เตรียมตัวให้พร้อม เริ่มต้นใหม่ และหยุดให้ได้ต่อไป ตลอดกาล 13. การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยป้องกันการดื่มสุรา ทำไมวัยรุ่นจึงดื่มสุรา - ต้องการความเสี่ยง - ความคาดหวังต่อฤทธิ์สุรา - ความไวและความทนต่อสุรา - บุคลิกภาพและโรคร่วมทางจิตเวช - ปัจจัยทางพันธุกรรม ปัจจัยทางพฤติกรรมหรือสรีระวิทยา - ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อสุขภาพจากการดื่มสุราในวัยรุ่น - ผลต่อสมอง - ผลต่อตับ - ผลต่อการเจริญเติบโตและต่อมไร้ท่อ
78 วิชา การวางแผนครอบครัว โดย นางาสาวสุภัทรานิษฐ์ นันชัยวงศ์ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอบางไทร การวางแผนครอบครัว การวางแผนครอบครัว เพื่อให้คำปรึกษา ความรู้ ความเข้าใจแก่สามีและภรรยา ในการเลือกใช้วิธีการ คุมกำเนิดต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องในการวางแผนการมีบุตร การคุมกำเนิด มี 2 วิธี ด้วยกัน คือ การทำหมันชั่วคราวและการทำหมันถาวร 1. การทำหมันชั่วคราว เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด ห่วงอนามัย ถุงยาง อนามัย เป็นต้น ๒. ส่วนการทำหมันถาวร - หญิง คือ การผูกและตัดท่อนำไข่ - ชาย โดยวิธีการผูกและตัดท่อน้ำเชื้อ ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งวิธีการคุมกำเนิดต่างๆ นั้น การใช้ยาฝังคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิดจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 99 % ยาเม็ดคุมกำเนิดได้ 95 % เพื่อเป็นการป้องกันผลกระทบจากการมีบุตรมาก ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของมารดา และทารกอย่างมาก การที่ทารกได้รับการดูแลและเลี้ยงดูที่ดีและได้รับการศึกษาที่เหมาะสม จะทำให้มีคุณภาพชีวิต ที่ดี มีอนาคตที่ดีของประเทศชาติต่อไป
79 วิชา ความรู้ว่าด้วยกฎหมายสาธารณสุข โดย นายธวัชชัย จันทร์แจ่มศรี นักวิชาการอิสระ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสิทธิและสุขภาพของประชาชน โดยมีแนวคิดการจัดการเพื่อสุขภาพที่ อาศัยสมดุลของสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างพอเหมาะ พอเพียงและยั่งยืน ลักษณะของกฎหมายเบื้องต้น 1. กฎหมายตามเนื้อความ หมายถึง กฎหมายซึ่งบทบัญญัติมีลักษณะเป็นกฎหมายแท้เป็นข้อบังคับของรัฐ ซึ่งกำหนดความประพฤติของมนุษย์ ถ้าฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวล กฎหมายอาญา 2. กฎหมายตามแบบพิธี หมายถึง กฎหมายที่ออกมาโดยวิธีบัญญัติกฎหมาย มี 5 ประเภท ได้แก่ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง/ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น (ซึ่ง ประกอบไปด้วยเทศบัญญัติ ข้อบัญญัติอบจ. ข้อบัญญัติอบต. ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และข้อบัญญัติเมือง พัทยา) ความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ร.บ.สธ. กับกฎหมายอื่น หลักการยกร่างข้อกำหนดท้องถิ่น 1. ต้องมีกฎหมายแม่บทให้อำนาจ โดยอาศัยอำนาจแห่ง กฎหมายที่มีลำดับชั้นสูงกว่า 2. อ้างอิงกฎหมายจัดตั้งก่อน ตามด้วยกฎหมายสาธารณสุข และ รธน. อ้างเอาเฉพาะที่ให้อำนาจ และที่ เกี่ยวข้อง 3. ออกข้อกำหนดท้องถิ่นต้องไม่เกินกว่าอำนาจที่กฎหมายแม่บทให้ไว้ เช่น กำหนดอัตราค่าธรรมเนียม 4. ต้องออกตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด (ดู SOP) 5. ใช้หลัก “ ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด”
80 หมวด 1 บททั่วไป มาตรา 6 เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ คณะกรรมการมีอำนาจออกกฎกระทรวงดังต่อไปนี้ (1) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรการในการควบคุมหรือกำกับดูแลสำหรับกิจการหรือ การดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ (2) กำหนดมาตรฐานสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชนและวิธีดำเนินการ เพื่อตรวจสอบควบคุมหรือกำกับดูแล หรือแก้ไขสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรง ชีพของประชาชน กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งจะกำหนดให้ใช้บังคับเป็นการทั่วไปทุกท้องถิ่นหรือให้ใช้บังคับเฉพาะท้องถิ่น ใดท้องถิ่นหนึ่งก็ได้ มาตรา 7 เมื่อมีกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 6 ใช้บังคับในท้องถิ่นใดให้ราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้า พนักงานท้องถิ่นซึ่งมีกิจการหรือการดำเนินการตามกฎกระทรวงดังกล่าว ในเขตอำนาจของท้องถิ่นนั้นดำเนินการให้ เป็นไปตามข้อกำหนดในกฎกระทรวง ในการนี้ หากมีกรณีจำเป็นให้ราชการส่วนท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่น หรือ แก้ไขปรับปรุงข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ใช้บังคับอยู่ก่อนมีกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 6 เพื่อกำหนดรายละเอียดการ ดำเนินการในเขตท้องถิ่นนั้นให้เป็นไปตามกฎกระทรวงดังกล่าวได้ มาตรา 8 ในกรณีที่เกิดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสภาวะความ เป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชนซึ่งจำเป็นต้องมีการแก้ไขโดยเร่งด่วน ให้อธิบดีกรมอนามัยใช้ อำนาจออกคำสั่งให้เจ้าของวัตถุหรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับการก่อให้เกิดหรืออาจเกิดความเสียหายดังกล่าวระงับการ กระทำหรือให้กระทำการใดๆ เพื่อแก้ไขหรือป้องกันความเสียหายเช่นว่านั้นได้ตามที่เห็นสมควร ในจังหวัดอื่น นอกจากกรุงเทพมหานคร ให้อธิบดีกรมอนามัยแจ้งแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อสั่งให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ปฏิบัติการตามความในวรรคสองสำหรับในเขตท้องที่จังหวัดนั้น หมวด 2 คณะกรรมการสาธารณสุข มาตรา 9 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการสาธารณสุข" ประกอบด้วย ปลัดกระทรวง สาธารณสุขเป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบดีกรมโยธาธิการและผัง เมือง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบดีกรมวิชาการเกษตร อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อธิบดีกรม ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกรุงเทพมหานคร นายกสมาคม สันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย นายกสมาคมองค์การ บริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทยและผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินสี่คน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความสามารถ หรือประสบการณ์ในด้านกฎหมายการสาธารณสุข การอนามัยสิ่งแวดล้อม และการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นกรรมการ ให้อธิบดีกรมอนามัยเป็นกรรมการและเลขานุการ มาตรา 10 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
81 (1) เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีในการกำหนดนโยบายแผนงานและมาตรการเกี่ยวกับการสาธารณสุข และพิจารณาให้ความเห็นในเรื่องใด ๆ เกี่ยวกับการสาธารณสุขตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย (2) ศึกษา วิเคราะห์และให้ความเห็นต่อรัฐมนตรีในการปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่ง เกี่ยวกับการสาธารณสุข (3) ให้คำแนะนำต่อรัฐมนตรีในการออกกฎกระทรวงและต่อราชการส่วนท้องถิ่นในการออกข้อบัญญัติ ท้องถิ่น (4) ให้คำปรึกษาแนะนำแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ (5) กำหนดโครงการและประสานงานระหว่างส่วนราชการและราชการส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อ ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ (6) ควบคุม สอดส่องการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติการตามกฎหมาย เกี่ยวกับการสาธารณสุข เพื่อรายงานต่อรัฐมนตรี (6/1) ติดตามและประเมินผลการดำเนินการของคณะกรรมการสาธารณสุขจังหวัดและคณะกรรมการ สาธารณสุขกรุงเทพมหานครในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้และตามที่กฎหมายกำหนดไว้ (7) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ มาตรา 11 ในกรณีที่ปรากฎแก่คณะกรรมการ คณะกรรมการสาธารณสุขจังหวัดหรือคณะกรรมการ สาธารณสุขกรุงเทพมหานคร ว่าราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นซึ่งมีเขตอำนาจในท้องถิ่นใดไม่ ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัตินี้โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร คณะกรรมการสาธารณสุข จังหวัด หรือคณะกรรมการสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร แจ้งต่อผู้มีอำนาจกำกับดูแลการปฏิบัติราชการของราชการ ส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น เพื่อสั่งให้ราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงาน ท้องถิ่นดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หรือแก้ไขการดำเนินการให้เป็นไปโดยถูกต้องภายในระยะเวลาที่เห็นสมควร มาตรา 12 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจ ได้รับแต่งตั้งอีกได้ มาตรา 13 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 12 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจาก ตำแหน่งเมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) รัฐมนตรีให้ออก (4) เป็นบุคคลล้มละลาย (5) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (6) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดย ประมาทหรือความผิดลหุโทษ มาตรา 14 ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในระหว่างที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งไว้ แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อม ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่ง เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้นหรือของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งตน แทน แล้วแต่กรณี
82 มาตรา 15 การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการ ทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่ง เป็นประธานในที่ประชุม มาตรา 16 ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่ คณะกรรมการมอบหมาย และให้นำมาตรา 15 มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม มาตรา 17 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้คณะกรรมการมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือ เรียกให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องหรือวัตถุใดๆ มาเพื่อใช้ ประกอบการพิจารณาได้ ในกรณีที่เห็นสมควร คณะกรรมการอาจมอบหมายให้คณะอนุกรรมการซึ่งได้รับการ แต่งตั้งตามมาตรา 16 คณะหนึ่งคณะใด เป็นผู้มีอำนาจออกคำสั่งดังกล่าวแทนคณะกรรมการเพื่อใช้ประกอบการ พิจารณาเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการนั้นได้ หมวด 3 การจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย มาตรา 18 การเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยในเขตราชการส่วนท้องถิ่นใดให้เป็น อำนาจของ ราชการส่วนท้องถิ่นนั้น และเงื่อนไขในการดำเนินการร่วมกันได้ ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรราชการส่วนท้องถิ่นอาจ มอบให้บุคคลใดดำเนินการตามวรรคหนึ่งแทน ภายใต้การควบคุมดูแลของราชการส่วนท้องถิ่น หรืออาจอนุญาตให้ บุคคลใดเป็นผู้ดำเนินกิจการรับทำการเก็บ ขนหรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยตามมาตรา 19 ก็ได้ มาตรา 19 ห้ามมิให้ผู้ใดดำเนินกิจการรับทำการเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย โดยทำเป็น ธุรกิจหรือโดยได้รับประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น มาตรา 20 เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสะอาดและการจัดระเบียบในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่ง ปฏิกูลหรือมูลฝอย ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นดังต่อไปนี้ (1) ห้ามการถ่าย เท ทิ้ง หรือทำให้มีขึ้นในที่หรือทางสาธารณะซึ่งสิ่งปฏิกูล หรือมูลฝอย นอกจากในที่ที่ ราชการส่วนท้องถิ่นจัดไว้ให้ (2) กำหนดให้มีที่รองรับสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยตามที่หรือทางสาธารณะและสถานที่เอกชน
83 (3) กำหนดวิธีการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยหรือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือ สถานที่ใดๆ ปฏิบัติให้ถูกต้องด้วยสุขลักษณะตามสภาพหรือลักษณะการใช้อาคารหรือสถานที่นั้น ๆ (4) กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการให้บริการของราชการส่วนท้องถิ่น หรือบุคคลอื่นที่ราชการส่วน ท้องถิ่นมอบให้ดำเนินการแทน ในการเก็บ ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย ไม่เกินอัตราที่กำหนดใน กฎกระทรวง (5) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย เพื่อให้ผู้รับ ใบอนุญาตตามมาตรา 19 ปฏิบัติ ตลอดจนกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงตามลักษณะการให้บริการที่ผู้รับใบอนุญาต ตามมาตรา 19 จะพึงเรียกเก็บได้ (6) กำหนดการอื่นใดที่จำเป็น เพื่อให้ถูกต้องด้วยสุขลักษณะ หมวด 4 สุขลักษณะของอาคาร “อาคาร” สิ่งปลูกสร้างใด ๆ ที่บุคคลเข้าอยู่ ใช้สอย อย่างถาวร/ชั่วคราว บ้าน เรือน แพ ตึก โรง ร้าน คลังสินค้า สำนักงาน ที่อยู่อาศัยชั่วคราวของคนงาน รวมถึงส่วนที่ยืนออกมา มาตรา 21 เมื่อปรากฎแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าอาคารหรือส่วนของอาคารใดหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่ง ต่อเนื่องกับอาคาร มีสภาพชำรุดทรุดโทรม หรือปล่อยให้มีสภาพรกรุงรังจนอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้อยู่ อาศัยหรือมีลักษณะไม่ถูกต้องด้วยสุขลักษณะของการใช้เป็นที่อยู่อาศัย ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่ง เป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารนั้นจัดการแก้ไข เปลี่ยนแปลง รื้อถอนอาคาร หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่ง ต่อเนื่องกับอาคารทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือจัดการอย่างอื่นตามความจำเป็น เพื่อมิให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือให้ถูกต้องด้วยสุขลักษณะภายในเวลาซึ่งกำหนดให้ตามสมควร มาตรา 22 เมื่อปรากฏแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าอาคารใดมีสินค้า เครื่องเรือนหรือสัมภาระสะสมไว้มาก เกินสมควร หรือจัดสิ่งของเหล่านั้นชับซ้อนกันเกินไป จนอาจเป็นเหตุให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ให้โทษใด ๆ หรือ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยหรือไม่ถูกต้องด้วยสุขลักษณะของการใช้เป็นที่อยู่อาศัย ให้เจ้าพนักงาน ท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารย้ายสินค้า เครื่องเรือนหรือสัมภาระออก จากอาคารนั้น หรือให้จัดสิ่งของเหล่านั้นเสียใหม่ เพื่อมิให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือให้ถูกต้องด้วยสุขลักษณะหรือ ให้กำจัดสัตว์ซึ่งเป็นพาหะของโรคภายในเวลาที่กำหนดให้ตามสมควร มาตรา 23 ในกรณีที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ออกคำสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารผู้ใดดำเนินการ ตามมาตรา 21 หรือมาตรา 22 และผู้นั้นละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งภายในเวลาที่กำหนด เจ้าพนักงานท้องถิ่นมี อำนาจดำเนินการแทนได้ โดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองดังกล่าวต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการนั้น มาตรา 24 เพื่อประโยชน์ในการควบคุมมิให้อาคารใดมีคนอยู่มากเกินไปจนอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ของผู้อยู่ในอาคารนั้น ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนด จำนวนคนต่อจำนวนพื้นที่ของอาคารที่ถือว่ามีคนอยู่มากเกินไป ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงสภาพความเจริญ จำนวน ประชากร และย่านชุมชนของแต่ละท้องถิ่น เมื่อมีประกาศของรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งแล้ว ห้ามมิให้เจ้าของหรือผู้ ครอบครองอาคารตามประกาศนั้นยอมหรือจัดให้อาคารของตนมีคนอยู่เกินจำนวนที่รัฐมนตรีกำหนด
84 การกระทำผิด พ.ร.บ. - เกิดเหตุรำคาญ กระทบกับคน/สิ่งแวดล้อม เจ้าพนักงานท้องถิ่น สั่งให้แก้ไข หากไม่ทำ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแก้ไขแทน เจ้าของเสีย ค่าใช้จ่าย เจ้าพนักงานสาธารณสุข ตักเตือน ให้คำแนะนำการระงับเหตุ - เกิดเหตุรำกาญ กระทบกับคน/สิ่งแวดล้อมร้ายแรง เจ้าพนักงานท้องถิ่น ออกคำสั่งให้แก้ไขทันที หากไม่ทำ/ขัดขวางการทำงานเจ้าหน้าที่ ปรับ 25,000 บาท จำคุก 3 เดือน หรือทั้งจำและปรับ *ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ จนกว่าจะแก้ไขเสร็จ เจ้าพนักงานสาธารณสุข ออกคำสั่งให้แก้ไขระงับเหตุ แล้วแจ้ง เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ หมวด 5 เหตุรำคาญ มาตรา 25 ในกรณีที่มีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงหรือผู้ที่ต้อง ประสบกับเหตุนั้นดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นเหตุรำคาญ (1) แหล่งน้ำ ทางระบายน้ำ ที่อาบน้ำ ส้วม หรือที่ใส่มูลหรือเถ้า หรือสถานที่อื่นใดซึ่งอยู่ในทำเลไม่ เหมาะสม สกปรก มีการสะสมหรือหมักหมมสิ่งของมีการเททิ้งสิ่งใดเป็นเหตุให้มีกลิ่นเหม็นหรือละอองสารเป็นพิษ หรือเป็น หรือน่าจะเป็นที่เพาะพันธุ์พาหะนำโรค หรือก่อให้เกิดความเสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ (2) การเลี้ยงสัตว์ในที่หรือโดยวิธีใด หรือมีจำนวนเกินสมควรจนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อ สุขภาพ (3) อาคารอันเป็นที่อยู่ของคนหรือสัตว์ โรงงานหรือสถานที่ประกอบการใดไม่มีการระบายอากาศ การ ระบายน้ำ การกำจัดสิ่งปฏิกูล หรือการควบคุมสารเป็นพิษหรือมีแต่ไม่มีการควบคุมให้ปราศจากกลิ่นเหม็นหรือ ละอองสารเป็นพิษอย่างพอเพียงจนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
85 (4) การกระทำใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น แสง รังสี เสียง ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า หรือกรณีอื่นใด จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ (5) เหตุอื่นใดที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา 26 ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจห้ามผู้หนึ่งผู้ใดมิให้ก่อเหตุรำคาญในที่หรือทางสาธารณะหรือ สถานที่เอกชนรวมทั้งการระงับเหตุรำคาญด้วย ตลอดทั้งการดูแล ปรับปรุง บำรุงรักษา บรรดาถนน ทางบก ทางน้ำ รางระบายน้ำ คู คลอง และสถานที่ต่าง ๆ ในเขตของตนให้ปราศจากเหตุรำคาญ ในการนี้ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมี อำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือ เพื่อระงับ กำจัด และควบคุมเหตุรำคาญต่าง ๆ ได้ มาตรา 27 ในกรณีที่มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นในที่หรือทางสาธารณะ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น มีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้บุคคลซึ่งเป็นต้นเหตุหรือเกี่ยวข้องกับการก่อหรืออาจก่อให้เกิดเหตุรำคาญนั้น ระงับหรือป้องกันเหตุรำคาญภายในเวลาอันสมควรตามที่ระบุไว้ในคำสั่ง และถ้าเห็นสมควรจะให้กระทำโดยวิธีใด เพื่อระงับหรือป้องกันเหตุรำคาญนั้น หรือสมควรกำหนดวิธีการ เพื่อป้องกันมิให้มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นอีกในอนาคต ให้ระบุไว้ในคำสั่งได้ ในกรณีที่ปรากฏแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามวรรคหนึ่ง และเหตุรำคาญที่เกิดขึ้นอาจเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นระงับเหตุรำคาญนั้น และ อาจจัดการตามความจำเป็น เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุรำคาญนั้นขึ้นอีกโดยบุคคลซึ่งเป็นต้นเหตุหรือเกี่ยวข้องกับ การก่อหรืออาจก่อให้เกิดเหตุรำคาญต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการนั้น มาตรา 28 ในกรณีที่มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นในสถานที่เอกชน ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่ง เป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่นั้นระงับเหตุรำคาญภายในเวลาอันสมควรตามที่ระบุไว้ในคำสั่ง และถ้าเห็นว่าสมควรจะให้กระทำโดยวิธีใด เพื่อระงับเหตุรำคาญนั้น หรือสมควรกำหนดวิธีการ เพื่อป้องกันมิให้ มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นในอนาคต ให้ระบุไว้ในคำสั่งได้ ในกรณีที่ไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจ ระงับเหตุรำคาญนั้น และอาจจัดการตามความจำเป็น เพื่อป้องกันมิให้มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นอีก และถ้าเหตุรำคาญ เกิดขึ้นจากการกระทำ การละเลย หรือการยินยอมของเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่นั้นเจ้าของหรือ ผู้ครอบครองสถานที่ดังกล่าวต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการนั้น ในกรณีที่ปรากฏแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าเหตุรำคาญที่เกิดขึ้นในสถานที่เอกชนอาจเกิดอันตรายอย่าง ร้ายแรงต่อสุขภาพ หรือมีผลกระทบต่อสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชน เจ้าพนักงาน ท้องถิ่นจะออกคำสั่งเป็นหนังสือห้ามมิให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองใช้หรือยินยอมให้บุคคลใดใช้สถานที่นั้นทั้งหมด หรือบางส่วน จนกว่าจะเป็นที่พอใจแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าได้มีการระงับเหตุรำคาญนั้นแล้วก็ได้ มาตรา 28/1 เมื่อปรากฎว่ามีเหตุรำคาญเกิดขึ้นตามมาตรา 27 หรือมาตรา 28 เป็นบริเวณกว้างจน ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของสาธารณชน ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจประกาศกำหนดให้บริเวณดังกล่าวเป็น พื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของ คณะกรรมการ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา การระงับเหตุรำคาญตามวรรคหนึ่ง และการจัดการตามความจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีเหตุรำคาญนั้น เกิดขึ้นอีกในอนาคต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่เจ้าพนักงาน กฤษฎีกาท้องถิ่นประกาศ
86 กำหนดในกรณีที่เหตุรำคาญตามวรรคหนึ่งได้ระงับจนไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของสาธารณชนแล้ว ให้เจ้า พนักงานท้องถิ่นประกาศยกเลิกพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญนั้นโดยไม่ชักช้า
87
88 หมวด 6 การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ มาตรา 29 เพื่อประโยชน์ในการรักษาสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชน ในท้องถิ่นหรือเพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสัตว์ ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่น กำหนดให้ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของพื้นที่ในเขตอำนาจของราชการส่วนท้องถิ่นนั้น เป็นเขตควบคุมการเลี้ยง หรือปล่อยสัตว์ได้การออกข้อบัญญัติท้องถิ่นตามวรรคหนึ่ง ราชการส่วนท้องถิ่นอาจกำหนดให้เป็นเขตห้ามเลี้ยงหรือ ปล่อยสัตว์บางชนิดหรือบางประเภทโดยเด็ดขาด หรือไม่เกินจำนวนที่กำหนด หรือเป็นเขตที่การเลี้ยงหรือปล่อย สัตว์บางชนิดหรือบางประเภทต้องอยู่ในภายใต้มาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ มาตรา 30 ในกรณีที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นพบสัตว์ในที่หรือทางสาธารณะอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 29 โดยไม่ปรากฎเจ้าของ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจกักสัตว์ดังกล่าวไว้เป็นเวลาอย่างน้อยสามสิบวัน เมื่อพ้น กำหนดแล้วยังไม่มีผู้ใดมาแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของเพื่อรับสัตว์คืนให้สัตว์นั้นตกเป็นของราชการส่วนท้องถิ่น แต่ถ้าการกักสัตว์ไว้อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่สัตว์นั้นหรือสัตว์อื่น หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินสมควร เจ้าพนักงาน ท้องถิ่นจะจัดการขายหรือขายทอดตลาดสัตว์นั้นตามควรแก่กรณีก่อนถึงกำหนดเวลาดังกล่าวก็ได้ เงินที่ได้จากการ ขายหรือขายทอดตลาดเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายในการขายหรือขายทอดตลาดและค่าเลี้ยงดูสัตว์แล้ว ให้เก็บรักษาไว้แทน สัตว์ ในกรณีที่มิได้มีการขายหรือขายทอดตลาดสัตว์ตามวรรคหนึ่ง และเจ้าของสัตว์มาขอรับสัตว์คืนภายใน กำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง เจ้าของสัตว์ต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการเลี้ยงดูสัตว์ให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่นตาม จำนวนที่ได้จ่ายจริงด้วย ในกรณีที่ปรากฎว่าสัตว์ที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นพบนั้นเป็นโรคติดต่ออันอาจเป็นอันตรายต่อประชาชน ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจทำลายหรือจัดการตามที่เห็นสมควรได้
89
90 หมวด 7 กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มาตรา 31 ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้กิจการใดเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มาตรา 32 เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการที่ประกาศตามมาตรา 31 ให้ ราชการ ส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นดังต่อไปนี้
91 (1) กำหนดประเภทของกิจการตามมาตรา 31 บางกิจการหรือทุกกิจการให้เป็นกิจการที่ต้องมี การ ควบคุมภายในท้องถิ่นนั้น (2) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทั่วไปสำหรับให้ผู้ดำเนินกิจการตาม (1) ปฏิบัติเกี่ยวกับการดูแล สภาพหรือสุขลักษณะของสถานที่ที่ใช้ดำเนินกิจการและมาตรการป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ [คำว่า “ข้อบัญญัติ ท้องถิ่น” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับ ที่ 3) พ.ศ. 2560] มาตรา 33 เมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ข้อบัญญัติท้องถิ่นตามมาตรา 32 (1) ใช้บังคับ ห้ามมิให้ ผู้ใดดำเนินกิจการตามประเภทที่มีข้อบัญญัติท้องถิ่นกำหนดให้เป็นกิจการที่ต้องมีการควบคุมตามมาตรา 32 (1) ใน ลักษณะที่เป็นการค้า เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 56 ในการออกใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานท้องถิ่นอาจกำหนดเงื่อนไขโดยเฉพาะให้ผู้รับ ใบอนุญาต ปฏิบัติเพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพของสาธารณชนเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้โดยทั่วไปในข้อบัญญัติท้องถิ่น ตาม มาตรา 32 (2) ก็ได้ ใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งให้ใช้ได้สำหรับกิจการประเภทเดียวและสำหรับสถานที่แห่งเดียว [คำว่า “ข้อบัญญัติท้องถิ่น” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560] สรุป ตามประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยคำแนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข แบ่งได้เป็น 13 กลุ่มประเภท 142 กิจการ ให้ท้องถิ่นออกเทศบัญญัติเพื่อควบคุมกำกับดูแลกิจการภายในท้องถิ่น ของตนและในการพิจารณาการออกใบอนุญาตกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ควรจะต้องศึกษาร่วมกับ ข้อกฎหมาย/ข้อระเบียบเพิ่มเติมดังนี้ 1. พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 2. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 3. พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 4. พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ.2562 โทษ การประกอบกิจการ โดยไม่มีใบอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
92 หมวด 8 ตลาด สถานที่จำหน่าย/สะสมอาหาร มาตรา 34 ห้ามมิให้ผู้ใดจัดตั้งตลาด เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 56 การเปลี่ยนแปลง ขยายหรือลดสถานที่หรือบริเวณที่ใช้เป็นตลาดภายหลังจากที่เจ้าพนักงานท้องถิ่น ได้ออก ใบอนุญาตให้จัดตั้งตลาดตามวรรคหนึ่งแล้ว จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าพนักงาน ท้องถิ่น ตามมาตรา 56 ความในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนท้องถิ่นหรือองค์การของรัฐที่ได้ จัดตั้งตลาดขึ้นตามอำนาจหน้าที่ แต่ในการดำเนินกิจการตลาดจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้รับใบอนุญาต ตาม บทบัญญัติอื่นแห่งพระราชบัญญัตินี้ด้วย และให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขเป็นหนังสือให้ ผู้จัดตั้ง ตลาดตามวรรคนี้ปฏิบัติเป็นการเฉพาะรายก็ได้ มาตรา 35 เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลตลาด ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติ ท้องถิ่น ดังต่อไปนี้ (1) กำหนดที่ตั้ง เนื้อที่ แผนผังและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างและสุขลักษณะ (2) กำหนด หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดสถานที่ การวางสิ่งของและการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนิน กิจการตลาด (3) กำหนดเวลาเปิดและปิดตลาด (4) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งตลาดปฏิบัติเกี่ยวกับ การดูแลรักษา ความสะอาดเรียบร้อยภายในตลาดให้ถูกต้องตามสุขลักษณะและอนามัย การจัดให้มีที่รวบรวมหรือ กำจัดสิ่งปฏิกูล หรือมูลฝอย การระบายน้ำทิ้ง การระบายอากาศ การจัดให้มีการป้องกันมิให้เกิดเหตุรำคาญและ การป้องกันการ ระบาดของโรคติดต่อ [คำว่า “ข้อบัญญัติท้องถิ่น” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติ การสาธารณสุข (ฉบับ ที่ 3) พ.ศ. 2560] มาตรา 36 ผู้ใดขายของหรือช่วยขายของในตลาด ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ในข้อบัญญัติท้องถิ่นตามมาตรา 37 [คำว่า “ข้อบัญญัติท้องถิ่น” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติ การสาธารณสุข (ฉบับ ที่ 3) พ.ศ. 2560]
93 มาตรา 37 เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลการขายของในตลาด ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจ ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อให้ผู้ขายของและผู้ช่วยขายของในตลาดปฏิบัติให้ถูกต้อง เกี่ยวกับการรักษาความสะอาดบริเวณที่ขายของ สุขลักษณะส่วนบุคคล และสุขลักษณะในการใช้กรรมวิธีการ จำหน่ายทำประกอบ ปรุง เก็บหรือสะสมอาหารหรือสินค้าอื่น รวมทั้งการรักษาความสะอาดของภาชนะ น้ำใช้และ ของใช้ต่าง ๆ [คำว่า “ข้อบัญญัติท้องถิ่น” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560] มาตรา 38 ผู้ใดจะจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารในอาคารหรือพื้นที่ใดซึ่งมีพื้นที่ เกินสองร้อยตารางเมตรและมิใช่เป็นการขายของในตลาด ต้องได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา 56 ถ้าสถานที่ดังกล่าวมีพื้นที่ไม่เกินสองร้อยตารางเมตร ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น เพื่อขอรับหนังสือ รับรอง การแจ้งตามมาตรา 47 ก่อนการจัดตั้ง มาตรา 39 ผู้จัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหาร ซึ่งได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 56 หรือหนังสือรับรองการแจ้งตามมาตรา 48 และผู้จำหน่าย ทำ ประกอบ ปรุง เก็บหรือสะสมอาหารในสถานที่ จำหน่ายอาหาร หรือสถานที่สะสมอาหารตามมาตรา 38 ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ใน ข้อบัญญัติท้องถิ่นตามมาตรา 40 หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองการแจ้ง [คำว่า “ข้อบัญญัติท้องถิ่น” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับ ที่ 3) พ.ศ. 2560] มาตรา 40 เพื่อประโยชน์ในการควบคุมหรือกำกับดูแลสถานที่จำหน่ายอาหารและสถานที่สะสม อาหาร ที่ได้รับใบอนุญาต หรือได้รับหนังสือรับรองการแจ้ง ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ดังต่อไปนี้ (1) กำหนดประเภทของสถานที่จำหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารตามประเภทของอาหาร หรือ ตามลักษณะของสถานที่ประกอบกิจการหรือตามวิธีการจำหน่าย (2) กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดตั้ง ใช้ และดูแลรักษาสถานที่และสุขลักษณะของบริเวณที่ใช้ จำหน่ายอาหาร ที่จัดไว้สำหรับบริโภคอาหาร ที่ใช้ทำ ประกอบ หรือปรุงอาหาร หรือที่ใช้สะสมอาหาร (3) กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการป้องกันมิให้เกิดเหตุรำคาญและการป้องกันโรคติดต่อ (4) กำหนดเวลาจำหน่ายอาหาร (5) กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสุขลักษณะส่วนบุคคลของผู้จำหน่ายอาหาร ผู้ปรุงอาหารและผู้ให้บริการ (6) กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสุขลักษณะของอาหาร กรรมวิธีการจำหน่าย ทำ ประกอบ ปรุง เก็บ รักษา หรือสะสมอาหาร (7) กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสุขลักษณะของภาชนะ อุปกรณ์ น้ำใช้ และของใช้อื่น ๆ [คำว่า “ข้อบัญญัติท้องถิ่น” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2560 สรุป ตลาด กฎกระทรวง ว่าด้วยสุขลักษณะของตลาด พ.ศ. 2551 ตลาดมี 2 ประเภท 1. ประเภทที่ 1 ตลาดที่มีโครงสร้างอาคาร และมีลักษณะตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง 2. ประเภทที่ 2 ตลาดที่ไม่มีโครงสร้างอาคาร และมีลักษณะตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
94 ตลาดประเภทที่ 2 - มีสถานที่สำหรับขายของ ห้องส้วม / ที่ปัสสาวะ อ่างล้างมือ และ ที่รองรับมูลฝอย - ที่สำหรับผู้ขายของ มีทางเดินภายในตลาด กว้าง 2 เมตร - พื้น คอนกรีต หรือลาดยางแอสฟัลติก - แผงจำหน่ายอาหาร สูง 60 เซ็นติเมตร ทำด้วยวัสดุแข็งแรง ผิว เรียบ ทำความสะอาดง่าย - มีน้ำประปาหรือน้ำสะอาดใช้เพียงพอ มีที่ล้างทำความสะอาดอาหาร และภาชนะ ฯลฯ ซึ่งที่ตั้งของตลาดทั้ง 2 ประเภท ต้องอยู่ห่างไม่น้อยกว่า 100 เมตรจากแหล่งที่ก่อให้เกิดมลพิษ ของเสีย ที่กำจัด สิ่งปฏิกูล หรือมูลฝอย โรงเลี้ยงสัตว์ แหล่งโสโครก อันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัย เดิมกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2542)ตลาด มี 3 ประเภท 1. ตลาดที่มีโครงสร้างอาคาร ดำเนินกิจการเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง 2. ตลาดที่ไม่มีโครงสร้างอาคาร ดำเนินกิจการเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง 3. ตลาดที่ไม่มีโครงสร้างอาคาร ดำเนินกิจการชั่วคราว หรือตามวันที่กำหนดเป็นครั้งคราว
95 หมวด 9 การจำหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ มาตรา 41 เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีหน้าที่ควบคุม ดูแลที่หรือทางสาธารณะเพื่อประโยชน์ใช้สอยของ ประชาชนทั่วไป ห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายโดยลักษณะวิธีการจัดวาง สินค้าในที่หนึ่งที่ใดเป็นปกติหรือเร่ขาย เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ในการออกใบอนุญาตให้เจ้าพนักงานส่วนท้องถิ่น ระบุ ชนิดหรือประเภท ลักษณะวิธีการจำหน่าย สถานที่ที่จะจัดวางสินค้า เพื่อจำหน่ายในกรณีที่จะมีการจัดวางสินค้าในที่หนึ่งที่ใดเป็นปกติ การเปลี่ยนแปลงชนิดหรือประเภท ลักษณะวิธีการจำหน่าย สถานที่ที่จะจัดวางสินค้าให้แตกต่างไปจาก ที่ระบุไว้ในใบอนุญาต จะกระทำได้ต่อเมื่อผู้รับใบอนุญาตแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นและจดแจ้งการเปลี่ยนแปลง ในใบอนุญาตแล้ว มาตรา 42 ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นด้วยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจรมีอำนาจออกประกาศ ดังต่อไปนี้ 1. กำหนดบริเวณที่หรือทางสาธารณะหรือส่วนหนึ่งส่วนใดเป็นเขตห้ามจำหน่ายหรือสินค้าโดยเด็ดขาด 2. กำหนดบริเวณที่หรือทางสาธารณะหรือส่วนหนึ่งส่วนใด - เขตห้ามจำหน่ายสินค้าบางชนิดหรือบางประเภท - เขตห้ามจำหน่ายสินค้าตามกำหนดเวลา - เขตห้ามจำหน่ายสินค้าโดยวิธีการจำหน่ายในลักษณะใดลักษณะหนึ่งหรือกำหนดวิธีการและเงื่อนไข ในการจำหน่ายสินค้าในบริเวณนั้น
96 มาตรา 43 เพื่อประโยชน์ของประชาชนและการควบคุมการจำหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อกำหนดของท้องถิ่น ดังต่อไปนี้ 1. สุขลักษณะส่วนบุคคลของผู้จำหน่ายอาหารหรือผู้ช่วยจำหน่ายสินค้า 2. สุขลักษณะในการใช้กรรมวิธีการจำหน่าย ทำ ประกอบ ปรุง เก็บสะสมอาหารหรือสินค้าอื่น รวมทั้ง การรักษาความสะอาดของภาชนะ น้ำใช้ และสิ่งของต่าง ๆ 3. การจัดวางสินค้าและการเร่ขายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ 4. กำหนดเวลาจำหน่ายสินค้า 5. รักษาความสะอาด และป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ รวมทั้งการป้องกันเหตุรำคาญและการป้องกัน โรคติดต่อ หมวด 10 อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่นและเจ้าพนักงานสาธารณสุข มาตรา 44 เจ้าพนักงานท้องถิ่นและเจ้าพนักงานสาธารณสุขมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ 1. เรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำหรือแจ้งข้อเท็จจริง ทำคำชี้แจงหรือส่งเอกสารหลักฐาน เพื่อตรวจสอบหรือ ประกอบการพิจารณา 2. เข้าไปในอาคารหรือสถานที่ใด ๆ ในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกหรือในเวลาทำการ เพื่อตรวจสอบ ควบคุม หรือดูหลักฐาน 3. แนะนำให้ผู้ประกอบการปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขหรือข้อกำหนดของท้องถิ่น 4. ยึดหรืออายัด สิ่งของใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน เพื่อดำเนินคดีหรือ ทำลายในกรณีที่จำเป็น 5. เก็บหรือนำสินค้าหรือสิ่งของใด ๆ ที่สงสัยว่าจะไม่ถูกสุขลักษณะหรืออาจก่อเหตุรำคาญจากอาคาร หรือสถานที่ใด ๆ เป็นปริมาณตามสมควร เพื่อเป็นตัวอย่างในการตรวจสอบตามความจำเป็นโดยไม่ต้องใช้ราคา ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการ หรือ พนักงานส่วนท้องถิ่น เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในเขต อำนาจของราชการส่วนท้องถิ่นนั้นในเรื่องใดหรือทุกเรื่องก็ได้ และในการปฏิบัติหน้าที่บุคคลดังกล่าวจะต้องแสดง บัตรประจำตัวเสมอ มาตรา 45 ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ดำเนินกิจการใด ๆ ปฏิบัติไม่ถูกต้องให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่ง ให้ผู้ดำเนินการกิจการนั้น แก้ไขหรือปรับปรุงให้ถูกต้อง และถ้าผู้ดำเนินการกิจการไม่แก้ไข ก่อให้เกิดอันตราย เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะสั่งให้ผู้นั้นหยุดดำเนินกิจการนั้นไว้ได้ทันทีเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะพอใจแก่ เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าปราศจากอันตรายแล้วก็ได้ โดยกำหนดระยะเวลาที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งตาม สมควรแต่ต้องไม่น้อยกว่า 7 วัน เว้นแต่เป็นกรณีที่มีคำสั่งให้หยุดดำเนินกิจการทันที และต้องทำเป็นหนังสือแจ้งให้ ผู้ดำเนินกิจการซึ่งจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งทราบ ในกรณีที่ไม่พบผู้ดำเนินกิจการหรือผู้ดำเนินกิจการไม่ ยอมรับคำสั่ง ให้คำสั่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือปิดคำสั่งนั้นไว้ในที่เปิดเผยเห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนา หรือสำนักทำการของผู้ดำเนินกิจการ และให้ถือว่าผู้นั้นได้ทราบคำสั่งแล้วตั้งแต่เวลาที่คำสั่งไปถึงหรือวันปิดคำสั่ง มาตรา 46 กรณีที่เจ้าพนักงานสาธารณสุขตรวจพบว่ามีการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ให้เจ้าพนักงานสาธารณสุข แจ้งเจ้าพนักงานท้องถิ่นเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หรือกรณีที่เจ้าพนักงานสาธารณสุขเห็นว่าจะมีผลกระทบ