The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาธรรมบทศึกษา เป็นวิชาเอกของสาขาวิชาพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสารคำสอนเล่มนี้ คือ ได้นำเอาทฤษฎีด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ และพุทธเศรษฐศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และนำเอาพระคาถาธรรมบทมำสังเคราะห์โดยความเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอาศาสตร์ด้ำน พระอภิธรรมมาร่วมวิเคราะห์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนคัมภีร์ธรรมบทไว้เพื่อเป็นเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในการประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเรียงเนื้อหาจากตื้นไปสู่ความสุขุมคัมภีรภาพ ตามอัธยาศัยของผู้ศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชาและนำไปเป็นแบบแผน แผนที่ดำเนินชีวิต หรือสันติบท เพื่อสันติสุข

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by MCU Books, 2022-06-28 13:42:36

ธรรมบทศึกษา

วิชาธรรมบทศึกษา เป็นวิชาเอกของสาขาวิชาพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสารคำสอนเล่มนี้ คือ ได้นำเอาทฤษฎีด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ และพุทธเศรษฐศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และนำเอาพระคาถาธรรมบทมำสังเคราะห์โดยความเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอาศาสตร์ด้ำน พระอภิธรรมมาร่วมวิเคราะห์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนคัมภีร์ธรรมบทไว้เพื่อเป็นเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในการประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเรียงเนื้อหาจากตื้นไปสู่ความสุขุมคัมภีรภาพ ตามอัธยาศัยของผู้ศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชาและนำไปเป็นแบบแผน แผนที่ดำเนินชีวิต หรือสันติบท เพื่อสันติสุข

Keywords: ธรรมบทศึกษา,พระพุทธศาสนา,พระไตรปิฎก

ธรรมบทศึกษา

เอกสารคำสอน

ผศ. ดร.สมบูรณ์ ตาสนธิ

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่

เอกสารคาสอน
รายวิชา ธรรมบทศกึ ษา

ผศ.ดร. สมบรู ณ์ ตาสนธิ
ป.ธ.๗, พธ.บ. (อภิธรรมบัณฑิต), พธ.บ. (บาลพี ทุ ธศาสตร์),
ศษ.ม. (การศกึ ษานอกระบบ), พธ.ด. (พระพุทธศาสนา)

สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
คณะพทุ ธศาสตร์

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

เอกสารคาสอน
รายวชิ า ธรรมบทศึกษา
รหสั วิชา ๑๐๑ ๓๐๘

ผศ.ดร. สมบรู ณ์ ตาสนธิ

สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา
คณะพุทธศาสตร์

มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั



คำนำ

พระไตรปิฎก ได้แก่ พระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม ทั้ง ๓ ปิฎก ย่อมมี
ความสาคัญตามประเภทแห่งปิฎกน้ัน ๆ พระโบราณาจารย์ท่านอุปมาดังร่างกายไว้ว่า พระวินัย
เปรียบดังผิวหนัง พระสตู รเปรียบดังเน้ือ พระอภิธรรมเปรยี บดังกระดูก มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลง
กรณราชวิทยาลัย จึงได้จัดทาตารา พระวินัยปฎิ ก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ไวเ้ พื่อให้
อาจารย์ นิสิต นักศึกษา นาเปน็ แบบในการเรยี นการสอนให้เปน็ ทิศทางเดียวกัน

วิชำธรรมบทศึกษำ เป็นวิชำเอกของสำขำวิชำพระพุทธศำสนำ เป็นการศึกษาด้าน
ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสำรคำสอนเลม่ นี้ คือ ได้นำเอำ
ทฤษฎีด้ำนสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศำสตร์ และพุทธเศรษฐศำสตร์ มำร่วมวิเครำะห์และนำเอำ
พระคำถำธรรมบทมำสังเครำะห์โดยควำมเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอำศำสตร์ด้ำน
พระอภธิ รรมมำร่วมวเิ ครำะห์ พระสมั มำสมั พุทธเจำ้ ตรสั สอนคัมภีรธ์ รรมบทไว้เพ่ือเป็นเปน็ ต้นแบบ
ในกำรดำเนินชีวิตของชำวพุทธในกำรประพฤติตำมหลักพระพุทธศำสนำ โดยเรียงเนื้อหำจำกตื้น
ไปสู่ควำมสุขุมคัมภีรภำพ ตำมอัธยำศัยของผู้ศึกษำ โดยมีเป้ำหมำยเพ่ือควำมพ้นทุกข์
คือพระนิพพำน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคาสอนเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อ
คณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผ้สู นใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไป
เพื่อเป็นพทุ ธบูชาและนาไปเป็นแบบแผน แผนทีด่ าเนนิ ชีวิต หรือสันติบท เพ่ือสันตสิ ุข

ผศ.ดร.สมบรู ณ์ ตำสนธิ
อำจำรย์ประจำหลักสูตรสำขำวชิ ำพระพุทธศำสนำ
มหำวิทยำลัยมหำจฬุ ำลงกรณรำชวทิ ยำลัย วิทยำเขตเชียงใหม่

๒๕๖๒

สำรบัญ ข
เรื่อง
หน้ำ
คำนำ
สำรบัญ ก
ประมวลรำยวิชำ ข
คำอธบิ ำยสญั ลกั ษณ์และคำย่อ ช

บทท่ี ๑ ควำมหมำย ประวัติ โครงสร้ำงของคัมภรี ธ์ รรมบท
ขอบข่ายเนื้อหา ๑
ความนา ๒
๑.๑ ความหมายของธรรมบท ๓
๑.๒ ประวัติความเปน็ มาของคัมภีร์ธรรมบท ๔
๑.๓ โครงสร้างของคัมภีร์ธรรมบท ๕
๑.๔ ความเป็นมาของพระธรรมบทและอรรถกถา ๕
๑.๔ สรปุ ๘
๑๓
บทท่ี ๒ แนวคิดทฤษฎสี งคมศำสตร์ วฒั นธรรม เศรษฐศำสตร์
ขอบข่ายเน้ือหา ๑๔
ความนา ๑๕
๒.๑ แนวคดิ ทฤษฎสี ังคมศาสตร์ ๑๖
๒.๒ แนวคิดและทฤษฎีวัฒนธรรม ๑๗
๒.๒.๑ ประเภทของวฒั นธรรม ๒๔
๒.๒.๒ การถ่ายทอดวัฒนธรรม ๒๘
๒.๒.๓ การยืม รบั การแลกเปลี่ยนวฒั นธรรม ๒๙
๒.๓ เศรษฐศาสตร์ ๓๙
๒.๓.๑ เศรษฐศาสตรท์ ่วั ไป ๓๐
๒.๓.๒ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๓๐
๓๒
บทท่ี ๓ คัมภีร์ธรรมบทกับสังคมศำสตร์
ขอบข่ายเนื้อหา ๓๕
ความนา ๓๖
๓.๑ เรื่องอญั ญปุรสิ ะ ๓๗
๓.๑.๑ คณุ ค่าธรรมบท ๓๘
๓.๑.๒ สงั คมและวัฒนธรรม ๔๙
๓.๑.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๕๐
๓.๑.๔ สรปุ ๕๐
๕๑

๓.๒ เรอ่ื งธิดามาร ค
๓.๒.๑ คุณคา่ ธรรมบท
๓.๒.๒ สงั คมและวัฒนธรรม ๕๒
๓.๒.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๕๗
๓.๒.๔ สรปุ ๕๙
๕๙
๓.๓ เร่อื งมหากาลอุบาสก ๕๙
๓.๓.๑ คณุ คา่ ธรรมบท ๖๐
๓.๓.๒ สังคมและวฒั นธรรม ๖๒
๓.๓.๓ สรปุ ๖๒
๖๓
๓.๔ เรื่องเด็ก ๕๐๐ คน ๖๔
๓.๔.๑ คุณคา่ ธรรมบท ๖๕
๓.๔.๒ สงั คมและวัฒนธรรม ๖๖
๓.๔.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ๖๖
๓.๔.๔ สรปุ ๖๖
๖๗
๓.๕ เรือ่ งตสิ สทหรภิกษุ ๖๙
๓.๕.๑ คุณค่าธรรมบท ๗๐
๓.๕.๒ สังคมและวฒั นธรรม ๗๐
๓.๕.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ๗๐
๓.๕.๔ สรปุ ๗๑
๗๒
๓.๖ เร่ืองสาวเดยี รถยี ์ ๗๓
๓.๖.๑ คุณคา่ ธรรมบท ๗๓
๓.๖.๒ สงั คมและวฒั นธรรม ๗๔
๓.๖.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๗๕
๓.๖.๔ สรุป ๗๗
๗๙
๓.๗ เรอื่ งเท้าสักกเทวราช ๗๙
๓.๗.๑ คุณคา่ ธรรมบท ๗๙
๓.๗.๒ สังคมและวัฒนธรรม
๓.๗.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ๘๐
๓.๗.๔ สรปุ ๘๑
๘๒
บทที่ ๔ คัมภีร์ธรรมบทกับวัฒนธรรม ๘๓
ขอบข่ายเนอื้ หา ๘๗
ความนา ๘๘
๔.๑ เรื่องกาลียักขนิ ี
๔.๑.๑ คุณค่าธรรมบท
๔.๑.๒ สงั คมและวฒั นธรรม

๔.๑.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ง
๔.๑.๔ สรุป
๔.๒ เร่อื งภกิ ษุ ๕๐๐ รปู ผู้เรม่ิ ปฏบิ ตั วิ ิปสั สนา ๙๐
๔.๒.๑ คุณค่าธรรมบท ๙๐
๔.๒.๒ สงั คมและวัฒนธรรม ๙๒
๔.๒.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๙๕
๔.๒.๔ สรปุ ๙๖
๔.๓ เร่อื งพระสารบี ตุ ร ๙๖
๔.๓.๑ คณุ ค่าธรรมบท ๙๗
๔.๓.๒ สงั คมและวฒั นธรรม ๙๗
๔.๓.๓ สรุป ๙๙
๔.๔ เรอื่ งปฏาจาราเถรี ๑๐๐
๔.๔.๑ คณุ คา่ ธรรมบท ๑๐๑
๔.๔.๒ สงั คมและวัฒนธรรม ๑๐๒
๔.๔.๓ สรุป ๑๐๖
๔.๕ เรอ่ื งสันตมิ หาอามาตย์ ๑๐๘
๔.๕.๑ คุณคา่ ธรรมบท ๑๐๘
๔.๕.๒ สงั คมและวัฒนธรรม ๑๐๙
๔.๕.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ๑๑๓
๔.๕.๔ สรปุ ๑๑๔
๔.๖ เรื่องพระเจ้าสทุ โธทนะ ๑๑๔
๔.๖.๑ คณุ ค่าธรรมบท ๑๑๔
๔.๖.๒ สงั คมและวฒั นธรรม ๑๑๕
๔.๖.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๑๑๖
๔.๖.๔ สรปุ ๑๑๘
๔.๗ เรอ่ื งปัญหาท่ีภกิ ษุทูลถาม (พระพุทธเจ้า) ๑๑๘
๔.๗.๑ คุณค่าธรรมบท ๑๑๙
๔.๗.๒ สังคมและวฒั นธรรม ๑๒๐
๔.๗.๓ สรุป ๑๒๒
๔.๘ เรอ่ื งเดยี รถีย์ ๑๒๗
๔.๘.๑ คณุ ค่าธรรมบท ๑๒๗
๔.๘.๒ สังคมและวัฒนธรรม ๑๒๘
๔.๘.๓ สรปุ ๑๒๙
๔.๙ เรอ่ื งนายทารุสากฏิกะ ๑๓๐
๔.๙.๑ คุณค่าธรรมบท ๑๓๑
๔.๙.๒ สังคมและวฒั นธรรม ๑๓๒
๑๓๕
๑๓๖

๔.๙.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ จ
๔.๙.๔ สรปุ
๔.๑๐ เรอ่ื งการฝกึ ตน (อตั ตโน) ๑๓๖
๔.๑๐.๑ คุณค่าธรรมบท ๑๓๗
๔.๑๐.๒ สังคมและวฒั นธรรม ๑๓๘
๔.๑๐.๓ สรปุ ๑๔๐
๔.๑๑ เรอื่ งนังคลกฏู ัตเถระ ๑๔๑
๔.๑๑.๑ คุณค่าธรรมบท ๑๔๑
๔.๑๑.๒ สังคมและวัฒนธรรม ๑๔๒
๔.๑๑.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๑๔๓
๔.๑๑.๔ สรปุ ๑๔๔
๑๔๔
บทท่ี ๕ คัมภรี ธ์ รรมบทกับพทุ ธเศรษฐศำสตร์ ๑๔๕
ขอบข่ายเนอ้ื หา
ความนา ๑๔๖
๕.๑. เรอื่ งกุมภโฆสกะ ๑๔๗
๕.๑.๑ คณุ คา่ ธรรมบท ๑๔๘
๕.๑.๒ สังคมและวฒั นธรรม ๑๔๙
๕.๑.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ๑๕๐
๕.๑.๔ สรุป ๑๕๗
๕.๒ เร่อื งถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปะ ๑๕๘
๕.๒.๑ คุณค่าธรรมบท ๑๕๘
๕.๒.๒ สงั คมและวัฒนธรรม ๑๖๐
๕.๒.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๑๖๔
๕.๒.๔ สรปุ ๑๖๕
๕.๓ เรื่องบัณฑิตสามเณร ๑๖๕
๕.๓.๑ คณุ ค่าธรรมบท ๑๖๕
๕.๓.๒ สังคมและวัฒนธรรม ๑๖๖
๕.๓.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๑๗๗
๕.๓.๔ สรุป ๑๗๘
๕.๔ เรอื่ งจเู ฬกสาฎก พราหมณผ์ มู้ ีเสอ้ื ใสผ่ นื เดยี ว ๑๗๘
๕.๔.๑ คุณคา่ ธรรมบท ๑๗๙
๕.๔.๒ สงั คมและวัฒนธรรม ๑๘๐
๕.๔.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๑๘๓
๕.๔.๔ สรุป ๑๘๔
๑๘๔
๑๘๕

๕.๕ เร่ืองมหาธนเสฏฐิปุตตะ ฉ
๕.๕.๑ คุณคา่ ธรรมบท
๕.๕.๒ สงั คมและวัฒนธรรม ๑๘๖
๕.๕.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๑๘๘
๕.๕.๔ สรุป ๑๘๙
๑๙๐
๕.๖ เร่ืองมหากาลอุบาสก ๑๙๐
๕.๖.๑ คณุ คา่ ธรรมบท ๑๙๑
๕.๖.๒ สงั คมและวฒั นธรรม ๑๙๓
๕.๖.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๑๙๓
๕.๖.๔ สรุป ๑๙๔
๑๙๔
๕.๗ เรอ่ื งมหาธนวานชิ ๑๙๕
๕.๗.๑ คุณคา่ ธรรมบท ๑๙๗
๕.๗.๒ สังคมและวัฒนธรรม ๑๙๗
๕.๗.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์ ๑๙๘
๕.๗.๔ สรปุ ๑๙๘
๑๙๙
๕.๘ เรอ่ื งพระวังคีสะ ๒๐๑
๕.๘.๑ คุณคา่ ธรรมบท ๒๐๒
๕.๘.๒ สงั คมและวฒั นธรรม ๒๐๒
๕.๘.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ๒๐๓
๕.๘.๔ สรุป
๒๐๔
บทที่ ๖ สรุป
๒๐๗
บรรณำนกุ รม



๑. ชื่อรำยวิชำ ประมวลรำยวิชำ
๒. รหสั วชิ ำ
: ธรรมบทศกึ ษา
ภาควชิ า : ๑๐๑ ๓๐๘
จานวนหน่วยกติ : พระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์
ปกี ารศึกษา : ๓ หนว่ ยกติ
สภาพรายวิชา: : ชัน้ ปที ี่ ๓ ภาคการการศึกษาที่ ๑
เวลาศึกษา เป็นวิชาเอกพระพทุ ธศาสนา สาหรบั หลกั สตู รสาขาวชิ าพระพุทธศาสนา
: ๔๕ คาบเรียน โดยจดั ช่วั โมงทฤษฎี ๓ คาบเรยี นต่อสัปดาห์

ตลอด เวลา ๑๕ สัปดาห์

๓. อำจำรย์ประจำวิชำ/ผูบ้ รรยำย : ผศ.ดร. สมบูรณ์ ตาสนธิ

๔. รำยละเอียดประจำวิชำ : คัมภีร์ศึกษาความหมาย ประวัติ โครงสร้าง หลักธรรมสาคัญของธรรม
บท เน้น (๑) หลักธรรมสาคัญ (๒) แนวคิดเชิงเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม อิทธิพลและคุณค่าของ
ธรรมบทที่มตี ่อวถิ ชี ีวิตและภมู ิปญั ญาไทย

๕. จุดประสงคข์ องกำรเรยี น

๕.๑ สามารถบอกประวัติความเป็นมา ความหมายของธรรมบท พัฒนาการแห่งธรรมบท
สมยั พุทธกาล จนถึงประเทศไทย

๕.๒ เข้าใจและวเิ คราะหป์ ระเดน็ ทนี่ ่าสนใจในหลกั ธรรมแห่งธรรมบท
๕.๓ สามารถนาเอาหลกั ธรรมไปประยกุ ตก์ บั วิชาพระพุทธศาสนาอืน่ ๆ ได้

๖. จุดประสงค์เชิงคุณธรรม

๖.๑ นิสิตได้เรียนรู้จากเอกสารคาสอนแล้วสามารถนาหลักธรรมประยุกต์ใช้ใน
ชีวติ ประจาวันได้

๖.๒ นสิ ิตสามารถรแู้ ยกแยะดี ชวั่ ประพฤตใิ นกุศลธรรม ละอกุศลธรรมได้
๖.๓ นิสิตสามารถนาความรู้ไปสอน แนะนา เทศน์ บรรยายกับพทุ ธศาสนกิ ชนได้



๗. ลำดับเนื้อหำ

รายวิชาธรรมบทศกึ ษา เปน็ การศึกษาพระไตรปิฎกแห่งพระสูตร เลม่ ที่ ๒๕ จงึ จัดบทโดย
นาเอาทฤษฎีสมัยใหม่มาประยุกต์ในการศึกษา ได้แก่ สังคมศาสตร์ วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์และ
พุทธเศรษฐศาสตร์ มี ๖ บทมีสังเขปลาดบั ดงั ต่อไปนี้

๘. รำยละเอยี ดของวิชำและแผนกำรสอน

สัปดำห์ท่ี หวั ข้อ/รำยละเอยี ด จำนวน กจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอน

คำบ สอ่ื ทใี่ ช้

๑ บทที่ ๑ ๓ ผ.ศ.ดร.สมบูรณ์ ตาสนธิ บรรยาย

ความหมาย ประวตั ิคัมภีร์ธรรมบท ยกตวั อย่างประกอบ

และอรรถกถา -พระไตรปิฎก/อรรถกถา/เอกสาร

คาสอน/หนงั สอื / ส่ือออนไลน์

บทท่ี ๑ ๓ ผ.ศ.ดร.สมบูรณ์ ตาสนธิ บรรยาย

๒ โครงสรา้ งของธรรมคมั ภีร์ธรรมบท ยกตวั อย่างประกอบ

-พระไตรปฎิ ก/อรรถกถา/เอกสาร

คาสอน/ สื่อออนไลน์

บทที่ ๒ ๓ ผ.ศ.ดร.สมบูรณ์ ตาสนธิ บรรยาย

๓ แนวคิดทฤษฎสี ังคมศาสตร์ ยกตัวอยา่ งประกอบ

- เอกสารคาสอน/ ส่ือออนไลน์

บทท่ี ๒ ๓ ผ.ศ.ดร.สมบรู ณ์ ตาสนธิ บรรยาย

๔ แนวคดิ ทฤษฎวี ฒั นธรรม และเศรษฐศาสตร์ ยกตวั อยา่ งประกอบ

-พระไตรปิฎก/อรรถกถา/เอกสาร

คาสอน/ สื่อออนไลน์

บทที่ ๓ คมั ภีร์ธรรมบทกับทฤษฎีสงั คม ๓ ผ.ศ.ดร.สมบรู ณ์ ตาสนธิ บรรยาย

๕ ศาสตร์ ยกตวั อย่างประกอบ

เรอื่ งอัญญปุรสิ ะ, เรื่องธดิ ามาร, เรอ่ื งมหากาล -พระไตรปิฎก/อรรถกถา/เอกสาร

, อุบาสกเรือ่ งเด็ก ๕๐๐ คาสอน/ สอ่ื ออนไลน์

๖ บทท่ี ๓ คัมภรี ์ธรรมบทกับทฤษฎี ๓ นสิ ิตบรรยาย / รายงาน

สังคมศาสตร์ ยกตัวอย่างประกอบ

เรอ่ื งตสิ สทหรภกิ ษุ, เร่อื งสาวเดียรถยี ์, -พระไตรปฎิ ก/อรรถกถา/เอกสาร

เรอื่ งเทา้ สักกเทวราช คาสอน/ สือ่ ออนไลน์

๗ บทท่ี ๔ คัมภีร์ธรรมบทกับวัฒนธรรม ๓ นิสติ บรรยาย / รายงาน

เรื่องกาลียักขินี, เรือ่ งภิกษุ ๕๐๐ รูปผูเ้ ริ่ม ยกตัวอย่างประกอบ

ปฏบิ ตั ิวิปสั สนา, เรอ่ื งพระสารีบุตร, -พระไตรปิฎก/อรรถกถา/เอกสาร



สัปดำห์ที่ หัวข้อ/รำยละเอยี ด จำนวน กิจกรรมกำรเรยี นกำรสอน

คำบ ส่ือท่ีใช้

เรอ่ื งปฏาจาราเถรี คาสอน/ ส่อื ออนไลน์

๘ บทที่ ๔ คัมภรี ธ์ รรมบทกับวัฒนธรรม ๓ นสิ ิตบรรยาย / รายงาน

เรื่องสัน ติ มห าอ ามาต ย์ , เร่ือ งพ ระเจ้า ยกตวั อย่างประกอบ

สุท โธท นะ, เรื่องปั ญ ห าที่ ภิ กษุ ทู ลถาม -พระไตรปฎิ ก/อรรถกถา/เอกสาร

(พระพุทธเจ้า) คาสอน/ สอ่ื ออนไลน์

๙ สอบกลางภาค ๓ อตั นัย

๑๐ บทท่ี ๔ คมั ภีรธ์ รรมบทกับวัฒนธรรม ๓ นสิ ติ บรรยาย / รายงาน

เรื่องเดยี รถยี ,์ เรื่องนายทารสุ ากฏิกะ, เร่ือง ยกตัวอยา่ งประกอบ

การฝึกตน (อัตตโน), เรอ่ื งนังคลกฏู ัตเถระ -พระไตรปิฎก/อรรถกถา/เอกสาร

คาสอน/ สื่อออนไลน์

๑๑ บทที่ ๕ คัมภรี ์ธรรมบทกับ ๓ นสิ ติ บรรยาย / รายงาน

พทุ ธเศรษฐศำสตร์ ยกตวั อยา่ งประกอบ

เร่ืองกุมภโฆสกะ, เรื่องถวายบิณฑบาตแก่ -พระไตรปิฎก/อรรถกถา/เอกสาร

พระมหากสั สปะ, เร่ืองบณั ฑติ สามเณร คาสอน/ สอ่ื ออนไลน์

๑๒ บทท่ี ๕ คัมภีร์ธรรมบทกับ ๓ นสิ ติ บรรยาย / รายงาน
พุทธเศรษฐศำสตร์ ยกตัวอย่างประกอบ
เรอ่ื งจเู ฬกสาฎก, เรื่องพราหมณ์ผู้มีเสอ้ื ใส่ผืน -พระไตรปฎิ ก/อรรถกถา/เอกสาร
เดียว คาสอน/ สอื่ ออนไลน์

๑๓ บทท่ี ๕ คัมภีร์ธรรมบทกับ ๓ นสิ ิตบรรยาย / รายงาน
พุทธเศรษฐศำสตร์ ยกตัวอย่างประกอบ
เรื่องมหาธนเสฏฐิปตุ ตะ, เรอ่ื งมหากาล -พระไตรปิฎก/อรรถกถา/เอกสาร
อุบาสก คาสอน/ สือ่ ออนไลน์

๑๔ บทที่ ๕ คัมภรี ์ธรรมบทกับ ๓ นสิ ิตบรรยาย / รายงาน
พทุ ธเศรษฐศำสตร์ ยกตวั อย่างประกอบ
เร่อื งมหาธนวานชิ , เรือ่ งพระวังคีสะ -พระไตรปิฎก/อรรถกถา/เอกสาร
คาสอน/ สื่อออนไลน์
๑๕ บทที่ ๖ สรุป
๓ ผ.ศ.ดร.สมบูรณ์ ตาสนธิ สรปุ
๑๖ สอบปลายภาค บทเรียน และนสิ ิตแบง่ กลมุ่ สรุป
บทเรยี น/นาเสนอบทสรปุ

๓ อัตนยั



๙. แผนกำรประเมินผล สัปดำห์ทป่ี ระเมนิ สัดสว่ นของกำรประเมนิ ผล
๙.๑ หลกั กำร

ท่ี วิธกี ำรประเมิน

๑ รายงานบรรยาย ทกุ สปั ดาห์ ๔๐ %
สอบปลายภาค หลงั รายงานเสร็จ ๔๐ %

มีสว่ นร่วมวเิ คราะหห์ ลักธรรม คน้ ควา้

นาเสนอรายงาน ตลอดภาค ๑๐ %
๒ การทางานกลุม่ และผลงาน การศึกษา

การอ่านและสรปุ บทความ

การสง่ งานตามทม่ี อบหมาย

การเขา้ ชัน้ เรียน ตลอดภาค ๑๐ %
๓ การมีสว่ นรว่ ม อภิปราย เสนอความ การศกึ ษา

คดิ เหน็ ในช้นั เรียน

๙.๒ เกณฑ์/ระดับคะแนน

๙.๒.๑ มีระดับคะแนนเม่อื รวมทุกสว่ นแลว้ ไม่ตา่ กว่ารอ้ ยละ ๖๐
๙.๒.๒ มเี วลาเรยี นไมต่ ่ากว่ารอ้ ยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นตลอดรายวิชา
๙.๒.๓ มีระดับคะแนนและเกณฑ์วดั ผลดังนี้



เกณฑ์คะแนน

คะแนน เกรด ระดับ ผล

๙๐-๑๐๐ A ๔ ผา่ น/ดีเยย่ี ม
๘๕-๘๙ B+ ๓.๕ ผา่ น/ดีมาก
๘๐-๘๔ B ๓ ผา่ น/ดี
๗๕-๗๙ C+ ๒.๕ ผ่าน/คอ่ นขา้ งดี
๗๐-๗๔ C ๒ ผา่ น/พอใช้
๖๕-๖๙ D+ ๑.๕ ผา่ น/ค่อนข้างพอใช้
๖๐-๖๔ D ๑ ผา่ น/อ่อน
๐-๕๙ F ๐ ไม่ผ่าน

๑๐. คัมภีร/์ หนงั สอื /ตำรำ สำหรบั อำ่ นประกอบรำยวชิ ำ

(๑) ภำษำไทย

ก. ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภำษำบำลี ฉบับมหำจุฬำเตปิฏก ๒๕๐๐.
กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕.
_________. พระไตรปิฎกภำษำไทย ฉบับมหำจฬุ ำลงกรณรำชวิทยำลัย. กรงุ เทพมหานคร:

โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
_________. อรรถกถำภำษำไทย ฉบับมหำจฬุ ำลงกรณรำชวทิ ยำลยั . กรงุ เทพมหานคร:

โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๖๐.
มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระไตรปฎิ กและอรรถำกถำ ฉบบั มหำมกฏุ รำชวทิ ยำลัย,

๒๕๒๕.

ข. ข้อมลู ทตุ ิยภูมิ

(๑) หนงั สือ :
กัจจายนเถระ. เปฏโกปเทสปกรณ์. พมิ พ์คร้ังท่ี ๒. กรงุ เทพมหานคร: มลู นธิ ิภูมพิ โลภกิ ขุ, ๒๕๕๘.

. เนตตหิ ำรตั ถทปี นี. พระธมั มานันทเถระ แปล. กรงุ เทพมหานคร:มหาจุฬาลงกรณราช-
วิทยาลัย.



คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. วรรณคดีบำลี. กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณ-ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒.

ดวงธิดา ราเมศวร์. อำรยธรรมทีย่ ง่ิ ใหญ่แหง่ อำเซีย อนิ เดยี -จนี . กรงุ เทพมหานคร:เคลด็ ไทย, ๒๕๓๗.
ประเสริฐ แยม้ กลิ่นฟุ้ง. สงั คมและวัฒนธรรม. พมิ พ์ครง้ั ที่ ๗. กรุงเทพมหานคร : ด่านสุทธาการพิมพ์,

๒๕๔๔.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) . จำริกบุญ – จำกรึกธรรม. พิมพ์คร้ังท่ี ๖. กรุงเทพมหานคร:

สหธรรมกิ , ๒๕๔๐.
. พจนำนุกรมพุทธศำสน์ ฉบับประมวลศัพท์ (ชาระเพิ่มเติม ช่วงที่ ๑/ยุติ),พิมพ์คร้ังที่
๑๔, ธนธชั การพมิ พ์: กรุงเทพฯ, ๒๕๕๓.
. พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ). พมิ พ์ครงั้ ที่ ๒๕. นนทบุรี:เพิ่มทรพั ย์การพิมพ์, ๒๕๕๔.
พระพุทธโฆสาจารย์, คัมภีร์วิสุทธิมรรค. สมเด็จพระพุทธโฆสาจาย์ แปลเรียบเรียง. พิมพ์ครั้งท่ี ๖.
Taiwan R.O.C:, ๒๕๔๘.
พระสทั ธรรมโชตกิ ะ ธัมมาจรยิ ะ. ธัมมสงั คณสี รูปตั ถนสิ ยะ. กรงุ เทพมหานคร : ทพิ ยพิสุทธ์ิ, ๒๕๕๕.
พัชรินทร์ สิรสุนทร. แนวคิด ทฤษฎี เทคนิคและกำรประยุกต์. กรุงเทพมหานคร:สานักพิมพ์แห่ง
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖.
มหาจุตงฺคพลอามาตย์. อภิธำนัปปทีปิกฎีกำ. สมเด็จพุทธชินวงศ์ (อุปสโม) ปริวรรต, พิมพ์คร้ังที่ ๒,
กรงุ เทพมหานคร:ประยูรสาสน์ไทย การพิมพ์, ๒๕๖๓.
โมคคัลลานเถระ. คัมภีร์อภิธำนวรรณนำ. พระมหาสมปอง มุทิโต แปลเรียบเรียง. กรุงเทพมหานคร:
ธรรมสภา, ๒๕๔๒.
โมคคัลลานเถระ. อภธิ ำนปั ปทีปกิ ำ. กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๖๓.
สมเด็จพ ระพุ ทธชินวงศ์ (อุป สมมหาเถระ). กำรศึกษ ำวิเค รำะห์ พ ระค ำถำธรรมบ ท .
กรุงเทพมหานคร: ประยรู สาส์นไทย การพิมพ์, ๒๕๕๙ .
สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ). งำนวิจัยกำรศึกษำเชิงวิเครำะห์ พระคำถำธรรมบท เล่ม
๒.กรงุ เทพมหานคร: ประยูรสาสน์ ไทย การพิมพ์, ๒๕๕๙ .
สมเด็จพระมหาสมณ เจ้า กรมพระยาวชิรญ าณ วโรรส. ธมฺมปทฏฺฐกถำ (ปฐโม ภำโค).
กรงุ เทพมหานคร:มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔.
. ธมมฺ ปทฏฺฐกถำ (ทตุ ิโย ภำโค). กรุงเทพมหานคร : มหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔.
. ธมฺมปทฏฐฺ กถำ (ตตโิ ย ภำโค). กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลยั , ๒๕๔๔.
. ธมฺมปทฏฐฺ กถำ (จตตุ โฺ ถ ภำโค). กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๔.
. ธมฺมปทฏฺฐกถำ (ปญฺจโม ภำโค). กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔.
. ธมฺมปทฏฐฺ กถำ (ฉฏโฺ ฐ ภำโค). กรงุ เทพมหานคร : มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔.
. ธมมฺ ปทฏฺฐกถำ (สตฺตโม ภำโค). กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๔.
. ธมฺมปทฏฺฐกถำ (อฏฺฐโม ภำโค). กรงุ เทพมหานคร : มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔.
สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์. พุทธธรรม ฉบบั ขยำย. กรุงเทพมหานคร:มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ,
๒๕๕๗.



สิริสุมังคลมหาเถร. ธัมมปทัฏฐกถำคำถำโยชนำ. พระมหาแสวง โชตปิ าโล ตรวจชาระ. พิมพ์คร้ังที่ ๒
กรงุ เทพมหานคร :เลี่ยงเชยี ง, ๒๕๓๔.

สุภาพรรณ ณ บางช้าง. ประวัติวรรณคดีบำลีในอินเดียและลังกำ. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๖.

อภิชัย พันธเสน.(ศาสตราจารย์). พุทธเศรษฐศำสตร์. กรุงเทพมหานคร : บริษัทอมรินทร์พร้ินติ้งพับ
ลิซซ่ิง, ๒๕๔๔.

อมรา พงศาพิชย์.ควำมหลำกหลำยทำงวัฒนธรรม. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์แห่งจุฬา
มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๓.



อธิบำยสญั ลกั ษณ์และคำยอ่

คำย่อช่อื คัมภีร์พระไตรปฎิ ก
อักษรย่อบอกชือ่ คัมภีร์ตา่ งๆ ไดจ้ ดั ทาตามท่อี ้างในพระไตรปฎิ กภาษาบาลี และภาษาไทย

ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฎราชวิทยาลัย เพ่ือเป็นแนวทางแหงการศึกษา การ

อา้ งอิงระบุ เล่ม/ขอ้ /หน้า หลังคาย่อช่ือคัมภีร์ และคัมภรี ์อรรกถา ฎกี าดังน้ี

พระสุตตนั ตปิฎก

ที.ม. (ไทย) สุตตนั ตปฎิ ก ทีฆนกิ าย มหาวรรค (ภาษาไทย)
ที.ปา. (ไทย)
ส.นิ. (บาล)ี สุตตนั ตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค (ภาษาไทย)
ส.สฬา. (ไทย)
ส.ม. (บาล)ี สตุ ฺตนตฺ ปิฎก สยุตฺตนกิ าย นิทานวคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี
ส.ม. (ไทย)
องฺ.นวก. (บาลี) สุตตันตปฎิ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค (ภาษาไทย)
ขุ.ธ. (ไทย)
ข.ุ อ.ุ (บาลี) สุตตฺ นฺตปฎิ ก สยุตฺตนิกาย มหาวารวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
ขุ.อ.ุ (ไทย)
ขุ.อิติ. (บาลี) สุตตนั ตปิฎก สยตุ ตฺ นกิ าย มหาวารวรรค (ภาษาไทย)
ขุ.อิติ. (ไทย)
ขุ.ม. (บาลี) สตุ ตฺ นตฺ ปฎิ ก องคฺ ุตตฺ รนิกาย นวกนิปาตปาลิ (ภาษาบาลี)
ข.ุ ม. (ไทย)
ข.ุ ป. (บาลี) สุตตันตปิฎก ขทุ ทกนกิ าย ธัมมบท (ภาษาไทย)
ข.ุ ป. (ไทย)
สตุ ตฺ นฺตปฎิ ก ขุทฺทกนกิ าย อทุ านปาลิ (ภาษาบาลี)

สตุ ตนั ตปิฎก ขทุ ทกนกิ าย อุทาน (ภาษาไทย)

สตุ ตฺ นตฺ ปฎิ ก ขุททฺ กนกิ าย อติ ิวุตตฺ กปาลิ (ภาษาบาลี)

สตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย อิตวิ ุตตฺ กะ (ภาษาไทย)

ขทุ ทฺ กนกิ าย มหานิทฺเทสปาลิ (ภาษาบาลี)

สตุ ตนั ตปฎิ ก ขุททกนิกาย มหานิทเทส (ภาษาไทย)

ขทุ ทฺ กนกิ าย ปฏิสมภฺ ทิ ามคคฺ ปาลิ (ภาษาบาล)ี

สตุ ตนั ตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏสิ ัมภทิ ามรรค (ภาษาไทย)

วสิ ุทฺธิ = คมั ภีรอ์ รรถกำถำฎกี ำและสัททำวิเสส (ภาษาบาลี)
อภิธา.สจู ิ. = วสิ ทุ ฺธมิ คฺคปกรณ (ภาษาบาล)ี
สงคฺ หฏีกา = อภธิ านปฺปทปี ิกาสจู ิ (ภาษาบาลี)
อภิธมมฺ ตฺถสงฺคหฏีกา
มงฺคล = (ภาษาบาลี)
มงฺคลตถฺ ทปี นี

พระไตรปฎิ กและอรรรถถำแปล
ข.ุ ธ.อ. สุตตันตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย ธมั มบทอรรถกถา (ภาษาไทย)



บทที่ ๑
ความหมาย

ประวัติ
โครงสร้างของคัมภรี ธ์ รรมบท



ขอบข่ายเนื้อหา

- ความนา
- ความหมายของธรรมบท
- ประวัติความเปน็ มาของคัมภรี ธ์ รรมบท
- โครงสร้างของคมั ภรี ธ์ รรมบท
- ความเปน็ มาของพระธรรมบทและอรรถกถา
- สรุป



ความนา

อรรถกถาธรรมบทเป็นคัมภีร์ท่ีแสดงหลักธรรมคาสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ใน
พระไตรปิฎกน้ันเป็นลักษณะร้อยแกว้ หรือคาถา ส่วนอรรถกถาได้แสดหลักธรรมคาส่ังสอนเท่าน้ันแต่
ยังปรากฏเร่อื งเล่าท่ีมกี ารยกอุทาหรณม์ าอ้าง ใชร้ ูปแบบการเล่าเรอ่ื งเพ่ือให้เกิดความเพลิดเพลิน คือมี
การใช้เร่ืองราวทานองนิทานที่มีเหตุการณ์และพฤติกรรมของบุคคลเพื่อแสดงเป็นตัวอย่างให้เห็นจริง
ขณะเดียวกันก็ให้ความเพลิดเพลินใจท่ีสอดคล้องกับลักษณะของวรรณกรรมคาสอน ในเอกสารคา
สอนนี้จะได้ศึกษาความหมาย ประวัติ โครงสร้าง หลักธรรมสาคัญของธรรมบท เน้นหลักธรรมสาคัญ
แนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์ สังคมวัฒนธรรม อิทธิพลและคุณค่าของธรรมบทท่ีมีต่อวิถีชีวิตและภูมิ
ปญั ญาไทย



๑.๑ ความหมาย

ธรรมบท แปลว่า บทแห่งธรรม, บทธรรม, ข้อธรรม๑ เม่อื กล่าวโดยแยกศัพท์
ธรรม หมายถึง สภาพทท่ี รงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, คุณธรรม, คุณความด๒ี , ความถกู ตอ้ ง
พระกจั จายนเถระใหค้ วามหมายว่า ธร ธาตุ แปลวา่ สภาพทีท่ รงไว้ + รมมฺ ปัจจยั ๓
บท หมายถึง ทางเดิน หนทาง อุบาย ธรรมบทจึงรวมความหมายได้ว่า ทางแห่งความดี๔
มบี ทคือพระสทั ธรรมถงึ พร้อมแล้ว๕ ถึง หรือ เทา้ ๖

คาว่า ธมฺมปท (ธรรมบท) หมายถึง หมวดธรรม กล่าวคือ กลุ่มธรรมต่าง ๆ ท่ีศาสนิกชน
พงึ ปฏิบัตเิ พื่อขัดเกลากเิ ลส เป็นพระธรรมเทศนาประเภทร้อยกรองที่พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงแก่เวไนย
สัตว์ต่างชั้นต่างระดับ มี ๕ จาพวก คือ ภิกษุ สามเณร คฤหัสถ์ เทวดาและนาค เนื้อหาสารธรรมมี
หลายระดบั ท้ังสงู และต่าผสมกันไปตามผูฟ้ ังในแต่ละโอกาส อรรถกถาให้ความหมาย ๔ ประการคอื

(๑) สตฺตตฺตึสโพธิปกฺขิยธมฺมสงฺขาต ธมฺมปท ธรรมบท กล่าวคือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗
ประการ

(๒) ธมฺมปทนฺติ อตฺถสาธก ขนฺธาทิปฏิสยุตฺต คาว่า ธรรมบท มีความหมายว่า กลุ่ม
ธรรมที่ประกอบดว้ ยธรรมมีขนั ธ์ ๕ เปน็ ตน้ ทย่ี งั ประโยชน์ใหส้ าเร็จ

(๓) ธมฺมปทานิ ฌานวิปสฺสนามคฺคผลนิพฺพานธมฺมโกฏฺฐาสานิ หมวดธรรม คือ กลุ่ม
ธรรมอันไดแ้ ก่ ฌาน วปิ ัสสนา มรรค ผลและนพิ พาน

(๔) ธมฺมปทนตฺ ิ สติปฏิฐานาทิธมมฺ โกฏฐฺ าส กล่มุ ธรรม มสี ติปัฏฐานเปน็ ตน้ ๗

ดังน้ัน ความหมายของธรรมบท หมายถึง หมวดแห่งกุศลกรรม ได้แก่ โพธิปักขิยธรรม
๓๗ ประการท่ีเป็นเคร่ืองบรรลุให้ถึงพระนิพพาน (ภาษาภาคเหนือล้านนาใช้คาว่า “เป่งป้อยใน
ธรรม”)

๑ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), “พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์”, พิมพ์ครั้งท่ี
๑๔, (ธนธัชการพิมพ์: กรงุ เทพฯ, ๒๕๕๓), หน้า ๑๔๖.

๒ ราชบณั ฑิตยสถาน, “พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒”, (กรงุ เทพมหานคร : นาม
มีบุค๊ ส์ จากัด, ๒๕๔๖), หนา้ ๕๕๓.

๓ กจั จายนเถระ, “พระคมั ภีรก์ ัจายนมูล”, พิมพค์ ร้ังท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พร้นิ ต้ิงแอนด์
พับลชิ ชงิ่ , ๒๕๖๓), หน้า ๓๔๕.

๔ พระมหาสาเนียง เลื่อมใส, “การศึกษาเปรียบเทียบธรรมบทและภควัทคีตา” , (วิทยานิพนธ์
ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาสันสกฤต ภาควิชาภาษาตะวันออก บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
ศิลปากร, ๒๕๓๔), หน้า ๗.

๕ ข.ุ ธ.อ.๔๐/๖.
๖ กัจจายนเถระ, “พระคมั ภรี ก์ จั ายนมลู ”, หน้า ๑๓๕.
๗ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “การศึกษาวิเคราะห์พระคาถาธรรมบท”,
(กรงุ เทพมหานคร: ประยรู สาส์นไทย การพมิ พ์, ๒๕๕๙), บทนา, หน้า ๓.



๑.๒ ประวตั ิความเป็นมาของคมั ภรี ธ์ รรมบท

คัมภีร์ธรรมบท นับว่า เป็นพุทธวจนะในรูปแบบของร้อยแก้วหรือคาถา และอรรถกถา
ธรรมบทเป็นคัมภีร์ที่แสดงหลักธรรมคาสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ซ่ึงไม่ได้มีเพียงคาถาหรือ
หลักธรรมคาส่ังสอนเท่าน้ันแต่ยังปรากฏเร่ืองเล่าที่มีการยกอุทาหรณ์มาอ้าง ใช้รูปแบบการเล่าเรื่อง
เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน คือมีการใช้เรื่องราวทานองนิทานท่ีมีเหตุการณ์และพฤติกรรมของบุคคล
เพ่ือแสดงเป็นตัวอย่างให้เห็นจริง ขณะเดียวกันก็ให้ความเพลิดเพลินใจที่สอดคล้องกับลักษณะของ
วรรณกรรมคาสอน พระไตรปิฎกมีกาเนิดและพัฒนาการมาจากหลักธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้า
เรียกว่า“พุทธพจน์” ซึ่งมีการรวบรวมและรักษาสืบทอดกันมา สมัยท่ีพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
นัน้ พระองค์ทรงเทศนาโปรดเวไนยสัตวแ์ ละทรงบัญญัตสิ ิกขาบทตา่ งๆ ตามเวลาและสถานทท่ี ีต่ า่ งกัน
คาสอนเหล่าน้ันในช่วงต้นพุทธกาลเรียกว่า “พรหมจรรย์” ในช่วงกลางพุทธกาลเรียกคาสอนของ
พระพุทธเจ้าว่า “ธรรมและวินัย” ต่อมาสมัยหลังพุทธกาล ได้มีการรวบรวมและรักษาคาสอนต่างๆ
ของพระพุทธเจ้าด้วยการสงั คายนาและจัดเปน็ หมวดหมเู่ รียกว่า “พระไตรปิฎก” ๘

การสังคายนาพระธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าเกิดขึน้ หลายครั้ง และจานวนการนับการ
สังคายนาก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา การสังคายนาที่ทุกฝ่ายยอมรับ
ตรงกันได้แก่การสังคายนา ๓ ครั้งแรกในประเทศอินเดีย ได้แก่ ครั้งที่ ๑ เกิดขึ้น หลังพระพุทธเจ้า
ปรินิพพาน ๓ เดือน ณ กรุงราชคฤห์ คร้ังท่ี ๒ เกิดข้ึนเมื่อ พ.ศ. ๑๐๐ ณ เมืองไพศาลี แคว้นวัชชี ครั้ง
ที่ ๓ เกิดข้ึนเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔ ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร ๑๐ การสังคายนาครั้งท่ี ๑ – ๒ มีบันทึก
อยใู่ นพระไตรปิฎก ไม่ได้พดู ถงึ “พระไตรปิฎก” หากใชค้ าวา่ “ธมมฺ วินยสงคฺ ีติ” แปลว่า การสังคายนา
พระธรรมและวินัย ตอ่ มาในชว่ งระหวา่ งการสังคายนาครง้ั ที่ ๒ กับครั้งท่ี ๓ มีผู้สันนิษฐานวา่ พระธรรม
และวินัย แบ่งออกเป็น ๓ หมวด เรียกว่า“ติปิฎก หรือ เตปิฎก” ๑๑ ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระ
สตุ ตนั ตปิฎก และพระอภธิ รรมปิฎก ซง่ึ ก็คอื พระไตรปฎิ ก นัน่ เอง๙

๑.๓ โครงสร้างของคัมภีร์ธรรมบท

อรรถกถา หมายถึง เครื่องบอกความหมาย, ถ้อยคาบอกแจ้งช้ีแจงอรรถ, คาอธิบาย
อัตถะ คือความหมายของพระบาลี อันได้แก่พุทธพจน์ รวมทั้งข้อความและเรื่องราวเกี่ยวข้อง
แวดล้อมท่ีรักษาสืบทอดมาในพระไตรปิฎก, คัมภีร์อธิบายความในพระไตรปิฎก ๑๙ ในภาษาบาลีใช้
คาว่า “อฏฺฐกถา”ซึ่งสร้างศัพทม์ าจาก อัฏฐฺ และ กถา อฏฺฐ ตามรูปศัพทแ์ ปลว่า แปด เข้าใจว่าในท่ีน้ี
ใช้ในความหมายเดียวกับคาว่า อตฺถ ที่แปลว่า เน้ือความ ความหมาย ประโยชน์ จึงมีความหมาย
อย่างเดียวกับคาว่า อตฺถกถา แปลว่า การอธิบายความหมาย (exposition of the sense,

๘ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, “วรรณคดีบาลี”, (กรุงเทพมหานคร :
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณ-ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หน้า ๓๕.

๙ คณาจารยม์ หาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, “วรรณคดีบาลี”, หน้า ๔๒.



explanation, commentary) ภาษาไทยนิยมเขียนว่า อรรถกถา๑๐ อรรถกถาจึงมีความสาคัญใน
ฐานะท่ีช่วยอธิบายความหมายของคาถาในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา เพื่อให้เกิดความเข้าใจคา
สอนของพระพุทธเจ้าที่ชัดเจนถูกต้องและง่ายยิ่งข้ึนในการเขียนอรรถกถา อรรถกถาจารย์ไม่ได้ใช้
คมั ภีรอ์ รรถกาถาภาษาสิงหลของฝ่ายมหาวิหารเป็นต้นแบบเท่าน้ัน แต่ไดพ้ ยายามรวบรวมคัมภีร์อรรถ
กถาฉบับต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเวลาน้ันมาศึกษาเปรียบเทียบด้วย คัมภีร์อรรถกถาทั้งท่ีเป็นภาษาสิงหลและ
ภาษาอินเดียตอนใต้ ซึ่งมกี ารกล่าวอ้างถึงน้นั มีทง้ั หมด ๓ คัมภรี ์ คอื

๑. มหาอัฏฐกถา บางครงั้ กเ็ รียกวา่ มูลอัฏฐกถา หรอื อฏั ฐกถา เท่านั้น
๒. อุตตรวิหารอฏั ฐกถา
๓. มหาปญั จริยอัฏฐกถา

ในการเขียนอรรถกถา อรรถกถาจารย์ไม่ได้ใช้คัมภีร์อรรถกาถาภาษาสิงหลของฝ่ายมหา
วิหารเป็นต้นแบบเท่าน้ัน แต่ได้พยายามรวบรวมคัมภีร์อรรถกถาฉบับต่างๆที่มีอยู่ในเวลาน้ันมาศึกษา
เปรยี บเทยี บดว้ ย คัมภีร์อรรถกถาทั้งทเี่ ป็นภาษาสิงหลและภาษาอนิ เดียตอนใต้ซ่ึงมีการกลา่ ว
อา้ งถึงน้ันมที ัง้ หมด ๑๙ คัมภรี ์ คอื

๑. มหาอฏั ฐกถา บางครงั้ ก็เรยี กวา่ มูลอฏั ฐกถา หรือ อัฏฐกถา เทา่ น้ัน
๒. อุตตรวิหารอัฏฐกถา
๓. มหาปญั จรยิ อฏั ฐกถา
๔. กรนุ ทีอฏั ฐกถา
๕. อันธอัฏฐกถา
๖. สงั เขปฏั ฐกถา
๗. อาคมฏั ฐกถา
๘. โบราณฏั ฐกถา
๙. ปพุ โพปเทสัฏฐกถา หรือ ปุพพัฏฐกถา
๑๐. วินยฏั ฐกถา
๑๑. สัตตนั ตฏั ฐกถา
๑๒. อภิธัมมฏั ฐกถา
๑๓. สงิ หลมาติกฏั ฐกถา
๑๔. ฑฆี ฏั ฐกถา
๑๕. มชั ฌมิ ฏั ฐกถา
๑๖. สังยตุ ตัฏฐกถา
๑๗. องั คตุ ตรฏั ฐกถา
๑๘. ชาตกฏั ฐกถา

๑๐ สภุ าพรรณ ณ บางช้าง, “ประวัติวรรณคดีบาลีในอินเดียและลังกา”, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลง
กรณมหาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๖), หน้า ๒๗๑.



๑๙. วิภังคัปปกรณัสสะ สหี ลัฏฐกถา๑๑

อรรถกถาพระสตุ ตันตปิฎก เทา่ ท่มี ีหลักฐานปรากฏ ได้แก่

๑. สมุ งั คลวิลาสนิ ี อธิบายความในทฆี นิกาย
๒. ปปัญจสทู นี อธบิ ายความในมัชฌิมนกิ าย
๓. สารัตถปกาสินี อธบิ ายความในสังยุตตนิกาย
๔. มโนรถปรู ณี อธบิ ายความในอังคุตตรนกิ าย
๕. ปรมตั ถโชติกา อธบิ ายความขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท และสุตตนบิ าตในขุททกนกิ าย
๖. ธัมมปทฏั ฐกถา หรอื ในชอื่ เดมิ วา่ ปรมัตถโชตกิ า อธบิ ายความธรรมบทในขทุ ทกนกิ าย
๗. ปรมัตถทีปนี อธิบายความความอุทาน อิติวุตตกะ วิมานวัตถุ เปตวัตถุเถรคาถา และ
เถรคี าถาในขุททกนกิ าย
๘. ชาตกฏั ฐกถา หรอื อรรถกถาชาดก อธบิ ายความชาดกในขุททกนกิ าย
๙. สัทธัมมปัชโชติกา อธิบายความในขุททกนิกาย แบ่งออกเป็น ๒ ภาค คือ ภาคท่ี๑
อธิบายความในมหานทิ เทส และภาคท่ี ๒ อธบิ ายความในจูฬนิทเทส
๑๐. สัทธัมมปกาสินี อธิบายความในขุททกนิกาย แบ่งออกเป็น ๒ ภาคอธิบายความใน
ปฏิสัมภทิ ามรรคทง้ั หมด
๑๑. วสิ ุทธชนวิลาสนิ ี อธิบายความอปทาน ในขทุ ทกนกิ าย
๑๒. มธุรตั ถวิลาสนิ ี อธบิ ายความพทุ ธวงศ์ ในขุททกนกิ าย

ผรู้ จนาคัมภีรธ์ รรมบท ไดแ้ ก่ พระพุทธโฆสมหาเถระ มีกล่าวถึงในคัมภีร์ตา่ ง ๆ คือ คัมภีร์
มหาวงส์ คัมภีร์คันธวงส์ คัมภีร์สาสนวงส์ และคัมภีร์สัทธัมมสังคหะ รวมถึงในหนังสือที่กล่าวถึงพระ
พุทธโฆสะโดยเฉพาะคือ พุทธโฆสุปัตติ คัมภีร์และหนังสือเหล่านี้ ท่านได้เล่าเรียนวิชาและศิลปะตาม
ธรรมเนียมของพราหมณ์ เป็นผู้ท่ีเชี่ยวชาญในคัมภีร์พระเวทมาก ท่านได้เดินทางไปยังเมืองต่างๆใน
อินเดียเพ่ือโต้วิวาทะเรื่องปรัชญากับนักปราชญ์ จนได้พบกับพระเรวตะ ไต่ถามปัญหาธรรมะจนเกิด
เล่ือมใสและขอบวชในพระพุทธศาสนา ได้สมญานามว่า “พุทธโฆสะ” หมายถึงมีเสียงคล้าย
พระสุรเสียงของพระพุทธเจ้า พระพุทธโฆสะได้เขียนอัตถสาลินี ซ่ึงเป็นหนังสือเล่มแรกของพระ
อภธิ รรมปิฎก เมือ่ จะเขียนอรรถกถาปริตร ไมม่ คี ัมภีร์อรรถกถาสาหรับคน้ คว้า พระเรวตะจงึ แนะนาให้
ทา่ นเดินทางไป อรรถกถาธรรมบท หรือธัมมปทัฏฐกถาท่ีเชื่อว่าเป็นผลงานของพระพุทธโฆสะด้วยน้ัน
แต่งตามคาอาราธนาของพระกุมารกัสสปะ เม่ือใกล้จะถึง พ.ศ. ๑,๐๐๐ โดยอาศัยอรรถกถาภาษา
สงิ หลชอ่ื มหาอรรถกถา๑๒

๑๑ สุภาพรรณ ณ บางช้าง, “ประวัติวรรณคดีบาลีในอินเดียและลังกา”, (กรุงเทพมหานคร :
จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๖), หน้า ๒๗๒-๒๗๓.

๑๒ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, “วรรณคดีบาลี”, (กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๒), หนา้ ๕๘.



๑.๔ ความเป็นมาของพระธรรมบทและอรรถกถาธรรมบท

พระพทุ ธศาสนาเขา้ มาเผยแผ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ซง่ึ มีหลักฐานว่าดินแดนสุวรรณภูมิอยู่
ในเขตประเทศไทยปัจจุบัน พระธรรมบทจึงได้เข้ามาเผยแผ่พร้อมกัน นับว่าเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมคา
สอนของพระพุทธศาสนาไว้อย่างครบถ้วน เปน็ คมั ภรี ์ที่ได้รับความนยิ มอยา่ งแพรห่ ลายมาเปน็ เวลาช้า
นาน ซ่ึงจะเห็นได้จากการที่พญาลิไททรงนามาเป็นข้อมูลในการทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิกถา คัมภีร์
โลกนีติ ซึ่งมีผู้แต่งไว้แต่โบราณได้นาคาสอนจากคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น ธรรมนีติ หิโตปเทศ จาณักยศตกะ
พระไตรปิฎก ชาดก และธรรมบท เข้ามาแทรกไว้ในคัมภีร์โลกนีติ ในสมัยต่อมาจึงมีผู้แปลคัมภีร์โลก
นตี เิ ป็นภาษาไทยท้ังร้อยกรองและร้อยแก้ว ฉบบั ท่เี ก่าทสี่ ุดคือโคลงโลกนิติสานวนเก่า ซ่ึงนา่ จะแต่งขึ้น
ก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์หรือก่อนรัชกาลที่ ๓ เป็นอย่างน้อย ๔๐ รวมทั้งยังใช้เป็นแบบเรียนพระ
ปรยิ ัติธรรมของคณะสงฆ์จนถงึ ปจั จบุ ัน ดงั นี้

การแปลเฉพาะคาถา เช่น พระธรรมบท ฉบับถ่ิน รตั นกะ (วัดตโปทาราม) พระคาถาธรรม
บทแปล ฉบับพระอริยมุนี วัดมกุฎกษัตริยารามเป็นผู้แปลการแปลคาถาประกอบอรรถกถา เช่น
พระธัมมปทัฎฐกถา ฉบับส. ธรรมภักดี จัดพิมพ์พระธัมมปทัฎฐกถาแปล มหามกุฎราชวิทยาลัยเป็นผู้
แปลทางแห่งความดี (ธรรมบท) วศิน อินทสระเป็นผู้แปลการแปลคาถาธรรมบทเป็นหลายภาษา เช่น
พระธรรมบท ๔ ภาษา จาลอง สารพัดนึกเป็นผู้แปลเป็นภาษาบาลี สันสกฤต ไทย และอังกฤษ พระ
ธรรมบทจตรุ ภาค ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน (บาลี ไทย องั กฤษ) พุทธวจนะในธรรมบท ฉบบั เสถียรพงษ์
วรรณปก (บาลีไทย อังกฤษ)การแต่งใหม่เพื่ออธิบายคาถาในธรรมบทและการแปลเพ่ือประกอบ
การศึกษา เช่นธรรมบทวิจารณ์ ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง ธรรมบทแปลยกศัพท์ ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง เป็น
ต้นการแปลธรรมบทในลักษณะอ่ืนๆ เช่น นิทานธรรมบท ฉบับทินกร ทองเสวตนิทานธรรมบทใน
พระไตรปิฎก ฉบบั ส.รัตนรตั ติ เป็นต้นอรรถกถาธรรมบทแตล่ ะวรรคจะมจี านวนอรรถกถาเพอ่ื อธิบาย
และขยายความคาถาพระธรรมบทไม่เท่ากัน วรรคละประมาณ ๘ –๑๔ เร่ือง มีเพียงวรรคเดียวที่มี
จานวนอรรถกถามากต่างกับวรรคอ่ืนๆ คือ ๓๙ เร่อื ง รวมมีอรรถกถาทั้งสิ้น ๓๐๒ เรื่อง๑๓ พระอรรถ
กถา พรรณนาอรรถแหง่ พระธรรมบทวา่

พระธรรมบทอันงาม ทีพ่ ระศาสดาผูฉ้ ลาดในสภาพท่ีเปน็ ธรรมและมใิ ชธ่ รรม
มีบทคือพระสัทธรรมถงึ พรอ้ มแลว้ มีพระอธั ยาศัยอันกาลงั แหง่ พระกรณุ า
ใหอ้ ุตสาหะดว้ ยได้แลว้ ทรงอาศยั เหตนุ ้นั ๆ แสดงแล้วเป็นเคร่อื งเจรญิ ปตี ิปราโมทย์
ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเปน็ คาทสี่ ุขุมละเอยี ด นาสบื ๆ กันมา
ตัง้ อยู่แลว้ ในตามพปณั ณทิ วีป (ศรีลงั กา) โดยภาษาของชาวเกาะ
ยงั ไมท่ าความถึงพร้อมแหง่ ประโยชน์ ให้สาเร็จแกส่ ัตวท์ ง้ั หลายทเี่ หลือได้
ไฉนพระอรรถกถาแหง่ พระธรรมบทนัน้ จะทาประโยชนใ์ หส้ าเรจ็ แก่โลกทั้งปวงได้
อาราธนาโดยเคารพแลว้ จงึ ขอนมัสการพระบาทแห่งพระสมั พุทธเจา้ ผูท้ รงสิริ

๑๓ ฌานิศ วงศ์สุวรรณ, “การศึกษาเรื่องพุทธวจนะในธรรมบทของ เสถียรพงษ์ วรรณปก”
(วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาไทย บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร, ๒๕๔๖), หน้า ๑๖๓-๑๖๔.



ทรงแลพึงที่สุดโลกได้ มพี ระฤทธิ์รงุ่ โรจน์ ทรงยงั ประทปี
คือพระสัทธรรมใหร้ งุ่ โรจน์ ในเนอ้ื โลกอันมดื คอื โมหะ
ใหญ่ปกคลมุ แลว้ บูชาพระสทั ธรรมแหง่ พระสัมพทุ ธเจา้ พระองคน์ ้ัน
และทาอัญชลแี ด่พระสงฆแ์ ห่งพระสมั พุทธเจา้ พระองคน์ ั้นแล้ว
จักกลา่ วอรรถกถาอันพรรณนาอรรถแหง่ พระธรรมบทนั้น
ด้วยภาษาอน่ื โดยอรรถไมใ่ หเ้ หลือเลย ละภาษานนั้ และลาดบั คา
อนั ถงึ พสิ ดารเกินเสีย ยกขนึ้ สภู่ าษาอันเปน็ แบบที่ไพเรา
อธิบายบทพยัญชนะแห่งคาถาท้งั หลายทที่ ่านยงั มิไดอ้ ธิบายไว้แลว้
ในอรรถกถาน้นั ให้สิ้นเชิงนามาซ่งึ ปีตปิ ราโมทยแ์ ห่งใจ
อิงอาศยั อรรถและธรรมแก่นักปราชญ์ทั้งหลาย๑๔

สถานท่ีซ่ึงพระพุทธองค์ทรงแสดงพระคาถาธรรมบท ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถา รวม
ทั้งหมด ๒๕ แหง่ คอื

๑) โพธิบัลลงั ก์
๒) วดั เชตวนั เมืองสาวัตถี
๓) วัดบุพพาราม เมืองสาวัตถี
๔) วัดเวฬวนั เมืองราชคฤห์
๕) อารามสวนมะม่วงของหมอชวี ก
๖) ภเู ขาคชิ ฌกฏู
๗) วัดโฆสติ าราม เมอื งโกสัมพี
๘) วัดกฎู าคาร เมืองเวสาลี
๙) วัดนิโครธาราม เมืองกบลิ พัสดุ
๑๐) ป่ามคิ ทายวนั เมอื งพาราณสี
๑๑) ป่าปาลเิ ลยยกะ เมืองโกสัมพี
๑๒) วดั ป่าแห่งหน่ึงบนภเู ขาหิมพานต์
๑๓) ปัณฑกมั พลศลิ าอาสน์ในดาวดงึ ส์
๑๔) เวฬวคาม
๑๕) เมอื งภทั ทิยะ
๑๖) เตยี งบรรทมปรนิ พิ พานในอุทยานของเจ้ามลั ละ เมอื งกสุ นิ ารา
๑๗) แควน้ สักกะ
๑๘) หมู่บา้ นพราหมณ์ชอื่ วา่ ปญั จาละ
๑๙) ภเู ขาจาลิกะ
๒๐) เมอื งที่ฆลงั คลกิ ะ
๒๑) เภสกพาวนั
๒๒) วดั ป่าชือ่ กุณฑธานะ

๑๔ข.ุ ธ.อ.๔๐/๖.

๑๐

๒๓) เมอื งกณุ ฑโกลิยะ
๒๔) เทวาลยั ชือ่ อคั คาพวะ
๒๕) ใตไ้ ม้สึกเจด็ ต้นในเมอื งพาราณสี๑๕

คมั ภีรอ์ ธบิ ายพระคาถาธรรมบท ธรรมบท เปน็ วรรณคดีบาลที ่ไี ด้รบั ความนิยมมากทั้งจาก
ชาวพทุ ธและจากผูท้ ่ี ศึกษาวิชาการฝา่ ยพุทธศาสนา ดังน้นั จึงมีคัมภรี ์อธบิ ายเปน็ ภาษาบาลีหลายฉบบั
เทา่ ทีพ่ บในปัจจบุ ันมี ๔ ฉบับ คอื

๑) ธัมมปทัฏฐกถา พระพทุ ธโฆสาจารย์แต่งในรชั สมัยของพระเจา้ มหานาม (พ.ศ. ๔๗๕-
๙๕๓) โดยมีพระกุมารกัสสปเถระเป็นผู้อาราธนา ในคาลงท้ายของคัมภีร์กล่าวว่า ได้เขียนขึ้นที่วัดซ่ึง
สรา้ งโดยความอุปถัมภ์ของพระเจ้าสิริกุฑฑะ (ฉบบั ฉฏั ฐสงั คายนามีรปู ว่า สิรกิ ุฏฏะ) เขา้ ใจว่าเปน็ ฉายา
อีกอันหนง่ึ ของพระมหานาม นกั วิชาการหลายท่านไมย่ อมรับว่าคัมภีร์นี้เป็นผลงานของพระพทุ ธโฆสะ
เพราะลลี าสานวนและวธิ กี ารอธบิ ายหลักธรรมตา่ งจากเร่ืองอน่ื ในคานาของธัมมปทัฏฐกถาฉบบั อักษร
โรมัน Noman ผชู้ าระได้แสดงเหตุผลทีว่ า่ คัมภรี ์นีไ้ มค่ วรเป็นงานของพระพทุ ธโฆสะ ๓ เหตุผล คือ (๑)
มกี ารระบุในคัมภีร์น้ีว่า ทุกถ้อยคาในอรรถกถาเป็นพระวาจาของพระพุทธเจ้า ลักษณะเช่นน้ีไมป่ รากฏ
ในงานอื่นของพระพุทธโฆสะ ในคาถากล่าวนาของงานอรรถกถาเกือบทุกเล่ม ท่านมักจะบอกชัดเจน
ว่า อรรถกถาฉบับเดิมนั้นเป็นงานของโบราณาจารย์ ซึ่งรักษาสืบต่อกันมาตั้งแต่ในอินเดียมาจนถึง
ลังกา และเก็บรักษาไว้ในมหาวิหารโดยมีการแปลออกเป็นภาษาสิงหล (๒) เร่ืองของโฆสกะท่ีเล่า
ในธัมมปทัฏฐกถา ต่างจากเร่ืองเดียวกันที่เล่าในอรรถกถาขององั คุตตรนิกาย แสดงว่างานท้ัง ๒ นี้ ไม่
ควรเป็นงานของคน ๆ เดียวกัน (๓) ในธมั มปทฏั ฐกถา จลู สุกชาดก จดั อยูใ่ นทสนิบาต แต่ในอรรถกถา
ของชาดก จัดอยใู่ นนวนิบาต

E.W. Adikaram และพระญาณโมลเี ห็นตรงกนั วา่ ท้งั ธัมมปทฏั ฐกถาและชาตกฏั ฐกถา เป็น
งานของพระพทุ ธโฆสะ ท่านเห็นว่าข้อขัดแย้งที่ Norman ว่ามาน้ันอาจเกิดขนึ้ ได้ เน่ืองจากเนอื้ หาของ
เรื่องเปลี่ยนแปลง พระพุทธโฆสะก็จาเป็นต้องเปล่ียนแปลงวิธี การเขียน เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหา
เน้ือความใน ๔ นิกายแรกมีลักษณะเป็นพระสูตร การเขียนอรรถกถาจึงมุ่งไปท่ีการอธิบายความหมาย
ของคาและความ ส่วนเนื้อหาใน ธรรมบทและ ในชาดกเป็นคาถาร้อยกรองสนั้ ๆ ซง่ึ มีความสมบูรณใ์ น
ตัว อย่างในธรรมบทนอกจากจะอธิบายความหมายทางธรรมะของเน้ือหาแล้ว ยังมีความจาเป็นท่ีจะ
เลา่ ที่มา ท่ีทาใหเ้ กิดการกล่าวคาถาน้ัน ๆ ด้วย นอกจากนี้งานท่เี ช่อื กันว่าเป็นของพระพทุ ธโฆสะ มีเป็น
จานวนมาก ท่านคงมิได้เขียนคนเดียวโดยท้ังหมด แต่คงจะมีภิกษุอื่นจานวนหน่ึงเป็นผู้ช่วย (เหมือน
อย่างทเี่ จ้าพระยาพระคลังหนเป็นแม่กองแปลสามก๊ก) ฉะนั้นความผดิ พลาดเล็กๆ นอ้ ย ๆ ยอ่ มเกดิ ข้ึน
ได๑้ ๖

๑๕ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “การศึกษาวิเคราะห์พระคาถาธรรมบท”,
(กรงุ เทพมหานคร: ประยูรสาสน์ ไทย การพิมพ์, ๒๕๕๙), บทนา, หน้า ๔๖.

๑๖ สุภาพรรณ ณ บางช้าง, “ประวัติวรรณคดบี าลใี นอินเดียและลังกา”, หนา้ ๒๙๔.

๑๑

๒) ธัมมปทมหาฎีกา พระวรสัมโพธิเถระ เจ้าอาวาสวัดมหารามซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของ
หมู่บ้านเยสะโจ ใกล้แม่น้าสัลลาวดี ห่างจากจังหวัดปทุกคู่ราว ๔ กิโลเมตร ไปทางทิศ
ตะวันออกเฉยี งเหนือ ประเทศสหภาพพม่า แตง่ ไว้ในราวพุทธศักราช ๒,๔๐๐ คัมภีร์น้ี ได้รับการพิมพ์
เป็นอักษรไทยในงานพระราชทานเพลิงศพ พระวิสุทธาธิบดี (สง่า ปภสสร มหาเถร ป.ธ. ๙) ณ เมรุ
หน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันท่ี ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๔ คัมภีร์นี้แต่งใน
ลักษณะรวบรวมข้อความจากอรรถกถาฎีกาอื่นๆ มาประมวลไว้ในท่ีเดียวกัน โดยเฉพาะอดีตนิทานท่ี
กล่าวไว้ในอรรถกถาชาดก ท่านจะนาข้อความท้ังหมดมากล่าวไว้ในคัมภีร์นี้ โดยไม่กล่าวสรุปเหมือน
คัมภีรม์ งคลัตถทปี นีท่ีแต่งในประเทศไทย และไม่เน้นการวิจัยรปู ศพั ท์ในคาถาตามหลักภาษาทีก่ ลา่ วไว้
ในคัมภรี ส์ ทั ทาวเิ สส

๓) ธัมมปทัฏฐกถาคากาโยชนา พระสุมังคลเถระ เจ้าอาวาสวัดมังคลาไชยุง คัมภีร์นี้
ได้รับการพิมพ์ เมืองตะเกิง ประเทศสหภาพพม่า แต่งไว้ในราวพุทธศักราช ๒,๔๐๐ คัมภีร์ เป็น
อักษรไทยรว่ มกบั ธัมมปทมหาฎีกา คมั ภีร์นแ้ี ตง่ ตามแนวทางของคัมภรี ์โยชนาท่วั ไป คือแสดงคาแปลไว้
บทตอ่ บท ไมไ่ ด้อธบิ ายรูปศัพท์ตามหลกั ภาษาแต่อย่างใด

๔) ธัมมปทวิวรณะ ผู้แต่งไม่ปรากฏนาม ลักษณะการแต่งคล้ายคัมภีร์โยชนา ท่ัวไปโดย
มุ่งแปลข้อความในคาถา มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ ปริวรรตจากอักษรขอม แล้วจัดพิมพ์เผยแพร่ เม่ือปี
พทุ ธศักราช ๒๕๓๑๑๗

โครงสร้าง คัมภีร์อรรถกถาธรรมบทมีทั้งหมด ๒๖ วรรค จานวนเรื่องมี ๓๐๒ เร่ือง โดย
แบ่งตามพระมหาสมณะเจา้ ไวเ้ ปน็ ๘ ภาค ดงั นี้

ภาคท่ี ๑ มี ๑ วรรค ได้แก่ (๑) ยมกวรรค มี ๑๔ เรื่อง
ภาคท่ี ๒ มี ๒ วรรค ได้แก่ ๒. อัปปมาทวรรค มีจานวน ๙ เร่ือง และ ๓.. จิตตวรรค มี
จานวน ๙ เร่ือง
ภาคที่ ๓ มี ๒ วรรค ได้แก่ ๔. ปุปผวรรค มีจานวน ๑๒ เรือ่ ง และ ๕. พาลวรรค มจี านวน
๑๕ เรอ่ื ง
ภาคที่ ๔ มีจานวน ๓ วรรค ได้แก่ ๖. บัณฑิตวรรค มีจานวน ๑๑ เร่ือง ๗. อรหันตวรรค
มจี านวน ๑๐ เรอื่ ง และ ๘. สหสั สวรรค มีจานวน ๑๔ เร่ือง
ภาคที่ ๕ มีจานวน ๓ วรรค ได้แก่ ๙. ปาปวรรค มีจานวน ๑๒ เรื่อง ๑๐. ทัณฑวรรค มี
จานวน ๑๑ เรอ่ื ง และ ๑๑. ชราวรรค มจี านวน ๙ เร่ือง
ภาคที่ ๖ มีจานวน ๖ วรรค ได้แก่ ได้แก่ ๑๒. อัตตวรรค มีจานวน ๑๐ เร่ือง ๑๓. โลก
วรรค มจี านวน ๑๑ เรอ่ื ง ๑๔. พทุ ธวรรค มีจานวน ๙ เรอ่ื ง ๑๕. สขุ วรรค มีจานวน ๘ เรอ่ื ง ๑๖. ปิย
วรรค มีจานวน ๙ เรอื่ ง และ ๑๗. โกธวรรค มจี านวน ๘ เร่ือง

๑๗ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “การศึกษาวิเคราะห์พระคาถาธรรมบท”,
(กรงุ เทพมหานคร: ประยูรสาส์นไทยการพิมพ์, ๒๕๕๙), บทนา หนา้ ๔๖.

๑๒

ภาคที่ ๗ มจี านวน ๖ วรรค ได้แก่ ๑๘. มลวรรค มจี านวน ๑๒ เรอื่ ง ๑๙. ธัมมัฏฐวรรค มี
จานวน ๑๐ เร่ือง ๒๐. มัคควรรค มีจานวน ๑๐ เร่ือง ๒๑. ปกิณกวรรค มีจานวน ๙ เร่ือง ๒๒. นิรย
วรรค มีจานวน ๙ เรื่อง และ ๒๓. นาควรรค มีจานวน ๘ เรอื่ ง

ภาคที่ ๘ มีจานวน ๓ วรรค ได้แก่ ๒๔. ตัณหาวรรค มีจานวน ๑๒ เรื่อง ๒๕. ภิกขุวรรค มี
จานวน ๑๒ เรอ่ื ง และ ๒๖. พราหมณวรรค มจี านวน ๓๙ เร่อื ง

พระธรรมบทเปน็ คมั ภีรท์ ่ี ๒ ของขทุ ทกนกิ าย ๗ มี ๔๒๓ คาถา แบง่ ออกเปน็ ๒๖ วรรค
ดังน้ี

๑. ยมกวรรค ว่าดว้ ยธรรมเปน็ คกู่ ัน คอื ความดีกับความชว่ั มี ๒๐ คาถา
๒. อปั ปมาทวรรค วา่ ด้วยความไมป่ ระมาท มี ๑๒ คาถา
๓.. จิตตวรรค วา่ ดว้ ยการฝึกจิต มี ๑๑ คาถา
๔. ปุปผวรรค ว่าด้วยคนฉลาดกับดอกไม้ มี ๑๖ คาถา
๕. พาลวรรค ว่าดว้ ยคนพาลสันดานหยาบ มี ๑๖ คาถา
๖. ปณั ฑติ วรรค ว่าด้วยบัณฑติ เป็นบุคคลท่ีควรคบ มี ๑๔ คาถา
๗. อรหนั ตวรรค ว่าดว้ ยเรื่องพระอรหันต์ มี ๑๖ คาถา
๘. สหสั สวรรค ว่าดว้ ยเรื่องหน่ึงในรอ้ ยในพัน มี ๑๖ คาถา
๙. ปาปวรรค วา่ ด้วยคนกับความชัว่ มี ๑๓ คาถา
๑๐. ทณั ฑวรรค ว่าด้วยผลสะทอ้ นของอาชญา มี ๑๗ คาถา
๑๑. ชราวรรค ว่าด้วยส่ิงท่ีครา่ คร่า ทรดุ โทรม มี ๑๑ คาถา
๑๒. อัตตวรรค ว่าดว้ ยเร่ืองตวั เรา ปัญหาตวั เรา มี ๑๐ คาถา
๑๓. โลกวรรค วา่ ดว้ ยธรรมปฏิบตั ิเกีย่ วกบั โลก มี ๑๒ คาถา
๑๔. พทุ ธวรรค ว่าดว้ ยการเปน็ พระพุทธเจา้ มี ๑๘ คาถา
๑๕. สุขวรรค ว่าดว้ ยความสุขท่ีแท้จรงิ มี ๑๒ คาถา
๑๖. ปยิ วรรค วา่ ด้วยความรักทาใหเ้ กดิ ทกุ ข์ มี ๑๒ คาถา
๑๗. โกธวรรค ว่าด้วยความโกรธทาใหค้ วามเสียหายมาก มี ๑๔ คาถา
๑๘. มลวรรค ว่าด้วยมลทินทางใจ มี ๒๑ คาถา
๑๙. ธมั มฏั ฐวรรค วา่ ด้วยความเทย่ี งธรรม มี ๑๗ คาถา
๒๐. มัคควรรค วา่ ด้วยแนวทางปฏบิ ตั ิ มี ๑๗ คาถา
๒๑. ปกณิ กวรรค วา่ ด้วยหมวดเบด็ เตล็ด มี ๑๖ คาถา
๒๒. นริ ยวรรค ว่าด้วยคนทากรรมชั่วตกนรก มี ๑๔ คาถา
๒๓. นาควรรค ว่าดว้ ยการอดทนดุจชา้ งตวั ประเสรฐิ มี ๑๔ คาถา
๒๔. ตณั หาวรรค ว่าดว้ ยเครอ่ื งผูกคอื ตัณหา มี ๒๖ คาถา
๒๕. ภกิ ขุวรรค วา่ ดว้ ยทางดาเนนิ ของภิกษุ มี ๒๓ คาถา
๒๖. พราหมณวรรค ว่าด้วยผมู้ คี ณุ ธรรมควรเปน็ พราหมณ์ มี ๔๑ คาถา๑๘

๑๘ สภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง, “ประวตั ิวรรณคดีบาลใี นอินเดียและลงั กา” ,หนา้ ๒๙๕.

๑๓

คัมภีร์น้ีมพี ระคาถา ๔๒๓ บท เป็นพระธรรมเทศนาประเภทร้อยกรองท่ีพระพุทธเจ้า ทรง
แสดงแก่บุคคลต่างชั้นต่างระดับในสถานท่ีต่างๆ รวม ๒๔ แห่ง ซึ่งแตล่ ะพระคาถา ก็ให้ผลแตกต่างกัน
ออกไป

๑.๕ สรปุ

พระธรรมบท เป็นส่วนหนึ่งของคาสอนท่ีรวบรวมอยู่ในพระไตรปิฎกส่วนที่เรียกว่า
พระสุตตันตปิฎก คัมภีร์ที่ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่วไป มีประวัติและท้องเรื่องประกอบแบ่งออกเป็น
๕ หมวดใหญ่ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย คัมภีร์ธรรม
บทจึงอยู่ในขุททกนิกาย ธมฺมปท หมายถึง หมวดธรรม กลุ่มธรรมต่าง ๆ ที่ผู้ศึกษาพึงปฏิบัติเพ่ือ
ขัดเกลากิเลส คัมภีร์ธรรมบท เป็นพุทธวจนะในรูปแบบของร้อยแก้วหรือคาถา และอรรถกถา
ธรรมบทเป็นคัมภีร์ท่ีแสดงหลักธรรมคาส่ังสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ได้มีเพียงคาถาหรือ
หลักธรรมคาสั่งสอนเท่านั้นแต่ยังปรากฏเรื่องเล่าที่มีการยกอุทาหรณ์มาอ้าง ใช้รูปแบบการเล่าเร่ือง
เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน คือมีการใช้เรื่องราวทานองนิทานท่ีมีเหตุการณ์และพฤติกรรมของบุคคล
เพื่อแสดงเป็นตัวอย่างให้เห็นจริง ขณะเดียวกันก็ให้ความเพลิดเพลินใจที่สอดคล้องกับลักษณะของ
วรรณกรรมคาสอน เป็นพระธรรมเทศนาประเภทร้อยกรองที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่เวไนยสตั ว์ต่าง
ชัน้ ต่างระดับ ได้แก่ ภิกษุ สามเณร คฤหัสถ์ เทวดา และสรรพสัตว์ เน้ือหาสารธรรมมีหลายระดับท้ัง
สูงและต่าผสมกันไปตามผู้ฟังในแต่ละโอกาส หลักธรรมในคัมภีร์ธรรมบทส่วนใหญ่จะกล่าถึง
อกุศลธรรมทุกประการอันมี โลภะ โทสะ โมหะเป็นมูล แล้วตรัสถึงทางแก้หรือการสละอกุศลธรรม
ด้วยโพธิปักขิยธรรม ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕
โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ และอริยสัจ ๔ มรรค ๔ ผล ๔ เพ่ือให้บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดคือ
นิพพาน ธรรมบท จึงหมายถึง หมวดแห่งกุศลกรรม ได้แก่ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการท่ีเป็น
เครอ่ื งบรรลุให้ถึงพระนพิ พาน

บทท่ี ๒
แนวคิดและทฤษฎี

สังคมศาสตร์
วฒั นธรรม
เศรษฐศาสตร์

๑๕

ขอบข่ายเน้อื หา

- ความนา
- แนวคดิ ทฤษฎสี งั คมศาสตร์
- แนวคิดทฤษฎีวฒั นธรรม
- ประเภทของวฒั นธรรม

- การถา่ ยทอดวฒั นธรรม
- การยืม รับ การแลกเปล่ียนวัฒนธรรม
- เศรษฐศาสตร์
- เศรษฐศาสตร์ทว่ั ไป
- พุทธเศรษฐศาสตร์

๑๖

ความนา

ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีอารยธรรมอันเก่าแก่ สืบเน่ืองติดต่อกันมาหลายพันปี มี
ความหลากหลายท้ังทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมอินเดียเป็นชื่อทีช่ าวโลกทว่ั ไปเรียก หากแตป่ ระชาชน
ชาวอินเดียกลับเรียกตัวเขาเองว่า ภารต และเรียกแผ่นดินท่ีเขาอยู่อาศัยว่า ภารตประเทศ เป็น
ประเทศที่ไม่มีศาสนาประจาชาติ (Secular State) แต่ประชาชนชาวอินเดีย ได้สร้างอัตลักษณ์ของ
พวกเขาด้วยกระบวนการทางศาสนาเป็นหลัก เพราะฉะน้ัน เร่ืองศาสนาจึงเป็นเรื่องใหญ่ในความเป็น
อนิ เดีย ในปจั จุบันนีช้ าวอนิ เดียเมื่อจาแนกโดยศาสนาแลว้ จะมสี ัดส่วนในแตล่ ะกลุม่ ดงั นี้

ศูนย์วิจยั พวิ ๑ ที่สารวจการนบั ถอื ศาสนาของคนทวั่ โลก ระบุว่า
ศาสนาคริสต์ยังคงเป็นศาสนาใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีผู้นับถือถึง ๓๒ เปอร์เซ็นต์ของ
ประชากรโลก
อนั ดับสองคือศาสนาอสิ ลามซ่ึงมผี นู้ ับถอื ๒๓ เปอรเ์ ซน็ ต์
ส่วนอันดับสามน้ันคือคนที่ไม่นับถือศาสนา ซ่ึงมีอยู่ประมาณ ๑,๑๐๐ ล้านคนหรือ
ประมาณ ๑๖ เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกจานวนคนไม่มีศาสนาจึงมากกว่าคนนับถือศาสนาฮินดู
ศาสนาพทุ ธ ศาสนาซกิ ข์ และศาสนายวิ
ศาสนาฮินดมู ผี ้นู บั ถือประมาณ ๑๕ เปอรเ์ ซ็นต์
สว่ นศาสนาพุทธมีผนู้ บั ถอื ประมาณ ๗ เปอร์เซ็นต์

ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาท่ีมีศาสนิกชนมาก อนุมานว่ามีการแยกประเทศออกเป็นประเทศ
ปากีสถานและบังคลาเทศน้ัน แยกโดยถือจานวนศาสนิกชนเป็นตัวกาหนดในการแยก เพราะฉะน้ัน
ชาวมุสลิมทน่ี ับถือศาสนาอิสลามจึงแยกออกไปเป็นประเทศปากีสถาน และบังคลาเทศ ไปเป็นจานวน
มาก ถึงแม้จะมีชาวฮินดูเป็นประชากรกลุ่มใหญ่จนอาจจะกล่าวได้ว่า อินเดียเป็นประเทศฮินดู แต่
ประชาชนชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอ่ืน ๆ นอกจากฮินดู มีสิทธิและเสรีภาพทางศาสนาไม่น้อยและ
ด้อยกว่าฮินดู จึงกลา่ วได้ว่า อินเดียเป็นดนิ แดนเสรีภาพทางศาสนาที่ดีท่ีของโลกก็ได้ ความแตกต่าง
ระหว่างชาวอินเดียที่นับถือศาสนาต่างกันนั้น มีเง่ือนไขของจารีต วัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่นเข้ามา
ประกอบดว้ ย เช่น ชาวตา่ งประเทศอาจจะได้เหน็ ภาพของความขัดแยง้ ระหว่างชาวอนิ เดียท่เี ป็นมสุ ลิม
และฮินดูในรัฐ นอกจากนี้ยังมีชาวคริสต์ที่ดาเนินชีวิตอย่างกลมกลืนกับวัฒนธรรมฮินดู ในอดีตสมัย
พุทธกาลก็มีความขัดแย้งทางศาสนาน้อยมาก คัมภีร์ธรรมบทนอกจากจะเป็นการศึกษาเร่ือง
หลักธรรมแลว้ ยังมีนยั ยะทางสังคม วฒั นธรรม เศรษฐกจิ การเมืองดว้ ย ในบทนีผ้ ู้เรียบเรียงจึงได้
นาเสนอแนวคดิ ทฤษฎเี รอื่ ง ๓ คอื (๑) สังคมศาสตร์ (๒) วัฒนธรรม (๓) เศรษฐศาสตร์ เพราะ
จะทาให้เข้าใจบริบทการศึกษาคมั ภีรธ์ รรมบทได้ดยี ง่ิ ขน้ึ ดังนั้นจงึ ได้เสนอ ๓ ทฤษฎี ดงั นี้

๑ [ออนไลน์], แหล่งทมี่ า : https://www.voicetv.co.th/read/74966, /๑๙ เมย. ๒๕๖๔.

๑๗

๒.๑ แนวคิดทฤษฎีสังคมศาสตร์

สงั คมวิทยา เป็นสังคมศาสตร์แขนงทม่ี ีลักษณะทว่ั ไปมากที่สดุ กล่าวคือ ศึกษาสังคมทั้ง
ระบบเพื่อดูว่ามีโครงสร้างและการทางาน สังคมวิทยาต้องการเข้าใจภาพรวมของทั้งสังคม ดู
ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ของสังคมและดูว่าชีวิตสังคมดาเนินไปอย่างไร ท้ังน้ีไม่ได้
หมายความว่า สังคมวิทยาจะต้องศึกษาโครงสร้างและกลไกการทางานของทุกส่วนของสังคมอย่าง
ละเอียด หน้าท่ีนี้ตกเป็นของสังคมศาสตร์แขนงอื่นที่มีลักษณะเฉพาะกว่า เช่น เศรษฐศาสตร์ศึกษา
เร่ืองการผลิต การแจกจาหน่ายทรัพย์สิน ฯลฯ รัฐศาสตร์ศึกษารูปแบบและกระบวนการบริหารงาน
ของรัฐบาล ฯลฯ โครงสร้างทางสังคม (Social Structure) หมายถึงความสัมพันธ์ (Relations) ท่ี
สมาชิกของสังคมมีต่อกันในฐานะอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน มีการกระทาระหว่างกัน (Interaction) ท้ัง
ทางตรงและทางออ้ มต้องพึ่งพาอาศยั กนั และมสี ว่ นได้เสยี ในการกระทาของกันและกนั

สัมพันธ์ทางสังคมก็คอื ความเปน็ ระเบียบ กลา่ วคอื การกระทาของบุคคลจะตอ้ งเป็นไป
ตามระเบียบกฎ เกณฑ์ของสังคม การอยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน ทาให้สมาชิกของสังคมต้องมี
ความสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสัมพันธ์ท้ังหมดประกอบกันเป็นโครงสร้างทางสังคม ซ่ึง
แสดงถงึ ความเป็น ระเบยี บและความม่นั คงของสงั คมในระดับหน่ึง สังคมวิทยาได้สร้างทฤษฎแี ละ มโน
ภาพต่าง ๆ ข้ึนมาเพ่ือเป็นเครื่องมือวิเคราะห์โครงสรา้ งน้ี ว่ามีส่วนประกอบหรือหน่วยสาคญั อะไรบ้าง
เช่น สถาบัน ชนชั้น กลุ่มสังคม สถานภาพ บทบาท และบรรทัดฐาน ฯลฯ และศึกษาต่อไปว่า
ส่วนประกอบเหล่าน้ีมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ช่วยสนองตอบความต้องการจาเป็น (Needs) ของ
สงั คมอย่างไร และมีผลกระทบอย่างไรต่อความเป็นระเบียบและดุลยภาพของสังคม ฯลฯ สงั คมวิทยา
มีทัศนะหรือข้อสมมติในการมองการกระทาของบุคคล ว่าส่วนหน่ึงเกิดจากอิทธิพลของสังคมทั้งโดย
ทางตรงและทางอ้อม และท้ังโดยตัวเองรู้สึกและไม่รู้สึกในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม ท่ีจะต้องรู้สิทธิ
และหน้าทีข่ องตนและจะต้องปฏิบตั ิตามระเบียบกฎเกณฑข์ องสังคม บุคคลจะถูกคาดหมายให้กระทา
ในสิ่งทส่ี ังคมตอ้ งการ การทบี่ ุคคลต้องอยู่ในสงั คมและมีความสัมพนั ธ์กบั ผู้อืน่ ทาให้บุคคลไม่มีเสรีภาพ
ท่ีจะทาอะไรได้ตามความพอใจ การรู้ตาแหน่งที่ของบุคคลในโครงสร้างทางสังคม เช่น เพศ อายุ ชน
ชนั้ รายได้ อาชีพ หรือเป็นสมาชิกของกลมุ่ สงั คมไหน ฯลฯ จะช่วยใหเ้ ราเข้าใจสิทธิหน้าท่ี อานาจ และ
โอกาสต่าง ๆ ในชีวติ ตลอดจนอิทธพิ ลของสงั คมที่มีต่อตัวเขาและทาให้เขามีความคิดเห็น การกระทา
และชวี ติ ความเปน็ อยู่ ฯลฯ แตกต่างกบั คนอนื่ ทีม่ ีตาแหน่งทีใ่ นโครงสร้างทางสงั คมตา่ งออกไป๒

ความสัมพันธ์ของมนุษย์ตลอดจนโครงสร้างและสถาบันทางสังคม ความหมาย สังคม
วิทยามาจากรากศัพท์ ๒ คา คือ “socius” ซึ่งเป็นสังคมวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ
เกี่ยวกับพฤติกรรม ระบบคุณค่า ความเชื่อ ค่านิยม ระบบอุดมการณ์ และ ภาษาละติน มี
ความหมายว่า “เพื่อน” (Companion) และคาว่า “Logos” ซึ่งเป็นภาษากรีก มีความหมายว่า
“ถ้อยคา” (Word) เม่ือรวมคาท้ังสองเข้าด้วยกันจึงมีความหมายโดยสรุปว่า “การพูดคุยเกี่ยวกับ
สังคม” Max weber ชาวเยอรมัน จึงได้ริเร่ิมใช้คาว่า “Sociology” และได้เสนอแนวคิดทฤษฎี

๒ ประเสริฐ แย้มกลิ่นฟุ้ง, “สังคมและวัฒนธรรม”, พิมพ์ครั้งที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : ด่านสุทธากา
รพิมพ์, ๒๕๔๔), หน้า หนา้ ๑๔.

๑๘

ตลอดจนพัฒนาศาสตร์ด้านสังคมวิทยา ให้เป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม (Science of Society) ท้ังใน
สว่ นแนวคิดและระเบียบวธิ ีวทิ ยา และทาให้คาว่า “สังคมวิทยา (Sociology)” กลายเป็นคาทรี่ ู้จกั และ
ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่นักวิชาการต่อมาจนถึงปัจจุบัน สังคมวิทยาท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่
ตลอดเวลา ในสมัยกลางหรือช่วงประมาณ ๔๐๐ ปีกอ่ นคริสตกาล วิทยาการต่าง ๆ ลว้ นวางอยู่บน
พน้ื ฐานของความเช่ือทางศาสนา แต่ในช่วงศตวรรษที่ ๑๘ เม่ือนกั ปรัชญาได้นาหลักเหตผุ ลมาใช้ทา
ความเขา้ ใจกับพฤติกรรมมนุษย์ จนในท่ีสุดได้มีการจัดต้ังรอบรู้ทางปัญญา ซงึ่ เป็นมูลเหตุสาคัญของ
การเปล่ียนแปลง กฎแห่งเหตุผลก็ได้กลายเป็นฐานคิดท่ีนักสังคมวิทยา นามาใช้เพื่อศึกษา
ปรากฏการณท์ างสงั คม

การศึกษาสังคมในแนวปฏิฐานนิยม (Positivistic Approaches) ถูกพัฒนาข้ึนราวต้น
ศตวรรษท่ี ๑๙ โดยการเสนอแนวคดิ ของนกั คดิ ทสี่ าคญั ๓ คน คือ Auguste Comte (๑๗๙๘-๑๘๕๗)
นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส Emile Durkheim (๑๘๕๘-๑๙๑๗) และ Ibm Kaldun ชาวอาหรับ โดย
Kaldun เสนอแนวคิดเรื่อง “Contrast” โดยทาการศึกษาเปรียบเทียบเผ่าชน และอธิบาย
กระบวนการทางประวตั ิศาสตร์ท่เี กี่ยวกับความเจริญและความเสื่อมของอารยธรรมว่าเป็นผลผลิต
ทางสังคมที่เกิดจากพฤติกรรมและค่านิยมของคนในสังคมนั้น ๆ ท้ังยงั ได้เสนอทฤษฎีที่เป็นสากลใน
เรื่องพลังทางสังคมว่าเกิดจากเง่ือนไขทางสังคม ในขณะ Comte สะท้อนแนวคิดเรื่องการต่อต้านการ
ปฏิวัติในฝรั่งเศสและความผลกระทบของการพัฒนาจึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทั้งด้าน
บวกและด้านลบ ทุกองค์ประกอบของการเปลี่ยนแปลงมีที่มาจากมูลเหตุปัจจัยทั้งภายในและ
ภายนอกจานวนมากซง่ึ เกี่ยวข้องกนั เพียงแต่มีอัตราของความรนุ แรงทีแ่ ตกต่างกัน แตส่ ่วนใหญล่ ้วน
อยู่ในรปู ของการส่งั สมโถมทบั ของปรากฏการณ์และวิกฤตทางสังคม

ดังนั้น การอยู่รอดของบุคคล กลุ่ม ชุมชนและสังคม ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ จึงต้องอาศัย
องค์ประกอบมากมาย ได้แก่ ศักยภาพของปัจเจกบุคคล กล่าวคือ บุคคลต้องมีความรู้เท่าทันในความ
เปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึน มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ รู้จักปรับตัว พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มี
ทักษะในการดาเนินชีวิต และมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาที่เผชิญ นอกจากน้ียังเกี่ยวข้องกับ
องค์ประกอบเชิงนโยบาย อาทิ ธรรมาภิบาลของประชาคมโลก ที่ในปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพัฒนา
เน่ืองจากขาดกลไกท่ีมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบและกากับดูแล โดย Spencer มีแนวคิดว่า
สถาบนั ทางสังคมมีอยู่ ๖ สถาบันหลกั ๆ คอื

๑. สถาบนั วัฒนธรรมพื้นบา้ น (Domestic)
๒. สถาบันประเพณี (Ceremonial)
๓. สถาบนั การเมอื ง (Political)
๔. สถาบันศาสนา (Ecclesiastical)
๕. สถาบนั อาชพี (Professional)

๑๙

๖. สถาบันอุตสาหกรรม (Industrial)๓

ทีกล่าวมาเป็นการกล่าวหลักสงคมกว้าง ๆ วิชาพระพุทธศาสนาหรือสังคมแห่ง
พระพุทธศาสนาจะไม่กล่าวถึงประเทศอินเดียไม่ได้เลย ประเทศอินเดียเป็นแผ่นดินที่เหลือทั้งหมดน้ัน
จะแวดล้อมไปด้วยเทือกเขาสูงท้ังส้ิน โดยฝ่ังตะวันออกติดเทือกเขาของพม่า ฝั่งตะวันตกติดเทือกเขา
ฮินดูตอนเหนือทั้งหมดก็ติดเทือกเขาหิมาลัย ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่ถูกปิด ใต้สู่ทะเลอาหรับ ชาว
เปอร์เซียเรียกเพี้ยนชื่อสายน้านี้ตามภาษาของพวกเขา ซ่ึงต่อมาชาวกรีกได้นาเอาไปเรียกตามพวก
เปอร์เซีย โดยสะกดคาเป็นภาษาลาตินว่า อินดุส (Indus) ชื่อของดินแดนแห่งอารยธรรม แห่งนี้จึงถูก
ชาวยโุ รปทั่วไปเรียกตอ่ ๆ กันมา จนกระท่งั มาใช้กันอย่างแพร่ หลายในภายหลงั วา่ อินเดีย (India) แต่
ชาวอินเดียเองแล้วคุ้นเคยกับการเรียกเผา่ พันธุ์ตัวเองว่า ภารตะ มากกวา่ ซ่ึงชื่อน้ีเป็นพระนามของ
กษัตริย์ภารต (Bharata) ในคัมภีร์ที่ชาวอินเดียยึดถือ คือ มหาภารตะ (Mahabharata) ซึ่งพระนาม
ของพระองคน์ ้ี มีความหมายอย่างย่ิงยวดในความเชอื่ ของชาวอินเดีย

ภาษาสันสกฤต คาว่า “ภา” หมายถึง แสงสว่าง และคาว่า “รต (ระตะ)” หมายถึง
การกระทา หากนาท้ังสองคามารวมกันแล้ว ก็จะได้ความหมายว่า ผแู้ สวงหาความสว่าง ซึ่งความ
สว่างในท่นี ี้หมายถึง ความรู้ และยังมีอกี ชื่อหนึง่ ท่ีใช้เรียกอนิ เดีย ก็คือ ฮินดสู ถาน (Hindustan) ซ่ึงช่ือ
น้กี ็สืบเนื่องมาจากภาษาที่ชาวเปอร์เซียเรียกดินแดนแห่งนี้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีคาว่า ชมพูทวีป ซึ่ง
เป็นช่ือที่ชาวตะวันออกยุคสมัยโบราณนิยมเรียก ท่ีมีความหมายว่า ทวีปต้นชมพูพฤกษ์ / ในทุกด้าน
เช่นนี้เอง จึงเรียกอินเดียว่า อนุทวีป หว้า ท่ีอาจมาจากทวีปที่เต็มไปด้วยต้นหว้า ซึ่งต้นหว้ามีช่ืออีก
ชื่อหน่ึงว่า ประเทศอินเดีย ถูกเรียกว่าเป็นอนุทวีป (Subcontinent) เนื่องจาก ลักษณะทางภูมิ
ประเทศน้ันเป็นแผน่ ดินปดิ ในลกั ษณะใกลเ้ คียงกับทวีป และในปี ๑,๐๐๐ ก่อนพทุ ธศกั ราชน้ัน ได้มีชน
เผ่าพันธุ์ใหมท่ ่ีอพยพลงมา จากทางตอนเหนือตรงบริเวณท่ีราบสูงตอนใต้ของรัสเซยี มีลกั ษณะผิวขาว
จมูกโด่ง และผมสีอ่อน เป็นสายพันธ์ุคอเคซอยด์ (Caucasoid) คนเผ่าพันธ์ุนี้คือชาวอารยัน (Aryan)
ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า “อารยะ หรือ อริยะ ที่หมายถงึ ความเจรญิ ” ซ่งึ เรียกตามลักษณะอปุ นิสยั ที่
ถือตัวและก้าวร้าวของชนเผ่านี้ ชาวอารยันเป็นเผ่าพันธุ์นักรบท่ีใช้ชีวิตร่อนเร่ย้ายท่ีทากินไปเร่ือยๆ
และมักใช้วิธีการเข้ายึดครองที่ทากินจากผู้ตั้งถ่ินฐานเดิม เช่นเดียวกับชนเผ่าเร่ร่อนท่ัวไปพวกอารยัน
นั้น แรกทีเดียวท่ีเดินทางมาถึงยังดินแดนอนุทวีปอินเดีย ได้เข้าโจมตีพวกชนเผ่าเดิมที่ต้ังอารยธรรม
บริเวณแม่นา้ สินธุ แล้วรุกตีไปเร่ือย ๆ จนขบั ไล่คนกลุ่มเดิมอพยพหลบหนีออกไปจนหมด ด้วยความที่
เป็นชนเผ่าเร่รอ่ น จึงไม่ไดค้ ิดก่อต้ังรกรากแตอ่ ย่างใด ในตอนแรกยังคงตระเวนเร่ร่อนย้ายถิ่นฐานไปทั่ว
ทั้งบรเิ วณที่ยดึ ครองได้ และพยายามจะยดึ ครองขยายอาณาเขตออกไปเรื่อย ๆ

ในช่วงเวลานนั้ แผ่นดนิ อนุทวปี อินเดียจงึ ไดถ้ กู แบ่งแยกออกเปน็ ๒ สว่ น คอื ฝ่ายเหนอื กับ
ฝ่ายใต้ โดยดินแดนตอนบนนั้นเป็นของเผ่าพันธ์ุชาวอารยัน ส่วนตอนล่างก็กลายเป็นเผ่าพันธ์ุของ
พวกทราวิท กระท่ังต่อมาพวกอารยันจึงได้คิดที่จะปักหลักปักฐานบ้าง ก็เช่นเดียวกับชนเผ่าเร่ร่อน
ท่ัวไปที่ในที่สุด แล้วก็ต้องหยุดตั้งถ่ินฐานถาวรเป็นหลักเป็นแหล่ง ชาวอารยันเมื่อต้ังหลักแหล่งอยู่ที่

๓ พชั รนิ ทร์ สริ สุนทร, “แนวคดิ ทฤษฎี เทคนิคและการประยุกต์”, (กรุงเทพมหานคร:สานกั พิมพ์แห่ง
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๕๖), หนา้ ๗, ๔๙, ๑๕๑, ๑๖๐.

๒๐

ดินแดนอนุทวีปแห่งน้ีแล้ว ก็เริ่มต้น สร้างสังคมของตนเองให้เข้มแข็ง ปลูกฝังความเป็นอริยะของ
ตนเองข้ึน อาจเป็นเพราะเห็นความเจริญงอกงามทางสังคมที่ชนกลุ่มเดิมอย่าง พวกชาวทราวิท หรือ
ชาวมิลักขะ ซึ่งสืบทอดเผ่าพันธ์ุของตนเองจนอุดมสมบูรณ์ด้วยสังคมเกษตรกรรม ทาให้สามารถลง
หลักปักฐานอยู่เป็น ที่เป็นทางได้อย่างยาวนาน ไม่ต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆอย่างพวกตน อารยันจึงหมาย
สร้างสังคมท่ีผสมผสานกันระหว่างความเป็นอารยนั ของ พวกตนและสังคมแบบเกษตรกรรมอย่างเช่น
พวกทราวิทบ้าง ในท่ีสุดชาวอารยันก็ผสมกลมกลืนเอาวัฒนธรรมเดิมของชาวพื้น ถ่ินเดิมเหล่าน้ันเข้า
ไว้กับตัว และสร้างเป็นวัฒนธรรมใหม่ของตนขึ้นอย่าง แข็งแกร่งสืบต่อมา ตัวอย่างของการรับเอา
วัฒนธรรมดง้ั เดมิ ของพวก ทราวทิ เข้าไว้ และสรา้ งสังคมใหมข่ องชาวอารยนั ข้ึน

ท่ีแผ่นดินอินเดียนับถือ พระเวท (Vedic) ซ่ึงเป็นหลักยึดในความเช่ือทางศาสนาของชาว
อารยันเหล่านี้ ว่าศาสนาพราหมณ์ (Bhramana) หรือเรียกอีกอย่างว่า ฮินดู (Hindu) จุดเร่ิมต้นของ
ศาสนาพราหมณ์น้ีนกั ประวัติศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่าน่า จะเร่ิมต้นข้ึนในราวก่อนท่ีชาวอารยันจะเข้ามา
ในอนุทวีปอินเดีย คือราวในช่วง ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปีก่อนพุทธศักราช แต่บางกลุ่มก็เช่ือว่าน่าจะอยู่
ในช่วงท่ีชาวอารยันเข้ามาแล้ว คือในช่วงราว ๕๐๐-๑,๐๐๐ ปีก่อนพุทธศักราชมากกว่า เพราะคัมภีร์
พระเวทเล่มแรก คือ ฤคเวท ท่ีพบคร้ังแรกนั้นมีอายุอยู่ราว ๕๐๐ ปีก่อนพุทธศักราช คัมภีร์พระเวทน้ี
ถูกบันทึกลงโดยใช้ภาษาสันสกฤต ซ่ึงเป็นภาษาเก่าแก่ถือว่าเป็นภาษากลางและเป็นภาษาช้ันสูง
เช่นเดียวกับภาษาลาตินของทางตะวันตก ไม่ได้ใช้ภาษาพื้นถ่ินโดยท่ัวไป คัมภีร์พระเวทแบ่งออกเป็น
๔ เลม่ คือ

๑. ฤคเวท (Rigveda) เป็นบทสวดสรรเสริญพระเป็นเจ้า มีจานวน ๑,๐๒๘ บท และ
กล่าวถึงลักษณะการบูชา การสังเวยเทพเจ้าด้วยส่ิงต่างๆ และยังเหมือนเป็นบันทึกเรื่องราวสภาพ
สังคมกับการใช้ชีวิตของผู้คนในสมัยน้ัน กล่าวกันว่าคัมภีร์เล่มนี้เหล่าพราหมณ์เป็นผู้รับมาจากพระ
โอษฐ์ของพระพรหม (Brahma) โดยตรง พระพรหมก็คือความเชื่อใหม่ว่าเป็น ผู้สร้างโลกและสรรพ
สัตว์ท่ีแท้จริง พระพรหมคือผู้สร้างบุคคลวรรณะต่าง ๆ ข้ึน คือพราหมณ์สร้างจากพระโอษฐ์ (ปาก)
กษัตริย์ สร้างจากพระพาหา (แขน) ไวศยะหรือแพศย์สร้างจากพระโสณี (สะโพก) และศูทรสร้างจาก
พระบาท (เทา้ ) พระพรหมเปน็ ผ้เู ปล่งคาสอนตา่ ง ๆ เหล่านอี้ อกมา แล้วถูกเกบ็ รวบรวมขน้ึ เป็นบทสวด
เรียกว่า ฤคเวทสังหิตา จึงนามาถ่ายทอดสู่มวลมนุษย์ คัมภีร์เล่มนี้ประกอบด้วยบทสรรเสริญและบวง
สรวงต่อเทพเจ้า เพื่อขอให้เทพเจ้าได้ช่วยขจัดภัยท้ังหลายทั้งมวลออกไป คัมภีร์ฤคเวทถือเป็นคัมภีร์
เล่มแรกในจานวนทั้งหมด ๔ เล่ม ลักษณะของคัมภีร์นี้จะเป็นบทสวดท่ีวางท่วงทานองในการสวดไว้
อย่างตายตัว ประกอบด้วยบทสรรเสรญิ คุณขององค์เทวะ แสดงอานาจแห่งเทวะ และกล่าวถึงตานาน
การสรา้ งโลก กล่าวถึงพระพรหมผู้สรา้ งมนุษย์และสรรพส่งิ

๒. ยชุรเวท (Yajureda) เป็นคัมภีร์ท่ีใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของเหล่า
พราหมณ์ กล่าวถึงลักษณะและความสาคัญของพิธกี รรมต่างๆ ท้งั การบูชาและการบวงสรวง เช่น
พิธีกรรมบูชาไฟ เป็นคัมภีร์ท่ีหมู่พวกพราหมณ์อัธวรรยุใช้ในการประกอบพิธีบูชา เชื่อกันว่าคัมภีร์
ยชุรเวท น้ีเขียนข้ึนในราว ถึง ๒๐๐ ปี หลังจากมีการเขียนคัมภีร์ฤคเวทข้ึน โดยได้นาเน้ือหาส่วนหนึ่ง
จากคัมภีร์ฤคเวทมาดัดแปลงและเรียบเรียงขึ้นใหม่ และยังมีส่วนท่ีเป็นบทร้อยกรองซึ่งใช้ในพิธี

๒๑

บวงสรวงบูชา คัมภีร์ยชุรเวทเล่มน้ีแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ (๑) ไตติริยะสังศิตา หรือพระกฤษณะ
เป็นยชรุ เวทดา คือ ยชุรเวทเดิมทีย่ งั ไมไ่ ด้มีการแบ่งแยก (๒) วาชเนย์สังหิตาหรือศุคล เปน็ ยชุรเวทขาว
คือ ยชุรเวทที่แบ่งแยกเฉพาะโศลกเอาไว้กลุ่มหน่ึง และร้อยแก้วไว้อีกกลุ่มหนึ่ง มีการกล่าวถึงพิธีบูชา
ยัญท่ีสาคัญ คือทศปุรณมาส เป็นการกระทาพิธีในคืนพระจันทร์เต็มดวง และอัศวเมธ คือการทาพิธี
บูชายัญด้วยการถวายม้า

๓. สามเวท (Samveda) เป็นโคลงบทสวดสาหรับพราหมณ์ ใช้สวดทาพิธีบวงสรวง
สังเวยเทพเจ้าด้วยการบูชาน้าโสม เนื้อหาส่วนใหญ่ของสามเวทนี้ก็นามาจากฤคเวทด้วยเช่นกัน
โดยทาเป็นบทสวดร้อยกรอง มีเนื้อหาแสดงออกเป็นกลศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และสังคีตศิลป์ คัมภีร์
เล่มน้ีมีส่วนสาคัญคือเป็นบทสวดสรรเสริญคุณและอิทธิฤทธิ์ของเทพเจ้า ใช้ในเฉพาะหมู่ของพวก
พราหมณ์อุทคาตรี สาหรับการทาพิธีบูชาน้าโสม บทสวดของสามเวทนี้แบ่งออกเป็น ๒ ตอน คือ
(๑) อรชิต มีบทร้อยกรอง จานวน ๕๔๕ บท (๒) อุตตรารชิต มีบทร้อยกรองจานวน ๑,๒๒๕ บท
คัมภรี ์พระเวททัง้ ๓ เล่มแรกน้ี คือ ฤคเวท ยชรุ เวท และ สามเวท ถือเป็น ๓ เลม่ หลัก รวมเรียกวา่ ไตร
เวท หรือ ไตรเพท

๔. อาถรรพเวท (Atharvaveda) เป็นคัมภีร์ใสยเวท หรือไสยศาสตร์ ถูกเขียนขึ้นใน
ภายหลัง เช่ือกนั ว่าในปลายๆยคุ พระเวท เนอื่ งจากในยุค นั้นศาสนาพราหมณ์ถูกกระทบกระเทือนทาง
ความเช่ืออย่างหนักจากลัทธิ ศาสนาที่เริ่มต้นเกิดขึ้นติดตามมา โดยเฉพาะศาสนาพุทธและเชน
พวกพราหมณ์ในยุคหลงั ๆ จึงต้องชมุ นุมกันแต่งคัมภรี ์เพ่ือเรยี กศรทั ธากลบั มาอีกมากมายหลายเล่ม
และคัมภีร์อาถรรพเวทก็คอื เลม่ หน่ึงทเี่ กิดขน้ึ มาจากกศุ โลบาย ทต่ี ้องการใหศ้ าสนาพราหมณ์ ยังคงเป็น
ที่ยึดเหน่ียวของชาวอารยันหรือฮินดูอย่างเหนียวแน่นต่อไป คัมภีร์อาถรรพเวทคือ วิชาอาคมที่ใช้เสก
เป่า เพ่ือทาลายส่ิงอัปมงคลต่าง ๆ สร้างสวัสดิมงคล และเพ่ือนาความช่ัวร้ายไปสู่ศัตรู ประกอบด้วย
บทสวดท่ีเป็นคาถาทางไสยศาสตร์ ถือเป็นพระเวทเล่มพิเศษเรียกว่า ฉันท์ ซ่ึงถูกจัดให้อยู่นอกกลุ่ม
คมั ภีร์ไตรเพท เพราะไม่มีความเก่ียวข้องกับการประกอบพิธีบวงสรวง บูชาต่อองค์เทพเจ้าแต่อย่างใด
อาถรรพเวทนี้ถือว่าเป็นความรูใ้ นหมู่ พวกพราหมณ์อธั วรรยุ รวบรวมบทคาถาต่าง ๆ อันมีจุดประสงค์
เพอื่ เปน็ การปดั เป่าโรคภัยใช้เจ็บและภัยพิบัติต่าง ๆ อีกท้ังยงั กล่าวถึงส่วนที่เป็นหน้าที่ของกษัตรยิ ์และ
สัจธรรมข้ันสูง คัมภีร์เล่มนี้รวบรวมบทสวดขอพรต่อเทพเจ้า เพ่ือให้ได้มาซ่ึงปัญญา สุขภาพ ความมั่ง
คั่ง และความมีอายุยืน รวมถึงบทสวดอ้อนวอนเพ่ือขอข้าทาสบริวาร สัตว์เลี้ยง บุตร จนถึงชัยชนะ
ในสงคราม หรือแม้กระท่ังการขอให้หลุดแก่บาปท้ังปวงท่ีได้กระทาลงไป นอกจากน้ียังมีส่วนที่ว่าด้วย
มนต์แก้อาถรรพ์ต่าง ๆ เช่นรักษาโรคภัยไข้เจ็บ พ้นจากมรณะภัย อยู่ยงคงกระพัน และยังมีไสยเวท
เพ่อื ใช้เสกสิง่ ต่าง ๆ เขา้ ไปในตัว สักยันต์ฝังรปู ฝังรอย จนถึงการทาเสนห่ ์ยาแฝด เปน็ ตน้

คัมภีร์พระเวทเล่มต่าง ๆ นี้ลว้ นมีส่วนสาคัญที่แบ่งแยกออกมาได้เป็น ๒ ภาค คือ มันตระ
และพราหมณะ กล่าวคือ มันตระก็คือ บทสวดและ เวทมนตร์ต่างๆ ส่วน พราหมณะ ก็คือ การกล่าว
บอกถงึ วิธีการและ รายละเอียดในการกระทาพิธีกรรมตา่ งๆอนั เป็นหน้าทข่ี องพราหมณ์ และยงั อธบิ าย
เรือ่ งราวต่างๆที่ตอ้ งเก่ียวขอ้ งกบั มนั ตระอีกดว้ ย คัมภีรพ์ ระเวทเฉพาะตอนของพราหมณะนี้ยงั สามารถ
แบ่งแยกออกเป็นแขนงสาคัญได้อีก ๒ แขนง คือ อารัณยกะ และอุปนิษัท อารัณยกะ แปลว่า

๒๒

บทเรียนในป่า เป็นคาสอนการดาเนินชีวิตของพราหมณ์ตั้งแต่เกิดและใช้ชีวิตบาเพ็ญเพียรอยู่ในป่า
จนกระทั่งออกจากปา่ เพื่อบรรลโุ มกษะ หลกั ปฏบิ ัตเิ ช่นนขี้ องพราหมณ์เรียกวา่ การเข้าส่อู าศรม คมั ภีร์
อารัณยกะ ก็คือหลักวิธีในการพัฒนาทางจิตวิญญาณของมนุษย์ท่ีไม่เพียงแต่พราหมณ์เท่านั้นท่ีจึงร่า
เรยี น

การบาเพ็ญเพียร หรือ ผู้ประพฤติตนให้เป็นพราหมณ์นี้มีลาดับขั้นแห่งการบาเพ็ญตน
เรยี กวา่ อาศรม ๔ มี ๔ ลาดบั ขั้นของผบู้ าเพญ็ ตน คอื

๑. พรหมจารี แปลว่า ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ คือช่วงชีวิตสาหรับการศึกษาเล่าเรียน เพ่ือ
พอกพนู ความรู้

๒. คฤหัสถ์ แปลว่า ผู้ครองเรือน คือช่วงเวลาในการหาความสุขทางโลก มีครอบครัว มี
บุตรธิดา แสวงหาทรพั ย์สมบตั ิ ประกอบศาสนพธิ แี ละรบั ผิดชอบตอ่ ชมุ ชน

๓. วนปรัสถ์ แปลว่า ผู้อยู่ป่า คือช่วงท่ีจะต้องปล่อยวางจากชีวิต ครอบครัวและความสุข
ทางโลก แล้วหันมาปฏิบัติธรรม ทาตนให้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมด้วยการออกไปพานักอยู่อาศรมในป่า
บาเพ็ญตบะและขอ้ ปฏิบัติอื่นๆทางศาสนาอย่างเคร่งครัด

๔. สันยาสี แปลว่า ผู้แสวงหาธรรม คือการปฏิบัติเพื่อบรรลุโมกษะ อันเป็นจุดหมาย
ปลายทาง เป็นช่วงท่ีสละทุกอย่าง เหลือแต่ผ้านุ่งกับภาชนะสาหรับใส่อาหารและหม้อน้า เท่ียวจาริก
ท่ัวไปในชว่ งเวลาทเี่ กดิ การแตกแยกลทั ธินกิ ายตา่ ง ๆ

ศาสนาพุทธ ได้เริ่มถือกาเนิดขึ้นในปีท่ี ๒๐ ก่อนพุทธศักราช เจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ
(Siddhartha Gautama) ได้ประสูติ พระองค์เป็นเจ้าชายของแคว้นเล็กแคว้นหน่ึงช่ือแคว้นสักกะ มี
เมืองหลวงคือ กบิลพัสดุ อยู่ทางตอนเหนือ สุดติดเชิงเขาหิมาลัย (ในความเชื่อของนักประวัติศาสตร์
ปัจจุบันหลายคา่ ยเชอ่ื ว่าเชื้อสายเผา่ พันธ์ขุ องเจา้ ชายสทิ ธตั ถะนั้นไมใ่ ช่อารยัน แต่นา่ จะเป็นมองโกลมา
กกว่า โดยอาศัยบันทกึ จากหลายแห่งท่ีกล่าวถึงผวิ พรรณของพระองคท์ ่ีมลี กั ษณะเหลืองด่งั ทอง ท่ีไม่ใช่
ลักษณะของชาวอินโด-อารยันหรือฮินดู อีกท้ังถ่ินฐานท่ีอยู่ของแคว้นสักกะน้ีก็อยู่ติดกับเทือกเขา
หิมาลัย ที่เปน็ ประเทศเนปาลในปัจจุบนั ซึ่งเป็นถ่ินที่อยู่ของชาวเผ่าเชื้อ สายมองโกลในอินเดีย แคว้น
สักกะนั้นเป็นแคว้นในปกครองของแคว้นใหญ่ คือ แคว้นโกศล พระบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะผู้เป็น
กษัตริย์คือพระเจ้าสุทโธทนะ และพระมารดาคือพระนางสิริมหามายา เม่ือเจ้าชายสิทธัตถะได้สมรส
กบั พระนางพิมพา และมีโอรสองค์หน่งึ ชื่อ ราหุล นั้น พระองค์มีพระชนม์ได้ ๒๙ ปี จึงนึกเบื่อทางโลก
ต้องการออกแสวงหาโมกษะตามเช่นประเพณี เช่ือกันว่านิกายที่นับถือกันในช่วงเวลาน้ันในแคว้น
สักกะก็คือ นิกายของสานักสางขยะ ท่ีสอนให้รู้จักแสวงหาเหตุผลและท่ีมาของสรรพส่ิง เพื่อการ
หลุดพ้นจากความทุกข์ด้วยการสรา้ งปัญญาให้เกิดข้ึนอย่างแท้จริง แล้วใช้ปัญญาเป็นเคร่ืองทาลาย
อวิชชาหรือความไม่รู้ อันเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ แล้วทั้งตัวตนและจิตวิญญาณก็จะหลุดพ้นจาก
พันธนาการทงั้ ปวง สามารถปลดทุกขไ์ ด้ในทส่ี ุด

แต่เจ้าชายสิทธัตถะพบว่าเพียงแค่คาสอนเช่นน้ียังไม่ใช่วิถีแห่งการหลุดพ้น พระองค์ไม่
สามารถปลดเปล้อื งพันธนาการใด ๆ ไดด้ ้วยการมุ่งแสวงหาความรู้อย่างไมส่ ิ้นสุด โดยท่ีไม่ทราบได้เลย
ว่าท่ีสุดของความรู้ท่ีจะบรรลุให้ถึงจุดสุดยอด คือ การหลุดพ้น น้ันคืออะไร พระองค์จึงตัดสินใจละท้ิง

๒๓

ทุกสิ่งทุกอย่าง ท้ังทรัพย์สมบัติ และครอบครัว ละท้ิงทางโลกแล้วออกจากวัง โดยตัดสินใจออกบวช
เป็นพระสมณะโคดม เพอื่ มุ่งแสวงหาความรู้น้ันท่เี ป็นสจั ธรรมอันจริงแท้ ท่ีพระองค์ยงั ไปไม่ถึง และไม่
ทราบเลยว่ามันคืออะไร คล้ายการมุ่งสู่จุดมุ่งหมายอันว่างเปล่าในเส้นทางข้างหน้า ท้ังบาเพ็ญทุกร
กริ ิยา คือ การทรมานตนตามแบบอย่างของศาสนาเชน ทั้งอดข้าวอดน้าจนร่างกายผ่ายผอม พระองค์
ก็กลับพบว่าย่ิงทุกข์หนัก ในเส้นทางการศึกษาหาสัจธรรมของพระองค์นั้น พระองค์ได้พานพบและ
ทดลองในการแสวงหาทางหลุดพ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ เท่าท่ีผ่านเข้ามา ในความคิดคานึงของพระองค์
ทดลองแนวทางของลัทธนิ ิกายสานักต่าง ๆ เสียย่ิงกว่าเดิม จนในท่ีสุดพระองค์ก็ทรงบรรลุแก่สัจธรรม
เมอ่ื วนั หน่ึงที่พระองค์น่งั ประทับสมาธิอยู่ใตต้ ้นโพธิ์ตน้ หนง่ึ พระองค์ก็บังเกิดบรรลุถึงสัจธรรมขั้นสูงสุด
ที่เป็นทางบรรลุสู่จุดสูงสุดแห่งชีวิตจนสามารถหลุดพ้นออกจากบ่วงใด ๆ ท้ังหมด การบรรลุนี้คือ
ความสาเร็จสู่ความเป็นอรหันต์ การค้นพบครั้งน้ันของพระองค์เรียกวา่ ตรัสรู้ คือการรู้แจ้งเห็นจริงใน
สิ่งทั้งมวล ซ่ึงมาจากส่ิงที่พระองค์ค้นพบมันง่าย ๆ อยู่ตรงหน้าของพระองค์อยู่ตลอดเวลาน้ีเอง นั่นก็
คอื การละซ่ึงทุกส่ิงทุกอยา่ ง ปลอ่ ยวางไดอ้ ยา่ งหมดจดแท้จรงิ ในจิตข้ันทศ่ี ูนย์ คือ น่งิ เฉย ไมม่ ีหว่ ง ไม่มี
กังวล ไม่มสี ่ิงใดผูกพนั ท้งั ส้นิ

ในขณะทพ่ี ระองค์ได้ตรัสรูบ้ รรลสุ พู่ ระอรหันต์เปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้ัน การตรัสรขู้ อง
พระองค์นีจ้ ึงเทา่ กับเป็นจุดเร่ิมต้น ที่ทาใหศ้ าสนาพุทธได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว ณ จุดนน้ั หลงั จากท่ี
พระองค์สามารถค้นพบทางหลุดพ้นน้ีแล้ว พระองค์ยังได้รับทราบวิช ความรู้ต่าง ๆ อย่างแตกฉาน ก็
จากผลแห่งการตรัสร้คู ร้งั นั้นที่พรั่งพรูออกมามากมาย ทล่ี ้วนเป็นความจริงแทใ้ นเหตุและผลท่ีสามารถ
ปุจฉาและวิสัชนาได้ในตัวเองในทุก ๆ เรื่อง ซึ่งสิ่งเหล่าน้ันล้วนเป็นธรรมขั้นสูงสุดท่ีพระองค์ได้ค้นพบ
เหตุนี้เองทที่ าใหเ้ มื่อพระองคไ์ ดแ้ สดงธรรมต่อสานุศษิ ย์ตา่ ง ๆ ทเ่ี รม่ิ ต้นติดตามพระองค์มากข้ึนเรอื่ ย ๆ
จึงล้วนประจักษ์แจ้งในสิ่งท่ีพระองค์ถ่ายทอดได้อย่างชัดเจน ทั้งเหล่านักบวชนิกายอ่ืนหรือผู้แสวงหา
ทางหลุดพ้นจากแนวทางต่าง ๆ เมื่อได้น่ังฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมเหล่านี้แล้ว ก็ล้วน
ยินยอมเปล่ียนแนวทาง เพื่อหันมาหาทางสว่างตามหลักการที่พระพุทธเจ้าได้แสดงนั้นกันเป็นทิวแถว
และด้วยกระแสแห่แหนกันติดตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าเช่นนี้เอง ท่ีทาให้ศาสนาอ่ืน ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาพราหมณ์ท่ีเร่ิมต้นเส่ือมถอยน้ันในขณะน้ัน เกิดมีความหวาดระแวงว่าพุทธ
ศาสนาจะเข้าครอบครองพ้ืนที่ท้ังหมดของแผ่นดินอินเดีย จึงเร่ิมต้นปลุกกระแสต่อต้านศาสนาพุทธ
ขน้ึ ๔

วรรณะชนชั้นทางสังคมสมัยก่อนพุทธกาล พุทธกาลและหลังพุทธกาล จนถึงปัจจุบัน
สังคมอนิ เดยี มีโครงสร้างทางสังคม ๔ วรรณะ คือ

๑. วรรณะพราหมณ์ พระพรหมสร้างมนุษย์จาพวกหน่ึงขึ้นมาจากพระโอษฐ์ คือปาก
ของพระองค์ มนษุ ยจ์ าพวกนี้เกิดมาเรียกว่า พราหมณ์

๒. วรรณะกษัตริย์ พระพรหมสรา้ งมนุษยอ์ ีกจาพวกหนง่ึ ขึน้ มาจากพระพาหา คอื
แขนของพระองค์ พวกนเี้ กดิ มาแล้วเปน็ นักรบนักปกครอง เรยี กวา่ กษัตริย์

๔ ดวงธิดา ราเมศวร์, “อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งอาเซีย อินเดีย-จีน”, (กรุงเทพมหานคร:เคล็ดไทย,
๒๕๓๗), หน้า ๖-๙.

๒๔

๓. วรรณะแพศย์ พระองค์ก็สร้างมนุษย์อีกจาพวกหนึ่งข้ึนมาจากตะโพกของพระองค์
พวกน้เี ดินทางเก่ง มาเป็นพอ่ คา้ พาณชิ เที่ยวนากองเกวยี นไปคา้ ขายในทตี่ ่างๆ เรยี กวา่ วรรณะแพศย์

๔. วรรณะศูทร พระพรหมสร้างมนุษย์จาพวกท่ีส่ีขึ้นมาจากพระบาทของพระองค์ เกิด
มาเป็นพวกรับใชเ้ ขา เรยี กวา่ วรรณะศูทร๕

๒.๒ แนวคดิ และทฤษฎีวัฒนธรรม

การศึกษาเร่ืองวัฒนธรรมและสังคมมนุษย์จาเป็นจะต้องศึกษาทุก ๆ เรื่องเก่ียวกับ
วัฒนธรรมและสังคมนั้น ๆ ศึกษาทุกแง่ทกุ มุมในลักษณะองค์รวม (holistic) รวมวัฒนธรรมที่เป็นวัตถุ
เช่น ส่ิงประดิษฐ์ เครื่องใช้ส่ิงก่อสร้าง (material yre) ความเช่ือ ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวิถี
ชีวิต รายงานเกี่ยวกับสังคม วัฒนธรรม หรือชาติพันธุ์ที่เขียนอย่างรอบด้านน้ีเรียกว่า ชาติพันธุ์
วรรณนา หรือชาติพันธุ์พรรณนา (ethnography) การแพร่กระจายวัฒนธรรมและเขตวัฒนธรรมที่
ควร คานงึ ในการศึกษาเร่อื งความหลากหลายทางวัฒนธรรมคือ (๑) วฒั นธรรมชุดใดชุดหน่ึง (culture
Complex) มีศูนย์กลางอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งและแพร่กระจายออกไปขยายอิทธิพลใหญ่ขึ้น ๆ จน
ครอบคลุมพื้นท่ีในวงกว้าง ในลักษณะของแก่นกลางวัฒนธรรม (culture core) และเขตวัฒนธรรม
(culture area) ศูนย์กลางของวัฒนธรรมมีหลายศูนย์กลางและเมื่อต่างฝ่ายต่างขยายอิทธิพลก็อาจ
เกิดการแลกเปล่ียนและยอมรับซึ่งกันและกันได้ เมื่อใดท่ีอิทธิพลของศูนย์กลางวัฒนธรรมอ่อนแอหรือ
เขต วฒั นธรรมกว้างขวางมากและวัฒนธรรมจากศูนยก์ ลางแพรก่ ระจายไปได้ ลักษณะของวัฒนธรรม
ชายขอบ (marginal culture) อาจแตกตา่ งจากวฒั นธรรมศนู ย์กลาง ตัวอยา่ งทเ่ี ห็นกันชัดเจน คือ ข้อ
แตกต่างระหว่างวัฒนธรรมหลวงและวัฒนธรรมราษฎร์ (great tradition และ little tradition)
Robert Redfield เป็นผู้ชี้ให้เห็นประเด็นนี้ชัดเจนท่ีสุด (Redfield 1965, 1966) (๒) เนื่องจากสังคม
วัฒนธรรมมีความหลากหลายทางคุณลักษณะ และรูปแบบวัฒนธรรมแต่ละชุดย่อมมีเหตุผลของการ
เกิดและมีคุณค่าสาหรับเต็มท่ีสังคมนั้น ๆ การเปรียบเทียบวัฒนธรรมในเชิงคุณค่าหรือความ
เจริญก้าวหน้า ในลักษณะใครดีกว่ากันหรือใครก้าวหน้ากว่ากันจึงเป็นการไม่เหมาะสม ทั้งน้ีเพราะ
วัฒนธรรมมีลักษณะสัมพทั ธ์ (cultural relativism)

วัฒนธรรมแต่ละชุดมีความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและสภาพสังคมของตน การเกิด
วัฒนธรรมและการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมมีลักษณะเฉพาะตัว เปรียบเทียบกันได้ยาก เมื่อ
วัฒนธรรมแพร่กระจายจากศูนย์กลาง (cultural diffusion) และไปมีปฏิสัมพันธ์กับวัฒนธรรม
ข้างเคียงที่มอี ยู่แล้ว (cultural interaction) ย่อมมีการเรียนรู้และรับรู้ซ่ึงกันและกัน ในระยะแรกอาจ
รับวัฒนธรรมใหม่ช่ัวคราวท่ีเรียกว่าการยืมวัฒนธรรม (cultural horrowing) และต่อมาจึงรับไว้เป็น
ของตน (cultural adoption) กระบวนการและปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมมีหลายลักษณะ ในกรณีที่
วัฒนธรรมมีคุณลักษณะใกล้เคียงกันพอยอมรับซึ่งกันและกันได้ ปฏิสัมพันธ์จะอยู่ในรูปแบบสันติวิธี
แต่ปฏิสมั พันธ์ ทางวัฒนธรรมอาจมลี ักษณะของความขดั แย้ง ถ้าวัฒนธรรมสองชดุ มีความแตกต่างกัน

๕ สมเด็จพระพทุ ธโฆสาจารย์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต) , “จาริกบุญ-จารึกธรรม”, (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก
จากดั , ๒๕๔๐), หน้า ๓๐๕.

๒๕

ไม่สามารถปรับรับหรือยอมรับกัน และต่างฝ่ายต่างไม่ยอมให้อีกฝ่ายหน่ึงครอบงา ความขัดแย้งทาง
วัฒนธรรมนี้อาจมีผลทาให้เกดิ กรณีพิพาทหรือกลายเป็นสงครามได้ กรณขี องความขัดแย้งเห็นได้ชัดใน
ความขัดแย้งทางชาติพันธ์ุหรือความขัดแย้งทางศาสนา ซึ่งเก่ียวข้องกับเร่ืองของอานาจหรือการใช้
อานาจ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป คาว่าการสังสรรค์ทางวัฒนธรรมหรือการผสมผสานทางวัฒนธรรม
(acculturation) นี้ใช้เมื่อมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมวัฒนธรรมระหว่าง ๒ กลุ่ม คนท่ีมีสังคมวัฒนธรรม
ต่างกันและมีการรับวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน แต่ในกรณีท่ีสังคมวัฒนธรรมท่ีมีปฏิสัมพันธ์กันมีพลังไม่
เท่ากัน คนกลุ่มหนึ่งจะมีแนวโนม้ ท่ีจะยอมรับวัฒนธรรมของอกี กลุ่มหน่ึง กลุ่มที่วัฒนธรรมมีพลังน้อย
จะถูกผสมกลมกลืนเข้าเป็นส่วนหนึง่ ของกลมุ่ ทว่ี ัฒนธรรมมีพลังมากกว่า ในขณะเดียวกนั อาจมีการ
แลกเปลย่ี นกนั กไ็ ด้

สุดท้ายถ้าวัฒนธรรม ๒ ชุดถูกผสมรวมกันเป็นชุดเดียวกัน ไม่ว่าจะมีส่วนของชุดใด
มากกว่ากนั ก็จะเปน็ การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (assimilation) ท่ีเกิดการยอมรับซ่ึงกันและกัน
ในสภาพปัจจบุ นั ส่วนใหญแ่ ลว้ พบว่าวัฒนธรรมอินเดยี นแดงและวัฒนธรรมตะวันตกในสหรฐั อเมรกิ าได้
มีการผสมกลมกลืนกันเกือบหมดแล้ว โดยที่คนผิวขาวรับการปลูกข้าวโพดจากอินเดียนแดงและคน
อนิ เดียนแดงรับวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างของคนผิวขาว การผสมกลมกลืนทางวฒั นธรรมนี้อาจเกิดข้ึน
ตามธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจของฝ่ายท่ีมีอานาจก็ได้กรณีของสหรัฐอเมริกา เห็นได้ชัดว่า
รฐั บาลกลางมีนโยบายทจ่ี ะผสมกลมกลนื อนิ เดียนแดงเขา้ สู่สงั คมคนผิวขาว

กรณีของประเทศไทยในบางช่วงเวลานโยบายของรัฐก็มีความโน้มเอียงใ ห้เกิดการผสม
กลมกลืนชาติพันธ์ุอ่ืน ๆ ใหเ้ ปน็ ไทยวฒั นธรรมใหม่ที่แพร่กระจายมาสู่สังคมเดิมนี้ มหี ลายรปู แบบสมัย
โบราณมักเป็นวัฒนธรรมที่มีระบบความเชื่อและศาสนาเป็นองค์ประกอบสาคัญ แต่หลังการปฏิวัติ
อุตสาหกรรมและในยุคล่าอาณานิคม วัฒนธรรมใหม่คือ วัฒนธรรมตะวันตกที่มีระบบเศรษฐกิจแบบ
ทุนนิยมเป็นองค์ประกอบหลัก ส่งเสริมให้เกิดการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม
ตะวันตก และนาแนวคิดเร่ืองการพฒั นาแบบทุนนิยมมาเผยแพร่ รูปแบบความสัมพนั ธ์ทางวัฒนธรรม
จึงมีหลากหลาย ต้ังแต่ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี ๒๐ เป็นต้นมา ประเทศมหาอานาจสนใจที่จะเรียนรู้
เก่ียวกับสังคมอื่นนอกจากตัวเอง เพ่ือจะได้สร้างปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับชุมชนหรือสังคมท่ีตน
อยากเกี่ยวข้องด้วย

รฐั บาลสหรฐั อเมริกาสนใจท่ีจะเรียนรู้เก่ยี วกบั อินเดีย เพราะคนผิวขาวได้อพยพไปยังทวีป
อเมรกิ าและครอบครองที่ดินที่อินเดียนแดงเคยอยู่ รัฐบาลอังกฤษและฝร่ังเศสสนใจเรียนรู้เก่ียวกับคน
พ้ืนเมืองภายใต้อาณานิคมของตนโดยมีเหตุผล เพ่ือประโยชน์ในการปกครองและประโยชน์ทาง
เศรษฐกิจ นบั ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาเมื่อมหาอานาจถูกบีบคั้นให้ให้เอกราชแก่ประเทศ
ใต้อาณานิคม วัตถุประสงค์ทางด้านเศรษฐกิจได้ปรากฏชัดเป็นวัตถุประสงค์หลัก ข้อมูลทาง
ประวัติศาสตร์ช้ีให้เห็นว่าปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่เกิดในสมัยโบราณซ่งึ ครอบคลุมระยะเวลาหลาย
รอ้ ยปี มผี ลทาให้เกิดการปรับตัว และการผสมผสานทางวัฒนธรรมอยู่มาก แต่ก็มีกรณีของการช่วงชิง
อานาจความขัดแย้งทางวัฒนธรรมจะกลายเป็นปญั หาทรี่ ุนแรง ทางการปกครองจนเกิดศึกสงครามอยู่
ด้วยเช่นเดียวกัน ในสังคมสมัยใหม่นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษท่ี ๒๐ การเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ

๒๖

เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมยังอยู่ในช่วงของการปรับตัว ซ่ึงมีท้ังการยอมรับ และ
ปฏิเสธซ่ึงกันและกัน ขาดความเข้าใจซ่ึงกันและกัน การศึกษาเร่ืองวัฒนธรรมท้องถิ่นและภูมิปัญญา
ชาวบ้านจะช่วยให้เข้าใจกันได้ดีขึ้น ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาเมื่อกระแสพัฒนาแบบทุนนิยมแพร่
กระจายไปท่ัวโลก เกิดการถา่ ยทอดเทคโนโลยีจากสังคมตะวนั ตกสู่ประเทศดอ้ ยพัฒนาและเทคโนโลยี
สมัยใหม่ไม่ได้รับการยอมรับเท่าท่ีควร เกิดการตั้งคาถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคมประเทศด้อย
พัฒนา คาอธิบายชุดหน่ึงก็คือเทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมพ้ืนบ้านหรือภูมิปัญญา
ชาวบ้านท่ีมีอยู่เดิม จึงเกิดความสนใจศึกษาเรื่องนี้ในวงการนักวิชาการบางกลุ่มสุดท้าย เม่ือกระแส
โลกาภิวัตน์ขยายตัวอย่างรวดเร็วในลักษณะท่ีคนท้องถ่ินต้ังรับไม่ทัน ดังนั้นท้องถิ่นและภูมิปัญญา
ชาวบา้ นนา่ จะยงั เป็นทางเลอื กสาหรบั คนทไี่ มต่ อ้ งการวัฒนธรรมใหม่

การฟ้ืนฟอู งค์ความรู้เรื่องวัฒนธรรมท้องถิ่นและภูมปิ ัญญาชาวบา้ นจึงเป็นเร่ืองที่ได้รับการ
ส่งเสริม แนวคิดเรื่องเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธของชูมากเกอร์ (Schumacher, 1974) นับเป็นตัวอย่าง
ของวัฒนธรรมท้องถ่นิ คอื ระบบความเช่อื ทางศาสนาท่ีมีอยู่เดิม ท่ีสามารถนามาตอบโต้การพัฒนาแบบ
ทุนนิยมท่ีประเทศตะวันตกพยายามเผยแพร่ แนวคิดนี้ชี้ชวนให้ชาวพุทธหันมาวิเคราะห์ระบบความ
เชื่อเดิมของตัว เพ่ือหาคุณลักษณะที่เหมาะสมและควรนามาใช้ประโยชน์มากข้ึน การศึกษาเร่ืองภูมิ
ปัญญาชาวบ้าน (indigenous knowledge) ได้รับความสนใจในกลุ่มผู้ท่ีทางานพัฒนา เพ่ือประสาน
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับความรู้พื้นบ้านเข้าด้วยกัน และอาจนาความรู้พื้นบ้านไปใช้ประโยชน์ได้
ด้วยท่ีเห็นได้ชัดคือ การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคซ่ึงเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน เน้นในเรื่องการศึกษา
ระบบคดิ หรือวิธีคิดของชาวบา้ น ระบบคิด และวธิ ีคิด จะตกผลกึ เป็นภูมิปัญญาทม่ี ีการถา่ ยทอดจากรุ่น
หนึ่งสรู่ ุน่ หนึ่ง๖

คากล่าวท่ีว่า มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐผู้มีวัฒนธรรม เป็นคา
กล่าวท่ี ช้ีให้เห็นชัดเจนว่า ลักษณะเด่นของมนุษย์เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อื่น อยู่ตรงที่มนุษย์มี
วัฒนธรรม คากล่าวนี้จะถูกต้องหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความหมายของคาว่า “วัฒนธรรม” เพราะถ้า
วัฒนธรรม หมายถึง ขนบธรรมเนียมประเพณีและภาษาพูด สัตว์บางชนิดก็มีธรรมเนียมประเพณี
และมภี าษาทส่ี ื่อสารกันระหว่างสตั ว์ได้ ฉะนัน้ ในกรณีนี้หลายคนอาจเถียงว่า สตั วบ์ างชนิด เชน่ ลิง
ผ้ึง และมด ก็มีวัฒนธรรม เพราะสัตว์ 3 ชนิดน้ีมีธรรมเนียม วิถีชีวิตและวิธีประพฤติปฏิบัติที่มี
ลักษณะเฉพาะของสัตว์ชนิดนัน้ ๆ และสามารถส่ือสารกันได้ แต่ข้อแตกต่างท่ีสาคัญระหว่างมนุษย์
และสัตว์กค็ ือ มนษุ ยส์ ามารถปรับปรุง พฒั นาตัวเองปรับปรุงสภาพความเปน็ อยแู่ ละวิถีชีวติ ใหด้ ขี ึ้น
เหมาะสมข้ึนมนุษย์รู้จักใชส้ มองมากกว่าสัตว์ ดังน้นั เราจึงพบวา่ วัฒนธรรมของมนษุ ย์นนั้ มีลักษณะ
พสิ ดารและซับซ้อนมาก

การเกิดวัฒนธรรมนั้น ระยะแรกมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ มีลักษณะคล้าย
ครอบครวั ขนาดใหญ่ เม่ือคนกลมุ่ เลก็ อาศยั อย่ดู ว้ ยกันก็สามารถเข้าใจกนั และประพฤติปฏิบัติต่อกันได้
โดยไม่มีความขัดแย้งเท่าใดนัก เมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ข้ึนมีคนหลายครอบครัวอาศัยอยู่ในบริเวณ

๖ อมรา พงศาพิชย์, “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม”, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์แห่งจุฬา
มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๗๘-๘๐.

๒๗

เดียวกัน การใช้วิถชี ีวิตอาจแตกต่างกนั บ้าง ความคิดอาจไมส่ อดคลอ้ งกันและปญั หาเรื่องความขัดแย้ง
คงจะตามมา ฉะนัน้ เมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ข้นึ ก็จาเปน็ จะต้องมรี ะบบและระเบียบมากข้ึน ต้องมีการตก
ลงกันว่า อะไรควรทา อะไรไม่ควรทา ข้อตกลงต่างๆ เก่ียวกับวิถีชีวิตเก่ียวกับการประพฤติปฏิบัติ
เกี่ยวกับความคิดความเช่ือ ซ่ึงอาจเรียกรวมๆ ว่าวัฒนธรรมจึงเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ นอกจากนี้การ
เกิดวัฒนธรรมยังอาจอธิบายได้ทางด้านความต้องการของมนุษย์และสัตว์ ความต้องการของมนุษย์มี
อยหู่ ลายระดบั

ระดบั แรกคอื ความต้องการขนั้ มลู ฐานทางชีววิทยา
ระดับที่สองคือ ความต้องการขั้นท่ีสองซึ่งเกิดข้ึนเมื่อความต้องการขั้นแรกได้รับคา
ตอบสนองแล้ว และเป็นความตอ้ งการอยา่ งอน่ื นอกจากความต้องการทางชีววทิ ยา อาจเรยี กได้วา่ เป็น
ความต้องการทางสังคม การตอบสนองความต้องการข้ันท่ีสองหรือความต้องการทางสังคมคือต้นเหตุ
ของการเกดิ วัฒนธรรม และเมอื่ เกิดวฒั นธรรมแลว้ ความตอ้ งการอ่ืน ๆ กอ็ าจเกิดขน้ึ ตามมาอีก
วิธีการทามาหาเล้ียงชีพถือเป็นการตอบสนองความต้องการท่ีอยู่เหนือความอยู่รอด และ
วิธีการผลิตเพ่ือยังชีพก็นับเป็นรูปแบบหนึ่งของวัฒนธรรม ซ่ึงมนุษย์แต่ละเผ่าพันธุ์อาจคิดข้ึนมาตาม
สภาพแวดล้อมของตัว ความต้องการที่เกิดข้ึนหลังจากมีวัฒนธรรมแล้ว คือความต้องการความ
สะดวกสบาย ความหรูหรา และเป็นเหตุให้มนุษย์ในบางสังคมพยายามคิดประดิษฐ์ปรับปรุงสภาพ
ความเป็นอยใู่ ห้สะดวกสบายกวา่ เดมิ และมีผลทาให้สังคมเจรญิ ขึน้ ความเจริญทางเทคโนโลยีเกิดขนึ้ ได้
เมื่อความต้องการทางชีววิทยาได้รับการตอบสนองแล้วและมีการสร้างวัฒนธรรมข้ึนมาด้วย เช่น
มนุษย์และสัตว์มีความต้องการขัน้ มูลฐาน หรือความต้องการทางชีววทิ ยาการตอบสนองความต้องการ
ขั้นมูลฐานเปน็ สิ่งท่ีมนุษย์และสัตว์กระทากัน เช่น เมื่อมีความตอ้ งการอาหารและเกิดความหิว มนุษย์
และสัตว์จะตอบสนองความต้องการด้วยการหาอาหารมากิน หรือเม่ือต้องการที่อยู่อาศัยมนุษย์และ
สัตว์จะหาถ้าหรือสร้างรังทาท่ีอาศัย การตอบสนองความต้องการข้ันมูลฐานหรือความต้องการทาง
ชวี วิทยา มนุษย์และสัตว์กระทาได้ตามสัญชาตญาณ และกิจกรรมท่ีทาเพื่อตอบสนองความต้องการ
ทางชีววิทยานี้ไม่ถือว่าเป็นวัฒนธรรม เพราะเป็นกิจกรรมท่ีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและเป็นกิจกรรม
สากลเหมือนกันคล้ายกันในทุกสังคม เม่ือเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติตามสัญชาตญาณก็
หมายความวา่ พฤติกรรมเหลา่ น้ไี มไ่ ดเ้ กดิ จากการเรยี นรู้

รวมความว่ามนุษย์และสัตว์มีความต้องการขั้นมูลฐานทางชีววิทยาและการตอบสนอง
ความต้องการทางชีววิทยา ซ่ึงมนุษย์และสัตว์กระทาตามสัญชาตญาณและตามธรรมชาตินี้ไม่ถือว่า
เป็นวัฒนธรรม แต่มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีพฤติกรรมอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นวัฒนธรรมและมีการ
ถ่ายทอดจากคนรุ่นหนงึ่ ไปสู่รุ่นต่อไป เปน็ พฤติกรรมท่ปี ฏิบตั จิ ากการเรยี นรลู้ กั ษณะของการตอบสนอง
ความต้องการข้ันมูลฐานจะวิวัฒนาการจนถึงขั้นว่า ไม่ได้มีเพื่อตอบสนองความต้องการข้ันมูลฐาน
อย่างเดียว แต่มีเพื่อประโยชน์อย่างอ่ืนด้วย ตัวอย่างเช่น มนุษย์มีความต้องการอาหารและสามารถ
ตอบสนองความต้องการน้ันด้วยการเก็บผลไม้ในป่ามากิน แต่มนุษย์มิได้ตอบสนองความต้องการ
อาหารด้วยวิธีง่ายๆ แต่เพยี งเทา่ นัน้ ในระยะแรกๆ มนุษย์อาจจะเกบ็ ผลไม้มากนิ แก้หิวแต่แล้วมนุษย์ก็
เกิดความคิดท่ีจะหาวิธีหาอาหารด้วยวิธีอ่ืน และในท่ีสุดวิธีที่จะแก้ความหิวก็เกิดข้ึนหลายวิธี มนุษย์
คดิ ค้นหาเคร่ืองมือล่าสัตว์หาอาหาร เครื่องมือแรกท่ีมนุษย์ใช้ก็คือการที่จะตอบสนอง เอาหินมาฝนให้

๒๘

คมเพ่อื ใช้แทนมดี หรือใช้ทารา้ ยสัตวใ์ ห้เจ็บและฆ่าสัตว์ให้ตายเลยกไ็ ด้ในตวั อย่างท่ียกมานี้ จะเห็นได้ว่า
ความหิวคือความต้องการข้ันมูลฐานทางชีววิทยา การเก็บผลไม้จากต้นไม้ใส่ปากคือการตอบสนอง
ความต้องการทางชีววิทยานี้ แต่มนุษย์ยังต้องเรียนรู้ว่าผลไม้อะไรกินได้อะไรกินไม่ได้ และมีวิธีเก็บ
อยา่ งไร ความรู้น้ถี ือเป็นสว่ นหน่ึงของวฒั นธรรม

วัฒนธรรมคือสง่ิ ที่มนุษยส์ ร้างขนึ้ กาหนดขึน้ มิใช่สง่ิ ที่มนษุ ย์ทาตามสัญชาตญาณ อาจเป็น
การประดิษฐ์วัตถุสง่ิ ของข้ึนใช้ หรอื อาจเป็นการกาหนดพฤติกรรมและ/หรือความคดิ ตลอดจนวิธกี าร
หรือระบบการทางาน ฉะนน้ั วฒั นธรรมกค็ ือระบบในสงั คมมนุษยท์ ี่มนุษย์สร้างขนึ้ มิใช่ระบบท่เี กิดขน้ึ
โดยธรรมชาตติ ามสญั ชาตญาณ วฒั นธรรมเกิดขน้ึ เม่ือมนษุ ย์ทอ่ี ยู่ในบริเวณใกลเ้ คียงกนั ในสังคม
เดยี วกนั ทาความตกลงกันว่า จะยึดระบบไหนดี พฤติกรรมใดบา้ งทีจ่ ะถือเปน็ พฤติกรรมที่ควรปฏบิ ัติ
และมคี วามหมายอย่างไร แนวความคิดใดจงึ เหมาะสม ข้อตกลงเหล่านี้คือการกาหนดความหมาย
ให้กับสง่ิ ต่างๆ ในสงั คม เพ่ือว่าสมาชิกของสงั คมจะได้เขา้ ใจตรงกันและยดึ ระบบเดียวกัน หรืออีกนัย
หน่ึง เราอาจเรียกระบบทส่ี มาชกิ ในสงั คมได้ตกลงในความหมายแลว้ น้วี า่ ระบบสัญลักษณ์

ดังน้ัน วฒั นธรรมกค็ อื ระบบสัญลักษณใ์ น สงั คมมนุษย์ที่มนษุ ย์สร้างขึน้ เมื่อสรา้ งขึ้น
มาแล้วจึงสอนใหค้ นรุ่นหลงั ไดเ้ รยี นร้หู รือนาไปปฏิบตั ิ ฉะนั้นวัฒนธรรมจงึ ต้องมีการเรยี นร้แู ละมี
การถา่ ยทอด เม่ือมนุษย์เรียนร้เู กี่ยวกับวัฒนธรรม มนุษยก์ ็รวู้ ่าอะไรคอื ขนบธรรมเนียมประเพณี
ของสังคม และสว่ นใหญม่ นุษย์จะรู้ว่าอะไรควรทาและอะไรไมค่ วรทา ฉะนั้นความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง
วัฒนธรรมและพฤติกรรมของมนษุ ยใ์ นสังคมจึงเปน็ ความสมั พันธ์ทใ่ี กล้ชดิ มาก

๒.๒.๑ ประเภทของวัฒนธรรม

เม่อื พจิ ารณาวฒั นธรรมในสงั คมเราอาจจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ (๑) วัฒนธรรม
ในลักษณะท่ีเป็นสัญลักษณ์และจับต้องไม่ได้ เป็นต้นว่า ภาษาพูด ระบบ ความเชื่อ กิริยามารยาท
ขนบธรรมเนียมประเพณี (๒) วัฒนธรรมทางดา้ นวัตถุ เปน็ ต้นว่า อาคารบา้ นเรือน วดั และศิลปกรรม
ประติมากรรมต่างๆ ตลอดจนส่ิงของเครื่องใช้ต่าง ๆ ซึ่งใช้เป็นประจาทุกวัน ตามความเป็นจริง
วัฒนธรรมประเภทวัตถุสามารถสื่อความหมายและมีลักษณะเป็นระ บบสัญลักษณ์ท่ีจับต้องไม่ได้
บา้ นเรอื นท่ีเราอยู่มลี ักษณะเปน็ วฒั นธรรมประเภทวตั ถุ แต่ถ้าเราพิจารณาลักษณะของบา้ นเรอื น เราก็
จะเห็นว่าบ้านที่มนุษย์เราใช้อาศัยอยู่น้ันอาจจะสร้างด้วยวัตถุต่างกัน กระต๊อบหลังคาจากย่อม
แตกต่างจากบ้านไม้สักหรือตึกใหญ่โอฬาร นอกจากจะต่างกันตรงวัสดุที่ใช้แล้ว ยังต่างกันตรงท่ีว่า
ลักษณะของอาคารจะบอกให้คนในสังคมน้ันรู้ได้ว่า เจ้าของบ้านมีฐานะทางเศรษฐกิจอย่างไร เศรษฐี
ย่อมอยู่ตกึ หลังใหญ่ คนจนมกั จะอาศัยอยู่ในกระตอ๊ บ ถา้ กระต๊อบตงั้ อย่ใู นหมู่บ้านตามต่างจังหวัดย่อม
ตา่ งจากกระต๊อบท่ีต้ังอยู่ในสลัมในกรุงเทพฯ ฉะนนั้ จะเหน็ ไดว้ ่า วัฒนธรรมประเภทวตั ถยุ ่อมให้ความ
หมายทางสัญลักษณ์อีกด้วย ถ้าพิจารณาเก่ียวกับวัฒนธรรมแบบวัตถุอาจอยู่ในรูปของ
ประติมากรรมและสถาปัตยกรรม หรือเคร่ืองมือเครื่องใช้ต่าง ๆ การสร้างพระบรมมหาราชวังที่
สวยงาม การสร้างวัดซึ่งแสดงถึงเอกลักษณข์ องสังคมไทยเรา เช่น วัดพระแก้ว เป็นตัวอยา่ งที่แสดงให้

๒๙

เห็นอย่างชัดเจนว่า วัฒนธรรมไทยในส่วนท่ีเก่ียวกับสถาปัตยกรรมและประติมากรรมมีลักษณะเป็น
อย่างไร ในขณะเดียวกันถ้าเราพิจารณาดูส่ิงก่อสร้างอ่ืน เช่น ตึกไทยคู่ฟ้า ทาเนียบรัฐบาลหรือพระที่
นั่งอนันตสมาคม เราก็จะเห็นชัดถึงอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทในการ
ก่อสร้างอาคารบ้านเรือนในสังคมไทยเรา การพยายามอนุรักษว์ ัดพระแก้วและวัดอื่นๆ ในงานสม โภช
กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ๒๐๐ ปี จึงเปน็ การพยายามอนุรักษส์ ถาปัตยกรรมและประติมากรรมของคนไทย ไว้
ใหค้ นรนุ่ หลงั ได้ดู

๒.๒.๒ การถา่ ยทอดวัฒนธรรม

เมื่อวัฒนธรรมคือระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นและมิใช่ระบบท่ีเกิดข้ึนโดย
สัญชาตญาณ ก็ยอ่ มจะหมายความว่าวฒั นธรรมคือสงิ่ ที่มนุษย์จะต้องเรียนรู้และจะต้องมีการถ่ายทอด
วฒั นธรรม การถ่ายทอดวัฒนธรรมท่ีเห็นได้ชัดท่ีสุดกค็ ือการท่ีพ่อแม่สอนลูกว่าอะไรควรทาอะไรไม่
ควร ในสังคมไทยพ่อแม่สอนลูกให้ไหว้ผู้ท่ีมีอาวุโสกว่า ผู้น้อยไม่ควรยืนค้าศีรษะผู้ใหญ่ การสอนใน
ลักษณะน้ีนอกจากจะเป็นการสอนถึงพฤติกรรมแล้วยังเป็นการถ่ายทอดระบบสัญลักษณ์ด้วย
นอกจากน้ีการที่แม่สอนให้ลูกทาอาหารไทย รู้จักแกงเผ็ดตาน้าพริกก็เป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรมไทย
เหมือนกัน การถ่ายทอดวัฒนธรรมก็คือการสอนให้คนรุ่นหลังรู้ถึงระบบสัญลกั ษณ์ของสังคม ซ่ึงไดเ้ คย
มีการตกลงกันไว้ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง การท่ีสมาชิกในสังคมเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะถือวิธีการ
ประพฤติปฏิบัติแบบใดน้ัน มิได้มีการตกลงกันในรายละเอียดทุกๆ เรื่อง ข้อตกลงคือการกาหนดหลัก
ใหญ่ๆ กาหนดแนวความคิดที่สาคัญ ไว้ เม่ือทุกคนรู้ถึงหลักใหญ่นี้แล้วก็จะประพฤติปฏิบัติได้ง่ายข้ึน
หลักที่สมาชิกของสังคมใช้ยึดถือเป็นแนวประกอบการประพฤติปฏิบัติก็คือบรรทัดฐานและค่านิยม
บรรทัดฐานคือแนวทางการปฏิบัติทีสมาชิกของสังคมส่วนใหญ่ยึดถือ และค่านิยมคือความคิดและ
แนวปฏิบัติที่สมาชิกของสังคมส่วนใหญ่ เห็นว่าถูกต้องดีงาม เมื่อบรรทัดฐานและค่านิยมของสังคม
เป็นแกนกลางให้สมาชิกของสังคมยึดเป็นหลักพฤติกรรม แนวความคิด วิธีการทางาน ตลอดจนการ
ประดิษฐ์ส่ิงของเคร่ืองใช้ย่อมจาเป็นท่ีจะต้องสอดคล้องกับค่านิยมของสังคมนั้นโดยอัตโนมัติ และเมื่อ
ทุกอย่างสอดคล้องกันก็หมายความวา่ การถา่ ยทอดทางวฒั นธรรมก็ดาเนนิ ไปได้อยา่ งไมม่ ปี ัญหา

๒.๒.๓ การยืม รับ การเปล่ียนแปลงวฒั นธรรม

การถ่ายทอดทางวัฒนธรรมอาจจะหมายถึงว่า ลักษณะบางอย่างของวัฒนธรรมได้
เปล่ียนไปบ้างตามกาลเวลา แต่ค่านิยมและหลักใหญ่ท่ีใช้เป็นกฎเกณฑ์ของสังคมก็จะยังไม่เปลี่ยนไป
เนอื่ งจากวา่ วัฒนธรรมคือระบบสญั ลกั ษณ์ ซ่ึงสมาชกิ ของสงั คมตกลงกันวา่ จะใช้ร่วมกัน มนษุ ย์ทอี่ ยคู่ น
ละสงั คมยอ่ มจะมวี ัฒนธรรมที่ต่างกัน เพราะในเม่ือต่างกลุ่มตา่ งตกลงกันเอง ข้อตกลงของแต่ละกลุ่มก็
ย่อมจะไม่เหมือนกันและวัฒนธรรมของสังคมจึงไม่เหมือนกัน อาจจะมีบางส่วนท่ีคล้ายกัน และ
บางส่วนท่ีเหมือนกัน แต่เมื่อรวมเป็นระบบสัญลักษณ์แล้วจะพบว่าสังคมท่ีต่างกันจะมีวัฒนธรรมที่
ต่างกันการรับวัฒนธรรมจากสังคมอื่น นอกจากว่ามนุษย์เราจะถ่ายทอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นหน่ึงไป
ยังคนอีกรุ่นหนึ่งแล้ว มนุษย์เราอาจจะรับวัฒนธรรมบางส่วนมาจากสังคมข้างเคียงได้ แต่ท้ังน้ีย่อม
หมายความว่าส่วนของวัฒนธรรมท่ีรับมาจากสังคมข้างเคียงนั้นไม่ขัดกับค่านิยมหลักของสังคม ส่วน

๓๐

ของวัฒนธรรมของสังคมขา้ งเคียงท่ีรับมาจะต้องสอดคล้องกับของเดิมท่ีมีอยู่ เม่ือสอดคล้องกันได้ก็จะ
ค่อย ๆ รับกันไป และในท่ีสุดก็จะแยกไม่ออกว่าวัฒนธรรมส่วนใดเป็นของเดิม และวัฒนธรรมส่วนใด
รบั มาจากสังคมอ่ืน การรับเอาวัฒนธรรมของสังคมอ่ืนมาในระยะแรกอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการยืม
วัฒนธรรม แต่เม่ือนานๆ ไปเข้าการยืมก็จะกลายเป็นการรับ การยืมวัฒนธรรมและการรับ
วัฒนธรรมนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรม การยืมวัฒนธรรมและการรับ
วัฒนธรรมจากสังคมข้างเคียงเป็นผลจากการท่ีวัฒนธรรมแผ่กระจายออกไป ตอนแรกวัฒนธรรม
เกิดขึ้นในสังคม แต่เมื่ออยู่ไปวัฒนธรรมของสังคม ก. ก็เริ่มขยายอิทธิพลไปยังสังคม ข. และสังคม ค.
ตามลาดบั สมาชิกของสงั คม ข. และสังคม ค. ในระยะแรกจะยืมวัฒนธรรมของสงั คม ก. แต่เม่ือยืมไป
นานๆ เข้าก็อาจจะรบั เอาไวเ้ ป็นของตัว หมายความวา่ ได้เกิดการกระจายทางวัฒนธรรมจากจุดเริ่มต้น
ในสังคมหน่ึงไปยังสังคมอ่ืน ๆ การกระจายทางวัฒนธรรมนี้อาจจะเกิดข้ึนได้จากหลาย ๆ จุด เม่ือ
วัฒนธรรมบางอย่างของสังคม ก. แผ่กระจายไปยังสังคม ข. และสังคม ค. วัฒนธรรมบางอย่างของ
สังคม ข. อาจจะแผก่ ระจายไปยงั สงั คม ก.และสังคม ค. ได้๗

ดังน้ัน สังคมวิทยา เป็นสังคมศาสตร์แขนงที่มีลักษณะทั่วไปมากท่ีสุดกล่าวคือ ศึกษา
สังคมท้ังระบบเพ่ือดูว่ามีโครงสร้างและการทางาน สังคมวิทยาต้องการเข้าใจภาพรวมของทั้ง
สังคม ดูความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ของสังคมและการดาเนินชีวิตของสังคม สัมพันธ์ทาง
สงั คมก็คือความเป็นระเบียบ กล่าวคือ การกระทาของบุคคลจะต้องเป็นไปตามระเบียบกฎ เกณฑ์
ของสังคม การอยู่ร่วมในสังคมเดยี วกัน ทาให้สมาชิกของสังคมต้องมีความสัมพนั ธ์กนั อย่างหลีกเล่ียง
ไม่ได้ ความสัมพันธ์ท้ังหมดประกอบกันเป็นโครงสร้างทางสังคม ซ่ึงแสดงถึงความเป็น ระเบียบและ
ความมั่นคงของสังคม และวัฒนธรรมในสังคมเราอาจจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ (๑)
วัฒนธรรมในลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์และจับต้องไม่ได้ เป็นต้นว่า ภาษาพูด ระบบ ความเชื่อ
กริ ิยามารยาท ขนบธรรมเนียมประเพณี (๒) วัฒนธรรมทางด้านวัตถุ เป็นต้นวา่ อาคารบ้านเรือน วัด
และศลิ ปกรรม ประติมากรรมต่างๆ ตลอดจนสง่ิ ของเครอ่ื งใช้ตา่ ง ๆ

๒.๓ เศรษฐศาสตร์

การศกึ ษาคัมภรี ธ์ รรมบท จาเปน็ ท่จี ะต้องใชแ้ นวคดิ ทฤษฎีปัจจุบนั เขา้ มารว่ มวเิ คราะห์และ
สงั เคราะห์ ในตอนนจี้ ึงใช้ ๒ แนวคดิ ทฤษฎี คือ (๑) เศรษฐศาสตร์ทัว่ ไป (๒) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดังน้ี

๒.๓.๑ เศรษฐศาสตร์ท่ัวไป

มนุษย์ในฐานะเศรษฐศาสตร์ศึกษาเป็นมนุษย์ท่ีรู้จักผลประโยชน์ของตนเองดี มีการคิด
คานวณอย่างรอบคอบกอ่ นตัดสินใจและการตัดสินใจ เป็นไปเพ่ือรักษาและเพ่มิ พูนผลประโยชน์ให้แก่
ตนเอง เศรษฐศาสตร์จาเป็นต้องมีข้อสมมติเช่นน้ี เพราะมิฉะน้ันแล้วการวิเคราะห์การทางานของ
ระบบเศรษฐกิจก็เป็นไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่าคนเราในชีวิตจริงโดยท่ัวไปมีการกระทาทั้งที่
เป็นไปและไม่เป็นไป ตามข้อสมมติของเศรษฐศาสตร์ท่ีกล่าวข้างต้น ความคิดและความสนใจของ

๗ ประเสริฐ แย้มกลิน่ ฟงุ้ , “สังคมและวฒั นธรรม”, หนา้ ๓๒.

๓๑

คนเราไม่ได้มีเฉพาะเรื่องวัตถุหรือเศรษฐกิจเท่าน้ัน และแม้แต่เรื่องน้ีเองท่ีเก่ียวข้องกับความคิดและ
ค่านิยมในเรื่องอ่ืนๆ ของเขาอย่างแยกกันไม่ออก เช่น อะไรคือความถูกต้องชอบธรรม อะไรคือชีวิตที่
พึงปรารถนา ฯลฯ คนเราอาจจะต้องการได้เงินแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีความพยายาม
ขวนขวายปรับปรุงตนเองเหมือนกันหมด บางคนอาจจะพอใจมีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ มากกว่ายอม
เหน่ือยยากทางานหนักเพื่อความสาเร็จในชีวิต ความคิดว่าทุกคนทาดีท่ีสุดแลว้ ในทางเศรษฐกจิ จึงเป็น
ข้อสมมติที่ไม่เป็นจริงเสมอไป การวิเคราะห์โดยสังคมศาสตร์แขนงอ่ืนๆ จะชว่ ยเราให้เข้าใจการกระทา
ทางเศรษฐกิจของบุคคลว่ามี ความสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากเศรษฐกิจอย่างไร เช่น เหตใุ ด
ในสังคมตะวันตกการกระทาของคนจึงเป็นไปตามหลกั เศรษฐศาสตร์หรือหลักเหตุผลมากกวา่ ในสังคม
ตะวนั ออก

สังคมมีการกาหนดขอบเขตการกระทาทางเศรษฐกิจของบุคคลอย่างไรบ้าง แม้ว่าจะให้
ความสาคัญแก่วตั ถุนิยมและเสรภี าพส่วนบุคคล ค่านิยมของบุคคลเช่นในเรือ่ งความซือ่ สัตย์การทางาน
หนัก ระเบียบวินัย การมีชีวิตสบายๆ การทาตามประเพณีที่ต้องใช้จ่ายฟุ่มเฟอื ย ฯลฯ มีความสัมพันธ์
กนั อย่างไรกับการประกอบอาชีพของบุคคล เหตุใดเทคโนโลยที ี่พสิ ูจน์แล้วว่าใชไ้ ด้ผลดีที่สุดจึงไม่ได้รับ
การยอมรับ หรือความไม่เป็นธรรมในสังคมเกี่ยวกับชนชั้น ชนบทเมือง คนรวยคนจน ฯลฯ มี
ผลกระทบอย่างไรต่อขวัญ และการต้ังใจทางานของบุคคลเพื่อยกฐานะของตนเอง ฯลฯ อิทธิพลของ
ปัจจัยเหล่านี้ทาให้การกระทาทางเศรษฐกิจของบุคคลไม่ได้เป็นไปตามข้อสมมติของเศรษฐศาสตร์
เสมอไป เช่น เทคโนโลยีท่ีดีที่สุดอาจถูกปฏิเสธไม่ยอมรับหรือนามาใช้แล้วไม่ได้ผลเน่ืองจากผู้ที่
เก่ียวข้องขาดระเบียบวินัยในการทางาน ขาดความสามารถทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม หรือมีนิสัยมักง่าย
เงินทุนถูกใช้ไปเพื่อซ้ือเสียงสนับสนุนทางการเมือง หรือรัฐบาลปล่อยให้มีการโกงกันจนเศรษฐกิจของ
ประเทศตอ้ งล้มละลาย๘

ศาสตราจารย์ ดร.อภิชัย พันธเสน กล่าวว่า “เศรษฐศาสตร์ เป็นวิชาท่ีว่าด้วยพฤติกรรม
ของมนษุ ย์ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับโภคทรัพย์หรือทรัพย์ทใ่ี ช้เพื่อการบริโภค เพ่ือดารงสถานภาพ
ของความเป็นมนุษย์หรือเหตผุ ลอนื่ ๆ ที่มนุษย์ปรุงแตง่ ข้ึนเอง นอกเหนือจากความจาเป็นในการดารง
สถานภาพแห่งความมีชวี ิต เมื่อจาเป็นต้องพจิ ารณาการบรโิ ภค ก็จาเป็นอยเู่ องจะตอ้ งคานงึ ถงึ การผลิต
และการกระจายผลผลติ ”๙

เศรษฐศาสตร์ (Economics) ศึกษาเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการผลิต การซื้อขายแลกเปลี่ยน
การเงิน การธนาคาร การคลัง ตลอดจนการกระจายทรัพย์สินและรายได้ในสังคม เศรษฐศาสตร์
ได้เปรียบสังคมศาสตร์แขนง อ่ืนในแง่เรื่องที่พูดถึงหรือมโนภาพทางวิชาการ ที่ใช้สามารถแสดงออก
หรือวัดออกมาได้เป็นตัวเลขแน่นอน เช่น ตัวเลขเกี่ยวกับปริมาณและมูลค่าของสินค้าที่ผลิต ตัวเลข
สินค้าเข้า-ออก หรือตัวเลขปริมาณธนบัตรที่ใช้ ฯลฯ เศรษฐศาสตร์จึงสามารถใช้คณิตศาสตร์และ
สถิติศาสตร์ข้ันสูงในการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจการทางาน

๘ ประเสรฐิ แย้มกล่นิ ฟุ้ง, “สังคมและวัฒนธรรม”, หน้า ๓๒.
๙ ศาสตราจารย์ ดร.อภิชัย พนั ธเสน, “พุทธเศรษฐศาสตร์”, (กรุงเทพมหานคร : บริษัทอมรินทรพ์ ร้ิน
ตง้ิ พบั ลิซซง่ิ , ๒๕๔๔), หน้า ๒-๓.

๓๒

ของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นไปตามกฎและหลักการบางอย่างซ่ึงไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ เช่น กฎอุป
สงค์และอุปทาน (Demand and Supply) และช่วยเราในการตัดสินใจใชท้ รัพยากรท่ีมีอย่อู ย่างจากัด
ในทางท่ีให้ผลตอบแทนมากท่ีสุด อย่างไรก็ดีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเศรษฐศาสตร์ก็มีข้อจากัดตรงท่ีมี
ข้อสมมติไว้ก่อนว่าการกระทาของคนเป็นไปตามหลักเหตุผล ซ่ึงในหลักใหญ่ก็คือการคานึงถึง
ผลประโยชน์ทางวัตถุของตนในการกระทาส่ิงต่าง ๆ เศรษฐศาสตร์ ศึกษามนุษย์ในแง่การต่อสู้ดิ้นรน
ทางวัตถุเพือ่ การดารงอยู่ (Material Strugglefor Existence)๑๐

ระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจบุ ันมีรากฐานสาคัญมาจากการเปลีย่ นแปลงอานาจการควบคุม
เทคโนโลยี การพัฒนาระบบ การขนส่งมวลชน และการส่ือสาร การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทาให้โลก
ของประเทศมหาอานาจถูกเชื่อมต่อกันเป็นผืนเดียว โดยมีบรรษัทข้ามชาติเข้าเช่ือมต่อกับรัฐบาลและ
ผู้ปกครองของแต่ละ ประเทศ ที่ส่วนใหญ่แล้วจะให้ความสาคัญกับบุคคลชนชั้นสูง ชนช้ันปกครอง
หรือองค์กรท่ีให้การสนับสนุนตนเอง มากกว่าใส่ใจกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ท่ียากจน
ด้อยโอกาสและไร้เครอื ขา่ ยของสังคม๑๑

ดังน้ัน เศรษฐศาสตร์เป็นการศึกษามนุษย์ท่ีรู้จักผลประโยชน์ของตนเองดี มีการคิด
คานวณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจและการตัดสินใจ เป็นไปเพ่ือรักษาและเพ่มิ พูนผลประโยชน์ให้แก่
ตนเอง เศรษฐศาสตร์ (Economics) ศึกษาเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการผลิต การซ้ือขายแลกเปล่ียน
การเงิน การธนาคาร การคลงั ตลอดจนการกระจายทรพั ยส์ ินและรายไดใ้ นสงั คม

๒.๓.๒ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

พุทธเศรษฐศาสตร์ (Buddhist Economics) ประกอบด้วยคาสองคา คือ พุทธ และ
เศรษฐศาสตร์ "พุทธ" นั้นเป็นคาย่อของคาว่า พุทธธรรม คือ คาสอนของพระพุทธเจ้า ในขณะที่คาว่า
"ธรรม" นั้น หมายถึง ธรรมชาติ หรือกฎธรรมชาติ ดังนั้นพุทธธรรมก็คือคาสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า
ด้วยลักษณะหรือกฎเกณฑ์ท่ีมีอยู่แล้วในธรรมชาติท่ีมนุษย์พึงรู้จึงเข้าใจเพื่อมนุษย์จะได้ปฏิบัติตัวหรือ
ดาเนินชีวิตให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ดังกล่าว ท้ังน้ีเพราะความเดือดร้อน คับข้องใจ ความไม่สบายใจ
ความวิตกกังวล หรือกล่าวโดยรวมว่าความทุกข์น้ัน มีสาเหตุสาคัญจากการท่ีมนุษย์ดาเนินชีวิตไป
ในทางที่ขัดแย้งกับธรรมชาติ ซึ่งมีสาเหตุใหญ่มาจากการไม่เข้าใจธรรมชาติของทุกส่ิงทุกอย่างตาม
ความเป็นจริงโดยใช้อัตวินิจฉัย ส่วนหน่ึงเกิดจากความปรารถนาหรือเป็นเคร่ืองกาหนดความต้องการ
ของมนุษย์ ซึ่งย่อมแน่นอนท่ีสุดว่าความปรารถนาของมนุษย์ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงตาม
ธรรมชาติ ย่อมไม่สามารถเป็นไปในทิศทางท่ีมนุษย์พึงปรารถนาได้ แต่แทนท่ีจะพยายามศึกษาให้รู้
จริงว่าความเป็นจริงในธรรมชาติเป็นอย่างไร ถ้าหากมนุษย์ยังคงด้ือรั้น สะสมเอาความไม่รู้ไว้กับ
ตัวเอง และยึดตดิ อยู่กบั ส่งิ ที่ขดั แยง้ กบั ความเป็นจรงิ ในสภาพธรรมชาตมิ ากย่ิงข้ึน เนื่องจากยึดม่ัน
ในส่ิงที่ไม่จริงหรือมิจฉาทิฐิ ทาให้มนุษย์เกิดความทุกข์ เห็นได้ชัดว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างความทุกข์
ขึ้นมาเอง และเมื่อมนุษย์เป็นผู้สร้างความทุกข์เพราะเหตทุ ี่ไม่พยายามเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ตามความ

๑๐ ประเสริฐ แย้มกลนิ่ ฟุ้ง, “สังคมและวัฒนธรรม”, หนา้ ๑๗.
๑๑ พัชรินทร์ สริ สุนทร, “แนวคิด ทฤษฎี เทคนิคและการประยุกต์”, หน้า ๑๖๑.


Click to View FlipBook Version