The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาธรรมบทศึกษา เป็นวิชาเอกของสาขาวิชาพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสารคำสอนเล่มนี้ คือ ได้นำเอาทฤษฎีด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ และพุทธเศรษฐศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และนำเอาพระคาถาธรรมบทมำสังเคราะห์โดยความเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอาศาสตร์ด้ำน พระอภิธรรมมาร่วมวิเคราะห์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนคัมภีร์ธรรมบทไว้เพื่อเป็นเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในการประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเรียงเนื้อหาจากตื้นไปสู่ความสุขุมคัมภีรภาพ ตามอัธยาศัยของผู้ศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชาและนำไปเป็นแบบแผน แผนที่ดำเนินชีวิต หรือสันติบท เพื่อสันติสุข

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by MCU Books, 2022-06-28 13:42:36

ธรรมบทศึกษา

วิชาธรรมบทศึกษา เป็นวิชาเอกของสาขาวิชาพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสารคำสอนเล่มนี้ คือ ได้นำเอาทฤษฎีด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ และพุทธเศรษฐศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และนำเอาพระคาถาธรรมบทมำสังเคราะห์โดยความเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอาศาสตร์ด้ำน พระอภิธรรมมาร่วมวิเคราะห์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนคัมภีร์ธรรมบทไว้เพื่อเป็นเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในการประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเรียงเนื้อหาจากตื้นไปสู่ความสุขุมคัมภีรภาพ ตามอัธยาศัยของผู้ศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชาและนำไปเป็นแบบแผน แผนที่ดำเนินชีวิต หรือสันติบท เพื่อสันติสุข

Keywords: ธรรมบทศึกษา,พระพุทธศาสนา,พระไตรปิฎก

๘๒

ความนา

คัมภีร์ธรรมบทน้ันกล่าวถึงเร่ืองหลักธรรม คือ โพธิปักขิยธรรมเพ่ือการตรัสรู้แจ้งใน
อริยสัจ ๔ และพระนิพพาน แต่อย่างไรก็ตามแม้พุทธศาสตร์จะผ่านไป ๒,๕๐๐ กว่าปี กึ่งพุทธกาล
พทุ ธศาสตร์กย็ งั เป็นวทิ ยาศาสตรท์ ่ีพสิ ูจน์ได้ด้วยการศึกษาและปฏบิ ตั ติ าม (เอหปิ ัสสโิ ก) พุทธศาสตรจ์ ึง
มีความสัมพันธ์กับศาสตร์ปัจจุบันทุกศาสตร์ ในที่นี้ได้ใช้หลักแห่งการตีความพระบาลีโดยพระอรรถ
กถาจารย์และผู้เรยี บเรยี งได้สงั เคราะห์พระบาลีคาถาธรรมบทโดยความเปน็ อริยสัจ ๔ เพ่ือสะดวก
งา่ ยต่อการจาแนกหลักธรรมอันจะนาไปสู่การศึกษาเรียนรู้ ตามวัตถปุ ระสงค์แห่งธรรมบทและได้
เสนอความสัมพันธ์ ๓ ด้าน คือ (๑) สังคมศาสตร์ (๒) วัฒนธรรม (๓) เศรษฐศาสตร์ และพุทธ
เศรษฐศาสตร์ อันมีผลทางด้านวิถีชีวติ และภูมิปัญญาไทย ในบทนี้ผู้เรียบเรียงได้สังเคราะห์ธรรมบท
ทม่ี ีความโดดเด่นด้านวฒั นธรรม มีเรื่องในคัมภีร์ธรรมบทท่ียกมาเป็นประเด็นศึกษา เพ่ือใหเ้ หมาะสม
กบั ยุคสมยั ปัจจุบัน ดังนี้

๘๓

๔.๑ เร่ือง กาลียักขนิ ี

เรื่อง กาลียักขินี อยู่ในกลุ่มของยมกวรรค แปลว่า ตอนว่าด้วยเร่ืองคู่ เช่น ดาคู่กับขาว
ชายคู่กับหญิงเป็นต้น มีท้ังหมด ๑๔ เร่ืองจะยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษาวิเคราะห์ ๑ เร่ือง คือ กาลี
ยกั ขนิ ี ซ่ึงกล่าวถึงเรื่องกรรมและผลของกรรม เปน็ กรณีการศกึ ษา ๓ ประเดน็ ไดแ้ ก่ (๑) คุณคา่ ของ
ธรรมบท (๒) สงั คมวัฒนธรรม (๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดังนี้

สถานที่ พระเชตวันวหิ าร
บุคคล พระสัมมาสมั พุทธเจ้า นางยักษณิ ี
ผล นางยักษิณบี รรลุโสดาบัน

เร่ืองนางยักขินี มีหลักธรรม อยู่ ๒ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นพุทธวจนะ หรือ พระบาลี และ
บาลีอรรถกถาอธิบายโดยพระพุทธโฆสาจารย์ ได้กลา่ วไว้ พระบาลีหรอื พุทธวจนะได้ตรสั ว่า

น หิ เวเรน เวรานิ สมมฺ นตฺ ีธ กทุ าจน
อเวเรน จ สมมฺ นตฺ ิ เอส ธมโฺ ม สนนตฺ โน๑

เพราะวา่ ในกาลไหน ๆ เวรท้ังหลายในโลกน้ี
ยอ่ มไม่สงบระงบั ดว้ ยเวร แตเ่ วรทงั้ หลาย
ย่อมสงบระงบั ด้วยการไม่จองเวรน้ีเปน็ ธรรมเก่า๒

จองเวรต้ังแต่อดีตชาติ

มีเร่ืองเล่าสืบ ๆ กันมาว่า บุตรของพ่อค้าคนหน่ึง เม่ือบิดาตายแล้วเขาทาการงานทุก
อย่าง ท้ังที่นา ทั้งที่บ้าน ด้วยตนเอง ดูแลปรนนิบัติมารดาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ต่อมามารดาได้
บอกแก่เขาว่า “ลูก แม่จกั ไปหาภรรยามาให้เจา้ นะ

บุตร. แม่ อย่าพูดอยา่ งน้เี ลย ฉนั จกั ปฏิบตั ิแม่ไปตลอดชีวิตจะหาไม่
แม่. พ่อ เจ้าคนเดียวทาการงานอยู่ ทัง้ ท่ีนาและท่ีบา้ น เพราะเหตุนั้น แม่จึงไม่สบายใจ
เลย แม่จกั ไปหานางกุมารกิ าสวย ๆ มาให้เจ้า

ลูกชายห้ามมารดาหลายคร้ัง มารดาได้นิ่งเสีย มารดาได้ออกจากเรือน เพื่อจะไปสู่
ตระกูลหญิงสาวแห่งหน่ึง ลาดับนั้น บุตรถามแม่ว่า “แม่จะไปตระกูลไหน” เม่ือแม่บอกว่า “จะไป
ตระกูลโน้น” ดังนี้แล้วก็ห้ามการที่จะไปตระกูลนั้นเสียแล้ว บอกตระกูลที่ตนชอบใจให้มารดาได้ไป
ตระกูลนั้น หมั้นหญิงสาวรุ่นคนหน่ึงไว้แล้วกาหนดวันแต่งงานนาหญิงสาวคนนั้นมา ได้นามาเป็น
ลูกสะใภจ้ นได้

๑ ข.ุ ธ.บาลี.๒๕/๕/๑๖.
๒ ข.ุ ธ.ไทย.๒๕/๕/๒๕.

๘๔

แต่เธอเป็นหญิงหมัน ทีนั้นมารดาจึงพูดกะบุตรว่า “ลูก เจ้าให้แม่นานางกุมาริกามาตาม
ชอบใจของเจ้าแลว้ บัดนี้ นางกมุ ารกิ านนั้ เปน็ หมัน กธ็ รรมดาตระกูลท่ไี มม่ ีบตุ รยอ่ มฉิบทายประเพณี
ย่อมไม่สืบเนื่องไป เพราะฉะนั้นแม่จักนาภรรยาคนใหม่มาให้เจ้า แม้บุตรนั้นกล่าวห้ามอยู่ว่า “อย่า
เลย แม่” ก็ยงั ไดก้ ล่าวเช่นเดิมบ่อย ๆ หญิงหมนั ได้ยินคาน้ี จงึ คิดว่า “ธรรมดาบตุ ร ยอ่ มไม่อาจฝืน
คามารดาบิดาไปได้ บัดนี้ แม่ผัวคิดจะนาหญิงอ่ืน ผู้ไม่เป็นหมันมาแล้วก็จักใช้เราอย่างทาส
ถ้าอย่างไรเราพึงนานางกุมาริกาคนหน่ึงมาเสียเอง” แล้วจึงไปยังตระกูลแห่งหนึ่ง ขอลูกสาวมาเป็น
ภรรยานอ้ ย “หลอ่ นพูดอะไรเช่นนัน้ ” จงึ อ้อนวอนว่า “ฉันเปน็ หมนั ตระกูลทีไ่ ม่มบี ุตรจะฉบิ ทาย ลูก
สาวของท่านได้บุตรแล้ว จักได้เป็นเจ้าของสมบัติ ขอท่านโปรดยกลูกสาวน้ันให้แก่สามีของฉันเถิด”
ดังนี้แล้ว ยังตระกูลนั้นให้ยอมรับแล้ว จึงนามาไว้ในเรือนของสามี ต่อมาหญิงหมันนั้นได้มีความ
ปริวิตกว่า “ถ้านางคนน้ีจักได้ลูกชายหรือลูกหญิงไซร้ จักเป็นเจ้าของสมบัติแต่ผู้เดียว ควรเราจะทา
ทุกวถิ ที างอย่าใหน้ างมีบุตรเลย”

ลาดับนั้น หญิงหมันจึงพูดกะนางน้ันว่า “ครรภ์ต้ังข้ึนในท้องหล่อนเม่ือใด ขอให้หล่อน
บอกแก่ฉันเม่ือนั้น” นางน้ันรับคา เมื่อครรภ์ตั้งแล้ว ได้บอกแก่ภรรยาหลวงผู้เป็นหมันนั้น ส่วนหญิง
หมันนั้นแลให้ข้าวต้มและข้าวสวยแก่นางนั้นเป็นนิตย์ ภายหลังนางได้ให้ยาสาหรับทาครรภ์ให้ตก
ปนกับอาหารแก่นางนั้น ครรภ์ก็ตกแท้ง เม่ือนางตั้งครรภ์ถึง ๒ คร้ัง นางก็ได้บอกแก่หญิงหมันนั้น
แม้หญิงหมันกไ็ ด้ทาครรภ์ให้ตก ด้วยวธิ ีการอย่างเดิมนั่นแล ต่อมา เพื่อน ๆ ได้ถามนางน้นั ว่า “หญิง
หมันร่วมสามีทาอันตรายแก่เธอบ้างหรือไม่” นางจึงเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนๆ ฟัง เพ่ือน ๆ เหล่าน้ัน
กล่าวว่า “เธอทาไมทาอย่างน้ันเล่า หญิงหมันนี้ได้ประกอบยาสาหรับทาครรภ์ให้ตกไป เพราะกลัว
เธอจะเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น ลูกในครรภ์ของหล่อนจึงตกไปถึง ๒ คร้ัง เธออย่าได้ทาอย่างนี้อีก”
ในครั้งท่ี ๓ นางจึงมิได้บอกแก่ภรรยาหลวง ต่อมา หญิงหมันเห็นท้องของนางนั้นแล้วจึงกล่าวว่า
“เพราะเหตุไร หล่อนจึงไม่บอกว่าเธอตั้งครรภ์ต้ังกับฉัน” เมื่อนางน้ันกล่าวว่า “หล่อนนาฉันมาแล้ว
ทาฉนั แท้งเสียถึง ๒ ครงั้ แล้ว ฉนั จะบอกแก่หล่อนทาไม”

หญิงหมันคิดว่า “บัดนี้ เราฉิบหายแล้ว” คอยแลดูความประมาทของนางกุมาริกานั้นอยู่
เมื่อครรภ์แก่เต็มที่แล้ว จึงได้ช่อง ได้ประกอบยาให้แล้วครรภ์ไม่อาจตก เพราะครรภ์แก่ เกิด
ทกุ ขเวทนาอยา่ งมาก นางถงึ ความสน้ิ ชวี ิตในทสี่ ุด

นางตั้งความปรารถนาว่า “เราถูกมันให้ฉิบหายแล้ว มันเองนาเรามา ทาลูกในท้องตาย
ถึง ๓ คนแล้ว บัดนี้ เราเองก็ฉิบหาย และเราจุติจากอัตภาพนี้ พึงเกิดเป็นนางยักษิณี อาจเคี้ยวกิน
ทารกของมันเถิด” ดังน้ีแล้ว ตายไปเกิดเป็นแม่แมวในเรือนนั้นเอง ฝ่ายสามีจับหญิงหมันแล้วกล่าว
ว่า “เจ้าไดท้ าการตดั ตระกูลของเราให้ขาดสญู ” ดังน้ีแล้วทบุ ด้วยอวัยวะทั้งหลายมีศอกและเขา่ เป็นต้น
ใหบ้ อบซา้ แลว้

หญงิ หมนั นน้ั ตายเพราะความเจ็บนั้นแล แลว้ ได้เกดิ เป็นแมไ่ กใ่ นเรอื นนน้ั เหมอื นกัน ต่อมา
ไม่นาน แม่ไก่ได้ตกฟองหลายฟอง แม่แมวมากินฟองไก่เหล่าน้ันเสีย ถึงคร้ังท่ี ๒ คร้ังท่ี ๓ มันก็ได้
กินเสียเหมือนกัน แม่ไก่ทาความปรารถนาว่า “มันกินฟองของเราถึง ๓ ครั้งแล้ว เดี๋ยวน้ี มันก็อยาก
กนิ ตวั เราดว้ ย เราจตุ ิจากอัตภาพนแี้ ล้ว พึงไดก้ ินมนั กับลูกของมนั ” ดังนี้แลว้ จตุ ิจากอัตภาพน้ัน

๘๕

แม่ไก่ได้เกดิ เปน็ แมเ่ สือเหลือง ฝ่ายแม่แมว ไดเ้ กิดเปน็ แมเ่ น้อื ในเวลาแตเ่ นือ้ นั้นคลอดลูก
แล้ว ๆ แม่เสอื เหลือง ก็ได้มากินลูกทั้งหลายเสียถึง ๓ ครั้ง เม่ือเวลาจะตาย แม่เนื้อทาความปรารถนา
วา่ "พวกลูกของเรา แม่เสือเหลืองตวั นี้กนิ เสยี ถึง ๓ ครง้ั แลว้ เดย๋ี วน้มี ันจักกินตัวเราด้วย เราจุตจิ าก
อัตภาพน้ีแล้ว พึงได้กินมันกับลูกของมันเถิด” ดังน้ีแล้ว ได้ตายไปเกิดเป็นนางยักษิณี (ภรรยาหลวงผู้
เป็นหมัน) ฝ่ายแม่เสือเหลือง (ภรรยาน้อย) จุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้เกิดเป็นกุลธิดาในเมืองสาวัตถี
นางถึงความเจริญแล้ว ได้ไปสู่ตระกูลสามีในบ้านริมประตูเมือง ในกาลต่อมา นางได้คลอดบุตรคน
หน่ึง นางยักษิณีจาแลงตัวเป็นหญิงสหายที่รักของเขามาแล้ว ถามว่า “เพื่อนรักของฉันอยู่ท่ีไหน”
พวกชาวบ้านได้บอกว่า “เขาคลอดบุตรอยู่ในห้อง” นางยักษิณีฟังคานั้น แสร้งพูดว่า “เพ่ือนของฉัน
คลอดลูกเป็นชายหรือหญิงหนอ ฉันจักเข้าไปดูลูกสักหน่อย” ดังน้ีแล้วเข้าไปทาเป็นดูแลอยู่ จับ
ทารกกินแล้วก็ไปถงึ ๒ ครั้ง ก็ได้กินเสยี เหมอื นกัน ในหนที่ ๓ นางกลุ ธดิ ามีครรภ์แก่ เรียกสามมี าแล้ว
บอกว่า “นาย นางยักษิณีคนหนึ่งกินบุตรของฉันเสียในที่น้ี ๒ คนแล้ว เด๋ียวนี้ ฉันจักกลับบ้านไป
คลอดบุตร” ดังนี้แล้วจึงกลับบ้าน ในกาลนั้น นางยักษิณีน้ันถึงคราวส่งน้า ด้วยว่า นางยักษิณี
ท้ังหลายตอ้ งตักน้า จากสระอโนดาตทูนบนศีรษะมา เพื่อท้าวเวสสุวรรณตามวาระ ต่อลว่ ง ๔ เดือน
บ้าง ๕ เดือนบ้างจึงพ้นจากเวรได้ นางยักษิณีเหล่าอื่นมีกายบอบช้า ถึงความสิ้นชีวิตบ้างก็มี ส่วน
นางยักษิณีนั้น พอพ้นจากเวรส่งน้าแล้วเท่าน้ัน ก็รีบไปสู่เรือนน้ันถามว่า “เพื่อนรักของฉันอยู่ที่ไหน”
พวกชาวบ้านบอกว่า “เธอจักพบเขาท่ีไหน” นางยักษิณีคนหนึ่งกินทารกของเขาที่คลอดในที่นี้
เพราะฉะนนั้ เขาจึงกลับบ้านไปคลอดบตุ ร นางยักษิณีนน้ั คิดวา่ “เขาไปในท่ไี หน ๆ ก็ตามเถดิ จกั ไม่
พ้นเราไปได”้

นางมารยกั ษก์ ลบั ใจบรรลโุ สดาบนั

นางยักษิณีถูกกาลังแหง่ ความอาฆาตครอบงามาหลายชาติ วิง่ บ่ายหน้าไปส่เู มือง ฝ่ายนาง
กุลธิดา ในวันอาบน้าและตั้งชื่อเด็กเสร็จ พูดกับสามีว่า “คุณ เดี๋ยวน้ี เราพากันกลับบ้านเราเถิด”
อมุ้ บตุ รไปกับสามีตามทางตัดไปในทา่ มกลางวหิ ารมอบบตุ รให้สามแี ล้ว ลงอาบน้าในสระโบกขรณีข้าง
วิหารแลว้ ขึ้นมารับเอาบตุ ร. เมือ่ สามกี าลงั อาบน้าอยู่ ยืนใหบ้ ุตรด่ืมนมแลเห็นนางยักษิณีมาอยู่ จาได้
แล้ว ร้องด้วยเสียงอนั ดงั ว่า “คุณ ๆ มาเร็ว ๆ คนนี้นางยกั ษิณตี นน้ัน” ดังนีแ้ ล้วไม่อาจยืนรออยจู่ น
สามนี ้นั มาไดว้ ง่ิ กลับบ่ายหนา้ ไปสู่ภายในวหิ ารแล้ว

สมัยนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัทนางกุลธิดานั้นให้บุตรนอนลง
เคียงหลังพระบาทแห่งพระตถาคตเจ้าแล้วกราบทูลว่า “บุตรคนน้ี ข้าพระองค์ถวายแด่พระองค์แล้ว
ขอพระองค์ประทานชวี ิตแก่บตุ รข้าพระองคเ์ ถิด” สมุ นเทพผู้สิงอย่ทู ี่ซุ้มประตูไมย่ อมให้นางยักษณิ ีเข้า
ไปข้างใน พระศาสดารบั ส่ังเรียกพระอานนทเถระมาแลว้ ตรัสว่า “อานนท์ เธอจงไปเรียกนางยักษิณี
นนั้ มา พระเถระเรียกนางยกั ษิณีน้ันมา นางกุลธิดากราบทูลว่า “ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจริญ นางยักษณิ ีน้ี
มา” พระศาสดาตรัสว่า “นางยักษิณีจงมาเถิด เจ้าอย่าได้เสียงดังไปเลย” ได้ตรัสกะนางยักษิณีผู้มา
ยืนอยู่แล้วว่า “เหตุไร เจ้าจึงทาอย่างน้ัน ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้า ผู้เช่นเราแล้ว
เวรของพวกเจ้า จักได้เป็นกรรมต้ังอยู่ช่ัวกัลป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน ของหมีกับไม้สะคร้อ

๘๖

และของกากับนกเค้า เหตุไฉน พวกเจ้าจึงทาเวรและเวรตอบแก่กัน เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วย
ความไม่มเี วร หาระงบั ได้ดว้ ยเวรไม่” ดังน้ีแล้ว ได้ตรสั พระคาถานวี้ ่า

น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนตฺ ีธ กทุ าจน
อเวเรน จ สมฺมนตฺ ิ เอส ธมโฺ ม สนนฺตโน

ในกาลไหน ๆ เวรทงั้ หลายในโลกน้ี ยอ่ มไมร่ ะงับดว้ ยเวรเลย
กแ็ ต่ย่อมระงบั ไดด้ ้วยความไม่มเี วร ธรรมนีเ้ ปน็ ของเก่า

ในกาลจบพระคาถา นางยักษิณีนั้น บรรลุพระโสดาปัตติผล เทศนาได้เป็นกถามี
ประโยชน์ แมแ้ กบ่ ริษทั ผูป้ ระชุมกนั จานวนมาก

พระศาสดา ไดต้ รสั กะหญงิ นั้นว่า “เจ้าจงให้บตุ รของเจา้ แกน่ างยกั ษณิ ีเถดิ ”
กุลธิดา. ขา้ แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กลัว

พระศาสดา. เจา้ อย่ากลัวเลย อนั ตรายย่อมไม่มีแก่เจ้า เพราะอาศัยนางยักษิณีนี้

นางได้ใหบ้ ุตรแกน่ างยกั ษิณนี ้ัน นางยักษิณีนั้นอุ้มทารกนั้นจูบกอดแล้ว คืนให้แก่มารดอีก
กเ็ ริ่มรอ้ งไห้ ลาดบั นัน้ พระศาสดา ตรัสถามนางยกั ษณิ ีน้ันว่า “อะไรน่ัน”

นางยักษิณีนั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เม่ือก่อนข้าพระองค์ แม้สาเร็จการ
เลี้ยงชีพด้วยไม่เลือก ยังไม่ได้อาหารพอเต็มท้อง บัดนี้ ข้าพระองค์จะเล้ียงชีวิตได้อย่างไร ลาดับนั้น
พระศาสดา ตรัสปลอบนางยักษิณีนั้นว่า “เจ้าอย่าวิตกเลย” ดังน้ีแล้ว ตรัสกะหญิงนั้นว่า เจ้าจงนา
นางยักษิณีไปให้อยู่ในเรือนของตนแล้วจงปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดี กุลธิดาน้ันนานาง
ยักษิณีไปแล้วให้พักอยู่ในโรงกระเดื่อง ได้ปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดีแล้ว ในเวลาซ้อม
ขา้ วเปลือก สากปรากฏแก่นางยักษิณีน้นั ดุจต่อยศีรษะ เขาจึงเรียกนางกุลธิดาผู้สหายมาแลว้ พูดว่า
“ฉันไม่สามารถอยู่ในท่ีน้ีได้ ขอท่านจงให้ฉันพักอยู่ในที่อื่นเถิด” แม้อันหญิงสหายนั้นให้พักอยู่ในท่ี
เหล่านี้คือในโรงสาก ข้างตุ่มน้า ริมเตาไฟ ริมชายคา ริมกองหยากเยื่อ ริมประตูบ้าน นางยักษ์ก็
กล่าวว่า “ในโรงสากน้ี สากย่อมปรากฏดุจต่อยศีรษะฉันอยู่ ที่ข้างตุ่มน้านี้ พวกเด็กย่อมราดน้าเป็น
เดนลงไป ท่ีริมเตาไฟน้ี ฝูงสุนัขย่อมมานอน ท่ีริมชายคาน้ี พวกเด็กย่อมทาสกปรก ท่ีริมกอง
หยากเยื่อนี้ ชนท้งั หลายยอ่ มเทหยากเยอ่ื ท่รี ิมประตูบา้ นน้ี เด็กพวกชาวบ้าน ย่อมเลน่ การพนนั กัน

ดว้ ยคะแนน” จึงปฏเิ สธทกุ ท่ี

ครั้งน้ัน หญิงสหายจึงให้นางยักษิณีนั้นพักอยู่ในท่ีอันสงัดภายนอกบ้านแล้ว นาโภชนะมี
ขา้ วตม้ และข้าวสวยเปน็ ต้นอยา่ งดไี ปเพื่อนางยกั ษณิ ีน้นั แลว้ ปฏิบัตใิ นทน่ี น้ั นางยกั ษิณีนน้ั คดิ อยา่ งนี้
ว่า เดี๋ยวนี้ หญิงสหายของเราน้ี มีอุปการะแก่เรามาก เอาเถอะเราจักทาความแทนคุณสักอย่างหนึ่ง
ดังนี้แล้ว ได้บอกแก่หญิงสหายว่า “ในปีน้ี จักมีฝนดี ท่านจงทาข้าวกล้าในท่ีดอนเถิด ในปีน้ีฝนจัก
แล้ง ท่านจงทาข้าวกล้าในท่ีลุ่มเถิด” ของคนอื่นเสียหายด้วยน้ามากเกินไปบ้าง ด้วยน้าน้อยบ้าง
ส่วนข้าวกล้าของนางกุลธิดานั้นย่อมสมบูรณ์เหลือเกิน คร้ังน้ัน ชาวบ้านที่เหลือเหล่านั้นพากันถาม
นางว่า “แม่ข้าวกล้าที่หล่อนทาแล้ว ย่อมไม่เสียหายด้วยน้ามากเกินไป ย่อมไม่เสียหายด้วยน้าน้อย
ไป หลอ่ นรู้ความท่ีฝนดีและฝนแล้งแล้วจึงทาการงานหรือ ? ข้อน้ี เป็นอย่างไรหนอแล ? นางบอกว่า

๘๗

“นางยักษิณี ผเู้ ปน็ สหายของฉนั บอกความที่ฝนดแี ละฝนแล้งแก่ฉนั ฉันทาข้าวกลา้ ทั้งหลายในท่ีดอน
และที่ลุ่ม ตามคาของยักษิณีน้ัน เหตุน้ัน ข้าวกล้าของฉันจึงสมบูรณ์ดีพวกท่านไม่เห็นโภชนะมี
ข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น ที่ฉันนาไปจากเรือนเนืองนิตย์หรือ ? ส่ิงของเหล่านั้น ฉันนาไปให้นาง
ยักษิณีน้ัน แม้พวกท่านก็จงนาโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นอย่างดี ไปให้นางยักษิณีบ้างซิ
นางยักษิณีก็จักแลดูการงานของพวกท่านบ้าง” พวกชนชาวเมืองต่างพากันทาสักการะแก่นางยักษิณี
นั้นแล้ว จาเดิมแต่นั้นมา นางยักษิณีแม้นั้นแลดูการงานท้ังหลายของชนทั้งปวงอยู่ ได้เป็นผู้ถึงลาภ
อันเลิศและมีบริวารมากแล้ว ในกาลต่อมา นางยักษิณีนั้นเร่ิมต้ังสลากภัต ๘ ท่ี สลากภัตนั้น
ชนท้งั หลายยังถวายอยู่จนกาลทกุ วันนแ้ี ล.๓

๔.๑.๑ คุณค่าของธรรมบท

คุณคา่ ของพระคาถานน้ั มีดงั นี้
บทว่า “น หิ เวเรน” บุคคลแม้เม่ือล้างท่ีซึ่งเป้ือนแล้วด้วยของไม่สะอาดมีน้าลายและ
น้ามูกเป็นต้นด้วยของไม่สะอาดเหล่าน้ันแล ไม่อาจทาให้เป็นที่หมดจดและหายกล่ินเหม็นได้ โดยท่ี
แท้ ที่น้ันกลับเป็นท่ีไม่หมดจดและมีกลนิ่ เหม็นย่ิงกว่าเก่าอีก ฉันใด บุคคลเม่ือด่าตอบคนผ้ดู ่าอยู่ ทา
ร้ายตอบคนผู้ทาร้ายอยู่ ย่อมไม่อาจยังเวรให้ระงับด้วยเวรได้ โดยที่แท้ เขาชื่อว่าทาเวรนั่นเองให้
ย่ิงขึ้น ฉันน้ันน่ันเทียว แม้ในกาลไหน ๆ ขึ้นชื่อว่าเวรท้ังหลาย ย่อมไม่ระงับได้ด้วยเวร อย่างนี้
ช่ือวา่ ย่อมเจรญิ อยา่ งเดยี ว

พระบาลีว่า อเวเรน จ สมฺมนฺติ ความว่า เหมือนของไม่สะอาด มีน้าลายเป็นต้น
เหล่านั้น อันบุคคลล้างด้วยน้าที่ใสย่อมหายหมดได้ ท่ีน้ันย่อมเป็นที่หมดจด ไม่มีกลิ่นเหม็น ฉันใด
เวรท้ังหลาย ย่อมระงับ คือย่อมสงบ ได้แก่ ย่อมถึงความไม่มีด้วยความไม่มีเวรคือด้วยน้าคือขันติ
และเมตตา ด้วยการทาไว้ในใจโดยแยบคาย และด้วยการพจิ ารณา ฉนั น้นั น่นั เทียว

พระบาลีว่า เอส ธมฺโม สนฺนตโน ความว่า ความสงบระงับเวร ด้วยความไม่มีเวร
เป็นของเก่า คือเป็นมรรคาแหง่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจา้ และพระขีณาสพทั้งหลายทุก ๆ
พระองค์ ดาเนนิ ไปแลว้

สงั เคราะห์พระบาลีในอรยิ สจั ๔ ดังนี้
ตามหลกั การแห่งพระพทุ ธศาสนาแลว้ พทุ ธวจนะแห่งธรรมบทนน้ั ย่อมสังเคราะห์เข้าไดใ้ น
อริยสัจ ๔ เสมอ บางคาถาได้ อรยิ สัจ ๔ ๓ ๒ ๑ บ้าง สว่ นของพระคาถานี้ สงั เคราะห์ได้ ๒ สจั จะ คือ
ทกุ ขสจั จะและมรรคสจั จะดังนี้

๓ ข.ุ ธ.อ.๔๐/๖๘-๗๗.

๘๘

พระบาลบี าทที่ ๑ จัดเป็นทกุ ขสจั จะ
น หิ เวเรน เวรานิ สมมฺ นฺตีธ กุทาจน
เพราะ เวเรน เป็นจิตพยาบาท๔ ได้แก่ โทสเหตุ นามาซึ่งความทกุ ข์ โทมนสั

อุปายาสะ

พระบาลีบาทท่ี ๒ จดั เป็นมรรคสัจจะ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน จัดเปน็ มรรคสจั จะ เพราะ สมฺมนฺติ
คือความสงบระงับกิเลสทั้งปวง ได้แก่ องค์มรรค ๘ สมดังพระบาลีว่า สนฺนตโน ความว่า ธรรมน้ี
เป็นของเก่า คือเป็นมรรคาแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระขีณาสพทั้งหลาย
วิเคราะห์ว่า สน นิบาต ลงในความหมาย แน่นอน + ตน ปัจจัยในโมคคลัลานสูตร (๔/๒๑) วิเคราะห์
ว่า สน ภโว = สนนฺตโน (สนนั ตนะ คือ มใี นอดีตกาล) ๕

ในเร่ืองนางยักษิณีนี้ พระสงฆ์นิยมนามาแสดงธรรมเพราะเกี่ยวข้องกับหลักกรรมและ
วิบากกรรม และภพชาติ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่มีการให้อภัยกัน หากมีการให้อภัยกัน ไม่จองเวรกัน
ด้วยอดทนเมตตา ขนั ติธรรมและเมตตาธรรมจงึ นามาใชห้ ลกั แห่งสันตวิ ธิ ีในโลกปจั จบุ นั ดว้ ย

๔.๑.๒ สงั คมและวฒั นธรรม

สังคมวัฒนธรรมอินเดียยังอยู่แบบชนบทเดิม ๆ มีความเป็นอยู่ทั้งชมชนพาณิชย์ พ่อค้า
เช่น บาลีว่า กุฏุมพี กุฏมฺ โพ คอื หมอ ไห สาหรับเก็บทรัพย์สมบัติ ดังน้นั ก็มีเศรษฐกจิ ที่เจริญรุ่งเรือง
มากในสมยั พทุ ธกาล และยงั มีอาชพี ทาสวน ทาไร ทานาเป็นส่วนใหญ่

เรื่องนางยักษิณีน้ีจึงเป็นปฐมเหตุแห่งสลากภัต สืบทอดประเพณีนี้มาจนถึงปัจจุบัน
สลากภัตเป็นชื่อเรียกวิธีถวายทานแก่พระสงฆ์วิธีหนึ่ง โดยการจับสลากเพ่ือแจกภัตตาหารหรือปัจจัย
วัตถุที่ได้รับจากผศู้ รัทธาถวาย เพื่ออนุเคราะห์แก่ผศู้ รัทธาท่ีมีปัจจัยวัตถุจากัดและไมส่ ามารถถวายแก่
พระสงฆ์ทั้งหมดได้โดยสลากภัตนับเน่ืองในสังฆทานที่มีอานิสงส์มาก เพราะถือว่าแม้จะต้งั สลากถวาย
กับพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่จับสลากได้ ย่อมเท่ากับถวายกับพระสงฆ์ทั้งหมด เพราะสลากท่ีจับน้ัน
พระสงฆ์ทุกรูปในอารามนั้นมีสิทธ์ิได้ นอกจากน้ันสลากภัตยังเป็นหลักการในพระวินัยท่ีพระพุทธเจ้า
ทรงวางไว้เพ่ือสร้างจิตสานึกความเท่าเทียมกันและสร้างความเป็นอันหน่ึงเดียวกันแก่คณะสงฆ์ ใน
ประเทศไทย มีประเพณีสลากภัต ภาคเหนือเรียกว่า ประเพณีทานก๋วยสลาก ตามวัดต่าง ๆ โดยจัด
ในช่วงเดือน ๖ จนถึงเดือน ๘ ซึ่งเป็นช่วงผลไม้อุดมสมบูรณ์โดยมีการรวมตัวของคณะศรัทธาทั้ง

๔ สมเดจ็ พระพุทธชนิ วงศ์ (อปุ สมมหาเถระ), “งานวจิ ยั การศกึ ษาเชิงวเิ คราะหพ์ ระคาถาธรรมบท”,
พิมพ์ครัง้ ที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร:ประยรู สาส์นการพมิ พ์, ๒๕๕๙), หนา้ ๖๓.

๕ สมเดจ็ พระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “งานวิจัยการศกึ ษาเชงิ วเิ คราะห์พระคาถาธรรมบท”,

หน้า ๖๓.

๘๙
หมู่บ้านนาผลไม้และสารับคาวหวานไปตั้งเป็นสลากถวายพระภิกษุที่นิมนต์มาจากวัดต่าง ๆ เป็น
ประเพณีใหญส่ าหรับหมู่บ้านและวัดน้ัน ๆ โดยในแต่ละภูมิภาคมีรายละเอียดการจัดประเพณีแตกต่าง
กนั ไป๖ การทาบุญประเพณีสลากภตั ยังมีผลตอ่ สังคมในครอบครัว เครือญาติที่อยู่ต่างถ่ินให้กลับบ้าน
เกดิ มาทาบญุ สลากภตั อุทศิ บุญกุศลให้กบั บรรพบรุ ุษ

การถวายสลากภัตรนั้นมีประเพณีมาตั้งแต่อดีตกาล ซ่ึงเป็นที่นิยมทางภาคเหนือตอนบน
ทาเปน็ ปกติ ดังภาพน้ี

(ภาพในอดีต)

๖ [ออนไลน์], แหล่งทม่ี า : https://th.wikipedia.org/wiki, สลากภัต, [๒ เม.ย. ๒๕๖๓].

๙๐

[ออนไลน์], แหลง่ ที่มา : https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1116133/, [๑๕
เม.ย. ๒๕๖๓].

๔.๑.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์
เร่ืองนางยักษิณี ยังได้มีอิทธิพลต่อสังคมไทย คือ ประเพณีพิธีกรรม คือ สลากภัต ส่วน
ใหญ่จะมีขึ้นในแถบประเทศไทยล้านนา นิยมทาสลากภัตตอนออกพรรษาหลังทานาปีเสร็จเรียบร้อย
แล้ว ก็จะนาข้าวท่ีได้ไปถวายให้กับพระ สมัยปัจจุบันได้พัฒนามาเป็นสิ่งของทั่วไปรวมถึงผลไม้อาหาร
คาวหวานต่างๆ ของแต่ละพื้นท่ี ทาให้เกิดการซ้ือขาย เศรษฐกิจในชุมชนมีการซื้อ ขายวัสดุ ส่ิงของท่ี
จะมาถวายพระสงฆ์ ทาให้กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนให้ดีข้นึ ตาม

๙๑

๔.๑.๔ สรปุ
พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า พระเชตะวนั วิหาร ได้ตรสั ถึงเร่ือง นางยักษิณี กบั เพ่อื นในอดตี ชาติ
ที่จ้องล้างจองผลาญกันมา จนถึงชาติสุดท้าย ได้มาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องนางยักขินี มี
หลักธรรม อยู่ ๒ ส่วน คือ ส่วนท่ีเป็นพุทธวจนะ หรือ พระบาลี และ บาลีอรรถกถาอธิบายโดยพระ
พุทธโฆสาจารย์ ไดก้ ล่าวไว้ พระบาลีหรือพุทธวจนะไดต้ รสั ว่า

น หิ เวเรน เวรานิ สมมฺ นตฺ ีธ กทุ าจน
อเวเรน จ สมฺมนตฺ ิ เอส ธมโฺ ม สนนฺตโน๗
เพราะว่าในกาลไหน ๆ เวรท้งั หลายในโลกน้ี
ยอ่ มไมส่ งบระงบั ดว้ ยเวร แต่เวรทั้งหลาย
ย่อมสงบระงับด้วยการไม่จองเวรนี้เป็นธรรมเก่าธรรมเก่า โบราณาจารย์ หมายถึง
เป็นของเก่า คือเป็นหนทางของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระขีณาสพกล่าวไว้ว่า
การสร้างเวรเกดิ จากโทสะ อาฆาต ย่อมละได้ด้วยการไม่จองเวร หรือละดว้ ยเมตตา อโทสะ ด้วยบุญ
ท่ีสะสมมาต้ังแต่อดีตชาติ เม่อื ฟงั เสรจ็ แลว้ ก็บรรลโุ สดาบนั

๔.๒ เรือ่ ง ภกิ ษุ ๕๐๐ รูปผ้อู ารทั ธวิปสั สนา๘

๗ ขุ.ธ.บาล.ี ๒๕/๕/๒๓.
๘ ข.ุ ธ.อ.๔๐/๓๑๐-๓๒๕.

๙๒

เร่ือง ภิกษุ ๕๐๐ รูปผู้อารัทธวิปัสสนา อยู่ในจติ ตวรรค ว่าด้วยหมวดเก่ียวการพรรณนา
เก่ียวกับจิต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวธรรมชาติของจิต ในส่วนของจิตวรรคน้ันพึงไปศึกษา
รายละเอียดที่เก่ียวข้องกับพระอภิธรรมปิฎกโดยเฉพาะธัมมสังคณี และผู้เรียบเรียงไว้ใน “หนังสือ ๑
เดือน ดูจิตให้นิพพาน” จิตตวรรค มีจานวน ๙ เรื่อง ในท่ีน้ีเป็นกรณีศึกษา ๑ เร่ือง คือ อารัทธ
วิปัสสนาภิกขุ เป็นกรณีการศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท (๒) สังคมวัฒนธรรม
(๓) พุทธเศรษฐศาสตร์ ดังน้ี

สถานท่ี กรุงสาวตั ถี
บคุ คล พระสัมมาสมั พุทธเจ้า, ภกิ ษุ ๕๐๐ รูป, เทวดา
ผล ภกิ ษุ ๕๐๐ บรรลอุ รหันต์พร้อมกับปฏสิ ัมภทิ า ๔

พระบาลหี รอื พุทธวจนะไดต้ รัสว่า
กุมภฺ ปู ม กายมิท วทิ ิตฺวา

นครูปม จติ ฺตมิท ถเกตวฺ า

โยเธถ มาร ป ฺ าวุเธน
ชิต ฺจ รกฺเข อนิเวสโิ น สยิ า๙

ภกิ ษุรวู้ า่ ร่างกายนีเ้ ปรยี บเหมอื นหม้อดิน

ควรปอ้ งกันจติ น้ี เหมอื นป้องกนั พระนคร
แล้วใชอ้ าวุธคือปัญญารบกบั มาร
และควรรกั ษาชยั ชนะไว้ แตไ่ ม่ควรยนิ ดียดึ ติ๑๐

ผหี ลอกภกิ ษุ

สมัยพุทธกาล ภิกษุ ๕๐๐ รูป ในกรุงสาวัตถี เรียนกัมมัฏฐานตราบเท่าพระอรหัตใน
สานักพระศาสดาแล้ว คิดว่า “เราจักทาสมณธรรม” ไปส้ินทางประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ได้ถึงบ้าน
ตาบลใหญ่ตาบลหน่ึง ลาดับน้ัน พวกมนุษย์เห็นภิกษเุ หล่าน้ัน จึงนิมนต์ให้น่ังบนอาสนะท่ีจัดไว้ถวาย
ภัตตาหารท้ังหลายมีข้าวยาคูเป็นต้นอันประณีตแล้ว เรียนถามว่า “พวกท่านจะไปทางไหน ขอรับ”
เมอ่ื ภิกษุเหลา่ น้นั กลา่ วว่า “พวกเราจักไปสถานตามผาสกุ ” จงึ วิงวอนวา่ “นิมนตพ์ วกท่านอยู่ในที่น้ี
ตลอด ๓ เดือนนี้เถิด ขอรับ แม้พวกกระผมก็จักต้ังอยู่ในสรณะ รักษาศีลในสานักของพวกท่าน”
ทราบการรบั นิมนตข์ องภิกษุเหล่านั้นแลว้ จงึ เรียนวา่ “ในท่ีไมไ่ กลมไี พรสณฑใ์ หญ่มาก นิมนตพ์ วกท่าน
พักอยู่ที่ไพรสณฑ์น้ันเถิดขอรับ” แล้วเดินไปส่ง ภิกษุเหล่านั้น เข้าไปสู่ไพรสณฑ์น้ันแล้ว เทวดาทา
อุบายหลอนภิกษุ พวกเทวดาผู้สิงอยู่ในไพรสณฑ์น้ัน คิดว่า “พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายมีศีล ถึงไพร
สณฑ์นี้โดยลาดับแล้ว กเ็ มือ่ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายพานักอยู่ในทน่ี ี้ การท่ีพวกเราพาบุตรและภาดาข้ึน
ต้นไม้ไม่ควรเลย” จึงนั่งลงบนพื้นดิน คิดว่า “พระผู้เป็นเจ้าท้ังหลาย อยู่ในที่น้ีคืนเดียวในวันน้ี
พรุ่งน้ีจักไปเป็นแน่” ฝ่ายพวกภิกษุ เท่ียวไปบิณฑบาตในบ้าน ในวันรุ่งขึ้นแล้วก็กลับมายังไพรสณฑ์

๙ ข.ุ ธ.(บาล)ี ๒๕/๔๐/๒๓.
๑๐ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๔๐/๓๘.

๙๓

น้ันน่ันแล พวกเทวดาคิดว่า “ใคร ๆ จักนิมนต์ภิกษุสงฆ์ไว้ฉันพรุ่งนี้ เพราะฉะน้ันจึงกลับมา วันน้ีจัก
ไมไ่ ป พร่งุ นี้เหน็ จักไปแน่”

ดังนี้แล้ว ก็พากันพักอยู่ที่พื้นดินน้ันเอง ประมาณคร่ึงเดือนโดยอุบายน้ีแต่นั้นมา พวก
เทวดาคดิ ว่า “ทา่ นผูเ้ จริญทัง้ หลายเห็นจกั อยู่ในท่ีนน้ี ั่นตลอด ๓ เดอื นน้ี กเ็ มื่อทา่ นท้ังหลายอยู่ใน
ที่นี้ พวกเราแม้จะข้ึนน่ังบนต้นไม้คงไม่ควร ถึงสถานท่ีจะพาเอาพวกบุตรและหลานนั่งบนพื้นดิน
ทั้ง ๓ เดือน ก็เป็นทุกข์ของพวกเราพวกเราทาอะไร ๆ ให้ภิกษุเหล่านี้หนีไปได้จะเหมาะ”
เทวดาเหล่านั้นเร่ิมแสดงร่างผีหัวขาดและให้ได้ยินเสียงอมนุษย์ ในท่ีพักกลางคืนที่พักกลางวัน
และในท่ีสุดของที่จงกรมนั้น ๆ โรคทั้งหลายมีจามไอเป็นต้นเกิดแก่พวกภิกษุแล้ว ภิกษุเหล่านั้นถาม
กนั และกันว่า “ผู้มีอายุ โรคอะไรเสียดแทงคุณ” กลา่ ววา่ “โรคจามเสียดแทงผม โรคไอเสยี ดแทงผม”
ดังน้ีแล้ว กล่าวว่า “ผู้มีอายุ วันน้ี ผมได้เห็นร่างผีหัวขาดที่จงกรม ผมได้เห็นร่างผีท่ีพักกลางคืน
ผมไดย้ นิ เสยี งอมนุษย์ในที่พักกลางวัน ที่นีเ้ ป็นท่ีควรเวน้ ในที่น้ี ความไม่ผาสุกมีแกพ่ วกเรา พวกเรา
จักไปที่สานักของพระศาสดา” ภิกษุเหล่าน้ัน ออกไปสู่สานักของพระศาสดาโดยลาดับ ถวายบังคม
แลว้ น่งั ณ สว่ นขา้ งหน่งึ

พระศาสดาประทานอาวุธสกู้ ับผี

ลาดับน้นั พระศาสดาตรัสกะภิกษเุ หล่าน้นั วา่ “ภิกษุท้ังหลายพวกเธอจักไม่อาจเพือ่ อยู่
ในทนี่ ัน้ หรือ

ภกิ ษุ. พระเจา้ ข้า มีเรืองท่ีน่ากลัวเห็นปานนี้ ปรากฏแก่ข้าพระองค์ทัง้ หลาย ผู้พานักอยู่
ในที่นั้น เพราะเหตุน้ัน จึงมีความไม่ผาสุกเห็นปานนี้ ด้วยเหตุน้ัน ข้าพระองค์ท้ังหลายจึงคิดว่า
“ที่นี้ เปน็ ที่ควรเวน้ ” ทิง้ ท่ีนน้ั มาสูส่ านกั ของพระองคแ์ ล้ว

พระศาสดา. ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอไปในท่นี ้นั นนั่ แลสมควร
ภกิ ษุ. ไมอ่ าจ พระเจ้าข้า
พระศาสดา. ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอไม่เอาอาวุธไป บดั นพ้ี วกเธอจงเอาอาวุธไปเถิด
ภิกษุ. ถอื เอาอาวธุ ชนิดไหนไป พระเจ้าขา้
พระศาสดา. เราจักให้อาวุธแก่พวกเธอ พวกเธอจงถือเอาอาวุธท่ีเราให้ไป ดังน้ีแล้วตรัส
เมตตสูตรทั้งสนิ้ ว่า

กรณียมตฺถกสุ เลน ยนฺต สนฺต ปท อภสิ เมจฺจ
สกฺโก อชุ ู จ สหุ ชุ ู จ สุวโจ จสสฺ มทุ ุ อนติมานิ
ผู้รู้สนั ตบท (บทอันสงบ) พึงกระทาสิกขา ๓ หมวดใด
ผู้ฉลาดในประโยชน์ ควรกระทาสกิ ขา ๓ หมวดนน้ั
ผู้ฉลาดในประโยชน์ พงึ เป็นผู้องอาจเปน็ ผู้ตรง
เปน็ ผู้ซือ่ ตรง เปน็ ผอู้ ่อนโยน เป็นผไู้ ม่ทะนงตัว๑๑

๑๑ ขุ.ธ.อ. ทตุ โิ ย ภาโค / ๑๔๒.

๙๔

ดังนี้แล้ว ตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอพึงสาธยายเมตตสูตรนี้ จาเดิมแต่ไพรสณฑ์
ภายนอกวิหาร เข้าไปสู่ภายในวิหาร” ทรงส่งภิกษุเหล่านั้นไปอีกคร้ัง พวกภิกษุทั้งหลายออกไปถึง
ไพรสณฑน์ ัน้ โดยลาดับ พากันสาธยายเป็นหมู่ในภายนอกวหิ าร เขา้ ไปสู่ไพรสณฑแ์ ลว้

พวกเทวดาในไพรสณฑ์ทั้งส้ินกลับได้เมตตาจิต ทาการต้อนรับภิกษุเหล่านั้น ถามโดย
เออ้ื เฟ้อื ถงึ การรบั บาตรจีวร ถามโดยเอือ้ เฟื้อถงึ การนวดฟนั้ กาย ทาการอารกั ขาใหอ้ ย่างเรียบร้อยในท่ี
นั้นแก่พวกเธอ เทวดาได้เป็นผู้น่ังสงบ ดังพนมจักร ข้ึนชื่อว่าเสียงแห่งอมนุษย์มิได้มีแล้วในที่ไหน ๆ.
จติ ของภิกษุเหล่าน้ัน มีอารมณ์เป็นหนึ่ง พวกเธอน่ังในทพ่ี ักกลางคืนและทีพ่ ักกลางวัน ยังจิตใหห้ ยั่ง
ลงในวิปัสสนาเริ่มตั้งความส้ินความเส่ือมในตนคิดว่า “ข้ึนชื่อว่าอัตภาพนี้เช่นกับภาชนะคืน เพราะ
อรรถวา่ ต้องแตก ไม่มน่ั คง” ดงั นเ้ี จริญวปิ สั สนาแลว้

ภกิ ษุ ๕๐๐ รปู เปน็ พระอรหันตพ์ รอ้ มปฏสิ ัมภทิ า

พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ประทบั นั่งในพระคันธกุฎีนนั่ เอง ทรงทราบว่าภิกษุเหลา่ น้ัน เริ่ม
วปิ ัสสนาแล้ว จึงทรงเรียกภกิ ษเุ หล่าน้ัน ตรัสวา่ “อยา่ งนั้นนั่นแล ภิกษุทัง้ หลาย ขน้ึ ชื่อว่าอัตภาพน้ี
ย่อมเป็นเช่นกับด้วยภาชนะดินโดยแท้ เพราะอรรถว่าต้องแตก ไม่ม่ันคง” ดังน้ีแล้ว ทรงฉายพระ
โอภาสไป แม้ประทับอยู่ในที่ ๑๐๐ โยชน์ ก็เป็นประหน่ึงประทับนั่งในที่เฉพาะหน้าของภิกษุ
เหล่านัน้ ทรงฉายพระฉัพพรรณรงั สมี ีพระรปู ปรากฏอยู่ ตรัสพระคาถานี้ว่า

กุมภฺ ูปม กายมิท วทิ ติ วฺ า
นครปู ม จิตตฺ มทิ ถเกตฺวา
โยเธถ มาร ปญญฺ าฺ วเุ ธน
ชิตญฺ ฺจ รกฺเข อนเิ วสโิ น สิยา
รู้จกั กายน้ี อันเปรยี บด้วยหมอ้
กัน้ จิตอนั เปรียบด้วยนคร
พึงรบมารด้วยอาวุธคือปญั ญา
พงึ รกั ษาความชนะท่ชี นะแล้วและพงึ เปน็ ผไู้ มต่ ิดอยู่

ในเวลาจบเทศนา ภกิ ษุ ๕๐๐ รูปน่ังในทีน่ ง่ั เทียว บรรลพุ ระอรหตั พรอ้ มดว้ ยปฏิสัมภทิ า
ท้ังหลาย สรรเสริญชมเชยทั้งถวายบังคมพระสรีระอันมีวรรณะเพียงดังทองของพระตถาคต มาแล้ว
ดังน้แี ล๑๒

๔.๒.๑ คณุ ค่าของธรรมบท

พระบาลแี ต่ละบทมคี ุณคา่ ดงั น้ี

๑๒ ข.ุ ธ.อ. ๔๐/๔๓๔.

๙๕

พระบาลวี า่ นครปู ม ความวา่ รู้จกั กายน้ี คือ ที่นับว่าประชุมแห่งอาการมีผมเป็นอาทิ
ซึ่งชื่อว่าเปรียบด้วยหม้อ คือ เช่นกับภาชนะดิน เพราะอรรถว่าไม่มีกาลังและทรามกาลัง เพราะ
อรรถวา่ เป็นไปชว่ั กาลดว้ ยความเปน็ กายไมย่ งั่ ยนื

พระบาลีว่า นครูปม จิตฺตมิท ถเกตฺวา เป็นต้น ความว่าธรรมดานคร มีคูลึก
แวดล้อมด้วยกาแพง ประกอบด้วยประตูและป้อมย่อมชื่อว่าม่ันคงภายนอก ถึงพร้อมด้วยถนน
๔ แพร่ง มีร้านตลาดในระหว่าง ชื่อว่าจัดแจงดีภายใน พวกโจรภายนอกมาสู่นครนั้น ด้วยคิดว่า
“เราจักปล้น” ก็ไม่อาจเข้าไปได้ ย่อมเป็นดังว่ากระทบภูเขา กระท้อนกลับไป ฉันใด กุลบุตรผู้
บัณฑิตก็ฉันนั้นเหมือนกัน กั้นวิปัสสนาจิตของตน ทาให้ม่ันคงคือให้เป็นเช่นกับนคร ห้ามกิเลสท่ี
มรรคน้ัน ๆ พึงฆ่าด้วยอาวุธคือปัญญาอันสาเร็จแล้วด้วยวิปัสสนา และสาเร็จแล้วด้วยอริยมรรค
ช่ือว่า พึงรบคือพึงประหารกิเลสมารน้ัน ดุจนักรบยนื อยู่ในนคร รบหมู่โจรด้วยอาวธุ มีประการต่าง
ๆ มีอาวธุ มีคมขา้ งเดยี วเป็นตน้ ฉะน้ัน

พระบาลวี า่ ชติ ญฺจ รกฺเข ความวา่ กลุ บตุ ร เมอ่ื อยู่อาวาส (ท่อี ยู่) เปน็ ทส่ี บาย ฤดูเป็น
ทีส่ บาย บุคคลเป็นท่ีสบาย และการฟังธรรมเป็นเหตสุ บายเป็นต้น เข้าสมาบัตใิ นระหว่าง ๆ ออก
จากสมาบัตินั้นพิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยจิตหมดจด ช่ือว่าพึงรักษาธรรมท่ีชนะแล้ว คือ
วิปสั สนาอยา่ งออ่ นทตี่ นให้เกิดข้นึ แลว้

พระบาลีวา่ อนิเวสโน สิยา ได้แก่ เป็นผู้ไม่มีอาลยั เหมือนอย่างนักรบ ทาซุ้มเป็นท่ี
พักพลในภูมิประเทศเป็นที่ประชิดแห่งสงคราม รบอยู่กับพวกอมิตร เป็นผู้หิวหรือกระหายแล้ว
เม่ือเกราะหย่อนหรือเม่ืออาวุธพลัดตก ก็เข้าไปยังซุ้มเป็นท่ีพักพล พักผ่อน กิน ด่ืม ผูกสอด
เกราะจับอาวุธแล้วออกรบอีก ย่ายีเสนาของฝ่ายอ่ืน ชนะปรปักษ์ท่ียังมิได้ชนะ รักษาชัยชนะที่
ชนะแล้ว ก็ถ้าว่านักรบนั้น เมื่อพักผ่อนอย่างน้ันในซุ้มเป็นท่ีพักพลยินดีซุ้มเป็นท่ีพักพลน้ัน พึงพักอยู่
ก็พึงทาราชสมบัติให้เป็นไปในเงื้อมมือของปรปักษ์ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน หม่ันเข้าสมาบัติ
ออกจากสมาบัตินั้น พิจารณาสังขารทั้งหลาย ด้วยจิตอันหมดจด ย่อมสามารถรักษาวิปัสสนา
อย่างอ่อน ที่ได้เฉพาะแล้ว ย่อมชนะกิเลสมาร ด้วยความได้เฉพาะซ่ึงมรรคอันย่ิง ก็ถ้าว่า ภิกษุ
น้ัน ย่อมพอใจสมาบัติ อย่างเดียว ไม่หม่ัน พิจารณาสังขารท้ังหลายด้วยจิตอันหมดจด ย่อมไม่
สามารถทาการแทงตลอดมรรคและผลได้ เพราะเหตนุ ั้น ภิกษเุ มื่อรกั ษาธรรมที่ควรรกั ษา พึงเปน็ ผู้
ไม่ติดอยู่ คือพึงทาสมาบตั ิใหเ้ ป็นที่เข้าพักแล้วไมต่ ิดอยู่ คือ ไม่พงึ ทาอาลยั ในสมาบตั นิ ั้น

สรุปได้ว่า ร่างกาย คือ รูปขันธ์ และนามขันน้ีมีสภาพเป็นขันธมารพึงชนะได้ด้วย อาวุธ
คือ วปิ สั สนาปญั ญา

สงั เคราะหใ์ นอรยิ สจั ๔ ดังน้ี
กุมฺภูปม กายมิท วิทิตฺวา รจู้ ักกายน้ี อนั เปรยี บด้วยหมอ้ กายเปน็ รปู ขนั ธ์ จดั เป็นทกุ ข
สจั จะ

๙๖

กาย แปลว่า ที่เกิดของส่ิงสกปรก มีคาไวพจน์คือ สรีร,วปุ, คตฺต, อตฺตภาว, โพนฺทิ,
วคิ คฺ ห, เทห, ตนุ, กเฬวร๑๓

นครูปม จิตตฺ มิท ถเกตฺวา กั้นจิตอันเปรยี บดว้ ยนคร กั้นจติ หมายถึง สติปัฏฐานหรอื
สัมมาสติ เปน็ มรรคสจั จะ

โยเธถ มาร ปญญฺ าวุเธน พึงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญา ปญั ญา หมายถงึ สมั มาทิฏฐิ
จัดเป็นมรรค ที่เกิดในอริยมรรค ๔ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค
อรหัตตมรรค

ชิตญจฺ รกฺเข อนเิ วสิโน สยิ า พงึ รักษาความชนะทช่ี นะแลว้ และพึงเปน็ ผู้ไม่ติดอยู่
หมายถึง ผลจิต ๔ ทม่ี พี ระนิพพานเปน็ อารมณ์ จดั เป็น นโิ รธสัจจะ

พระคาถานี้จึงเป็นหลักแหง่ การเจรญิ วิปสั สนากัมมฏั ฐานอย่างเหมาะสมทส่ี ุด และพอจบ
พระคาถานภี้ กิ ษุ ๕๐๐ รูปจึงสาเรจ็ เปน็ พระอรหนั ต์และปฏสิ ัมภิทามรรค พร้อมกัน

๔.๒.๒ สงั คมและวัฒนธรรม

สังคมวัฒนธรรมของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล มีจานวนมาก ที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่
เท่าท่ีสังเกตในเร่ืองนี้ มักจะเป็นภิกษุที่ยังบวชใหม่ ยังต้องอาศัยอุปัชฌาย์ ครู อาจารย์ จึงเรียกว่า
อันเตวาสิก ในเร่ืองน้ียังมีเทวดา ยังคอยหลอกภิกษุท้ังหลาย สมัยปัจจุบันเรียกว่า ผี สมัยพุทธกาล
เรียกว่า อมนษุ ย์ ในเร่ืองน้ีมอี ทิ ธพิ ลต่อความเชื่อทีม่ ีอิทธิพลต่อสงั คมไทย

๑) ผี ซ่งึ ในเมตตาสตู รนจ้ี ึงมีอทิ ธิพลต่อความเชื่อเรื่องผแี ละรุกขเทวดา
๒) พระธุดงค์และรุกขมูลนิยมสวดเมตตสูตร เป็นท่ีนิยมสาหรับพระท่ีเดินธุดงค์ในป่า
และเขา้ รกุ ขมลู ซ่งึ เป็น ๑ ในธุดงค์ ๑๓

นิยมสวดเข้ารุกขมูล พระสงฆ์ไทยทางเหนือ เข้ารุกขมูลในช่วงออกพรรษา และ สังคม
สงฆ์ไทยและชาวไทยนิยมสวดบทเมตตาสูตร คาถาว่า กรณียมตฺถกุสเลน ยนฺต สนฺต ปท อภิสเมจฺจ
ฯลฯ นับเขา้ ใน ๗ ตานาน ๑๒ ตานานในงานมงคลต่าง ๆ สืบทอดมาจนถงึ ปัจจบุ ัน

๔.๒.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

หากมีภิกษุหมู่ใหญ่จานวนมากอยู่ท่ีไหน จาพรรษาอยู่ที่ไหน เศรษฐกิจชุมชนย่อมเฟื่องฟู
หรือ สะพัดในท่ีนั้นๆด้วย มีการจับจ่ายซื้อ ขาย ของผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้มาบุญ แต่ใน
เร่อื งน้ีคือการที่ภิกษุผู้กลัวภัยในวัฏสงสาร ในการเกดิ แก่เจบ็ ตาย ใช้ชีวิตคือรปู นามการลงทุนเพ่ือไดม้ า
ซึ่งผล ไดแ้ ก่ อริยทรัพย์ คอื มรรค ผล นพิ พา

๑๓ สมเดจ็ พระพุทธชนิ วงศ์ (อปุ สมมหาเถระ), “การศกึ ษาวิเคราะห์พระคาถาธรรมบท”,
(กรุงเทพมหานคร: ประยรู สาสน์ ไทย การพิมพ์), หน้า ๓๐๑.

๙๗

๔.๒.๔ สรปุ

เรื่อง ภิกษุ ๕๐๐ รูป ได้ศึกษาสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ผู้สนใจในสิกขา
(การศึกษา) ๓ คอื ศีล สมาธิ ปัญญา เข้าป่าเพือ่ พ้นจากทุกข์คือการเกิดแก่เจ็บตาย เม่ือเจริญวิปัสสนา
ยอ่ มบรรลมุ รรค ผล นิพาน อันเป็นอุดมธรรมของพระพทุ ธศาสนา ว่า กายน้ีเปรียบด้วยหมอ้ ก้นั จติ อัน
เปรียบด้วยนคร พึงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญาพึงรักษาความชนะที่ชนะแล้วและพึงเป็นผู้ไม่ติดอยู่
การท่ีภิกษุผู้กลัวภัยในวัฏฏสงสาร ในการเกิดแก่เจ็บตาย ใช้ชีวิตคือรูปนามการลงทุนเพื่อได้มาซ่ึงผล
ได้แก่ อริยทรัพย์ คอื มรรค ผล นิพพาน

๔.๓. เรือ่ งพระสารีบุตร

เร่ืองพระสารีบุตร อยู่ในอรหัตตวรรค ว่าด้วยเรื่องของพระอรหันต์สาวกสมัยพุทธกาล
๗ เร่ือง ในที่น้ีของยกพระสารีบุตรเป็นกรณีการศึกษา ๒ ประเด็น ได้แก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท
(๒) สงั คมวฒั นธรรม ดงั นี้

สถานท่ี พระเชตวนั วิหาร
บุคคล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระสารีบุตร, พระโมคคัลลานะ, ภิกษุผู้กล่าวตู่
พระสารีบุตร
ผล ภกิ ษุ ๖,๐๐๐ รูป บรรลุอรหันต์

พระพุทธองค์ตรสั พระบาลวี า่
ป วสี โม โน วิรชุ ฌฺ ติ
อนิ ฺทขลี ปู โม ตาทิ สุพฺพโต
รหโทว อเปตกทฺทโม
สสารา น ภวนฺติ ตาทิโน๑๔
ภกิ ษุผู้คงท่ี มีวัตรงาม
ไมย่ ินดยี นิ ร้าย เสมอดว้ ยแผ่นดิน
เปรยี บดว้ ยเสาหลักเมือง
เหมือนหว้ งน้าไร้เปอื กตม
สงั สารวัฏย่อมไมม่ ีแก่ผเู้ ชน่ นน้ั ๑๕

ในสมยั หน่ึง ท่านพระสารบี ตุ ร ออกพรรษาแล้วใครจ่ ะหลีกไปสทู่ จ่ี าริก จึงทูลลาพระผมู้ ี
พระภาคเจ้า ถวายบงั คมแล้วออกไปกบั ด้วยบรวิ ารของตน ภิกษุทงั้ หลายมากแม้อน่ื ตามสง่ พระเถระ

๑๔ ขุ.ธ.(บาลี) ๒๕/๙๕/๓๔.
๑๕ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๙๕/๕๙.

๙๘

แล้ว พระเถระปราศรัยกะภิกษุทั้งหลายผปู้ รากฏอยู่ด้วยสามารถชอื่ และโคตร ตามช่ือและโคตรแล้ว
จึงบอกให้กลับ ภิกษุผู้ไม่ปรากฏด้วยสามารถช่ือและโคตรรูปใดรูปหนึ่ง คิดว่า “โอหนอ พระเถระ
น่าจะยกย่องปราศรัยกะเราบ้าง ด้วยสามารถชื่อและโคตร แล้วพึงให้กลับ” พระเถระไม่ทันกาหนด
ถึงท่านในระหว่างแห่งภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก แม้ภิกษุน้ันผูกอาฆาตในพระเถระว่า พระเถระไม่ยกย่อง
เรา เหมือนภิกษุทั้งหลายอ่ืน” มุมสังฆาฏิแม้ของพระเถระถูกสรีระของภิกษุนั้นแล้ว แม้ด้วยเหตุน้ัน
ภิกษุน้ันก็ผูกอาฆาตแล้วเหมือนกัน ภิกษุนั้นรู้ว่า “บัดน้ีพระเถระจักล่วงอุปจารวิหาร” จึงเข้าไปเฝ้า
พระศาสดากราบทูลวา่ “พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตรประหารข้าพระองค์เหมือนทาลายหมวกหู
ไม่ใหข้ า้ พระองค์ใหอ้ ดโทษแล้ว หลีกไปสูท่ จ่ี ารกิ ” ดว้ ยสาคญั ตนวา่ เปน็ อัครสาวกของพระพุทธองค์

พระศาสดารับส่ังให้เรียกพระเถระมาแล้ว พระเถระเปรียบตนด้วยอุปมา ๙ อย่าง
ในขณะน้ัน พระมหาโมคคัลลานเถระและพระอานนทเถระคิดแล้วว่า “พระศาสดาไม่ทรงทราบความ
ทแ่ี ห่งภิกษุนี้ อันพช่ี ายของพวกเราไมป่ ระหารแล้วกห็ าไม่ แต่พระองค์จักทรงประสงคใ์ ห้ท่านบันลอื สี
หนาท เราจักให้บริษัทประชุมกัน” พระเถระท้ังสองนั้นมีลูกดาลอยู่ในมือเปิดประตูบริเวณแล้วกล่าว
ว่า “ทา่ นผู้มอี ายุทัง้ หลายจงออกมา ทา่ นผ้มู ีอายุทั้งหลายจงออกมา บดั น้ีทา่ นพระสารีบุตรจกั บันลอื สี
หนาท ณ เบ้ืองพระพกั ตรแ์ ห่งพระผูม้ ีพระภาคเจา้ ” ใหภ้ กิ ษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประชุมกันแล้ว

ฝ่ายพระเถระมาถวายบังคมพระศาสดาน่ังแล้ว ลาดับน้ัน พระศาสดาตรัสถามเน้ือความ
นน้ั กะพระเถระน้นั แลว้ พระเถระไม่กราบทูลทนั ทีวา่ “ภิกษุนี้อันข้าพระองคไ์ ม่ประหารแล้ว” เมื่อจะ
กล่าวคุณกถาของตนจึงกราบทูลว่า “พระเจ้าข้า สติเป็นไปในกาย อันภกิ ษุใดไม่พึงเข้าไปต้ังไว้แล้วใน
กาย ภิกษุนนั้ กระทบกระทั้งสพรหมจารรี ปู ใดรูปหน่ึงในศาสนาน้ี ไมข่ อโทษแล้วพึงหลกี ไป” ดังนแี้ ล้ว
ประกาศความทแ่ี หง่ ตนมจี ติ เสมอด้วยแผน่ ดนิ เสมอด้วยนา้ ไฟ ลม ผ้าเช็ดธุลี เด็กจัณฑาล โค
อุสภะมีเขาขาด ความอดึ อัดด้วยกายของคนเหมือนซากงูเป็นตน้ และการบริหารกายของตน ดุจ
ภาชนะมันข้นโดยนัยเป็นต้นว่า “พระเจ้าข้า บุคคลย่อมทั้งของอันสะอาดบ้าง ย่อมทิ้งของอันไม่
สะอาดบ้าง ลงในแผ่นดินแม้ฉันใด” ก็แลเม่ือพระเถระกล่าวคุณของตนด้วยอุปมา ๙ อย่างนี้อยู่
แผ่นดินใหญ่ไหวจนท่ีสุดน้า ในวาระทั้ง ๙ แล้ว ก็ในเวลาน้าอุปมาด้วยผ้าเช็ดธุลี เด็กจัณฑาลและ
ภาชนะมันข้นมา ภิกษุผู้ปุถุชนไม่อาจเพ่ืออดกลั้นน้าตาไว้ได้ ธรรมสังเวชเกิดแก่ภิกษุผู้ ขีณาสพ
ท้ังหลายแล้ว เมื่อพระเถระกล่าวคุณของตนอยู่น่ันแล ความเร่าร้อนเกิดข้ึนในสรีระท้ังสิ้นของ
ภิกษุผู้กล่าวตู่แล้ว ทันใดนั้นแล ภิกษุนั้นหมอบลงใกล้พระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประกาศโทษในเพราะความกล่าวตู่ ด้วยคาอันไม่จรงิ แสดงโทษล่วงเกินแลว้

จติ ของพระสารีบุตรเหมือนแผน่ ดิน

พระศาสดาตรัสเรียกพระเถระมาแล้ว ตรัสว่า “สารีบตุ ร เธอจงอดโทษตอ่ โมฆบรุ ุษนี้เสีย
ตลอดเวลาท่ีศีรษะของเขา จักไม่แตกโดย ๗ เสี่ยง” พระเถระนั่งกระโหย่งประคองอัญชลีกราบทูลว่า
“พระเจ้าขา้ ข้าพระองก์ยอมอดโทษต่อผู้มอี ายุนัน้ และขอผูม้ ีอายุน้ันจงอดโทษต่อข้าพระองค์ ถ้าว่า
โทษของข้าพระองค์มีอยู่” ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า “ผู้มีอายุท้ังหลาย ท่านท้ังหลายจงดูความท่ีพระ
เถระมีคุณไม่ต่าทรามพระเถระไม่กระทาความโกรธหรือความประทุษร้าย แม้มีประมาณน้อยในเบื้อง

๙๙

บนของภกิ ษผุ ้กู ล่าวตดู่ ้วยมสุ าวาทชือ่ เห็นปานน้ี ตวั เองเทียวนง่ั กระโหย่งประคองอญั ชลใี ห้ภกิ ษนุ ัน้ อด
โทษ”

พระศาสดาทรงสดับกถานั้นแล้วตรสั ถามว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย พวกเธอพูดอะไรกัน”
ภิกษทุ ัง้ หลายกราบทูลว่า “เรือ่ งภกิ ษุผกู้ ลา่ วตู่น้ีพระเจ้าข้า”

ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ใคร ๆ ไม่อาจให้ความโกรธหรอื ความประทุษร้ายเกดิ ข้ึนแก่ภกิ ษุ
ผู้เช่นกับสารีบุตรได้ ภิกษุทั้งหลาย จิตของสารีบุตรเช่นกับด้วยแผ่นดินใหญ่ เช่นกับเสาเขื่อนและ
เชน่ กับห้วงนา้ ใส” จึงตรสั พระคาถาน้ีวา่

ป วสี โม โน วริ ชุ ฌฺ ติ
อนิ ฺทขลี ูปโม ตาทิ สพุ พฺ โต
รหโทว อเปตกทฺทโม
สสารา น ภวนฺติ ตาทิโน๑๖
ภิกษผุ คู้ งที่ มีวัตรงาม
ไมย่ ินดียนิ รา้ ย เสมอดว้ ยแผน่ ดิน
เปรียบดว้ ยเสาเขอ่ื น (มีใจคงท)ี่
เหมอื นห้วงน้าไรเ้ ปอื กตม
สังสารวัฏยอ่ มไมม่ ีแกผ่ เู้ ช่นนั้น

ในเวลาจบเทศนา ภิกษุ ๙ พนั รูปบรรลพุ ระอรหตั พร้อมด้วยปฏสิ มั ภิทา
ทัง้ หลาย

๔.๓.๑ คุณคา่ ของธรรมบท

ภิกษุทั้งหลาย ชนทั้งหลายย่อมท้ิงของสะอาดมีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้นบ้าง
ยอ่ มทิ้งของไมส่ ะอามีมูตรและกรสี เป็นตน้ บา้ ง ลงในแผ่นดิน

เด็กเป็นต้น ย่อมถ่ายปัสสาวะบ้าง ย่อมถ่ายอุจจาระบ้างรดเสาเขื่อน อันเขาฝ่ังไว้ใกล้
ประตูเมือง แตช่ นท้ังหลายพวกอื่นยอ่ มสักการะเสาเข่ือนนนั้ ดว้ ยวัตถุมีของหอมและระเบียบดอกไม้
เป็นต้น ในเพราะการทาน้ัน ความยินดีหรือความยินร้าย ย่อมไม่เกิดแก่แผ่นดินหรือเสาเข่ือนน่ันแล
ฉนั ใด

ภิกษุผู้ขีณาสพน้ีใดชื่อว่าผู้คงท่ี เพราะความเป็นผู้ไม่หว่ันไหว ด้วยโลกธรรมท้ังหลาย ๘
ชื่อว่าผู้มีวัตรดี เพราะความท่ีแห่งวัตรทั้งหลายงาม ภิกษุน้ันก็ฉันนั้นเหมือนกัน เม่ือชนทั้งหลายทา
สักการะและไม่สักการะอยู่ ย่อมไม่ยินดีย่อมไม่ยินร้ายทีเดียวว่า “ชนเหล่าน้ันย่อมสักการะเราด้วย
ปัจจัย ๔ แตช่ นเหล่าน้ีย่อมไม่สักการะ”

๑๖ ขุ.ธ.อ.(บาล)ี จตตุ โฺ ถ ภาโค/ ๖๗

๑๐๐

ภิกษุผู้ขีณาสพน้ันย่อมเป็นผู้เสมอด้วยแผ่นดินและเป็นผู้เปรียบ ด้วยเสาเข่ือนน่ันเอง ก็
ห้วงน้าที่มีเปือกตมไปปราศแล้ว เป็นห้วงน้าใสฉันใด ภิกษุผู้ขีณาสพน้ัน ช่ือว่ามีเปือกตมไปปราศ
แลว้ ดว้ ยเปือกตมทง้ั หลายมีเปือกตมคือราคะเปน็ ต้น เพราะความเป็นผมู้ กี เิ ลสไปปราศแลว้
ย่อมเป็นผผู้ ่องใสเทียว ฉนั นั้น

อินฺทขีล แปลอีกนัยว่า เสาของพระอินทร์ มีวิเคราะห์ว่า อินฺทสฺส สกฺกสฺส ขีโล กณฺฏโก
อินทขโี ล แปลวา่ อนิ ทขีล คอื เสาของพระอินทร์ ได้แก่ เสาเขือ่ น เสาหลกั เมอื ง๑๗

พระบาลีว่า ตาทิโน หมายความว่า ก็ช่ือว่าสงสารทั้งหลาย ด้วยสามารถแห่งการ
ท่องเที่ยวไปในสุคติและทุคติทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุน้ัน คือผู้เห็นปานนั้น๑๘และ ความโศก
ทั้งหลาย เพราะเร่ืองมีการพลัดพรากจากอิฏฐารมณ์ ประสพกับอนิฏฐารมณ์ ในภายใน (ในจิต)ย่อม
ไมม่ ีแก่พระขีณาสวมนุ ผี คู้ งท๑่ี ๙

สังเคราะห์พระคาถาในอริยสัจ ๔ ดงั นี้
พระคาถาว่า ภกิ ษผุ ู้คงที่ มีวัตรงาม
ไมย่ ินดียินรา้ ย เสมอดว้ ยแผน่ ดนิ
เปรียบดว้ ยเสาเขอ่ื น (เสาหลักเมอื ง)

เหมอื นห้วงน้าไรเ้ ปอื กตม เพอ่ื ประสงคจ์ ะเปรียบเทยี บ จัดเปน็ สมมติสจั จะ
พระคาถาทั้งหมดตรสั ถึงจติ ท่ีปราศจากกเิ ลส ด้วยพระบาลีวา่ สสารา น ภวนฺติ จดั เป็น
นิโรธสจั จะ

๔.๓.๒ สังคมและวฒั นธรรม
มปี ระเดน็ สังคมและวัฒนธรรมยอ่ ยดังน้ี
๑) สงั คมแหง่ พระอรหันตใ์ นอยูอ่ ย่างสันตภิ าพและทาด้วยสนั ตวิ ิธี
๒) การผดิ แล้วยอมรับผดิ เป็นวัฒนธรรมทีด่ ีงานของชาวพุทธ
๓) วัฒนธรรมเชิงความคิดของพระอรหันตท์ ุกรูปย่อมมีวฒั นธรรมเดยี วกนั หมด คือ มวี ตั ร
งาม ไมย่ ินดียินร้าย เสมอดว้ ยแผน่ ดิน เปรียบดว้ ยเสาหลักเมืองเหมือนห้วงน้าไรเ้ ปือกตม ปราศจาก
ความยนิ ดี ยินร้ายทุกประการ

๑๗ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “การศึกษาวิเคราะห์พระคาถาธรรมบท”,
(กรงุ เทพมหานคร: ประยรู สาสน์ ไทยการพมิ พ์, ๒๕๕๙) ,หน้า ๕๘๙.

๑๘ ข.ุ ธ.อ. ๔๑/๓๘๘.
๑๙ ว.ิ มหา.อ. ๔/๓๙๘.

๑๐๑

๔.๓.๓ สรปุ

ท่านพระสารีบุตร ออกพรรษาแล้วใคร่จะหลีกไปสู่ท่ีจาริก จึงทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถวายบังคมแล้วออกไปกับด้วยบริวารของตน ภิกษุทั้งหลายมากแม้อ่ืนตามส่งพระเถระแล้ว พระ
เถระปราศรัยกะภิกษุท้ังหลายผู้ปรากฏอยู่ด้วยสามารถช่ือและโคตร ภิกษุผู้ไม่ปรากฏด้วยสามารถช่ือ
และโคตรรูปใดรูปหนึ่ง คิดว่า “โอหนอ พระเถระน่าจะยกย่องปราศรัยกะเราบ้าง ด้วยสามารถชื่อ
และโคตร แล้วพึงให้กลับ” จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดากราบทูลวา่ “พระเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตร
ประหารข้าพระองค์เหมือนทาลายหมวกหู ไม่ยังข้าพระองค์ให้อดโทษแล้ว หลีกไปสู่ที่จาริก” ด้วย
สาคัญตนว่าเป็นอัครสาวกของพระพุทธองค์ ฝ่ายพระเถระมาถวายบังคมพระศาสดานั่งแล้ว ประกาศ
ความที่แห่งตนมีจิตเสมอด้วยแผน่ ดิน เสมอด้วยน้า ไฟ ลม ผ้าเช็ดธุลี เด็กจัณฑาล โคอุสภะมี
เขาขาด ความอึดอัดด้วยกายของคนเหมือนซากงูเป็นต้น ภิกษุผู้ปุถุชนไม่อาจเพ่ืออดกลั้นน้าตา
ไว้ได้ ธรรมสังเวชเกิดแก่ภิกษุผู้ ขีณาสพทั้งหลายแล้ว เม่ือพระเถระกล่าวคุณของตนอยู่นั่นแล
ความเร่าร้อนเกิดขน้ึ ในสรีระทงั้ สิ้นของภิกษุผู้กล่าวตู่แล้ว ทันใดนัน้ แล ภิกษนุ น้ั หมอบลงใกล้พระ
บาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้า ประกาศโทษในเพราะความกล่าวตู่ ด้วยคาอันไม่จริงแสดง
โทษลว่ งเกินแล้ว พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า ภิกษุผู้คงท่ี มีวตั รงามมีจิตท่สี ูงไม่ยินดียินร้าย เสมอด้วย
แผ่นดิน เปรียบด้วยเสาเขื่อน มีใจผ่องใส เหมือนห้วงน้าไร้เปือกตม การเกิดแก่ เจ็บ ตายในสังสารวัฏ
ย่อมไม่มีแก่ผู้เช่นนั้น ในเวลาจบเทศนา ภิกษุ ๙ พันรูปบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ทง้ั หลาย

๑๐๒

๔.๔. เร่ือง ปฏาจาราเถรี

เรื่องปฏาจาราเถรี อยู่ในหมวดธรรมของสหัสสวรรค ว่าด้วยเร่ือง คาพูด คาถา อายุ
จานวน ๑,๐๐๐ สหัสสวรรค มีจานวน ๑๔ เร่ือง ในที่นี้ยกเรอื่ งพระเถรปี ฏาจารา เป็นกรณีการศึกษา
๒ ประเดน็ ไดแ้ ก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท (๒) สงั คมวัฒนธรรม ดงั น้ี

สถานท่ี พระเชตวนั
บคุ คล พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ , ปฏาจาราเถรี
ผล นางปฏาจาราบรรลอุ รหนั ต์

พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรัสพระคาถาในเรื่องนี้ว่า
โย จ วสสฺ สต ชีเว อปสสฺ อุทยพฺพย๒๐
เอกาห ชวี ิต เสยฺโย ปสฺสโต อทุ ยพฺพย๒๑

ผู้ท่ีมีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี ถ้าไม่เห็นการเกิดและการดับไป (ของรูปนาม/กายใจ) ก็ไม่มี
ประโยชนอ์ ะไรเลยส่วนผู้ทีม่ ชี ีวิตอยูว่ ันเดียวแต่เหน็ ความเกิดและดบั ย่อมประเสริฐกว่ามีชีวิต ๑๐๐ ปี

[ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=14267, [๑๕ เม.ย.
๒๕๖๓].

กล่าวขานกันมาว่า พระเถรีรูปน้ี คร้ังสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ได้
ปฏิสนธิในครอบครัวแห่งหนึ่ง กรุงหังสวดี ต่อมา ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา

๒๐ อทุ ะยะ แปลว่า การเกิด + วะยะ เปลยี่ น วะ เป็น พะ เป็น วะยะ แปลวา่ สนิ้ ไป ดบั ไป
๒๑ ขุ.ธ.อ.บาลี จตุตโฺ ถ ภาโค/๑๔๒.

๑๐๓

เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณรี ูปหนึ่งไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกวา่ พวกภิกษุณีสาวิกาผู้
ทรงวินยั สรา้ งมหากุศลมากขึ้นตามลาดับแล้วปรารถนาตาแหนง่ เชีย่ วชาญด้านพระวินยั ต่อหน้าพระ
พักตร์พระพุทธองค์ พระองค์ทรงทานายว่า จักเสร็จในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม
หลงั จากน้ัน ท่านทากุศลจนตลอดชวี ติ เวียนวา่ ยอยูใ่ นเทวดาและมนษุ ย์

ครั้งสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้ปฏิสนธิในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้ากิงกิ
เป็นพระธิดาพระองค์หนึ่งระหว่างพระพ่ีน้องนาง ๗ พระองค์(ดังได้กล่าวไว้แล้ว) ประพฤติ
พรหมจรรย์อยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี สร้างบริเวณถวายภิกษุสงฆ์ บังเกิดในเทวโลกอีก เสวยสมบัติอยู่
พุทธนั ดรหน่งึ

เกิดชาติสุดท้ายมารับวิบากกรรม

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราอุบัติข้ึน ท่านได้ปฏิสนธิในครอบครัวเศรษฐี กรุง
สาวัตถี ต่อมา พอโตเป็นสาวรุ่น ได้ทาการลักลอบมีสัมพันธ์กับลูกจ้างคนหนึ่งในบ้าน เมื่อเวลา
แตง่ งานมาถึงบดิ ามารดาบงั คับใหแ้ ตง่ งานทีม่ ชี นชัน้ เดียวกัน (คลุ่มถงุ ชน) จึงได้ทาการนัดหมายกบั คน
ใชท้ ลี่ ักลอบสมั พันธ์กันว่า “ตัง้ แต่วันพรงุ่ นไ้ี ป เจ้าจักไมไ่ ดเ้ ห็นเรา แมจ้ ะประหารสกั ๑๐๐ คร้งั ถ้า
เจา้ ยังรักเรา ก็จงพาเราไปเสยี จากทีน่ แ่ี ละเดีย๋ วน้ี”

ชายผู้น้ันรับคาว่า “ตกลง” แล้วก็ถือเอาสิ่งของมีค่าติดมือไปพอสมควร พานางออกไป
จากพระนครประมาณ ๕๐ กิโลเมตร อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหน่ึง ต่อมาไม่นานนางก็ได้ต้ังครรภ์
เม่ือครรภ์แก่ นางจึงบอกกับสามีว่า “ที่น้ีไม่เหมาะสมท่ีจะคลอดลูก ฉันจะกลับไปคลอดลูกที่บ้านนะ
นาย”

เขาก็พูดว่า “พรุ่งนี้ค่อยไป” แต่ก็ไม่ได้ไป จนล่วงเวลาไปหลายเดือน นางรวู้ ่าสามีผัดท่ี
จะไม่ไป คิดว่า “สามีเรานี้เป็นคนเขลาจึงไม่พาเราไป” เม่ือสามีออกไปทางานนอกบ้าน จึงหนีด้วย
หมายใจจะกลับไปยังหาออกจากบา้ นเดนิ ไปลาพงั คนเดียว พ่อและแม่ สามกี ลับมาบ้านไม่เห็นภรรยา
จึงถามคนท่ีรู้จักกัน เพือ่ นบา้ นก็บอกวา่ นางหนีกลับไปยงั บา้ นเกดิ สามคี ดิ วา่ “นางเป็นธิดาของคนมี
ตระกูล แต่เราเป็นคนไมม่ ีหัวนอนปลายเท้า” จงึ เดนิ พลางวิ่งพลาง ตามรอยเทา้ จนทัน นางกค็ ลอด
บุตรเสียในระหว่างทางน้ันเอง สองสามีภริยาปรึกษากันว่า “จะมีประโยชน์ที่เราจะเดินทางกลับไป
บ้านเกิด” จึงพากันกลับ ต่อมาไม่นาน นางก็ต้ังครรภ์อีก นางก็ทาอย่างเดิมคืออุ้มลูกหนีสามีกลับไป
บา้ นเกิด แตใ่ นระหวา่ งทางนางก็คลอดบตุ รเปน็ คร้ังท่ี ๒ สามกี ม็ าเจอทก่ี ลางทาง พอนางคลอดบุตร
เมฆฝนก็ตั้งเค้ามาทั้ง ๔ ทิศ นางจึงกล่าวกะสามีว่า “นาย ไม่ใช่เวลาแล้ว เมฆฝนต้ังเค้ามาท้ัง ๔
ทศิ จงไปหาท่อี ยหู่ ลบฝนกอ่ นเถิด”

๑๐๔

สามลี กู ชายบิดามารดาญาติสนทิ เสยี ชีวติ พรอ้ มกนั

สามีจึงเอาท่อนไม้มาทากระท่อม คิดว่าจะหาหญ้ามามุงบัง จึงตัดหญ้าที่เชิงจอมปลวก
ใหญแ่ ห่งหนึง่ ทนี ้นั งูเหา่ ทีน่ อนในจอมปลวกกก็ ัดเท้าเขา เขากล็ ม้ ลงตายทน่ี ัน้ น่ันเอง

ฝ่ายภรรยาคดิ วา่ “เด๋ียวเขาคงมา” รอจนตลอดทั้งคนื ก็เขา้ ใจวา่ “สามเี ราคงจักคิดว่า
‘เราน้ี เป็นหญิงอนาถา พึ่งไม่ได้แล้ว’ ทอดท้ิงไว้ท่ีทางหนีไป” ครั้นถึงเวลาเช้ามืดสลัว จึงมองดู
ตามรอยเท้า เหน็ สามนี อนตายเชงิ จอมปลวก ก็คร่าครวญว่า “เป็นเพราะเรา จงึ ทาให้เขาเสียชีวติ ”
แล้วเอาลูกคนเล็กแนบข้าง เอาน้ิวมือจูงลูกคนโต เดินไปตามทางระหว่างทางพบแม่น้าต้ืน ๆ สาย
หน่ึง คิดว่า “เราไม่สามารถจะพาลูกไปพร้อมกันคราวเดียวได้ทั้ง ๒ คน” จึงวางลูกคนโตไว้ฝั่งนี้
นาลูกคนเล็กไปฝั่งโน้น ให้ลูกคนเล็กนอนบนเบาะเก่า ๆ แล้วลงข้ามแม่น้า ด้วยหมายจะกลับไปอุ้ม
พาลูกคนโต เวลาที่นางถึงกลางแม่น้า เหยี่ยวตัวหนึ่งก็มาโฉบทารกน้อยบนเบาะไปด้วยความเข้าใจ
ว่า เป็นก้อนเน้ือ นางก็ยกมือไล่เหยี่ยว ลูกคนโตเห็นนางทามืออยา่ งนั้น ก็เข้าใจว่าแม่เรียก ก็เลย
เดนิ ลงแม่น้า ตกไปในกระแสน้า ก็ลอยไปตามกระแสนา้ ขณะเดียวกันเหยย่ี วกโ็ ฉบเอาลกู คนเลก็ นั้น
ไป เปน็ เรื่องทน่ี า่ เศรา้ มาก นางกเ็ สยี ใจเศรา้ โศกเปน็ อย่างมาก ในระหว่างทางก็เดินราพนั วา่ “บตุ ร
สองคนก็ตาย สามีเราก็ตาย เสียชีวิตที่หนทาง” นางราพันอย่างน้ี เดินไปมุ่งถึงกรุงสาวัตถีเพื่อจะ
กลับบ้าน แต่เน่ืองจากจาไม่ได้ จึงไปหาคนที่พอจะรู้จัก สอบถามว่า “ท่ีตรงนี้ มีสกุล ชื่ออย่างนี้
เรือนอยู่ไหนค่ะ” ผู้คนทั้งหลายกล่าวว่า “เจ้าสอบถามถึงสกุลน้ันทาไม บ้านเรือนที่อยู่ของคน
เหล่านัน้ ลม้ เป็นกองแล้วเพราะลมกระหน่าเม่ือคืนน้ี คนเหลา่ นนั้ ในเรอื นหลังนั้นเสยี ชีวิตทั้งหมด ทั้ง
เด็กท้ังผู้ใหญถ่ ูกเขาเผาคนเหลา่ นั้นบนเชิงตะกอนท่ีเดียวกัน เธอดูเสียสิ กลมุ่ ควันไฟยังปรากฏอยู่นั่น
เลย”

เปน็ คนบา้ และบวชเปน็ ภิกษุณี

นางพอฟังคาบอกเล่าแล้วก็พูดว่า “พวกท่านพูดอะไรกัน !” ด้วยความตกใจและเสียใจ
อย่างมาก คนเราเสียทง้ั ลูก ๒ คนเวลาเดียวกัน สามี พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ตายพร้อมกัน ใครเล่าจักทน
อยู่เปน็ ปกตไิ ด้ นางจึงเสียสติไม่สามารถรกั ษาผา้ นุง่ ของตนไวไ้ ด้ เปลือยกายเดนิ ร่าไห้ไปทเ่ี ชิงตะกอนที่
ไฟกาลงั ไหมร้ ่างกายอนั ไร้วิญญาณ คร่าครวญเพลงราพนั พิลาปะว่า

อโุ ภ ปตุ ตฺ า กาลกตา ปนเฺ ถ มยฺห ปตี มโต
มาตา ปติ า จ ภาตา จ เอกจติ ตฺ กสมฺ ๒ึ ๒ ฑยหฺ เร

บุตรสองคนกต็ าย สามีเราก็ตายเสียที่หนทาง
มารดาบดิ าและพ่ีชายเขาก็เผาท่เี ชงิ ตะกอนเดียวกนั

มีคนยื่นผ้าให้นุ่ง นางก็ยังฉีกผ้าท่ีคนอื่นให้เสีย คร้ังน้ัน ประชาชนจานวนมากห้อมล้อม
นาง ตัง้ แต่นน้ั มา คนทง้ั หลายจึงขนานชื่อนน้ี างว่า ปฏาจารา ดว้ ยเหตุผล ๒ ประการ คอื

๒๒ ขุ.ธ.อ. (บาลี) จตุตฺโถ ภาโค หนา้ ๑๓๙ เปน็ เอกจิตกมหฺ .ิ

๑๐๕

๑. เพราะนางมพี ฤติกรรมผิดปกติ
๒. เพราะเหตุท่ีปรากฏว่านางมีความประพฤติท่ีไม่มีความละอายเพราะเป็นผู้เปลือย
กาย

ฉะนั้น คนท้ังหลาย จึงขนานชื่อนางว่า ปฏาจารา เพราะมีความประพฤติท่ีตกไปจากปกติ
แล้ว(เปน็ คนบ้า)

พบพระพุทธเจ้าบรรลุพระโสดาบัน

วันหนง่ึ เพราะศาสดากาลังทรงแสดงธรรมแก่มหาชน นางก็เข้าไปในพระวิหารยืนอยู่ท้าย
มหาชน พระศาสดาทรงแผ่พระเมตตาตรัสว่า “น้องหญิง จงกลับได้สติเถิด น้องหญงิ จงกลับได้สติ
เถดิ ”

พอได้ยินเสียงพระพุทธเจ้านางกลับได้หิริ (ละอายต่อตนเอง)โอตตัปปะ (กลัวผลของการ
กระทาที่ไมด่ ี) มีกาลังก็กลับคืนมา นางก็นั่งลงท่ีพื้นตรงน้ันนั่นเอง ชายคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก็โยนผ้านุ่ง
ไปให้ นางน่งุ ผ้านั้นแล้วก็ฟังธรรมเพราะเร่ืองของนางเป็นเหตพุ ระศาสดาจึงตรัสให้สติวา่ “น้องหญิง
จะเศร้าโศกไปทาไม เพราะน้าตาทรี่ ้องให้น(ี้ รวมถึงอดีตชาติท่นี ับไม่ได้) มากกวา่ น้าทะเลเสยี อกี ”

แล้วตรัสพระคาถาในพระธรรมบท ดังนี้วา่

น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย น ปิตา นปิ พนฺธวา
อนตฺ เกนาธปิ นนฺ สสฺ นตถฺ ิ ญาตสี ุ ตาณตา๒๓

ไมม่ บี ุตรจะชว่ ยได้ บิดากไ็ ม่ได้ พวกพ้องกไ็ ม่ได้

เม่ือบุคคลถกู ความตาย (สดุ ท้าย) ครอบงาแล้ว

หมูญ่ าตกิ ช็ ว่ ยไว้ไมไ่ ดเ้ ลย (ทุกขสจั จะ)

เอตมตถฺ วส ญตวฺ า ปณฺฑโิ ต สลี สวุโต

นพิ ฺพานคมน มคคฺ ขิปปฺ เมว วิโสธเย

บณั ฑิตร้คู วามจริงข้อน้แี ลว้ สารวมในศลี
พงึ รีบเร่งชาระทางไปพระนิพพานโดยพลัน

พอจบพระคาถา นางก็ดารงอยู่ในโสดาปัตติผล ท้ังที่ยืนอยู่ จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา
ถวายบงั คมแลว้ ทลู ขอบวช พระศาสดาทรงรบั การบวชของนางวา่ “ไปสานกั ภกิ ษุณีบวชเสีย”

บรรลอุ รหันตแ์ ละได้รับแตง่ ตั้งเปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญพระวินยั

นางครัน้ บวชแล้วไม่นานนกั ครงั้ หนึ่งพระเถรีได้ขนั ตักน้าล้างเท้า ๔ คร้งั น้าก็ไหลจากท่ี
สูงไปสู่ท่ีต่าเป็นละลอกพิจารณาน้าล้างเท้า นาน้านั้นเป็นอารมณ์วิปัสสนาอย่างต่อเน่ือง เกิดปัญญา
ญาณว่าชีวิตของสัตว์เหมือนกระแสน้าที่เทไป ๔ คร้ัง คร้ังท่ี ๑ เหมือนปฐมวัย คร้ังที่สอง

๒๓ ข.ุ ธ.อ. (บาลี) จตตุ ฺโถ ภาโค /๑๔๑.

๑๐๖

เหมือนทุติยวัย คร้ังที่ ๓ เหมือนมัชฌิมวัย ครั้งท่ี ๔ เหมือนปัจฉิมวัย แล้วก็ถึงความตายเป็น
ท่ีสดุ (เป็นทกุ ขสัจจะ)

พระพุทธองค์ทรงทราบว่าวาระแห่งจิตของพระเถรีเหมาะแก่อรหัตตมรรคญาณ จึง
ปรากฏยืนแผ่รัศมีจากพระวรกาย ตรัสโอวาทสอนว่า “สรรพสิ่งเป็นอย่างน้ัน คือมีความตายเป็น
ท่สี ุด เม่ือพิจารณาขันธ์ ๕ ว่าเกิดข้ึนและดับไปเพียงครู่เดียว ชีวิตเช่นนี้นับว่าประเสริฐย่ิงนัก”

และตรัสบทประพนั ธ์ (คาถา) วา่

โย จ วสฺสสต ชเี ว อปสสฺ อทุ ยพพฺ ย๒๔
เอกาห ชีวติ เสยโฺ ย ปสสฺ โต อทุ ยพพฺ ย๒๕

ผู้ท่ีมีชีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี ถ้าไม่เห็นการเกิดและการดับไป(ของรูปนาม/กายใจ)ก็ไม่มี
ประโยชน์อะไรเลยสว่ นผทู้ ่มี ีชวี ิตอยูว่ ันเดียวแตเ่ ห็นความเกิดและดบั ย่อมประเสรฐิ กวา่ มชี ีวติ ๑๐๐ ปี

พอจบพระธรรมเทศนาพระเถรีก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ เรียนพุทธวจนะ เปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญ

ในฤทธิ์ ทิพพโสตะ และเจโตปริยายญาณ และได้เรยี นพระวินยั กบั พระผมู้ ีพระภาคเจ้าจนเชี่ยวชาญ
ในวินัยปฎิ ก ภายหลงั พระศาสดาประทับน่งั ณ พระ เชตวนั วิหาร เม่อื ทรงสถาปนาเหล่าภิกษุณไี ว้

ตาแหน่งต่างๆ ตามลาดับ จึงทรงสถาปนาพระภิกษุณีปฏาจาราเถรีไว้ในตาแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศ
กว่าพวกภกิ ษุณสี าวกิ าผูเ้ ชยี่ วชาญพระวนิ ยั ๒๖

๔.๔.๑ คุณค่าของธรรมบท

การที่นางปฏาจารา บรรลุพระโสดาบัน ก็เพราะอาศัยท่ีบุตร สามี พ่อแม่ ญาติที่
เสียชีวิตเป็นอารมณ์ สาเหตุที่ทาให้นางเสียสติ เน่ืองจากนางยังมีความยึดม่ัน(ทิฏฐิ)ในส่ิงทั้งหลาย
(ผู้ตาย)ว่าเป็นตัวตนของเรา เม่ือยึดม่ันมาก พอสิ่งท่ียึดมั่นจากไป จึงทาให้นางโศกเศร้า(โทสะ)
ลกั ษณะน้เี รียกว่า อกศุ ลธรรม (มิจฉาทิฏฐ)ิ เป็นปจั จัยให้เกิดอกุศลธรรม (โทสะ)

พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นตามความเป็นจริง(ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ)ว่า “เม่ือความตาย
มาถึงไม่มีบุตร บิดา พวกพ้องคนไหนที่จะช่วยไว้ได้ เม่ือบุคคลถูกความตายครอบงาแล้ว หมู่
ญาตกิ ช็ ว่ ยไมไ่ ดเ้ ลย ธรรมเหลา่ นจ้ี ดั เป็นทุกขสจั จะ” เพราะความจริงชวี ิตตนแลเปน็ ทพี่ งึ่ ของตน

พระพุทธวจนะนชี้ ี้ให้เห็นถึงความดับหรือความตายหรือท่ีสุด (อนิจจัง) เป็นเรื่องธรรมดา
ความตายน้ีใครห้ามหรือช่วยไม่ได้ เม่ือรู้ความจริงเช่นน้ีแล้วควรรีบแสวงหาทางดับความเกิดและ
ความตาย คือ นิพพาน(นิโรธสัจจะ) การบรรลพุ ระโสดาบันของพระเถรี สงิ่ ท่ีสาคัญสดุ คือ พุทธ
วจนะทว่ี า่

๒๔ อุทะยะ แปลว่า การเกดิ + วะยะ เปลยี่ น วะ เป็น พะ เปน็ วะยะ แปลว่า สน้ิ ไป ดับไป
๒๕ ข.ุ ธ.อ.บาลี จตุตโฺ ถ ภาโค/๑๔๒.
๒๖ องฺ.เอก.อ.๓๓/๒๔-๒๘

๑๐๗

เอตมตถฺ วส ญตฺวา ปณฺฑิโต สลี สวุโต
นิพพฺ านคมน มคฺค ขปิ ปฺ เมว วโิ สธเย

บณั ฑิตรคู้ วามจรงิ ขอ้ น้แี ลว้ สารวมในศลี
พงึ รบี เร่งชาระทางไปพระนพิ พานทเี ดยี ว

ทส่ี าคัญสุดคือ พระดารัสว่า สารวมในศีล (สีลสวุโต) ได้แก่ สารวม(อัฏฐังคกิ มรรค)
ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้เป็นกุศลตามปกติ (อินทฺริยสวรสีล/มรรคสัจจะ) จึงจะข้าม
พ้นวัฏฏสงสารเข้าสู่กระแสพระนพิ พานได้

พระเถรีจึงกล้าประกาศว่า “เรามีศีลสมบูรณ์ ทาตามคาส่ังสอนของพระศาสดา ไม่
เกียจคร้าน(มีความเพยี ร) ไมฟ่ งุ้ ซ่าน(มีสมาธิ/มรรคสัจจะ) ไฉนจะไมบ่ รรลพุ ระนิพพานเลา่ (นโิ รธ
สัจจะ)”๒๗

ส่วนการบรรลุพระอรหันต์ของพระเถรีน้ันก็บรรลุหลักธรรมคล้ายกับพระโสดาบันที่ผ่าน
มา คือ ปัญญารู้ความเกิดดับ เป็นเรื่องธรรมดา แต่เห็นความเกิดดับที่เป็นกระแสที่ละเอียดขึ้น
กว่าเดิม ด้วยการเห็นกระแสน้าที่ไหลไปเป็นละลอก ๆ ครั้งท่ี ๑ เหมือนปฐมวัย ครั้งท่ีสอง
เหมือนทุติยวัย คร้ังท่ี ๓ เหมือนมัชฌิมวัย คร้ังท่ี ๔ เหมือนปัจฉิมวัย แล้วก็ถึงความตายเป็น
ทสี่ ุด พระพุทธองค์ก็ตรัสสอนวา่ “เอวเมต”๒๘ แปลว่า สรรพสง่ิ (ขนั ธ์ ๕)ก็มีสภาพเป็นเช่นเดียวกัน
หมด คือ เกดิ และดับ

จากเดิมท่ีเห็นความเกิดและความดับ/ตาย เป็นเร่ืองธรรมดา (จากอดีตไม่เคยคิดว่าเรา
และญาติจักไม่ตาย) ซึ่งเป็นความจริงท่ียังหยาบอยู่ แต่มาชัดเจนเมื่อเห็นกระแสน้าที่ไหลไป แล้ว
นามาพิจารณา จงึ เข้าใจวา่ สรรพส่ิงล้วนเป็นกระแสแห่งการเกิดและการดับอย่างสืบเนือ่ ง เรยี กอีก
อย่างว่า อนิจจตา (ความไม่คงที่ ภาวะท่ีไหลขับเคล่ือน) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงไปช้ีแนะให้
ชัดเจนเร่ืองการเกดิ ดับกระจ่างแจง้ อีก(เพ่ือใหเ้ กดิ ความม่นั ใจ)ดว้ ยพทุ ธวจนะ (แปล) ว่า “ผทู้ ี่มีชีวิตอยู่
๑๐๐ ปี ถ้าไม่เห็นการเกิดและการดับไป(ของรูปนาม/กายใจ/ขันธ์ ๕)ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ส่วนผู้ที่มีชีวิตอยู่วันเดียวแต่เห็นลักษณะการเกิดและดับ (อุทยัพพยญาณ) ย่อมประเสริฐกว่ามี
ชวี ิต ๑๐๐ ปี” ทาใหพ้ ระเถรีบรรลสุ กทาคามี อนาคามี อรหนั ตเ์ ป็นที่สุดตามลาดับ

กลับมามองสังคมไทยบางส่วน มองว่า ความตาย(ของผู้อื่น)เป็นธรรมดา แต่คาว่า
ธรรมดาในท่ีนี้ คือ มองว่าความตายของคนอ่ืนตายแล้วตายไป แล้วมาแสวงหาความบันเทิง
เพลิดเพลิน การพนัน ด่ืมสุรา อันน้ีไม่ใช้ธรรมดาตามแนวพระพุทธองค์ แต่เป็นสังคมที่นา่ จะไร้จาก
พระพุทธศาสนา

สังคมอาจบางส่วนจะมองว่าส่ิงสาคัญของชีวิตคือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่พระพุทธ
องค์กลับมองว่าเป็นทุกข์และตรัสว่าชีวิตอย่างน้ี ๑๐๐ ปี ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับ

๒๗ ข.ุ เถรี. (ไทย) ๒๖/๑๑๓/๕๗๔
๒๘ ขุ.ธ.อ. จตตุ โฺ ถ ภาโค, หนา้ ๑๔๒.

๑๐๘

ตนเองวิถีชีวิตในชาติน้ีและอนาคตชาติ คือ การได้รู้ความจริงว่าสรรพสิ่งมีการเกิด ต้ัง ดับ (รู้แบบ
ปญั ญาร้ไู มใ่ ชร่ ู้แบบสญั ญา จาจากการเรยี น การฟัง) สงิ่ นีต้ า่ งหากเป็นความประเสรฐิ ทส่ี ดุ ของชวี ติ

๔.๔.๒ สังคมและวัฒนธรรม
มปี ระเดน็ ย่อยทางสังคมและวัฒนธรรมดังนี้
๑) สงั คมอนิ เดียการมีลูกนิยมไปคลอดที่บ้านผหู้ ญิง
๒) การทาอาชพี เกษตร เป็นวัฒนธรรมทมี่ อี ยูต่ ้งั แตส่ มยั พทุ ธกาล
๓) พระเถรีปฏาจารา ได้รักษาวัฒนธรรมแห่งความเป็นพระอรหันต์ เป็นภัณฑาคาริก
ปรยิ ัติ คือ พระขณี าสพผ้มู ีขันธ์ ๕ อนั กาหนดรู้แล้ว (รูแ้ จง้ ในขนั ธ์ ๕ แลว้ ) มีกิเลสอนั ละแล้ว บรรลุ
มรรคผลแล้ว มธี รรมอนั ไม่กาเริบแทงตลอดแล้ว มีนโิ รธอันกระทาให้แจ้งแลว้ ยอ่ มเรยี นซ่ึงปริยัตใิ ด
เพื่อต้องการแก่อันดารงซ่ึงประเพณี เพื่อต้องการแก่อันตามรักษาซ่ึงวงศ์แห่งพระพุทธเจ้า ปริยัตินี้
ช่อื วา่ ปริยัตขิ องท่านผ้ปู ระดุจขุนคลัง (ภณั ฑาคารกิ ปรยิ ตั )ิ ๒๙

๔.๔.๓ สรุป
เม่ือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้น นางปฏาจาราได้ปฏิสนธิในครอบครัวเศรษฐี
กรุงสาวัตถี ต่อมา พอโตเป็นสาวรุ่น ได้ทาการลักลอบมีสัมพันธ์กับลูกจ้างคนหน่ึงในบ้าน เมื่อเวลา
แตง่ งานมาถึงบิดามารดาบังคับใหแ้ ต่งงานท่มี ีชนชั้นเดียวกัน (คลุ่มถุงชน) จึงได้ทาการนัดหมายกบั คน
ใช้ท่ีลักลอบสัมพันธ์กันว่าต้ังแต่วันพรุ่งน้ีไป เจ้าจักไม่ได้เห็นเรา แม้จะประหารสัก ๑๐๐ คร้ัง ถ้า
เจ้ายังรักเรา ก็จงพาเราไปเสียจากที่นี่และเด๋ียวนี้ ชายผู้นั้นรับคาแล้วก็ถือเอาส่ิงของมีค่าติดมือไป
พอสมควร พานางออกไปจากพระนครประมาณ ๕๐ กิโลเมตร อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต่อมา
ไม่นานนางก็ได้ตั้งครรภ์ เมื่อครรภ์แก่ นางจึงบอกกับสามีว่า “ที่น้ีไม่เหมาะสมที่จะคลอดลูก ฉันจะ
กลับไปคลอดลูกที่บ้านนะนาย” ต่อมาได้กลบั บ้านเพือ่ มาคลอดบุตรท้งั ๒ คน ต่อมาบุตรและสามี พ่อ
แม่ ญาติไดต้ ายยกบ้าน จึงเกิดเสียสติ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า ผู้ท่มี ีชีวติ อยู่ ๑๐๐ ปี ถ้าไมเ่ ห็น
การเกิดและการดับไปของรูปนาม/กายใจ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ส่วนผู้ที่มีชีวิตอยู่วันเดียวแต่เห็น
ความเกิดและดับย่อมประเสริฐกว่ามีชีวิต ๑๐๐ ปี นางได้บรรลุโสดาบัน ต่อมาได้บรรลุอรหันต์เป็น
ผเู้ ชี่ยวชาญในพระวนิ ัยปฎิ ก

๒๙ ว.ิ มหา.อ. ๑/๕๒.

๑๐๙

๔.๕ เร่อื ง สนั ตมิ หาอามาตย์๓๐

เรื่องสนั ตมิ หาอามาตย์ อยใู่ นกลมุ่ ธรรมของ ทณั ฑวรรค แปลวา่ ตอนที่วา่ ด้วยการ ทาร้าย
ลงโทษทางอาญาและบุรพกรรม ทัณฑวรรคมีทั้งหมด ๑๑ เร่ือง ในที่น้ีได้เลือกมา ๑ เรื่องคือ สันติ
มหาอามาตย์ เป็นกรณีการศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท (๒) สังคมวัฒนธรรม
(๓) พุทธเศรษฐศาสตร์ ดังนี้

สถานท่ี วัดพระเชตวัน เมืองสาวัตถี แค้วนโกศล
บคุ คล พระสัมมาสมั พุทธเจา้ โคตมะ,พระพทุ ธเจ้าวปิ ัสสี, สันตมิ หา
อามาตย,์ พระเจ้าปเสนทโิ กศล, สาวนักเตน้ รา, ประชาชนทว่ั ไป
ผล สนั ติมหาอามาตย์บรรลุอรหนั ต,์ ประชาชนจานวนมากบรรลุ
โสดาบันเปน็ ตน้

พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ตรัสพระคาถาวา่
อลงกฺ โต เจปิ สม จเรยฺย
สนโฺ ต ทนโฺ ต นยิ โต พฺรหมฺ จารี
สพฺเพสุ ภเุ ตสุ นธิ าย ทณฑฺ
โส พฺราหมฺ โณ โส สมโณ ส ภิกขฺ ุ๓๑
แม้ถา้ บุคคลประดบั แลว้ พึงประพฤตสิ ม่าเสมอ
เป็นผู้สงบ ฝึกแลว้ เทีย่ งธรรม มีปกติประพฤติ
ประเสริฐ วางเสียซง่ึ อาชญาในสัตว์ทุกจาพวก
บคุ คลนัน้ เป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เปน็ ภกิ ษุ๓๒

สนั ติมหาอามาตย์ครองราชสมบตั ิ ๗ วัน

ในกาลคร้ังหนึ่ง สันตติมหาอามาตย์น้ันปราบกลุ่มกบฏชายแดนของพระเจ้าปเสนทิโกศล
อันกาเริบให้สงบแลว้ กลับมา ตอ่ มา พระราชาทรงพอพระหฤทยั ประทานราชสมบัตใิ ห้ ๗ วัน ได้
ประทานหญิงผู้ฉลาดในการฟ้อนและการขับนางหนึ่งแก่เขา เขาเป็นผู้มึนเมาสุราตลอด ๗ วัน ใน
วันท่ี ๗ ประดับด้วยเคร่ืองอลังการทุกอย่างแล้วข้ึนสู่คอช้างตัวประเสริฐไปสู่ท่าอาบน้า เห็นพระ
ศาสดากาลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตที่ระหว่างประตู อยู่บนคอช้างตัวประเสริฐนั่นเอง ผงกศีรษะ
ถวายบังคมแล้ว พระศาสดาทรงทาการแย้ม พระอานนท์ทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไร
หนอแล เป็นเหตุให้ทรงกระทาการแย้มให้ปรากฏ” เมื่อจะตรัสบอกเหตุแห่งการแย้ม จึงตรัสว่า
“อานนท์ เธอจงดูสันตติมหาอามาตย์ ในวันนี้เอง เขาทั้งประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่างเทียว มาสู่

๓๐ ขุ.ธ.อ.๔๐/๓๑๐-๓๒๕.
๓๑ ขุ.ธ.(บาล)ี ๒๕/๑๔๒/๔๒.
๓๒ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๔๒/๗๕.

๑๑๐

สานักของเรา จักบรรลุพระอรหัตในเวลาจบคาถาอันประกอบดว้ ยบท ๔ แล้ว นั่งบนอากาศ ช่ัว
๗ ลาตาล จักปรินพิ พาน”

มหาชนได้ฟังพระดารัสของพระศาสดา ผู้กาลังตรัสกับพระเถระอยู่ คน ๒ พวกมี
ความคิดต่างกัน บรรดามหาชนเหล่าน้ัน พวกมิจฉาทิฏฐิ คิดว่า “ท่านทั้งหลาย จงดูกิริยาของพระ
สมณโคดม พระสมณโคดมน่นั ยอ่ มพูดสักแต่ปากเท่านั้น ได้ยินว่า ในวันนี้ สันตติมหาอามาตย์น่ัน
มึนเมาสุราอย่างนั้นแต่งตัวอยู่ตามปกติ ฟังธรรมในสานักของพระสมณโคดมน้ันแล้ว จักปรินิพพาน
ในวันน้ี พวกเราจักจับผิดพระสมณโคดมนั้นด้วยมุสาวาท” พวกสัมมาทิฏฐิ คิดกันว่า “น่าอัศจรรย์
พระพุทธเจ้าท้ังหลายมีอานุภาพมาก ในวันน้ีเราทั้งหลายจักได้ดูการเย้ืองกรายของพระพุทธเจ้า
และการเย้อื งกรายของสันตติมหาอามาตย์”

ส่วนสันตติมหาอามาตย์ เล่นน้าตลอดวันท่ีท่าอาบน้าแล้ว ไปสู่อุทยาน นั่งที่พ่นโรงดื่ม
ฝ่ายหญิงนั้น ลงไปในท่ามกลางที่เต้นรา เร่ิมจะแสดงการฟ้อนและการขับ เมื่อนางแสดงการฟ้อน
การขับอยู่ในวันนั้น ลมมีพิษเพียงดังศัสตราเกิดขึ้นแล้วในภายในทอ้ ง ได้ตัดเนื้อหทัยแลว้ เพราะ
ความท่ีนางเป็นผู้มีอาหารน้อยถึง ๗ วัน เพ่ือแสดงความอ้อนแอ้นแห่งสรีระ ในทีทันใดน้ันเอง
นางมปี ากล้าและตาเหลือก ไดถ้ ึงแกค่ วามตายทันที

สันตมิ หาอามาตย์บรรลุอรหันต์

สันตติมหาอามาตย์ กล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย จงตรวจดูนางนั้น” ในขณะสักว่าคาอันชน
ท้ังหลายกล่าวว่า “หญิงนั้นตายแล้ว นาย” ดังนี้ถูกความโศกอย่างแรงกล้าครอบงาแล้ว ในขณะ
นั้นเอง สรุ าทเ่ี ธอดม่ื ตลอด ๗ วนั ได้ถงึ ความเสือ่ มหายแลว้ ประหน่ึงหยาดนา้ ในกระเบือ้ งทร่ี อ้ น
ฉะนั้น เธอคิดวา่ “คนอ่ืน เว้นพระตถาคตเสีย จักไม่อาจเพื่อจะยังความโศกของเรานใ้ี ห้ดับได้” มี
กาลงั พลแวดลอ้ มไปสสู่ านักของพระศาสดาในเวลาเยน็ ถวายบังคมแล้ว กราบทลู อย่างน้ันว่า “ขา้ แต่
พระองค์ผู้เจริญ ความโศกเห็นปานน้ีเกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์มาแล้วด้วยหมายว่า
'พระองค์จักอาจเพื่อจะดับความโศกของข้าพระองค์น้ันได้.' ขอพระองค์จงทรงเป็นท่ีพึ่งของข้า
พระองคเ์ ถิด”

ลาดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า “ท่านมาสู่สานักของผู้สามารถเพ่ือดับความโศกได้
แน่นอน อันที่จริง น้าตาท่ีไหลออกของท่านผู้ร้องไห้ในเวลาท่ีหญิงนี้ตาย ด้วยเหตุน้ีนั่นแล
มากกวา่ นา้ ของมหาสมทุ รทั้ง ๔”ดังนแ้ี ลว้ จึงตรัสพระคาถานว้ี ่า

ย ปุพเฺ พ ต วิโสเสหิ ปจฉฺ า เต มาหุ กิญฺจน
มชเฌ เจ โน คเหสฺสสิ อปุ สนโฺ ต จรสิ สฺ ส๓ิ ๓

กิเลสเครอ่ื งกังวลใด มอี ยูใ่ นกาลกอ่ น เธอจงยงั กเิ ลสเคร่อื งกังวลนัน้
ให้เหอื ดแหง้ ไป กเิ ลสเครอื่ งกังวล จงอย่ามีแกเ่ ธอในภายหลัง

๓๓ ข.ธ.อ. ปญฺจโม ภาโค/หน้า ๗๒.

๑๑๑

ถา้ เธอจกั ไม่ยดึ ถือขนั ธ์ ในท่ามกลาง จกั เปน็ ผู้สงบระงับเท่ียวไป

ในกาลจบพระคาถา สันตติมหาอามาตย์ บรรลุพระอรหัตแล้วพิจารณาดูอายุสังขาร
ของตน ทราบความเปน็ ไปไม่ได้แหง่ อายุสังขารน้นั แลว้ จึงกราบทลู พระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์
ผเู้ จริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตการปรินิพพานแก่ข้าพระองค์เถิด” พระศาสดาแม้ทรงทราบกรรม
ท่ีเธอทาแล้วก็ทรงกาหนดว่า “พวกมิจฉาทิฏฐิประชุมกัน เพื่อข่มข่ีเราว่ากล่าวมุสาวาท จักไม่ได้
โอกาส พวกสมั มาทิฏฐิ ประชมุ กัน ด้วยหมายว่า ่พวกเราจักดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้า และ
การเย้ืองกรายของสันตตมิ หาอามาตย์' ฟังกรรมท่ีสันตติมหาอามาตย์น้ที าแลว้ จักทาความเอื้อเฟื้อใน
บุญทั้งหลาย” ดังนี้ แล้วจึงตรัสว่า “ถ้ากระน้ัน เธอจงบอกกรรมท่ีเธอทาแล้วแก่เรา ก็เมื่อจะบอก
จงอยา่ ยืนบนภาคพืน้ บอก จงยืนบนอากาศช่ัว ๗ ลาตาลแลว้ จงึ บอก”

สนั ตตมิ หาอามาตย์น้นั ทลู รับวา่ “ดีละ พระเจ้าขา้ ” ดังนี้แล้วจึงถวายบงั คมพระศาสดา
แล้ว ขึ้นไปสู่อากาศช่ัวลาตาลหน่ึง ลงมาถวายบังคมพระศาสดาอีก ขึ้นไปนั่งโดยบัลลังก์บนอากาศ
๗ ช่ัว ลาตาลตามลาดับแล้ว ทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงสดับ บุรพกรรมของข้า
พระองค”์ ดงั ต่อไปน้ี

ในกัลป์ท่ี ๙๑ เเต่กัลป์นี้ ครั้งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสีข้าพระองค์บังเกิดใน
ตระกูล ๆ หนึ่ง ในพันธุมดีนคร คิดแล้วว่า 'อะไรหนอแล เป็นกรรมท่ีไม่ทาการตัดรอนหรือบีบค้ัน
ซง่ึ ชนเหลา่ อ่ืน ' ดังน้ีแล้ว เมื่อใครค่ รวญอยูจ่ ึงเห็นกรรมคือการปา่ วร้องในบญุ ทัง้ หลาย จาเดิมแต่กาล
นั้น ทากรรมนั้นอยู่ ชักชวนมหาชนเที่ยวป่าวร้องอยู่ว่า 'พวกท่าน จงทาบุญท้ังหลาย, จงสมาทาน
อโุ บสถ ในวันอุโบสถทงั้ หลาย จงถวายทาน จงฟงั ธรรม ช่อื ว่า รตั นะอยา่ งอ่ืนเชน่ กบั พุทธรัตนะเป็น
ต้นไมม่ ี พวกทา่ นจงทาสักการะรัตนะทั้ง ๓ เถดิ ”

พระราชาผู้ใหญ่ทรงพระนามว่าพันธุมะเป็นพระพุทธบิดา ทรงสดับเสียงของข้าพระองค์
นั้น รับส่งั ใหเ้ รยี กข้าพระองค์มาเฝา้ แลว้ ตรัสถามวา่ “พ่อ เจ้าเท่ียวทาอะไร”

ข้าพระองค์ทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพข้าพระองค์เที่ยวประกาศคุณรัตนะท้ัง ๓ ชักชวน
มหาชนในการบุญทั้งหลาย”

พระราชา. เจา้ น่ังบนอะไรเท่ียวไป
ขา้ พระองคท์ ลู ว่า. ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองคเ์ ดินไป
จงึ ตรัสวา่ 'พ่อ เจา้ ไม่ควรเพ่ือเที่ยวไปอยา่ งนน้ั จงประดับพวงดอกไม้นแี้ ลว้ น่งั บนหลัง
มา้ เทยี่ วไปเถดิ '

พระราชทานพวงดอกไม้ เช่นกับพวงแก้วมุกดาท้ังได้พระราชทานม้าท่ีฝึกแล้วแก่ข้า
พระองค์ ต่อมา พระราชารับสั่งให้ข้าพระองค์ ผู้กาลังเท่ียวประกาศอยู่อย่างน้ันน่ันแล ด้วยเคร่ือง
บริหารที่พระราชาพระราชทาน มาเฝา้ แลว้ ตรสั ถามอีกวา่ พอ่ เจา้ เทีย่ วทาอะไร

เมอ่ื ข้าพระองค์ทูลว่า 'ขา้ แต่สมมตเิ ทพขา้ พระองค์ทากรรมอย่างนน้ั นนั่ แล
พระราชาตรัสว่า ' พ่อ แม้ม้าก็ไม่สมควรแก่เจ้า เจ้าจงนั่งบนรถนี้เที่ยวไปเถิด แล้วได้
พระราชทานรถทเี่ ทยี มด้วยมา้ สนิ ธพ ๔

๑๑๒

แม้ในคร้ังที่ ๓ พระราชาทรงสดับเสียงของขา้ พระองค์แล้ว รับส่ังใหห้ า ตรัสถามว่า พ่ ่อ
เจ้าเทีย่ วทาอะไร '

เมอ่ื ข้าพระองค์ทูลวา่ ' ขา้ แตส่ มมติเทพ ข้าพระองคท์ าการประกาศคุณแห่งพระรัตนตรัย
นั้นแล' จึงตรัสว่า 'แน่ะพ่อแม้รถก็ไม่สมควรแก่เจ้า' แล้วพระราชทานโภคะเป็นอันมาก และ
เครอ่ื งประดับใหญ่ ทั้งไดพ้ ระราชทานช้างเชือกหนึ่งแกข่ ้าพระองค์

ข้าพระองค์น้ัน ประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง น่ังบนคอช้าง ได้ทากรรมของผู้ป่าวร้อง
ธรรมสิ้นแปดหมื่นปี กล่ินจันทน์ฟุ้งออกจากกายของข้าพระองค์นั้น กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปาก
ตลอดกาลมปี ระมาณเท่าน้ี น้เี ปน็ กรรมที่ข้าพระองคท์ าแลว้

สนั ตติมหาอามาตยน์ ั้น คร้ันทูลบุรพกรรมของตนอย่างนัน้ แล้วน่ังบนอากาศเทยี ว เข้า
เตโชธาตุ ปรินิพพานแล้ว เปลวไฟเกิดข้ึนในสรีระไหม้เนื้อและโลหิตแล้ว ธาตุท้ังหลายดุจดอก
มะลเิ หลืออยแู่ ลว้

พระศาสดา ทรงคล่ีผ้าขาว ธาตุทง้ั หลายก็ตกลงบนผ้าขาวน้ัน พระศาสดาทรงบรรจุธาตุ
เหล่าน้ันแล้ว รับส่ังให้สร้างสถูปไว้ท่ีทางใหญ่ ๔ เเพร่ง ด้วยทรงประสงค์ว่า “มหาชนไหว้แล้ว
จักเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญ” พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า “ผู้มีอายุ สันตติมหาอามาตย์บรรลุ
พระอรหัตในเวลาจบพระคาถา ๆ เดียว ยังประดับประดาอยู่นั่นแหละ น่ังบนอากาศปรินิพพาน
แลว้ การเรียกเธอวา่ ' สมณะ' ควรหรือหนอแล หรือเรียกเธอวา่ ' พราหมณ์ ' จึงจะควร”

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า “ภกิ ษุท้ังหลาย บัดนี้พวกเธอน่งั ประชุมกันด้วยกถาอะไร
หนอ ? เม่ือภิกษุท้ังหลายทูลว่า “พวกข้าพระองค์ นั่งประชุมกันด้วยกถาชื่อนี้” จึงตรัสว่า “ภิกษุ
ท้ังหลายการเรียกบุตรของเราแม้ว่า ‘สมณะ’ ก็ควร เรียกว่า ‘พราหมณ์’ ก็ควรเหมือนกัน” เม่ือจะ
ทรงสืบอนุสนธแิ สดงธรรม จึงตรสั พระคาถานี้ว่า

อลงกฺ โต เจปิ สม จเรยยฺ
สนฺโต ทนโฺ ต นยิ โต พรฺ หฺมจารี
สพฺเพสุ ภุเตสุ นิธาย ทณฺฑ
โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภกิ ขฺ ุ๓๔

แม้ถ้าบุคคลประดับแลว้ พึงประพฤติสม่าเสมอ
เปน็ ผสู้ งบ ฝึกแลว้ เทย่ี งธรรม มปี กตปิ ระพฤติ
ประเสริฐ วางเสียซงึ่ อาชญาในสัตวท์ ุกจาพวก
บุคคลนน้ั เปน็ พราหมณ์ เป็นสมณะ เปน็ ภิกษุ๓๕

๓๔ ขุ.ธ.(บาล)ี ๒๕/๑๔๒/๗๔.
๓๕ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๔๒/๗๕.

๑๑๓

ในกาลจบเทศนา ชนเปน็ อนั มากบรรลุอรยิ ผลทั้งหลาย มโี สดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดังน้แี ล.๓๖

๔.๕.๑ คุณค่าของธรรมบท

พระบาลีแต่ละบทมคี ุณคา่ สาคญั ดังน้ี
พระคาถาแรกดังน้ี

๒ บาทแรก กลา่ วถึงกิเลส เปน็ ทุกขสจั จะ
ย ปุพเฺ พ ต วิโสเสหิ กเิ ลสเครือ่ งกังวลใด มีอยใู่ นกาลก่อน เธอจงยังกิเลสเครอ่ื ง
กงั วลนัน้ ใหเ้ หือดแห้งไป
ปจฉฺ า เต มาหุ กญิ ฺจน กเิ ลสเคร่อื งกงั วล จงอย่ามีแก่เธอในภายหลงั

พระคาถาที่ ๓ หมายถึงการไมย่ ึดม่ันในขันธ์ ๕ เป็น มรรคสจั จะ
มชเฌ เจ โน คเหสสฺ สิ ถ้าเธอจักไม่ยดึ ถือขันธ์ ในทา่ มกลาง

พระคาถาท่ี ๔ หมายถงึ ความสงบจากกิเลสแล้ว จัดเป็นนิโรธสจั จะ
อปุ สนโฺ ต จรสิ ฺสสิ จกั เป็นผูส้ งบระงับเทย่ี วไป

พระคาถาที่ ๒ มคี ุณคา่ ดังนี้
พระบาลีว่า อลงฺกโต ได้แก่ ประดับด้วยผ้าและอาภรณ์ พึงทราบความแห่งพระคาถา
น้นั ว่า แม้หากวา่ บคุ คลประดับดว้ ยเครอ่ื งอลังการมีผ้าเป็นต้น พึงประพฤตสิ ม่าเสมอ ดว้ ยกายเป็นตน้

ช่ือว่าเปน็ ผู้สงบเพราะความสงบระงบั แหง่ ราคะเป็นตน้ ชื่อวา่ เปน็ ผฝู้ กึ เพราะฝึกอินทรยี ์
ช่อื ว่าเปน็ ผเู้ ท่ยี งเพราะเทีย่ งในมรรคทัง้ ๔ ช่อื วา่ พรหมจารีเพราะประพฤตปิ ระเสรฐิ
ชือ่ ว่าวางอาชญาในสัตวท์ ุกจาพวกเพราะความเปน็ ผู้วางเสยี ซงึ่ อาชญาทางกายเป็นต้นแลว้
ผูเ้ ห็นปานนั้นอนั บคุ คลควรเรียกว่า

พราหมณ์ เพราะความเปน็ ผูม้ บี าปอันลอยแล้ว (พาหติ ปาปตฺตา พรฺ หมฺ โณต)ิ
สมณะ เพราะความเป็นผู้มีบาปอนั สงบแล้ว (สมิตปาปตตฺ า สมโณต)ิ
ภกิ ษุ เพราะความเป็นผมู้ กี ิเลสทาลายแล้ว (ภนิ ฺนกิเลเสตฺตา ภกิ ขฺ ูต)ิ ๓๗

วเิ คราะหว์ า่ กเิ ลเส ภิชฺชตตี ิ ภิกขุ ผกู้ าจัดกเิ ลส ชอ่ื วา่ ภิกษุ (ภิท ธาตุ ในวทิ ารเณ ทาลาย)๓๘

สังเคราะหพ์ ระคาถาในอริยสัจ ๔ ดังนี้

คาถานีม้ ี ๒ สัจจะ คือ มรรคสจั จะและนโิ รธสัจจะ ๓ บาทแรกเปน็ มรรคสจั จะ

๓๖ ขุ.ธ.อ. ๔๒/๑๑๓-๑๒๐.
๓๗ ข.ุ ธ.อ. ปญฺจโม ภาโค/หน้า ๗๕.
๓๘ สมเดจ็ พระพุทธชนิ วงศ์ (อปุ สมมหาเถระ), “งานวจิ ยั การศกึ ษาเชงิ วเิ คราะห์พระคาถาธรรมบท
เล่ม ๒”, พมิ พ์ครงั้ ที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร : ประยรู สาส์นการพิมพ์, ๒๕๕๙), หน้า ๗๙๓.

๑๑๔

อลงฺกโต เจปิ สม จเรยฺย แม้ถา้ บุคคลประดบั แลว้ พึงประพฤตสิ มา่ เสมอ
สนโฺ ต ทนฺโต นยิ โต พฺรหฺมจารี เปน็ ผู้สงบ ฝกึ แล้ว เที่ยงธรรม มปี กตปิ ระพฤติ
ประเสรฐิ
สพเฺ พสุ ภเุ ตสุ นิธาย ทณฑฺ วางเสยี ซง่ึ อาชญาในสัตวท์ ุกจาพวก
บาทที่ ๔ เปน็ นโิ รธสัจจะ
โส พฺราหมฺ โณ โส สมโณ ส ภกิ ขฺ ุ บุคคลน้ัน เปน็ พราหมณ์ เปน็ สมณะ เป็น
ภิกษุ
เพราะหมายถึงการดบั สูญส้ินจากกเิ ลสทั้งหลาย จึงเปน็ นิโรธสจั จะ

๔.๕.๒ สงั คมและวัฒนธรรม

มีประเด็นด้านสังคมและวฒั นธรรมดังน้ี
๑) สังคมอินเดียยังมีการรบ แย่งชิงอานาจ ปราบศัตรูเพื่อแสวงหาท่ีอยู่ ทามาหากิน อีก
ทง้ั ยงั มลี ทั ธิ
๒) พระอรหันต์เม่ือมีเพศเป็นคฤหัสถ์ย่อมปรินิพพานไม่เกิน ๗ วัน กรณีของสันติมหาอัม
มาตย์ทา่ นลาปรินพิ พานทนั ที
๓) การบรรจุพระธาตใุ นสถปู (เจดยี ์) มีตน้ แบบมาต้งั แต่สมัยพุทธกาล จนถึงปัจจุบนั

๔.๕.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

มีประเดน็ ดา้ นเศรษฐศาสตร์ดังนี้
๑) การเมืองท่มี น่ั คงเปน็ ฐานเศรษฐกิจท่ีดี เมือ่ เศรษฐกจิ ดี ประชาชนกม็ ีการดารงชีพที่
ผาสุก สง่ ผลตอ่ การเปน็ อยูท่ ่ดี ีของสมณะพราหมณ์
๒) แตพ่ ุทธเศรษฐศาสตร์ เน้นการลงทุนท่ีกุศลทาทางกาย วาจา ใจ เพ่อื นาไปสู่อสิ รภาพ
ตามสนั ตมิ หาอามาตย์

๔.๕.๔ สรปุ

สันตติมหาอามาตย์กลุ่มกบฏชายแดนของพระเจ้าปเสนทิโกศล อันกาเริบให้สงบแล้ว
กลับมา ต่อมา พระราชาทรงพอพระหฤทยั ประทานราชสมบัตใิ ห้ ๗ วัน ไดป้ ระทานหญิงผฉู้ ลาด
ในการฟ้อนและการขับนางหนึ่งแก่เขา เขาเป็นผู้มึนเมาสุราตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ประดับด้วย
เครื่องอลงั การทุกอย่างแล้วขนึ้ สูค่ อช้างตวั ประเสริฐไปสู่ท่าอาบน้า เห็นพระศาสดากาลังเสดจ็ เข้าไป
บิณฑบาตท่ีระหว่างประตู อยู่บนคอช้างตัวประเสริฐนั่นเอง ผงกศีรษะถวายบังคมแล้ว จักบรรลุ
พระอรหัตในเวลาจบคาถาอันประกอบด้วยบท ๔ แล้ว น่ังบนอากาศ ชั่ว ๗ ลาตาลแล้ว
ปรนิ พิ พาน เพราะเหน็ หญงิ นักฟ้อนตาย ลาดับนนั้ พระศาสดาตรสั กะเธอ นา้ ตาทไี่ หลออกของท่านผู้
ร้องไห้ในเวลาที่หญิงน้ีตาย ด้วยเหตุน้ีน่ันแล มากกว่าน้าของมหาสมุทรท้ัง ๔ ในกาลจบพระ
ธรรมเทศนา สันตตมิ หาอามาตย์ บรรลพุ ระอรหตั

๑๑๕

๔.๖ เร่ือง พระเจ้าสทุ โธทนะ

เร่ืองสุทโธทนะ อยู่ในหมวดธรรมโลกวรรค ว่าด้วยเร่ืองโลกิยะกับโลกุตระ โลกวรรคมี
ทัง้ หมด ๑๑ เร่ือง ในที่น้ไี ดเ้ ลือกมาศึกษาวิเคราะห์ ๑ เร่อื ง คือ พระเจ้าสุทโธทนะ เป็นกรณีการศึกษา
๓ ประเดน็ ไดแ้ ก่ (๑) คณุ คา่ ของธรรมบท (๒) สังคมวัฒนธรรม (๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดงั นี้

สถานที่ นโิ ครธาราม กรุงกบิลพสั ดุ แค้วนสกั กะ
บุคคลท่เี กีย่ วข้อง พระสัมมาสัมพุทธเจา้ , พระเจ้าสุทโธนะ, พระภกิ ษุ
ผล พระเจา้ สทุ โธนะ บรรลุโสดาบัน

พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ตรสั พระบาลีวา่ ธมมฺ สุจริต จเร
อตุ ฺติฏเฺ นปฺปมชเฺ ชยฺย
ธมฺมจารี สุข เสติ อสมฺ ึ โลเก ปรมฺหิ จ
ธมมฺ จเร สจุ ริต
ธมมฺ จารี สขุ เสติ น น ทจุ จฺ ริต จเร
อสฺมึ โลเก ปรมหฺ ิ จ๓๙

ภิกษุไม่พงึ ประมาทบณิ ฑบาตท่ตี นยนื รับ๔๐ พึงประพฤตสิ จุ ริตธรรม๔๑

ผูป้ ระพฤตธิ รรมย่อมอย่เู ป็นสุขท้งั ในโลกนแ้ี ละโลกหน้า

พึงประพฤติสุจรติ ธรรมไม่พงึ ประพฤติทุจรติ ธรรม
ผูป้ ระพฤตธิ รรมยอ่ มอยู่เปน็ สุขทง้ั ในโลกนแี้ ละโลกหนา้ ๔๒

สมัยตน้ พุทธกาล พระศาสดาเสดจ็ ไปกรุงกบิลพัสด์ุบุรโี ดยเสดจ็ ไปครั้งแรก มีการตอ้ นรับ
อันพระญาติทั้งหลายทาแล้วเสด็จไปสนู่ ิโครธาราม ทรงนิรมิตตนจงกรมในอากาศ จงกรมบนรัตนจง
กรมน้ัน ทรงแสดงธรรมเพ่ือต้องการทาลายมานะของพระญาติทั้งหลายแล้ว พระญาติทั้งหลายมีจิต
เลื่อมใสแล้ว ถวายบังคมตั้งต้นแต่พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ฝนโบกขรพรรษตกในสมาคมแห่งพระ

ญาตนิ ้ัน เม่ือมหาชนปรารภฝนนนั้ สนทนากนั แล้วพระศาสดาตรัสวา่

ใช่แต่ในบัดนี้เท่าน้ันหามิได้ภิกษุทั้งหลาย ถึงในกาลก่อน ฝนโบกขรพรรษก็ตกใน
สมาคมแห่งญาติของเราเหมือนกัน” ดังนี้แล้ว จึงตรัสเวสสนั ดรชาดก บรรดาพระญาติซ่ึงฟังพระ
ธรรมเทศนาแล้วหลีกไปอยู่ แม้องค์หน่ึงก็ไม่นิมนต์พระศาสดาแล้ว แม้พระราชาก็ไม่ทรงนิมนต์เลย
ด้วยทรงดารวิ ่า “บุตรเราไม่มาสู่เรือนของเรา จักไปไหน” ดงั น้ีแล้วไดเ้ สดจ็ ไป กแ็ ลครั้นเสดจ็ ไปแล้ว
รบั สง่ั ให้คนตกแตง่ ขา้ วต้มเป็นตน้ ใหป้ ูลาดอาสนะทัง้ หลายไวเ้ พ่ือภิกษมุ ีประมาณสองหมนื่ ในพระราช
มณเฑียร วันรุ่งข้ึน พระศาสดาเม่ือเสด็จเข้าไปสู่พระนครเพื่อบิณฑบาต ทรงใคร่ครวญว่า

๓๙ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๑๖๘-๑๖๙/๔๗.
๔๐ ไม่พึงประมาทบิณฑบาตท่ีตนยืนรับ หมายถึงไม่พึงดูหมิ่นอาหารท่ีต้องลุกขึ้นไปยืนรับตามลาดับ
ตรอกไมเ่ ลอื กรบั เฉพาะบ้าน (ข.ุ ธ.อ. ๖/๒๙).
๔๑ สุจรติ ธรรม หมายถึงภกิ ขาจริยธรรม คือ การเที่ยวบิณฑบาตตามลาดบั ตรอก ซ่ึงตรงกันข้ามกับ
ทจุ ริตธรรม คือ การเที่ยวบิณฑบาตในสถานทีอ่ โคจร เช่น สถานท่ที ่ีมหี ญิงแพศยา เป็นต้น (ข.ุ ธ.อ.๖/๓๐).
๔๒ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑๖๘-๑๖๙/๘๕.

๑๑๖

“พระพุทธเจ้าในอดตี ทั้งหลาย เสด็จถึงพระนครแห่งพระบิดาแล้ว เสด็จตรงไปสตู่ ระกูลแห่งพระญาติ
ทีเดียวหรือหนอแล หรือว่าเสด็จเที่ยวไปเพ่ือบิณฑบาต โดยลาดับ” ทรงเห็นว่า “พระพุทธเจ้าอดีต
เสด็จเท่ียวไปโดย ลาดับ” ดังน้ีแล้ว พระพุทธองค์เสด็จดาเนินไปเพื่อบิณฑบาตต้ังแต่เรือนหลังแรก
พระมารดาของพระราหุลประทับน่ังบนพ้ืนปราสาทแลเห็นแล้ว จึงกราบทูลประพฤติเหตุนั้นแด่
พระราชา พระราชาทรงจัดแจงผ้าสาฎกรีบเสด็จออกไป ถวายบังคมพระศาสดาแล้วตรัสว่า “ลูก
เพราะเหตุไร ท่านจึงให้ข้าพเจ้าฉิบหาย ท่านเที่ยวไปเพื่อภิกษา ให้ความละอายเกิดข้ึนแล้วแก่
ข้าพเจ้าเหลือเกิน ข้ึนชื่อว่ากรรมไม่ควรอันท่านทาแล้ว การที่ท่านเท่ียวไปด้วยวอทองคาเป็นต้น

เท่ยี วไปเพื่อภิกษา ในนครนี้นน้ั แหละจงึ ควร ทา่ นให้ข้าพเจา้ ละอายทาไม”

พระศาสดา. มหาบพิตร อาตมภาพให้พระองค์ละอายหามิได้ แต่อาตมภาพย่อม
ประพฤติตามวงศส์ กลุ ของตน

พระราชา. พอ่ ก็การเทย่ี วไปเพอื่ ภิกษาแลว้ เป็นอย่เู ป็นวงศ์ของขา้ พเจา้ หรือ
พระศาสดา. มหาบพิตร นั่นมิใช่เป็นวงศ์ของพระองค์ แต่น่ันเป็นวงศ์ของอาตมภาพ
เพราะพระพุทธเจ้าหลายพัน เสด็จเที่ยวไปเพ่ือบิณฑบาตแล้วเป็นอยู่เหมือนกัน เมื่อจะทรงแสดง

ธรรมไดภ้ าษติ พระคาถาเหลา่ นั้นวา่

อตุ ตฺ ฏิ ฺเ นปปฺ มชฺเชยฺย ธมฺม สจุ รติ จเร
ธมฺมจารี สุข เสติ
ธมฺม จเร สจุ ริต อสมฺ ึ โลเก ปรมหฺ ิ จ.
น น ทุจจฺ รติ จเร
ธมมฺ จารี สุข เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ๔๓

ภกิ ษไุ ม่พงึ ประมาทบิณฑบาตท่ตี นยนื รบั พึงประพฤติสุจริตธรรม

ผปู้ ระพฤตธิ รรมยอ่ มอยู่เปน็ สุขท้ังในโลกน้ีและโลกหนา้
พงึ ประพฤติสุจรติ ธรรมไม่พงึ ประพฤตทิ จุ รติ ธรรม
ผปู้ ระพฤตธิ รรมยอ่ มอยูเ่ ป็นสุขทัง้ ในโลกนแ้ี ละโลกหน้า๔๔

ในเวลาจบเทศนา พระราชบิดาทรงดารงอยู่ในพระโสดาปตั ติผลแลว้ เทศนาไดม้ ี
ประโยชน์แมเ้ เกช่ นทั้งหลายผู้ประชุมกัน ดังนแี้ ล.๔๕

๔.๖.๑ คุณคา่ ของธรรมบท

มีคณุ ค่าหลักธรรมดังนี้
พระบาลวี ่า อตุ ฺตฏิ ฺเ หมายความวา่ ในกอ้ นข้าว อันตน พึงลุกข้ึนยืนรับท่ีประตูเรอื นของ
ชนเหลา่ อ่ืน

๔๓ ข.ุ ธ.อ. (ฉฏโฺ ฐ ภาโค) หน้า ๓๒.
๔๔ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๖๘-๑๖๙/๘๕.
๔๕ ข.ุ ธ.อ.๔๒/๒๓๕.

๑๑๗

พระบาลีว่า นปฺปมชฺเชยยฺ หมายความว่า ภิกษุเมอ่ื ให้ธรรมเนียมของผู้เท่ียวบิณฑบาต
เป็นปกติเสื่อมแล้วแสวงหาโภชนะอันประณีต ชื่อว่าย่อมประมาทในก้อนข้าวอันตนพึงลุกข้ึนยืน
รับ แต่ว่าเมื่อเที่ยวไปตามลาดับตรอกเพ่ือบิณฑบาต ชื่อว่า ย่อมไม่ประมาท ทาอยู่อย่างน้ัน ช่ือ
วา่ ไมพ่ ึงประมาท ในกอ้ นข้าวท่ตี นพึงลุกข้นึ ยืนรบั

พระบาลีว่า ธมฺม หมายความว่า เมื่อละการแสวงหาอันไม่ควรแล้ว เท่ียวไปตามลาดับ
ตรอก ชื่อว่าพึงประพฤตธิ รรม คือการเทีย่ วไปเพือ่ ภิกษานั้นนน่ั แลใหเ้ ปน็ สุจรติ

พระบาลีว่า ธมฺม เป็นได้ท้ังกุศลและอกุศล แต่ในท่ีน้ีหมายถึงประพฤติเที่ยวบิณฑบาต
เทา่ นัน้ ๔๖

พระบาลีว่า สุข เสติ นัน่ สักว่าเป็นเทศนา อธบิ ายวา่ เม่ือประพฤตธิ รรมคอื การเท่ียวไป
เพื่อภิกษา ช่ือว่าประพฤติธรรมเป็นปกติ ย่อมอยู่เป็นสุขโดยอิริยาบถแม้ทั้ง ๔ ในโลกนี้และโลก
หนา้

พระบาลีว่า สุข เสติ แปลว่า นอนเป็นสุข คาน้ีเป็นเอกเทสูปจารนัย สานวนที่
กลา่ วถงึ บางสว่ น แต่หมายถึงท้งั หมด คือ ม่งุ กลา่ วถึงอริ ิยาบถ ๔ ได้แก่ ยืน เดนิ นัง่ นอน๔๗

พระบาลีว่า น ต ทุจฺจริต หมายความว่า เม่ือเที่ยวไปในอโคจร ต่างด้วยอโคจรมีหญิง
แพศยาเป็นต้น ช่ือว่าย่อมประพฤติธรรม คือการเท่ียวไปเพื่อภิกษาให้เป็นทุจริต ไม่ประพฤติอย่าง
น้ัน พึงประพฤติธรรมนน้ั ใหเ้ ป็นสจุ รติ ไม่พึงประพฤติธรรมนนั้ ใหเ้ ปน็ ทจุ ริต

พระคาถาน้ีถือว่าการบิณฑบาตเป็นประเพณี ข้อประพฤติของพระภิกษุ ผู้เป็นสาวกของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะต้องลุกขึ้นมาประกอบสุจริตธรรม คือ การบิณฑบาตเป็นวัตรตามลาตรอก
ซอกซอย ซึ่งหากทาเป็นปกติ ถือว่าประพฤติธุดงควัตรด้วย จริยาวัตรนี้ผู้ที่เป็นแบบอย่างท่ีดีในพระ
พุทธสาสนามี ๒ รูป คือ (๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (๒) พระมหากัสสปเถระ ผู้เลิศในการประพฤติ
ธดุ งค์

สังเคราะหพ์ ระคาถาในอรยิ สจั ๔ ดังนี้

พระคาถา ๖ บาทแรกจัดเปน็ มรรคสัจจะ
อุตฺติฏฺเ นปฺปมชฺเชยฺย ธมฺม สุจริต จเร ภิกษุไม่พึงประมาทบิณฑบาตที่ตนยืนรับพึง
ประพฤตสิ ุจริตธรรม
ธมฺมจารี สุข เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขท้ังในโลกนี้และ
โลกหน้า

๔๖ สมเดจ็ พระพุทธชนิ วงศ์ (อปุ สมมหาเถระ), “งานวจิ ัยการศึกษาเชิงวเิ คราะห์ พระคาถาธรรมบท
เล่ม ๒”, หน้า ๕๙.

๔๗ สมเดจ็ พระพุทธชนิ วงศ์ (อปุ สมมหาเถระ), “งานวิจัยการศึกษาเชิงวิเคราะห์ พระคาถาธรรมบท
เลม่ ๒”, หนา้ ๕๙.

๑๑๘

ธมฺม จเร สุจริต น น ทุจฺจริต จเร พึงประพฤติสุจริตธรรมไม่พึงประพฤติทุจริตธรรม
พระคาถา ที่ ๗ และ ๘ จัดเป็นนโิ รธสจั จะ
ธมฺมจารี สุข เสติ อสมฺ ึ โลเก ปรมฺหิ จ ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกน้ีและ
โลกหนา้

[ออนไลน์], แหล่งทมี่ า : http://thelifeofbuddha.myreadyweb.com/article/topic48787.html
, [๑๙ เม.ย. ๒๕๖๓].

๔.๖.๒ สงั คมและวฒั นธรรม
การที่พระพุทธเจ้าได้ไปโปรดพุทธบิดาและพระประยูรญาติหลังตรัสรู้แล้วนั้น สังคมของ
กษัตริย์นั้นมีทิฏฐิ มานะสูง จึงแสดงปาฏิหาริย์ เพ่ือให้พระญาติได้เกิดอัศจรรย์ใจ และหมดความลังเล
สงสัย เพื่อที่จะได้ฟังธรรมโดยเคารพ วัฒนธรรมแห่งพุทธประเพณีน้ัน สืบกันมาเป็นเช้ือสายของพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ การจะทาประการใดที่ตัดสินใจไม่ได้ พระองค์ก็จะใช้ฌานอภิญญามอง
ถึงพุทธประเพณีในอดีตท่ีสืบทอดกันมาเรียกว่า พุทธวงศ์ ดังน้ัน วัฒนธรรมของพระพุทธเจ้าทุก
พระองค์ ต้องปฏบิ ัตดิ งั น้ี (๑) โปรดพุทธบิดาและพระประยรู ญาติ (๒) เที่ยวบณิ ฑบาตตามปกติ
อิทธิพลน้ีเองทาให้พระสงฆ์ประเทศไทยหลังจากบวชได้ ๑ พรรษา จึงต้องไปแสดงธรรม
แก่พ่อแม่ และญาติเพอ่ื แสดงความกตญั ญู โดยนาหลักธรรมของพระพุทธเจา้ ไปแสดง

๑๑๙

๔.๖.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์
พระเจ้าสุทโธทนะ มีการลงทุนด้วยลูก คือ เจ้าชายสิทธัตถะ เพื่อหวังผลกาไร คือ ความ
เปน็ จกั รพรรดิ อันเปน็ โลกยิ สมบัติ แต่พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ลงทุนด้วยบญุ นิธิ คอื การสร้างบารมีตอบ
แทนพระบดิ าด้วยโลกุตรสมบตั ิ
๔.๖.๔ สรุป
พระศาสดาเสด็จไปกรุงกบิลพัสด์ุบุรีโดยเสด็จไปคร้ังแรก มีการต้อนรับอันพระญาติ
ทั้งหลายทาแล้วเสด็จไปสู่นิโครธาราม ทรงนิรมิตตนจงกรมในอากาศ จงกรมบนรัตนจงกรมน้ัน ทรง
แสดงธรรมเพ่ือต้องการทาลายมานะของพระญาติทั้งหลายแล้ว พระญาติท้ังหลายมีจิตเล่ือมใสแล้ว
ถวายบังคมตั้งต้นแต่พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ฝนโบกขรพรรษตกในสมาคมแห่งพระญาตินั้น
เมือ่ พระญาตลิ ดทฏิ ฐิ พระองค์กต็ รัสสอนหลกั ธรรมดงั น้ี
๑) ภิกษุไม่พงึ ประมาทในจรยิ าวัตรของภกิ ษุ พึงประพฤตสิ ุจรติ ธรรม
๒) เปน็ หลักพืน้ ฐานเบื้องตน้ สอนใหป้ ระกอบสัมมาอาชวี ะด้วยขยนั หมั่นเพยี ร มสี ตใิ นการ
ใชช้ ีวิตประจาวัน ถงึ จะเจริญในการประกอบอาชีพ
เมือ่ ทรงแสดงธรรมทส่ี ุดแล้วพระบดิ าบรรลุโสดาบัน

[ออนไลน]์ , แหลง่ ทมี่ า : https://www.facebook.com/buddhisttreasure, [๑๒ ธค. ๒๕๖๓].

๑๒๐

๔.๗ เรอ่ื งปญั หาทภ่ี ิกษทุ ลู ถาม (พระพุทธเจา้ )

เร่ืองปัญหาที่ภิกษุทูลถาม (พระพุทธเจ้า) โกธวรรค ตอนด้วยความโกรธ มีทั้งหมด ๘
เร่ือง ในท่ีนี้ได้เลือกมา ๑ เร่ือง คือ ปัญหาท่ีภิกษุทูลถาม (พระพุทธเจ้า) เป็นกรณีการศึกษา ๒
ประเดน็ ได้แก่ (๑) คณุ คา่ ของธรรมบท (๒) สงั คมวฒั นธรรม ดงั น้ี

สถานที่ อัญชนวนั เมืองสาเกต
บุคคล พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ , พราหมณเ์ ฒา่ ,
ผล สองสามีภรรยาพราหมณ์ บรรลอุ รหันต์, สัตว์ ๘๔,๐๐๐ บรรลโุ สดาบันเป็น
ตน้
พระบาลีหรอื พทุ ธวจนะไดต้ รัสวา่

อหสึ กา เย มุนโย นิจฺจ กาเยน สวตุ า
เต ยนตฺ ิ อจฺจุต าน ยตฺถ คนตฺ ฺวา น โสจเร๔๘

มนุ ผี ไู้ มเ่ บยี ดเบียน สารวมกายอยู่เป็นนติ ย์
ยอ่ มไปสู่ท่ที ี่ไม่จุตทิ ี่ไปแล้วไมเ่ ศร้าโศก๔๙

กาลครั้งหน่ึง พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุสงฆ์แวดล้อม เสด็จเข้าไปในเมืองสาเกต เพื่อ
บิณฑบาต พราหมณ์เฒ่าชาวเมืองสาเกตคนหน่ึงกาลังเดินออกไปจากพระนครพบพระทศพลที่
ระหว่างประตู จึงหมอบลงแทบพระบาททั้งสองแล้ว จับที่ข้อพระบาทไว้ม่ัน พลางกล่าวว่า “พ่อ
ธรรมดามารดาและบิดา อนั พวกลูกชายพงึ ประคบประหงม ในเวลาที่ท่านชราแลว้ มใิ ชห่ รือ เหตุ
ไรเล่า พอ่ จึงไม่แสดงตนใหป้ รากฏแก่ข้าพระองคส์ ้ินกาลประมาณเพยี งน้ี พระองค์อนั ข้าพระองค์
เห็นก่อน ขอพระองค์จงเสด็จมาเยี่ยมมารดาบ้าง” ดังน้ีแล้ว ก็ได้พาพระศาสดาไปสู่เรือนของตน
พระศาสดาเสด็จไปที่เรอื นนัน้ แล้ว ประทบั นัง่ เหนืออาสนะซึ่งปูลาดไวก้ บั ด้วยภิกษสุ งฆ์

ฝ่ายพราหมณี มาหมอบแทบพระบาททง้ั สองของพระศาสดาแล้วทูลว่า “พ่อเป็นผู้ไปเสีย
ท่ีไหน สิ้นกาลประมาณเพียงน้ี ธรรมดามารดาและบิดา อันบุตรธิดาควรบารุง ในเวลาที่ท่าน
แก่เฒ่ามิใช่หรือ” แล้วให้บุตรและธิดาทั้งหลายถวายบังคมด้วยคาว่า “พวกเจ้าจงมา จงถวายบังคม
พระพี่ชาย” แม้สองสามีภรรยานั้น มีใจยินดี เลี้ยงดูภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ทูลว่า
“พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงทรงรับภิกษาที่เรือนน้ีแหละเป็นนิตย์” เมื่อพระศาสดาตรัสว่า “ธรรมดา
พระพุทธเจ้าท้ังหลายย่อมไม่ทรงรับภิกษาเป็นนิตย์ ในท่ีแห่งเดียวเท่านั้น” จึงกราบทูลว่า “ถ้า
กระน้ัน ขอพระองคพ์ งึ ส่งพวกคนที่มาเพื่อนิมนต์พระองค์ไปทส่ี านกั ของข้าพระองค์ พระเจา้ ขา้ ”

จาเดิมแต่นั้น พระศาสดาทรงส่งพวกคนท่ีมาเพื่อนิมนต์ไป ด้วยพระดารัสว่า “พวกท่าน
จงไปบอกแก่พราหมณ์เถิด” คนทมี่ านิมนต์เหล่าน้ัน ย่อมไปบอกกะพราหมณ์วา่ “เราท้งั หลาย ย่อม
นมิ นต์พระศาสดาเพ่อื ฉนั ในวันพรุ่งน้ี”

๔๘ ขุ.ธ.(บาล)ี ๒๕/๒๒๕/๕๖.
๔๙ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๒๕/๑๐๑.

๑๒๑

ในวนั รุง่ ขน้ึ พราหมณ์ย่อมถอื ภาชนะภัตและภาชนะแกงจากเรือนของตนไปสู่สถานท่ีพระ
ศาสดาประทับน่ังอยู่ ก็ในเม่ือการนิมนต์ไปฉันในท่ีอ่ืนไม่มี พระศาสดาย่อมทรงทาภัตกิจท่ีเรือนของ
พราหมณ์นั้นแล แม้สองสามีภรรยาน้ัน ถวายไทยธรรมของตนแด่พระตถาคตอยู่ ฟังธรรมกถาอยู่
ตลอดกาลเปน็ นติ ย์ บรรลอุ นาคามผิ ลแลว้

ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย พราหมณ์ชื่อโน้น รู้ว่า ‘พระ
เจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดาของพระตถาคต, พระนางเจ้ามหามายาเป็นพระมารดา’ ท้ังรู้อยู่อย่าง
นั้นแหละ พร้อมกับพราหมณ์เรียกพระตถาคตว่า ‘บุตรของเรา’ ฝ่ายพระศาสดาก็ทรงรับรอง
อย่างนนั้ เหมอื นกนั จักมเี หตุอะไรหนอแล”

พระศาสดา ทรงสดับกถาของภิกษุเหล่าน้ันแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย ท้ังสองสามี
ภริยาน้ัน ย่อมเรียกบุตรของตนเท่านั้นว่า ‘บุตร’ ดังน้ีแล้ว จึงทรงนาอดีตนิทานมา ทรงแสดงความ
ที่พระองค์เป็นบุตรของพราหมณ์ผัวเมียท้ังสองนั้นสิ้น ๓,๐๐๐ ชาติ ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล
พราหมณ์น้ีได้เป็นบิดาของเรา ๕,๐๐๐ ชาติติด ๆ กัน เป็นอาของเรา ๕๐๐ ชาติ เป็นลุง ๕๐๐
ชาติ ถึงพราหมณีน้ันก็ได้เป็นมารดาของเรา ๕๐๐ ชาติติด ๆ กัน เป็นน้าของเรา ๕๐๐ ชาติ
เป็นป้าของเรา ๕๐๐ ชาติ เราเป็นผเู้ จริญแล้วในมือของพราหมณ์ ๑,๕๐๐ ชาติ เจรญิ แล้วในมือ
พราหมณี ๑,๕๐๐ ชาตอิ ย่างนี้” แล้วได้ทรงภาษติ พระคาถาเหลา่ นี้

ใจย่อมจดจอ่ แม้จติ ก็เล่ือมใสในบุคคลใดเขายอ่ มสนิทสนมในบคุ คลแมน้ ้ัน
ซง่ึ ตนไมเ่ คยเหน็ โดยแท้ ความรักนั้นย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ประการอยา่ งน้ี คือ
(๑) เพราะการอย่รู ว่ มกันในกาลก่อน (๒) เพราะการเก้ือกลู กนั ในปจั จุบัน
เปรียบเหมือน ดอกบวั เกดิ ในน้าได้ ฉะน้ัน

พระศาสดาทรงอาศัยตระกูลนั้น ประทับอยู่แล้วสิ้นไตรมาสน่ันแล ฝ่ายพราหมณ์และ
พราหมณีทั้งสองนัน้ ทาให้แจ้งซึ่งพระอรหัตผลแล้วก็ปรินิพพาน คราวนั้นชนท้ังหลายทาสักการะ
อย่างมากมายแก่พราหมณ์และพราหมณีเหล่านั้นแล้ว ก็ยกท้ังสองขึ้นสู่เรือนยอดหลังเดียวกันนั่น
แหละนาไปแล้ว แม้พระศาสดา มีภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร ได้เสด็จไปยังป่าช้ากับชนเหล่าน้ัน
เหมือนกัน มหาชนออกไปแล้ว ด้วยคิดว่า “ได้ยินว่าพระมารดาและพระบิดาของพระพุทธเจ้า
เสียชีวิตแล้ว พระศาสดาได้เสด็จเข้าไปยังศาลาหลังหน่ึง ในที่ใกล้ป่าช้าประทับยืนแล้ว พวก
มนุษย์ถวายบังคมพระศาสดาแล้วยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทาปฏิสันถารกับพระศาสดา ด้วยทูลว่า
“พระเจ้าขา้ ขอพระองค์อย่าทรงคดิ วา่ ‘พระมารดาและพระบดิ าของพระองคเ์ สียชีวิตแล้ว”

พระศาสดา ไม่ทรงห้ามคนเหล่านั้นเลยว่า “พวกเธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น” ทรงตรวจดู
อัธยาศัยของบริษัทแล้ว เม่ือจะทรงแสดงธรรมให้เหมาะแก่ขณะนั้น จึงตรัสชราสูตรน้ี โดยนัยเป็น
ตน้ ว่า

ชีวิตนน้ี ้อยหนอ สัตว์ย่อมตายหย่อนแม้กว่า ๑๐๐ ปี
แมห้ ากผ้ใู ดเปน็ อยูเ่ กินไป ผู้นั้นย่อมตายแมเ้ พราะชราโดยแท้

๑๒๒

ในกาลจบเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ ๘ หมื่น ๔ พันแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เม่ือไม่
ทราบความที่พราหมณ์และพราหมณีปรินิพพานแล้ว จึงทูลถามว่า “ภพหน้าของพราหมณ์และ
พราหมณีน้ันเป็นอยา่ งไร ? พระเจา้ ข้า”

พระศาสดาตรัสวา่ “ภกิ ษทุ ั้งหลาย ชอ่ื วา่ อภิสมั ปรายภพของพระอเสขมนุ ีทง้ั หลายผเู้ หน็
ปานนนั้ ยอ่ มไมม่ ี เพราะวา่ พระอเสขมุนีผเู้ ห็นปานนนั้ ย่อมบรรลมุ หานิพพานอนั ไมจ่ ุติ อนั ไมต่ าย”
ดังนี้แลว้ จึงตรสั พระคาถานี้ว่า

อหึสกา เย มุนโย นิจฺจ กาเยน สวุตา
เต ยนฺติ อจฺจุต าน ยตฺถ คนตฺ วฺ า น โสจเร

มนุ ีเหล่าใด เปน็ ผูไ้ ม่เบียดเบยี น สารวมแล้วดว้ ยกายเป็นนติ ย์
มุนเี หลา่ นน้ั ยอ่ มไปส่ฐู านะอันไมจ่ ตุ ิ ซ่ึงเปน็ ทคี่ นทั้งหลายไปแลว้ ไมเ่ ศรา้ โศก
ในกาลจบเทศนา ชนเปน็ อนั มากบรรลุอรยิ ผลทงั้ หลาย มโี สดาปัตตผิ ลเปน็ ตน้

๔.๗.๑ คณุ ค่าของธรรมบท

พระพุทธโฆสมหาเถระไดใ้ หค้ วามหมายและอรรถประโยชน์ของพระบาลีว่า

พระบาลวี ่า มุนโย คอื พระอเสขมุนีทั้งหลายบรรลุมรรคและผลดว้ ยโมไนยปฏปิ ทา

พระบาลีว่า กาเยน น่นั สกั วา่ เป็นหวั ขอ้ เทศนาเท่านนั้ อธบิ ายว่าสารวมแล้วดว้ ยทวาร
แม้ท้ัง ๓ คอื กาย วาจา ใจ

พระบาลวี า่ าน ไดแ้ ก่ ฐานะที่ไม่กาเรบิ คือฐานะท่ยี ่ังยืน

พระบาลีวา่ ยตฺถ เป็นตน้ ความว่า มนุ ที ้ังหลาย ย่อมไปสฐู่ านะ คอื พระนิพพาน ซ่งึ เป็น
ท่ีคนท้งั หลายไปแล้วไมเ่ ศร้าโศก คอื ไมเ่ ดือดร้อน๕๐

พระบาลีว่า อจฺจตุ ได้แก่ เทย่ี ง หมายถงึ พระนิพพาน
อจฺจตุ เป็นไวพจน์ของนพิ พานดังนี้ ความหมายของนิพพานในคมั ภีร์พระพุทธศาสนาน้ันมี
จานวนมากที่ปรากฏในพระไตรปิฎกโดยเฉพาะปรากฏในอนาสวาทิสูตร พระพุทธองค์ตรัสชื่อหรือ
ไวพจนแ์ หง่ นพิ พานไว้ดงั นี้

อสงขฺ ต อนต อนาสว สจฺจ ฺจ ปาร นปิ ณุ สุทุทฺทส
อชชฺชรนต ธุว อปโลกนิ อนทิ สฺสน นปิ ปฺ ป จฺ สนตฺ
ปณีต จฺ สวิ ฺจ เขม ตณฺหกฺขโย อจฺฉริย ฺจ อพภฺ ตุ
อนตี กิ อนีติกธมฺม นพิ ฺพานเมต สคุ เตน เทสติ
อพฺยาปชฺโฌ วิราโค จ สทุ ฺธิ มตุ ตฺ ิ อนาลโย

๕๐ ขุ.ธ.อ. ๔๒/๔๕๖.

๑๒๓

ทีปํ เลณ ฺจ ตาณ ฺจ สรณ ฺจ ปรายน๕๑

คมั ภีรก์ ลมุ่ อภธิ านได้วิเคราะหร์ ากศัพทแ์ ละความหมายนยิ ามแห่งพระนิพพานดังนี้

๑ โมกโฺ ข แปลว่า ธรรมเป็นท่หี ลกี เร้น

มีรปู วิเคราะห์ว่า
๑) มจุ ฺจนฺติ เอตฺถาติ โมกฺโข แปลว่า ธรรมเป็นทหี่ ลดุ พน้ ช่อื วา่ โมกขะ

๒) มจฺจนฺติ เอเตน ราคาทีหีติ โมกโฺ ข แปลว่า ธรรมเปน็ เครอื่ งหลุดพ้นจากกิเลสมรี าคะ
เปน็ ตน้ ๕๒

บาลีว่า โมกโฺ ข ซ่งึ แปลว่า พน้ จากกิเลสและพ้นจากวฏั ฏะจึงเปน็ นพิ พานได้ ๒ ประเภท

๒ นโิ รโธ แปลวา่ ความดบั
มรี ูปวิเคราะห์วา่
๑) นริ ุชฺฌนตฺ ิ เอตถฺ ราคาทโยติ นโิ รโธ แปลว่า ธรรมอนั เป็นที่ส้ินไปแหง่ กิเลสมรี าคะเป็น
ต้น ชื่อวา่ นโิ รธะ
๒) นตถฺ ิ โรโธ (กเิ ลโส) เอตถฺ าติ นโิ รโธ แปลว่า ธรรมทีไ่ มม่ กี ิเลส ชอ่ื วา่ นโิ รธะ
ดังมีพุทธวจนะว่า รูป โข อานนฺท อนิจฺจ สงฺขต ปฏิจฺจสมุปฺปนฺน ขยธมฺม วยธมฺม วิราค-
ธมฺม นิโรธธมฺม ตสฺส นิโรโธ นิโรโธติ วุจฺจติ๕๓ แปลว่า อานนท์ รูปไม่เท่ียง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัย
ปัจจัยเกิดข้ึน มีความส้ินไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มี
ความดับไปเปน็ ธรรมดา ความดับแห่งรูปนั้น เราเรียกวา่ นิโรธ๕๔

พระบาลวี ่า นโิ รโธ มีใช้จานวนมากในคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนา ท่สี าคญั ทส่ี ดุ พระพุทธองค์ได้
ตรัสไวเ้ ปน็ จุดสงู สุดแหง่ พระพุทธศาสนาว่า นิโรธสจจฺ ซ่ึงหมายถึงนิพพานน่นั เอง พระบาลวี ่า นโิ รธ ซ่ึง
หมายถงึ ส้นิ จากกิเลส ราคะ จึงหมายถึงสอปุ าทเิ สสนิพพาน

๓ อรปู ํ (น + รปู ) แปลวา่ ธรรมท่ีไม่มรี ูปลักษณ,์ อรปู ธรรม
มรี ูปวเิ คราะห์ว่า
นตถฺ ิ ทฆี รสฺสาทิก รูปํ สณฺ านเมตสฺ ฺสาติ อรูปํ แปลวา่ นิพพานไม่มีรปู ร่างสัณฐานว่ายาว
และสั้นเปน็ ต้น จงึ ชอื่ ว่า อรปู ะ๕๕
พระบาลวี ่า อรปู ํ จึงเป็นสภาพแห่งนิพพานทเี่ ป็นสอุปาทิเสสนพิ พานและอนุปาทเิ สสนิ
พพาน

๕๑ ส.สฬา. (บาลี) ๑๘/๔๐๙/๓๒๘.
๕๒ โมคคัลลานเถระ. “คัมภีร์อภิธานวรรณนา”, พระมหาสมปอง มุทิโต แปลเรียบเรียง,
(กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๒), หน้า ๑๙.
๕๓ ส.ข.(บาล)ี ๑๗/๒๑/๒๑.
๕๔ ส.ข.(ไทย) ๑๗/๒๑/๓๓
๕๕ โมคคลั ลานเถระ, “คมั ภรี ์อภธิ านวรรณนา”, หน้า ๒๑.

๑๒๔

๔ อมต๕๖ แปลวา่ สภาพที่พน้ จากความตาย
มรี ูปวิเคราะหด์ งั ต่อไปนี้
๑) มรณาภาเวน อมต เพราะไม่มีความตาย นิพพานจึงชอ่ื วา่ อมตะ
๒) นตฺถิ เอตฺถ มต มรณ อมต นิพพานเป็นธรรมทไี่ ม่มคี วามตาย
๓) เอตสมฺ ึ อธิคเต ปคุ ฺคลสฺส มตนฺติ อมต นิพพานทีบ่ ุคคลเขา้ ถงึ แล้วไม่มคี วามตาย ช่ือวา่
อมตะ
๔) อมต วุจฺจติ นิพพาน นพิ พาน เรียกว่า อมตะ๕๗
พระบาลวี า่ อมต เปน็ ภาวะแห่งนพิ พานที่ปฏเิ สธความตาย เหตคุ ือการปฏิเสธการเกิด
นน่ั เอง นพิ พานประเภทนี้จึงเปน็ อนุปาทิเสสนพิ าน

๕ อกต แปลวา่ อกตธรรม
มรี ูปวเิ คราะหด์ งั นี้๕๘
ปจฺจเยหิ อกตตฺตา อกต นิพพาน แปลว่า ชื่อว่า อกตะ เพราะเป็นธรรมท่ีไม่ถูกสร้างขึ้น
โดยปัจจัย พระพุทธองค์ตรัสว่า อชาต อภูต อกต อสงฺขต๕๙ แปลว่า นิพพานเป็นธรรมชาติไม่เกิด
เป็น ไม่ถูกปัจจยั กระทา ไมถ่ ูกปัจจัยปรงุ แตง่ ๖๐
พระบาลีว่า อกต เป็นภาวะที่ปฏิเสธการสร้างขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ในโลกนี้ จึงเป็น
อนุปาทเิ สสนพิ พาน

๖ เกวล๖๑ ธรรมท่ีไมม่ สี ังขารปรุงแต่ง
มีรูปวิเคราะห์ดังน้ี
สงขฺ าเรหิ อสมมฺ สิ สฺ ตาย วสิ โยคตาย เกวล นพิ พานชื่อว่า เกวละ เพราะไมป่ ระกอบดว้ ย
สังขารเครือ่ งปรุงแต่ง๖๒
ดังมีปรากฏในพระไตรปิฎกว่า เย จ เต สตตานุโยคิโน ธุว ปยุตฺตา สุคตสฺส สาสเน
ม ฺ ามิ เต อมตเมว เกวล อธิคจฺฉนฺติ๖๓ แปลว่า ชนเหล่าใดมีความเพียรเนือง ๆ เอาธุระในพระ
ศาสนาของพระสุคตอย่างมน่ั คง ข้าพเจ้าเขา้ ใจว่า ชนเหล่าน้ันแหละจะได้บรรลุอมตบท ซง่ึ ปจั จยั อะไร
ปรงุ แตง่ ไม่ได้(เกวล)อยา่ งแนน่ อน๖๔

๕๖ น + มร ธาตุ ปราศจากชวี ติ + ต ปจั จัย = อมตะ
๕๗ โมคคัลลานเถระ, “คัมภีร์อภิธานวรรณนา”, พระมหาสมปอง มุทิโต แปลและเรียบเรียง,
(กรงุ เทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๕๐), หนา้ ๒๓-๒๔.

๕๘ โมคคลั ลานเถระ, “คัมภีรอ์ ภิธานวรรณนา”, หนา้ ๒๓-๒๔.
๕๙ ข.ุ อ.ุ (บาลี) ๒๕/๗๓/๒๑๓.
๖๐ ข.ุ อุ. (ไทย) ๒๕/๗๓/๓๒๓.
๖๑ เกว ธาตุ เป็นไปในความไม่ประกอบ หมายถึงนิพพาน, นอกจากนี้ยังมีความหมายว่า โดยมาก
มั่นคง พอประมาณ ท้ังหมดทั้งส้ิน
๖๒ โมคคลั ลานเถระ, “คัมภีร์อภิธานวรรณนา”, หน้า ๒๘.
๖๓ ขุ.เปต.(บาลี) ๒๖/๔๙๘/๒๑๐.
๖๔ ขุ.เปต.(ไทย) ๒๖/๔๙๘/๒๔๖.

๑๒๕

พระบาลีว่า เกวล เป็นสภาพแห่งนิพพานท่ีปัจจัยอะไรปรุงแต่งไม่ได้ ซ่ึงเป็นได้ท้ัง
สอุปาทิเสสนิพพานและอนปุ าทิเสสนิพพาน

๗. อปวคฺโค ธรรมเว้นจากสงั ขารปรุงแตง่
มรี ปู วเิ คราะห์วา่
อปวชฺชนฺติ สงฺขารา เอตสฺมาติ อปวคฺโค แปลว่า นิพพานที่เว้นจากสังขาร ช่ือว่า
อปวคั คะ๖๕
คาว่า อปวคโฺ ค มใี นคมั ภีร์ฎกี าว่า อปวคฺโค โมกโฺ ขติ คหณ อปวคฺคคาฺ โห๖๖
พระบาลีว่า อปวคโฺ ค เป็นสภาพแห่งสงั ขารโลกท้ังปวง จงึ เปน็ อนุปาทิเสสนิพพาน
เทา่ นั้น

๘. อจจฺ ุต ธรรมทไ่ี มม่ จี ุตขิ องพระอรหนั ต์
มีรปู วิเคราะห์วา่
นตถฺ ิ เอตสมฺ ึ อธิคเต อริยาน จุต จวนนฺติ อจจฺ ตุ แปลว่า นพิ พานท่พี ระอรยิ บุคคลถึงแล้ว
ไมม่ ีการเคล่ือนไปเป็นอย่างอื่น ช่ือว่า อจั จตุ ะ๖๗
ดังมพี ระบาลวี า่ อจจฺ ุต อมต ปท ต าณ๖๘ แปลว่า พระองค์ทรงบรรลอุ มตบทท่ีไมจ่ ุติดว้ ย
พระญาณ๖๙
พระบาลีว่า อจฺจุต เป็นสภาพแห่งนิพพานท่ีไม่มีการจุติคือตายอีก ก็คือ อนุปาทิเสส
นิพพานเทา่ นัน้ เพราะไมเ่ กิดและตายอีกต่อไป

๙. ปท แปลวา่ ธรรมท่พี ระอรยิ ะเข้าถึง
มรี ปู วิเคราะห์วา่
อริเยหิ ปชชฺ ิตพพฺ ตตฺ า คนฺตพฺพตตฺ า ปท แปลวา่ นพิ พานช่ือวา่ ปทะ เพราะพระอริยะเจ้า
ดาเนนิ ไปถึง
ดงั พระพุทธองค์ตรสั วา่ สนฺต ปท อชฌฺ คมา๗๐ แปลว่า บรรลนุ ิพพานอันสงบ พระพุทธองค์
อธบิ ายไวพจน์แห่งนิพพานวา่ สนฺต ปท นิพพฺ าน๗๑ แปลว่า บทว่า สนตฺ ปท ได้แก่ นพิ พาน๗๒
พระบาลีว่า ปท นิพพานที่พระอริยเข้าถึงได้ หมายถึง สอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิ
เสส- นิพพาน

๑๐. โยคกเฺ ขโม แปลว่า ธรรมเปน็ เครื่องส้ินโยคะทั้ง ๔
มรี ูปวิเคราะหว์ ่า

๖๕ โมคคลั ลานเถระ, “คมั ภีรอ์ ภิธานวรรณนา”, หนา้ ๒๙.
๖๖ โมคคัลลานเถระ, “คัมภรี ์อภิธานวรรณนา”, หน้า ๒๙.
๖๗ โมคคัลลานเถระ, “คมั ภีรอ์ ภิธานวรรณนา”, หนา้ ๒๙.
๖๘ ขุ.อป. (บาล)ี ๓๒/๑๒/๒๒๕.
๖๙ ข.ุ อป. (ไทย) ๓๒/๑๒/๒๙๔.
๗๐ ส.ส. (บาลี) ๑๕/๗๓๒/๒๗๕.
๗๑ ส.อฏฺ ก. (บาล)ี ๑๑/๒๑๐/๒๕๗.
๗๒ โมคคัลลานเถระ, “คมั ภีรอ์ ภิธานวรรณนา”, หน้า ๒๙.

๑๒๖

จตฺตาโร ชยนตฺ ิ เอเตนาติ โยคกฺเขโม แปลว่า นิพพานเปน็ เครือ่ งสน้ิ โยคะท้ัง ๔ (ไดแ้ ก่ กาม
ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา) ช่อื วา่ โยคักเขมะ๗๓

คาว่า โยคกเฺ ขโม มีปรากฏในพระไตรปฎิ กวา่ อนุตฺตโร โยคกฺเขโม๗๔ แปลว่า ธรรมเป็น
แดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม๗๕

พระบาลีว่า โยคกฺเขโม เป็นสภาพแห่งนิพพานท่ีเกษมจากโยคะ เป็นได้ท้ังสอุปาทิเสส
นิพพานและอนปุ าทิเสสนพิ พาน

๑๑. สนฺติ๗๖ แปลว่า ธรรมท่ีสงบจากกเิ ลส
มีรปู วิเคราะห์วา่
๑) กเิ ลสมนโต สนฺติ แปลวา่ เพราะนพิ พานเปน็ ธรรมทส่ี งบจากกิเลส จึงชอื่ วา่ สนตฺ ิ
๒) สมน สนฺติ แปลวา่ ความสงบชอื่ ว่า สนั ติ๗๗
พระพุทธองค์ตรัสว่า ผุฏ สฺส ปรมา สนฺติ นิพฺพาน อกุโตภย๗๘ แปลว่า สัมผัสความสงบ
อย่างยง่ิ คือ นิพพานอนั ไม่มภี ยั จากทไี่ หน ๆ
พระบาลีว่า อกุโตภย เป็นสภาพแห่งนิพพานท่ีไม่มีภัย เป็นได้ท้ังสอุปาทิเสสนิพพานและ
อนุปาทเิ สสนิพพาน

๑๒. นิพฺพตุ ิ (อติ ฺถ)ี แปลวา่ ธรรมทอ่ี อกจากตณั หา หรือ ธรรมที่ปราศจากตัณหาเครอ่ื ง
กนั้ ใหต้ ดิ อย่ใู นสงสาร

มรี ูปวิเคราะหด์ ังน้ี
๑) อาวุโณติ สสารโต นิกฺขนฺตุมปฺปทานวเสนาติ วุติ ตณฺหา แปลว่า ตัณหาร้อยสัตว์ไว้
เพราะไม่ใหอ้ อกไปจากสงสาร จงึ ช่ือว่า วุติ
๒) ตโต นกิ ขฺ นฺตตฺตา นิพฺพุติ นิพพานช่อื วา่ นิพพตุ ิ เพราะออกจากตณั หานนั้
ดังพทุ ธวจนะวา่ ตถาคเตน สา นิพฺพุติ อธคิ ตา๗๙ นิพพานน้นั พระตถาคตทรงบรรลุแลว้
พระบาลีว่า นพิ ฺพุติ เป็นสภาพแห่งนิพพานท่ีปราศจากตัณหา ออกจากตัณหา เป็นได้ท้ังอุ
ปาทิเสสนิพพานและอนปุ าทเิ สสนพิ พาน
๔.๗.๒ สงั คมและวัฒนธรรม

มปี ระเด็นย่อยให้พิจารณาดังน้ี
๑) ความเป็นพ่อแม่ ญาติ ญาตติ ้ังแต่อดีตชาติ ยงั เปน็ ความเชื่อทมี่ ีอยูส่ มัยพทุ ธกาล

๗๓ โมคคัลลานเถระ, “คมั ภรี อ์ ภธิ านวรรณนา”, หน้า ๓๑.
๗๔ ส.มหา. (ไทย) ๑๙/๕๒๘/๒๐๕.
๗๕ ส.มหา. (ไทย) ๑๙/๕๒๘/๓๔๓.
๗๖ สมุ ธาตุ ในความสงบ + ติ ปจั จยั
๗๗ โมคคลั ลานเถระ, คมั ภรี อ์ ภธิ านวรรณนา, หน้า ๓๐.
๗๘ อ.จตกุ ก. (บาลี) ๒๑/๒๓/๓๑.
๗๙ ข.ุ มหา. (บาลี) ๒๙/๗๐๙/๔๒๓.

๑๒๗

๒) พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ในชาติสุดท้าย ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าสุทโธทนะ และ
พราหมณ์ ซึ่งพระองคย์ อมรบั วา่ เปน็ พระบิดา และท้ัง ๒ ทา่ นก็ไดบ้ รรลอุ รหนั ต์ทงั้ ๒ ท่านขณะทค่ี รอง
เพศเปน็ คฤหสั ถ์

๓) พระคาถานมี้ ีอทิ ธิพลต่อความเชอื่ เรือ่ งความรกั ๒ ประการ คอื ความรกั นัน้ ยอ่ มเกิด
เพราะอาศยั เหตุ ประการอย่างนี้ คอื (๑) เพราะการอยู่ร่วมกนั ในกาลกอ่ น (๒) เพราะการเกอ้ื กลู กัน
ในปัจจบุ ัน

๔.๗.๓ สรุป

พราหมณ์เฒ่าชาวเมืองสาเกตคนหนึ่งกาลังเดินออกไปจากพระนครพบพระทศพลที่
ระหว่างประตู จึงหมอบลงแทบพระบาททั้งสองแล้ว จับท่ีข้อพระบาทไว้ม่ันพลางกล่าวว่า “พ่อ
ธรรมดามารดาและบิดา อนั พวกลูกชายพึงประคบประหงม ในเวลาท่ที ่านชราแล้วมิใชห่ รอื เหตุ
ไรเลา่ พ่อจึงไมแ่ สดงตนใหป้ รากฏแกข่ ้าพระองค์ส้ินกาลประมาณเพยี งนี้ พระองคอ์ นั ขา้ พระองค์
เห็นก่อน ขอพระองค์จงเสด็จมาเยยี่ มมารดาบา้ ง ตอ่ มาพระพทุ ธเจา้ ตรัสกับภิกษุว่า ความรักนั้น
ยอ่ มเกิดเพราะอาศัยเหตุ ประการอย่างนี้ คือ เพราะการอยรู่ ่วมกันในกาลกอ่ น เพราะการเก้ือกลู กัน
ในปัจจุบัน เปรยี บเหมือน ดอกบวั เกิดในนา้ ได้ ชีวติ นี้น้อยนกั สัตว์ยอ่ มตายหย่อนแมก้ วา่ ๑๐๐ ปแี ม้
หากผู้ใดเป็นอยู่เกินไป ผู้นั้นย่อมตายแม้เพราะชราโดยแท้ ดังนั้นมุนีเป็นผู้ไม่เบยี ดเบียน สารวมแล้ว
ด้วยกายเป็นนิตย์ ย่อมไปสู่ฐานะอันไม่จุติ คือนิพพาน ซ่ึงเป็นท่ีคนท้ังหลายไปแล้วไม่เศร้าโศกอีก
ต่อไป ตอ่ มา ๒ สามีภรรยาพราหณ์ก็บรรลอุ รหนั ตแ์ ละปรินิพพาน

๑๒๘

๔.๘ เรอ่ื ง เดียรถีย์

เร่ืองเดยี รถีย์ อยู่ในกลุ่มธรรมธัมมัฏฐวรรค ว่าด้วยการดารงชีวิตอยู่ในหลักธรรม มี๑๐
เร่ือง ในการศึกษาวิเคราะห์ได้เลือกมา ๑ เรื่อง คือ ติตถิยะ (เรื่องเดียรถีย์) เป็นกรณีการศึกษา ๓
ประเดน็ ได้แก่ (๑) คณุ คา่ ของธรรมบท (๒) สังคมวฒั นธรรม (๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดงั นี้

สถานท่ี พระเชตวนั
บุคคล พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ , เดยี รถยี ,์ เหลา่ ภกิ ษุ
ผล ชนเป็นอนั มากบรรลุอริยผลท้ังหลาย มีโสดาปัตติผลเปน็ ต้น

พระบาลีหรือพทุ ธวจนะไดต้ รสั วา่
น โมเนน มุนิ โหติ มูฬหฺ รโู ป อวทิ ทฺ สุ

โย จ ตลุ ว ปคคฺ ยฺห วรมาทาย ปณฺฑโิ ต

ปาปานิ ปริวชเฺ ชติ ส มุนิ เตน โส มนุ ิ
โย มนุ าติ อุโภ โลเก มนุ ิ เตน ปวุจจฺ ติ ๘๐

บุคคลโงเ่ ขลาไมร่ ้อู ะไร เพยี งแตน่ ง่ั นิ่ง ๆ หาช่อื ว่าเปน็ มุนีไม่

สว่ นบคุ คลผฉู้ ลาด เลือกช่งั เอาแตส่ งิ่ ท่ีดี ละท้ิงสิ่งท่ีชัว่
เหมอื นบุคคลชง่ั สิง่ ของ จึงจะชื่อว่า มนุ ีแท้
ผทู้ ่ีร้โู ลกทงั้ สอง กเ็ รยี กว่า มุนีเชน่ กัน ๘๑

ปฐมเหตแุ หง่ กาลกลา่ วอนโุ ทนากถา

พวกเดียรถีย์เหล่าน้ันทาอนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ ในสถานท่ีตนบริโภคแล้ว กล่าวมงคล
โดยนยั เป็นต้นวา่ “ความเกษมจงมคี วามสขุ จงมี อายุจงเจริญ ในทชี่ ่อื โน้นมเี ปอื กตม ในท่ีช่อื โน้น
มีหนาม การไปสูท่ ่ีเหน็ ปานนัน้ ไม่ควร” แล้วจึงหลีกไป สมัยปฐมโพธิกาลในเวลาท่ยี ังไม่ทรงอนุญาต
วิธีอนุโมทนาเป็นต้น ภิกษุทั้งหลายไม่ทาอนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ในโรงภัตเลย ย่อมหลีกไป พวก
มนุษย์ยกโทษว่า “พวกเราได้ฟังมงคลแต่สานักของเดียรถีย์ทงั้ หลาย แต่พระผูเ้ ป็นเจ้าทัง้ หลายน่ิง
เฉย หลีกไปเสีย” ภกิ ษทุ ั้งหลายยกราบทูลความนัน้ แดพ่ ระศาสดา

พระศาสดาทรงอนญุ าตวา่ “ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนไ้ี ป ท่านทั้งหลายจงทาอนุโมทนา
ในท่ีทั้งหลายมีโรงภัตเป็นต้น ตามสบายเถิด จงกล่าวอุปนิสินนกถาเถิด” ภิกษุเหล่านั้นทาอย่าง
น้ันแล้ว พวกมนุษย์ฟังวิธีอนุโมทนาเป็นต้น ถึงความอุตสาหะแล้ว นิมนต์ภิกษุท้ังหลาย เที่ยวทา
สกั การะ พวกเดียรถียย์ กโทษว่า “พวกเราเป็นมุนีทาความเปน็ ผนู้ ิ่ง พวกสาวกของพระสมณโคดม
เที่ยวกล่าวกถามากมาย ในที่ทั้งหลายมีโรงภัตเปน็ ตน้ ”

๘๐ ขุ.ธ.(บาล)ี ๒๕/๒๔๙-๒๕๐/๖๐.
๘๑ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๖๘-๒๖๙/๑๑๕.

๑๒๙

พระศาสดาทรงสดับความน้ัน ตรัสว่า “ภกิ ษุท้ังหลาย เราไม่กลา่ วว่า ‘มุนี’ เพราะเหตุ
สักว่าเป็นผู้นิ่ง เพราะคนบางพวกไม่รู้ ยอ่ มไมพ่ ูด บางพวกไม่พูด เพราะความเป็นผู้ไม่แกล้วกล้า
บางพวกไม่พดู เพราะตระหนว่ี ่า ‘คนเหล่าอนื่ อย่ารเู้ น้ือความอันดีย่งิ น้ีของเรา’ เพราะฉะนนั้ คนไม่
ชอ่ื ว่าเป็นมุนี เพราะเหตุสักว่าเป็นคนนิ่ง แต่ช่ือว่าเป็นมุนี เพราะยังบาปให้สงบ” ดังนี้แล้ว ได้

ตรสั พระคาถาเหลา่ น้ีว่า

น โมเนน มนุ ิ โหติ มฬู ฺหรโู ป อวิทฺทสุ
โย จ ตลุ ว ปคฺคยฺห วรมาทาย ปณฺฑโิ ต
ปาปานิ ปริวชฺเชติ ส มุนิ เตน โส มนุ ิ
โย มุนาติ อุโภ โลเก มนุ ิ เตน ปวจุ จฺ ติ

บุคคลเขลา ไม่รโู้ ดยปกติ ไม่ช่ือวา่ เปน็ มุนเี พราะความเปน็ ผู้นงิ่
สว่ นผใู้ ดเป็นบัณฑิตถือธรรมอันประเสริฐ ดจุ บคุ คลประคองตาช่งั
เว้นบาปท้งั หลายผูน้ นั้ เปน็ มนุ ี ผนู้ นั้ เป็นมุนี เพราะเหตนุ น้ั

ผ้ใู ดรอู้ รรถทั้งสองในโลก ผู้นัน้ เรากลา่ ววา่ ' เป็นมนุ ี ' เพราะเหตนุ ั้น."

ในกาลจบเทศนา ชนเปน็ อนั มากบรรลอุ รยิ ผลทง้ั หลาย มโี สดาปตั ติผลเป็นต้น๘๒

๔.๘.๑ คณุ คา่ ของธรรมบท

พระพุทธโฆสมหาเถรไดใ้ ห้ความหมายและอรรถประโยชน์แหง่ พระคาถาบาลมี คี ุณค่า
ดังตอ่ ไปนี้

พระบาลีว่า น โมเนน หมายความว่า บุคคลช่ือว่าเป็นมุนี เพราะโมนะคือมรรคญาณ
กลา่ วคือข้อปฏบิ ตั เิ คร่อื งเปน็ มนุ ี ในพระคาถานี้ พระผู้มพี ระภาคเจา้ ตรสั ว่า โมเนน หมายเอาความ
เป็นผูน้ ่งิ

พระบาลีวา่ มุฬหฺ รโู ป หมายความว่า เป็นผเู้ ปลา่
พระบาลีว่า อวิทฺทสุ คือ ไม่รู้โดยปกติ หมายความว่า บุคคลเห็นปานนั้น แม้เป็นผู้น่ิง
ก็ไม่ชือ่ ว่าเปน็ มนุ ี อีกอย่างหน่งึ ไมช่ อื่ ว่าโมไนยมนุ ี แต่เป็นผ้เู ปลา่ เปน็ สภาพ และไมร่ ู้โดยปกติ

พระบาลีว่า โย จ ตุล ว ปคฺคยฺห ความว่า เหมือนอย่างคนยืนถือตาชั่งอยู่ ถ้าของ
มากเกนิ ไปก็นาออกเสยี ถา้ ของนอ้ ยก็เพิ่มเข้า ฉันใด ผู้ใดนาออกชอื่ วา่ เวน้ บาป ดุจคนเอาของที่มาก
เกินไปออก บาเพ็ญกุศลอยู่ดุจคนเพิ่มของอันน้อยเข้า ฉันน้ันเหมือนกัน ก็แลเม่ือทาอย่างนั้น ชื่อว่า
ถอื ธรรมอันประเสริฐคือสูงสุดทีเดียว กลา่ วคอื ศีลสมาธิ ปญั ญา วมิ ุตติ วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ เวน้ บาป
คอื กรรมท่เี ปน็ อกุศลท้งั หลาย

๘๒ ขุ.ธ.อ.๔๓/๔๑.

๑๓๐

พระบาลวี า่ ส มุนิ หมายความว่า ผู้นัน้ ช่ือว่าเป็นมุนี
พระบาลีว่า เตน โส มุนิ หมายความว่า หากมีคาถามสอดเข้ามาว่า “ก็เพราะเหตุไร
ผนู้ ั้นจึงชื่อว่าเปน็ มุนี” ตอบวา่ “ผูน้ น้ั เปน็ มุนี เพราะเหตุทก่ี ลา่ วแลว้ ในหนหลัง”

พระบาลีว่า โย มุนาติ อุโภ โลเก หมายความว่า บุคคลผู้ใดรู้อรรถทั้งสองนี้ ใน
โลกมีขันธ์เป็นต้นนี้ โดยนัยเป็นต้นว่า “ขันธ์เหล่าน้ีเป็นภายใน ขันธ์เหล่านี้เป็นภายนอก”
ดจุ บคุ คลยกตาชง่ั ขน้ึ ชง่ั อยฉู่ ะนนั้

พระบาลีวา่ มุนิ เตน ปวจุ จฺ ติ หมายความวา่ ผู้นั้น พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรัสเรียกวา่ '
เปน็ มุนี เพราะเหตุนั้น๘๓

การกล่าวอนุโทนากถา เรื่องนี้จึงเป็นปฐมเหตุแห่งการกล่าวสัมโมทนียกถาขอ ง
พระสงฆไ์ ทยจนถงึ ทุกวันนี้

สงั เคราะหพ์ ระบาลีในอริยสัจ ๔ ดงั นี้
พระคาถา ๒ บาทแรก เป็นทุกขสัจะ

น โมเนน มุนิ โหติ มูฬฺหรูโป อวทิ ฺทสุ บุคคลเขลา ไมร่ ู้โดยปกติ ไม่ชอื่ วา่ เปน็
มุนเี พราะความเปน็ ผู้นงิ่

พระคาถาท่เี หลอื ล้วนแล้วแต่เปน็ มรรคสจั จะ เพราะตรัสถึงบัณฑิต ผเู้ ว้นจากบาป
โย จ ตลุ ว ปคฺคยหฺ วรมาทาย ปณฺฑิโต สว่ นผู้ใดเป็นบัณฑติ ถือธรรมอนั

ประเสริฐ ดจุ บคุ คลประคองตาชงั่
ปาปานิ ปริวชเฺ ชติ ส มนุ ิ เตน โส มนุ ิ เวน้ บาปทงั้ หลายผ้นู นั้ เปน็ มนุ ี ผ้นู น้ั เปน็

มุนี เพราะเหตนุ ั้น
โย มนุ าติ อโุ ภ โลเก มนุ ิ เตน ปวุจจฺ ติ
ผใู้ ดรูอ้ รรถท้ังสองในโลก ผู้นั้นเรากล่าวว่า เป็นมนุ ี เพราะเหตนุ น้ั

พระคาถานี้ แสดงธรรมคู่ คือ ทกุ ขสจั จะเปน็ โลกยิ ะ คู่กับ มรรคสจั จะเป็นโลกุตตระ

๔.๘.๒ สงั คมและวัฒนธรรม

ในเร่อื งนี้มปี ระเด็นดา้ นสังคมและวฒั นธรรมดังน้ี
๑) ศาสนาในสมยั พทุ ธกาลนัน้ มีจานวนมาก และเปน็ วถิ ีชีวิตของชาวอนิ เดยี ที่มีความ
เป็นอิสระในการนบั ถือศาสนา เคารพสิทธใิ นการนับถือศาสนา
๒) การกลา่ วอนุโมทนาและใหพ้ รนับวา่ เป็นจดุ เริ่มตน้ หรอื ปฐมเหตุแหง่ การให้พรแก่
ญาติโยมโดยอาศัยเรื่องนเ้ี ปน็ ปฐมเหตุ มาจนถึงปัจจบุ ัน
๓) การให้พรนั้นพระพุทธศาสนาถือว่าได้รับอิทธิพลจากศาสนาอื่น ไม่ใช่
พระพทุ ธศาสนาเลยทีเดียว

๘๓ ขุ.ธ.อ. (สตฺตโม ภาโค) ๕๒-๕๓.

๑๓๑

๔.๘.๓ สรุป

สมัยปฐมโพธิกาลในเวลาที่ยังไม่ทรงอนุญาตวิธีอนุโมทนาเป็นต้น ภิกษุทั้งหลายไม่ทา
อนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ในโรงภัตเลย ย่อมหลีกไป พวกมนุษย์ยกโทษว่า พวกเราได้ฟังมงคลแต่
สานกั ของเดียรถยี ์ทั้งหลาย แต่พระผู้เป็นเจ้าทัง้ หลายนิ่งเฉย หลีกไปเสยี ภิกษุทั้งหลายยกราบทูล
ความน้ันแด่พระศาสดา พระศาสดาทรงอนุญาตว่า ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดน้ีไป ท่านท้ังหลายจง
ทาอนุโมทนาในที่ท้ังหลายมีโรงภัตเป็นต้น ตามสบายเถิด จงกล่าวอุปนิสินนกถาเถิด ภิกษุ
เหล่านั้นทาอย่างน้ันแล้ว พวกมนุษย์ฟังวิธีอนุโมทนาเป็นต้น ถึงความอุตสาหะแล้ว นิมนต์ภิกษุ
ทั้งหลาย เที่ยวทาสักการะ พวกเดียรถีย์ยกโทษว่า “พวกเราเป็นมุนีทาความเป็นผู้น่ิง พวกสาวก
ของพระสมณโคดมเที่ยวกล่าวกถามากมาย ในท่ีทั้งหลายมีโรงภัตเป็นต้น พระศาสดาทรงสดับ
ความนั้น ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวว่า ‘มุนี’ เพราะเหตุสักว่าเป็นผู้นิ่ง เพราะคนบาง
พวกไม่รู้ ย่อมไม่พูด บางพวกไม่พูด เพราะความเป็นผู้ไม่แกล้วกล้า บางพวกไม่พูด เพราะ
ตระหน่ีว่า ‘คนเหล่าอื่นอย่ารู้เน้ือความอันดียิ่งน้ีของเรา’ เพราะฉะนั้นคนไม่ช่ือว่าเป็นมุนี เพราะ
เหตุสักว่าเป็นคนน่ิง แต่ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะยังบาปให้สงบ ผู้ใดเป็นบัณฑิตถือธรรมอันประเสริฐ
ดุจบคุ คลประคองตาชง่ั เว้นจากบาปหรืออกศุ ลกรรมบถทง้ั หลายผู้นัน้ เป็นมุนี ผู้นนั้ เปน็ มนุ เี พราะเหตุ
นนั้ ผู้ใดร้อู รรถท้งั สองในโลกคือขันธ์ ๕ ท่เี ปน็ ภายในตวั เราและผอู้ ่นื ผนู้ ้นั แหละเปน็ มุนี


Click to View FlipBook Version