The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาธรรมบทศึกษา เป็นวิชาเอกของสาขาวิชาพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสารคำสอนเล่มนี้ คือ ได้นำเอาทฤษฎีด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ และพุทธเศรษฐศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และนำเอาพระคาถาธรรมบทมำสังเคราะห์โดยความเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอาศาสตร์ด้ำน พระอภิธรรมมาร่วมวิเคราะห์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนคัมภีร์ธรรมบทไว้เพื่อเป็นเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในการประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเรียงเนื้อหาจากตื้นไปสู่ความสุขุมคัมภีรภาพ ตามอัธยาศัยของผู้ศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชาและนำไปเป็นแบบแผน แผนที่ดำเนินชีวิต หรือสันติบท เพื่อสันติสุข

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by MCU Books, 2022-06-28 13:42:36

ธรรมบทศึกษา

วิชาธรรมบทศึกษา เป็นวิชาเอกของสาขาวิชาพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสารคำสอนเล่มนี้ คือ ได้นำเอาทฤษฎีด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ และพุทธเศรษฐศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และนำเอาพระคาถาธรรมบทมำสังเคราะห์โดยความเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอาศาสตร์ด้ำน พระอภิธรรมมาร่วมวิเคราะห์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนคัมภีร์ธรรมบทไว้เพื่อเป็นเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในการประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเรียงเนื้อหาจากตื้นไปสู่ความสุขุมคัมภีรภาพ ตามอัธยาศัยของผู้ศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชาและนำไปเป็นแบบแผน แผนที่ดำเนินชีวิต หรือสันติบท เพื่อสันติสุข

Keywords: ธรรมบทศึกษา,พระพุทธศาสนา,พระไตรปิฎก

๑๓๒

๔.๙ เร่ือง นายทารุสากฏิกะ

เรื่อง นายทารุสากฏิกะ อยู่ในกลุ่มหมวดธรรมปกิณณกวรรค ว่าด้วยการพรรณนาเร่ือง
ทว่ั ไป มีท้ังหมด ๙ เรื่อง ในท่นี ีไ้ ดเ้ ลือกมา ๑ เร่อื ง ไดแ้ ก่ ทารสุ ากฏกิ ะ เป็นกรณีการศกึ ษา ๓ ประเดน็
ได้แก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท (๒) สงั คมวฒั นธรรม (๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดงั นี้

บุคคล พระศาสดา, บุตรของนายทารสุ ากฏกิ ะ พ่อและแม,่ อมนษุ ย์ (ยักษ์)
สถานที่ พระเวฬุวัน ราชคฤห์
ผล บุตรของนายทารุสากฏกิ ะ นายทารสุ ากฎกิ ะและภรรยาบรรลอุ รหันต์
พระบาลหี รอื พุทธวจนะได้ตรสั วา่

สปุ ฺปพทุ ธฺ ปพุชฌฺ นตฺ ิ สทา โคตมสาวกา
เยส ทวิ า จ รตโฺ ต จ นจิ จฺ พุทฺธคตา สติ ฯ
สปุ ปฺ พุทธฺ ปพุชฺฌนตฺ ิ สทา โคตมสาวกา
เยส ทิวา จ รตโฺ ต จ นจิ จฺ ธมฺมคตา สติ ฯ
สุปฺปพุทฺธ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยส ทวิ า จ รตฺโต จ นจิ จฺ สงฆฺ คตา สติ ฯ
สุปฺปพทุ ธฺ ปพุชฌฺ นตฺ ิ สทา โคตมสาวกา
เยส ทวิ า จ รตฺโต จ นจิ ฺจ กายคตา สติ ฯ
สปุ ฺปพุทฺธ ปพชุ ฌฺ นฺติ สทา โคตมสาวกา
เยส ทิวา จ รตฺโต จ อหสึ าย รโต มโน ฯ
สปุ ฺปพทุ ฺธ ปพชุ ฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
ภาวนาย รโต มโน ฯ๘๔
เยส ทวิ า จ รตโฺ ต จ

เหลา่ พระสาวกของพระโคดม มสี ติตัง้ มั่นในพระพทุ ธเจา้ เป็นนิตย์
ทง้ั กลางวนั และกลางคืนชอ่ื วา่ ตนื่ ด้วยดอี ยู่เสมอ
เหลา่ พระสาวกของพระโคดม มสี ตติ งั้ ม่นั ในพระธรรมเป็นนติ ย์
ท้ังกลางวนั และกลางคนื ชื่อว่าตื่นดว้ ยดีอยู่เสมอ
เหล่าพระสาวกของพระโคดม มสี ตติ ้งั มน่ั ในพระสงฆ์เปน็ นิตย์
ทง้ั กลางวันและกลางคนื ชื่อวา่ ตน่ื ดว้ ยดอี ยเู่ สมอ
เหล่าพระสาวกของพระโคดม มีสติต้ังมัน่ ในกายเป็นนติ ย์
ทัง้ กลางวนั และกลางคนื ชื่อวา่ ตนื่ ดว้ ยดอี ยู่เสมอ
เหลา่ พระสาวกของพระโคดม มใี จยนิ ดใี นความไมเ่ บียดเบียน
ทั้งกลางวันและกลางคืน ชอื่ ว่าตน่ื ด้วยดอี ย่เู สมอ
เหล่าพระสาวกของพระโคดม มีใจยนิ ดใี นการเจรญิ ภาวนา

๘๔ ขุ.ธ.(บาลี) ๒๕/๒๙๖-๓๐๑/๖๘.

๑๓๓

ทงั้ กลางวันและกลางคืนช่อื ว่าตืน่ ด้วยดอี ยเู่ สมอ๘๕

เด็กสองคนในเมืองราชคฤห์ คือ บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิคนหนึ่ง บุตรของ
บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิคนหน่ึง เล่นขลุบอยู่ด้วยกันเนือง ๆ. เด็กสองคนน้ัน บุตรของบุคคลผู้เป็น
สัมมาทิฏฐิ เม่ือจะทอดขลุบ ระลึกถึงพุทธานุสสติแล้วกล่าวว่า “นโมพุทฺธสฺส” แล้วจึงทอดขลุบ
เด็กนอกนี้ระลึกเฉพาะพระคุณท้ังหลายของพวกเดียรถีย์แล้ว กลา่ วว่า “นโม อรหนฺตานิ” แล้วจึง
ทอด ในเด็กสองคนน้ัน บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิชนะเด็กคนอื่น บุตรของบุคคลผู้เป็น
มิจฉาทิฏฐินั้น เห็นกิริยาของบุตรผู้เป็นสัมมาทิฏฐิน้ันแล้ว คิดว่า “เพื่อนคนนี้ ระลึกแล้วอย่างน้ัน
กล่าวแล้วอย่างนั้น ทอดขลุบไปจึงชนะเรา แม้เราก็จักทาอย่างน้ันบ้าง” ได้ทาการส่ังสมใน
พุทธานุสสติแลว้

ภายหลังวนั หน่ึง บดิ าของเด็กผเู้ ป็นสัมมาทิฏฐินน้ั เทียมเกวียนแล้วไปเพ่อื ต้องการไม้ ได้
พาเด็กแม้น้ันไปแล้ว บรรทกุ เกวียนใหเ้ ต็มแล้วดว้ ยไมใ้ นดง ขับมาอยู่ถึงภายนอกเมอื ง ปล่อยโคไปใน
ที่อันมีความสาราญด้วยน้า ในที่ใกล้ป่าช้า แล้วได้กระทาการจัดแจงภัต ลาดับนั้น โคของเขาเข้า
ไปสเู่ มอื งกับหม่โู คที่เข้าไปสู่เมืองในเวลาเย็น ฝ่ายนายสากฏิกะเทย่ี วติดตามโคอยู่ เข้าไปสเู่ มืองแล้ว
ในเวลาเย็นพบโคแล้วจูงออกไปอยู่ ไม่ทันถึงประตู ก็เมื่อเขายังไม่ทันถึงน่ันแหละ ประตูปิดเสียแล้ว
ขณะน้ัน บุตรของเขาผู้เดียวเท่าน้ัน นอนแล้วในภายใต้แห่งเกวียนในส่วนแห่งราตรีก้าวลงสู่
ความหลับแล้ว กรุงราชคฤห์ แม้ตามปกติก็มากไปด้วยอมนุษย์ อน่ึง เด็กน้ี ก็นอนแล้วในท่ีใกล้แห่ง
ป่าช้า พวกอมนุษย์ในที่ใกล้แห่งป่าช้าน้ันเห็นเขาแล้ว อมนุษย์คนหน่ึงผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นเสี้ยน
หนามต่อพระศาสนา อมนษุ ย์ตนหน่ึง เปน็ สัมมาทิฏฐิ

ในอมนุษย์ท้งั สองน้ัน อมนุษย์ผู้เปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิกล่าวว่า “เด็กคนนี้ เป็นภกั ษาหารของพวก
เรา พวกเราจงเคี้ยวกินเด็กคนน้ี” อมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐินอกนี้ ห้ามอมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิน้ัน
ด้วยคาว่า “อย่าเลย ท่านอย่าชอบใจเลย” อมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น แม้ถูกอมนุษย์ผู้เป็น
สมั มาทฏิ ฐินน้ั ห้ามอยู่ ก็ไม่เอื้อเฟ้อื ถอ้ ยคาของเขา จับเทา้ เด็กคร่ามาแลว้

ในขณะน้ัน เด็กนั้นกล่าวว่า “นโม พุทฺธสฺส” เพราะความที่ตนเป็นผู้สั่งสม
ในพุทธานุสสติ อมนุษย์กลัวภัยใหญ่ จึงได้ถอยไปยืนอยู่แล้ว อมนุษย์รักษาและบารุงเด็กผู้นอนใน
ป่าคนเดียว ลาดับน้ัน อมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐินอกนี้ กล่าวกะอมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิน้ันว่า
“พวกเราทาสิ่งอันไม่ควรทาเสียแล้ว พวกเราจงทาทัณฑกรรมเพื่อเด็กนั้นเสียเถิด” ดังนี้แล้ว ได้
ยืนรักษาเด็กน้ัน อมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเข้าไปสู่พระนคร ยังถาดโภชนะของพระราชาให้เต็มแล้ว
นาโภชนะมา ต่อมา อมนุษย์แม้ทั้งสองเป็นประดุจว่ามารดาและบิดาของเด็กนั้นปลุกเด็กน้ันให้ลุก
ขนึ้ แล้ว ให้บริโภคโภชนะนั้น ประกาศความเปน็ ไปนัน้ แล้ว จารึกอกั ษรท่ีถาดโภชนะ ด้วยอานุภาพ
ของยกั ษ์ ด้วยอธิษฐานว่า “พระราชาเท่านั้น จงเห็นอักษรเหลา่ น้ี คนอ่ืนจงอย่าเห็น” ดงั น้แี ล้วจึง
ไป

๘๕ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๙๖-๓๐๑/๑๒๕.

๑๓๔

ในวันรุ่งขึ้น พวกราชบุรุษทาความโกลาหลอยู่ว่า “พวกโจรลักเอาภัณฑะคือภาชนะไป
จากราชตระกูลแล้ว” จึงปิดประตูท้ังหลายแล้วค้นดู เม่ือไม่เห็นในพระนครจึงออกจากพระนคร
ตรวจดขู ้างโนน้ และข้างน้ี จึงเหน็ ถาดอนั เป็นวกิ ารแห่งทองคาบนเกวยี นท่ีบรรทุกฟนื จึงจับเด็กนั้น
ด้วยความสาคญั ว่า “เด็กนี้เป็นโจร” ดังนี้แล้วแสดงแด่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นอักษร
ทั้งหลายแล้ว ตรัสถามว่า “น่ีอะไรกัน” เด็กนั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพข้าพระองค์
ไม่ทราบ มารดาบิดาของข้าพระองค์มาให้บริโภคในราตรีแล้วได้ยืนรักษาอยู่ ข้าพระองค์คิดว่า '

มารดาบดิ ารกั ษาเราอยู่ จงึ ไม่มีความกลวั เลย เข้าถงึ ความหลบั แล้ว ขา้ พระองค์ทราบเพียงเท่านี้”

ลาดับนั้น แม้มารดาและบิดาของเด็กน้ัน ก็ได้ไปสู่ที่น้ันแล้ว พระราชาทรงทราบความ
เป็นไปนั้นแล้ว ทรงพาชนท้ังสามนั้นไปสู่สานักพระศาสดา กราบทูลความเป็นไปท้ังปวงแล้ว
ทูลถามว่า “ขา้ แต่พระองค์ผเู้ จรญิ พุทธานุสสติเท่านัน้ ย่อมเปน็ คณุ ชาติเคร่ืองรกั ษาหรอื หนอแล

? หรือวา่ อนสุ สติอื่น แมม้ ธี มั มานุสสติเปน็ ต้น ก็เปน็ คุณชาติเคร่อื งรักษา”

ลาดับน้ัน พระศาสดาตรัสแก่พระราชาน้ันว่า “มหาบพิตร พุทธานุสสติอย่างเดียว
เท่านั้น เป็นคุณชาติเครื่องรักษาก็หามิได้ ก็จิตอันชนเหล่าใดอบรมดีแล้วโดยฐานะ ๖ กิจด้วย
อันรักษาและป้องกันอย่างอ่ืนหรือด้วยมนต์และโอสถ ย่อมไม่มีแก่ชนเหล่าน้ัน ดังนี้แล้ว เมื่อจะ

ทรงแสดงฐานะ ๖ ได้ทรงภาษติ พระคาถาเหลา่ นว้ี ่า

สปุ ฺปพทุ ฺธ ปพุชฌฺ นตฺ ิ สทา โคตมสาวกา
เยส ทิวา จ รตฺโต จ นจิ จฺ พุทฺธคตา สติ.
สุปปฺ พุทฺธ พุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
ส ทิวา จ รตฺโต จ นิจจฺ ธมมฺ คตา สติ.
สปุ ปฺ พทุ ธฺ ปพุชฌฺ นตฺ ิ สทา โคตมสาวกา
ส ทิวา จ รตโฺ ต จ นิจฺจ สงฺฆคตา สติ.
สุปปฺ พทุ ฺธ ปพชุ ฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
ส ทิวา จ รตฺโต จ นจิ จฺ กายคตา สติ.
สปุ ฺปพทุ ธฺ ปพชุ ฌฺ นตฺ ิ สทา โคตมสาวกา
ส ทิวา จ รตฺโต จ อหึสาย รโต มโน.
สปุ ฺปพทุ ฺธ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
ส ทวิ า จ รตฺโต จ ภาวนาย รโต มโน

สติของชนเหลา่ ใด ไปแลว้ ในพระพุทธเจ้าเป็นนติ ย์ทั้งกลางวนั ท้ังกลางคนื
ชนเหล่าน้นั เปน็ สาวกของพระโคดม ตน่ื อยูด่ ้วยดใี นกาลทกุ เมอ่ื
สตขิ องชนเหลา่ ใด ไปแล้วในพระธรรมเปน็ นติ ยท์ งั้ กลางวันทั้งกลางคืน
ชนเหล่านนั้ เปน็ สาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ดว้ ยดีในกาลทุกเม่ือ
สตขิ องชนเหล่าใด ไปแลว้ ในพระสงฆเ์ ป็นนิตย์ทงั้ กลางวันทั้งกลางคนื
ชนเหลา่ นั้น เป็นสาวกของพระโคดม ตื่นอยู่ดว้ ยดใี นกาลทุกเมื่อ
สติของชนเหลา่ ใด ไปแลว้ ในกายเป็นนิตย์ ท้ังกลางวนั ทงั้ กลางคืน

๑๓๕

ชนเหล่านั้นเปน็ สาวกของพระโคดม ตืน่ อยู่ดว้ ยดีในกาลทุกเมื่อ.
ใจของชนเหล่าใดยนิ ดีแล้วในอันไมเ่ บยี ดเบียนทงั้ กลางวนั ท้งั กลางคืน
ชนเหล่านั้น เปน็ สาวกของพระโคดม ต่ืนอยู่ดว้ ยดีในกาลทกุ เมื่อ
ใจของชนเหล่าใดยนิ ดีแลว้ ในภาวนา ทัง้ กลางวันทง้ั กลางคืน
ชนเหลา่ นน้ั เปน็ สาวกของพระโคดมต่ืนอยดู่ ว้ ยดใี นกาลทุกเมื่อ

ในกาลจบเทศนา เด็กคนนั้นดารงอยู่ในโสดาปัตตผิ ลพร้อมด้วยมารดาและบิดาแล้ว ครั้น
ภายหลัง ชนแม้ทั้งหมดบวชแล้วบรรลุพระอรหัต เทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่ชนผู้ประชุมกันแล้ว
ดงั นี้แล ๘๖

๔.๙.๑ คณุ ค่าของธรรมบท

พระคาถานนั้ มีคุณคา่ ดงั น้ี
พระบาลีว่า สุปฺปพุทฺธ ปพุชฺฌนฺติ หมายความว่า ชนเหล่านั้นยึดสติอันไปแล้วใน
พระพทุ ธเจา้ หลับอยูน่ ่ันเทียวเมือ่ ต่นื ช่ือวา่ ตืน่ อยู่ดว้ ยดี

พระบาลีว่า สทา โคตมสาวกา ความว่า ชื่อว่าเป็นสาวกของพระโคดม เพราะความท่ี
ตนเป็นผู้เกิดแล้วในท่ีสุดแห่งการฟังแห่งพระพุทธเจ้าผู้โคตมโคตร และ เพราะความเป็นคืออันฟัง
อนุสาสนขี องพระพุทธเจ้าพระองคน์ น้ั น่ันแล

พระบาลีวา่ พทุ ธฺ คตา สติ ความว่า สติของชนเหล่าใดปรารภพระพทุ ธคณุ ทั้งหลายอนั
ตา่ งด้วยคณุ มีวา่ อิตปิ ิ โส ภควา เปน็ ต้นเกิดขึ้นอยู่ มีอยู่ตลอดกาลเป็นนติ ย์ ชนเหล่านน้ั ช่อื ว่าต่ืน
อยู่ด้วยดีแม้ในกาลทกุ เมื่อ ก็ชนเหล่านั้น เมื่อไม่อาจเพ่ือจะกระทาอย่างนั้นได้ทาซ่ึงพุทธานุสสตไิ ว้ใน
ใจ ในวันหนึ่ง ๓ เวลา ๒ เวลา หรอื แม้เวลาเดียว ชือ่ วา่ ต่นื อยู่ด้วยดเี หมือนกัน

คาว่า พทุ ธะ หมายถึง พระพุทธคณุ ทด่ี ารงอยู่ในพทุ ธเจา้ ๘๗

พระบาลวี ่า ธมฺมคตา สติ ความว่า สติท่ีปรารภพระธรรมคณุ ท้ังหลาย อนั ตา่ งดว้ ยคุณ
มวี า่ สวฺ ากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เป็นตน้ อนั เกิดขึ้นอยู่

พระบาลีวา่ สงฆฺ คตา สติ ความวา่ สตทิ ี่ปรารภพระสงั ฆคุณทัง้ หลายอันต่างดว้ ยคุณมีว่า
สปุ ฏิปนโฺ น ภควโต สาวกสงฺโฆ เปน็ ต้นอนั เกดิ ข้นึ อยู่

พระบาลวี ่า กายคตา สตคิ วามวา่ สติอนั เกดิ ขึ้นอยู่ ด้วยสามารถแห่งอาการ ๓๒
ด้วยสามารถแหง่ การอยู่ในป่าชา้ ดว้ ยสามารถแหง่ รปู ฌานมีนีลกสณิ อันเป็นไปในภายในเปน็ ตน้

๘๖ ขุ.ธ.อ.๔๓/๑๖๙-๑๗๕.
๘๗ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “การศึกษาวิเคราะห์พระคาถาธรรมบท เล่ม ๒”,
(กรงุ เทพมหานคร: ประยรู สาสน์ ไทยการพมิ พ์), หนา้ ๖๑๔.

๑๓๖

พระบาลวี ่า อหึสาย รโต ความวา่ ยนิ ดแี ลว้ ในกรุณาภาวนา อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรสั ไว้อย่างนว้ี ่า ภิกษนุ นั้ มีใจสหรคตด้วยกรณุ า แผ่ไปตลอดทศิ หนึ่งอยู่

พระบาลวี า่ ภาวนาย ได้แก่ เมตตาภาวนา จริงอยู่ ภาวนาท่ีเหลอื แม้ทง้ั หมด พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงประสงคเ์ อาในบทว่า ภาวนาย นี้ เพราะความท่กี รณุ าภาวนาพระองคต์ รัสไว้แลว้ ใน
หนหลงั แม้โดยแท้ ถึงกระน้ัน เมตตาภาวนาเทา่ นัน้ พระองคท์ รงประสงคเ์ อาในบทว่า “ภาวนาย” น้ี
คาทเี่ หลือ ผศู้ กึ ษาพงึ ทราบโดยนัยท่ีกล่าวแลว้ ในคาถาตน้ นน้ั เทียว. ๘๘

สงั เคราะหพ์ ระคาถาในอริยสจั ๔ ดงั น้ี
พระพทุ ธวจนะว่า
นจิ ฺจ พทุ ฺธคตา สติ
นจิ ฺจ ธมมฺ คตา สติ.
นิจฺจ สงฆฺ คตา สติ
นิจจฺ กายคตา สติ.
อหสึ าย รโต มโน.
ภาวนาย รโต มโน

ลว้ นแลว้ แต่เป็นมรรคสจั จะทั้งสน้ิ

๔.๘.๒ สงั คมและวัฒนธรรม

เรอ่ื งน้ีมีประเด็นสังคมวัฒนธรรมดังนี้
๑) การเล่น หรอื การอยู่ในป่าในเขา โดยอาศัยพ่งึ สง่ิ ศกั ดิ์สิทธิในสงั คมอนิ เดียกม็ ตี ้ังแต่
สมยั พุทธกาล
๒) การแผ่เมตตาเป็นวฒั นธรรมสืบทอดกนั มานาน
๓) การระลกึ ถงึ พระรตั นตรัยก่อนออกจากบา้ นไปทางาน ก่อนนอน ขณะทางาน และมี
ภยั ถอื วา่ เป็นวัฒนธรรมทส่ี บื ทอดกนั มาตัง้ แต่อดีตสมยั พทุ ธกาล
๔) คาว่า อรหันต์ นอกจากพระพุทธศาสนาแล้ว ยงั เปน็ คาบรกิ รรม และเป็นที่เคารพ
ความเช่อื ของลัทธิ ศาสนาอืน่ นอกจากพระพุทธศาสนา

๔.๘.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์

การมีท่ีพ่งึ ทางใจท่ดี ี ทาให้มีกาลังใจ มพี ลังใจในการประกอบสมั มาอาชีวะ การทามา
คา้ ขายเม่ือมีสติอยูก่ ับปจั จุบนั อารมณ์ การประกอบอาชีพย่อมมีความเสีย่ งน้อย และมีกาไรเป็น
อานิสงส์

๘๘ ขุ.ธ.อ.สตฺตโม ภาโค/๑๐๗.

๑๓๗

๔.๘.๔ สรุป

บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิคนหน่ึง เมื่อจะทอดขลุบ ระลึกถึงพุทธานุสสติแล้วกล่าว
ว่า “นโมพุทฺธสฺส” แล้วจึงทอดขลุบ เด็กคนอ่ืน ๆ ก็ระลึกเฉพาะพระคุณทั้งหลายของพวกเดียรถีย์
แลว้ กล่าววา่ “นโม อรหนฺตานิ” แลว้ จึงทอด ในเด็กสองคนนัน้ บุตรของบคุ คลผูเ้ ปน็ สมั มาทฏิ ฐชิ นะ
เด็กคนอ่ืน บุตรของบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิน้ัน เห็นกิริยาของบุตรผู้เป็นสัมมาทิฏฐินั้นแล้ว คิดว่า
เพ่ือนคนน้ี ระลึกแล้วอย่างนั้น กล่าวแล้วอย่างน้ัน ทอดขลุบไปจึงชนะเรา แม้เราก็จักทาอย่างนั้น
บ้าง ไดท้ าการส่ังสมในพทุ ธานุสสติแล้ว ดงั นั้นการมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เบยี ดเบียน เจริญ
ภาวนา อยูท่ ุกเมือ่ ชือ่ วา่ เปน็ สาวกของพระสมั มาสมั พุทธเจ้า ย่อมใกลต้ อ่ พระนิพพาน

๑๓๘

๔.๑๐ เร่อื งการฝกึ ตน (อัตตโน) หรือ เรอื่ งของพระองค์ (พุทธเจา้ )

เรื่องการฝึกตน (อัตตโน) อยู่ในหมวดธรรม นาควรรค ว่าด้วยกลุ่มธรรมท่ีพระพุทธเจ้า
ตรัสถึงช้าง (ความเป็นผู้ประเสริฐ) มีท้ังหมด ๘ เรื่อง ในที่นี้ได้เลือกมา ๑ เรื่อง ได้แก่ อัตตโนวัตถุ
เป็นกรณีการศึกษา ๒ ประเด็น ได้แก่ (๑) คณุ คา่ ของธรรมบท (๒) สังคมวฒั นธรรม ดังน้ี

สถานท่ี เมอื โกสัมพี แค้วนสกั กะ
บุคคล สัมมาสมั พุทธเจา้ , นางมาคันทยิ า
ผล มหาชนจานวนมาก ผู้รับสินจ้างดา่ พระพุทธเจ้าบรรลุโสดาปตั ติผล

พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ตรัสพระบาลีว่า

อห นาโคว สงฺคาเม จาปาโต ปติต สร

อตวิ ากยฺ นฺติติกฺขิสสฺ ทสุ สฺ โี ล หิ พหุชฺชโน

ทนตฺ นยนตฺ ิ สมติ ึ ทนตฺ ราชาภริ หู ติ

ทนฺโต เสฏฺโ มนุสฺเสสุ โยตวิ ากยฺ นตฺ ติ กิ ขฺ ติ

วรมสฺสตรา ทนตฺ า อาชานียา จ สินธฺ วา

กุ ชฺ รา จ มหานาคา อตฺตทนฺโต ตโต วร๘๙

เราจักอดกลั้นถ้อยคาลว่ งเกนิ เหมอื นพญาชา้ งในสงคราม
อดทนลกู ศรที่ตกจากแลง่ เพราะคนจานวนมากเปน็ ผู้ทุศลี

คนทั้งหลายนาสัตว์พาหนะทฝ่ี ึกแลว้ ไปสู่ที่ประชุม

พระราชาย่อมทรงราชพาหนะทีฝ่ กึ แล้วในหมู่มนุษย์
คนท่อี ดกลัน้ ถ้อยคาลว่ งเกนิ ไดช้ ื่อวา่ เปน็ ผฝู้ ึกตนได้แล้วเปน็ ผู้ประเสรฐิ ท่ีสุด

ม้าอัสดร ม้าอาชาไนย ม้าสนิ ธพ ชา้ งใหญท่ ี่ได้รบั การฝึกหดั แล้ว
เป็นสัตว์ประเสริฐแตค่ นที่ฝกึ ตนได้แลว้ ประเสริฐกว่าสตั วพ์ าหนะเหล่านั้น๙๐

สมัยหนึ่ง พระนางมาคันทิยาไม่อาจทาอะไร ๆ แก่หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็น
ประมขุ เหลา่ นน้ั ได้ จึงทรงดาริวา่ “เราจกั ทาแก่พระสมณโคดมใหเ้ ดือนร้อนได้” ดงั นแี้ ลว้ ให้สินจา้ ง
แก่ชาวนครทั้งหลายแล้ว กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายพร้อมกับพวกผู้ชายท่ีเป็นทาสและกรรมกร จงด่า
จงบริภาษพระสมณโคดมผเู้ สด็จเที่ยวเขา้ มาภายในพระนคร ให้หนไี ป”

พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระศาสดาผู้เสด็จเข้าไปภายใน
พระนคร ด่าอยู่ บริภาษอยู่ ด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า “เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคน
หลง เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นโคเจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน สุคติไม่มีสาหรับ

เจา้ ทคุ ติเทา่ นน้ั อันเจา้ พึงหวัง”

๘๙ ข.ุ ธ. (บาลี) ๒๕/๓๒๐/๗๒.
๙๐ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๒๐/๑๓๓.

๑๓๙

พระอานนท์ทลู ใหเ้ สดจ็ ไปนครอื่นก็ไม่เสด็จไป ท่านพระอานนท์สดับคาน้ันแล้ว ได้กราบ
ทูลคานี้กะพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชาวนครเหล่านี้ ย่อมด่า ย่อมบริภาษเรา
ทงั้ หลายเราท้ังหลายไปในที่อ่ืนจากพระนครนี้เถิด”

พระศาสดา. ไปไหน อานนท์
พระอานนท์. สู่นครอ่นื พระเจ้าข้า
พระศาสดา. เมื่อมนุษย์ทง้ั หลายในทีน่ ั้น ด่าอยู่ บริภาษอยู่ เราจกั ไปในที่ไหนอีก
อานนท์ ?
พระอานนท์. สู่นครอ่นื แม้จากนครนั้น พระเจ้าข้า
พระศาสดา. เม่ือมนุษย์ในท่ีนั้น ด่าอยู่ บริภาษอยู่ เราทั้งหลายจักไปในที่ไหนอีก เล่า
อานนท์
พระอานนท์. สู่นครอ่นื แมจ้ ากนครนั้นอีก พระเจา้ ข้า
พระศาสดา. อานนท์ การทาอยา่ งนั้นไมค่ วร อธิกรณเ์ กิดข้ึนในที่ใด เมอื่ มันสงบแลว้ ใน
นัน้ นั่นแหละ การไปสทู่ ่ีอนื่ จึงควร อานนท์กเ็ ขาพวกไหนเล่า ยอ่ มดา่
พระอานนท์. ขา้ แต่พระองค์ผ้เู จรญิ ชนทัง้ หมดจนกระท่ังทาสและกรรมกร ยอ่ มดา่ พระ

ศาสดาทรงอดกลนั้ คาลว่ งเกินได้

พระศาสดา. อานนท์ เราเป็นเชน่ กบั ช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อลกู ศรที่แล่นมาจาก
๔ ทิศ เป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงครามฉันใด ช่ือว่าการอดทนถ้อยคาท่ีชนทุศีลแม้มากกล่าวแล้ว
เป็นภาระของเราฉันน้ันเหมอื นกนั เมือ่ ทรงปรารภพระองค์แสดงธรรม ได้ทรงภาษติ พระคาถาเหล่าน้ี
ว่า

อห นาโคว สงฺคาเม จาปาโต ปติต สร
อติวยากฺยนตฺ ติ ิกขฺ ิสฺส ทสุ สฺ ีโล หิ พหุชฺชโน
ทนตฺ นยนตฺ ิ สมติ ึ
ทนโฺ ต เสฏโฺ มนุสฺเสสุ ทนตฺ ราชาภริ หู ติ
วรมสฺสตรา ทนตฺ า
โยตวิ ากฺยนตฺ ิตกิ ขฺ ติ
กุญชฺ รา จ มหานาคา โยติวากยฺ นฺติตกิ ขฺ ติ
อตฺตทนโฺ ต ตโต วร๙๑

เราจักอดกล้ันคาล่วงเกนิ เหมอื นชา้ งอดทนต่อลกู ศรที่ตกจากแล่งในสงครามฉะนน้ั
เพราะชนเป็นอันมากเปน็ ผทู้ ุศีล ชนทั้งหลาย ย่อมนาสตั ว์พาหนะท่ีฝกึ แล้วไปสทู่ ่ปี ระชมุ
พระราชาย่อมทรงสตั ว์พาหนะที่ฝึกแล้ว บุคคลผอู้ ดกลั้นคาลว่ งเกนิ ได้ ฝึกตนแล้ว
เป็นผู้ประเสริฐในมนุษย์ทั้งหลาย ม้าอัสดร ม้าสินธพผู้อาชาไนย ช้างใหญช่ นดิ กุญชร

ทีฝ่ กึ แลว้ ยอ่ มเป็นสัตวป์ ระเสริฐ แตบ่ ุคคลที่มีตนฝึกแล้ว ย่อมประเสรฐิ กว่า

๙๑ ข.ุ ธ.อ. สตตฺ โม ภาโค/๑๓๗.

๑๔๐

ในกาลจบเทศนา มหาชนแม้ทง้ั หมดนั้น ผรู้ บั สินจา้ งแลว้ ยนื ดา่ อย่ใู นที่ทั้งหลาย มถี นน
และทางสามแยกเปน็ ตน้ บรรลุโสดาปตั ติผลแล้ว๙๒

๔.๑๐.๑ คุณคา่ ของธรรมบท

พระพทุ ธโฆสมหาเถระไดอ้ ธบิ ายพระคาถาดังน้ีว่า
พระบาลีวา่ นาโคว คือ เหมอื นช้าง
พระบาลีวา่ จาปาโต ปติต ความวา่ หลดุ ออกไปจากธนู
พระบาลวี า่ อติวากยฺ ความวา่ ซง่ึ คาล่วงเกิน ท่ีเปน็ ไปแลว้ ดว้ ยสามารถแห่งอนริย
โวหาร ๘ ได้แก่

๑. อทิฏฺเ ทิฏฺ วาทิตา ความเปน็ ผู้มีปกติกลา่ วสง่ิ ทไ่ี มเ่ ห็นว่าเห็น
๒. อสฺสุเต สุตวาทติ า ความเป็นผู้มีปกติกล่าวสง่ิ ที่ไม่ไดย้ นิ วา่ ได้ยิน
๓. อมุเต มุตวาทติ า ความเป็นผู้มีปกตกิ ลา่ วส่งิ ที่ไมร่ วู้ ่ารู้
๔. อวญิ ฺาเต วิญาฺ ตวาทติ า ความเป็นผูม้ ีปกตกิ ล่าวส่งิ ท่ีไม่ทราบชดั ว่าทราบชัด
๕. ทิฏเฺ อทฏิ ฺ วาทิตา ความเป็นผ้มู ีปกติกล่าวส่งิ ที่เหน็ ว่าไม่เห็น
๖. สเุ ต อสสฺ ตุ วาทติ า ความเปน็ ผ้มู ีปกติกล่าวส่ิงท่ีได้ยนิ วา่ ไมไ่ ดย้ นิ
๗. มุเต อมุตวาทิตา ความเป็นผู้มีปกติกลา่ วส่งิ ทรี่ วู้ า่ ไม่รู้
๘. วญิ าฺ เต อวิญาฺ ตวาทิตา ความเป็นผมู้ ปี กตกิ ล่าวสงิ่ ท่ที ราบชัดว่าไมท่ ราบชดั

พระบาลวี า่ ติติกขฺ ิสสฺ หมายความวา่ ชา้ งใหญท่ ี่เขาฝึกหัดดแี ล้ว เข้าส่สู งครามเปน็ สัตว์
อดทน ไมพ่ ร่นั พรงึ ซ่ึงลูกศรที่หลุดจากแล่งตกลงทต่ี น ชอื่ วา่ ย่อมทนทานตอ่ การประหารทัง้ หลาย มี
ประหารดว้ ยหอกเป็นต้นได้ ฉันใด เรากจ็ ักอดกล้ัน คอื จักทนทานคาล่วงเกิน มรี ปู อย่างนน้ั ฉัน
นัน้ เหมือนกัน

พระบาลีว่า ทสุ ฺสโี ล หิ หมายความว่า เพราะโลกยิ มหาชนนี้เปน็ อันมากเปน็ ผทู้ ศุ ลี
เท่ยี วเปล่งถอ้ ยคาเสยี ดสีดว้ ยอานาจแหง่ ความชอบใจของตน การอดกล้ัน คอื การวางเฉย ในถอ้ ยคา
นัน้ เป็นภาระของเรา

พระบาลวี า่ สมติ ึ หมายความว่า ชนทัง้ หลาย เม่ือจะไปสูท่ า่ มกลางมหาชนในสมาคม
สถาน มีอทุ ยานและสนามกรีฑาเปน็ ต้น เทียมโคหรือมา้ ที่ฝกึ แลว้ เท่านน้ั เขา้ ที่ยานแล้ว ย่อมนาไป

พระบาลวี ่า ราชา หมายความวา่ แม้พระราชา เม่ือเสด็จไปสู่ท่เี ห็นปานน้ันนนั่ แหละ
ย่อมทรงสัตว์พาหนะเฉพาะที่ฝึกแล้ว

พระบาลีวา่ มนสุ ฺเสสุ หมายความว่า แม้ในมนุษย์ท้ังหลายผฝู้ กึ แล้ว คือผสู้ ้ินพยศแล้ว
แล ด้วยอริยมรรค ๔ เป็นผูป้ ระเสรฐิ

๙๒ ขุ.ธ.อ.๔๓/๒๒๖-๒๓๐.

๑๔๑

พระบาลีว่า โยติวากยฺ หมายความว่า บุคคลใดย่อมอดกล้ัน คอื ย่อมไมโ่ ตต้ อบ ไม่พรั่น
พรึงถึงคาล่วงเกินมีรูปเช่นน้ัน แม้อันเขากล่าวซ้าซากอยู่บุคคลผู้ฝึกแล้วเห็นปานนั้น เป็นผู้ประเสริฐ
ม้าที่เกดิ จากแมม่ ้าโดยพ่อลา ชือ่ ว่า มา้ อสั ดร

พระบาลวี า่ อาชานยี า หมายความว่า ม้าตวั สามารถเพอื่ จะพลนั รเู้ หตทุ ี่นายสารถผี ู้ฝกึ
ม้าให้กระทาม้าทีเ่ กิดในแควน้ สินธพ ชือ่ วา่ ม้าสนิ ธพ ช้างใหญท่ เ่ี รียกว่ากุญชร ชอื่ วา่ มหานาค

พระบาลีว่า อตฺตทนฺโต เป็นต้น หมายความว่า ม้าอัสดรก็ดี ม้าสินธพก็ดีช้างกุญชรก็ดี
เหล่านั้น ที่ฝกึ แล้วเท่านั้นเปน็ สตั ว์ประเสริฐ ท่ียงั ไมไ่ ด้ฝึกหาประเสริฐไม่ แต่บุคคลใด ช่ือว่ามตี นฝึก
แล้ว คือหมดพยศแล้วเพราะความท่ีตนเป็นผู้ฝึกด้วยอริยมรรค ๔ บุคคลน้ีย่อมประเสริฐกว่าสัตว์
พาหนะ มีม้าอัสดรเป็นต้นแม้นั้น คือย่อมเป็นผู้ย่ิงกว่าสัตว์พาหนะ มีม้าอัสดรเป็นต้นเหล่าน้ันแม้
ท้งั ส้ิน

๔.๑๐.๒ สงั คมและวัฒนธรรม

มีประเดน็ ย่อยด้านสังคมและวัฒนธรรมดงั นี้
๑) สังคมทไ่ี ม่ดงี ามคอื การใส่ร้ายป้ายสี ร้างแค้นมีมาตง้ั แตส่ มัยพุทธกาล แตพ่ ระพุทธเจ้า
ก็ได้สร้างวัฒนธรรมไม่ทีด่ ีงามให้เกดิ ขึน้ ในทา่ มกลางแห่งความไมด่ ีงาม
๒) ในเร่ืองนีจ้ งึ เปน็ ต้นแบบของเรอื่ งสาหรับชาวไทย ขณะที่เดอื นร้อนใจเรอ่ื ง การใสร่ า้ ย
ถกู คนอื่นด่า ต่อวา่ ปราชญห์ รือพระสงฆม์ กั จะนาเรือ่ งนมี้ าเปน็ อทุ าหรณ์สอนว่า พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า
ผูส้ ิ้นอาสวะมีบารมเี ต็มรอบแลว้ ยงั มีโลกธรรมเข้ามากระทบ ให้ชาวพุทธเกดิ ความเข้าใจเร่ืองโลกธรรม
จงึ ปล่อยวางได้ ถือวา่ เป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมเชงิ ความคดิ และเป็นแนวปฏิบตั ขิ องสงั คมไทยพุทธ

๔.๑๐.๓ สรุป

พระนางมาคันทิยาไม่อาจทาอะไร ๆ แก่หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข
เหลา่ น้ันได้ จึงทรงดาริว่า “เราจักทาแกพ่ ระสมณโคดมให้เดอื นร้อนได้” ดงั น้ีแลว้ ให้สินจ้างแก่ชาว
นครท้ังหลายแล้วจ้างให้ดาว่าบริภาษพระสมณโคดมผู้เสด็จเท่ียวเข้ามาภายในพระนคร ให้หนีไป มี
การด่าถึง ๗ วัน พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนภิกษุว่า การอดกลั้นได้ เหมือนช้างอดทนต่อลูกศรท่ีตกจาก
แล่งในสงคราม ม้าอสั ดร ม้าสินธพผู้อาชาไนย ช้างใหญช่ นิดกุญชร ท่ฝี ึกแล้วยอ่ มเป็นสัตวป์ ระเสริฐ
บุคคลผู้อดกล้ันคาล่วงเกินได้ ฝึกตนแล้วเป็นผู้ประเสริฐในมนุษย์ทั้งหลาย แต่บุคคลท่ีมีตนฝึกแล้ว
ยอ่ มประเสริฐกว่า เรอื่ งน้จี ึงเป็นปฐมเหตสุ อนชาวพทุ ธเร่ืองการถูกโลกธรรมกระทบ เป็นเร่อื งธรรมดา
ประจาโลก แมพ้ ระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าผู้สิ้นอาสวะและมีบารมเี ตม็ เปี่ยมยังถกู โลกธรรมกระทบ

๑๔๒

๔.๑๑ เรอ่ื ง นังคลกูฏัตเถระ

เรื่อง นังคลกูฏัตเถระ ว่าด้วยเรื่องของภิกษุ อยู่ในหมวดธรรมภิกขุวรรคมี ๑๒ เร่ือง ใน

การศึกษาวิเคราะห์ได้เลือกมา ๑ เรื่อง คือ นังคลกูฏัตเถระ เป็นกรณีการศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่

(๑) คณุ ค่าของธรรมบท (๒) สงั คมวฒั นธรรม (๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดังนี้

สถานท่ี พระเชตะวนั

บคุ คล พระสัมมาสมั พุทธเจ้า นังคลกูฏัตเถระ

ผล นังคลกูฏตั เถระบรรลอุ รหนั ต์ และประชาชนจานวนมากบรรลุ

โสดาบัน

พระบาลีหรือพุทธวจนะไดต้ รสั ว่า

อตตฺ นา โจทยตตฺ าน ปฏิมเสตมตตฺ นา

โส อตตฺ คุตโฺ ต สติมา สุข ภกิ ขฺ ุ วิหาหสิ ิ

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ อตตฺ า หิ อตฺตโน คติ

ตสมฺ า ส ฺ ม อตตฺ าน อสฺส ภทฺรว วาณิโช ๙๓

ภิกษุ เธอจงเตอื นตนด้วยตนเอง จงพิจารณาดตู นด้วยตนเอง

ถ้าเธอคุ้มครองตนเองได้แล้ว มีสติเธอกจ็ ักอยูเ่ ป็นสขุ

ตนแล เปน็ ท่พี ึ่งของตนตนแล เป็นคตขิ องตน
เพราะฉะนน้ั เธอจงสงวนตนให้ดีเหมือนพอ่ ค้าม้าสงวนมา้ พันธ์ุดี ฉะนัน้ ๙๔

สมัยพุทธกาล คนยากจนคนหน่ึง ทาการรับจ้างของชนเหล่าอ่ืนเล้ียงชีพ ภิกษุรูปหนึ่ง
เห็นเขานุ่งผ้าท่อนเก่า แบกไถ เดินไปอยู่ จึงพูดอย่างนี้ว่า “เธอบวช จะไม่ประเสริฐกว่าการเป็นอยู่
อย่างนห้ี รอื ”

มนุษย์เข็ญใจ. ใครจักให้กระผมผ้เู ปน็ อยู่อยา่ งนบ้ี วชเลา่ ขอรับ
ภกิ ษุ. หากเธอจกั บวช ฉันก็จกั ให้เธอบวช

มนุษยเ์ ขญ็ ใจ. ดีละ ขอรับ ถ้าทา่ นจักให้กระผมบวช กระผมก็จกั บวช

ครั้งนั้น พระเถระนาเขาไปสู่พระเชตวัน แล้วให้อาบน้าด้วยมือของตน พักไว้ในโรงแล้ว
ให้บวช ให้เขาเก็บไถ พร้อมกับผ้าท่อนเกา่ ท่ีเขานุ่ง ไว้ทกี่ ่ิงไม้ใกล้เขตแดนแห่งโรงนั้นแล แมใ้ นเวลา
อปุ สมบท เธอไดป้ รากฏชือ่ ว่า “นังคลกูฏเถระ” นนั่ แล

พระนังคลกูฏเถระน้ัน อาศัยลาภสักการะซ่ึงเกิดขึ้นเพ่ือพระพุทธเจ้าทั้งหลายเลี้ยงชีพอยู่
กระสันขึ้นแล้ว เมื่อไม่สามารถเพ่ือจะบรรเทาได้จึงตกลงใจว่า “บัดนี้ เราจักไม่นุ่งห่มผ้ากาสายะ
ทั้งหลายทเี่ ขาใหด้ ้วยศรัทธาไปละ” ดังนี้แล้ ก็ไปยังโคนต้นไม้ ให้โอวาทตนด้วยตนเองวา่ “เจ้าผู้ไม่มี
หริ ิ หมดยางอาย เจ้าอยากจะนุ่งห่มผ้าขีร้ ้ิวผืนน้ี สึกไปทาการรบั จา้ งเล้ียงชีพอย่างน้ันหรือ” เม่ือ
ท่านโอวาทคนอยอู่ ย่างนัน้ แล จิตถึงความเปน็ ธรรมชาติเบาคลายกระสัน แล้วทา่ นกลับมาแล้ว โดย

๙๓ ขุ.ธ.(บาลี) ๒๕/๓๘๐/๘๓.
๙๔ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๓๘๐/๑๕๑.

๑๔๓

กาลล่วงไป ๒-๓ วัน ก็กระสันขึ้นอีก จึงสอนตนเหมือนอย่างนั้นนั่นแล ท่านกลับใจได้อีก ในเวลา
กระสนั ข้นึ มาทา่ นไปในทนี่ ั้นแล้ว โอวาทตนโดยทานองนแี้ ล

คร้ังน้ัน ภิกษุทั้งหลาย เห็นท่านไปอยู่ในที่นั้นเนือง ๆ จึงถามว่า ท่านนังคลกูฏเถระ
เหตุไร ท่านจงึ ไปในทีน่ นั้ ”

ท่านตอบว่า “ผมไปยังสานักอาจารย์ ขอรับ” ดังนี้แล้วต่อมา ๒-๓ วันเท่านั้น ก็บรรลุ
พระอรหตั ผล

ภิกษุท้ังหลาย เม่ือจะทาการล้อเล่นกับท่าน จึงกล่าวว่า “ท่านนังคลกูฏะผู้หลักผู้ใหญ่
ทางที่เที่ยวไปของท่าน เป็นประหน่ึงหารอยมิได้แล้ว ชะรอยท่านจะไม่ไปยังสานักของอาจารย์อีก
กระมัง”

พระเถระ อย่างน้ัน ขอรับ เม่ือกิเลสเคร่ืองเก่ียวข้องยังมีอยู่ ผมได้ไปแล้ว แต่บัดนี้กิเลส
เครื่องเก่ียวข้อง ผมตัดเสียได้แล้ว เพราะฉะน้ันผมจึงไม่ไป ภิกษุท้ังหลายฟังคาตอบนั้นแล้ว เข้าใจ
วา่ “ภกิ ษุนี่ พูดไมจ่ ริงพยากรณ์พระอรหัตผล” ดังนี้แลว้ จึงกราบทลู เร่ืองทง้ั หมดนน้ั แดพ่ ระศาสดา

พระศาสดาตรัสว่า “ใช่ ภิกษุทั้งหลาย นังคลกูฏะบุตรของเรา เตือนตนด้วยตนเองแล
แล้วจงึ ถึงทส่ี ดุ แห่งกิจของบรรพชิต” ดังนี้แลว้ เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่าน้ี

วา่

อตตฺ นา โจทยตฺตาน ปฏมิ เสตมฺตตนา

โส อตตฺ คตุ ฺโต สตมิ า สขุ ภกิ ฺขุ วหิ าหิส.ิ

อตฺตา หิ อตตฺ โน นาโถ อตตฺ า หิ อตฺตโน คติ

ตสมฺ า สญมฺ อตฺตาน อสสฺ ภทรฺ ว วาณิโช

เธอจงตักเตือนตนด้วยตน จงพจิ ารณาดตู นน้นั ด้วยตน

ภกิ ษุ เธอน้นั มสี ติปกครองตนได้แล้วจกั อย่สู บายตนแหละ

เป็นท่ีพึ่งของตน ตนแหละเป็นเคร่ืองดาเนนิ ไปของตน เพราะฉะน้ัน

เธอจงรักษาตนใหเ้ หมือนอยา่ งพอ่ ค้ามา้ รักษามา้ ตวั ฝเี ทา้ ดฉี ะนัน้

ในการแสดงพระธรรมเทศนาเสรจ็ ประชาชนจานวนมากบรรลุโสดาบัน

๔.๑๑.๑ คณุ คา่ ธรรมบท

พระบาลีว่า โจทยตฺตาน ความว่า จงตักเตือนตนด้วยตนเอง คือจงยังตนให้รู้สึกด้วย
ตนเอง

พระบาลวี า่ ปฏิมเส คอื ตรวจตราดตู นดว้ ยตนเอง

พระบาลีว่า โส เป็นต้น ความว่า ภิกษุ เธอนั้นเมื่อตักเตือนพิจารณาดูตนอย่างนั้นอยู่
เปน็ ผชู้ ่ือวา่ ปกครองตนได้ เพราะความเป็นผ้มู ตี นปกครองแล้วดว้ ยตนเอง เปน็ ผชู้ อื่ ว่า มีสติ เพราะ
ความเปน็ ผู้มีสติตัง้ มั่นแลว้ จกั อยสู่ บายทุกอิริยาบถ

๑๔๔

พระบาลีว่า นาโถ ความว่า เป็นที่อาศัย คือเป็นที่พานัก คนอ่ืนใครเล่า พึงเป็นท่ีพึ่งได้
เพราะบุคคลอาศัยในอัตภาพของผู้อ่ืน ไม่อาจเพ่ือเป็นผู้กระทากุศลแล้ว มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบ้ือง
หน้า หรือเป็นผู้ยังมรรคให้เจริญแล้ว ทาผลให้แจ้งได้ เพราะเหตุนั้น จึงมีอธิบายว่า “คนอ่ืน ชื่อว่า
ใครเล่า พงึ เปน็ ท่พี ึ่งได้”

พระบาลีว่า ตสฺมา เป็นต้น ความว่า เหตุท่ีตนแลเป็นคติ คือเป็นที่พานัก ได้แก่เป็น
สรณะของตน พอ่ ค้าม้าอาศัยม้าตวั เจริญ คือม้าอาชาไนยนั้น ปรารถนาลาภอยู่จึงเกียดกันการเท่ียว
ไปในวิสมสถานท่ีไม่สมควรแห่งม้านั้น ให้อาบน้าให้บริโภคอยู่ ต้ังสามคร้ังต่อวัน ชื่อว่า ย่อมสงวน
คือประดับประคองฉันใด แม้ตัวเธอ เมอ่ื ป้องกันความเกิดข้ึนแห่งอกุศลซ่ึงยังไม่เกิด ขจัดท่ีเกิดขึ้น
แล้วเพราะการหลงลืมสติเสีย ก็ช่ือว่า สงวนคือปกครองตนฉันน้ัน เม่ือเธอสงวนตนไดอ้ ย่างนี้อยู่
เธอจกั บรรลคุ ณุ พเิ ศษท้งั ที่เปน็ โลกยิ ะทง้ั ทีเ่ ปน็ โลกตุ ระ เริ่มแตป่ ฐมฌานเป็นต้นไป๙๕

การจะเข้าถึงโลกุตระมรรค ผล นิพพาน ต้องอาศัยตนเองเป็นหลัก เตือนตนเองบ่อย ๆ
มีสติ วริ ิยะให้มาก

สังเคราะห์พระบาลีในอรยิ สัจ ๔ ดังนี้
พระคาถาทงั้ หมดจดั เป็นมรรคสัจจะ อันประกอบด้วยสติ

๔.๑๑.๒ สังคมวัฒนธรรม
มปี ระเดน็ ย่อยด้านสงั คมและวัฒนธรรมดงั น้ี
๑) การทาเกษตร เปน็ วิถสี ว่ นใหญข่ องชาวอินเดยี และชว่ ยเหลือพระกบั ชาวบา้ น
เป็นวฒั นธรรมท่ีดงี ามของสังคม
๒) วฒั นธรรมของความเปน็ ภิกษุที่ดใี นพระพุทธศาสนาคือ การดู พจิ ารณา ตักเตือน
สอนตอนเอง เพราะใคร ๆ ไม่สามารถเปน็ ที่พึ่งสดุ ท้ายได้

๔.๑๑.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์
การทาเศรษฐกิจทางโลกหรือโลกิยะ เป็นความเส่ียงภัย ใช้ทุนทรัพย์ ไม่มีวันท่ีสิ้นสุด
แต่การลงทุนทาธุรกิจทางโลกุตระน้ัน ไม่ต้องอาศัยทรัพย์ภายนอก แต่อาศัยทุนคือกายและใจเท่าน้ัน
และสิ่งท่จี ะได้มาซ่ึงอริยทรัพย์ได้น้นั ต้องทาด้วยตนเอง

๙๕ ขุ.ธ.อ.๔๓/๓๘๘-๓๙๑.

๑๔๕

๔.๑๑.๔ สรปุ

สมัยพุทธกาล คนยากจนคนหนึ่ง ทาการรับจ้างของชนเหล่าอื่นเลี้ยงชีพ ภิกษุรูปหน่ึง
จึงพูดอย่างนี้ว่า “เธอบวช จะไม่ประเสริฐกว่าการเป็นอยู่อย่างน้ีหรือ จึงตัดสินใจบวชคร้ังน้ัน พระ
เถระนาเขาไปสู่พระเชตวัน แล้วให้อาบน้าด้วยมือของตน พักไว้ในโรงแล้วให้บวช ให้เขาเก็บไถ
พร้อมกับผ้าทอ่ นเก่าที่เขานุ่ง ไว้ทกี่ ิ่งไม้ใกล้เขตแดนแห่งโรงนั้นแล แม้ในเวลาอุปสมบท เธอได้ชอ่ื ว่า
นังคลกูฏเถระ อาศัยลาภสักการะซึ่งเกิดข้ึนเพ่ือพระพุทธเจ้าทั้งหลายเลี้ยงชีพอยู่ กระสันขึ้นแล้ว เม่ือ
ไม่สามารถเพื่อจะบรรเทาได้จึงตกลงใจว่า “บัดน้ี เราจักไม่นุ่งห่มผ้ากาสายะทั้งหลายที่เขาให้ด้วย
ศรัทธาไปละ ก็ไปยังโคนต้นไม้ ให้โอวาทตนด้วยตนเองว่า เจ้าผู้ไม่มีหิริ หมดยางอาย เจ้าอยากจะ
นุง่ หม่ ผา้ ขี้ร้วิ ผืนน้ี สึกไปทาการรับจา้ งเล้ียงชีพอย่างนัน้ หรอื เมื่อท่านโอวาทคนอยอู่ ย่างนั้นแล จิต
ถึงความเป็นธรรมชาติเบาคลายกระสัน แล้วท่านกลับมาแล้ว โดยกาลล่วงไป ๒-๓ วัน ก็กระสัน
ขึ้นอีก จึงสอนตนเหมือนอยา่ งนน้ั นน่ั แล ท่านกลับใจได้อกี ในเวลากระสันขึ้นมาท่านไปในที่นั้นแล้ว
โอวาทตนโดยทานองนแ้ี ล ต่อมา ๒-๓ วันเท่านั้น ก็บรรลุพระอรหัตผล พระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า
จงตักเตือนตนด้วยตน จงพิจารณาดูตนน้ันด้วยตน มีสติปกครองตนได้แล้วจักอยู่สบายตนแหละ เป็น
นาถะของตน ตนแหละ เป็นคตขิ องตน เพราะฉะนน้ั จงสงวนตนให้เหมือนอย่างพ่อค้าม้า สงวนม้า
ตัวเจรญิ ฉะนนั้

บทที่ ๕
คมั ภรี ์ธรรมบท

กบั
พุทธเศรษฐศาสตร์

๑๔๗

ขอบข่ายเนือ้ หา

- ความนา
- เร่อื งกมุ ภโฆสกะ
- เร่ืองถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปะ
- เร่ืองถวายบณิ ฑบาตแก่พระมหากัสสปะ
- เรอ่ื งจเู ฬกสาฎก พราหมณผ์ ู้มเี ส้อื ใส่ผนื เดยี ว
- เรอ่ื งจูเฬกสาฎก พราหมณ์ผมู้ ีเสื้อใส่ผนื เดยี ว
- เรื่องมหาธนเสฏฐปิ ตุ ตะ
- เร่อื งมหากาลอบุ าก
- เรื่องมหากาลอุบาสก
- เรอ่ื งมหาธนวานิช
- เรื่องพระวงั คสี ะ

๑๔๘

ความนา

คัมภีร์ธรรมบทน้ันกล่าวถึงเร่ืองหลักธรรม คือ โพธิปักขิยธรรมเพ่ือการตรัสรู้แจ้งใน
อริยสัจ ๔ และพระนิพพาน แต่อย่างไรก็ตามแม้พุทธศาสตร์จะผ่านไป ๒,๕๐๐ กว่าปี กึ่งพุทธกาล
พุทธศาสตรก์ ย็ งั เปน็ วิทยาศาสตร์ที่พสิ จู น์ได้ด้วยการศกึ ษาและปฏบิ ัตติ าม (เอหปิ สั สิโก) พุทธศาสตรจ์ ึง
มคี วามสัมพันธ์กับศาสตร์ปัจจุบันทุกศาสตร์ ในท่ีนี้ได้ใช้หลักแห่งการตีความพระบาลีโดยพระอรรถ
กถาจารย์และผ้เู รียบเรียงได้สังเคราะห์พระบาลีคาถาธรรมบทโดยความเปน็ อริยสัจ ๔ เพื่อสะดวก
งา่ ยต่อการจาแนกหลักธรรมอันจะนาไปสู่การศึกษาเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์แห่งธรรมบทและได้
เสนอความสัมพันธ์ ๓ ด้าน คือ (๑) สังคมศาสตร์ (๒) วัฒนธรรม (๓) เศรษฐศาสตร์ และพุทธ
เศรษฐศาสตร์ อันมีผลทางด้านวิถีชีวิตและภูมิปญั ญาไทย ในบทนี้ผูเ้ รียบเรียงได้สังเคราะห์ธรรมบท
ท่ีมีความโดดเด่นด้านเศรษฐศาสตร์ มีเรื่องในคัมภีร์ธรรมบทท่ียกมาเป็นประเด็นศึกษา เพ่ือให้
เหมาะสมกบั ยคุ สมัยปัจจุบัน ดังน้ี

๑๔๙

๕.๑ เรือ่ ง กุมภโฆสกะ๑

เร่ืองกุมภโฆสกะ อยู่ในหมวดธรรมอัปปมาทวรรค ตอนที่ว่าด้วยความไม่ประมาท
มีท้ังหมด ๙ เร่ือง ในท่ีน้ีได้เลือกมา ๑ เร่ืองคือ กุมภโฆสกะ เป็นกรณีการศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่
(๑) คุณค่าของธรรมบท (๒) สงั คมวัฒนธรรม (๓) พุทธเศรษฐศาสตร์ ดังน้ี

สถานที่ พระเชตะวัน กรงุ ราชคฤหถ์
บุคคล พระสมั มาสมั พุทธเจา้ , พระเจ้าพมิ พสิ าร, กุมภโฆสกะ, บดิ า มารดา แม่ยาย
และภรยิ าของกุมภโฆสกะ

ผล กุมภโฆสกะบรรลโุ สดาบัน, ประชาชนจานวนมากบรรลุโสดาบนั เปน็ ตน้

พระบาลหี รือพทุ ธวจนะไดต้ รสั ว่า

อฏุ ฺ านวโต สตมิ โต สจุ ิกมมฺ สสฺ นิสมมฺ การโิ น

ส ฺ ตสสฺ จ ธมฺมชวี ิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภวิ ฑฺฒต๒ิ

ยศ ย่อมเจรญิ แกบ่ ุคคลทม่ี ีความขยนั หม่นั เพียร
มสี ติ มกี ารงานสะอาด ใคร่ครวญก่อนทา
สารวม ดารงชีวิตโดยธรรม และไม่ประมาท๓

๑ ข.ุ ธ.อ.๔๐/๓๑๐-๓๒๕.
๒ ขุ.ธ.(บาลี) ๒๕/๒๔/๒๐.
๓ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๔/๓๑.

๑๕๐

โรคอหิวาเกิดขึน้ ในเมอื งราชคฤห์

[ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://keathadhammaboththai.blogspot.com/2017/07/04_14.html, [๑๗ เม.ย.
๒๕๖๓].

มีเร่ืองเล่าว่า ในนครราชคฤห์ อหิวาตกโรคเกิดข้ึนในเมืองราชคฤห์ เศรษฐีเมื่อ
อหิวาตกโรคน้ันเกดิ ขึ้นแล้ว สัตว์ดิรัจฉานตั้งตน้ แต่แมลงวันจนถงึ โคตายเป็นอันดบั แรก ๆ ถัดน้ันมาก็
คนทาสและกรรมกร ตายภายหลังเขาท้ังหมดก็คือเจ้าของเรือน เพราะฉะนั้น โรคนั้นจึงเกิดขึ้นกับ
เศรษฐีและภริยา ภายหลังเขาทั้งหมดสองสามีภริยาน้ันก็เป็นโรคเช่นกัน มีนัยน์ตาทั้งสองนองด้วย
น้าตา พูดกะบุตรซ่ึงยืนอยู่ ณ ที่ใกล้ ว่า “ลูกเอ๋ย เขาว่า ‘เม่ือโรคชนิดนี้เกิดขึ้น ชนทั้งหลายพังฝา
เรอื นหนไี ปย่อมได้ชีวิต ตัวเจ้าไม่ต้องห่วงใยพ่อแม่ทั้งสองพึงหนีไปเสยี โดยด่วนมีชีวติ อยู่ จึงกลับมาอีก
พงึ ขดุ เอาทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ท่เี ราท้ังสองฝงั เก็บไวใ้ นทโี่ นน้ ข้ึนเลี้ยงชีวติ ”

ลูกชายฟังคาของมารดาและบิดานั้นแล้ว ร้องไห้ ไหว้มารดาบิดากลัวต่อภัยคือความตาย
ทาลายฝาเรือนหนีไปสู่ป่าดงดิบแถบภูเขา อยู่ในท่ีนั้นส้ิน ๑๒ ปีแล้ว จึงกลับมายังท่ีอยู่ของมารดา
บิดา

๑๕๑

บุตรชายกลับมาบ้านเดิมไม่มีใครจาได้ เพราะออกจากบ้านไปตั้งแต่ยังเป็นเด็กกลับมาใน
กาลมีผมและหนวดข้นึ รุงรงั เขาไปสทู่ ฝ่ี ังทรพั ย์ จาเคร่อื งหมายอันมารดาและบดิ าใหไ้ วไ้ ด้ไปตรวจสอบรู้
ว่าทรัพย์ไม่เสียหาย จึงคิดว่า “ใคร ๆ ย่อมจาเราไม่ได้ ถ้าเราจักขุดทรัพย์ข้ึนใช้สอยไซร้ ชน
ทั้งหลายพึงคิดว่า ‘คนยากจนคนหนึ่งขุดทรัพย์ขึ้นแล้ว ทหารพึงจับเราไปกักขัง’ ถ้ากระไรเราพึง
ทาการรับจ้างเล้ียงชีวิตอยู่ ทีนั้น เขานุ่งผ้าเก่าผืนหนึ่งตระเวนถามว่า “ใคร ๆ มีความต้องการด้วย
คนรบั จา้ ง มีอยูห่ รอื ” เดินตามท้องถนนเป็นท่อี ยขู่ องคนผ้จู ้าง

ขณะนั้น พวกผู้จ้างเห็นเขาแล้ว กล่าวว่า “ถ้าเจ้าจักทางานของพวกเราได้สักอย่างหนึ่ง
ไซร้ พวกเราจักให้ค่าจา้ งสาหรบั ซอ้ื อาหารพอเล้ียงชวี ิต”

เขาถามว่า “งานอะไรครบั ”
พวกผู้จ้างตอบว่า “การงานคือยามปลุกและการตักเตือน ถ้าเจ้าสามารถทาได้เจ้าจงลุก
ขึ้นแต่เช้าตรู่ ตะโกนบอกว่าท่านทั้งหลายจงลุกขึ้น จงตระเตรียมเกวียนท้ังหลาย จงเทียมโคผู้ ใน
เวลาที่สัตว์พาหนะตา่ ง ๆ มชี า้ งและมา้ เปน็ ตน้ ไปเพอ่ื ต้องการกนิ หญ้า แม่ท้งั หลาย แมพ้ วกท่านจงลุก
ขนึ้ ต้มยาคู หุงขา้ ว”
เขารบั ปากวา่ “ทาได้ขอรบั ”

ลาดับน้ัน พวกผู้จ้างได้ให้เรือนหลงั หน่งึ แก่เขา เพื่อประโยชน์แกก่ ารอยู่ ณ ทใี่ กล้ เขาได้
การงานน้ันทุกวัน

พระเจ้าพมิ พิสารผู้รู้เสียงของสรรพสตั ว์

อยู่มาวันหน่ึง พระราชาทรงพระนามว่าพิมพิสาร ผู้มีคุณสมบัติคือทรงทราบเสียงร้อง
ของสตั ว์ทั้งปวง ไดย้ นิ เสียงของยามคนนั้น ฉะนนั้ จึงตรัสวา่ “น่ันเป็นเสยี งของคนผู้มที รพั ย์มาก”

ขณะน้ันนางสนมของทา้ วเธอคนหนึง่ ยืนเฝ้าอยู่ ณ ที่ใกลค้ ดิ วา่ “ในหลวงจักไมต่ รสั เหลว
ๆ ไหล ๆ เราควรรู้จักชายน้ีให้แท้จริง จึงส่งชายผู้หน่ึงไปสืบดูว่าเขาเป็นใคร นักสืบพบกุมภโฆสกนั้น
แล้วก็กลบั มาบอกว่า “น้นั เป็นมนุษยก์ าพรา้ คนหนงึ่ ซง่ึ ทาการรับจ้างของชนผู้จ้างหลาย”

พระราชาทรงสดับถ้อยคาของบุรุษนั้นแล้ว ก็ทรงนิ่ง ในวันที่ ๒ และ ในวันท่ี ๓ คร้ัน
ทรงสดบั เสยี งของกุมภโฆสกน้นั แลว้ กต็ รัสอย่างนน้ั เหมือนเดิมนางสนมแมน้ ้ัน กค็ ดิ อย่างนนั้ เหมือนกัน
ส่งนกั สบื ไปหลายคร้ัง เม่อื เขาบอกวา่ “เป็นมนษุ ย์กาพรา้ ” จึงคิดว่า “ในหลวงแม้ทรงสดับคาว่า ‘นั่น
คนกาพร้า’ ก็ไม่ทรงเช่ือ ตรัสย้าอยู่ว่า “น่ันเสียงบุรุษผู้มีทรัพย์มาก” เรื่องนี้ต้องมีเหตุ เราควรท่ีจะ
ร้จู ักชายนน้ั ตามความจริง นางสนมนั้น จึงกราบทูลพระราชาว่า “ข้าแตส่ มมติเทพ ข้าพระบาท เม่ือ
กระหม่อมไดท้ รัพยพ์ ันหน่ึงจักพาธดิ าไปล่อเอาทรพั ยน์ ่ันเขา้ ส่รู าชสกลุ จงได้”

พระราชา รับสั่งใหพ้ ระราชทานทรัพย์ ๑,๐๐๐ แก่นาง นางรบั พระราชทานทรัพยน์ ั้นแล้ว
ให้ลูกสาวนุ่งผ้าค่อนข้างเก่าผืนหน่ึง ออกจากพระราชมณเฑียรพร้อมกับลูกสาวน้ัน ทาเป็นดุจคน
เดินทางไปสู่ถนนอันเป็นที่อยู่คนรับจ้าง เข้าไปสู่เรือนหลังหนึ่ง พูดว่า “แม่จ๋า ฉันท้ังสองเดินทางมา
เหน็ดเหน่ือยมาก จักขอพักในเรือนนี้สักวันสองวันแล้วจักไป” หญิงเจ้าของเรือน พูดว่า “แม่ ผู้คนใน

๑๕๒

เรอื นมมี าก แมไ่ ม่อาจพักในเรอื นน้ีได้ เรือนของนายกมุ ภโฆสกน้ันแน่ะว่าง เชญิ แม่ไปขอพัก ในเรอื น
นั้นเถิด” นางไปที่เรือนของกุมภโฆสกนั้นแล้วกล่าวว่า “นายจ๋า ฉันท้ังสองเป็นคนเดินทางไกลจัก
ขอพักอยู่ในเรือนนี้สักวันสองวัน แม้ถูกเขาห้ามแล้วตั้งหลายครั้ง ก็พูดอ้อนวอนว่า “นายจ๋า ฉันทั้ง
สองจักขอพักอยู่ชั่ววันนี้วันเดียว พอเช้าตรู่ก็จักไป” ไม่ปรารถนาจะออกไปแล้ว นางพักอยู่ในเรือน
ของกมุ ภโฆสกนนั้ นน่ั แล

วันรุ่งข้ึน ในเวลาเขาจะไปป่า จึงพูดว่า “นายจ๋า ขอนายจงมอบค่าอาหารสาหรับนายไว้
แล้วจึงค่อยไป ฉันจกั จัดแจงหุงต้มไว้เพื่อนาย” ชายหนุ่มกล่าวว่า “อย่าเลย ฉนั จักหุงตม้ กนิ เองก็ได้”
แม่และลูกสาวจงึ รบเร้าบอ่ ย ๆ เขา้ จนสาเรจ็ ทาทรพั ย์ที่เขาให้ ให้เป็นสักว่าอนั คนไดร้ ับไวแ้ ล้วทเี ดียว
ให้นาโภชนะและส่ิงต่าง ๆ มีข้าวสารท่ีบริสุทธิ์เป็นต้น ไปร้านตลาดนาไปหุงข้าวสุกให้ละมุนละไมดี
และปรุงแกงกับ ๒-๓ อย่าง ซ่ึงมีรสอร่อยเย่ียงอย่างหุงต้มในราชสกุล ปรุงให้แก่กุมภโฆสกผู้มาจาก
ป่า หญงิ สาวคร้นั ทราบว่าเขาบรโิ ภคแล้ว ถึงความเป็นผู้มีจติ เบกิ บาน จึงพูดว่า “นายจ๋า ฉนั ทั้งสอง
เป็นผู้เมื่อยล้า ขอพักอยู่ในเรือนน้ีแล สักวันสองวันเถอะ” เขารับรองว่า “ได้จ้า” ทีน้ัน นางก็ปรุง
ภตั อย่างเอร็ดอรอ่ ย ท้งั เวลาเย็นทงั้ วันรุง่ ข้นึ แลว้ ไดใ้ ห้แก่เขา และครั้นทราบความท่ีเขาเป็นผู้มีจิตเบิก
บานแล้วก็วิงวอนอีกว่า “นายจ๋า ฉันท้ังสองจักอยู่ในเรือนน้ีแล สัก ๒-๓ วัน” ดังนี้แล้ว อยู่ในเรือน
นน้ั เอาศสั ตราอันคมตดั ฐานเตยี งของเขาภายใตแ้ ม่แคร่ในทีน่ ั้น ๆ เมอื่ เขามา พอนั่งลงเทา่ นัน้ เตียงก็
ยอบลงเบอื้ งลา่ ง เขากลา่ ววา่ “ทาไม เตยี งนี้ จงึ ขาดไปอย่างน้ี”

นางสนม. นายจา๋ ฉนั ไม่อาจห้ามพวกเด็กหนุ่ม ๆ ได้ พวกเขามาเลน่ ทน่ี ี้ละซิ
กมุ ภโฆสก. แม่ เพราะอาศัยแก ๒ คน ทกุ ขน์ ้ีจึงเกดิ แกฉ่ ัน เพราะในกาลก่อน ฉันจะ
ไปในท่ีไหน ๆ ก็ปิดประตแู ล้วจงึ ไป
นางสนม. จะทาอยา่ งไรได้ละ พอ่ ฉนั ไม่อาจห้ามได้
นางตัดฐานเตียงโดยทานองน้ีแล ๒-๓ วัน แม้ถูกเขาตาหนิติเตียนว่ากล่าวอยู่ ก็คงกล่าว
แก้ตัวอย่างน้ันแล้วตัดเชือกท่ีเหลือ เว้นเชือกเส้นเล็ก ๆ ไว้เส้น ๒ เส้น วันน้ัน เม่ือเขาพอนั่งลง
เท่าน้ันฐานเตียงทั้งหมดตกลงไปท่ีพื้นดิน ศีรษะของเขาได้ฟุบลง รวมเข้ากับเข่าท้ังสองเขาลุกขึ้นได้
ก็พูดว่า “ฉนั จะทาอะไรได้ บัดนี้ จกั ไปไหนได้ ฉันเปน็ ผถู้ ูกพวกแกทาไม่ใหเ้ ปน็ เจ้าของแห่งเตียงเป็นท่ี
นอนเสียแล้ว นางสนม ปลอบว่า “จักทาอย่างไรได้เล่า พ่อ ฉันไม่อาจห้ามเด็ก ๆ ที่คุ้นเคยได้
ช่างเถอะ อย่าวุ่นวายไปเลย นายจักไปไหน ในเวลาน้ี” ดังน้ีแล้ว เรียกธดิ ามาบอกว่า “แม่หนู เจา้ จง
ทาโอกาสสาหรบั เปน็ ที่นอนแห่งพี่ชายของเจา้ ธิดานั้นนอนท่ขี ้างหน่ึงแล้วพูดว่า “นายคะ เชิญนายมา
นอนท่ีน้ี” แม้นางสนมก็กล่าวกะกุมภโฆสกนั้นว่า “เชิญพ่อไปนอนกับน้องสาวเถิด” เขานอนบนเตียง
เดยี วกับธดิ านางสนมน้นั ไดน้ าความเชยชดิ กนั ในวันนั้นเอง

กมุ ภโฆสกะตกหลุมพราง

นางกุมาริการองไห้แล้ว ทีน้ัน มารดาจึงถามเขาว่า “เจ้ารอ้ งไห้ทาไมเล่า แม่หนู” กรรม
ชื่อนี้เกิดแล้วแม่” มารดาพูดว่า "ช่างเถอะ แม่หนู เรา อาจทาอะไรได้ เจ้าได้สามีคนหน่ึงก็ดี
กุมภโฆสกน้ีได้หญิงคนหนึ่งดูแลก็ดี ก็เหมาะสมกันดี” ดังนี้แล้ว ได้ทากุมภโฆสกน้ันให้เป็นบุตรเขย

๑๕๓

แล้ว เขาท้ังสองอยู่ร่วมกันแล้ว ผ่านไป ๒-๓ วัน นางสนมนั้น ก็ส่งข่าว กราบทูลแด่พระราชาว่า
“ข้าแต่สมมติเทพ ขอฝ่าละอองธุลีพระบาท จงรับส่ังให้ทาการโฆษณาว่า ขอทวยราษฎร์จงจัดทา
มหรสพใน ย่านถนนแห่งคนรับจ้างอยู่ คนใดไม่จัดทามหรสพในเรือน สินไหมช่ือประมาณเท่าน้ี
ต้องมีกับคนน้ัน”พระราชารับส่ังให้ทาอย่างนั้น คราวน้ัน แม่ยายพูดกะเขาว่า “พ่อเอ๋ย เราจาต้อง
จดั ทามหรสพในถนนแห่งคนรบั จา้ งตามพระราชาส่งการ เราจะทาอยา่ งไร

กุมภโฆสก. แม่ ฉันแม้ทาการรับจ้างอยู่ ก็แทบจะไม่สามารถเป็นอยู่ได้ จักจัดทามหรสพ
อย่างไรได้เลา่

แม่ยาย. พ่อเอ๋ย ธรรมดาบุคคลผู้อยู่ครองเรือนท้ังหลาย ย่อมรับเอาแม้หน้ีไว้
พระเจ้าอยู่หัวทรงบังคับ จะไม่ทาตามไม่ได้อันเราอาจพ้นจากหน้ีได้ด้วยอุบายอย่างใดอย่างหน่ึง ไป
เถิดพ่อ จงนากหาปณะ ๑ หรือ ๒ กหาปณะ แต่ท่ีไหน ๆ ก็ได้ เขาตาหนติ ิเตียนพลางไปนากหาปณะ
มาเพียง ๑ กหาปณะ แต่ท่ีฝ่ังทรัพย์ ๔๐ โกฏิ นางก็ส่งกหาปณะไปถวายแด่พระราชาแล้ว จัดทา
มหรสพด้วยกหาปณะของตน ผ่านล่วงไป ๒-๓ วัน ก็ส่งข่าวไปถวายอย่างน้ันนั่นแลอีก พระราชาก็
ทรงบังคับอีกวา่ “ทวยราษฎร์จงจดั ทามหรสพ เมื่อ ใครไม่ทามีสนิ ไหมประมาณเท่านี้” กุมภโฆสกน้ัน
ถูกแม่ยายกล่าวรบเร้าอยู่เหมือนคร้ังก่อนน่ันแล จึงไปนากหาปณะมา ๑ กหาปณะ แม้อีกนางก็ส่ง
กหาปณะแม้เหล่าน้ันไปถวายแด่พระราชา ผ่านไป ๒-๓ วัน ก็ส่งข่าวไปถวายอีกว่า “บัดน้ีขอฝ่า
ละอองธุลีพระบาท ทรงส่งราชสารมารับสั่งให้เรียกกุมภโฆสกนี้ไปเข้าเฝ้า พระราชาทรงส่งราชไป
แล้ว ทหารราชสารไปยังถนนท่ีคนรับจ้างนั้นอยู่แล้ว ถามหาว่า “คนไหนชื่อกุมภโฆสก” เที่ยวตาม
หาพบเขาแล้ว บอกว่า “มาเถิด พ่อมหาจาเริญ พระเจ้าอยู่หัวรับส่ังให้หาพ่อไปเฝ้า” เขากลัวแล้ว
พดู คาแกต้ วั เป็นตน้ ว่า “พระเจา้ อยหู่ วั ไม่ทรงรจู้ ักตัวฉนั ” ไมป่ รารถนาจะไปเข้าเฝ้า ทีนน้ั พวกทหารจึง
จบั เขาฉดุ ไปเฝ้าพระราชา หญงิ น้นั เหน็ บุรษุ เหล่านั้นแลว้ จงึ ทาทขี ตู่ ะคอกวา่ “เฮย้ เจ้าพวกอนั ธพาล
พวกเจ้าไม่สมควรจับลูกเขยของข้า” แล้วปลอบว่า “มาเถิด พ่อ อย่ากลัวเลย ฉันเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว
แล้ว จักทลู ให้ตัดมือของพวกเจ้าให้หมด” แล้วพาลกู สาวออกไปก่อนถึงพระราชมณเฑียรแล้วเปลี่ยน
เพศแต่งเครื่องประดับพรอ้ มสรรพ ได้ยืนเฝ้าอยู่ ณ ส่วนข้างหนึง่ ฝ่ายกุมภโฆสก ถูกเขาฉุดคร่านามา
ขณะน้ัน พระราชา ตรัสกะเขาผ้ถู วายบงั คมแลว้ ยนื เฝา้ อยวู่ ่า “เจ้าหรอื ? ช่อื กมุ ภโฆสก”

กุมภโฆสก. ข้าแต่สมมติเทพ พระเจา้ ขา้
พระราชา. เพราะเหตุไร เจ้าจึงปกปดิ ทรพั ย์เปน็ อันมากไว้ใช้สอย ?
กุมภโฆสก. ทรัพย์ของข้าพระองค์จักมีแต่ไหน ? พระเจ้าข้าเพราะข้าพระองค์เลี้ยงชีวิต
ด้วยการรับจ้า
พระราชา. เจ้าอยา่ ทาอยา่ งน้ัน เจา้ ลวงข้าทาไม ?
กุมภโฆสก. ข้าพระองค์มิไดล้ วง พระเจา้ ข้า ทรัพย์ของข้าพระองค์ไม่มีจริง

ทีนั้น พระราชาทรงแสดงกหาปะเหลา่ นนั้ แก่เขาแลว้ ตรสั ว่า “กหาปณะเหล่านี้ ของใคร
กัน

เขาจากหาปณะของเขาไดไ้ ด้ คิดว่า “ตายจริง ! เราฉิบหายแล้ว อยา่ งไรหนอ กหาปณะ
เหล่านี้ จึงตกมาถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่หัวได้” แลไปข้างโน้นข้างนี้ ก็เห็นหญิงท้ังสองคนน้ัน

๑๕๔

ประดบั ประดายนื เฝ้าอยู่รมิ พระทวารหอ้ ง จึงคิดว่า “กรรมนสี้ าคัญนัก ชะรอยพระเจา้ อยหู่ วั พงึ แต่ง
หญิงเหล่าน้ันไปล่อลวงแน่นอน” ขณะน้ัน พระราชาตรัสกะเขาว่า “พูดไปเถิด ผู้เจริญ ทาไม่ ?
เจ้าจงึ ทาอยา่ งน้ัน

กมุ ภโฆสก. เพราะทพ่ี ึง่ ของขา้ พระองค์ไม่มี พระเจา้ ข้า
พระราชา. คนเช่นเรา ไม่ควรเป็นท่ีพึ่งของเจ้าหรือ ?
กมุ ภโฆสก. ข้าแตส่ มมติเทพ ถ้าสมมติเทพ ทรงเป็นทีพ่ ึง่ ของข้าพระองค์ ก็เปน็ การเหมาะ
ดี
พระราชา. เปน็ ไดซ้ ิ ทรัพยข์ องเจา้ มีเท่าไรละ่ ?
กมุ ภโฆสก. มี ๔๐ โกฏิ พระเจ้าข้า
พระราชา. ได้อะไรขนจึงจะควร ?
กุมภโฆสก. เกวยี นหลาย ๆ เล่ม พระเจา้ ขา้

กมุ ภโฆสกะบรรลุโสดาบนั

พระราชา รับสั่งให้จัดเกวียนหลายร้อยเล่มส่งไป ให้ขนทรัพย์น้ันมา ให้ทาเป็นกองไว้ที่
หน้าพระลานหลวงแล้ว รบั ส่งั ให้ชาวกรุงราชคฤหป์ ระชุมกันแลว้ ตรัสถามว่า “ในพระนครน้ี ใครมี
ทรัพยป์ ระมาณเท่านี้บ้าง” เมือ่ ทวยราษฎร์กราบทูลว่า “ไม่มีพระเจ้าข้า” ตรัสถามว่า “ก็เราทาอะไร
แก่เขาจึงควร” เมื่อพวกนนั้ กราบทูลว่า “ทรงทาความยกย่องแก่เขาสมควร พระเจ้าข้า” จึงทรงตั้ง
กุมภโฆสกน้ัน ในตาแหน่งเศรษฐี ด้วยสักการะเป็นอันมากพระราชทานบุตรีของหญิงน้ันแก่เขาแล้ว
เสด็จไปสู่สานักพระศาสดาพร้อมกับเขา ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระองค์จงทอดพระเนตรบุรุษนี้ ชื่อว่าผู้มีปัญญาเห็นปานนี้ไม่มี เขาแม้มีสมบัติถึง ๔๐ โกฏิ
ก็ไม่ทาอาการเย่อหย่ิง หรืออาการสักว่าความทะนงตัวทาเป็นเหมือนคนกาพร้านุ่งผ้าเก่า ๆ ทา
การรับจ้างท่ีถนนอันเป็นท่ีอยู่ของคนรับจ้าง เลี้ยงชีพอยู่ หม่อมฉันรู้ได้ด้วยอุบายช่ือนี้ ก็แลคร้ันรู้
แล้วสั่งให้เรียกมา ไล่เลียงให้รับว่ามีทรัพย์แล้ว ให้ขนทรัพย์นั้นมา ตั้งไว้ในตาแหน่งเศรษฐี ใช่แต่
เท่าน้ัน หม่อมฉันยังให้บุตรีแก่เขาด้วย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนมีปัญญาเห็นปานน้ี หม่อมฉันไม่

เคยเหน็ ”

พระศาสดาทรงสดับเร่ืองนั้นแล้ว ตรัสว่า “มหาบพิตร ชีวิตของบุคคลผู้เป็นอยู่อย่างน้ัน
ช่อื วา่ เป็นอย่ปู ระกอบด้วยธรรม กก็ รรมมกี รรมของโจรเป็นตน้ ยอ่ มเบยี ดเบียนบบี คน้ั ผ้ทู าในโลกนี้
ทั้งในโลกหน้า ช่ือว่าความสุข อันมีกรรมน้ันเป็นเหตุ ก็ไม่มี ก็บุรุษทาการรับจ้างก็ดี ทานาก็ดี
เลี้ยงชีวิตในกาลเส่ือมทรัพย์นั่นแล ชื่อว่าชีวิต ประกอบด้วยธรรม อันความเป็นใหญ่ย่อมเจริญข้ึน
อย่างเดียวแก่คนผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียร บริบูรณ์ด้วยสติ มีการงานบริสุทธ์ิทางทวารทั้งหลาย
มีกายและวาจาเป็นตน้ มปี กตใิ ครค่ รวญดว้ ยปญั ญาแล้วจึงทาผสู้ ารวมไตรทวาร มีกายทวาร เป็นต้น

เลีย้ งชีวติ โดยธรรม ต้งั อย่ใู นอันไม่เหินห่างสติเหน็ ปานนัน้ ดังน้ีแล้ว ตรสั พระคาถานี้วา่

อฏุ ฺ านวโต สตีมโต สุจกิ มฺมสสฺ นิสมฺมการิโน

สญฺ ตสฺส จ ธมมฺ ชีวิโน อปปฺ มตตฺ สฺส ยโสภิวฑฺฒต.ิ

๑๕๕

ยศย่อมเจริญโดยย่งิ แก่คนผูม้ คี วามขยันมีสติ
มีการงานสะอาด มปี กตใิ คร่ครวญแลว้ จงึ ทา
สารวมแล้ว เล้ียงชีพโดยธรรม และไมป่ ระมาท
ในกาลจบพระคาถา กุมภโฆสก ดารงอยู่ในโสดาปัตติผล ชนแม้เหล่าอ่ืนเป็นอันมาก
กบ็ รรลุอริยผลทง้ั หลาย มโี สดาปตั ติผลเปน็ ต้นแลว้ เทศนาสาเรจ็ ประโยชน์แก่มหาชนอย่างน้ีแล๔
๕.๑.๑ คุณคา่ ของธรรมบท
พระพทุ ธโฆสมหาเถระไดอ้ ธบิ ายพระบาลีว่า
บรรดาบทแหง่ พระคาถาเหลา่ นนั้
พระบาลวี า่ อุฏฺ านวโต คือ ผมู้ คี วามเพียรเป็นเหตลุ กุ ข้นึ (อฏุ าหติ เอเตนาติ อฏุ ฺ าน)๕
พระบาลีว่า สตีมโต (หรือ สติมโต สตีมโตเป็นรูปแบบของคณะฉันท์ ทีฆะ อิ เป็น อี๖)
คอื สมบรู ณด์ ้วยสติ (ปมาท สรติ หสึ ตตี ิ สติ ธรรมชาติทาลายความประมาท ชอ่ื วา่ สต)ิ ๗
พระบาลีว่า สุจิกมฺมสฺส คือ ประกอบด้วยการงานท้ังหลาย มีการงานทางกายเป็นต้น
อนั หาโทษมไิ ด้ คอื หาความผดิ มิได้
พระบาลีว่า นิสมฺมการิโน ได้แก่ ใคร่ครวญ คือไตร่ตรองอย่างน้ีว่า “ถ้าผลอย่างนี้จักมี
เราจักทาอย่างนี้” หรือว่า “เม่ือการงานนี้อันเราทาแล้วอย่างนี้ ผลชอ่ื นี้จักมี” ดังน้แี ล้ว ทาการงาน
ท้งั ปวงเหมือนแพทย์ตรวจดตู น้ เหตขุ องโรคแล้วจงึ แกโ้ รคฉะน้นั
พระบาลีวา่ สญฺ ตสฺส ได้แก่ สารวมแลว้ คอื ไมม่ ีช่อง ดว้ ยทวารท้งั หลายมีกายเปน็ ต้น
พระบาลีว่า ธมฺมชีวิโน (ธมฺเม ชีวี กปฺเปนฺตีติ ธมฺมชีวิโน)๘ คือ ผู้เป็นคฤหัสถ์ เว้นความ
โกงตา่ ง ๆ มีโกงด้วยตาชงั่ เป็นต้น เลี้ยงชวี ิตด้วยการงานอันชอบท้งั หลาย มีทานาและเล้ียงโคเป็นต้น
เป็นบรรพชิต เว้นอเนสนากรรมท้ังหลาย (กรรมคอื การแสวงหาปัจจัย)อันไม่ควร) มีเวชกรรมและทูต
กรรม(คนรบั ใช้)เปน็ ต้น เลย้ี งชวี ิตด้วยภกิ ษาจาร โดยธรรม คือโดยชอบ
พระบาลีวา่ อปปฺ มตฺตสฺส คือ มีสติไม่หา่ งเหิน

๔ ข.ธ.อ.๔๐/๓๒๑.
๕ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “การศึกษาวิเคราะห์พระคาถาธรรมบท”,
(กรงุ เทพมหานคร: ประยูรสาสน์ ไทย การพมิ พ)์ , หน้า ๒๐๐.
๖ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “การศึกษาวเิ คราะหพ์ ระคาถาธรรมบท”, หน้า ๒๐๐.
๗ สมเดจ็ พระพทุ ธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “การศกึ ษาวเิ คราะหพ์ ระคาถาธรรมบท”, หน้า ๒๐๐.
๘ สมเด็จพระพุทธชนิ วงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “การศกึ ษาวเิ คราะหพ์ ระคาถาธรรมบท”, หนา้ ๒๐๑.

๑๕๖

พระบาลีว่า ยโสภิวฑฺฒติ ความว่า ยศท่ีได้แก่ความเป็นใหญ่ ความมีโภคสมบัติและ
ความนบั ถอื และทไ่ี ด้แก่ความมเี กยี รติและการกลา่ วสรรเสรญิ ย่อมเจริญ๙

คุณค่าแห่งหลักธรรมบท พระบาลีทั้งหมด เมื่อสังเคราะห์ในอริยสัจ ๔ แล้วได้ มรรค
สจั จะ ดังน้ี

พระบาลวี ่า อฏุ ฺ านวโต ได้แก่ วิรยิ เจตสกิ หรอื สมั มาวายามะ แปลว่า ความเพยี ร
พยายามโดยชอบ

พระบาลวี ่า สตีมโต ไดแ้ ก่ สติเจตสิก หรือ สัมมาสติ การทาลายความประมาทเสีย
ได้โดยชอบธรรม

พระบาลีว่า สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน ได้แก่ ปัญญาเจตสิก หรือ สัมมทิฏฐิ ปัญญา
เห็นตามความเป็นจรงิ

พระบาลวี ่า สญฺ ตสฺส จ อปฺปมตฺตสฺส ไดแ้ ก่ สตเิ จตสิ หรอื สัมมาสติ
พระบาลวี ่า ธมฺมชีวิโน ได้แก่ สมั มาอาชีวเจตสิก หรอื สัมมาอาชีวมรรค

พระคาถาน้ี พระสงฆม์ ักนยิ มเอาไปเทศนง์ านตา่ ง ๆ ดา้ นให้กาลังใจ ส่งเสรมิ ต่อความ
เป็นพุทธมามากะ ต้องมีความอดทน อดกลน้ั ขยันทางานอนั ประกอบดว้ ยสมั มาอาชีวะ

การกระทาของกุมภโฆสกะน้ันมีปัญญาในการดารงชีพ อยู่อย่างสันโดษตามท่ีได้ เรียกว่า
ยถาลาภสนั โดษ ยนิ ดตี ามท่ีได้และมี สนั โดษ คอื การยินดีพอใจในส่งิ ทีต่ นมีอยู่ แสวงหาได้ ไดแ้ ค่ไหน
ใช้ตามท่ีตนแสวงหามาได้ ไม่คิดแสวงหาครอบครองเกิดกาลังของตน ในพระพุทธศาสนา
พระพทุ ธเจ้าตรัสสนั โดษ ๓ ประเภท คอื

๑. ยถาลาภสันโดษ คือ การได้ปัจจัยอย่างประณีต คร้ันเธอได้บาตรและจีวรเป็นต้น
อย่างใดอย่างหน่ึง เป็นบาตรจีวรมีค่ามากหรือมีจานวนมาก เธอถวายให้ภิกษุรูปอ่ืนด้วยคิดว่า “นี้
สมควรแกพ่ ระเถระท้ังหลายผู้บวชนาน นส้ี มควรแก่ภิกษุพหสู ูต นี้สมควรแก่ภิกษุไข้ นี้จงมีแก่ภิกษุผู้
มีลาภน้อย” หรือ เอาจีวรเก่าของภิกษุเหล่านั้น หรือเลือกเก็บผ้าท่ีไม่มีชายจากกอง หยากเยื่อเป็น
ต้น แม้เอาผ้าเหล่าน้ันมาทาเป็นสังฆาฏิครอง ได้บิณฑบาตเศร้าหมองหรือประณีตเธอใช้สอย
บิณฑบาตน้ันเท่าน้ัน ไม่ปรารถนาบิณฑบาตรับใหม่อีก ถึงไดก้ ็ไม่รบั หรือ ได้เสนาสนะทพี่ อใจหรอื ไม่
พอใจ ไม่ดีใจไม่เสยี ใจ เพราะเสนาสนะน้นั ยินดีตามที่ได้เท่าน้ัน โดยท่ีสดุ แม้เปน็ เครื่องปูลาดถักด้วย
หญ้า

๒. ยถาพลสันโดษ เธอมีกาลังน้อยตามธรรมดาก็ดี ถูกความป่วยไข้ครอบงาก็ดี ถูกชรา
ครอบงากด็ ี เมื่อห่มจวี รหนักย่อมลาบาก เธอเปลี่ยนจีวรน้ันกับภิกษผุ ู้ชอบพอกนั แม้ใช้สอยจีวรเบา
อยู่ กย็ ังเป็นผู้สันโดษอยนู่ ัน่ เอง ได้บิณฑบาตที่ไม่ถูกกบั รา่ งกายปกติ หรือไมถ่ กู กบั โรคของคน ซ่ึงเธอ
บริโภคแลว้ จะไมส่ บาย เธอใหบ้ ิณฑบาตน้ันแก่ภิกษุผู้ชอบพอกัน แม้ฉันโภชนะทสี่ บายแต่มือของภกิ ษุ
น้นั ทาสมณธรรมอยู่ ก็ยงั เปน็ ผูส้ นั โดษอยู่นั่นเอง หรือ ได้เสนาสนะที่ไม่ถูกกับร่างกายปกติ หรอื ไม่ถูก

๙ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, “ธมฺมปทฏฺฐกถา (ทุติโย ภาโค)”,
(กรงุ เทพมหานครร:มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘), หนา้ ๗๓-๗๔.

๑๕๗

กบั โรคของตน ซ่ึงเม่ือเธออยู่จะไม่สบาย เธอให้เสนาสนะน้ันแก่ภิกษุผู้ชอบพอกันแม้อยู่ในเสนาสนะ
ท่ีสบายซง่ึ เป็นของภิกษนุ ัน้ ก็ยงั เป็นผสู้ ันโดษอยู่นั่นเอง

๓. ยถาสารุปสันโดษ ได้จีวร(เสื้อผ้า)ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม เม่ือใช้สอยจีวร(เสื้อผ้า)นั้นเท่าน้ัน
ไม่ปรารถนาจีวรอ่ืน ถึงได้ก็ไม่รับ หรือ ภิกษุอีกรูปหน่ึงมีบุญมากได้เสนาสนะท่ีประณีตจานวนมาก
มีถ้า มณฑป เรือนยอดเป็นต้น เธอให้เสนาสนะ(ท่ีอยู่อาศัย)เหล่านั้นแก่พระเถระผู้บวชนานผู้พหูสูต
ผู้มีลาภน้อย และเป็นไข้ แม้อยู่ในเสนาสนะแห่งใดแห่งหนึ่ง ก็ยังเป็นผู้สันโดษอยู่นั่นเอง หรือช่ือว่า
เสนาสนะชั้นดีเย่ียมเป็นท่ีตั้งแห่งความประมาท นั่งในเสนาสนะนั้นย่อมง่วงเหงาซบเซาหลับไป เมื่อ
ตื่นข้ึนอีกก็ครุ่นคิดแตเ่ รื่องกาม แล้วไม่รับเสนาสนะเชน่ นั้นแม้ถงึ แล้วเธอห้ามเสนาสนะน้นั แม้อยู่ในท่ี
แจ้งหรือโคนไมเ้ ป็นตน้ ก็ยังเป็นผ้สู นั โดษอยู่น่ันเอง ๑๐

หลักสันโดษนี้ตรงกับพระราชดาริในหลวงรัชการที่ ๙ ว่า ความพอเพียง ความพอเพียง
ตามมี ตามได้น้ัน และความสันโดษน้ันเป็นมงคลของชีวิต เป้าหมายของความสันโดษคือความเป็น
อิสระทางวตั ถุ การท่ีจะมแี ละดารงรักษาความเปน็ อิสระเชน่ นนั้ ไว้ได้ โดยพื้นฐาน ก็อยู่ท่ีการมวี ิถีชีวติ ท่ี
พ่ึงพาวัตถุน้อย ซึ่งต้องพ่วงมากับคุณธรรมในจิตใจ ที่จะให้อยู่ได้อย่างดีในวิถีชีวิตอย่างนั้น โดยเฉพาะ
ข้อสาคัญท่ีแสดงออกมาในความเป็นอยู่ คือความสันโดษ ดังนั้น สันโดษ จึงเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้า
ทรงย้าสาหรับชาวพุทธ หรือบรรพชิตทั้งหมดพร้อมกับสันโดษด้านวัตถุ ที่ทาใหเ้ ป็นอยู่ง่าย มีความสุข
ได้ดว้ ยอาศัยวัตถุน้อยนั้น พระภิกษเุ มื่อไม่ต้องใช้เวลา เรีย่ วแรง และความคิดไปกับเรื่องวตั ถุ ก็นาเวลา
เรี่ยวแรง และความคิดไปทุ่มเทให้กับความเพียรพยายามในการปฏิบัติเพ่ือความเป็นอิสระทางจิต
ปัญญาได้เต็มท่ี ดงั ทไี่ ด้เป็นหลักธรรมสาคัญทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั เรียกวา่ อรยิ วงศ๑์ ๑

๕.๑.๒ สงั คมและวฒั นธรรม

สังคมวัฒนธรรมอินเดียยังมีระบบราชาธิปไตย มีพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นเพราะเจ้า
จักรพรรดิในยุคน้ัน และพระองค์ก็ทรงปกครองโดยธรรม และพระองค์ยังเป็นพระโสดาบันที่
ราชูปถัมภ์พระพุทธศาสนาต้ังแต่ต้นพุทธกาล วัฒนธรรมนี้จึงสืบทอดมาอย่างเข้มแข็งถึงวัฒนธรรมใน
การปกครองของพระราชาตง้ั แตส่ มยั สโขทัย อยธุ ยา กรุงรัตนโกสนิ ท์ถงึ ปจั จุบัน สว่ นในเรื่องของความ
เป็นอยู่ในสังคมน้ันก็มีทั้งระบบวรรณะ ๔ คือ กษัตริย์ ผู้ปกครองบ้านเมือง พราหมณ์ คอยสอนหรือ
ผู้นาทางจิตวิญญาณ แพศย์ พ่อค้า นักค้าขาย นายจ้าง ศูทร คนใช้แรงาน มีความเป็นอยู่แบบถ้อยที
ถ้อยอาศัย เกื้อกูลต่อกัน การแต่งต้ังเศรษฐีอย่างเป็นทางการมีตั้งแต่สมัยพุทธกาล ส่งอิทธิพลต่อ
สงั คมไทยปจั จบุ นั เชน่ ตระกูลพอ่ ค้า บริษัทใหญก่ ็จะมีตราครฑุ อยหู่ นา้ บรษิ ัทนั้น ๆ ด้วย

๑๐ ที.ส.ี อ. ๑๑/๑๔๔-๑๔๖(มมร.).
๑๑ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์, “พุทธธรรม ฉบับขยาย”, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย ,๒๕๕๗), หนา้ ๗๘๕.

๑๕๘

๕.๑.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

นายกุมภโฆสกะ มีความโดดเด่นทางด้านพุทธเศรษฐศาสตร์ ถือว่า เป็นผู้มีสติ และ
ปัญญาในดารงชีวิต มีความขยันอดทน มีความเพียรพยายามทาสัมมาอาชีวะ ตามหลักแห่งองค์
มรรค ซ่ึงมีความเด่นชัด คอื สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ สัมมาอาชีวะ ช่ือว่าผู้มีปัญญา แมม้ ีสมบัติถึง
๔๐ โกฏิ ก็ไม่ทาอาการเย่อหย่ิง หรืออาการสักว่าความทะนงตัวทาเป็นเหมือนคนกาพร้านุ่งผ้า
เก่า ๆ ถือว่า เป็นผู้มีศีลประเภทปัจจยสันนิสิตศีล ได้แก่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค กล่าวว่า ได้แก่
ปัญญา๑๒ ทาการรับจ้างที่ถนนอันเป็นที่อยู่ของคนรับจ้าง เล้ียงชีพอยู่ การเลียงชีวิตโดย
สมั มาอาชีวะ ได้องค์มรรค ๒ คือ สัมมาอาชวี ะและอาชีวปริสุทธิศีล ได้แก่ วิริยะ๑๓ ถอื ว่าเป็นหลักทา
อาชวี โดยสจุ รติ ตามหลกั พทุ ธเศรษฐศาตร์ และสดุ ท้ายพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า

เรือ่ งกุมภโฆสกน้ี พระบาลีว่า
อฏุ ฺ านวโต สตีมโต สจุ กิ มฺมสฺส นสิ มมฺ การโิ น
สญฺ ตสสฺ จ ธมมฺ ชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภวิ ฑฺฒติ.

ยศยอ่ มเจริญโดยยิ่ง แก่คนผมู้ คี วามขยันมสี ติ
มกี ารงานสะอาด มปี กตใิ คร่ครวญแล้วจึงทา
สารวมแลว้ เลย้ี งชพี โดยธรรม และไม่ประมาท

เป็นหลักพนื้ ฐานเบื้องต้นสอนใหป้ ระกอบสัมมาอาชวี ะดว้ ยขยนั หมั่นเพียร มีสติในการใช้
ชีวิตประจาวนั จึงจะเจริญในการประกอบอาชพี ทาใหเ้ ศรษฐกิจในครอบครวั สงั คมนนั้ อยูอ่ ยา่ งมีกิน
มีอยู่ มใี ช้ หรอื เป็นฐานแหง่ เศรษฐกจิ พอเพยี งได้

๕.๑.๔ สรปุ

อหวิ าตกโรคเกดิ ข้ึนในเมืองราชคฤห์ เศรษฐเี มอื่ อหิวาตกโรคน้นั เกดิ ขนึ้ แลว้ สัตว์ดริ ัจฉาน
ต้ังต้นแต่แมลงวันจนถึงโคตายเป็นอันดับแรก ๆ ถัดน้ันมาก็คนทาสและกรรมกร ตายภายหลังเขา
ทั้งหมดก็คือเจ้าของเรือน เพราะฉะน้ัน โรคนั้นจึงเกิดข้ึนกับเศรษฐีและภริยา ภายหลังเขาทั้งหมด
สองสามีภริยานั้นก็เป็นโรคเช่นกัน มีนัยน์ตาทั้งสองนองด้วยน้าตา พูดกะบุตรซ่ึงยืนอยู่ ณ ที่ใกล้ ว่า
“ลูกเอ๋ย เขาว่า ‘เม่ือโรคชนิดน้ีเกิดข้ึน ชนทั้งหลายพังฝาเรือนหนีไปย่อมได้ชีวิต ตัวเจ้าไม่ต้องห่วงใย
พ่อแม่ท้ังสองพึงหนีไปเสียโดยด่วนมีชีวิตอยู่ จึงกลับมาอีก พึงขุดเอาทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ที่เราทั้งสอง
ฝังเก็บไว้ในที่โน้นข้ึนเล้ียงชีวิต” ลูกชายฟังคาของมารดาและบิดาน้ันแล้ว ร้องไห้ ไหว้มารดาบิดากลัว
ตอ่ ภยั คือความตาย ทาลายฝาเรอื นหนไี ปสปู่ ่าดงดิบแถบภเู ขา อยูใ่ นทีน่ น้ั สนิ้ ๑๒ ปแี ล้ว จงึ กลบั มา
ยงั ท่ีอยู่ของมารดาบิดา และกลับมาบ้านประกอบอาชีพเกษตรและเป็นยามจนพระราชารู้ความจริงว่า
เป็นเศรษฐี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้นาเรอ่ื งของนายกุมภโฆสกะ มาเล่าให้พทุ ธศาสนิกชนได้เรียนร้ถู ึง

๑๒ พุทธโฆสมหาเถระ, “คัมภีร์วิสุทธิมรรค”, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๕๕), หนา้ ๖๑.

๑๓ พุทธโฆสมหาเถระ, “คัมภรี ์วสิ ทุ ธิมรรค”, หน้า ๕๘.

๑๕๙

หลักการดารงชีวิตตามหลักแนวพุทธ คือ มีความอดทน อดกล้ันในการประกอบสัมมาอาชีพ แม้จะ
เป็นอาชีพท่ีต่าต้อย แต่การกระทาของกุมภโฆสกะน้ันมีปัญญาในการดารงชีพ อยู่อย่างสันโดษตามท่ี
ได้ เรียกว่า ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้และมี อุปโภคบริโภคท่ีไม่เกินตัวตามหลักแห่งเศรษฐกิจ
พอเพียงการดารงชีวิตโดยธรรม (ธมฺมชวี ิโน) อดทน อดกล้ัน รู้จักอดอม ไม่เย่อหยิ่งถือตัว คนไทยส่วน
ใหญ่กลัวท่ีจะทาทุจริตหรือมิจฉาชีพ และประกอบสุจริต อันนี้กลายเป็นวิถีชีวิตอันมีค่าท่ี
พระพุทธศาสนามอบให้ พระพุทธองค์จึงตรัสสอนกุมภโฆสกะว่า ยศย่อมเจริญโดยยิ่ง แก่คนผู้มี
ความขยันมีสติ มีการงานสะอาด มีปกติใคร่ครวญแล้วจึงทา สารวมแล้ว เล้ียงชีพโดยธรรม
และไม่ประมาท ในกาลจบพระคาถา กุมภโฆสกะบรรลุโสดาปตั ตผิ ล

๑๖๐

๕.๒ เรอ่ื ง ถวายบณิ ฑบาตแก่พระมหากสั สปเถระ

เร่ือง ถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปเถระ อยู่ในหมวดกลุ่มปุปผวรรคว่าด้วยความ

ดี กุศลทอ่ี ุปมาดังกลนิ่ หอม มีจานวน ๑๒ เร่ือง ในทน่ี ี้ได้เลือกมา ๑ เร่อื ง คือ ถวายบิณฑบาตแก่พระ

มหากสั สปเถระ เป็นกรณีการศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) คุณคา่ ของธรรมบท (๒) สงั คมวัฒนธรรม

(๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดงั น้ี

สถานที่ กรงุ ราชคฤหถ์

บคุ คล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระมหากัสสปะ, ท้าวสักกะ, เทวดาจานวนมาก,

ประชนจานวนมาก

ผล ประชาชนจานวนมากบรรลุโสดาบนั

มีพระบาลีหรอื พุทธวจนะว่า

อปฺปมตฺโต อย คนฺโธ ยวาย ตครจนฺทนี

โย จ สลี วต คนโฺ ธ วาติ เทเวสุ อตุ ตฺ โม๑๔

กลนิ่ กฤษณาหรือกล่ินจันทนน์ ี้ หอมเพยี งเล็กน้อย

แต่กลนิ่ ของท่านผมู้ ีศีลหอมมากทีส่ ดุ

หอมฟ้งุ ไปทั่วถงึ เทวโลก (และมนุษยโลก)๑๕

ท้าวสกั กะตกั บาตรพระมหากัสสปะ

มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า วันหน่ึงพระเถระออกจากนิโรธสมาบัติ ล่วงไป ๗ วัน ออกจาก
นิโรธสมาบัติดาริในใจว่า “จักเที่ยวบิณฑบาต ตามลาดับตรอก ในกรุงราชคฤห์” ในสมัยน้ัน
นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ มีเท้าเหมือนเท้านกพิราบ เป็นบริจาริกาของท้าวสักกเทวราช เกิดความ
อุตสาหะว่า “จักถวายบิณฑบาตแก่พระเถระ” จึงตระเตรียมบิณฑบาต ๕๐๐ ท่ี แล้วถือมายืนอยู่ใน
ระหว่างทาง กลา่ วว่า “นิมนต์รับบณิ ฑบาตนี้ เจ้าขา้ โปรดทาความสงเคราะห์แกพ่ วกดฉิ ันเถิด”

พระเถระ. พวกเจา้ จงไปเสียเถิด ฉันจักทาความสงเคราะหพ์ วกคนเขญ็ ใจ
นางอปั สร. ขอท่านอย่าใหพ้ วกดฉิ นั ฉิบหายเสยี เลย เจา้ ขา้ โปรดทาความสงเคราะหพ์ วก
ดิฉันเถดิ
พระเถระรู้แล้ว จึงห้ามอีก แล้วดีดนิ้วบอกนางอัปสรทั้งหลายผู้ไม่ปรารถนาจะหลีกไปยัง
อ้อนวอนอยวู่ ่า “พวกเจา้ ไมร่ ้จู กั ประมาณตัว จงหลีกไป”
นางอัปสรเหล่าน้ัน ฟังเสียงน้ิวมือของพระเถระแล้ว ไม่อาจเพื่อจะยืนขัดแข็งอยู่ได้
จึงหนไี ปยงั เทวโลกตามเดมิ อนั ท้าวสกั กะตรสั ถามว่า “พวกหล่อนไปไหนกนั มา” จึงทูลว่า “หม่อมฉนั
พากนั ไปด้วยหมายวา่ จกั ถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปเถระ ผู้ออกจากสมาบัติ พระเจา้ ขา้ ”

สักกะ. พวกเธอถวายแล้วหรอื

๑๔ ขุ.ธ.บาลี. ๒๕/๕๖/๒๖.
๑๕ ข.ุ ธ.ไทย.๒๕/๕๖/๔๔.

๑๖๑

นางอัปสร. พระเถระไมป่ รารถนาจะรบั
สักกะ. พระเถระพดู อยา่ งไร ?
นางอปั สร. ทา่ นพูดวา่ จกั ทาความสงเคราะห์พวกคนเข็ญใจพระเจา้ ข้า
สักกะ. พวกหลอ่ นไปกันด้วยอาการอย่างไร
นางอัปสร. ไปดว้ ยอาการน้แี ล พระเจา้ ข้า

ท้าวสักกะแปลงตัวทาบญุ แก่พระเถระ ทา้ วสกั กะ ตรัสวา่ “หญิงเช่นพวกหล่อน จักถวาย
บิณฑบาตแก่พระเถระได้อย่างไร” ประสงค์จะถวายด้วยพระองค์เอง จงึ แปลงเปน็ คนแก่ครา่ ครา่ ดว้ ย
อานาจชรา มฟี ันหัก มผี มหงอก หลงั โกง เปน็ ช่างหกู ผ้เู ฒ่า ทรงทาแม้นางสุชาดาผเู้ ทพธดิ า ใหเ้ ป็น
หญิงแก่ เหมือนอย่างนัน้ นนั่ แล แล้วทรงนริ มิตถนนช่างหูกขนึ้ สายหน่ึงประทับขึงหกู อยู่

ฝ่ายพระเถระ เดินบ่ายหน้าเข้าเมือง ด้วยหวังว่า “จักทาความสงเคราะห์พวกคน
ยากจน” เห็นถนนสายน้ัน นอกเมืองน้ันแล แลดูอยู่กไ็ ด้เห็นคน ๒ คน ในขณะน้นั ท้าวสักกะกาลัง
ขึงหูก นางสุชาดากรอหลอด พระเถระคิดว่า “สองคนนี้ แม้ในเวลาแก่ก็ยังทางาน ในเมืองนี้ผู้ท่ีจะ
ลาบากกว่าสองคนน้ีเหน็ จะไม่มี เราจกั รบั ภัตแม้ประมาณ กระบวนหน่ึงทสี่ องคนน้ถี วายแล้ว ทาความ
สงเคราะห์แก่คนสองคนนี้ พระเถระได้บ่ายหน้าไปตรงเรือนของตนท้ังสองน้ันแล ท้าวสักกะ
ทอดพระเนตรเห็นพระเถระนนั้ มาอยู่ จึงตรัสกะนางสชุ าดาว่า “หลอ่ น พระผเู้ ปน็ เจา้ ของเรา เดินมา
ทางนี้ เธอจงน่ังทาเป็นเหมือนไม่เห็นท่านเสีย ฉันจักลวงท่านสักครู่หน่ึง แล้วจึงถวายบิณฑบาต”
พระเถระได้มายืนอยู่ท่ีประตูเรือนแล้ว แม้สองผัวเมียน้ันก็ทาเป็นเหมือนไม่เห็น ทาแต่การงานของ
ตนฝา่ ยเดยี ว คอยอยูห่ น่อยหน่งึ แลว้

คร้ังนั้น ท้าวสักกะตรัสว่า “ที่ประตูเรือนดูเหมือนมีพระเถระยืนอยู่รูปหนึ่ง เธอจงไป
ตรวจดกู ่อน

นางสชุ าดาตอบวา่ “ท่านจงไปตรวจดูเถอะ นาย”

ท้าวเธอเสด็จออกจากเรือนแล้ว ทรงไหว้พระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว เอาพระ
หัตถ์ท้ังสองเท้าพระชานแุ ล้ว ถอนใจ เสด็จลกุ ข้ึน ยอ่ พระองค์ลงหนอ่ ยหน่งึ ตรัสว่า “พระผเู้ ป็นเจ้า
เป็นพระเถระรูปไหนหนอแล” แล้วตรัสว่า “ตาของผมฝ้าฟาง” ดังน้ีแล้ว ทรงวางพระหัตถ์ไว้เหนือ
พระนลาตป้องหน้าทรงแหงนดูแล้ว ตรัสว่า “โอ ตายจริง พระผู้เป็นเจ้า พระมหากสั สปเถระของ
เรา นาน ๆ จึงมายังประตูกระท่อมของเรา มีอะไรอยู่ในเรือนบ้างไหม” นางสุชาดาทาเป็นกุลีกุจอ
อยู่หน่อยหนง่ึ แล้ว ไดใ้ ห้คาตอบว่า “มี นาย”

ท้าวสักกะ ตรัสว่า “ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้าอย่าคิดเลยว่า ‘ทานเศร้าหมอง หรือ
ประณีต’ โปรดทาความสงเคราะห์แก่กระผมท้ังสองเถิด” ดังนี้แล้ว ก็ทรงรับบาตรไว้ พระเถระคิด
ว่า “ทานที่สองผัวเมียน่ันถวายแล้ว จะเป็นน้าผักดองหรือรากามือหนึ่งก็ตามที เราจักทาความ
สงเคราะห์แก่สองผัวเมียน้ัน” ดังน้ีแล้วจึงได้ให้บาตรไป ท้าวสักกะน้ันเสด็จเข้าไปภายในเรือนแล้ว
ทรงคดข้าวสุกออกจากหม้อใส่เต็มบาตรแล้ว มอบถวายในมือพระเถระ บิณฑบาตนั้นได้มีข้าวกับ
จานวนมากมาย ได้หอมตลบท่ัวกรุงราชคฤห์แล้ว ท้าวสักกะตรัสบอกความจริงแก่พระเถระ ในกาล

๑๖๒

น้ัน พระเถระคิดว่า “ชายนี้ มีศักด์ิน้อย บิณฑบาตมีศักด์ิมาก เช่นกับโภชนะของท้าวสักกะ
นั่น ใครหนอ” ครั้งนั้น พระเถระทราบชายน้ันว่า “ท้าวสักกะ” จึงกล่าวว่า “พระองค์ทรงแย่ง
สมบัติของคนเข็ญใจจัดว่า ทากรรมหนักแล้ว ใคร ๆ ก็ตามท่ีเป็นคนยากจน ถวายทานแก่อาตม
ภาพในวันนี้ พงึ ไดต้ าแหน่งเสนาบดีหรอื ตาแหนง่ เศรษฐี”

สักกะ. ผู้ทเ่ี ข็ญใจไปกวา่ กระผม ไม่มเี ลย ขอรบั
พระเถระ. พระองค์เสวยสิริราชสมบัติในเทวโลก จะจัดวา่ เป็นคนเขญ็ ใจ เพราะเหตุไร

สักกะ. อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าว่า ก็ถูกละ ขอรับ แต่เมื่อพระพุทธเจ้า ยังมิทรงอุบัติ
กระผมได้ทากัลยาณกรรมไว้ เม่ือพุทธุปบาทกาลยังเป็นไปอยู่ เทพบุตรผู้มีศักด์ิเสมอกัน ๓ องค์
เหล่านี้ คือ จูฬรถเทพบุตร มหารถเทพบุตร อเนกวัณณเทพบุตรทากลั ยาณกรรมแลว้ ได้เกิดใน
ท่ีใกล้ของกระผม มีเดชมากกว่ากระผม ก็กระผม เมื่อเทพบุตรท้ังสามนั้นพาพวกบริจาริกาลงสู่
ระหว่างถนน ด้วยคิดว่า “จักเล่นนักขัตฤกษ์” ต้องหนีเข้าตาหนัก เพราะเดชจากสรีระของ
เทพบุตรทั้งสามน้ัน ท่วมทับสรีระของกระผม เดชจากสรีระของกระผม ไม่ท่วมทับสรีระของ
เทพบตุ รท้งั สามนัน้ ใครจะเข็ญใจกว่ากระผมเลา่ ขอรบั

พระเถระ. แม้เม่ือเป็นอย่างน้ัน ตั้งแต่นี้ต่อไป พระองค์อย่าได้ลวงถวายทานแก่อาตม
ภาพอยา่ งนั้น

สักกะ. เมอื่ กระผมลวงถวายทานแก่ท่าน กศุ ลจะมแี ก่กระผมหรือไมม่ ี
พระเถระ. มี พระองค์
สกั กะ. เมอ่ื เปน็ อย่างน้นั การทากุศลกรรมกจ็ ัดเป็นหนา้ ท่ีของกระผมซิ ขอรับ
ทา้ วเธอตรสั อยา่ งน้ันแล้ว ทรงไหว้พระเถระ พานางสุชาดาทรงทาปทกั ษิณพระเถระแล้ว
เหาะขึ้นสู่เวหาส ทรงเปล่งอุทานว่า “อโห ทาน ปรมทาน กสฺสเป สุปติฏฺ ต”๑๖ โอ ทานท่ีเป็น
ทานอย่างเยี่ยม เราได้ตงั้ ไว้ดแี ลว้ ในทา่ นพระกัสสปะ

เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ จึงกล่าวว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์ ก็โดยสมัยน้ันแล ท่านพระ
มหากัสสปอยู่ท่ปี ิปผลิคูหา น่งั เขา้ สมาธอิ ยา่ งใดอยา่ งหนึง่ โดยบลั ลงั ก์เดยี ว สน้ิ ๗ วัน ครงั้ นัน้ แล
ท่านพระมหากัสสปะโดยล่วง ๗ วันนั้นแล้วจึงออกจากสมาธิน้ัน คร้ังน้ันแล ท่านพระมหากัสสปะ
ผู้ออกจากสมาธินั้นแล้ว ได้มีความ ปริวิตกอย่างน้ีว่า “ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์
เพ่ือบิณฑบาต” โดยสมัยน้ันแล เทวดา ประมาณ ๕๐๐ ถึงความขวนขวาย เพ่ือจะให้ท่านพระ
มหากัสสปะได้บณิ ฑบาต ครง้ั นัน้ พระมหากัสสปะ หา้ มเทวดาประมาณ ๕๐๐ เหล่านั้นแล้ว ในเวลา
เชา้ นงุ่ สบงแล้ว ถอื บาตรและจีวร เข้าไปสู่กรงุ ราชคฤหเ์ พ่ือบณิ ฑบาต ครัง้ น้นั ทา้ วสกั กะผู้เปน็ จอม
แห่งเหล่าเทพเจ้า ทรงประสงค์จะถวายบิณฑบาตแก่ท่านพระมหากัสสปะ ทรงเนรมิตเป็นช่างหูก
ทอหูก อสุรกัญญา นามว่าสุชาดากรอหลอด คร้ังนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะไปที่ประทับอยู่ของ

๑๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, “ธมฺมปทฏฺฐกถา (ตติโย ภาโค)”,
(กรุงเทพมหานคร:มหามกุฎราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔, หน้า ๖๓.

๑๖๓

ทา้ วท้าวสกั กะ ผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระมหากัสสปะกาลังเดินมาแต่
ทีไ่ กล คร้ันทอดพระเนตรเห็นแล้ว เสด็จออกจากเรอื น ทรงต้อนรับ รบั บาตรจากมอื เสด็จเขา้ ไปสู่
เรือน คดข้าวสุกจากหม้อใส่เต็มบาตร ได้ถวายแก่ท่านพระมหากัสสป บิณฑบาตนั้นได้มีกับมากมาย
มแี กงเหลอื หลาย

ท่านพระมหากัสสปะได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า “ผู้มีฤทธ์ิมีอานุภาพเห็นปานน้ีน่ี คือใคร
กันหนอ ท่านพระมหากัสสปะ ได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า “น้ี คือท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเหล่า
เทพเจ้าแล” คร้ันทราบแล้ว ได้กล่าวคาน้ีกะท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพเจ้าว่า “ท้าวโกสีย์
กรรมน้ี อันพระองค์ทรงทาแลพระองค์อย่าได้ทรงทากรรมเห็นปานนี้อีกเลย” ท้าวสักกะตรัสว่า
“ท่านกัสสปะ ผู้เจริญ แมพ้ วกผมก็ต้องการบุญ แม้พวกผมก็ควรทาบุญ” คร้ังนนั้ แล ท้าวสักกะ
ผู้เป็นจอมแห่งเทพเจ้า อภิวาทท่านพระมหากัสสปะแล้ว ทรงทาปทกั ษิณ เหาะขึน้ สู่เวหาส ทรงเปล่ง
อทุ าน ๓ ครั้ง ในอากาศกลางหาวว่า

“โอ ทานท่ีเป็นทานอย่างเยี่ยม เราไดต้ ั้งไว้ดีแล้วในทา่ นพระกัสสปะ
โอ ทานทเ่ี ปน็ ทานอยา่ งเยี่ยมเราไดต้ ั้งไวด้ ีแล้วในท่านพระกัสสปะ
โอ ทานทเ่ี ปน็ ทานอย่างเยยี่ ม เราได้ต้งั ไวด้ ีแลว้ ในท่านพระกสั สปะ”
พระผ้มู ีพระภาคเจ้า ประทับยืนอยใู่ นพระวหิ ารน่ันแล ไดท้ รงสดบั เสยี งของทา้ วสกั กะน้ัน
จึงตรสั เรยี กภกิ ษุทั้งหลายมาแลว้ ตรัสวา่ “ภกิ ษุท้งั หลาย พวกเธอจงดูท้าวสกั กะผเู้ ปน็ จอมแห่งเหล่า
เทพเจา้ ทรงเปล่งอทุ าน เสดจ็ ไปทางอากาศ”

ภกิ ษุ. ก็ทา้ วสกั กะนนั้ ทาอะไร พระเจ้าข้า
พระศาสดา. ท้าวเธอลวงถวายบณิ ฑบาตแก่กัสสปะผ้บู ตุ รของเรา ครั้นถวายบณิ ฑบาตน้ัน
แล้ว ดพี ระทยั พลางทรงเปล่งอุทานไป
ภิกษุ. ทา้ วเธอทราบได้อยา่ งไรว่า “ถวายบิณฑบาตแก่พระเถระควร พระเจา้ ขา้ ?"

พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย ท้ังเหล่าเทพเจ้า ทั้งเหล่ามนุษย์ย่อมพอใจภิกษุผู้ถือ
การเทยี่ วบณิ ฑบาตเปน็ วตั ร ชือ่ ว่าเชน่ บุตรของเรา” ดังนแี้ ลว้ แมพ้ ระองค์เองก็ทรงเปล่งอทุ านแลว้

ในพระสูตรว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับเสียงของท้าวสักกะผู้เป็นจอมแหง่ เทพเจ้า
ผเู้ หาะข้ึนสเู่ วหาส ทรงเปล่งอทุ าน ๓ ครง้ั ในอากาศกลางหาวว่า

โอ ทานที่เป็นทานอย่างเยย่ี ม เราได้ตง้ั ไวด้ แี ล้วในท่านพระกัสสปะ
โอ ทานทเ่ี ปน็ ทานอยา่ งเยี่ยม เราไดต้ งั้ ไว้ดีแลใ้ นท่านพระกสั สปะ
โอ ทานทเี่ ป็นทานอย่างเยยี่ ม เราไดต้ ัง้ ไว้ดแี ล้วในท่านพระกสั สปะ

ดว้ ยพระโสตธาตอุ นั เปน็ ทพิ ย์ หมดจด ลว่ งเสียซ่งึ โสตของมนุษย์ ครง้ั น้ันแล พระผมู้ พี ระ
ภาคเจ้า ทรงทราบเน้ือความนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานน้ีในเวลานั้นว่า เทวดาและมนุษย์ ย่อมพอใจ
แก่ภิกษุผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้เลี้ยงตัวเอง มิใช่เล้ียงผู้อ่ืน ผู้มั่นคง ผู้เข้าไปสงบแล้ว
มีสตทิ กุ เมอื่

๑๖๔

ครั้นทรงเปล่งอุทานนี้แล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพ
เจา้ ไดเ้ สด็จมาถวายบิณฑบาตแก่บุตรของเราเพราะกลน่ิ ศลี ” ดังนีแ้ ลว้ ตรัสพระคาถาน้วี ่า

อปปฺ มตฺโต อย คนฺโธ ยวาย ตครจนทฺ นี
โย จ สลี วต คนฺโธ วาติ เทเวสุ อุตตฺ โม

กลิ่นนี้ คือ กลิน่ กฤษณา และกลนิ่ จนั ทน์

เป็นกลน่ิ เพยี งเล็กน้อย ส่วนกลิน่ ของผู้มีศีลทง้ั หลาย

เป็นกลิน่ ช้ันสูง ย่อมหอมฟุ้งไป ในเทพเจ้าและเหล่ามนษุ ย์
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น เทศนา
เกิดประโยชน์แกม่ หาชนจานวนมาก๑๗

๕.๒.๑ คณุ ค่าของธรรมบท

พระพทุ ธโฆสมหาเถระ อธิบายวา่
บทว่า อปฺปมตฺโต คือ มีประมาณนิดหน่อย หมายความว่า กลิ่นของดอกไม้ หรือของ
หมอท่วั ไป นัน้ มีความหอมทีม่ จี ากัด พระพุทธองคจ์ งึ ตรัสวา่ มีความหอมนิดหน่อย

สองบทว่า โย จ สีลวต ๑๘ ความว่า กลิ่นศีลของผู้มีศีลทั้งหลายใดกล่ินศีลน้ัน หาเป็น
กลิ่นเล็กน้อย เหมือนกลิ่นในกฤษณาและจันทน์แดงไม่ คือเป็นกลิ่นอันโอฬาร แผ่ซ่านไปเหลือเกิน
ด้วยเหตุนั้นแล กล่ินศีล จึงเป็นกล่ินสูงสุดคือประเสริฐ เลิศฟุ้งไปในเหล่าเทพเจ้าและเหล่ามนุษย์
คือฟุง้ ไปในเหลา่ เทพเจา้ และเหลา่ มนษุ ย์ไดแ้ ก่หอมตลบทั่วไปทเี ดียว

สมเด็จพระพุทธชินวงศ์อธิบายเพิ่มว่า “ความจริงผู้ทรงศีลไม่มีกล่ินเหมือนของหอม
ทัว่ ไป แตย่ กกลา่ วใหเ้ หมอื นมกี ล่ิน”๑๙

พระพุทธโฆสมหาเถระจึงได้อธบิ ายเรื่องศลี ว่า “ศีลน้ี เป็นที่พง่ึ เปน็ ท่ีพานกั เป็นที่ยึด
หน่วง เป็นท่ตี า้ นทานเปน็ ที่เร้น เป็นคติ เปน็ ท่ไี ปในเบ้ืองหนา้ ของสัตว์ท้งั หลาย ความจรงิ ท่ีพง่ึ ที่
พานัก ที่ยดึ หน่วง ทีต่ ้านทาน ทเี่ รน้ ทีไ่ ป ที่ไปในเบอ้ื งหนา้ ของสมบตั ิในโลกน้ีและโลกหน้า เช่นกับ
ศีลไมม่ ี เครื่องประดับเช่นกับศลี ดอกไม้ เชน่ กบั ดอกไม้คือศลี กลิ่นเช่นกบั กลิ่นของศีลไมม่ ี จรงิ อยู่
ชาวโลกพร้อมท้ังเทวดาแลดูผู้ประดับดว้ ยเครื่องประดบั คือ ศลี ผู้ทัดทรงดอกไม้คือศลี ลบู ไลด้ ว้ ยของ
หอมคือศีล ย่อมไม่ถึงความอ่ิม เพ่ือจะทรงแสดงว่า บคุ คลไดส้ วรรคน์ ีก้ เ็ พราะอาศยั ศลี น้ี ดงั นแ้ี ล้ว
จึงทรงแสดงสคั คกถาไว้ในลาดับแห่งศีล๒๐

๑๗ ข.ุ ธ.อ. ๔๑/๑๒๑-๑๒๙.
๑๘ ขุ.ธ.อ. ตตโิ ย ภาโค/๘๖.
๑๙ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปมมหาเถร), “งานวิจัยการศึกษาเชิงวิเคราะห์พระคาถาธรรมบท”,
พมิ พ์คร้ังที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร:ประยรู ศาสน์ การพมิ พ์, ๒๕๕๙), หนา้ ๓๙๖.
๒๐ ข.ุ อ.ุ อ. ๔๔/๔๙๙.

๑๖๕

กลิ่นดอกไม้จะไม่หอมทวนลมไป กลิ่นจันทน์กฤษณาหรือดอกมะลิก็ไม่หอมทวนลมแต่
กลิ่นของสัตบุรษุ หอมทวนลมไป สัตบุรุษฟุ้งขจรไปทวั่ ทุกทิศ กลนิ่ ศีลหอมยิ่งกว่าคันธชาตเิ หลา่ นี้ คือ
จันทน์กฤษณะ ดอกอุบลหรือดอกมะลิ เพราะกล่ินกฤษณาและจันทน์นี้หอมน้อย ส่วนกลิ่นของผู้มี
ศีลทง้ั หลายหอมมากฟงุ้ ขจรไปในเทวโลกและมนุษยโลก๒๑

๕.๒.๒ สงั คมและวัฒนธรรม

๑) สังคมอินเดียยังมีการสื่อสารสัมพันธ์ระหว่างเทพกับมนุษย์ ดังนั้นความเชื่อเรื่องเทพ
เทวดากบั มนษุ ยน์ ้นั เป็นความเชือ่ ท่ีต้องพ่งึ พงิ กนั

๒) แนวคิดของพระพุทธศาสนาเทวดา เทพน้ันมีศีลน้อยกว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
แมแ้ ตเ่ ทพยังต้องมาทาบุญกับพระพทุ ธเจา้ พระอรยิ สาวกทัง้ หลาย

๓) นอกจากน้ียงั เก่ียวกบั การออกนโิ รธสมาบัติ บางแหง่ ของประเทศไทยยงั มีประเพณีพระ
เข้า ออกนิโรธสมาบัติ น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากเร่ือของพระมหากัสสปะกับท้าวสักกะนี่เอง แต่บาง
แห่งเลี่ยงใช้คาว่า นิโรธกรรม ซ่ึงเป็นการทางานร่วมกันระหว่างพระกับชาวบ้าน อันน้ีก็มีแนวโน้มใน
เรอื่ งของต้องอาบตั ปิ าราชกิ วา่ ด้วยเรือ่ งการอวดอุตรมิ นุสสธรรมหรือไม่

๕.๒.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์

ถา้ หากจะกลา่ วว่าบุญเปน็ หลักเศรษฐกิจอีกประการหน่งึ ก็ว่าได้ แตต่ ้องลงทุนดว้ ยการทา
เอง อันประกอบด้วยการทาทางกาย วาจา ใจ ผลแหง่ การลงทุนดา้ นการทาบุญคือวิบากอันเลศิ หรู
ได้แก่ การไดเ้ กดิ มนุษย์ สวรรค์ เทวดา พระพุทธเจา้ ตรัสวา่ ปุญญฺ นธิ ิ

ดังน้ัน การลงทุนด้วยกาย วาจา ใจ เพื่อให้ได้มาซ่ึงผล กาไร คือ สุข สวรรค์นั้น เป็นการ
ลงทุนที่ไม่ต้องอาศัยต้นทุนทางวัตถุอะไรมาก แต่ลงทุนด้วยการกระทาหรือกรรมทางกาย วาจา ใจ
ย่อมเป็นสมบตั ิทีต่ ดิ ตวั ไปทกุ ภพทุกชาติ

๕.๒.๔ สรุป

ท้าวสักกะผู้มีรัศมีน้อย จึงได้วางแผนเพ่ือมาทาบุญกับพระมหากัสสปะผู้ออกจากนิโรธ
สมาบัติ จาได้ทาบุญกับพระมหากัสสปเถระ เหตุท่ีเทพมาทาบุญกับมนุษย์เพราะหากมนุษย์มีศีล ศีล
ถือว่าเป็นเคร่ืองประดับ เครื่องอบร่างหายให้มีกลิ่นหอม กล่ินศีลย่อมหอมฟุ้งไปในเทพเจ้าและเหล่า
มนษุ ย์ สาหรับพระสงฆท์ ่ีมีศีลนนั้ เทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลายย่อมแสวงหาเพอ่ื เป็นปุญญเขต สถานที่ที่
สร้างกุศลต่อไปอีก ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
เทศนาเกิดประโยชนแ์ ก่มหาชนจานวนมาก

๒๑ ข.ุ ชา.อ. ๕๙/๑๔๖.

๑๖๖

๕.๓ เรื่อง บัณฑติ สามเณร

เรื่อง บัณฑิตสามเณร อยู่ในหมวดธรรมปัณฑิตวรรค ว่าด้วยเร่ืองของหลักการฝึกฝน
พัฒนาตนเอง มีจานวน ๑๑ เรื่องในที่น้ีขอยกตัวอย่างเช่น บัณฑิตสามเณร เป็นกรณีการศึกษา ๓
ประเดน็ ได้แก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท (๒) สงั คมวฒั นธรรม (๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดงั น้ี

สถานที่ พระเชตะวนั วิหาร
บุคคล พระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า,พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระอรหันต์ ๒
หมื่นรูป, พระสารีบุตร, เท้าสักกะ, ปราชญ์ชาวบ้าน, มหาทุคตะและภรรยา, สองสามีภรรยาเศรษฐี,
บณั ฑติ สามเณร
ผล บัณฑติ สามเณรบรรลุอรหนั ต์

พระบาลหี รอื พทุ ธวจนะได้ตรัสว่า
อทุ ก ฺหิ นยนฺติ เนตฺติกา
อุสกุ ารา นมยนฺติ เตชน
ทารุ นมยนตฺ ิ ตจฺฉกา
อตฺตาน ทมยนฺติ ปณฺฑิตา ๒๒
คนไขนา้ ยอ่ มไขน้า
ชา่ งศร ย่อมดดั ลกู ศร
ชา่ งไม้ ยอ่ มถากไม้
บัณฑติ ยอ่ มฝึกตน๒๓

อดีตกาล พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ พระนามว่ากัสสปะมพี ระขีณาสพ ๒ หม่ืนรูปเป็นบรวิ าร
ได้เสด็จไปสู่กรุงพาราณสี มนุษย์ท้ังหลายกาหนดกาลังของตน ๆ แล้ว รวมกัน ๘ คนบ้าง ๑๐ คน
บ้างได้ถวายอาคันตุกทานแล้ว ต่อมาวันหนึ่ง ในกาลเป็นที่เสร็จภัตกิจ พระศาสดาได้ทรงทา
อนุโมทนาอย่างน้ีว่า “อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย คนบางคนในโลกน้ี คิดว่า ‘เราให้ของ ๆ ตนเท่าน้ัน
ควร ประโยชน์อะไรด้วยการชักชวนคนอื่น’ ดังนีแ้ ล้ว จึงให้ทานด้วยตนเท่านั้น ไม่ชักชวนผู้อ่ืน เขา
ย่อมได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวารสมบัติ ในภพชาติที่เกิด บางคนชักชวนผู้อื่น ไม่ให้ด้วยตน เขาย่อมได้
บริวารสมบัติไม่ได้โภคสมบัติ ในภพชาติที่เกิด บางคนทั้งไม่ให้ด้วยตน ท้ังไม่ชักชวนผู้อื่น เขาย่อม
ไม่ไดโ้ ภคสมบัติ ไม่ได้บรวิ ารสมบตั ิ เป็นคนกนิ เดนเปน็ อยู่ ในภพชาตทิ ี่เกดิ บางคนทั้งให้ด้วยตน ทั้ง
ชักชวนผู้อ่ืน เขาย่อมได้ทั้งโภคสมบัติในภพชาติที่เกิด” ชายบัณฑิตผู้หนึ่งยืนอยู่ในท่ีใกล้ ได้ฟัง
อนุโมทนากถาน้ันแล้วคิดว่า “บัดนี้ เราจักทาอย่างท่ีสมบัติทั้งสองจักมีแก่เรา” เขาถวายบังคมพระ
ศาสดาแล้ว กราบทลู วา่ “พร่งุ นี้ ขอพระองคโ์ ปรดทรงรบั ภิกษาของข้าพระองค์ พระเจ้าขา้ ”

พระศาสดา. ต้องการภกิ ษเุ ทา่ ไร
บณั ฑิต. บริวารของพระองค์ มีเท่าไร พระเจา้ ข้า

๒๒ ข.ุ ธ.บาล.ี ๒๕/๘๐/๓๑.
๒๓ ข.ุ ธ.ไทย.๒๕/๘๐/๕๓.

๑๖๗

พระศาสดา. มีภิกษุ ๒ หมนื่ รูป

บัณฑิต. พระเจ้าข้า พรุ่งนี้ ขอพระองค์กับภิกษุทั้งหมด โปรดทรงรับภิกษาของข้า
พระองค์ พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว เขาเข้าไปบ้านแล้ว เดินบอกบุญว่า “แม่และพ่อทั้งหลาย
พรุง่ นี้ ข้าพเจา้ นมิ นตภ์ ิกษุสงฆ์มีพระพทุ ธเจ้าเป็นประมขุ ไว้เพื่อรับบิณฑบาต ทา่ นท้งั หลายจงถวายแก่
ภิกษุเท่าจานวนที่สามารถถวายได้” เมื่อชนท้ังหลายกาหนดกาลังของตน ๆ แล้วกล่าวว่า “พวกเรา
จกั ถวาย ๑๐ รปู พวกเราจักถวาย ๒๐ รปู พวกเรา ๑๐๐ รูป พวกเรา ๕๐๐ รปู ” ดังนีแ้ ล้ว จงึ
จดคาของคนท้งั หมดลงไวใ้ นบญั ชตี ั้งแตต่ ้นมา

มีชายคนหน่ึงปรากฏช่ือว่า “มหาทุคตะ” เพราะความเป็นผู้ยากจนยิ่งนัก ชายบัณฑิต
น้ันเห็นชายเข็ญใจแม้นั้นมาเฉพาะหน้า จึงบอกว่า “เพ่ือนมหาทุคตะ ข้าพเจ้าได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประธานไว้ เพ่ือฉันในวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ชาวเมืองจักถวายทานกัน แกจักเลี้ยงภิกษุ
สกั กรี่ ูป”

มหาทุคตะ. คุณ ผมจะต้องการอะไรด้วยภิกษุเล่า ชื่อว่าความต้องการภิกษเุ ป็นของคนมี
ทรัพย์ ส่วนผมแม้สักว่าข้าวสารทะนานหนึ่งเพ่ือประโยชน์แก่ข้าวต้มพรุ่งน้ีก็ไม่มี ผมทางานรับจ้าง
เลย้ี งชพี ผมจะต้องการอะไรแมภ้ กิ ษสุ ัก ๑ รูปเล่า

ธรรมดาผู้ชักชวนพึงเป็นผู้ฉลาด เพราะฉะน้ัน ชายบัณฑิตน้ันแม้เม่ือมหาทุคตะพูดว่า
“ไม่ม”ี ก็ไมน่ ิ่งเฉย ยงั กล่าวอย่างนวี้ ่า “เพ่อื นมหาทุคตะ คนเปน็ อนั มาก ในเมืองน้ี บริโภคโภชนะ
อย่างดีนุ่งผ้าเน้ือละเอียด แต่งตัวด้วยเครื่องอาภรณ์ต่าง ๆ นอนบนที่นอนอันสง่างาม ย่อมเสวย
สมบัติกัน ส่วนแกทางานรับจ้างตลอดวัน ยังไม่ได้อาหารแม้พอเตม็ ท้อง แม้เม่ือเปน็ เช่นน้ี แกยังไม่
รสู้ ึกวา่ “เราไม่ไดอ้ ะไร ๆ เพราะไม่ได้ทาบญุ อะไร ๆ ไว้แม้ในกาลกอ่ น”

มหาทคุ ตะ. ผมทราบ คุณ
บัณฑิต. เมื่อเช่นน้ัน ทาไมบัดนี้แกจึงไม่ทาบุญเล่า แกยังเป็นหนุ่ม มีเร่ียวแรงสมบูรณ์
แกแม้ทางานจ้างแล้ว ใหท้ านตามกาลงั จะไม่ควรหรอื
มหาทุคตะนั้น เมอื่ ชายบัณฑิตกลา่ วอยู่ ถึงความสลดใจ จงึ พูดวา่ “คณุ ขอลงบัญชีภกิ ษุ
ให้ผมบ้างสักรูปหน่ึง ผมจักทางานจ้างอะไรสักอย่างแล้ว จักถวายภิกษาแก่ภิกษุรูปหนึ่ง” ชายผู้
ลงบัญชีนีค้ ดิ วา่ “ภิกษรุ ูปเดียว จะจดลงในบัญชที าไม” ดงั นแี้ ลว้ จงึ ไม่จดไว้

ฝ่ายมหาทุคตะ ไปเรือนแล้ว พูดกะภรรยาว่า “เธอ พรุ่งนี้ชาวเมืองเขาจัดภัตเพ่ือ
พระสงฆ์ แม้ฉนั ก็ถูกผู้ชกั ชวนบอกว่า ‘จงถวายภิกษาแก่ภิกษุรูปหน่ึง’ พวกเราจักถวายภิกษาแกภ่ ิกษุ
รปู หนึ่ง พรงุ่ น้ี”

ลาดับน้ัน ภรรยาของเขาไม่พูดเลยว่า “พวกเราเป็นคนจน แกรับคาเขาทาไม” กลับ
กล่าวว่า “นาย แกทาดีแล้ว เมื่อก่อนเราไม่ให้อะไร ๆ ชาตินี้จึงเกิดเป็นคนยากจน เราทั้งสองคน
ทางานจา้ งแล้ว จักถวายแก่ภกิ ษุรูปหนงึ่ ” แม้ท้ังสองคนไดอ้ อกไปหาทรี่ บั จา้ ง มหาเศรษฐี
เหน็ มหาทุคตะ จงึ ถามวา่ “เพอ่ื นมหาทุคตะ เธอจกั ทางานจ้างหรอื ”

๑๖๘

มหาทคุ ตะ. ขอรบั กระผม
มหาเศรษฐี. จกั ทาอะไร
มหาทุคตะ. แล้วแต่ทา่ นจักให้ทา

มหาเศรษฐีกลา่ วว่า “ถา้ อย่างนั้น พรุ่งน้ี เราจักเล้ยี งภกิ ษุ ๒ – ๓ รอ้ ย จงมาผา่ ฟืนเถิด”
แล้วก็ให้หยิบมีดและขวานมาให้ มหาทุคตะถกเขมรอย่างแข็งแรง ถึงความอุตสาหะ วางมีด คว้า
ขวาน ทิ้งขวานฉวยมีด ผ่าฟืนไป ลาดับน้ัน เศรษฐีพูดกะเขาว่า “เพ่ือน วันนี้ เธอขยันทางาน
เหลอื เกนิ มีเหตอุ ะไรหรือ”

มหาทุคตะ. นาย ผมจักเล้ียงภิกษุรูปหน่ึง เศรษฐีฟังคาน้ันแล้ว มีใจเลื่อมใส คิดว่า น่า
เลื่อมใสจริงมหาทุคตะนี้ ทากรรมท่ีทาไดย้ าก เขาไมถ่ ึงความเฉยเมยดว้ ยคิดว่า ‘เราจน’ พดู วา่ “จัก
ทางานจ้างแล้วเลี้ยงภกิ ษสุ กั รปู หน่งึ ”

ฝ่ายภรรยาของเศรษฐี เห็นภรรยาของมหาทุคตะนั้นแล้ว ก็ถามว่า “แม่ เจ้าจักทางาน
อะไร” เมื่อนางตอบว่า “แล้วแต่จะใช้ดิฉันให้ทา” จงึ ให้เข้าไปสู่โรงกระเด่อื งแล้ว ให้มอบเคร่ืองมือมี
กระดง้ และสากเปน็ ตน้ ใหแ้ ลว้ นางยนิ ดรี ่าเริง ท้งั ตาและฝัดขา้ วเหมอื นจะ ราละคร

ลาดับน้ัน ภรรยาเศรษฐีถามนางว่า “แม่ เจ้าช่างยินดีร่าเริงเหลือเกินขณะทางาน มีเหตุ
อะไรหรือ”

นาง. คุณนาย พวกดฉิ นั ทางานจ้างนแ้ี ลว้ จักเลี้ยงภกิ ษสุ ักรูปหนง่ึ

ฝ่ายภรรยาเศรษฐี ฟังคานั้นแล้ว เล่ือมใสในนางว่า “น่าเล่ือมใส นางนี้ทากรรมท่ีทาได้
ยาก” ในเวลาท่ีมหาทุคตะผ่าฟืนเสร็จ เศรษฐีส่ังให้ให้ข้าวสาลี ๔ ทะนาน พูดว่า “นี้ค่าจ้างของเธอ”
แล้วส่ังให้เพิ่มอีก ๔ ทะนานว่า “นี้เป็นส่วนท่ีเพิ่มให้เพราะความร่าเริงของเธอ” นายทุคตะไปบ้าน
บอกกะภรรยาว่า “ฉันรับจ้างได้ข้าวสาลีมา ส่วนนี้จักเป็นกับ เจ้าจงถือเอาของ คือ นมส้ม น้ามัน
และเคร่ืองเทศด้วยค่าจ้างแรงงานท่ีเจ้าได้แล้ว” ฝ่ายภรรยาเศรษฐี สั่งให้จ่ายเนยใสขวดหนึ่ง นมส้ม
กระปุกหน่ึงเคร่ืองเทศหน่ึง และข้าวสารสาลีอย่างเป็นตัวทะนานหนึ่งแก่นาง สองสามีภรรยาได้มี
ข้าวสารรวม ๕ ทะนาน เกิดความยินดีร่าเริงว่า “เราได้ไทยธรรมแล้ว” ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ภรรยาพูด
กบั มหาทุคตะว่า “ไปหาผักมาซิ นาย” เขาไมเ่ ห็นผักในรา้ นตลาด จึงไปฝั่งแม่น้ามีใจร่าเริงว่า “จักได้
ถวายโภชนะแก่พระผู้เป็นเจ้า” ร้องเพลงด้วยเก็บผักด้วย ชาวประมงยืนทอดแหใหญ่อยู่ รู้ว่า
“เป็นเสียงของมหาทุคตะ จึงเรียกเขามาถามว่า “แกมีจิตยินดีเหลือเกิน ร้องเพลงอยู่ มีเหตุอะไร
หรอื

มหาทุคตะ. เกบ็ ผกั เพอ่ื น
ชาวประมง. จกั ทาอะไรกัน ?
มหาทคุ ตะ. จกั เลย้ี งภกิ ษุสกั ๑ รูป
ชาวประมง. โอ ! อ่มิ ละ ภกิ ษุท่ฉี นั ผกั ของแก
มหาทุคตะ. จะทาอยา่ งไรได้ เพื่อน ฉนั ต้องเล้ียงภกิ ษุด้วยผักท่ีได้
ชาวประมง. ถ้าอยา่ งน้ัน มานี่เถดิ

๑๖๙

มหาทุคตะ. จะทาอยา่ งไร เพื่อน

ชาวประมง. จงถือเอาปลาเหล่านี้ ร้อยให้เป็นพวง มีราคาบาทหนึ่งบ้าง กึ่งบาทบ้าง
กหาปณะหนึ่งบ้าง

เขาได้กระทาอย่างนั้น ชาวเมืองซื้อปลาที่มหาทุคตะร้อยไว้ ๆ ไป เพือ่ ประโยชนแ์ ก่ภิกษุที่
ตนนิมนตแ์ ล้ว ๆ เม่อื เขากาลังรอ้ ยปลาอยู่น้ันแล ก็ถงึ เวลาภิกขาจารแล้ว เขากาหนดเวลาแล้ว กลา่ ว
ว่า “จกั ต้องไปเพอ่ื น น้ีเปน็ เวลาทภี่ กิ ษุมา”

ชาวประมง. ก็พวงปลายงั มอี ยไู่ หม
มหาทคุ ตะ. ไม่มี เพือ่ น หมดสิ้นแลว้

ชาวประมงกล่าวว่า “ถ้าอย่างน้ัน ปลาตะเพียน ๔ ตัว ข้าหมกทรายไว้เพื่อตัวฉันเอง
แม้ถ้าแกต้องการจะถวายภิกษุ จงเอาปลาเหล่านี้ไปเถิด” ดังน้ีแล้วก็ได้ให้ปลาตะเพียนเหล่านั้นแก่
เขาไป

วนั น้ัน พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นมหาทุคตะ เข้าไปใน
ภายในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ทรงราพึงว่า “จักมีเหตุอะไรหนอ” ทรงดาริว่า “มหาทุคตะ”
คิดว่า จักเล้ียงภิกษุรูปหน่ึง จึงได้ทางานจ้างกับภรรยาแล้วในวันวาน เขาจักได้ภิกษุรูปไหนหนอ”
จงึ ทรงใคร่ครวญว่า “คนทง้ั หลาย จักพาภิกษุไปบ้านตามชอ่ื ที่จดไว้ในบัญชีแล้ว ให้นั่งในเรือนของตน
ๆ มหาทุคตะเว้น เราเสียแล้ว จักไม่ได้ภิกษุอื่น” เป็นท่ีรู้กันว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงทา
ความอนุเคราะห์ในพวกคนลาบากแสนเข็น เพราะฉะนน้ั พระศาสดาทรงทาสรีระกิจแต่เช้าตรู่แล้ว
เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ประทับนั่ง ด้วยทรงดาริว่า “จักสงเคราะห์มหาทุคตะ” แม้เม่ือมหาทุคตะ
กาลงั ถอื ปลาเขา้ ไปสเู่ รอื น

ทา้ วสักกะแสดงอาการร้อน ทา้ วเธอทรงพิจารณาวา่ “เหตอุ ะไรกนั หนอ”ทรงดารวิ ่า “วาน
น้ี มหาทุคตะได้ทางานจ้างกับภรรยาของตนด้วยจงใจว่า จักถวายภิกษาแก่ภิกษุสกั ๑ รูป เขาจักได้
ภิกษุรูปไหนหนอ” ทรงทราบว่า “ภิกษุอื่นไม่มีสาหรับเขา แต่พระศาสดา ประทับนั่งในพระคันกุฎี
นนั่ เอง ดว้ ยตั้งพระทยั ว่า ‘จักสงเคราะห์มหาทุคต’ มหาทุคตะ พึงถวายขา้ วต้มขา้ วสวยและมีผกั เป็น
กับอย่างท่ีตัวบริโภคเองแด่พระตถาคต ถ้ากระไร เราควรไปยังเรือนของมหาทุคตะ ทาหน้าที่เป็นพ่อ
ครัว” ดังนี้แล้ว จึงทรงจาแลงเพศมิให้ใครรู้จัก เสด็จไปท่ีใกล้เรือนของมหาทุคตะนั้นแล้ว ตรัสถาม
ว่า “ใคร ๆ มีงานจ้างอะไรบ้างหรือ” มหาทุคตะเห็นท้าวสักกะแล้วจึงกล่าวว่า “จักทางานอะไร
เพือ่ น”

ชายแปลง(สกั กะ). ข้าพเจ้ารู้วิชาการทกุ อย่าง นาย ช่อื วา่ วิชาการสิ่งไรทขี่ ้าพเจ้าไม่เข้าใจ
ไม่มีเลย รจู้ นการปรงุ ข้าวตม้ ข้าวสวยเปน็ ต้น

มหาทุคตะ. เพื่อน พวกข้าพเจ้ามีความต้องการด้วยการงานของท่าน แต่ยังไม่เห็น
ค่าจา้ งท่คี วรจะให้แกท่ ่าน

ชายแปลง. ก็ท่านตอ้ งการทาอะไร ?

๑๗๐

มหาทุคตะ. ข้าพเจ้าประสงค์จะถวายภิกษาแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ประสงค์จัดแจงข้าวต้มข้าว
สวยถวายภิกษุนน้ั

ชายแปลง. ถ้าท่านจะถวายภิกษาแก่ภิกษุ ข้าพเจ้าไม่ต้องการค่าจ้าง ท่านให้บุญแก่
ข้าพเจ้า ไม่ควรหรือ

มหาทคุ ตะ. เม่ือเปน็ เช่นนัน้ ก็เป็นการดลี ะ เพอ่ื น เชิญเขา้ ไปเถดิ
ท้าวสักกะนั้น เสด็จเข้าไปในเรือนของมหาทุคตะนั้นแล้ว ให้นาข้าวสารเป็นต้นมาแล้ว
ทรงส่งมหาทคุ ตะน้นั ไปดว้ ยคาว่า “ไปเถิดท่าน จงนาภกิ ษุทีถ่ งึ แก่ตนมา”

ฝ่ายผู้จัดการทาน ได้จ่ายภิกษุไปสู่เรือนของพวกชนเหล่าน้ัน ๆ ตามรายการท่ีจดไว้ใน
บัญชีนั่นแล มหาทุคตะไปยังสานักของเขาแล้วพูดว่า “จงให้ภิกษุท่ีถึงแก่ผมเถิด” เขาได้สติขึ้นใน
ขณะน้ัน จึงพูดว่า “ฉนั ลืมภิกษุสาหรับแกเสียแล้ว มหาทุคตะเป็นเหมอื นถูกประหารท่ีท้องด้วยหอก
อนั คม ประคองแขนร่าไรว่า “เหตุไรจึงให้ผมฉิบหายเสียเล่า คุณ แม้ผมอันท่านชวนแล้วเม่ือวาน ก็
พร้อมด้วยภรรยาทางานจ้างตลอดวัน วันน้ี แต่เช้าตรู่ เท่ียวไปท่ีฝ่ังแม่น้า เพื่อตอ้ งการผักแล้วจึงมา
ขอท่านจงให้ภิกษุแก่ผมสักรูปหน่ึงเถิด” มหาทุคตะไปนิมนต์พระศาสดา คนท้ังหลายประชุมกันแล้ว
ถามว่า “มหาทุคตะ นั่นอะไรกัน” นายทุคตะบอกเร่ืองราวท้ังหมด คนเหล่านั้น ถามผู้จัดการว่า
“จริงไหม เพอื่ น ได้ยนิ ว่า เพือ่ นได้ถกู ชักชวนวา่ ‘จงทางานจ้างแลว้ ถวายภิกษาแกภ่ ิกษุรูปหนึ่ง”

ผู้จัดการ. ขอรับ นาย คนเหล่าน้ัน ท่านจัดการภิกษุมีประมาณถึงเท่านี้ ไม่ได้ให้ภิกษุแก่
มหาทุคตะน้ีสักรูปหนึ่ง ทากรรมหนกั เสียแล้ว เขาละอายใจ ด้วยคาพูดของคนเหล่าน้นั จึงพูดกะมหา
ทคุ ตะนั้นวา่ "เพื่อนมหาทคุ ตะ อย่าให้ฉันฉบิ หายเลย ฉันถงึ ความลาบากใหญ่ เพราะเหตุแห่งท่าน คน
ท้ังหลาย นาภิกษุท่ีถึงแก่ตน ๆ ไปตามรายการท่ีจดไว้ในบัญชี ช่ือว่าคนผู้ซ่ึงจะถอนภิกษุผู้ซึ่งนั่งใน
เรือนของตนให้ไม่มี สว่ นพระศาสดา สรงพระพักตรแ์ ล้วประทับน่ังอยู่ในพระคนั ธกุฎีน่นั เอง พระเจ้า
แผ่นดินยพุ ราชและคนโต ๆ มีเสนาบดีเป็นต้น นั่งแลดูการเสด็จออกจากพระคันธกุฎีแห่งพระศาสดา
คิดว่า ‘จักรับบาตรของพระศาสดาไป’ ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงทาอนุเคราะห์ในคน
ยากจน ท่านจงไปวิหาร กราบทูลพระศาสดาว่า ‘ข้าพระองค์เปน็ คนยากจน พระเจ้าข้า ขอพระองค์
จงทรงทาความสงเคราะหแ์ ก่ข้าพระองค์เถดิ ถา้ ทา่ นมีบุญ ทา่ นจกั ได้แน่”

เขาได้ไปส่วู ิหารแลว้ ลาดับนั้น พระเจ้าแผ่นดินและยุพราชเปน็ ตน้ ตรัสกะเขาวา่ “มหา
ทุคตะ ไม่ใช่เวลาภัตก่อน เจ้ามาทาไม” เพราะเคยเห็นเขาโดยความเป็นคนกินเดนในวิหาร ในวัน
อื่น ๆ มหาทุคตะกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ทราบอยู่ว่า 'ไม่ใช่เวลาภัตก่อน' แต่ข้าพระองค์มาก็เพื่อ
ถวายบังคมพระศาสดา" ดังนี้แล้ว จึงซบศีรษะลงที่ธรณีพระคันธกุฎีถวายบังคมด้วยเบญจางคประ
ดิษฐ์ กราบทูลว่า “ผู้ท่ียากจนกว่าข้าพระองค์ในพระนครน้ีไม่มี พระเจ้าข้า ขอทรงเป็นท่ีพ่ึงแก่ข้า
พระองคเ์ ถิด ขอทรงทาความสงเคราะหแ์ ก่ข้าพระองคเ์ ถิด” พระศาสดาทรงเปิดพระทวารพระคนั ธ
กฎุ ี ทรงนาบาตรมาประทานในมือของเขา เขาได้เปน็ เหมือนบรรลุจกั รพรรดิสริ ิ

พระเจา้ แผ่นดนิ และยุพราชเปน็ ต้นต่างทรงดแู ลดูพระพักตร์กันและกนั แทจ้ ริง ใคร ๆ ชื่อ
ว่าสามารถเพ่ือจะรับบาตรที่พระศาสดาประทานแก่มหาทุคตะ ด้วยอานาจความเป็นใหญ่ หามีไม่
เป็นแต่กล่าวอย่างน้ีว่า “เพื่อนมหาทุคตะ ท่านจงให้บาตรของพระศาสดาแก่พวกเรา พวกเราจักให้

๑๗๑

ทรัพย์มีประมาณเท่าน้ี คือ พันหน่ึงหรือแสนหน่ึง แก่ท่านท่านเป็นคนเข็ญใจ จงเอาทรัพย์เถิด
ประโยชนอ์ ะไรของทา่ นดว้ ยบาตรเลา่ ”

มหาทุคตะ ตอบว่า “ข้าพเจ้าจักไม่ให้ใคร ข้าพเจ้าไม่มีความต้องการด้วยทรัพย์ จักให้
พระศาสดาเท่าน้ันเสวย” ชนทั้งหลายที่เหลือ อ้อนวอนเขา ไม่ได้บาตรแล้วจึงกลับไป ฝ่ายพระเจ้า
แผ่นดิน ทรงดาริว่า “มหาทุคตะ แม้ถูกเขาเล้าโลมล่อด้วยทรัพย์ ก็ไม่ให้บาตรของพระศาสดา ก็
ใคร ๆ ไม่อาจจะรับบาตรที่พระศาสดาประทานแล้วด้วยพระองค์เองได้ อันไทยธรรมของมหาทุคตะน้ี
จักมีประมาณเท่าไร ในเวลามหาทคุ ตะนี้ถวายไทยธรรมเสร็จ เราจักนาพระศาสดาไปยงั เรอื น ถวาย
อาหารท่เี ขาจดั ไวส้ าหรับเรา” ดงั นแี้ ล้ว จงึ ไดต้ ามเสด็จไปพรอ้ มดว้ ยพระศาสดาทเี ดยี ว

ฝา่ ยท้าวสักกเทวราช จัดอาหารภัตมขี ้าวตม้ ข้าวสวยและผักเปน็ ตน้ ปูอาสนะท่ีสมควรเป็น
ทีป่ ระทับแห่งพระศาสดาแล้วประทับน่ัง มหาทุคตะนาพระศาสดาไปแล้ว กราบทูลว่า “จงเสด็จเข้า
ไปเถิดพระเจ้าข้า” ก็เรือนที่อยู่ของเขาต่า ผู้ท่ีไม่ก้ม ไม่อาจเข้าไปได้ ก็แต่ธรรมดาพระพุทธเจ้า
ท้ังหลาย เม่ือเสด็จเข้าสู่เรือน ไม่ต้องก้มเสด็จเข้าไป เพราะว่า ในเวลาเสด็จเข้าสู่เรือน
แผ่นดินใหญ่ย่อมยุบลงภายใต้ หรือ เรือนสูงขึ้น นี่เป็นผลแห่งทานที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น
ถวายไว้ดีแล้ว ในเวลาท่ีพระองค์เสด็จออกไปแล้ว ทุกสิ่งเป็นปกติเหมือนเดิมอีก เพราะฉะน้ัน พระ
ศาสดา ทั้งประทับยืนอยู่น่ันเอง เสด็จเข้าสู่เรือนแล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ท้าวสักกะปูไว้แล้ว เม่ือ
พระศาสดาประทับนั่งแล้ว พระราชารับส่ังว่า “เพื่อนมหาทุคตะ ท่านไม่ให้บาตรของพระศาสดาแก่
พวกเรา แม้ผู้ออ้ นวอนอยู่ พวกเราจะดกู ่อน สักการะท่ีทา่ นจัดถวายพระศาสดาเป็นเชน่ ไร”

ลาดับนั้น ท้าวสกั กะเปิดข้าวยาคูและภัต ออกอวด กล่ินเครอ่ื งอบอาหารภัตเหลา่ นั้น ได้
ตลบท่ัวพระนครต้ังอยู่ พระราชาทรงตรวจดูข้าวยาคูเป็นตน้ แล้ว กราบทลู พระผู้มพี ระภาคเจ้าว่า "ข้า
แต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อนฉัน คิดว่า ' ไทยธรรมของมหาทุคตะจักมีสักเท่าไร เม่ือมหาทุคตะนี้ถวาย
ไทยธรรมแล้ว จักนาเสด็จพระศาสดาไปยังเรือน ถวายอาหารท่ีเขาจัดไว้สาหรับตน' จึงมาแล้ว
อาหารเห็นปานน้ี หม่อมฉันไม่เคยเห็นเลย เม่ือหม่อมฉันอยู่ในที่นี้ มหาทุคตะต้องลาบากเหลือเกิน
หม่อมฉนั จะกลับ” ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว เสดจ็ หลีกไป

ฝา่ ยท้าวสักกะ ถวายยาคเู ป็นตน้ ทรงอังคาสพระศาสดาโดยเคารพ แม้พระศาสดา ทรง
ทาภัตกิจแล้ว ทรงทาอนุโมทนา เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป. ท้าวสักกะได้ให้สัญญาแก่มหาทุคตะ
เขารับบาตร ตามเสด็จพระศาสดา ท้าวสักกะเสด็จกลับ ประทับยืนอยู่ท่ีประตูเรือนของมหาทุคตะ
ทรงแลดูอากาศแล้ว ฝนแก้ว ๗ ประการตกลงจากอากาศเต็มภาชนะทั้งหมดในเรือนของเขาแล้ว
ยังล้นไปทั่วเรือน ในเรือนของเขาไม่มีท่ีว่าง ภรรยาของเขาได้จูงมือพวกเด็ก นาออกไปยืนอยู่
ภายนอกเขาตามเสด็จพระศาสดาแล้วกลับมาเห็นเด็กข้างถนน จึงถามว่า “น่ีอะไร” ภรรยาของเขา
ตอบว่า “นาย เรือนของเราเต็มไปด้วยแก้ว ๗ ประการทั่วทั้งหลัง ไม่มีช่องจะเข้าไปได้” เขาคิดว่า
“ทานของเราให้ผลในวันน้ีเอง” ดังน้ีแล้วจึงไปสู่พระราชสานัก ถวายบังคมพระราชาแล้ว เมื่อ
พระราชารับส่ังถามว่า “มาทาไม” จึงกราบทูลว่า “พระเจา้ เรือนของข้าพระองค์ เต็มไปด้วยแก้ว ๗
ประการ ขอพระองค์ทรงถอื เอาทรัพยน์ นั้ เถิด”

๑๗๒

พระราชาทรงดาริวา่ “นา่ อศั จรรย์ ทานท่ีเขาถวายแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถึงท่ีสุดวันน้ี
เอง” ดงั น้ีแลว้ จงึ รบั สั่งกะเขาวา่ “เธอควรจะได้อะไร”

มหาทุคตะ. ขอจงพระราชทานเกวยี นพนั เลม่ เพอื่ ตอ้ งการนาทรัพย์มา
พระราชาทรงส่งเกวียนพันเล่มไป ให้นาทรัพย์มา เกลี่ยไว้ที่พระลานหลวง กองทรัพย์ได้
เป็นกองสูงประมาณเทา่ ต้นตาล
พระราชารับสั่งให้ชาวเมืองประชุมกันแล้ว ตรัสถามว่า “ในกรุงน้ี ใครมีทรัพย์ถึงเท่าน้ี
ไหม”
ชาวเมอื ง. ไมม่ ี พระเจา้ ขา้
พระราชา. จะควรทาอย่างไร แก่คนมที รัพยม์ ากอยา่ งน้นั
ชาวเมือง. ควรตั้งเปน็ เศรษฐี พระเจ้าขา้

พระราชาทรงทาสักการะเป็นอันมากแก่เขาแล้ว รับสั่งให้พระราชทานตาแหน่งเศรษฐี
ลาดับน้นั ท้าวเธอตรัสบอกท่บี ้านของเศรษฐีคนหนึ่งในกาลก่อนแก่เขาแล้ว ตรัสวา่ “เธอจงให้ถางพุ่ม
ไม้ท่เี กดิ ในทน่ี แี้ ล้ว ปลูกเรอื นอยูเ่ ถดิ ” เมอ่ื เขาแผ้วถางที่นนั้ ขุดพนื้ ท่ที าใหเ้ รียบอยู่. หม้อทรัพย์ได้
ผุดขึ้นยัดเยียดกันและกัน เม่ือเขากราบทูลแด่พระราชา ท้าวเธอจึงรับสั่งว่า “หม้อทรัพย์เกิดเพราะ
บุญของเธอน่ันเอง เธอนั่นแหละจงถือเอาเถิด” เขาได้ปลูกเรือนแล้ว ได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุ
สงฆม์ ีพระพุทธเจา้ เป็นประมขุ ตลอด ๗ วัน แมเ้ บ้ืองหน้าแต่นัน้ เขาดารงอยู่ บาเพ็ญบุญจนตลอด
อายุ ในท่ีสุดอายุ ได้บงั เกดิ ในเทวโลก เสวยทพิ ยสมบัตสิ นิ้ พุทธนั ดรหน่ึง

ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากนั้นแล้วถือปฏิสนธิในท้องธิดาคนโต ในตระกูลอุปัฏฐากของ
พระสารีบุตรเถระในกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น มารดาบิดาของนาง ทราบความที่นางตั้งครรภ์ จึงได้ให้
เครื่องบรหิ ารครรภ์ โดยสมยั อ่ืน นางเกิดแพ้ท้องเห็นปานนี้ว่า “โอ ! เราพึงถวายทานแกภ่ ิกษุ ๕๐๐
รูป ต้ังต้นแต่พระธรรมเสนาบดี ดว้ ยรสปลาตะเพยี นแล้ว นงุ่ ผา้ ย้อมนา้ ฝาด นั่งในทสี่ ุดอาสนะ บริโภค
ภัตที่เป็นเดนของภิกษุเหล่านั้น” นางบอกแก่มารดาบิดาแล้วก็ได้กระทาตามประสงค์ ความแพ้ท้อง
ระงับไปแล้ว ต่อมาในงานมงคล ๗ คร้ังแม้อ่ืนจากนั้น มารดาบิดาของนางเล้ียงภิกษุ ๕๐๐ รูป มี
พระธรรมเสนาบดีเถระเป็นประมุข ด้วยรสปลาตะเพยี นเหมือนกัน แต่ว่านี้เป็นผลแห่งการถวาย
รสปลาตะเพียนท่ีถวายในกาลที่เด็กน้ีเป็นมหาทุคตะน่ันเองก็ในวันตั้งชื่อ เมื่อมารดาของเด็กนั้น
กล่าววา่ “ขา้ แตท่ า่ นผ้เู จริญขอท่านจงให้สกิ ขาบททง้ั หลายแก่ทาสของทา่ นเถิด”

พระเถระจงึ กล่าวว่า “เดก็ นีช้ ่ืออะไร”
มารดาของเด็ก ตอบว่า " ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนเงอะงะในเรือนนี้แม้พวกพูดไม่ได้เร่ือง
กก็ ลบั เปน็ ผู้ฉลาด ตั้งแต่กาลทีเ่ ด็กน้ีถือปฏิสนธิ ในท้อง เพราะฉะน้ัน บุตรของดิฉัน จักมีชื่อว่า “หนู
บัณฑติ ” เถดิ
พระเถระได้ให้สิกขาบททั้งหลายแล้ว ก็ต้ังแต่วันท่ีหนูบัณฑิตเกิดมาความคิดเกิดข้ึนแก่
มารดาของเขาว่า “เราจักไม่ทาลายอัธยาศัยของบุตรเรา” ในเวลาที่เขามีอายุได้ ๗ ขวบ เขากล่าว
กะมารดาว่า “ผมจักบวชในสานักพระเถระ” นางกล่าวว่า “ได้ พ่อคุณ แม่ได้นึกไว้แล้วอย่างน้ันว่า'
จักไม่ทาลายอัธยาศัยของเจ้า" ดังน้ีแล้ว จึงนิมนต์พระเถระให้ฉันแล้วกล่าวว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ

๑๗๓

ทาสของท่าน อยากจะบวช ดิฉันจักนาเด็กน้ีไปวิหารในเวลาเย็น" ส่งพระเถระไปแล้ว ให้หมู่ญาติ
ประชุมกันกล่าวว่า “พวกข้าพเจ้า จักทาสักการะที่ควรทาแก่บุตรของข้าพเจ้า ในเวลาเป็นคฤหัสถ์
ในวันนี้ทีเดียว” ดังนี้แล้ว ก็ให้ทาสักการะมากมายพาหนูบัณฑิตนั้นไปสู่วิหาร ได้มอบถวายแก่พระ
เถระว่า “ขอท่านจงให้เด็กน้ีบวชเถิด เจ้าข้า” พระเถระบอกความที่การบวชเป็นกิจทาได้ยากแล้ว
เมือ่ เด็กรบั รองว่า “ผมจกั ทาตามโอวาทของทา่ นขอรับ” จึงกลา่ วว่า “ถา้ อย่างนน้ั จงมาเถดิ ” ชุบผม
ให้เปียกแล้ว บอกตจปัญจกกัมมัฏฐาน ประกอบด้วยผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้บวชแล้ว แม้
มารดาบิดาของบัณฑิตสามเณรน้ัน อยู่ในวิหารน่ันเองส้ิน ๗ วัน ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์
มีพระพทุ ธเจา้ เป็นประมุข ด้วยรสปลาตะเพียนอย่างเดียว ในวนั ทเี่ จ็ด เวลาเยน็ จึงไดไ้ ปเรอื น

ในวันท่ีแปด พระเถระเม่ือจะไปภายในบ้าน พาสามเณรนั้นไปไม่ได้ไปกับหมู่ภิกษุ
เพราะเหตุไร ? เพราะว่า การห่มจีวรและถือบาตรหรืออิริยาบถของเธอ ยังไม่น่าเลื่อมใสก่อน
อีกอย่างหน่ึง วัตรท่ีพึงทา ในวหิ ารของพระเถระ ยงั มีอยู่ อน่ึง พระเถระ เม่ือภิกษสุ งฆเ์ ขา้ ไปภายใน
บ้านแล้ว เท่ียวไปทั่ววิหาร กวาดที่ ๆ ยังไม่กวาด ตั้งน้าฉันน้าใช้ไว้ในภาชนะท่ีว่างเปล่า เก็บ
เตียงต่ังเป็นตน้ ที่ยังเก็บไว้ไม่เรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปบ้านภายหลัง อีกอย่างหนง่ึ ท่านคดิ เหน็ ว่า
“พวกเดียรถีย์เข้าไปยังวิหารว่างแล้ว อย่าได้เพื่อจะพูดว่า ‘ดูเถิด ท่ีนั่งของพวกสาวกพระสมณ
โคดม’ ดงั น้แี ล้ว จึงไดจ้ ัดแจงวิหารทง้ั สนิ้ เขา้ ไปบา้ นภายหลงั

เพราะฉะนั้น แม้ในวันนั้น พระเถระให้สามเณรน่ันเอง ถือบาตรจีวร เข้าไปบ้านสาย
หน่อย สามเณรเข้าไปบณิ ฑบาตกับพระเถระ สามเณรเม่ือไปกับพระอุปัชฌาย์ เห็นเหมืองในระหวา่ ง
ทางจึงเรยี นถามวา่ “นชี้ ่อื อะไร ขอรบั

พระเถระ. ชอ่ื ว่าเหมอื ง สามเณร
สามเณร. เขาทาอะไร ด้วยเหมืองน้ี
พระเถระ. เขาไขน้าจากที่น้ี ๆ แล้ว ทาการงานเกีย่ วด้วยข้าวกล้าของตน
สามเณร. ก็น้ามจี ิตไหม ขอรบั
พระเถระ. ไมม่ ี เธอ
สามเณร. ชนท้ังหลายย่อมไขน้าท่ีไม่มีจิตเห็นปานน้ีสู่ท่ี ๆ ตนปรารถนาแล้ว ๆ ได้หรือ
ขอรบั
พระเถระ. ได้ เธอ.
สามเณรนั้น คิดว่า “ถ้าคนทั้งหลายไขน้าซ่ึงไม่มีจิตแม้เห็นปานน้ีที่ ๆ คนปรารถนาแล้ว
ๆ ทาการงานได้ เหตุไฉน ? คนมีจิตแท้ ๆ จักไม่อาจเพื่อทาจิตของตนให้เป็นไปในอานาจแล้ว
บาเพ็ญสมณธรรม” เธอเดินต่อไปเห็นพวกชา่ งศรกาลังเอาลูกศรลนไฟแล้ว เล็งด้วยหางตา ดัดใหต้ รง
จงึ เรยี นถามวา่ “พวกน้ี ชอ่ื พวกอะไรกนั ? ขอรบั ”

พระเถระ. ชื่อช่างศร เธอ
สามเณร. ก็พวกเขา ทาอะไรกัน
พระเถระ. เขาลนท่ีไฟ แล้วดดั ลกู ศรให้ตรง
สามเณร. ลูกศรน่นั มจี ิตไหม ขอรบั

๑๗๔

พระเถระ. ไมม่ จี ติ เธอ
เธอคิดว่า “ถ้าคนท้ังหลายถือเอาลูกศรอันไม่มีจิตลนไฟแล้วดัดให้ตรงได้ เพราะเหตุไร
แม้คนมีจติ จึงจักไมอ่ าจเพ่อื ทาจิตของตนใหเ้ ป็นไปในอานาจ แลว้ บาเพญ็ สมณธรรมเล่า”
คร้ันสามเณรเดินต่อไป เห็นชนถากไม้ทาเครื่องทัพสัมภาระมีกากงและดุมเป็นต้น
จึงเรยี นถามว่า “พวกน้ี ชอ่ื พวกอะไร ขอรับ”
พระเถระ. ช่อื ช่างถาก เธอ
สามเณร. กพ็ วกเขา ทาอะไรกัน
พระเถระ. เขาถอื เอาไม้แลว้ ทาลอ้ แห่งยานน้อยเป็นตน้ เธอ
สามเณร. กไ็ มเ้ หล่าน่ัน มีจติ ไหม ขอรับ
พระเถระ. ไมม่ ีจิต เธอ
ทีน้ัน เธอได้มีความตริตรองอย่างน้ันว่า “ถ้าคนท้ังหลายถือเอาท่อนไม้ท่ีมีจิต ทาเป็น
ล้อเป็นต้นได้ เพราะเหตุไร คนผู้มีจิตจึงจักไม่ อาจทาจิตของตนให้เป็นไปในอานาจแล้วบาเพ็ญ
สมณธรรมเล่า” เธอเหน็ เหตุเหล่าน้แี ลว้ จึงเรยี นวา่ ใตเ้ ท้าขอรบั ถ้าใตเ้ ท้าควรถือบาตรและจวี รของ
ใต้เท้าได้ กระผมพึงกลับ" พระเถระมิไดเ้ กิดความคิดเลยวา่ “เจ้าสามเณรเลก็ นบ้ี วชได้หยก ๆ ตามเรา
มา กล่าวอย่างน้ันได้” กลบั กล่าวา่ “จงเอามา สามเณร” แล้วไดร้ ับบาตรและจวี รของตนไว้

[ออนไลน]์ , แหลง่ ที่มา : http://keathadhammaboththai.blogspot.com/2017/07/05_15.html, [๑๒ ธ.ค.
๒๕๖๓].

๑๗๕

ฝ่ายสามเณรไหว้พระอุปัชฌาย์แล้ว เมื่อจะกลับ จึงเรียนว่า “ใต้เท้าเมื่อจะนาอาหารมา
เพ่อื กระผม พงึ นามาดว้ ยรสปลาตะเพยี นเถอะขอรับ”

พระเถระ. เราจักได้ ในทไี่ หนเล่า ? เธอ
สามเณร. ถ้าไมไ่ ดด้ ว้ ยบญุ ของใต้เทา้ ก็จักได้ดว้ ยบญุ ของกระผม ขอรับ

พระเถระคิดว่า ‘แม้อันตรายจะพึงมีแก่สามเณรเล็กผู้น่ังข้างนอก’ จึงให้ลูกกุญแจไปแล้ว
บอกวา่ “ควรเปิดประตูห้องอยู่ของฉันแล้ว เข้าไปนั่งเสียภายใน” เธอได้กระทาอย่างนั้นแล้ว นั่ง
หยง่ั ความรลู้ งในกรชั กายของตน พิจารณาอตั ภาพอยู่

คร้ังน้ัน ที่ประทับนั่งของท้าวสักกะ แสดงอาการร้อนด้วยเดชแห่งคุณ ของสามเณรนั้น
ทา้ วเธอใคร่ครวญว่า “จักมเี หตุอะไรกันหนอ” ทรงดาริได้ว่า “บัณฑิตสามเณรถวายบาตรและจีวรแก่
พระอุปัชฌาย์แลว้ กลบั ด้วยตง้ั ใจว่า ‘จักทาสมณธรรม’ แม้เราก็ควรไปในท่ีนนั้ ” ดังนีแ้ ล้ว ตรัสเรียก
ทา้ วมหาราชท้ัง ๔ มา ตรัสว่า “พวกท่านจงไปไล่นกทบ่ี ินจอแจอย่ใู นป่าใกล้วิหารให้หนีไป แล้วยึด
อารกั ขา ไวโ้ ดยรอบ”

เท้าสักกะตรสั กะจันทเทพบตุ รว่า “ทา่ นจงฉดุ รง้ั มณฑลพระจันทร์ไว้”
เท้าสักกะตรสั กะสรุ ยิ เทพบุตรวา่ "ทา่ นจงฉดุ รง้ั มณฑลพระอาทติ ยไ์ ว้" ดังนีแ้ ล้ว

พระองค์เอง ได้เสด็จไปประทับยืนยึดอารักขาอยู่ท่ีสายยู ในวิหารแม้เสียงแห่งใบไม้แก่ก็
มไิ ด้มี จติ ของสามเณรได้มีอารมณ์เป็นหนึ่งแล้ว เธอพจิ ารณาอัตภาพแล้ว บรรลุผล ๓ อย่างใน
ระหว่างภัตนนั้ เอง

ฝา่ ยพระเถระ คิดว่า “สามเณรนั่งแล้วในวิหาร เราอาจจะไดโ้ ภชนะที่สมประสงค์แก่เธอ
ในสกลุ ชอื่ โนน้ ” ดังนแ้ี ลว้ จึงไดไ้ ปสู่ตระกูลอปุ ฏั ฐาก ซง่ึ ประกอบดว้ ยความรักและเคารพตระกูลหน่ึง
ก็ในวันน้ัน มนุษย์ท้ังหลายในตระกูลนั้น ได้ปลาตะเพียนหลายตัวนั่งดูการมาแห่งพระเถระอยู่เทียว
พวกเขาเห็นพระเถระกาลังมาจึงกล่าวว่า “ท่านขอรับ ท่านมาท่ีนี้ ทากรรมเจริญแล้ว” แล้วนิมนต์
ให้เข้าไปข้างในถวายข้าวยาคูและของควรเคี้ยวเป็นต้นแล้ว ได้ถวายบิณฑบาตด้วยรสปลาตะเพียน
พระเถระแสดงอาการจะนาไป พวกมนุษย์เรียนว่า “นิมนต์ฉันเถิดขอรับ ใต้เท้าจักได้แม้ภัตสาหรับจะ
นาไป” ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระเถระ ได้เอาโภชนะประกอบด้วยรสปลาตะเพียน ใส่เต็มบาตร
ถวายแล้ว พระเถระคดิ วา่ "สามเณรของเราหวิ แลว้ " จงึ ไดร้ ีบไป

แม้พระศาสดา ในวันนั้น เสวยแต่เช้าทีเดียว เสด็จไปวิหารทรงใคร่ครวญว่า “บัณฑิต
สามเณรให้บาตรและจีวรแก่พระอุปัชฌาย์แล้วกลับไป ด้วยตั้งใจว่า “จักทาสมณธรรม กิจแห่ง
บรรพชิตของเธอ จักสาเร็จหรอื ไม่” ทรงทราบว่า สามเณรบรรลุผล ๓ อย่างแล้วจึงทรงพิจารณา
วา่ "อุปนิสัยแห่งพระอรหัตจะมีหรือไม่มี " ทรงเห็นวา่ “มี” แล้วทรงใคร่ครวญว่า “เธอจักอาจเพ่ือ
บรรลุพระอรหัตก่อนภัตทีเดียว หรือจักไม่สามารถ” ได้ทรงทราบว่า “สามารถ” ลาดับน้ันพระองค์
ได้มคี วามปริวิตกอย่างน้ีวา่ “สารีบุตร ถอื ภัตเพ่ือสามเณรรบี มา เธอจะพึงทาอนั ตรายแก่สามเณรน้ัน
กไ็ ด้ เราจกั นง่ั ถือเอาอารักขาท่ีซ้มุ ประตู ทนี ้ันจักถามปญั หา ๔ ข้อกะเธอ เมื่อเธอแก้อยู่ สามเณร

๑๗๖

จักบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา” ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปจากวิหารน้ัน ประทับยืนอยู่ที่ซุ้ม
ประตู ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อกะพระเถระผู้มาถึงแล้ว พระเถระแก้ปัญหาที่พระศาสดาตรัสถามแล้ว
มปี ุจฉาวิสชั นาดังตอ่ ไปนี้

เล่าสบื กันมาว่า พระศาสดาตรัสกะพระเถระนนั้ วา่ “สารบี ตุ ร เธอไดอ้ ะไรมา”
พระเถระ. อาหาร พระเจา้ ขา้
พระศาสดา. ช่ือวา่ อาหาร ยอ่ มนาอะไรมา สารบี ุตร
พระเถระ. เวทนา พระเจา้ ขา้
พระศาสดา. เวทนา ยอ่ มนาอะไรมา สารีบุตร
พระเถระ. รูป พระเจา้ ข้า
พระศาสดา. รูป ยอ่ มนาอะไรมา สารบี ุตร
พระเถระ. ผสั สะ พระเจา้ ข้า

คาอธิบายในปัญหา ในปัญหานน้ั มอี ธบิ ายดงั น้ี
จริงอยู่ อาหารอันคนหิวบริโภคแล้ว กาจัดความหิวของเขาแล้วนาสุขเวทนามาให้
เมื่อสขุ เวทนาเกดิ ขน้ึ แกผ่ มู้ ีความสขุ เพราะการบริโภคอาหาร วรรณสมบัติย่อมมใี นสรรี ะ เวทนาช่อื ว่า
ย่อมนารูปมา ด้วยอาการอย่างน้ัน ก็ผู้มีสุขเกิดสุขโสมนัส ด้วยอานาจรูปท่ีเกิดจากอาหารนอนอยู่ก็
ตาม นงั่ อย่กู ต็ าม ดว้ ยคดิ ว่า “บัดนี้ อัสสาทะ เกดิ แกเ่ ราแล้ว” ยอ่ มไดส้ ขุ สมั ผัส

เมื่อพระเถระแก้ปัญหาทั้ง ๔ ข้อเหล่านี้ อย่างนั้นแล้ว สามเณรก็ได้บรรลุพระอรหัต
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ฝ่ายพระศาสดา ตรัสกะพระเถระว่า “ไปเถิด สารีบุตรจงให้ภัตแก่สามเณร
ของเธอ” พระเถระไปเคาะประตูแล้ว สามเณรออกมารับบาตรจากมือพระเถระ วางไว้ ณ ส่วนข้าง
หน่งึ แล้ว จึงเอาพดั ก้านตาลพัดพระเถระ ลาดับนั้น พระเถระกลา่ วกะเธอวา่ “สามเณร จงทาภัตกิจ
เสียเถดิ ”

สามเณร. ใตเ้ ท้าเล่า ขอรับ
พระเถระ. เราทาภตั กิจเสร็จแลว้ เธอจงทาเถิด

เด็กอายุ ๗ ขวบ บวชแล้ว ในวันท่ี ๘ บรรลุพระอรหัตเป็นเหมือนดอกปทุมท่ีแย้ม
แล้ว ในขณะน้ัน ได้น่ังพิจารณาที่เป็นที่ใส่ภัตทาภัตกิจแล้ว ในขณะที่เธอล้างบาตรเก็บไว้
จันทเทพบุตรปล่อยมณฑลพระจันทร์ สุริยเทพบุตรปล่อยมณฑลพระอาทิตย์ ท้าวมหาราชทั้ง ๔
อารักขาท้ัง ๔ ทิศ ท้าวสักกเทวราช เลิกอารักขาท่ีสายยู พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปแล้วจากท่ี
ทา่ มกลาง ภิกษุทงั้ หลายโพนทะนาวา่ “เงา บ่ายเกินประมาณแล้ว พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปจาก
ท่ีท่ามกลาง ก็สามเณรฉันเสร็จเดี๋ยวน้ีเอง นี่เร่ืองอะไรกัน หนอ” พระศาสดาทรงทราบความเป็นไป
น้ันแลว้ เสด็จมา ตรัสถามวา่ “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพดู อะไรกัน”

พวกภิกษุ. เรือ่ งชือ่ นี้ พระเจา้ ขา้
พระศาสดาตรสั วา่ “อยา่ งนั้น ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ในเวลาผมู้ บี ญุ ทาสมณธรรม จนั ทเทพบุตรฉุด
มณฑลพระจันทร์รั้งไว้ สุริยเทพบุตรฉุดมณฑลพระอาทิตย์รั้งไว้ ท้าวมหาราชท้ัง ๔ ถืออารักขาทั้ง

๑๗๗

๔ ทศิ ในปา่ ใกล้วิหาร ท้าวสักกเทวราชเสด็จมายึดอารกั ขาทสี่ ายยู ถึงเราผมู้ ีความขวนขวายน้อยด้วย
นึกเสียว่า ‘เป็นพระพุทธเจ้า’ ก็ไม่ได้เพื่อจะน่ังอยู่ได้ ยังได้ไปยึดอารักขาเพื่อบุตรซึ่งเรา ท่ีซุ้มประตู
พวกบัณฑติ เห็นคนไขนา้ กาลังไขน้าไปจากเหมือง ช่างศรกาลงั ดัดลูกศรให้ตรง และชา่ งถากกาลงั ถาก
ไม้แล้ว ถือเอาเหตุเท่านั้น ให้เป็นอารมณ์ทรมานตนแล้ว ย่อมยึดเอาพระอรหัตไว้ได้ทีเดียว" ดังนี้
แล้ว เมอื่ จะทรงสบื อนุสนธแิ สดงธรรม ตรสั พระคาถาน้วี ่า

อุทกญหฺ ิ นยนฺติ เนตฺตกิ า
อสุ กุ ารา นนยนฺติ เตชน
ทารุ นมยนฺติ ตจฺฉกา
อตตฺ าน ทมยนฺติ ปณฑฺ ิตา
อนั คนไขนา้ ทง้ั หลายย่อมย่อมไขน้า
ชา่ งศร ทัง้ หลายยอ่ มดัดศร
ชา่ งถากทง้ั หลายยอ่ มถากไม้
บัณฑติ ทงั้ หลายย่อมฝกึ ตน

ในเวลาจบเทศนา ชนเปน็ อันมาก บรรลุอริยผลท้งั หลาย มโี สดาปตั ตผิ ลเปน็ ตน้ ๒๔

๕.๓.๑ คุณค่าของธรรมบท

พระพทุ ธโฆสมหาเถระ อธบิ ายว่า
บทว่า อุทก เป็นต้น ความว่า ชนทั้งหลายขุดท่ีดอนบนแผ่นดิน ถมท่ีเป็นบ่อแล้วทา
เหมอื ง หรอื วางรางไมไ้ ว้ย่อมไขนา้ ไปสทู่ ตี่ นต้องการ ๆ เพราะฉะนั้น จงึ ชอื่ วา่ ผไู้ ขนา้

บทว่า เตชน ได้แก่ ลูกศร
มีพระพุทธาธิบาย ตรัสไว้ดังนี้ว่า “พวกคนไขน้าย่อมไขน้าไปตามชอบใจของตนได้
แม้ช่างศรก็ย่อมลนดัดลูกศร คือทาให้ตรง ถึงช่างถาก เมื่อจะถากเพื่อเป็นประโยชน์แก่ทัพสัมภาระมี
กงเป็นต้น ย่อมดัดไม้ คือทาให้ตรงหรือคดตามชอบใจของตน บัณฑิตทั้งหลายทาเหตุมีประมาณ
เท่านี้ ให้เป็นอารมณ์อย่างน้ันแล้ว ยังมรรคมีโสดาปัตติมรรคเป็นต้นให้เกิดขึ้นอยู่ย่อมชื่อว่าทรมาน
ตน แต่เม่ือบรรลุพระอรหัตแลว้ ยอ่ มจดั วา่ ทรมานโดยสว่ นเดยี ว”

สมเด็จพุทธชินวงศ์ อธิบายเพ่ิมว่า บัณฑิตสามารถฝึกฝนตนเองเหมือนชาวนาสามารถไข
น้าเข้านา, ช่างศรสามารดัดลูกศรใหต้ รง, ช่างไมส้ ามารถถากไม้ได้ตามที่ต้องการ๒๕

๒๔ ข.ุ ธ.อ. ๔๑/ ๓๑๘-๓๔๐.
๒๕ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), พิมพ์ครั้งที่ ๒, “การศึกษาวิเคราะห์พระคาถาธรรม
บท”, (กรุงเทพมหานคร: ประยูรสาสน์ ไทย การพิมพ์, ๒๕๕๙), หนา้ ๕๑๗.

๑๗๘

สังเคราะห์ลงในอริยสัจ ๔ ดงั นี้

พระบาลี ๓ บาทแรก เปน็ สมมตสิ จั จะ ประสงค์อปุ มาเปรียบเทียบ
อทุ กญหฺ ิ นยนฺติ เนตตฺ กิ า อันคนไขนา้ ทงั้ หลายยอ่ มย่อมไขนา้
อสุ กุ ารา นนยนฺติ เตชน ชา่ งศร ท้งั หลายยอ่ มดัดศร
ทาํรุ นมยนฺติ ตจฉฺ กา ช่างถากท้ังหลายย่อมถากไม้

พระบาลบี าทที่ ๔ จัดเป็นมรรคสจั จะ
อตฺตาน ทมยนฺติ ปณฺฑิตา บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน บัณฑิตธรรม องค์ธรรมได้แก่
มหากศุ ลจติ มรรค จติ ๔๒๖

๕.๓.๒ สังคมและวัฒนธรรม

มีประเด็นสงั คมวฒั นธรรมดงั นี้
๑) การท่ีพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้ามีภิกษุ ๒,๐๐๐ รูปเป็นบริวารถือว่าเป็นพุทธ
ประเพณีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ไม่เหมือนกัน ของพระสมณโคดมพุทธเจ้ามีภิกษุ ๕๐๐ เป็น
บริวาร
๒) พระสารีบุตรแม้ว่าจะมีตาแหน่งถึงระดับพระธรรมเสนาบดีและอัครสาวกเบื้องขวา
ยังทาหน้าท่ีดูและสถานที่ นา้ ใช้นา้ ฉันใหก้ ับภิกษุสามเณรทวั่ ไป และเอาใจใส่กบั หนา้ ท่ีอุปัชฌายวตั รได้
ดียงิ่ นา่ จะเปน็ แบบอย่างให้กับพระสงฆส์ มยั ปัจจุบัน
๓) พุทธคาถาธรรมบทนี้ บ่งบอกถึงสังคมอินเดียที่ยังเป็นสังคมแห่งเกษตรมีการ
เปรียบเทยี บกับชาวนา ชา่ งศร ช่างไม้

๕.๓.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์

มปี ระเด็นย่อยทางเศรษฐศาสตร์ดังนี้
๑) บุญญนิธิท่ีนายทุคตะได้ทาครั้งน้ัน คือได้ถวายทานแด่พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า มีการเอาชีวิตเข้าแลกกับการท่ีไม่ยอมให้คิวกับถวายบาตรแก่กษัตริย์
เชื้อพระวงศ์ เศรษฐีที่ขอซื้อคิวรับบัตรของพระพุทธเจ้า ถือว่าได้เอาชีวิตเข้าแลกกับการทาบุญครั้งนี้
ส่งผลหรือออกดอกออกผลหลายประการ ตัง้ แต่ท้าวสักกะและพระสัมมาสมั พุทธเจ้าและพระสารบี ุตร
ต้องคอยอุปถมั ภ์ใหไ้ ปสูม่ รรค ผล นพิ พาน
๒) เศรษฐกจิ ชมุ ชนทด่ี ี นบั วา่ เป็นสปั ปายะกับการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาและปฏิบตั ธิ รรม
ได้ดว้ ย

๒๖ พระสัทธรรมโชติกะ ธัมมาจริยะ, “ธัมมสังคณีสรูปัตถนิสยะ”, (กรุงเทพมหานคร : ทิพยพิสุทธิ์,
๒๕๕๕), หน้า ๑๘๖.

๑๗๙

๕.๓.๔ สรุป

มหาทุคตะได้สะสมบุญไว้ในตั้งแต่อดีตชาติต้ังแต่สมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พอเกิด
มาในสมัยพุทธกาลแห่งโคตมะพุทธเจ้า อานิสงส์แห่งกาถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการ
ลงทุนท่ีใจเป็นหลัก ทุ่มเทท้ังกายใจในการทาบุญจึงส่งผลให้ได้เกิดเป็นบัณฑิตสามเณร ที่อาศัยหลัก
ธรรมชาติคอยเป็นส่ิงแวดล้อมท่ีดี เด็กอายุ ๗ ขวบ บวชแล้ว ในวันที่ ๘ บรรลุพระอรหัตเป็น
เหมือนดอกปทุมท่ีแย้มแล้ว ในขณะน้ันได้น่ังพิจารณาท่ีเป็นที่ใส่ภัตทาภัตกิจแล้ว ในขณะท่ีเธอล้าง
บาตรเก็บไว้ จันทเทพบุตรปล่อยมณฑลพระจันทร์ สุริยเทพบุตรปล่อยมณฑลพระอาทิตย์ ท้าว
มหาราชท้ัง ๔ อารักขาท้ัง ๔ ทศิ ท้าวสักกเทวราช เลิกอารักขาที่สายยู พระอาทิตย์เคล่ือนคลอ้ ยไป
แล้วจากที่ท่ามกลาง ภิกษุท้ังหลายโพนทะนาว่า “เงา บ่ายเกินประมาณแล้ว พระอาทิตย์เคล่ือน
คล้อยไปจากที่ท่ามกลาง ก็สามเณรฉันเสร็จเดี๋ยวนี้เอง น่ีเรื่องอะไรกัน หนอ” พระศาสดาทรงทราบ
ความเป็นไปน้ันแล้วเสด็จมา ตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพูดอะไรกัน”พวกภิกษุ. เร่ืองชื่อนี้
พระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสว่า อันคนไขน้าทั้งหลายย่อมย่อมไขน้า ช่างศร ท้ังหลายย่อมดัดศร ช่าง
ถากท้งั หลายย่อมถากไม้ บัณฑิตท้ังหลายย่อมฝกึ ตน ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผล
ทั้งหลาย มีโสดาปัตตผิ ลเปน็ ต้น

๑๘๐

๕.๔ เรื่อง จูเฬกสาฏก๒๗ พราหมณ์ผู้มีเสื้อใส่ตวั เดยี ว

เรอื่ ง จูเฬกสาฏก อยู่ในหมวดธรรม ปาปวรรค แปลว่า ตอนท่วี ่าด้วยการกระทาไม่ดี หรือ
ความช่ัว หรือ อกุศล ทางทวารท้ัง ๓ คือ กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม มีท้ังหมด ๑๒ เรอื่ ง ในที่น้ไี ด้
เลือกมา ๑ เรื่องคือ จูเฬกสาฏก เป็นกรณีการศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท

(๒) สังคมวฒั นธรรม (๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดังน้ี

สถานที่ วดั พระเชตวัน เมอื งสาวตั ถี แค้วนโกศล
บุคคล พระสมั มาสัมพุทธเจา้ , สองพราหมณส์ ามภี รรยา, พระเจ้าปเสนทิ
โกศล, ภิกษทุ ้งั หลาย, ประชาชนผมู้ าฟังธรรม
ผล พราหมณ์และประชาชนท่มี าฟังธรรมบรรลโุ สดาบัน

พระบาลหี รือพทุ ธวจนะไดต้ รัสว่า

อภติ ฺถเรถ กลยฺ าเณ ปาปา จติ ตฺ นิวารเย
ปาปสมฺ ึ รมตี มโน๒๘
ทนฺธ หิ กรโต ปุ ฺ

บุคคลควรรบี เรง่ ทาบุญ/ความดี ควรห้ามจิตจากบาป

เพราะเม่อื ทาบุญช้า ใจจะยินดใี นบาป๒๙

ชายคนน้ีได้ทาบุญตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระวิปัสสีทศพล แต่ในกาลของ
พระพุทธเจา้ โคตมะ พราหมณน์ ้ี ชื่อจูเฬกสาฎกในเมืองสาวัตถี ก็ผ้าสาฎกสาหรับนงุ่ ของพราหมณน์ ้ัน
มีผืนเดียว แม้ของนางพราหมณีก็มีผืนเดียว ทั้งสองคนมีผ้าห่มผืนเดียวเท่าน้ัน ในเวลาไปภายนอก
พราหมณ์หรือพราหมณีย่อมห่มผ้าผืนเดียวกัน ต่อมาวันหนึ่ง เม่ือเขาประกาศการฟังธรรมจักมีขึ้น
ในวิหาร พราหมณ์กล่าวว่า “นางเขาประกาศการฟังธรรม เจ้าจักไปสู่สถานที่ฟังธรรมในกลางวัน
หรือกลางคืน เพราะเราทั้งสองไม่อาจไปพร้อมกันได้ เพราะไม่มีผ้าห่ม” พราหมณีตอบว่า
“นาย ฉันจักไปในกลางวัน” แล้วได้ห่มผ้าสาฎกไป พราหมณ์คิดบูชาธรรมด้วยผ้าสาฎกที่ห่มอยู่
พราหมณ์คิดยังไม่ถวาย อยู่ในเรือนตลอดวัน ต่อกลางคืนจึงได้ไปน่ังฟังธรรมทางด้านพระพักตร์
พระศาสดา คร้ังน้ัน ปีติ ๕ ได้แก่ (๑) ขุททกาปีติ ปีติอย่างน้อย (๒) ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะ
(๓) โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นพัก ๆ (๓)อุพเพงคาปีติ ปีติอย่างโลดโผน (๔) ผรณาปีติ ปีติ
ซาบซ่าน เกิด แผ่ซ่านไปทั่วสรีระของพราหมณ์นั้น เขาเป็นผู้ใคร่จะบูชาพระศาสดาคิดว่า “ถ้าเรา
จักถวายผ้าสาฎกน้ีไซร้ ผ้าห่มของนางพราหมณีจักไม่มีของเราก็จักไม่มี” ขณะน้ันจิต
ประกอบด้วยความตระหน่ีพันดวงเกิดข้ึนแล้วแก่เขา จิตประกอบด้วยสัทธาดวงหนึ่งเกิดข้ึนอีก
จิตประกอบด้วยความตระหน่ี ๑,๐๐๐ ดวงเกิดข้ึนครอบงาสัทธาจิต แม้น้ันอีก ความตระหน่ีอันมี
กาลงั ของเขาคอยกดี กันสัทธาจิตไว้ ดจุ จบั มัดไวอ้ ยู่เทยี ว

๒๗ ขุ.ธ.อ.๔๐/๓๑๐-๓๒๕.
๒๘ ขุ.ธ.(บาลี) ๒๕/๑๑๖/๓๗.
๒๙ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๑๖/๖๗.

๑๘๑

[ออนไลน์], แหล่งท่ีมา : http://keathadhammaboththai.blogspot.com/2017/07/01_30.html, [๑๗ เม.ย.
๒๕๖๓].

พงึ ชนะมจั เฉรจติ ด้วยสัทธาจติ
ขณะที่เขากาลังคิดวา่ “จกั ถวาย จักไมถ่ วาย” ดงั น้ีนน่ั แหละ ปฐมยามล่วงไปแลว้ แต่น้ัน
คร้ันถึงมัชฌิมยาม เขาไม่อาจถวายในมัชฌิมยามแม้น้ันได้ เมื่อถึงปัจฉิมยาม เขาคิดว่า “เม่ือเรารบ
กับสัทธาจิตและมัจเฉรจิตอย่นู ั่นแล ๒ ยามล่วงไปแลว้ มัจเฉรจติ น้ีของเรามีประมาณเท่านี้เจริญ
อยู่ จักไม่ให้ยกศีรษะข้ึนจากอบาย ๔ เราจักถวายผ้าสาฎกละ เขาข่มความตระหนี่ตั้งพันดวงได้
เเล้วทาสัทธาจิตให้เป็นปุเรจาริก ถือผ้าสาฎกไปวางแทบบาทมูลพระศาสดา ได้เปล่งเสียงดังขึ้น
๓ ครัง้ ว่า “ชิต เม ชติ เม ชติ เม แปลว่า ขา้ พเจ้าชนะแลว้ ”
พระเจ้าปเสนทิโกศล กาลังทรงฟังธรรม ได้สดับเสียงน้ันแล้วตรัสว่า “พวกท่านจงถาม
พราหมณ์น้ันดูซิ ได้ยินว่า เขาชนะอะไร” พราหมณ์นั้นถูกพวกราชบุรุษถาม ได้เเจ้งความนั้น
พระราชาได้สดับความน้ันแล้ว ทรงดาริว่า “พราหมณ์ทาสิ่งที่บุคคลทาได้ยาก เราจักทาการ
สงเคราะห์เขา” จึงรับสั่งให้พระราชทานผ้าสาฎก ๑ คู่เขาได้ถวายผ้าแม้น้ันถวายแด่พระตถาคต
เหมือนกัน พระราชาจึงรับสั่งให้พระราชทานทาให้เป็นทวีคูณอีก คือ ๒ คู่ ๔ คู่ ๘ คู่ ๑๖ คู่ เขาได้
ถวายผ้าแมเ้ หล่านน้ั แดพ่ ระตถาคตน้นั เทียว ตอ่ มา พระราชารบั สัง่ ให้พระราชทานผ้าสาฎก ๓๒ คูแ่ ก่
เขา พราหมณ์เพ่ือจะป้องกันวาทะว่า “พราหมณ์ไม่ถือเอาเพื่อตน สละผ้าท่ีได้แล้ว ๆ เสียส้ิน”


Click to View FlipBook Version