The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาธรรมบทศึกษา เป็นวิชาเอกของสาขาวิชาพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสารคำสอนเล่มนี้ คือ ได้นำเอาทฤษฎีด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ และพุทธเศรษฐศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และนำเอาพระคาถาธรรมบทมำสังเคราะห์โดยความเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอาศาสตร์ด้ำน พระอภิธรรมมาร่วมวิเคราะห์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนคัมภีร์ธรรมบทไว้เพื่อเป็นเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในการประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเรียงเนื้อหาจากตื้นไปสู่ความสุขุมคัมภีรภาพ ตามอัธยาศัยของผู้ศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชาและนำไปเป็นแบบแผน แผนที่ดำเนินชีวิต หรือสันติบท เพื่อสันติสุข

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by MCU Books, 2022-06-28 13:42:36

ธรรมบทศึกษา

วิชาธรรมบทศึกษา เป็นวิชาเอกของสาขาวิชาพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสารคำสอนเล่มนี้ คือ ได้นำเอาทฤษฎีด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ และพุทธเศรษฐศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และนำเอาพระคาถาธรรมบทมำสังเคราะห์โดยความเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอาศาสตร์ด้ำน พระอภิธรรมมาร่วมวิเคราะห์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนคัมภีร์ธรรมบทไว้เพื่อเป็นเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในการประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเรียงเนื้อหาจากตื้นไปสู่ความสุขุมคัมภีรภาพ ตามอัธยาศัยของผู้ศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชาและนำไปเป็นแบบแผน แผนที่ดำเนินชีวิต หรือสันติบท เพื่อสันติสุข

Keywords: ธรรมบทศึกษา,พระพุทธศาสนา,พระไตรปิฎก

๓๓

เป็นจริงตามธรรมชาติ มนุษย์ก็สามารถจะทาให้ตนเองพ้นทุกข์ได้ เช่นเดียวกัน คือกลับไปทาความ
เข้าใจธรรมชาตติ ามความเป็นจรงิ ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเสยี

เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธต้องพิจารณาความจากัดของทรัพยากร ความจากัดของเวลา และ
ประสิทธิภาพในการผลิต (ซ่ึงควรจะรวมท้ังประสิทธิภาพในการบริโภค) ประกอบด้วยเม่ือรวมเอาคา
ว่า พุทธธรรมและเศรษฐศาสตร์ เข้าด้วยกัน จึงเป็นพุทธเศรษฐศาสตร์ ซ่ึงหมายถึง การนาคาสอน
ของพระพุทธเจ้ามาประยุกต์เข้ากับแนวคิดในวิชาเศรษฐศาสตร์ท่ีพัฒนาขึ้นมาจากอารยธรรม
ตะวันตก ในส่วนที่เป็นพุทธธรรมที่จะนามาประยุกต์กับวิชาเศรษฐศาสตร์ที่พัฒนามาจากตะวันตก
เป็นการทาความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะความเป็นจริงของตัวมนุษย์ และความสัมพันธ์ของมนุษย์กับ
ธรรมชาติ ซึ่งมีมุมมองที่แตกต่างจากวิชาเศรษฐศาสตร์ที่พัฒนาจากตะวันตก และยังคงใช้เรียนและ
สอนอยู่ในสถาบันการศึกษาท่ีสอนวิชาน้ีส่วนใหญ่ หรืออาจจะเรียกว่าเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก วิชา
เศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันมีความเข้าใจมนุษย์ไม่ครบถ้วนอย่างรอบด้าน เป็นการนาความจริงบางส่วน
ของมนุษย์มาเน้นหรือขยายเกินความเป็นจริง จนนาไปส่ขู ้อสรุปท่ีผิดพลาด จึงมคี วามจาเปน็ อย่างย่ิงที่
จะต้องนาเอากระบวนทัศน์แบบพุทธเข้ามาประยุกต์กระบวนทัศน์ดังกล่าว ช่วยให้สามารถเข้าใจ
มนุษย์ในมิติท่ีกว้างขวางและลึกซึ้งกว่า เพ่ือใช้ปรับแก้ข้อสรุปท่ีผิดพลาดอันเกิดจากกรอบความคิดที่
แคบกวา่ ของเศรษฐศาสตรก์ ระแสหลัก

กล่าวโดยสรุปก็คือ ถ้าหากจะให้คานิยามวิชาเศรษฐศาสตร์ท่ีพัฒนามาจากอารยธรรม
ตะวันตกว่าเป็นวิชาที่ว่าด้วยการดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่จะทาให้ปัจเจกบุคคลได้รับความพึง
พอใจสูงสุด ภายใต้ทรัพยากรที่มีจากัด และสามารถทาให้สังคมได้บรรลุถึง สวัสดิการทางสังคมสูงสุด
ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน และถ้าหากจะพิจารณาตามกรอบของวิชาเศรษฐศาสตร์ดังกล่าว ก็อาจจะให้
คานิยามวิชา พุทธเศรษฐศาสตร์ได้ว่า เป็นวิชาท่ีว่าด้วยการดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่จะทา
ให้ปัจเจกบุคคลและสังคมบรรลุซึ่งศานติสุขจากการมีชีวิต อยู่ในโลกของวัตถุภายใต้เง่ือนไขของ
การมีทรัพยากรท่ีจากัด จะเห็นได้ว่าความแตกต่างท่ีสาคัญของนิยามของวิชาทั้งสองอยู่ท่ีจุดเน้นใน
เร่ืองความพึงพอใจสูงสุดสาหรับปัจเจกบุคคล และสวัสดิการสังคม สูงสุดสาหรับสังคมในวิชา
เศรษฐศาสตร์ ขณะท่ีพุทธเศรษฐศาสตร์เน้นเป้าหมายสาคัญของปัจเจกชนและสังคมท่ีศานติสุข
คือความสุขที่เกิดจาก ความสงบเย็น ประเด็นนี้จึงแสดงถึงความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่าง
เศรษฐศาสตร์ทั้งสองแบบ ซึ่งมีสาเหตุสาคัญจากการมีความเข้าใจมนุษย์ใน แง่มุมที่ต่างกัน ระหว่าง
วิชาเศรษฐศาสตร์ท่ีมีวิวัฒนาการมาจากอารยธรรมตะวันตก กับพุทธเศรษฐศาสตร์ท่ีประยุกต์จาก
พุทธธรรมหรือคาสอนของพระพุทธเจ้า ที่มีจุดเน้นท่ีสาคัญคือ ความเข้าใจของมนุษย์ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งสาเหตุที่ทาให้มนุษย์เกิดความทุกข์ เพ่ือจะช่วยให้มนุษย์ได้พ้นจากความทุกข์หรือเข้าใจ
ความสขุ ในความหมายท่แี ทจ้ รงิ น่นั เอง๑๒

พระพุทธโฆสาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวว่า “ความสาคัญของวัตถุหรือเศรษฐกิจน้ันอยู่ที่
จะต้องเอาไปโยงสัมพันธ์กับธรรมความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุปัจจัย ๔ หรือเศรษฐกิจกับธรรม ก็คือมัน
เป็นเคร่ืองเก้ือหนุนแก่ธรรม หมายความว่าคุณค่าของมันอยู่ท่ีการท่ีมันจะช่วยให้ธรรมเจริญงอกงาม

๑๒ ศาสตราจารย์ ดร.อภชิ ยั พันธเสน, “พุทธเศรษฐศาสตร์”, หน้า ๒-๓.

๓๔

เป็นประโยชน์แกช่ ีวิตและสังคมของมนุษย์ หรือช่วยให้คนพฒั นาย่งิ ขึ้นไปในธรรมน้ันเอง ความสมั พนั ธ์
ของวตั ถทุ ี่เอ้ือตอ่ ธรรมนน้ั ก็คือความหมายของคาทีเ่ ราใชก้ ันเป็นประจาอยู่แล้ว ซ่ึงเป็นคาง่ายๆ คือคา
วา่ “ปัจจัย” นั่นเองหมายความวา่ วัตถุ ปจั จัย เรื่องเศรษฐกิจ มีความหมายที่แท้จริง คือเป็นปัจจัย
ทจี่ ะเกอ้ื หนุนให้มนษุ ย์พฒั นาย่งิ ข้ึนไปในการสรา้ งสรรค์ชวี ิตและสังคมให้ดงี ามมีสนั ตสิ ุข น้คี อื ฐานะ
ของทรพั ย์สนิ เงินทองและอานาจ” ๑๓

ดังน้ัน พุทธเศรษฐศาสตร์เน้นเป้าหมายสาคัญของปัจเจกชนและสังคมท่ีศานติสุข คือ
ความสุขที่เกิดจาก ความสงบเย็น ซึ่งมีสาเหตุสาคัญจากการมีความเข้าใจมนุษย์ในแง่มุมท่ีต่างกัน
ระหว่างวิชาเศรษฐศาสตร์ทม่ี ีวิวฒั นาการมาจากอารยธรรมตะวนั ตกกับพุทธเศรษฐศาสตร์ทีป่ ระยุกต์
จากพุทธธรรมหรือคาสอนของพระพุทธเจ้า ท่ีมีจุดเน้นท่ีสาคัญคือ ความเข้าใจของมนุษย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาเหตุที่ทาให้มนุษย์เกิดความทุกข์ เพ่ือจะช่วยให้มนุษย์ได้พ้นจากความทุกข์
หรอื เข้าใจความสขุ ในความหมายที่แท้จริงน่นั เอง

๑๓ สมเด็จพระพทุ ธโฆสาจารย์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), “จาริกบุญ-จารึกธรรม”, หน้า ๓๐๕.

บทที่ ๓
คัมภีรธ์ รรมบท

กับ
สังคมศาสตร์

๓๖

ขอบข่ายเนอ้ื หา

- ความนา
- เรอ่ื งอัญญปุรสิ ะ
- เรื่องธิดามาร
- เรอ่ื งมหากาลอุบาสก
- เรอื่ งเด็ก ๕๐๐ คน
- เรอื่ งติสสทหรภกิ ษุ
- เร่อื งสาวเดียรถีย์
- เรือ่ งเท้าสกั กเทวราช

๓๗

ความนา

คัมภีร์ธรรมบทนั้นกล่าวถึงเรื่องหลักธรรม คือ โพธิปักขิยธรรมเพื่อการตรัสรู้แจ้งใน
อริยสัจ ๔ และพระนิพพาน แต่อย่างไรก็ตามแม้พุทธศาสตร์จะผ่านไป ๒๕๐๐ กว่าปี กึ่งพุทธกาล
พุทธศาสตรก์ ย็ งั เปน็ วิทยาศาสตรท์ ่ีพสิ ูจน์ได้ด้วยการศกึ ษาและปฏิบัติตาม (เอหปิ สั สิโก) พทุ ธศาสตร์จึง
มคี วามสัมพันธ์กับศาสตร์ปัจจุบันทุกศาสตร์ ในที่น้ีได้ใช้หลักแห่งการตีความพระบาลีโดยพระอรรถ
กถาจารย์ และผเู้ รยี บเรยี งได้สงั เคราะหพ์ ระบาลีคาถาธรรมบทโดยความเป็นอริยสัจ ๔ เพื่อสะดวก
ง่ายต่อการจาแนกหลักธรรมอันจะนาไปสู่การศึกษาเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์แห่งธรรมบท และได้
เสนอความสัมพันธ์ ๓ ด้าน คือ (๑) สังคมศาสตร์ (๒) วัฒนธรรม (๓) เศรษฐศาสตร์ และพุทธ
เศรษฐศาสตร์ อันมีผลทางด้านวิถีชีวิตและภูมิปญั ญาไทย ในบทน้ีผูเ้ รียบเรียงได้สังเคราะห์ธรรมบท
ท่ีมีความโดดเด่นด้านสังคมศาสตร์ มีเรื่องในคัมภีร์ธรรมบทที่ยกมาเป็นประเด็นศึกษา เพ่ือให้
เหมาะสมกับยุคสมยั ปัจจุบัน ดงั น้ี

๓๘

๓.๑ เรื่อง ชายคนใดคนหน่ึง หรอื อัญญตรปรุ ิสะ

เร่ือง ชายคนใดคนหน่ึง หรือ อญฺญตรปุริสวัตถุ อยู่ในหมวดธรรมพาลวรรค ว่าด้วย
กลุ่มหลักธรรมแห่งอกศุ ล หรอื ความไม่ดี หรือ ความชั่ว จานวน ๑๕ เรื่อง ในท่นี ไ้ี ด้เลือกมา ๑ เรอื่ ง
คือ ชายคนใดคนหนึ่ง หรือ อญฺญตรปุริสวัตถุ เป็นกรณีการศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) คุณค่าของ
ธรรมบท (๒) สังคมวัฒนธรรม (๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดังนี้

สถานที่ พระเชตวันวหิ าร
บุคคล โคตมะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, กัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า, รุกขเทวดา, ท้าวสักก
เทวราช, พระเจ้าปเสนทิโกศล, พระนางมัลลิกา, ปุโรหิต, ชายคนหนึ่งและภริยา, ชายสหาย ๔ คน
(สัตวน์ รกโลหกมุ ภี), สตั ว์บชู ายญั จานวนมาก
ผล ชายคนหนง่ึ บรรลโุ สดาบัน, ประชาชนจานวนมากบรรลโุ สดาบนั เป็นตน้

พระบาลีหรือพทุ ธวจนะได้ตรัสวา่
ทีฆา ชาครโต รตฺติ ทฆี สนตฺ สฺส โยชน
ทีโฆ พาลาน สสาโร สทฺธมฺม อวชิ านต๑
ราตรีหนง่ึ ยาวนานสาหรับคนผูต้ ืน่ อยู่
ระยะทางโยชนห์ นง่ึ ยาวไกลสาหรบั คนผ้เู ม่ือยลา้
สงั สารวัฏยาวนานสาหรบั คนพาลผู้ไม่รู้แจ้งสัทธรรม๒

พระเจา้ ประเสนทิโกศลฝนั รา้ ย

มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ในวันมหรสพวันหน่ึง พระราชา พระนามว่าปเสนทิโกศล ทรง
ช้างเผือกล้วนเชอื กหน่ึง ชอ่ื ปุณฑรกี ะ ซึง่ ประดับประดาแล้ว ทรงทาประทกั ษิณพระนครดว้ ยอานภุ าพ
แห่งพระราชาอันใหญ่ เม่ือตารวจกาลังทาการขับไล่ไม่ให้ยืนเกะกะทางเสด็จ มหาชนถูกราชบุรุษโบย
ด้วยวัตถุมีก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น ให้ออกห่างไป ก็ยังเอ้ียวคอกลับแลดูอยู่นั้นแล ข้อนี้เป็นผล
แห่งทานท่พี ระราชาทั้งหลายทรงถวายดแี ล้ว

ภรรยาของทุคคตบุรุษคนหนึ่ง ยืนอยู่ที่พ้ืนชั้นบนแห่งปราสาท ๗ ช้ัน เปิดบานหน้าต่าง
บานหนึ่ง พอแลดูพระราชาแล้วก็หลบไป การหลบไปของหญิงนั้น ปรากฏแก่พระราชา ราวกับว่า
พระจันทร์เพ็ญเข้าไปสู่กลีบเมฆ ท้าวเธอ ทรงมีพระหฤทัยปฏิพัทธ์ในหญิงนั้น เป็นประหน่ึงว่า ถึง
อาการพลดั ตกจากคอชา้ ง ทรงรีบกระทาประทกั ษณิ พระนครแลว้ เสด็จเขา้ สู่ภายในพระราชวงั ตรัส
กะอามาตยค์ นสนทิ นายหนง่ึ วา่ “ปราสาททีเ่ ราแลดูในทโ่ี น้น เธอเหน็ ไหม”

อามาตย.์ เหน็ พระเจา้ ข้า
พระราชา. เธอไดเ้ ห็นหญงิ คนหนึง่ ในปราสาทน้นั ไหม

๑ ขุ.ธ.(บาล)ี ๒๕/๖๐/๒๗.
๒ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๖๐/๔๕.

๓๙

อามาตย.์ ได้เหน็ พระเจา้ ขา้
พระราชา. เธอจงไป จงไปสบื ใหร้ ้คู วามว่าหญิงน้ัน มีสามีหรอื ไม่

อามาตย์น้ันไปแล้ว ทราบความท่ีหญิงนั้นมีสามี จึงมากราบทูลแก่พระราชาว่า “หญิง
นั้นมีสามี” ทีน้ันพระราชา ตรัสวา่ “ถา้ กระน้นั เธอจงเรยี กสามขี องหญิงนัน้ มา” อามาตย์น้ันไปพูด
วา่ “นาย พระราชารบั สง่ั หาท่าน”

บุรุษน้ัน คิดว่า “อันภัยพึงบังเกิดขึ้นแก่เราสาเหตุมาจากภรรยาของเราแน่ๆ" เมื่อไม่
อาจจะขัดขนื พระราชอาญา จงึ ได้ไปถวายบังคมพระราชา ยืนอย่แู ล้ว ขณะนั้นพระราชาตรัสกะบรุ ุษ
นั้นว่า “เธอจงมาเป็นทหารองค์รักษ์” บุรุษน้ันตอบว่า “ข้าแต่สมมติเทพ อย่าเลย” ข้าพระองค์ ทา
การงานของตนถวายสว่ ยแด่พระองค์ได้ ขา้ พระองค์ขอเล้ียงชพี ตามปกติเถิด พระราชาตรสั ว่า “เราไม่
มีความต้องการดว้ ยสว่ ยของเธอ จาเดิมแต่วันนไี้ ป เธอจงมาคอยดูแลเรา” แล้วให้พระราชทานโล่และ
อาวธุ แก่บรุ ุษน้ัน

พระราชาได้ทรงดารอิ ย่างนวี้ ่า “เราจักหาโทษบางอยา่ งของเขาขึ้นแล้วฆ่าเอาภรรยามัน
มาเป็นสนมเรา” ทีน้ัน บุรุษคนน้ันก็พอทราบเหตุการณ์ เขากลัวตาย ไม่ประมาท บารุงพระราชา
อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง พระราชาไม่ทรงเห็นช่องท่ีจะทาโทษได้ แห่งบุรุษน้ัน เม่ือความเร่าร้อน
เพราะกามเจริญอยู่ ทรงดาริว่า เราจะหาเร่ืองอันเป็นโทษแก่บุรุษน้ันขึ้นสักอย่างหนึ่ง แล้วลงราช
อาญา” จึงรับส่ังให้เรียกบุรุษนั้นมาแล้ว ตรัสอย่างนั้นว่า “เธอจงไปจากที่นี้ที่ช่ือโน้น แห่งแม่น้าใน
ที่สุดประมาณ ๕ โยชน์ นาเอาดอกโกมทุ ดอกอุบลและดินสีอรุณมาให้ทนั ในเวลาเราอาบน้าในเวลา
เย็น ถา้ เธอไม่พงึ มาในขณะนน้ั เราจกั ลงอาญาแกเ่ ธอ”

ชายคนนั้นคิดอยู่ว่า “เราต้องไปเป็นแน่แท้ ชื่อว่าดินสีอรุณกับดอกโกมุทและดอกอุบล
ย่อมเกิดในภพแห่งนาค เราจักได้ท่ีไหน” กลวั แต่มรณภัย ไปเรือนแล้วกล่าวว่า “หล่อน ข้าวสาหรับ
ฉันสาเร็จแล้วหรือ” ภรรยา กล่าวว่า “ยังต้ังอยู่บนเตา นาย” เขาไม่อาจจะรออยู่จนกว่าภรรยาจะ
ปลงภัตลงได้ จึงให้ภรรยาเอากระบวยตักน้าข้าวเทปนกับข้าวที่แฉะน้ันเองลงในกระเช้าพร้อมด้วย
กับตามแต่จะได้ ถือเอาแล้ว เดินดุ่มไปแล้วส้ินทางประมาณ ๑๖ กิโลเมตร เม่ือเขากาลังเดินไปน่ัน
แหละข้าวก็ได้สุกพอดี เขาแบ่งภัตไว้หน่อหน่ึงกระทาไม่ให้เป็นเดน พบคนเดินทางคนหน่ึงจึงพูดว่า
“ข้าวหน่อยหนึ่งเท่านั้น ฉันแบ่งออกกระทาไม่ให้เป็นเดนมีอยู่ เธอจงรับไปบริโภคเถิด” เขารับไป
บริโภคแล้ว เขาก็โปรยข้าวลงในน้ากามือหนึ่ง บ้วนปากแล้ว ตะโกนขึ้น ๓ คร้ังด้วยเสียงอันดังว่า
“ขอพวกนาค ครุฑและเทวดาผู้สิงอยู่ในประเทศแห่งแม่น้านี้จงฟังคาของข้าพเจ้า พระราชาทรง
ปรารถนาจะลงอาญาแก่ข้าพเจ้าทรงบังคับข้าพเจ้าว่า ‘เธอจงนาเอาดินสีอรุณกับดอกโกมุทและดอก
อุบลมา’ ข้าวข้าพเจ้าให้แก่คนเดินทางไปแล้ว ทานที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั้นมีอานิสงส์ต้ังพัน ภัตที่
ข้าพเจ้าให้แก่ปลาท้ังหลายในน้า ทานท่ีข้าพเจ้าให้นั้นมีอานิสงส์ตั้งร้อย ข้าพเจ้าให้ผลบุญ
ประมาณเท่าน้ี ให้เป็นส่วนบุญแก่ท่านท้ังหลาย ท่านทั้งหลายจงนาดินสีอรุณกับดอกโกมุทและดอก
อบุ ลมาให้แกข่ า้ พเจ้าเถดิ ”

๔๐

พระยานาค ผู้อาศัยอยู่ในประเทศนั้น ได้ยินเสียงนั้น จึงไปสู่สานักบุรุษน้ัน ด้วยเพศ
แหง่ คนแก่ กล่าววา่ “ทา่ นพูดอะไร” เขากต็ ะโกนซา้ อย่างน้นั เหมือนเดิม เมื่อพระยานาคพดู ว่า “ทา่ น
จงให้ส่วนบุญนั้นแก่เรา” จึงกล่าวว่า “เราให้ นาย” พระยานาค กล่าวแม้อีกว่า “ขอท่านจงให้ส่วน
บุญนั้นแก่เรา” ชายคนน้ันกล่าวยืนคาว่า “เราให้ นาย” พระยานาคนั้น ให้น้าส่วนบุญมาอย่างนั้น
ถึง ๒ - ๓ คราวแลว้ จึงไดใ้ ห้ดินสอี รุณกับดอกโกมทุ และดอกอบุ ลแก่ชายคนนน้ั ฝ่ายพระราชา ทรง
ดาริว่า ธรรมดามนุษย์ทั้งหลาย มีมนต์มาก ถ้าบุรุษนั้น พึงได้ของนั้นด้วยอุบายบางอย่างไซร้ กิจของ
เราก็ไม่พึงสาเร็จ” ท้าวเธอรับส่ังให้ปดิ ประตูเมืองเสียแต่วันทีเดียว แล้วใหน้ าลูกดาลไปยังสานักของ
พระองค์ชายคนน้ันมาทันในเวลาพระราชาทรงสรงสนานเหมือนกันเม่ือไม่ได้ประตู จึงเรียกคนยาม
ประตู กล่าวว่า ท่านจงเปิดประตู คนยามประตูกล่าวว่า “เราไมอ่ าจจะเปิดได้ พระราชารับส่งั ให้นา
ลูกดาลไปส่พู ระราชมนเทยี รแตก่ าลยังวันทเี ดียว

ชายคนนั้นแม้บอกว่า “เราเป็นราชทูต ท่านจงเปิดประตู” เม่ือไม่ได้ประตู จึงคิดว่า
“บัดนี้ เราจะไมม่ ีชีวิต” เราจักทาอย่างไรหนอแล แล้วโยนก้อนดนิ ไปทธ่ี รณีประตูขา้ งบน แขวนโอกไม้
ไว้บนธรณีประตูนนั้ ตะโกนร้องขึ้น ๓ ครั้งว่า “ชาวพระนคร ผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านท้ังหลาย จงรู้
ความที่กิจอันข้าพเจ้ากระทาตามรับส่ังของพระราชาแล้วเถิด พระราชาทรงประสงค์ทากระผมให้
พินาศ ด้วยเหตุไม่สมควร” ขณะนั้นก็คิดอยู่ว่า “เราจักไปท่ีไหนหน” ได้ทาความตกลงใจว่า
“ธรรมดาภิกษุท้ังหลาย มใี จอ่อนโยน เราจักไปสู่วิหารแลว้ นอน” เป็นปกติธรรมดาของคนและสตั ว์
ในเวลาได้รับสุข ไม่สนใจว่าภิกษุมีอยู่ พอถูกทุกข์ครอบงา จึงปรารถนาจะเขา้ วัดหาภิกษุ เพราะ
เหตุน้ัน แม้บุรุษน้ัน ก็คิดว่า “ท่ีพ่ึงอย่างอื่นของเราไม่มี” จึงไปยังวัดพักวิหาร นอนอยู่ในท่ีสาราญ
แหง่ หนงึ่ ขณะเดยี วกันพระราชากไ็ ม่ได้หลบั อยตู่ ลอดทั้งคืน ทรงราพงึ ถึงหญงิ คนนั้นอยู่ ความรมุ่ ร้อน
เพราะกามเกิดขึ้นแล้ว ท้าวเธอทรงคิดว่า “ในขณะที่ราตรีสว่างแล้วนั่นแหละ เราจักให้ฆ่าบุรุษน้ัน
เสีย แล้วให้นาเอาหญงิ นัน้ มา”

ในขณะน้ันนั่นแล บุรุษ ๔ คนท่ีเกิดในนรกชื่อโลหกุมภี ซ่ึงลึกได้ ๖๐ โยชน์ ถูกไฟ
นรกไหม้กลิ้งไปมาอยู่ ดุจข้าวสารในหม้อท่ีกาลังเดือดพล่าน จมลงไปถึงพ้ืนภายใต้ ๓ หมื่นปีแล้ว
ลอยขึ้นมาถึงที่ขอบปากโดย ๓ หมื่นปีอีก สัตว์นรกเหล่าน้ัน ยกศีรษะขึ้นแลดูกันและกันแล้ว
ปรารถนาเพื่อจะกล่าวคาถาตนละคาถา แต่ ไม่อาจจะกล่าวได้ จึงกล่าวอักษรตนละอักษร แล้วหมุน
กลับไปสู่โลหกุมภีอย่างเดิม พระราชา เมื่อไม่ทรงได้การหลับ ได้ยินเสียงน้ันในระหว่างแห่งมัชฌิม
ยามทรงหวาดหว่ันมีพระทัยสะดุ้ง ทรงดาริว่า "อันตรายถึงชีวิต จักมีแก่เราหรือหนอ หรือจักมีแก่
พระอัครมเหสี หรือราชสมบัติของเราจักพนิ าศ” ไม่อาจหลับพระเนตรทั้งสองได้ตลอดคืนยังรุ่ง พอ
เวลาอรุณข้ึน ท้าวเธอรับส่ังให้หาปุโรหิตมาแล้ว ตรัสว่า “อาจารย์ เสียงท่ีน่ากลัวอย่างใหญ่ เราได้
ยินในระหว่างแห่งมัชฌิมยาม เราไม่ทราบว่าอันตรายจักมีแก่ราชสมบัติหรือแก่พระมเหสี แก่เราหรือ
แกใ่ คร เพราะเหตนุ นั้ เราจงึ ให้เชญิ ทา่ นมา”

ปโุ รหติ . ขา้ แต่มหาราช เสียงท่ีพระองคท์ รงสดบั อยา่ งไร
ราชา. อาจารย์ เราได้ยินเสียงเหล่าน้ีว่า “ทุ. สะ. นะ. โส” ท่านอาจารย์จงใคร่ครวญ
ผลสาเร็จแห่งเสียงเหลา่ นดี้ ู เหตอุ ะไร ๆ ย่อมไม่ปรากฏแก่พราหมณ์ราวกะเข้าไปสู่ท่ีมืดใหญ่ โรหิตนั้น

๔๑

กลวั วา่ กเ็ ม่อื เราทลู วา่ ‘ขา้ พระองคไ์ ม่ทราบ’ ลาภสกั การะของเราจกั เสือ่ ม” จงึ ทูลวา่ “ข้าแตม่ หาราช
เหตนุ ี้หนกั ”

ราชา. เหตอุ ะไร อาจารย์
ปโุ รหติ . อนั ตรายแห่งชีวิต จะปรากฏแกพ่ ระองค์
พระราชาทรงหวาดหวัน่ ต้ัง ๒ เทา่ ตรสั ว่า “อาจารย์ เหตเุ ครอื่ งบาบัดอะไร ๆ มอี ยูห่ รือ
ปุโรหิต. มีอยูม่ หาราช พระองคอ์ ยา่ ทรงหวาดหว่ันเลย ข้าพระองค์ร้พู ระเวท ๓ คือ คือ (๑) อริ ุพ
เวท เป็นคัมภีร์มีคาถากล่าวถึงชื่อเทวดาและอ้อนวอนขอให้ช่วยกาจัดภัยต่าง ๆ (๒) ยชุพเวท เป็น
คัมภรี ์กล่าวถงึ พธิ ีการบชู ายญั เชน่ เซน่ สรวงต่าง ๆ (๓) สามเวท เปน็ คัมภรี ์กล่าวถงึ อุบายชนะศกึ

ราชา. เราไดอ้ ะไรเลา่ ? จึงจะควร
ปุโรหิต. ขอเดชะ พระองค์ทรงบูชายัญด้วยสัตว์อย่างละ ๑๐๐ ทุกอย่าง แล้วจักได้
ชวี ิตราชา. ได้อะไร จงึ ควร
ปุโรหิตน้ัน เม่ือจะให้จับสัตว์ชนิดหน่ึง ๆ ให้ได้ชนิดละ ๑๐๐ คือ ช้าง ม้า โคอุสภะ
แม่โคนม แพะ แกะ ไก่ สุกร เด็กชาย เด็กหญิง จึงคิดว่า “ถ้าเราจักให้จับเอาแต่จาพวกเนื้อ
เท่านั้น ชนทั้งหลายก็จะพูดว่าปุโรหิต ให้จับเอาแต่สัตว์ท่ีเป็นของกินได้สาหรับคนเท่านั้น” เพราะ
เหตุน้ัน จึงให้จับท้ังจาพวก ช้าง ม้า และมนุษย์ พระราชาทรงดาริว่า “ความเป็นอยู่ของเรานั่น
แหละเป็นลาภของเรา” จึงตรัสว่า”ท่านจงจับสัตว์ทุกชนิดเร็ว” พวกมนุษย์ผู้ได้รับส่ัง ก็จับเอามาก
เกินประมาณ

พระธรรมสังคาหกาจารย์ กล่าวแม้คาน้ีไว้ในโกสลสังยุต ว่า “การบูชายัญใหญ่ประกอบ
ไปด้วย โคอุสภะ ๕๐๐ ลูกโคผู้ ๕๐๐ ลูกโคตัวเมีย ๕๐๐ แพะ ๕๐๐ แกะ ๕๐๐ ถูกนาเข้า
ไปหาหลักแล้ว เพ่ือประโยชน์แก่ยัญ เหล่าสัตว์ได้แก่ทาสี คนใช้ กรรมกรย่อมมีเพื่อยัญน้ัน สัตว์แม้
เหล่านั้น ถูกเขาคุกคามด้วยอาญา ถูกภัยคุกคามแล้ว ร้องไห้ ใบหน้าชุ่มด้วยน้าตาตลอด มหาชน
คร่าครวญอยู่เพ่ือประโยชน์แก่หมู่ญาติของตน ๆ ได้ร้องเสียงดังแล้ว เสียงนั้น ได้เป็นราวกะว่าเสียง
ถล่มแห่งมหาปฐพี

คร้ังน้นั พระนางมลั ลกิ าเทวี ทรงสดับเสียงนั้นแล้ว เสด็จไปสรู่ าชสานกั ทลู ถามวา่ “ข้าแต่
มหาราช เพราะเหตุไรหนอแล พระอินทรีย์ของพระองค์ไม่เป็นปกติ พระองค์ย่อมทรงปรากฏดุจมี
พระรปู อดิ โรย”

ราชา. ประโยชน์อะไรของเธอเล่า มัลลิกา เธอไม่รู้อสรพิษเลื้อยอยู่ในที่ใกล้หูของเรา
หรอื

มลั ลกิ า. นั้นเหตอุ ะไร พระเจ้าขา้
ราชา. ในสว่ นราตรี เราได้ยนิ เสียงชื่อเหน็ ปานนี้ เราจึงถามปโุ รหติ ได้สดับวา่ อนั ตราย
แห่งชวี ิตย่อมปรากฏแก่พระองค์ พระองค์ทรงบชู ายญั มสี ัตว์ชนดิ ละ ๑๐๐ ทุกชนดิ แล้ว จักได้ชวี ิต
เราจงึ คิดวา่ ‘ความเปน็ อยูข่ องเรานัน่ แหละ เป็นลาภของเรา’ จงึ สั่งใหจ้ ับสัตว์เหลา่ น้นั ไว้แลว้

๔๒

พระนางมัลลิกาเทวี. ข้าแต่มหาราช พระองค์เป็นคนอันธพาล ทรงมีภักษามก พระองค์
ย่อมเสวยโภชนะอันหุงด้วยข้าวต้ังทะนาน มีข้าวและกับหลาก ๆ หลายอย่าง พระองค์ทรงราชย์ใน
แคว้นทั้งสอง ก็จรงิ แตพ่ ระปัญญาของพระองคย์ งั เขลา

ราชา. เพราะเหตุไร เธอจึงพดู อย่างนนั้
มัลลิกา. การได้ชีวิตของคนอื่น เพราะการตายของคนอ่ืน พระองค์เคยเห็น ณ ที่ไหน
เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงเชื่อถ้อยคาของพราหมณ์ผู้อันธพาลแล้ว โยนทุกข์ไปในเบ้ืองบนของ
มหาชนเลา่ พระศาสดา ผู้เปน็ อัครบุคคลของโลกท้ังเทวโลก มีพระญาณไม่ขัดข้องในกาลทั้งหลายมี
อดีตกาลเป็นต้น ประทับอยู่ในวิหารใกล้เคียง พระองค์ทูลถามพระศาสดานั้นแล้ว จงทรงกระทา
ตามพระโอวาทของพระองค์เถิด ครั้งน้ันแล พระราชา เสด็จไปวิหารกับพระนางมัลลิกา ด้วยยาน
เบา ถูกมรณภัยคุกคามแล้ว ไม่อาจทูลอะไร ๆ ได้ ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ประทับนั่ง ณ ส่วน
ขา้ งหน่งึ

ลาดับนั้น พระศาสดาทรงทักทายพระราชาน้ันก่อนว่า “เชิญเถิดมหาบพิตร พระองค์
เสด็จมาจากไหนแต่ยังวันนักเล่า” พระราชาแม้น้ัน ก็ทรงนั่งน่ิงเงียบเสีย ลาดับนั้นพระนางมัลลิกา
กราบทูลแด่พระผู้มีพระผู้มีภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ทราบว่า พระราชาทรงสดับเสียง
ประหลาดในมัชฌิมยาม เมื่อเช่นนั้นท้าวเธอจึงทรงบอกเหตุนั้นแก่ปุโรหิต ปุโรหิตกราบทูลว่า
‘อันตรายแห่งชีวิตจักมีแก่พระองค์ เมื่อพระองค์จับสัตว์อย่างละ๑๐๐ ทุกชนิด บูชายัญด้วย
โลหิตในคอของสัตว์เหล่าน้ัน เพื่อประโยชน์ในการขจัดอันตรายนั้น พระองค์จักได้ชีวิต’
พระราชาให้จับสัตวไ์ วเ้ ปน็ อนั มาก เพราะเหตนุ ้นั หม่อมฉนั จึงนาพระราชามา ณ ที่น”้ี

พระศาสดา. ไดย้ นิ ว่า อยา่ งนั้นหรอื มหาบพิตร
ราชา. อยา่ งนน้ั พระเจ้าขา้ .
พระศาสดา. เสียง พระองค์ทรงสดบั แล้ว อยา่ งไร
พระราชานัน้ ทลู โดยทานองที่พระองค์สดับแล้ว แสงสวา่ งเป็นอันเดยี วได้ปรากฏแด่พระ
ตถาคต เพราะทรงสดับเนื้อความนั้น ลาดับนั้น พระศาสดา ตรัสกะพระราชานั้นว่า “พระองค์อย่า
ทรงหวาดหว่ันเลย มหาบพิตร อนั ตรายไมม่ ีแกพ่ ระองค์ สตั วท์ ั้งหลายผู้มีกรรมลามก เม่ือกระทาทุกข์
ของตน ๆ ให้แจ้ง จงึ กล่าวอยา่ งนี้” พระราชา ทูลว่า “ก็กรรมอะไร อันสัตว์เหล่านั้นกระทาไว้ พระ
เจ้าข้า”

คาถา ทุ สะ นะ โส

พระผู้มีพระภาคเจ้า เม่ือจะทรงแสดงกรรมของสัตว์นรกเหล่าน้ัน จึงตรัสว่า “ถ้ากระน้ัน
พระองค์จงทรงสดับ มหาบพิตร” แล้วทรงนาอดีตนทิ านมา วา่

ในอดีตกาล เมื่อมนุษย์มีอายุ ๒ หมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ อุบัติ
ขึ้นในโลก เสด็จเท่ียวจาริกไปกับด้วยพระขณี าสพ ๒ หม่ืนได้เสด็จถึงกรุงพาราณสี ชาวกรุงพาราณสี
๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง มากกว่าบ้าง รวมเป็นพวกเดียวกัน ยังอาคันตุกทานให้เป็นไปแล้ว ในกาล

๔๓

นั้น ในกรุงพาราณสีได้มีเศรษฐีบุตร ๔ คน มีสมบัติ ๔๐ โกฏิ เป็นสหายกัน เศรษฐีบุตรเหล่าน้ัน
ปรกึ ษากนั วา่ ในเรอื นของพวกเรามที รัพย์มาก พวกเราจะกระทาอะไรดว้ ยทรพั ย์นน้ั ."

เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นปานน้ัน เสด็จเท่ียวจาริกไปอยู่ บรรดาเศรษฐีบุตรเหล่านั้น มิได้
กล่าวว่า พวกเราจักถวายทาน จักกระทาบูชา จักรักษาศีล" คนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ก่อนว่า" พวกเรา

ดืม่ สรุ าทเ่ี ข้ม เค้ยี วกินเนอ้ื มที ี่รสอรอ่ ย จกั เที่ยวไป ชีวิตนี้ของพวกเราจกั มีผล."

อกี คนหนึ่ง กล่าวอย่างน้ีว่า “พวกเราจักบริโภคภัตแห่งข้าวสารแห่งข้าวสาลมี ีกล่ินหอมที่
เก็บค้างไว้ ๓ ปี ดว้ ยการเท่ียวชมิ รสเลศิ ตา่ ง ๆ ”

อกี คนหนึ่ง กล่าวอย่างนีว้ ่า “พวกเราจกั เท่ยี วให้เขาทอดของควรเคยี้ วแปลก ๆ มีประการ
ตา่ ง ๆ”

อีกคนหน่ึง กล่าวอย่างน้ันว่า “แน่ะเพื่อน พวกเราจักไม่กระทากิจอะไร ๆ แม้อย่างอ่ืน
หญิงทั้งหลาย เม่ือเรากล่าวว่า ‘จักให้ทรัพย์’ ชื่อว่าผู้ไม่ปรารถนา ไม่มี เพราะเหตุน้ัน พวกเรา
รวบรวมทรัพย์ไว้แล้วจักประเล้าประโลมหญิงทาปรทาริกกรรม (การประพฤติผิดในภรรยาของชาย

อ่ืน)”

เศรษฐีบุตรท้ังหมด รับคาว่า “ดีล่ะ ๆ” ได้ปฏิบัติตามคาของคนที่ ๔ น้ัน ตั้งแต่นั้นมา
เศรษฐีบุตรเหล่านั้น ส่งทรัพย์ไปเพื่อบาเรอหญิงท่ีมีรูปงาม กระทาปรทาริกกรรมตลอด ๒ หมื่นปี
กระทากาละแลว้ บงั เกิดในอเวจีมหานรก

เศรษฐีบตุ รเหล่านัน้ ไหมแ้ ล้วในนรกส้นิ พทุ ธนั ดรหนึ่ง กระทากาละในนรกน้ัน ดว้ ยเศษ
ผลกรรม ก็เกิดในโลหกุมภีนรก อันลึก ๖๐ โยชน์ จมลง ถึงพื้นภายใต้ ๓ หมื่นปี ลอยข้ึนมา
ถึงปากหม้อโดย ๓ หมื่นปีอีก เป็นผู้ใคร่จะกล่าวคาถาตนละคาถา แต่ไม่อาจจะกล่าวได้ กล่าวตน
ละอักษรแล้ว ก็หมุนกลับลงไปสู่ก้นหม้ออย่างเดิมอีก พระองค์จงบอก มหาบพิตร พระองค์ได้สดับ

เสียงข้ออยา่ งไร ทีแรก

พระราชา. เสียงว่า ทุ สะ นะ โส๓ (ในพระไตรปิฎกเรียงลาดับว่า สะ นะ ทุ โส) พระ
เจ้าขา้

พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงคาถาทีส่ ัตวน์ รกน้นั กลา่ วคาที่ไมเ่ ต็มทาใหเ้ ต็มประโยค
จึงตรสั อย่างนว้ี ่า

ตนท่ี ๑ กล่าวคาวา่ สะ ต้องการจะกล่าวประโยค (คาถา) หนึ่งว่า

สฏฐฺ ิวสสฺ สหสฺสานิ ปรปิ ณุ ณฺ านิ สพพฺ โส

นริ เย ปจฺจมานาน กทา อนโฺ ต ภวิสฺสติ

เราไหมอ้ ยใู่ นนรกต้งั ๖๐,๐๐๐ ปี เตม็ ครบถว้ น

๓สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, “ธมฺมปทฏฺฐกถา (ตติโย ภาโค),”
(กรงุ เทพมหานคร:มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔), หนา้ ๑๐๗.

๔๔

เมอ่ื ไรหนอ (กรรมนี)้ จกั สิน้ สดุ กนั เสียที
พระบาลวี า่ นิรเย หมายถึง นรกโลหกุมภี๔

ตนท่ี ๒ กล่าวคาวา่ นะ ตอ้ งการจะกล่าวประโยค (คาถา)หนึ่งวา่

นตถฺ ิ อนโฺ ต กโุ ต อนโฺ ต น อนโฺ ต ปฏิทสิ สฺ ติ

ตทา หิ ปกต ปาปํ มม ตมุ ฺหญฺจ มารสิ

เพอ่ื นเอย๋ ไมม่ ีสน้ิ สุดหรอก จะสน้ิ สุดไดอ้ ย่างไร ทส่ี ้นิ สดุ จกั ไมป่ รากฏเลย

ก็เพราะข้ากับเจา้ ทาบาปกรรมไวม้ ากในครัง้ น้นั (ขณะเปน็ มนุษย์)

ตนท่ี ๓ กลา่ วคาวา่ ทุ ตอ้ งการจะกลา่ วประโยค(คาถา)หน่งึ วา่

ทุชชฺ ีวิตมชีวิมหฺ า เยส เตน ททามหฺ เส

วชิ ชฺ ามาเนสุ โภเคสุ ทปี นฺนามหฺ อตฺตโน

พวกเรา เมื่อมโี ภคสมบัติอยู่ ไมเ่ คยไดใ้ หท้ านเลย

ไมไ่ ดส้ ร้างทพี่ ่ึง (บุญ) สาหรบั ตนเลย จัดวา่ มีชวี ติ อยู่ อย่างชาตชิ ว่ั ทีส่ ดุ

(พระบาลีวา่ ทุชชฺ ีวติ หมายถึง ทจุ รติ ๓ ประการ คือ ทางกาย วาจา ใจ)

ตนที่ ๔ กลา่ ววา่ โส ตอ้ งการจะกลา่ วคาถาหนงึ่ ว่า

โสห นนู อิโต คนฺตฺวา โยนึ ลทฺธาน มานสุ ึ

วทญฺญู สีลสมปฺ นโฺ น กาหามิ กสุ ล พหุ ๕

เราถา้ พ้นไปจากโลหกมุ ภีน้ีแลว้ ได้กาเนดิ เปน็ มนษุ ย์อีกครงั้

จะใส่ใจคาแนะนาของผู้รู้ จักรักษาศีล สร้างกุศลไว้ให้มากอยา่ งแนน่ อน

พระบาลีวา่ วทญญฺ ู หมายถงึ ใหใ้ ห้ทานเปน็ ปกตหิ รอื รวู้ ่าผขู้ อต้องการอะไรก็จะให้
พระบาลีวา่ กุสล พหุ หมายถึง รักษาศลี สมาธิ ปัญญา๖

พระศาสดา ครนั้ ตรัสคาถาเหลา่ น้โี ดยลาดับ ประกาศเนื้อความแลว้ จึงตรัสว่ามหาบพติ ร
ชนท้ัง ๔ น้ัน ปรารถนาจะกล่าวคาถาคนละคาถา เมือ่ ไม่อาจจะกล่าวได้ กลา่ วคนละอักษรเทา่ นั้น
และลงไปสูโ่ ลหกุมภีนั้นนน่ั แลอกี ดว้ ยประการฉะน้แี ล

บรรลุโสดาบนั

ต้งั แต่พระเจา้ ปเสนทิโกศลทรงสดับเสียงนั้น ชนเหล่าน้ัน พลดั ลงไป ณ ภายใต้อยา่ งเดิม
แม้จนวันน้ีก็ยังไม่ล่วงหนึ่งพันปี ความสังเวชใหญ่ ได้เกิดขึ้นแก่พระราชา เพราะทรงสดับเทศนาน้ัน

๔ สิรสิ มุ ังคลมหาเถร, “ธัมมปทฏั ฐกถาคาถาโยชนา”, พระมหาแสวง โชตปิ าโล ตรวจชาระ, พมิ พ์คร้ัง
ท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร :เลีย่ งเชยี ง, ๒๕๓๔), หนา้ ๕๑.

๕ ขุ.เปต.บาลี. ๒๖/๕๐๒/๒๕๕.
๖ สริ สิ มุ งั คลมหาเถร, “ธมั มปทัฏฐกถาคาถาโยชนา”, หนา้ ๕๑.

๔๕

ท้าวเธอทรงดาริว่า “ชอ่ื ว่าปรทาริกกรรมนี้หนักหนอ ทั้ง ๔ ตน ไหมแ้ ลว้ ในอเวจีนรก ตลอดพุทธนั ดร
หนึ่ง จุติจากอเวจีนรกนั้นแล้วเกิดในโลหกุมภี อันลึก ๖๐ โยชน์ ไหม้แล้วในโลหกุมภีน้ัน ๒ ถึง ๖
หมื่นปี อย่างน้ี กาลเป็นท่ีพ้นจากทุกข์ของชนเหล่านั้น ยังไม่ปรากฏ หากเราทาความเย่ือใยใน
ภรรยาของชายอ่ืน ไม่ได้หลับตลอดคืนยังรุ่ง บัดน้ี จาเดิมแต่น้ีไปเราจักไม่ผูกความพอใจใน
ภรรยาของชายอ่ืนละ” จึงกราบทูลพระตถาคตว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทราบความท่ี
แห่งราตรีนานในวันน้ี” ฝ่ายบุรุษน้ัน น่ังอยู่ในท่ีน้ันนั่นแล ฟังถ้อยคานั้นแล้ว คิดว่า “ปัจจัยมีกาลัง
เราได้แลว้ ” จงึ กราบทูลพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผเู้ จริญ พระราชาทรงทราบความที่แห่งราตรี
นาน ในวันน้ีก่อน ส่วนข้าพระองค์เองได้ทราบความที่แห่งโยชน์ไกลในวันวาน” พระศาสดาทรง
เทยี บเคียงถอ้ ยคาของคนแมท้ ง้ั สอง แล้วตรัสวา่

ทฆี า ชาครโต รตฺติ ทฆี สนฺตสสฺ โยชน
ทีโฆ พาลาน สสาโร สทฺธมมฺ อวิชานต.
ราตรีของคนผู้ตน่ื อยู่ นาน โยชน์ของคนล้าแล้วไกล
สงสารของคนพาลทงั้ หลาย ผู้ไมร่ ้อู ยูซ่ ึง่ สัทธรรม ยอ่ มยาว

ในกาลจบเทศนา เขาบรรลุโสดาปัตติผล มหาชนแม้เหล่าอ่ืนเป็นอันมาก ก็บรรลุอริ
ยผลท้งั หลาย มีโสดาปัตติผลเปน็ ตน้ เทศนามปี ระโยชนแ์ ก่มหาชนแลว้

พระราชาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กาลังเสด็จไป รับสั่งให้ปล่อยสัตว์เหล่าน้ัน จาก
เครื่องจองจาแล้ว บรรดามนุษย์และสัตว์เหล่านั้น หญิงและชายทั้งหลาย พ้นจากเครื่องผูก สนาน
ศีรษะแล้วไปสู่เรือนของตน ๆ กล่าวสรรเสริญพระคุณแห่งพระนางมัลลิกาว่า เราทั้งหลายได้ชีวิต
เพราะอาศัยพระเทวีองค์ใด ขอพระนางมัลลิกาพระเทวีองค์นั้นผู้เป็นพระแม่เจ้าของเราท้ังหลาย จง
ทรงพระชนมอ์ ยตู่ ลอดกาลนานเทอญ."

ในเวลาเย็นภิกษทุ ั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า “น่าสรรเสรญิ พระนางมลั ลิกาน้ีฉลาด
หนอ ทรงอาศัยพระปญั ญาของพระองค์ได้ให้ชีวิตทานแก่ชนมีประมาณเทา่ น้ีแลว้ ”

พระนางมัลลิกาเคยช่วยทุกข์คนในชาติก่อนพระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า “ภิกษุ
ทงั้ หลาย บดั นี้เธอทั้งหลาย นัง่ ประชมุ กันด้วยถ้อยคาอะไรหนอ เม่ือภิกษเุ หล่านัน้ กราบทูลว่า “ดว้ ย
ถอ้ ยคาชื่อน้ี ภิกษุท้ังหลาย พระนางมัลลิกา ทรงอาศัยพระปัญญาของตน ให้ชีวิตทานแก่มหาชนใน
บัดน้เี ท่าน้ันหามิได้ ถึงในกาลกอ่ น พระนางก็ได้ใหแ้ ลว้ เหมอื นกัน” เม่ือจะทรงประกาศความน้ันจึง
ทรงน่าอดตี นิทานมาตรสั ว่า

อดีตชาตพิ ระนางมลั ลิกาตกนรก

ในอดตี กาล โอรสของพระเจ้าพาราณสีเข้าไปสู่ต้นไทรตน้ หนึ่งแล้ว ทรงอ้อนวอนเทวดาผู้
เกิด ณ ต้นไทรนั้นว่า “ข้าแตเ่ ทวราชผู้เป็นเจ้า ในชมพูทวปี นี้ มีพระราชา ๑๐๑ พระอัครมเหสี
๑๐๑ ถ้าข้าพเจ้าจักได้ราชสมบัติโดยกาลล่วงไปแห่งบิดาไซร้ ข้าพเจ้าจักทาพลีกรรมด้วยเลือด
ในลาคอของพระราชาและพระอคั รมเหสเี หลา่ นั้น”

๔๖

พระกุมารนั้น เม่ือพระบิดาสวรรคตแล้ว ได้รบั ราชสมบัติ สมพระประสงคท์ รงคิดว่า “เรา
ไดร้ บั ราชสมบตั ดิ ว้ ยอานุภาพของเทวดา เราจกั ทาพลแี ก่เทวดานนั้ ” จึงเสด็จออกไปด้วยเสนาหมู่ใหญ่
ยังพระราชาพระองค์หน่ึง ให้เป็นไปในอานาจของตนแล้ว ทาพระราชาพระองค์อ่ืนและอื่นอีก กับ
ดว้ ยพระราชาพระองคน์ ั้น ให้อยู่ในอานาจของตน ทาพระราชาทั้งหมดใหอ้ ยู่ในอานาจของตน ดว้ ย
ประการฉะนี้แล้ว ทรงพาไปพร้อมกับพระอัครมเหสีท้ังหลาย ทรงละพระเทวีพระนามว่าธัมมทินนา
ผ้ทู รงพระครรภ์แก่ซงึ่ เป็นพระอัครมเหสีของพระราชาพระนามว่าอุคคเสน ซึ่งเปน็ พระราชาองคเ์ ล็ก
กว่าพระราชาทั้งปวงไว้ เสด็จไปทรงดาริว่า “เราจักให้ชนเหล่านี้ด่ืมน้าเจือยาพิษให้ตาย” จึงให้ชน
ทง้ั หลายชาระโคนไมใ้ หส้ ะอาดแล้ว

เทวดาคิดว่า “พระราชาองค์น้ี เมื่อจับพระราชาประมาณเท่าน้ี ทรงอาศัยเราจึงจับ ท้าว
เธอทรงใคร่จะทาพลีกรรมแก่เราด้วยโลหิตในลาพระศอของพระราชาเหล่านั้น ก็ถ้าพระราชานี้ จัก
ทรงสาเร็จโทษพระราชาเหล่านั้นไซร้ พระราชวงศ์ในชมพูทวีปจักขาดสญู แม้โคนไม้ของเรา ก็จักไม่
สะอาด เราจักอาจห้ามพระราชาน้ันได้ไหมหนอแล” เทวดาน้ัน ใคร่ครวญอยู่ก็รู้ว่า “เราไม่สามารถ
ห้ามได้” จึงเข้าไปหาเทวดาองค์อ่ืน บอกเน้ือความนั้นแล้ว กล่าวว่า “ท่านมีความสามารถห้ามได้
หรือ” เทวดานั้นแม้อันเทวดาท่ีถูกถามน้ันห้ามแล้ว จึงเข้าไปหาเทวดาในจักรวาลทั้งสิ้น อย่างนี้คือ
เข้าไปหาเทวดาองค์อ่ืน ๆ เป็นลาดบั แม้ถูกเทวดาเหล่าน้ันห้ามแล้ว จึงไปสานักของท้าวมหาราชท้ัง
ส่ี ในเวลาที่แม้ท้าวมหาราชท้ังสี่นั้น ห้ามแล้วด้วยคาว่า “พวกเราไม่อาจ แต่ว่าพระราชาของเรา
ท้ังหลาย เป็นผู้วิเศษกว่าพวกเราด้วยบุญและปัญญา ท่านจงทูลถามพระราชาน้ันเถิด” ดังนี้แล้วจึง
เข้าไปเฝ้าท้าวสักกะ กราบทูล เน้ือความน้ันแล้ว ทูลว่า “ขอเดชะ เมื่อพระองค์ถึงความเป็นผู้
ขวนขวายนอ้ ยเสยี แลว้ ขตั ติยวงศ์จกั ขาดสูญ ขอพระองคจ์ งทรงเป็นท่ีพานักแห่งขัตตยิ วงศ์น้นั เถิด”

ท้าวสักกะตรัสว่า “แม้เราก็ไม่อาจเพ่ือจะห้ามพระราชาน้ัน แต่จักบอกอุบายแก่ท่าน”
แล้วทรงบอกอุบายว่า “ไปเถิดท่าน” เมื่อพระราชาทรงเห็นอยู่น้ันแหละ ท่านจงนุ่งผ้าแดง แสดง
อาการดุจออกไปจากต้นไม้ของตน เมื่อเช่นน้ัน พระราชาทรงดาริว่า ‘เทวดาของเราไปอยู่ เราจักให้
เทวดาน้ันกลับมา” แล้วจักอ้อนวอนท่านด้วยประการต่าง ๆ เมื่อเช่นน้ัน ท่านพึงกล่าวกะพระราชา
นน้ั ว่า ‘ท่านบนต่อเราไว้วา่ จักนาพระราชา ๑๐๑ กับพระอัครมเหสีทงั้ หลายมาทาพลีด้วยโลหิตในลา
พระศอของพระราชาเหล่านั้น’ แต่ทรงทิ้งพระเทวีของพระอุคคเสนไว้แล้วเสด็จมา เราจักไม่รับพลี
ของคนผู้มักพูดเท็จ เช่นกับพระองค์ นัยว่าเม่ือท่านกล่าวอย่างน้ัน พระราชาจักให้นาพระเทวีนั้นมา
พระเทวีน้ันจักแสดงธรรมแก่พระราชา ให้ชีวิตทานแก่ชนมีประมาณเท่าน้ี” ท้าวสักกะ ตรัสบอก
อุบายน้ีแก่เทวดาด้วยเหตุนี้ เทวดาได้กระทาตามนั้นแล้ว แม้พระราชาก็รับส่ังให้นาพระเทวีน้ัน
มาแลว้

พระเทวีน้ันมาถวายบังคมพระราชา ผู้สวามีของตนเท่าน้ันแม้ประทับน่ัง ณ ที่สุดแห่ง
พระราชาเหล่านั้น พระราชากริ้วต่อพระเทวีนั้นว่า “เมื่อเราดารงอยู่ในตาแหน่งผู้ใหญ่กว่าพระราชา
ท้งั ปวง นางยงั ไหวส้ ามีของตน ซ่ึงเป็นผนู้ อ้ ยกวา่ พระราชาทั้งปวงได้”

๔๗

ลาดับน้ันพระเทวีทูลพระราชานั้นว่า “เร่ืองอะไรของหม่อมฉันต้องเก่ียวข้องในพระองค์
เล่า ก็พระราชาพระองคน์ ี้เป็นสามีผใู้ ห้ความเป็นใหญ่แก่หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ไหว้พระราชาพระองค์
นี้แลว้ จักไหว้พระองค์เพราะเหตไุ ร”

เมื่อชนน้ันเห็นอยู่น้ันเทียว รุกขเทวดากล่าวว่า “อย่างน้ัน พระเทวีผู้เจริญ อย่างนั้น
พระเทวีผเู้ จรญิ ” แล้วบชู าพระเทวนี ้นั ดว้ ยดอกไม้กามอื หนึ่ง

พระราชา ตรัสว่า “ถ้าเธอไม่ไหว้เรา เพราะเหตุไร จึงไม่ไหว้เทวดาของเราผู้มีอานุภาพ
มากอยา่ งนี้ ผู้ให้สริ ิแหง่ ความเป็นพระราชาเล่า”

พระเทวีทูลว่า “ข้าแต่มหาราช พระราชาทั้งหลายอันพระองค์ทรงต้ังอยู่ในบุญของ
พระองค์ จึงจบั ได้ ไมใ่ ช่เทวดาจบั ถวาย”

เทวดากลา่ วกะพระเทวอี กี ว่า “อยา่ งนัน้ พระเทวีผู้เจริญ” แล้วบูชาเหมือนอยา่ งน้นั พระ
เทวีนั้นทูลพระราชาอีกว่า “พระองค์ตรัสว่า พระราชาทั้งหลายมีประมาณเท่าน้ี เทวดาจับให้แก่เรา
บัดนี้ ต้นไมถ้ ูกไฟไหม้ ณ ข้างซ้ายในเบอื้ งบนแหง่ เทวดาของพระองค์ เพราะเหตุไร เทวดานัน้ จึง
ไม่อาจเพื่อจะยังไฟนั้นใหด้ บั ได้ ถา้ เทวดามอี านภุ าพมากอย่างนน้ั ”

เทวดากล่าวกะพระเทวีแม้อีกว่า “อย่างนั้น พระเทวีผู้เจริญ” แล้วบูชาเหมือนอย่างน้ัน
พระเทวยี นื ตรสั อยู่ ทงั้ ทรงพระกนั แสงทงั้ ทรงพระสรวล ลาดบั นนั้

พระราชา. เธอเป็นบา้ หรือ
พระเทวี. ขอเดชะ เพราะเหตุไร พระองค์จึงตรัสอย่างนั้น หญิงทั้งหลายผู้เช่นกับหม่อม
ฉัน ไม่ใช่เป็นบ้า
พระราชา. เม่ือเช่นนั้น เพราะเหตไุ ร เธอจงึ รอ้ งไห้และหวั เราะ
พระเทวี. ขอพระองค์จงสดับเถิด มหาราช ในอดีตกาลหม่อมฉันเป็นกุลธิดา เม่ืออยู่ใน
ตระกูลสามี เห็นแขกผู้เป็นสหายของสามีมาแล้วใคร่เพื่อหุงข้าวเพื่อแขกน้ัน จึงให้กหาปณะแก่นาง
ทาสีด้วยสงั่ ว่า “เจ้าจงซอ้ื เนือ้ มา” เมื่อนางทาสีน้นั ไม่ได้เนอื้ มาแลว้ กลา่ วว่า “เนอื้ ไมม่ ี” จึงตดั ศรี ษะ
แม่แพะท่ีนอนอยู่เบ้ืองหลังเรือนจัดแจงภัตเสร็จ หม่อมฉันนั้น ตัดศีรษะแม่แพะตัวเดียว ไหม้ใน
นรก ด้วยเศษผลแห่งกรรม จึงได้ถูกตัดศีรษะด้วยการนับขนแม่แพะน้ัน พระองค์สาเร็จโทษชนมี
ประมาณเท่านี้ เมื่อไรจักพ้นจากทุกข์ หม่อมฉันระลึกถึงทุกข์อันใหญ่ของพระองค์ดังนี้ อย่างน้ัน

จงึ รอ้ งไห”้ ดงั นแ้ี ลว้ จึงตรสั พระคาถาน้ีวา่

เอกสิ สฺ า กณฐฺ ฉนิ ทฺ ติ วฺ า โลมคณนาย ปจจฺ ิส
พหุนฺน กณฺเฐ เฉตวฺ าน กถ กาหสิ ขตตฺ ิยา๗

หม่อมฉันตดั คอแม่แพะตัวเดียว ไหมอ้ ยแู่ ล้ว (ในนรก )

๗ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, “ธมฺมปทฏฺฐกถา (ตติโย ภาโค)”,
(กรุงเทพมหานคร:มหามกุฎราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า ๑๑๔.

๔๘

ดว้ ยการนบั ขน (แพะ) ข้าแตพ่ ระองค์ผูเ้ ปน็ กษัตรยิ ์
พระองคต์ ดั คอของมนุษย์เป็นอนั มาก จักกระทาอยา่ งไร

พระราชา. เม่อื เช่นนนั้ เธอหัวเราะเพราะเหตไุ ร
พระเทวี. ข้าแตม่ หาราช หม่อมฉันยนิ ดวี ่า เราพน้ จากทกุ ขน์ ั้นแลว้ ' จึงหวั เราะ

เทวดากล่าวกะพระเทวีน้ันอีกว่า “อย่างนั้น พระเทวีผู้เจริญ” แล้วบูชาด้วยดอกไม้กามือ
หนึ่ง พระราชา ทรงดาริว่า “น่าสลด ! กรรมของเราหนัก ได้ยินว่าพระเทวีนี้ ฆ่าแม่แพะตัวเดียว
ไหม้ในนรกแล้ว ด้วยเศษแห่งผลกรรมถูกตัดศีรษะด้วยการนับขนแห่งแม่แพะนั้น เราฆ่าชนมี
ประมาณเท่านี้จักถึงความสวัสดีเมื่อไร” ดังน้ีแล้ว จึงทรงปล่อยพระราชาท้ังหมด ถวายบังคม
พระราชาผู้แก่กว่าตน ทรงประคองอญั ชลีแก่พระราชาท่ีหนุ่มกวา่ ยังพระราชาทั้งหมดให้ทรงอดโทษ
แลว้ ทรงส่งไปสทู่ ี่ของตน ๆ อย่างเดิม

พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า “อย่างน้ันภิกษุท้ังหลาย
พระนางมัลลิกาอาศัยปัญญาของตน ประทานชีวิตทานแก่มหาชนในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ ถึงในกาล
กอ่ น พระนางก็ได้ประทานแล้วเหมือนกัน” แล้วทรงประชุมเร่ืองอดีตวา่ “พระเจ้าพาราณสี ในกาล
นั้น ได้เป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางธัมมทินนาเทวี เป็นพระนางมัลลิกา รุกขเทวดาคือเรา
เอง”

คร้ันทรงประชุมเร่ืองอดีตอย่างน้ันแล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรมอีก จึงตรัสว่า “ภิกษุ
ทงั้ หลายชอ่ื ว่าปาณาติบาตเป็นโทษ ไม่สมควรที่บุคคลจะพึงกระทา เพราะว่าบุคคลผฆู้ ่าสตั ว์เป็น
ปกติ ย่อมเศร้าโศกสนิ้ กาลนาน” จงึ ตรสั พระคาถาน้วี ่า

เอวญเฺ จ สตฺตา ชาเนยยฺ ุ ทกุ ขฺ าย ชาติ
น ปาโณ ปาณนิ หญเฺ ปาณาฆาตี หิ โสจติ

ถา้ สตั วท์ ง้ั หลายพึงรู้อยา่ งนีว้ า่ ชาติสมภพ

นีเ้ ป็นทุกข์ สตั วไ์ มพ่ ึงฆา่ สตั ว์ เพราะวา่ ผู้ฆา่ สตั ว์
เปน็ ปกติ ยอ่ มเศรา้ โศก๘

การบชู าบวงสรวงน้ันมีเกือบทุกศาสนาลัทธิ และมีมาตงั้ แตก่ ่อนพระพุทธเจา้ อบุ ัติข้ึน แต่
พระพุทธศาสนาน้นั ปฏเิ สธเรื่องการบวงสรวงอ้อนวอน และพระพุทธก็ตรสั สอนเร่อื งการกระทาเพอื่ ลบ
ล้างและชะลอผลแหง่ อกุศลกรรม

๘ ข.ุ ธ.อ. ๔๑/๑๕๓-๑๗๓.

๔๙

๓.๑.๑ คณุ คา่ ของธรรมบท

พระพทุ ธโฆสมหาเถระอธิบายว่า
พระบาลีว่า ทีฆา เป็นต้น ความว่า ชอ่ื วา่ ราตรีน้มี ีเพียง ๓ ยามเทา่ นั้น แตส่ าหรับ
ผู้ตื่นอยู่ อยู่ข้างนาน คือว่า ย่อมปรากฏเป็นราวกะว่า ๒ เท่า ๓ เท่า บุคคลผู้เกียจคร้านมาก
ทาตนให้เป็นเหย่ือของหมู่เรือด นอนกล้ิงเกลือกอยู่ตลอดจนพระอาทิตย์ข้ึนก็ดีผู้เสพกาม บริโภค
โภชนะท่ีดีแล้ว นอนอยู่บนท่ีนอนหรูหราก็ดี ย่อมไม่รู้ความที่ราตรีนั้นนาน ส่วนพระโยคาวจร
ผเู้ ริ่มตั้งความเพียรตลอดคืนยังรุ่งก็ดี พระธรรมกถึกแสดงพระธรรมกถาตลอดคนื ยังรุ่งก็ดี บุคคลผู้
น่ังฟังธรรมอยู่ในท่ีใกล้อาสนะตลอดคืนยังรุ่งก็ดี ผู้ที่ถูกโรคท้ังหลายมีโรคในศีรษะเป็นต้นถูกต้องแล้ว
หรือผูถ้ ึงทุกข์ มกี ารตัดมือและเท้าเป็นต้น ถูกเวทนาครอบงาก็ดี คนเดนิ ทางไกล เดนิ ทางตลอดคืน
ก็ดีย่อมรู้ความท่รี าตรนี ้ันนาน

พระบาลีว่า โยชน เป็นต้น ความว่า แมโ้ ยชนก์ ็มีเพียง ๔ คาวุตเท่านั้น แต่สาหรับผู้
ลา้ แล้ว คือผบู้ อบชา้ แล้ว อยู่ขา้ งไกล คือวา่ ยอ่ มปรากฏเป็นราวกะวา่ ๒ เท่า ๓ เทา่ จรงิ อยู่ คน
เดินทางตลอดทั้งวันล้าแล้ว พบคนเดินสวนทางมา ถามว่า “บ้านข้างหน้าไกลเท่าไร” เมื่อเขาบอก
ว่า "โยชน์หนึ่ง" ไปได้หน่อยหน่ึง ก็ถามคนแม้อื่นอีก แม้เมื่อคนอ่ืนนั้นบอกว่า “โยชน์หน่ึง”
ไปได้หน่อยหนึ่งอกี ก็ถามแม้คนอ่ืนอกี แม้เขาก็กล่าวว่า “โยชน์หน่ึง” คนเหล่าน้นั ถูกคนผเู้ ดินทาง
น้นั ถามแล้ว ๆ ก็บอกว่า "โยชนห์ นึ่ง" เขาคิดว่า “โยชน์น้ี ไกลจรงิ หนอ” ย่อมสาคัญโยชน์หน่ึงเป็น
ราวกบั ว่า ๒-๓ โยชน์

พระบาลีวา่ พาลาน เป็นต้น ความวา่ ส่วนสงสารของชนพาลทง้ั หลายผไู้ ม่รปู้ ระโยชน์
ในโลกนแี้ ละประโยชน์ในโลกหนา้ คือ ผู้ไม่อาจเพื่อกระทาท่ีสุดแห่งสังสารวัฏ ผไู้ ม่รู้แจ้งสัทธรรม
อันต่างด้วยธรรม มีโพธิปักขิยธรรม ๓๗ เป็นต้น ที่พระอริยะเจ้าทั้งหลายรู้แล้วกระทาท่ีสุดแห่ง
สงสารได้ย่อมช่ือว่ายาว แท้จริง สงสารนั้น ช่ือว่า ยาว ตามธรรมดาของตนเอง สมจริงดังพุทธ
พจน์ท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย สงสารน้ีมีที่สุดอันใคร ๆ ไปตามไม่รู้แล้ว
เบื้องต้น เบื้องปลายแห่งสงสารน้ัน ไม่ปรากฏ แต่สาหรับชนพาลทั้งหลาย ผู้ไม่สามารถจะทาท่ีสุด
ได้ ยอ่ มยาวแท้ทเี ดียว”

สงั เคราะห์พระคาถาในอริยสจั ๔ ดงั นี้

ทีฆา ชาครโต รตตฺ ิ ราตรีของคนผูต้ น่ื อยูน่ าน
ทฆี สนตฺ สฺส โยชน โยชนข์ องคนล้าแลว้ ไกล

คาถาทง้ั ๒ บาทนี้ เป็นสมมติสจั จะ เป็นการอุปมาเปรยี บเทยี บ

ทีโฆ พาลาน สสาโร สงสารของคนพาลท้ังหลาย พาลธรรม ได้แก่ อกุศลจิต หรืออ
กสุ ลธรรมทงั้ หมด จดั เป็นทกุ ขสัจจะ

สทฺธมฺม อวิชานต ผู้ไม่รู้อยู่ซึ่งสัทธรรม ย่อมยาวนาน ความไม่รู้ คือ โมหะ หรือ
อวชิ ชา จดั เป็นสมทุ ยสัจจะ

๕๐

ดังนนั้ พระคาถานจ้ี ึงมีแค่ ๒ สจั จะ คอื ทกุ ข์สัจจะและสมุทยสัจจะ

๓.๑.๒ สังคมและวัฒนธรรม

ความเป็นอยู่ของสังคมในสมัยอินเดียนั้นยังมีความสัมพันธ์ระหว่างมหากษัตริย์ กษัตริย์
ปโุ รหติ การบูชาบวงสรวง ระหวา่ งคนกับ เทพเจ้า โดยใช้เคร่ืองบูชายัญท้งั คน สัตว์หลายชนิด จงึ เป็น
ต้นกาเนิดสืบทอดวัฒนธรรมนี้ถึงคนไทยปัจจุบัน การบูชาบวงสรวงด้วยการฆ่าบูชายัญนั้น ได้แผ่
กระจายมาตามแนวคิดและความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ต้ังแต่ยุคทราวดี จะสังเกตได้ว่ายุคทราวดี
ท่พี ระพุทธศาสนามาถงึ นาโดยพระโสณและพระอุตระจึงได้นาเอาพรหมชาลสูตร วา่ ดว้ ยเร่ืองของทิฏฐิ
๖๒ และได้นาเอาพระธรรมจกั รมาเผยแผ่ท่พี ระเทศไทยและสุวรรณภูมิได้สาเร็จ พระพุทธศาสนาเถร
วาทจึงได้แผ่กระจายและรับวัฒนธรรมแห่งความเป็นชาวพุทธได้สาเร็จ แต่กระนั้น สังคมไทยก็ยังมีไม่
น้อยที่เช่ือเรื่องการฆ่า บูชา บวงสรวงก็ยังมีอยู่จานวนมากเช่นกัน แต่ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น
เนน้ ปฏบิ ัตติ ามศีล ๕ เพอ่ื พน้ ทุกข์ วิบากกรรม ไม่ใชท่ ก่ี ารบวงสรวง

๓.๑.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

สัตว์เดรัจฉาน ยังเป็นสัตว์เศรษฐกิจสาหรับการค้าขาย บริโภค จนถึงส่ือกลางระหว่างคน
กับเทพเจ้า เบื้อหลังแห่งการบูชาบวงสรวง ก็มีอีกมิติหนึ่ง คือ เรื่องของเศรษฐกิจ หลังจากการฆ่า
บูชาบวงสรวงแล้ว กค็ ือการนาเนอ้ื หนังสัตว์ไปคา้ ขายเพ่อื บรโิ ภค

๕๑

(รูปภาพนี้เปน็ การบวงสรวงเจ้าแมก่ าลซี ึ่งเปน็ ลทั ธหิ นงึ่ ของศาสนาพราหมณ์ ซ่ึงต้องบูชาด้วย
เลอื ดสีแดง)

จะอยา่ งไรก็ตามตามหลักพุทธเศรษฐศาสตร์ ตอ้ งมีการแลกเปลี่ยนสินค้าทไี่ มก่ ระทบตอ่
ผู้อนื่ สังคม ส่งิ แวดแลว้ และเป้าหมายสูงสดุ คอื สันตภิ าพ

๓.๑.๔ สรปุ
พระเจา้ ประเสนทิโกศล ผ้บู ริโภคกาม หรอื คนพาล หรือ ผไู้ ม่ร้ตู ามความเป็นจริง หลงใหล
ติดกับการบริโภคกาม ใฝ่ในการเสพกาม แม้กระทั่งจะเอาภรรยาของผู้อื่นมาเป็นภรรยาและวางแผน
จะทาปาณาติบาต พระพุทธองค์จึงตรัสว่าการทาอกุศลกรรม ย่อมทาให้วัฏฏสงสารให้ยาวไกลไม่มีที่
สนิ้ สดุ คนหลงหรือโง่ย่อมแสวงหาทางพ้นทกุ ขท์ ผี่ ิด และทาให้ผู้อ่นื ได้รบั ทุกข์แสนสาหัส และพยายาม
พ้นจากทุกข์ด้วยการบวงสรวงอ้อนวอน บนบานสานกล่าว ดังน้ัน จึงต้องแสวงหาปัญญา คบ
กัลยาณมิตรมิตรที่ดี ราตรีของคนผู้ตื่นอยู่ยาวนาน โยชน์ของคนล้าแล้วไกล สงสารของคนพาล
ทั้งหลาย ผู้ไม่รู้อยู่ซึ่งสัทธรรมย่อมยาวนานกว่า ในกาลจบเทศนา บุรุษน้ัน บรรลุโสดาปัตติผล
แล้ว ชนแม้เหลา่ อ่ืนเปน็ อนั มาก ก็บรรลอุ ริยผลท้งั หลายมโี สดาปัตตผิ ลเปน็ ตน้

๕๒

๓.๒ เรอื่ ง ธิดาของมาร (ธีตมาระ)

เร่ือง ธิดาของมาร (ธีตมาระ) พุทธวรรค ว่าด้วยเรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป็น
หลัก) ท้ังหมด ๙ เร่ือง ในท่ีน้ีได้เลือกมาศึกษาวิเคราะห์ ๑ เรื่อง คือ ธิดาของพญามาร เป็นกรณี
การศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท (๒) สังคมวัฒนธรรม (๓) พุทธเศรษฐศาสตร์

ดังน้ี

สถานที่ แคว้นกุรุ
บคุ คล พระสมั มาสมั พุทธเจา้ , สองสามีภรรยาพราหมณ์, นางมาคนั ทิยา,
พญามาร, ธดิ ามารท้ัง ๓
ผล สองสามภี รรยาพราหมณ์ บรรลุโสดาบนั ,

พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ตรสั พระบาลีวา่

ยสฺส ชติ นาวชยี ติ
ชิตมสฺส โน ยาติ โกจิ โลเก
ต พทุ ธฺ อนนตฺ โคจร
อปท เกน ปเทน เนสสฺ ถ ฯ
ยสฺส ชาลนิ ี วสิ ตฺติกา
ตณหฺ า นตฺถิ กุหิ จฺ ิ เนตเว
ต พทุ ธฺ อนนตฺ โคจร
อปท เกน ปเทน เนสสฺ ถ๙

กิเลสทีพ่ ระพุทธเจ้าพระองคใ์ ดทรงชนะแลว้
พระองค์จะไม่ทรงกลับแพ้อีก
กเิ ลสสักน้อยหน่งึ ในโลกไม่ติดตามพระองคผ์ ู้ชนะได้แล้ว
พวกท่านจักนาพระพุทธเจ้าพระองคน์ ้นั
ผมู้ ีพระญาณหาทสี่ ุดมิได้ ผู้ไมม่ ีร่องรอยไปดว้ ยร่องรอยอะไรเลา่
ตัณหาดจุ ตาขา่ ย ช่ือวา่ วิสัตตกิ า

ไม่มแี ก่พระพทุ ธเจา้ พระองค์ใด เพอื่ นาไปในภพไหน ๆ
พวกทา่ นจักนาพระพทุ ธเจ้าพระองคน์ ั้น
ผ้มู ีพระญาณหาที่สุดมิได้ ผู้ไม่มรี อ่ งรอย ไปดว้ ยร่องรอยอะไรเล่า๑๐

ครั้งพระศาสดายังพระธรรมจักรให้เปน็ ไปในชมพูทวี คร้ังหนึ่งพระองค์แสดงธรรมเทศนา
ที่กรุงสาวัตถีแลว้ ตรัสแก่พราหมณ์ช่ือมาคันทิยะในเเคว้นกุรุ ในแคว้นกุรุธิดาของมาคันทิยพราหมณ์
ชื่อว่ามาคันทิยา เป็นผู้มีรูปงามเลอโฉม ตระกูลพราหมณ์ใหญ่และร่ารวยเป็นอันมากและเหล่าขัตติ

๙ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๗๙/๔๘.
๑๐ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๗๙/๘๙.

๕๓

ยมหาศาลอยากได้นางมาคันทิยานัน้ จงึ ส่งขา่ วไปแกม่ าคันทิยะวา่ “ขอจงใหธ้ ดิ าแกข่ ้าพเจา้ ทัง้ หลาย
เถิด” มาคันทิยพราหมณ์ก็ห้ามพราหมณ์มหาศาลและขัตติยมหาศาลเสียท้ังหมดเหมือนกันว่า “พวก
ท่านไมส่ มควรสาหรบั ธิดาของข้าพเจ้า”

ต่อมาวันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่งพระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นมาคันทิยพราหมณ์
เข้าไปภายในแห่งข่ายคือพระญาณของพระองค์ จึงทรงใคร่ครวญว่า “จักมีเหตุอะไรหนอ” ได้ทรง
เห็นอุปนิสัยแหง่ มรรคและผลท้ัง ๓ ของพราหมณแ์ ละนางพราหมณี ฝ่ายพราหมณ์กบ็ าเรอไฟอยเู่ ป็น
นติ ย์ ภายนอกบ้าน พระศาสดาได้ทรงถอื บาตรและจวี ร เสดจ็ ไปยังท่ีน้ันแต่เช้าตรู่ พราหมณ์ตรวจดู
รูปสริ ขิ องพระศาสดา พลางคิดว่า “ขึ้นช่อื ว่าบรุ ุษในโลกนี้ ที่จะเหมอื นด้วยบรุ ุษคนนี้ไม่มี บุรุษคน
นี้ เป็นผู้เหมาะสมย่ิงแก่ธิดาของเรา เราจะให้ธิดาแก่บุรุษคนน้ี” แล้วกราบทูลพระศาสดาว่า
“สมณะ เรามีธดิ าอยู่คนหนึ่ง เรายงั ไม่เหน็ บุรษุ ผทู้ ี่สมควรแก่นาง จงึ ไมไ่ ด้ใหน้ างแกใ่ คร ๆ เลย สว่ น
ท่านเป็นผู้สมควรแก่นาง เราต้องการจะให้ธิดาแก่ท่าน ทาให้เป็นหญิงคอยปรนนิบัติท่าน ท่านจงรอ
อยใู่ นท่ีน้ีแหละจนกว่าเราจะนาลกู สาวของฉันมา”

พระศาสดาทรงสดับถอ้ ยคาของเขาแลว้ ไม่ทรงยนิ ดเี ลย แต่ไมท่ รงห้าม ฝ่ายพราหมณ์ ไป
เรือนแล้ว บอกกะนางพราหมณวี ่า “ลูกวนั น้ี แม่เห็นบุรุษผู้เหมาะสมกับเจ้าแล้ว พ่อกับแม่จะยกลูก
สาวน้ันแก่เขา” ให้ลูกสาวตกแต่งกายแล้ว ได้พาไปยังท่ีน้ันพร้อมด้วยนางพราหมณี ชาวบ้านก็
ต่ืนเต้น พากันออกไปดู พระศาสดาไม่ได้ประทับยืนอยู่ในที่ที่พราหมณ์บอกไว้ ทรงแสดงเจดีย์ คือ
รอยพระบาทไว้ในที่น้ันแล้วได้ประทับยืนเสียในท่ีอ่ืน ทราบว่าเจดีย์ คือ รอยพระบาทขอ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมปรากฏในท่ีที่พระองค์ทรงอธิษฐานว่าบุคคลชื่อโน้นจงเห็นเจดีย์ คือ
รอยเท้านี้” แล้วทรงเหยียบไว้เท่านั้น ชื่อว่า ผู้ท่ีจะเห็นเจดีย์คือรอยพระบาทน้ันในท่ีที่เหลือไม่มี
พราหมณ์ ถกู นางพราหมณีผู้ไปกบั ตนถามวา่ “บุรุษนัน้ อยู่ที่ไหน” จงึ บอกว่า “ฉันได้สั่งเขาไว้แล้วว่า
‘ท่านจงรออยู่ทีน่ ี้’ พลางมองหาอยกู่ พ็ บรอยพระบาทแลว้ จงึ ช้ีว่า “นี้รอยเท้าของเขา”

นางพราหมณีนั้นกล่าวว่า “พราหมณ์ นี้ไม่ใช่รอยเท้าของบุคคลผู้บริโภคกาม” เพราะ
ความทนี่ างเปน็ คนฉลาดในมนต์เคร่ืองทานายลักษณะ เมื่อพราหมณ์พดู ว่า “เจ้าเหน็ จระเขใ้ นตุ่มน้า
สมณะนั้นเราบอกแล้วว่า ‘เราจักให้ธิดาแก่เขา’ ถึงเขาก็รับคาของเราแล้ว กล่าวว่า “พราหมณ์ ท่าน
บอกอยา่ งนนั้ ก็จริง ถึงดงั น้นั รอยเทา้ น้ีเปน็ รอยเท้าของผหู้ มดกิเลสแนน่ อน” ดังนแ้ี ล้ว กล่าวคาถาน้ี
วา่

รตตฺ สฺส หิ อกุ ฺกุฏกิ ปท ภเว
ทุฏฐสฺส โหติ สหสานปุ ฬี ต
มุฬหสฺส โหติ อวกฑฺฒติ ปท
วิวฏจฺ ฺฉทสสฺ อิทมสี ิส ปท๑๑

คนเจา้ ราคะ มีรอยเท้ากระโหย่ง (เวา้ กลาง)
คนเจ้าโทสะ มรี อยเท้าอันส้นบีบ (หนักส้น)

๑๑ ขุ.ธ.อ. ฉฏโฺ ฐ ภาโค/หน้า ๖๓.

๕๔

คนเจา้ โมหะย่อมมีรอยเท้าจิกลง (หนักทางปลายเท้า)
คนมกี ิเลสเคร่ืองมุงบงั อันเปิดแลว้ มีรอยเท้าเช่นน้ี (แบนราบ มกี งจักร)
ทีนั้น พราหมณ์จึงบอกนางพราหมณีว่า “นางผู้เจริญ เจ้าอย่าอ้ึงไป จงเป็นผู้นิ่ง มาเถิด
ไปพบพระศาสดาแล้ว จึงแสดงแก่นางพราหมณีนั้นว่า “นี้ คือ บุรุษคนนั้น” แล้วเข้าไปเฝ้าพระ
ศาสดา ทูลว่า “สมณะเราจะให้ธดิ าแกท่ ่าน”
พระศาสดา ไม่ตรสั ว่า “เราไม่ตอ้ งการด้วยธดิ าของทา่ น” กลับตรัสว่า “พราหมณ์ เราจัก
บอกเหตุสักอย่างหนึ่งแก่ท่าน ท่านจักฟังไหม” เม่ือพราหมณ์ทูลว่า “สมณะผู้เจริญ ท่านจงกล่าว
ขา้ พเจา้ จกั ฟัง” จงึ ทรงนาเรื่องอดีต ตงั้ แตค่ รัง้ ออกมหาภเิ นษกรมณ์มาบอกแก่พราหมณ์โดยยอ่ ว่า

[ออนไลน์], แหลง่ ทมี่ า : https://www.pinterest.com/pin/315322411412149248/,
[๒๑ เมย. ๒๕๖๔].

๕๕

[ออนไลน]์ , แหล่งท่ีมา: http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3086.15,
[๒๑ เมย. ๒๕๖๔].๑๒

พระมหาโพธิสัตว์ ทรงละสิริราชสมบัติ ทรงขึ้นม้ากัณฐกะ (ม้าสีขาว) มีนายฉันนะเป็น
สหาย ออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อมารยืนอยู่ที่ประตูแห่งพระนครกล่าวว่า “สิทธัตถะ ท่านจงกลับ
เสียเถิด แต่วันนีไ้ ปในวันที่ ๗ จักรรัตนะจักปรากฏแก่ท่าน” จึงตรัสว่า “มาร ถึงเราก็รู้จักรรัตนะ
นัน้ แตเ่ ราไม่มีความตอ้ งการด้วยจักรรัตนะนัน้ ”

มาร. เมือ่ เป็นเชน่ น้นั ท่านออกไปเพ่อื ประโยชน์อะไร ?
พระมหาโพธสิ ัตว์. เพื่อประโยชน์แกส่ ัพพัญญตุ ญาณ
มาร. ถ้าเช่นน้ัน ตั้งแต่วันนี้ไป บรรดาวิตกท้ังสามมีกามวิตกเป็นต้น ท่านจะต้องตรึก
วิตกแม้สกั อยา่ งหนงึ่ เราจักรู้กจิ ทค่ี วรทาแก่ท่าน
ตั้งแต่น้ันมา มารนั้นคอยเพ่งจับผิด ติดตามพระมหาสัตว์ไป ๗ ปี แม้พระศาสดาทรง
ประพฤติทกุ รกิริยาสิ้น ๖ ปี ทรงอาศัยการกระทา (ความเพียร) ของบุรุษ เฉพาะพระองค์ ทรงแทง
ตลอดซงึ่ พระสัพพญั ญุตญาณ เสวยวิมตุ ตสิ ุข (สขุ อันเกิดจากความพน้ กิเลส) ท่ีควงไมโ้ พธิ ในสัปดาห์
ที่ ๕ ประทบั นงั่ ท่คี วงไม้อชปาลนิโครธ
ในสมัยน้ัน มารถึงความโทมนัสแล้ว นั่งที่หนทางใหญ่ พลางราพึงว่า “เราติดตามมา
ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แม้คอยเพ่งจับผิด ก็ไม่ได้เห็นความพลั้งพลาดอะไร ๆ ของสิทธัตถะน้ี
บัดนี้ เธอกา้ วล่วงวสิ ยั ของเราไปเสียแลว้ ”

๑๒ ในศิลปะปาละ ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๖-๑๘ นางธรณีชาแรกดินข้ึนมาเต็มตัว อยู่ใต้พระหัตถ์
พระพทุ ธเจ้าสว่ นทางขวาเปน็ พญามารทาทา่ พ่ายแพ้ ซา้ ยสุดนัง่ พนมมือเปน็ คนจ่ายเงนิ สร้างพระพุทธรูป ขอมีสว่ น
รว่ มเป็นพุทธบูชาด้วย (ภาพจากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร) .

๕๖

ทนี ั้น ธิดาของมารน้ัน ๓ คนเหล่านี้ คอื นางตัณหานางอรดี นางราคา ดาริว่า “บิดา
ของเราไม่ปรากฏ บัดนี้ ทา่ นอยู่ที่ไหนหนอ เท่ียวมองหาอยู่ จึงเห็นบิดาน้ันผู้นั่งแล้วอยา่ งน้ัน จึงเข้า
ไปหาแล้วไต่ถามว่า “คุณพ่อ เพราะเหตุไร คุณพ่อจึงมีทุกข์เสียใจ” มารน้ัน จึงเล่าเน้ือความแก่ธิดา
เหลา่ น้ัน ลาดับนั้น ธิดาเหล่าน้นั จงึ บอกกะมารผู้บิดานน้ั วา่ “คุณพอ่ อย่าคดิ เลย” พวกดิฉนั จกั ทาเขา
ใหอ้ ยใู่ นอานาจของตนแลว้ นามา.

มาร. แม่ทง้ั หลาย ใคร ๆ กไ็ ม่อาจทาเขาไวใ้ นอานาจได้
ธิดา. คุณพ่อ พวกดิฉันช่ือว่าเป็นหญิงพวกดิฉันจักผูกเธอไว้ด้วยบ่วง มีบ่วงคือราคะเป็น
ต้นแล้วนามา ในบัดนี้แหละ คุณพ่ออย่าคิดเลย แล้วพากันเข้าไปเฝ้าพระศาสดากราบทูลว่า ข้าแต่
พระสมณะพวกหม่อมฉนั จักบาเรอพระบาทของพระองค์

พระศาสดา มิได้ทรงใฝ่พระหฤทัยถึงถ้อยคาของธิดามารเหล่าน้ันเลย ไม่ทรงลืมพระ
เนตรท้ังสองขึ้นดูเลย พวกธิดามาร คิดกันอีกว่า “ความประสงค์ของพวกบุรุษต่างกัน บางพวกมี
ความรักในเด็กหญิงรุ่นทั้งหลาย บางพวกมีความรักในพวกหญิงที่ต้ังอยู่ในปฐมวัย บางพวกมี
ความรักในพวกหญิงท่ีตั้งอยู่ในมัชฌิมวัย บางพวกมีความรักในพวกหญิงที่ตั้งอยู่ในปัจฉิมวัย”
พวกเราจักประเล้าประโลมสมณะโดยประการต่าง ๆ คนหน่ึง ๆ นิรมิตอัตภาพได้ร้อยหนึ่ง ๆ ด้วย
สามารถแห่งเพศมีเพศเด็กหญิงรุ่นเปน็ ตน้ เปน็ เด็กหญงิ รุ่นทงั้ หลาย เป็นหญิงยงั ไม่คลอด คลอดแล้ว
คราวหนึ่ง คลอดแล้วสองคราว เป็นหญิงกลางคนและเป็นหญิงแก่ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
กราบทูลว่า “ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจักบาเรอพระบาททั้งสองของพระองค์” ทาอย่างนี้ถึง
๖ คร้ัง พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงใฝ่พระหฤทัยถึงถ้อยคาของธิดามารแม้นั้น โดยประการท่ีทรงน้อม
ไปในธรรมเป็นทสี่ ้ินอปุ ธอิ ันยอดเยยี่ ม

ลาดบั น้ัน พระศาสดาตรสั กะธดิ ามารผ้ตู ิดตามมา แมด้ ้วยเหตเุ พยี งเทา่ น้วี า่ “พวกเจา้ จง
หลกี ไป พวกเจา้ เหน็ อะไรจงึ พยายามอยา่ งนี้ การทากรรมช่อื เหน็ ปานนีต้ อ่ หนา้ ของพวกที่มรี าคะไม่
ไปปราศจงึ จะควร ส่วนตถาคตละกเิ ลสทั้งหลายมีราคะเปน็ ต้นไดเ้ เลว้ พวกเจา้ จักนาเราไปในอานาจ
ของตน ด้วยเหตอุ ะไรเลา่ ” แลว้ ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่าน้ีว่า

ยสสฺ ชติ นาวชียติ
ชิตมสสฺ โนยาติ โกจิ โลเก
ต พทุ ธฺ อนนฺตโคจร
อปท เกน ปเทน เนสสฺ ถ.
ยสฺส ชาลินี วิสตตฺ ิกา
ตณหฺ า นตถฺ ิ กหุ ิญฺจิ เนตเว
ต พุทธฺ อนนตฺ โคจร
อปท เกน ปเทน เนสสฺ ถ.
กิเลสชาตมรี าคะเปน็ ต้น อนั พระสัมมาสัมพุทธเจา้ พระองคใ์ ดชนะแลว้
อันพระองคย์ ่อมไมก่ ลับแพ้ กเิ ลสหนอ่ ยหนึง่ ในโลก ย่อมไปหากิเลสชาต
ท่พี ระพุทธเจา้ พระองคน์ นั้ ชนะแล้วไม่ได้ พวกเจา้ จักนาพระพุทธเจ้า

๕๗

พระองค์นนั้ ผ้มู ีอารมณไ์ มม่ ีทส่ี ุด ไม่มรี ่องรอยไปด้วยรอ่ งรอยอะไร
ตัณหามีขา่ ยซา่ นไปตามอารมณ์ตา่ ง ๆ ไม่มแี ก่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด
เพื่อนาไปในภพไหน ๆ พวกเจ้าจักนาพระพุทธเจา้ พระองค์น้ัน
ผูม้ ีอารมณ์ไม่มที ีส่ ุด ไมม่ ีร่องรอยไป ดว้ ยรอ่ งรอยอะไร
ในเวลาจบเทศนา เมียผัวทัง้ สองตง้ั อยู่แล้วในอนาคามผิ ล

ในกาลจบเทศนา ธมั มาภิสมัย คอื การตรสั รู้ สาเร็จมรรคผล ๑๓ ได้มแี กเ่ ทวดาเป็นอัน
มาก แมธ้ ิดามารกอ็ ันตรธานไปในทนี่ ้นั นนั่ แล

พระศาสดาคร้ันทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรสั ว่า “มาคนั ทยิ ะ ในกาลก่อน เรา
ได้เห็นธิดามารท้ังสามเหล่านี้ผู้ประกอบด้วยอัตภาพเช่นกับแท่งทอง ไม่แปดเปอ้ื นด้วยของโสโครก
มีเสมหะเป็นต้น แม้ในกาลนั้น เราไม่ได้มีความพอใจในเมถุนเลย ก็สรีระแห่งธิดาของท่านเต็มไป
ด้วยซากศพ คืออาการ ๓๒ เหมือนหม้อท่ีใส่ของไม่สะอาดอันตระการตา ณ ภายนอก แม้ถ้าเท้า
ของเราพึงเปน็ เทา้ ท่ีแปดเปอื้ นดว้ ยของไม่สะอาดไซร้ และธดิ าของท่านน้พี ึงยืนอยูท่ ธ่ี รณปี ระตู ถึง
อยา่ งนนั้ เรากไ็ ม่พงึ ถกู ตอ้ งสรรี ะของนางด้วยเท้า” ดังนแี้ ล้ว ตรัสพระคาถานว้ี ่า

แมค้ วามพอใจในเมถุน ไม่ได้มแี ลว้ เพราะเห็น
นางตัณหา นางอรดี และนางราคา เพราะเหน็ สรรี ะ
แหง่ ธดิ าของทา่ นน้ี ซง่ึ เตม็ ไปดว้ ยมตู รและ
เราไมป่ รารถนาเพ่ือจะแตะต้องสรีระธดิ าของทา่ นนั้น แมด้ ว้ ยเทา้ ๑๔

๓.๒.๑ คุณคา่ ของธรรมบท

คุณค่าแหง่ พระบาลนี ีม้ ีดังน้ี
พระบาลีว่า ยสฺส ชิต นาวชิยติ หมายความว่า กิเลสชาตมีราคะเป็นต้น อันพระ
สมั มาสัมพุทธเจา้ พระองคใ์ ดทรงชนะแล้วดว้ ยมรรคน้นั ๆ อันพระองค์ ย่อมไม่กลับแพ้ คือชอ่ื ว่าชนะ
แลว้ ไมด่ ีหามิได้ เพราะไม่กลบั ฟุ้งขึ้นอีก

พระบาลีว่า โนยาติ ตัดเป็น น อุยฺยาติ แปลว่า ย่อมไม่ไปตาม หมายความว่า
บรรดากิเลสมีราคะเป็นต้น แม้กิเลสอย่างหน่ึงไร ๆ ในโลกช่ือว่ากลับไปข้างหลังไม่มี คือไม่มีความ
กเิ ลสชาตทพ่ี ระสมั มาสมั พุทธเจ้าพระองค์ใดทรงชนะแล้ว

พระบาลีว่า อนนฺคโคจร ความว่า ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ด้วยสามารถแห่งพระ
สพั พัญญตุ ญาณ มีอารมณห์ าทส่ี ดุ มิได้

๑๓ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆสาจารย์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบับประมวลศพั ท,์ พมิ พค์ รั้งท่ี
๑๗, (กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภา,๒๕๕๔), หน้า ๑๔๙.

๑๔ ข.ุ ธ.อ. ๔๒/๒๗๙-๔๘๖.

๕๘

พระบาลีว่า เกน ปเทน เป็นต้น ความว่า บรรดารอยมีรอย คือราคะเป็นต้น แม้รอย
หน่ึง ไม่มีแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด พวกเจ้าจักนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์น้ันไป
ดว้ ยรอ่ งรอยอะไร คอื กแ็ มร้ อ่ งรอยสักอย่างหนงึ่ ไมม่ ีแกพ่ ระพุทธเจ้า พวกเจา้ จักนาพระพุทธเจ้า

น้ัน ผไู้ มม่ ีร่องรอยไป ดว้ ยรอ่ งรอยอะไร
คาถาที่สอง ขึ้นช่ือว่า ตัณหา นั่น ช่ือว่า ชาลินี เพราะวิเคราะห์ว่า มีข่ายบ้าง มีปกติ
ทาซ่งึ ขา่ ยบ้าง เปรียบดว้ ยขา่ ยบา้ ง เพราะอรรถว่า รวบรดั ตรงึ ตราผกู มัดไว้

คัมภีร์อภิธานปฺปทีปิกา กล่าว นิยามหรือไวพจน์แห่งตัณหาไว้ ๒๕ คา ได้แก่ ตลินา เอชา
ชาลนิ ี วิสตตฺ กิ า ฉนฺโท ชฏา นกิ นฺติ สพิ พฺ นี ภเนตฺติ อภิชฺฌา วนโถ วาน โลโภ ราโค อาลโย ปิหา มโน-
รโถ อิจฉฺ า อภลิ าโส กาโม โทหฬา อากงขฺ า รุจิ ลาลสา๑๕

และตัวตัณหาเป็นตัวคลุมสัตว์ไว้ไม่ให้พ้นจากวัฏฏะ ดังที่พระมหากัจจายนเถระกล่าวว่า
“สัตว์ท้ังหลายมีความมืดมนเพราะ (๑) กาม (๒) ถูกตัณหาซึ่งเป็นดุจข่ายปกคลุมไว้ (๓) มีนิวรณ์
๕”๑๖

ดงั มีพระบาลีว่า “สา ภกิ ฺขเว ตณฺหา ชาลินี สสริตา วิสฏา วิสตฺติกา ยาย อย โลโก
อทุ ฺธสโฺ ต ปริโยนทโฺ ธ ตนฺตากุลกชาโต คุลาคุณฺณกิ ชาโต มชุ ปฺ พพฺ ชภูโต อปาย ทุคฺคตึ วนิ ปิ าต สสาร
นาติวตฺตติ”๑๗ แปลว่า ตัณหาเช่นดังข่าย ท่องเท่ียวไป แผ่ไป ซ่านไป เกาะเก่ียว อยู่ในอารมณ์
ตา่ ง ๆ เป็นเครื่องปกคลมุ หุ้มหอ่ โลกนี้ ซ่ึงยงุ่ เหมือนกลุ่มด้ายอันยุ่งเหยิง ขอดเปน็ ปมเหมือนหญ้ามุง
กระตา่ ยและหญา้ ปลอ้ ง ไม่ใหล้ ว่ งพน้ อบาย ทุคติ วนิ ิบาต และสงั สารวฏั ไปได้๑๘

พระบาลีว่า วิสตฺติกา เพราะเป็นธรรมชาติมักซ่านไปในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้น
เพราะเปรียบด้วยอาหารอันมีพษิ เพราะเปรียบด้วยดอกไม้มีพิษ เพราะเปรยี บด้วยผลไม้มีพิษเพราะ
เปรียบด้วยเครื่องบริโภคมีพิษ อธิบายว่า ตัณหาเห็นปานนั้นไม่มีแก่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เพ่ือ
นาไปในภพไหน ๆ พวกเจ้าจักนาพระพุทธเจา้ พระองค์นัน้ ผไู้ มม่ ีรอ่ งรอยไปดว้ ยรอ่ งรอยอะไร

พระคาถานี้มี ๒ สัจจะ คอื
โลภะ ตณั หา อรติ ราคะ เป็นสมุทยสัจจะ เหตุแหง่ ทกุ ข์
การไม่เกดิ ในภพภูมิอกี โดยพระบาลีว่า นตฺถิ กหุ ญิ จฺ ิ เนตเว เป็นนโิ รธสัจจะ

๑๕โมคคลั ลานเถระ, “อภธิ านปั ปทปี กิ า”, (กรงุ เทพมหานคร: มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓), หนา้
๔๔.

๑๖ กจั จายนเถระ, “เปฏโกปเทสปกรณ์”, พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร: มลู นธิ ิภูมพิ โลภกิ ข,ุ
๒๕๕๘), หนา้ ๑๐๐.

๑๗ อ.จตุก. (บาล)ี ๒๑/๑๙๙/๓๐๙.
๑๘ อ.จตกุ . (ไทย) ๒๑/๑๙๙/๓๑๑.

๕๙

๓.๒.๒ สงั คมและวัฒนธรรม

สังคมอินเดียยังมีความรเู้ ร่ืองทกั นิมิต ทานายทายทกั จานวนอยู่มาก และศาสตรน์ ้ีกต็ รง
กบั ความเปน็ จริงมากพอสมควร ถึงกบั ดลู กั ษณะทายทักรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าได้แมน่ ยา

สมัยพุทธกาลชนชั้นสูงก็ยังเป็นสังคมคลุมถุงชน การแต่งงานด้วยการจัดแจงจากพ่อแม่
หรือผู้อาวุโสของบ่าวสาว โดยท่คี ู่สมรสไม่จาเปน็ ต้องสมัครใจยนิ ยอมกบั การแต่งงานนน้ั ๆ ถือว่าเป็น
ธรรมเนียมการแต่งงานท่ีมีมานานแต่คร้ังโบราณจนถึงปัจจุบัน ก่อนท่ีจะค่อยๆ เส่ือมความนิยม และ
ไม่ได้รับการยอมรับ เม่ือสังคมนั้นๆ เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ยอมรับให้การแต่งงานต้องเกิดจากความยินยอม
ของบา่ วสาวเทา่ น้ัน

หลักธรรมนี้ มีอิทธิพลต่อภาพพุทธศิลปกรรม ฝาผนังโบสถ์ วิหารท่ีนางตณั หา ราคะ อรตี
เต้นรา ยั่วยวนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะตรัสรู้คร้ังแรก ที่จริง ช่ือพญามารทั้ง ๓ น้ัน เป็นนิยามหรือ
ไวพจน์ของ โลภะ ท้งั ส้ิน เปน็ การตีความ และขยายความวา่ ตัณหานั้นแหละเป็นเหตุแหง่ ทุกข์ ท่ีพระ
สมั มาสมั พทุ ธเจ้าไดช้ นะแล้ว

๓.๒.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

ในทางโลกยิ ลูกสาว บุตรชายถือวา่ เปน็ ต้นทุนทางเศรษฐกิจอีกประเภทหนึ่ง ท่ีพญามาร
ตอ้ งการนามาแลกเปลี่ยนเพ่ือทีจ่ ะ ไดร้ ับชัยชนะพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้

๓.๒.๔ สรปุ

พระองค์แสดงธรรมเทศนาท่ีกรุงสาวัตถีแล้วตรัสแก่พราหมณ์ช่ือมาคันทิยะในเเคว้นกุรุ
ในแคว้นกุรุธิดาของมาคันทิยพราหมณ์ ชื่อว่ามาคันทิยา เป็นผู้มีรูปงามเลอโฉม ตระกูลพราหมณ์
ใหญ่และร่ารวยเป็นอันมากและเหลา่ ขัตตยิ มหาศาลอยากได้นางมาคันทิยานน้ั และได้นาธิดามามอบ
ถวายพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๆ ตรัสว่า พระองค์ชนะกิเลสแล้ว พระองค์ย่อมไม่กลับแพ้ ไม่มี
ร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร ตัณหามีข่ายซ่านไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าอีกต่อไป
นาไปในภพไหน ๆ ไม่ได้อกี ต่อไป เพราะตัณหาเช่นดงั ข่ายเกาะเกีย่ ว อยใู่ นอารมณต์ า่ ง ๆ เป็นเครือ่ ง
ปกคลุมหุ้มห่อโลกน้ี ซ่ึงยุ่งเหมือนกลุ่มด้ายอันยุ่งเหยิง ขอดเป็นปมเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้า
ปล้อง ไมใ่ ห้ลว่ งพน้ อบาย ทคุ ตวิ ินิบาตและสงั สารวัฏไปได้

๖๐

๓.๓ เรือ่ ง มหากาลอุบาสก

เร่ือง มหากาลอุบาสก อยู่ในหมวดธรรม สขุ วรรค ตอนด้วยการทาดีทาชวั่ ยอ่ มไดร้ ับผล
ด้วยตนเอง มีท้ังหมด ๘ เร่ือง ในที่นี้ได้เลือกมา ๑ เรื่อง คือ มหากาลอุบาสก เป็นกรณีการศึกษา ๓
ประเดน็ ได้แก่ (๑) คุณคา่ ของธรรมบท (๒) สงั คมวัฒนธรรม (๓) พุทธเศรษฐศาสตร์ ดังนี้

สถานท่ี วัดพระเชตวนั เมอื งสาวัตถี แค้วนโกศล
บุคคลท่เี กีย่ วข้อง พระสัมมาสมั พุทธเจา้ , พระเจ้าปเสนทโิ กศล, ภกิ ษุท้ังหลาย,
ประชาชนผู้มาฟงั ธรรม
ผล พราหมณ์และประชาชนทมี่ าฟงั ธรรมบรรลโุ สดาบนั

พระบาลหี รือพุทธวจนะได้ตรัสวา่

อาโรคยฺ ปรมา ลาภา สนตฺ ฏุ ฺ ีปรม ธน
วสิ ฺสาสปรมา าติ นิพฺพาน ปรม สขุ ๑๙
ความไม่มโี รคเปน็ ลาภอยา่ งยิ่ง

ความสันโดษเปน็ ทรัพยอ์ ย่างย่ิง

ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง
นพิ พานเป็นสุขอยา่ งย่ิง ๒๐

กาลคร้ังหน่ึง พระราชาปเสนทิโกศลเสวยพระกระยาหารตั้งทะนานแห่งข้าวสาร ด้วย
สูปะและพยัญชนะอันสมควรแก่พระกระยาหารนั้น วันหนึ่ง ท้าวเธอเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว
ยังไม่บรรเทาความเมาเพราะภัตเลย เสด็จไปสู่สานักของพระศาสดา มีพระรูปอึดอัด ทรงพลิก
กลับไปมาข้างโน้นข้างน้อี ยู่ แมถ้ ูกความหลับครอบงา เม่ือไม่สามารถจะทรงผมตรงได้ จึงประทบั น่ัง
ณ ส่วนข้างหนึ่ง ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสกะท้าวเธอว่า “มหาบพิตร พระองค์ยังไม่ทันพักผ่อนเลย

เสด็จมาแล้วหรือ”

พระราชา. อยา่ งนั้น พระเจา้ ข้า ตั้งแต่เวลาบรโิ ภคแลว้ หมอ่ มฉันมที กุ ข์มาก
พระศาสดาตรัสกะท้าวเธอว่า “มหาบพิตร การบริโภคมากเกินไป เป็นทุกข์อย่างนี้”

ดังนี้แล้ว ตรัสสอนดว้ ยพระคาถานีว้ ่า

เวลาที่บุคคลเปน็ ผ้กู ินจุ มกั งว่ ง และมัก นอนหลับ กระสับกระส่าย เป็นดจุ สุกรใหญ่
ท่ีเขา เล้ียงด้วยอาหาร ในกาลนั้น เขาเป็นคนมึนซึม ย่อมเข้าห้องบ่อย ๆ แล้วตรัสว่า “มหาบพิตร
การบริโภคโภชนะแต่พอประมาณ จึงควรเพราะผู้บริโภคพอประมาณ ย่อมมีความสุข” เมื่อจะ

ทรงโอวาทใหย้ ่งิ จงึ ตรัสพระคาถานีว้ ่า

๑๙ ข.ุ ธ.(บาล)ี ๒๕/๑๐๔/๕๓.
๒๐ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๐๔/๙๖.

๖๑

มนชุ สสฺ สทา สตีมโต มตตฺ ชานโต ลทธฺ โภชเน
ตนกุ สฺส ภวนฺติ เวทนา สณกิ ชรี ติ อายุ ปาลย๒๑
คนมสี ตทิ ุกเมือ่ รู้ประมาณในโภชนะทไี่ ดแ้ ลว้ นั้น

มีเวทนาเบาบาง เล้ียงอายุอยู่ คอ่ ย ๆ ยอ่ ยไป

พระราชาไม่อาจจะทรงเรียนพระคาถาได้ แต่ตรัสกะเจ้าหลาน ชื่อ สุทัสนะ ซึ่งยืนอยู่ใน
ที่ใกล้ว่า “พ่อ เธอจงเรียนคาถาน้ี” สุทัสนะน้ันทรงเรียนคาถาน้ันเเล้ว ทูลถามพระศาสดาว่า “ข้า
พระองค์จะกระทาอย่างไร พระเจ้าข้า” ครั้งน้ัน พระศาสดาตรัสกะเธอว่า “เม่ือพระราชาเสวยอยู่
ท่านพึงกล่าวคาถาน้ีในกาลเสวยก้อนสุดท้าย พระราชาทรงกาหนดเน้ือความได้เเล้วจักทรงท้ิงก้อน
ข้าวนั้น ในการหุงภัตเพ่ือพระราชา เธอพึงให้ลดข้าวสารมีประมาณเท่าน้ัน ด้วยอันนับเมล็ดข้าวใน
ก้อนข้าวนัน้ ”

หลานสทุ สั นะนัน้ ทูลรับว่า “ดีละ พระเจ้าข้า เมื่อพระราชาเสวยเวลาเชา้ ก็ตาม เวลาเยน็
ก็ตาม ก็กล่าวคาถาน้ันขึ้น ในการเสวยก้อนสุดท้าย แล้วให้ลดข้าวสาร ด้วยอันนับเมล็ด ในก้อน
ข้าวท่ีพระราชาน้ันทรงทิ้ง แม้พระราชาทรงสดับคาถาของสุทัสนะนั้นแล้ว รับส่ังให้พระราชทาน
ทรัพย์โดยสมัยอ่ืนอีก พระราชานั้นทรงตง้ั อยู่ในความเป็นผู้มีพระกระยาหารแห่งข้าวสารทะนานหนึ่ง

เป็นอย่างย่งิ ทรงถงึ ความสขุ แล้ว ไดม้ พี ระสรรี ะอันเบา

ภายหลังวันหน่ึง พระราชาเสด็จไปสานักพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดน้ีความสุขเกิดแก่หม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันเป็นผู้สามารถ จะติดตาม
จับเนื้อกไ็ ด้ ม้าก็ได้เมื่อก่อนหมอ่ มฉนั การทะเลาะกบั หลาน บัดน้หี ม่อมฉันใหธ้ ิดาชื่อว่าวชิรกุมารีแก่
หลานแล้ว ให้บ้านนั้น ทาให้เป็นค่าน้าอาบของธิดาน้ันนั่นแล ความทะเลาะกับหลานน้ันสงบแล้ว
สุขแท้เกิดแล้วแก่หม่อมฉัน เพราะเหตุแม้นี้ เเก้วมณีของพระเจ้ากุสะ ซึ่งหายไปแล้วในเรือนของ
หม่อมฉันในวันก่อน บัดนี้แก้วมณีแม้นั้นมาสู่เงื้อมมือแล้ว ความสุขแท้เกิดแล้วแก่หม่อมฉัน เพราะ
เหตุแม้น้ี หม่อมฉันปรารถนาความคุ้นเคยกับเหล่าสาวกของพระองค์ จึงทาแม้ธิดาแห่งญาติของ

พระองค์ไวใ้ นเรือน ความสุขแท้เกิดแล้วแกห่ ม่อนฉนั เพราะเหตเุ เม้น้ี”

พระศาสดาตรัสว่า “มหาบพิตร ช่ือว่าความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง ทรัพย์แม้เช่น
กับความเป็นผู้สันโดษด้วยวัตถุตามท่ีตนได้แล้วไม่มี ช่ือว่าญาติเช่นกับด้วยผู้คุ้นเคยกันไม่มี ช่ือ

ว่าความสุขอยา่ งย่ิง เช่นกับดว้ ยพระนิพพานไมม่ ี” จึงตรสั พระคาถานีว้ ่า

อาโรคยฺ ปรมา ลาภา สนตฺ ฏุ ฺ ปิ รม ธน

วิสฺสาสา ปรม าติ นพิ พฺ าน ปรม สุข.

ลาภทัง้ หลาย มคี วามไม่มีโรค เปน็ อยา่ งยิ่ง

ทรัพย์มีความสันโดษ เปน็ อย่างยง่ิ ญาติมคี วาม

คนุ้ เคย เป็นอย่างยงิ่ พระนิพพาน เปน็ สุขอย่างยง่ิ

๒๑ ข.ุ ธ.อ. (ฉฏโฺ ฐ ภาโค) หน้า ๑๓๐.

๖๒

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอนั มากบรรลุอริยผลท้ังหลาย มีโสดาปัตตผิ ลเป็นตน้

๓.๓.๑ คุณคา่ ของธรรมบท

พระคาถานัน้ มคี ณุ ค่าดงั น้ี
พระว่า อาโรคฺยปรมา หมายความว่า มีความเป็นผู้ไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง จริงอยู่ ลาภ
ท้ังหลาย แม้มีอยู่แก่คนมีโรคไม่จัดเป็นลาภแท้ เพราะฉะน้ัน ลาภทั้งปวงจึงมาถึงแก่คนไม่มีโรค
เท่าน้ัน เหตนุ ั้น พระผู้มพี ระภาคเจา้ จึงตรัสวา่ “อาโรคฺยปรมา ลาภา”

พระบาลีว่า สนฺตุฏฺ ปรม ธน หมายความว่า ภาวะคืออนั ยินดีด้วยวัตถุท่ีตนได้ของมีอยู่
แห่งตนของคฤหัสถ์หรือบรรพชิตน่ันแล ชื่อว่าสันโดษ สันโดษน้ัน เป็นทรัพย์อันยิ่งกว่าทรัพย์ที่
เหลือ

พระบาลีว่า วิสฺสาสปรมา ญาตี หมายความว่า มารดาก็ตาม บิดาก็ตามจงยกไว้ ไม่มี
ความคุ้นเคยกับคนใด คนนั้นไม่ใช่ญาติแท้ แต่มีความคุ้นเคยกับคนใดคนนั่นแม้ไม่เน่ืองกัน ก็ชื่อว่า
เปน็ ญาตอิ ยา่ งยงิ่ คอื อย่างสงู เหตุนน้ั พระผูม้ ีพระภาคเจา้ จึงตรัสว่า “วิสสฺ าสปรมา ญาตี”

อน่ึง ชื่อว่าความสุข เหมือนพระนิพพาน ไม่มี เหตุน้ัน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
นิพพฺ าน ปรม สขุ ." ๒๒

พระคาถานี้มี ๒ สจั จะ ดงั นี้
อาโรคฺยปรมา ลาภา สนตฺ ฏุ ฺ ีปรม ธน วสิ สฺ าสปรมา าติ ความไม่มโี รคเปน็ ลาภอย่าง
ยิง่ ความสนั โดษเปน็ ทรัพยอ์ ย่างยง่ิ ความคุน้ เคยเปน็ ญาติอยา่ งยง่ิ เป็นมรรคสัจจะ
นิพพฺ าน ปรม สุข นิพพานเป็นสุขอยา่ งยง่ิ เปน็ นโิ รธสจั จะ

๓.๓.๒ สงั คมและวัฒนธรรม

มีประเด็นย่อยดงั น้ี
๑) การแตง่ งานในเครอื ญาติของวรรณกษตั ริย์ยังเป็นวฒั นธรรมท่เี ขม้ แขง็ ถึงปจั จุบนั
๒) การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาระหว่างศาสนจักรและอาณาจักรยังมีความสัมพันธ์ที่ดี
และเป็นตน้ แบบของพระเทศไทย
๓) อาหาร เป็นเครื่องล้อเลี้ยงชีวิต จะกล่าวได้ว่า อาหารคือชีวิตก็ว่าได้ เราบริโภคอะไร
เข้าไป ส่ิงน้ันคือชีวิตหรืออายุของเรา พระพุทธองค์จึงให้ความสาคัญต่อการบริโภคอาหารที่พอดี
เรียกว่า โภชเนมัตตัญญุตา และเป็นปัจจยสันนิสิตศีล ศีลคือการใช้ปัญญาในการใช้สอยบริดโภค
ปัจจัย ๔ เม่อื มคี วามพอดีกับการกิน ความสุขย่อมเกิดขนึ้ และมอี ายุยนื ยาว

๒๒ขุ.ธ.อ.๔๒/๓๗๗-๓๘๐.

๖๓

๓.๓.๓ สรุป
พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นผู้กนิ จุ มักงว่ ง และมัก นอนหลบั กระสบั กระสา่ ย เปน็ ดุจสกุ ร
ใหญท่ ีเ่ ขา เล้ียงด้วยอาหาร เป็นคนมึนซมึ ยอ่ มเข้าห้องบ่อย ๆ พระศาสดาตรัสสอนการการบริโภค
โภชนะแต่พอประมาณ จงึ ควรเพราะผบู้ รโิ ภคพอประมาณ ยอ่ มมีความสขุ ความไม่มโี รคเป็นลาภอัน
ประเสรฐิ ความเปน็ ผ้สู ันโดษดว้ ยวตั ถุตามที่ตนไดแ้ ลว้ เป็นสุขอยา่ งยง่ิ ความเปน็ ผ้คู ุ้นเคยจัดว่าเป็น
ญาตกิ นั อยา่ งยงิ่ พระนิพพานเปน็ บรมสุข

๖๔

๓.๔ เร่อื ง เด็ก ๕๐๐ คน

เรื่อง เด็ก ๕๐๐ คน อยู่ในหมวดธรรมปิยวรรค ตอนด้วยการทาดี ความงาม ความมี
เสน่ สิง่ ท่เี ป็นท่ีรกั มีท้ังหมด ๘ เรื่อง ในที่นี้ได้เลือกมา ๑ เรื่อง คอื ปัญจสตทารก เป็นกรณีการศึกษา
๓ ประเดน็ ไดแ้ ก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท (๒) สงั คมและวัฒนธรรม (๓) พุทธเศรษฐศาสตร์ ดังนี้

สถานที่ วดั พระเชตวนั เมอื งสาวตั ถี แคว้ นโกศล
บคุ คล พระสัมมาสมั พุทธเจ้า, สองพราหมณ์สามีภรรยา,
พระเจา้ ปเสนทโิ กศล, ภกิ ษุทัง้ หลาย, ประชาชนผมู้ าฟังธรรม
ผล พราหมณ์และประชาชนทีม่ าฟงั ธรรมบรรลโุ สดาบนั

พระบาลหี รอื พุทธวจนะไดต้ รสั วา่

สลี ทสสฺ นสมปฺ นนฺ ธมฺมฏฺ สจจฺ วาทิน

อตฺตโน กมมฺ กพุ ฺพาน ต ฺชโน กรุ เุ ต ปิย๒๓

บุคคลผู้สมบรู ณ์ดว้ ยศีลและทัศนะดารงอยูใ่ นธรรม

กล่าวคาสัตย์ทาหน้าท่ีของตนยอ่ มเป็นทีร่ ักของประชาชน๒๔

วันหน่ึงพระศาสดามีภิกษุ ๕๐๐ เป็นบริวารพร้อมด้วยพระอสีติมหาเถระ เสด็จเข้าไป
กรุงราชคฤห์ เพ่ือบิณฑบาต ได้ทอดพระเนตรเห็นเด็ก ๕๐๐ คน ยกกระเช้าขนมออกจากเมืองแล้ว
ไปสวน ในวันมหรสพวนั หนง่ึ เด็กเหล่านน้ั ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกห็ ลกี ไป ไม่กลา่ วกะภิกษแุ มส้ ัก
รปู หน่งึ วา่ “ขอทา่ น รับเอาขนม”

พระศาสดาตรัสกะภิกษุทัง้ หลาย ในกาลที่ภิกษุเหล่าน้ันไปแลว้ ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอ
ทงั้ หลายจกั ฉนั ขนมไหม”

ภิกษุ. ขนมทไ่ี หน พระเจา้ ขา้
พระศาสดา. เธอท้ังหลายไม่เหน็ พวกเดก็ ถือกระเชา้ ขนมเดนิ ผา่ นไปแล้วดอกหรือ
ภิกษุ. พวกเด็กเห็นปานนน้ั ไมถ่ วายขนมแก่ใคร ๆ พระเจ้าข้า
พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย เด็กเหล่าน้ันไม่นิมนต์เราหรือพวกเธอด้วยขนมก็จริง ถึง
กระนนั้ ภกิ ษุผู้เปน็ เจ้าของขนม ก็กาลังมาขา้ งหลงั ฉันขนมเสยี กอ่ นแลว้ ไปจงึ ควร
ตามธรรมดา พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่มีความริษยาหรือความประทุษร้ายแม้ใน
บคุ คลคนหน่ึง เพราะฉะนนั้ พระศาสดาตรัสคานี้แลว้ จึงพาภิกษสุ งฆ์ไปประทับนั่งใต้ร่มเงาโคนไม้ต้น
หน่ึง พวกเดก็ เห็นพระมหากัสสปเถระเดินมาข้างหลัง เกิดความรักข้ึนมีสรรี ะเต็มเป่ยี มดว้ ยกาลงั แห่ง
ปีติ วางกระเช้า ไหวพ้ ระเถระด้วยเบญจางคประดษิ ฐ์ ยกขนมพร้อมทัง้ กระเช้าทีเดียวแล้ว กล่าวกะ
พระเถระวา่ “นิมนต์รับเถดิ ขอรับ”

๒๓ ขุ.ธ.(บาล)ี ๒๕/๒๑๗/๕๕.
๒๔ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๑๗/๑๐๐.

๖๕

ลาดับน้ัน พระเถระกล่าวกะเด็กเหล่าน้ันว่า “นั่น พระศาสดาพาพระภิกษุสงฆไ์ ปประทับ
น่งั แลว้ ที่โคนไม้ พวกเธอจงถือไทยธรรมไปแบง่ สว่ นถวายภกิ ษุสงฆ์” พวกเด็กรับคาวา่ “ดลี ะ ขอรบั ”
แล้วกลับไปพร้อมกับพระเถระทีเดียว ถวายขนมแล้ว ยืนมองดูอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ถวายน้าใน

เวลาฉันเสร็จ

ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า “พวกเด็กถวายภิกษาเพราะเห็นแก่หน้าไม่ต้อนรับพระ
สมั มาสัมพุทธเจา้ หรือพระมหาเถระทงั้ หลายด้วยขนม พอเห็นพระมหากสั สปเถระ ถือเอาขนมพรอ้ ม
ด้วยกระเช้านั่นแลถึงมาถวาย” พระศาสดาทรงยกพระมหากัสสปเถระเป็นนิทัศนะ พระศาสดาทรง
สดับถ้อยคาของภิกษุเหล่าน้ันแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุผู้เช่นกับมหากัสสปผู้บุตรของเรา
ย่อมเป็นท่ีรักของเหล่าเทวดาและมนุษย์ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมทาบูชาด้วยปัจจัย ๔
แกเ่ ธอโดยแท้ " ดังน้ี แลว้ ตรสั พระคาถานว้ี า่

สลี ทสฺสนสมฺปนฺน ธมฺมฏฺ สจฺจวาทนิ

อตฺตโน กมฺมกุพฺพาน ตญฺชโน กุรุเต ปยิ

ชนย่อมทาท่านผูส้ มบูรณด์ ้วยศลี และทัศนะ ผูต้ ้งั อยใู่ นธรรม
ผมู้ ปี กติกลา่ วแตว่ าจาสัตย์ ผกู้ ระทาการงานของตนน้ัน ใหเ้ ปน็ ทร่ี ัก
ในกาลจบเทศนา เดก็ เหลา่ น้ันแม้ทั้งหมด ต้ังอยู่แล้วในโสดาปัตตผิ ล๒๕

๓.๔.๑ คุณคา่ ของธรรมบท

คุณคา่ แหง่ พระคาถามีดังนี้
พระบาลีวา่ สลี ทสฺสนสมฺปนฺน หมายความว่า ผถู้ ึงพรอ้ มด้วยจตปุ าริสุทธศิ ลี และความ
เห็นชอบอันสมั ปยุตดว้ ยมรรคและผล

พระบาลีว่า สีล หมายถึง ศีล ๕ ๑๐ เป็นต้น ผู้ถึงพร้อมด้วยศีลได้แก่ปาติโมกข์สังวรศีล
ย่ิงใหญ่กว่าโลกิยท้ังหมด๒๖ ศีลแม้จะแตกต่างกันโดยประเภท แต่โดยลักษณะแล้วเป็นท่ีร้อยเรียง
กิริยามารยาททางกาย วาจาให้เรียบร้อยและเป็นฐานเบ้ืองต้นแห่งความดีท้ังหมด มีหน้าที่ขจัดความ
ชัว่ ผลของการรกั ษาศีลคือจติ ใจสะอาด มีหิรแิ ละโอตตปั ปะเกดิ รว่ มขณะรักษาศีล๒๗

พระบาลีวา่ ทสสฺ น หมายถงึ อาชวี ปรสิ ทุ ธิศีล ๔ และ ความเหน็ ชอบทส่ี ัมปยตุ ตดว้ ยมรรค
ญาณและผลญาณ๒๘

๒๕ ข.ุ ธ.อ. ๔๒/๔๑๓-๔๑๕.
๒๖ สมเดจ็ พระพทุ ธชนิ วงศ์ (อปุ สมมหาเถระ), “งานวิจยั การศกึ ษาเชิงวิเคราะห์ พระคาถาธรรมบท
เลม่ ๒”, หนา้ ๒๗๖.
๒๗ พระพุทธโฆสมหาเถร, “คัมภีร์วสิ ุทธมิ รรค”, สมเด็จพระพุทธโฆสาจาย์ แปลเรียบเรียง, พิมพ์ครง้ั ท่ี
๖, (Taiwan R.O.C:, ๒๕๔๘), หนา้ ๑๒.
๒๘ สมเดจ็ พระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “งานวิจยั การศกึ ษาเชงิ วเิ คราะห์ พระคาถาธรรมบท
เลม่ ๒”, หน้า ๒๗๗.

๖๖

พระบาลีว่า ธมฺมฏฺ หมายความว่า ผู้ต้ังอยู่ในโลกุตรธรรม ๙ ประการ อธิบายว่า ผู้มี
โลกุตรธรรมอนั ทาให้แจ้งแลว้

พระบาลีว่า สจฺจวาทิน หมายความว่า ช่ือว่าผู้มีปกติกล่าววาจาสัตย์ด้วยสัจญาณ
เพราะความทสี่ จั จะ ๔ อนั ทา่ นทาใหแ้ จ้งแลว้ ด้วยอาการ ๑๖

พระบาลีว่า อตฺตโน กมฺมกุพฺพาน หมายความว่า สิกขา ๓ ชื่อว่าการงานของตน ผู้
บาเพ็ญสิกขา ๓ นนั้

พระบาลีว่า ต ชโน หมายความว่า โลกิยมหาชน ย่อมทาบุคคลนั้นให้เป็นท่ีรัก คือ
เปน็ ผใู้ ครจ่ ะเห็น ใคร่จะไหว้ ใครจ่ ะบชู าดว้ ยปจั จัย ๔ โดยแท้

พระคาถาน้สี ังเคราะห์เขา้ ใน ๑ สจั จะ คอื
สีลสมฺปนนฺ ผสู้ มบรู ณด์ ้วยศีล จัดเปน็ สมั มาอาชีวะ
ทสสฺ นสมฺปนนฺ ผสู้ มบูรณด์ ้วยทศั นะ ได้แก่ สมั มาทฏิ ฐิ
ธมมฺ ฏฺ สจจฺ วาทนิ ทสั สนะผตู้ ้งั อยใู่ นธรรม จัดเปน็ สมั มาทฏิ ฐิ
อตฺตโน กมฺมกพุ ฺพาน ผมู้ ีปกติกลา่ วแต่วาจาสัตย์ จัดเปน็ สัมมาวาจา
ตญฺชโน กุรเุ ต ปิย ผู้กระทาการงานของตนนั้น ใหเ้ ป็นที่รกั จัดเป็น

สัมมากัมมันตะ

๓.๔.๒ สังคมและวัฒนธรรม

มีประเด็นย่อยด้านสังคมและวัฒนธรรมดังนี้
๑) ความสัมพันธ์ระหว่างพระหรือนักบวช กับเด็กยังเป็นสังคมแห่งความสัมพันธ์ท่ีดี
เปน็ ญาติ เป็นบตุ ร
๒) การกราบไหว้เคารพบชู าผู้ใหญ่และสมณะเปน็ วฒั นธรรมทีม่ กี ารปลูกฝักกันต้ังแตเ่ ดก็
๓) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคารพในการตัดสินใจของเด็ก ให้โอกาส รอโอกาสที่เหมาะสม
ทจ่ี ะแนะนาสอนใหเ้ ด็กทัง้ หมดบรรลโุ สดาบนั ได้

๓.๔.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์

ขนมอันเป็นโลกิยทรัพย์ สามารถแปรสภาพเป็นโลกุตรทรัพยไ์ ด้

๓.๔.๔ สรปุ

พระศาสดามีภิกษุ ๕๐๐ เป็นบริวารพร้อมด้วยพระอสีติมหาเถระ เสด็จเข้าไปกรุงรา
ชคฤห์ เพ่ือบิณฑบาต ได้ทอดพระเนตรเห็นเด็ก ๕๐๐ คน ยกกระเช้าขนมออกจากเมืองแล้วไปสวน
ในวันมหรสพวันหนึ่ง เด็กเหล่านั้นถวายบังคมพระศาสดาแล้วก็หลีกไป เมื่อพบพระมหากัสสปะได้
ถวายขนม พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั ว่า ท่านกสั สปะผู้สมบูรณ์ดว้ ยศีลและปญั ญาผ้ตู ้งั อยใู่ นธรรม กลา่ วแต่
วาจาสัตย์ ผูก้ ระทาการงานของตนอันประกอบด้วยสัมมาอาชวี ะย่อมเป็นท่ีรักของคนและเทวดา เด็ก
ทั้งหลายไดบ้ รรลโุ สดาบนั

๖๗

๓.๕ เร่ือง ตสิ สทหรภิกษุ

เรื่อง ติสสทหรภิกษุ อยู่ในหมวดธรรมมลวรรค ว่าด้วยมลทินแห่งความไม่ดี อกุศล มี
ทง้ั หมด ๑๐ เร่ือง ในทีน่ ้ไี ด้เลอื กมา ๑ เรื่อง ตสิ สทหรวัตถุ เป็นกรณีการศกึ ษา ๓ ประเดน็ ไดแ้ ก่ (๑)
คุณค่าของธรรมบท (๒) สังคมวัฒนธรรม (๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดงั น้ี

สถานท่ี เมืองสาวตั ถี
บคุ คล พระสมั มาสัมพุทธเจา้ , ติสสทหรภิกษุ
ผล ชนเปน็ อันมากบรรลุอรยิ ผลท้งั หลาย มีโสดาปัตตผิ ล

พระบาลหี รอื พุทธวจนะไดต้ รัสว่า
ททาติ เว ยถาสทธฺ ยถาปสาทน ชโน

ตตถฺ โย มงฺกโุ ต โหติ ปเรส ปานโภชเน

น โส ทิวา วา รตตฺ ึ วา สมาธึ อธคิ จฉฺ ติ
ยสสฺ เจต สมจุ ฉฺ นิ ฺน มลุ ฆจจฺ สมูหต
ส เว ทิวา วา รตฺตึ วา สมาธึ อธิคจฉฺ ติ๒๙

บคุ คลย่อมให้ทานตามความเช่อื ตามความเลื่อมใส
ภิกษุไม่พอใจในข้าวและน้าที่เปน็ ทานของคนอื่นน้นั

ยอ่ มไมบ่ รรลสุ มาธใิ นเวลากลางวันหรอื กลางคนื

ส่วนภิกษผุ ู้ตัดอกุศลจิตนี้ได้
ถอนขึน้ ทาใหร้ ากขาดแลว้
ยอ่ มบรรลสุ มาธใิ นเวลากลางวันหรอื กลางคืน๓๐

มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า พระติสสะน้ันเที่ยวติเตียนทานของพระอริยสาวก คือ อนาถบิณ
ฑิกคฤหบดี นางวิสาขาอุบาสิกา เป็นต้น แม้ถึงอสทิสทานก็ติเตียนเหมือนกัน ได้ของเย็นในโรงทาน
ของอริยสาวกเหล่านั้น ติเตียนว่า “เย็น” ได้ของร้อน ติเตียนว่า “ร้อน” แม้เขาให้น้อย ติเตียนว่า
“เพราะเหตุไร ชนเหล่าน้ีจึงให้ของเพียงเล็กน้อย” แม้เขาให้มากติเตียนว่า “ในเรือนของชนเหล่าน้ี
เห็นจะไม่มีท่ีเก็บ” ธรรมดาบุคคลควรให้วัตถุพอยังอัตภาพให้เป็นไปแก่ภิกษุทั้งหลายมิใช่หรือ ยาคู
และภัตเท่าน้ีย่อมวิบัติไปไม่มีประโยชน์เลย” แต่กล่าวปรารภพวกญาติของตนเป็นต้นว่า “น่าชมเชย
เรือนของพวกญาติของเรา เป็นโรงเล้ียงของภิกษุทั้งหลาย ผู้มาแล้วจากทิศทง้ั สี่” ดังน้ีแล้ว ประกาศ
สรรเสริญตระกูลของตน

พวกภิกษุสอบสวนฐานภาพของพระติสสะนั้นทราบว่าท่านติสสภิกษุเป็นบุตรของยามคน
หนึ่ง เท่ียวไปกับพวกช่างไม้ผู้เท่ียวไปยังชนบทถึงพระนครสาวัตถีจึงบวช คร้ังน้ัน ภิกษุท้ังหลายเห็น
เธอผู้เที่ยวติเตียนทานของมนุษย์ทั้งหลายอยู่อย่างนั้น คิดกันว่า “พวกเราจักสอบสวนภิกษุนั้น” จึง
ถามว่า “ผู้มีอายุ พวกญาติของทา่ นอยู่ท่ีไหน” ได้ฟังว่า “อยู่ในบา้ นช่ือโน้น” จึงส่งภิกษุหนุ่มไป ๒-

๒๙ข.ุ ธ.(บาลี) ๒๕/๒๔๙-๒๕๐/๖๐.
๓๐ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๒๔๙-๒๕๐/๑๐๙.

๖๘

๓ รูป ภิกษุหนุ่มเหล่าน้ันไปในบ้านนั้นแล้ว อันชนชาวบ้านนิมนต์ให้นั่งที่โรงฉันแล้วกระทาสักการะ
จงึ ถามว่า “เด็กหนุ่มช่ือติสสะออกจากบ้านน้ีไปบวชแล้ว มีอยู่หรือ” ชนเหล่าไหนเป็นญาตขิ องติสสะ
นั้น มนุษย์ทั้งหลายต่างคิดว่า “ในบ้านนี้ เด็กผู้ออกจากเรือนแห่งตระกูลไปบวชแล้ว ไม่มี ภิกษุ
เหล่าน้ัน พูดถึงใครหนอ” แล้วเรียนว่า “ท่านขอรับกระผมทั้งหลายได้ยนิ ว่า ‘บุตรยามคนหน่ึง เที่ยว

ไปกับพวกชา่ งไมไ้ ด้บวชแล้ว’ ท่านทัง้ หลายเหน็ จะกลา่ วหมายเอาผู้นนั้ กระมงั ”

ภกิ ษุหนุ่มท้ังหลายทราบว่า พวกญาติผู้ใหญ่ของติสสภิกษุหนุ่มน้ันไม่มีในบ้านนั้นแล้ว จึง
พากัน กลับไปสู่พระนครสาวัตถี แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ท่านผู้เจริญ พระติสสะย่อมเที่ยว

พดู เพอ้ ถงึ ส่ิงอันหาเหตุมิไดเ้ ลย” แม้ภิกษทุ ้ังหลายกก็ ราบทลู เร่อื งนั้นแด่พระตถาคต

พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุช่ือว่าติสสะน้ันย่อมเท่ียวโอ้อวด ในบัดนี้เท่าน้ัน
หามิได้ แม้ในกาลก่อน เธอก็ได้เป็นผู้โอ้อวดแล้ว” อันภิกษุทั้งหลายทูลวิงวอนแล้ว ทรงนาอดีต
นิทานมาแลว้ ทรงยังกฏาหกชาดกน้ีให้พสิ ดารวา่ “นายกฏาหกนั้นไปสู่ชนบทอ่นื จงึ พดู อวดรา่ รวย
ทรัพยม์ าก นายมาตามแล้วได้ประทษุ รา้ ยกฏาหก ท่านจงบริโภคโภคะทั้งหลายเถิด”ดังน้ีแลว้ ตรัส
ว่า “ภิกษุท้ังหลาย ก็บุคคลใดเมื่อชนเหล่าอ่ืนให้ซึ่งวัตถุน้อยก็ตาม มากก็ตาม เศร้าหมองก็ตาม
ประณีตก็ตาม หรือให้วัตถุแก่ชนเหล่าอ่ืน แต่ไม่ให้แก่ตน ย่อมเป็นผู้เก้อเขิน ฌานก็ดี วิปสั สนา
ก็ดี มรรคและผลก็ดี ย่อมไม่เกิดข้ึนแก่บุคคลนั้น” ดังนี้แล้ว เม่ือจะทรงแสดงธรรมได้ทรงภาษิต

พระคาถาเหลา่ นีว้ า่

ททาติ เว ยถาสทฺธ ยถาปสาทน ชโน

ตตถฺ โย มงฺกโุ ต โหติ ปเรส ปานโภชเน

น โส ทิวา วา รตตฺ ึ วา สมาธึ อธิคจฺฉติ.

ยสฺสเจต สมุจฉฺ นิ ฺน มูลฆจฺจ สมูหต

ส เว ทวิ า วา รตฺตึ วา สมาธึ อธิคจฺฉติ.

ชนย่อมใหท้ านตามศรัทธา ตามความเลื่อมใสแล

ชนใด ย่อมเป็นผูเ้ ก้อเขินในเพราะน้าและข้าวของชนเหล่าอ่นื นัน้

ชนน้นั ยอ่ มไม่บรรลุสมาธใิ นกลางวนั หรือในกลางคนื

กอ็ กศุ ลธรรมอนั บุคคลใดตัดขาดแลว้ ถอนขน้ึ ทาให้มีรากขาดแลว้

บคุ คลนนั้ แล ย่อมบรรลุสมาธิ ในกลางวนั หรอื ในกลางคืน

ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลท้ังหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น เทศนา

เกิดประโยชนแ์ ก่มหาชนแล้ว ๓๑

๓๑ ขุ.ธ.อ.๔๓/๔๑.

๖๙

๓.๕.๑ คณุ ค่าของธรรมบท

คุณคา่ แหง่ พระคาถามดี ังน้ี
พระบาลีวา่ ททาติ เว ยถาสทฺธ หมายความวา่ ชนเมอื่ ใหบ้ รรดาวัตถุมีของเศรา้ หมอง
และประณตี เปน็ ตน้ อย่างใดอยา่ งหนง่ึ ช่ือว่าย่อมให้ตามศรทั ธา คือ ตามสมควรแก่ศรัทธาของตน
นน่ั แล

ศรัทธา ท่านกล่าวว่า เหมือนน้านิ่งใสสะอาด ย่อมทรงรูปนิมิต(ลักษณะเหมือน)คือดวง
จันทร์และดวงอาทิตย์เป็นต้นได้ฉันใด ศรัทธาน้ี ย่อมทรงไว้หรือดารงอารมณ์มีคุณของพระพุทธเจ้า
เป็นตน้ ฉนั นน้ั ๓๒

พระบาลีว่า ยถาปสาทน หมายความว่า บรรดาภิกษุผู้เป็นเถระและภิกษุใหม่เป็นต้น
ความเล่ือมใสในภิกษุใด ๆ ย่อมเกิดข้ึนแก่บุคคลนั้น เมื่อถวายทานแก่ภิกษุนั้น ช่ือว่าย่อมถวายตาม
ความเล่ือมใส คอื ตามสมควรแกค่ วามเลื่อมใสของตนน่นั แล

พระบาลวี า่ ตตถฺ เป็นตน้ หมายความว่า ยอ่ มถงึ ความเป็นผู้เกอ้ เขนิ ในเพราะทานของ
ชนอ่ืนนัน้ ว่า “เราได้วัตถเุ ลก็ นอ้ ย เราได้ของเศร้าหมอง”

พระบาลวี า่ สมาธึ เป็นต้น หมายความวา่ บุคคลนน้ั ย่อมไมบ่ รรลุสมาธิด้วยสามารถแห่ง
อปุ จารสมาธิ และอปั ปนาสมาธิ หรือด้วยสามารถแห่งมรรคและผล ในกลางวันหรือในกลางคืน

พระบาลวี ่า ยสฺส เจต หมายความวา่ อกุศลกรรมนน่ั กลา่ วคือความเป็นผู้เก้อเขนิ ใน
ฐานะเหล่านั้น อันบคุ คลใดตัดขาดแล้ว ถอนข้ึน ทาให้มีรากขาดแล้ว ด้วยอรหัตมรรคญาณ บุคคล
น้นั ยอ่ มบรรลสุ มาธิ

พระคาถาทง้ั ๑๐ บาทน้ีมี ๒ สัจจะ คือ ทกุ ขสจั จะ สมุทยสัจจะ และมรรคสจั จะ
บาทท่ี ๑ และท่ี ๒ จัดเป็นมรรคสัจจะ ททาติ เว ยถาสทธฺ ยถาปสาทน ชโน ชนย่อม
ใหท้ านตามศรัทธา ตามความเล่ือมใส
บาทที่ ๓ และท่ี ๔ จดั เป็นทุกขสัจจะและสมุทยสัจจ ตตฺถ โย มงกฺ ุโต โหติ ปเรส
ปานโภชเน ชนใด ย่อมเป็นผเู้ กอ้ เขินในเพราะน้าและขา้ วของชนเหลา่ อนื่ น้นั เพราะความเป็นผเู้ ก้อิ
หมายถงึ อกุศลธรรมไดแ้ ก่ มานะและโมหะ โมหะจดั เปน็ สมุทยสจั จโดยเฉพาะ
บาทที่ ๕ และ ๖ กย็ งั เป็นทุกขสัจจะ น โส ทวิ า วา รตฺตึ วา สมาธึ อธคิ จฉฺ ติ ชน
นัน้ ยอ่ มไม่บรรลสุ มาธใิ นกลางวนั หรือในกลางคืน
บาทที่ ๗ ๘ ๙ และ ๑๐ เปน็ มรรคสัจจะ ยสฺสเจต สมจุ ฺฉนิ ฺน มลู ฆจฺจ สมหู ต กอ็ กศุ ล
ธรรมอันบุคคลใดตัดขาดแล้ว ถอนขึ้นทาให้มรี ากขาดแล้ว
ส เว ทวิ า วา รตฺตึ วา สมาธึ อธิคจฺฉติ บุคคลนน้ั แล ยอ่ มบรรลสุ มาธิ ในกลางวัน
หรือในกลางคืน สมาธิ จัดเปน็ สมั มาสมาธโิ ดยเฉพาะ

๓๒ สมเดจ็ พระพทุ ธชินวงศ์ (อปุ สมมหาเถร), “งานวจิ ัยการศึกษาเชงิ วเิ คราะห์ พระคาถาธรรมบท
เลม่ ๒”, (กรงุ เทพมหานคร:ประยรู สาส์นไทยการพมิ พ,์ ๒๕๔๙), หนา้ ๔๒๗.

๗๐

๓.๕.๒ สังคมและวัฒนธรรม

มปี ระเดน็ ย่อยด้านสงั คมดังน้ี
๑) สังคมแห่งความโอ้อวด ส่งิ ทไี่ มม่ อี ย่จู รงิ พดู เทจ็ อวดตนเองเหนือกว่าผู้อืน่ มีมาตัง้ แต่
โบราณจนถึงปัจจุบนั
๒) บคุ คลท่บี วชมาในสมัยพุทธกาลกย็ งั มีคนจานวนมากบวชเพื่อเลีย้ งชีพ หรือ มีอาชีพ
เป็นนกั บวช เพ่ือผลประโยชน์ส่วนตัว

๓.๕.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์

การบวชเพือ่ การเลี้ยงชีพ เปน็ หลักเศรษฐศาสตร์ทข่ี าดทุน นาไปสกู่ ารสรา้ งอกุศลอ่นื ๆ อีก
หลายประการ จึงเปน็ การดารงชีวติ ที่ขาดทนุ

๓.๕.๔ สรุป

ภิกษุชอื่ ว่าตสิ สะน้ันย่อมเท่ียวโอ้อวด นิสัยท่านติดตัวมาตัง้ แต่ชาติปางก่อน เธอก็ไดเ้ ป็นผู้
โอ้อวดแลว้ บคุ คลใดเมื่อชนเหล่าอ่ืนใหซ้ ึ่งวัตถุน้อยก็ตาม มากก็ตาม เศรา้ หมองก็ตาม ประณีตก็ตาม
หรือให้วัตถุแก่ชนเหล่าอื่น แต่ไม่ให้แก่ตน น้อยเน้ือต่าใจ เปรียบเทียบตนกับผู้อื่น ฌานวิปัสสนา
มรรคและผล ย่อมไม่เกิดข้ึนแก่บุคคลนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า ชนย่อมให้ทานตามศรัทธา
ตามความเล่ือมใสแลชนใด ย่อมเป็นผู้เก้อเขินในเพราะน้าและข้าวของชนเหล่าอื่นน้ัน ชนน้ันย่อมไม่
บรรลุสมาธิในกลางวันหรือในกลางคืน อกุศลธรรมอันบุคคลใดตัดขาดแล้ว ถอนข้ึนทาให้มีรากขาด
แลว้ บคุ คลนัน้ แล ย่อมบรรลสุ มาธิในกลางวนั หรือในกลางคืน

๗๑

๓.๖ เรอ่ื ง สาวกของเดยี รถีย์

เร่ือง สาวกของเดียรถีย์ อยู่ในหมวดธรรมของนิรยวรรค ว่าด้วยกลุ่มธรรมที่
พระพุทธเจ้าตรัสถึง ความชั่วท่ีให้ผลถึงทุคติ นิรยวรรคมีทั้งหมด ๒ เรื่อง ในท่ีนี้ได้เลือกมา ๑
เรื่อง ได้แก่ สาวกของเดียรถีย์ เป็นกรณีการศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท (๒)

สังคมวัฒนธรรม (๓) พุทธเศรษฐศาสตร์ ดงั นี้

บคุ คล พระศาสดา, บตุ รเดยี รถยี ์ และเดียรถีย์
สถานที่ พระเชตะวนั
ผล ประชาชนจานวนมากถงึ พระรตั นตรยั , บตุ รเดียรถียบ์ รรลุโสดาบนั

พระบาลีหรอื พทุ ธวจนะไดต้ รัสว่า วชฺเช จ อวชฺชทสฺสิโน
อวชฺเช วชฺชมติโน
มจิ ฉฺ าทฏิ ฺ ิสมาทานา สตตฺ า คจฺฉนตฺ ิ ทุคคฺ ตึ ฯ
วชชฺ ฺจ วชฺชโต ตวฺ า อวชฺช จฺ อวชชฺ โต
สตฺตา คจฺฉนฺติ สคุ ฺคต๓ึ ๓
สมมฺ าทิฏฺ ิสมาทานา

สตั ว์ทง้ั หลายผู้เหน็ สิง่ ที่ไมม่ ีโทษว่ามโี ทษและเหน็ ส่งิ ท่ีมโี ทษว่าไม่มีโทษ
ชอ่ื ว่าถอื มั่นมิจฉาทิฏฐิ ยอ่ มไปสูท่ ุคติสัตวท์ ้ังหลายผู้รู้สงิ่ ทม่ี ีโทษวา่ มโี ทษ
และรู้ส่ิงทไี่ ม่มีโทษว่าไม่มโี ทษชอื่ ว่าถอื มน่ั สัมมาทิฏฐิ ยอ่ มไปสู่สคุ ติ๓๔

สมัยหนึ่งพวกสาวกอัญญเดียรถีย์ เห็นพวกลูก ๆ ของตนพร้อมท้ังบริวาร เลน่ อยกู่ ับพวก
ลูกของพวกอุบาสกผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ ในเวลาลูกเหล่านั้นมาเรือนแล้ว จึงต่างให้กระทาปฏิญาณว่า
“สมณะพวกศากยบุตร พวกเจ้าไม่พึงไหว้ แม้วิหารของสมณะเหล่านั้น พวกเจ้าก็ไม่พึงเข้าไป” วัน
หน่ึง ลูกของพวกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น กาลังเล่นอยู่ในท่ีใกล้แห่งซุ้มประตูนอกพระเชตวันวิหาร มี
ความระหายน้าขึ้น ทีน้ัน พวกเขาจึงส่งเด็กของอุบาสกคนหน่ึงไปสู่พระวิหาร สั่งว่า “เจ้าไปดื่มน้าใน
วิหารนั้นแล้ว จงนามาเพ่ือพวกเราบ้าง” เด็กนั้นก็เข้าไปยังพระวิหาร ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
กราบทูลความขอ้ น้นั

ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะเด็กน้ันว่า “เจ้าเท่านั้น ดื่มน้าแล้วไปจงส่งแม้พวกเด็กนอกนี้
มา เพ่ือต้องการแก่การดื่มน้าในท่ีนี้” เขาได้ทาอย่างน่ัน พวกเด็กเหลา่ นั้นมาด่มื น้าแล้ว พระศาสดา
รับสั่งให้หาเด็กเหล่านั้นมาแล้ว ตรัสธรรมกถาท่ีสบายแก่เด็กเหล่าน้ัน ทรงทาเด็กเหล่านั้นให้มี
ศรัทธาม่ันคงแล้ว ให้ต้ังอยู่ในสรณะและศีล เด็กเหล่าน้ันไปสู่เรือนของตน ๆ แล้ว แจ้งความนั้นแก่
มารดาและบดิ า

๓๓ ขุ.ธ.(บาล)ี ๒๕/๓๑๘/๗๑.
๓๔ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๓๑๘/๑๓๒.

๗๒

มารดาและบดิ าของพวกเขา ถงึ ความโทมนสั ปริเทวนาว่า “ลกู ของพวกเรา เกิดเปน็ คน
มที ิฏฐิวิบัติเสียแล้ว” คร้งั นั้น คนที่สนิทสนมของพวกน้ันเป็นคนฉลาด มากล่าวธรรมแก่คนเหล่าน้ัน
เพื่อต้องการแก่อันยังความโทมนัสให้สงบ มารดาและบิดาของพวกเด็กเหล่านั้นฟังถ้อยคาของคน
เหล่านั้นแล้วจึงกล่าวว่า “พวกเราจักมอบพวกเด็ก ๆ เหล่าน้ีแก่พระสมณโคดมเสียทีเดียว” ดังนี้
แล้วนาไปสู่พระวิหารพร้อมด้วยหมู่ญาติเป็นอันมาก พระศาสดาทรงตรวจดูนิสัยของคนเหล่านั้นแล้ว
เม่ือจะทรงแสดงธรรม ได้ทรงภาษติ พระคาถาเหลา่ นว้ี า่

อวชเฺ ช วชชฺ มติโน วชฺเช จ อวชฺชทสฺสิโน
มิจฺฉาทิฏฺ สิ มาทานา สตตฺ า คจฺฉนฺติ ทคุ คฺ ตึ.
วชฺชญจฺ วชฺชโต ญตวฺ า อวชฺชญจฺ อวชฺชโต
สมฺมาทิฏ ิสมาทานา สตตฺ า คจฺฉนฺติ สุคฺคตึ

สตั ว์ท้ังหลาย ผมู้ ีความรวู้ า่ มีโทษในธรรมท่ีหาโทษมิได้
มีปกติเหน็ ว่าหาโทษมิได้ในธรรมท่ีมโี ทษเปน็ ผู้ถือด้วยดซี งึ่ มิจฉาทิฏฐิ ย่อมไปสู่ทุคตสิ ัตว์
ทัง้ หลายรูธ้ รรมที่มีโทษ โดยความเป็นธรรมมโี ทษรู้ธรรมทหี่ าโทษมิได้
โดยความเปน็ ธรรมหาโทษมิได้เปน็ ผถู้ ือดว้ ยดซี ง่ึ สัมมาทิฏฐิ ย่อมไปสสู่ คุ ติ

ในกาลจบเทศนา คนเหล่านั้นแม้ท้ังหมด ดารงอยู่ในสรณะ ๓ แล้ว ฟังธรรมอ่ืน ๆ อีก
อยู่ก็ได้ดารงอยูใ่ นโสดาปตั ติผล ดังนี้แล๓๕

๓.๖.๑ คุณคา่ ของธรรมบท

พระบาลีว่า อวชฺเช คือ ในสัมมาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ และในธรรมที่เป็นอุปนิสัยแห่ง
สัมมาทิฏฐนิ น้ั

พระบาลีว่า วชฺชมติโน คือมีมติเกิดข้ึนว่า “นี้มีโทษ” แต่สัตว์ เหล่านั้น มีปกติเห็นว่า
หาโทษมิได้ ในธรรมท่ีมีโทษ คือมิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ และคือธรรมอันเป็นอุปนิสัยแห่งมิจฉาทิฏฐิ
นั้น อธิบายว่า สัตว์ท้ังหลาย ช่ือว่าผู้ถือด้วยดีซ่ึงมิจฉาทิฏฐิ เพราะความที่ตนถือด้วยดีแล้วซ่ึง
มิจฉาทิฏฐิน่ัน คือความรู้ธรรมท่ีหาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมมีโทษและรู้ธรรมที่มีโทษ โดยความ
เปน็ ธรรมหาโทษมิไดแ้ ล้วยึดถือม่นั ย่อมไปสู่ทคุ ติ๓๖

มจิ ฉาทฏิ ฐิมีวัตถุ ๑๐ น้ันได้แก่ (๑) ทานท่ีให้แล้วไมม่ ผี ล (๒) ยัญทบ่ี ูชาแลว้ ไมม่ ีผล (๓) ผล
วิบากแห่งกรรมที่ทาดีและทาชวั่ ไมม่ ี (๔) โลกนไ้ี ม่มี (๕) โลกหน้าไมม่ ี (๖) มารดาไม่มี (๗) บดิ าไม่
มี (๘) โอปปาติกสตั ว์ คือเหล่าสตั วท์ ่ผี ุดขนึ้ เกดิ ไมม่ ี (๙) สมพราหมณผ์ ู้ปฏิบัตดิ ีปฏิบตั ิชอบไม่มี (๑๐)
ผทู้ าให้เเจ้งซ่งึ โลกน้แี ละโลกหนา้ ดว้ ยความรยู้ ง่ิ เองแลว้ ประกาศให้ทราบไม่มใี นโลก๓๗

๓๕ ขุ.ธ.อ.๔๓/๑๖๙-๑๗๕.
๓๖ ข.ุ ธ.อ. สตตฺ โม ภาโค / ๑๓๕.
๓๗ ข.ุ จ.ู อ.๖๗/๗๔๙.

๗๓

สงั เคราะห์พระคาถาในอริยสัจ ๔ ดังนี้
พระคาถาแรกจดั เปน็ ทกุ ขสัจจะ เพราะกล่าวถึง ทิฏฐิ

อวชเฺ ช วชชฺ มติโน วชฺเช จ อวชชฺ ทสสฺ โิ น
มจิ ฉฺ าทฏิ ฺ สิ มาทานา สตฺตา คจฉฺ นตฺ ิ ทุคฺคตึ
สัตว์ทงั้ หลาย ผมู้ คี วามรู้วา่ มีโทษในธรรมทหี่ าโทษมิได้
มีปกติเห็นวา่ หาโทษมิได้ในธรรมท่ีมีโทษเป็นผู้ถือดว้ ยดซี ่ึงมิจฉาทิฏฐิ ยอ่ มไปสู่ทคุ ติ

พระคาถาท่ี ๒ จัดเปน็ มรรคสัจจะ เพราะกลา่ วถึงสัมมาทิฏฐิ

วชชฺ ญฺจ วชชฺ โต ญตฺวา อวชชฺ ญจฺ อวชชฺ โต

สมฺมาทฏิ สิ มาทานา สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคฺคตึ

สตั ว์ท้งั หลายรูธ้ รรมท่ีมโี ทษ โดยความเป็นธรรมมีโทษรูธ้ รรมทีห่ าโทษมิได้
โดยความเป็นธรรมหาโทษมิไดเ้ ปน็ ผู้ถือดว้ ยดีซง่ึ สมั มาทิฏฐิ ยอ่ มไป สู่สคุ ติ

จงึ กล่าวได้ว่า ในดวงจิตของสตั ว์มีเพียงแค่ ๒ ประการ คือ ไมร่ ู้ คอื มิจฉาทิฏฐิ และรู้
แจง้ สมั มาทฏิ ฐิเท่านนั้

๓.๖.๒ สังคมและวัฒนธรรม

มีประเดน็ ย่อยทางสงั คมวัฒนธรรมดงั นี้
๑) การเลน่ ในวัด การเข้าวดั การหานา้ ในวัดเป็นวถิ ีชวี ิตและวัฒนธรรมทมี่ มี าตงั้ แต่สมัย
พุทธกาล
๒) ลูกจึงมอี ิทธพิ ลต่อพ่อแม่ เมื่อลูกมพี ฤตกิ รรมและทัศคติทด่ี ีขึน้ พ่อแมม่ ีความรักลูก
อยแู่ ลว้ จงึ ปรารถนาใหล้ กู ได้ส่งิ ท่ีดี มคี ุณคา่ พ่อแมจ่ ึงยกลูก ๆ ให้เป็นสาวกของพระสัมมาสมั พุทธเจ้า

๓.๖.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์

มปี ระเดน็ ทางเศรษฐศาสตร์ดังนี้
๑) การสอนเด็กให้เรียนรเู้ ขา้ ใจที่ดยี ่อมมผี ลตอ่ ผปู้ กครองให้เกิดสัมมาทิฏฐทิ ่ีดีได้ เมื่อ
ผปู้ กครองเกิดสมั มาทฏิ ฐิ ยอ่ มเปน็ ปัจจยั ตอ่ สมั มาอาชีวะ
๒) การมอบลูกให้กับพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ น้นั เปน็ การลงทนุ เพื่อใหไ้ ด้สมบัติคือ โลกตุ ตร
สมบัติ

๗๔

๓.๖.๔ สรุป

พวกสาวกอัญญเดียรถีย์เห็นพวกลูก ๆ ของตนพร้อมทั้งบริวาร เล่นอยู่กับพวกลูกของ
พวกอุบาสกผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ ในเวลาลูกเหล่านั้นมาเรือนแล้ว จึงต่างให้กระทาปฏิญาณว่า “สมณะ
พวกศากยบุตร พวกเจ้าไม่พึงไหว้ แมว้ ิหารของสมณะเหลา่ นั้น พวกเจ้ากไ็ ม่พึงเข้าไป” วันหน่ึง ลูก
ของพวกอัญญเดียรถีย์เหล่าน้ัน กาลังเล่นอยู่ในที่ใกล้แห่งซุ้มประตูนอกพระเชตวันวิหาร มีความ
ระหายน้าไปดื่มน้าในวิหารน้ัน พวกเด็กเหล่าน้ันมาด่ืมน้าแล้ว พระศาสดารับส่ังให้หาเด็กเหล่าน้ัน
มาแล้ว ตรัสธรรมกถาท่ีสบายแก่เด็กเหล่านั้น ทรงทาเด็กเหล่านั้นให้มีศรัทธามั่นคงแล้ว ให้ต้ังอยู่
ในสรณะและศีล เด็กเหล่าน้ันไปสู่เรือนของตน ๆ แลว้ แจง้ ความน้ันแกม่ ารดาและบิดา ๆ ไดเ้ ปน็ ผู้มี
สัมมาทิฏฐิ พระองค์จึงตรัสสอนว่า ผู้มีความรู้ว่ามีโทษในธรรมท่ีหาโทษมิได้ มีปกติเห็นว่าหาโทษมิได้
ในธรรมท่มี โี ทษเป็นผ้ถู ือดว้ ยดีซึง่ มจิ ฉาทิฏฐิ ย่อมไปสู่ทคุ ติ ส่วนผทู้ ี่รู้ธรรมท่มี โี ทษ โดยความเปน็ ธรรม
มโี ทษรูธ้ รรมทห่ี าโทษมไิ ดโ้ ดยความเปน็ ธรรมหาโทษมิได้เปน็ ผถู้ ือดว้ ยดีซง่ึ สัมมาทิฏฐิ ยอ่ มไปส่สู คุ ติ

๗๕

๓.๗ เรื่อง เทา้ สกั กเทวราช

เรอ่ื งเทา้ สักกเทวราชอย่ใู นตณั หาวรรค ว่าดว้ ยตัณหา โลภะ ความอยาก ตัณหาวรรคมี
ท้งั หมด ๑๒ เรือ่ ง ในทีน่ ้ีได้เลือกมา ๑ เรอื่ ง เทา้ สกั กเทวราช

สถานที่ พระเชตวันวิหาร และสวรรค์ช้ันดาวดึงส์
บุคคล พระพุทธเจ้า เท้าสักกะ มนุษย์ เทวดาหมนื่ จกั รวาล

ผล สัตว์ ๘๔,๐๐๐ บรรลุธรรม

พระบาลีหรือพุทธวจนะไดต้ รสั ว่า สพพฺ รส ธมมฺ รโส ชินาติ
สพพฺ ทาน ธมฺมทาน ชนิ าติ ตณหฺ กขฺ โย สพพฺ ทุกขฺ ชนิ าติ๓๘
สพฺพ รตึ ธมฺมรตี ชนิ าติ

การให้ธรรม ชนะการให้ท้ังปวง

รสแห่งธรรม ชนะรสทงั้ ปวง

ความยินดีในธรรม ชนะความยนิ ดีทงั้ ปวง
ความส้ินตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง ๓๙

ครงั้ สมยั พุทธกาล เทพดาในดาวดึงสเ์ ทวโลกประชมุ กนั แลว้ ต้งั ปญั หาขน้ึ ๔ ขอ้ ว่า
๑) บรรดาทานท้งั หลาย ทานชนิดไหน หนอทเี่ ยีย่ มท่สี ุด ประเสรฐิ ทส่ี ดุ
๒) บรรดารสทั้งหลาย รสชนิดไหนหนอทเ่ี ย่ียมทส่ี ดุ ประเสรฐิ ทส่ี ดุ
๓) บรรดาความยินดีท้ังหลาย ความยินดีชนิดไหนนักปราชญ์กล่าวว่าเย่ียมที่สุด
ประเสรฐิ ท่สี ุด

๔) ความส้นิ ไปแหง่ ตัณหา นักปราชญ์กล่าวว่าประเสริฐที่สดุ เพราะเหตุไร

แม้เทพดาองค์หน่ึงก็ไม่สามารถจะวินิจฉัยปัญหาเหล่านั้นได้ เทพดาองค์หนึ่งถามกะเทพ
ดาองค์หน่ึง แม้เทพดาองค์น้ันก็ถามเทพดาองค์อ่ืนอีก เทพดาท้ังหลายถามกันและกันอย่างน้ัน ด้วย
อาการอย่างน้ัน ได้ท่องเท่ียวไปในหม่ืนจักรวาลถึง ๑๒ ปี เทวดาในหม่ืนจักรวาลไม่เห็นเนื้อความ
แห่งปัญญาโดยกาลแม้มีประมาณเท่าน้ี ประชุมกันแล้วไปยังสานักของท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท้าว
มหาราชกลา่ วว่า “พอ่ ท้งั หลาย ทาไมจึงมีเทพสันนบิ าตกันใหญ่”

๓๘ ขุ.ธ.(บาล)ี ๒๕/๓๕๔/๗๙.
๓๙ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๓๕๔/๑๔๔.

๗๖

กลุ่มเทวดาหมู่ใหญ่จึงกล่าวว่า “พวกผมต้ังปัญหาขึ้น ๔ ข้อแล้ว เม่ือไม่สามารถจะ
วินิจฉัยได้จึงมายังสานักของท่าน” เมื่อท้าวมหาราชกล่าวว่า “ปัญหาอะไรกันพ่อ” พวกเทวาดาจึง
บอกเล่าเรื่องปัญหาทั้ง ๔ ขอ้ น้ันว่า “พวกผมไมส่ ามารถวินิจฉัยปญั หาเหล่าน้ีได้ คือ บรรดาทาน รส
และความยินดี ทาน รส และความยินดี ชนิดไหนประเสริฐท่ีสุด ความสิ้นไปแห่งตัณหาเทียว
ประเสรฐิ สุด เพราะเหตไุ ร” จึงพากันมาหาครับ

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ กล่าวว่า “พอ่ ท้ังหลาย แม้พวกเราก็หารู้เน้ือความแห่งปัญหาเหล่าน้ี
ไม่ แต่พระท้าวสักกเทวราชของพวกเราทรงดาริอรรถท่ชี นต้งั พันคิดแล้ว ย่อมทรงทราบโดยขณะเดยี ว
เท่านั้นพระองค์ประเสริฐวิเศษกว่าพวกเราทั้งหลาย ทั้งทางปัญญาและทางบุญ พวกเราจงไปยัง
สานักของพระองค์เถิด” แล้วพาหมู่เทพดานั้นนั่นแลไปยังสานักของทา้ วสักกเทวราช ถึงเมื่อท้าวสักก
เทวราชนน้ั ตรัสว่า “พ่อทั้งหลาย ทาไมจงึ มเี ทพสันนิบาตกันใหญ่” หมูเ่ ทพกราบทลู เน้อื ความนั้น

ท้าวสักกะตรัสว่า “พ่อทั้งหลาย คนอื่นย่อมไม่สามารถรู้เนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ได้
ปัญหาเหล่านั่น เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า แล้วตรัสถามว่า “เด๋ียวน้ี พระศาสดาประทับอยู่ ณ ท่ี
ไหน” ทรงสดับว่า “ในพระเชตะวันวิหาร” จึงตรัสว่า “พวกเธอมาเถิด พวกเราจักไปยังสานักของ
พระองค”์

เท้าสกั กเทวราชทรงพร้อมด้วยหมู่เทพดา ทาให้พระเชตะวันท้ังหมดสว่างไสวในส่วนแห่ง
ราตรีเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบงั คมแลว้ ประทบั ยนื อยู่ ณ ส่วนข้างหนง่ึ เม่ือพระศาสดาตรสั ว่า
“มหาบพิตร ทาไมพระองค์จึงเสดจ็ มาพรอ้ มกบั หมูเ่ ทพดามากมาย” จึงกราบทูลว่า “พระเจ้าข้า หมู่
เทพดาพากันตัง้ ปัญหาทง้ั ๔ ขอ้ นี้ คนอ่ืนท่ชี ่ือว่าสามารถรู้เนอ้ื ความแห่งปญั หาเหล่าน้ีได้ หามีไม่ ขอ
พระองค์ได้ทรงประกาศเนื้อความแห่งปญั หาเหลา่ น้ี แกพ่ วกข้าพระองค์เถิด

พระศาสดาตรัสว่า “ดีละ มหาบพิตร ตถาคตบาเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ บริจาคมหา
บริจาค๔๐ แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณแลว้ ก็เพอื่ ตัดความสงสัยของชนผู้เช่นพระองค์นี่แหละ ขอ
พระองค์จงทรงสดบั ปญั หาทพ่ี ระองค์ถามแล้วเถิด

บรรดาทานทุกชนิด ธรรมทานเปน็ เยย่ี ม
บรรดารสทุกชนิด รสแห่งพระธรรมเป็นยอด
บรรดาความยินดที กุ ชนิด ความยนิ ดใี นธรรมประเสริฐ
สว่ นความส้ินไปแห่งตัณหาประเสริฐท่ีสุดแท้เพราะความเป็นเหตใุ ห้สัตว์บรรลุพระอรหัต”
ดงั นแี้ ล้ว ตรัสพระคาถา

สพพฺ ทาน ธมมฺ ทาน ชินาติ
สพพฺ รส ธมมฺ รโส ชนิ าติ

๔๐ มหาบริจาค หมายถึง บริจาคทานที่มีเจตนาท่ียิ่งใหญ่ ๕ คือ (๑) องฺคปริจฺจาค บริจาคอวัยวะ
(๒) ธนปรจิ าค บรจิ าคทรัพย์ (๓) ปุตฺตปริจฺจาค บริจาคบุตร (๔) ทารปริจฺจาค บริจาคเมีย (๕) ชีวิตปริจฺจาคบริ
จาคชวี ติ .

๗๗

สพพฺ รตึ ธมมฺ รตี ชนิ าติ
ตณหฺ กฺขโย สพพฺ ทกุ ฺข ชนาติ.
ธรรมทาน ยอ่ มชนะทานทง้ั ปวง
รสแห่งธรรม ยอ่ มชนะรสทง้ั ปวง
ความยินดีในธรรมยอ่ มชนะความยนิ ดที ้งั ปวง
ความส้นิ ไปแห่งตัณหาย่อมชนะทุกข์ทง้ั ปวง
เมื่อพระศาสดา ตรัสเน้ือความแห่งพระคาถาน้ีอยนู่ ่ันแล สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้ธรรมาภิสมัย
(บรรลุธรรม) แม้ท้าวสักกะทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ทูลว่า
“พระเจ้าข้า เพื่อประโยชน์อะไร พระองค์จึงไม่รับส่ังให้ให้ส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์ ในธรรม
ทานอันชื่อว่าเย่ียมอย่างนี้ จาเดิมแต่นี้ไป ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกแก่ภิกษุสงฆ์แล้วรับสั่งให้
ๆ ส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า” พระศาสดาทรงสดับคาของท้าวเธอแล้ว รับสั่ง
ใหภ้ ิกษสุ งฆป์ ระชมุ กนั แล้ว ตรัสว่า “ภิกษทุ ั้งหลาย ตั้งแตว่ ันน้ีเป็นต้นไป พวกเธอทาการฟงั ธรรม
ใหญ่กด็ ี การฟังธรรมตามปกติก็ดี กล่าวอุปนสิ ินนกถากด็ ี โดยท่ีสดุ แม้การอนุโมทนา แล้วพึงให้
ส่วนบญุ แกส่ ัตวท์ ้ังปวง”๔๑

๓.๗.๑ คุณคา่ ของธรรมบท

คุณคา่ แห่งพระคาถามีดงั นี้
พระบาลีว่า สพฺพทาน เป็นต้น ความว่า ถ้าบุคคลถึงถวายไตรจีวรเชน่ กับใบตองอ่อน
แดพ่ ระพุทธเจา้ พระปจั เจกพุทธเจ้าและพระขณี าสพทัง้ หลายผนู้ ่งั ตดิ ๆ กัน ในห้องจกั รวาลตลอด
ถึงพรหมโลก การอนุโมทนาเทียวที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงทาด้วยพระคาถา ๔ บาทในสมาคมน้ัน
ประเสริฐ ทานนั้นหามีค่าถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งพระคาถานั้นไม่ การแสดงก็ดี การกล่าวสอนก็ดี
การสดับก็ดีซง่ึ ธรรมเปน็ ของใหญ่ อน่ึงบุคคลใดให้ทาการฟังธรรม อานสิ งสเ์ ป็นอันมากก็ย่อมมแี ก่
บคุ คลน้นั แท้

ธรรมทานน่ันแหละ ที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นให้เป็นไปแล้ว แม้ด้วยอานาจอนุโมทนาโดย
ท่ีสุดด้วยพระคาถา ๔ บาท ประเสริฐท่ีสุดกว่าทานท่ีทายกบรรจุบาตรให้เต็มด้วยบิณฑบาตอัน
ประณตี แล้วถวายแก่บริษัทเหน็ ปานนนั้ นน่ั แหละบ้าง กวา่ เภสัชทานทีท่ ายกบรรจุบาตรให้เตม็ ด้วยเนย
ใสและน้ามันเป็นต้นแล้วถวายบ้าง กว่าเสนาสนทานที่ทายกให้สร้างวิหารเช่นกับมหาวิหารและ
ปราสาทเช่นกับโลหปราสาทต้ังหลายแสนแล้วถวายบ้าง กว่าการบรจิ าคท่อี นาถบณิ ฑกิ เศรษฐีเป็นต้น
ปรารภวิหารทง้ั หลายแลว้ ทาบ้าง

ธรรมทานมอี านสิ งส์มากว่าเพราะเหตไุ ร

๔๑ ข.ุ ธ.อ.๔๓/๓๒๓-๓๒๘.

๗๘

เพราะว่าชนท้งั หลายเมือ่ จะทาบุญเห็นปานนนั้ ตอ่ ฟังธรรมแล้วเท่านน้ั จงึ ทาได้ ไม่ได้ฟังก็
หาทาได้ ก็ถา้ ว่าสตั วเ์ หล่านี้ไมพ่ งึ ฟงั ธรรมไซรเ้ ขาก็ไม่พงึ ถวายขา้ วยาคปู ระมาณกระบวยหนึ่งบ้าง ภตั
ประมาณทัพพีหน่งึ บา้ ง เพราะเหตนุ ้ีธรรมทานน่ันแหละ จึงประเสรฐิ ท่ีสดุ กว่าทานทกุ ชนดิ

อีกอย่างหน่ึง เว้นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าเสีย แม้พระสาวกท้ังหลายมีพระ
สารีบุตรเป็นต้นผู้ประกอบด้วยปัญญาซึ่งสามารถนับหยาดน้าได้ ในเม่ือฝนตกตลอดกัลป์ท้ังสิ้น ก็ยัง
ไม่สามารถจะบรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้นโดยธรรมดาของตนได้ ต่อฟังธรรมท่ีพระอัสสชิเถระเป็นต้น
แสดงแล้วจึงทาให้แจ้งซ่ึงโสดาปัตติผลและทาให้แจ้งซ่ึงสาวกบารมีญาณ ด้วยพระธรรมเทศนา
ของพระศาสดา เพราะเหตุแม้นี้มหาบพิตร ธรรมทานน่ันแหละจึงประเสริฐท่ีสุด เพราะเหตุนั้น
พระศาสดาจึงตรัสว่า “สพฺพทาน ธมมฺ ทาน ชนิ าติ”

พระบาลีวา่ ธมมฺ ในบทว่า ธมมฺ ทาน หมายเอา พระปรยิ ัตธิ รรมทง้ั หมด๔๒
อน่ึง รสมีรสเกิดแต่ลาต้นเป็นต้นทุกชนิดโดยส่วนสูงแม้รสแห่งสุธาโภชน์ของเทพดา
ท้ังหลาย ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการย่ิงสัตว์ให้ตกไปในสังสารวัฏ แล้วเสวยทุกข์โดยแท้ ส่วนพระธรรม
รสกล่าว คือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ และกล่าวคือโลกุตรธรรม ๙ ประการนี้แหละ
ประเสริฐกว่ารสทั้งปวง เพราะเหตุน้นั พระศาสดาจงึ ตรัสวา่ “สพฺพรส ธมฺมรโส ชินาติ”

ดังน้นั พระบาลวี ่า “ธมมฺ ” ในบทวา่ “ธมฺมรโส” จึงหมายถงึ โพธปิ กั ขิยธรรม ๓๗ และ
กตุ ตรธรรม ๙ ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ และเป็นการกล่าวสภาพทีไ่ ม่มอี ยู่จริงให้เหมือนเป็น
จริงเพราะรสชาติแห่งพระธรรมน้ันไม่มีอยู่จริง คือ เอาส่ิงท่ีไม่มีรสชาติให้มีรสชาติ เรียกว่า รสธัมม
สมาธคิ ณุ ๔๓ ในคมั ภีรเนตติหารัตถทปี นี กลา่ ววา่ ตทั ธมั มูปจารนยั ทาให้สิง่ ท่ีไม่มอี ยู่จริงใหม้ ีอยจู่ รงิ ๔๔

อนงึ่ แมค้ วามยนิ ดีในบุตร ความยินดีในธิดา ความยินดีในทรัพย์ความยนิ ดีในสตรี และ
ความยนิ ดีมีประเภทมิใช่อย่างเดียวอันต่างด้วยความยินดีในการฟ้อนการขับการประโคมเป็นต้น ย่อม
เป็นปัจจัยแห่งการยังสัตว์ให้ตกไปในสังสารวัฏ แล้วเสวยทุกข์โดยแท้ ส่วนความอิ่มใจ ซึ่งเกิดขึ้น
ณ ภายในของผู้แสดงก็ดี ผู้ฟังก็ดี ผู้กล่าวสอนธรรม ย่อมให้เกิดความเบิกบานใจ ให้น้าตาไหล ให้
เกิดข้นึ ชูชนั ความอ่ิมใจนนั้ ย่อมทาทสี่ ุดแห่งสังสารวฏั มพี ระอรหัตเปน็ ปรโิ ยสาน ความยนิ ดใี นธรรม
เห็นปานนี้แหละ ประเสริฐกว่าความยินดีท้ังปวง เพราะเหตุน้ัน พระศาสดา จึงตรัสว่า “สพฺพรตึ
ธมฺมรติ ชนิ าติ

คาว่า “ธมฺม” ในบทวา่ “ธมมรติ” หมายถงึ สมถะและวิปัสสนา๔๕

๔๒ สมเด็จพุทธชินวงส์ (อุปสมมหาเถระ), “งานวิจัยการศึกษาเชิงวิเคราะห์ พระคาถาธรรมบท เล่ม
๒”, (กรงุ เทพมหานคร:ประยูรสาส์นไทย การพิมพ,์ ๒๕๔๖), หนา้ ๘๔๙.

๔๓ สมเด็จพุทธชินวงส์ (อุปสมมหาเถระ), “งานวิจัยการศึกษาเชงิ วิเคราะห์ พระคาถาธรรมบท เล่ม
๒”, หนา้ ๘๔๙.

๔๔ พระมหากจั จายนเถระ, “เนตติหารัตถทีปนี”, พระธัมมานนั ทเถระ แปล, (กรุงเทพมหานคร:,มหา
จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๓), หนา้ ๔๑.

๔๕ สมเดจ็ พุทธชินวงส์ (อปุ สมมหาเถระ), “งานวิจยั การศกึ ษาเชงิ วเิ คราะห์ พระคาถาธรรมบท เล่ม
๒”, หน้า ๘๕๐.

๗๙

ส่วนความสิ้นไปแห่งตัณหา คือพระอรหัตซ่ึงเกิดข้ึนในที่สุดแห่งความสิ้นไปแห่งตัณหา
พระอรหัตน้ัน ประเสริฐกว่าทุกอย่างแท้ เพราะครอบงาวัฏทุกข์แม้ท้ังสิ้น เพราะเหตุน้ัน พระ
ศาสดาจึงตรสั ว่า “ตณหฺ กขฺ โย สพฺพทุกฺข ชินาติ”

พระบาลีว่า ตณฺหกขฺ โย หมายถึง อรหตั ตผล
พระบาลีนี้จึงเป็นท่ีติดปากของสังคมไทยว่า การให้ธรรมชนะการให้ท้ังปวง วิถีชีวิตแห่ง
สังคมไทยจึงมีหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเคร่ืองหล่อเลี้ยงชีวิตและจิตใจ เป็นเคร่ือง
ป้องกนั ภยั อันตรายตา่ ง ๆ
๓.๗.๒ สังคมและวัฒนธรรม

มีประเดน็ สงั คมวฒั นธรรมย่อยดงั น้ี
๑) สังคมระหวา่ งมนษุ ย์กับเทวดาน้นั มกี ารอยู่รว่ มกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศยั และ เปน็
สงั คมแหง่ การถกเถยี งกันเชิงอภปิ รชั ญา
๒) พระคาถานจ้ี ึงเป็นทนี่ ยิ มพระสงฆใ์ นประเทศไทยนามาเทศตามงานเทศกาลตา่ งๆได้
ทกุ งาน
๓) ประเทศอนิ เดยี เปน็ สงั คมเมืองภารตะ เปน็ สังคมแห่งการศึกษาเรียนรู้ แสวงหาความ
ความร้เู พอ่ื ให้เกิดปัญญาขั้นสูงสดุ

๓.๗.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

การสนทนากบั บัณฑติ ย่อมทาให้เกิดผลทเี่ ป็นประโยชน์มหาศาล ดังนั้น กลั ยาณมิตรทด่ี ี
นน้ั ถือว่า เป็นการลงทุนดา้ นทรัพยากรที่คมุ้ ค่าทสี่ ดุ

๓.๗.๔ สรุป

เทพดาในดาวดึงส์เทวโลกประชุมกันแล้ว ตั้งปัญหาขึ้น ๔ ข้อว่า (๑) บรรดาทาน
ท้ังหลาย ทานชนิดไหน หนอท่ีเย่ียมที่สุด ประเสริฐที่สุด (๒) บรรดารสท้ังหลาย รสชนิดไหนหนอที่
เย่ยี มท่ีสดุ ประเสรฐิ ท่ีสุด (๓) บรรดาความยนิ ดที งั้ หลาย ความยนิ ดชี นดิ ไหนนักปราชญ์กลา่ ววา่ เย่ยี ม
ท่ีสุด ประเสริฐที่สุด (๔) ความส้ินไปแห่งตัณหา นักปราชญ์กล่าวว่าประเสริฐท่ีสุด เพราะเหตุไร
พระพุทธองคต์ อบวา่ บรรดาทานทุกชนิด ธรรมทานเปน็ เยี่ยม บรรดารสทกุ ชนดิ รสแห่งพระธรรมเป็น
ยอด บรรดาความยนิ ดีทุกชนดิ ความยินดีในธรรมประเสริฐ สว่ นความสนิ้ ไปแห่งตณั หาประเสริฐทสี่ ุด
แท้เพราะความเปน็ เหตุให้สตั วบ์ รรลพุ ระอรหัต

เป็นหลักธรรมค่กู นั ดงั น้ี

สพพฺ ทาน = ธมฺมทาน
ธมมฺ รส
สพพฺ รส = ธมฺมรตึ
สพฺพทุกฺข
สพพฺ รตึ =

ตณฺหกขฺ โย =

๘๐

บทท่ี ๔
คมั ภีรธ์ รรมบท

กับ
วฒั นธรรม

๘๑

ขอบข่ายเน้อื หา

- ความนา
- เรือ่ งกาลียักขนิ ี
- เร่อื งภกิ ษุ ๕๐๐ รูปผเู้ ริม่ ปฏบิ ัติวิปสั สนา
- เรอ่ื งพระสารบี ตุ ร
- เรอ่ื งปฏาจาราเถรี
- เรอื่ งสนั ติมหาอามาตย์
- เรอ่ื งพระเจ้าสุทโธทนะ
- เรื่องปัญหาทีภ่ ิกษุทลู ถาม (พระพุทธเจ้า)
- เรอ่ื งเดียรถีย์
- เรอ่ื งนายทารสุ ากฏิกะ
- เร่อื งการฝึกตน (อัตตโน)
- เรอ่ื งนงั คลกูฏตั เถระ


Click to View FlipBook Version