The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาธรรมบทศึกษา เป็นวิชาเอกของสาขาวิชาพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสารคำสอนเล่มนี้ คือ ได้นำเอาทฤษฎีด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ และพุทธเศรษฐศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และนำเอาพระคาถาธรรมบทมำสังเคราะห์โดยความเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอาศาสตร์ด้ำน พระอภิธรรมมาร่วมวิเคราะห์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนคัมภีร์ธรรมบทไว้เพื่อเป็นเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในการประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเรียงเนื้อหาจากตื้นไปสู่ความสุขุมคัมภีรภาพ ตามอัธยาศัยของผู้ศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชาและนำไปเป็นแบบแผน แผนที่ดำเนินชีวิต หรือสันติบท เพื่อสันติสุข

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by MCU Books, 2022-06-28 13:42:36

ธรรมบทศึกษา

วิชาธรรมบทศึกษา เป็นวิชาเอกของสาขาวิชาพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐศาสตร์ จุดเด่นของเอกสารคำสอนเล่มนี้ คือ ได้นำเอาทฤษฎีด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ และพุทธเศรษฐศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และนำเอาพระคาถาธรรมบทมำสังเคราะห์โดยความเป็นอริยสัจ ๔ ในทุก ๆ บท โดยนำเอาศาสตร์ด้ำน พระอภิธรรมมาร่วมวิเคราะห์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนคัมภีร์ธรรมบทไว้เพื่อเป็นเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธในการประพฤติตามหลักพระพุทธศาสนา โดยเรียงเนื้อหาจากตื้นไปสู่ความสุขุมคัมภีรภาพ ตามอัธยาศัยของผู้ศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ผู้เรียบเรียงมีความปรารถนาอย่างยิ่งว่า เอกสารคำสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคณาจารย์ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจในพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเป็นไปเพื่อเป็นพุทธบูชาและนำไปเป็นแบบแผน แผนที่ดำเนินชีวิต หรือสันติบท เพื่อสันติสุข

Keywords: ธรรมบทศึกษา,พระพุทธศาสนา,พระไตรปิฎก

๑๘๒

จึงถือเอาผ้าสาฎก ๒ คจู่ ากผา้ ๓๒ ค่นู ้ันคอื เพ่อื ตน ๑ คู่ เพื่อนางพราหมณี ๑ คู่ ไดถ้ วายผ้าสาฎก
๓๐ คูแ่ ดพ่ ระตถาคต

ฝ่ายพระราชา เม่ือพราหมณ์น้ันถวายถึง ๗ ครั้ง ได้มีพระราชประสงค์จะพระราชทาน
อกี พราหมณ์ชือ่ มหาเอกสาฎก ในกาลกอ่ นได้ถือเอาผ้าสาฎก ๒ คู่ในจานวนผ้าสาฎก ๖๔ คู่ ส่วน
พราหมณ์ชื่อจูเฬกสาฎกน้ี ได้ถือเอาผ้าสาฎก ๒ คู่ ในเวลาที่ตนได้ผ้าสาฎก ๓๒ คู่พระราชา ทรง
บังคับพวกราชบุรุษว่า “นาย พราหมณ์ทาสิ่งที่ทาได้ยาก ท่านท้ังหลายพึงให้นาเอาผ้ากัมพล ๒ ผืน
ภายในวังของเรามา” พวกราชบุรุษได้กระทาอย่างนั้น พระราชารับสั่งให้พระราชทานผ้ากัมพล ๒
ผืนมีค่าแสนหน่ึงแก่เขา พราหมณ์คิดว่า “ผ้ากัมพลเหล่าน้ีไม่สมควรแตะต้องท่ีสรีระของเราผ้า
เหล่าน้ันสมควรแก่พระพุทธศาสนาเทา่ นนั้ ” จงึ ได้ขึงผ้ากัมพลผืนหนึ่ง ทาใหเ้ ปน็ เพดานไวเ้ บื้องบนท่ี
บรรทมของพระศาสดาภายในพระคันธกุฎี ขึงผืนหนึง่ ทาให้เปน็ เพดานในท่ที าภตั กจิ ของภกิ ษุผูฉ้ ัน
เป็นนิตย์ในเรือนของตน ในเวลาเย็น พระราชาเสด็จไปสู่สานักของพระศาสดา ทรงจาผ้ากัมพลได้
แล้ว ทูลถามว่า “ใครทาการบูชา พระเจ้าข้า” เมื่อพระศาสดาตรัสตอบว่า “พราหมณ์ช่ือเอกสาฎก”
ดังน้ีแล้ว ทรงดาริว่า " พราหมณ์เลื่อมใสในฐานะที่เราเล่ือมใสเหมือนกัน " รับส่ังให้พระราชทาน
หมวด ๔ แห่งวัตถุทุกอย่าง จนถึงร้อยแห่งวัตถทุ ้ังหมด ทาให้เป็นอย่างละ ๔ แก่พราหมณ์น้ัน อย่าง
น้ี คือ ชา้ ง ๔ มา้ ๔ กหาปณะ๓๐ สี่พัน สตรี ๔ ทาสี ๔ บรุ ษุ ๔ บา้ นส่วย ๔ ตาบล

ภิกษุท้ังหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า “แม้ ! กรรมของพราหมณ์ช่ือ จูเฬกสาฎก
น่าอัศจรรย์ ชั่วครู่เดียวเท่านั้น เขาได้หมวด ๔ แห่งวัตถุทุกอย่าง กรรมอันงามเขาทาในท่ีอันเป็น

เนอื้ นาในบัดนี้น่นั แล ให้ผลในวันนท้ี เี ดยี ว”

พระศาสดาเสด็จมา ตรสั ถามวา่ “ภิกษทุ ้ังหลาย บัดนเ้ี ธอทง้ั หลายน่ังสนทนากันด้วยกถา
อะไรเล่า”

ภิกษ.ุ ด้วยกถาช่ือนี้ พระเจา้ ขา้

ศาสดา. ภิกษุท้งั หลาย ถา้ เอกสาฎกนี้จกั ได้อาจเพ่ือถวายแก่เราในปฐมยามไซร้ เขาจกั ได้
สรรพวัตถุอย่างละ ๑๖ ถ้าจักได้อาจถวายในมัชฌิมยามไซร้ เขาจักได้สรรพวัตถุอย่างละ ๘
แต่เพราะถวายในเวลาจวนใกล้รุ่ง เขาจึงได้สรรพวัตถุอย่างละ ๔ แท้จริง กรรมงามอันบุคคลผู้เมื่อ
กระทา ไม่ให้จิตท่ีเกิดขึ้นเสื่อมเสียควรทาในทันทีน้ันเอง ด้วยว่า กุศลที่บุคคลทาช้า เม่ือให้สมบัติ

ย่อมใหช้ ้าเหมอื นกัน เพราะฉะนน้ั พึงทากรรมงามในลาดบั แห่งจิตตปุ บาททีเดียว

เม่ือทรงสืบอนสุ นธแิ สดงธรรม จงึ ตรสั พระคาถานีว้ า่

อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ ปาปา จิตฺต นิวารเย

ทนธฺ หิ กรโต ปุญฺ ปาปสฺมึ รมตี มโน

๓๐ เป็นชอ่ื เงินตราชนิดหนง่ึ ซงึ่ ในอนิ เดียโบราณ มีคา่ เทา่ กบั ๔ บาท.

๑๘๓

บุคคลพึงรบี ขวนขวายในความดี พึงหา้ มจติ เสียจากบาป
เพราะว่า เมอื่ บุคคลทาความดีช้าอยู่ใจจะยนิ ดใี นบาป
ในกาลจบคาถา ชนเปน็ อนั มาก ไดบ้ รรลุอรยิ ผลทงั้ หลาย มโี สดาปัตตผิ ลเป็นต้น๓๑

๕.๔.๑. คณุ คา่ ของธรรมบท

พระบาลแี ตล่ ะบทมีคุณคา่ สาคัญดงั น้ี
พระบาลีวา่ “อภิตเฺ รถ” ความว่า พึงทาดว่ นๆ คือ อย่างรวดเรว็ จริงอยู่ เมื่อจิตเกิดขนึ้ ว่า
“จักทากุศลบางอย่าง ในกุศลทานท้ังหลายมีถวายสลากภัตเป็นต้น” ควรทาไว ๆ ทีเดียว เพราะคิด
วา่ “เราจะทากอ่ น เราจะทาก่อน” โดยประการที่ชนเหล่าอ่ืนจะไม่ได้โอกาสทาฉะน้ัน หรอื บรรพชิต
เมอ่ื ทาวตั รทงั้ หลายมีอุปชั ฌายวตั รเปน็ ต้น ไม่ให้โอกาสแกผ่ ู้อน่ื ควรทาเร็ว ๆ ทีเดียว ดว้ ยคิดวา่ "
“เราจะทากอ่ น เราจะทากอ่ น”

พระบาลีว่า “ปาปา จิตฺต” ความว่า ก็บคุ คลพึงห้ามจิตจากบาปกรรมมีกายทุจริตเป็นต้น
หรอื จากอกศุ ลจิตตุปบาท ในทที่ ุกสถาน

คาว่า ปาป แปลวา่ ให้ถงึ ทคุ ติ (ทุคคฺ ตึ ปาปนโต ปาปํ)๓๒

พระบาลีว่า ทนฺธ หิ กรโต ความวา่ ก็ผใู้ ดคดิ อยู่อย่างน้ันว่า “เราจักให้ จักทา ผลนีจ้ ัก
สาเร็จแก่เราหรือไม่” ช่ือว่าทาบุญช้าอยู่ เหมือนบุคคลเดินทางล่ืน ความช่ัวของผู้นั้นย่อมได้
โอกาส เหมือนมัจเฉรจิตพันดวงของพราหมณ์ช่ือเอกสาฎกฉะน้ัน เมื่อเช่นน้ันใจของเขาย่อมยินดี
ในความชั่ว เพราะว่าในเวลาท่ีทากุศลกรรมเท่านั้นจิตย่อมยินดีในกุศลกรรม พ้นจากนั้นแล้ว ย่อม
น้อมไปสคู่ วามชวั่ ได้แท้ ดงั น้ัน จงึ รบี ทาความดี เพราะหากช้า ความช่วั ย่อมไดก้ าลัง

สังเคราะหค์ าถาธรรมบทในอรยิ สัจ ๔ ดงั นี้
พระคาถา ๒ บาทแรกจดั เปน็ มรรคสจั จะ
อภิตถฺ เรถ กลยฺ าเณ บคุ คลพึงรบี ขวนขวายในความดี
ปาปา จติ ฺต นวิ ารเย พึงหา้ มจติ เสียจากบาป
พระคาถาว่า
ทนธฺ หิ กรโต ปญุ ฺ เพราะวา่ เมือ่ บุคคลทาความดชี ้า จัดเป็นทุกขสัจจะ
พระคาถาวา่ ปาปสมฺ ึ รมตี มโน ใจจะยินดีในบาป จดั เป็นสมุทยสจั จะ
ดังนัน้ พระคาถาน้ีสังเคราะหไ์ ด้ ๓ สจั จะ คือ ทุกข์ สมุทยั และมรรคสัจจะ

๓๑ ขุ.ธ.อ.๔๑/๔-๘.
๓๒ มหาจุตงฺคพลอามาตย์, “อภิธานัปปทีปกิ ฎีกา”, สมเดจ็ พุทธชินวงศ์ (อุปสโม) ปริวรรต, พมิ พค์ รั้งท่ี
๒, (กรงุ เทพมหานคร:ประยูรสาสน์ไทย การพมิ พ์, ๒๕๖๓), หนา้ ๗๑.

๑๘๔

๕.๔.๒ สังคมและวฒั นธรรม

สังคมอินเดียมีทุกระดับ ตั้งแต่ยากจนที่สุด จนถึงมหาเศรษฐี แต่สาหรับพระพุทธศาสนา
นั้น ไม่ได้ปิดกั้นการเข้าถึงหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ได้ปิดก้ันคุณค่าของวัตถุ เป็น
สังคมแห่งความเสมอภาค พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเรียกว่า พุทธบริษัท ๔ ที่จะคอยค้าจุนอุปถัมภ์
พระพทุ ธศาสนา

๕.๔.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

มีประเดน็ ย่อยทางพุทธเศรษฐศาสตรด์ ังน้ี
๑) เปน็ หลักพ้ืนฐานเบ้ืองตน้ สอนใหป้ ระกอบสมั มาอาชวี ะด้วยขยนั หม่ันเพยี ร มสี ติในการ
ใชช้ ีวติ ประจาวัน ถงึ จะเจริญในการประกอบอาชพี
๒) เศรษฐกจิ จะลาบากเพียงใดก็ตามแตถ่ า้ เศรษฐกิจทางใจรา่ รวยกเ็ ขา้ ถงึ พระพทุ ธศาสนา
และทีส่ ุดคือ มรรค ผล นิพพานได้
๓) การทาธุรกิจหรือทางานที่มีประสิทธิผลท่ีดีน้ันจะต้องประกอบด้วยองค์ที่สาคัญ ๓
ประการ คือ (๑) มีองค์ความรู้ในเรื่องนั้น ๆ (๒) มีความกล้าเส่ียงที่จะต้องมีการแลกเปลี่ยน
(๓) เวลาที่เหมาะสม การทาบุญที่ได้บุญมากนั้นก็เช่นเดียวกัน ต้องประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ
เช่นกัน แม้จะมีองค์ความรู้เร่ืองบุญบุญน้อย แต่พราหมณ์จเู ฬกสาฎกกลา้ ได้กล้าเสยี แม้มีผ้าผืนเดยี วก็
ตาม เรื่องเวลาหากตัดสินใจช้าไปกว่านี้ย่อมขาดทุนย่อยยับ อกุศลจะครอบงาไม่ให้กุศลเกิดข้ึน
ดังประโยคในธรรมบทที่ว่า “ขณะน้ันจิตประกอบด้วยความตระหนี่พันดวงเกิดขึ้นแล้วแก่เขา จิต
ประกอบด้วยสัทธาดวงหนึ่งเกดิ ข้ึนอีก จิตประกอบด้วยความตระหน่ี ๑,๐๐๐ ดวงเกิดข้ึนครอบงา
สัทธาจติ น้ันอกี ความตระหน่ีอันมีกาลังของเขาคอยกีดกันสัทธาจิตไว้ ดุจจับมัดไว้อยูเ่ ทียว” พระ

พุทธองค์จึงตรสั สอนพราหมณท์ เ่ี หมาะสมวา่

อภติ ถฺ เรถ กลยฺ าเณ ปาปา จติ ฺต นิวารเย
ทนฺธ หิ กรโต ปุญฺ ปาปสมฺ ึ รมตี มโน

บุคคลพงึ รีบขวนขวายในความดี พงึ หา้ มจติ เสียจากบาป
เพราะวา่ เม่อื บคุ คลทาความดชี า้ อยู่ใจจะยนิ ดีในบาป

ถ้ามองในประเด็นพุทธเศรษฐศาสตร์ พระพุทธองค์ตรัสสอนให้ทาการแลกเปลี่ยนโดยเร็ว
หากช้าในการค้าขายในการเอาโลกยิ ธรรมไปแลกเปลีย่ นกบั โลกุตตรธรรม

๑๘๕

๕.๔.๔ สรุป

พราหณ์กาลังฟังธรรมอยู่กาลังคดิ วา่ “จกั ถวาย จกั ไมถ่ วาย” ดงั นนี้ ่ันแหละ ปฐมยามล่วง
ไปแล้ว แต่น้ัน ครั้นถึงมัชฌิมยาม เขาไม่อาจถวายในมัชฌิมยามแม้น้ันได้ เม่ือถึงปัจฉิมยาม เขาคิด
ว่า “เมื่อเรารบกับสัทธาจิตและมัจเฉรจิตอยู่น่ันแล ๒ ยามล่วงไปแล้ว มัจเฉรจิตน้ีของเรามี
ประมาณเท่านี้เจริญอยู่ จักไม่ให้ยกศีรษะข้ึนจากอบาย ๔ เราจักถวายผ้าสาฎกละ เขาข่มความ
ตระหนี่ต้ังพันดวงได้เเล้วทาสัทธาจิตให้เป็นปุเรจาริก ถือผ้าสาฎกไปวางแทบบาทมูลพระศาสดา
ได้เปล่งเสียงดังข้ึน ๓ คร้ังว่า “ชิต เม ชิต เม ชิต เม แปลว่า ข้าพเจ้าชนะแล้ว” พระพุทธองค์จัง
ตรัสสอนว่า การทาความดีนั้นไม่ได้วัดที่คุณค่าของสิ่งของ แต่วัดคุณค่าที่จิตใจ ต้องรีบขวนขวายใน
ความดี พึงห้ามจิตเสียจากบาป เพราะวา่ เม่ือบุคคลทาความดชี ้าอยจู่ ิตจะยินดีในบาป ท่ีสุดพราหรณ์
กไ็ ด้บรรลโุ สดาบนั

๑๘๖

๕.๕ เร่อื ง มหาธนเสฏฺฐปิ ตุ ตะ

เรื่องมหาธนเสฏฺฐิปุตตะ อยู่ในกลุ่มหมวดธรรม ชราวรรค แปลว่า ตอนที่ว่าด้วยสรรพ
ส่งิ ทั้งรูปและนามยอ่ มนาไปสู่ความแก่ ชรา มีท้ังหมด ๙ เร่ือง ในท่ีน้ีได้เลอื กมา ๑ เร่ืองคือ มหาธน
เสฏฐิปุตตะ เป็นกรณีการศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท (๒) สังคมวัฒนธรรม

(๓) เศรษฐศาสตร์ ดังน้ี

สถานท่ี ป่าอสิ ิปตนมฤคทายวัน พาราณสี
บคุ คล พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า, บตุ รของมหาเศรษฐี
ผล บตุ รของเศรษฐพี ลาดจากพระอริยธรรม, ชนเป็นอันมากบรรลโุ สดาปัตติผล

พระบาลหี รอื พทุ ธวจนะได้ตรัสว่า

อจรติ วฺ า พรฺ หมฺ จริย อลทธฺ า โยพพฺ เน ธน

ชณิ ฺณโก ฺจาว ฌายนฺติ ขณี มจฺเฉว ปลลฺ เล
อจริตฺวา พรฺ หมฺ จรยิ อลทฺธา โยพพฺ เน ธน
เสนตฺ ิ จาปาตขิ ณี าว ปรุ าณานิ อนุตฺถนุ ๓๓

พวกคนโงเ่ ขลาไม่ประพฤตติ นใหเ้ ปน็ คนดี
ในวัยหนมุ่ สาวกไ็ ม่ได้หาทรัพย์ไว้ ยอ่ มซบเซา
เหมอื นนกกระเรยี นแกซ่ บเซาอยทู่ ีเ่ ปือกตมไร้ปลา ฉะนั้น
พวกคนโงเ่ ขลาไม่ประพฤตติ นให้เป็นคนดี
ในวัยหนุ่มสาวก็ไม่ไดห้ าทรัพย์ไว้
ย่อมนอนราพงึ ถงึ ความหลงั
ดจุ ลกู ธนูที่พน้ จากแล่ง ฉะนั้น๓๔

กาลท่ีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว บุตรเศรษฐีน้ันเกิดแล้วในตระกูลผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิใน
กรุงพาราณสี คร้ังน้ัน มารดาบิดาของเขาคิดว่า “ในตระกูลของเรามีกองโภคะเป็นอันมาก เราจัก
มอบกองโภคะน้ันไว้ในมอื บุตรของเราทาให้ใช้สอยอย่างสบาย หน้าท่กี ารงานอย่างอนื่ ไมต่ ้องมี” ดงั น้ี
แล้วจึงให้เขาศึกษาศิลปะได้แก่การฟ้อน ขับ และประโคมอย่างเดียว ในพระนครนั้นแล แม้ธิดาคน
หน่ึง กเ็ กิดแล้วในตระกลู อื่นซึ่งมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ บิดามารดาแมข้ องนางก็คิดแล้วอย่างนั้นเหมือนกัน
แล้วก็ให้นางศึกษาก็ได้ศิลปะสักว่าการฟ้อนขับและประโคมอย่างเดียว เม่ือเขาทั้งสองเจริญวัยแล้วก็
ได้มีการอาวาหววิ าหมงคลกนั ต่อมาภายหลัง มารดาบิดาของคนทงั้ สองน้ันได้ถงึ แกก่ รรมแลว้ ทรพั ย์
๑๖๐ โกฏิ ก็ได้รวมอยู่ในเรือนเดียวกันทั้งหมด เศรษฐีบุตร ย่อมไปสู่ที่บารุงพระราชาวันหน่ึงถึง ๓
ครั้ง ครั้งนั้น พวกนักเลงในพระนครนั้น คิดกันวา่ “ถ้าเศรษฐีบุตรนี้ จกั เป็นนักเลงสรุ า ความผาสุก
กจ็ ักมีแก่พวกเรา เราจะให้เธอเรยี นความเป็นนกั เลงสุรา” พวกนักเลงเหลา่ นน้ั จึงถือเอาสุรา มดั เนื้อ
สาหรบั แกล้ม และก้อนเกลอื ไว้ที่ชายผ้า ถือหัวผกั กาด นง่ั แลดทู างของเศรษฐีบุตรน้ัน ผ้มู าจากราช

๓๓ ข.ุ ธ.(บาลี) ๒๕/๑๕๕-๑๕๖/๔๔.
๓๔ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๕๕-๑๕๖/๘๐.

๑๘๗

กุล เห็นเขากาลังเดินมา จึงดื่มสุรา เอาก้อนเกลือใส่เข้าในปาก กัดหัวผักกาด กล่าวว่า “จงเป็นอยู่
๑๐๐ ปีเถดิ ทา่ นมหาเศรษฐี พวกผมอาศยั ทา่ นก็พึงสามารถพอกินพอด่ืม” บุตรเศรษฐฟี ังคาของพวก
นกั เลงน้ันแลว้ จงึ ถามคนใชส้ นทิ ผ้ตู ามมาขา้ งหลงั วา่ “พวกนน้ั ด่ืมอะไรกัน”

คนใช้. นา้ น่าดืม่ ชนดิ หนึง่ ครับนาย
บตุ รเศรษฐี. มีรสชาตอิ รอ่ ยหรือ
คนใช้. นาย ธรรมดาน้าท่ีควรดื่ม เช่นกับน้าดื่มนี้ ไมม่ ใี นโลกท่ีเปน็ อยนู่ ี้
บตุ รเศรษฐ.ี เม่อื เปน็ เช่นนน้ั แมเ้ ราด่มื กค็ วร

จึงให้นามาแต่นิดหน่อยแล้วก็ดื่ม ต่อมาไม่นานนัก นักเลงเหล่าน้ันรู้ว่าบุตรเศรษฐีน้ันดื่ม
จึงพากันแวดล้อมบุตรเศรษฐีนั้น เม่ือกาลล่วงไปก็ได้มีบริวารหมู่ใหญ่ บุตรเศรษฐีน้ัน ให้นาสุรามา
ดว้ ยทรัพย์ ๑๐๐ บ้าง ๒๐๐ บ้าง ดื่มอยู่ตั้งกองกหาปณะไว้ในท่ีน่ังเป็นต้นโดยลาดับ ดื่มสุรากล่าวว่า
“จงนาเอาดอกไม้มาด้วยกหาปณะน้ี จงนาเอาของหอมมาด้วยกหาปณะน้ี ผู้นี้ฉลาดในการขับ ผู้นี้
ฉลาดในการฟ้อน ผู้น้ีฉลาดในการประโคม จงให้ทรัพย์ ๑ พันแก่ผู้นี้ จงให้ทรัพย์ ๒ พันแก่ผู้น้ี”
เมื่อ ใช้สรุ ุ่ยสรุ ่ายอยา่ งนั้นตอ่ กาลไมน่ านนัก ทรพั ย์ ๘๐ โกฏกิ ห็ มดไปทันที เมอื่ เลขาเรียนว่า "นาย
ทรพั ย์ของนายหมดแล้ว”

เขาจงึ พดู วา่ "ทรัพย์ของภรรยาของขา้ ไมม่ ีหรอื "
เมื่อเขาเรยี นว่า "ยังมีนาย "
จงึ บอกว่า" ถ้ากระนั้น จงเอาทรัพย์นนั้ มา

ได้ยังทรัพย์แม้นั้นให้สิ้นไปแล้วอย่างน้ันเหมือนกัน แล้วขายสมบัติของตนท้ังหมดคือ นา
สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ยานพาหนะ เป็นต้นบ้าง โดยที่สุดภาชนะเคร่ืองใช้บ้าง เคร่ืองลาด ผ้าห่ม
และผ้าปูนั่งบา้ ง โดยลาดบั เพ่ือกนิ สรุ า

คร้ันในเวลาท่ีเขาแก่ลง เจา้ ของเรือนจึงไล่เขาออกจากเรือน ที่เขามีโภคะหมดแล้ว ขาย
เรอื นของตวั แตย่ ังถืออาศัยอยู่กอ่ น เขาพาภรรยาไปอาศัยเรือนของชนอื่นอยู่ ถือชน้ิ กระเบ้อื งเท่ียวไป
ขอทานปรารภจะบริโภคภตั ท่ีเป็นเดนของชนแลว้

ครั้งนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเขายืนอยู่ที่ประตูโรงฉัน คอยรับโภชนะท่ีเป็นเดน
อันภิกษุหนุ่มและสามเณรให้ในวันหนึ่ง จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ ลาดับนั้นพระอานนทเถระทูลถามถึง
เหตุท่ที รงแยม้ กะพระองค์

พระศาสดา เม่ือจะตรัสบอกเหตุท่ีทรงแย้ม จึงว่า “อานนท์ เธอจงดูบุตรเศรษฐีผู้มี
ทรพั ย์มากผู้น้ี ผลาญทรพั ยเ์ สยี ๑๖๐ โกฏิ พาภรรยาเที่ยวขอทานอยู่ในนครน้ีแล ก็ถา้ บุตรเศรษฐี
ไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดสิ้น จักประกอบการงานในปฐมวัย ก็จักได้เป็นเศรษฐีช้ันเลิศในนครน้ีแล
และถ้าจักออกบวช ก็จักบรรลุอรหันต์ แม้ภรรยาของเขาก็จักดารงอยู่ในอนาคามิผล ถ้าไม่ผลาญ
ทรัพย์ให้หมดไป จักประกอบการงานในมัชฌิมวัย จักได้เป็นเศรษฐีช้ันที่ ๒ ออกบวชจักได้เป็น
อนาคามี แม้ภรรยาของเขาก็จกั ดารงอยใู่ นสกทาคามผิ ล ถา้ ไม่ผลาญทรพั ยใ์ หส้ ิ้นไป ประกอบการ
งานในปัจฉิมวัยจักได้เป็นเศรษฐีชั้นท่ี ๓ แม้ออกบวช ก็จักได้เป็นสกทาคามีแม้ภรรยาของเขาก็

๑๘๘

จักดารงอยู่ในโสดาปัตติผล แต่เด๋ียวนี้บุตรเศรษฐีน่ันทั้งเส่ือมแล้วจากโภคะของคฤหัสถ์ ทั้งเสื่อม
แล้วจากสามัญผล กแ็ ลครั้นเสอื่ มแล้ว จึงเป็นเหมือนนกกะเรียนในเปือกตมแหง้ ฉะนน้ั ” ดังนี้แล้ว
จึงตรสั พระคาถาเหลา่ นี้ว่า

อจริตฺวา พรฺ หมฺ จริย อลทฺธนา โยพพฺ เน ธน
ชณิ ฺณโกญจฺ าว ณายนตฺ ิ ขีณมจฺเฉว ปลฺลเล
อจรติ ฺวา พรฺ หมฺ จริย อลทธฺ า โยพฺพเน ธน
เสนฺติ จาปาตขิ ณี าว ปรุ าณานิ อนุตถฺ นุ ๓๕
พวกคนเขลา ไมป่ ระพฤติพรหมจรรย์
ไม่ไดท้ รพั ย์ในคราวยงั เปน็ หนุ่มสาว ย่อมซบเซา
ดังนกกะเรยี นแก่ ซบเซาอยูใ่ นเปือกตมทหี่ มดปลาฉะน้ัน
พวกคนเขลา ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรพั ย์
ในคราวยงั เป็นหน่มุ สาว ย่อมนอนทอดถอนถึงทรพั ย์เก่า
เหมือนลกู ศรทตี่ กจากแลง่ ฉะนน้ั

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอนั มากบรรลุอริยผลท้ังหลาย มโี สดาปตั ติผลเปน็ ต้น

๕.๕.๑ คณุ คา่ ของธรรมบท

คุณค่าของพระบาลีมีดังน้ี
พระบาลวี ่า อจรติ ฺวา หมายความวา่ ไมอ่ ยู่พรหมจรยิ าวาส

พระพฤติพรหมจรรย์ หรอื พรฺ หฺมจริย ในท่นี ้หี มายถึง ทาน ศีล ๕ ศีลอุโบสถ อริยมรรค
คาสอน๓๖

พระบาลวี า่ โยพฺพเน หมายความวา่ ไม่ได้แมท้ รัพย์ในเวลาทีต่ นสามารถ เพ่อื จะยงั โภคะ
ท่ยี ังไม่เกิดให้เกดิ ขน้ึ หรอื เพ่ือตามรักษาโภคะที่เกดิ ข้นึ แลว้

พระบาลีว่า ขณี มจเฺ ฉ หมายความว่า คนเขลาเห็นปานนั้นนั่น ย่อมซบเซา ดังนกกะเรียน
แก่มีขนเปยี กอันเหย้ี นเกรยี น ซบเซาอยูใ่ นเปือกตม ทชี่ ่อื วา่ หมดปลาแล้วเพราะไม่มนี ้า

มีคาอธิบายกล่าวไว้ดังนี้ว่า “อันความไม่มีท่ีอยขู่ องคนเขลาเหล่าน้ี เหมือนความไม่มีน้า
ในเปือกตม ความไม่มีโภคะของคนเขลาเหล่าน้ี เหมือนความหมดปลา ความไม่สามารถจะรวบรวม
โภคะไว้ได้โดยทางน้าหรือทางบกเป็นต้นในกาลบัดน้ีแล ของคนขลาเหล่าน้ี เหมือน ความไม่มีการโผ

๓๕ วชริ ญาณ มหาสมโณ, “ขุ.ธ.อ. ปญจฺ โม ภาโค”, (กรุงเทพมหานคร:มหามฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑),
๑๑๙

๓๖ สมเด็จพระพุทธชนิ วงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “งานวิจัยการศกึ ษาเชิงวิเคราะห์พระคาถาธรรมบท”,
หนา้ ๘๖๒.

๑๘๙

ข้ึนแล้วบินไปแห่งนกกะเรียนที่มีขนปีกอันเห้ียน เพราะฉะน้ัน คนเขลาเหล่านี้ จึงนอนซบเซาอยู่ใน
ที่น้เี อง เหมือนนกกะเรยี น มีขนปีกอนั เห้ียนแล้วฉะนนั้ ”

พระบาลีว่า จาปาติขีณาว หมายความวา่ หลุดจากแลง่ คอื พน้ แลว้ จากแล่ง
มีคาอธิบายกล่าวไว้ว่า "ลูกศรพ้นจากแล่งไปตามกาลังตกแล้ว เม่ือไม่มีใครจับมันยกข้ึน
มันก็ต้องเปน็ อาหารของหมู่ปลวกในทน่ี ้ันเอง ฉันใด ถึงคนเขลาเหล่าน้ี ก็ฉันนั้น ล่วง ๓ วัยไปแล้ว ก็
จักเข้าถึงมรณะ เพราะความไม่สามารถจะยกตนขน้ึ ได้ในกาลบัดนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรสั วา่ เสนตฺ ิ จาปาตขิ ีณาว
พระบาลีว่า ปุราณานิ อนุตฺถุน ความว่า ย่อมนอนทอดถอนคือเศร้าโศกถึงการกิน การ
ดม่ื การฟ้อน การขับ และการประโคมเป็นต้น ที่คนทาแลว้ ในกาลก่อนวา่ “พวกเรา กนิ แล้วอย่าง
นี้ ด่ืมแล้วอยา่ นี้๓๗

สงั เคราะห์พระคาถาในอริยสจั ๔ ดังนี้
พระคาถามี ๑ สจั จะ คือ ทุกขสจั จะ เพราะกล่าวถึงการไม่ประพฤติความดงี าม
อจริตวฺ า พรฺ หฺมจรยิ พวกคนเขลา ไมป่ ระพฤติพรหมจรรย์
อลทฺธนา โยพฺพเน ธน ไมไ่ ดท้ รพั ย์ในคราวยังเปน็ หนุ่มสาว
ชิณฺณโกญฺจาว ณายนตฺ ิ ยอ่ มซบเซาดงั นกกะเรียนแก่
ขีณมจฺเฉว ปลลฺ เล ซบเซาอยู่ในเปือกตมท่หี มดปลาฉะน้นั
เสนฺติ จาปาติขณี าว ปรุ าณานิ อนตุ ฺถุน ยอ่ มนอนทอดถอนถึงทรัพย์เกา่
เหมือนลกู ศรทต่ี กจากแล่งฉะนน้ั
และการอปุ มาเปรียบเทียบจัดเปน็ สมมตสิ ัจจะ

๕.๕.๒ สังคมและวัฒนธรรม
สงั คมแห่งการเสพอบายมุขมมี าตั้งแตใ่ นสมยั พทุ ธกาล อยา่ งบุตรของมหาเศรษฐี มที รัพย์
ต้งั ๑๖๐ โกฏิ เพียงแคเ่ ริ่มต้นจากการดื่มสรุ า แจกของสรุ ุ่ยสรุ า่ ย สุดทา้ ยไมเ่ หลอื อะไรเลย ทั้งที่เกดิ
เป็นคนดมี าตั้งแตป่ ฏสิ นธิจติ เรียกวา่ ปฏิสนธจิ ติ ดว้ ยไตรเหตุ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ หากมาฟัง
ธรรมของพระศาสดาตงั้ แต่ตน้ ก็จะบรรลเุ ป็นพระอรหันต์เลยทีเดยี ว

๓๗ ข.ุ ธ.อ.๔๒/๑๘๐-๑๘๕.

๑๙๐

๕.๕.๓ พุทธเศรษฐศาสตร์
มปี ระเด็นย่อยดงั น้ี
๑) เศรษฐกจิ อินเดยี ตง้ั แต่อดีตจนถงึ ปจั จบุ ันมีทรัพยากรท่ีม่งั คงั่ มนั่ คง
๒) เศรษฐกจิ จะดแี คไ่ หนกต็ าม หากไปปฏบิ ัติตามเศรษฐกิจพอเพยี ง มีสติ กจ็ ะเปน็ ดจุ นก
กะเรยี นแก่
๓) การที่มหาเศรษฐีมีทรัพย์สินมากมายเกิดความประมาท นาทรัพย์สินมาเพ่ือเสพสุข
สนองทางกายอย่างเดียวทาให้มีการทาลายอริยทรัพย์ท่ีพึงจะต้องได้ หากนามาแลกกับโลกุตรทรัพย์
ตัง้ แต่ยังหนมุ่ ก็ได้บรรลุพระอรหันต์ไปแล้ว แต่กลับได้มกี ารนาทรพั ยส์ ินมาเพ่ือเสพทางกามสขุ ัลลิกาน
โยคะ หมกหมุ่นกับการเสพสขุ ทางกาย ยอ่ มนาไปสู่อบาย คือ ทางแหง่ ความไมเ่ จริญอยา่ งเดียว

๕.๕.๓ สรปุ

บุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากผู้น้ี ผลาญทรัพย์เสีย ๑๖๐ โกฏิ พาภรรยาเที่ยวขอทานอยู่ใน
นครน้ีแล กถ็ า้ บตุ รเศรษฐไี มผ่ ลาญทรัพยใ์ ห้หมดสิน้ จักประกอบการงานในปฐมวยั ก็จักได้เป็นเศรษฐี
ช้นั เลิศในนครนแี้ ลและถา้ จกั ออกบวช กจ็ ักบรรลอุ รหนั ต์ แม้ภรรยาของเขากจ็ กั ดารงอยู่ในอนาคามิผล
ถา้ ไมผ่ ลาญทรัพย์ให้หมดไป จกั ประกอบการงานในมัชฌมิ วัย จกั ได้เปน็ เศรษฐีชน้ั ท่ี ๒ ออกบวชจักได้
เปน็ อนาคามี แม้ภรรยาของเขากจ็ ักดารงอยู่ในสกทาคามิผล ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ใหส้ ิ้นไป ประกอบการ
งานในปัจฉิมวัยจักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ ๓ แม้ออกบวช ก็จักได้เป็นสกทาคามีแม้ภรรยาของเขาก็จัก
ดารงอยู่ในโสดาปัตติผล แต่เด๋ียวนบ้ี ุตรเศรษฐนี ัน่ ทั้งเสอ่ื มแลว้ จากโภคะของคฤหสั ถ์ ท้ังเสื่อมแลว้ จาก
สามัญผล คร้ันเส่ือมแล้ว จึงเป็นเหมือนนกกะเรียนในเปือกตมแห้งฉะน้ันคนเขลา ไม่ประพฤติ
พรหมจรรย์ ไม่แสวงหาทรพั ย์เพ่ิมในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซาดังนกกะเรียนแก่ซบเซาอยู่ใน
เปือกตมที่หมดปลาแล้ว ชีวิตท่ีเหลือเหมือนลูกศรที่ตกจากแล่ง ไม่มีคุณค่า เหมือนบุตรของเศรษฐี
เกิดมามีปัญญามีทรัพย์ แต่เพราะเผลอสติเสพกามคุณอารมณ์ สุดท้ายชีวิตสญุ ทุกอย่างท้ังโลกยิ สมบัติ
และโลกตุ รสมบัติ ในกาลจบเทศนา ชนเปน็ อนั มากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มโี สดาปตั ตผิ ลเปน็ ต้น

๑๙๑

๕.๖ เรือ่ ง มหากาลอบุ าสก

เรื่อง มหากาลอุบาสก อยู่ในหมวดธรรม อัตตวรรค เป็นกลุ่มธรรมว่าด้วยเร่ืองของตนเอง
(ตัวเราเอง) เป็นกรณีการศึกษา ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) คุณค่าของธรรมบท (๒) สังคมวัฒนธรรม
(๓) พทุ ธเศรษฐศาสตร์ (๔) สรปุ ดังนี้

สถานที่ วัดพระเชตวัน เมืองสาวตั ถี แคว้ นโกศล
บคุ คลทีเ่ กี่ยวขอ้ ง พระสมั มาสัมพุทธเจา้ , มหากาล, นายทหาร, ภกิ ษุจานวน
มาก
ผล
ภกิ ษหุ ลายรปู ทมี่ าฟงั ธรรมบรรลุโสดาบันเปน็ ตน้

พระบาลีหรอื พุทธวจนะได้ตรัสว่า
อตตฺ นา ว๓๘ กต ปาป อตฺตช อตฺตสมภฺ ว

อภิมตฺถติ ทุมเฺ มธ วชิร วมฺหย มณึ๓๙

บาปท่ตี นเองทา เกิดในตน มีตนเป็นแดนเกดิ

ย่อมทาลายคนมปี ัญญาทราม

เหมอื นเพชรทีเ่ กดิ จากหินทาลายแกว้ มณี ฉะน้นั ๔๐

ครั้งสมัยพุทธกาล มหากาลน้ันเป็นผู้รักษาอุโบสถ ๘ วันต่อเดือน (เดือนละ ๘ วัน)
ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่งในวิหาร ครั้งน้ันพวกโจรตัดกุญแจบ้านในเรือนหลังหน่ึงในเวลากลางคืน
ถือเอาห่อของมีค่าไป พวกเจ้าของตื่นขนึ้ เพราะเสียงตัดโลหะ (กระทบกัน) จึงได้ติดตาม ท้ิงสิ่งของที่
ตนถือไว้แล้วก็หลบหนีไป ฝ่ายพวกเจ้าของติดตามโจรเหล่าน้ันเร่ือยไป พวกโจรเหล่าน้ันกระจัด
กระจายหนีกันไปท่ัวทิศ ส่วนโจรคนหน่ึง ถือเอาทางที่ไปยังวิหารทิ้งห่อของไว้ข้างหน้าอุบาสกมหา
กาลผู้ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่ง ล้างหน้าอยู่ริมสระโบกขรณีแต่เช้าตรู่แล้วก็หลบหนีไป ผู้คนท่ี
ติดตามหมู่โจรมาพบห่อส่ิงของแล้ว จึงจับอุบาสกมหากาลน้ันไว้ ด้วยกล่าวว่า “แกตัดกุญแจในเรือน

ของพวกฉัน ลักห่อสิ่งของไปแล้วเที่ยวเดินทาเป็นเหมือนฟงั ธรรมอยู่” ไดท้ บุ ใหต้ ายแล้วก็ท้งิ ไว้

ภิกษุหนุ่มและสามเณรท้ังหลายถือหม้อน้าด่ืมไปแต่เช้าตรู่พบอุบาสกมหากาลนั้น กล่าว
ว่า “อุบาสกฟังธรรมกถาอยู่ในวิหาร ได้ตายท่ีไม่สมควร” ดังนี้แล้วจึงได้กราบทูลแด่พระศาสดา
พระศาสดา ตรัสว่า “อย่างน้ันภิกษุท้ังหลาย นายมหากาล ถึงความตายไม่สมควรในอัตภาพน้ี
เทา่ นนั้ หาไม่ แต่เขาไดต้ ายสมควรแก่กรรมท่ีทาไวแ้ ลว้ ในกาลกอ่ นนน่ั แล” ภิกษุหนมุ่ และสามเณร
เหล่านนั้ ทูลอาราธนา จงึ ตรัสบรุ พกรรมของมหากาลนั้นวา่

ดังได้สดบั มา ในอดีตกาลพวกโจรซุ่มอย่ทู ่ีปากดงแห่งปัจจันตคามแห่งหนึ่ง ในแคว้นของ
พระเจ้าพาราณสี พระราชาทรงต้ังนายทหารคนหนึ่งไว้ท่ีปากดง ทหารนั้นรับค่าจ้างแล้วก็นาคนไป

๓๘ ข.ธ.อ. ฉฏฺโฐ ภาโค หนา้ เป็น หิ.
๓๙ ข.ุ ธ.(บาลี) ๒๕/๑๖๑/๔๕.
๔๐ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๖๑/๘๒.

๑๙๒

จากฟากข้างนี้ สู่ฟากข้างโน้น นาคนจากฟากข้างโน้นมาสู่ฟากข้างนี้ ต่อชายคนหน่ึงพาภริยารูปสวย
ของตนขึน้ สู่ยานนอ้ ยแล้ว ได้ไปถึงทีน่ ้ัน ทหารพอเหน็ หญงิ นั้นก็เกดิ สิเนหา เมือ่ มนษุ ย์นน้ั แม้กล่าวว่า
“นาย ขอท่านจงช่วยกระผมทั้งสองให้ผ่านพ้นดงเถิด” ก็ตอบว่า “บัดนี้ ค่ามืดเสียแล้วเช้าตรู่เถอะ

เราจกั ช่วยให้ทา่ นพน้ ไป”

ชาย. นาย ยงั มเี วลา ขอโปรดนากระผมทัง้ สอง ไปเดี๋ยวนเ้ี ถอะ
ทหาร. กลบั เถิดทา่ น อาหารและที่พักอาศยั จักมใี นเรือนของเราทเี ดยี ว
ชายคนน้ันไม่ปรารถนาอยู่เลย ฝา่ ยนายทหารนอกนี้ ให้สัญญาแกพ่ วกลูกน้องใหเ้ อายาน
น้อยกลับแล้ว ใหท้ ่ีพักอาศยั ท่ีซมุ้ ประตู ให้ตระเตรียมอาหารแก่เขาผู้ไม่ปรารถนาเลย ในเรอื นทหารมี
เเก้วมณดี วงหนึ่ง พวกทหารเอาแกว้ มณีน้นั ซอ่ นไว้ในซอกแห่งยานน้อยของชายผนู้ ้นั แล้วในเวลาจวนรุ่ง
ให้ทาเสียงเป็นพวกโจรเข้าไปบ้าน ลาดับน้ัน พวกบุรุษแจง้ แก่เขาวา่ “นาย แก้วมณถี ูกพวกโจรลักเอา

ไปแลว้ ”

นายทหารส่ังว่า “พวกเจ้าจงตั้งกองรักษาไว้ที่ประตูบ้านท้ังหลายตรวจค้นคนผู้ออกไป
จากภายในบ้าน” ฝ่ายชายคนนั้น จัดยานน้อยเสร็จแล้วก็ขับไปแต่เช้าตรู่ ทีน้ัน พวกทหารจึงค้นยาน
น้อยของมนุษย์น้ัน พบแก้วมณีท่ีตนซ่อนไว้จึงขู่พูดว่า “เจ้าลักเอาแก้วมณีหนีไป” ดังนี้แล้ว ก็โบย

แสดงแกน่ ายทหารวา่ “นาย พวกผมจับตวั ไดเ้ เลว้ ”

นายทหารพูดว่า “ตัวเราเป็นถึงนายราชภัฏให้พักอาศัยในเรือนให้ภัตแล้ว มันยังลัก
แก้วมณไี ปได้ พวกเจา้ จงจบั อา้ ยบุรุษช่วั ช้านั้น” ดังนี้แล้ว ให้ช่วยกันทบุ ตายแล้วใหท้ งิ้ เสยี นี้เป็นบุ
รพกรรมของมหากาลน้ัน นายทหารน้ันเคลือ่ นจากอัตภาพน้ันแล้วเกิดในอเวจี ไหม้อยู่ในอเวจีนั้นสิ้น
กาลนาน ถูกทุบถึงความตายอยา่ งนนั้ แล ใน ๑๐๐ อัตภาพ เพราะวบิ ากท่ียังเหลืออยู่

พระศาสดา คร้ันทรงแสดงบุรพกรรมของมหากาลอย่างนัน้ แล้วตรสั ว่า “ภิกษุทั้งหลาย
บาปกรรมอันตนทาไวน้ น่ั แล ยอ่ มย่ายสี ตั วเ์ หลา่ นี้ในอบาย ๔ อย่างน้ี” ดงั นี้แล้วตรัสพระคาถานว้ี ่า

อตตฺ นา ว กต ปาปํ อตตฺ ช อตฺตสมฺภว
อภิมตฺถติ ทุมเฺ มธ วชิรวมหฺ ย มณึ

บาปอันตนทาไว้เอง เกดิ ในตน มตี นเป็นแดนเกิด
ย่อมย่ายบี ุคคลผ้มู ปี ัญญาทราม ดจุ เพชรยา่ ยีแกว้ มณี อันเกิดแต่หินฉะน้ัน

ในกาลจบเทศนา ภิกษุทมี่ าประชุมบรรลุอริยผลทงั้ หลายมีโสดาปัตติผลเปน็ ต้น ๔๑

๔๑ ข.ุ ธ.อ. ๔๕/๒๐๙-๒๑๒.

๑๙๓

๕.๖.๑ คุณคา่ ของธรรมบท

พระพทุ ธโฆสมหาเถร อธบิ ายพระบาลีดงั นี้
พระบาลีว่า วชิรวมฺหย มณึ ความว่าเปรียบดงั เพชร ยา่ ยี แก้วมณีทเี่ กิดแต่หนิ

พระพุทธโฆสมหาเถระอธิบายคานี้ไว้ว่า “เพชรอันสาเร็จจากหิน มีหินเป็นแดนเกิด กัด
แก้วมณีที่เกิดแต่หินคือแก้วมณีอันสาเร็จแต่หิน ซึ่งนับว่าเป็นท่ีต้ังข้ึนของตนนั้นน่ันแล คือทาให้เป็น
ชอ่ งน้อยช่องใหญ่ ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ทาให้ใช้สอยไม่ได้ ฉันใด บาปอันตนทาไว้เเล้ว เกิดใน
ตน มีตนเป็นแดนเกดิ ย่อมย่ายี คอื ขจัดบุคคลผมู้ ปี ัญญาทราม คอื ผูไ้ ร้ปัญญา ในอบาย ๔ ฉนั นน้ั
เหมือนกัน

สมเดจ็ พระพทุ ธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ) อธิบายวา่
คาวา่ ปาปํ หรือ บาป มคี วามหมายวา่ ผลกั ดนั ผูท้ ที่ าให้ไปอบายท้ังทไ่ี ม่ไดป้ รารถนา
คาว่า อตฺตช บาปท่เี กิดจากตนเอง
คาวา่ อตฺตสมฺภว หมายความวา่ บาปทเ่ี กิดมใี นตน

พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบบาปท่ีตนทาเอง บาปท่ีเกดิ ในตนเองและบาปท่ีตนเอง
กอ่ ไว้วา่ ย่อมทาลายคนโง่ใหย้ อ่ ยยบั เหมอื นเพชรทาลายแก้วมณที ่ีเกดิ จากหนิ ๔๒

สังเคราะหพ์ ระบาลีในอริยสจั ๔ ดังนี้

พระคาถานี้ ตรสั ถึงบาป อย่างเดียว จงึ มี ๒ สัจจะคือ ทกุ ข์สัจจะและสมุทยสัจจะ ความ
อยากท่ีเหน็ เหตใุ หเ้ กิดทกุ ขใ์ นอบาย

อตตฺ นา ว กต ปาปํ บาปอนั ตนทาไว้เอง
อตฺตช อตตฺ สมภฺ ว เกิดในตน มตี นเป็นแดนเกิด
อภิมตฺถติ ทมุ เฺ มธ ย่อมยา่ ยบี คุ คลผ้มู ีปญั ญาทราม

วชิร วมฺหย มณึ ดุจเพชรยา่ ยีแก้วมณี อนั เกิดแตห่ ินฉะนัน้

ดังนั้น สิ่งที่เราประสพส่ิงท่ีไม่ดี อันไม่น่าปรารถนา ทุกข์ ย่อมเกิดจากการกระทาของเรา
เองจากบุรพกรรมเกา่ ทั้งสน้ิ

๕.๖.๒ สังคมและวฒั นธรรม
การเข้าวัด ฟงั ธรรมตลอดวนั และคืน ถอื ว่าเปน็ วฒั นธรรมท่ีเขม้ แขง็ ในสมัยพทุ ธกาล

๔๒ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ), “งานวิจัยการศึกษาเชิงวิเคราะห์ พระคาถาธรรมบท
เล่ม ๒”, หนา้ ๒๙.

๑๙๔

๕.๖.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

การมชี ีวติ ดารงอย่ดู ้วยการประกอบอาชพี ท่เี ป็นสัมมาอาชีวะน้ี เป็นการยากท่ีจะดารงชวี ิต
อย่างถกู ตอ้ ง เรือ่ งนส้ี ะท้อนวา่

๑) การค้า การขายต้องอยู่พ้ืนฐานของความไม่โลภ ช่อโกงอย่างอื่น แลไม่ควรมี
ผลประโยชน์ที่ไม่เก่ียวข้องนามาเก่ียวข้องด้วย เช่น นายทหารรับจ้างคุ้มครองคน แต่กลับมีความโลภ
คือ ภรรยาของคนอื่นมาเกี่ยวข้องดว้ ย สดุ ทา้ ยต้องตกนรก ซ่ึงไม่คุม้ คา่

๒) การค้าต้องทาด้วยสุจริตและซ่ือสัตย์ ต่อผู้ค้า ผู้ขาย อย่าทาตัวเป็นคนอกตัญญู ดัง
เพชรทีเ่ กิดจากหนิ ทาลายหนิ

ตามหลักแห่งพุทธเศรษฐศาสตร์แล้ว การค้าขายท่ีถูกที่ต้องนั้น จะต้องไม่เป็นการเบียน
เบียนผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์ด้วย อย่างกรณีของกลุ่มของทหารน้ีนอกจากจะประกอบมิจฉาชีพแล้ว
ยงั ผดิ ศีล คือ ปาณาติบาตดว้ ย

๕.๖.๔ สรุป

อุบาสกมหากาลฟังธรรมกถาอยู่ในวิหาร ไม่นานได้ตายด้วยฆาตกรรมท่ีไม่สมควร
สืบเนื่องจากอดีตบุรพกรรมเก่า พระศาสดา ตรัสว่า นายมหากาล ถึงความตายไม่สมควรใน
อัตภาพนี้เท่าน้ันหาไม่ แต่เขาได้ตายสมควรแก่กรรมท่ีทาไว้แล้วในกาลก่อนน่ัน บุรพกรรมของ
มหากาลน้ัน นายทหารน้ันเคล่อื นจากอตั ภาพน้นั แล้วเกดิ ในอเวจี ไหม้อยใู่ นอเวจีนนั้ สน้ิ กาลนาน ถูก
ทบุ ถึงความตายอย่างน้นั แล ใน ๑๐๐ อตั ภาพ เพราะวิบากท่ยี ังเหลอื อยู่ และไดต้ รัสวา่ บาปอนั ตน
ทาไวเ้ อง เกิดในตน มตี นเป็นแดนเกิด ย่อมย่ายีบคุ คลผู้มีปัญญาทราม ดุจเพชรย่ายีแก้วมณี อนั เกิด
แตห่ ิน

๑๙๕

๕.๗ เรอ่ื ง มหาธนวานิช

เร่ือง มหาธนวานชิ อยู่ในหมวดธรรมของมัคควรรค ว่าด้วยหนทางไปสสู่ วรรค์ มรรค ผล
นิพพาน มี ๑๐ เร่อื ง ในทน่ี ี้ได้เลือกมา ๑ เร่ือง ได้แก่ มหาธนวานิช (พ่อคา้ ผ้มู ีทรัพยม์ าก)

สถานท่ี พระเชตะวนั
บุคคล พระสมั มาสมั พุทธเจ้า, พ่อค้าเกวยี นมที รัพยม์ าก

ผล พอ่ ค้าบรรลุโสดาบัน ประชาชนจานวนมากบรรลุโสดาบันเปน็ ต้น

พระบาลีหรือพุทธวจนะไดต้ รสั วา่

อิธ วสฺส วสิสสฺ ามิ อิธ เหมนตฺ คิมหฺ สิ ุ
อติ ิ พาโล วิจินฺเตติ อนตฺ ราย น พุชฌฺ ติ๔๓

คนพาลมักคดิ เช่นนว้ี า่ “เราจกั อย่ทู ีน่ ี่ตลอดฤดฝู น

เราจกั อยทู่ ่ีน่ีตลอดฤดหู นาวและฤดูรอ้ น”
ชอื่ ว่ายอ่ มไม่รอู้ ันตรายที่จะมาถึงตน๔๔

คร้ังหน่ึง พ่อค้าน้ันบรรทุกผ้าซ่ึงย้อมด้วยดอกคา จนเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม จากกรุง
พาราณสีแลว้ มาสู่กรงุ สาวัตถเี พอื่ คา้ ขายพอถึงฝงั่ แม่นา้ แล้ว คิดว่า “พรุง่ น้ีเราจงึ จักข้ามแม่นา้ ” ปลด
เกวียนแล้วพักอยู่ท่ีฝ่ังน้ันน่ันแล ตอนกลางคืน เมฆก้อนใหญ่ต้ังขึ้นฝนตกตลอดวันคืน ๗ วัน แม่น้า
เต็มด้วยน้าได้ พระพุทธเจ้าทรงพักอยู่ในพระนครสาวัตถี พวกชนก็เล่นนักษัตรกันตลอด ๗ วนั การ
ยอ้ มผ้าดว้ ยดอกคาไม่มี พ่อค้าจงึ คดิ ว่า “เรามาสู่ที่ไกล ถ้าเราจกั ไปอีก ความเนิน่ ช้าก็จักมี เราจักอยู่

ทาการงานของเราในทีน่ ีแ้ หละ ตลอดฤดูฝน ฤดหู นาวและฤดูรอ้ น แลว้ ขายผ้าเหล่านี้”

พระศาสดาเสด็จเท่ียวไปบิณฑบาตในพระนคร ทรงทราบวาระจิตของเขาแล้วทรงทา
ความยิ้มแย้มให้ปรากฏ พระอานนทเถระทูลถามเหตุแห่งการทรงยิ้มแย้ม จึงตรัสว่า “อานนท์ เธอ

เหน็ พอ่ ค้ามที รพั ยม์ ากไหม”

อานนท์. เหน็ พระเจา้ ข้า
พระศาสดา. เขาไมร่ ู้อนั ตรายแหง่ ชวี ติ ของตน จึงได้ตั้งจิตเพื่ออยู่ขายสิง่ ของในทน่ี ้ีแหละ
ตลอดปนี ้ี
อานนท์. ข้าแต่พระองคผ์ เู้ จรญิ ก็อนั ตรายจกั มแี ก่เขาหรือ
พระศาสดา. ใช่ อานนท์ พวกเขามีชีวิตอยู่ไดต้ ลอด ๗ วนั เทา่ นั้น กจ็ กั ต้ังอยู่ในปากแห่ง
มัจจุราช ดังนี้แล้ว ไดท้ รงภาษติ พระคาถาเหล่าน้ีวา่

๔๓ ขุ.ธ.(บาลี) ๒๕/๒๘๖/๖๖.
๔๔ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๒๘๖/๑๒๑.

๑๙๖

อชเฺ ชว กจิ จฺ มาตปปฺ โก ช ฺ า มรณ สุเว
น หิ โน สงฺครนฺเตน
เอว วิหาริ มาตาปึ มหาเสเนน มจจฺ ุนา
อโหรตตฺ มตนฺทิต
ต เว ภทฺเทกรตโฺ ตติ สนฺโต อาจิกขฺ เต มุนี๔๕

ควรทาในวนั น้ที ีเดียว ใครพึงรู้ได้วา่ ความตายจะมีในวันพรุ่งนี้

เพราะวา่ ความผัดเพี้ยนด้วยความตาย ซึง่ มเี สนาใหญ่นน้ั ไมม่ เี ลย
มนุ ผี้ ้สู งบยอ่ มเรียกบุคคลผมู้ ปี กตอิ ยู่อยา่ งนนั้ มีความเพียร
ไมเ่ กียจคร้าน ตลอดกลางวันและกลางคืนน้ันแลวา่ ผู้มีราตรีเดียวเจริญ๔๖

อานนท์. ขา้ พระองค์จักไปบอกแก่เขา พระเจ้าข้า
พระศาสดา. อานนท์ เธอคนุ้ เคยกันก็ไปบอกเถิด

พระเถระไปสูท่ ่ีเกวียนแล้วทาทีไปบิณฑบาต พอ่ ค้าต้อนรบั พระเถระด้วยอาหารลาดบั นัน้
พระเถระจึงกลา่ วกะพ่อค้านัน้ วา่ “ทา่ นจกั อยู่ในทน่ี ี้ นานเท่าไร”

พ่อค้า. ท่านผู้เจริญ ผมมาแต่ที่ไกล ถ้าจักไปอีก ความเน่ินช้าจักมี ผมจักอยู่ในท่ีนี้

ตลอดปีน้ี ขายสง่ิ ของหมดแล้วจักไป

อานนท์. อุบาสก อันตรายแห่งชีวิตรไู้ ด้ยาก การทาความไม่ประมาท จึงจะควร
พ่อคา้ . ทา่ นผ้เู จริญ ก็อันตรายจกั มหี รอื

อานนท์. เออ อุบาสก ชีวิตของท่านจักเปน็ ไปไดต้ ลอด ๗ วนั เทา่ นั้น
เขาเป็นผ้มู ใี จสงั เวชแลว้ นมิ นตภ์ ิกษสุ งฆ์ มีพระพทุ ธเจ้าเปน็ ประมุข ถวายมหาทาน
ตลอด ๗ วัน

คนเขลาย่อมไมร่ ู้อนั ตรายแห่งชีวติ

ลาดับนั้น พระศาสดาเม่ือจะทรงทาอนุโมทนาแก่เขา ตรัสว่า “อุบาสก ธรรมดาบัณฑิต
คิดว่า ‘เราจักอยู่ในท่ีนี้นี่แหละตลอดฤดูฝนเป็นต้น จักประกอบการงานชนิดนี้ ๆ’ ย่อมไม่ควร
ควรคดิ ถึงอันตรายแห่งชวี ติ ของตนเท่าน้นั ” ดังนี้แล้ว จึงตรสั พระคาถานวี้ ่า

อิธ. วสฺส วสสิ สิ ามิ อิธ เหมนฺตคมิ หฺ สิ ุ
อติ ิ พาโล วจิ ินฺเตติ อนตฺ ราย น พชุ ฺฌติ

๔๕ ข.ุ ธ.อ. (สตฺตโม ภาโค) /๘๕
๔๖ มุ.อ.ไทย๑๔/๒๘๗/๓๔๔.

๑๙๗

คนพาลยอ่ มคดิ วา่ เราจกั อยใู่ นทนี่ ี้ตลอดฤดูฝน
จกั อยู่ในทน่ี ้ี ในฤดหู นาวและฤดูร้อน หารู้อนั ตรายไม่
ในกาลจบเทศนา พ่อค้านั้นดารงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว เทศนาได้มีประโยชน์ แม้แก่
บุคคลที่ประชุมกันแล้ว ฝ่ายพ่อค้าตามส่งเสด็จพระศาสดาแล้ว กลับมานอนบนท่ีนอน ด้วยคิดว่า
“ดูเหมือนโรคในศีรษะจะเกิดขึ้นแก่เรา” นอนแล้วด้วยอาการน้ันแหละ ทากาละแล้วบังเกิดในดุสิต
วิมาน๔๗
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น เทศนา
เกิดประโยชนแ์ ก่มหาชนแล้ว

๕.๗.๑ คุณคา่ ของธรรมบท
พระบาลีว่า อิธ วสฺส ความว่า เราจักอยู่ทาการงานชนิดนี้ ๆ ในท่ีนี้ ตลอดฤดูฝน ๔
เดอื น
พระบาลวี ่า เหมนฺตคิมฺหิสุ ความว่า คนพาลผู้ไม่รปู้ ระโยชนอ์ นั เป็นไปในทิฏฐธรรมและ
สัมปรายภพ ย่อมคิดอย่างนี้ว่า “เราจักอยู่ทาการงานชนิดนี้ ๆ ในท่ีน้ีน่ีแหละ ตลอด ๔ เดือน
แมใ้ นฤดูหนาวและฤดรู ้อน”
พระบาลีว่า อนฺตราย ความว่า ย่อมไม่รู้จักอันตรายแห่งชีวิตของตนว่า “เราจักตายใน
เวลา สถานที่ หรือวัยไหน”๔๘
ชื่อวา่ อนั ตราย เพราะขดั ขวางตอ่ สมบัตนิ ้นั ๆ๔๙
พระคาถาน้ี ตรัสถึงคนประมาท ล้วนแลว้ แตเ่ ป็นทกุ ขสจั จะท้ังสิน้

๕.๗.๒ สังคมและวัฒนธรรม
มีประเด็นย่อยดา้ นสังคมวัฒนธรรมดังนี้
๑) การทามาคา้ ขายทางการเกษตรและอน่ื ด้วยการเดินทางไกลด้วยเกวยี นและมา้ ถือวา่
เปน็ วถิ ีชวี ิตของอินเดยี สมยั พุทธกาล
๒) พระคาถานี้ พระสงฆไ์ ทยนยิ มนามาเทศน์บ่อย ๆ โดยเฉพาะงานศพ เพอื่ ใหผ้ ฟู้ งั จะ
ได้ไมป่ ระมาทในการดารงชีวิต

๔๗ ข.ุ ธ.อ.๔๓/๑๓๒-๑๓๕.
๔๘ ข.ุ ธ.อ. สตตฺ โม ภาโค /๘๒.
๔๙ สมเดจ็ พระพุทธชนิ วงศ์ (อปุ สมมหาเถร), งานวิจยั การศึกษาเชิงวเิ คราะห์ พระคาถาธรรมบท เล่ม
๒, (กรงุ เทพมหานคร:ประยรู สาส์นไทยการพมิ พ,์ ๒๕๔๖), หน้า ๕๗๗.

๑๙๘

๕.๗.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

อาชีพพ่อค้า เป็นอาชีพท่ีมีความเส่ียงอันตรายเสมอ เมื่อเสียชีวิตในขณะดารงชีพ ย่อมมี
ผลกระทบต่อครอบครัวและสังคมวงกว้าง แต่หลักการแห่งพุทธเศรษฐศาสตร์น้ันการทามาค้าขายอัน
ประกอบด้วยสมั มาชีพน้ันถือว่าเป็นกาไรแหง่ ชีวิต เหมือนพอ่ ค้ากลมุ่ นีเ้ ปน็ พ่อค้าได้มีโอกาสทาบญุ กับ
สมณะและได้ฟังธรรม ถือว่าได้นาโลกิยทรัพย์มาแลกเปล่ียนกับโลกุตรทรัพย์ เป็นพ่อค้าท่ีได้กาไรและ
ประโยชนส์ ูงสดุ คอื พระนพิ พาน นบั ว่าเปน็ แบบอยา่ งทด่ี ีของความเปน็ อุบาสกในพระพทุ ธศาสนา

๕.๗.๔ สรุป

พ่อค้านั้นบรรทุกผ้าซ่ึงย้อมด้วยดอกคา จนเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม จากกรุงพาราณสีแล้ว
มากรุงสาวัตถเี พ่ือค้าขายพอถึงฝง่ั แม่น้าแล้วคิดว่า “พรงุ่ นี้เราจึงจักข้ามแม่น้า” ปลดเกวียนแล้วพักอยู่
ที่ฝั่งน้ันน่ันแล ตอนกลางคืน เมฆก้อนใหญ่ตั้งข้ึนฝนตกตลอดวันคืน ๗ วัน แม่น้าเต็มด้วยน้าได้
พระพทุ ธเจ้าทรงพักอยใู่ นพระนครสาวัตถี พวกชนก็เล่นนักษัตรกนั ตลอด ๗ วนั การย้อมผ้าด้วยดอก
คาไม่มี พ่อค้าจึงคิดว่า “เรามาสู่ท่ีไกล ถ้าเราจักไปอีก ความเนิ่นช้าก็จักมี เราจักอยู่ทาการงานของ
เราในท่ีน้ีแหละ ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน แล้วขายผ้าเหล่าน้ี”พระพุทธองค์ตรัสว่าพ่อค้า
กลุ่มน้ีประมาทใหพ้ ระอานนท์ไปช้ีแนะและพระองค์ได้ตรัสสอนว่า คนไม่มีปัญญาย่อมคิดว่า เราจกั อยู่
ในที่นี้ตลอดฤดูฝน จักอยู่ในท่ีน้ีในฤดูหนาวและฤดูร้อน หารู้อันตรายไม่ ดังน้ันควรทาความดีในวันนี้
ทเี ดียว พึงรู้ได้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่งนี้เพราะว่าความผัดเพ้ียนด้วยความตาย ซึ่งมีเสนาใหญ่น้ัน
ไม่มีเลย พระอรหันต์ท้ังหลายผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปกติอยู่อย่างนั้น มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน
ตลอดกลางวันและกลางคืนน้ันแลว่าผู้มีชีวิตอยู่ราตรีเดียวก็นับว่าเจริญแล้วในกาลจบเทศนา พ่อค้า
นน้ั บรรลุโสดาปตั ตผิ ล

๑๙๙

๕.๘ เร่อื ง พระวงั คีสเถระ

เร่ือง พระวังคีสเถระ อยู่ในหมวดธรรมของมัคควรรค ว่าด้วยหนทางไปสู่สวรรค์ มรรค
ผล นิพพาน มี ๒๙ เรื่อง ในทนี่ ี้ไดเ้ ลอื กมา ๑ เรื่อง ไดแ้ ก่ พระวังคีสะ

สถานที่ พระเชตวัน
บุคคล พระพุทธเจา้ , พระวงั คสี ะ

ผล พระวังคสี ะบรรลอุ รหนั ต์, ประชาชนเป็นจานวนมากบรรลโุ สดบนั เป็นตน้

พระบาลีหรอื พทุ ธวจนะไดต้ รสั ว่า

จตุ ึ โย เวทิ สตตฺ าน อปุ ปตฺติ จฺ สพฺพโส

อสตฺต สุคต พุทธฺ ตมห พฺรมู ิ พฺราหมฺ ณ

ยสสฺ คตึ น ชานนฺติ เทวา คนฺธพฺพมานุสา

ขณี าสว อรหนตฺ ตมห พรฺ มู ิ พรฺ าหมฺ ณ๕๐

ผู้ใดรูก้ ารจุตแิ ละการอบุ ัตขิ องสตั วท์ ั้งหลายโดยประการทั้งปวง

เราเรียกผ้นู น้ั ซง่ึ เป็นผูไ้ ม่ติดขอ้ งไปดีแลว้ และตรสั รแู้ ลว้ วา่ พราหมณ์
ผู้ใดมีคติที่เทวดา คนธรรพ์ และมนษุ ย์ กร็ ู้ไมไ่ ด้
เราเรยี กผู้นั้นซึ่งเป็นอรหันตขีณาสพว่า พราหมณ์๕๑

[ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.palungdham.com/phra_wangkeesa.html, [๑๗ เม.ย.
๒๕๖๓].

๕๐ ข.ุ ธ.(บาลี) ๒๕/๔๑๙/๙๐.
๕๑ ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๔๑๙/๑๖๗.

๒๐๐

พราหมณ์ในกรุงราชคฤห์คนหน่งึ ชื่อวังคีสะเคาะกะโหลกศีรษะของพวกมนุษย์ท่ตี ายแล้วกู้
รไู้ ด้ว่า “น้ีเป็นศรี ษะของผู้เกดิ ในนรก นี้เป็นศรี ษะของผู้เกดิ ในกาเนิดสัตว์ดิรจั ฉาน นี้เปน็ ศีรษะของผู้
เกดิ ในเปรตวิสัย นเ้ี ป็นศรี ษะของผู้เกิดในมนุษยโลก น้ีเปน็ ศีรษะของผู้เกดิ ในเทวโลก” พวกพราหมณ์
คิดว่า “พวกเราอาศัยวังคีสพราหมณ์น้ี ก็สามารถหากินกะชาวโลกได้” จึงให้เขานุ่งผ้าแดง ๒ ผืน
แล้วพาเที่ยวไปชนบทกล่าวกะพวกมนุษย์ว่า “พราหมณ์ชื่อวังคีสะน่ัน เคาะ กะโหลกศีรษะของพวก
มนุษยท์ ีต่ ายแลว้ กร็ ู้จักที่เกดิ พวกทา่ นจงถามถงึ ทีพ่ วกญาติของตน ๆ เกิดแล้วเกดิ แล้ว” จึงถามถึงที
พวกญาติเกิดแล้ว พราหมณ์เหล่านั้นถึงกรุงสาวัตถีโดยลาดับแล้ว ยึดเอาที่พักในที่ไม่ไกลแห่ง
พระเชตวัน พวกเขาเห็นมหาชนผู้บริโภคอาหารเชา้ แลว้ มีมือถือของหอมและระเบียบดอกไมเ้ ป็นต้น
กาลังเดินไปเพ่ือฟังธรรม จึงถามว่า “พวกท่านไปไหนกัน” เมื่อมหาชนน้ันบอกว่า “ไปสู่วิหาร เพื่อ
ฟังธรรม” จึงกล่าวว่า “พวกท่านจักไป.ในที่นั้นทาอะไร บุคคลผู้ทัดเทียมกับวังดีสพราหมณ์ของพวก
เรา ย่อมไม่มี เขาเคาะกะโหลกศีรษะของพวกมนุษย์ที่ตายแล้ว กร็ ู้ทเี่ กิดได้พวกท่านจงถามถงึ ทีพ่ วก
ญาตเิ กิดเถิด”

มนุษย์เหล่านั้นกล่าวว่า “วังคีสะจะรู้อะไร บุคคลผู้ทัดเทียมกับพระศาสดาของพวกเรา
ไม่มี” เม่ือพวกพราหมณ์แม้นอกน้ี กล่าวว่า “บุคคลผู้ทัดเทียมกับวังคีสะ ไม่มี เถียงกันแล้ว กล่าว
วา่ “มาเถดิ บดั นี้ พวกเราจกั รู้วา่ วงั คสี ะของพวกทา่ น หรือพระศาสดาของพวกเรามคี วามรู้” แล้วได้
พาพราหมณเ์ หลา่ นนั้ ไปสู่วหิ าร

พระศาสดาทรงทราบว่าชนเหล่านั้นมา จึงรับส่ังให้นากะโหลกศีรษะมา ๕ ศีรษะ คือ
“ศีรษะของสัตว์ผู้เกิดในฐานะท้ัง ๔ คือ ในนรก ในกาเนิดดิรัจฉาน ในมนุษยโลก ในเทวโลก ๔
ศีรษะ และกะโหลกศีรษะของพระขีณาสพ รับสัง่ ให้วางไว้ตามลาดบั ในเวลาท่ีวงั คสี ะมาแลว้ จึงตรัส
ถามวังคสี ะว่า “ทราบวา่ ท่านเคาะกะโหลกศีรษะแลว้ รทู้ เ่ี กิดของสตั ว์ท้ังหลายผตู้ ายแลว้ หรือ”

วงั คีสะ. พระเจ้าข้า ข้าพระองคร์ ู้ได้
พระศาสดา. น้กี ะโหลกศีรษะของใคร

เขาเคาะ กะโหลกศีรษะน้นั แล้ว กราบทลู ว่า “ของสัตว์ผ้เู กดิ ในนรก” ลาดบั นน้ั พระ
ศาสดาประทานสาธกุ ารแก่เขาว่า “ดีละ” จึงตรสั ถามถงึ ศีรษะทัง้ ๓ นอกนี้ ในขณะท่เี ขากราบทลู
แลว้ ๆ ไม่ผดิ กป็ ระทานสาธุการเหมือนอยา่ งนนั้ จงึ ทรงแสดงกะโหลกศรี ษะที่ ๕ ตรัสถามว่า
“นีก้ ะโหลกศีรษะของใคร” เขาเคาะ กะโหลกนัน้ แล้ว ไมร่ ู้ที่เกดิ

ทนี ้ัน พระศาสดาตรสั กะเขาว่า “วังคีสะ ท่านไมร่ ้หู รือ”
วงั คสี ะ .พระเจา้ ข้า ขา้ พระองค์ไมร่ ู้
พระศาสดา. ฉันรู้
วงั คสี ะ. พระองค์ทรงทราบด้วยอะไร
พระศาสดา. ทราบด้วยกาลังมนต์

ลาดับน้ัน วงั คีสะทลู วงิ วอนพระองคว์ า่ “ขอพระองค์จงประทานมนตน์ แี้ ก่ข้าพระองค์”
พระศาสดาตรสั ว่า “เราไม่สามารถจะให้มนตแ์ กบ่ ุคคลผู้ไม่บวชได้”

๒๐๑

เขาคิดว่า “เม่ือเราเรียนมนต์น้ีแล้ว เราก็จักเป็นผู้ประเสริฐในชมพูทวีปทั้งสิ้น” จึงส่ง
พราหมณ์เหล่านน้ั ไป ด้วยคาวา่ “พวกทา่ นจงอยู่ในทน่ี ัน้ นน่ั แหละส้นิ ๒- ๓ วนั ฉันจกั บวช” แล้วได้
บรรพชาอปุ สมบทในสานกั พระศาสดา ไดเ้ ปน็ ผมู้ นี ามวา่ วงั คสี เถระ

ลาดับนั้น พระศาสดาประทานกัมมัฏฐานมีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์แก่เธอแล้ว ตรัสว่า
“เธอจงสาธยายบรกิ รรมมนต์”

พระวังคีสเถระนั้นสาธยายมนต์อยู่ ถูกพวกพราหมณ์ถามในระหว่าง ๆ ว่า “ท่านเรียน
มนต์ได้แล้วหรือยัง” จึงบอกว่า “พวกท่านจงรอก่อน ฉันกาลังเรียน” ต่อกาล ๒-๓ วันเท่าน้ันก็ได้
บรรลุพระอรหัต ถูกพราหมณ์ท้ังหลายถามอีก จึงกล่าวว่า “ท่านผู้มีอายุ บัดน้ีฉันไม่ควรเพื่อจะไป”
พวกภิกษุได้ยินคานั้นแล้ว จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า “พระเจ้าข้าพระวังคีสเถระนี้ พยากรณ์พระ
อรหตั ผล ดว้ ยคาไม่จรงิ ”

พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย พวกเธออย่ากล่าวอย่างน้ัน ภิกษุทั้งหลาย บัดน้ีบุตร

ของเราฉลาดในเรอื่ งการจุตแิ ละปฏิสนธแิ ล้ว” ดังนี้แล้ว ได้ตรสั พระคาถาเหล่านี้วา่

จตุ ึ โย เวทิ สตฺตาน อุปปตตฺ ิญจฺ สพฺพโส
อสตตฺ สุคต พุทฺธ ตมห พฺรูมิ พฺราหฺมณ
ยสสฺ คตึ น ชานนตฺ ิ เทวา คนฺธพพฺ มานุสา

ขณี าสว อรหนตฺ ตมห พฺรูมิ พรฺ าหมฺ ณ

ผู้ใด รูจ้ ตุ ิและอบุ ัติของสตั ว์ท้ังหลายโดยประการท้ังปวง
เราเรียกผนู้ นั้ ซึ่งไมข่ ้อง ไปดี รู้แล้วว่าเป็นพราหมณ์
เทพยดา คนธรรพแ์ ละหมู่มนุษย์ย่อมไม่รู้คติของผ้ใู ด

เราเรยี กผู้นั้น ซ่ึงมีอาสวะสน้ิ แลว้ ผูไ้ กลกิเลสว่า เป็นพราหมณ์

ในกาลจบเทศนา ชนเปน็ อนั มากบรรลุอรยิ ผลท้ังหลาย มีโสดาปตั ติผลเป็นต้น ๕๒

๕.๘.๑ คุณคา่ ของธรรมบท

คุณค่าแหง่ พระคาถานั้น ดงั น้ี
พระบาลีว่า โย เวทิ เป็นต้น หมายความว่า ผู้ใดรู้จุติปฏิสนธิของสัตว์ท้ังหลาย โดย
ประการทั้งปวงอย่างแจ้งชัด เราเรียกบุคคลผู้น้ัน ซึ่งช่ือว่า ไม่ข้อง เพราะความเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง
ชอ่ื ว่าไปดแี ล้ว เพราะความเปน็ ผู้ไปดแี ล้วด้วยการปฏิบัติ ชื่อวา่ ผ้รู ้แู ลว้ เพราะความเปน็ ผ้รู ู้สัจจะท้ัง
๔ วา่ เป็นพราหมณ์

๕๒ ข.ุ ธ.อ.๔๓/๕๕๗-๕๖๑.

๒๐๒

พระบาลีว่า ยสฺส เป็นต้น หมายความว่า เทพดาเป็นต้นเหล่านั้น ไม่รู้คติของผู้ใด เรา
เรียกผนู้ ั้น ซึ่งช่ือว่า มีอาสวะส้ินแล้ว เพราะความท่อี าสวะท้ังหลายสิ้นแล้ว ชื่อว่า ผู้ไกลกิเลส เพราะ
ความเปน็ ผู้ห่างไกลจากกิเลสท้งั หลายว่า เปน็ พราหมณ์

พราหมณ์กด็ ี ภิกษกุ ด็ ี หมายถึง ผทู้ ี่ทาลายกิเลสและรู้อริยสัจ ๔ พระคาถาทัง้ หมดนี้
เปน็ นโิ รธสจั จะ กล่าวถงึ ความหมดส้ินกิเลส

๕.๘.๒ สังคมและวัฒนธรรม

มีสังคมวัฒนธรรมดังนี้

๑) การทามาหากนิ หรือประกอบวชิ าชีพทางไสยศาสตร์เป็นวิถีชวี ิตของสังคมอนิ เดีย
และของไทยมาจนถงึ ทุกวันนี้

๒) คาว่า พราหมณ์ ในสมัยพุทธกาลเปน็ สิ่งที่สงคมให้คุณค่าว่า เปน็ ของสงู รวมถึง
ตคี วามวา่ หมายถึง พระอรหันต์

๕.๘.๓ พทุ ธเศรษฐศาสตร์

มปี ระเด็นย่อยทางเศรษฐศาสตร์ดังน้ี

๑)การใช้หลักไสยศาสตร์เป็นเคร่ืองดารงชีพ ทามาหากิน ก็ถือว่า เป็นอาชีพประเภทหนึ่ง
ซ่งึ ก็เป็นความสมัคใจของลูกค้า ใช้ต้นทุนคอื ความรู้ ความเชีย่ วชาญก็ถอื ว่า ลงทุนน้อย แต่ได้กาไรมาก
ซงึ่ ทามาต้ังแตส่ มยั พทุ ธกาล

๒) วังคีสะมานพได้มีความพยายามแลกเปล่ียนมนต์กับพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่
ยอมแลกเปลี่ยน และกลับจะมอบให้ฟรี แต่วังคีสะต้องบวชในพระพุทธศาสนาก่อน ซึ่งวังคีสะก็ตกลง
เพือ่ จะได้นาความรูท้ ่พี ระพุทธเจ้ามอบใหไ้ ปประกอบวชิ าชีพต่อ

๓) การลงทุนเพื่อได้ผลกาไรทางพระพุทธศาสนา คือ การออกจากกาม ผลกาไรคือ
อรยิ ทรัทพย์ คือ มรรค ผล นพิ พาน และพระวังคีสะไดล้ งทุนด้วยนากายใจไปศึกษา ผลตอบแทนจึงได้
กาไรมากกวา่ ทคี่ ิดไวน้ บั ไมไ่ ด้

๒๐๓

๕.๘.๔ สรุป

พราหมณ์ในกรุงราชคฤหค์ นหนงึ่ ชื่อวังคีสะเคาะกะโหลกศีรษะของพวกมนษุ ย์ทีต่ ายแล้วกู้
รู้ได้ว่า นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในนรก นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในกาเนิดสัตว์ดิรัจฉาน น้ีเป็นศีรษะของผู้
เกิดในเปรตวิสัย นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในมนุษยโลก น้ีเป็นศีรษะของผู้เกิดในเทวโลก แต่พอเคาะหัว
กะโหลกพระอรหันต์ไม่ทราบท่ีเกิด ต่อมาได้บวชในพระพุทธศาสนาเพ่ือเรียนมนต์เคาะกะโหลกกับ
พระพุทธเจ้าและได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ พระวังคีสเถระนั้นสาธยายมนต์ อาการ ๓๒ ถูกพวก
พราหมณ์ถามในระหว่าง ๆ ว่า “ท่านเรียนมนต์ได้แล้วหรือยัง” จึงบอกว่า “พวกท่านจงรอก่อน ฉัน
กาลังเรียน” ตอ่ กาล ๒-๓ วันเท่าน้ันก็ได้บรรลพุ ระอรหัต และพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ผู้รจู้ ุติและอุบัติของ
สัตว์ท้งั หลาย ผู้นน้ั ซึ่งไมข่ ้อง ไปดี ร้แู ล้ววา่ เปน็ พราหมณ์ เทพยดา คนธรรพ์และหมมู่ นุษย์ยอ่ มไมร่ ู้คติ
ของผู้นัน้ ซ่ึงมีอาสวะส้ินแล้ว ผไู้ กลกเิ ลสวา่ เป็นพราหมณ์

บทที่ ๖
สรปุ

๒๐๕

คัมภีร์ธรรมบท เป็นส่วนหนึ่งของคำสอนที่รวบรวมอยู่ในพระไตรปิฎกส่วนท่ีเรียกว่า
พระสุตตันตปิฎก คัมภีร์ที่ว่าด้วยพระธรรมเทศนาท่ัวไป มีประวัติและท้องเร่ืองประกอบแบ่งออกเป็น
๕ หมวดใหญ่ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย คัมภีร์ธรรม
บทจึงอยู่ในขุททกนิกาย เป็นลักษณะร้อยแก้วหรือคาถา เพ่ือให้ผู้ศึกษาได้ศึกษาเหมาะแก่ยุคสมัย
ปจั จุบัน ผเู้ รยี บเรยี งจงึ ไดน้ าหลักแนวคดิ ทฤษฏี ๓ ดา้ น มาประยกุ ตร์ ่วมอธบิ าย

แนวคิดทฤษฎี ๓ ด้านน้ัน ได้แก่ (๑) สังคมศำสตร์ อธิบายเกี่ยวกบั สังคมทั้งระบบ เพื่อดู
ว่ำมีโครงสร้ำงและกำรทำงำน ต้องกำรเข้ำใจภำพรวมของท้ังสังคม ดูควำมสัมพันธ์ระหว่ำงส่วน
ตำ่ ง ๆ ของสังคมและชีวิตของสังคมมนุษย์ ท่ีต้องพ่ึงพาอาศัยกันและมีส่วนได้เสยี ในการกระทาของ
กนั และกนั สัมพันธ์ทำงสังคมก็คอื ควำมเป็นระเบียบ กล่ำวคอื กำรกระทำของบุคคลจะตอ้ งเป็นไป
ตำมระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคม กำรอยู่ร่วมในสังคมเดียวกันทาให้สมาชิกของสังคมต้องมี
ความสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสัมพันธ์ท้ังหมดประกอบกันเป็นโครงสร้างทางสังคม
ซึ่งแสดงถึงความเป็นระเบียบและความม่ันคงของสังคม (๒) วัฒนธรรม อธิบำยถึง สิ่งที่มนุษย์สร้าง
ข้ึน กาหนดข้ึน มิใช่ส่ิงท่ีมนุษย์ทาตามสัญชาตญาณ อาจเป็นการประดิษฐ์วัตถุส่ิงของขึ้นใช้ หรืออาจ
เปน็ การกาหนด พฤตกิ รรมและ/หรือความคิด ตลอดจนวิธกี ารหรือระบบการทางาน ฉะน้ันวฒั นธรรม
ก็คือ ระบบในสังคมมนุษย์ท่ีมนุษย์สร้างขึ้น มิใช่ระบบท่ีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติตามสัญชาตญาณ
วัฒนธรรมเกิดขึ้นเม่ือมนุษย์ท่ีอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันในสังคมเดียวกัน ทาความตกลงกันว่าจะยึด
ระบบไหนดี พฤติกรรมใดบ้างท่ีจะถือเป็นพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติและมีความหมายอย่างไร
แนวความคิดใดจึงเหมาะสม ข้อตกลงเหล่านี้คือการกาหนดความหมายให้กับส่ิงต่าง ๆ ในสังคม เพ่ือ
ว่าสมาชิกของสังคมจะได้เข้าใจตรงกันและยึดระบบเดียวกัน หรืออีกนัยหนึ่งเราอาจเรียกระบบที่
สมาชกิ ในสงั คมไดต้ กลงในความหมายแลว้ นว้ี า่ ระบบสัญลกั ษณ์ ๆ ในสังคมมนษุ ยท์ ี่มนษุ ยส์ ร้ำงขน้ึ

มนุษย์มีองค์ควำมรู้ท่ีถำ่ ยถอดมำเม่อื สร้ำงข้ึนมำแล้วจึงสอนใหค้ นรุ่นหลังได้เรียนรู้หรือ
นำไปปฏบิ ัติ วฒั นธรรมจงึ ต้องมีกำรเรียนรู้และมกี ำรถ่ำยทอด เมอื่ มนุษยเ์ รียนรูเ้ ก่ียวกับวัฒนธรรม
มนุษย์ก็รู้ว่ำอะไรคือขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคม และส่วนใหญ่มนุษย์จะรู้ว่ำอะไรควรทำ
และอะไรไม่ควรทำ วัฒนธรรมในสังคมแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ ๑. วัฒนธรรมในลักษณะที่
เป็นสญั ลกั ษณ์และจับต้องไมไ่ ด้ เป็นตน้ วา่ ภาษาพูด ระบบ ความเชอื่ กริ ิยามารยาท ขนบธรรมเนยี ม
ประเพณี ๒. วัฒนธรรมทำงด้ำนวัตถุ เป็นต้นว่า อาคารบ้านเรอื น วัด และศิลปกรรม ประติมากรรม
ต่าง ๆ ตลอดจนสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ซ่ึงใช้เป็นประจาทุกวัน (๓) เศรษฐศำสตร์และพุทธ
เศรษฐศำสตร์ อธิบายเร่ือง Economics ศึกษาเร่ืองต่าง ๆ เกี่ยวกับการผลิต การซ้ือขายแลกเปลี่ยน
การเงิน การธนาคาร การคลัง ตลอดจนการกระจายทรัพย์สินและรายไดใ้ นสังคม พุทธเศรษฐศำสตร์
ว่ำด้วยกำรดำเนินกิจกรรมทำงเศรษฐกิจท่ีจะทำให้ปัจเจกบุคคลและสังคม บรรลุซึ่งศำนติสุขจำก
กำรมีชวี ติ อยู่ในโลกของวัตถภุ ำยใตเ้ งื่อนไขของกำรมีทรพั ยำกรท่ีจำกัด จะเหน็ ได้วา่ ความแตกตา่ งที่
สาคัญของนิยามของวิชาทั้งสอง อยู่ที่จุดเน้นในเร่ืองความพึงพอใจสูงสุดสาหรับปัจเจกบุคคลและ
สวัสดิการสังคมสูงสุดสาหรับสังคมในวิชาเศรษฐศาสตร์ ขณะที่พุทธเศรษฐศำสตร์เน้นเป้ำหมำย
สำคัญของปจั เจกชนและสงั คมทศ่ี ำนตสิ ขุ คอื ควำมสุขทเี่ กดิ จำก ควำมสงบเยน็ ประเด็นนจี้ งึ แสดง

๒๐๖

ถงึ ควำมแตกต่ำงกันอย่ำงชัดเจนระหวำ่ งเศรษฐศาสตรท์ ้งั สองแบบ ซ่ึงมสี าเหตสุ าคัญจากการมีความ
เขา้ ใจมนุษย์ในแง่มมุ ท่ตี ่างกนั ระหว่างวิชาเศรษฐศาสตร์ทมี่ ีวิวัฒนาการมาจากอารยธรรมตะวันตกกับ
พุทธเศรษฐศำสตร์ที่ประยุกต์จำกพุทธธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้ำ ที่มีจุดเน้นท่ีสำคัญคือ
ควำมเข้ำใจของมนุษย์ โดยเฉพำะอย่ำงยิง่ สำเหตุท่ที ำให้มนษุ ย์เกดิ ควำมทุกข์ เพ่ือจะชว่ ยให้มนษุ ย์
ได้พ้นจำกควำมทกุ ข์ หรอื เขำ้ ใจควำมสุขในควำมหมำยท่ีแทจ้ ริงน่นั เอง

ผู้เรียงเรียงจึงได้นาแนวคิดทฤษฎีทั้ง ๓ มาร่วมวิเคราะห์กับคัมภีร์ธรรมบทท้ังใน
พระไตรปิฎกและอรรถกถา ซ่ึงคัมภีร์อรรถกถาผู้รจนาคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ได้แก่ พระพุทธ
โฆสมหาเถระ ราวประมาณ พ.ศ. ๙๐๐ คัมภีร์ธรรมบทน้ีได้รวบรวมหมวดธรรม กลุ่มธรรมต่ำง ๆ
ท่ีผู้ศึกษำพึงปฏิบัติเพ่ือขัดเกลำกิเลส คัมภีร์ธรรมบทเป็นพุทธวจนะในรูปแบบของร้อยแก้วหรือ
คำถำ และอรรถกถำธรรมบท เป็นคัมภีร์ที่แสดงหลักธรรมคาสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ได้มี
เพยี งคาถาหรือหลักธรรมคาสัง่ สอนเท่านน้ั แต่ยังปรากฏเรื่องเล่าที่มีการยกอุทาหรณม์ าอ้างใช้รูปแบบ
การเล่าเร่ืองเพ่ือให้เกิดความเพลิดเพลิน คือมีการใช้เร่ืองราวทานองนิทานท่ีมีเหตุการณ์
และพฤติกรรมของบุคคลเพ่ือแสดงเป็นตัวอย่างให้เห็นจริง ขณะเดียวกันก็ให้ความเพลิดเพลินใจท่ี
สอดคล้องกับลักษณะของวรรณกรรมคาสอน เป็นพระธรรมเทศนาประเภทร้อยกรองที่พระพุทธเจ้า
ทรงแสดงแก่เวไนยสตั ว์ต่างช้นั ตา่ งระดับ ได้แก่ ภกิ ษุ สามเณร คฤหัสถ์ เทวดา และสัตว์ท่ีมีกระแสแห่ง
โพธจิ ิต

พระพุทธโฆสมหาเถระท่านได้พรรณนาคัมภรี ์อรรถกถาน้ี เพอ่ื ทแ่ี สดงหลักธรรมคาส่ังสอน
ของพระสัมมาสมั พุทธเจ้า ให้พิสดารเพื่อเหมาะแก่ยุคสมัย ได้แสดงหลักธรรมคาสั่งสอนเท่านัน้ แต่ยัง
ปรากฏเรื่องเล่าท่ีมีการยกอุทาหรณ์มาอ้าง ใช้รูปแบบการเล่าเร่ืองเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน คือมี
การใชเ้ รื่องราวทานองนิทานท่ีมีเหตกุ ารณ์ และพฤติกรรมของบุคคลเพื่อแสดงเป็นตัวอย่างให้เห็นจริง
ขณะเดียวกันก็ให้ความเพลิดเพลินใจที่สอดคล้องกับลักษณะของวรรณกรรมคาสอน เอกสำรคำสอน
เล่มนี้ได้ศึกษำควำมหมำย ประวตั ิ โครงสร้ำง หลักธรรมสำคัญของธรรมบท เนน้ หลักธรรมสำคัญ
แนวคิดเชิงเศรษฐศำสตร์ สังคมวัฒนธรรม อิทธิพลและคุณค่ำของธรรมบท ที่มีต่อวิถีชีวิตและภูมิ
ปัญญำไทย เพื่อเป็นแบบอย่ำงในกำรประพฤติปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตำมแนวทำงของ
พระสมั มำสัมพทุ ธเจ้ำสบื ไป

เน้ือหำสำระของคัมภีร์ธรรมบทมีหลำยระดับทั้งสูงและต่ำผสมกันไปตำมผู้ฟังในแต่ละ
โอกำส โดยมีบคุ คล สถำนที่ กำลเวลำ อปุ มำอุปไมยมำเปน็ อทุ ำหรณ์ หลักธรรมในคัมภีรธ์ รรมบท
ส่วนใหญ่จะกล่ำวถึงอกุศลธรรมทุกประกำรอันมี โลภะ โทสะ โมหะเป็นมูล แล้วตรัสถึงทางแก้หรือ
กำรสละอกุศลธรรมด้วยโพธิปักขิยธรรม ได้แก่ สติปัฏฐำน ๔ สัมมัปปธำน ๔ อิทธิบำท ๔
อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ และอริยสัจ ๔ มรรค ๔ ผล ๔ เพ่ือให้บรรลุ
จุดมุ่งหมำยสูงสุดคือนิพพำน ธรรมบทจึงหมายถึงหมวดแห่งกุศลกรรม ได้แก่ โพธิปักขิยธรรม ๓๗
ประกำรท่ีเป็นเครอื่ งบรรลใุ ห้ถงึ พระนพิ พำน

๒๐๗

๒๐๗

บรรณานกุ รม

(๑) ภาษาไทย

ก. ขอ้ มลู ปฐมภูมิ

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ ๒๕๐๐.
กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕.
_________. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร:

โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.
กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๕.
_________. อรรถกถาภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร:

โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐.
มหาวิทยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. พระไตรปฎิ กและอรรถากถา ฉบบั มหามกุฏราชวิทยาลยั .

๒๕๒๕.

ข. ข้อมูลทตุ ยิ ภูมิ

(๑) หนังสือ :

กัจจายนเถระ. พระคัมภีร์กจั ายนมูล. พิมพ์ครั้งท่ี ๒. กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทร์พริ้นต้ิงแอนด์พับ
ลิชช่งิ .๒๕๖๓.
. เปฏโกปเทสปกรณ์. พิมพค์ ร้งั ท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: มูลนธิ ิภมู ิพโลภกิ ขุ, ๒๕๕๘.
. เนตติหารัตถทีปนี. พระธมั มานนั ทเถระ แปล. กรุงเทพมหานคร:มหาจฬุ าลงกรณราช-
วิทยาลยั .

คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. วรรณคดีบาลี. กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณ-ราชวิทยาลยั , ๒๕๕๒.

ดวงธิดา ราเมศวร์. อารยธรรมทย่ี ิง่ ใหญแ่ ห่งอาเซยี อนิ เดีย-จนี . กรงุ เทพมหานคร:เคลด็ ไทย,๒๕๓๗ .
ประเสริฐ แยม้ กล่ินฟุ้ง. สังคมและวัฒนธรรม. พิมพ์คร้งั ท่ี ๗. กรุงเทพมหานคร : ด่านสุทธาการพิมพ์,

๒๕๔๔.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) . จาริกบุญ จารึกธรรม. พิมพ์คร้ังที่ ๖. กรุงเทพมหานคร:

สหธรรมิก, ๒๕๔๐.
. พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ (ชาระเพ่ิมเติม ช่วงที่ ๑/ยุติ),พิมพ์คร้ังท่ี
๑๔, ธนธัชการพมิ พ์: กรุงเทพฯ, ๒๕๕๓.
. พุทธธรรม (ฉบบั เดิม). พิมพค์ รง้ั ที่ ๒๕. นนทบุรี:เพมิ่ ทรัพยก์ ารพิมพ,์ ๒๕๕๔.
พระพุทธโฆสาจารย์, คัมภีร์วิสุทธิมรรค. สมเด็จพระพุทธโฆสาจาย์ แปลเรียบเรียง. พิมพ์คร้ังท่ี ๖.
Taiwan R.O.C:, ๒๕๔๘.

๒๐๘

พระสทั ธรรมโชตกิ ะ ธัมมาจริยะ. ธัมมสงั คณีสรูปตั ถนสิ ยะ. กรุงเทพมหานคร : ทิพยพิสทุ ธ์,ิ ๒๕๕๕.
พัชรินทร์ สิรสุนทร. แนวคิด ทฤษฎี เทคนิคและการประยุกต์. กรุงเทพมหานคร:สานักพิมพ์แห่ง

จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๖.
มหาจุตงฺคพลอามาตย์. อภิธานัปปทีปิกฎีกา. สมเด็จพุทธชินวงศ์ (อุปสโม) ปริวรรต, พิมพ์ครั้งท่ี ๒,

กรุงเทพมหานคร:ประยรู สาสน์ไทย การพิมพ,์ ๒๕๖๓.
โมคคัลลานเถระ. คัมภีร์อภิธานวรรณนา. พระมหาสมปอง มุทิโต แปลเรียบเรียง. กรุงเทพมหานคร:

ธรรมสภา, ๒๕๔๒.
โมคคัลลานเถระ. อภธิ านัปปทปี ิกา. กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๖๓.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพมหานคร :

นามมีบ๊คุ ส์ จากดั , ๒๕๔๖ .
สมเด็จพ ระพุ ทธชินวงศ์ (อุป สมมหาเถระ). การศึกษ าวิเค ราะห์ พ ระค าถาธรรมบ ท .

กรุงเทพมหานคร: ประยูรสาสน์ ไทย การพิมพ์, ๒๕๕๙ .
สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ). งานวิจัยการศึกษาเชิงวิเคราะห์ พระคาถาธรรมบท

เลม่ ๒.กรงุ เทพมหานคร: ประยรู สาสน์ ไทย การพมิ พ์, ๒๕๕๙ .
สมเด็จพระมหาสมณ เจ้า กรมพระยาวชิรญ าณ วโรรส . ธมฺมปทฏฺฐกถา (ปฐโม ภาโค).

กรุงเทพมหานคร:มหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔.
. ธมมฺ ปทฏฐฺ กถา (ทุตโิ ย ภาโค). กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔.
. ธมฺมปทฏฐฺ กถา (ตติโย ภาโค). กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลยั , ๒๕๔๔.
. ธมฺมปทฏฐฺ กถา (จตุตฺโถ ภาโค). กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๔.
. ธมฺมปทฏฺฐกถา (ปญจฺ โม ภาโค). กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฎราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๔.
. ธมฺมปทฏฺฐกถา (ฉฏฺโ ภาโค). กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลยั , ๒๕๔๔.
. ธมมฺ ปทฏฐฺ กถา (สตฺตโม ภาโค). กรุงเทพมหานคร : มหามกฎุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๔.
. ธมฺมปทฏฐฺ กถา (อฏฺ โม ภาโค). กรงุ เทพมหานคร : มหามกฎุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๔.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์. พุทธธรรม ฉบบั ขยาย. กรงุ เทพมหานคร:มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ,
๒๕๕๗.
สริ ิสมุ ังคลมหาเถร. ธัมมปทัฏฐกถาคาถาโยชนา. พระมหาแสวง โชตปิ าโล ตรวจชาระ. พิมพ์ครั้งที่ ๒
กรงุ เทพมหานคร :เล่ียงเชยี ง, ๒๕๓๔.
สุภาพรรณ ณ บางช้าง. ประวัติวรรณคดีบาลีในอินเดียและลังกา. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ
มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๖.
อภิชัย พันธเสน.(ศาสตราจารย์). พุทธเศรษฐศาสตร์. (กรุงเทพมหานคร : บริษัทอมรินทรพ์ รนิ้ ติ้งพับ
ลซิ ซงิ่ , ๒๕๔๔.
อมรา พงศาพิชย์.ความหลากหลายทางวัฒนธรรม. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์แห่งจุฬา
มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓.

๒๐๙

(๒) วิทยานพิ นธ์ :

ฌานิศ วงศ์สุวรรณ. การศึกษาเร่ืองพุทธวจนะในธรรมบทของ เสถียรพงษ์ วรรณปก.วิทยานิพนธ์
ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาไทย บัณฑิต
วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร, ๒๕๔๖.

พระมหาสาเนียง เล่ือมใส. การศึกษาเปรียบเทียบธรรมบทและภควัทคีตา. วิทยานิพนธ์ปริญญา
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาสันสกฤต ภาควิชาภาษาตะวันออก บัณฑิต
วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยศิลปากร, ๒๕๓๔.

(๓) ออนไลน์

[ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : http://keathadhammaboththai.blogspot.com
/2017/07/05_15.html, [๑๒ ธ.ค. ๒๕๖๓].

[ออนไลน]์ , แหลง่ ทม่ี า : https://www.facebook.com/buddhisttreasure, [๑๒ ธ.ค. ๒๕๖๓].
[ออนไลน์], แหลง่ ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki, สลากภตั , [๒ เม.ย. ๒๕๖๓].
[ออนไลน์], แหล่งทม่ี า : https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1116133/,

[๑๗ เม.ย. ๒๕๖๓].
[ออนไลน]์ , แหล่งทม่ี า : https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=14267,

[๑๗ เม.ย. ๒๕๖๓].
[ออนไลน์], แหลง่ ที่มา : http://keathadhammaboththai.blogspot.com

/2017/07/01_30.html, [๑๗ เม.ย. ๒๕๖๓].
[ออนไลน์], แหล่งท่มี า : http://keathadhammaboththai.blogspot.com

/2017/07/04_14.html, [๑๗ เม.ย. ๒๕๖๓].
[ออนไลน]์ , แหลง่ ที่มา : http://thelifeofbuddha.myreadyweb.com/article/topic48787.html

[๑๙ เม.ย. ๒๕๖๓].
[ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.palungdham.com/phra_wangkeesa.html,

[๑๗ เม.ย. ๒๕๖๓].
[ออนไลน์], แหลง่ ทม่ี า : https://www.voicetv.co.th/read/74966, [๑๙ เม.ย. ๒๕๖๓].
[ออนไลน์], แหลง่ ทม่ี า : ท่มี า: http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3086.15,

[๒๑ เม.ย. ๒๕๖๓].

สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
คณะพุทธศาสตร์


Click to View FlipBook Version