The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วรรณคดีขุนช้างขุนแผน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 334 Nuttavadee, 2023-07-11 04:13:46

วรรณคดีขุนช้างขุนแผน

วรรณคดีขุนช้างขุนแผน

คำนำ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี ตระหนักถึงปัญหาในสถานการณ์ ยุคปัจจุบัน ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง การแสดงออกถึงพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของผู้เรียน กล้าคิด กล้าแสดงออกอย่างหลากหลายของเด็กและเยาวชนไทยในยุคปัจจุบัน รวมถึงการแสดงออกถึง ทัศนคติที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี ได้กำหนดนโยบาย ขับเคลื่อนการศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี“รู้รักษ์ประวัติศาสตร์” ขึ้น เพื่อสร้างจิตสำนึก ความรักชาติ สร้างระเบียบวินัยและการปฏิบัติอันดีตามจารีตประเพณีของสังคมไทย ที่ควรเริ่มต้น จากการรู้จักรัก ภาคภูมิใจในสิ่งใกล้ตัว คือ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในจังหวัดสุพรรณบุรี ดำเนิน การขับเคลื่อนการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบาย และจุดเน้นเร่งด่วนของสำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มีนโยบายส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง คุณธรรม จริยธรรม สร้างจิตสำนึกความเป็นไทยให้เด็ก และเยาวชนได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นไทย เรียนรู้ วิถีชีวิตความเป็นไทยจากประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งการเรียนรู้ประวัติศาสตร์จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับรู้ และเข้าใจร่วมกันว่าชาติไทยมีรากเหง้า และมีพัฒนาการที่แสดงถึงการต่อสู้ฝ่าฟันร่วมกันมายาวนาน ของบรรพบุรุษจนสามารถดำรงความเป็นชาติไทยไว้ได้ในปัจจุบัน การเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวรรณคดีจังหวัดสุพรรณบุรี มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียน เกิดความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาประวัติศาสตร์ชาติไทยและวรรณคดีของท้องถิ่น มุ่งพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุและผล เพื่อให้ผู้เรียนภาคภูมิใจในความเป็นมาของชาติไทย และตระหนัก ถึงความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งการจัดการเรียนรู้อาจจัดได้ทั้งรูปแบบกิจกรรมในห้องเรียน และกิจกรรมนอกห้องเรียน กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและเป็นกิจกรรมที่ ผู้เรียนให้ความสนใจ ให้ความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมเป็นอย่างดี คือ การเรียนรู้ผ่านแหล่งเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์และวรรณคดีท้องถิ่น ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ในการนี้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี รับใส่เกล้าฯ กระแส พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่แสดง ความห่วงใยต่อการเรียน การสอนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้ดำเนินกิจกรรม “การเรียนรู้ ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น ตามแนวพระราชดำริ ฯ ” โดยส่งเสริมให้ สถานศึกษาทุกแห่งจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นและวรรณคดี เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ปลูกฝังผู้เรียนให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจในท้องถิ่น และประเทศชาติ จึงได้จัดทำเอกสาร “คู่มือแนวทางการเรียนรู้ ประวัติศาสตร์และวรรณคดีจังหวัดสุพรรณบุรีของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา สุพรรณบุรี” ก


โดยถอดบทเรียนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และ วรรณคดีของจังหวัดสุพรรณบุรี จากการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาสาระการเรียนรู้ของหลักสูตร การศึกษา โดยผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์และครูแกนนำในการพัฒนาสาระการเรียนรู้และ พัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวรรณคดีของจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเป็น แนวทางการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวรรณคดีของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา สุพรรณบุรี ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) อันจะส่งผลให้การเรียนรู้ ประวัติศาสตร์และวรรณคดีของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายแก่ผู้เรียนมากยิ่งขึ้น ประกอบไปด้วย เอกสาร จำนวน ๔ เล่ม ได้แก่ ๑. เอกสาร “คู่มือแนวทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวรรณคดีจังหวัดสุพรรณบุรี ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี” จำนวน ๑ เล่ม ๒. เอกสารประกอบ “คู่มือแนวทางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวรรณคดีจังหวัด สุพรรณบุรีของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี” จำนวน ๓ เล่ม ได้แก่ ๒.๑ แหล่งเรียนรู้อารยธรรมทวารวดี ๒.๒ แหล่งเรียนรู้การกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๒.๓ วรรณคดี ขุนช้างขุนแผน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชุดเอกสารฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอนและผู้ที่สนใจ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวรรณคดีจังหวัดสุพรรณบุรีของสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี ที่นำไปสู่การเสริมสร้างทักษะ สมรรถนะ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ความรักและความภาคภูมิใจในรากเหง้าท้องถิ่นและประเทศชาติ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี ข



สารบัญ คำนำ ก สารจากผู้อำนวยการ ค สารบัญ ง เรื่อง วรรณคดี ขุนช้างขุนแผน หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ 1 - ตอน พลายแก้วบวชเณร หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ 25 - ตอน พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ 60 - ตอน พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม หน่วยการเรียนรู้ที่ ๔ 80 - ตอน นางพิมเปลี่ยนชื่อวันทอง ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย หน่วยการเรียนรู้ที่ ๕ 107 - ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างได้นางแก้วกิริยา หน่วยการเรียนรู้ที่ ๖ 139 - ตอน ขุนแผนพานางวันทองหนี ตัวอย่าง แผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ 159 คณะผู้จัดทำ 227 ง


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วบวชเณร สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มาตรฐานและตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ม.1/๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง ม.1/๒ จับใจความสำคัญสรุปความและอธิบายรายละเอียดจากเรื่องที่อ่าน มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.1/๑ สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านในระดับที่ยากขึ้น สาระการเรียนรู้ 1. ตำนานเสภา 2. ตำนานขุนช้างขุนแผน 3. ประวัติผู้แต่ง 4. สาแหรกของตัวละคร 5. บทร้อยกรอง 6. บทถอดความร้อยกรอง


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒ เนื้อหาสาระวรรณคดีท้องถิ่น จังหวัดสุพรรณบุรี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วบวชเณร สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มาตรฐานและตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ม.1/๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง ม.1/๒ จับใจความสำคัญสรุปความและอธิบายรายละเอียดจากเรื่องที่อ่าน มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.1/๑ สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านในระดับที่ยากขึ้น สาระการเรียนรู้ 1. ตำนานเสภา 2. ตำนานขุนช้างขุนแผน 3. ประวัติผู้แต่ง 4. สาแหรกของตัวละคร 5. บทร้อยกรอง 6. บทถอดความร้อยกรอง ตำนานเสภา พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประเพณีการขับเสภามีแต่ครั้งกรุงเก่า แต่จะมีขึ้นเมื่อใด แลเหตุใดจึงเอาเรื่องขุนช้าง ขุนแผนมาแต่งเป็นกลอนขับเสภา ทั้ง ๒ ข้อนี้ยังไม่พบอธิบายปรากฏเป็นแน่ชัด แม้แต่คำที่เรียกว่า “เสภา” คำนี้ มูลศัพท์จะเป็นภาษาใด แลแปลว่ากะไร ก็ยังสืบไม่ได้ความ คำ “เสภา” นี้ นอกจากที่ เรียกการขับร้องเรื่องขุนช้างขุนแผนอย่างเราเข้าใจกัน มีที่ใช้อย่างอื่นแต่เป็นชื่อเพลงปี่พาทย์ เรียกว่า “เสภานอก” เพลงหนึ่ง “เสภาใน” เพลงหนึ่ง “เสภากลาง” เพลงหนึ่ง ชวนให้สันนิษฐานว่า “เสภา” จะเป็นชื่อลำนำที่เอามาใช้เป็นทำนองขับเรื่องขุนช้างขุนแผน แต่ผู้ชำนาญดนตรีกล่าวยืนยันว่า ลำนำที่ ขับเสภาไม่ได้ใกล้กับเพลงเสภาเลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอันยังแปลไม่ออก ว่าคำที่ว่า “เสภา” นี้จะแปล ความกะไร แต่มีเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหนังสือต่างๆ บ้าง ข้าพเจ้าเคยได้สดับคำผู้หลักผู้ใหญ่เล่ามา บ้าง สังเกตเห็นในกระบวนกลอนแลถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเสภาบ้าง ประกอบกับ ความสันนิษฐาน เห็นมีเค้าเงื่อนพอจะคาดคะเนตำนานของเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนได้อยู่ ข้าพเจ้าจะ


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔ ลองเก็บเนื้อความมาร้อยกรองแสดงโดยอัตโนมัติ ประกอบด้วยเหตุผลซึ่งจะชี้แจงไว้ให้ปรากฏแก่ท่าน ทั้งหลาย ถ้าว่าโดยประเพณีของการขับเสภา ถึงไม่ปรากฏเหตุเดิมแน่นอน ก็พอสันนิษฐานได้ว่า มูลเหตุคงเนื่องมาแต่เล่านิทานให้คนฟัง อันเป็นประเพณีมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ทีเดียว แม้ในคัมภีร์ สารัตถสมุจจัยซึ่งแต่งมากว่า ๗๐๐ ปี ยังกล่าวในตอนอธิบายเหตุแห่งมงคลสูตรว่า ในครั้ง พระพุทธกาลนั้น ตามเมืองในมัชฌิมประเทศ มักมีคนไปรับจ้างเล่านิทานให้ฟังกันในที่ชุมนุมชน เช่น ที่ศาลาพักคนเดินทาง เป็นต้น เกิดแต่คนทั้งหลายได้ฟังนิทาน จึงโจษเป็นปัญหากันขึ้นว่าอะไร เป็นมงคล เป็นปัญหาแพร่หลายไปจนถึงเทวดาไปทูลถามพระพุทธองค์ จึงได้ทรงแสดงมงคลสูตร ประเพณีการรับจ้างเล่านิทานให้คนฟังดังกล่าวมานี้ แม้ในสยามประเทศก็มีมาแต่โบราณ จนนับเป็น การมหรสพอย่างหนึ่ง ซึ่งมักมีในการงาน เช่นงานโกนจุก ในตอนค่ำเมื่อพระสวดมนต์แล้ว ก็หาคนไป เล่านิทานให้แขกฟัง เป็นประเพณีมาเก่าแก่ แลยังมีลงมาจนถึงในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ขับเสภาก็คือ เล่านิทานนั้นเอง และประเพณีมีเสภาก็มีในงานอย่างเดียวกับที่เล่านิทานนั้น จึงเห็นว่าเนื่องมาจาก เล่านิทาน ขับเสภาผิดกับเล่านิทานแต่เอานิทานมาผูกเป็นกลอน สำเนียงที่เล่าใช้ขับเป็นลำนำ และ ขับกันเฉพาะเรื่องขุนช้างขุนแผนเรื่องเดียว เสภาผิดกับเล่านิทานที่เป็นสามัญอยู่แต่เท่านี้ ถ้าจะลอง สันนิษฐานว่า เหตุใดจึงมีคนคิดขับเสภาขึ้นแทนเล่านิทาน ก็ดูเหมือนพอจะเห็นเหตุได้ คือเพราะ เล่านิทานฟังกันมานานๆ เข้าออกจะจืด จึงมีคนคิดจะเล่าให้แปลก โดยกระบวนแต่งเป็นบทกลอนว่า ให้คล้องกัน ให้น่าฟังกว่าที่เล่านิทานอย่างสามัญประการหนึ่ง เมื่อเป็นบทกลอนจึงว่าเป็นทำนองลำนำ ตามวิสัยการว่าบทกลอน ให้ไพเราะขึ้นกว่าเล่านิทานอีกประการหนึ่ง ข้อที่ขับแต่เรื่องขุนช้างขุนแผน เรื่องเดียวนั้น คงจะเป็นด้วยนิทานเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องที่ชอบกันแพร่หลายในครั้งกรุงเก่า ยิ่งกว่านิทานเรื่องอื่นๆ ด้วย เป็นเรื่องสนุกจับใจแลถือกันว่าเป็นเรื่องจริง จึงเกิดขับเสภาขึ้นด้วย ประการฉะนี้


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕ ตำนานขุนช้างขุนแผน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้มีเนื้อความปรากฎในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ว่าพระราชวงศ์ของพระเจ้าอู่ทองได้ครองราชสมบัติในกรุงศรีอยุธยาตามลำดับหลายพระองค์ จนถึง พระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าพระพันวษา ภาษาพม่าเรียกว่า พระเจ้าวาตะถ่อง แปลว่าสำลีพันหนึ่ง มีพระมเหสีทรงพระนามว่า สุริยวงศาเทวี มีพระราชโอรสองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระบรมกุมาร ต่อมา พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนะหุตล้านช้าง ปรารถาจะเป็นพันธมิตรกับกรุงศรีอยุธยา จึงส่งพระราชธิดา องค์หนึ่ง มีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา มาถวายพระพันวษา ระหว่างทางได้ถูกพระเจ้าโพธิสารราชกุมาร พระเจ้านครเชียงใหม่ ไม่ต้องการให้กรุงศรีสัตนาคนะหุต มาเป็นมิตรกับกรุงศรีอยุธยาจึงส่งกำลังเข้า แย่งชิงพระราชธิดาไปได้สมเด็จพระพันวษาทราบเรื่องก็ทรงพระพิโรธ สั่งให้ยกทัพไปตีนครเชียงใหม่ ในการนี้ จำต้องหาผู้ที่มีฝีมือในการรบไปทำการ พระหมื่นศรีมหาดเล็ก ได้กราบทูลให้ใช้ขุนแผน ซึ่งต้องโทษอยู่ในคุกให้เป็นแม่ทัพหน้ายกไปตีเมืองเชียงใหม่ ขุนแผนก็รับอาสาพร้อมกับถวายทัณฑ์บน ว่าถ้าทำการไม่สำเร็จก็จะขอถวายชีวิต พระพันวษาจึงตั้งให้ขุนแผนเป็นแม่ทัพ ถืออาญาสิทธิ์คุม กองทัพไทย ไปตีนครเชียงใหม่เมื่อกองทัพยกไปถึงเมืองพิจิตร ได้ไปขอดาบเวทวิเศษ (ดาบฟ้าฟื้น)กับ ม้าวิเศษ (ม้าสีหมอก) ที่ฝากเจ้าเมืองพิจิตรไว้คืนมาเพื่อนำไปใช้ในการศึกเมื่อกองทัพถึงเชียงใหม่ ฝ่ายเชียงใหม่ได้ทำการต่อสู้เป็นสามารถ แต่สู้ไม่ได้ขุนแผนเข้านครเชียงใหม่ได้ พระเจ้านครเชียงใหม่ หนีไป ขุนแผนจึงจับอัครสาธุเหวี มเหสีเจ้าเชียงใหม่กับพระราชธิดานามว่าเจ้าแว่นฟ้าทองพร้อมสนม น้อยใหญ่ของพระเจ้านครเชียงใหม่ไว้ และให้เชิญนางสร้อยทอง ราชธิดาพระเจ้าล้านช้าง พร้อมทั้ง มเหสีและราชธิดาพระเจ้านครเชียงใหม่ที่จับไว้ได้เลิกกองทัพกลับมาถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาได้โปรดเกล้าๆ ให้พระเจ้าเชียงใหม่กลับมาครองเมืองเชียงใหม่ตามเดิม เพื่อความสงบสุขของสมณชีพราหมณ์และราษฎรชาวเมืองเชียงใหม่ และให้พระราชทานบำเหน็จ รางวัลแก่ขุนแผนและกำลังพลกองทัพโดยทั่วหน้า ทรงตั้งนางสร้อยทองเป็นพระมเหสีซ้าย นางแว่นฟ้า เป็นสนมเอก ส่วนมเหสีพระเจ้านครเชียงใหม่ ทรงส่งคืนให้พระเจ้านครเชียงใหม่ ส่วนบรรดาข้าคน ชาวล้านช้างและชาวเชียงใหม่ก็ให้ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินในกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายขุนแผนเมื่อเห็นว่าตนชราภาพแล้ว จึงนำดาบเวทวิเศษของตนถวายสมเด็จ พระพันวษา พระองค์ทรงรับไว้เป็นพระแสงทรงสำหรับพระองค์และทรงพระราชทานว่าพระแสงปราบศัตรู แลทรงตั้งนามพระขรรค์แต่ครั้งพระยาแกรกนั้นว่าพระขรรค์ไชยศรี สมเด็จพระพันวษาทรงครองราชย์ได้ ๒๕ พรรษา เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุ ๔0 พรรษา จากหลักฐานดังกล่าว เรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องที่เกิดในแผ่นดินสมเด็จ พระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐ) พระโอรสสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๔ - พ.ศ. ๒๐๗๒


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖ ประวัติผู้แต่ง ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง สาแหรกของตัวละตน


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗ บทร้อยกรอง เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วบวชเณร ๏ จะกล่าวถึงพลายแก้วแววไว เมื่อบิดาบรรลัยแม่พาหนี ไปอาศัยอยู่ในกาญจน์บุรี กับนางทองประศรีผู้มารดา อยู่มาจนเจ้าเจริญวัย อายุนั้นได้ถึงสิบห้า ไม่วายคิดถึงพ่อที่มรณา แต่นึกนึกตรึกตรามากว่าปี อยากจะเป็นทหารชาญชัย ให้เหมือนพ่อขุนไกรที่เป็นผี จึงอ้อนวอนมารดาได้ปรานี ลูกนี้จะใคร่รู้วิชาการ พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ อธิษฐานบวชลูกเป็นเณรไว้ ฯ ๏ ครานั้นทองประศรีผู้มารดา ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่ อันสมภารที่ชำนาญในทางใน ท่านขรัววัดส้มใหญ่แลดีครัน เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา แม่จะพาไปฝากขรัวบุญนั่น จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร ว่าแล้วจึงสั่งพวกบ่าวข้า ชวนกันเร็วหวาอย่าช้าได้ กูจะบวชลูกชายสายสุดใจ เอ็งจงไปเที่ยวหาผ้าเนื้อดี ทำจีวรสบงสไบลาด หาทั้งย่ามบาตรมาตามที่ ลงมือพร้อมกันในวันนี้ อ้ายถีอีล่ามาช่วยกู ฝ่ายพวกข้าไทไปหาของ หมากพลูใบตองที่มีอยู่ บ้างก็มาเย็บกรวยช่วยกันดู ปอกหมากพันพลูทั้งฟั่นเทียน เอาผ้าขาวมาวัดตัดสบง เย็บลงฝีเข็มเหมือนเล็มเลี่ยน ตัดจีวรสไบตะไกรเจียน เย็บทับจับเนียนเป็นเนื้อเดียว อังสะนั้นแพรหนังไก่นุ่ม รังดุมหูไหมใส่เย็บเสี้ยว มานั่งพร้อมล้อมทั่วตัวเป็นเกลียว เอิกเกริกกราวเกรียวด้วยศรัทธา บางคนออกมาหาขมิ้น โขลกสิ้นแล้วไปเอามาอิกหวา ออแม่เอ๋ยไม่เคยฤๅไรนา ย้อมผ้าซีดอยู่ดูไม่ดี เอาน้ำส้มพรมแก้แลเห็นสุก พ้นทุกข์แล้วหนอหัวร่อรี่ ช่วยกันผูกราวขึงผึ่งทันที แห้งดีเข้าไตรไว้บนพาน ฝ่ายพวกแม่ครัวที่ตัวยวด หุงต้มเร็วรวดอลหม่าน หน้าดำคลํ้าไหม้ใกล้เชิงกราน บ้างซาวข้าวสารใส่กะทะ บ้างต้มบ้างพะแนงบ้างแกงขม คั่วยำทำขนมอยู่เอะอะ ส้มสูกลูกไม้ใส่ธารณะ ใส่กระบะเรียงรายไว้หลายใบ ฯ ๏ ครั้นสำเร็จเสร็จการท่านทองประศรี เรียกข้าด่ามี่อยู่ไจ่ไจ่ อ้ายโม่งอีมาช้าอยู่ไย มึงเอาขันใบใหญ่มาใส่น้ำ ขมิ้นดินสอพองเอาไว้ไหน เมื่อวานกูใส่ไว้ในถ้ำ


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘ แกอาบนํ้าลูกยาทาขมิ้นตำ ชำระนํ้ารํ่ารดหมดเหงื่อไคล ครั้นอาบนํ้าพลายแก้วแล้วแต่งตัว หวีหัวผัดหน้าให้ผ่องใส นุ่งผ้ายกจีบเป็นกลีบใบ เสื้อครุยสวมใส่อุไรกรอง ลำพอกดอกไม้ไหวสะบัด คาดเข็มขัดถักสายเป็นลายสอง แหวนเพชรเม็ดอร่ามงามเรืองรอง ให้ถือซองธูปเทียนบุษบัน จึงเรียกนายดำที่ลํ่าใหญ่ ให้แบกลูกเดินไปเอาร่มกั้น ทองประศรีมารดามาด้วยกัน บ่าวข้าจ้าละหวั่นแบกของมา ครั้นว่ามาถึงวัดส้มใหญ่ เอาข้าวของตั้งไว้ศาลาหน้า แม่พาพลายแก้วผู้แววตา ไปกราบไหว้วันทาท่านสมภาร ท่านเจ้าขาฉันพาลูกมาบวช ช่วยเสกสวดสอนให้เป็นแก่นสาร ด้วยขุนไกรบิดามาถึงกาล จะได้อธิษฐานให้ส่วนบุญ อิกทั้งวิชาการอ่านเขียน เจ้าจะได้รํ่าเรียนเสียแต่รุ่น ฝ่ายท่านอาจารย์สมภารบุญ ทอดใจใหญ่ครุ่นแล้วว่ามา อนิจจาขุนไกรบรรลัยแล้ว อ้ายลูกชายพลายแก้วเหมือนหนักหนา รูปอาลัยให้คิดถึงบิดา จะเลี้ยงลูกให้สีกาอย่าระคาง แล้วหันหน้ามาสั่งแก่เณรคง เอ็งนิมนต์พระสงฆ์ลงไปล่าง ปูเสื่อสาดอาสนะกะที่ทาง โกนหัวเจ้าพลายพลางแล้วพามา ครั้นแล้วลงมาศาลาใหญ่ พระสงฆ์ลงไปอยู่พร้อมหน้า พลายแก้วอุ้มไตรไปวันทา ขรัวบุญให้บรรพชาเป็นเณรพลัน บวชเสร็จจึงนางทองประศรี เร่งแม่ครัวมี่อยู่ตัวสั่น บาตรพระสะพรั่งตั้งเรียงกัน ยกขันข้าวบาตรมาทันที ช่วยกันตักบาตรธารณะ เสร็จถวายพรพระประเคนมี่ ฉันแล้วก็ยถาสัพพี เณรแก้วทองประศรีกรวดนํ้าพลัน ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว บวชแล้วรํ่าเรียนด้วยเพียรหมั่น ปัญญาไวว่องคล่องแคล่วครัน เรียนสิ่งใดได้นั่นไม่ช้าที จนอาจารย์ขยาดฉลาดเฉลียว เถรเณรออกเกรียวอยู่ที่นี่ จะเปรียบเณรแก้วได้นั้นไม่มี บวชยังไม่ถึงปีก็เจนใจ หนังสือสิ้นกระแสทั้งแปลอรรถ จนสมภารเจ้าวัดไม่บอกได้ ลูบหลังลูบหน้าแล้วว่าไป สิ้นไส้กูแล้วเณรแก้วอา ยังแต่สมุดตำรับใหญ่ พื้นแต่หัวใจพระคาถา กูจัดแจงซ่องสุมแต่หนุ่มมา หวงไว้จนชราไม่ให้ใคร ความรู้นอกนี้ไม่มีแล้ว กูรักเณรแก้วจะยกให้ อยู่คงปล้นสะดมมีถมไป เลี้ยงโหงพรายใช้ได้ทุกตา เณรแก้วได้ตำรับของท่านขรัว คิดถึงตัวอยากเรียนให้ยิ่งกว่า วันหนึ่งจึงเข้าไปวันทา จะขอลาไปสุพรรณบุรี ไปสืบหาวิชาเรียนต่อไป ท่านสมภารชอบใจหัวเราะรี่


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๙ ท่านวัดปาเลไลยนั้นขยันดี กับสีกาทองประศรีรู้จักกัน เณรแก้วจึงลามาหาแม่ ทองประศรีวิ่งแร่มารับขวัญ พ่อเอ๋ยมาไยทำไมนั่น แม่ขาขรัวทั่นให้ลูกมา รํ่าเรียนจบแล้วท่านบอกให้ ว่าวัดป่าเลไลยดีหนักหนา ว่ารู้จักมานานกับมารดา แม่จงพาลูกนี้ไปฝากไว้ ฯ ๏ ทองประศรีดีใจหัวเราะร่า จริงแล้วเณรหนาแม่นึกได้ อันที่เมืองสุพรรณนั้นไซร้ ทางในท่านดีมีสององค์ วัดป่าเลไลยท่านสมภารมี ทั้งขรัวที่วัดแคแม่เคยส่ง กับขุนไกรรักใคร่กันมั่นคง จะพาลงไปฝากยากอะไร ว่าพลางนางสั่งซึ่งบ่าวข้า เองไปเรียกช้างม้าอย่าช้าได้ ให้เขาผูกพังบู่กูจะไป อ้ายพลายกางผูกไว้ให้พ่อเณร ข้าวของจัดใส่ในสัปคับ ทั้งข้าวกับรีบหาขะมักเขม้น ให้พอเพียงเลี้ยงเจ้าทั้งเช้าเพล ให้อ้ายเสนกับตาพุ่มแกคุมไป ครั้นตระเตรียมสำเร็จเสร็จการ พากันออกจากบ้านเขาชนไก่ ตัดทุ่งมุ่งตรงเข้าพงไพร สามวันทันใดถึงสุพรรณ จึงแวะเข้าวัดป่าเลไลย ตรงไปยังกุฎีขรัวมีนั่น ทองประศรีกราบกรานสมภารพลัน ดีฉันมิได้มาหาคุณเลย ขรัวมีดีใจหัวเราะร่า ไม่เห็นหน้าหลายปีสีกาเหวย เณรนี้ลูกใครไม่คุ้นเคย ทองประศรีว่าคุณเอ๋ยลูกฉันเอง แต่เพียงขุนไกรแกวอดวาย ดีฉันนี้เป็นหม้ายอยู่เท้งเต้ง บวชลูกจะให้เรียนเป็นบทเพลง ก็โก้งเก้งอยู่ไกลไม่ได้การ จะเอามาฝากไว้ให้ขรัวปู่ โปรดบอกความรู้เอ็นดูหลาน ถ้าไม่เรียนรํ่าทำเกียจคร้าน ทรมานทำโทษโปรดตีโบย สมภารจึงว่าอย่าร้อนใจ ไม่ฟังสอนเลี้ยงได้ฤๅยายโหวย แต่ทว่าข้าก็ไม่ใคร่ทำโพย จะสั่งสอนไปโดยปัญญามัน ถ้าเด็กดีเด็กก็มีแต่คนชม ชั่วแล้วเขาก็ถมผู้ใหญ่นั่น เพื่อนก็เป็นเชื้อผู้ดีมีเผ่าพันธุ์ จะผ่าเหล่าเสียนั้นเห็นผิดไป ทองประศรีฟังขรัวหัวเราะร่า พ่อเณรจำไว้หนาเอาใจใส่ ฝากลูกแล้วก็ลาคลาไคล กลับถึงเขาชนไก่ก็ขึ้นเรือน ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว ปัญญาคล่องแคล่วใครจะเหมือน หมั่นหมักภักดีมิให้เตือน หัดเทศน์สามเดือนก็ขึ้นใจ มหาชาติธรรมวัตรสารพัดเพราะ ถ้อยคำมั่นเหมาะไม่เปรียบได้ สุ้งเสียงเป็นเสน่ห์ดังเรไร เทศน์ที่ไหนคนชมนิยมฟัง จนขึ้นชื่อฦๅชาว่าเปรื่องปราด ชาวบ้านร้านตลาดเจียนจะคลั่ง เถรเณรอดเพลไปคอยฟัง เข้าไปนั่งพูดจ้อขอเนื้อความ เจ้าอุตส่าห์ศึกษาวิชาการ เขียนอ่านท่องได้แล้วไต่ถาม


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑๐ ตำรับใหญ่พิชัยสงคราม สูรย์จันทร์ฤกษ์ยามก็รอบรู้ อยู่ยงคงกระพันล่องหน ภาพยนตร์ผูกใช้ให้ต่อสู้ รักทั้งเรียนเสกเป่าเป็นเจ้าชู้ ผูกจิตรหญิงอยู่ไม่เคลื่อนคลาย ท่านขรัวหัวร่อว่าออแก้ว เรื่องเจ้าชู้รู้แล้วต้องมั่นหมาย เมียของเขาเจ้าอย่าได้ทำร้าย สาวแก่แม่หม้ายเอาเถิดวา กูจะให้วิชาสารพัด ให้ชะงัดเวทมนตร์พระคาถา ท่วงทีเอ็งจะดีดังจินดา แล้วคายชานหมากมาให้เณรกิน เณรแก้วรับแล้วกินชานหมาก ขรัวต่อยด้วยสากแทบหัวบิ่น ไม่แตกไม่บุบดังทุบหิน ท่านขรัวหัวเราะดิ้นคากๆ ไป เจ้าเณรหมั่นปรนนิบัติพัดวี ท่านขรัวก็ยิ่งมีความรักใคร่ แต่ฝึกสอนทดลองจนว่องไว มีน้ำใจกำเริบทุกวันมา ฯ ๏ จะกล่าวถึงขุนช้างเมื่อรุ่นหนุ่ม หัวเหมือนนกตะกรุมล้านหนักหนา เคราคางขนอกรกกายา หน้าตาดังลิงค่างที่กลางไพร ไปสนิทติดพันเจ้าแก่นแก้ว ลูกตาหมื่นแผ้วบ้านรั้วใหญ่ สู่ขอพ่อแม่ก็ปลงใจ ขุนช้างจึง่ได้เป็นภรรยา มาอยู่กับเรือนเป็นเพื่อนนอน ร่วมเรียงเคียงหมอนได้ปีกว่า ล้มเจ็บจับไข้หลายเวลา แล้วกลายมาเป็นบิดริดสีดวง ผอมแห้งหน้าแข้งจนเป็นเกล็ด อยากเป็ดอยากไก่นั้นใหญ่หลวง ของแสลงมันแกล้งให้ตากลวง ขุนช้างเศร้าเหงาง่วงเป็นทุกข์ร้อน เห็นเมียเจ็บไข้ใจคอหาย วุ่นวายให้ไปหาตาหมอค่อน เงินใส่พานตั้งข้างที่นอน บนบานวานวอนให้วางยา หมอว่าโรคตัดอัติสาร ป่วยการพิทักษ์รักษา เมื่อไข้หนักเกือบจักมรณา แต่แรกสิมิหาข้ามาดู ว่าแล้วก็ลามาจากบ้าน ขุนช้างสงสารเศร้าโศกอยู่ ร้อนรุ่มกลุ้มใจดังไฟวู เป็นไม่รู้ที่จะคิดประการใด อยู่มาแก่นแก้วก็ดับจิตร สิ้นชีวิตขุนช้างนั่งร้องไห้ ปลงศพเผาผีอึงมี่ไป ทำบุญส่งให้เนืองเนืองมา ฯ ๏ ทีนี้จะกล่าวเรื่องเมืองสุพรรณ ยามสงกรานต์คนนั้นก็พร้อมหน้า จะทำบุญให้ทานการศรัทธา ต่างมาที่วัดป่าเลไลย หญิงชายน้อยใหญ่ไปแออัด ขนทรายเข้าวัดอยู่ขวักไขว่ ก่อพระเจดีย์ทรายเรี่ยรายไป จะเลี้ยงพระกะไว้ในพรุ่งนี้ นิมนต์สงฆ์สวดมนต์เวลาบ่าย ต่างฉลองพระทรายอยู่อึงมี่ แล้วกลับบ้านเตรียมการเลี้ยงเจ้าชี ปิ้งจี่สารพัดจัดแจงไว้ ทำน้ำยาแกงขมต้มแกง ผ่าฟักจักแฟงพะแนงไก่ บ้างทำห่อหมกปกปิดไว้ ต้มไข่ผัดปลาแห้งทั้งแกงบวน บ้างก็ทำวุ้นชาสาคู ข้าวเหนียวหน้าหมูไว้ถี่ถ้วน


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑๑ หน้าเตียงเรียงเล็ดข้าวเม่ากวน ของสวนส้มสูกทั้งลูกไม้ มะปรางลางสาดลูกหวายหว้า ส้มโอส้มซ่าทั้งกล้วยไข่ ทุกบ้านอลหม่านกันทั่วไป จนดึกดื่นหลับใหลไปฉับพลัน ครั้นรุ่งแจ้งแสงทองส่องฟ้า ต่างตกแต่งกายาขมีขมัน หนุ่มสาวเถ้าแก่มาแจจัน พร้อมกันที่วัดป่าเลไลย ฯ ๏ ฝ่ายว่านางพิมกับมารดา พาบ่าวไพร่ออกมาหาช้าไม่ ข้าวปลาธารณะจัดหาไป ธูปเทียนดอกไม้ใส่พานมา ถึงวัดนั่งลงตรงพระทราย แล้วถวายนมัสการถ้วนหน้า หญิงชายเต็มไปในวัดวา ปูเสื่อสาดคอยท่าพระสงฆ์ไว้ ฝ่ายพระสงฆ์ห่มดองครองผ้า เสร็จแล้วลงมาศาลาใหญ่ เถรเณรนั่งจัดถัดกันไป สัปปุรุษกราบไหว้ด้วยยินดี ต่างถวายเภสัชจัดพานเรียง ห่มผ้าสไบเฉียงอยู่ตามที่ อาราธนาศีลขึ้นทันที สมภารมีก็ให้ศีลไปพลัน แล้วถวายพรพระตั้งนโม พวกสีกาหาโออยู่ตัวสั่น จัดของใส่สำรับลงฉับพลัน ตั้งถวายเป็นหลั่นกันลงมา ลูกศิษย์เถรเณรประเคนบาตร อังคาสข้าวของไว้ตรงหน้า ช่วยเหลือคอยสำรวจตรวจตรา นํ้ายาพร่องต้องตักเอาเติมไปฯ ๏ ฝ่ายว่านางพิมมีศรัทธา กล้วยขนมส้มซ่าใส่ถาดใหญ่ หยิบขันข้าวบาตรเดินนาดไป ใส่แต่หัวโต่งลงมาพลัน ครั้นว่ามาถึงเจ้าเณรแก้ว แลแล้วเรรวนนึกหวนหัน เจ้าเณรนี้ทีเหมือนรู้จักกัน นางก็ตักจังหันทัพพีโต หมูผัดปลาแห้งทั้งแกงไก่ ไข่พอกซีกใหญ่ใส่อักโข ไส้กรอกปลาแห้งแตงโม แกงโถหนึ่งใส่ให้พอแรง เณรแก้วก้มหน้าไม่ทันรู้ เห็นของมากเงยดูก็ตาแข็ง ปะหน้าสีกาพิมยิ้มตะแคง สีกานี้มิแกล้งข้าฤๅไร ตักบาตรเหลือล้นจนโอสิ้น จะรู้ที่เปิบกินกะไรได้ หวานเค็มก็เต็มสำรับไป ส่วนที่ของชอบใจมิให้เรา นางพิมยิ้มไปล่ไฮ้เจ้าเณร ข้าคิดว่าหลวงเถนเห็นโอเปล่า เขาใส่ให้อักโขพาโลเอา จะให้เขาเสียศรัทธาขืนว่าไป เณรใจบึกๆ นึกเป็นครู่ เหมือนเคยเล่นกับกูกูจำได้ ชื่อว่าสีกาพิมพิลาไลย สาวขึ้นสวยกะไรเพียงบาดตา ครั้นพระสงฆ์ฉันเสร็จสำเร็จพลัน ท่านสมภารมีนั้นก็ยถา อันดับรับสัพพีโมทนา สัปปุรุษสีกาก็กรวดนํ้า ต่างคนยินดีปรีดา เสร็จแล้วกลับมาอยู่คลาคล่ำ เสียงแซ่ซ้องบ้างร้องเป็นลำนำ บ้างฟ้อนรำฉลองทานสำราญครัน ฯ


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑๒ ๏ อยู่มาปีระกาสัปตศก ทายกในเมืองสุพรรณนั่น ถึงเดือนสิบจวนสารทยังขาดวัน คิดกันจะมีเทศน์ด้วยศรัทธา พระมหาชาติทั้งสิบสามกัณฑ์ วัดป่าเลไลยนั้นวันพระหน้า ตาปะขาวเถ้าแก่แซ่กันมา พร้อมกันนั่งปรึกษาที่วัดนั้น บ้างก็รับทศพรหิมพานต์ บ้างก็รับเอาทานกัณฑ์นั่น ที่ลูกดกรับชูชกกัณฑ์กลางวัน ให้ยายศรีประจันกัณฑ์มัทรี มหาราชพันชาติกัณฑ์กลางคืน ฟังหัวเราะครึกครื้นกันอึงมี่ ฉ้อกษัตริย์สงัดเงียบเชียบดี ตาหมื่นศรีคนแก่แกรับไป นางวันรับกัณฑ์จุลพน เณรอ้นดีถนัดหัดขึ้นใหม่ เทศน์กัณฑ์มหาพนชีต้นใจ ตาไทก็รับไปทันที วันประเวศน์นั้นท่านวัดแค เป็นกัณฑ์ของตาแพกับยายคลี่ เออกัณฑ์หนึ่งใหญ่ให้ใครดี ยากที่สัปปุรุษจะรับไป ออเออจริงแล้วกัณฑ์กุมาร ให้เจ้าขรัวหัวล้านบ้านรั้วใหญ่ นายบุญคุ้นกันไปไวไว ถึงขุนช้างยื่นให้ใบฎีกา จะมีพระมหาชาติสิบสามกัณฑ์ วัดป่าเลไลยนั้นวันพระหน้า ตามแต่ใจหม่อมจะศรัทธา พ่อขาทำบุญบ้างเป็นไร นางพิมศรีประจันกัณฑ์มัทรี กุมารยังหามีใครรับไม่ ขุนช้างหัวร่ออ่อชอบใจ ที่กัณฑ์ใหญ่ใหญ่เรายินดี จะคิดอะไรกับสิ้นยัง ถึงสิ้นสักห้าชั่งยังไม่หนี เกิดชาติใหม่ก็จะได้ไปมั่งมี ทำบุญอย่างนี้เราเต็มใจ นายบุญยินดีรี่กลับมา เผดียงพระเอาฎีกาไปส่งให้ ครบทั้งสิบสามกัณฑ์เป็นหลั่นไป ชาวบ้านน้อยใหญ่ก็เตรียมการ ฯ ๏ ครานั้นเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง น้ำใจกว้างขวางให้ฟุ้งซ่าน เด็กเอ๋ยหาไม้อย่าได้นาน จักสานกระจาดนั้นเตรียมไว้ เอาเงินตราไปหาซื้อสังเค็ด บริขารเบ็ดเสร็จทั้งน้อยใหญ่ หาผ้าเนื้อดีมาทำไตร ที่ผู้หญิงนั้นไปหาเครื่องกัณฑ์ ข้าวแป้งระแนงตำทำเป็นผง มุกกลมขนมกงเร่งจัดสรร สิ่งหนึ่งอย่าให้น้อยตั้งร้อยอัน อย่ากลัวเปลืองนํ้ามันไปซื้อมา ส้มสูกลูกไม้ใส่ของสวน ให้ถี่ถ้วนถูกแพงก็ไม่ว่า อย่าทำใจทมิฬเขานินทา เขานับหน้าว่ากูเป็นผู้ดี ฯ ๏ ครานั้นฝ่ายนางศรีประจัน เรียกข้าด่าลั่นอยู่อึงมี่ แม่พิมช่วยแม่บ้างมาข้างนี้ เข้ามานี่ช่วยกันทันเวลา บ่าวไพร่ทำขนมประสมปั้น ชุบแป้งทอดนํ้ามันอยู่ฉ่าฉ่า เฮ้ยไฟร้อนนักชักฟืนรา อีคงควักตักมาว่าเกรียมดี วางไว้ตามชะมดแลกงเกวียน ฟั่นเทียนเรียงไว้อย่าให้บี้ ขนมกรุบขนมกรอบเห็นชอบที คลุกน้ำตาลพริบพรีใส่ที่ไว้


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑๓ ข้าวเม่ากวนแป้งนวลชุบทอด เอาไม้แยงแทงหลอดใส่ยอดไข่ มะพร้าวน้ำตาลหวานไส้ใน สุกแทงขึ้นไว้อ้ายลูกโคน บางควักแป้งแบ่งปันช่วยกันหวา ฝูงข้าอึงมี่ดังมีโขน ศรีประจันเร่งของร้องตะโกน ค่อยส่งมาอย่าโยนจะยับไป ฯ ๏ ครานั้นเจ้ากัณฑ์ทศพร ลุกขึ้นตื่นนอนแต่ก่อนไก่ ขนของเครื่องกัณฑ์สนั่นไป ถึงวัดป่าเลไลยได้อรุณ เครื่องกัณฑ์ตั้งพานในการเปรียญ จุดธูปเทียนไหว้พระอยู่กรุ่นกรุ่น ชีต้นให้ศีลบอกส่วนบุญ แล้วว่าจุณณีย์บทบาลีไป ทศพรหิมพานต์ทานกัณฑ์ จบพลันกัณฑ์หลังขึ้นตั้งใหม่ ถึงกัณฑ์มหาพนชีต้นใจ จบแล้วเธอก็ไปกุฎีพลัน ฯ ๏ จะกล่าวถึงขุนช้างเพื่อนตื่นสาย วุ่นวายล้างหน้าจ้าละหวั่น อีเด็กเอ๋ยเจ้าข้ามาพร้อมกัน เออหมากประจำกัณฑ์กูลืมไป กูเป็นพ่อหม้ายมาหลายปี ของนี้ไม่มีใครทำได้ รูปสัตว์มะละกอกูท้อใจ มีใครอยู่บ้างเป็นช่างแกะ ถ้าบ้านเรานี้ไม่มีใคร ช่างอยู่ที่ไหนไปแค่นแคะ นางเมืองบอกพลันว่าอีฉันแหละ พอเล็มและค่อยคลำจะทำไป มะละกอซื้อมาตะกร้าจีน เอาหยักหั่นควั่นสิ้นหาช้าไม่ เม็ดยอช่อตั้งขึ้นบังใบ รายเรียงเคียงใส่ไว้เบื้องบน แกะเป็นหลวงชีขี่ตาเถน แกะเจ้าเณรเคียงคั่นไว้ชั้นต้น แกะแร้งกินผีดูพิกล เอาดอกรักปักปนกับดาวเรือง ขุนช้างชอบใจให้รางวัล จัดสรรตอบแทนแหวนทองเหลือง ราคาไม่มากมายก็หลายเฟื้อง นางเมืองรับไปใส่นิ้วมือ ครั้นแล้วจึงสั่งกับข้าไท เอ็งยกเครื่องกัณฑ์ไปให้อึงอื้อ แหนแห่แซ่ถนนให้คนฦๅ ประจำกัณฑ์นั้นถือไปให้ดี ถ้ามึงทำหายหกตกหล่น กูจะถองกำด้นให้กลิ้งคี่ อ้ายบ่าวแบกเครื่องกัณฑ์ไปทันที โห่มี่ไปวัดป่าเลไลย แต่บรรดาเครื่องกัณฑ์ที่เอามา วางเรียงไว้หน้าศาลาใหญ่ ผู้คนอัดแอเซ็งแซ่ไป ใครใครก็มาดูอยู่มากมี ฯ ๏ ครานั้นนางพิมพิลาไลย เรียกหาข้าไทให้มานี่ ทำหมากประจำกัณฑ์ให้ฉันที หมากพลูสำลีไปหามา บ้างเอามะละกอมาผ่าจัก ช่วยกันแกะสลักเป็นหนักหนา แล้วย้อมสีสดงามอร่ามตา ประดับประดาเป็นทีศีขรินทร์ แกะเป็นราชสีห์สิงห์อัด เหยียบหยัดยืนอยู่ดูเฉิดฉิน แกะเป็นเทพนมพรหมินทร์ พระอินทร์ถือแก้วแล้วเหาะมา แกะรูปนารายณ์ทรงสุบรรณ ผาดผันเผ่นผยองล่องเวหา ยกไปให้เขาโมทนา ฝูงข้าก็รับไปทันที


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑๔ ครั้นถึงศาลามาตั้งไว้ สัปปุรุษสุดใจไปดูมี่ เออเขาทำหมดจดงดงามดี ไม่เสียทีที่ลำบากพากเพียร รูปสัตว์หยัดย่องตละเป็น ดูเด่นเห็นสะอาดดังวาดเขียน เขาช่างแกะสลักจักเจียน ทั้งการเปรียญต่างชมขรมไป ฯ ๏ ครานั้นขุนช้างจวนเวลา สั่งข้าตักน้ำใส่ขันใหญ่ พวกบ่าวหาบน้ำตามกันไป เติมใส่เต็มขันในทันที เจ้าขุนช้างอาบนํ้าสำราญใจ ข้าไทเข้ากลุ้มรุมกันสี เอาขมิ้นถูตัวให้ทั่วดี ขี้ไคลไหลรี่สีออกมา ผิวหนังยังเขียวเหมือนผักตบ นี่จวนจบมหาพนแล้วสิหว่า เข้าห้องดินสอพองละลายทา ประทั่วกายาจนพุงลาย ควักเอามุหน่ายขึ้นป้ายปีก ฉีกผมปกกบาลให้ล้านหาย ยังโล่งเลี่ยนเตียนกลางอย่างแปลงควาย หัวกูฉิบหายน่าอายใจ นุ่งยกลายกระหนกเหมหงส์ เหมือนผ้าทรงใครใครหามีไม่ เกี้ยวส่านปักทองกรองดอกไม้ ผ้าเช็ดเหงื่อไคลใส่ชมพู ครั้งนี้จะแต่งไปให้ยิ่งยวด จะไปอวดนางพิมให้ยิ้มอยู่ นิ้วก้อยใส่รังแตนแหวนงู นิ้วชี้เชิดชูนั้นแหวนเพชร นิ้วนางแหวนประดับทับทิม เอ๊ะทีนี้นางพิมปิ้มสำเร็จ แหวนเครื่องของบิดายอดห้าเม็ด ชาวสุพรรณมันเข็ดว่ามั่งมี เดินย่องไปส่องกระจกใหญ่ ทุดหัวจัญไรเหมือนล่องขี้ ถึงหัวชั่วแต่ตัวเป็นผู้ดี อ้ายเด็กมานี่เอาเสื่อไป มึงไปอยู่ด้วยกูสักสิบคน แต่พอตามก้นอย่าไปไหน คนโทถาดหมากเครื่องนากใน มึงถือไปอ้ายจีดอย่ากรีดกราย ขุนช้างย่างลงจากเคหา เดินย้ายส่ายมาหน้าแหงนหงาย เห็นใครดูก็พยักทักทาย เหมือนควายขวิดเฝือเหงื่อท่วมมา ครั้นว่ามาถึงการเปรียญใหญ่ สัปปุรุษสุดใจอยู่พร้อมหน้า เขาหลีกทางขุนช้างก็เข้ามา บ่าวปูเสื่อคล้านั่งเพโท เพื่อนฝูงเห็นเข้าก็มาหา ทักทายพูดจาว่ากันโอ้ ที่บางคนพูดมากปากโว ว่าพุทโธ่เหงื่อไหลกะไรนี้ ขุนช้างเคืองขัดสะบัดหน้า ไม่พอที่จะมาว่าจู้จี้ เมินหน้าเสียพลันทันที เรียกหมอนมือชี้อยู่เว้โว้ สั่งบ่าวไพร่ให้กองของเครื่องกัณฑ์ เผือกมันของเรานั้นอักโข อ้อยขาวอ้อยแดงแตงโม ส้มโอมะดูกลูกมะไฟ ชะมดกงเกวียนข้าวเหนียวแดง หินฝนทองครองแครงแตงลูกใหญ่ นอกศาลาข้าวของที่กองไว้ จัดให้เป็นลำดับอย่าซับซ้อน ยกเข้ามาข้างในไตรกับบาตร เสื่อสาดฟูกเมาะเบาะหมอน พานหมากประจำกัณฑ์นั้นอย่าซ่อน ยกไปก่อนตั้งหน้าพานผ้าไตร


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑๕ แล้วจุดธูปเทียนขึ้นบูชา ชีต้นเทศนาหาช้าไม่ พวกทายกสัปปุรุษสุดใจ ก็จุดเทียนปักดอกไม้ไหว้บูชา ฯ ๏ ครานั้นนางพิมพิลาไลย ว่าจวนกัณฑ์เราไปเถิดแม่ขา แล้วก็ลุกไปพลันมิทันช้า อาบน้ำผลัดผ้าด้วยฉับพลัน จึงเอาขมิ้นมารินทา ลูบทั่วกายาขมีขมัน ทาแป้งแต่งไรใส่น้ำมัน ผัดหน้าเฉิดฉันดังนวลแตง เอาซี่สีฟันเป็นมันขลับ กระจกส่องเงาวับดูจับแสง นุ่งยกลายกระหนกพื้นแดง ก้านแย่งทองระยับจับตาพราย ชั้นในห่มสไบชมพูนิ่ม สีทับทิมทับนอกดูเฉิดฉาย ริ้วทองกรองดอกพรรณราย ชายเห็นเป็นที่เจริญใจ ใส่แหวนเพชรประดับทับทิมพลอย สอดก้อยแหวนงูดูลิ้นไหว อีเด็กเอ๋ยหีบหมากเครื่องนากใน ขันถมยาเอาไปอย่าได้ช้า ข้าไททาแป้งแต่งตัว หวีหัวใส่น้ำมันกันหน้า สำเร็จเสร็จพลันทันเวลา ก็ออกมาหน้าเรือนในทันที ศรีประจันครั้นแลเห็นลูกสาว กูนี้หัวหงอกขาวมันพ้นที่ จะตกแต่งตัวไปทำไมมี คว้าผ้ายกตานีห่มดอกคำ ลูกสาวหัวเราะร่าว่าแม่เอ๋ย ช่างไม่อายเขาเลยเห็นผิดสํ่า ศรีประจันครั้นมองร้องกรรมกรรม ผลัดผ้าตารางดำห่มขาวม้า แม่เดินนำทางนางพิมตาม ดูเหมือนหนึ่งนางห้ามงามหนักหนา บ่าวไพร่ตามกันเป็นหลั่นมา พวกข้าก็แบกเครื่องกัณฑ์ไป ครั้นว่ามาถึงการเปรียญ ธูปเทียนกระจ่างสว่างไสว ปูเสื่อนั่งพลันในทันใด แม่ลูกกราบไหว้ด้วยยินดี ครั้นพระสงฆ์เทศน์จบกัณฑ์กุมาร เจ้าขรัวหัวล้านก็เร็วรี่ ประเคนเครื่องกัณฑ์ในทันที ปี่พาทย์ก็ตีเป็นเพลงไป ฯ ๏ ครานั้นนางพิมศรีประจัน ให้บ่าวยกเครื่องกัณฑ์หาช้าไม่ บาตรย่ามบริขารพานผ้าไตร ส้มสูกลูกไม้เป็นหลายพรรณ ขนมนมเนยก็หลายอย่าง ยกเข้าไปจัดวางไว้เป็นหลั่น ข้างหน้าตั้งหมากประจำกัณฑ์ ปี่พาทย์ตีลั่นขึ้นทันที ฯ ๏ จะกล่าวถึงสมภารเรียกเณรแก้ว ขานแล้วดีฉานหลานอยู่นี่ กูป่วยมาหลายวันไม่ทันที เณรไปเทศน์มัทรีนี้แทนกู เณรแก้วกราบแล้วลุกลนลาน หยิบมัทรีมาทานอ่านอยู่ ว่าท่องตามทำนองของท่านครู ซ้อมดูจนคล่องว่องไว ทั้งคาถาบาลีจุณณีย์บท กำหนดแม่นยำจำไว้ได้ แล้วเรียกเณรอ้นพลันทันใด มาแบกคัมภีร์ไปให้ข้าที เณรอ้นรับคำแล้วอำลา มาครองผ้าสไบหนังไก่สี จบจับรับเอาห่อคัมภีร์ คอยอยู่ที่บันไดจะไคลคลา ฯ


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑๖ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว เย็นแล้วจะไปเทศน์ก็ผลัดผ้า ห่มดองครองแนบกับกายา แล้วไปวันทาท่านขรัวมี ลุกออกจากห้องของสมภาร อธิษฐานแล้วก็เสกขี้ผึ้งสี ให้เณรอ้นเดินนำแบกคัมภีร์ มาจากกุฎีถึงศาลา นั่งต่ำมากว่าสงฆ์สำรวมกาย ชม้ายเห็นเจ้าพิมผู้นิ่มหน้า พิมน้อยพอชม้อยไปปะตา อายหน้าก้มนิ่งอยู่ในที เณรพลายจึงร่ายละลวยซ้ำ ประจำจิตรประสมเนตรวิเศษศรี กำลังมนตร์ดลพิมให้ยินดี ไม่ขาดที่จะแลล่อไปต่อตา พอสบพักตร์เณรพยักให้ทันใด ด้วยน้ำใจผูกพันกระสันหา เชิญกระหยับมานี่เถิดสีกา ท่านสมภารไม่มาอาพาธไป จึงให้ข้าเจ้ามาเทศนา ท่านเจ้ากัณฑ์จะว่าเป็นไฉน นางพิมยิ้มตอบไปทันใด ไหนไหนก็เหมือนกันไม่ฉันทา ไม่เลือกเณรเลือกขรัวว่าชั่วดี ตามแต่บาลีพระคาถา พูดพลางยิ้มเหลือบไปปะตา ก็เสือกพานหมากมาให้สายทอง ก้มกรานตั้งพานหมากอังคาส ขึ้นธรรมาสน์จับจบคัมภีร์จ้อง มือจับหนังสือถือประคอง อ่านต้องตามบทจุณณีย์ จนถึงแทบทางพระนางคลา พบพระยาพยัคฆราชสีห์ นางชะอ้อนวอนขอจรลี จนราตรีแจ่มแจ้งด้วยแสงจันทร์ ถึงอาศรมอารมณ์ให้เยือกเย็น ด้วยไม่เห็นพระลูกผู้จอมขวัญ ทรงกันแสงโศกาจาบัลย์ เสด็จดั้นด้นตามพระลูกยา สัปปุรุษหญิงชายครั้นได้ฟัง เสียงสาธุดังขึ้นพร้อมหน้า ทุกคนดลใจให้ศรัทธา นางพิมเปลื้องผ้าทับทิมพลัน จีบจบคำรบถ้วนสามที ยินดีวางลงในพานนั่น ถวายแล้วนอบนบอภิวันท์ พิษฐานสำคัญด้วยศรัทธา สาธุสะเดชะข้าทำทาน ให้พร้อมยศบริวารไปภายหน้า สารพัดมั่งมีปรีดา ว่าแล้วนั่งฟังด้วยตั้งใจ ฯ ๏ ขุนช้างเห็นนางถวายผ้า ชะต้าเขาเป็นหญิงยังทำได้ จะมานั่งนิ่งดูอดสูใจ เรามิให้น้อยหน้านินทากัน จึงว่าสาธุโมทนา ความศรัทธาเลื่อมใสกะไรนั่น ถึงตัวเรามิได้เป็นเจ้ากัณฑ์ ก็ศรัทธามากครันในอารมณ์ ว่าแล้วเหลียวหน้ามาดูพิม ยิ้มเปลื้องผ้ากรองที่ครองห่ม จีบจับพับถือมือประนม ยกเหนือผมแล้วพิษฐานไป สาธุสะเดชะเมตตาจิตร ขอให้สมอารมณ์คิดพิสมัย ให้ได้เร็วพลันให้ทันใจ แต่ในคํ่าวันนี้อย่าคลาศคลา ว่าพลางวางเคียงผ้านางพิม ขอให้ผ้าสีทับทิมอย่าแคล้วข้า จงบันดาลเคลื่อนคล้อยให้ลอยมา แต่เวลาคํ่าวันนี้อย่านานไป ฯ


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑๗ ๏ นางพิมพิลาไลยครั้นได้ฟัง แค้นคั่งอัดอั้นให้มันไส้ ทุดถ่มน้ำลายด้วยอายใจ สั่งข้าไทให้หยิบเอาพานมา อีพรมอีบู่รู้ใจนาย เดินกรายเข้าไปหยิบเอาพานผ้า ข้ามหัวขุนช้างกลางศาลา ขุนช้างเพ่งดูตาด้วยขัดใจ สายทองร้องว่าฮ้าอีพรม ชายผ้าปัดผมท่านหาดูไม่ กิริยาชั่วถ่อยน้อยเมื่อไร ไปเถิดหนอแม่พิมอย่าฟังเลย นางพิมย่างเท้าก้าวเดินมา ช่างขายหน้าจริงๆ แม่เจ้าเอ๋ย ยิ่งกว่าลูกชาวไร่มันไม่เคย นางก็ด่าเปรียบเปรยมาบ้านพลัน ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว สีกาพิมไปแล้วให้ป่วนปั่น ด้วยความรักตรึงจิตรคิดผูกพัน ก็ตัดบั่นหั่นข้ามเนื้อความไป อ่านคาถาว่าครบพอจบบาท ก็จบเทศน์ลงธรรมาสน์หาช้าไม่ ถึงกัณฑ์สักรบรรพด้วยฉับไว แล้วต่อไปจนครบสิบสามกัณฑ์ ทายกทั้งประสกแลสีกา บ้างกรวดน้ำกรวดท่าด้วยจอกขัน โมทนาชื่นชมสมภารครัน พอสองยามเสร็จกันก็ครรไล ฯ ๏ ดึกกำดัดลมพัดมาอ่อนอ่อน พระจันทรแสงสว่างกระจ่างไข เงียบสงัดทั้งวัดป่าเลไลย เจ้าเณรน้อยละห้อยให้คะนึงนาง โอ้พิมนิ่มนวลของเณรแก้ว เจ้าไปแล้วจะรำลึกถึงพี่บ้าง ฤๅงามปลื้มแม่จะลืมนํ้าใจจาง แต่ครุ่นครางครวญคิดจนค่อนคืน ทำไฉนจึงจะได้นางพิมชม ให้เคลื่อนคลายอารมณ์รํ่าสะอื้น รักนางพ่างเพียงจะกลํ้ากลืน หญิงอื่นหมื่นแสนไม่นำพา ได้ร่วมหมอนพี่จะช้อนขึ้นชมชื่น ทุกคํ่าคืนมิได้ขาดเสนหา ทำไฉนจึงจะได้สนทนา กับพิมแก้วแววตาสักสองคำ บ้านช่องของน้องซึ่งตำแหน่ง ไม่รู้แห่งเห็นเจ้าเข้าจวนคํ่า ได้ชมนางแต่เมื่อกลางสำแดงธรรม อ้ายขุนช้างเจ้ากรรมจลาจล เจ้าเดือดด่าพาบ่าวเข้าไปบ้าน พี่พลุ่งพล่านเทศน์พลั้งเป็นหลายหน พอลับเจ้าพี่เฝ้าเป็นทุกข์ทน พรุ่งนี้เช้าพี่จะด้นไปโดยเดา ถึงจะอยู่ซอกห้วยหุบเหวผา จะเสาะหาไปให้พบตำแหน่งเจ้า ยิ่งคะนึงถึงนางไม่บางเบา ไก่ก็เร้าเร่งรีบในราตรี กอดผ้าสีทับทิมของพิมน้อง จูบประคองหอมซาบอาบทรวงพี่ ยิ่งรัญจวนหวนหาในราตรี จวนจะรุ่งพระสุริย์ศรีขึ้นรางราง ฯ ๏ ครานั้นนางพิมนิ่มสนิท เกิดนิมิตประจักษ์ใจเมื่อใกล้สว่าง ว่าว่ายข้ามน้ำได้ไปกลางทาง กับพี่นางสายทองคะนองใจ ถึงฝั่งหยั่งตื้นพอยืนตรง สายทองส่งบัวทองประคองให้ หอมห่อผ้าห่มชมชื่นใจ แล้วกลับข้ามน้ำได้ดังจินดา สิ้นฝันเท่านั้นก็ตื่นตัว ไม่เห็นบัวทองหายก็คว้าหา เสียดายดวงโกสุมปทุมา อนิจจาอกโอ้มาหายไป


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑๘ จึงขยับจับปลุกสายทองพลัน เล่าความฝันให้ฟังหาช้าไม่ จะเป็นเหตุเภทพาลประการใด ทำนายให้น้องหน่อยหนึ่งเถิดรา ฯ ๏ สายทองฟังน้องบอกนิมิต ประจักษ์จิตรคิดความไม่กังขา เคยได้สังเกตไว้แต่ไรมา แก้วตาอย่าประหวั่นพรั่นใจ ซึ่งฝันว่าได้ดอกบัวชม จะได้คู่สู่สมพิสมัย ชายนี้เห็นทีไม่ใกล้ไกล คงจะได้โดยพลันมิทันช้า ซึ่งฝันว่าพี่เด็ดดอกบัวส่ง คงจะได้พึ่งแม่ไปภายหน้า ถ้ากะไรได้เหมือนดังจินดา แม่เมตตาสายทองให้ได้ดี ฯ ๏ นางพิมร้องไฮ้พี่สายทอง ทำนายน้องอะไรอย่างนั้นพี่ แต่อยู่ด้วยกันมาทั้งตาปี พี่เห็นวี่เห็นแววที่ไหนมา พี่สายทองฤๅเห็นน้องนี้ร้อนรน เป็นกังวลบ่นอย่างไรจึงแกล้งว่า บัวทองน้องฝันยังติดตา ทำนายผัวตัวข้าไม่เออออ ซึ่งฝันว่าพี่เด็ดดอกบัวส่ง ถ้าตรงเข้าพี่สายทองจะหัวร่อ วานทำนายให้น้องต้องใจคอ เงินหม้อทองหม้อจะพอใจ ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าขุนช้าง คะนึงนางนิทราหาหลับไม่ พลิกควํ่าครํ่าครวญรัญจวนใจ โอ้แม่พิมพิลาไลยของขุนช้าง ฟังเสียงเกลี้ยงกลมเมื่อเจ้าว่า วาจาแจ้วเจื้อยแจ่มกระจ่าง อรชรอ้อนแอ้นบั้นเอวบาง หมื่นนางก็ไม่มีเหมือนนางเดียว เจ้าห่มสีทับทิมริมขลิบทอง สอดสองซับในสไบเขียว แขนอ่อนท่อนท้ายแม่พริ้งเพรียว งามตาเมื่อเจ้าเหลียวชำเลืองมา ทำไฉนจะได้แนบสนิทนาง ขุนช้างจะทูนเหนือเกศา จะคลึงเคล้าเฝ้าเฟ้นเป็นอัตรา ข้าวปลาจะป้อนให้หล่อนกิน ยามเดินจะเชิญโฉมเจ้าขี่ช้าง ยามนอนจะให้นางหอมประทิ่น อาบน้ำจะทำสุหร่ายริน แผ่นดินมิให้ย่างระคายกาย รักเจ้าเท่าเทียมดวงชีวิต กลัวจะเสียแรงคิดไม่เหมือนหมาย ด้วยรูปชั่วกลัวเจ้าจะเกลียดกลาย ถึงใจรักก็จักอายด้วยลายงอน รื้อคิดขึ้นมาจะว่าไย ถึงชั่วดีก็จะไปดูทีก่อน ถ้าว่างคนจะซนเข้าว่าวอน ถูกลมเห็นจะอ่อนละมุนลง เปิดมุ้งรุ่งแล้วฤๅยังหนอ อ่อแสงพระจันทร์ยังสูงส่ง ได้ทีพี่จะไปเป็นมั่นคง หาเจ้าเกศสุริยงทรงโสภา ฯ


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๑๙ บทถอดความร้อยกรอง เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วบวชเณร หลังจากนางทองประศรีพาพลายแก้วหนีการริบราชบาตรไปอยู่กาญจนบุรี ได้เติบใหญ่ อายุ ๑๕ ปี พลายแก้วอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ อ้อนวอนแม่ให้พาไปบวชเณรเป็นลูกศิษย์ของ พระสงฆ์ที่มีวิชาดี นางทองประศรีเห็นว่าขรัวอาจารย์วัดส้มใหญ่ชำนาญนั่งทางใน รู้วิชาการรบและมี คาถาอาคมอยู่ยงคงกระพัน จึงเตรียมพาพลายแก้วไปขอบวชเป็นลูกศิษย์ นางทองประศรีสั่งบ่าวไพรให้หาซื้อผ้ามาตัดเย็บสบงจีวรและอังสะ แล้วย้อมสีขมิ้น ซื้อ ย่ามและบาตรมาเตรียมไว้ และให้หาหมากพลูใบตองมาเย็บกรวยทำบายศรี พวกแม่ครัวหุงต้มทำแกง กับข้าวคาวหวานและจัดส้มสูกผลไม้ใส่กระบะเรียงรายไว้พรักพร้อม ครั้นเตรียมข้าวของเสร็จสิ้น นางทองประศรีก็อาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้พลายแก้ว ใช้ขมิ้น ดินสอพองขัดผิวจนหมดจด แล้วหวีหัวผัดหน้าเป็นนวลใย จากนั้นให้พลายแก้วนุ่งผ้ายกจีบ คาด เข็มขัดทอง ห่มเสื้อครุย สวมลอมพอกดอกไม้ไหว สวมแหวนเพชรเม็ดใหญ่ ถือธูปเทียนดอกไม้ และ ให้ขี่คอนายดำ มีร่มกั้นบังแดด แล้วยกขบวนแห่ไปยังวัดส้มใหญ่ มีบ่าวไพร่แบกข้าวของตามหลังมา เมื่อถึงวัดส้มใหญ่ นางทองประศรีพาพลายแก้วไปกราบสมภารบุญ ขอให้บวชเณรลูกชายจะได้ศึกษา เล่าเรียนมีวิชาความรู้ติดตัว สมภารบุญซึ่งรักใคร่สนิทสนมกับขุนไกรผู้ล่วงลับยินดีรับพลายแก้ว เป็นลูกศิษย์ จัดการโกนหัวพลายแก้วแล้วทำพิธีบวชเณรให้ หลังจากบวชแล้ว เณรแก้วได้ร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ จากสมภารบุญ เณรแก้วเป็นคนฉลาด ปัญญาไว เรียนรู้ได้รวดเร็ว จนพระอาจารย์ ‘ขยาด’ เพราะไม่ถึงหนึ่งปี เณรเก้วเรียนวิชาจากสมภาร บุญไปจนหมดภูมิรู้ของอาจารย์ เหลือแต่ตำราเล่มใหญ่ ๆ บรรจุหัวใจพระคาถา ซึ่งสมภารเก็บไว้ด้วย ความหวงแหนจนแก่ชราไม่ได้สอนใคร สมภารบุญยกตำราที่มีทั้งคาถาอยู่ยงคงกระพัน ปล้นสะดม เลี้ยงโหงพราย ฯลฯ ให้เณรแก้วไปศึกษาด้วยตนเอง เณรแก้วเรียนจากตำราของขรัวตาแล้วก็อยากรู้วิชาชั้นสูงขึ้นไปอีกวันหนึ่ง ขอลาท่าน อาจารย์ไปสืบหาวิชาเรียนที่สุพรรณบุรีต่อไป ท่านสมภารบุญแนะนำให้ไปหาท่านอาจารย์วัดป่าเลไลยก์ซึ่งรู้จักกันดีกับนางทองประศรีเณรแก้วมาขอให้นางทองประศรีพาไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ นางทองประศรีดีใจยิ่งบอกกับลูกชายว่าที่เมืองสุพรรณบุรีมีพระอาจารย์ดี ๒ องค์ คือ สมภารมีวัดป่าเลไลยก์และขรัวตาที่วัดแค ว่าแล้วนางทองประศรีสั่งบ่าวให้ผูกช้างพังบู่ กับพลายกาง แล้วให้จัดข้าวของกับข้าวกับปลาที่จะเลี้ยงพระทั้งเช้าทั้งเพลใส่สัปคับไปให้พร้อม มีอ้าย เสนและตาพุ่มคุมขบวนพอเตรียมของเสร็จก็พากันเดินทางออกจากบ้านเขาชนไก่ ใช้เวลา ๓ วัน จึงถึง สุพรรณบุรีนางทองประศรีตรงไปวัดป่าเลไลยก์เข้ากราบสมภารมีที่กุฏิแล้วออกปากฝากฝังให้เป็น ลูกศิษย์ได้เล่าเรียนวิชา หากเกียจคร้านก็ให้สมภารดุด่าได้ตามใจ สมภารมียินดีรับพลายแก้ว เป็นลูกศิษย์บอกว่าไม่ชอบเฆี่ยนตี แต่จะสั่งสอนวิชาให้ตามสติปัญญา และบอกว่า ถ้าเด็กดีเด็กก็มีแต่คนชม ชั่วแล้วเขาก็ถมผู้ใหญ่นั่น เพื่อนก็เป็นเชื้อผู้ดีมีเผ่าพันธุ์ จะผ่าเหล่าเสียนั้นเห็นผิดไป (หน้า ๔๕)


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒๐ นางทองประศรีได้ฟังก็สบายใจทิ้งลูกไว้แล้วเดินทางกลับเขาชนไก่ พลายแก้วซึ่งเป็นคนมี ปัญญา หลังจากอยู่กับสมภารมี เพียง ๓ เดือนก็เทศน์ได้คล่อง หนำซ้ำยังสามารถเทศน์มหาชาติได้ ถูกต้องไพเราะเป็นที่จับอกจับใจผู้ฟัง เทศน์ที่ไหนเป็นที่เลื่องลือ มีทั้งชาวบ้านและเณรน้อยไปคอยฟัง กันแน่น และหาทางพูดคุยด้วย นอกจากนี้ เณรแก้วยังศึกษาวิชาการอื่นทั้งอ่าน เขียน ศึกษาตำรา พิชัยสงคราม วิชาโหราศาสตร์ ดูฤกษ์ยาม ศึกษาคาถาอาคม คงกระพันชาตรี ล่องหนหายตัว ผูก หุ่นพยนต์ เรียนคาถาเสกเป่าให้ผู้หญิงรักอีกด้วย สมภารมี พอใจความใฝ่รู้และความเฉลียวฉลาดของ เณรแก้ว จึงสอนวิชาให้ทุกอย่างโดยไม่ปิดบังรวมทั้งทดสอบให้เห็นว่ามีอาคมศักดิ์สิทธิ์จริง ดังเช่น สมการมีคายชานหมากให้เณรแก้วอมแล้วเอาสากตีหัวพลายแก้ว ปรากฏว่าหัวไม่แตกไม่บุบ เณรแก้ว มีความกตัญญู หมั่นปรนนิบัติพัดวี ทำให้สมภารมีเอ็นดูรักใคร่ จึงสอนวิชาพร้อมทดลองวิชากัน จนคล่องแคล่ว เณรแก้วจึงเชื่อมั่นในวิชาความรู้ของตนเองอย่างยิ่ง ฝ่ายขุนช้าง เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มมีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วยิ่งขึ้น เพราะหัวล้านขนรุงรัง หน้าตา เหมือนลิงค่าง ขุนช้างติดพันรักใคร่นางแก่นแก้วลูกหมื่นแผ้ว จึงสู่ขอมาเป็นภรรยา อยู่กินด้วยกันมา ปีกว่า นางแก่นแก้ว ล้มเจ็บเป็นไข้บิดริดสีดวง ผอมแห้งจนผิวหนังแข็งเป็นเกล็ด อยากกินอาหารดี ๆ แต่กินแล้วก็เป็นของแสลง ขุนช้างพยายามหาหมอมารักษาอาการป่วย หมอไม่ยอมรักษาให้ บอกว่า อาการหนักแล้ว ต่อมานางแก่นแก้วเสียชีวิต ขุนช้างจึงทำศพให้เมีย แล้วทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้เสมอมา พอถึงเทศกาลสงกรานต์ ชาวสุพรรณบุรีพากันมาทำบุญ ขนทรายเข้าวัด ที่วัดป่าเลไลยก์ มีงานเลี้ยงพระ ก่อพระเจดีย์ทราย ผู้คนแน่นขนัดเต็มวัดไปหมด เพราะต้องทำอาหารคาวหวานมา เลี้ยงพระกันทุกบ้าน คนแก่เฒ่าและคนหนุ่มสาวพากันแต่งตัวงดงามมาใส่บาตรทำบุญ นางพิมและ นางศรีประจันจัดหาข้าวปลาและธูปเทียนดอกไม้มาใส่บาตรที่วัดเช่นกัน พอถึงเวลาตักบาตร พระและ เณรลงมาที่ศาลา นั่งเรียงกันไปตามลำดับอาวุโสมรรคนายกอาราธนาศีลแล้ว พระสงฆ์สวดมนต์ จากนั้นเหล่าสีกาช่วยกันจัดอาหารใส่สำรับ มีลูกศิษย์วัดคอยประเคน และช่วยสำรวจตรวจตรา ว่าอาหารสำรับใดพร่องให้ตักเอาไปเติม นางพิมเตรียมอาหารมาใส่บาตรหลายอย่าง นางเริ่มใส่บาตรตั้งแต่พระหัวแถวลงมา จนถึงเณรแก้ว เมื่อเห็นเณรแก้ว รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จัก นางพิมจึงตักข้าวและจังหันให้ ทัพพีโต ๆ และมากมายหลายอย่างจนล้นไปหมด เณรแก้วซึ่งนั่งก้มหน้าสำรวมอยู่เห็นจังหันมากขนาด นั้นก็ตกใจเงยหน้าขึ้นดู เห็นนางพิมยิ้มอยู่จึงบอกว่า สีกาจะแกล้งหรืออย่างไร ตักบาตรเสียจนล้น ไม่รู้ จะฉันได้อย่างไร ที่ของที่ชอบกลับไม่ใส่บาตรให้ นางพิมยิ้มให้ ตอบยั่วเล่นต่อไปอีกว่า เห็นโอของเณร ว่างเปล่าช่วยตักจังหันใส่ให้เต็ม เณรยังต่อว่าให้เสียศรัทธาอีก เณรแก้วฟังแล้วก็ใจเต้น นิ่งนึกในใจอยู่ เป็นครู่ จึงจำได้ว่าสีกาที่พูดเย้าหยอกผู้นี้เป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กชื่อพิมพิลาไลย โตขึ้นแล้วสวยบาดใจ เสียเหลือเกิน ครั้นพระสงฆ์ฉันเสร็จ สมภารมี ว่ายถาสัพพีอนุโมทนา เหล่าสัปบุรุษและสีกากรวดน้ำ เสร็จพิธีสงฆ์แล้ว เหล่าชาวบ้านก็มาสนุกสนานรื่นเริงด้วยการฟ้อนรำขับร้องกันเป็นที่สนุกสนาน ครั้นถึงเดือนสิบ เป็นเทศกาลเทศน์มหาชาติ ผู้เฒ่าผู้แก่มาพบกันที่วัดป่าเลไลยก์เพื่อ ปรึกษากันเรื่องจัดการเทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์ ต่างรับเป็นเจ้าภาพกันคนละกัณฑ์ และกำหนดว่าจะ ให้ใครช่วยรับกัณฑ์ใดไปบ้างถ้าเป็นกัณฑ์ใหญ่ ๆ ก็มอบให้มหาเศรษฐี เช่น ลงมติมอบกัณฑ์มัทรีให้


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒๑ นางศรีประจัน มอบกัณฑ์กุมารให้ขุนช้าง เป็นต้น ตกลงเสร็จแล้วส่งนายบุญซึ่งคุ้นเคยกับขุนช้างนำ ใบฎีกาไปให้ นายบุญไปบอกขุนช้างว่าวัดป่าเลไลยก์ จัดเทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์ ขุนช้างจะทำบุญ บ้างไหม เพราะนางศรีประจันกับนางพิมรับเป็นเจ้าภาพกัณฑ์มัทรี แต่กัณฑ์กุมารยังไม่มีใครรับ ขุนช้าง ฟังแล้วหัวร่อชอบใจ บอกว่ากัณฑ์ใหญ่ ๆ แบบนี้ยินดีทำบุญสักห้าชั่งก็ยังได้ เผื่อชาติหน้าจะได้เกิดมา เป็นมหาเศรษฐีอีก นายบุญนำความกลับมาบอกแล้วนิมนต์ให้พระนำฎีกาไปยื่นให้เจ้าของกัณฑ์แต่ละ รายรับทราบต่อไป เมื่อขุนช้างรับเป็นเจ้าภาพกัณฑ์กุมารด้วยความยินดีที่จะได้ทำบุญแล้วขุนช้างสั่งบ่าว ให้จัดเตรียมสานกระจาด ซื้อเครื่องสังเค็ดบริขาร ซื้อผ้าเนื้อดีมาทำไตร และหาเครื่องกัณฑ์มาให้ ครบถ้วน ฝ่ายครัวก็โม่แป้งทำขนมกงร้อยอัน ขุนช้างกำชับว่าผลไม้ถูกแพงไม่ว่าให้ไปหาซื้อมา อย่าให้ คนนินทาได้ว่าเป็นเศรษฐีขี้เหนียว ส่วนนางศรีประจันก็เรียกบ่าวไพร่และนางพิมมาช่วยกันทำขนมนานาชนิด ทั้งขนม แป้งทอด ขนมกรุบขนมกรอบคลุกน้ำตาล ข้าวเม่า ขนมแป้งทอดไส้มะพร้าวกวนน้ำตาล เป็นต้น เมื่อถึงวันเทศน์มหาชาติ เจ้าภาพกัณฑ์ทศพร ต้องรีบตื่นก่อนไก่ขัน ช่วยกันขน เครื่องกัณฑ์เทศน์ไปวัด เพราะเป็นกัณฑ์แรก ตั้งเครื่องกัณฑ์บนพานไว้ในศาลาการเปรียญแล้วจุดธูป เทียนไหว้พระ พระให้ศีล แล้วเริ่มเทศน์จนจบกัณฑ์ทศพร เจ้าของกัณฑ์ถวายเครื่องไทยทาน เจ้าของ กัณฑ์ต่อไปเข้ามาตั้งเครื่องกัณฑ์ พระเทศน์กัณฑ์ต่อ ๆ ไปตามลำดับ คือ หิมพานต์ ทานกัณฑ์ มหาพน ฯลฯ ขุนช้างตื่นสาย ลนลานล้างหน้าล้างตาแล้วรีบไปวัด นึกขึ้นได้ว่าลืมหมากประจำกัณฑ์ เพราะเป็นหม้ายมาหลายปี ไม่มีใครทำให้เพราะต้องแกะสลักมะละกอเป็นรูปสัตว์ ประดับใส่พาน หมากให้ดูสวยงาม ขุนช้างถามหาว่าใครมีฝีมือแกะสลักบ้าง นางเมืองอาสาทำให้ เอามะละกอมาแกะ คว้านหั่นควักเป็นรูปพิลึกพิกล ดังนี้ แกะเป็นหลวงชีขี่ตาเถน แกะเจ้าเณรเคียงคั่นไว้ชั้นต้น แกะแร้งกินผีดูพิกล เอาดอกรักปักปนกับดาวเรือง (หน้า ๕๑) ขุนช้างพอใจมาก ตกรางวัลให้นางเมืองเป็นแหวนทองเหลืองราคาหลายเฟื้อง จากนั้น ขุนช้างสั่งบ่าวไพร่ให้ยกเครื่องกัณฑ์แห่ไปตามถนน โห่ร้องส่งเสียงให้ผู้คนสนใจมาดู ก่อนจะนำ เครื่องกัณฑ์ไปตั้งไว้หน้าศาลาใหญ่ที่วัดป่าเลไลยก์ ฝ่ายนางพิมพิลาไลยเรียกข้าไทหาหมากพลูสำลีมาจัดหมากประดับกัณฑ์ พร้อมแกะสลัก มะละกอย้อมสีสวยงามประดับบนพานหมากประจำกัณฑ์ เป็นรูปราชสีห์ สิงห์อัด เทพพนม พระพรหม พระอินทร์ถือแก้ว พระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นต้น เมื่อเสร็จแล้วให้ข้าไทยกไปไว้ในศาลา การเปรียญ เหล่าสัปบุรุษพากันมาดูต่างชื่นชมกันเซ็งแซ่ว่าฝีมือแกะสลักงดงามดีเมื่อใกล้เวลาขุนช้าง ให้ขี้ข้าตักน้ำใส่ขันใบใหญ่ ขุนช้างลงไปนอนอาบให้ข้าไทช่วยกันขัดขี้ไคล ทาขมิ้น แต่ผิวหนังยังเขียว เป็นสีผักตบ ยังไม่เหลืองอย่างสีขมิ้นสักที จนกัณฑ์มหาพนจะจบแล้ว ขุนช้างต้องยุติการอาบน้ำ เข้าห้องทาดินสอพองจนลายพร้อยไปทั้งตัว แล้วควักเอามุหน่ายป้ายผมปิดหัวล้าน แต่ปิดไม่มิด ยัง มองเห็นศีรษะ ‘โล่งเลี่ยนเตียนกลางอย่างแปลงควาย’ อยู่เช่นนั้น ขุนช้างนุ่งผ้ายกลายกระหนก


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒๒ เหมหงส์ซึ่งไม่มีใครมีเหมือน แล้วยังมีผ้าเกี้ยวปักทองเป็นลายดอกไม้ ถือผ้าเช็ดเหงื่อสีชมพู ใส่แหวน เพชร แหวนทอง แหวนทับทิม แหวนยอดห้าเม็ด แทบครบทุกนิ้ว ให้‘ชาวสุพรรณบุรีมันเข็ดว่ามั่งมี’ แต่งตัวเสร็จแล้ว สั่งเด็กอีก ๑0 คนให้แบกเสื่อ ถือคนโทถาดหมาก ซึ่งทำด้วยนากเป็นเครื่องประดับ เกียรติตามไปด้วย เมื่อขึ้นศาลาการเปรียญ สัปบุรุษทั้งหลายหลีกทางให้ขุนช้างเข้ามาบ่าวปูเสื่อให้นั่ง เป็นพิเศษกว่าคนอื่น มีคนเข้ามาทักทาย ขุนช้างเหงื่อท่วมตัวเวลาเดียวกันก็เอาแต่ชี้นิ้ววุ่นวายสั่งบ่าว ไพรให้ตั้งเครื่องกัณฑ์ให้ดี จัดให้เป็นลำดับอย่าซ้อนกัน เพราะข้าวของมากกว่าของคนอื่นมากนัก เมื่อ ตั้งเครื่องกัณฑ์เสร็จแล้ว ขุนช้างจุดธูปเทียนปักดอกไม้บูชาพระ แล้วพระก็เริ่มเทศน์กัณฑ์กุมาร ขณะนั้น นางพิมเร่งแม่ให้รีบไปวัด เพราะจวนจะถึงกัณฑ์มัทรีแล้ว นางพิมอาบน้ำแล้วจึง ทาขมิ้น ทาแป้ง แต่งไรผม ผัดหน้านวล สีฟันให้ดำเป็นเงา นางนุ่งผ้ายกลายกระหนกพื้นแดงก้านแย่ง ทองงามระยับ ห่มผ้าสไบสีชมพูไว้ชั้นใน มีผ้าสีทับทิมริ้วทองยกดอกทับเป็นชั้นนอก นิ้วสวมแหวน ทับทิม นิ้วก้อยสวมแหวนงู แล้วให้เด็กยกหีบหมากเป็นเครื่องนากและขันเป็นเครื่องถมตามไปด้วย มี บ่าวไพร่ตามไปอีกเป็นขบวน ส่วนนางศรีประจันเห็นว่าตัวแก่แล้วก็นุ่งผ้ายกตานีห่มผ้าดอกสีทอง พอ ลูกสาวหัวร่อทักว่าแต่งตัวไม่งาม ก็เปลี่ยนเป็นนุ่งผ้าตารางดำห่มขาวม้า แล้วนำหน้าขบวนเครื่องกัณฑ์ เทศน์ไปถึงวัด พอดีจบกัณฑ์กุมาร ขุนช้างเข้าประเคนเครื่องกัณฑ์นางศรีประจันและนางพิมให้บ่าวยก เครื่องกัณฑ์ตั้งวางลดหลั่นให้ได้ระเบียบ ข้างหน้าตั้งหมากประจำกัณฑ์ พอเรียบร้อย ปี่พาทย์ประโคม เตรียมเริ่มกัณฑ์มัทรี ฝ่ายสมภารมีตามเณรแก้วให้ไปเทศน์กัณฑ์มัทรีแทนเพราะป่วยมาหลายวันยังไม่หายดี เณรแก้วหยิบกัณฑ์มัทรีมาอ่านทาน ลองซ้อมจนคล่องแคล่ว แล้วเรียกเณรอ้นให้ยกคัมภีร์ไปคอยอยู่ หน้าบันได ส่วนเณรแก้วผลัดผ้าเสร็จแล้วเข้าไปไหว้ท่านสมภาร เมื่อออกจากห้องท่านอาจารย์ก็ อธิษฐานแล้วเสกขี้ผึ้งสีปาก จากนั้นให้เณรอ้นถือพระคัมภีร์เดินนำหน้าไปที่ศาลาการเปรียญ เมื่อไปถึง ก็นั่งต่ำกว่าพระสงฆ์ด้วยความสำรวม แต่ชม้ายตาไปยังนางพิม ฝ่ายนางพิมพอสบตากับเณรแก้วก็ ขวยเขิน ก้มหน้านิ่งอยู่ เณรแก้วจึงร่ายคาถามหาละลวยเข้าผูกใจผูกตานางพิม ดลใจให้นางพิมยินดีที่จะสู้ตากับ เณร พอมองหน้ากัน เณรแก้วพยักหน้าให้ แล้วเอ่ยเชื้อเชิญให้ขยับมาข้างหน้า บอกว่าสมภารมีอาพาธ ใช้ให้ตนมาเทศน์แทน เจ้าของกัณฑ์เป็นอย่างไร นางพิมตอบไปอย่างยิ้มแย้มว่า พระรูปไหนก็ไม่เป็นไร ไม่เลือกว่าต้องเป็นพระหรือเณร จะเทศน์ดีหรือไม่ดีอย่างไร แล้วแต่เรื่องในพระคาถา ว่าแล้วนางก็ เลื่อนพานหมากให้นางสายทองช่วยประเคนให้เณรแทน เณรแก้วจึงขึ้นธรรมาสน์ ไหว้จบพระคัมภีร์ แล้วเริ่มเทศน์กัณฑ์มัทรี ตั้งแต่พระนางมัทรีพบเสือร้ายกลางป่า นางอ้อนวอนขอผ่านทางจนพระจันทร์ ขึ้นจึงได้กลับถึงอาศรม เมื่อมาถึงก็ไม่เห็นสองกุมารเสียแล้ว พระนางทรงกันแสงด้วย ความอาดูร แล้ว เฝ้าดั้นด้นตามหาพระกัณหาชาลีด้วยความหวาดหวั่นพระทัย พอเทศน์ถึงตรงนี้ สัปบุรุษทั้งหลายซาบซึ้งใจจนเปล่งวาจาสาธุออกมา นางพิมศรัทธาแก่ กล้าจึงเปลื้องผ้าสไบสีทับทิม ไหว้จบครบสามหนแล้ววางถวายบนพาน พร้อมอธิษฐานว่า ด้วยศรัทธา แรงกล้าที่ได้ทำทานในครั้งนี้ขอให้มั่งมีศรีสุขพรั่งพร้อมด้วยข้าทาสบริวาร เพิ่มพูนด้วยยศศักดิ์ใน ภายภาคหน้า


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒๓ เมื่อขุนช้างเห็นนางพิมถวายผ้าเป็นทาน ไม่อยากให้น้อยหน้ากว่ากันจนคนอื่นเอาไป นินทาได้ จึงกล่าวอนุโมทนาสาธุ แล้วบอกว่าแม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของกัณฑ์ แต่จะขอร่วมทำบุญด้วย ว่า แล้วก็เปลื้องผ้ากรองที่ตนห่มมาไหว้จบแล้วอธิษฐาน ขอให้ได้สิ่งที่คิดหวัง ให้สมอารมณ์หมาย แต่ในค่ำ วันนี้นั่นคือให้ผ้าสีทับทิมเคลื่อนคล้อยลอยมาหาตนภายในค่ำวันนี้เทอญ แล้ววางผ้าห่มเคียงผ้าสไบ ของนางพิม นางพิมได้ฟังแล้ว โกรธแค้นแทบคลั่ง ถ่มน้ำลายประชดรดหน้าขุนข้าง แล้วสั่งข้าไทให้ไป หยิบเอาพานมา อีพรมอีบู่รู้ใจนายเดินกรายชายผ้าปัดศีรษะขุนช้างไปหยิบพาน นางสายทองด่าบ่าว ว่า กิริยาชั่ว แล้วชวนนางพิมกลับบ้าน นางพิมลุกกลับเสียกลางกัณฑ์ แล้วช่วยด่าสำทับว่าอีบ่าว เป็นลูกชาวไร่ ไม่ใช่ผู้ดี จึงมีกิริยาชั่วเช่นนั้น เป็นการด่าเปรียบเปรยไปถึงขุนช้าง พอนางพิมกลับไปแล้ว เณรแก้วปั่นป่วนใจด้วยความรัก รีบเทศน์ข้าม ๆ พอให้จบบท แล้วรีบลงจากธรรมาสน์ พระรูปอื่นเทศน์กัณฑ์สักกบรรพต่อไปจนครบสิบสามกัณฑ์ ได้เวลาสองยามก็ จบการเทศน์มหาชาติ เหล่าประสกสีกากรวดน้ำทำบุญอนุโมทนา แล้วแยกย้ายกันกลับบ้านเรือน หลังจากเณรแก้วพบนางพิมในงานเทศน์มหาชาติแล้ว เณรแก้วคิดกระสันปั่นป่วนถึง นางพิมจนนอนไม่หลับ เฝ้าแต่เห็นหน้านางพิมและปรารถนาจะได้นางมาเชยชม ยิ่งกอดจูบผ้าสไบ สีทับทิมของนาง ยิ่งรัญจวนปั่นป่วนใจจนใกล้รุ่ง เณรแก้วจึงหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย พร้อมตั้งใจว่า วันรุ่งขึ้นจะไปเสาะหาให้ได้ว่าบ้านของนางพิมอยู่ที่ใด ส่วนนางพิมก็ฝันประหลาดเมื่อตอนใกล้สาง ฝันว่าว่ายน้ำไปกับนางสายทองพี่เลี้ยง พอ ถึงกลางสายน้ำเป็นที่ตื้นพอยืนถึง นางสายทองส่งดอกบัวทองให้กลิ่นหอมชื่นใจ เมื่อรับดอกบัวมาชื่น ชมก็ห่อผ้าห่มไว้ แล้วว่ายน้ำกลับ เมื่อมาถึงฝั่งดอกบัวทองหายไปเสียแล้ว หาเท่าไรก็ไม่พบ นางตกใจ ตื่นปลุกนางสายทอง เล่าความฝันให้ฟังแล้วขอให้นางสายทองช่วยทำนายฝันว่าดีร้ายประการใด นางสายทองฟังแล้วแก้ฝันว่า ฝันได้ดอกบัวหมายความว่าจะมีคู่ครองชายที่จะมาเป็น คู่ครองจะได้พบกันในไม่ช้า ส่วนที่ฝันว่านางสายทองยื่นดอกบัวให้ หมายความว่าจะได้พึ่งพาต่อไปใน ภายหน้า ว่าแล้วนางสายทองก็บอกว่า หากสมประสงค์แล้ว ขอให้นางพิมเมตตานางสายทองช่วยให้ได้ ดิบได้ดีไปด้วย นางพิมได้ฟังคำทำนายฝันแล้วขวยเขิน แกล้งบอกว่านางยังไม่ได้คิดเรื่องการมีคู่เลย แก้ฝันแบบนี้ไม่เห็นด้วย น่าจะเป็นนางสายทองเองมากกว่า ถ้าทำนายว่าจะมั่งมีเงินทองจะพอใจกว่า ส่วนขุนช้างนอนไม่หลับเพราะคิดถึงนางพิมเช่นกัน คิดถึงเสียงอันเจื้อยแจ้ว คิดถึงรูปโฉม อ้อนแอ้นเอวบาง เห็นภาพนางห่มผ้าสีทับทิมซ้อนทับสไบสีเขียว ท้าวแขนอ่อนหยัดแลชำเลืองงามตา ขุนช้างใครได้นางพิมมาเป็นภรรยา ตั้งใจจะทะนุถนอมดูแลยกย่องเหนือหญิงใดและรักนางเท่าชีวิต ของตนเอง ขุนช้างกังวลว่ารูปอัปลักษณ์ของตนจะเป็นอุปสรรคขัดขวาง แต่ก็มุ่งมั่นว่าจะลองไปเสี่ยง พบนางพิมดู หากพูดจาเว้าวอนอ่อนหวาน นางอาจจะใจอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลนก็ได้


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒๔ เอกสารอ้างอิง


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒๕ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มาตรฐานและตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ม.2/๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง ม.2/๒ จับใจความสำคัญสรุปความและอธิบายรายละเอียดจากเรื่องที่อ่าน ม.2/๓ เขียนผังความคิดเพื่อแสดงความเข้าใจในบทเรียนต่าง ๆ ที่อ่าน มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.2/๒ วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีวรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่นที่อ่าน พร้อม ยกเหตุผลประกอบ ม.2/๓ อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน ม.2/4 สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.2/5 ท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดและบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ สาระการเรียนรู้ 1. ตำนานเสภา 2. ตำนานขุนช้างขุนแผน 3. ประวัติผู้แต่ง 4. สาแหรกของตัวละคร 5. บทร้อยกรอง 6. บทถอดความร้อยกรอง


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒๖ เนื้อหาสาระวรรณคดีท้องถิ่น จังหวัดสุพรรณบุรี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒๗ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มาตรฐานและตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ม.2/๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง ม.2/๒ จับใจความสำคัญสรุปความและอธิบายรายละเอียดจากเรื่องที่อ่าน ม.2/๓ เขียนผังความคิดเพื่อแสดงความเข้าใจในบทเรียนต่าง ๆ ที่อ่าน มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.2/๒ วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีวรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่นที่อ่าน พร้อม ยกเหตุผลประกอบ ม.2/๓ อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน ม.2/4 สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.2/5 ท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดและบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ สาระการเรียนรู้ 1. ตำนานเสภา 2. ตำนานขุนช้างขุนแผน 3. ประวัติผู้แต่ง 4. สาแหรกของตัวละคร 5. บทร้อยกรอง 6. บทถอดความร้อยกรอง


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒๘ ตำนานเสภา พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประเพณีการขับเสภามีแต่ครั้งกรุงเก่า แต่จะมีขึ้นเมื่อใด แลเหตุใดจึงเอาเรื่องขุนช้าง ขุนแผนมาแต่งเป็นกลอนขับเสภา ทั้ง ๒ ข้อนี้ยังไม่พบอธิบายปรากฏเป็นแน่ชัด แม้แต่คำที่เรียกว่า “เสภา” คำนี้ มูลศัพท์จะเป็นภาษาใด แลแปลว่ากะไร ก็ยังสืบไม่ได้ความ คำ “เสภา” นี้ นอกจากที่ เรียกการขับร้องเรื่องขุนช้างขุนแผนอย่างเราเข้าใจกัน มีที่ใช้อย่างอื่นแต่เป็นชื่อเพลงปี่พาทย์ เรียกว่า “เสภานอก” เพลงหนึ่ง “เสภาใน” เพลงหนึ่ง “เสภากลาง” เพลงหนึ่ง ชวนให้สันนิษฐานว่า “เสภา” จะเป็นชื่อลำนำที่เอามาใช้เป็นทำนองขับเรื่องขุนช้างขุนแผน แต่ผู้ชำนาญดนตรีกล่าวยืนยันว่า ลำนำที่ ขับเสภาไม่ได้ใกล้กับเพลงเสภาเลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอันยังแปลไม่ออก ว่าคำที่ว่า “เสภา” นี้จะแปล ความกะไร แต่มีเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหนังสือต่างๆ บ้าง ข้าพเจ้าเคยได้สดับคำผู้หลักผู้ใหญ่เล่ามา บ้าง สังเกตเห็นในกระบวนกลอนแลถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเสภาบ้าง ประกอบกับ ความสันนิษฐาน เห็นมีเค้าเงื่อนพอจะคาดคะเนตำนานของเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนได้อยู่ ข้าพเจ้าจะ ลองเก็บเนื้อความมาร้อยกรองแสดงโดยอัตโนมัติ ประกอบด้วยเหตุผลซึ่งจะชี้แจงไว้ให้ปรากฏแก่ท่าน ทั้งหลาย ถ้าว่าโดยประเพณีของการขับเสภา ถึงไม่ปรากฏเหตุเดิมแน่นอน ก็พอสันนิษฐานได้ว่า มูลเหตุคงเนื่องมาแต่เล่านิทานให้คนฟัง อันเป็นประเพณีมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ทีเดียว แม้ในคัมภีร์ สารัตถสมุจจัยซึ่งแต่งมากว่า ๗๐๐ ปี ยังกล่าวในตอนอธิบายเหตุแห่งมงคลสูตรว่า ในครั้ง พระพุทธกาลนั้น ตามเมืองในมัชฌิมประเทศ มักมีคนไปรับจ้างเล่านิทานให้ฟังกันในที่ชุมนุมชน เช่น ที่ศาลาพักคนเดินทาง เป็นต้น เกิดแต่คนทั้งหลายได้ฟังนิทาน จึงโจษเป็นปัญหากันขึ้นว่าอะไร เป็นมงคล เป็นปัญหาแพร่หลายไปจนถึงเทวดาไปทูลถามพระพุทธองค์ จึงได้ทรงแสดงมงคลสูตร ประเพณีการรับจ้างเล่านิทานให้คนฟังดังกล่าวมานี้ แม้ในสยามประเทศก็มีมาแต่โบราณ จนนับเป็น การมหรสพอย่างหนึ่ง ซึ่งมักมีในการงาน เช่นงานโกนจุก ในตอนค่ำเมื่อพระสวดมนต์แล้ว ก็หาคนไป เล่านิทานให้แขกฟัง เป็นประเพณีมาเก่าแก่ แลยังมีลงมาจนถึงในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ขับเสภาก็คือ เล่านิทานนั้นเอง และประเพณีมีเสภาก็มีในงานอย่างเดียวกับที่เล่านิทานนั้น จึงเห็นว่าเนื่องมาจาก เล่านิทาน ขับเสภาผิดกับเล่านิทานแต่เอานิทานมาผูกเป็นกลอน สำเนียงที่เล่าใช้ขับเป็นลำนำ และ ขับกันเฉพาะเรื่องขุนช้างขุนแผนเรื่องเดียว เสภาผิดกับเล่านิทานที่เป็นสามัญอยู่แต่เท่านี้ ถ้าจะลอง สันนิษฐานว่า เหตุใดจึงมีคนคิดขับเสภาขึ้นแทนเล่านิทาน ก็ดูเหมือนพอจะเห็นเหตุได้ คือเพราะ เล่านิทานฟังกันมานานๆ เข้าออกจะจืด จึงมีคนคิดจะเล่าให้แปลก โดยกระบวนแต่งเป็นบทกลอนว่า ให้คล้องกัน ให้น่าฟังกว่าที่เล่านิทานอย่างสามัญประการหนึ่ง เมื่อเป็นบทกลอนจึงว่าเป็นทำนองลำนำ ตามวิสัยการว่าบทกลอน ให้ไพเราะขึ้นกว่าเล่านิทานอีกประการหนึ่ง ข้อที่ขับแต่เรื่องขุนช้างขุนแผน เรื่องเดียวนั้น คงจะเป็นด้วยนิทานเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องที่ชอบกันแพร่หลายในครั้งกรุงเก่า ยิ่งกว่านิทานเรื่องอื่นๆ ด้วย เป็นเรื่องสนุกจับใจแลถือกันว่าเป็นเรื่องจริง จึงเกิดขับเสภาขึ้นด้วย ประการฉะนี้


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๒๙ ตำนานขุนช้างขุนแผน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้มีเนื้อความปรากฎในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ว่าพระราชวงศ์ของพระเจ้าอู่ทองได้ครองราชสมบัติในกรุงศรีอยุธยาตามลำดับหลายพระองค์ จนถึง พระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าพระพันวษา ภาษาพม่าเรียกว่า พระเจ้าวาตะถ่อง แปลว่าสำลีพันหนึ่ง มีพระมเหสีทรงพระนามว่า สุริยวงศาเทวี มีพระราชโอรสองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระบรมกุมาร ต่อมา พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนะหุตล้านช้าง ปรารถาจะเป็นพันธมิตรกับกรุงศรีอยุธยา จึงส่งพระราชธิดา องค์หนึ่ง มีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา มาถวายพระพันวษา ระหว่างทางได้ถูกพระเจ้าโพธิสารราชกุมาร พระเจ้านครเชียงใหม่ ไม่ต้องการให้กรุงศรีสัตนาคนะหุต มาเป็นมิตรกับกรุงศรีอยุธยาจึงส่งกำลังเข้า แย่งชิงพระราชธิดาไปได้สมเด็จพระพันวษาทราบเรื่องก็ทรงพระพิโรธ สั่งให้ยกทัพไปตีนครเชียงใหม่ ในการนี้ จำต้องหาผู้ที่มีฝีมือในการรบไปทำการ พระหมื่นศรีมหาดเล็ก ได้กราบทูลให้ใช้ขุนแผน ซึ่งต้องโทษอยู่ในคุกให้เป็นแม่ทัพหน้ายกไปตีเมืองเชียงใหม่ ขุนแผนก็รับอาสาพร้อมกับถวายทัณฑ์บน ว่าถ้าทำการไม่สำเร็จก็จะขอถวายชีวิต พระพันวษาจึงตั้งให้ขุนแผนเป็นแม่ทัพ ถืออาญาสิทธิ์คุม กองทัพไทย ไปตีนครเชียงใหม่เมื่อกองทัพยกไปถึงเมืองพิจิตร ได้ไปขอดาบเวทวิเศษ (ดาบฟ้าฟื้น)กับ ม้าวิเศษ (ม้าสีหมอก) ที่ฝากเจ้าเมืองพิจิตรไว้คืนมาเพื่อนำไปใช้ในการศึกเมื่อกองทัพถึงเชียงใหม่ ฝ่ายเชียงใหม่ได้ทำการต่อสู้เป็นสามารถ แต่สู้ไม่ได้ขุนแผนเข้านครเชียงใหม่ได้ พระเจ้านครเชียงใหม่ หนีไป ขุนแผนจึงจับอัครสาธุเหวี มเหสีเจ้าเชียงใหม่กับพระราชธิดานามว่าเจ้าแว่นฟ้าทองพร้อมสนม น้อยใหญ่ของพระเจ้านครเชียงใหม่ไว้ และให้เชิญนางสร้อยทอง ราชธิดาพระเจ้าล้านช้าง พร้อมทั้ง มเหสีและราชธิดาพระเจ้านครเชียงใหม่ที่จับไว้ได้เลิกกองทัพกลับมาถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาได้โปรดเกล้าๆ ให้พระเจ้าเชียงใหม่กลับมาครองเมืองเชียงใหม่ตามเดิม เพื่อความสงบสุขของสมณชีพราหมณ์และราษฎรชาวเมืองเชียงใหม่ และให้พระราชทานบำเหน็จ รางวัลแก่ขุนแผนและกำลังพลกองทัพโดยทั่วหน้า ทรงตั้งนางสร้อยทองเป็นพระมเหสีซ้าย นางแว่นฟ้า เป็นสนมเอก ส่วนมเหสีพระเจ้านครเชียงใหม่ ทรงส่งคืนให้พระเจ้านครเชียงใหม่ ส่วนบรรดาข้าคน ชาวล้านช้างและชาวเชียงใหม่ก็ให้ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินในกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายขุนแผนเมื่อเห็นว่าตนชราภาพแล้ว จึงนำดาบเวทวิเศษของตนถวายสมเด็จ พระพันวษา พระองค์ทรงรับไว้เป็นพระแสงทรงสำหรับพระองค์และทรงพระราชทานว่าพระแสงปราบศัตรู แลทรงตั้งนามพระขรรค์แต่ครั้งพระยาแกรกนั้นว่าพระขรรค์ไชยศรี สมเด็จพระพันวษาทรงครองราชย์ได้ ๒๕ พรรษา เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุ ๔0 พรรษา จากหลักฐานดังกล่าว เรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องที่เกิดในแผ่นดินสมเด็จ พระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐ) พระโอรสสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๔ - พ.ศ. ๒๐๗๒


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓๐ ประวัติผู้แต่ง พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ( 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311 – 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ; ครองราชย์ 8 กันยายน พ.ศ. 2352 – 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367) เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นกษัตริย์ องค์ที่สองของสยามในสมัยราชวงศ์จักรี ปกครองระหว่าง พ.ศ. 2352 ถึง พ.ศ. 2367 ในปี พ.ศ. 2352 เจ้าฟ้าฉิมหรือกรมหลวงอิศรสุนทรพระราชโอรสองค์โตสืบราชบัลลังก์ต่อจากรัชกาลที่ 1 พระราชบิดาผู้สถาปนาราชวงศ์จักรีเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชสมัยของพระองค์ สงบสุข ปราศจากความขัดแย้ง รัชสมัยของพระองค์เป็น “ยุคทองของวรรณคดี” เนื่องจากพระองค์ ทรงอุปถัมภ์กวีหลายคนในราชสำนักและพระองค์เองก็มีชื่อเสียงในฐานะกวีและศิลปิน กวีที่โดดเด่น ที่สุดในราชสำนักคือสุนทรภู่


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓๑ ผลงานด้านวรรณกรรม ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับการยกย่องว่า เป็นยุคทอง ของวรรณคดีสมัยหนึ่งเลยทีเดียว ด้านกาพย์กลอนเจริญสูงสุด จนมีคำกล่าวว่า “ในรัชกาลที่ 2 นั้น ใครเป็นกวีก็เป็นคนโปรด” กวีที่มีชื่อเสียงนอกจากพระองค์เองแล้ว ยังมีกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สุนทรภู่ พระยาตรัง และ นายนรินทรธิเบศร์ (อิน) เป็นต้น พระองค์มีพระราชนิพนธ์ที่เป็นบทกลอนมากมาย ทรงเป็นยอดกวี ด้านการแต่งบทละครทั้งละครในและละครนอก มีหลายเรื่องที่มีอยู่เดิมและทรงนำมาแต่งใหม่เพื่อให้ ใช้ในการแสดงได้ เช่น รามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา โดยเรื่องอิเหนานี้ เรื่องเดิมมีความยาวมาก ได้ ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเรื่องยาวที่สุดของพระองค์ วรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ 6 ได้ยกย่องให้เป็นยอดบทละครรำที่แต่งดี ยอดเยี่ยมทั้งเนื้อความ ทำนองกลอนและกระบวนการเล่นทั้ง ร้องและรำ นอกจากนี้ยังมีละครนอกอื่น ๆ เช่น ไกรทอง สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ หลวิชัยคาวี มณีพิชัย สังข์ศิลป์ชัย ได้ทรงเลือกเอาของเก่ามาทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่บางตอน และยังทรงพระราชนิพนธ์ บทพากย์โขนอีกหลายชุด เช่น ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ และชุดพรหมาสตร์ ซึ่งล้วนมีความไพเราะ ซาบซึ้งเป็นอมตะใช้แสดงมาจนทุกวันนี้ สาแหรกของตัวละตน


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓๒ บทร้อยกรอง เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม ๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าเณรแก้ว พอแสงทองผ่องแผ้วพระเวหา คิดคะนึงถึงพิมนิ่มนวลตา ล้างหน้าแล้วก็นุ่งสบงพลัน ห่มดองครองคาดราตคด พร้อมหมดแบกบาตรแล้วผายผัน ดูทุกตรอกซอกละเมาะเสาะสำคัญ เข้าในเมืองสุพรรณด้วยทันใด มินานถึงบ้านท่าพี่เลี้ยง เดินเมียงชม้ายตาอัชฌาสัย เห็นม้าตั้งอยู่ยังไม่มีใคร ก็หยุดยืนสำรวมใจจะดูที ฯ ๏ ครานั้นนางพิมนิ่มน้อง อยู่ในห้องกับนางสายทองพี่ จัดแจงข้าวปลาทารพี ยังไม่มีพระสงฆ์องค์ใดมา เปิดหน้าต่างนางพิมเจ้าแลดู เห็นเจ้าเณรยืนอยู่ไม่เงยหน้า ห่มดองครองแนบกับกายา สีกาสาว์จับเนื้อดังนวลจันทร์ เดชะพระเวทวิทยามนตร์ เพอิญดลใจพิมให้ป่วนปั่น ห่มผ้าคว้าขันข้าวบาตรพลัน กับสายทองพากันก้าวลงมา เปิดประตูอาดเดินนาดกราย เณรพลายได้ยินก็เงยหน้า พิมน้อยชม้อยพอปะตา ก็รู้ว่าเณรแก้วผู้แววไว หลบมิดสะกิดพี่สายทอง ไฮ้น้องนี้ไม่ลงไปใส่ได้ เห็นหน้าเณรพลายฉันอายใจ ส่งขันข้าวบาตรให้สายทองมา สายทองย่างย่องขยับยิ้ม นางพิมหลบเหลื่อมเข้าแอบฝา เณรแก้วประสิทธิ์วิทยา เป่ามหาละลวยลมประสมนาง บันดาลซ่านเสียวสวาดิพิม ยืนยิ้มปิ้มจะแล่นลงไปล่าง สายทองประคองขันข้าวบาตรพลาง วางลงยกมือไหว้เจ้าเณรพลาย เณรแก้วลดบาตรลงจากบ่า ฉันบุกมาบิณฑบาตจนพานสาย ไทยทานบ้านอื่นก็เรียงราย ไม่รักรับรีบหมายจำเพาะมา เป็นเหตุก็เพราะเทศน์เมื่อวานนี้ เจ้ากัณฑ์หนีนึกสำคัญว่าเคืองข้า จะใคร่แจ้งคดีที่สีกา ทั้งจะใคร่สนทนาด้วยพี่นาง สายทองยกของใส่บาตรเณร พ้นเพลแล้วนิมนต์มาบ้านบ้าง สงบกังวลไว้ในใจพลาง ใส่บาตรแล้วก็ย่างขึ้นบันได เณรแก้วคลาศแคล้วออกจากรั้ว แฝงตัวจะดูพิมพิสมัย นางพิมเยี่ยมหน้าทอดตาไกล แลไปนอกรั้วเห็นเณรพลาย เณรกอดบาตรชิดทำปริศนา นางพิมยิ้มหลบหน้าเข้ามาหาย เจ้าเณรเดินตามทางย่างกราย ไม่ว่างวายแต่คะนึงถึงพิมน้อย ยิ่งไกลบ้านก็ให้พล่านให้พลุ่งจิตร ยิ่งคิดคิดหลงเหลียวอยู่บ่อยบ่อย เอะสายสายทองจะปองคอย ก็รีบรอยมายังวัดป่าเลไลย


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓๓ ยกบาตรไปอังคาสพระอาจารย์ คลานมาเปลื้องผ้าหาช้าไม่ ปรนนิบัติมิให้ขัดเคืองใจ ฉันแล้วเข้าในที่นอนครวญ ฯ ๏ ครานั้นนางพิมพิลาไลย กำเริบใจไหวหวั่นให้ปั่นป่วน เห็นสายทองใส่บาตรทำนาดนวล รีรวนรอช้าอยู่ว่าไร พยักหน้าสายทองเข้าห้องนอน อ้อนวอนกระซิบถามความสงสัย ไปใส่บาตรช้านานประการใด ข้าเห็นปากไบ่ไบ่กับเณรพลาย สายทองว่าพี่พูดอะไรมี ไปกินข้าวเสียกับพี่ตะวันสาย พร้อมกันปั่นฝ้ายให้สบาย ตะวันบ่ายพี่จะพาไปอาบน้ำ ถึงข้าวจะให้กินไม่ยินดี ไม่บอกจะเซ้าซี้ให้ยังคํ่า เห็นยืนยิ้มพรายพูดกันหลายคำ แต่เพียงนี้พี่ยังอำไม่บอกกัน เมื่อเปล่าๆ พี่จะเดาไปไหนได้ ถ้าจริงจะบอกให้ไม่เดียดฉันท์ เจ้ากูว่าแต่มานี่ไกลครัน แต่เท่านั้นเจ้ากูก็กลับไป เถอะแล้วไปเถิดไม่บอกข้า เบื้องหน้าคงจะรู้หามิดไม่ แล้วลุกออกจากห้องด้วยหมองใจ นางไม่กินข้าวด้วยสายทอง ต่างคนกินเสร็จสำเร็จอิ่ม นางพิมฉวยไนเข้าในห้อง ปั่นฝ้ายข้าไทอยู่ก่ายกอง จนบ่ายสองโมงแล้วก็เสร็จพลัน ต่างคนต่างจัดพัดด้าย สายทองเตือนน้องขมีขมัน ไปอาบน้ำให้สบายบ่ายลงครัน นางพิมว่าฉันไม่รักไป สายทองปลอบวอนชะอ้อนว่า ไปตีนท่าเถิดจะบอกอะไรให้ อย่ามาหลอกจะบอกฉันทำไม เต็มใจไว้เถิดแต่คนเดียว ข้าร้อนนะอย่างอนประชดให้ จะอาบนํ้าก็ไม่ไปเฝ้าโกรธเกรี้ยว เต็มใจอะไรข้าว่าไปเจียว เจ้ากูเกี้ยวข้าแล้วฤๅเณรพลาย ไม่ไปนะเจ้าอย่าเซ้าซี้ ไม่พอที่ที่จะช้าตะวันบ่าย สายทองจากห้องย่องเยื้องกราย บ่าวไพร่ทั้งหลายก็ตามมา อีไทอีพรมอีส้มแป้น อีแตนตามสายทองไปตีนท่า ลงอาบนํ้าดำเล่นเป็นโกลา เล่นหาเล่นไล่กันพัลวัน ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรพลาย ตะวันชายบ่ายเยื้องพระสุริย์ฉัน แสนคะนึงถึงพิมนิ่มนวลจันทร์ ได้สำคัญไว้จากนางสายทอง ปานนี้พิมพี่จะลงท่า จะไปหาให้พบประสบสอง คิดแล้วหยิบผ้ามาห่มดอง ย่องลงบันไดไปสุพรรณ ถึงบ้านพิมเข้าพลันมิทันช้า ตรงลงไปท่าทันใดนั่น เข้าแอบซุ่มพุ่มไม้ได้สำคัญ พวกข้าไททั้งนั้นไม่เข้าใจ เห็นสายทองสีตัวอยู่ริมตลิ่ง เอาดินทิ้งแล้วกระแอมพยักให้ สายทองย่องมาหาไวไว ก็พากันหลีกไปให้ลับคน ครั้นถึงจึงนั่งลงทันใด ที่ร่มริมโศกใหญ่ข้างใต้ต้น เป็นเซิงซุ้มพุ่มรอบดูชอบกล เบื้องบนดอกย้อยระย้าบาน


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓๔ เณรแก้วยิ้มแล้วจึงปราศรัย ขออภัยเถิดอย่าว่าข้าหักหาญ เณรน้องปองป่วนมิควรการ แต่ทนทุกข์ทรมานมาหลายวัน แสนยากที่จะพากจะเพียรผ่อน ให้หยุดหย่อนร้อนรนเป็นพ้นกลั้น มาพบพี่ก็เป็นที่สำคัญครัน ข้าหมายมั่นจะมอบชีวาลัย อันเณรน้องเหมือนกระต่ายหมายชมจันทร์ อยู่ดินฤๅจะดั้นขึ้นไปได้ แต่ตรอมตรอมผอมร่างก็บางไป ด้วยทางไกลกลางหาวเมื่อคราวปอง ได้องค์อินทร์แลจะสิ้นสำเร็จตรม จะได้ชมกระต่ายสวรรค์จันทร์ผยอง อินทราอุปมาเหมือนสายทอง พิมน้องเหมือนกระต่ายในวงจันทร์ มาพึ่งพิงถ้าไม่ทิ้งธุระน้อง คงเป็นสองกระต่ายชมสมสวรรค์ จะขอบคุณที่การุญให้ครามครัน กว่าชีวันฉันจะวอดชีวาวาย พี่เอ็นดูช่วยชูให้น้องชื่น ให้คลายคืนโศกแสนนั้นเสื่อมหาย เหมือนชุบชีพอย่าให้รีบถึงเรือนตาย เณรพลายนี้ไม่พลั้งไม่แพลงคำ แต่วันนี้จนพี่สายทองตาย น้องนี้หมายจะโอบอุ้มอุปถัมภ์ พูดไว้ฉันใดจงจดจำ กำหนดแน่อยู่ไม่พล้ำไม่พลั้งเลย ฯ ๏ สายทองเมินหน้าว่าไม่ฟัง จะพาหลังลายแล้วพ่อแก้วเอ๋ย จะชักสื่อสู่หาข้าไม่เคย หมายเชยเห็นจะชวดแล้วน้องเณร ท่านเจ้าขุนมุลนายก็ร้ายกาจ ฉวยพลั้งพลาดสิจะฉาวเป็นกราวเขน ไปว่าวอนเกลือกหล่อนไม่อ่อนเอน เหมือนตระเวนตัวไว้ไม่ต้องการ ไหนจะด่าโด่งดังหลังจะลาย เณรพลายก็รำเล่นนอกม่าน ไม่ควรทำข้าไม่ทำให้รำคาญ มิใช่คนสำหรับวานของเณรพลาย จะเกรงบ้างเป็นไรกับสายทอง นินทาน้องให้พี่ฟังเล่นง่ายง่าย ได้เมตตาเถิดอย่าให้ข้าอาย ข้าตายเถอะเหมือนแกล้งมาฆ่ากัน แยบคายเอากระต่ายมากล่าวถ้อย ว่าพิมน้อยเหมือนกระต่ายในสวรรค์ จะพึ่งพักยักว่าสารพัน ไม่เคยเห็นกระต่ายจันทร์เป็นสองตัว ถ้าอินทราพากระต่ายให้หายโศก ทุกแหล่งโลกก็จะฉินว่าอินทร์ชั่ว ดวงจันทร์ผันผยองจะหมองมัว ข้ากลัวเสียแล้วเณรอย่าเจรจา เนื้อมิได้กินมั่งหนังมิได้ปู กระดูกจะแขวนคออยู่เหมือนตัวข้า เจ้าได้พิมก็จะยิ้มอยู่อัตรา ต้องถูกด่าก็จะอายแต่สายทอง เหมือนตีงูมิได้สู่กันแกงกัน กาเหยี่ยวเฉี่ยวบินไปคล่องคล่อง แต่นี้ไปพ่ออย่าได้คะนึงปอง มิใช่ของควรประคิ่นของกินตาย ฯ ๏ นิจจาไม่เวทนาสีกาพี่ ทุกวันนี้เณรน้องคะนึงหมาย รักพี่มิได้มีอารมณ์คลาย พี่สายทองทิ้งน้องเสียกลางทาง เด็ดปลียังมีซึ่งใยเยื่อ ได้มาพึ่งแล้วก็เผื่อฉันไว้บ้าง ได้พิมเชยฤๅจะเลยทิ้งพี่นาง ก็เหมือนอย่างหว่านข้าวลงในดิน ถึงนํ้าท่าฟ้าฝนจะแห้งแล้ง อย่านึกแหนงว่าจะสูญเสียหมดสิ้น แต่ชั้นชั่วถึงว่าตัวมิได้กิน นกหกผกผินได้เป็นทาน


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓๕ ถ้าหม่อมพี่มีคุณแก่ฉันเล่า เห็นจะเปล่าเจียวฤๅน้องมาอยู่บ้าน คงจะแทนคุณพี่มิได้นาน ให้สมานเสมอพิมผู้นิ่มนวล เงินทองของกินสิ้นทั้งนั้น จะแบ่งปันคนละครึ่งพอกึ่งส่วน ปรานีน้องสายทองช่วยชักชวน พอได้พิมจะประมวลสินบนมา ถ้วนชั่งตั้งให้พี่สายทอง แต่สักเฟื้องหนึ่งน้องไม่ขอว่า คํ่าลงพี่จงสนทนา ถึงเวลาบิณฑบาตจะคอยฟัง ฯ ๏ รักจริงฤๅเจ้าเณรจะแกล้งรัก เห็นหนักนักนีดเน้นเข้าเป็นชั่ง ข้ากลัวแต่ได้คนสินบนยัง จะร้องทวงโด่งดังก็ใช่ที ถ้าจริงจังดังนั้นเจ้าเณรแก้ว มายื่นแมวยื่นหมูให้รู้ที่ เจ้ารักษาสัตย์ไว้ให้จงดี พรุ่งนี้เจ้าเณรมาฟังดู เณรแก้วรับคำแล้วอำลา สายทองกลับมาไม่หยุดอยู่ ข้าไทตามหลังมาพรั่งพรู เณรแก้วก็ไปสู่อารามพลัน ฯ ๏ ครั้นสิ้นแสงสุริยาทิพากร ศศิธรเลื่อนลิ่วปลิวสวรรค์ ดิเรกดาวขาวกระจ่างดังกลางวัน ทรงกลดจรจรัลกระจ่างดวง สายทองชวนน้องให้ชมจันทร์ ผิวพรรณไพโรจน์โชติช่วง ผ่องแสงแจ้งงามดังเงินยวง ไยจึงหวงกระต่ายไว้ในวงจันทร์ ร้อยปีก็มิได้จะไปไหน เหดุใดขังขึงอยู่รึงมั่น แต่เห็นมาไม่รู้ว่ากี่พันวัน ดูเดือนก็ยิ่งพรั่นอยู่ในใจ เหมือนหนึ่งเราพี่น้องทั้งสองคน จนเหมือนกระต่ายจันทร์ไม่ไปได้ ไร้คู่อยู่กับฟ้าสุราลัย กระต่ายไพรพรํ่าแลทุกเวลา พี่รักเจ้าฟักฟูมอุ้มประคอง จนพิมน้องจำเริญวัยขึ้นใหญ่กล้า ทั้งเป็นญาติเป็นทาสท่านช่วยมา กลัวอาญากลัวอายเสียดายตัว อนิจจาเกิดมาเสียทั้งชาติ เป็นอันขาดแล้วไม่รู้ว่าลูกผัว ดังแหวนทองผ่องศรีไม่มีมัว จนแต่หัวพลอยประดับประดาดี พี่รักเจ้าจึงเฝ้าลำบากนัก แม้นมิรักก็จะเตร่เที่ยวเร่หนี ถึงจับมาฆ่าเสียก็ตามที มิตายก็คงจะรอดตลอดไป ทั้งนี้พี่ยากก็เพราะเจ้า ด้วยยังหามีเหย้ามีเรือนไม่ พี่จึงต้องรักษาเป็นตาใจ คุณผู้ใหญ่ก็ชราลงทุกวัน เหมือนดังไม้ใกล้ฝั่งจะพังล้ม พี่ปรารมภ์ร้อนใจให้พรั่นพรั่น ถ้าสิ้นบุญคุณแม่ศรีประจัน สารพันจะกระจัดกระจายไป ชายหนุ่มก็จะกลุ้มกันดูถูก ด้วยว่าลูกนั้นหาพ่อหาแม่ไม่ พี่คิดพรํ่าคํ่าเช้าให้เศร้าใจ ฤๅกะไรแม่คิดดูแต่ดี ถ้าได้คู่สู่สมเมื่อแม่ยัง เห็นมั่งคั่งสืบสายเป็นเศรษฐี อายุคนนี้จะนานสักกี่ปี พี่ว่านี้แม่จะเห็นประการใด ฯ ๏ นางพิมพิลาไลยครั้นได้ฟัง ยังแน่นอนอยู่หาพลั้งหาพล้ำไม่ โต้ตอบคดีพี่เลี้ยงไป น้องนี้ไม่คิดเลยพี่สายทอง


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓๖ ธรรมดาเกิดมาเป็นสตรี ชั่วดีคงได้คู่มาสู่สอง มารดาย่อมอุตส่าห์ประคับประคอง หมายปองว่าจะปลูกให้เป็นเรือน อนึ่งเราเขาก็ว่าเป็นผู้ดี มั่งมีแม่มิให้ลูกอายเพื่อน จะด่วนร้อนก่อนแม่ทำแชเชือน ความอายจะกระเทือนถึงมารดา ถ้าสิ้นบุญคุณแม่มิได้แต่ง จะพลิกแพลงไปก็ตามแต่วาสนา จะด่วนร้อนก่อนแม่ไม่เข้ายา ใช่ว่าจะไร้ชายที่ชอบพอ ถ้ารูปชั่วตัวเป็นมะเร็งเรื้อน ไม่เทียมเพื่อนเห็นจะจนซึ่งคนขอ ถ้ารูปดีมีเงินเขาชมปรอ ไม่พักท้อเลยที่ชายจะหมายตาม อดเปรี้ยวกินหวานตระการใจ ลูกไม้ฤๅจะสุกไปก่อนห่าม มีแต่แป้งแต่งนวลไว้ให้งาม ร้อนใจอะไรจะถามทุกเวลา ทุกข์ใหญ่เหมือนไฟอยู่ในอก ไหม้หมกก็ไหม้อยู่ในหน้า ถ้ายามอยากอยู่เหมือนเรากินข้าวปลา ถึงกระนั้นจะว่าก็สมควร มาชมจันทร์เล่นด้วยกันสบายใจ พี่พูดอะไรเช่นนั้นให้ปั่นป่วน ถ้ารักนวลสงวนหน้าไว้ให้นวล อย่ามากวนข้าไม่พูดไม่พอใจ ฯ ๏ นึ่ใครกวนชวนแม่ให้มีผัว คิดถึงตัวใช่จะชักจะสื่อให้ ฤๅอยู่มาแต่ก่อนร่อนชะไร พี่ได้ว่ากล่าวอะไรมี หาวนอนไปนอนเสียเถิดฤๅ จูงมือพิมน้อยไปในที่ ส้วมสอดกอดรัดแล้วพัดวี นอนเถิดพี่จะกล่อมให้พิมนอน โอ้ว่าสงสารกุมารเอ๋ย กะไรเลยเตร็ดเตร่เที่ยวเร่ร่อน ไม่คิดยากหมายฝากชีวาวอน ต่างเมืองอุตส่าห์จรกระเจิงมา อกจะหักด้วยความรักไม่เหมือนคิด หมายมิตรก็ไม่สมปรารถนา จึงหลีกเลี่ยงเลยลัดเข้าวัดวา ทรมาบวชเบื่อระบมใจ อนึ่งวัดกับบ้านก็พานห่าง ไกลทางเที่ยวบิณฑบาตได้ พอเห็นสีกาแล้วกลับไป แสนอาลัยระลึกทุกเวลา พ้นเพลเณรน้อยเข้ามาเล่า ซบเซาซ่อนอยู่ที่หน้าท่า ไม่มีใครที่จะได้สนทนา แต่เวียนมามิได้เหนื่อยอนาถใจ เสียดายรูปซูบโศกด้วยแสนรัก จะปลํ้าปลักทนทุกข์ไปถึงไหน โอ้พิมนิ่มเนื้อนวลละไม นอนนะแม่นอนในที่นอนนาง โอละเห่โอละช้าพ่อเณรแก้ว หลับแล้วฤๅสายทองจะนอนบ้าง กล่อมพลางนางพัดให้พิมพลาง กางกรกอดพิมยิ้มละไม ฯ ๏ นางพิมว่าไฮ้พี่สายทอง กล่อมน้องเอาเณรมาใส่ให้ ลงไปใส่บาตรกันไม่ทันไร หลงใหลไปแล้วฤๅสายทอง เมื่อเช้าน้องถามไม่อยากรับ ไม่ทันจับเดี๋ยวนี้ออกให้คล่องคล่อง ไปอาบนํ้าเห็นจะพบสบทำนอง ล่องนํ้าฤๅจึงช้ากว่าทุกวัน อย่านอนใกล้ไปเสียให้พ้นมุ้ง ไม่ทันรุ่งข้าขี้คร้านทำนายฝัน แม่คุณต่อจะวุ่นวันนี้ครัน จะละเมอกอดกันให้ตกใจ ฯ


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓๗ ๏ สายทองฟังน้องทำหน้าขึง ฟ้าผึ่งเถอะมาเป็นเช่นนี้ได้ จริงจริงคะน่าชังฉันพลั้งไป มาจะเล่าความให้แม่พิมฟัง ไปอาบน้ำวันนี้เจ้าเณรแก้ว มาแอบพุ่มนมแมวอยู่ข้างหลัง รำคาญใจไฮ้ว่าเป็นน่าชัง มิแล้วดอกกระมังมาเย้ยกัน ถึงไม่เล่าก็เราไม่ทุกข์โศก พี่ไปพบก็เป็นโชคไม่เดียดฉันท์ แต่ใส่บาตรประหลาดในตาครัน พูดพูดแล้วก็ผันชม้อยมา แต่ปากยิ้มกริ่มกันกับสายทอง ทำทำนองหางตามาดูข้า แต่เทศน์อยู่เจ้ากูยังเล่นตา ข้าดูหน้าไม่ได้เจ้าเณรพลาย จริงจริงคะแต่ข้าเป็นผู้ใหญ่ ดูไม่ได้ตาแหลมนี่ใจหาย เหลือบไปปะตาข้านึกอาย แยบคายของเจ้ากูดูครันครัน เจ้ากูว่าสีกาหาทักไม่ เห็นว่าไร้ยากทรัพย์ถึงคับขัน เป็นเพื่อนเล่นเห็นหน้ามาด้วยกัน เมื่อกระนั้นน้อยๆ กับนวลนาง แต่เพียงยากจากบ้านสุพรรณไป ถึงกะไรก็จะทักสักคำบ้าง ทุกวันนี้จนใจมิได้พราง บ้านก็ไกลกับนางต้องค้างคืน ไม่ต้องการก็ไม่ซานมาถึงนี่ กาญจน์บุรีมีวัดอยู่ดาษดื่น อยู่ไม่ได้ดังไก่อันไกลครืน อุตส่าห์ฝืนฝ่ามาด้วยความรัก น้อยใจจนได้เทศนา ควรฤๅสีกาไม่รู้จัก เหลือทนแล้วจึงซนเข้ามาทัก แม้นจะผลักเสียแล้วก็ตามที ถึงคุณยายฝ่ายแม่ศรีประจัน ก็ชอบกันกับคุณแม่ทองประศรี ก็รู้เช่นเห็นทั่วว่าชั่วดี จงปรานีเณรแก้วผู้คนจน แม้นมินับรับเรื่องธุระรัก ขอพบพักตร์พิมพูดแต่สักหน สั่งมาว่าวอนให้ผ่อนปรน หมายกุศลเสี่ยงสร้างสำคัญมา เมื่อวันเทศน์สังเกตด้วยนิมิต ประจักษ์จิตแน่แน่วอยู่หนักหนา ว่าเหาะเหินเดินได้ในเมฆา เด็ดดวงดาราภิรมย์ชม กล้ำกลืนตื่นขึ้นยังเต็มปาก ก็หมายมากอยู่ว่าคิดคงจะสม จึงบุกบิณฑบาตมาซานซม ด้วยปรารมภ์จะใคร่รู้ว่าร้ายดี สั่งสอนมาให้วอนแม่พิมดู พอตรู่ตรู่จะมาให้ถึงนี่ พี่ขับขู่วุ่นวายเป็นหลายที ยังเซ้าซี้ว่าวอนให้ผ่อนปรน เป็นจนใจไม่รู้ที่จะคิด ครั้นพินิจดูก็เห็นจะเป็นผล แม้นจะล่อลวงเล่นพอเป็นกล กาญจน์บุรีฤๅจะด้นมาสุพรรณ เมื่อวันเทศน์สังเกตด้วยนิมิต ก็ดลจิตให้แม่พิมเพอิญฝัน ต่อจะคู่สู่สมภิรมย์กัน แม่นมั่นแม่อย่าแหนงอย่าแคลงใจ ฯ ๏ นางพิมพิลาไลยครั้นได้ฟัง ก็เพลี่ยงพลั้งตั้งจิตรพิสมัย ด้วยสมเนตรเณรแก้วผู้แววไว ดังเหล็กเพชรกรึงในสกลกาย ถึงสายทองจะมิปองเป็นเชิงชัก ก็คิดรักอยู่ไม่ร้างจะห่างหาย วันยังคํ่าคร่ำครวญถึงเณรพลาย พอสายทองมาพูดก็พึงใจ


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓๘ แต่มารยาหากพาให้บิดเบือน งำเงื่อนหาให้เห็นกระแสไม่ ทำปึ่งขึงข่มไว้ภายใน เป็นครู่ใหญ่จึงเยื้อนมาพาที ข้าขอบใจใจหายพี่สายทอง รักน้องสงวนน้องไว้ถ้วนถี่ อุ้มน้องมิให้ต้องเถ้าธุลี ปรานีสั่งสอนทุกสิ่งอัน ชั้นแต่เดินมิให้เมินไปดูอื่น นั่งยืนนอนสอนทุกสิ่งสรรพ์ เห็นใครพอใจน้องคอยป้องกัน ข้าหมายมั่นจะมอบชีวาลัย นี่ข้าทำไมให้สายทอง จึงชักน้องนำเณรประเคนให้ จะให้ดีฤๅให้ชั่วมายั่วใจ ฤๅว่าไปสื่อสารเป็นมารยา สมคบคิดกันกับเณรแก้ว มิแล้วแล้วฤๅจึงลามมาถึงข้า ส่วนใครช่างใครเป็นไรนา จะมาพากันเพ้อไปไยมี มิใช่ชายตายสิ้นทั้งดินดอน จะแค่นค่อนขอดน้องไปพ้องพี่ เขาจะหยันทั้งสุพรรณบุรี มิรู้ที่จะหลบหน้าไปแห่งไร พี่รักก็รักคนเดียวเถิด จะช่วยปิดดอกหาเปิดเนื้อความไม่ พิมรู้จะนิ่งอยู่แต่ในใจ อย่าสงสัยน้องเลยพี่สายทอง ฯ ๏ อนิจจาแม่พิมมาทิ่มตำ เจ็บชํ้าตลอดล้นจนขมอง ไม่ควรเลยจะเย้ยว่าสายทอง แม่เจ้าเอ๋ยคราวน้องนี้ฤๅเณร เป็นทาสฤๅจะอาจเข้าเทียมไท ก็เข้าใจอยู่ว่าเกลือกับพิมเสน เณรไม่รู้ฤๅจะจู่ลงลุยเลน ถึงจะแค่นเข้าประเคนก็คนจน แหวนตะกั่วนี้เหมือนตัวของสายทอง จะรับรองเรือนเพชรไม่เป็นผล แสนอาภัพยับทั่วทั้งตัวตน ร้อนรนก็เพราะรักรำคาญใจ ด้วยเห็นน้องของตัวนี้มัวหมอง สายทองเวทนาไม่นิ่งได้ ไม่มีข้อแล้วจะต่อเนื้อความไย แล้วไปเถอะทีนี้ไม่เจรจา คิดดูแต่ฝันนั้นเถิดน้อง จะได้ชมบัวทองก็เพราะข้า ถ้าสายทองหมองใจไม่นำพา มิต้องกินนํ้าตาก็ดูเอา ไปเบื้องหน้าหารือกับสายทอง ข้ามิร้องให้แซ่ถึงแม่เถ้า ให้ทรมาทารกรรมเสียทำเนา กลืนข้าวเป็นกลืนยาน้ำตาพราว ชั่วดีพี่ก็อาบน้ำร้อนก่อน แต่อ่อนอ่อนอุ้มเลี้ยงมาจนสาว อย่าพักเร้นคงจะเห็นกันสักคราว ถ้ามิฉาวก็มิใช่อีสายทอง ฯ ๏ หาหาขันจริงเจ้าจอมพี่ อย่าจูจี้เลยจะยอมให้คล่องคล่อง ไม่น่าขัดเลยจะแค่นเข้าปรองดอง ถึงไม่ผิดก็จะฟ้องให้แม่ตี นี่สินบนมาประดนเข้ากี่ชั่ง จึงมาตั้งคอขู่อยู่จู้จี้ จริงฤๅถือว่าเจ้าเณรดี ได้คำมั่นขันตีที่ไหนมา จึงปลงใจปลงเนื้อเชื่อเอาหมด เจ้ากูสบถฤๅว่าจริงไม่ทิ้งข้า จึงอวยเออเร่อรับมาเจรจา เบื้องหน้าแล้วจะเจ็บนํ้าใจจน จะเสียตัวก็เพราะกลัวจะเคืองข้อง ครั้นตรึกตรองดูก็เห็นไม่เป็นผล ขืนเชื่อคำเณรพลายจะอายคน ยิ่งคิดก็ยิ่งวนยิ่งเวียนใจ


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๓๙ ถ้าเขาทิ้งเสียไม่จริงดังถ้อยคำ ฉันจะทำอะไรสายทองได้ ช้าช้าตรึกตราก่อนเป็นไร แคะไค้ค้อนติงดูจริงจัง ถ้าเหมือนปากมีขันหมากมาขอสู่ จะทำชู้น้องนี้กลัวจะร้อนหลัง เกิดชาติหนึ่งประมาทไม่จิรัง ถ้าเพลี่ยงพลั้งลงแล้วจะจนใจ ฯ ๏ โอ้แม่พิมนิ่มน้องของพี่เอ๋ย อย่ากลัวเลยพี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ จะพะวงสงกาไปว่าไร เจ้าสายใจสุดที่รักของสายทอง ถ้าไม่ดีฤๅพี่จะชักพา ให้แก้วตาเสียตัวต้องมัวหมอง เห็นสมศักดิสมนวลควรจะครอง กับพิมน้องเนื้อสุพรรณกำภู จะเปรียบยศก็ปรากฏมีคนนับ จะเปรียบทรัพย์ก็เสมอสมานอยู่ แม้นจะชั่งตั้งใส่ในตราชู ก็ควรคู่สมสิ้นทุกสิ่งอัน พิศรูปสองรูปก็น่ารัก ชะอ้อนอ่อนวรพักตร์เจ้าเฉิดฉัน ดังอาทิตย์ชิดรถเข้าเคียงจันทร์ ถ้าได้กันแล้วเป็นบุญของสายทอง จะนั่งชมนอนชื่นทุกคืนวัน จะทำขวัญๆ ตาเจ้าทั้งสอง ให้นั่งเรียงเคียงกันบนเตียงทอง ยามร้อนจะประคองเข้าพัดวี หอห้องของพิมพิลาไลย จะตกแต่งตกไว้นักงานพี่ ฟูกหมอนที่นอนเตียงเรียบเรียงดี ให้มีฉากพับตั้งไว้บังบาน มุ้งแพรแลเลิศวิไลตา ระบายทองรจนาดูสะอ้าน พู่กลิ่นย้อยห้อยพวงสุมามาลย์ กระโถนพานหมากตั้งไว้เรียงราย เครื่องแป้งแต่งปริกประดับพลอย กระจกส่องคันฉ่องน้อยให้เฉิดฉาย จะนั่งพึ่งบุญพิมยิ้มสบาย กินนอนไม่ระคายระคางใจ อย่าเรรวนควรคู่อยู่แล้วน้อง จงปรองดองอย่าพะวงสงสัย สายทองนี้จะรองเป็นเกือกไป ให้สัญญาพิมได้นะดวงตา ถ้าเณรแก้วแววไวไม่คงสัตย์ ไพล่พลัดกลับกลายไปภายหน้า จะเรียกพี่ไยเล่าไม่เข้ายา จงตีด่าส่งไปเป็นคนครัว ให้ตักน้ำตำข้าวทุกเช้าเย็น เคี่ยวเข็ญอย่าให้ได้เงยหัว สับทำให้ระยำเสียทั้งตัว ชักชั่วแล้วจะเลี้ยงไปไยมี รุ่งเช้าเจ้าเณรมาบิณฑบาต สุดสวาดิลงไปใส่ด้วยพี่ จะนัดเณรเสียให้แจ้งแห่งคดี พรุ่งนี้ไปไร่ได้พบกัน พอได้พูดกับแม่พิมเสียสักพัก รับรักลงใจได้แม่นมั่น แล้วทีหลังตั้งปึ่งเสียทุกวัน แม้นขยั้นอยู่มิให้ผู้ใดมา ตกนักงานพี่เถิดทีหลัง ข้ามิพ้อให้น่าฟังก็จึงว่า นอนเถิดดึกแล้วนะแก้วตา มาพี่จะกอดให้พิมน้อย สัพยอกหยอกเย้าให้เจ้านอน ชะอ้อนออกชื่อเณรอยู่บ่อยบ่อย จนพิมปลงหลงคำด้วยสำออย เดือนก็คล้อยเคลื่อนดับระงับกาย ฯ ๏ ครั้นรุ่งแผ้วนภางค์สว่างภพ กระจ่างจบทั่วจังหวัดจำรัสฉาย จับแสงทินกรดูอ่อนพราย เสียงสกุณเกริ่นกรายขยับบิน


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔๐ พระพายชายพัดเรณูร่อน ลอออ่อนรสสุคนธ์ตรลบกลิ่น รื่นรื่นชื่นชวยระรวยริน เจ้าเณรน้อยนึกถวิลประหวัดนาง นิ่งช้าเพลาจะแสงสาย ขยับกายลุกเลื่อนมาหน้าต่าง ล้างหน้านุ่งผ้าสบงพลาง ห่มดองแล้วก็ย่างลงบันได ถึงบ้านพิมเข้าพลันมิทันช้า สำรวมกิริยาให้ผ่องใส บริกรรมสำคัญมั่นในใจ หวังจะให้เจ้าพิมนั้นลงมา ฯ ๏ นางพิมพิลาไลยกับสายทอง อยู่ในห้องจัดแจงแต่งหา จะใส่บาตรเณรเช้าทั้งข้าวปลา บุหรี่หมากพลูยาหาครบครัน กลัวแม่จะเห็นสู้เร้นซ่อน เอาซองซ้อนเสียดซุกเสียใต้ขัน เณรพลายไยจึงช้ากว่าทุกวัน ผันเปิดหน้าต่างก็เห็นตัว หลบมิดสะกิดเจ้าสายทอง ดูเณรน้องช่างสำรวมราวกับขรัว ไม่ไปละข้าไหว้ฉันนี้กลัว ยิ้มหัวกระซิกกระซี้กัน สายทองเตือนน้องให้ลงไป นางพิมพิลาไลยประคองขัน แอบหลังบังวุ่นพัลวัน พรั่นพรั่นก้าวลงบันไดไป ทรุดนั่งตั้งขันลงวันทา ไม่อาจแลดูหน้าเจ้าเณรได้ เทปรำควํ่าขันประหวั่นใจ บุหรี่ใส่ปนปลาทั้งหมากพลู ก้มหน้าขึ้นมาบนบันได อกใจสะทึกสะเทื้อนอยู่ ครั้นถึงหอนั่งบังประตู นางสายทองเหลียวดูไม่มีใคร กระซิบเณรเพลแล้วอย่าบ่ายนัก จะพาพิมน้องรักออกไปไร่ รีบไปวัดวามาไวไว ไหนเล่าเจ้าเณรเอาเงินมา ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว ยิ้มแล้วตอบคำสายทองว่า ไม่ลืมคำดอกที่รํ่าเจรจา สำเร็จไร่ฝ้ายข้าจะแทนคุณ ถ้าได้แล้วเณรแก้วมิให้พี่ ไปตะโกนกุฎีให้ดังวุ่น ข้าก็บวชสวดเรียนจะเอาบุญ รับศีลครุ่นครุ่นไม่กลับกลาย ค่อยอยู่เถิดหนาจะลาก่อน แล้วจะย้อนไปไร่มิให้บ่าย สายทองย่องเยื้องชำเลืองกราย เณรพลายไปวัดป่าเลไลย ฯ ๏ นางพิมพิลาไลยกับสายทอง ทั้งสองกินข้าวปลาหาช้าไม่ อิ่มหนำสำราญบานใจ จึงพูดจาปราศรัยกับมารดา วันนี้ลูกจะไปที่ไร่เหนือ ฝ้ายเฝือแตกกระจายเสียหนักหนา ลูกจะออกไปดูกับหูตา จะไว้ใจกับข้าไม่ต้องการ มันลักจำแนกแจกจ่าย ซื้อขายกินเล่นไปทั้งบ้าน ลูกเห็นกับตามาช้านาน จะว่าขานมันก็ไม่ถนัดใจ ฯ ๏ ท่านยายศรีประจันครั้นได้ฟัง แกด่าดังยกโคตรเป็นไหนไหน อีขี้ชกฉกลักกูหนักไป ไวไวแม่พิมออกไปดู จับได้ใส่เอาด้วยไม้ตะบอง ให้มันร้องเป็นอ้ายเจ๊กที่ขายหมู ทั้งลักทั้งกินนินทากู เข้าหูบ่อยบ่อยอีร้อยกล ฯ


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔๑ ๏ นางพิมพิลาไลยได้ฟังแม่ เรียกข้าเซ็งแซ่อยู่สับสน ลุกมาวุ่นวายเป็นหลายคน แบกกระบุงวิ่งซนลงบันได นางพิมสายทองทั้งสองรา ลงจากเคหาหาช้าไม่ ข้าไทตามหลังสะพรั่งไป ถึงไร่เข้าพลันในทันที ยับยั้งนั่งพุ่มกระทุ่มใหญ่ มึงไปเถิดกูจะอยู่นี่ อย่าเผอเรอเพ้อไปให้ดีดี บ่ายสี่โมงมึงจึงกลับมา อีเม้าเต่าหับอีพลับเทศ อีตานเปรตอีควายฟังนายว่า ฉวยกระบุงแบกไปพอไกลตา ก็ร้องเพลงไก่ป่าเก็บฝ้ายพลาง ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว เพลแล้วหลีกเลี่ยงลงมาล่าง ห่อผ้ากระหวัดลัดลอดทาง ย่างเข้าวิหารสำราญใจ ครั้นถึงจึงนิมนต์ชีต้นมี ฉันหนีเจ้าคุณลงมาได้ ชีต้นเมตตาลาสึกไป กลับมาบวชใหม่ให้ฉันที ชีต้นตามใจไปเถิดหวา หาหมากมาฝากกูทั้งบุหรี่ เณรแก้วกราบกรานอัญชลี ลาเจ้าชีก็สึกด้วยทันใด จับผ้าคฤหัสถ์สะบัดคลี่ ผลัดแล้วจรลีหาช้าไม่ รีบก้าวสาวตีนไปไวไว ถึงไร่เข้าพลันทันที แอบพุ่มพฤกษานัยน์ตามอง พบนางสายทองผู้เป็นพี่ ยิ้มพยักทักไปด้วยไมตรี มาอยู่นี่นานแล้วฤๅพี่นาง สายทองเหลือบเห็นเจ้าพลายแก้ว สึกแล้วยังยืนอยู่ห่างห่าง ยิ้มเยื้อนเบือนบอกเจ้าพลายพลาง มาคอยค้างอยู่แต่กินข้าวเช้าแล้ว เหลียวๆ เขม้นไม่เห็นหน้า คิดว่าจะไม่มาเล่าเจ้าแก้ว เสียงแกรกแหวกไม้มาตํ้าแวว ถ้าช้าหน่อยก็จะแคล้วไม่พบกัน จะอยู่นี่ไม่ได้ใกล้หนทาง ไปซ่อนอยู่พลางตรงนั้นนั่น ต้นกระทุ่มพุ่มตํ่าเป็นสำคัญ จะพาพิมผายผันมาพูดจา ฯ ๏ ว่าแล้วเท่านั้นนางสายทอง เยื้องย่องย่างกลับไปลับหน้า เจ้าพลายหมายพุ่มชอุ่มตา นวยนาดยาตราทอดตาไป แทบต้นกระทุ่มพุ่มชัฏ หลีกลัดเริงรามหนามไหน่ ค่อยย่องตามช่องพนมไม้ เข้าใกล้เห็นพิมผู้ดวงตา นั่งร้อยบุปผชาติสะอาดโฉม งามประโลมน่ารักเป็นหนักหนา จะดูไหนเปล่งปลั่งทั้งกายา ดังนางฟ้าลอยฟ้อนชะอ้อนงาม จะใคร่ทักด้วยรักกำเริบทรวง ยังหนักหน่วงไม่เคยก็คิดขาม ปากสั่นหวั่นจิตรแต่คิดความ ขยับปากแล้วก็คร้ามประหม่าใจ เอาความรักหักจิตรที่คิดกลัว กระถดตัวย่างเยื้องมานั่งใกล้ เยื้อนยิ้มทักเจ้าพิมพิลาไลย สะดุ้งใจตัวแข็งด้วยความอาย มาจากบ้านนานแล้วฤๅไรขา อนิจจาแม่ออกมาเก็บฝ้าย บ่าวไพร่สะพรั่งทั้งหญิงชาย ลำบากกายต้องตามเขาออกมา


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔๒ เสียดายนวลไม่ควรจะเผือดพักตร์ ลมชักชายแดดก็แผดกล้า เดินเหนื่อยเมื่อยมึนทั้งกายา แสนอุตส่าห์ยอดดีนี่กะไร พี่ติดตามมาด้วยความที่รักน้อง สายทองบอกบ้างฤๅหาไม่ ตั้งแต่วันเทศนายิ่งอาลัย ครวญใคร่มิได้เว้นอาวรณ์วาย ยามนอนตาตื่นทั้งสี่ยาม ดังไฟตามติดอยู่ไม่รู้หาย ร้อนโรคโศกเสียวอยู่เดียวดาย แม่สบายอยู่ฤๅประการใด ฯ ๏ นางพิมพิลาไลยได้ฟังว่า ตกประหม่าอกพรั่นหวั่นไหว ขวยเขินเมินอึ้งตะลึงไป ด้วยไม่เคยพูดเคยเจรจา จึงหลีกลดกระถดให้ห่างกัน นางผินผันหันเมินสะเทิ้นหน้า ชม้อยชม้ายชายดูแต่ห่างตา ไม่ตอบสั่งสนทนาประการใด ฯ ๏ โอ้ว่าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย ไม่พูดเลยเคืองเข็ญเป็นไฉน เจ้างามปลื้มลืมแล้วไม่อาลัย จงคิดใคร่ครวญดูแต่เดิมมา เมื่อเด็กเด็กเล็กเล่นอยู่ด้วยกัน สารพันร่วมรักกันหนักหนา เมื่อเล่นขอปลูกหอกับแก้วตา พี่พาเจ้าหนีขุนช้างไป ขุนช้างตามพบมันรบพี่ พลั้งตีถูกน้องเจ้าร้องไห้ แก้วตามาประหม่าพี่ยาไย จงปราศรัยปรองดองสักสองคำ เสียแรงสั่งหวังใจกับสายทอง มาถึงน้องให้แจ้งที่ความขำ กลัวไยใช่พี่จะหยามทำ มิให้ชํ้าชอกเชื่อพี่เถิดรา ฯ ๏ นางพิมพิลาไลยครั้นได้ฟัง ถ้อยคำแต่หลังเจ้าพลายว่า ทุกสิ่งจริงใจแต่ไรมา เหลียวดูหน้าพลายแก้วแววไว ด้วยเป็นเพื่อนเรือนใกล้กันแต่ก่อน เสียงหล่อนพูดจาก็จำได้ ค่อยเหือดหายคลายพรั่นประหวั่นใจ ก็ตอบไปว่าฉันลืมพี่จริงจริง เมื่อวันเทศน์สังเกตก็รู้จัก ครั้นจะทักตัวน้องนี้เป็นหญิง อันน้ำใจใช่ว่าจะชังชิง แต่ตรึกกริ่งกลัวคนจะนินทา ซึ่งสั่งสายทองมาว่าไม่ทัก โกรธฉันนักฤๅจึงพ้อเอาต่อหน้า นี่สึกออกทำไมไปไหนมา จึงเดินตัดลัดป่ามาไร่น้อง ฤๅบวชเรียนเพียรได้วิชาแล้ว พี่พลายแก้วจะสึกไปบ้านช่อง ฤๅติดใจรักใคร่พี่สายทอง ต้นมะต้องต้นใหญ่พี่ไปดู ฯ ๏ เจ้าพลายแก้วฟังนางพลางตอบว่า ที่มาหานี้ด้วยมีธุระอยู่ สู้หลีกลี้หนีท่านสมภารครู ด้วยรู้ว่าแม่พิมจะออกมา ถึงกลับไปได้ผิดไม่คิดตัว ไม่กลัวที่จะต้องซึ่งโทษา พี่จะเล่าให้ฟังแต่หลังมา แจ้งจิตรกิจจาแต่จริงใจ เป็นกุศลดลถึงคะนึงหา จะอยู่ด้วยมารดานั้นไม่ได้ แสนทุกข์สุดทุกข์ระทมใจ ดังกองไฟฟอนฟอกอยู่ฟูมฟืน จึงคิดอ่านลาท่านมารดาบวช เร็วรวดรีบรัดไปวัดอื่น แต่สุพรรณไกลกันถึงข้ามคืน อุตส่าห์ฝืนท่องเที่ยวผู้เดียวมา


สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔๓ มาพบพิมแม่ไม่ยิ้มไม่เยื้อนทัก ยิ่งทุกข์นักแสนโทมนัสสา พบสายทองได้ช่องจึงเจรจา สั่งถึงแก้วแววตาค่อยคลายใจ พบพักตร์ครั้นจะทักเมื่อใส่บาตร ยังขยาดขยั้นนักไม่ทักได้ มาพบกันวันนี้ไม่มีใคร จะมอบไมตรีพิมผู้นิ่มนวล ใช่จะแกล้งแต่งล่อแต่พอได้ ที่จริงใจมั่นแม่นสักแสนส่วน ขอเป็นคู่อยู่กับน้องประคองนวล อย่ารัญจวนที่จะจากจะจืดจาง ฯ ๏ นิจจาเจ้ายังว่าเขาคนอื่นว่า เป็นเพื่อนเล่นเห็นหน้าไม่เกรงบ้าง มาผูกจิตรคิดร้ายทำลายทาง ครั้นน้องว่าจะระคางรำคาญใจ เป็นเพื่อนแล้วจะเชือนเข้าเป็นชู้ มิรู้ที่จะคิดอย่างไรได้ คิดว่าทักรักกันมาแต่ไร จึงเพ้อพาซื่อไปไม่สงกา ไม่งามนะข้าห้ามเจ้าพลายแก้ว ทีนี้แล้วไปทีหลังอย่าได้ว่า นั่งช้าข้าไทจะกลับมา ข้าจะลาแล้วลุกขึ้นทันใด ฯ ๏ พลายแก้วเยื้องย่างพลางปลอบ ซึ่งมิชอบคิดผิดจะคิดใหม่ เชิญนั่งลงก่อนอย่าเพ่อไป พี่ไม่แกล้งแต่งข้อมาล่อลวง อันความรักหนักแน่นแสนวิตก ระอาอกแทบเท่าภูเขาหลวง พรหมินทร์อินทร์จันทร์สิ้นทั้งปวง ก็บนบวงสิ้นฟ้าสุราลัย เชื้อเชิญเมินหน้าไม่มาช่วย เห็นคงม้วยไม่หมายผู้ใดได้ เว้นแต่เจ้าเยาวยอดผู้ร่วมใจ จะผลักพลิกแพลงให้บรรเทาลง ฯ ๏ พูดเพราะเสนาะในนํ้าใจเหลือ ไม่รู้เช่นก็จะเชื่อด้วยลมหลง คำวอนอ่อนระทวยให้งวยงง นี่คงตรงแล้วฤๅตรองมาพาที แต่แรกรักเพียงจักสู้ตายได้ ประโลมใจกว่าจะตายไม่หน่ายหนี จึงบุกป่าฝ่าดงพงพี เพราะไมตรีตรึงตรอมทุกเวลา อันมนุษย์แสนสุดที่โลภเหลือ ไม่ควรเชื่อตามความปรารถนา เหมือนของกินสิ้นไปทุกเวลา ต้องหาเปรี้ยวหาเกลือมาเจือจาน ต้มแกงแต่งเจียวทั้งปิ้งจี่ เซ้าซี้สารพันที่มันหวาน เลือกดิบเลือกสุกทุกประการ ถ้าซ้ำสิ่งใดนานก็เบื่อไป คิดดูเถิดนะเจ้าแต่เท่านั้น ยังไม่กลั้นกลืนเคี้ยวสิ่งเดียวได้ ประเวณีเป็นที่กำเริบใจ แต่ใหม่ใหม่มุ่งมอบชีวิตกัน อุปมาเหมือนผ้าที่นุ่งห่ม ซื้อใหม่ก็นิยมว่าเฉิดฉัน ยามขัดสนจนมาสารพัน ผืนนั้นนุ่งซํ้าประจำกาย ครั้นได้อื่นผืนใหม่เข้ามาผลัด ก็เหยาะหยัดซัดกรุยทำฉุยฉาย เป็นสองผืนชื่นจิตรคิดสบาย นุ่งห่มกรุยกรายทุกเวลา ก็เหมือนกันกับหมายไม่วายรัก ที่เก่าก่อนแล้วชักประเชิญหน้า ลงประเชิญแล้วก็เมินทุกเวลา ลงเป็นผ้าชุบอาบไม่เอื้อเฟื้อ แต่ซักซักฟาดฟาดจนขาดวิ่น จนเป็นชิ้นเช็ดใช้ไม่หลอเหลือ ถึงจะเย็บตะเข็บขาดไม่พาดเจือ ให้เป็นเนื้อเดิมได้ดังก่อนมา


Click to View FlipBook Version