สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔๔ เหมือนหญิงชายว่าจะตายด้วยกันได้ จะเห็นใจฤๅไม่จางไปข้างหน้า ลิ้นกับฟันอยู่ด้วยกันเป็นอัตรา ลางเวลาก็กระทบกระทั่งกัน เหมือนตัวเจ้ามาเฝ้ารำพันถึง มาหมายพึ่งพูดวอนให้ผ่อนผัน ก็คิดอยู่เอ็นดูเจ้าครันครัน ไม่หักหั่นอาลัยให้เด็ดดาย ไปสู่ขอต่อท่านผู้มารดา ถ้าเมตตาตามใจเจ้ามุ่งหมาย น้องจะยอมพร้อมใจไม่ระคาย แม้นว่าชายอื่นเอื้อมมาเจรจา ถึงคุณแม่จะมอบให้ครอบครอง ไม่ชอบใจน้องจะขอว่า จะขืนใจเอาแต่ใจของมารดา ก็จงฆ่าฟันเถิดไม่ขอตัว ถ้าเจ้าแก้วขอแล้วคุณแม่ให้ น้องดีใจให้พ่อมาเป็นผัว ทำชู้สู่หาข้านี้กลัว ความชั่วเขาติฉินไม่ยินดี เจ้าติดตามมาถามด้วยความรัก ก็ประจักษ์แจ้งใจอยู่ถ้วนถี่ จะอยู่ช้าว่าไรทำไมมี อย่าเซ้าซี้รํ่าบ่นสนทนา อนึ่งเล่าบ่าวไพร่จะมาเห็น จะเป็นเส้นเป็นลายไปภายหน้า เมื่อคล่องใจวันใดพ่อจึงมา ปรึกษาขอสู่ให้ควรการ ตะวันชายบ่ายเย็นลงถนัด ไปวัดเถิดน้องจะไปบ้าน อย่ารีรวนจวนคํ่าจะรำคาญ ขืนฟุ้งซ่านสืบไปจะได้อาย ฯ ๏ อนิจจาแก้วตาของพี่เอ๋ย กะไรเลยด่วนขับเสียง่ายง่าย พี่รักพิมปิ้มจะตีให้ตนตาย พึ่งเว้นวายวันนี้ได้พบน้อง กลับไปกว่าจะได้มาขอสู่ ยังไม่รู้ว่าจะได้ประสมสอง เกลือกท่านมารดามิปรองดอง ยิ่งไกลน้องนับวันจะจืดจาง งามปลื้มแม่จะลืมลงทุกวัน สารพันรวนเรจะเหห่าง ถึงประสบพบกันที่กลางทาง คงระคางไปไม่เหมือนแต่ก่อนมา ถ้ามั่นคงปลงใจว่ารักแก้ว แท้แล้วอย่าให้ห่างเสนหา ขอฝากดวงจิตรเจ้าจงเมตตา แต่ครั้งคราเดียวเถิดอย่าถือใจ ซึ่งเจ้าเปรียบเทียบคิดจิตรมนุษย์ หาสิ้นสุดความโลภลงได้ไม่ เหมือนของกินหารู้สิ้นไปเมื่อไร เป็นวิสัยสังเกตแก่ฝูงคน ถึงนั่นหน่อยนี่หน่อยอร่อยรส ปรากฏก็แต่ข้าวแลเป็นต้น ดุจความเสนหาจลาจล ร้อนรนก็ที่รักกำเริบใจ เหมือนผ้าเก่าเศร้าทรุดพิรุธนัก จะซ้ำซักเสียให้ขาดหาควรไม่ เป็นยกทองต้องตาก็อาลัย มิใช่ตาบัวปอกแลเมล็ดงา กว่าจะได้ห่มนุ่งบำรุงกาย มิใช่ง่ายต่อตามกันหนักหนา กับอนึ่งก็แพงแรงราคา ถึงเก่าแล้วก็อุตส่าห์ถนอมชม ประจงใส่หีบหอมถนอมไว้ เมื่อมีงานการใหญ่เป็นการสม จึงหยิบคลี่ด้วยเป็นที่คนนิยม แล้วอบรมกลิ่นฟุ้งจรุงใจ ถึงผ้าอื่นผืนใหม่ได้มามาก ก็นุ่งลากเสียดอกไม่ดีได้ ขอลานวลจวนคํ่าไม่ขืนใจ ทั้งอาลัยลำบากจะจากน้อง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔๕ โลมลูบจูบชายสไบห่ม ขอชมนิดเถิดเจ้าอย่าเศร้าหมอง ช่างน่าชมสมควรเป็นนวลละออง นี่กรองเองฤๅเจ้าซื้อมาแห่งใด ฯ ๏ นางสะบัดปัดชายสไบห่ม อย่ามาชมเลยผ้าคุณแม่ให้ เลียมชมข่มเหงไม่เกรงใจ นี่อะไรเจ้าแก้วไม่ควรการ รักน้องสิจะปองให้เป็นผล กลางหนฤๅมารักทำหักหาญ ไม่รักแต่งดอกจึงแกล้งทำประจาน มาด่วนรานรีบได้แต่โดยใจ ให้เกรียมตรมจึงจะสมคะเนเจ้า ก็หมองเศร้าอยู่หาสู้สนิทไม่ เสียทีเจ้าแก้วก็แล้วไป อันจะได้พิมนั้นอย่าสงกา เหมือนข้าวดิบจะหยิบเข้าใส่ปาก กำลังอยากยังกรุบอยู่หนักหนา ไม่อร่อยดอกจงปล่อยเสียเร็วรา ทำขืนขัดใจข้าแล้วขาดกัน ฯ ๏ เจ้าเนื้อนิ่มพิมน้อยอนาทร มาตัดรอนแรกรักบากบั่น จงงดเงือดเหือดโกรธที่โทษทัณฑ์ พลางรับขวัญยอดสร้อยอย่าน้อยใจ พี่รักนุชสุจริตน้ำจิตรรัก ไม่หาญหักก่อนดอกแต่โดยได้ ผลักมือรื้อฉวยชายสไบ เพราะอาลัยกำเริบที่ในทรวง งดโทษพี่เถิดเจ้าจงเอาบุญ อย่าเคืองขุ่นคั่งแค้นเฝ้าแหนหวง นมเจ้างอนงามปลั่งดังเงินยวง ประโลมล่วงน้องหน่อยอย่าน้อยใจ พลางกอดน้องประคองขึ้นบนตัก จะแพลงผลักพลิกเลื่อนลงไปไหน แล้วเปลื้องปลดลดชายให้คลายใจ นางฉวยฉุดยุดไว้ไม่วางมือ ฯ ๏ อนิจจาว่าแล้วหาฟังไม่ จะฆ่าพิมเสียที่ไร่นี้แล้วฤๅ รักน้องกลางหนให้คนฦๅ อย่างนี้น้องไม่ถือว่ารักน้อง โดยชั่วถึงตัวมิได้แต่ง ก็จัดแจงน้องนี้มีหอห้อง พอควรการแล้วฉันจะปรองดอง มิให้ข้องขัดเคืองกระเดื่องใจ ตัวน้องมิใช่ของอันเคยขาย จะเรียงรายกลางหนหาควรไม่ พิเคราะห์ให้เหมาะก่อนเป็นไร กลับไปเถิดพ่อแก้วผู้แววตา อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสนหา นางก้มอยู่กับตักซบพักตรา เฝ้าวอนว่าไหว้พลางพ่อวางพิม ฯ ๏ ประจงจูบลูบผมแล้วชมพักตร์ น่ารักนวลเนื้อเจ้านิ่มนิ่ม น้ำตาคลอเปี่ยมอยู่เรียมริม เจ้าเยือนยิ้มสักหน่อยเถิดกลอยใจ สงสารไหว้วอนให้ผ่อนวาง รักนางมิใคร่จะไกลได้ พี่จะหอบเสนหาลาไป เหลืออาลัยที่จะทรมาน หยิบมือพิมน้อยประทับทรวง แม่ดูดวงจิตรพี่ออกฟุ้งซ่าน เวลาคํ่าแม่จงจำสังเกตการ จะไปบ้านหาพิมพิลาไลย ช้อนคางพลางจูบประคองชม แนบเนื้อแนมนมเจ้าผ่องใส พวงพุ่มตูมตั้งยังเป็นไต อาลัยลูบโลมทั้งกายา จับมือถือนิ้วเจ้าพิมชม สวยสมสิบนิ้วเสนหา ซบพักตร์อยู่กับตักไม่เจรจา พี่จะลาแล้วแม่ผินมาดีดี ฯ
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔๖ ๏ ครานั้นอีข้าไทไปเก็บฝ้าย ตะวันบ่ายรำไรลงได้ที่ อีเต่าหับอีพลับกับอีปลี ยัดอัดกระบุงดีร้องเพลงมา สายทองระวังน้องอยู่ต้นทาง เห็นอีบ่าวเหย่าย่างมาข้างหน้า แกล้งร้องอึงให้ถึงเจ้าสองรา ไปหวาไปเหวยเฮ้ยจวนเย็น ฯ ๏ นางพิมกราบไหว้เจ้าพลายแก้ว มันมาแล้วไปเถิดมันจะเห็น พ่อจะมาฆ่าน้องเสียทั้งเป็น เอ็นดูเถิดพ่อไปเสียไวไว เจ้าพลายกอดพิมประทับไว้กับตัก เสียดายนักมิใคร่วางนางลงได้ เสียงบ่าวข้ามากระชั้นก็จนใจ ลุกขึ้นบังต้นไม้แล้วหลีกมา นางพิมลุกยืนขึ้นทันใด ฝ้ายลีเป็นกะไรอีเด็กหวา ตะวันเย็นเห็นจวนควรเวลา ออกจากพุ่มพฤกษาแล้วเดินไป สายทองเดินชิดสะกิดพิม หยอกยิ้มค่อยกระซิบปราศรัย แม่พิมพี่วันนี้เป็นไรไป หลังไหล่ล้วนต้องละอองดิน นางพิมยิ้มค้อนให้พี่เลี้ยง ส่งเสียงไปให้มันเข้าหูสิ้น จำเพาะจะว่าไปให้ได้ยิน ดีใจดังจะบินจะโบยไป เมื่อวานเห็นรำคาญไม่รู้วาย เดี๋ยวนี้หาเพื่อนตายเข้าไว้ได้ อย่าพักว่าเลยข้าไม่เป็นไร ปัดไถมหมองมัวไปนิดเดียว สายทองฟังน้องก็นิ่งยิ้ม นางพิมค้อนให้นัยน์ตาเขียว อีพวกข้าแบกฝ้ายตามนายเกรียว มาบัดเดี๋ยวถึงบ้านเข้าทันใด นางพิมสายทองทั้งบ่าวข้า ขึ้นบนเคหาหาช้าไม่ จวนคํ่าย่ำเย็นลงไรไร พอเก็บฝ้ายลีไว้ก็พลบพลัน สายทองชวนน้องเข้าห้องนอน ร่วมหมอนกระซิกเกษมสันต์ สัพยอกหยอกพิมนิ่มนวลจันทร์ เมื่อกลางวันเป็นอย่างไรอย่าได้พราง ฯ ๏ ครานั้นนางพิมพิลาไลย ค้อนให้พลิกแพลงตะแคงข้าง ปั่นป่วนข่วนหยิกสายทองพลาง เพราะพี่นางแนะนำให้ทำน้อง พอเห็นหน้าพูดจากันสองคำ กระโจนกอดคอปลํ้าเล่นคล่องคล่อง จะแกล้งให้น้องอายพี่สายทอง จะใคร่ร้องขึ้นให้ไร่ทลาย น้อยใจหนักหนาน้ำตาตก เป็นสองยกพลิกคว่ำให้จำหงาย ผ้าผ่อนฉวยฉุดให้หลุดกาย ถ้าตัวตายเสียก็ดีกว่าเป็นคน เนื้อแท้เขาจะปลํ้าทำเล่น ข้าแค้นใจไม่เห็นจะเป็นผล วันนี้จะเอามีดเข้ากรีดตน ให้วายชนม์เสียให้สิ้นที่อายใจ คิดนิดหนึ่งว่าพี่ได้เลี้ยงมา ฟ้าผ่าเถอะหาไม่แล้วที่ไหน จะบอกแม่ให้แซ่เซ็งไป ก็จะได้ดูหน้าพี่สายทอง เดชะบุญพอวุ่นก็เด็กมา ถ้าปะช้าเลยหนึ่งจะถึงสอง พูดจามีแต่ว่าไม่ปรองดอง เสียแรงพี่เลี้ยงน้องมาใจจาง หมายจะแหวะแตระฟันด้วยดาบกรด อัปยศตายด้วยดาบทองหลาง ยังสั่งซ้ำทำเผื่อเป็นเยื่อยาง ว่ากลางคืนวันนี้จะกลับมา
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔๗ ว่าพลางทางปิดประตูผาง หน้าต่างลิ่มขัดให้แน่นหนา มีดถือไว้กับมือไม่เคลื่อนคลา น้องแค้นดังเลือดตาจะหยดย้อย วันนี้ถ้ามาแล้วอย่าแคลง แม้นมิแทงแล้วจึงว่าอีพิมถ่อย ไปจากห้องน้องเถิดอย่าพูดพลอย วันนี้คอยยังรุ่งไม่หลับนอน ฯ ๏ สายทองปลอบน้องอย่าแค้นขึ้ง รำพึงดูให้แน่ในใจก่อน อันความเสนหาอาวรณ์ ย่อมแรงร้อนรึงรุมกลุ้มในใจ เจ้าพลายแก้วก็ยังหนุ่มกำดัดนัก จะรั้งรักรอรีที่ไหนได้ ซึมซาบอาบเอิบกำเริบใจ ด้วยยังไม่เคยพบกระษัตรี การชายความอายนี้น้อยนัก ยอดรักแม่จงฟังคำพี่ อันใจหญิงถึงกำหนดในโลกีย์ ก็ยังมีมารยาอยู่ในใจ แม่อย่าด่วนควรถือว่าหยาบช้า อันเจรจาหาทิ้งที่จริงไม่ สัญญาเบื้องหน้ายังว่าไว้ แม่จงพิเคราะห์ใคร่ดูเถิดรา เจ้าพลายแก้วเป็นชายบริสุทธิ์ ผ่องผุดยังไม่มีที่กังขา แม่ก็พรหมจารีศรีโสภา แต่รุ่นมาไม่มีใครแผ้วพาน พึ่งมาประสบพบพลายแก้ว เพียงนี้แล้วฤๅจะผลักหักหาญ ให้เคล้าคลึงถึงสองไม่ต้องการ เป็นมลทินจะประจานอยู่ในใจ ถึงได้อื่นมาชื่นอารมณ์เจ้า ถ้าพบเก่าจะเอาหน้าไปไว้ไหน ขึ้นชั่วจะติดตัวจนตายไป แม่อย่าได้ด่วนเด็ดเสียเดียวดาย หยุดยกที่วิตกไว้เสียก่อน อดนอนพรุ่งนี้จะตื่นสาย กลัวท่านแม่คุณจะวุ่นวาย เจ้าพลายที่ไหนจะกล้ามา นอนเถิดน้องพี่จะไปนอนบ้าง ว่าแล้วเยื้องย่างมาเคหา ถึงห้องของตัวก็นิทรา นางพิมตรึกตรายิ่งตรอมใจ โอ้ว่าแก้วแววตาของพิมเอ๋ย จะล่วงเลยลืมแล้วฤๅไฉน ฤๅเคืองน้องข้องแค้นระคางใจ จึงทิ้งไว้ว้าเหว่อยู่เอกา มิรักน้องก็แต่แรกอย่ารักน้อง ทำให้หมองแล้วจะเมินไม่มาหา ยังจดจำถ้อยคำที่สัญญา ว่าจะมาถึงห้องที่พิมนอน ยามหนึ่งถึงแล้วพ่อแก้วเอ๋ย ไม่มาเลยใจน้องนี้ค่อนค่อน แต่นอนตรึกนึกหายิ่งอาวรณ์ พระจันทรจรดับก็หลับไป ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ไปวัดคํ่าแล้วหาบวชไม่ คอยดูฤกษ์เวลาจะคลาไคล ประมาณได้สักสองยามปลาย ดวงเดือนเลื่อนเด่นดาวระยับ ยืนขยับเพ่งพิศเมฆฉาย ช่วงขาวดุจดาวประกายพราย แต่งกายประกอบพร้อมทุกประการ พิเคราะห์ดูหลาวเหล็กแลผีหลวง ปลอดห่วงดวงใจก็ฮึกหาญ สูรย์จันทร์แม่นยำด้วยชำนาญ ย่างเท้าก้าวผ่านไปตามทิศ ฯ ๏ มาถึงบ้านนางพิมหาช้าไม่ เสกข้าวสารหว่านไปให้หลับสนิท สะเดาะกลอนถอนลั่นทุกชั้นชิด ที่บานปิดก็เปิดออกทันใด
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔๘ จึงกลิ้งครกเหยียบยืนขึ้นบนเรือน ไม่กระเทือนย่องมาหาช้าไม่ หมายสำคัญมั่นคงตรงไป เข้าในห้องพิมด้วยฉับพลัน อัจกลับแสงกระจ่างสว่างห้อง มีข้าวของโตกพานทั้งเชี่ยนขัน เครื่องแป้งแต่งไว้ดูงามครัน อัฒจันทร์สมศักดิจำหลักลาย คันฉ่องรองรับกระจกส่อง เครื่องทองตั้งไว้ดูเฉิดฉาย พานหมากเครื่องนากมีมากมาย ม่านสายสอดหูแล้วห้อยกาง น่ารักปักไหมเอาทองถม สวยสมฝีมือพิมงามกระจ่าง เป็นเรื่องศิลป์สุริยาเมื่อพานาง ข้ามแนวน้ำกว้างก็พลัดกัน รัตนานางอุ้มสิงหรัด ท่องเที่ยวแถวพนัสพนาสัณฑ์ ถึงศาลาดาบสทศธรรม์ อภิวันท์วอนว่าพระอาจารย์ อาศัยแล้วให้ชุบสิงหรา อำลาลุล่วงจากสถาน กับพี่น้องสองราชกุมาร มาอยู่บ้านตายายค่อยคลายใจ ปักพระศิลป์เธอเที่ยวแสวงหา จะพบนางรัตนาก็หาไม่ จนพลบคํ่ายํ่าแสงอโณทัย อาศัยสวนเจ้าท้าวกุตา น้องเอ๋ยกะไรเลยฉลาดลํ้า ไม่ชอกช้ำฝีมือเจ้าเหลือหา ประจงรูดม่านน้องย่องเยื้องมา เปิดมุ้งเห็นหน้าเจ้าพิมนอน สนิทหลับรับขวัญเจ้าทั้งหลับ ดังยิ้มรับให้พี่รีบมาร่วมหมอน โฉมแชล่มแก้มยิ้มพริ้มเพรางอน งามเนตรเมื่อเจ้าค้อนพี่ยามชม คอคางบางแบบกะทัดรัด เล็บยาวขาวขัดดูงามสม ไม่พร่องบกอกนางอล่างนม ค่อยผงมสงวนต้องประคองทรวง เลื่อนลดแก้สะกดให้พิมตื่น เป่าต้องน้องก็ฟื้นสงบง่วง เจ้าอย่าแหนงแคลงจิตรว่าพี่ลวง ดวงใจแม่จงตื่นขึ้นเถิดรา ฯ ๏ นางพิมนิ่มนวลนอนสนิท กระทั่งนิดก็ฟื้นตื่นผวา พลิกกายชายเนตรชำเลืองมา เห็นหน้าพลายแก้วแววไว คิดพรั่นหวั่นใจชม้ายค้อน ดูดู๋กลอนขัดอยู่จู่มาได้ นี่เนื้อว่าข่มเหงไม่เกรงใจ แต่กลางไร่ไม่สามาถึงเรือน แต่เพียงนั้นยังว่าไม่น่าแค้น จวนเจียนจักแหล่นจะอายเพื่อน รบให้ขอต่อแม่ทำแชเชือน กลบเกลื่อนว่ากล่าวให้กลับกลาย คิดว่ารักฤๅที่หักมาถึงบ้าน อย่าสมานเลยข้าแค้นไม่รู้หาย แต่ที่ไร่เจ้ายังปลํ้าทำให้อาย ใยฝ้ายเกลือกคันไปทั้งตัว มือหนักชักยื้อทำหยาบหยาม งามหน้าน่ารับมาเป็นผัว สมสู่อยู่บ้านดีฉันกลัว ตัวมิตายก็หลังคงเลือดย้อย เพียงจับมือถือแขนก็แสนเจ็บ คมเล็บเลือดเหยาะลงเผาะผอย แต่หยอกกันสารพันเป็นริ้วรอย เชิญถอยไปเสียเถิดไม่ไยดี ฯ ๏ เจ้างามปลอดยอดรักของพลายแก้ว ได้มาแล้วแม่อย่าขับให้กลับหนี พี่สู้ตายไม่เสียดายแก่ชีวี แก้วพี่อย่าเพ่อพรํ่ารำพันความ
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๔๙ พี่ผิดพี่ก็มาลุแก่โทษ จงคลายโกรธแม่อย่าถือว่าหยาบหยาม พี่ชมโฉมโลมลูบด้วยใจงาม ทรามสวาดิดิ้นไปไม่ไยดี รอยเล็บแม่จึงเจ็บด้วยจับต้อง ติดข้องเพราะเจ้าปัดสลัดพี่ ค้อนควักผลักพลิกแล้วหยิกตี ถ้อยทีถูกข่วนแต่ล้วนเล็บ ติดตามมาด้วยความพี่รักน้อง กลัวจะหมองต้องเนื้อเจ้าจะเจ็บ ไหนผืนผ้ามาพี่จะชุนเย็บ ที่ตะเข็บขาดไปจะให้ดี ขอพี่ดูชูมือมาสักหน่อย เจ็บน้อยฤๅมากกว่าแขนพี่ จับจูบลูบแผลที่ไหนมี เย้ายีหยอกยั่วให้ยวนใจ ฯ ๏ นี่ใครวอนให้มาถามฤๅ ถึงเจ็บมือก็หาเชิญเจ้ามาไม่ จะดูแลแผลน้องไปทำไม ใครเจ็บก็ใครรักษาตัว มาจับมือถือแขนเอาง่ายง่าย ไม่มีอายทำเล่นเช่นเมียผัว ที่นี่เรือนมิใช่ไร่ข้าไม่กลัว ถึงดีชั่วเพื่อนบ้านพยานมี ยังเซ้าซี้มิไปให้พ้นห้อง มาจู้จี้นี้ก็ร้องให้อึงมี่ ไม่วางแขนแค้นใจใช่พอดี จะทำทีเหมือนที่ไร่ไม่ได้แล้ว ฯ ๏ ไม่เมตตาก็ฆ่าเสียเถิดน้อง กระทุ้งห้องร้องไปให้แจ้วแจ้ว จงเอามีดมากรีดให้เป็นแนว อย่านึกเลยพลายแก้วจะกลัวตาย อึงแซ่หม่อมแม่จะมาจับ ผิดก็ยับอยู่กับที่ไม่หนีหาย จะกอดพิมนิ่มนางไม่ห่างกาย ตามแต่สายสุดสวาดิจะปรานี ว่าพลางทางกอดกระหวัดรัด อย่าสะบัดเลยไม่พ้นฝีมือพี่ ทั้งสองแก้มแย้มยวนให้ยินดี ขอจูบทีเถิดเจ้าจงเมตตา ฯ ๏ ประเดี๋ยวจับประเดี๋ยวจูบเฝ้าลูบชม แก้มกับนมนี่เจ้าซื้อมาฤๅขา ทำเล่นเหมือนเป็นเชลยมา ฟ้าผ่าเถอะไม่ยั้งไม่ฟังกัน จะหยิกเท่าไรก็ไม่เจ็บ ฉวยเล็บมาจะหักให้สะบั้น อุยหน่าอย่าทำที่สำคัญ ฟาดฟันเอาเถิดไม่น้อยใจ ทำเล็บหักเหมือนไม่รักพี่จริงจัง ถึงเงินชั่งหนึ่งหารักเท่าเล็บไม่ เข้าชิดสะกิดพิมยิ้มละไม อุ้มแอบอกไว้ด้วยปรีดา เอนอิงพิงประทับลงกับหมอน สะอื้นอ้อนอ่อนแอบลงแนบหน้า กระเดือกเสือกดิ้นอยู่ไปมา เกิดมหาเมฆมืดโพยมบน ฮือฮืออื้อเสียงพายุพัด กลิ้งกลัดเกลื่อนกลุ้มชอุ่มฝน เป็นห่าแรกแตกพยับโพยมบน ไม่ทานทนทั่วกระทั่งทั้งแดนไตร ฯ ๏ ครานั้นนางพิมนิ่มนวล ยียวนด้วยความพิสมัย เสนหารึงรุมกลุ้มใจ สนิทแนบหน้าในที่นอนนาง พัดวีวอนพลอดแล้วกอดแก้ว ไม่คลาศแคล้วเคลื่อนคลาไปห่างข้าง ซับเหงื่อด้วยเนื้อสไบบาง กระแจะจวงจันทน์นางละลายทา ของหวานวอนให้เจ้าแก้วกิน คอยประคิ่นโต๊ะตั้งทั้งซ้ายขวา ให้หมากพลูบุหรี่ด้วยปรีดา แล้วซุบซิบสนทนาเสนาะใน
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕๐ ถ้อยทีถ้อยมีเสนหา กำเริบรสกามาหมื่นไหม้ ฟักฟูมอุ้มแอบด้วยอาลัย ต่างมิใคร่จะสนิทนิทรา พระจันทร์แจ่มกระจ่างนภากาศ เทวราชเร่งราชรถา สถิตในทิพรัตน์ลีลามา จับแสงดาราดิเรกราย สกุณากาไก่สนั่นก้อง นํ้าค้างต้องบุปผชาติแย้มขยาย แมลงภู่เคล้าเกสรขจรจาย พระสุริย์ฉายเร่งรีบรถทะยาน เผยอแย้มแจ่มกระจ่างสว่างทิศ สะดุ้งจิตรกล่าวเกลี้ยงด้วยคำหวาน จะลาพิมนิ่มสนิทคิดรำคาญ ปิ้มปานจะตายจากพรากพิมไป พอคํ่ายํ่าแสงสุริยา พี่จะมามั่นคงอย่าสงสัย ค่อยอยู่เถิดแก้วตาจะลาไป ใจพี่นี้จะขาดลงรอนรอน ฯ ๏ ครานั้นนางพิมพิลาไลย ถอนใจสะอึกสะอื้นอ้อน ระทวยทอดกอดแก้วยิ่งอาวรณ์ พ่อมานอนให้พิมนี้ตรอมใจ ก็สาสมที่อารมณ์เราโฉดชั่ว รักตัวแล้วหารักสบายไม่ เช้าคํ่าจะรํ่าโศกเสมอไป สักเมื่อไรจะหายวายรำคาญ รักพิมพิมรักพี่พลายแก้ว รักแล้วปลูกรักมาหักหาญ มาหักต้นโค่นทิ้งทรมาน โอ้รักก็จะรานไปแรมไกล แม่ตีฤๅพี่สายทองด่า จะปรึกษาปรารภกับใครได้ ถึงทรวงร้อนเหมือนนอนในกองไฟ พ่ออยู่ไกลไหนจะแจ้งซึ่งกิจจา พ่ออยู่วัดขัดเคืองขึ้นข้างบ้าน สุดที่พิมจะด้านออกไปหา คํ่าแล้วพ่อแก้วจงกลับมา ให้เห็นหน้าทุกคืนพอชื่นใจ ฯ ๏เจ้าพลายแก้วปลอบแล้วลูบประโลม พี่รักโฉมหาให้ห่างระคางไม่ ไก่แก้วขันแจ้วจะจำไกล อย่าเสียใจพี่จะมาหาทุกคืน พอพลบจะหลบมาโลมน้อง ถึงแห่งห้องให้หายโศกสะอื้น จากพิมปิ้มพี่นี้ต้องปืน ขยับยืนส่งพี่พอพ้นเรือน ปลอบพลางทางโอบกระหวัดอุ้ม ฟักฟูมฟายน้ำตาหน้าเฝื่อน ถึงประตูหรุบรู่ด้วยแสงเดือน นี่เนื้อเหมือนกรรมวิบากระบมใจ แสงทองส่องฟ้ามาเหลืองเหลือง จะย่างเยื้องจากนางไม่ย่างได้ ทรุดนั่งพะวังพะว้าด้วยอาลัย ประโลมจูบลูบไล้ไม่สมประดี ปิดประตูอยู่เถิดนะน้องเอ๋ย อย่าโศกเลยลุกเลื่อนออกจากที่ แสนสวาดิไม่น้อยร้อยทวี ยิ่งเหลียวหลังยิ่งมีอาลัยลาน พิมน้อยละห้อยหับประตูแล้ว พลายแก้วแข็งใจไปจากบ้าน ถึงวัดลัดหนีท่านสมภาร นมัสการชีต้นให้บวชพลัน ฯ
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕๑ บทถอดความร้อยกรอง เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม พอรุ่งเช้า เณรแก้วรีบล้างหน้า นุ่งสบง ห่มจีวร คาดรัดประคด แล้วอุ้มบาตรเดินเข้าเมือง สุพรรณบุรี ลัดเลาะตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ในที่สุดมาถึงบ้านท่าพี่เลี้ยง เห็นมีม้านั่งตั้งอยู่เตรียม ใส่บาตร แต่ยังไม่มีใครลงมาจึงยืนสำรวมรออยู่ ฝ่ายนางพิมจัดเตรียมของใส่บาตรอยู่ในห้องกับนางสายทอง เห็นว่ายังไม่มีพระมา แต่ เมื่อเปิดหน้าต่าง เห็นเณรแก้วยืนก้มหน้าสำรวมนิ่ง สีผ้ากาสาวพัสตร์จับเนื้อเรื่อเรืองเปล่งปลั่ง ประกอบกับอำนาจวิทยามนต์ นางพิมเห็นแล้วปั่นป่วนรัญจวนใจ รีบห่มผ้าคว้าขันข้าว และเร่ง นางสายทองลงไปใส่บาตร พอนางเปิดประตูเดินนวยนาดลงไป เณรแก้วได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นพอ สบตากัน นางพิมใจเต้นขวยเขิน หันหลบเข้าหลังนางสายทอง แล้วสะกิดพี่เลี้ยง ยื่นขันข้าวให้ บอกให้ ออกไปใส่บาตรแทน นางพิมหลบเข้าแอบข้างฝา เณรแก้วรีบเป่าคาถามหาละลวย ทำให้นางพิม ปั่นป่วนซ่านเสียว จนใคร่จะรีบแล่นลงไปข้างล่าง นางสายทองประคองขันข้าวลงมาใส่บาตร เณรแก้ว รับบาตรแล้วพูดว่าเจาะจงมารับบาตรที่บ้านนี้โดยเฉพาะ ทั้ง ๆ ที่โยมบ้านอื่นรอใส่บาตร เป็นเพราะ เกิดเหตุระหว่างเทศน์เมื่อวันวาน เจ้าของกัณฑ์หนีกลับมาก่อน เณรกังวลว่าโกรธเคืองด้วยเรื่องใด ใคร่ จะได้พูดคุยด้วยให้รู้แจ้ง นางสายทองจึงตอบว่า หลังเพลแล้วนิมนต์เณรมาที่บ้าน แล้วรีบขึ้นเรือน เณรแก้วออกจากรั้วบ้านแล้วก็ยังแฝงตัวยืนดูนางพิมอยู่ เมื่อนางพิมเปิดหน้าต่างออกดู เห็นเณรแก้ว กอดบาตรไว้แนบแน่นเป็นปริศนา นางพิมจึงยิ้มแล้วรีบหลบหน้าเข้ามา ระหว่างเณรแก้วเดินกลับวัด ใจคอเลื่อนลอยคอยคิดถึงนาง หันหลังเหลียวหาไปตลอดทาง เมื่อถึงวัด เณรแก้วรีบปรนนิบัติ ท่านอาจารย์ให้ฉันเสร็จแล้วเข้าไปนอนคร่ำครวญถึงนางพิม ฝ่ายนางพิม ตั้งแต่เห็นหน้าเณรแก้ว จิตใจปั่นป่วนหวั่นไหว พอเห็นนางสายทองใส่บาตร เสร็จแล้วเดินนวยนาดอยู่ยิ่งขัดใจ รีบพยักหน้าเรียกให้นางสายทองเข้ามาหาในห้องนอน กระซิบต่อว่า ต่อขานว่าทำไมจึงตักบาตรช้านัก เห็นปากขยับพูดคุยกับเณรอยู่ คุยเรื่องอะไรกัน นางสายทองบอกว่า ไม่ได้คุยกัน แล้วเตือนให้นางพิมไปกินข้าว เสร็จแล้วจะได้ปั่นฝ้าย ตอนบ่ายจะไปอาบน้ำด้วยกัน นางพิมเซ้าซี้ถามเท่าไร นางสายทองไม่บอก นางพิมโกรธไม่ยอมกินข้าวกับนางสายทองเหมือนทุกวัน พอนางพิมกินข้าวเสร็จก็มานั่งปั่นฝ้ายในห้องกับพวกบ่าวจนถึงบ่ายสองโมง นางสายทองชวนนางพิม ไปอาบน้ำ นางพิมยังงอนอยู่ นางสายทองชักชวนเท่าไรก็ไม่ยอมไปด้วย นางสายทองจึงไปอาบน้ำ พร้อมด้วยบ่าวไพร่อีกหลายคน ข้างเณรแก้ว พอตกบ่ายคิดว่าปานนี้นางพิมคงกำลังอาบน้ำอยู่ที่ท่าน้ำและคิดถึงคำ ที่นางสายทองบอกไว้ จึงออกจากวัดไปบ้านนางพิมแล้วตรงไปตีนท่าทันที เณรแก้วแอบซุ่มดูเห็นบ่าว ไพร่และ นางสายทองกำลังอาบน้ำ จึงเอาก้อนดินโยนใส่และกระแอมให้สัญญาณ นางสายทองรีบ กระวีกระวาดมาหา พากันไปนั่งในที่ลับตา ใต้ต้นโศกใหญ่ใบหนาเป็นซุ้ม เณรแก้วสารภาพว่าเกิด ความปั่นป่วน ทุกข์ทรมานใจเพราะรักนางพิม จึงอยากให้นางสายทองเป็นผู้ช่วยเหลือให้ ความปรารถนาครั้งนี้ลุล่วง หากนางสายทองเอ็นดูให้ความช่วยเหลือก็เหมือนหนึ่งชุบชีวิตให้ฟื้น เณรแก้วจะไม่ลืมบุญคุณจนตลอดชีวิตและจะดูแลอุปถัมภ์ นางสายทองตลอดไป เณรแก้วกล่าวกับ นางสายทองเป็นอุปมาอุปไมยไว้อย่างน่าฟังว่า เณรแก้วเปรียบเหมือนกระต่ายหมายขึ้นไปชม
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕๒ ดวงจันทร์จะทำสำเร็จได้เช่นนั้นต้องมีเทพอุปถัมภ์นางสายทองจึงเปรียบเหมือนพระอินทร์ หาก นางสายทองช่วยเป็นธุระในเรื่องนี้ พระจันทร์ก็จะมีกระต่ายให้เห็นถึง ๒ ตัว อันเณรน้องเหมือนกระต่ายหมายชมจันทร์ อยู่ดินฤๅจะดั้นขึ้นไปได้ แต่ตรอมตรอมผอมร่างก็บางไป ด้วยทางไกลกลางหาวเมื่อคราวปอง ได้องค์อินทร์แลจะสิ้นสำเร็จตรม จะได้ชมกระต่ายสวรรค์จันทร์ผยอง อินทราอุปมาเหมือนสายทอง พิมน้องเหมือนกระต่ายในวงจันทร์ มาพึ่งพิงถ้าไม่ทิ้งธุระน้อง คงเป็นสองกระต่ายชมสมสวรรค์ จะขอบคุณที่การุญให้ครามครัน กว่าชีวันฉันจะวอดชีวาวาย (หน้า ๖๔) นางสายทองโวยวายไม่ยอมช่วยเหลือเป็นแม่สื่อให้ เพราะหากถูกจับได้จะได้รับ การลงโทษแรงมาก ทั้งถูกด่าว่า ทั้งถูกเฆี่ยนตีหลังลาย ส่วนเณรแก้วไม่เดือดร้อนด้วย เหมือนคนรำ อยู่นอกม่าน ไม่รู้ว่าคนอยู่ข้างหลังม่านวุ่นวายอย่างไร นางสายทองยังประชดว่าที่เณรแก้วเปรียบ เรื่องกระต่ายกับดวงจันทร์ก็แยบคายดี แต่หากพระอินทร์ช่วยกระต่าย พระอินทร์จะถูกด่าว่าทำให้ พระจันทร์มัวหมอง ดังนั้น เรื่องนี้นางสายทองไม่ขอเกี่ยวข้อง เพราะ ทำไปประโยชน์ก็ตกแก่ผู้อื่น ตนเองไม่ได้ประโยชน์แถมอาจจะเดือดร้อนอีกด้วย เหมือนคำพังเพยที่ว่า ‘เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง เอากระดูกมาแขวนคอ’ หรือเหมือน ‘ตีงูให้กากิน’ เณรแก้วควรล้มเลิกความคิดเรื่องนี้เสีย เนื้อมิได้กินมั่งหนังมิได้ปู กระดูกจะแขวนคออยู่เหมือนตัวข้า เจ้าได้พิมก็จะยิ้มอยู่อัตรา ต้องถูกด่าก็จะอายแต่สายทอง เหมือนตีงูมิได้สู่กันแกงกิน กาเหยี่ยวเฉี่ยวบินไปคล่องคล่อง แต่นี้ไปพ่ออย่าได้คะนึงปอง มิใช่ของควรประคิ่นของกินตาย ฯ (หน้า ๖๕) เณรแก้วยังไม่ยอมถอย ตัดพ้อว่าตนรักนางสายทอง นางสายทองจะมาทอดทิ้งเสีย กลางคันได้อย่างไร เด็ดปลียังเหลือใย ตนบากหน้ามาขอพึ่งเช่นนี้นางสายทองจะไม่มีเยื่อใยเจียวหรือ หากได้นางพิมแล้ว จะไม่ละเลยทอดทิ้งเหมือนอย่างหว่านข้าวลงในดิน แม้จะแห้งแล้งอย่างไรก็คงมี งอกออกมาบ้างหรือหากไม่ได้กิน ก็เป็นทานแก่นกกา ใช่ว่าจะสูญไปเสียหมด ดังนั้นเมื่อมาอยู่ร่วมบ้าน เดียวกัน ถึงอย่างไรก็ต้องได้ตอบแทนพระคุณ ได้แบ่งปันกันเช่นที่ให้แก่นางพิม จากนั้นเณรแก้วก็รุก ต่อไปอีกว่าจะตอบแทนนางสายทองเป็นเงินหนึ่งชั่ง หากช่วยเป็นสื่อรักกับนางพิมจนสำเร็จ เณรแก้ว จะรอฟังข่าวคืบหน้าเวลาบิณฑบาต นางสายทองถามย้ำให้แน่ใจอีกว่าเณรแก้วรักจริงหรือแกล้งรัก เรื่องสินบนพูดจริงหรือไม่ เกรงว่าพอได้สมใจก็จะลืมสินบน หากเณรแก้วจริงจังให้รักษาคำพูดไว้ พรุ่งนี้มาฟังคำตอบ เณรแก้วได้ ฟังจึงกลับวัดด้วยความสบายใจ ส่วนนางสายทองพาบ่าวไพร่กลับบ้าน พอตกค่ำ ท้องฟ้าสว่างกระจ่างใสด้วยพระจันทร์ทรงกลด นางสายทองชวนนางพิมให้ ออกมาชมจันทร์ พร้อมทั้งแสดงวาทะโน้มน้าวใจนางพิมว่าน่าสงสารกระต่ายที่ถูกขังอยู่ในดวงจันทร์ เป็นหลายร้อยปี เราสองพี่น้องก็เหมือนกระต่ายบนดวงจันทร์ที่ไร้คู่อยู่สูงบนท้องฟ้า มีกระต่ายป่าคอย
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕๓ ชะเง้อหาอยู่แต่เอื้อมไม่ถึง นางสายทองชี้แจงให้ฟังว่าได้เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูจนนางพิมเติบโตเป็นสาว เพราะเป็นทั้งญาติเป็นทั้งข้ารับใช้ ความที่รักนางพิมจึงคอยดูแลไม่เที่ยวเตร่หนีหาย นางสายทองจึงไม่ มีโอกาสออกเรือนซึ่งนับว่าเสียชาติเกิด อนิจจาเกิดมาเสียทั้งชาติ เป็นอันขาดแล้วไม่รู้ว่าลูกผัว ดังแหวนทองผ่องศรีไม่มีมัว จนแต่หัวพลอยประดับประดาดี (หน้า 66) ยิ่งนางศรีประจันชราลงทุกวันเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง นางสายทองยิ่งกังวลใจว่าหากสิ้นบุญ นางศรีประจันแล้ว ชายหนุ่มทั้งหลายจะกลุ้มรุมกันดูถูกนางพิมเพราะไม่มีพ่อแม่คุ้มหัว นางสายทองจึง บอกให้นางพิมคิดให้ดี ถ้ามีคู่ครองเสียแต่ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะได้สืบชาติตระกูลฐานะของพ่อแม่ เป็นเกียรติสืบไป นางพิมฟังแล้วยังไม่คล้อยตาม โต้แย้งว่าธรรมดาเกิดมาเป็นผู้หญิงต้องมีคู่ครองอยู่แล้ว เพราะพ่อแม่เลี้ยงดูมา ย่อมจะปลูกฝังให้เป็นฝั่งเป็นฝาให้สมหน้าตาฐานะของพ่อแม่ ฉะนั้นจะรีบร้อน ไปทำไม เกิดมีเรื่องมีราว จะทำให้พ่อแม่อับอายขายหน้า หากแม่สิ้นบุญไปก่อนโดยยังไม่ได้แต่งงาน ก็แล้วแต่วาสนา แต่จะให้รีบร้อนมีคู่ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ เพราะใช่ว่านางพิมรูปชั่ว ขี้ริ้วขี้เหร่ ไร้ผู้ชาย หมายปอง ยิ่งรูปสวยรวยทรัพย์ยิ่งมีคนรุมล้อม ฉะนั้น ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ดีกว่า เรื่องอะไรจะ ‘ชิงสุกเสียก่อนห่าม’ จากนั้นนางพิมก็บอกว่าเป็นผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ห้ามนางสายทอง พูดกวนใจให้รีบร้อนมีคู่ครองอีก ฟังนางพิมตัดบทเช่นนี้แล้ว นางสายทองรีบพูดกลบเกลื่อนเอาใจแล้วชวนเข้านอน พัดวี ให้แล้วเห่กล่อมเป็นเรื่องราวของกุมารน้อยต่างเมืองที่อกหักเพราะไม่สมหวังในความรักจึงบวชทรมาน ตัวเอง วันหนึ่งมาบิณฑบาตพบสีกากลับไปแล้วก็ทุกข์ใจอาลัยรักอยู่ทุกวันทุกคืน พอพ้นเพล เณรน้อย จึงมาคอยอยู่ที่หน้าท่า แต่ไม่พบใครที่จะสนทนาด้วย ได้แต่เวียนไปเวียนมาจนซูบผอมด้วยตรอมใจ กล่อมจบเพลงแล้ว นางสายทองก็นอนกอดนางพิมไว้ นางพิมต่อว่าต่อขานว่าเอาเรื่องเณรมากล่อมให้ฟังทำไม จับได้แล้วว่าเห็นจะเพราะคุย กันตอนใส่บาตร แล้วนัดหมายให้มาพบกันตอนอาบน้ำกระมัง นางพิมอารมณ์เสียไล่นางสายทอง ออกจากมุ้ง บอกว่าเดี๋ยวนางสายทองฝันเลอะเทอะ แล้วละเมอกอดให้ตกใจ นางสายทองจึงถือโอกาสเล่าเรื่องราวของเณรแก้วให้ฟังว่า เณรแก้วมาพบและฝาก นางสายทองให้บอกนางพิมว่า ทำไมนางพิมไม่ยอมทักทายสักคำ ทั้ง ๆ ที่เป็นเพื่อนเล่นมาด้วยกัน ตั้งแต่เด็ก คงจะเห็นว่าเณรแก้วยากจนไร้ทรัพย์และทั้งที่กาญจนบุรีมีวัดอยู่มากม าย แต่เณรแก้วสู้ อุตส่าห์มาถึงสุพรรณบุรีเพราะรักนางพิม จึงน้อยใจที่ได้เทศน์ให้นางพิมฟังแล้ว นางไม่ทักทายปราศรัยด้วยเลย อีกอย่าง แม่ศรีประจันก็ชอบพอกับแม่ทองประศรีต่างคุ้นเคยกันอย่างดี รู้เช่นเห็นชาติกันว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว หากนางพิมยังปรานีก็อยากพบหน้าพูดคุยด้วยสักหน เมื่อวันเทศน์เกิดนิมิตฝันว่าได้เหาะไปบนท้องฟ้า เด็ดดวงดาวมาชื่นชม จึงตั้งใจจะดั้นด้นมาบิณฑบาตถึงที่บ้าน เพราะอยากรู้ว่าเป็นฝันร้ายหรือฝันดี นางสายทองบอกว่าพยายามห้ามปรามแล้วแต่ไม่สำเร็จ พิเคราะห์ดูอีกที เห็นว่าเณรแก้วคงไม่ได้พูดจา หลอกเล่น อีกอย่างในวันเทศน์ นางพิมก็เกิดนิมิตฝันเหมือนกัน คงจะเป็นเนื้อคู่กันแน่นอน
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕๔ นางพิมซึ่งนับแต่สบตากับเณรแก้วก็เหมือนมีเหล็กเพชรปักตรึงในใจอย่างมั่นคง หัวจิตหัวใจเต็มไปด้วยความรักความคิดถึงที่มีต่อเณรแก้ว เมื่อได้ยินนางสายทองพูดเช่นนั้นก็ชอบใจ แต่ด้วยมารยาหญิงจึงทำกิริยาปั้นปึ่งเก็บงำความรู้สึกของตนเอาไว้ แกล้งว่ากล่าวนางสายทองว่ามี อะไรกับเณรแก้วแล้วกระมัง จึงสมคบกันทำตนเป็นแม่สื่อชักนำเธอให้เณรแก้วอีกคนรึ ใช่ว่าผู้ชาย เหลือเพียงคนเดียวเสียเมื่อไร จึงต้องรักผู้ชายคนเดียวกับพี่สาวให้คนเขาเย้ยหยันทั้งสุพรรณบุรี นางสายทองได้ฟังนางพิมพูดจาทิ่มตำเอาอย่างนั้นก็เสียใจมาก รีบออกตัวว่าตนเป็นแค่ ทาส ไม่อาจทำตัวเท่าเทียมเจ้านาย เณรแก้วเองคงไม่ปรารถนาจะยุ่งกับคนชั้นบ่าว เหมือนเอา ‘พิมเสนมาแลกกับเกลือ’ นางสายทองเปรียบเหมือนแหวนตะกั่ว ไม่คู่ควรที่จะรองรับเพชรน้ำงาม การที่นางเข้ามาวุ่นวายในเรื่องนี้ เพราะเห็นนางพิมทุกข์ใจ เวทนาอยากช่วยน้องให้มีสุข นางพิมเคย ฝันว่านางสายทองเด็ดบัวทองถวายให้ ดังนั้นหากนางสายทองไม่ช่วยเป็นธุระให้หรือนำความไปบอก นางศรีประจัน นางพิมเองจะต้องกินน้ำตาต่างข้าว นางพิมประชดอีกว่านางสายทองรับสินบนเณรแก้วมากี่ชั่งจึงมาพูดขู่เอาเช่นนี้ แน่ใจหรือ ว่าเณรแก้วสาบานว่าจะไม่ทอดทิ้งนางพิม นี่ไปเออออรับปากเขามาพูดจา ต่อไปเบื้องหน้าหากเณร แก้วทอดทิ้ง นางพิมจะทำอะไรนางสายทองได้ ดังนั้นหากเณรแก้วรักจริง ให้แต่งขันหมากมาสู่ขอตาม ประเพณีจะดีกว่ามาลักลอบเป็นชู้เช่นนี้เป็นการประมาท หากเพลี่ยงพล้ำไปจะเสียทั้งตัวเจ็บทั้งใจ นางสายทองปลอบโยนนางพิมว่าไม่ต้องกลัว นางสายทองรักนางพิมสุดใจ ถ้าเณรแก้ว เป็นคนไม่ดี จะชักพามาให้น้องเสียตัวมัวหมองทำไม นี่เป็นเพราะเห็นว่าเหมาะสมกันทั้งศักดิ์ตระกูล ทั้งฐานะ และรูปร่างหน้าตางดงามสมกัน หากนำขึ้นตาชั่งก็มีน้ำหนักเสมอกันทุกอย่าง นับว่าเป็นเนื้อคู่ กันอย่างแท้จริง นางพิมจะต้องมีความสุขเป็นที่สุด นางสายทองจะขอพึ่งใบบุญเป็นข้ารับใช้ตลอดไป หากวันข้างหน้าเณรแก้วไม่รักษาสัจจะ นางพิมไม่ต้องมาเรียกนางสายทองเป็นพี่อีกต่อไป ให้ส่งลงไป เป็นคนครัว ให้ตักน้ำตำข้าวทุกเช้าเย็น ให้ทำงานหนักไม่มีวันได้เงยหัวหรือเฆี่ยนตีให้แตกยับไปทั้งตัวก็ ได้ว่าแล้วนางสายทองก็นัดแนะว่าพรุ่งนี้เณรแก้วมาบิณฑบาต ให้นางพิมลงไปใส่บาตรด้วย นางสายทองจะนัดแนะให้เณรแก้วไปพบนางพิมที่ไร่ฝ้ายจะได้พูดจากันให้ชัดเจน นางพิมเออออตาม คำของนางสายทอง จากนั้นนางสายทองก็ชวนให้นางพิมเข้านอน พอฟ้าสางสว่างทั่วกัน นกร้องเซ็งแซ่ ลมพัดอ่อน ๆ เย็นสบาย หอมกลิ่นดอกไม้อบอวล เณรแก้วลืมตาตื่นก็คิดถึงนางพิม พอล้างหน้าห่มจีวรเสร็จอุ้มบาตรตรงไปบ้านนางพิม ฝ่ายนางพิมและนางสายทองจัดของใส่บาตรอยู่บนเรือน มีข้าวปลาอาหาร บุหรี่หมากพลู ครบครัน พอเปิดหน้าต่างเห็นเณรแก้ว รีบประคองขันข้าวเดินแอบหลังนางสายทองลงไป เวลา ใส่บาตร นางพิมเขินอายไม่กล้ามองหน้าเณรแก้ว ใส่ของทุกอย่างปนกันลงไปในบาตรหมด แล้วรีบขึ้น เรือนไปแอบนั่งใจสั่นด้วยความสะทกสะเทิ้น นางสายทองเหลียวดูเห็นไม่มีใครแถวนั้น รีบกระซิบ นัดแนะให้เณรแก้วไปพบนางพิมที่ไร่ฝ้ายตอนบ่าย พร้อมกับทวงเงินที่สัญญากันไว้ เณรแก้วยืนยันว่าหากสำเร็จจะตอบแทนนางสายทองแน่นอน ไม่ให้ไปตะโกนทวงที่กุฏิ ให้อายคนหรอก จากนั้นยืนยันว่าจะไปพบนางพิมที่ไร่ฝ้ายตอนบ่าย หลังจากนางพิมและนางสายทองกินข้าวเช้าเสร็จ บอกกับนางศรีประจันว่าจะออกไป เก็บฝ้ายในไร่ เพราะฝักแก่ฝ้ายแตกกระจายแล้ว นางพิมจะไปคุมงานเอง ไม่อยากไว้ใจบ่าวไพร่ กลัวมันลักไปจำหน่ายจ่ายแจกเหมือนที่ทำกันเป็นประจำ จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็ว่าขานกันไม่ถนัดปาก
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕๕ นางศรีประจันได้ฟังนางพิมว่า รีบไล่ให้นางพิมไปควบคุมการเก็บฝ้ายกำชับว่าถ้าเห็นใคร ลักขโมยฝ้ายให้ตีเสียด้วยตะบอง นางพิมและนางสายทองพาบ่าวไพร่แบกกระบุงตะกร้าเข้าไปไร่ฝ้าย พอถึงก็นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่สั่งข้าทาสให้กระจายกันไปเก็บฝ้าย พอบ่ายสี่โมงให้กลับมา เพลานั้น เณรแก้วถือห่อผ้าหลบท่านเจ้าอาวาส ลัดเลาะเข้าในวิหารแล้วนิมนต์ชีต้น สึกให้ กลับมาจึงจะบวชใหม่ เมื่อสึกแล้วผลัดผ้าแต่งตัวแบบคฤหัสถ์ แล้วรีบเดินตัดตรงเข้าไร่ฝ้าย เห็น นางสายทองก็ร้องเรียกนางสายทองบอกให้หลบไปอยู่แถวต้นกระทุ่ม จะไปตามนางพิมมาพูดคุยด้วย พลายแก้วชุ่มตัวอยู่คอยมองนางพิม เมื่อเห็นนางนั่งร้อยดอกไม้อยู่ก็ออกมานั่งใกล้ พูดจา แสดงความรักต่อนาง นางพิมได้ฟัง ตกประหม่าอกสั่นขวยเขินเพราะไม่เคยพูดจากัน ได้แต่กระถดถอย หนีไปนั่งห่างๆ ไม่พูดไม่จา ได้แต่ชม้อยชำเลืองดูด้วยหางตา พลายแก้วได้โอกาสเท้าความหลังว่า เมื่อ ครั้งเป็นเพื่อนเล่นยามเด็ก เคยเล่นเป็นผัวเป็นเมียกันกับขุนช้างด้วยอีกคน พลายแก้วชวนคุยปลอบใจ นางไม่ให้ประหม่า บอกแต่ว่าจะขอคุยด้วยเพียงสองสามคำ นางพิมฟังแล้วค่อยหายตื่นเต้น ตอบกลับไปว่าเมื่อวันเทศน์ก็สังเกตว่าเคยรู้จัก แต่จะ ทักทายก็อายว่าเป็นผู้หญิง กลัวคนจะเก็บไปนินทา ใช่ว่าจะรังเกียจชิงชัง นางพิมถามต่อว่าเหตุใด จึงสึก เล่าเรียนวิชาจบแล้วจะกลับบ้านหรืออย่างไร หรือถ้าผูกใจรักใคร่กับนางสายทองก็ให้พลายแก้ว ไปหาที่ต้นมะต้องต้นใหญ่ พลายแก้วตอบว่าสู้อุตส่าห์หลบหนีพระอาจารย์เพราะจะมาพบนางพิมเมื่อกลับไปวัด ถึงจะโดน ทำโทษก็ไม่กลัว จากนั้นพลายแก้วเล่าความให้ฟังอีกว่าคงเป็นบุญกุศลแต่ปางบรรพ์ ทำให้ พลายแก้วคำนึงหานางพิม จนอยู่กับมารดาไม่ได้ ขอออกบวช แล้วท่องเที่ยวศึกษามาจนถึงสุพรรณบุรี พอพบนางพิมนางกลับไม่ทักทาย ต้องทนทุกข์ใจแสนสาหัส พอดีพบนางสายทอง จึงสบโอกาส สั่งความถึงนางพิม ที่นัดหมายมาพบกันในวันนี้ก็ต้องการบอกรักและขอครองคู่กับนางพิมด้วยใจมั่นคง ขอให้นางพิมเชื่อมั่นว่ารักจริง ไม่มีวันจืดจาง นางพิมทำเป็นต่อว่า ว่าเป็นเพื่อนกันทำไมพูดจาไม่เกรงใจกัน เป็นเพื่อนแล้วจะมา เป็นคู่รักได้อย่างไร นางพิมลุกขึ้นลาบอกว่า เดี๋ยวบ่าวไพร่กลับมาเห็นเข้า พลายแก้วรีบปลอบโยน ขอให้นางอยู่ก่อน พูดย้ำว่าไม่ได้หลอกลวง ตอนนี้ตนมีปัญหาความรัก ทำให้หนักใจราวกับอกถูกทับ ด้วยเขาหลวงบนบานศาลกล่าวขอให้เทวดาอารักษ์มาช่วย ท่านก็ไม่ยอมช่วย คงจะต้องตาย เพราะความรักเป็นแน่แท้ เห็นแต่นางพิมคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยบรรเทาทุกข์ลงได้นางพิมตัดพ้อว่า พลายแก้วพูดจาไพเราะปากหวานเหลือเกิน ถ้าไม่รู้เห็นจะเชื่อด้วยหลงลมปาก นางถามย้ำว่าที่พูดมานี้ เป็นสัตย์จริงหรือว่าคิดไตร่ตรองมาแล้วว่าจะพูดอย่างไร เพราะผู้ชายยามแรกรักก็รู้ลำบากทุกอย่างให้ ได้นางมา แม้ชีวิตก็ไม่อาลัย แต่มนุษย์มักจะโลภมากได้อย่างหนึ่ง ก็แสวงหาอย่างอื่นเรื่อยไป เหมือนของกินสิ้นไปทุกเวลา ต้องหาเปรี้ยวหาเกลือมาเจือจาน ต้มแกงแต่งเจียวทั้งปิ้งจี่ เซ้าซี้สารพันที่มันหวาน เลือกดิบเลือกสุกทุกประการ ถ้าซ้ำสิ่งใดนานก็เบื่อไป (หน้า 79) จากนั้น นางพิมยังเปรียบเทียบความรักความใคร่กับผ้านุ่งห่มให้พลายแก้วฟังอย่าง คมคายอีกว่า เวลารักกันใหม่ๆ ก็มุ่งมอบชีวิตให้กันเหมือนมีผ้านุ่งผ้าห่มผืนใหม่ก็หวงแหนทะนุถนอม แม้ยามขัดสนก็นุ่งซ้ำซากอยู่ผืนเดียว แต่พอได้ผ้าผืนใหม่มารวมเป็นสองผืน ผืนที่เก่ากว่าก็ต้อง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕๖ ซ่อมแซมปะชุน ลงต้องเย็บชุนก็ไม่ใช้นุ่งห่มไว้อวดคนแล้ว เอาไปใช้เป็นผ้าอาบน้ำ ถึงตอนนั้นก็ใช้งาน อย่างไม่ทะนุถนอม ใช้เช็ดถูซักฟาดจนขาดวิ่นจนไม่อาจเป็นผ้าเนื้อดีได้ดังเดิม ประเวณีเป็นที่กำเริบใจ แต่ใหม่ใหม่มุ่งมอบชีวิตกัน อุปมาเหมือนผ้าที่นุ่งห่ม ซื้อใหม่ก็นิยมว่าเฉิดฉัน ยามขัดสนจนมาสารพัน ผืนนั้นนุ่งซ้ำประจำกาย ครั้นได้อื่นผืนใหม่เข้ามาผลัด ก็เหยาะหยัดชัดกรุยทำฉุยฉาย เป็นสองผืนชื่นจิตคิดสบาย นุ่งห่มกรุยกรายทุกเวลา ก็เหมือนกันกับหมายไม่วายรัก ที่เก่าก่อนแล้วชักประเชิญหน้า ลงประเชิญแล้วก็เมินทุกเวลา ลงเป็นผ้าชุบอาบไม่เอื้อเฟื้อ แต่ชักชักฟาดฟาดจนขาดวิ่น จนเป็นชิ้นเช็ดใช้ไม่หลอเหลือ ถึงจะเย็บตะเข็บขาดไม่พาดเจือ ให้เป็นเนื้อเดิมได้ดังก่อนมา เหมือนหญิงชายว่าจะตายด้วยกันได้ จะเห็นใจฤๅไม่จางไปข้างหน้า ลิ้นกับฟันอยู่ด้วยกันเป็นอัตรา ลางเวลาก็กระทบกระทั่งกัน (หน้า 80) เมื่อตัดพ้อต่อว่าแล้ว นางพิมบอกกับพลายแก้วว่าตนมีใจให้พลายแก้วขอให้พลายแก้ว จัดการสู่ขอกับแม่ให้ถูกต้อง นางจะยินยอมพร้อมใจ เพราะหากแม่ยกนางให้เป็นคู่ครองของชายอื่นที่ นางไม่รัก นางจะไม่ยินยอมเด็ดขาด จะเอาตัวไปฆ่าฟันก็ไม่ว่า ดังนั้น ถ้านางศรีประจันยกให้พลายแก้ว นางพิมจะดีใจอย่างยิ่ง แต่การลักลอบเป็นชู้แบบนี้จะเป็นที่ติฉินนินทา นางพิมยังบอกพลายแก้วอีกว่า สะดวกวันไหนให้ไปสู่ขอเถิด วันนี้จวนค่ำมืดแล้ว บ่าวไพร่กลับจากเก็บฝ้ายมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่อง พูดจาอื้อฉาวให้อับอายเสียเปล่า ๆ พลายแก้วยังเว้าวอนต่อไปอีกว่า ถ้าไปสู่ขอแล้วแม่ไม่ให้จะต้องพลัดพรากจากนางไป นับวันนางพิมก็จะลืม ถึงจะพบกันทีหลัง นางพิมคงจะไม่มีเยื่อใยเหมือนแต่ก่อน ดังนั้น ถ้าปลงใจว่ารัก พลายแก้วก็ขอให้มั่นคง เพราะพลายแก้วจะฝากหัวใจไว้กับนางเพียงผู้เดียว ที่นางพิมเปรียบเทียบว่า มนุษย์มีความโลภ แสวงหาของกินรสแปลก ๆ ไม่รู้เบื่อ แต่อย่างไรก็ต้องมีข้าวเป็นหลัก ส่วนที่เปรียบ ความรักกับผ้าเก่านั้น หากเป็นผ้ายกทอง ราคาแพงหายาก ถึงเก่าก็ต้องเอาใส่หีบไม้หอมถนอมไว้ อย่างดี เวลามีงานใหญ่สมเกียรติจึงจะหยิบออกมานุ่งห่ม ส่วนผ้าผืนอื่นที่ได้มาใหม่ เอาไว้ใส่นุ่งลากถู อย่างไรก็ได้ ว่าแล้วพลายแก้วทำจูบผ้าสไบ แล้วเอ่ยขอชมดูสักนิด นางพิมรีบปัดชายสไบ ทำเสียงดุว่าพลายแก้วลวนลามให้ได้อายอย่างนี้แปลว่าไม่ได้รัก จริงหวังแต่งงาน แล้วเตือนว่าอย่าใจเร็วด่วนใจ จะเหมือนรับประทานข้าวดิบยังแข็งกรุบอยู่ไม่อร่อย จากนั้นขู่ว่า ถ้าขืนขัดใจอีกไม่ต้องมีไมตรีต่อกัน พลายแก้วเห็นนางพิมทำเสียงขู่ก็ปลอบโยน แต่ฉวยชายสไบจนเลื่อนหลุด แล้วอุ้มนาง ขึ้นบนตัก กอดรัดเล้าโลมนางพิมอยู่ไม่วางมือ นางพิมจึงใช้ไม้อ่อน พูดจาเว้าวอนให้พลายแก้วอดใจ ไม่รุกเร้าจนเลยเถิด อนิจจาว่าแล้วหาฟังไม่ จะฆ่าพิมเสียที่ไร่นี่แล้วฤๅ รักน้องกลางหนให้คนลือ อย่างนี้น้องไม่ถือว่ารักน้อง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕๗ โดยชั่วถึงตัวมิได้แต่ง ก็จัดแจงน้องนี้มีหอห้อง พอควรการแล้วฉันจะปรองดอง มิให้ข้องขัดเคืองกระเดื่องใจ ตัวน้องมิใช่ของอันเคยขาย จะเรียงรายกลางหนหาควรไม่ พิเคราะห์ให้เหมาะก่อนเป็นไร กลับไปเถิดพ่อแก้วผู้แววตา อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา นางก้มอยู่กับตักซบพักตรา เฝ้าวอนว่าไหว้พลางพ่อวางพิม ฯ (หน้า 82-83) พลายแก้วได้ฟังน้ำคำของนางพิมและเห็นน้ำตาของนางก็ใจอ่อนยอมปล่อยตัว โดยบอก ว่าจะหอบความรักจากนางไปอย่างทรมาน แต่จะไปหานางพิมที่บ้านในตอนค่ำ นัดแนะแล้วพลายแก้ว ก็ยังกอดจูบลูบไล้นางพิมไปทั่วทั้งตัว พอดีได้เวลา พวกข้าไทที่ไปเก็บฝ้ายพากันเดินกลับมาส่งเสียงร้องเพลงเจื้อยแจ้ว นางสายทองซึ่งคอยดูต้นทาง ร้องเอะอะให้สัญญาณนางพิม นางพิมจึงไหว้ขอให้พลายแก้วไปเสียก่อน จะมีคนเห็น เมื่อพลายแก้วหลบไปแล้ว นางพิมเดินออกมาสมทบกับนางสายทองและบ่าวไพร่ แล้วพา กันเดินกลับบ้าน พอตกค่ำ นางสายทองชวนนางพิมเข้าห้องนอน แล้วกระซิบสัพยอกนางพิมให้เล่า ความที่เกิดขึ้นที่ไร่ฝ้าย นางพิมเล่าให้ฟังว่าถูกพลายแก้วลวนลามแค้นใจนักอยากเอามีดแทงตัวตาย แต่คิดเสียดายว่านางสายทองเลี้ยงดูมา พลายแก้วยังสั่งความอีกว่าจะมาหาคืนนี้ จึงปิดประตูหน้าต่าง ขัดลิ่มให้แน่นหนา หากมาจะเอามีดแทงเสียให้ตาย ว่าแล้วก็ไล่นางสายทองออกจากห้องนอน นางสายทองรู้ที่ท่ามารยาของนางพิม ปลอบโยนว่าเป็นธรรมดาที่พลายแก้วกำลังหนุ่มแน่น มีความรัก ล้นอกก็แสดงออกอย่างไม่อายฟ้าอายดิน ขอให้นางพิมอย่าคิดว่าเป็นเรื่องหยาบช้า เพราะพลายแก้ว สัญญาว่าจะแต่งงานด้วย พลายแก้วเป็นชายบริสุทธิ์ นางพิมเป็นสาวพรหมจรรย์ถูกเนื้อต้องตัวกันแล้ว เป็นมลทินติดตัวก็ไม่ควรตัดรอน เพราะหากไปมีคู่ใหม่ เมื่อพบคู่รักเก่าแล้วจะทำหน้าอย่างไร แล้ว นางสายทองก็ปลอบนางพิมให้นอนให้สบาย พลายแก้วไม่กล้ามาดอก พูดจบ นางสายทองก็กลับไป นอนที่ห้องของตัว เมื่อนางสายทองไปแล้ว นางพิมเปลี่ยนท่าทีจากโกรธเกรี้ยว เป็นคร่ำครวญว่าเหตุใด พลายแก้วไม่มาหาตามที่สัญญาเอาไว้ฝ่ายพลายแก้วคอยดูฤกษ์ผานาที ได้เวลาสองยาม พระจันทร์ ลอยเด่น ท้องฟ้ากระจ่าง ดวงดาวเป็นประกาย ดูหลาวเหล็ก ผีหลวงและสูรย์จันทร์เห็นพร้อมดี ทุกประการแล้ว ออกจากวัดตรงไปบ้านนางพิม พอไปถึง เสกข้าวสารสะกดให้คนในบ้านหลับสนิทและ สะเดาะกลอนประตูให้เปิด กลิ้งครกมาต่อขาปีนขึ้นเรือนได้อย่างเงียบกริบไร้สรรพเสียง พลายแก้ว ตรงเข้าห้องนอน นางพิมซึ่งตามไฟไว้สว่าง มองเห็นเชี่ยนหมาก ขัน พาน เครื่องแป้ง คันฉ่อง เครื่องทอง เครื่องนาก มากมาย จัดไว้เป็นระเบียบงดงาม ถัดเข้าไปมีม่านกั้น ปักด้วยไหมและทองถม ด้วยฝีมือของนางพิมอย่างงดงาม เป็นเรื่องราวในวรรณคดีเรื่องศิลป์สุริยา ตอนพระศิลป์พลัดจาก นางรัตนาตอนข้ามแม่น้ำใหญ่ นางรัตนาอุ้มพระโอรสท่องเที่ยวไปในป่าจนมาขออาศัยอยู่ที่อาศรม พระฤษีตอนพระฤษีชุบสิงหราให้เป็นคน ตอนพี่น้องสองกุมารลาพระฤษีไปตามหาพ่อ พักอาศัย บ้านตายาย และตอนพระศิลป์สุริยาตามหานางรัตนา ดังกวีพรรณนาไว้
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕๘ น่ารักปักไหมเอาทองถม สวยสมฝีมือพิมงามกระจ่าง เป็นเรื่องศิลป์สุริยาเมื่อพานาง ข้ามแนวน้ำกว้างก็พลัดกัน รัตนานางอุ้มสิงหรัด ท่องเที่ยวแถวพนัสพนาสัณฑ์ ถึงศาลาดาบสทศธรรม์ อภิวันท์วอนว่าพระอาจารย์ อาศัยแล้วให้ชุบสิงหรา อำลาลุล่วงจากสถาน กับพี่น้องสองราชกุมาร มาอยู่บ้านตายายค่อยคลายใจ ปักพระศิลป์เธอเที่ยวแสวงหา จะพบนางรัตนาก็หาไม่ จนพลบค่ำย่ำแสงอโณทัย อาศัยสวนเจ้าท้าวกุตา (หน้า ๘๗) พลายแก้วรูดม่านเข้าไปในห้องชั้นใน เห็นนางพิมนอนอยู่ในมุ้ง เปิดมุ้งเห็นนางหลับสนิท ก็ได้แต่ชื่นชมความงามของนางที่เห็นใกล้ชิดกระจ่างตา จากนั้นพลายแก้วแก้มนตร์สะกดปลุกให้ นางตื่น เมื่อนางพิมตื่นเห็นหน้าพลายแก้วก็ต่อว่าด้วยมารยาหญิงว่า พลายแก้วลวนลามตั้งแต่อยู่ที่ไร่ ยังไม่สาแกใจ ตามมาข่มเหงถึงบนเรือน จนเนื้อตัวเป็นริ้วรอยไปทุกแห่ง พลายแก้วเข้ามากอดปลอบ ประโลมให้หายโกรธเคือง พี่ผิดพี่ก็มาลุแก่โทษ จงคลายโกรธแม่อย่าถือว่าหยาบหยาม พี่ชมโฉมโลมลูบด้วยใจงาม ทรามสวาทดิ้นไปไม่ไยดี รอยเล็บแม่จึงเจ็บด้วยจับต้อง ติดข้องเพราะเจ้าปัดสลัดพี่ ค้อนควักผลักพลิกแล้วหยิกตี ถ้อยทีถูกข่วนแต่ล้วนเล็บ ติดตามมาด้วยความพี่รักน้อง กลัวจะหมองต้องเนื้อเจ้าจะเจ็บ ไหนผืนผ้ามาพี่จะชุนเย็บ ที่ตะเข็บขาดไปจะให้ดี ขอพี่ดูชูมือมาสักหน่อย เจ็บน้อยฤๅมากกว่าแขนพี่ จับจูบลูบแผลที่ไหนมี เย้ายีหยอกยั่วให้ยวนใจ ฯ (หน้า ๘๘) จากนั้นพลายแก้วก็ออดอ้อนเล้าโลมจนได้นางพิมเป็นภรรยา หนุ่มสาวทั้งสองต่างพึงใจ ในเสน่หาซึ่งกันและกัน เฝ้าพูดจาด้วยคำหวานและแสดงความรักต่อกันจนกระทั่งรุ่งสาง พลายแก้ว จำต้องกลับไปวัด ก่อนที่คนในบ้านจะตื่น หนุ่มสาวทั้งสองจึงเอาแต่เฝ้าเวียนกอดจูบร่ำลากันหลายพัก หลายครากว่าจะตัดใจจากกันด้วยความอาลัยแทบหัวใจจะขาดรอนรอน หลังจากพลายแก้วสัญญาว่า จะมาหานางพิมทุกคืน
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๕๙ เอกสารอ้างอิง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖๐ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มาตรฐานและตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ม.3/๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง ม.3/๒ ระบุความแตกต่างของคำที่มีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ม.3/9 ตีความและประเมินคุณค่าและแนวคิดที่ได้จากการเขียนอย่างหลากหลาย เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหา ในชีวิต มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.3/๒ วิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจากวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน ม.3/๓ สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง สาระการเรียนรู้ 1. ตำนานเสภา 2. ตำนานขุนช้างขุนแผน 3. ประวัติผู้แต่ง 4. สาแหรกของตัวละคร 5. บทร้อยกรอง 6. บทถอดความร้อยกรอง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖๑ เนื้อหาสาระวรรณคดีท้องถิ่น จังหวัดสุพรรณบุรี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖๒ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มาตรฐานและตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ม.3/๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง ม.3/๒ ระบุความแตกต่างของคำที่มีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ม.3/9 ตีความและประเมินคุณค่าและแนวคิดที่ได้จากการเขียนอย่างหลากหลาย เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหา ในชีวิต มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.3/๒ วิเคราะห์วิถีไทยและคุณค่าจากวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน ม.3/๓ สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง สาระการเรียนรู้ 1. ตำนานเสภา 2. ตำนานขุนช้างขุนแผน 3. ประวัติผู้แต่ง 4. สาแหรกของตัวละคร 5. บทร้อยกรอง 6. บทถอดความร้อยกรอง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖๓ ตำนานเสภา พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประเพณีการขับเสภามีแต่ครั้งกรุงเก่า แต่จะมีขึ้นเมื่อใด แลเหตุใดจึงเอาเรื่องขุนช้าง ขุนแผนมาแต่งเป็นกลอนขับเสภา ทั้ง ๒ ข้อนี้ยังไม่พบอธิบายปรากฏเป็นแน่ชัด แม้แต่คำที่เรียกว่า “เสภา” คำนี้ มูลศัพท์จะเป็นภาษาใด แลแปลว่ากะไร ก็ยังสืบไม่ได้ความ คำ “เสภา” นี้ นอกจากที่ เรียกการขับร้องเรื่องขุนช้างขุนแผนอย่างเราเข้าใจกัน มีที่ใช้อย่างอื่นแต่เป็นชื่อเพลงปี่พาทย์ เรียกว่า “เสภานอก” เพลงหนึ่ง “เสภาใน” เพลงหนึ่ง “เสภากลาง” เพลงหนึ่ง ชวนให้สันนิษฐานว่า “เสภา” จะเป็นชื่อลำนำที่เอามาใช้เป็นทำนองขับเรื่องขุนช้างขุนแผน แต่ผู้ชำนาญดนตรีกล่าวยืนยันว่า ลำนำที่ ขับเสภาไม่ได้ใกล้กับเพลงเสภาเลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอันยังแปลไม่ออก ว่าคำที่ว่า “เสภา” นี้จะแปล ความกะไร แต่มีเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหนังสือต่างๆ บ้าง ข้าพเจ้าเคยได้สดับคำผู้หลักผู้ใหญ่เล่ามา บ้าง สังเกตเห็นในกระบวนกลอนแลถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเสภาบ้าง ประกอบกับ ความสันนิษฐาน เห็นมีเค้าเงื่อนพอจะคาดคะเนตำนานของเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนได้อยู่ ข้าพเจ้าจะ ลองเก็บเนื้อความมาร้อยกรองแสดงโดยอัตโนมัติ ประกอบด้วยเหตุผลซึ่งจะชี้แจงไว้ให้ปรากฏแก่ท่าน ทั้งหลาย ถ้าว่าโดยประเพณีของการขับเสภา ถึงไม่ปรากฏเหตุเดิมแน่นอน ก็พอสันนิษฐานได้ว่า มูลเหตุคงเนื่องมาแต่เล่านิทานให้คนฟัง อันเป็นประเพณีมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ทีเดียว แม้ในคัมภีร์ สารัตถสมุจจัยซึ่งแต่งมากว่า ๗๐๐ ปี ยังกล่าวในตอนอธิบายเหตุแห่งมงคลสูตรว่า ในครั้ง พระพุทธกาลนั้น ตามเมืองในมัชฌิมประเทศ มักมีคนไปรับจ้างเล่านิทานให้ฟังกันในที่ชุมนุมชน เช่น ที่ศาลาพักคนเดินทาง เป็นต้น เกิดแต่คนทั้งหลายได้ฟังนิทาน จึงโจษเป็นปัญหากันขึ้นว่าอะไร เป็นมงคล เป็นปัญหาแพร่หลายไปจนถึงเทวดาไปทูลถามพระพุทธองค์ จึงได้ทรงแสดงมงคลสูตร ประเพณีการรับจ้างเล่านิทานให้คนฟังดังกล่าวมานี้ แม้ในสยามประเทศก็มีมาแต่โบราณ จนนับเป็น การมหรสพอย่างหนึ่ง ซึ่งมักมีในการงาน เช่นงานโกนจุก ในตอนค่ำเมื่อพระสวดมนต์แล้ว ก็หาคนไป เล่านิทานให้แขกฟัง เป็นประเพณีมาเก่าแก่ แลยังมีลงมาจนถึงในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ขับเสภาก็คือ เล่านิทานนั้นเอง และประเพณีมีเสภาก็มีในงานอย่างเดียวกับที่เล่านิทานนั้น จึงเห็นว่าเนื่องมาจาก เล่านิทาน ขับเสภาผิดกับเล่านิทานแต่เอานิทานมาผูกเป็นกลอน สำเนียงที่เล่าใช้ขับเป็นลำนำ และ ขับกันเฉพาะเรื่องขุนช้างขุนแผนเรื่องเดียว เสภาผิดกับเล่านิทานที่เป็นสามัญอยู่แต่เท่านี้ ถ้าจะลอง สันนิษฐานว่า เหตุใดจึงมีคนคิดขับเสภาขึ้นแทนเล่านิทาน ก็ดูเหมือนพอจะเห็นเหตุได้ คือเพราะ เล่านิทานฟังกันมานานๆ เข้าออกจะจืด จึงมีคนคิดจะเล่าให้แปลก โดยกระบวนแต่งเป็นบทกลอนว่า ให้คล้องกัน ให้น่าฟังกว่าที่เล่านิทานอย่างสามัญประการหนึ่ง เมื่อเป็นบทกลอนจึงว่าเป็นทำนองลำนำ ตามวิสัยการว่าบทกลอน ให้ไพเราะขึ้นกว่าเล่านิทานอีกประการหนึ่ง ข้อที่ขับแต่เรื่องขุนช้างขุนแผน เรื่องเดียวนั้น คงจะเป็นด้วยนิทานเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องที่ชอบกันแพร่หลายในครั้งกรุงเก่า ยิ่งกว่านิทานเรื่องอื่นๆ ด้วย เป็นเรื่องสนุกจับใจแลถือกันว่าเป็นเรื่องจริง จึงเกิดขับเสภาขึ้นด้วย ประการฉะนี้
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖๔ ตำนานขุนช้างขุนแผน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้มีเนื้อความปรากฎในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ว่าพระราชวงศ์ของพระเจ้าอู่ทองได้ครองราชสมบัติในกรุงศรีอยุธยาตามลำดับหลายพระองค์ จนถึง พระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าพระพันวษา ภาษาพม่าเรียกว่า พระเจ้าวาตะถ่อง แปลว่าสำลีพันหนึ่ง มีพระมเหสีทรงพระนามว่า สุริยวงศาเทวี มีพระราชโอรสองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระบรมกุมาร ต่อมา พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนะหุตล้านช้าง ปรารถาจะเป็นพันธมิตรกับกรุงศรีอยุธยา จึงส่งพระราชธิดา องค์หนึ่ง มีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา มาถวายพระพันวษา ระหว่างทางได้ถูกพระเจ้าโพธิสารราชกุมาร พระเจ้านครเชียงใหม่ ไม่ต้องการให้กรุงศรีสัตนาคนะหุต มาเป็นมิตรกับกรุงศรีอยุธยาจึงส่งกำลังเข้า แย่งชิงพระราชธิดาไปได้สมเด็จพระพันวษาทราบเรื่องก็ทรงพระพิโรธ สั่งให้ยกทัพไปตีนครเชียงใหม่ ในการนี้ จำต้องหาผู้ที่มีฝีมือในการรบไปทำการ พระหมื่นศรีมหาดเล็ก ได้กราบทูลให้ใช้ขุนแผน ซึ่งต้องโทษอยู่ในคุกให้เป็นแม่ทัพหน้ายกไปตีเมืองเชียงใหม่ ขุนแผนก็รับอาสาพร้อมกับถวายทัณฑ์บน ว่าถ้าทำการไม่สำเร็จก็จะขอถวายชีวิต พระพันวษาจึงตั้งให้ขุนแผนเป็นแม่ทัพ ถืออาญาสิทธิ์คุม กองทัพไทย ไปตีนครเชียงใหม่เมื่อกองทัพยกไปถึงเมืองพิจิตร ได้ไปขอดาบเวทวิเศษ (ดาบฟ้าฟื้น)กับ ม้าวิเศษ (ม้าสีหมอก) ที่ฝากเจ้าเมืองพิจิตรไว้คืนมาเพื่อนำไปใช้ในการศึกเมื่อกองทัพถึงเชียงใหม่ ฝ่ายเชียงใหม่ได้ทำการต่อสู้เป็นสามารถ แต่สู้ไม่ได้ขุนแผนเข้านครเชียงใหม่ได้ พระเจ้านครเชียงใหม่ หนีไป ขุนแผนจึงจับอัครสาธุเหวี มเหสีเจ้าเชียงใหม่กับพระราชธิดานามว่าเจ้าแว่นฟ้าทองพร้อมสนม น้อยใหญ่ของพระเจ้านครเชียงใหม่ไว้ และให้เชิญนางสร้อยทอง ราชธิดาพระเจ้าล้านช้าง พร้อมทั้ง มเหสีและราชธิดาพระเจ้านครเชียงใหม่ที่จับไว้ได้เลิกกองทัพกลับมาถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาได้โปรดเกล้าๆ ให้พระเจ้าเชียงใหม่กลับมาครองเมืองเชียงใหม่ตามเดิม เพื่อความสงบสุขของสมณชีพราหมณ์และราษฎรชาวเมืองเชียงใหม่ และให้พระราชทานบำเหน็จ รางวัลแก่ขุนแผนและกำลังพลกองทัพโดยทั่วหน้า ทรงตั้งนางสร้อยทองเป็นพระมเหสีซ้าย นางแว่นฟ้า เป็นสนมเอก ส่วนมเหสีพระเจ้านครเชียงใหม่ ทรงส่งคืนให้พระเจ้านครเชียงใหม่ ส่วนบรรดาข้าคน ชาวล้านช้างและชาวเชียงใหม่ก็ให้ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินในกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายขุนแผนเมื่อเห็นว่าตนชราภาพแล้ว จึงนำดาบเวทวิเศษของตนถวายสมเด็จ พระพันวษา พระองค์ทรงรับไว้เป็นพระแสงทรงสำหรับพระองค์และทรงพระราชทานว่าพระแสงปราบศัตรู แลทรงตั้งนามพระขรรค์แต่ครั้งพระยาแกรกนั้นว่าพระขรรค์ไชยศรี สมเด็จพระพันวษาทรงครองราชย์ได้ ๒๕ พรรษา เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุ ๔0 พรรษา จากหลักฐานดังกล่าว เรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องที่เกิดในแผ่นดินสมเด็จ พระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐ) พระโอรสสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๔ - พ.ศ. ๒๐๗๒ ประวัติผู้แต่ง ไม่ปรากฎชื่อผู้แต่ง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖๕ สาแหรกของตัวละตน
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖๖ บทร้อยกรอง เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ลับพิมไปแล้วตะลึงหลง ผีพารีบไปดังใจจง ลัดดงขามทุ่งมุ่งมา ลอยละลิ่วแลกลมดังลมพัด หลีกลัดหนองแนวแถวท่า เข้าเมืองกาญจน์บุรีด้วยปรีดา ถึงเคหาผีสูญสว่างพลัน เจ้าพลายแก้วเข้าไปในบ้านแม่ ชำเลืองแลย่างกรายผายผัน ในจิตรคิดแต่ทางสุพรรณ โศกศัลย์ถึงน้องให้หมองใจ โอ้เจ้าพิมผู้เพื่อนชีวิตพี่ ปานนี้เจ้าจะเศร้ากำสรดไห้ จะหมองศรีเพราะพี่นี้จากไกล เหลืออาลัยแล้วเจ้าพิมของพี่เอย มาด้วยก็จะได้มาไหว้แม่ ทุกข์แท้เหลือวิตกแล้วอกเอ๋ย ผู้ใดใครจะให้เจ้าเสบย เดินเลยขึ้นเรือนด้วยทันใด ตรงเข้าเรือนแม่แลเห็นหน้า กอดตีนมารดาน้ำตาไหล ทองประศรีเห็นลูกตะลึงไป เออแก้วแม่อย่างไรจึงสึกมา เป็นไรพ่อจอมกระหม่อมแม่ ตั้งแต่ร้องไห้ไม่เงยหน้า เงินทองเจ้าได้ที่ไหนมา น้ำตาพลอยย้อยลงด้วยลูกรัก เจ้าพลายแก้วก้มกราบกับบาทา แม่ขาครั้งนี้ฉันทุกข์หนัก เหลือทุกข์สุดทนเป็นพ้นนัก เพราะพิมน้องรักรักใคร่กัน จากเจ้าเจ้าให้ซึ่งเงินตรา ห้าชั่งนี้มาทำทุนนั่น ให้สู่ขอต่อแม่ศรีประจัน ไม่ให้ปันบอกความจะตามมา เอ็นดูลูกเถิดแม่บังเกิดเกล้า พิมเศร้าโศกสร้อยอยู่คอยท่า สงสารน้องต้องกินแต่น้ำตา แม่จงกรุณาอย่าเฉยเมย ฯ ๏ ทองประศรีว่ากรรมเอ๋ยกรรมแล้ว พ่อแก้วแก้วตาของแม่เอ๋ย บวชก่อนเถิดอย่าเพ่อมีเมียเลย แม่จะได้ชมเชยชายจีวร พ่อเจ้าเขาก็ตายไปนานแล้ว ลูกแก้วจงโปรดแกเสียก่อน บวชสักสองพรรษาอย่าอาวรณ์ สึกมาแม่จะผ่อนให้มีเมีย จะขอให้เป็นลูกเขยเจ้าพระยา ฟังคำแม่ว่าจงทิ้งเสีย อย่างอีพิมไม่น่ามาเป็นเมีย กะปลกกะเปลี้ยปลอบลูกพิไรไป งามกว่าพิมนี้ก็มีมั่ง ฤๅจะเอาชาววังจะขอให้ ถวายจานเงินทองต้องพระทัย ก็จะได้นางในที่ชื่นตา ฯ ๏ เจ้าพลายแก้วฟังแล้วกราบตีนพลัน นางสวรรค์ลูกก็ไม่ปรารถนา นางในงามแต่กิริยา จะเปรียบพิมแก้วตาเห็นเต็มที งามประเสริฐเลิศลํ้าทั้งขำคม งามหน้างามนมเนื้อสองสี ไม่เทียมทันทั้งสุพรรณบุรี เห็นไม่มีใครสู้ดูงดงาม
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖๗ เจ้าประคุณทูนหัวของลูกแก้ว มีเมียแล้วบวชได้ดอกไม่ห้าม แม่อย่าทานทัดขัดความ แม้นมิตามใจลูกคงมรณา ฯ ๏ ทองประศรีฟังลูกก็สงสาร แกจนใจให้รำคาญเป็นหนักหนา ปลอบว่าอย่าทุกข์เลยแก้วตา เมื่อไม่ฟังแม่ว่าก็ตามใจ ขอเขาเขาก็ให้ดอกลูกอา เป็นเพื่อนบ้านกันมาไม่เสียได้ คงจะได้เป็นเมียอย่าเสียใจ อย่าร้องไห้จงไปกินข้าวปลา ฯ ๏ พลายแก้วฟังแล้วก็ดีใจ หายร้องไห้ลุกลงไปตีนท่า อาบนํ้าแล้วกินซึ่งข้าวปลา ทองประศรีเรียกข้ามาไวไว เอ็งไปท่าเลื่อยโรงกระดาน คิดอ่านซื้อเรือนเขาทำใหม่ เงินสามชั่งนี้เอ็งเอาไป ซื้อเขาให้ได้มาโดยพลัน ห้าห้องเสาสร้างให้เสร็จสรรพ บ่าวรับจับควายขมีขมัน เทียมเกวียนสองเล่มมาด้วยกัน ครู่หนึ่งถึงพลันก็ซื้อมา ทองประศรีจัดแจงซื้อน้ำตาล เปรี้ยวหวานหมากมะพร้าวเป็นหนักหนา ประทุกเกวียนสิบเล่มเต็มประดา พระสุริยาพอพลบลงทันใด ทองประศรีก็เรียกซึ่งบ่าวข้า เข้ามาพร้อมหน้าหาช้าไม่ กำชับสั่งพูดจากับข้าไท แบ่งอยู่แบ่งไปให้เฝ้าเรือน พวกผู้ชายให้อยู่ดูบ้านช่อง เก็บของให้ดีนางมีนางเหมือน สั่งพลางทางเข้าไปในเรือน เจ้าพลายเชือนแล่นลุกเข้าหอกลาง เข้าห้องหับประตูอยู่คนเดียว แสนเสียวส้วมสอดกอดหมอนข้าง คะนึงพิมนิ่มสนิทคิดระคาง นึกถึงนางจนหลับระงับไป ฯ ๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยันขึ้นทันที ทองประศรีก็ลงจากเรือนใหญ่ ข้าคนขนของมากองไว้ หญิงชายพวกไพร่ห้าสิบคน เจ้าพลายแก้วขี่เกวียนเล่มหนึ่งมา หัวหน้าขับเข้าในไพรสณฑ์ อาดอาดอื้ออึงอลวน แสงแดดร้อนรนให้พักควาย หัวคํ่ารํ่าไปจนรุ่งเช้า กินข้าวแล้วก็ขับไปจนสาย ตะวันเที่ยงหยุดนอนผ่อนสบาย เวลาบ่ายควายเทียมแล้วขับไป พระสุริยาร่อนเรื่อยลงริมดง เลี้ยวลงเกือบลับพระเมรุใหญ่ สกุณาร่าร้องระงมไพร เรไรหริ่งรอบลำดวนดัง เจ้าพลายแก้วแว่วหวาดชะนีโหย วิเวกโวยหวี่หวีดประหวั่นหวัง ลูกน้อยเหนี่ยวนิ่งบนกิ่งรัง เหมือนพิมพี่เจ้าสั่งแต่แรกมา เห็นค่างเคียงนางอยู่ข้างคู่ พิศดูเตือนใจอาลัยหา เหมือนพิมน้อยแนบนั่งฟังเจรจา เจ้าแก้วตาปานฉะนี้จะอย่างไร ครั้นถึงที่เกวียนประทับหยุด อุตลุดพักควายหาช้าไม่ บ่าวข้าหาฟืนมาสุมไฟ ก็นอนใกล้หนองนํ้าเป็นสำคัญ แต่แรมร้อนนอนทางมากลางป่า ไม่ช้ามาถึงสุพรรณนั่น ก็หยุดควายท้ายสวนศรีประจัน สั่งบ่าวไพร่ทั้งนั้นให้ปลูกโรง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖๘ ข้าไทตัดไม้ที่ในป่า บ้างฉุดคร่าถากฟันสนั่นโผง บ้างแบกบ้างวางอยู่กร่างโกร่ง เสียงโปกโป้งเจาะขุดอยู่ตึงตัง ปักเสาเข้าพรึงกรึงอกไก่ กลอนใส่มุงหลังคาทั้งห้าหลัง เกี่ยวเอาแฝกมาทำฝาบัง ทองประศรีเข้ายั้งอยู่สำราญ ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ครั้นคํ่าแล้วปรีดิ์เปรมเกษมสานต์ คิดถึงพิมพิลาไลยด้วยไปนาน จะรำคาญคอยพี่ที่มาไกล เอ็นดูเจ้าจะเศร้าโศกสะอื้น ไม่มีชื่นมั่นคงเพราะสงสัย คิดพลางย่างเยื้องชำเลืองไป อำไพส่องแสงพระจันทรา ลอยละลิ่วปลิวโพยมพยับแสง กระจ่างแจ้งแจ่มจัดจำรัสหล้า ดวงดาวขาวสว่างกลางนภา ก็เดินมาถึงบ้านศรีประจัน ฟังเสียงสิงสัตว์สงัดเงียบ ค่อยย่องเหยียบมาข้างหอกลางกั้น กลิ้งครกยกเท้าก้าวขึ้นพลัน สะเดาะกลอนถอนลั่นออกทันใด บานหน้าต่างกางเปิดก็ปีนเข้า ถึงห้องเจ้าพิมเพื่อนพิสมัย สว่างแสงชวาลาระย้าไฟ คนอยู่ในเรือนหลับสนิทนอน บ้างกรนครางละเมอเพ้อเกาหิด ขาชันไม่ทันปิดซึ่งผ้าผ่อน ถึงประตูฝาประจันเขาลั่นกลอน สะเดาะถอนลิ่มหลุดเดินเข้าไป ประจงรูดม่านกางเห็นนางหลับ เลื่อนขยับยับยั้งเข้านั่งใกล้ กอดนางพลางปลุกเจ้าปลื้มใจ อย่าหลับใหลเลยลุกขึ้นเถิดรา ฯ ๏ นางพิมประหม่าผวาฟื้น สะดุ้งตื่นตกใจเป็นหนักหนา ไม่ทันพิศคิดว่าขโมยมา นางผวาร้องหวีดจะวิ่งไป เจ้าพลายแก้วฉวยมือถือถนัด จะสะบัดบิดหนีพี่ไปไหน พี่มาแล้วแก้วตาอย่าตกใจ เป็นห่วงใยอยู่ด้วยเจ้าจึงเข้ามา แต่วันไปน้ำใจให้มุ่นหมก วิตกด้วยน้องน้อยจะคอยท่า พอถึงบ้านวานวอนให้แม่มา ท่านมารดาขัดใจพี่ไม่ฟัง แต่ร้องไห้ร้องห่มจนลมจับ ท่านก็รับขอให้ดังใจหวัง จึงรีบจากเรือนมาในป่ารัง กระทั่งถึงเข้าวันนี้พี่ก็มา ฯ ๏ นางพิมนั่งฟังสิ้นสงสัย ดีใจยิ้มขยับเข้าไปหา แอบอิงพิงทับกับอุรา ถ้าหม่อมแม่มิเมตตาก็ท่าตาย ถ้าแม้นไม่จริงจังเหมือนดังว่า ฉันไม่ขอดูหน้าท่านทั้งหลาย ไม่รักอยู่เป็นคนให้ทนอาย โอ้พ่อพลายแก้วพี่จงกรุณา ฯ ๏ เจ้าพลายแก้วฟังชอบปลอบประโลม พี่รักโฉมเยาวยอดเสนหา อย่าสงสัยที่ใจไม่สัจจา แม้นแผ่ผ่าอกได้จะให้ดู นี่สุดคิดที่จะปลิดให้ดูได้ ถึงตัวไปใจพี่ก็ยังอยู่ ห่วงหลังด้วยขุนช้างเป็นศัตรู อุตส่าห์สู้รีบรัดมานัดงาน อย่าเศร้าศรีพรุ่งนี้กำหนดแน่ คุณแม่ท่านจะมาหาถึงบ้าน ขอร้องต้องตามคำโบราณ ว่าพลางทางสะพานสะพักชม
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๖๙ เผยออกยกนางขึ้นวางตัก กำเริบรักเชยชิดสนิทสนม ป่วนปั่นกระสันเสียวเกลียวกลม ก็เกิดลมพายุใหญ่ประลัยกัลป์ พัดกระพือโผงผางจะล้างโลก พระสุเมรุเอนโยกตลอดลั่น สะเทือนท้องคงคาพนาวัน มืดอาทิตย์มิดจันทร์จลาจล พฤกษาดอกงอกงามอยู่ตามฝั่ง ก็ย่อยยับพับพังกระทั่งต้น ฟ้าเปรี้ยงเสียงร้องก้องคำรน แต่พอฝนตกหายพายุฮือ เสร็จประสงค์ตรงมาเปิดหน้าต่าง เอ๊ะนี่มิสว่างขึ้นแล้วฤๅ ส้วมสอดกอดน้องทั้งสองมือ ไก่กระพือปีกขันสนั่นมา ดุเหว่าเร้าเร่งพระอาทิตย์ จำจิตรจากไปไกลเคหา ค่อยอยู่จงดีพี่ขอลา เจ้าจงมาส่งพี่เพียงบันได นางพิมจับจูงข้อมือแก้ว ก็คลาดแคล้วเปิดประตูหอกลางให้ บ่าวหญิงนิ่งหลับระงับใจ ก้าวปลอมพร้อมไปทั้งสองรา ถึงนอกชานเปิดบานประตูให้ ยังอาลัยเหลียวหลังมาสั่งว่า ค่อยอยู่จงดีพี่ขอลา แล้วหันหน้าลงบันไดไปฉับพลัน พอพ้นเรือนแสงเดือนดับหรุบรู่ ออกประตูรั้วใหญ่แล้วผายผัน ครู่หนึ่งถึงที่อาศัยพลัน เข้าในโรงนั้นสำราญใจ ฯ ๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงสางสว่างหล้า ทองประศรีตื่นตาหาช้าไม่ ล้างหน้าตำหมากใส่ปากไว้ นั่งเคี้ยวไบ่ไบ่แล้วตรองการ จึงร้องเรียกตาสนกับตาเสา ยายมิ่งยายเม้าเป็นเพื่อนบ้าน ปรึกษาว่าตูข้าจะขอวาน คิดอ่านขอลูกสาวศรีประจัน เถ้าแก่รับคำแล้วอำลา ไปเคหาแต่งตัวขมีขมัน นุ่งผ้าตามะกลํ่าดูขำครัน ห่มปักไหมมันดูเหมาะตา ทองประศรีนุ่งผ้าตาบัวปอก ห่มขาวพุดดอกพอสมหน้า พร้อมกันทันใดก็ไคลคลา ข้าถือสมุกหมากสากตะบัน พลายแก้วก็เสกขี้ผึ้งให้ ด้วยหัวใจกรณีย์ดีขยัน เถ้าแก่รับเอาเข้าสีพลัน ยายทองประศรีนั้นนำหน้ามา ครู่หนึ่งถึงบ้านศรีประจัน แกตัวสั่นร้องเรียกให้ดูหมา ศรีประจันเปิดหน้าต่างพลางแลมา เห็นแล้วเรียกข้าด่าอึงไป อีนั่นอ้ายนี่อีขี้ครอก แขกมาหาบอกแก่กูไม่ บ่าวกลัวตัวสั่นลงบันได วิ่งไขว่มารับขึ้นเรือนพลัน แล้วเอาเสื่อสาดมาลาดปู หมากพลูใส่เชี่ยนขมีขมัน มานั่งล้อมพร้อมหน้าพูดจากัน ศรีประจันปราศรัยทายทัก ตูนึกนึกสงสารออทองประศรี จากกันไปหลายปีดีดัก ร่างรูปซูบซีดลงผิดนัก หัวหงอกฟันหักดูหนักไป เมื่อเป็นโทษท่านโปรดให้ฆ่าผัว ครั้งนั้นตัวออเจ้าไปอยู่ไหน กับลูกชายหายไปอยู่แห่งใด สิบเอ็ดปีแล้วจึงได้มาพบพาน
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗๐ เดี๋ยวนี้สุขทุกข์อย่างไรหนอ พอทำมาหากินเป็นถิ่นฐาน ฤๅขัดสนจนใจด้วยภัยพาล ที่มาบ้านตูนี้ด้วยเหตุใด ฯ ๏ ทองประศรีตอบคำศรีประจัน ว่าทุกวันเราทุกข์หาสุขไม่ ยากยับอับจนเป็นพ้นไป ออเจ้าย่อมแจ้งใจแต่ไรมา ตกยากจากเมืองสุพรรณไป เมื่อครั้งขุนไกรดับสังขาร์ ถูกริบฉิบหายไปทุกตา วัวควายไร่นาทั้งบ้านเรือน ได้เงินใส่สมุกกับลูกรัก กลัวนักหนีวางเข้ากลางเถื่อน แต่ซุกซนด้นป่าไปกว่าเดือน พอพบเพื่อนกันเข้าเขาเอ็นดู เขาพากันเมตตาต้อนรับไว้ ยกเหย้าเรือนให้อาศัยอยู่ ยากยับอับจนเป็นพ้นรู้ อุตส่าห์สู้บุกแฝกแบกหน้ามา จะขอพรรณฟักแฟงแตงน้ำเต้า ที่ออเจ้าไปปลูกในไร่ข้า ทั้งอัตคัดขัดสนจนเงินตรา จะมาขายออแก้วให้ช่วงใช้ อยู่รองเท้านึกเอาว่าเกือกหนัง ไม่เชื่อฟังก็จะหาประกันให้ ได้บากบั่นมาถึงเรือนอย่าเบือนไป จะได้ฤๅไม่ได้ให้ว่ามา ฯ ๏ ศรีประจันได้ฟังทางหัวเราะ จำเพาะจะมาอ้อมค้อมว่า เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันนานมา ลูกข้าข้าจะหวงไว้ทำไม ถึงยากจนอย่างไรก็ไม่ว่า แต่พร้าขัดหลังมาจะยกให้ อุตส่าห์ทำมาหากินไป รู้ทำรู้ได้ด้วยง่ายดาย ถึงเงินทองเป็นของพ่อแม่ให้ ไม่รู้รักษาไว้ก็ฉิบหาย ตูจะขอถามความท่านยาย ลูกชายนั้นดีฤๅอย่างไร ไม่เล่นเบี้ยกินเหล้าเมากัญชา ฝิ่นฝามันสูบบ้างฤๅไม่ จะสูงตํ่าดำขาวสักคราวใคร ตูยังไม่เห็นแก่ตาว่าตามจริง ฯ ๏ ครานั้นตาสนกับตาเสา อิกทั้งยายเม้าแลยายมิ่ง ว่านานไปท่านจะได้พึ่งพิง ลูกทองประศรีดียิ่งนะคนนี้ ว่านอนสอนง่ายชายฉลาด ทั้งรูปทรงก็สะอาดสำอางศรี รุ่นหนุ่มน้อยจ้อยเรียบร้อยดี ความชั่วไม่มีสักสิ่งอัน เมื่อเป็นเณรก็เทศน์มัทรีได้ เพราะเจาะจับใจดีขยัน เมื่อปีกลายคุณยายเป็นเจ้ากัณฑ์ วันนั้นเจ้าพิมฟังยังชอบใจ เปลื้องผ้าออกบูชาซึ่งกัณฑ์เทศน์ เกิดเหตุเพราะขุนช้างมันทำให้ เปลื้องผ้าทับผ้าเจ้าพิมไว้ คุณยายจำไม่ได้ฤๅไรนา ฯ ๏ ศรีประจันได้ฟังก็ชอบใจ ตอบว่าอ่อนึกได้แล้วที่ว่า เราก็คิดรำคาญมานานช้า ด้วยลูกข้าคนเดียวดังดวงใจ จะตกแต่งให้ปันเสียทันตา ตัวเราก็ชรามักเจ็บไข้ อายุคนนี้จะนานสักปานใด มีหาไม่จะทำแต่ตามมี ข้าจะให้ลูกข้าสิบห้าชั่ง ขันหมากมั่งน้อยมากไม่จู้จี้ ผ้าไหว้สำรับหนึ่งก็พอดี หอมีห้าห้องฝากระดาน
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗๑ เดือนสิบสองวันเสาร์ขึ้นเก้าคํ่า กำหนดงานจะทำให้คิดอ่าน ทองประศรีรับคำมิได้นาน ตามแต่ท่านจะคิดไม่ขัดใจ ครั้นได้เวลาควรชวนกันลา ทองประศรีก็มาหาช้าไม่ ถึงที่อยู่พลันเข้าทันใด บอกลูกชายให้ได้รู้การ ฯ ๏ ศรีประจันก็สั่งซึ่งบ่าวข้า ให้จัดหาข้าวของอลหม่าน ซื้อหมากมะพร้าวจาวตาล ทั้งคาวหวานทำอึงคะนึงไป เอาหมากพลูใส่พานมิทันช้า ร้องเรียกบ่าวข้าลงเรือใหญ่ ถึงวัดแคขึ้นกุฎีรี่เข้าไป ศรีประจันนั่งไหว้แล้วว่าพลาง สมภารผินหลังนั่งเล่นหมากรุก สบสนุกจับโคนเข้าโยนผาง เข้ากลจะจนที่ตากลาง ศรีประจันเรียกค้างว่าเจ้าคุณ ดีฉันมาหมายว่าจะนิมนต์ สมภารว่าไม่จนให้หลบขุน ศรีประจันว่าดีฉันจะทำบุญ สมภารว่าเรือจุนเข้ารุกจน เหลียวเห็นศรีประจันกลั้นหัวร่อ จึงถามข้อเนื้อความตามเหตุผล ศรีประจันว่าฉันมีทำวน อาราธนาสวนมนต์สักสิบองค์ จะแต่งงานออพิมพิลาไลย กำหนดนับวันไว้อย่าใหลหลง ตัวฉันนี้เล่าแก่เถ้าลง จะทำเสียให้คงเห็นทันตา ฯ ๏ สมภารได้ฟังก็ตอบไป มันมีผัวได้แล้วฤๅหวา เมื่อปีกลายกูได้เห็นมันมา ยังอาบน้ำแก้ผ้าตาแดงแดง ผูกจับปิ้งเที่ยววิ่งอยู่ในวัด มันหักตัดต้นไม้ไล่ยื้อแย่ง กูเอาไม้เท้าง่ามไล่ตามแทง เกลียดน้ำหน้าด่าแช่งอยู่ทุกวัน ไม่เห็นหน้าสองปีมามีผัว เร่งคิดถึงตัวเถิดเราทั่น สีกายายก็คลายลงครันครัน มันก็แก่ลงด้วยกันแล้วสีกา ฯ ๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน ว่าคุณก็เหมือนกันแลเจ้าข้า ไม่เที่ยงแท้จริงจังสังขารา หน่อยหนึ่งก็จะพากันตายไป นัดแน่นะจงจำฉันอำลา ลงจากกุฎีมาหาช้าไม่ ครู่หนึ่งถึงบ้านขึ้นบันได แกจัดข้าวของไว้เป็นมากมาย ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ครั้นถึงกำหนดแล้วจึงนัดหมาย บอกแขกปลูกเรือนเพื่อนผู้ชาย มายังบ้านท่านยายศรีประจัน ให้ขุดหลุมระดับชักปักเสาหมอ เอาเครื่องเรือนมารอไว้ที่นั่น ตีสิบเอ็ดใกล้รุ่งฤกษ์สำคัญ ก็ทำขวัญเสาเสร็จเจ็ดนาที แล้วให้ลั่นฆ้องหึ่งโห่กระหนํ่า ยกเสาใส่ซ้ำประจำที่ สับขื่อพรึงติดสนิทดี ตะปูตียกเสาดั้งตั้งขึ้นไว้ ใส่เต้าจึงเข้าแปลานพลัน เอาจันทันเข้าไปรับกับอกไก่ พาดกลอนผ่อนมุงกันยุ่งไป จั่วใส่เข้าฝาเช็ดหน้าอึง บ้างเจาะถากถุ้งเถียงเสียงเอะอะ เกะกะกบไสไชเหล็กจึ้ง บางผ่าฟันสนั่นอึงคะนึง วันหนึ่งแล้วเสร็จสำเร็จการ
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗๒ ศรีประจันแกเรียกบ่าวข้า ให้ยกสำรับมาทั้งคาวหวาน เลี้ยงดูสับสนคนทำงาน อิ่มแล้วไปบ้านด้วยทันใด ฯ ๏ ครั้นรุ่งเช้าขึ้นพลันเป็นวันดี ทองประศรีจัดเรือกัญญาใหญ่ เอาขันหมากลงบรรทุกขลุกขลุ่ยไป หามโหรีใส่ท้ายกัญญา ขันหมากเอกเลือกเอาที่รูปสวย นุ่งยกห่มผวยจับผิวหน้า ก็ออกเรือด้วยพลันทันเวลา ครู่หนึ่งถึงท่าศรีประจัน จึงจอดเรือเข้าหน้าสะพานใหญ่ ตาผลวิ่งไปเอาไม้กั้น เสียเงินทองให้ขึ้นไปพลัน ขนขันหมากขึ้นบนบันได ยายเป้าเถ้าแก่อยู่ที่บ้าน ก็นับขานเงินตราแลผ้าไหว้ ครบจำนวนถ้วนที่สัญญาไว้ ให้ขนเข้าไปในเรือนพลัน แถมพกยกของมาเลี้ยงดู ครั้นกินอยู่อิ่มดีขมีขมัน ก็กลับเรือมาพร้อมหน้ากัน ถึงพลันจอดท่าพากันไป ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ครั้นบ่ายแล้วยกเหล้ามาทั้งไห ทั้งกับแกล้มต้มแกงที่แต่งไว้ จึงเรียกอ้ายไทยมาสั่งพลัน เอ็งจงรีบไปอย่าได้ช้า ไปหาบอกท่านขุนช้างนั่น ว่ากูเชิญให้ไปด้วยกัน วานท่านมาเป็นเพื่อนบ่าวกู อ้ายไทยรับคำแล้วอำลา รีบเร่งเร็วมาไม่หยุดอยู่ ถึงบ้านขุนช้างพลางแลดู ก็เดินจู่ขึ้นเรือนด้วยทันใด พอเพลาขุนช้างมานั่งเล่น อ้ายไทยแลเห็นยกมือไหว้ เดี๋ยวนี้พลายแก้วผู้แววไว ขอแม่พิมได้แต่งงานกัน พลายแก้วขัดสนจนเพื่อนบ่าว ให้ฉันมากราบเท้าอย่าเดียดฉันท์ ขอเชิญพ่อไปให้เห็นวัน อย่าช้าเลยทั่นจงแต่งตัว ฯ ๏ ขุนช้างได้ฟังอ้ายไทยว่า ดังใครเอาดาบผ่ากระบานหัว เสียดายพิมผูกพันใจสั่นรัว น้ำตารั่วหันหน้าเข้าฝาบัง โอ้ว่าอนิจจาแก้วตาพี่ ครั้งนี้เห็นไม่ได้ดังใจหวัง คงจะพากเพียรไปมิได้ฟัง ถึงเป็นเมียก็ชั่งมันเป็นไร คิดแล้วอาบน้ำนุ่งผ้า ยกทองของพระยาละครให้ ห่มส่านปักทองเยื้องย่องไป บ่าวไพร่ตามหลังสะพรั่งมา ครั้นถึงที่อยู่เจ้าพลายแก้ว เพื่อนบ่าวมาแล้วนั่งพร้อมหน้า จึงชวนกันนั่งกินรินสุรา เมามายพูดจากันอึงไป เจ้าพลายแก้วจึงว่าเจ้าเกลอเอ๋ย อย่าถือเลยที่นางพิมเรารักใคร่ รู้ว่าเป็นเมียเอ็งกูเกรงใจ เอ็นดูเถิดจงให้เสียแก่เรา ขุนช้างฟังว่าทำหน้าเก้อ นิจจาเกลอดอกหาไม่ไม่ให้เจ้า แม้นเอ็งไม่รักกูจักเอา ว่าแล้วกินเหล้าเมาสำราญ ฯ ๏ ครั้นพระสุริยาเวลาบ่าย พลายแก้วย่างกรายมาจากบ้าน ลงเรือพร้อมกันมิทันนาน รีบมายังบ้านศรีประจัน
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗๓ กับเพื่อนบ่าวก็ก้าวขึ้นบนหอ พระมารอสวดมนต์สำรวมมั่น เพื่อนสาวเข้าห้อมล้อมกัน ออกจากเรือนนั้นมาทันใด นั่งลงตรงหน้าท่านสมภาร แล้วท่านจึงส่งมงคลให้ ขุนช้างเห็นพิมกระหยิ่มใจ ตะลึงไปตาเพ่งเขม็งดู หยิบพานมาว่าจะกินหมาก มันผิดปากส่งไพล่ไปรูหู เคี้ยวเล่นไบ่ไบ่ได้แต่พลู เพื่อนบ่าวเขารู้หัวเราะฮา พระสงฆ์สวดมนต์รํ่ากระหนํ่าไป เอาน้ำซัดสาดให้อยู่ฉานฉ่า นางมั่นแม่แปรกแทรกเข้ามา ขุนช้างเข้าคร่าเอาข้อมือ นางมั่นรันหัวลงต้ำเปาะ พ่อเงาะวางฉันอย่าดันดื้อ ขุนช้างฉุดผ้าคว้าจิ้มดือ ไม่วางฤๅอ้ายถ่อยต่อยเขกลง สวดมนต์จบพลันมิทันช้า เอาน้ำชามาประเคนให้พระสงฆ์ ฉันแล้วลาไปดังใจจง ลุกลงบันไดไปกุฎี ฯ ๏ ศรีประจันให้ยกทั้งหวานคาว เลี้ยงพวกเจ้าบ่าวอยู่อึงมี่ กินอิ่มแล้วพลันทันที เอาของที่แถมพกยกออกมา ตลับถมตะทองกระทงเมี่ยง มาวางเรียงส่งให้ได้พร้อมหน้า พอพลบค่ำยํ่าแสงสุริยา ขุนช้างไปเคหาด้วยทันที เจ้าพลายแก้วกับเหล่าเพื่อนบ่าวนั้น ก็พากันมาหาทองประศรี จึงพูดกับมารดาด้วยปรานี แล้วงานวันนี้จะอยู่ไย ช้างม้าวัวควายไร่นา ทั้งเคหาหามีใครอยู่ไม่ ทองประศรีตอบพลันทันใด ค่อยค่อยไปเถิดจะช้าสักห้าวัน ผู้คนทำงานพานเหนื่อยเหน็ด พึ่งจะเสร็จยังไม่ควรจะผายผัน เจ้าจงไปอยู่บ้านศรีประจัน ไปกินนอนอยู่นั่นเถิดเจ้าพลาย ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ครั้นเวลาล่วงแล้วตะวันบ่าย แต่งตัวสำอางแล้วย่างกราย ไปยังบ้านท่านยายศรีประจัน ขึ้นบนบันไดเข้าในหอ ก็พอสิ้นแสงสุริย์ฉัน นอนหอรอถ้วนกำหนดวัน แสนกระสันถึงเจ้าพิมพิลาไลย ฯ ๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน ครั้นถ้วนสามวันหาช้าไม่ ประโลมปลอบลูกน้อยกลอยใจ ด้วยไม่รู้กลมารยา โอ้เจ้าพิมนิ่มนวลของแม่เอ๋ย เจ้าไม่เคยให้ชายเสนหา ร้อยชั่งจงฟังคำมารดา นี่คู่เคยของเจ้ามาแต่ก่อนแล้ว ร้อยคนพันคนไม่ดลใจ จำเพาะเจาะได้เจ้าพลายแก้ว แม่เลี้ยงไว้มิให้อันใดแพว แต่แนวไม้เปรียะหนึ่งไม่ต้องตัว ครั้นเติบใหญ่จะไปเสียจากอก แม่วิตกอยู่ด้วยเจ้าจะเลี้ยงผัว ฉวยขุกคำทำผิดแม่คิดกลัว อย่าทำชั่วชั้นเชิงให้ชายชัง เนื้อเย็นจะเป็นซึ่งแม่เรือน ทำให้เหมือนแม่สอนมาแต่หลัง เข้านอกออกในให้ระวัง ลุกนั่งนอบนบแก่สามี
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗๔ อย่าหึงหวงจ้วงจาบประจานเจิ่น อย่าก่อเกินก่อนผัวไม่พอที่ แม่เลี้ยงมาหวังว่าจะให้ดี จงเป็นศรีสวัสดิสุขทุกเวลา สอนลูกอยู่จนล่วงเข้ายามแล้ว เจ้าพลายแก้วจะคอยละห้อยหา โลมเล้าเอาใจให้ไคลคลา เข้าในหอเห็นหน้าเจ้าพลายน้อย เสียงกรุกเจ้าพลายลุกลงจากเตียง นางพิมเมียงแฝงแม่มาร่อยร่อย ชวาลาต้องหน้าเป็นนวลลอย พอปะตาก็ชม้อยละมุนลง นั่งแล้วจึงยายศรีประจัน ว่าฉันพาพิมขึ้นมาส่ง จงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงกันให้ยืนยง กว่าจะปลงชีวิตชีวาลัย ผิดพลั้งสั่งสอนกันก่อนหนา อย่าตีด่ากันมี่หาดีไม่ ค่อยอยู่เถิดมารดาจะลาไป นางพิมเหนี่ยวแม่ไว้ไม่วางมือ ฉุดชักผลักวุ่นจะหมุนวิ่ง แม่จะทิ้งฉันไว้ที่นี่ฤๅ ศรีประจันลวงนางให้วางมือ รื้อหับประตูห้องย่องออกไป ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายแก้ว ท่านผู้ใหญ่ไปแล้วยิ่งผ่องใส กระหยิ่มยิ้มด้วยเจ้าพิมพิลาไลย เข้านั่งแนบแอบใกล้แล้วกล่าววอน ร้อยชั่งนั่งนิ่งเสียไยเล่า ขอเชิญเจ้าร่วมมุ้งเสมอหมอน ร้อนฤๅจะกระพือให้พิมนอน พี่อยู่ก่อนคอยเจ้าถึงสามวัน ว่าพลางทางกระถดเข้านั่งชิด กอดสะกิดประทับแล้วรับขวัญ นั่งไยไปนอนเสียด้วยกัน สะดุ้งหวั่นจักจี้กระเดียมใจ ฯ ๏ นางพิมยิ้มเยื้อนแล้วเบือนผัน ไฮ้อย่าเล่นเช่นนั้นทนไม่ได้ สะกิดสะเกาเซ้าซี้เฝ้าจี้ไช ไปนอนเถิดฉันไซร้ยังไม่นอน เจ้าพลายแก้วลุกไปเข้าในมุ้ง ยุงเจ้าเอ๋ยจุดเทียนมานี่ก่อน นางพิมยิ้มยืนขึ้นถอนกลอน ร้อนนักจักไปนั่งเล่นเย็นเย็น เสียงกรุกเจ้าพลายลุกฉวยชายผ้า ฟ้าผ่าเถิดเจ้าแก้วนี้ทำเข็ญ ไม่พอที่จู้จี้ช่างมาเป็น ใช่จะเร้นหนีไปไม่ยินยอม มาจับมือรื้อรบอยู่เร่าเร่า หิวเหมือนอยากข้าวเจียวฤๅหม่อม ร้อนเหลือเหงื่อตกกระปรกกระปรอม แป้งหอมน้ำอบจะลูบตัว เออเจ้าเอามาทากันเล่น พอเย็นเย็นใจมั่งจะยังชั่ว เปิดนมกลมปลั่งดังดอกบัว แต่มัวมัวยังอล่างกระจ่างตา จะหยิบแป้งฤๅมาแย่งผ้าห่มไว้ นี่อะไรจะรุ่งแล้วฤๅขา เมื่อหัวค่ำทำซึมไม่ลืมตา สะบัดหน้าวิ่งแร่ไปแต่ตัว เปิดโถน้ำอบตรลบกลิ่น รินมาให้มากจะฝากผัว เจ้าพลายย่องแอบหลังบังเงาตัว โอ๋ยรินรั่วเสียแล้วพิมยิ้มละไม มิใช่การวานอย่ามาจู้จี้ หกแล้วก็ยังมีจะรินใหม่ อย่ามากวนฉันหน่อยถอยออกไป ลูบไล้ตัวแล้วจะกลับมา เอามานี่เถิดพี่จะทาให้ ทาด้วยกันเถิดเป็นไรฟังพี่ว่า ว่าพลางทางละลายแป้งทา ผินหน้ามาจะผัดให้เป็นนวล
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗๕ จับพัดมากระพือให้แป้งแห้ง ดูดังแตงร่มใบเป็นนวลสงวน กอดเคล้าเย้าหยอกเฝ้ายียวน เอาแป้งประอกอวลตะลึงใจ ดูเวทนาเหลือนี่เนื้อแกล้ง แต่จะนั่งทาแป้งก็ไม่ได้ ทาตัวเข้าให้เย็นก็เป็นไร เหงื่อไคลตละน้ำน่ารำคาญ ไหนเหงื่อนี่เบื่อว่าเปล่าเปล่า นิจจาเจ้าลวงพี่จริงจริงจ้าน มาไปนอนอย่าให้วอนอยู่เนิ่นนาน กอดสะพานสะพักจูบแต่เบาเบา ฯ ๏ นางพิมยิ้มค้อนด้วยงอนใจ ไฮ้เหงื่อไคลเปื้อนแก้มเขาแล้วเจ้า ไหนเหงื่อนี่ขาช่างว่าเดา ส่องกระจกดูเอาก็เป็นไร ในมุ้งนั่นแน่ยุงออกบินว่อน ไม่ไปดูเสียก่อนไม่นอนได้ ว่าพลางฟักฟูมอุ้มแอบไป แต่ผลักไสฉุดคร่าอย่าช้านาน ประคองขึ้นบนตักผลักไม่ไหว แนบชิดจิตรใจให้ฟุ้งซ่าน นางพิมป้องปัดสะบัดกราน เข้าในม่านเจ้าก็กราบลงทันใด ฯ ๏ เจ้าพลายแก้วรับขวัญกระสันยิ้ม ประโลมพิมชื่นจิตรพิสมัย จูบผมชมชื่นระรื่นใจ ปราศรัยซิกซี้ด้วยปรีดา พูดพลอดกอดเคล้าเล่านิทาน พระอวตารตามนางมากลางป่า ข้ามฝั่งมายังเกาะลงกา ผลาญโคตรยักษาให้ตายเปลือง แสนยากลำบากด้วยนางงาม พระรามทุกข์ตรอมจนผอมเหลือง สิบสี่ปีจึงได้นางมาคืนเมือง พอสิ้นเรื่องก็พอหลับลงด้วยกัน ฯ บทถอดความร้อยกรอง เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม พลายแก้วขี่หลังผีพรายเหาะลิ่วไปถึงกาญจนบุรีในเวลาไม่ช้าเมื่อถึงบ้าน เข้าไปหา นางทองประศรี กอดขาแล้วร่ำไห้สะอึกสะอื้น นางทองประศรีแปลกใจที่พลายแก้วสึก ถามไถ่ว่าเกิด เหตุใด พลายแก้วเล่าให้ฟังว่ามีทุกข์เพราะรักใคร่กับนางพิม จึงสึกออกมา นางพิมให้เงินมาห้าชั่ง เพื่อให้เป็นค่าสินสอด พลายแก้วอ้อนวอนให้แม่ช่วยไปสู่ขอนางพิมให้ นางทองประศรีฟังแล้วตกใจ พยายามห้ามปรามให้พลายแก้วบวชสักสองพรรษาก่อน พอให้แม่ได้ชมผ้าเหลือง สึกแล้วจึงจะหาเมีย ให้ จะให้เป็นลูกเขยเจ้าพระยาหรือจะเอาสาวชาววัง ก็จะกราบทูลขอให้ อย่าเอานางพิมมาเป็นเมีย จะดีกว่า พลายแก้วกราบเท้าแม่แล้วบอกว่าไม่ปรารถนานางฟ้านางสวรรค์ที่ไหนทั้งสิ้น ขอ แต่งงานกับนางพิมเพียงคนเดียวเท่านั้น นางทองประศรีฟังแล้วก็จนใจ ปลอบว่าอย่าเป็นทุกข์ไปเลย จะไปสู่ขอให้ตามที่ต้องการ จากนั้น นางทองประศรีก็เอาเงินให้บ่าวสามชั่ง สั่งให้ไปซื้อไม้กระดานและเสามา ต่อเรือนหอขนาด ๕ ห้อง ส่วนนางทองประศรีไปซื้อข้าวของ มีน้ำตาล มะพร้าว หมาก เป็นต้น บรรทุก เกวียนมาสิบเล่ม พอวันรุ่ง นางทองประศรีสั่งบ่าวไพร่ห้าสิบคนเดินทางไปพร้อมกับพลายแก้ว ขี่เกวียน
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗๖ บรรทุกไม้รอนแรมไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงเมืองสุพรรณบุรี พอถึงท้ายสวนนางศรีปะจัน บ่าวไพร่ทั้งหลาย ก็ลงมือปลูกเรือน ๕ หลังทันที พอเสร็จพลายแก้วและนางทองประศรีก็เข้าพักผ่อน พอตกต่ำ พลายแก้วคิดถึงนางพิมด้วยความเสน่หาอย่างยิ่ง จึงเดินมาจนถึงบ้านนางพิม แล้วสะเดาะกลอน เปิดหน้าต่างปีนเข้าห้อง เห็นนางหลับอยู่ก็เข้ากอดแล้วปลุกให้ตื่น นางพิมตกใจ หวีดร้อง เพราะคิดว่าขโมย พลายแก้วจึงปลอบให้หายตกใจ แล้วเล่าความให้ฟังว่าไปขอให้แม่มาสู่ขอ นางพิมสำเร็จเรียบร้อยแล้ว นางพิมได้ฟังแล้วดีใจสุดชีวิต กล่าวย้ำว่า ถ้าพูดไม่จริงอีกคราวนี้จะไม่ขอมี ชีวิตอยู่ให้อายคน พลายแก้วยืนยันว่า ในวันพรุ่งนี้แม่ทองประศรีจะมาสู่ขอแน่นอน พลายเก้วอยู่ กับนางพิมจนถึงเช้าจึงได้จากไป รุ่งเช้า นางทองประศรีอาบน้ำล้างหน้าแล้วเรียกตัว ตาสน ตาเสา ยายมิ่ง ยายเม้า มา ปรึกษาหารือ ขอให้เป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอลูกสาวนางศรีประจัน เถ้าแก่ทั้งสี่ไม่ขัดข้องต่างกลับไปแต่งตัว ให้เหมาะสม นุ่งผ้าตามะกล่ำ ห่มผ้าไหมปัก นางทองประศรีแต่งตัวด้วยผ้าตาบัวปอก ห่มขาว มีบริวาร ถือหีบหมากตามไปด้วย พลายแก้วกลัวเถ้าแก่เจรจาไม่สำเร็จ เสกขี้ผึ้งด้วยอาคมหัวใจกรณีย์ให้เถ้าแก่ รับไปสีปาก จากนั้นนางทองประศรีเดินนำหน้า ตามด้วยเถ้าแก่และบริวาร ตรงไปบ้านนางศรีประจัน นางศรีประจันปิดหน้าต่างมาเห็น เรียกบ่าวไพรให้รีบปูเสื่อหาหมากพลูรับรองแขก หญิง ทั้งสองทักทายไถ่ถามทุกข์สุขกันและกันเพราะไม่พบกันมานานถึง ๑๑ ปี จากนั้นนางทองประศรี ก็บอกจุดมุ่งหมายที่มาพบในวันนี้ว่า จะขอพันธุ์ฟักแฟงแตงน้ำเต้า ที่ออเจ้าไปปลูกในไร่ข้า ทั้งอัตคัดขัดสนจนเงินตรา จะมาขายออแก้วให้ช่วงใช้ อยู่รองเท้านึกเอาว่าเกือกหนัง ไม่เชื่อฟังก็จะหาประกันให้ ได้บากบั่นมาถึงเรือนอย่าเบือนไป จะได้ฤๅไม่ได้ให้ว่ามา ฯ (หน้า ๑๔๒-๑4๓) นางศรีประจันฟังแล้วก็หัวร่อ บอกว่าไม่ต้องพูดอ้อมค้อม เป็นเพื่อนบ้านกันมานาน ยินดี ยกลูกสาวให้ ถ้ำเป็นตนขยันขันแข็งทำมาหากิน นางบอกว่า เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันนานมา ลูกข้าข้าจะหวงไว้ทำไม ถึงยากจนอย่างไรก็ไม่ว่า แต่พร้าขัดหลังมาจะยกให้ อุตส่าห์ทำมาหากินไป รู้ทำรู้ได้ด้วยง่ายดาย ถึงเงินทองเป็นของพ่อแม่ให้ ไม่รู้รักษาไว้ก็ฉิบหาย (หน้า ๑4๓) ว่าแล้วนางศรีประจันก็ถามเถ้าแก่ตามธรรมเนียมว่า ฝ่ายผู้ชายเป็นคนดีหรือเปล่า กินเหล้าเมากัญชา สูบฝิ่น เล่นการพนันหรือไม่ รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ตาสน ตาเสา ยายเม้า ยายมิ่งซึ่งเป็นเถ้าแก่ ช่วยกันตอบว่าพลายแก้วเป็นคนดี ว่านอนสอนง่าย ฉลาด รูปร่างหน้าตาดี มี ความประพฤติเรียบร้อย เมื่อครั้งบวชเป็นเณรเทศน์กัณฑ์มัทรีได้ไพเราะจับใจญาติโยมเป็นอย่างยิ่ง แล้วเท้าความว่า ปีกลายนางศรีประจันกับนางพิมเป็นเจ้าของกัณฑ์มัทรีนางพิมฟังเทศน์แล้วชอบใจ จนเปลืองผ้าสีทับทิมติดกัณฑ์เทศน์ แล้วขุนช้างก่อเหตุไว้ นางศรีประจันจึงบอกว่าจำได้แล้ว และยินดี
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗๗ ยกลูกสาวให้ โดยขอเรียกสินสอดเป็นเงินสิบห้าชั่ง มีเครื่องขันหมาก ผ้าไหว้หนึ่งสำรับ และเรือนหอ ฝากระดานห้าห้อง กำหนดงานหมั้นวันเสาร์ เก้าค่ำ เดือนสิบสอง นางทองประศรีรับคำ แล้วชวนเถ้า แก่ลากลับ จากนั้นจึงบอกกล่าวให้ลูกชายรู้ว่าสู่ขอสำเร็จแล้ว จากนั้นนางศรีประจันสั่งบ่าวไพร่ทำอาหารคาวหวาน จัดหมากพลูใส่พาน แล้วลงเรือไป วัดแค นางศรีประจันไปพบสมภารคงซึ่งกำลังนั่งเล่นหมากรุก นิมนต์ให้ไปสวดมนต์พร้อมพระอีก สิบรูปในวันแต่งงานนางพิม สมภารได้ฟัง อุทานว่า นางพิมโตเป็นสาวจนจะแต่งงานแล้วหรือ เห็นเป็นเด็กอาบน้ำแก้ผ้าวิ่งเล่นอยู่ในวัดเมื่อปีกลาย นางศรีประจันกำชับนัดหมายแน่นอน แล้วก็รีบกลับบ้าน ส่วนพลายแก้วออกปากบอกเพื่อนผู้ชายให้มาลงแขกปลูกเรือนหอพอถึงฤกษ์ทำขวัญ ยกเสาเอกเสร็จแล้วเริ่มปลูกเรือนไทย สับขื่อพรึงติดสนิทดี ตะปูตียกเสาดั้งตั้งขึ้นไว้ ใส่เต้าจึงเข้าแปลานพลัน เอาจันทันเข้าไปรับกับอกไก่ พาดกลอนผ่อนมุงกันยุ่งไป จั่วใส่เข้าฝาเช็ดหน้าอึง บ้างเจาะถากถุ้งเถียงเสียงเอะอะ เกะกะกบไสไซเหล็กจึ้ง บ้างผ่าฟันสนั่นอึงคะนึง วันหนึ่งแล้วเสร็จสำเร็จการ (หน้า ๑๔๕) รุ่งเช้า นางทองประศรีจัดขันหมากและวงมโหรีลงเรือกัญญาแล่นไป ขึ้นท่าน้ำที่บ้าน นางศรีประจัน พอเรือจอด ตาผลรีบวิ่งไปเอาไม้กั้นขบวนขันหมาก เสียค่ากั้นประตูให้ตาผลแล้วขน ขันหมากขึ้นเรือน ยายเม้านับขานจำนวนเงินและผ้าไหว้ครบจำนวนตามสัญญากันไว้แล้วก็ให้ ขนขันหมากเข้าเรือนไป จากนั้นให้บ่าวยกข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูรับรองแขก เสร็จแล้วลงเรือกลับ ฝ่ายพลายแก้ว พอตกบ่ายก็ยกเหล้ากับแกล้มออกมาดื่มกิน แล้วให้บ่าวไปเชิญขุนช้างให้ มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว เมื่อขุนช้างทราบข่าว ตกใจราวกับฟ้าผ่าศีรษะ เสียดายนางพิมใจจะขาด ต้อง ผินหน้าเข้าข้างฝาร้องไห้ แต่คิดอยู่ในใจว่า จะต้องเอานางพิมเป็นเมียให้ได้แม้เป็นเมียใครมาก่อน ก็แล้วแต่คิดแล้วจึงไปอาบน้ำ นุ่งผ้ายกทอง ห่มส่านปักทอง ให้บ่าวไพร่ตามหลังเดินไปบ้านพลายแก้ว ซึ่งมีเพื่อนบ่าวหลายคนกำลังนั่งร่ำสุรากันอยู่แล้ว พอเริ่มเมามาย พลายแก้วพูดกับขุนช้างว่า รู้ว่า นางพิมเป็นเมียขุนช้าง แต่ตนรักจึงขอให้ขุนข้างยกให้ขุนช้างทำหน้างง แต่ก็ตอบว่า ถ้าไม่ใช่ พลายแก้วก็คงไม่ให้ ถ้าพลายแก้วไม่รักนางพิม ตนจะแต่งงานกับนางพิมเอง ว่าแล้วก็ดื่มเหล้าเมา สำราญกันทุกคน พอบ่าย พลายแก้วกับเพื่อนบ่าวลงเรือมาบ้านนางศรีประจัน ฝ่ายนางพิมก็มีเพื่อน เจ้าสาวห้อมล้อมกันออกมาจากห้อง ทั้งสองลงนั่งตรงหน้าท่านสมภาร ท่านสวมมงคลให้ จากนั้น พระสวดมนต์ซัดน้ำ พวกหนุ่มสาวพากันเบียดเข้าไป ทำให้ถูกเนื้อต้องตัวกัน พอเสร็จพิธีสวดมนต์ พระสงฆ์ฉันแล้วกลับวัด นางศรีประจันก็ให้ยกอาหารคาวหวานมาเลี้ยงแขกฝ่ายเจ้าบ่าวแล้วแจกของ ชำร่วยเป็น ‘ตลับถมตะทองกระทงเมี่ยง’ เลี้ยงดูกันจนค่ำ แขกฝ่ายเจ้าบ่าวจึงกลับบ้าน พลายแก้ว บอกนางทองประศรีให้กลับบ้านที่เมืองกาญจน์เพราะไม่มีใครดูแล นางทองประศรีบอกว่า บ่าวไพร่ ที่มาช่วยงานยังเหน็ดเหนื่อยกันอยู่ ไม่ควรรีบกลับ จะรออีกสัก 5 วัน ค่อยเดินทาง แล้วก็ไล่พลายแก้ว ให้ไปนอนบ้านนางศรีประจัน
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗๘ พลายแก้วต้องนอนหอตามลำพังเป็นเวลา 3 วันตามธรรมเนียม พอครบ ๓ วัน นางศรีประจันเรียกนางพิมมาสั่งสอนตักเตือนเรื่องหน้าที่ของแม่บ้านแม่เรือน เช่น ให้เคารพสามี ไม่หึงทวงจาบจ้วงล่วงเกิน ฯลฯ สอนลูกจนถึงดึกจึงพานางพิมมาส่งตัวให้พลายแก้วที่เรือนหอ ก่อนไป ก็สอนว่าให้ทั้งสองรักกันจนกว่าจะตายจากกัน หากนางพิมทำผิดพลาดสิ่งใด ขอพลายแก้วสั่งสอนก่อน อย่าเพิ่งทุบตีด่าทอ เมื่อสั่งสอนแล้วก็หับประตูห้อง ทิ้งเจ้าสาวให้อยู่กับเจ้าบ่าว เมื่ออยู่ตามลำพัง บ่าวสาวก็ออดอ้อนออเซาะ พร่ำพูดแสดงความรักต่อกันจนหลับไป
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๗๙ เอกสารอ้างอิง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘๐ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน นางพิมเปลี่ยนชื่อวันทอง ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มาตรฐานและตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ม.4-6/5 วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น โต้แย้งกับเรื่องที่อ่านและเสนอ แนวความคิดใหม่อย่างมีเหตุผล มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน รูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้า อย่างมีประสิทธิภาพ ม.4-6/1 เขียนสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ภาษาเรียบเรียง ถูกต้อง มีข้อมูล และสาระสำคัญชัดเจน มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ม.4-6/๓ ประเมินเรื่องที่ฟังและดู แล้วกำหนดแนวทางนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและ พลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ม.4-6/๔ แต่งบทร้อยกรอง มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.4-6/1 วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้น สาระการเรียนรู้ 1. ตำนานเสภา 2. ตำนานขุนช้างขุนแผน 3. ประวัติผู้แต่ง 4. สาแหรกของตัวละคร 5. บทร้อยกรอง 6. บทถอดความร้อยกรอง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘๑ เนื้อหาสาระวรรณคดีท้องถิ่น จังหวัดสุพรรณบุรี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘๒ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน นางพิมเปลี่ยนชื่อวันทอง ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มาตรฐานและตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ม.4-6/5 วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น โต้แย้งกับเรื่องที่อ่านและเสนอ แนวความคิดใหม่อย่างมีเหตุผล มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน รูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้า อย่างมีประสิทธิภาพ ม.4-6/1 เขียนสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ภาษาเรียบเรียง ถูกต้อง มีข้อมูล และสาระสำคัญชัดเจน มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ม.4-6/๓ ประเมินเรื่องที่ฟังและดู แล้วกำหนดแนวทางนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและ พลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ม.4-6/๔ แต่งบทร้อยกรอง มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.4-6/1 วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้น สาระการเรียนรู้ 1. ตำนานเสภา 2. ตำนานขุนช้างขุนแผน 3. ประวัติผู้แต่ง 4. สาแหรกของตัวละคร 5. บทร้อยกรอง 6. บทถอดความร้อยกรอง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘๓ ตำนานเสภา พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประเพณีการขับเสภามีแต่ครั้งกรุงเก่า แต่จะมีขึ้นเมื่อใด แลเหตุใดจึงเอาเรื่องขุนช้าง ขุนแผนมาแต่งเป็นกลอนขับเสภา ทั้ง ๒ ข้อนี้ยังไม่พบอธิบายปรากฏเป็นแน่ชัด แม้แต่คำที่เรียกว่า “เสภา” คำนี้ มูลศัพท์จะเป็นภาษาใด แลแปลว่ากะไร ก็ยังสืบไม่ได้ความ คำ “เสภา” นี้ นอกจาก ที่เรียกการขับร้องเรื่องขุนช้างขุนแผนอย่างเราเข้าใจกัน มีที่ใช้อย่างอื่นแต่เป็นชื่อเพลงปี่พาทย์ เรียกว่า “เสภานอก” เพลงหนึ่ง “เสภาใน” เพลงหนึ่ง “เสภากลาง” เพลงหนึ่ง ชวนให้สันนิษฐานว่า “เสภา” จะเป็นชื่อลำนำที่เอามาใช้เป็นทำนองขับเรื่อง ขุนช้างขุนแผน แต่ผู้ชำนาญดนตรีกล่าวยืนยันว่า ลำนำ ที่ขับเสภาไม่ได้ใกล้กับเพลงเสภาเลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอันยังแปลไม่ออก ว่าคำที่ว่า “เสภา” นี้จะแปล ความกะไร แต่มีเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหนังสือต่างๆบ้าง ข้าพเจ้าเคยได้สดับคำผู้หลักผู้ใหญ่เล่ามาบ้าง สังเกตเห็นในกระบวนกลอนแลถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเสภาบ้าง ประกอบกับความสันนิษฐาน เห็นมีเค้าเงื่อนพอจะคาดคะเนตำนานของเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนได้อยู่ ข้าพเจ้าจะลองเก็บเนื้อความ มาร้อยกรองแสดงโดยอัตโนมัติ ประกอบด้วยเหตุผลซึ่งจะชี้แจงไว้ให้ปรากฏแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าว่าโดยประเพณีของการขับเสภา ถึงไม่ปรากฏเหตุเดิมแน่นอน ก็พอสันนิษฐานได้ว่า มูลเหตุคงเนื่องมาแต่เล่านิทานให้คนฟัง อันเป็นประเพณีมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ทีเดียว แม้ในคัมภีร์ สารัตถสมุจจัยซึ่งแต่งมากว่า ๗๐๐ ปี ยังกล่าวในตอนอธิบายเหตุแห่งมงคลสูตรว่า ในครั้ง พระพุทธกาลนั้น ตามเมืองในมัชฌิมประเทศ มักมีคนไปรับจ้างเล่านิทานให้ฟังกันในที่ชุมนุมชน เช่น ที่ศาลาพักคนเดินทาง เป็นต้น เกิดแต่คนทั้งหลายได้ฟังนิทาน จึงโจษเป็นปัญหากันขึ้นว่าอะไร เป็นมงคล เป็นปัญหาแพร่หลายไปจนถึงเทวดาไปทูลถามพระพุทธองค์ จึงได้ทรงแสดงมงคลสูตร ประเพณีการรับจ้างเล่านิทานให้คนฟังดังกล่าวมานี้ แม้ในสยามประเทศก็มีมาแต่โบราณ จนนับเป็น การมหรสพอย่างหนึ่ง ซึ่งมักมีในการงาน เช่นงานโกนจุก ในตอนค่ำเมื่อพระสวดมนต์แล้ว ก็หาคน ไปเล่านิทานให้แขกฟังเป็นประเพณีมาเก่าแก่ แลยังมีลงมาจนถึงในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ขับเสภาก็ คือเล่านิทานนั้นเอง และประเพณีมีเสภาก็มีในงานอย่างเดียวกับที่เล่านิทานนั้น จึงเห็นว่าเนื่องมาจาก เล่านิทาน ขับเสภาผิดกับเล่านิทานแต่เอานิทานมาผูกเป็นกลอน สำเนียงที่เล่าใช้ขับเป็นลำนำ และ ขับกันเฉพาะเรื่องขุนช้างขุนแผนเรื่องเดียว เสภาผิดกับเล่านิทานที่เป็นสามัญอยู่แต่เท่านี้ ถ้าจะลอง สันนิษฐานว่า เหตุใดจึงมีคนคิดขับเสภาขึ้นแทนเล่านิทาน ก็ดูเหมือนพอจะเห็นเหตุได้ คือเพราะเล่า นิทานฟังกันมานานๆ เข้าออกจะจืด จึงมีคนคิดจะเล่าให้แปลก โดยกระบวนแต่งเป็นบทกลอนว่าให้ คล้องกัน ให้น่าฟังกว่าที่เล่านิทานอย่างสามัญประการหนึ่ง เมื่อเป็นบทกลอนจึงว่าเป็นทำนองลำนำ ตามวิสัยการว่าบทกลอน ให้ไพเราะขึ้นกว่าเล่านิทานอีกประการหนึ่ง ข้อที่ขับแต่เรื่องขุนช้างขุนแผน เรื่องเดียวนั้น คงจะเป็นด้วยนิทานเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องที่ชอบกันแพร่หลายในครั้งกรุงเก่า ยิ่งกว่านิทานเรื่องอื่นๆ ด้วยเป็นเรื่องสนุกจับใจ แลถือกันว่าเป็นเรื่องจริง จึงเกิดขับเสภาขึ้นด้วย ประการฉะนี้
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘๔ ตำนานขุนช้างขุนแผน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้มีเนื้อความปรากฎในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ว่าพระราชวงศ์ของพระเจ้าอู่ทองได้ครองราชสมบัติในกรุงศรีอยุธยาตามลำดับหลายพระองค์ จนถึง พระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าพระพันวษา ภาษาพม่าเรียกว่า พระเจ้าวาตะถ่อง แปลว่าสำลีพันหนึ่ง มีพระมเหสีทรงพระนามว่า สุริยวงศาเทวี มีพระราชโอรสองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระบรมกุมาร ต่อมา พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนะหุตล้านช้าง ปรารถาจะเป็นพันธมิตรกับกรุงศรีอยุธยา จึงส่งพระราชธิดา องค์หนึ่ง มีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา มาถวายพระพันวษา ระหว่างทางได้ถูกพระเจ้าโพธิสารราชกุมาร พระเจ้านครเชียงใหม่ ไม่ต้องการให้กรุงศรีสัตนาคนะหุต มาเป็นมิตรกับกรุงศรีอยุธยาจึงส่งกำลังเข้า แย่งชิงพระราชธิดาไปได้สมเด็จพระพันวษาทราบเรื่องก็ทรงพระพิโรธ สั่งให้ยกทัพไปตีนครเชียงใหม่ ในการนี้ จำต้องหาผู้ที่มีฝีมือในการรบไปทำการ พระหมื่นศรีมหาดเล็ก ได้กราบทูลให้ใช้ขุนแผน ซึ่งต้องโทษอยู่ในคุกให้เป็นแม่ทัพหน้ายกไปตีเมืองเชียงใหม่ ขุนแผนก็รับอาสาพร้อมกับถวายทัณฑ์บน ว่าถ้าทำการไม่สำเร็จก็จะขอถวายชีวิต พระพันวษาจึงตั้งให้ขุนแผนเป็นแม่ทัพ ถืออาญาสิทธิ์คุม กองทัพไทย ไปตีนครเชียงใหม่เมื่อกองทัพยกไปถึงเมืองพิจิตร ได้ไปขอดาบเวทวิเศษ (ดาบฟ้าฟื้น)กับ ม้าวิเศษ (ม้าสีหมอก) ที่ฝากเจ้าเมืองพิจิตรไว้คืนมาเพื่อนำไปใช้ในการศึกเมื่อกองทัพถึงเชียงใหม่ ฝ่ายเชียงใหม่ได้ทำการต่อสู้เป็นสามารถ แต่สู้ไม่ได้ขุนแผนเข้านครเชียงใหม่ได้ พระเจ้านครเชียงใหม่ หนีไป ขุนแผนจึงจับอัครสาธุเหวี มเหสีเจ้าเชียงใหม่กับพระราชธิดานามว่าเจ้าแว่นฟ้าทองพร้อมสนม น้อยใหญ่ของพระเจ้านครเชียงใหม่ไว้ และให้เชิญนางสร้อยทอง ราชธิดาพระเจ้าล้านช้าง พร้อมทั้ง มเหสีและราชธิดาพระเจ้านครเชียงใหม่ที่จับไว้ได้เลิกกองทัพกลับมาถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาได้โปรดเกล้าๆ ให้พระเจ้าเชียงใหม่กลับมาครองเมืองเชียงใหม่ตามเดิม เพื่อความสงบสุขของสมณชีพราหมณ์และราษฎรชาวเมืองเชียงใหม่ และให้พระราชทานบำเหน็จ รางวัลแก่ขุนแผนและกำลังพลกองทัพโดยทั่วหน้า ทรงตั้งนางสร้อยทองเป็นพระมเหสีซ้าย นางแว่นฟ้า เป็นสนมเอก ส่วนมเหสีพระเจ้านครเชียงใหม่ ทรงส่งคืนให้พระเจ้านครเชียงใหม่ ส่วนบรรดาข้าคน ชาวล้านช้างและชาวเชียงใหม่ก็ให้ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินในกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายขุนแผนเมื่อเห็นว่าตนชราภาพแล้ว จึงนำดาบเวทวิเศษของตนถวายสมเด็จ พระพันวษา พระองค์ทรงรับไว้เป็นพระแสงทรงสำหรับพระองค์และทรงพระราชทานว่าพระแสงปราบศัตรู แลทรงตั้งนามพระขรรค์แต่ครั้งพระยาแกรกนั้นว่าพระขรรค์ไชยศรี สมเด็จพระพันวษาทรงครองราชย์ได้ ๒๕ พรรษา เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุ ๔0 พรรษา จากหลักฐานดังกล่าว เรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องที่เกิดในแผ่นดินสมเด็จ พระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐ) พระโอรสสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๔ - พ.ศ. ๒๐๗๒
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘๕ ประวัติผู้แต่ง พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311 – 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ; ครองราชย์ 8 กันยายน พ.ศ. 2352 – 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367) เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ เป็นกษัตริย์องค์ที่สองของสยามในสมัยราชวงศ์จักรี ปกครองระหว่าง พ.ศ. 2352 ถึง พ.ศ. 2367 ในปี พ.ศ. 2352 เจ้าฟ้าฉิมหรือกรมหลวงอิศรสุนทรพระราชโอรสองค์โตสืบราชบัลลังก์ต่อจากรัชกาล ที่ 1 พระราชบิดาผู้สถาปนาราชวงศ์จักรีเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชสมัยของ พระองค์สงบสุข ปราศจากความขัดแย้ง รัชสมัยของพระองค์เป็น “ยุคทองของวรรณคดี” เนื่องจาก พระองค์ทรงอุปถัมภ์กวีหลายคนในราชสำนักและพระองค์เองก็มีชื่อเสียงในฐานะกวีและศิลปิน กวี ที่โดดเด่นที่สุดในราชสำนักคือสุนทรภู่ ผลงานด้านวรรณกรรม ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับการยกย่องว่า เป็นยุคทอง ของวรรณคดีสมัยหนึ่งเลยทีเดียว ด้านกาพย์กลอนเจริญสูงสุด จนมีคำกล่าวว่า “ในรัชกาลที่ 2 นั้น ใครเป็นกวีก็เป็นคนโปรด”กวีที่มีชื่อเสียงนอกจากพระองค์เองแล้ว ยังมีกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ 3) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สุนทรภู่ พระยาตรัง และ นายนรินทรธิเบศร์ (อิน) เป็นต้น พระองค์มีพระราชนิพนธ์ที่เป็นบทกลอนมากมาย ทรงเป็นยอดกวี ด้านการแต่งบทละครทั้งละครในและละครนอก มีหลายเรื่องที่มีอยู่เดิมและทรงนำมาแต่งใหม่เพื่อให้ ใช้ในการแสดงได้ เช่น รามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา โดยเรื่องอิเหนานี้ เรื่องเดิมมีความยาวมาก ได้ ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเรื่องยาวที่สุดของพระองค์ วรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ 6 ได้ยกย่องให้เป็นยอดบทละครรำที่แต่งดี ยอดเยี่ยมทั้งเนื้อความ ทำนองกลอนและกระบวนการเล่น ทั้งร้องและรำ นอกจากนี้ยังมีละครนอกอื่น ๆ เช่น ไกรทอง สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ หลวิชัยคาวี มณีพิชัย สังข์ศิลป์ชัย ได้ทรงเลือกเอาของเก่ามาทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่บางตอน และยังทรงพระราชนิพนธ์ บทพากย์โขนอีกหลายชุด เช่น ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ และชุดพรหมาสตร์ ซึ่งล้วนมีความไพเราะ ซาบซึ้งเป็นอมตะใช้แสดงมาจนทุกวันนี้
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘๖ สาแหรกของตัวละตน
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘๗ บทร้อยกรอง เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน นางพิมเปลี่ยนชื่อวันทอง ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย ๏ จะกล่าวถึงนางพิมพิลาไลย นอนเดียวเปลี่ยวใจอยู่ในหอ คอยทัพตรับฟังยังรั้งรอ ไม่แจ้งข้อเนื้อความประการใด รำลึกดึกดื่นทุกคืนคอย แต่ละห้อยหาหลับสนิทไม่ นอนวันฝันเห็นให้เป็นไป หลงใหลเพ้อพูดดังผีลง อยู่อยู่แล้วก็จู่ออกนอกห้อง หัวเราะร้องร่าเร่อมะเมอหลง เพอิญเข็ญเป็นไข้ไม่คืนคง แต่ทรุดทรุดแล้วทรงเสมอไป สายทองเข้าประคองประคับปลอบ จะฟังชอบหูเหืองหามีไม่ โอ้พ่อพลายแก้วแววไว ไม่เห็นใจเมียแล้วกระมังนา ฯ ๏ ครานั้นศรีประจันผู้แม่เถ้า เห็นลูกสาวซูบเศร้าลงหนักหนา กลัดกลุ้มคลุ้มคลั่งไม่ฟังยา มดหมอหามาก็หลายคน หมอจะเอาอะไรให้ทุกสิ่ง ข้าไทชายหญิงวิ่งสับสน วุ่นวายทั้งบ้านแกบานบน จนใจไม่รู้ว่าเป็นไร ถามหมอลางหมอว่าไม่ตาย ลางหมอก็ว่าร้ายเห็นไม่ได้ บ้างก็ว่าลมบาทยักษ์ชักหัวใจ บ้างก็ว่าไข้เพื่อเลือดระดูทำ บ้างว่าผีเรือนวิ่งเข้าออก ศรีประจันตากลอกไม่เป็นสํ่า มดหมอตะแก่ด่าว่าระยำ มานั่งกินพล่ำพล่ำสบายใจ คนเจ็บร้องเสียงเหมือนวัวมอ อ้ายหมอนั่งหัวร่อหาดูไม่ จะให้มันรักษาไปว่าไร ไสหัวให้ไปพ้นเรือนกู หมออยู่ไม่ได้ไปสิ้นเรือน ศรีประจันด่าเปื้อนสนั่นหู หาหมอมาให้มากเปลืองหมากพลู เข้ามาดูลูกแล้วรำคาญใจ ผอมนักผอมหนาตาบ้องแบว กอดลูกเข้าแล้วก็ร้องไห้ แม่เฝ้ารักษามาแต่ไร ก็มิได้เคลื่อนคลายสักเวลา ไม่รู้ว่าเป็นโรคสิ่งอันใด คิดคิดผิดใจเป็นหนักหนา ยาหมอให้กินสิ้นตำรา เสียเงินสักตะกร้าไปได้แล้ว อุตส่าห์เถิดนะเจ้ากินข้าวปลา เอาใจไว้ท่าออพลายแก้ว แต่ยกทัพขึ้นไปไม่วี่แวว มิได้แว่วเรื่องราวว่าอย่างไร ปลอบลูกถูกต้องประคองมือ กินข้าวต้มฤๅแม่จะต้มให้ ไม่พูดจามาบ้างเป็นอย่างไร ฤๅผีใครมาเข้าบอกเรามา ลูกเต้าของเราทำไมมัน พ่อพันศรผัวข้าฤๅไรขา จะเซ่นเหล้าข้าวทั้งเต่าปลา ไม่รู้ว่าพ่อมาอย่าถือใจ ช่วยลูกพอให้คลายหายขาด จะทำบุญตักบาตรส่งไปให้ มัวแลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ทำไม ออพิมเป็นไข้มาช่วยกัน นางพิมฮึดฮัดขัดใจ ผีสางอะไรที่ไหนนั่น
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘๘ โทษเอาพ่อข้าสารพัน นับวันไปเถิดไม่รอดตาย หนักอกหนักใจลูกหนักหนา แม่อย่ารักษามันไม่หาย ทำกะไรจะได้เห็นหน้าพ่อพลาย กอดสายทองเข้าสะอื้นไป ฯ ๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน ตัวสั่นน้ำตาลงหลั่งไหล ดูลูกวิปริตเห็นผิดใจ รำลึกขึ้นได้ถึงขรัวตา แกจึงลุกออกมานอกห้อง ร้องเรียกข้าไทอยู่ไหนหวา หมากพลูใส่พานลนลานมา เข้าในวัดป่าเลไลยพลัน ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปหา ประเคนหมากขรัวตาขมีขมัน ออพิมเป็นไข้กะไรครัน มดหมอทั้งสุพรรณไม่เคลื่อนคลา ใหลเล่อเพ้อพูดดังผีเข้า ผอมโศกซูบเศร้าลงหนักหนา เห็นจะไม่เป็นตัวแล้วขรัวตา กรุณาช่วยดูให้แจ้งใจ ฯ ๏ ครานั้นจึงท่านขรัวตาจู พิเคราะห์จับยามดูหาช้าไม่ ครั้นดูรู้ประจักษ์ก็ทักไป ออพิมพิลาไลยนี่เคราะห์ร้าย มันตกลงที่นั่งนางสีดา เมื่อทศพักตร์ลักพาไปสูญหาย ถ้าแม้นไม่จากผัวตัวจะตาย ถ้ายักย้ายแก้ไขไม่เป็นไร ผลัดชื่อเสียพลันว่าวันทอง จะครอบครองทรัพย์สินทั้งปวงได้ โรคนั้นพลันจะคลายหายไป หาบรรลัยไม่ดอกสีกายาย ฯ ๏ ศรีประจันรับคำแล้วอำลา ดีใจขรัวตาแกว่าหาย ถึงเรือนร้องไปว่าไม่ตาย ขรัวตาตะแก่ทายกูแน่ใจ แล้วก็จัดข้าวปลาแลกล้วยอ้อย ขนมเล็กขนมน้อยเอาลงใส่ จะทำขวัญเจ้าพิมพิลาไลย ข้าวของจัดไว้ก็ใส่ลง ยายศรีประจันตักขวัญลูก ผิดผิดถูกถูกแกว่าหลง ขวัญเอ๋ยอย่าเที่ยวไปไพรพง กลางดงคนเดียวอยู่เปลี่ยวดาย อย่าหลงชมเสือสีห์หมีเม่น กระแตกระเต็นเต้นตุ่นกระต่าย อย่าหลงชมแรดช้างแลกวางทราย ชะนีค่างนางกรายจะหลอนเลียน แล้วก็ตักข้าวปลาเข้ามาฟาด โรคภัยหายขาดบาดหนามเสี้ยน เอาด้ายดำผูกมือรื้อดับเทียน เปลี่ยนพิมผลัดชื่อวันทองพลัน อยู่มาข้าวปลาก็กินได้ หลับใหลไม่เพ้อมะเมอฝัน คลายคลี่มีเนื้อขึ้นทุกวัน ศรีประจันค่อยสำราญบานใจ ฯ ๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าขุนช้าง รู้ว่านางนั้นคลายหายไข้ พลายแก้วไปทัพก็หายไป ไม่ได้ข่าวราวเรื่องว่าร้ายดี เมื่อไรไหนมันจะได้กลับ ลาวมันมิแหวะตับลงกลิ้งคี่ ฤทธิเดชเวทมนตร์อะไรมี ถ้าตีเชียงทองได้จะกลับมา อย่าเลยจะผลอขอวันทอง ถนอมไว้ในห้องจะดีกว่า จะพูดจาว่าขานกับมารดา บอกศรีประจันว่าออแก้วตาย จึงสั่งบ่าวไพร่ไปเร็วหวา ไปหาป้ากลอยกับป้าสาย
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๘๙ ว่ากูเชิญมาในห้องทั้งสองยาย อ้ายบ่าวรับคำนายวิ่งลนลาน ครั้นถึงยายกลอยกับยายสาย บอกว่านายให้เชิญเข้าไปบ้าน ทั้งสองยายได้ฟังมาลนลาน ถึงบ้านขุนช้างเข้าทันใด ขุนช้างว่าวอนให้อ่อนจิตร เงินทองไม่คิดจะเสียให้ จงปรานีตัวข้าพากันไป ขอวันทองให้ข้าสักที ออแก้วผัวนั้นมันไปทัพ แตกยับลาวแทงเสียเป็นผี ใครจะรอดมาได้ก็ไม่มี บัดนี้นางพิมพิลาไลย แม่ผลัดชื่อว่าเจ้าวันทอง หมอทายว่าจะครองทรัพย์สินได้ จงช่วยเอ็นดูข้าพากันไป ขอวันทองให้ข้าหน่อยรา ฯ ๏ ครานั้นยายกลอยกับยายสาย ไม่รู้แยบคายขุนช้างว่า หลงใหลแต่จะได้เงินตรา ก็รับคำอำลามาทันใด สองยายอาบน้ำแต่งตัว ทาแป้งหวีหัวนุ่งผ้าใหม่ ขุนช้างเสือกหาข้าไท ที่ไว้เนื้อเชื่อใจแต่ก่อนมา ค่อยกระซิบกระซาบสั่งคดี ธุระของกูมีเป็นหนักหนา กูเคยไว้ใจแต่ไรมา อย่าช้าเอ็งรีบออกไปวัด เก็บเอากระดูกผีที่ป่าช้า ใส่หม้อใหม่มาให้ถนัด อ้ายบ่าวรีบมาป่าช้าชัฏ จัดหม้อกระดูกได้ไวทันการ ขุนช้างรับหม้อใหม่เข้าในห้อง นุ่งผ้ายกทองแล้วห่มส่าน จับกระจกขึ้นชูดูกระบาน เห็นหัวตัวล้านรำคาญใจ กูแค้นน่าแพ่นลงสักโขก โสโครกไม่เอาแก้วเอาการได้ เกลี้ยงหน้าเกลี้ยงหลังดูจังไร จับเขม่าเข้าใส่สักสองเพรียง เปื้อนเปรอะเลอะหน้าเหมือนทาเล่น หวีกระจายรายเส้นไม่มิดเกลี้ยง เอาไม้น้อยสอยเส้นให้รายเรียง มุหน่ายป้ายเคียงลงเต็มที อ้ายหยอกหยอยมันน้อยกว่าที่เปล่า ผมขี้เค้าน่าเกลียดขี้เกียจหวี อนิจจาข้าวของเงินทองมี ช่วยทาสีทาสาได้กว่าพัน ซื้อช้างซื้อม้าก็กว่าร้อย ผมหน่อยหนึ่งกะไรไม่มิดขวัญ ถ้าซื้อได้กูจะใส่เสียให้ครัน ตัดกันดูเล่นเส้นงามงาม ถ้ารู้ว่าจะล้านแต่กำเนิด กูไม่ปรารถนาเกิดอ้ายสํ่าสาม ขัดแค้นแน่นใจดังไฟลาม ลุกเดินผลีผลามเข้าห้องใน จับหม้อกระดูกผูกกระดาษ บ่าวไพร่หมอบกลาดทั้งน้อยใหญ่ ขุนช้างเรียกบ่าวที่ไว้ใจ ส่งหม้อกระดูกให้แล้วเดินมา ลงจากเรือนพลันตะวันเที่ยง สองยายเดินเรียงมาข้างหน้า ถึงเรือนศรีประจันมิทันช้า ถามหาท่านยายศรีประจัน อีบ่าวบอกว่าอยู่ข้างใน แล้ววิ่งไปบอกนายขมีขมัน ว่าขุนช้างมาหาตาเป็นมัน หยุดยั้งอยู่นั่นตีนบันได ฯ
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๙๐ ๏ ยายศรีประจันเปิดหน้าต่าง แลเห็นขุนช้างร้องปราศรัย เหงื่อไหลโซมหน้าพ่อมาไย จะไปไหนเชิญขึ้นมาข้างบน ขุนช้างก็ย่างขึ้นบันได สองยายนั้นไซ้เดินติดกัน นั่งลงแลมาตาเหลือกลน ยกมือไหว้วนเป็นซนไฟ ศรีประจันรับไหว้มิใคร่ทัน หันหน้ามาเสือกเชี่ยนหมากให้ พ่อมาหลายคนทำวนอะไร เป็นไฉนยายกลอยยายสายมา ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าขุนช้าง ทำครวญครางอู้อี้แล้วยี่หน้า น้ำตากระเด็นเป็นเม็ดเช็ดน้ำตา เอาหม้อกระดูกมาตั้งลงไว้ นี่คือกระดูกออพลายแก้ว ลาวแทงเสียแล้วเขาเอามาให้ พระยาเชียงทองมันสองใจ เข้าด้วยเชียงใหม่แล้วกลับมา ทำเป็นเข้าด้วยออพลายแก้ว ยกทัพมาแล้วถึงกลางป่า หยุดทัพหลับนอนมาหลายครา ครั้นเพลาพลบคํ่าลงรำไร พระยาเชียงทองย่องมาแทง เลือดแดงตลอดจนปอดไหล ร้องขึ้นอึงมี่มันหนีไป ออแก้วก็สิ้นใจไปไม่ช้า บ่าวมาถึงกรุงก็ติดคุก หลายคนทนทุกข์อยู่หนักหนา อ้ายมากฝากหม้อกระดูกมา ว่าแล้วทำหน้าเป็นทุกข์คลาย อายุมันสั้นเท่านั้นแล้ว คิดคิดถึงออแก้วก็ใจหาย ไม่พอที่จะกล้าอาสาตาย ให้แม่พิมเป็นหม้ายอยู่เอกา ฯ ๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน ได้ยินขุนช้างนั้นรำพันว่า ออแก้วตายแล้วนะอกอา แม่นับวันคอยท่าอยู่ทุกวัน วันทองเป็นไข้ก็ไม่ตาย เคราะห์โศกโรคร้ายเป็นกวดขัน ออพลายกลับตายเสียก่อนมัน เข้าหอยังไม่ทันสักเท่าไร วันทองร้องไห้มิได้งด จะปลอบมันไม่อดร้องไห้ได้ เรียกหาวันทองร้องอึงไป หัวใจเอ็งขาดแล้วแก้วแม่อา ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมนางวันทอง อยู่ในห้องได้ยินขุนช้างว่า เสียงแม่ร้องไห้โฮโผล่ออกมา เห็นหน้าขุนช้างก็ขัดใจ ใครมาว่าชั่วผัวกูตาย แกล้งใส่ความร้ายกูจะด่าให้ อ้ายงูเห่าเจ้าเล่ห์ทุกอย่างไป หม้อใบละสิบเบี้ยสู้เสียมา กระทืบตีนผางผางกลางประตู โคตรแม่มึงกูขี้คร้านด่า กลับเข้าในหอคลอน้ำตา ทอดตัวโศกาในที่นอน โอ้พ่อพลายแก้วของเมียเอ๋ย เมียไม่เชื่อมันเลยอ้ายหัวกล้อน มันแกล้งร้องระบุยุยอน ซอกซอนส่อเสียดจนไปทัพ แล้วกลับมาเจรจาว่าสอพลอ เอากระดูกใส่หม้อมาสับปลับ พูดได้เชือนแชอ้ายแม่ยับ กลอกกลับปลอกปลิ้นไปทุกตา คิดมาก็เป็นน่าน้อยใจ ผัวไปเท่านี้มีคนว่า ถ้าพ่อไม่ไปใครจะมา สุดปัญญาเมียแล้วพ่อแก้วเอย ฯ
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๙๑ ๏ ศรีประจันได้ฟังลูกสาวด่า รำคาญใจหนักหนาพ่อแม่เอ๋ย ใครใครอย่าได้ถือมันหน่อยเลย แต่ก่อนมันไม่เคยเป็นเช่นนี้ แต่เพียงเป็นไข้สันนิบาตคลั่ง ว่าไรไม่ฟังบ่นอู้อี้ ด่าอึงคะนึงบานขี้คร้านตี ไม่เห็นผีออแก้วแล้วแม่นา ฯ ๏ ครานั้นยายกลอยกับยายสาย ครั้นได้แยบคายแล้วจึงว่า เข้าไปกระซิบกระหยิบตา ว่านี่แน่คุณป้าศรีประจัน กฎหมายตั้งไว้แต่ไรมา ว่าใครกล้าอาสาไปทัพขันธ์ ถ้าเสียทัพกลับมาให้ฆ่าฟัน กฎหมายตั้งมั่นตามกระทรวง ถ้าแม้นตัวตายลงในทัพ ลูกเมียให้จับเป็นหม้ายหลวง ไพร่ซึ่งเสียทัพกลับทั้งปวง ให้ติดพวงส่งเข้ายังคุกใน วันทองจะต้องเป็นหม้ายหลวง จะยากเย็นเป็นห่วงหาน้อยไม่ ยักย้ายถ่ายเทเสียเป็นไร ขอให้ขุนช้างเอาเป็นเมีย เขาจะคิดแก้ไขที่ในกรุง เงินทองสักกี่ถุงจะสู้เสีย อย่าให้เกิดความใหญ่เป็นไฟเลีย ไกล่เกลี่ยเสียเถิดแต่ไกลไกล ฯ ๏ ครานั้นท่านยายศรีประจัน ตัวสั่นน้ำตาลงหลั่งไหล วันทองเป็นหม้ายผัวตายไป ไม่เห็นหน้าใครจะป้องกัน ขุนช้างมั่งมีเศรษฐีใหญ่ เงินทองเสียได้ไม่คิดพรั่น เห็นจะได้พึ่งพาข้างหน้าครัน คิดแล้วเท่านั้นจึงว่าไป วันทองเดี๋ยวนี้ก็ผัวตาย จะนิ่งไว้เป็นหม้ายเห็นไม่ได้ เกิดความหนามเสี้ยนจะยากใจ จะขอให้ก็ตามแต่ปัญญา แต่ทว่าทุ่งกว้างหนทางไกล กูนี้ไม่รู้แห่งที่จะว่า ถ้าแม้นไม่ตายออพลายมา เบื้องหน้าจะเกิดเนื้อความกัน ฯ ๏ ครานั้นยายกลอยกับยายสาย จึงว่าพลายแก้วตายเป็นแม่นมั่น พวกไพร่ติดคุกอยู่ทุกวัน แม้นว่าพลายแก้วนั้นรอดกลับมา ท่านไม่รู้เห็นจะเป็นไร เขาก็คงปรับไหมเอาแก่ข้า ถ้าท่านยอมให้ปันจงสัญญา ช้าอยู่ไม่ได้ภัยจะมี ถ้าเขามาเกาะเอาตัวไป ถ้อยความข้างในจะอึงมี่ ผันแปรแก้กันให้ทันที แรมปลายเดือนนี้จะทำการ ยายศรีประจันก็รับคำ ว่าแรมสามคํ่าให้ถึงบ้าน จงเร่งรีบมาอย่าช้านาน ว่าขานแน่นอนไม่ผ่อนไป ฯ ๏ครานั้นจึงโฉมนางจันทอง อยู่ในห้องได้ยินว่าแม่ให้ ลุกเต้นปัดปัดด้วยขัดใจ ร้องด่าข้าไทแจ้วแจ้วมา สายทองของน้องไปข้างไหน ไปเรียกอ้ายพรมมาหาข้า งานการเช้าคํ่าไม่นำพา โคตรแม่มึงคิดว่าประการใด ฯ ๏ ครานั้นสายทองผู้พี่เลี้ยง ได้ยินเสียงน้องเรียกอยู่ไจ่ไจ่ ร้องเรียกตาพรมระงมไป ไวไวมาหาแม่วันทอง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๙๒ ฝ่ายว่าตาพรมนั้นหัวล้าน ขานขาลุกออกมานอกห้อง ลงนั่งเอี้ยมเฟี้ยมแล้วเยี่ยมมอง แม่ร้องเรียกหาฉันว่าไร วันทองชี้หน้าด่าประจาน แม่มึงอ้ายหัวล้านหาดีไม่ จะรู้สึกสำนึกบ้างเป็นไร เป็นบ่าวไพร่บ้านช่องไม่นำพา ดีแต่เที่ยวโกหกพกลม มันน่าตบให้ล้มจมขี้หมา ให้หมาฝูงถนัดพลัดเข้ามา มึงหลับตาเฝ้าประตูไม่ดูแล มันมาเที่ยวเยี่ยวขี้มีแต่เปื้อน อ้ายขี้เรื้อนเห่าระเบ็งเซ็งแซ่ อีตัวเมียก็บอนหอนแงแง ปล่อยโคตรแม่มึงไว้ให้อึงคะนึง ฯ ๏ ครานั้นยายกลอยกับยายสาย วันทองด่าวุ่นวายนั่งหน้าบึ้ง ขุนช้างทำไม่รู้ไขหูตึง นิ่งอยู่ดูจะอึงเอาหนักไป จึงชวนยายกลอยกับยายสาย ว่าบ่ายแล้วเราลายกมือไหว้ ศรีประจันซ้ำว่าอย่านอนใจ ที่สัญญากันไว้ให้รีบมา วันทองร้องด่าไปอึงมี่ เหวยยายมีว่าไรไปไหนหวา งานการเช้าคํ่าไม่นำพา เสียงเฮฮาที่ไหนไปนั่งพูด ลิ้นลมมึงดีอีขี้ข้า หัวหูดังกะลามะพร้าวขูด ชาติอีโกหกนกทิ้งทูด อีผักกูดต้มกะทิอุตริดี ยายกลอยยายสายนายขุนช้าง ลุกจากหอกลางเดินเร็วรี่ รีบลงจากบันไดในทันที ออกจากบ้านท่านศรีประจันไป ยายกลอยยายสายว่ากูขายหน้า ทีนี้หาปรารถนามาอิกไม่ โคตรเค้าเขาขุดเอาสุดใจ ถึงเอาทองกองให้ก็ไม่มา ขุนช้างว่าไม่เป็นเช่นนั้นดอก วันทองแม่แกบอกเป็นปริศนา ร้องบอกกับฉันเป็นมารยา ว่าให้เชิญแม่เทพทองไป หล่อนจึงขึ้นโคตรแม่แน่กระนั้น ว่าให้ไปหากันตามผู้ใหญ่ คงจะได้เป็นเมียอย่าเสียใจ หาที่ไหนไม่เหมือนแม่แก้วตา ฯ ๏ ครานั้นจึงโฉมนางวันทอง อยู่ในห้องโหยหวนละห้อยหา โอ้พ่อพลายแก้วแววตา มรณาแน่แล้วฤๅอย่างไร วันพ่อม้วยมุดสุดชีวิต เมียจะฝันสักนิดก็หาไม่ ลางร้ายก็ไม่มีให้แจงใจ บ่าวไพร่ไปด้วยไม่เห็นมา เขาว่านายตายไพร่ติดคุก เมียทุกข์เหลือที่จะตามหา สารพัดขัดสนจนทุกตา ไม่รู้ว่าอยุธยานั้นอย่างไร แต่เกิดเป็นตัววันทองมา หาได้เข้าอยุธยาสักหนไม่ วันเมื่อส่งผัวตัวก็ไป จำได้อยู่แต่ว่าคลองบางลาง โพธิ์ปลูกด้วยกันสำคัญไว้ ถ้ากะไรจะดูพอรู้บ้าง ถ้าพ่อแก้วตายวายวาง โพธิ์กลางต้นนั้นจะบรรลัย คิดคิดขึ้นมาน่าแค้นแม่ จะสืบสาวดูให้แน่หาได้ไม่ หลงใหลเชื่อฟังอ้ายจังไร ยอมยกลูกให้ไอ้ขุนช้าง
สำนักงานเขตพื้นท ี่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุร ี ๙๓ โอ้ว่าอนิจจาวันทองเอ๋ย กะไรเลยแสนยากนี้สุดอย่าง แต่ระกำช้ำใจไม่วายวาง นี่ได้สร้างกรรมไว้อย่างไรมา มีผัวผัวอยู่สองสามวัน จากกันไม่ได้มาเห็นหน้า เมื่อวันจากหอคลอน้ำตา กำชับไว้หนักหนาด้วยห่วงน้อง ในจิตรคิดว่าจะกลับหลัง สั่งแล้วสั่งเล่าทั้งเศร้าหมอง ออกปากฝากข้ากับสายทอง แล้วจึงไปจากห้องด้วยจำใจ พอสายทองย่องเข้าไปดูน้อง นางวันทองเห็นหน้าน้ำตาไหล กอดคอสายทองร้องรํ่าไร น้องไม่อยู่แล้วพี่สายทอง ฯ ๏ สายทองปลอบว่าอย่าร้องไห้ รำคาญใจดูเจ้ายิ่งเศร้าหมอง พี่น้องแนบหน้าน้ำตานอง ร้องไห้สะอึกสะอื้นไป โอ้แม่วันทองของพี่เอ๋ย กะไรเลยหามีสุขสักนิดไม่ เพราะอ้ายขุนช้างจัญไร มันพอใจตัวเจ้าแต่รุ่นมา ลดเลี้ยวเกี้ยวสกัดทั้งวัดบ้าน อ้ายจัณฑาลคนนี้นี่หนักหนา จนได้กับพ่อแก้วแววตา มันยังส่อเสียดว่าทุกสิ่งอัน เพ็ดทูลเจาะจงให้ทรงใช้ จนร้องไห้แทบเทียมจะอาสัญ เดี๋ยวนี้มันยิ่งว่าสารพัน ว่าหม่อมพลายแก้วนั้นเธอบรรลัย เห็นจะเป็นเล่ห์กลอ้ายสอพลอ เอากระดูกใส่หม้อมาส่งให้ ให้หลงว่าพ่อพลายนั้นตายไป จึงได้มาขอแม่วันทอง มันหมายว่าตัวมันมีทรัพย์ มีเงินแล้วจะนับให้คล่องคล่อง แม่เถ้าของเราก็ปรองดอง เราพี่น้องสองคนก็จนใจ นี่เวรกรรมจะทำอย่างไรดี จะหลบลี้หนีไปข้างไหนได้ แม่ผัวของเจ้าก็อยู่ไกล ไม่รู้แห่งหนไหนกาญจน์บุรี อย่าเลยนะเจ้าเราจะไป วัดป่าเลไลยเจ้ากับพี่ ไปหาขรัวตาจูแกดูดี ประเดี๋ยวนี้แม่ศรีประจันนอน แม่อยู่ในห้องอย่าร้องไห้ พี่จะไปหาหมากกับพลูก่อน หาได้ใส่ขันตะวันรอน เร้นซ่อนซุบซิบกระหยิบตา ออกมาจากห้องทั้งสองคน ผ่อนปรนลอบลงจากเคหา ถึงวัดเหยียบย่องมองเข้ามา ขึ้นกุฎีขรัวตาด้วยทันใด เอาหมากพลูส่งให้กับเจ้าเณร จึงประเคนขรัวตาหาช้าไม่ ขรัวตามองป้องหน้าถามว่าใคร นึกได้หัวร่ออ่อวันทอง กูผลัดชื่อให้ไข้ก็หาย เป็นไรไม่สบายหน้าตาหมอง เมื่ออ้วนพีดีขึ้นเป็นก่ายกอง เอ็งมาสองคนนี้ด้วยเหตุไร ฯ ๏ ครานั้นวันทองกับสายทอง พี่น้องยกมือขึ้นกราบไหว้ ดีฉันร้อนรนเป็นพ้นใจ ด้วยผัวไปตีทัพไม่กลับมา เขาบอกเรื่องราวเป็นข่าวร้าย เขาว่าผัวฉันตายจริงฤๅขา ขรัวปู่ช่วยดูตามตำรา จะจริงเหมือนเขาว่าฤๅอย่างไร ฯ