The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมบทความ Processdinga สถาปนาคณะ 70 ปี (24 ม.ค.67) พร้อมทำ e-

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ntknight478, 2024-01-24 05:55:28

หนังสือรวมบทความ Proceedings สถาปนาคณะ 70 ปี

รวมบทความ Processdinga สถาปนาคณะ 70 ปี (24 ม.ค.67) พร้อมทำ e-

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 1 “70 ปี การเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์ และนโยบายสังคมในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) กองบรรณาธิการ รองศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธันยา รุจิเสถียรทรัพย์ บรรณาธิการ นางสาวสุวรี ปิ่นเจริญ กองบรรณาธิการ นางสาวสุธิมา วุฒิการ กองบรรณาธิการ นางสาวอรอนงค์ บุษราคัม กองบรรณาธิการ นางสาวพิมพ์ผกา งอกลาภ กองบรรณาธิการ ว่าที่ร้อยตรี อิทธิวัตร เงาศรี กองบรรณาธิการ คณะกรรมการพิจารณาบทความวิชาการภายในสถาบัน คณะกรรมการภายในสถาบัน 1. คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ประธานกรรมการ 2. รองศาสตราจารย์ ดร.วรรณวดี พูลพอกสิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 3. รองศาสตราจารย์ ดร.ศิรินทร์รัตน์ กาญจนกุญชร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 4. รองศาสตราจารย์ ดร.เพ็ญประภา ภัทรานุกรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 5. รองศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 6. รองศาสตราจารย์ ดร.วิไลภรณ์ โคตรบึงแก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 7. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาดี ลิ่มสกุล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 8. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรพรรณ นฤภัทร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 9. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาลีจิรวัฒนานนท์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 10. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.สิริยา รัตนช่วย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 11. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ณัฏฐพัชร สโรบล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 12. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.กิตติ ชยางคกุล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 13. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ปรินดา ตาสี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 14. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ปุณิกา อภิรักษ์ไกรศรี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 15. อาจารย์ ดร.พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 16. อาจารย์ ดร.วิไลลักษณ์อยู่ส าราญ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 17. อาจารย์ ดร.สรสิช สว่างศิลป์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18. ดร.ขนิษฐา บูรณพันศักดิ์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 2 คณะกรรมการพิจารณาบทความวิชาการภายนอกสถาบัน คณะกรรมการจากภายนอกสถาบัน 1. ศาสตราจารย์ ดร.กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ ข้าราชการบ านาญ 2. ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล นิราทร ข้าราชการบ านาญ 3. ศาสตราจารย์ ดร.นรินทร์ สังข์รักษา มหาวิทยาลัยศิลปากร 4. รองศาสตราจารย์ดร.สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ มหาวิทยาลัยมหิดล 5. รองศาสตราจารย์ ดร.ทวี เชื้อสุวรรณทวี มหาวิทยาลัยมหิดล 6. รองศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ อมรสิริพงศ์ มหาวิทยาลัยมหิดล 7. รองศาสตราจารย์ ดร.นพพร จันทรน าชู มหาวิทยาลัยศิลปากร 8. รองศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช บวรสมพงษ์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทราวิโรฒ 9. รองศาสตราจารย์ ดร.ฐิยาพร กันตาธนวัฒน์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง 10. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เสรี วรพงษ์ มหาวิทยาลัยมหิดล 11. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เบญจวรรณ บุญโทแสง มหาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด 12. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีรพงศ์ เที่ยงสมพงษ์ มหาวิทยาลัยมหิดล 13. อาจารย์ ดร.พีรเดช ประคองพันธ์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 14. อาจารย์ ดร.กัณฐมณี ลดาพงษ์พัฒนา มหาวิทยาลัยมหิดล 15. อาจารย์ ดร.กฤตวรรณ สาหร่าย มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 16. ดร.โชคชัย สุทธาเวช มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 17. ดร.สดใส คุ้มทรัพย์อนันต์ นักวิชาการอิสระ 18. ดร.เจษฎา เนตะวงศ์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 3 สารบัญ หน้า ค าน า 6 ค ากล่าวรายงาน โดย รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ 7 ค ากล่าวเปิดงาน โดย ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 9 ก าหนดการ 10 บทความกิตติมศักดิ์ 1. Global Disruption and its Effect on Social Work and Social Policy in Thailand Jaturong Boonyarattanasoontorn 20 2. การพัฒนาหลักสูตรนโยบายและการบริหารงานยุติธรรมกับการเสริมสร้างความเป็นธรรมทางสังคม นิฤมน รัตนะรัต 35 ห้องย่อยที่ 2 การเสริมพลังคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคม 1. ความส าคัญของงานต่อมนุษย์ในมิติเศรษฐกิจและคุณค่าของมนุษย์ ปฐมพร สันติเมธี 46 2. พื้นฐานจริยศาสตร์ความเป็นธรรมทางสังคมเชิงทฤษฎีในนโยบายสังคมของ John Rawls และ Robert Nozick สุขุมา อรุณจิต 57 3. กระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การใช้ชีวิตในสังคม: กรณีศึกษาเยาวชนในมูลนิธิโสสะ แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ 59 4. แนวทางการจัดการพลังงานชุมชน กรณีศึกษาชุมชนต าบลป่าอ้อดอนชัย อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สุพจน์ ทนทาน, กมลทิพย์ แจ่มกระจ่าง 78 5. แนวทางการขับเคลื่อนงานเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็กของไทย บัณฑิตา เหลี่ยมศรีจันทร์, นันท์นภัส ปิ่นสุวรรณ, นาวิน บุญน ามา 94 ห้อยย่อยที่ 3 การพิทักษ์สิทธิ์บุคคล กลุ่ม ชุมชน: บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ 1. การศึกษากระบวนการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิ์บุคคลไร้รัฐ กรณีศึกษาบุคคลไร้รัฐ เข้าสู่กระบวนการมีสถานะบุคคล ประตินันท์ นวัธภร, พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ 109 2. กรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ กฤษฎา ศุภกิจไพศาล 121


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 4 หน้า 3. รูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม อ าเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ปรางค์รัตน์ แขกเพ็ง, กมลทิพย์ แจ่งกระจ่าง 141 4. การส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ: กรณีศึกษาคุรุสภา ณัฏฐ์ณิภัค อนุศาสนัน, ธันยา รุจิเสถียรทรัพย์ 156 5. ปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดด้วย โปรแกรม BMA Matrix Model กรณีศึกษาคลินิกก้าวใหม่ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร พิมพ์ขวัญ พันธุมาศ, ภุชงค์ เสนานุช 172 ห้องย่อยที่ 4 การสร้างความเป็นธรรมทางสังคม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน 1. การศึกษาการใช้เครื่องมือและปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ภายใต้กระบวนการประสานและส่งต่อคนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครอง และพัฒนาคนพิการ ปรีดาภรณ์ พชรปรีชา, มาลี จิรวัฒนานนท์ 189 2. โรคเรื้อนและการตีตราผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน จันจนากร พรหมแก้ว 205 3. การจัดสวัสดิการสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ วุฒิชัย วิเชียรศิริกาญกุล, ปิ่นหทัย หนูนวล 214 4. การจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่ง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ภัทราภรณ์ ชูศรีนวล, มาลี จิรวัฒนานันท์ 224 5. การศึกษาปัจจัยเงื่อนไขการเกิดขึ้นของทุนทางสังคมในชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น พระมหาโกมล ไกรวงษ์, ปิ่นหทัย หนูนวล 239 ห้องย่อยที่ 5 Innovations in Social Policy and Programs 1. Examining the Socioeconomic Ramifications of the Shift from Combustion Engine to Electric Vehicle Industry on Labor Well-being in Thailand: An In-Depth Economic Welfare Analysis ชนกานต์ หงษ์จันทร์ 254


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 5 หน้า ค าสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดงานวันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ครบรอบ 70 ปี 256 ค าสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินผลงานวิชาการการจัดงานสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ครบรอบ 70 ปี 262 แบบประเมินประสิทธิผลและความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการ 266


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 6 ค าน า คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 11 มกราคม 2497 และได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2497 โดยมีหลักการและเหตุผลว่า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐอันเกี่ยวกับการประชาสงเคราะห์และการประกันสังคม และ เพื่อส่งเสริมมาตรฐานการศึกษาในด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ การประกันสังคม และการประชาสัมพันธ์ อันเป็นวิทยาศาสตร์ ทางสังคม ให้เทียบเท่ามหาวิทยาลัยต่างประเทศ ดังนั้น คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ จึงถือเอาวันที่ 25 มกราคม เป็น วันสถาปนาคณะนับจากวันนั้นเป็นต้นมา ในวันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 นับเป็นเวลา 70 ปี แห่งการก่อตั้งคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ปัจจุบัน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ได้ด าเนินการตามภารกิจการจัดการศึกษา การวิจัย การบริการสังคม การท านุบ ารุง ศิลปวัฒนธรรม และการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลภายใต้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2558 เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เปิดการเรียนการสอนมานานกว่า 70 ปี รวมทั้งหน่วยงานเครือข่าย และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ จึงมีโครงการจัดสัมมนาวิชาการ งาน วันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครบรอบ 70 ปี วันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2567 เรื่อง “70 ปี การเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์ และนโยบายสังคมในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) ในวันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 เวลา 08.30-16.30 น. ณ ห้องประชุม Concert Hall อุทยานเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต การสัมมนาวิชาการรูปแบบ Hybrid (Onsite & Online) ด้วยโปรแกรม Zoom และภาคบ่าย การน าเสนอ Online โปรแกรม Zoom การก าหนดหัวข้อในการสัมมนาดังกล่าว เนื่องจากสังคมไทยต้องพบกับความ ท้าทายส าคัญคือการรับมือกับ สังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยปรากฎการณ์ส าคัญที่ก าลังเกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างดังเช่น “การเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ” (Ageing Society) ที่ประชากรมีอายุยืนมากขึ้น เป็นผลจากความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข และ ค่านิยมเรื่องครอบครัวของคนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้อัตราการเกิดลดต่ าลง เมื่อการเกิดต่ า สัดส่วนแรงงานจึงลด น้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและงบประมาณภายในประเทศ นอกจากนี้ความท้าทายใหม่ ที่อาจเผชิญในอนาคต ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) การอพยพ (Immigration) และโลก ที่มีความผันผวนสูง (VUCA World) เป็นต้น เหล่านี้เป็นสิ่งผลักดันให้รัฐมีการบริหารจัดการที่ดี ยืดหยุ่น โดยการมีส่วนร่วมของ ประชาชน และภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ร่วมก าหนดนโยบายและสวัสดิการใหม่เพื่อรับมือ และต่อรองกับสถานการณ์ต่างๆ อันจะน าไปสู่ความมั่นคงในการด ารง (Ontological Security) ของคนในสังคม การสัมมนาวิชาการ งานวันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ครบรอบ 70 ปีครั้งนี้ จะท าให้ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ หน่วยงานภาคีที่เข้าร่วม ได้รับความรู้ทางวิชาการและวิชาชีพ ทักษะการปฏิบัติงานกับ กลุ่มเป้าหมาย อันจะเป็นแนวทางการพัฒนางานสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม ต่อไป (รองศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน) คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 7 ค ากล่าวรายงาน การสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบปีที่70 ของการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง “70 ปีการเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์และนโยบายสังคมในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) โดย รองศาสตราจารย์ดร.พิภพ อุดร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่25 มกราคม 2567 ************************************* เรียน ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นายอนุกูล ปีดแก้ว ผู้บริหาร คณาจารย์ศิษย์เก่า นักศึกษา และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ผม รองศาสตราจารย์ดร.พิภพ อุดร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการในนาม ผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอขอบพระคุณ ที ่ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานในการจัดงานสัมมนาทางวิชาการเนื ่องในโอกาสครบรอบปีที ่ 70 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหัวข้อเรื่อง “70 ปีการเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์และนโยบายสังคม ในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) ปั จจุบัน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์เปิดการเรียนการสอนหลักสูตร ระดับปริญญาตรีจ านวน 2 หลักสูตร ได้แก่ (1) หลักสูตร สังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต (ศูนย์รังสิต และ ศูนย์ล าปาง) และ (2) หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขานโยบายสังคมและ การพัฒนา (หลักสูตรนานาชาติ) ระดับปริญญาโท จ านวน 3 หลักสูตร ได้แก่ (1) หลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตร มหาบัณฑิต (2) หลักสูตรพัฒนาชุมชนมหาบัณฑิต และ (3) หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสังคมและการบริหาร ยุติธรรม และ ระดับปริญญาเอก จ านวน 1 หลักสูตร ได้แก่ (1) หลักสูตรปรัชญาดุษฏีบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสังคม ซึ่งในแต่ละปีเปิดรับนักศึกษารวมทุกหลักสูตรจ านวนกว่า 1,715 คน ในวาระครบรอบการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์70 ปีถือเป็นโอกาสอันดี ที่ศิษย์เก่า หน่วยงานภาคีเครือข่ายได้ร่วมเฉลิมฉลอง และร่วมแบ่งปันความรู้ทางวิชาการในพื้นที่ของศาสตร์สังคมสงเคราะห์ และสหศาสตร์การก าหนดหัวข้อในการสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้เนื่องจากสังคมไทยต้องพบกับความท้าทายส าคัญ คือ การรับมือกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยปรากฎการณ์ส าคัญที่ก าลังเกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ดังเช่น “การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ” (Ageing Society) ที่ประชากรมีอายุยืนมากขึ้น เป็นผลจากความก้าวหน้าทางการแพทย์ และสาธารณสุข และค่านิยมเรื่องครอบครัวของคนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้อัตราการเกิดลดต่ าลง เมื่อการเกิดต่ า สัดส่วนแรงงานจึงลดน้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและงบประมาณภายในประเทศ นอกจากนี้ความท้าทายใหม่ที่อาจเผชิญในอนาคต ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) การอพยพ (Immigration) และโลกที่มีความผันผวนสูง (VUCA World) เป็นต้น เหล่านี้เป็นสิ่งผลักดันให้รัฐมีการบริหารจัดการที่ดี ยืดหยุ่น โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน และภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ร่วมก าหนดนโยบายและสวัสดิการใหม่เพื่อรับมือ และ ต่อรองกับสถานการณ์ต่างๆ อันจะน าไปสู่ความมั่นคงในการด ารง (Ontological Security) ของคนในสังคม ในการจัดงาน สัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบปีที่ 70คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในหัวข้อเรื่อง “70 ปี การเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์และนโยบายสังคมในประเทศไทย” นั้น ในภาคเช้า มีรูปแบบการจัดงานแบบ Hybrid คือ จัดงานในสถานที่ ณ ห้องประชุม Concert Hall อุทยานเรียนรู้ป๋วย 100 ปีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต และ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 8 ออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom ส่วนในภาคบ่าย เป็นการจัดประชุมในระบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom โดยไม่มี ค่าธรรมเนียมในการลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาแต่อย่างใด การจัดงานสัมมนาภาคเช้าประกอบด้วย องค์ปาฐกถาและวิทยากรชาวต่างประเทศ ซึ่งคณะฯ ได้รับเกียรติบรรยาย ในหัวเรื่อง ดังนี้ 1) เรื่อง “Co-Building a New-Eco Social World: The Challenges and Opportunities for Social Work in Partnership with People and Communities” โดย Ms. Ruth Stark, President of International Federation of Social Workers (2014-2018) 2) เรื่อง “Moving Social Work EducationForward: Building Sustainable Societies through Innovation and Technology” โดย Prof. Wing Hong Chui, Head of Department of Applied Social Sciences, Hong Kong Polytechnic University 3) เรื่อง “Revolutionising Societies through Transformative Social Work and Nonkilling Peace” โดย Prof. Dr.Anoop Swarup, Secretary-General of Association of Universities of Asia and the Pacific ซึ่งจะเข้าร่วม ผ่านระบบ Online ในช่วงเวลาต่อจากการปาฐกถา เป็นการเสนาวิชาการ ในหัวเรื่อง “TheRoleof Universities in Advancing Social Work and Social Welfare and Development: Partnerships, Opportunities and Future Directions” โดยคณ ะ ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียงชาวต่างประเทศและชาวไทย จ านวน 3 ท่าน ได้แก่ 1) Prof. Hok Bun Ku, Hong Kong Polytechnic University 2) Prof. Peishan Yang, Department of Social Work and Director of Research Ethics Center, National Taiwan University และ 3) รองศาสตราจารย์ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ช่วงสุดท้ายของภาคเช้า มีการจัดพิธีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) จากนั้นจึงเป็น การแสดงของกลุ่มอุปรากรจีนล้อการเมือง ก่อนพิธีมอบโล่รางวัล ประกาศนียบัตร และทุนการศึกษา ส าหรับการจัดงานภาคบ่าย มีการน าเสนอผลงานวิชาการ (ห้องย่อย) จากนักวิชาการ คณาจารย์และนักศึกษา จ านวน 16 เรื่อง ที่ได้รับการคัดเลือกให้น าเสนอภายใต้ห้องย่อยจ านวน 5 ห้อง ทั้งนี้ห้องย่อยที่ 6 เป็นเวทีเสวนาวิชาการ จัดโดย สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ผู้เข้าร่วมภาคบ่ายทุกท่านสามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์โปรแกรม Zoom ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มีวิสัยทัศน์ที่จะเป็น “ผู้น าทางวิชาการและวิชาชีพระดับโลก เพื่อประชาชน” ซึ่งการบรรลุเป้าหมายนี้ต้องอาศัยการสั่งสมองค์ความรู้ประสบการณ์และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากภาคี เครือข่าย เพื่อการขับเคลื่อนงานสังคมสงเคราะห์รับใช้สังคมไทยในบริบทพลวัต และการสร้างนวัตกรรมในศาสตร์ที่ ตนเชี่ยวชาญร่วมกับสหศาสตร์ในการพัฒนางานวิจัยและองค์ความรู้สู่นวัตกรรมทางสังคมที่ตอบสนองความต้องการของชุมชน ท้องถิ่น และสังคม ต่อไป สุดท้ายนี้ผม ขอขอบพระคุณภาคีเครือข่าย คณาจารย์และเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้งานครั้งนี้เกิดขึ้น และ ที่ส าคัญคือ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ที่ให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้และให้เกียรติร่วมเป็นคณะกรรมการประเมิน คุณภาพผลงานวิชาการในครั้งนี้อีกด้วย บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผม ขอเรียนเชิญปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ให้เกียรติกล่าวต้อนรับแขกท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน และ ให้เกียรติกล่าวเปิดงานสัมมนาในวันนี้ด้วย ขอบพระคุณครับ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 9 ค ากล่าวเปิดงาน การสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบปีที่70 ของการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง “70 ปีการเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์และนโยบายสังคมในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) โดย ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วันพฤหัสบดีที่25 มกราคม 2567 ************************************* เรียน รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(รองศาสตราจารย์ดร.พิภพ อุดร) และ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ผม นายอนุกูล ปีดแก้ว(ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)รู้สึกเป็นเกียรติที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เชิญเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการ เนื่องในโอกาสสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ครบรอบ 70 ปี ในหัวข้อ เรื่อง “70 ปีการเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์และนโยบายสังคมในประเทศไทย” “A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand” ในวันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 ผมขอแสดงความชื่น ชมยินดีกับท่านผู้บริหารและบุคลากรของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ในโอกาสวันสถาปนาคณะฯ ที่ยืนยาวมาครบ 70 ปี และขอแสดงความยินดีกับผู้ที่มีรายชื่อได้รับรางวัลดีเด่นในด้านต่างๆ มา ณ โอกาสนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ได้มีบทบาทส าคัญในการน าองค์ความรู้ทางวิชาการและ วิชาชีพในด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคมมาส่งเสริม ป้องกัน แก้ไข และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนและ สังคมไทยมาโดยตลอด อันจะเห็นได้จากความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์กับหน่วยงานภาคีทั้งใน องค์กรในประเทศ และองค์กรต่างประเทศ ที่ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์มาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหา ทางสังคมทั้งเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ ท่ามกลางสถานการณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยดีเสมอมา เช่น การจัดท าแผนยุทธศาสตร์ในประเด็นกลุ่มเป้าหมายทางสังคมที่คณะฯ มีความเชี่ยวชาญ การจัดฝึกอบรมและโครงการต่างๆ ที่ส่งเสริม พัฒนาศักยภาพ บุคลากรและเครือข่ายวิชาชีพ ที่เกี่ยวข้อง การน าผลการศึกษาวิจัย แนวคิด สร้างสรรค์นวัตกรรม ทางสังคม เพื่อตอบโจทย์จากสถานการณ์ในมิติทางด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์การช่วยเหลือสังคม และการส่งนักศึกษา เข้าไปฝึกภาคปฏิบัติในหน่วยงานต่างๆ ทั้งองค์กรภาครัฐ และเอกชน (NGOs) ที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในสถานการณ์จริง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีส่วนส าคัญในการแก้ไขปัญหาและพัฒนากลุ่มเป้าหมายในทุกมิติยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อย่างทั่วถึง น าไปสู่สังคมที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาความร่วมมือและ เสริมสร้างเครือข่ายในด้านการศึกษาและวิจัยร่วมกันทั้งในปัจจุบันและอนาคตผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ จะยังคงมุ่งมั่นที่จะน าองค์ความรู้ประสบการณ์และงานวิจัยต่างๆไปต่อยอด ก่อให้เกิดพลังขับเคลื่อนและนวัตกรรมทางสังคม ที่สามารถแก้ไขปัญหา รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนและสังคมส่วนรวมต่อไป บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดงานสัมมนาวิชาการ เนื่องในโอกาสวันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครบรอบ 70 ปีเรื่อง “70 ปีการเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์และนโยบายสังคมในประเทศไทย” ได้ ณ บัดนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 10 ก าหนดการ สัมมนาวิชาการวันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครบรอบ 70 ปี เรื่อง “70 ปี การเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์ และนโยบายสังคมในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) ********************************* วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 เวลา 08.30-16.30 น. ณ ห้องประชุม Concert Hall อุทยานเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต การสัมมนาวิชาการรูปแบบ Hybrid (Onsite & Online) ด้วยโปรแกรม Zoom เวลา กิจกรรม 08.30-09.15 น. ลงทะเบียน 09.15-09.30 น. พิธีเปิดการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสวันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครบรอบ 70 ปี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ กล่าวรายงาน ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กล่าวเปิดงาน 09.30-09.50 น. การปาฐกถา เรื่อง “Co-Building a New-Eco Social World: The Challenges and Opportunities for Social Work in Partnership with People and Communities” Ms. Ruth Stark, President of International Federation of Social Workers (2014-2018) 09.50-10.00 น. ช่วงถาม-ตอบค าถาม 10.00-10.15 น. วิทยากร เรื่อง “Moving Social Work Education Forward: Building Sustainable Societies through Innovation and Technology” Prof. Wing Hong Chui, Head of Department of Applied Social Sciences, Hong Kong Polytechnic University Meeting ID: 975 0958 9267 Passcode: 2507


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 11 เวลา กิจกรรม 10.15-10.35 น. วิทยากร เรื่อง “Revolutionising Societies through Transformative Social Work and Nonkilling Peace” Prof. Dr.Anoop Swarup, Secretary-General of Association of Universities of Asia and the Pacific (Online) 10.35-11.20 น. การเสวนาวิชาการ เรื่อง “The Role of Universities in Advancing Social Work and Social Welfare and Development: Partnerships, Opportunities and Future Directions” Prof. Hok Bun Ku, Hong Kong Polytechnic University Prof. Peishan Yang, Department of Social Work and Director of Research Ethics Center, National Taiwan University Assoc. Prof. Dr. Auschala Chalayonnavin, Dean of Faculty of Social Administration ผู้ด าเนินรายการ: Ajarn Pred Evans 11.20-11.30 น. พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ 11.30-12.00 น. การแสดงของกลุ่มอุปรากรจีนล้อการเมือง 12.00-12.30 น. พิธีมอบโล่รางวัล ประกาศนียบัตร และทุนการศึกษา รางวัลศิษย์เก่าดีเด่น ประจ าปี 2566 รางวัลนักวิจัยดีเด่น ประจ าปี 2566 รางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัย ประจ าปี 2566 การแสดงความยินดีกับคณาจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ด ารงต าแหน่งทางวิชาการ ประจ าปี 2566 รางวัลบุคลากรดีเด่น ประจ าปี 2566 รางวัลประกวดโครงการฝึกภาคปฏิบัติ 2 รางวัลนักศึกษาเรียนดี ประจ าปี 2566 รางวัลนักศึกษาดีเด่น ประจ าปี 2566 ทุนการศึกษา 12.30-13.30 รับประทานอาหารกลางวัน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 12 เวลา กิจกรรม 13.30-16.30 การน าเสนอผลงานวิชาการ และกิจกรรมทางวิชาการ Online โปรแกรม Zoom & Onsite คณะสังคมสงเคราะห์ ศาสตร์มธ. ศูนย์รังสิต ห้องย่อยที่ 1: การน าเสนอผลงานประกวดโครงการฝึกภาคปฏิบัติ 2 ผู้ด าเนินรายการ: รองศาสตราจารย์ ดร.เพ็ญประภา ภัทรานุกรม Meeting ID: 953 4490 2709 Passcode: 767311 Online โปรแกรม Zoom ห้องย่อยที่ 2: การน าเสนอผลงานวิชาการ “การเสริมพลังคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคม” ผู้ด าเนินรายการ: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาดี ลิ่มสกุล และ อาจารย์ ดร.นลินี นกิตติพา เชื้อค าฟู Meeting ID: 995 4145 7808 Passcode: 211989 ห้องย่อยที่ 3: การน าเสนอผลงานวิชาการ “การพิทักษ์สิทธิ์บุคคล กลุ่ม ชุมชน: บทบาท ของนักสังคมสงเคราะห์” ผู้ด าเนินรายการ: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปุณิกา อภิรักษ์ไกรศรี และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์กรุณา ใจใส Meeting ID: 918 3116 2984 Passcode: 903082 ห้องย่อยที่ 4: การน าเสนอผลงานวิชาการ “การสร้างความเป็นธรรมทางสังคม และ การพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน” ผู้ด าเนินรายการ: อาจารย์ ดร.สุกัญญา มีสกุลทอง และ อาจารย์เทียนชัย สุริมาศ Meeting ID: 941 6176 9222 Passcode: 484297


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 13 เวลา กิจกรรม ห้องย่อยที่ 5: น าเสนอผลงานวิชาการ “Innovations in Social Policy and Programs” ผู้ด าเนินรายการ: Dr.Mahesh Chougule Meeting ID: 966 8479 1707 Passcode: 586029 ห้องย่อยที่ 6: การเสวนาวิชาการเรื่อง “ฉากทัศน์การพลิกโฉมสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ สู่BANI World” (A Transformative Scenario of SWPC to BANI World) จัดโดย สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ผู้ด าเนินรายการ: ดร.ขนิษฐา บูรณพันศักดิ์ Meeting ID: 847 4812 8286 Passcode: 1234 พิธีกร: นางสาวภัทรธิราภรณ์ เสนานุช และ นางสาวชนกานต์ หงษ์จันทร์ ล่ามแปลภาษาผ่าน zoom: อาจารย์วัชระ เพชรดิน และนักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานโยบาย สังคมและการพัฒนา (หลักสูตรนานาชาติ) หมายเหตุ 1) ก าหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม 2) การน าเสนอผลงานวิชาการและการเสวนาวิชาการออนไลน์ในภาคบ่าย จะมีรายละเอียดในแต่ละห้องย่อยอีกครั้ง 3) ขอความกรุณาผู้เข้าร่วมงานออนไลน์ลงทะเบียนทาง Google Form และใช้ ID ที่เป็นชื่อ-นามสกุลจริง หรือชื่อที่ สามารถอ้างอิง ในการเข้าสัมมนาออนไลน์ เพื่อการนับหน่วยคะแนนการศึกษาต่อเนื่องส าหรับผู้ประกอบวิชาชีพ สังคมสงเคราะห์รับอนุญาต 4) กรณีต้องการค าแนะน าในการเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ โปรดติดต่อที่ โทร.02-6965512 (อัสวิน สังข์ทอง, อิทธิวัตร เงาศรี) ในวันและเวลาราชการ หรือผ่านช่องทาง Facebook: @socwork


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 14 ผลงานประกวดโครงการฝึกภาคปฏิบัติ 2 เพื่อน าเสนอในงานสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ครบรอบ 70 ปี เรื่อง “70 ปี การเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์ และนโยบายสังคมในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 เวลา 13.30-16.30 น. ******************************* ห้องย่อยที่ 1: การน าเสนอผลงานประกวดโครงการฝึกภาคปฏิบัติ 2 ผู้ด าเนินรายการ: รองศาสตราจารย์ ดร.เพ็ญประภา ภัทรานุกรม เจ้าหน้าที่ประจ าห้อง: นางสาวนิศา สุขประเสริฐ การน าเสนอ Onlineโปรแกรม Zoom & Onsite ณ อาคารคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เวลา ชื่อผลงานประกวด 13.30-14.00 โครงการพัฒนาชุมชนเชิงสร้างสรรค์: แผนที่วัฒนธรรมและวิถีชีวิตบ่านซ้านจุ้ยตุ่ย “เจอนี่..ที่บ่านซ้าน” 14.00-14.30 โครงการตู้ยาชุมชน 14.30-15.00 โครงการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพผู้สูงอายุบ้านหล่ายแก้ว มุ่งสู่การจัดท าแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตในเชิง มิติสุขภาพ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 15 ผลงานวิชาการที่ผ่านพิจารณา เพื่อน าเสนอในงานสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ครบรอบ 70 ปี เรื่อง “70 ปี การเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์ และนโยบายสังคมในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 เวลา 13.30-16.30 น. ******************************* ห้องย่อยที่ 2: การเสริมพลังคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคม ผู้ด าเนินรายการ: 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาดี ลิ่มสกุล 2. อาจารย์ ดร.นลินี นกิตติพา เชื้อค าฟู เจ้าหน้าที่ประจ าห้อง: นางสุนันทา สาระบุตร เวลา ชื่อบทความ ผู้น าเสนอ 13.30-14.00 ความส าคัญของงานต่อมนุษย์ในมิติเศรษฐกิจและคุณค่าของมนุษย์เพื่อให้ เป็นที่ยอมรับในสังคม อ.ปฐมพร สันติเมธี 14.00-14.30 พื้นฐานจริยศาสตร์ความเป็นธรรมทางสังคมเชิงทฤษฎีในนโยบายสังคมของ John Rawls และ Robert Nozick ผศ.ดร.สุขุมา อรุณจิต 14.30-15.00 กระบวนการเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การใช้ชีวิตในสังคม: กรณีศึกษา เยาวชนในมูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ อ.ดร.พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ 15.00-15.30 แนวทางการจัดการพลังงานชุมชน กรณีศึกษาชุมชนต าบลป่าอ้อดอนชัย อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สุพจน์ทนทาน 15.30-16.00 แนวทางการขับเคลื่อนงานเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนในสถานรองรับเด็ก ของไทย บัณฑิตา เหลี่ยมศรีจันทร์ และคณะ หมายเหตุ: 1. ผู้เขียนน าเสนอผลงาน 20 นาที และตอบข้อซักถาม 10 นาที รวมท่านละ 30 นาที 2. ผลงานที่มาน าเสนอในวันที่ 25 มกราคม 2567 เท่านั้น ที่จะได้รับการเผยแพร่ในรายงานสืบเนื่องหลังการสัมมนาวิชาการ (Proceedings)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 16 ผลงานวิชาการที่ผ่านพิจารณา เพื่อน าเสนอในงานสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ครบรอบ 70 ปี เรื่อง “70 ปี การเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์ และนโยบายสังคมในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 เวลา 13.30-16.30 น. ******************************* ห้องย่อยที่ 3: การพิทักษ์สิทธิ์บุคคล กลุ่ม ชุมชน: บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ ผู้ด าเนินรายการ: 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปุณิกา อภิรักษ์ไกรศรี 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์กรุณา ใจใส เจ้าหน้าที่ประจ าห้อง: นางสาวอุษณีย์ น้อยอยู่นิตย์ เวลา ชื่อบทความ ผู้น าเสนอ 13.30-14.00 การศึกษากระบวนการเสริมพลังอ านาจและพิทักษ์สิทธิ์บุคคลไร้รัฐ กรณีศึกษา บุคคลไร้รัฐเข้าสู่กระบวนการมีสถานะบุคคล ประตินันท์ นวัธภร 14.00-14.30 กรอบแนวคิดการจัดสวัสดิการชุมชนภายใต้แนวคิดความเป็นธรรมในเชิงอุดมคติ กฤษฎา ศุภกิจไพศาล 14.30-15.00 รูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนในพื้นที่เทศบาลต าบลสามง่าม อ าเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ปรางค์รัตน์ แขกเพ็ง 15.00-15.30 การส่งเสริมบทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการถามปากค าเด็กที่ถูกล่วงละเมิด ทางเพศ: กรณีศึกษาคุรุสภา ณัฏฐ์ณิภัค อนุศาสนัน 15.30-16.00 ปัญหาและอุปสรรคของนักสังคมสงเคราะห์ในการบ าบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติด ยาเสพติดด้วยโปรแกรม BMA Matrix Model กรณีศึกษาคลินิกก้าวใหม่ ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร พิมพ์ขวัญ พันธุมาศ หมายเหตุ: 1. ผู้เขียนน าเสนอผลงาน 20 นาที และตอบข้อซักถาม 10 นาที รวมท่านละ 30 นาที 2. ผลงานที่มาน าเสนอในวันที่ 25 มกราคม 2567 เท่านั้น ที่จะได้รับการเผยแพร่ในรายงานสืบเนื่องหลังการสัมมนาวิชาการ (Proceedings)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 17 ผลงานวิชาการที่ผ่านพิจารณา เพื่อน าเสนอในงานสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ครบรอบ 70 ปี เรื่อง “70 ปี การเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์ และนโยบายสังคมในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 เวลา 13.30-16.30 น. ******************************* ห้องย่อยที่ 4: การสร้างความเป็นธรรมทางสังคม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ผู้ด าเนินรายการ: 1. อาจารย์ ดร.สุกัญญา มีสกุลทอง 2. อาจารย์เทียนชัย สุริมาศ เจ้าหน้าที่ประจ าห้อง: นางสาวสุธิมา วุฒิการ เวลา ชื่อบทความ ผู้น าเสนอ 13.30-14.00 การศึกษาการใช้เครื่องมือและปัญหาอุปสรรคการใช้เครื่องมือใน การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้กระบวนการประสานและส่งต่อ คนพิการเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพในสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ปรีดาภรณ์ พชรปรีชา 14.00-14.30 โรคเรื้อนและการตีตราผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน จันจนากร พรหมแก้ว 14.30-15.00 การจัดสวัสดิการสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ าทางการศึกษาและพัฒนา คุณภาพชีวิตนักศึกษาพิการ วุฒิชัย วิเชียรศิริกาญกุล 15.00-15.30 การจัดการความเสี่ยงต่อภาวะติดเตียงของผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ แห่งหนึ่ง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ภัทราภรณ์ ชูศรีนวล 15.30-16.00 การศึกษาปัจจัยเงื่อนไขการเกิดขึ้นของทุนทางสังคมในชุมชนบ้านเสียว จังหวัดขอนแก่น พระมหาโกมล ไกรวงษ์ หมายเหตุ: 1. ผู้เขียนน าเสนอผลงาน 20 นาที และตอบข้อซักถาม 10 นาที รวมท่านละ 30 นาที 2. ผลงานที่มาน าเสนอในวันที่ 25 มกราคม 2567 เท่านั้น ที่จะได้รับการเผยแพร่ในรายงานสืบเนื่องหลังการสัมมนาวิชาการ (Proceedings)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 18 ผลงานวิชาการที่ผ่านพิจารณา เพื่อน าเสนอในงานสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ครบรอบ 70 ปี เรื่อง “70 ปี การเปลี่ยนรูปงานสังคมสงเคราะห์ และนโยบายสังคมในประเทศไทย” (A Celebration of 7 Decades: Transforming Social Work and Social Policy in Thailand) วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2567 เวลา 13.30-16.30 น. ******************************* ห้องย่อยที่ 5: Innovations in Social Policy and Programs ผู้ด าเนินรายการ: Dr.Mahesh Chougule เจ้าหน้าที่ประจ าห้อง: นางสาวอรวรรยา สุอางคะวาทิน เวลา ชื่อบทความ ผู้น าเสนอ 13.30-14.00 Examining the Socioeconomic Ramifications of the Shift from Combustion Engine to Electric Vehicle Industry on Labor Well-being in Thailand: An In-Depth Economic Welfare Analysis ชนกานต์ หงษ์จันทร์ 14.00-14.30 Research of Chaina’s Rural Poverty Alleviation Policy since 2011 of Target Definition process Yuzhou Zhu 14.30-15.00 Bringing Ethics to the Classroom: Integrating Ethics Decision Making Class into Educational Frameworks Khanh Linh Nguyen 15.00-15.30 Social Business Plan: Ecoeats – No Waste To Go Chan Meymey Roth หมายเหตุ: 1. ผู้เขียนน าเสนอผลงาน 20 นาที และตอบข้อซักถาม 10 นาที รวมท่านละ 30 นาที 2. ผลงานที่มาน าเสนอในวันที่ 25 มกราคม 2567 เท่านั้น ที่จะได้รับการเผยแพร่ในรายงานสืบเนื่องหลังการสัมมนาวิชาการ (Proceedings)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 19 บทความกิตติมศักดิ์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 20 Global Disruption and its Effect on Social Work and Social Policy in Thailand Jaturong Boonyarattanasoontorn1 Abstract The global disruption that taking place right now is the action or process of disrupting some activity, or event, from continuing as usual or as expected. It is a paradigm shift impacting the evolution of today’s business, environment, society, and way of life of people. The objective of this article is to review the crucial global disruption that influences the socioeconomic, environmental, and individual lives of people which affects social work and social policy in Thailand. Documentary research and related research were employed to collect data. The findings were in the world of modern technology development over the past 30 years, especially in the field of computers and telecommunications, everything has become easy and fast. Whether it's information that can be sent immediately to your fingertips. In the production of products in all aspects, including agriculture, industry, trade, and services. Banking Finance Including the medical field, etc. But in the matter that is the best in this way, there is still chaos created to steal computer information also known as hacking. to be used for destruction or the wrongdoing of the perpetrator This is another matter of creating dangerous chaos in the world. The global context has been changing. What should be done from now on is further research the interconnectedness of different societal sectors aimed at building long-term sustainable systems including changing social work strategies and social policies in Thailand in order to save the underprivileged to survive in the global disruption. Keywords: Economic Disruption, Social Disruption, The adjustment of Social Work and Social Policy บทคัดย่อ การปั่นป่วนของโลกที่ก าลังเกิดขึ้นในขณะนี้ คือ การกระท าหรือกระบวนการขัดขวางกิจกรรมหรือเหตุการณ์ บางอย่างไม่ให้ด าเนินต่อไปตามปกติหรือตามที่คาดไว้ เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่ส่งผลกระทบต่อวิวัฒนาการของ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ สังคม และวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนการเปลี่ยนแปลงระดับ โลกที่ส าคัญซึ่งมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อม และชีวิตส่วนบุคคลของประชาชน ซึ่งส่งผลกระทบต่องานสังคม สงเคราะห์และนโยบายสังคมในประเทศไทย ระเบียบวิธีวิจัยใช้การทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในการรวบรวม ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ในโลกแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในด้านคอมพิวเตอร์และ โทรคมนาคม ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่สามารถส่งถึงมือคุณได้ทันที ในการผลิตสินค้าใน ทุกด้านทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม การค้าและการบริการ การธนาคาร การเงิน รวมถึงวงการแพทย์ เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็เกิดการขโมยข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อน าไปใช้ในการท าลายล้างของผู้กระท าความผิด ซึ่งท าให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วโลก บริบทของโลกก าลังเปลี่ยนไป สิ่งที่ควรท าต่อจากนี้ไปคือการวิจัยเพิ่มเติมที่มุ่งสร้างระบบที่ยั่งยืนในระยะยาว และการปรับเปลี่ยน ยุทธวิธีงานสังคมสงเคราะห์และนโยบายสังคมในประเทศไทยเพื่อรักษาผู้ด้อยโอกาสให้อยู่รอดในยุคที่โลกก าลังปั่นป่วน ค าส าคัญ: การหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ การหยุดชะงักทางสังคม การปรับตัวของงานสังคมสงเคราะห์และนโยบายสังคม 1 Ph.D., Advisor and Special lecturer in Ph.D. Program in Social Welfare Administration, Huachiew Chalermprakiet University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 21 Introduction In the 21st century, our world has been changing rapidly. According to “Envisioning the United Nations in the Twenty-first Century”, the biggest problems we face globally include: 1. Climate Change: One of the most pressing challenges of the 21st century is climate change. Rising global temperatures, extreme weather events, and environmental degradation threaten ecosystems, communities, and economies worldwide. 2. Wars and military conflicts: Armed conflicts and political instability persist in different regions, e.g., the Russia-Ukraine War, and the Israel-Hamas war causing humanitarian crises and displacing millions of people. 3. Human rights violation: Human rights advocates agree that the Universal Declaration of Human Rights is still more a dream than a reality. Violations exist in every part of the world. Women and children are marginalized in numerous ways, the press is not free in many countries, and dissenters are silenced, too often permanently. Human rights violations will still plague the world in the future. Human rights are a cross-cutting theme and the key areas of peace and security, development, humanitarian assistance, and economic and social affairs. 4. The emergence of new infectious diseases: As demonstrated by the COVID-19 pandemic, the emergence of new infectious diseases will remain a major challenge. Building robust healthcare systems, early detection, and global cooperation in response to health crises are essential for safeguarding public health. 5. Poverty, inequality, and social justice: The 21st century has seen significant disparities in wealth, income, access to food and hunger, and access to opportunities. Reducing inequality and promoting social justice are crucial for creating inclusive societies and ensuring the well-being of all individuals. 6. Children's poor access to healthcare, education, and safety: One of the most pressing issues facing children is the lack of access to healthcare. Many children in low-income countries suffer from malnutrition, infectious diseases, and developmental delays due to a lack of basic medical services. The primary reason for this is the lack of healthcare infrastructure in these countries, including hospitals, clinics, and trained medical professionals. Education is essential for children's development and future success, yet many children are unable to access it. Barriers to education include a lack of schools, teachers, and resources, as well as societal and cultural factors such as child labor and gender discrimination. Without access to education, children are more likely to remain in poverty and face limited opportunities for their future. Children's safety is also a significant concern, particularly in lowincome and conflict-affected areas. Children in these areas are at risk of violence, abuse, and exploitation, and may lack access to basic safety and protection services. Lack of safety can result in physical and emotional harm, as well as long-term consequences such as trauma and limited opportunities for the future.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 22 7. Technological Advancement and Ethics: Rapid technological advancements, such as artificial intelligence, biotechnology, and automation, present both opportunities and challenges. Ensuring that these technologies are developed and deployed ethically, without exacerbating social inequalities or compromising privacy, is a critical challenge. 8. Digital Divide: While technology offers tremendous opportunities, the digital divide remains a significant challenge, with millions lacking access to the internet and digital tools. Bridging this gap is crucial for promoting equitable education and economic development. 9. Disinformation and Misinformation: The widespread dissemination of false or misleading information through digital platforms poses threats to democracy, public discourse, and social cohesion. Call centers are causing chaos around the world. Navigating the challenges of disinformation requires media literacy and responsible use of technology. 10. Aging Population and Healthcare: The aging population poses challenges for healthcare systems and social support structures. Developing age-friendly policies and healthcare services that cater to the needs of the elderly is crucial for their well-being. We should recognize that these major challenges lead to global disruption. In the world of modern technology development over the past 30 years, especially in the field of computers and telecommunications. However, the problems are interrelated. Each one is a challenge, but they are not hierarchical. Together they create an even more unstable and uncertain future than we have seen for some time. Each works individually and together, with a mix of local and global influences shaping the experiences of people in different places. Thailand is also affected by these major challenges. The objective of this article is to review the crucial global disruption that influences socioeconomic and environmental which affect social work and social policy in Thailand. The social work and social policy of Thailand must be unavoidably adjusted. Instruments and Methods Documentary research including a literature review on global disruption, its effects on the economy and society, and a review of related research was employed to collect data. Results According to the literature review, in the economy, the effect of global disruption is a situation wherein markets cease to function in a regular manner, typically characterized by rapid and large market declines. Three types of disruptions with their correspondence in the real world: a) disruption to the production process, b) disruption to infrastructure network links, and c) disruption due to change in demand (Gruszczynski, 2020; Kaasila et al. 2021). Supply chain disruptions are putting a drag on activity and trade at the global level. The most relevant elements are 1) difficulties in the logistics and transportation sector, 2) semiconductor shortages, 3) pandemic-related restrictions on economic activity, and 4) labor shortages. Therefore, a supply chain


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 23 disruption is any event that causes a disruption in the production, sale, or distribution of products. Supply chain disruptions can include events such as natural disasters, regional conflicts, and pandemics (Revilla and S Saenz 2014, Revilla and S Saenz 2017, Sharma et al (2020). In general, globalization decreases the cost of manufacturing. This means that companies can offer goods at a lower price to consumers. The average cost of goods is a key aspect that contributes to increases in the standard of living. Consumers also have access to a wider variety of goods. Various factors contribute to a financial crisis, including systemic failures, unanticipated or uncontrollable human behavior, incentives to take excessive risks, regulatory absence or failures, or natural disasters such as pandemic viruses (OECD 2003). Global disruption also affects society. Social disruption is a term often used in sociology to describe the change, dysfunction, or breakdown of social life in community settings. Social turmoil means a radical transformation in which the old certainties of modern society are lost, and completely new ones emerge. Social disruptions can be caused by natural disasters, large-scale population movements, rapid economic, technological, and demographic changes, but also by controversial policy decisions. Social disruption is, for example, the creation of new landscapes by rising sea levels and the drawing of new world maps in which the major lines are elevations above sea level rather than the traditional boundaries between nation-states. At the local level, an example is the closing of a local grocery store. This can lead to social turmoil in the local community, as the community loses a "gathering place" for fostering relationships and community solidarity. Social disruption might be caused by natural disasters, massive human displacements, rapid economic, technological, and demographic change but also due to controversial policymaking. For example, rising sea levels are creating new landscapes, drawing new world maps whose key lines are not traditional boundaries between nation-states but elevations above sea level. On the local level, an example would be the closing of a community grocery store, which might cause social disruption in a community by removing a " meeting ground" for community members to develop interpersonal relationships and community solidarity. Social disruptions often lead to five social symptoms: Frustration, Democratic Disconnection, Fragmentation, Polarization, and Escalation. Studies from the last decade show that our societies have become more fragmented and less coherent, neighborhoods turning into little states, organizing themselves to defend the local politics and culture against outsiders, and increasingly identifying through ways of voting, lifestyle, or well-being. Especially, people on the right and left political spectrum are more likely to say it is important to them to live in a place where most people share their political views and have similar interests (Pew 2014). Hence, citizens become alienated from democratic consensus (Foa and Munk 2016; Levitsky and Ziblatt 2018) and tend to assume that their opponents believe more extreme things than they really do. Moreover, fear of being identified as unqualified denied value and dignity, and for that reason marginalized, excluded, or outcast, is giving rise to a widespread disenchantment with the idea that the future will improve the human condition and a mistrust in the ability of nation-states to


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 24 make this happen (Rattansi, 2017). At the same time, accelerations in liberal progression, globalization, and migration flows have led to increasingly polarized contestations about national identities - a volatile and critical social state, prone to conflict escalation (e.g., hate crimes after the Brexit vote, incident at a far-right rally in Charlottesville, USA). Discussion International but also local challenges force our societies to find solutions and make decisions on controversial issues in an accelerated manner. The complexity of such decisions is not only mirrored in the aim to tackle a multi-causality of root causes, but it also faces a high degree of uncertainty as regards its impact. Hence, due to the growing separation between the world of public opinion on the one hand, and the world of problem-solving on the other, it is very likely that political decisions further polarize our societies. The explanation is that citizens evaluate disruptive developments and related policy changes on a two-way level, on their personal interests and comfort, as well as on their perceived impact on their social identity and community. If a policy change reflects the substantive representation of the median voter, is something that just does not matter to citizens in regard to their acceptance of decisions (Esaiasson et al. 2017). This can produce multi-faceted conflicts over interests, facts, and norms between supporters and opponents. Simultaneously, the capacity of political parties and actors in civil society to bridge that divide is declining. In such a situation, social psychology tells us that citizens who feel uncomfortable will hold tighter to the assumptions that make them feel secure. Especially in public policy disputes, parties hardly give up their assumptions voluntarily, and citizens begin to masquerade their true individual conflict of interest (e.g., devaluation of property; insecurity) with more normative conflict of interest (e.g., protection of nature; protection of culture). Such distorted behavior remarkably increases at times when citizens or communities feel that a policy change is threatening their way of living. Considering the increasing social divisions and democratic disconnection, Putnam and Feldstein (2004) foresaw the importance of creating “ bridging social capital”, e.g., ties that link groups across a greater social distance. As the authors elaborate, the creation of robust social capital takes time and effort. It develops largely through extensive and time-consuming face-to-face conversations between two individuals or small groups of people. Only then there is the chance to build the trust and mutual understanding that characterizes the foundation of social capital. In no way, Putnam and Feldstein write, it is possible to create social capital instantaneously, anonymously, or end masse. Furthermore, it builds social capital among people who already share a reservoir of similar cultural referents, ethnicity, personal experience, moral identity, etc. is qualitatively different. Homogeneity makes connective strategies easier, however, a society with only homogeneous social capital risks looks like Bosnia or Belfast. Hence, bridging social capital is especially important for reconciling democracy and diversity. Yet, bridging social capital among diverse social groups is intrinsically less likely to develop automatically.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 25 Social disruption theory deals with growth issues from the community perspective and explains how rapid growth can adversely penetrate the whole community to affect individuals and social groups. Drawn from sociology, social disruption theory states that communities experiencing rapid growth typically enter a period of generalized crisis and loss of traditional routines and attitudes. The crisis affects individuals, whose mental health, worldviews, ways of behaving, and social relationships and networks may all be affected. Social disruption theory also asserts that rapid community change resulting from population increases will lead to an array of social problems indicative of overall community disorganization. Tourism communities seem to provide excellent settings for examining some postulations of social disruption theory because some kinds of tourism communities experience relatively rapid growth accompanied by intensive development and rapid social change over a relatively short period of time. While social disruptions associated with rapid growth were initially studied in urban settings (mainly due to rapid population growth into urban areas) , rural sociologists have also directed their attention to this topic. Research about social disruptions in rural communities facing intensive resource development (so-called “ boomtowns” ) offers a valuable context for comparison with rural tourism communities. Boomtown studies assert that rapid growth related to energy or other resource development creates significant social change, which is stressful for residents and local community institutions. Among the various adverse consequences of boomtowns, crime has been seen as one of the important indices of social disruptions created by rapid community growth, crime in tourist places has also been an issue of concern to members of the public, policymakers, and academics. Crime levels (and the public perception of crime and criminal behavior) influence actual and perceived visitor safety and resident quality of life and affect a community's reputation as a successful tourism destination. Given the significance of analyses of crime for tourism policy and community life, many tourism researchers have investigated the relationships between crime and tourism development. Most crime studies in tourism have focused on analyzing residents’ perceptions of actual or perceived changes in crime due to tourism development. Perceived crime impacts have typically been measured along with other social and/or cultural indicators in order to accomplish either of two goals: (a) to identify residents’ perceptions about existing tourism developments and tourists or (b) to predict residents’ attitudes toward future tourism development. Unlike studies of perceived crime impacts, which involve no actual or objective measures of crime, several studies have examined the relationships between crime and tourism using published crime statistics. Although these studies offered insight and gave direction for further research, their approaches and methods failed to address some critical points. First, these studies examined relationships between tourism growth and crime increases, but-because of the simplified way authors operationalized tourism growth variables – they often overlooked complicated relationships between crime and tourism growth. For example, most of these studies used only a single measure of tourism growth, such as employment


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 26 in eating and drinking places, number of hotel and motel rooms, proportion of hotel employment, or tourism expenditures. These measures may represent a segment of tourism growth in specific tourist places but may not be adequate indicators of the overall pattern of growth in tourist places. Second, many of these studies were independent cases, and none of the studies attempted to employ a comparative approach to analyze crime in tourism communities. While scholars and practitioners generally believe that tourism generates growth, not all forms of tourism development result in the same levels or pace of growth. Whether different growth levels occur under different kinds of tourism development has been understudied, although it precedes the issue of whether tourism growth relates to crime increases. Thus, even though these studies emphasized the relationship between tourism growth and crime, they did not specify how crime is related to different levels of tourism growth in different kinds of tourist places. Consequently, previous studies have provided few answers regarding whether. Tourist places with different levels of growth might experience different rates of crime. As a result, one issue that still remains unanswered is whether tourism growth leads to crime increases, or whether crime is an inherent byproduct of tourism. The development of more sophisticated growth indicators and comparisons across tourist places with different levels of growth would improve understanding of the relationships between tourism growth and crime. Erik Schrijvers et al, 2021 explain the concept of ‘societal disruption’ to clarify what type of events we are addressing in this report. If events have a significant digital component, we speak of ‘digital disruption’. Because societal disruption in policy practice is often linked to national security and ‘critical assets’, we also consider the classification of critical processes and critical infrastructure. As societal disruption follows catastrophic events such as major floods or pandemics like COVID19, it is intricately linked to the concept of risk. Risk is often defined in the literature as ‘probability x consequence’ . Societal disruption concerns the consequences of that risk: the risk that damage will actually occur. While policy documents often refer to ‘societal disruption’, there is no clear definition of the term. Clearly, a major disaster would disrupt society. However, it is more difficult to define a clear threshold as different types of events will differentially disrupt society, the market, and the government. Nor does disruption have to start at a clearly defined point. Like a smoldering peat fire, disruption may begin under the surface, its full extent only becoming apparent later. We explain the meaning and scope of the concept of societal disruption below by discussing: (1) ‘normal’ societal functioning; (2) the severity of disruption; (3) the role of perception; and (4) the duration of disruption. Societal disruption implies the disruption of everyday societal processes. By ‘everyday societal processes’, we mean the regular functioning of the institutions of government, society, and the market. If everyday societal processes can no longer function adequately-whether due to additional costs or inadequate public confidence – these count as serious disruption, with consequences for society, economy, and government, including justice, elections, and the legislative process. We discuss the


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 27 ‘normal functioning’ of society’s institutions both in terms of verifiable damage to the continuity of society and people’s perceptions of disruption. In the event of serious disruption, societal processes such as payments, the internet, public transport, healthcare, drinking water, and electricity may stop functioning or switch to a less efficient mode. The continuity of society would no longer be guaranteed. Long traffic jams or queues could form, large quantities of goods could pile up, and information and services could become inaccessible or unreliable so that many everyday activities would no longer be possible. At this point, the disruption would also lead to major economic damage. It may be direct damage, such as to flood defenses, homes, computers, and company installations, but also indirect damage due to business failures or the disruption of the activities of third parties. Finally, there may be physical casualties: human injuries and deaths. All of this can, in principle, be verified and quantified, and expressed in financial terms for compensation purposes, for instance. But alongside the material effects, there is also the risk that citizens lose confidence in the institutions of government, the market economy, or the society in which they live. Would they experience the disruption as an inconvenience or as a serious violation of their daily lives? The answer depends on people’s value systems as well as the extent of their self-reliance during and after the disruption. How people perceive the competence of private and public organizations, particularly that of the government, matters greatly. Did the government take adequate preventive measures? Was it able to take swift action to restore the normal functioning of society? If citizens, companies, or organizations feel they can no longer rely on the continuity of normal societal functions, the foundations of the democratic constitutional state may be undermined. What makes digitization? particularly problematic is the blurring of geographical boundaries; it may not always be in the power of national governments to quickly restore the normal functioning of society. The rule of law – which provides fundamental certainty in our society – is based on the premise that we live in a nation-state that can legitimately exercise a monopoly of violence within a clearly defined territory. If this principle is undermined, for example, because the state can no longer successfully claim this monopoly, people may lose faith in society and the rule of law. In the event of serious digital disruption, it would also be unclear which resources the state can call on. Such considerations would inevitably exacerbate the public perception of disruption. Whether we are talking about an interruption to social services, economic damage, the number of victims, or the loss of confidence in society and government, these must reach a certain scale to merit the use of the term ‘societal disruption.’ A gradual, possibly unnoticed series of minor disruptions may have the same cumulative effect as an event that explodes into our consciousness. In the former, the consequences of an event remain under the radar and only become clear gradually. The steady spread of disinformation, for example, undermines public confidence in institutions, which can harm the functioning of society over the long


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 28 term. In the latter, cause and effect are largely indistinguishable; the seriousness of the situation is immediately obvious. The passage of time is an important factor in the costs of disruption. Longer disruptions mean higher costs. Ultimately, the adverse consequences of an event and assessments of damage will unfold over time. More broadly, this also applies to the reputation of companies, organizations, and governments. Inadequate detection systems and sluggish responses will impact the public’s confidence in the government, which by definition is expected to respond to serious situations swiftly and effectively. Governments often view societal disruption through the lenses of national security and critical infrastructure. For the Dutch government, national security encompasses various ‘ critical’ interests: territorial integrity, economic security, ecological security, physical security, and social and political stability. The definition of national security has recently been extended to include ‘other situations that (may) have a major impact on society’ These include ‘critical’ processes that are so crucial that their failure or disruption would lead to immediate societal disruption or undermine national security. Together, these processes form the Netherlands’ ‘critical infrastructure.’ Critical infrastructure denotes a range of services upon which society depends. Critical infrastructure must be protected from natural and technological disasters (e.g. , floods and nuclear accidents). More recent understandings of critical infrastructure, however, transcend the traditional focus on national defense and military considerations. The focus of security policy has expanded beyond hostile actors, their capacity, and motivations, to include the general vulnerabilities of society as a whole. Underlying this broader definition is the more diffuse spectrum of threats since the end of the Cold War, and new societal vulnerabilities due to our dependence on information systems. The broader definition of critical infrastructure has led to a different approach to risk. In the absence of reliable data on the likelihood and impact of the risks society now faces, the focus has shifted from the potential causes to the potential consequences of the failure of processes critical to society’s functioning. A classification of critical processes provides guidance for politicians, policymakers, and other stakeholders to determine whether a particular situation should be considered serious – and thus whether the government should take action and, if so, how. After all, it is impossible to protect all societal functions against every possible threat all the time, and we need to distinguish critical from noncritical processes. Assessments by the Dutch government have quantified the consequences of failure of each process as it bears on potential economic, physical, and social harm. Consideration of cascade effects resulted in two categories of critical processes, based on the seriousness of the impact of their failure. The ‘critical’ nature of societal processes also depends on their organization and the risk of disruption. This includes the presence of backup options and recovery time – decisive factors for the extent of damage or the number of victims if things go wrong. Impact is not a fixed measure; it depends on the resilience of the actors responsible for the critical process in question.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 29 Overviews of critical processes, therefore, differ, both over time and from country to country. Governments compile different lists or add new areas to reflect the latest threats. In 2017, the United States reclassified election infrastructure as critical. Germany includes the media and certain cultural goods. While healthcare regularly features in international overviews of critical infrastructure, Dutch hospitals, and other healthcare institutions have recently been dropped from the list. The critical importance of certain processes often only becomes clear after they suffer disruption. We will return to the implications of these national differences in the next section. In conclusion, social disruption is a term used in sociology to describe the alteration, dysfunction, or breakdown of social life, often in a community setting. Social disruption implies a radical transformation, in which the old certainties of modern society are falling away and something quite new is emerging. Moreover, global disruption is related to disruptive technologies which progress all the time. The economic sector is trying to adapt itself to overcome disruption by embracing disruptive technologies saves companies money by allowing them to enter the market with cheaper products and services, such as robotics and process automation, because they help increase productivity by moving away from strategies and structures that are outdated and inflexible to the needs of an ever. Digital Disruption: Digitization means that societal functions and processes are vulnerable in new and unexpected ways. This vulnerability applies to both regular processes and processes classified as critical by the government since most critical processes are already bound up with digital infrastructure. By ‘digital infrastructure’, we mean all facilities for the storage, exchange, and processing of digital data. Until about 10 years ago, the risk of the disruption or failure of these facilities was absent from almost all national and international risk analyses. This has changed over the past decade. The risk of the disruption or failure of digital infrastructure has risen rapidly through the ranking of risks that would have disruptive consequences for society. (Schrijvers et al. (2021). The disruption or failure of digital infrastructure can have many causes, from accidental (errors) or deliberate human actions (often of a criminal or at least unlawful nature) to the spontaneous failure of systems or the semi-autonomous behaviors of machines. There are also more indirect causes such as fires, power failures, or floods that damage servers. These causes can occur. Separately or in combination and can result in both acute and gradual disruption. Where societal disruption has an important digital component, we refer to ‘digital disruption’. The scope of this study does not extend to the exact likelihood and consequences of digital disruption. Recent studies have already addressed these questions, both in the Netherlands and abroad. The potential of digital disruption leading to significant economic damage and social unrest is real and is the premise of our analysis in the following sections. Our aim is to formulate an agenda for measures that could be taken to prepare society for such disruption, focusing specifically on what the government and academic institutions teaching social work and social policy can do.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 30 Results of social disruption Research over the past decade globally and in Thailand has shown that our society is becoming increasingly fragmented and less coherent with neighborhoods turning into small states and organizing. The advancement of artificial intelligence ( AI) has created disruption in our world. The call center is expanding in Thailand. According to the Nation Social Media (2023), Thailand Annual Report 2022 reveals a 165% increase in scam calls and over 13 million Thai mobile numbers leaked. Scam attempts jumped to 17 million during the year with 7 in 10 messages Thai received either scam or spam, with up to 45% of Thai phone numbers being leaked, the anti-fraud caller ID mobile application highlights the growing problem of scam calls and messages in its annual report by revealing it identified 405.4 million scam calls and messages around the world during 2022. Even though scam calls decreased compared to the previous year, it remains a significant issue as scam calls in Thailand increased by 165% resulting in 17 million scam calls in 2022. The report also reveals that the details of 45% of all Thai mobile numbers-13.5 million numbers, were leaked during the year. The issue highlights the continuing spread of scams and security issues around the world. With the rise of generative AI and vulnerabilities in enterprise digital transformation, fraudulent technologies and their consequences are expected to intensify in the future. To combat the growing threat of fraudulent activities, Gogolook is partnering with several strategic partners in Thailand and around the world to develop innovative solutions to tackle these threats and protect our customers from malicious attacks in order to protect local politics and culture from outsiders’ identity is increasingly promoted through voting, lifestyle, and welfare methods (Schäfer 2015) . People on the right and left political spectrum, in particular, are more likely to say yes. It is important for them to live in a place where most people share political views and have similar interests (Pew 2014), thus alienating citizens from the democratic consensus (Foa and Munk 2016; Levitsky and Ziblatt 2018) , adversaries tend to assume that they believe more extreme things than they are (Iyengar et al. 2012). Moreover, fear of being deemed disqualified, of being denied worth and dignity, of being marginalized, excluded, or ostracized as a result, has become a widespread disillusionment with the idea that the human condition will improve in the future. It creates a sense of distrust in the capabilities of the state. We promise to do this (Pew 2015; Bauman 2017). At the same time, liberal progress, globalization, and accelerating immigration flows are increasing polarized debates over national identity. An unstable and dangerous social situation, prone to escalating conflicts (e.g., post-Brexit vote hate crimes, incidents at far-right rallies in the UK). Charlottesville, USA). In order to protect local politics and culture from outsiders (Walzer 1983; Bauman 2017), identity is increasingly promoted through voting, lifestyle, and welfare methods (e.g. Schäfer 2015). People on the right and left political spectrum, in particular, are more likely to say yes. It is important for them to live in a place where most people share political views and have similar interests (Pew 2014), thus alienating citizens from the democratic consensus (Foa and Munk 2016; Levitsky and Ziblatt 2018), adversaries tend to assume that they believe more extreme things than they actually are (Iyengar et al. 2012). Moreover,


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 31 fear of being deemed disqualified, of being denied worth and dignity, of being marginalized, excluded, or ostracized as a result, has become a widespread disillusionment with the idea that the human condition will improve in the future. It creates a sense of distrust in the capabilities of the state. We promise to do this (Pew 2015; Bauman 2017) . At the same time, liberal progress, globalization, and accelerating immigration flows are increasing polarized debates over national identity. An unstable and dangerous social situation, prone to escalating conflicts (e.g., post-Brexit vote hate crimes, incidents at far-right rallies in the UK). Charlottesville, USA). Policymaking in a polarized society It is unclear how to enact any kind of policy change in a polarized society where few facts are shared, and the muscles of citizens are atrophy. International as well as regional challenges. Demands our society to find solutions and make quick decisions on controversial issues. The complexity of such decisions is not only reflected in the objective of addressing multiple causalities of root causes but also faces a high degree of uncertainty regarding their impact. Thus, with the increasing separation between The world of public opinion on the one hand and the world of problem-solving on the other (March 2009). There is a great possibility that political decisions will further polarize our society. Is expensive. The explanation is that citizens value disruptive developments and related policy changes on two levels: individual benefits and comforts, and perceived impacts on social identity and communities. (Ryan and Deci 2000; Haidt 2012) . Even if the policy change reflects a substantial representation of the median voter, it does not matter at all to the public regarding acceptance of the decision (Esaiasson et al. 2017). This can lead to multi-faceted conflicts over interests, facts, and norms between proponents and opponents (Itten 2017) . At the same time, the capacity of political parties and civil society actors to bridge the gap is declining. In such situations, according to social psychology, displeasing citizens hold onto assumptions that make them feel more secure. Parties seldom voluntarily abandon their assumptions, especially in public policy disputes, and citizens tend to ignore genuine personal conflicts of interest (e.g., devaluation of property, insecurity) rather than more normative conflicts of interest. (e.g. Nature Conservation, Cultural Conservation) begin to cover. . Such distorted behavior increases significantly when citizens and communities feel that policy change threatens their livelihoods. Bridging social capital Considering the growing social divide and the discontinuity of democracy, Putnam and Feldstein (2004) foresaw the importance of building a 'bridging social capital'. The bonds that bind groups together across greater social distances. As the authors detail, building robust social capital takes time and effort. It mainly develops through extensive and lengthy face-to-face conversations between two individuals or small groups. Only then will there be an opportunity to build the trust and mutual understanding that characterizes the foundation of social capital? Putnam and Feldstein write that it is by no means impossible to create social capital instantaneously, anonymously, or end masse. Moreover, building social capital among people who already share.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 32 The trove of similar cultural referents, ethnicities, personal experiences, moral identities, etc., is qualitatively different. Homogeneity facilitates cohesion strategies, but societies with only homogeneous social capital risk look like Bosnia or Belfast. Bridging social capital is therefore particularly important for reconciling democracy and diversity. However, bridging social capital between diverse social groups is unlikely to develop automatically in nature to present the results of the study by explanation along with tables, graphs, or pictures. Please provide an explanation that is brief and free from the body of the study. Due to global disruption matters, what should be done in the future includes further research into the gap areas with a particular focus on the long-term effects of social disruption, social protection available to disabled people, and the collection of empirical data. Recognition and further research into the interconnectedness of different societal sectors and systems and funding approaches aimed at building long-term sustainable systems. Adjusting social work and social policy to respond to global disruption. Engagement of academic institutions, NGOs, and CSOs in contributing and leading research, and consultancy for disadvantaged people. Conclusion Global disruption is related to disruptive technologies which progress all the time. The economic sector is trying to adapt itself to overcome disruption by embracing disruptive technologies saves companies money by allowing them to enter the market with cheaper products and services, such as robotics and process automation, because they help increase productivity by moving away from strategies and structures that are outdated and inflexible to the needs of an ever. Disruptive Change occurs when the fundamental concepts and processes of an industry or business start to shift. In the meantime, the social sector must adapt itself for survival under the pressure of global disruption. The essential skills for leading through global disruption include Global disruption is a paradigm shift impacting the evolution of today's environment. There are many views on what this means. What is an example of a global disruption? Some examples are natural disasters and other climate change issues, disease outbreaks, technological and cyber changes, trade disputes, and policies. Such discontinuities have been previously addressed in the literature as disruptions. Global disruption influences the economy, society, and individual life. In the economy, market disruption is a situation wherein markets cease to function in a regular manner, typically characterized by rapid and large market declines. Social disruption is a term used in sociology to describe the alteration, dysfunction, or breakdown of social life, often in a community setting. Social disruption implies a radical transformation, in which the old certainties of modern society are falling away and something quite new is emerging. Significant life disruptions can be health-related - serious illnesses including mental illness and loss of memory, serious accidental injury, or the birth of a child with a disability, all of which can affect self or family members.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 33 Disruption risk is the risk that arises from natural disasters, such as weather disruption, or manmade ones such as economic crises. Major global disruptions have become all too common in the past couple of decades, be it an act of terrorism (including on 9/11 in the United States, in 2004 in Madrid, 2008 in Mumbai, 2015 in Paris, 2019 in Sri Lanka), a health crisis (including SARS in 2002-2003, swine flu in 2009-2010, Ebola in 2014-2016, COVID in 2019-2023. Social disruption is a term used in sociology to describe the alteration, dysfunction, or breakdown of social life, often in a community setting. Social disruption implies a radical transformation, in which the old certainties of modern society are falling away and something quite new is emerging. According to the World Economic Forum's Global Risks Report 2023, the world's top current risks are energy, food, inflation, and the overall cost of living crisis. Over the next two years, the cost-of-living crisis remains the number one threat, followed by natural disasters and trade and technology wars. Those events certainly influence the way of life of People. This article starts with updated information about global disruption, especially in the economy, society, and individual life. This is to provide a clear understanding for readers of what we mean by global disruption and its importance for the mainstream of world development over the decade. Then, provides a solid knowledge of processes for overcoming global disruption. Global Social work and social policy including Thailand must be changed. Lastly, it is timely to propose that the international workshop on global disruption and its effects on social work and social policy should be organized. The host of international work should be The International Council on Social Welfare (ICSW), or The International Federation of Social Workers (IFSW), or The International Association of Schools of Social Work (IASSW). The author believed that new ideas or innovations of the processes for overcoming global disruption will emerge from the workshop and can be implemented in reality within diverse contexts, conditions, and patterns. References Ahlstrom et al. (2020). Managing Technological. Home Preparing for Digital Disruption Chapter. Aliouche. (2015). The impact of the global financial crisis on country attractiveness. Thunderbird International Business Review, Vol. 57 No. 1, pp. 63-83. Erik Schrijvers. (2021). Corien Prins & Reijer Passchier Societal Disruption. Retrieved from https://link.springer.com/chapter/10.1007/978-3-030-77838-5_2 Carracedo et al. (2021). Research lines on the impact of the COVID-19 pandemic on business. A text mining analysis. Journal of Business Research, 132, pp. 586-593. Curran et al. (2021). The trade policy response to COVID-19 and its implications for international business. Critical Perspectives on International Business, 17(2), 252-320, doi: 10.1108/cpoib-05-2020-0041. Donthu, and Gustafsson. (2020). Effects of COVID-19 on business and research. Journal of Business Research. Schrijvers et al. (2020). Preparing for Digital Disruption. Retrieved from https://link.springer.com/book/ 10.1007/978-3-030-77838-5Gambardella, A. (2020), “STR plenary-20/20: Focusing on COVID’s implications for the field.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 34 Gruszczynski (2020). The COVID-19 pandemic and international trade: temporary turbulence or paradigm shift?. European Journal of Risk Regulation, 11(2), 337-342. Hitt et al. (2020). Strategic management theory in a post-pandemic and the non-ergodic world. Journal of Management Studies, 58(1). doi: 10.1111/joms.12646. Hitt et al. (2021). The (COVID-19) pandemic and the new world (dis) order. Journal of World Business, 56(4). doi: 10.1016/j.jwb.2021.101210. Holmes et al., (2016). Two-way streets: the role of institutions and technology policy in firms’ corporate entrepreneurship and political strategies. Academy of Management Perspectives, 30(3), 247-272. Kaasila et al. (2021). Global Disruption: A Paradigm Shift. Retrieved from https://www.jefferies.com/ IdeasAndPerspectives/pm/1626#:~:text=Global%20disruption%20is%20a%20paradigm,public%20c ompanies%20in%20the%20world OECD. (2003). Emerging Systemic Risks in the 21st Century: An Agenda for Action. Retrieved from https://www.oecd.org/futures/globalprospects/37944611.pdf Putnam, and Feldstein. (2004). Better together: Restoring the American community. New York: Simon and Schuster, Encyclopedia, Science News & Research Reviews, Social Disruption. Retrieved from https://academic-accelerator.com/encyclopedia/social-disruption Marinov, M., and Marinova, S. (Eds). (2012). Emerging Economies and Firms in the Global Crisis, Palgrave Macmillan. London. Rao-Nicholson, and Salaber. (2016). Impact of the financial crisis on cross-border mergers and acquisitions and concentration in the global banking industry. Thunderbird International Revilla, and S., Saenz (2014). Supply chain disruption management: global convergence vs national specificity. Journal of Business Research, 67(6), 1123-1135. Revilla, and S., Saenz (2017). The impact of risk management on the frequency of supply chain disruptions. International Journal of Operations and Production Management, 37(5), 557-576. Sharma et al. (2020). Covid-190's Impact on Supply Chain Decisions: Strategic Insights from NASDAQ 100 firms using Twitter data. Journal of Business Research, 117, pp. 443-449. The Nation. (2023). The alarming increase in scam calls found in Thailand. Retrieved from https://www.nationthailand.com/thailand/general/40026460 Westney. (2021). MNCS and Cross-Border Strategic Management. New York: Oxford University Press. World Economic Forum. (2017). The Global Risks Report 2017. Retrieved from https://www.weforum.org/ reports/the-global-risks-report-2017 World Economic Forum's Global Risks Report. (2023). Retrieved from https://www.google.com/search?q= World+Economic+Forum%27s+Global+Risks+Report+(2023)+Retrieved+from&rlz=1C1CHBF_enTH1 057TH1057&oq=World+Economic+Forum%27s+Global+Risks+Report+(2023)+Retrieved+from&gs_l crp=EgZjaHJvbWUyBggAEEUYOdIBCDI2MzZqMGo3qAIAsAIA&sourceid=chrome&ie=UTF-8&ie=UTF-8


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 35 การพัฒนาหลักสูตรนโยบายและการบริหารงานยุติธรรม กับการเสริมสร้างความเป็นธรรมทางสังคม นิฤมน รัตนะรัต1 Nirumon Rattanarat2 กระบวนการยุติธรรมเป็นกระบวนการที่ให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและให้ความเป็นธรรมในทางกฎหมาย แก่ประชาชน โดยกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นกระบวนการน าตัวผู้กระท าความผิดมาลงโทษ เริ่มต้นเมื่อมีการกระท า ความผิดอาญาเกิดขึ้นและมีขั้นตอนการด าเนินคดีตามกฎหมายผ่านองค์กรต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ต ารวจ ทนายความ พนักงานอัยการ ศาล ราชทัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายเพื่ออ านวยความยุติธรรมให้กับประชาชนนั้นต้อง ให้ความส าคัญกับการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา จ าเลย ผู้ต้องขัง และการคุ้มครองเยียวยาผู้เสียหาย รวมไปถึงการป้องกัน อาชญากรรมและแก้ไขปัญหาการกระท าความผิดซ้ า และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน อย่างไรก็ดี กระบวนการยุติธรรมอาจสร้างปัญหาความเหลื่อมล้ าให้กับคนในสังคมโดยเฉพาะกับกลุ่มบุคคลที่ ไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ เช่น ปัญหาฐานะทางเศรษฐกิจที่ยากจนอาจส่งผลต่อความสามารถในการต่อสู้คดี การประกันตัว การขอปล่อยชั่วคราว ฯลฯ ปัญหาความล่าช้าในการด าเนินคดีและการบังคับใช้โทษจ าคุกที่ส่งผลต่อความแออัด ของเรือนจ า การแก้ไขพฤตินิสัยของผู้ต้องขัง และการกระท าความผิดซ้ าที่มีจ านวนสูงขึ้น ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าในการแก้ไขปัญหา ดังกล่าวควรมีการพัฒนาแนวคิดของระบบกฎหมาย นโยบายสังคม และการบริหารงานยุติธรรม ให้มีความเชื่อมโยงกันระหว่าง สังคม ชุมชน และกลไกของกระบวนการยุติธรรมเพื่อส่งเสริมการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม โดยใช้วิธีวิเคราะห์ เปรียบเทียบหลักสูตรนโยบายและการบริหารงานยุติธรรมของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับหลักสูตรกระบวนการยุติธรรมและการเปลี่ยนการลงโทษท างอาญ า คณ ะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตรธไคลด์ประเทศสก๊อตแลนด์ เพื่อเสนอแนวทางพัฒนาหลักสูตรด้านนโยบายและการบริหารงานยุติธรรม อันน าไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนของหลักสูตรที่จะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ าทางสังคม ลดปัญห าการเข้าถึง กระบวนการยุติธรรม และเสริมสร้างความเป็นธรรมทางสังคมต่อไป ค าจ ากัดความของค าว่า “การบริหารงานยุติธรรมและความเป็นธรรมทางสังคม” การบริหารงานยุติธรรม ส าหรับค าจ ากัดความของค าว่า “การบริหารงานยุติธรรม” นั้นมีหน่วยงานและนักวิชาการได้ให้ความหมายไว้หลายประการ ดังต่อไปนี้เช่น พระราชบัญญัติพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพ.ศ.2549 มาตรา 3 บัญญัติว่า“การบริหารงานยุติธรรม” หมายความว่า การด าเนินการที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการในการอ านวยความยุติธรรม การป้องกันและแก้ไขปัญหา อาชญากรรม การคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชน การบังคับการตาม กฎหมายและการอ านวยความสะดวกแก่ประชาชน แต่ไม่รวมถึงอ านาจอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล และ การด าเนินการของหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ 1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., ผู้อ านวยการหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขานโยบายและการบริหารงานยุติธรรม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประเทศไทย 2 Assistant Professor, Dr., Director of Master of Arts Program in Justice Policy and Administration, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author Email: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 36 มหาวิทยาลัยรังสิต, คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม (2554) ได้ให้ความหมายว่า การบริหาร งานยุติธรรม (อังกฤษ: Justice Administration (JA)) เป็นการบริหารจัดการงาน ที่เกี่ยวข้องกับระบบงานยุติธรรม ได้แก่ องค์กรต ารวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์และคุมประพฤติ โดยเฉพาะเรื่องหลักการบริหาร การบังคับใช้กฎหมายอาญา การแก้ปัญหาการกระท าความผิดในสังคม ตลอดทั้งการบริหารเพื่อความปลอดภัยภายในองค์กร ส่วน สุขุม เฉลยทรัพย์ (2560) ได้ให้ความหมายว่า การบริหารงานยุติธรรม หมายถึง การรวมกันระหว่างการบริหาร กับกระบวนการยุติธรรม หรือเรียกอีกอย่างว่า การบริหารในมิติกระบวนการยุติธรรม คือ การด าเนินงานหน่วยงานภาครัฐ เกี่ยวข้องกับคน สิ่งของ และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อด าเนินคดีตั้งแต่กระบวนการสืบสวนหาข้อเท็จจริงจนสิ้นสุดกระบวนการ ยุติธรรม นอกจากนี้แล้ว ประพาฬรัตน์ สุขดิษฐ์ (2561) ได้ให้ความหมายว่า การบริหารงานยุติธรรม หมายถึง การด าเนินการ โดยบุคลากรและองค์กรที่มีหน้าที่ในการบริหารงานยุติธรรม ได้แก่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือต ารวจ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ทนายความ ศาล ราชทัณฑ์ และคุมประพฤติ ซึ่งองค์กรดังกล่าวได้อาศัยความร่วมมือการประสานงานกับ หน่วยงานหรือองค์กรอื่นๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ความเป็นธรรมทางสังคม ในส่วนของค าจ ากัดความของค าว่า “ความเป็นธรรมทางสังคม” นั้นมีนักวิชาการและหน่วยงานได้ให้ความหมายที่ หลากหลายไว้ดังต่อไปนี้เช่น พระมหาไพรัชน์ ธมฺมทีโป (2564) ได้ให้ความเห็นว่า ความเป็นธรรมทางสังคม (Social justice) หมายถึง ความเที่ยงธรรม (Fairness) ในด้านต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์ต่อการด ารงชีวิตในสังคม การกระจายรายได้หรือ สวัสดิภาพทางสังคม ซึ่งผลประโยชน์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผลประโยชน์ทางวัตถุเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงโอกาสการพัฒนา ชีวิตตามเป้าหมาย ที่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดส าหรับชีวิตของปัจเจกบุคคลด้วย ความเป็นธรรมชนิดนี้อิงอยู่กับหลักค าสอนและ แนวปฏิบัติทางสังคมการเมืองการปกครอง ธีระ สินเดชารักษ์และ ธีระพงษ์ วงษ์นา (2556) ได้ให้ความเห็นว่า ความเป็นธรรมทางสังคมมีเป้าหมายเพื่อสร้าง ความเสมอภาคให้คนในสังคม ซึ่งเข้ากับหลักประเด็นที่ว่า “คนต้องเท่ากัน” ควรท า ให้คนได้รับความยุติธรรมเท่ากัน อย่างเสมอภาค เพื่อคุ้มครองผู้เสียเปรียบหรือด้อยโอกาสให้ได้รับโอกาสอย่างทัดเทียมกันผ่าน การจัดสรรทรัพยากรอย่างเที่ยงธรรม น าไปสู่การตรากฎหมายที่ต้องคุ้มครองสิทธิของทุกคนอย่างเสมอ ส่วน วุฒิชัย สายบุญจวง (2554) ได้ให้ความเห็นว่าความเป็นธรรมทางสังคมคือ การมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน การได้รับโอกาสต่างๆ ตามสิทธิของความเป็นมนุษย์และมีความเที่ยงธรรมไม่เอนเอียง การได้รับการปฏิบัติจากรัฐอย่าง เท่าเทียมกัน และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน การไม่เบียดเบียนและละเมิดสิทธิของ กันและกัน มีความโปร่งใสและไม่เอารัดเอาเปรียบกัน (ธีระ สินเดชารักษ์ และคณะ, 2559) นอกจากนี้แล้วสถาบันบริหารงานสาธารณะแห่งชาติ (The National Academy of Public Administration) ที่ได้ ให้ค านิยามของความเป็นธรรมในสังคม (Social Equity) ไว้ว่า เป็นรูปแบบ/ลักษณะในการบริหารจัดการความเท่าเทียม (Fairness) ยุติธรรม (Justice) และเสมอภาค (Equitable) ของทุกองค์กร/สถาบันในการรองรับ/สนับสนุนการบริการ สาธารณะทั้งในทางตรงหรือในนัยยะของพันธสัญญา (Contact) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ“นโยบายสาธารณะ” (Public Policy) ซึ่งรัฐจ าเป็นต้องยึดถือหลักการดังกล่าวในการบริหาร จัดการการแปลงนโยบายลงสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม (พีรธร บุณยรัตพันธุ์ และคณะ, 2555)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 37 ความส าคัญของการศึกษานโยบายและการบริหารงานยุติธรรม อาชญากรรมถือเป็นปัญหาสังคมในรูปแบบหนึ่งโดย Cesare Beccaria (1764) เห็นว่าการก่ออาชญากรรมเป็น การก่อภาระให้กับสังคม จึงเสนอให้มีการลงโทษที่รุนแรงและสาสมกับการกระท าความผิด โดยการลงโทษนอกจากจะเป็น การแก้แค้นทดแทนผู้กระท าความผิดแล้ว ยังเป็นการข่มขู่ยับยั้งการกระท าความผิดอีกด้วย และการใช้โทษจ าคุกยังเป็น การตัดโอกาสไม่ให้ผู้นั้นกระท าความผิดอีกได้ (Burke, 2005) ส่วน Paul B. Weston & Kenneth M. Wells เห็นว่า การบริหารงานกระบวนการยุติธรรมหรือการบังคับใช้กฎหมาย คือ กระบวนการในการควบคุมอาชญากรรม ซึ่งกระท าโดย เจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐบาล ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายได้ให้อ านาจไว้ (อารีย์ รุ่งพรทวีวัฒน์, 2527) โดยในการควบคุมและปราบปรามอาชญากรรมนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบเรียบร้อยของคนในสังคม ดังนั้น จึงจ าเป็นที่จะต้องมีมาตรการทางกฎหมายและนโยบายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อควบคุม ปราบปรามและลงโทษอาชญากร ที่กระท าความผิดอย่างจริงจัง ด้วยเหตุนี้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะต้องให้หลักประกันแก่สังคม โดยจะต้องปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม เช่น การสืบสวน การด าเนินคดีอาญา การพิสูจน์ความผิด และการปฏิบัติต่อ ผู้กระท าผิดซึ่งถูกศาลพิพากษาลงโทษแล้วอย่างได้ผล กล่าวคือ หากสามารถควบคุมและป้องกันอาชญากรรมได้ สังคมก็จะเกิด ความสงบสุขเป็นระเบียบเรียบร้อย และเมื่อสังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยก็เท่ากับเป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ไปโดยปริยาย ซึ่งแนวความคิดของส านักอาชญาวิทยาปฏิฐานนิยม (Positive School) เห็นว่าพฤติกรรมอาชญากรรมสามารถ อธิบายได้ว่าเกิดจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อพฤติกรรมอาชญากรรม เช่น ปัจจัยทาง ชีวภาพ ปัจจัยทางจิต ปัจจัยทางสังคม (Burke, 2005) ดังนั้น การลงโทษที่เหมาะสมคือการน าตัวผู้กระท าความผิดมาบ าบัด แก้ไขฟื้นฟูเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระท าความผิดซ้ าอีก และในการด าเนินคดีกับผู้ต้องหาจะใช้ทฤษฎีกระบวนการยุติธรรม (Due Process) โดยรูปแบบของการด าเนินคดีจะมีลักษณะที่ยึดถือกฎหมายเป็นส าคัญ และมุ่งเน้นถึงหลักกฎหมายในส่วน ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล บุคคลใดจะถือว่าเป็นผู้กระท าความผิด บุคคลนั้นจะต้องถูกตัดสินโดยศาล และ วิธีการในการด าเนินคดีจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง บริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่มีอคติ หรือไม่ใช้อ านาจไปในทางที่มิชอบ บุคคลที่ยัง เป็นผู้บริสุทธิ์จะได้รับความคุ้มครอง แต่บุคคลที่กระท าความผิดก็ย่อมต้องได้รับการลงโทษ หัวใจส าคัญของทฤษฎีนี้คือ ในการพิสูจน์ความผิดของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง บุคคลนั้นจะถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เสมอ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าบุคคล นั้นได้กระท าความผิดจริง (พงษ์สิทธิ์ อรุณรัตนากุล, 2549) โดยทั้งนี้การปฏิบัติต่อผู้กระท าความผิดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ การปฏิบัติต่อผู้กระท าความผิดในเรือนจ า และการปฏิบัติต่อผู้กระท าความผิดในชุมชน ซึ่งให้ความส าคัญกับ การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระท าความผิดและลดปัญหาคนล้นคุก ได้แก่ การรอการลงโทษ การคุมประพฤติ การลดวันต้องโทษ และ การพักการลงโทษ เป็นต้น การศึกษาหลักสูตรนโยบายและการบริหารงานยุติธรรมในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีการเรียนการสอนในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ด้านนโยบายและการบริหารงานยุติธรรม โดยมีปรัชญาในการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความรู้ คุณธรรมจริยธรรม ทักษะทางปัญญา มีความสามารถในการวิเคราะห์องค์ความรู้ต่าง ๆ มีกระบวนการคิดที่สะท้อนพัฒนาการของความรู้และ ความสามารถในการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดท าและพัฒนานโยบายสังคมทั้งด้านกระบวนการยุติธรรมของ ประเทศ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศด้านสังคม วัฒนธรรมเศรษฐกิจ การเมือง การเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน และความเป็นธรรมทางสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มหาบัณฑิตที่ส าเร็จการศึกษาได้มีทักษะความรู้และ ทัศนคติที่ส าคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1. การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายและการบริหารงานยุติธรรม 2. การมีทัศนคติที่ เหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค ความเป็นธรรมทางสังคม และความยุติธรรม และ 3. การมีทักษะใน การน าความรู้มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและการบริหารงานยุติธรรม โดยมีจุดเด่นในการเชื่อมโยง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 38 กฎหมาย นโยบายสังคม การบริหารงานยุติธรรม งานสังคมสงเคราะห์ งานพัฒนาสังคม เพื่อส่งเสริมการลดปัญหาความเหลื่อม ล้ าทางสังคมการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และเสริมสร้างความเป็นธรรมทางสังคม ซึ่งสามารถสรุปประเด็นส าคัญใน การศึกษาได้4 ประการดังต่อไปนี้ 1. การศึกษากระบวนการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระท าความผิด เมื่อบุคคลกระท าผิดกฎหมายและถูกด าเนินคดีอาญาในชั้นการพิจารณาของศาลนั้น ศาลจะต้องพิจารณาและ พิพากษาคดีให้เป็นไปตามหลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระท าทางตุลาการ โดยศาลต้องพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไป ตามตัวบทกฎหมาย และโทษทางอาญาที่ศาลจะใช้ลงโทษแก่ผู้กระท าความผิดมีอยู่ 5 สถาน ได้แก่ ประหารชีวิต จ าคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน โดยในคดีที่มีโทษจ าคุกและในคดีนั้นศาลจะลงโทษจ าคุกไม่เกินสามปี ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษ จ าคุกมาก่อน หรือปรากฏว่าได้รับโทษจ าคุกมาก่อน แต่เป็นโทษส าหรับความผิดที่ได้กระท าโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ เมื่อศาลได้ค านึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อม ของผู้นั้น หรือสภาพความผิด หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว เห็นเป็นการสมควร ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอ การก าหนดโทษไว้ หรือก าหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวไป เพื่อให้โอกาสผู้นั้นกลับตัว โดยจะก าหนดเงื่อนไข เพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้ โดยงานสังคมสงเคราะห์ในส่วนนี้จะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนศาลสั่งคุมประพฤติ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกก่อนศาลมีค าพิพากษาและมีค าสั่งคุมประพฤติ โดยศาลจะสั่งให้มีการสืบเสาะและสอดส่องประวัติของจ าเลย เพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษารอการก าหนดโทษ หรือก าหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ และส่วนที่สองคือ ภายหลังศาลมี ค าพิพากษาและมีค าสั่งก าหนดเงื่อนไขคุมประพฤติ โดยศาลจะสั่งให้มีการควบคุมและสอดส่องเพื่อให้ผู้กระท าความผิด ปรับปรุงแก้ไขตนเองภายใต้เงื่อนไขที่ศาลก าหนด อย่างไรก็ดี ถ้าศาลมีค าพิพากษาจ าคุกจ าเลย ผู้นั้นต้องถูกน าตัวไปคุมขังไว้ที่เรือนจ าตกเป็นผู้ต้องขัง งาน สังคมสงเคราะห์จะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนของกรมราชทัณฑ์ในการบ าบัด ฟื้นฟู และแก้ไขพฤตินิสัยของผู้ต้องขัง โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกในการจัดสวัสดิการและสงเคราะห์ผู้ต้องขัง การให้ค าปรึกษาและการสงเคราะห์ ผู้ต้องขัง รวมทั้งเด็กในความดูแลของผู้ต้องขัง ที่ติดมาในเรือนจ า ประสานงานกับภาคเอกชนและหน่วยงานราชการอื่นให้ เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการและสงเคราะห์ผู้ต้องขังในด้านต่างๆ ส่วนที่สองคือ การบ าบัดแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขัง โดยวิธีการให้การศึกษา ฝึกอาชีพ และการสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (Social Casework) เป็นแนวทางแก้ไขผู้กระท า ความผิดเป็นรายบุคคลโดยอาศัยวิชาการทางด้านสังคมสงเคราะห์ เน้นการใช้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับสัมพันธภาพระหว่าง บุคคลเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถให้กับผู้กระท าผิด อีกทั้งเป็นการท าให้ผู้กระท าผิดรู้จักการปรับตนเองให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม (ศักดิ์ชัย เลิศพานิชพันธุ์ และคณะ, 2551) และส่วนที่สามคือ การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย เป็นกระบวนการแก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ต้องขังก่อนปล่อยกลับคืนสู่สังคม อนึ่ง ส าหรับการแก้ไขฟื้นฟูและป้องกันการกระท าความผิดของเด็กและเยาวชนนั้น ส านักอาชญาวิทยากึ่งดั้งเดิม (Neo-Classical School) เห็นว่าควรให้ความส าคัญเกี่ยวกับสภาวะของบุคคลในการตัดสินใจประกอบอาชญากรรม เนื่องจาก บุคคลบางประเภทไม่สามารถใช้เหตุผลในการตัดสินใจเลือกหนทางในความประพฤติของตนเองได้ ทั้งนี้เนื่องมาจากปัจจัยทาง จิตใจหรือกายภาพ เช่น การกระท าความผิดของเด็กและเยาวชน ดังนั้น จึงได้เสนอแนวคิดต่อกระบวนการยุติธรรม 4 ประการ ได้แก่ 1. ควรให้มีการน าพฤติการณ์แห่งคดีมาใช้เพื่อประกอบการพิจารณาคดี 2. ควรท าการพิจารณาถึงประวัติและภูมิหลังของผู้กระท าผิด 3. ควรยอมรับฟังค าให้การของผู้เชี่ยวชาญหรือช านาญการในทางสาขาวิชา 4. ควรค านึงถึงลักษณะเฉพาะส่วนบุคคลของผู้กระท าผิด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 39 ด้วยเหตุนี้ เมื่อเด็กและเยาวชนกระท าความผิดจึงต้องมีกระบวนการยุติธรรมส าหรับเด็กและเยาวชนเป็นพิเศษ แตกต่างไปจากผู้ใหญ่และการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่กระท าความผิดจะไม่ใช้เรือนจ าแต่จะให้ความส าคัญไปที่การบ าบัด แก้ไขฟื้นฟูเด็กและเยาวชนนั้น โดยเมื่อเด็กและเยาวชนถูกกล่าวหาว่ากระท าความผิด พนักงานสอบสวนมีหน้าที่น าเด็กไปศาล เพื่อตรวจสอบการจับกุมภายใน 24 ชั่วโมง ศาลจะมีอ านาจควบคุมตัวเด็กไว้ที่สถานพินิจระหว่างการด าเนินคดีก็ได้ เฉพาะ กรณีที่เด็กมีลักษณะหรือพฤติกรรมที่อาจเป็นภัยต่อบุคคลอื่นอย่างร้ายแรง หรือมีเหตุสมควรอื่นเท่านั้น หากไม่มีเหตุดังกล่าว ศาลจะต้องมอบเด็กคืนให้แก่บิดา มารดา ผู้ปกครอง และก าหนดให้บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องน าเด็กไปพบพนักงานสอบสวน หรือศาล โดยงานสังคมสงเคราะห์ที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนจะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชน ในกรณีที่เด็กและเยาวชนถูกควบคุมตัวในสถานแรกรับ หรือศาลมีค าพิพากษาให้เด็กและเยาวชนเข้ารับ การฝึกอบรมในศูนย์ฝึกอบรม หรือได้รับการปล่อยตัวจากศูนย์ฝึกและอบรมเมื่อครบก าหนดตามค าพิพากษาของศาล นักสังคมสงเคราะห์มีอ านาจหน้าที่ในการแก้ไข บ าบัดฟื้นฟูเด็กหรือเยาวชนในระหว่างที่ถูกควบคุมอยู่ในสถานพินิจ หรือที่ได้ ปล่อยไปแล้ว ตลอดจนให้ค าแนะน า ควบคุมดูแล และอบรมสั่งสอนเด็กหรือเยาวชนนั้น และให้ค าแนะน าแก่บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลซึ่งเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วยเกี่ยวกับการเลี้ยงดูอบรม และสั่งสอนเด็กหรือเยาวชน เพื่อประโยชน์ใน การแก้ไขบ าบัดฟื้นฟูเด็กหรือเยาวชน นอกจากนี้ ยังต้องประสานความร่วมมือกับครอบครัวและชุมชน ให้การบ าบัดแก้ไขฟื้นฟู เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทัศนคติ และเตรียมความพร้อมภายหลังปล่อย ติดตามและให้ความช่วยเหลือหลังปล่อย และ ปฏิบัติงานเชิงรุกโดยการให้ความรู้แก่ชุมชนเพื่อป้องกันการกระท าความผิดของเด็กและเยาวชน 2. การศึกษาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออาชญากรรม กระบวนการยุติธรรมทางอาญามีจุดมุ่งหมายส าคัญคือ การให้ความส าคัญกับการควบคุมอาชญากรรมและ การน าตัวผู้กระท าความผิดมาลงโทษ แต่ในความเป็นจริงแล้วควรจะต้องให้ความส าคัญกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยา ความเสียหายแก่ผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมตามที่เขาต้องการด้วย โดย Maguire (1985) เห็นว่าในการให้ความช่วยเหลือเหยื่อ อาชญากรรมนั้นจะต้องให้ความส าคัญกับความต้องการของเหยื่อ โดยความต้องการของเหยื่อนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1. ความต้องการด้านข้อมูลข่าวสารความรู้ 2. ความต้องการด้านการให้ความช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายในด้าน รูปธรรม เช่น ค่ารักษาพยาบาล และชดใช้ค่าเสียหายในทรัพย์สิน เป็นต้น และ 3. ความต้องการด้านการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาในด้านนามธรรมหรือทางจิตใจ (Williams, 2004) ส าหรับงานสังคมสงเคราะห์ในส่วนนี้จะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนการเยียวยาความเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้ความช่วยเหลือ การให้ค าปรึกษา และการเข้ารับการรักษาพยาบาลทางร่างกายและจิตใจ โดยนักสังคมสงเคราะห์ จะเป็นผู้มีบทบาทส าคัญในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออาชญากรรมในเบื้องต้น รวมไปถึงการสงเคราะห์เหยื่อ อาชญากรรมและครอบครัวในระหว่างการด าเนินคดีอาญาได้ด้วย อนึ่ง ส าหรับรูปแบบและวิธีปฏิบัติต่อเหยื่อในกระบวนการยุติธรรมนั้น รัฐจะต้องให้ความส าคัญกับความต้องการ ความรู้สึกของเหยื่อ และเคารพในสิทธิของเหยื่อ พร้อมทั้งต้องเปิดโอกาสให้เหยื่อได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาใน กระบวนการยุติธรรมด้วย โดยทั้งนี้สามารถแยกพิจารณาออกได้ 3 กรณีได้แก่ 1. ในกรณีที่มีการน าเงื่อนไขการคุมประพฤติมาใช้แก่ผู้กระท าความผิด ควรจะสอบถามความเห็นของเหยื่อ ประกอบด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เหยื่อทราบถึงเงื่อนไขและความเหมาะสมในการน าเงื่อนไขการคุมประพฤติมาใช้ และในขณะ คุมประพฤติผู้กระท าความผิดนั้น ควรจะเปิดโอกาสให้เหยื่อมีสิทธิทราบถึงความคืบหน้าในการคุมประพฤติว่า ผู้ถูกคุมประพฤติ มีพฤติกรรมไปในทิศทางใด และจะเป็นอันตรายต่อเหยื่อต่อไปอีกหรือไม่ 2. “ค าให้การของเหยื่อ” เป็นการเปิดโอกาสให้กับเหยื่อได้กล่าวถึงผลกระทบที่เขาได้รับจากการกระท าความผิด อย่างไร และเป็นการน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของอาชญากรรมให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเอกสารนี้จะน ามาใช้เป็นส่วนหนึ่ง ของคดี และจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ในกระบวนยุติธรรมได้รับข้อมูลข่าวสารของเหยื่อประกอบในการพิจารณาคดี


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 40 3. การน ากระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์มาใช้ซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือกที่ให้ความส าคัญกับเหยื่อ โดยการเปิดโอกาสให้เหยื่อบอกความรู้สึกของตนแก่ผู้กระท าผิด เล่าถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวของเหยื่อและครอบครัว ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้กระท าผิดส านึกและรับผิดชอบต่อเหยื่อและบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้นแก่เหยื่อ ซึ่งเป็นแนวทางในการลดการกระท า ความผิดซ้ า และในขณะเดียวกันก็ต้องปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของผู้กระท าความผิด โดยการให้ชุมชนหรือครอบครัวเข้ามามี ส่วนร่วมในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระท าความผิด ท าให้ความสัมพันธ์ที่ถูกท าลายไปจากการกระท าความผิดระหว่างเหยื่อ ผู้กระท า ผิด และชุมชนกลับมาคืนดีดังเดิม 3. การศึกษารูปแบบและวิธีการป้องกันอาชญากรรม การป้องกันอาชญากรรม (Crime prevention) หมายถึง การคาดการณ์หรือประเมินล่วงหน้าเกี่ยวกับช่องทาง หรือโอกาสของการกระท าผิด หรือสภาพการณ์อาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งความพยายามที่จะกระท าการใดๆ เพื่อเป็น การสกัดกั้นมิให้มีการกระท าความผิดใดๆ เกิดขึ้น ดังนั้น การป้องกันอาชญากรรมจะได้ผลเมื่อสามารถลดช่องโอกาสการเกิด อาชญากรรมได้สุดสงวน สุธีสร (2546) ส าหรับแนวทางในการป้องกันอาชญากรรมนั้นตามแนวคิดของส านักอาชญาวิทยา ปฏิฐานนิยมเห็นว่า บุคคลกระท าความผิดอันเนื่องมาจากความผิดปกติภายในร่างกายหรือสภาพแวดล้อมบีบบังคับ และ การลงโทษที่เหมาะสม คือ การน าตัวผู้กระท าความผิดมาบ าบัดแก้ไขฟื้นฟูเพื่อปรับสภาพแวดล้อมและจิตใจ ถือเป็น การป้องกันการกระท าความผิดไม่ให้เกิดซ้ าอีกได้ทางหนึ่ง นอกจากนี้แล้วยังมีแนวคิดของส านักอาชญาวิทยาป้องกันสังคม (Social Defense School) ซึ่งเป็นส านักแนวคิดที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อผสมผสานระหว่างแนวคิดของส านักอาชญาวิทยาแบบดั้งเดิม กับส านักอาชญาวิทยาปฏิฐานนิยมเข้าด้วยกัน โดยเริ่มปรากฏแนวคิดนี้ในปี ค.ศ. 1943 ซึ่งสิ่งส าคัญที่ส านักแนวคิดนี้ให้ความ สนใจ คือ 1. บุคลิกภาพของผู้กระท าผิด 2. กฎหมายอาญา และ 3. การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อสังคมที่ดีและเพื่อป้องกัน อาชญากรรม โดยส านักอาชญาวิทยาป้องกันสังคมเชื่อว่าการแก้ไขฟื้นฟูและการเรียนรู้ระเบียบทางสังคมจะให้ผลที่ดีกว่า การมุ่งลงโทษและแก้แค้น (ศักดิ์ชัย เลิศพานิชพันธุ์ และคณะ, 2551) โดยงานสังคมสงเคราะห์จะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนการวางแผนบ าบัดแก้ไขฟื้นฟูเป็นรายบุคคล และเตรียม ความพร้อมภายหลังการปล่อยคืนสู่สังคม เพื่อเป็นการป้องกันการกระท าความผิดซ้ าได้ นอกจากนี้การปฏิบัติต่อผู้กระท า ความผิดโดยใช้ชุมชนได้ให้ความส าคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยงานสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการให้ความรู้และ ส่งเสริมการ มีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระท าความผิด ซึ่งถือเป็นการป้องกันอาชญากรรมได้อีกทางหนึ่งด้วย 4. การศึกษาแนวทางการก าหนดนโยบายสังคม ส าหรับการก าหนดนโยบายสังคมนั้น Harris (1987) เห็นว่านโยบายสังคมจะต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเป็น หลักประกันในการให้โอกาสแห่งชีวิต (Life chances) ของพลเมืองทุกคนในสังคม โอกาสแห่งชีวิตได้แก่ โอกาสที่ประชาชน พลเมืองจะได้รับการคุ้มครองในฐานะสมาชิกของชุมชนอย่างเต็มที่ ดังนั้น นโยบายสังคมต้องเป็นสิ่งที่เอื้อให้ประชาชนเข้าร่วม เป็นส่วนหนึ่งของสังคม สิ่งใดที่ประชาชนขาดแคลนอันเป็นเหตุท าให้เขาขาดการมีส่วนร่วมกับสังคม ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลน ทางวัตถุ หรือความรู้ การศึกษา อาชีพ การมีรายได้ ตลอดจนการบริการสังคมต่างๆ นโยบายสังคมต้องจัดหามาให้บริการอย่าง เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ เพื่อว่าประชาชนทุกคนได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างเต็มที่ (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2540) อย่างไรก็ตาม Roberts and Springer (2007) เห็นว่า การก าหนดนโยบายสังคมสามารถด าเนินการ ได้โดยผ่านการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ในกระบวนการยุติธรรมอาญา โดยประการแรกนักสังคมสงเคราะห์จะต้อง ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระท าความผิดประกอบกับหน้าที่รับผิดชอบต่อชุมชนในประเด็น การป้องกันความปลอดภัยให้กับสังคม และประการที่สองนักสังคมสงเคราะห์จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการก าหนด นโยบายลดปัญหาอาชญากรรมในการสะท้อนมุมมองของนักสังคมสงเคราะห์ที่มีต่อผู้กระท าความผิดและชุมชน (Wilson, 2010)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 41 โดยงานสังคมสงเคราะห์ในส่วนนี้จะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนการสงเคราะห์และจัดสวัสดิการสังคมให้กับ ประชาชนเพื่อลดมูลเหตุปัจจัยหรือสาเหตุในการกระท าความผิด ดังนั้นในการก าหนดนโยบายสังคมในการจัดสวัสดิการสังคม และสังคมสงเคราะห์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน จึงมีความจ าเป็นต้องอาศัยความรู้ความช านาญของงาน สังคมสงเคราะห์ เพื่อที่จะสามารถก าหนดนโยบายสังคมในการจัดสวัสดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์ให้เหมาะสมกับ ความต้องการของประชาชนได้ นอกจากนี้ งานสังคมสงเคราะห์ควรมีบทบาทในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการก าหนดนโยบายใน การลดปัญหาอาชญากรรมและร่วมเสนอความคิดเห็นในร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมได้ ในประเด็น เกี่ยวกับการบ าบัดแก้ไขฟื้นฟูผู้กระท าความผิด การเยียวยาเหยื่ออาชญากรรม การปฏิบัติต่อผู้กระท าความผิดโดยใช้ชุมชน การป้องกันอาชญากรรม เป็นต้น การศึกษาหลักสูตรกระบวนการยุติธรรมและการเปลี่ยนการลงโทษทางอาญาในมหาวิทยาลัยสแตรไคลด์ประเทศ สกอตแลนด์ มหาวิทยาลัยสแตรธไคลด์ (University of Strathclyde, Glasgow) เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งใน ประเทศสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักรตั้งอยู่ในเมืองกลาสโกว์โดยมีประวัติมายาวนานตั้งแต่ปี 1796 ส าหรับการศึกษาใน ระดับปริญญาโท มีสาขากระบวนการยุติธรรมทางอาญา สังกัดในคณะสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ นอกจากนี้ยังมี การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดย มหาวิทยาลัยสแตรธไคลด์มีศูนย์ “อาชญากรรมและความยุติธรรม” ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทางด้านกฎหมายอาญา อาชญาวิทยา และงานยุติธรรม โดยเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอาชญาวิทยาและงานยุติธรรมที่น่าสนใจในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งมี นักศึกษาไทยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากส านักงานศาลยุติธรรมได้เข้าท าวิจัยในระดับปริญญาเอก ในสาขากฎหมายอาญาและ กระบวนการยุติธรมทางอาญา อันเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ส าคัญระหว่างนักศึกษาในระดับปริญญาเอกของประเทศไทย และสกอตแลนด์ในการพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย อาชญาวิทยาและงานยุติธรรมเป็นส าคัญ ซึ่งมีจัดหลักสูตร การเรียนการสอนด้านกระบวนการยุติธรรมหลายหลักสูตรสรุปได้ดังนี้ 1. หลักสูตรอาชญากรรมและความเป็นธรรมทางสังคม (Criminal & social justice) ส าหรับหลักสูตรหลักสูตรอาชญากรรมและความเป็นธรรมทางสังคมนี้เป็นหลักสูตรที่สร้างความเชี่ยวชาญใน ความรู้หลากหลายสาขาแบบสหวิทยาการ ได้แก่ อาชญาวิทยา สังคมวิทยา สังคมสงเคราะห์ และนโยบายสังคม โดยเน้น การท าวิจัยประยุกต์ในประเด็นส าคัญที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมและความเป็นธรรมทางสังคม นโยบายทางอาญาและงาน สังคมสงเคราะห์ โดยบูรณาการกับหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย ได้แก่ รัฐบาลสก๊อตแลนด์ กรมราชทัณฑ์ สถานพินิจ งานสังคมสงเคราะห์และงานอาสาสมัครทั้งในและต่างประเทศ โดยจัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรีในสาขาสังคม สงเคราะห์กับนโยบายสังคม ระดับบัณฑิตศึกษาในสาขาสังคมสงเคราะห์ นโยบายสังคม และอาชญาวิทยาซึ่งมีขอบเขต การศึกษาวิจัยที่น่าสนใจ ตัวอย่างเช่น อาชญากรรมและการระงับการเกิดอาชญากรรมโดยศึกษาเส้นทางชีวิตของอาชญากร ปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม เช่น เพศ ครอบครัว เพื่อน เป็นต้น และวิเคราะห์เพื่อหาต้นตอของการเกิด อาชญากรรมและจัดการกับต้นตอปัญหานั้นๆ รวมไปถึงการควบคุมความเสี่ยงไม่ให้เกิดกระท าความผิดและการกระท าผิดซ้ า การกลับคืนสู่สังคม เพื่อน าไปสู่การศึกษาผลกระทบเชิงนโยบายและสร้างนวัตกรรมทางสังคมต่อไป 2. หลักสูตรกระบวนการยุติธรรมและการเปลี่ยนการลงโทษทางอาญา (Criminal Justice & Penal Change) หลักสูตรกระบวนการยุติธรรมและการเปลี่ยนการลงโทษทางอาญานี้ เป็นหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาที่จัด การศึกษาแบบผสมผสานอย่างเข้มข้นของการศึกษาแนวคิดทฤษฎีเข้ากับการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคม เพื่อน าไปสู่ การพัฒนาทฤษฎี และการพัฒนานโยบายอาญาอันน าไปสู่การปฏิบัติงาน ซึ่งมีขอบเขตการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจ ตัวอย่างเช่น วิกฤตการณ์ทางอาญา (Penal crisis) ในการบังคับใช้โทษทางอาญาที่มากเกินความจ าเป็น ซึ่งน าไปสู่การบังคับใช้โทษจ าคุกที่ มากจนน าไปสู่ปัญหาทางสังคมในหลายประเทศ จึงน าไปสู่การศึกษากระบวนการตัดสินใจในการพิพากษาของศาล การจ าคุก


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 42 และระบบราชทัณฑ์ การลงโทษผู้กระท าผิดในชุมชน และกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เพื่อน าไปสู่การพัฒนาการ ลงโทษที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมต่อไป โดยหลักสูตรนี้ได้ให้ความส าคัญกับการศึกษาในสองด้านได้แก่ การศึกษาเกี่ยวกับ การใช้มาตรการลงโทษอื่นแทนการลงโทษจ าคุก และการใช้กระบวนการยุติธรรมชุมชนในการระงับข้อพิพาท โดยมี รายละเอียดโดยสรุปดังต่อไปนี้ 2.1 การศึกษาเกี่ยวกับการใช้มาตรการลงโทษอื่นแทนการลงโทษจ าคุก รัฐบาลของสกอตแลนด์ให้ความส าคัญกับการใช้วิธีการทางเลือกในการลงโทษเพื่อการลดอัตราการกระท า ผิดซ้ าและการฟื้นฟูผู้กระท าผิด แทนการลงโทษจ าคุกในเรือนจ า ได้แก่ 1. ขั้นก่อนการฟ้องร้องคดีมีโครงการช่วยเหลือ ผู้กระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของต ารวจสกอตแลนด์ เพื่อไม่ให้กระท าความผิดซ้ าอีก โดยให้หน่วยงานทางสังคมเข้าไป ดูแลกลุ่มคนเหล่านี้ที่บ้านในด้านสุขภาพ การเลิกแอลกอฮอล์ การจัดการที่พัก การศึกษา และการฝึกอบรมที่จ าเป็น นอกจากนี้ ยังมีโครงการของต ารวจร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการคัดกรองผู้กระทาผิดที่เป็นอันตรายต่อชีวิตไม่ให้ต้อง ถูกควบคุมที่สถานีต ารวจ 2.ขั้นการลงโทษ มีมาตรการให้มีการชดใช้แก่สังคม (Community Payback Orders) เช่น การสั่ง ให้ท างาน เพื่อสังคมโดยไม่มีค่าตอบแทน การสั่งให้คุมประพฤติเกี่ยวกับการบ าบัดฟื้นฟูการติดยา การสั่งให้เข้าร่วม การฝึกอบรม/ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การจ่ายค่าเสียหายแก่เหยื่ออาชญากรรม การอาศัยอยู่ในที่พักตามค าสั่ง หรือการห้ามไป สถานที่ใดสถานที่หนึ่งในช่วงเวลาที่ก าหนด เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามกรอบกฎหมาย Criminal Justice and Licensing (Scotland) Act 2010 ซึ่งเป็นมาตรการที่ถูกน ามาใช้ส าหรับผู้ที่มีโทษจ าคุกน้อยกว่า 3 เดือน ในความผิดลหุโทษ และจะมี การประเมินพฤติกรรมโดยศาลเป็นระยะ ส าหรับการบริการสังคมโดยไม่มีค่าตอบแทน อาจจะก าหนดให้ท างานบริการสังคมให้ ครบ 100 ชั่วโมง ภายในระยะเวลา 3 เดือน โดยจะใช้กับผู้ที่กระท าผิดที่อายุเกิน 16 ปี เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีมาตรการ เฉพาะส าหรับ ผู้ที่กระท าความผิดในข้อหากระท าความรุนแรงในครอบครัว (Caledonian System) (ไท วัฒนา, 2564) 2.2 การศึกษาเกี่ยวกับการใช้กระบวนการยุติธรรมชุมชนในการระงับข้อพิพาท ประเทศสกอตแลนด์มีกฎหมายยุติธรรมชุมชน Community Justice (Scotland) Act 2016 ได้มีการให้ ความหมายของค าว่า ยุติธรรมชุมชน ไว้ใน Section 1 และ Section 2 ว่าเป็นกระบวนการที่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ ขั้นตอนทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยุติธรรมชุมชน 3 ขั้นตอน อันได้แก่ 1) เงื่อนไขในการให้ประกันตัว (Bail condition) อันหมายถึง เงื่อนไขที่ได้รับการก าหนดโดยศาล ที่เกี่ยวกับการก าหนดจ านวนหลักประกันส าหรับการประกันตัวรวมถึง มาตรการในการ ควบคุมดูแลตามที่สหภาพยุโรปได้ให้การรับรอง 2) การจัดการโดยกระบวนการชุมชน (Community disposal) หมายถึง ข้อก าหนดส าหรับบุคคลภายใต้ค าสั่งของศาลในคดีอาญา โดยอาศัยอ านาจตามที่กฎหมายก าหนด รวมถึง ค าสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ชุมชนตามที่ ก าหนดใน Section 227 A และ 227 M แห่งกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา ค.ศ. 1995 และ ค าสั่งของศาลในการให้การก ากับดูแลรวมถึงให้การบ าบัดตามที่ก าหนดใน Section 57(2)(d) แห่งกฎหมาย วิธีพิจารณาคดีอาญา ค.ศ. 1995 และ 3) กระบวนการในการก ากับดูแลผู้ต้องขัง ภายหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว อันหมายถึง ข้อก าหนดส าหรับบุคคลที่ได้รับการปล่อยตัว จากการถูกจ าคุกหรือกักขังในสถานที่คุมขังอื่นอันเนื่องมาจากต้อง ค าพิพากษาว่าได้กระท า ความผิดให้อยู่ภายใต้การก ากับดูแลภายใต้กฎหมายอื่น หรือภายใต้ค าสั่งของคณะรัฐมนตรี สกอตแลนด์ (Scottish Ministers) โดยรูปแบบของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการด าเนินงานด้านยุติธรรมชุมชนของประเทศสกอตแลนด์นั้น อยู่ในลักษณะ ของการเป็นกฎหมายให้อ านาจในการจัดตั้งองค์กร โดยจัดให้มีองค์กรยุติธรรมชุมชนแห่งสกอตแลนด์ซึ่งเป็นหน่วยงาน ระดับชาติภายใต้การก ากับดูแลของคณะรัฐมนตรีแห่งสกอตแลนด์ในการท าหน้าที่บริหารจัดการ ก ากับ และติดตามผล การด าเนินงานทางด้านยุติธรรมชุมชน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวได้มีการก าหนดโครงสร้างของหน่วยงาน ตลอดจนในเรื่องของ อ านาจหน้าที่เอาไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีการก าหนดให้มีการจัดท าแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับยุติธรรมชุมชนทั้งใน ระดับชาติและในระดับท้องถิ่นตลอดจนก าหนดให้มีการทบทวน ประเมิน และปรับปรุงแผนดังกล่าวเป็นระยะตามที่กฎหมาย


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 43 ก าหนด อันเป็นการช่วยก ากับทิศทางให้การด าเนินงานยุติธรรมชุมชนให้มีความชัดเจนมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมี การก าหนดหน่วยงานอื่น อันได้แก่ ภาคีเครือข่ายยุติธรรมชุมชน และหน่วยงาน ภาคประชาสังคมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยุติธรรม ชุมชน ท าหน้าที่ในการให้ข้อมูล ค าแนะน า รวมถึงให้ความช่วยเหลือสนับสนุนในด้านต่างๆ ช่วยด าเนินการหรือสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวกลับคืนสู่ชุมชน ตลอดจนบุคคลผู้อยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อมก่อน ปล่อยตัวไม่หัน กลับไปกระท าความผิดซ้ําอีกภายหลังจากที่กลับคืนสู่ชุมชนแล้ว อันเป็นการ แสดงให้เห็นถึงการแบ่งส่วนหน้าที่รับผิดชอบ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการท างานในลักษณะที่เป็นการประสานความร่วมมือในระหว่างหน่วยงานเพื่อเสริมสร้างและ สนับสนุนให้เกิดความเข้มแข็งและทั่วถึงให้แก่ระบบงานยุติธรรมชุมชนของประเทศสกอตแลนด์อันเป็นป้องกันอาชญากรรม โดยอาศัยชุมชนเป็นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (วิชา มหาคุณ และกฤษฎา แสงเจริญทรัพย์, 2565) ในส่วนของการปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์นั้น ประเทศสกอตแลนด์ มีหน่วยงาน Criminal Justice Social Work Services (CJSW) ท าหน้าที่ในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในกระบวนการยุติธรรมอาญาโดยประสานความร่วมมือ ในการท างานอย่างใกล้ชิดกับศาลและเรือนจ า โดยมีภารกิจส าคัญในการส่งเสริมและยกระดับคุณภาพงานสังคมสงเคราะห์ โดยใช้ครอบครัวและชุมชนเป็นฐาน ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ต้องขังและเตรียมความพร้อมในการกลับเข้าสู่สังคม พัฒนาระบบการดูแลเหยื่ออาชญากรรม รวมไปถึงการลดจ านวนอาชญาการรมและป้องกันอาชญากรรมด้วย (Wilson, 2010) บทสรุป ในยุคปฏิรูปสังคมที่มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจากการบังคับใช้กฎหมายและควบคุมอาชญากรรมโดยมุ่งน าตัว ผู้กระท าความผิดมาลงโทษอย่างรุนแรง รวดเร็ว และแน่นอน เปลี่ยนเป็นมุมมองใหม่ว่า ผู้กระท าความผิดเป็นผู้ป่วย มีสาเหตุ ในการประกอบอาชญากรรมอันเนื่องมาจากปัจจัยภายในหรือสภาพแวดล้อมบีบบังคับ ดังนั้น การลงโทษผู้กระท าความผิดที่ เหมาะสมควรให้ความส าคัญไปที่การบ าบัดแก้ไขฟื้นฟู เพื่อที่จะน าผู้กระท าความผิดนั้นกลับคืนสู่สังคมได้และจะไม่กระท า ความผิดซ้ าอีก ประกอบกับนโยบายส่งเสริมการปฏิบัติต่อผู้กระท าความผิดโดยใช้ชุมชน และการน ากระบวนการยุติธรรมเชิง สมานฉันท์เข้ามาใช้เป็นทางเลือกในการด าเนินกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย บทบาทของงานสังคมสงเคราะห์จึงมีแนวโน้มในการพัฒนาและมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในกระบวนการยุติธรรมใน การท าหน้าที่สงเคราะห์และการแก้ไข บ าบัดฟื้นฟูผู้กระท าความผิดทั้งที่เป็นผู้ใหญ่หรือเด็กและเยาวชน การช่วยเหลือเยียวยา เหยื่ออาชญากรรม การปฏิบัติต่อผู้กระท าความผิดโดยใช้ชุมชน การด าเนินกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ และที่ส าคัญ ควรพัฒนาบทบาทงานสังคมสงเคราะห์ในการท างานเชิงรุกเพื่อลดอาชญากรรมและป้องกันอาชญากรรม ประกอบกับผลักดัน การเข้าไปมีส่วนร่วมในการก าหนดนโยบายสังคม ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนางานสังคมสงเคราะห์ในกระบวนการยุติธรรม ไทย ด้วยเหตุนี้การพัฒนาหลักสูตรนโยบายและการบริหารงานยุติธรรมจึงควรมีแนวโน้มในการพัฒนาเรื่อง การใช้ มาตรการลงโทษอื่นแทนการลงโทษจ าคุก การปฏิบัติต่อผู้กระท าความผิดโดยใช้ชุมชน กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ยุติธรรมชุมชน เพื่อส่งเสริมการลดปัญหาความเหลื่อมล้ าทางสังคมการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และเสริมสร้างความเป็นธรรมทาง สังคมต่อไป เอกสารอ้างอิง กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2540). นโยบายสังคมและสวัสดิการสังคม (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 44 ไท วัฒนา. (2564). กระบวนการยุติธรรมทางเลือกในต่างประเทศ สู่โมเดลการแก้ไขปัญหากระบวนการยุติธรรมไทย. สืบค้นจาก https://researchcafe.tsri.or.th/judicial-process/ ธีระ สินเดชารักษ์ และคณะ. (2559). ความเป็นธรรมทางสังคม: ความพยายามชี้วัดและวิเคราะห์ในเชิงตัวเลข. วารสารธรรมศาสตร์, 35(1), 163-191. ธีระ สินเดชารักษ์และ ธีระพงษ์ วงษ์นา. (2556). เสวนาวิชาการ “ความเป็นธรรมในสังคมไทย”. สืบค้นจาก https://socanth.tu.ac.th/wp-content/uploads/2015/02/JSA-33-2-seminar-report.pdf ประพาฬรัตน์ สุขดิษฐ์. (2561). แนวทางการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0. วารสารวิชาการคณะ นิติศาสตร์์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี์, 6(2), 15-27. พงษ์สิทธิ์ อรุณรัตนากุล. (2549). พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547: ศึกษากรณีมาตรการบังคับใช้กฎหมายต่อ ผู้ทรงอิทธิพล. ปริญญานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะนิติศาสตร์. พระมหาไพรัชน์ ธมฺมทีโป. (2564). มโนทัศน์เรื่องความยุติธรรม. วารสารมหาจุฬาวิชาการ. 8(3). 289-304. พีรธร บุณยรัตพันธุ์ และคณะ. (2555). โครงการวิจัยเรื่อง การศึกษาเพื่อพัฒนานโยบายและกลไกการส่งเสริมความเสมอภาค และความเป็นธรรมในสังคม. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร, สถาบันเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน. มหาวิทยาลัยรังสิต, คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม. (2554). สืบค้นจาก https://www.facebook.com/justice.rsu/posts/244093378989744/?locale=th_TH วิชา มหาคุณ และ กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์. (2565). การเสริมสร้างความเป็นธรรมทางสังคมโดยกระบวนการยุติธรรมชุมชน: บทเรียนจากนานาประเทศ. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 9(2), 308-322. ศักดิ์ชัย เลิศพานิชพันธุ์ และคณะ. (2551). รายงานวิจัย การศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการน ามาตรการลงโทษ ระดับกลางมาใช้เพื่อเป็นมาตรการทางเลือกในการลงโทษผู้กระท าผิดในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย. กรุงเทพฯ: กระทรวงยุติธรรม. สุขุม เฉลยทรัพย์. (2560). การฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับกลาง รุ่นที่ 12. (ยธก.12) ณ ส านักงาน กิจการยุติธรรม. สืบค้นจาก https://dusitpoll.dusit.ac.th/UPLOAD_FILES/LECTURE/LC-1517280717.pdf สุดสงวน สุธีสร, (2546). อาชญาวิทยาและงานสังคมสงเคราะห์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. อารีย์ รุ่งพรทวีวัฒน์. (2527). การบังคับใช้กฎหมายอาญาโดยกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย. ปริญญานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะนิติศาสตร์. Burke, R. H. (2005). An Introduction to Criminological Theory (2nd ed.). Devon: Willan Publishing. Williams, K. S. (2004). Textbook on Criminology (5th ed.). New York: Oxford University Press. Wilson, M. (2010). Criminal justice social work in the United States: Adapting to new challengers. Washington. DC: NASW Center for Workforce Studies.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 45 การน าเสนอผลงานวิชาการ เรื่อง การเสริมพลังคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ของบริบทสังคม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 46 ความส าคัญของงานต่อมนุษย์ในมิติเศรษฐกิจและคุณค่าของมนุษย์ The necessity of work for humans in the economic and human dignity dimensions ปฐมพร สันติเมธี1 Pathomporn Santimethi3 Abstract The purpose of the article is to introduce the concept of the necessity of work to humans. Work, in particular, plays an important role in reflecting human values. From gathering data and linking relevant aspects of thought and history together, it will be found that humans do not work only for economic returns but it is also an important approach for the take-up of welfare benefits. Furthermore, work is required to validate an individual's potential, skills, and identity to conform to the beliefs, values, and norms of the social context in which one finds oneself and to be accepted by others in society. This might be a stronger motivating reason than income to get everyone to work as they desire, no matter who they are or what their limits are. To upscale widespread employment, in the procedure of employment-supportive policy making, it's important to take into account the approach of using motivation in the human dignity dimension along with motivation in the economic dimension. Keywords: Work, Human Dignity, Work Motivation บทคัดย่อ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อน าเสนอแนวคิดว่าด้วยความจ าเป็นของงานที่มีต่อมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานในฐานะ ที่ตอบสนองต่อคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ด้วยการรวบรวมเอกสารและเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันทางความคิดและ ประวัติศาสตร์ ทั้งนี้จะพบว่ามนุษย์ไม่ได้ท างานเพียงเพื่อผลตอบแทนทางเศรษฐกิจหรือเพื่อหาเลี้ยงชีพเท่านั้น แต่ยังเป็น ช่องทางส าคัญในการเข้าถึงสวัสดิการ ยิ่งไปกว่านั้นงานยังมีความจ าเป็นในฐานะเป็นเครื่องยืนยันศักยภาพ ความสามารถ ตลอดจนตัวตนของบุคคล ให้เป็นที่ยอมรับของทั้งตนเองและผู้อื่นในสังคมตามความเชื่อ การให้คุณค่า และค่านิยมของบริบท สังคมที่ตนเป็นสมาชิก ซึ่งอาจเป็นเหตุผลจูงใจที่ส าคัญกว่ารายได้ในการดึงดูดใจให้มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครหรือมีข้อจ ากัด ใดเข้ามาท างานตามที่ตนเองปรารถนา ดังนี้ในการจัดท านโยบายส่งเสริมการจ้างงานจึงควรตระหนักถึงการใช้แรงจูงใจในมิติ คุณค่าของมนุษย์ควบคู่กับการใช้จูงใจในมิติเศรษฐกิจ เพื่อผลักดันให้เกิดการจ้างงานอย่างกว้างขวาง ค าส าคัญ: งาน, ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์, แรงจูงใจการท างาน บทน า “งาน” เป็นวิถีชีวิตพื้นฐานที่อยู่คู่กับชีวิตของมนุษย์มาอย่างยาวนาน และมีความส าคัญไม่เพียงในแง่ของเศรษฐกิจ เพื่อให้มีรายได้ในการด ารงชีพเท่านั้น หากแต่ยังสัมพันธ์กับมนุษย์ในมิติคุณค่าของแต่ละบุคคลด้วย บทความนี้จึงมีจุดมุ่งหมาย ที่จะชวนขบคิดถึงความจ าเป็นของงานที่มีต่อมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าความเป็นมนุษย์ เพื่อตอบ 1 นักศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขานโยบายสังคม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 3 Doctor of Philosophy’s students of Social Policy Program, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 47 ค าถามเชิงปรัชญาที่ว่า “เพราะอะไรมนุษย์จึงท างาน?” ซึ่งแม้จะเป็นค าถามที่แลดูเรียบง่าย แต่กลับมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ ตั้งแต่ระดับความต้องการตามสัญชาตญาณไปจนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมของสังคมที่หล่อหลอมอยู่รอบตัวบุคคลในระดับ โครงสร้างอย่างสลับซับซ้อน โดยใช้การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และแนวคิดทางจิตวิทยามาใช้อธิบาย เพื่อให้ตกผลึกเป็นความเข้าใจความส าคัญของการท างานที่มีต่อมนุษย์ และท าความเข้าใจมนุษย์ว่าท างานเพื่อตอบสนองต่อ สิ่งใด การปฏิวัติอุตสาหกรรม: ต้นเหตุแห่งความหมายและรูปแบบการท างานที่เปลี่ยนไป งานเป็นค าที่มีความหมายกว้างและอาจท าให้เกิดจินตภาพแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2554) ให้ความหมายของงานไว้ว่า หมายถึง กิจกรรมที่ท า, สิ่งที่ท า แต่หากสืบค้นจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษจะ พบความหมายที่ให้จินตภาพลึกซึ้งกว่า โดยค าว่า Labor มีรากศัพท์จากภาษาละตินหมายถึงความทุกข์ยาก ความยุ่งยาก หรือ ค าว่า Work ในคัมภีร์ของชาวฮิบรูว์มีความหมายถึงความเป็นทาส และในปัจจุบันงานยังมีความหมายในทิศทางเดียวกับ Survive ที่หมายถึง สิ่งที่บุคคลท าเพื่อการด ารงชีพด้วย (สุรพล ปธานวนิช, 2543, น. 41) ดังนี้เมื่อกล่าวถึงงานในความหมาย กว้างจึงหมายถึง กิจกรรมหรือภารกิจใดๆ ที่บุคคลยอมปฏิบัติเพื่อให้สามารถด ารงชีพได้ ด้วยความหมายนี้ “งาน” จึงหมายรวม ทุกภารกิจที่บุคคลต้องท าเพื่อใช้ชีวิตเป็นได้ทั้งภารกิจที่ได้รับค่าจ้าง อาทิ ค้าขาย เสมียน ช่างฝีมือ เป็นต้น และภารกิจที่อาจ ไม่ได้รับค่าจ้าง อาทิ งานบ้าน ดูแลบุตร ท าสวนครัว เป็นต้น อย่างไรก็ตามแม้งานจะครอบคลุมทั้งภารกิจที่ได้รับค่าจ้างและ ภารกิจที่ไม่ได้รับค่าจ้าง แต่ในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงงานมักจะพุ่งเป้าความสนใจไปที่งานที่ก่อให้เกิดรายได้เป็นหลัก บทความนี้ จึงจะขอให้นิยามความหมายของงานโดยหมายถึงภารกิจที่ก่อให้เกิดรายได้ด้วยเช่นกัน แต่เดิมมนุษย์พึ่งพาอาศัยกันเพื่อให้ด ารงชีวิตในสังคมได้ งาน หรือภารกิจต่างๆ ในชีวิตจะถูกแบ่งความรับผิดชอบ ตามความสามารถและเงื่อนไขเฉพาะทางร่างกาย อาทิ เพศชายที่มีสรีระร่างกายตามธรรมชาติแข็งแรงกว่าเพราะมีมวล กล้ามเนื้อมากกว่าเพศหญิงจะรับผิดชอบงานที่ใช้ก าลังมากกว่า เช่น การล่าสัตว์ การท าเกษตรกรรม งานฝีมือที่ต้องใช้ก าลัง แรงกาย ฯลฯ ในขณะที่เพศหญิงซึ่งมีสรีระร่างกายแข็งแรงน้อยกว่า มีมวลกล้ามเนื้อน้อย และผูกพันกับการตั้งครรภ์ ให้ก าเนิดบุตร ให้นมบุตร ก็จะรับผิดชอบภารกิจอื่นๆ เพื่ออ านวยให้สมาชิกครอบครัวหรือชุมชนด ารงอยู่ร่วมกันได้ เช่น การเลี้ยงบุตร การท าอาหาร งานในครัวเรือน ฯลฯ (วารุณี ภูริสินสิทธิ์, 2555) อย่างไรก็ตามพบว่ามีการแบ่งแยกชนชั้นและ การประกอบอาชีพของคนในแต่ละชนชั้นมาตั้งแต่ 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล ในประวัติศาสตร์สมัยสุเมเรียน อียีปต์ จีน กรีก โรมัน ล้วนมีการแบ่งชนชั้นและงานที่แต่ละชนชั้นจะสามารถท าได้เพื่อสร้างผลผลิตให้แก่รัฐหรือชนชั้นฝ่ายปกครองที่ถือครอง ที่ดิน ตลอดจนแลกเปลี่ยนค้าขายกันในระหว่างชนชั้นของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการซื้อขายทาสที่หมายถึงการซื้อขาย แรงงานไปเป็นก าลังการผลิตจากชนชั้นทาสหรือเชลยศึกอีกด้วย ปรากฏเป็นรูปแบบการปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่ เกิดขึ้นซ้ าๆ กันในทุกพื้นที่อารยธรรม คือ จะเกิดชนชั้น ได้แก่ ชนชั้นบน (Upper Class) ซึ่งเป็นชนชั้นปกครองหรือผู้น า ทางศาสนา ชนชั้นกลางหรือสามัญชน (Middle Class หรือ Commoner) เช่น พ่อค้า ช่างฝีมือ ครู ศิลปิน นักเขียน ฯลฯ และ ชนชั้นล่างสุดของสังคม (Lower Class) เช่นคนยากจนที่ต้องขายแรงงาน ทาส ฯลฯ (สุรพล ปธานวนิช, 2543, น. 1-13) หลังสงครามครูเสด ในคริสต์ศตวรรษที่ 12-14 มีประชากรเพิ่มขึ้นจ านวนมากส่งผลให้เมืองขยายตัว ภาคการเกษตร ต้องการผลผลิตมากขึ้น ขุนนางเปลี่ยนสถานภาพจากเจ้าของที่ดินมาเป็นผู้ให้เช่าที่ดินเพื่อจูงใจให้สามัญชนผู้ใช้แรงงานย้ายไป ท าการเกษตรในที่ดินรกร้าง และยังมีการจ้างแรงงานด้วยเงินตราเพื่อท าการเกษตรด้วย เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นความต้องการ สินค้าอุปโภคก็เพิ่มขึ้นตาม สินค้าประเภทสิ่งทอ วัสดุที่ใช้ก่อสร้าง โลหะ เชื้อเพลิง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนต้องการก าลังการผลิต ที่มากขึ้นให้เพียงพอต่อความต้องการ ความต้องการก าลังแรงงาน ระบบการเงินการธนาคาร และเศรษฐกิจก็ขยายตัว การท างานในระบบลูกจ้างจึงเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมชัดเจนในยุคนี้ (สุรพล ปธานวนิช, 2543, น. 17) กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 15 เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ วิทยาศาสตร์ถูกน ามาใช้ในการคิดค้นพัฒนาการท างานเกษตรกรรมและการผลิตสินค้ามากขึ้น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 48 มีการประดิษฐ์คิดค้นแท่นพิมพ์ตัวเรียงแบบโลหะที่ช่วยให้ความรู้สามารถแผ่ขยายผ่านสิ่งพิมพ์ไปไกลผ่านพื้นที่และเวลาได้ การต่อเรือเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ส าเร็จท าให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าข้ามทวีปกันได้สะดวกยิ่งขึ้น มีการบริโภค สินค้าที่หลากหลาย เกิดการพัฒนาทางศิลปะ ปรัชญา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ สังคม และการเมือง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่มีความส าคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์การท างานและมนุษยชาติ ทั้งยังท าให้ความหมาย ตลอดจนรูปแบบการท างานที่มีเปลี่ยนไปอย่างแท้จริงจากเดิมโดยสิ้นเชิงก็คือการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 นับเป็นจุดเริ่มส าคัญของการท างานในรูปแบบใหม่ จากที่ในศตวรรษก่อนบุคคลท าการเกษตรเพื่อตอบสนองการด ารงชีพ ในครัวเรือนของตน หรือช่างฝีมือต่างๆ มีพื้นที่การท างานในบ้านของตนหรือใกล้บ้านเพียงเท่านั้น การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ได้ มีการน าความก้าวหน้าทางวิทยาการมาใช้ในการผลิตก่อให้เกิดระบบโรงงาน สถานฝึกอาชีพหรือโรงท างาน (Workhouse) ที่สามารถผลิตสินค้าได้จ านวนมาก ต่างจากการผลิตเพื่อการด ารงชีพในครัวเรือนอย่างเดิม การเปลี่ยนมาเป็นอุตสาหกรรม เช่นนี้ต้องการแรงงานจ านวนมาก จึงดึงดูดให้ผู้คนหลั่งไหลเข้าสู่รูปแบบการท างานไปรับจ้างเป็นแรงงานในระบบโรงงาน ที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนี้ได้ รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก เกิดเป็นการขยายตัวของชนชั้นกลางขึ้นอย่าง กว้างขวาง ไปพร้อมๆ กับสภาพการท างานที่ซ้ าซากและปัญหาสังคมซึ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น (Encyclopaedia Britannica, 2023) การท างานในระบบอุตสาหกรรมไม่ได้แค่เปลี่ยนแปลงให้เกิดการขยายตัวของชนชั้นกลางเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิตของผู้คน ใน 4 ประการหลักด้วยกัน ประการแรก เครื่องจักรกลเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตสินค้า การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่วิทยาการเข้าไปแทรกแซงอยู่ทั้งในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเครื่องจักร ไอน้ าและเทคโนโลยีการทอผ้า ด้วยศักยภาพของเครื่องจักรกลส่งผลให้สามารถสร้างผลผลิตจ านวนมาก รูปแบบชีวิตของผู้คน ที่เคยผลิตตามก าลังของตนเพื่อใช้บริโภคในการด ารงชีพ จึงเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากผลผลิตที่ท าได้มีมากเกินกว่าที่จะบริโภค เอง บุคคลไม่ได้ผลิตเพื่อใช้ แต่เพื่อค้าขายส่งต่อผลผลิตส่วนเกินสู่ตลาด อย่างไรก็ตามบุคคลที่ลงแรงผลิตอยู่ในสถานะแรงงาน รับจ้างเท่านั้น เครื่องจักรที่เป็นส่วนส าคัญให้สามารถผลิตได้จ านวนมากขึ้น ตลอดจนที่ดิน โรงงาน ฯลฯ ล้วนเป็นของนายจ้าง หรือนายทุน ดังนั้นแม้แรงงานจะเป็นผู้ลงแรงผลิตสินค้าขึ้นมาด้วยตนเองตลอดระยะเวลาหนึ่งในสามของวัน ก็ไม่ถือว่าเป็น เจ้าของผลผลิตที่ตัวเองสร้างขึ้นมาอยู่ดี เมื่อไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าที่ผลิตบุคคลจึงต้องน าค่าแรงที่ได้มาเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค การท างานต่อไปเพื่อให้มีเงินรายได้ไว้ซื้อสินค้าเพื่อการด ารงชีวิตจึงเป็นสิ่งจ าเป็นและพันธการแรงงานไว้กับการท างาน ระบบทุนเช่นนี้อย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะเมื่อใดที่ไม่ท างานแลกค่าจ้างแรงงานก็จะไม่มีเงินไว้ซื้อสิ่งของจ าเป็น เพื่อด ารงชีพ ประการที่สอง การท างานในระบบโรงงานท าลายทักษะโดยรวมของบุคคล ต่อเนื่องมาจากประเด็นก่อนหน้านี้ เครื่องจักรกลและแรงงานไร้ฝีมือเป็นองค์ประกอบส าคัญของการท างานใน ระบบโรงงาน ที่แรงงานมีหน้าที่ความรับผิดชอบด าเนินการในบางส่วนของการผลิตสินค้าใดๆ เท่านั้น เครื่องจักรกลจะช่วย อ านวยการหรือด าเนินการบางขั้นตอนเพื่อลดระยะเวลาหรือลดความเสี่ยงบางอย่างในขั้นตอนการผลิต เพื่อให้ได้ผลผลิต จ านวนมากที่สุดในระยะเวลาและต้นทุนน้อยที่สุด ซึ่งการที่บุคคลมีความรับผิดชอบในการผลิตเพียงบางขั้นตอน และท าสิ่งนั้น ซ้ าๆ เช่นนี้ แตกต่างจากระบบการผลิตแบบดั้งเดิมที่บุคคลลงแรงในผลผลิตทุกขั้นตอนด้วยตนเองซึ่งยิ่งท ามากขึ้น บ่อยครั้งขึ้น ก็จะยิ่งได้ทักษะในการผลิตเพิ่มยิ่งขึ้น จึงเป็นการสั่งสมทักษะฝีมือที่ยิ่งท ายิ่งช านาญ และผลผลิตนั้นก็จะสามารถเพิ่มมูลค่าได้ เพราะผ่านการท าจากความช านาญ เช่น สินค้ามีความประณีตขึ้น สวยงามขึ้น พัฒนาความซับซ้อนยิ่งขึ้น เป็นต้น รูปแบบ การท างานในโรงงานที่ลดทอนขั้นตอนการผลิตให้แรงงานท าขั้นตอนใดเพียงขั้นตอนเดียวจึงไม่เอื้อให้เกิดการพัฒนาทักษะฝีมือ แรงงานจึงเป็นได้เพียงแรงงานไร้ฝีมือ และถือเป็นการท าลายทักษะโดยรวมของบุคคล


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 70 49 ประการที่สาม ความสัมพันธ์รูปแบบนายจ้าง-ลูกจ้าง เข้ามาแทนที่ความสัมพันธ์รูปแบบดั้งเดิม ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวในระบบนายกับทาส หรือรูปแบบครูผู้ถ่ายทอดฝีมือ ให้แก่ลูกศิษย์ผู้เรียนรู้ (สุรพล ปธานวนิช, 2543, น. 19) เมื่อการท างานเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบอุตสาหกรรม นายจ้างซึ่งเป็น เจ้าของทุนไม่ได้ลงมามีส่วนร่วมในการผลิต เช่นเดียวกันลูกจ้างที่ผลิตก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการผลิตทุกขั้นตอน ความรู้ในงานที่ จะถ่ายทอดในแบบครู-ศิษย์จึงไม่เกิดขึ้นเพราะทักษะของนายจ้างที่มีในภาคอุตสาหกรรมเป็นทักษะการบริหารไม่ใช่ทักษะใน การผลิตอย่างดั้งเดิม เครื่องจักรกลเข้ามาท าให้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของทุนและแรงงานห่างเหิน แรงงานเป็นเพียงผู้ขาย แรงงานแลกเงินค่าจ้าง และยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของทุนการผลิตที่จะสามารถน ามาซึ่งก าไรเพิ่มยิ่งขึ้น เพราะหากทักษะ แรงงานเพิ่มมากขึ้น ผลิตสินค้าได้มากขึ้นในระยะเวลาเท่าเดิม ก็จะมีสินค้าไปขายได้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงก าไรของนายจ้างที่มาก ขึ้นด้วย ความสัมพันธ์ลักษณะนี้จึงน ามาสู่การเอาเปรียบแรงงานได้ หากนายจ้างยึดเอาก าไรสูงสุดเป็นเป้าหมายในการท า อุตสาหกรรม ประการที่สี่ เกิดความแตกต่างของโอกาสและความเท่าเทียมในการท างานระหว่างเพศมากยิ่งขั้น แม้การปฏิวัติอุตสาหกรรมจะกระตุ้นให้ทั้งผู้หญิงและเด็กเข้าสู่การท างานเป็นจ านวนมาก เสมือนเป็นการเปิดโอกาส ให้มีการจ้างงานอย่างเท่าเทียมในทุกคน แต่ในทางปฏิบัติกลับส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างโอกาสการท างานของผู้หญิงและ ผู้ชายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้การท างานในภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่โรงงานเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคลไปอย่างสิ้นเชิง จากที่ การด าเนินชีวิตไม่ถูกก าหนดเป็นเวลาเคร่งครัดเพราะใช้เวลาแต่ละวันอยู่ในบ้านหรือบริเวณบ้าน เปลี่ยนแปลงมาเป็น การก าหนดเวลาและสถานที่ในการท าสิ่งต่างๆ อย่างเคร่งครัด สถานที่และเวลาท างานกับการพักผ่อนถูกแยกขาดจากกัน บุคคลถูกแบ่งชีวิตออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1) ชีวิตส่วนตัว (Private Life) คือ วิถีชีวิตชีวิตในบ้าน การพักผ่อน การอยู่ร่วมกับ สมาชิกครอบครัว และ 2) ชีวิตสาธารณะ (Public Life) ซึ่งหมายถึงชีวิตที่ออกไปอยู่นอกพื้นที่ส่วนตัว เพื่อท างาน ศึกษา สังสรรค์ ซื้อสินค้า ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น (วารุณี ภูริสินสิทธิ์, 2555) เมื่องานบ้านถูกแบ่งแยกออกจากงาน อุตสาหกรรมอย่างสิ้นเชิง แต่งานที่บ้านก็ยังคงมีอยู่เพื่อให้มนุษย์ด าเนินชีวิตตามวิถีต่อไปได้ ถึงจุดนี้วิทยาศาสตร์กายภาพเข้ามา มีบทบาทด้วย เมื่อลักษณะทางชีวภาพของแต่ละเพศที่แตกต่างกันมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการผลิตและหน้าที่ใน ครัวเรือน เพศชายที่คุณลักษณะทางร่ายกายแข็งแรงกว่าเพราะมีมวลกล้ามเนื้อธรรมชาติที่จ านวนมากและแข็งแรงกว่าเพศ หญิง กลายเป็นก าลังส าคัญในการผลิตในภาคอุตสาหกรรมหนักที่ต้องใช้ความแข็งแรงของร่างกายมาก ส่วนเพศหญิงที่สรีระ และคุณลักษณะทางร่างกายไม่ได้แข็งแรงเท่าและผูกพันกับการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แม้จะท างานก็ไม่ได้รับการยอมรับ เทียบเท่าเพศชาย และเมื่อตั้งครรภ์ก็มีความจ าเป็นต้องอยู่ที่บ้านเพื่อรับผิดชอบงานที่บ้านในภาคชีวิตส่วนตัวซึ่งสังคมไม่ให้ คุณค่าว่าก่อให้เกิดรายได้หรือผลผลิต การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตจึงส่งผลทางอ้อมให้ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสในงานและ ค่าจ้างที่แตกต่างกันในระยะยาว ประการสุดท้าย เกิดการเอารัดเอาเปรียบและปัญหาสังคม ระบบอุตสาหกรรมท าให้คุณค่าความเป็นมนุษย์ถูกลดต่ าลง เกิดการแข่งขัน และความยากจน การแบ่งแยกพื้นที่และ เวลาของการท างานและการพักผ่อนออกจากกันอย่างสิ้นเชิงส่งผลให้ครอบครัวมีเวลาในการขัดเกลาสมาชิกจากรุ่นสู่รุ่นน้อยลง นายจ้างพยายามเอาเปรียบแรงงานเพื่อให้ได้ผลก าไรสูงสุด ฯลฯ เช่นนี้จึงเกิดปัญหาสังคมขึ้นมากมาย สวัสดิการสังคมตลอดจน สหภาพแรงงานจึงได้มีการริเริ่มก่อตั้งในยุคนี้ ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาจนแข็งแกร่งขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่สร้างให้เกิดผลผลิตจ านวนมากได้ในระยะเวลาสั้นลง และเพิ่มก าไรให้นายทุนเป็นกอบ เป็นก า เป็นเครื่องสะท้อนความส าเร็จของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่าเป็นความชอบธรรมของความรู้ และก่อเกิดเป็น ความคิดแบบขั้วตรงข้าม (Binary Pairs หรือ Opposition) ชัดเจนยิ่งขึ้น ก าหนดบทบาทและแบ่งแยกสิ่งต่างๆ ออกจากกัน (วารุณี ภูริสินสิทธิ์, 2555) อาทิ ถูก-ผิด, ปกติ-ไม่ปกติ, ดี-เลว เป็นต้น งานที่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น งานในโรงงานอุตสาหกรรม การค้าขาย ฯลฯ ถูกแยกออกจากงานที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น ท าความสะอาดบ้าน เลี้ยงดูลูก ฯลฯ โดยสิ้นเชิง และถูกให้


Click to View FlipBook Version